ศัพท์สัมพันธ์
พระคริสตธรรมคัมภีร์
ภาษาไทยฉบับคิง เจมส์

Thai KJV Bible Concordance


กลับหน้าแรก / Main Menu

 

มงกุฎ ( 68 )
อพย 29.6 จงสวมมาลาที่ศีรษะของอาโรน และจงสวมมงกุฎบริสุทธิ์ทับมาลา
อพย 39.30 เขาทั้งหลายทำแผ่นมงกุฎบริสุทธิ์ด้วยทองคำบริสุทธิ์จารึกคำว่า “บริสุทธิ์แด่พระเยโฮวาห์” ไว้เหมือนอย่างแกะตรา
ลนต 8.9 และสวมผ้ามาลาไว้บนศีรษะ และติดแผ่นทองคำอันเป็นมงกุฎบริสุทธิ์ที่ผ้ามาลาด้านหน้า ดังที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาโมเสสไว้นั้น
2ซมอ 1.10 ข้าพเจ้าจึงเข้าไปยืนข้างพระองค์ และประหารพระองค์เสีย เพราะข้าพเจ้าแน่ใจว่าเมื่อพระองค์ทรงล้มแล้วก็จะไม่ดำรงพระชนม์ได้อีก และข้าพเจ้าก็ถอดมงกุฎซึ่งอยู่บนพระเศียร และกำไลซึ่งอยู่ที่พระกร และข้าพเจ้าก็นำมาที่นี่เพื่อมอบแด่เจ้านายของข้าพเจ้า”
2ซมอ 12.30 ทรงริบมงกุฎจากเศียรกษัตริย์ของเมืองนั้น มงกุฎนั้นเป็นทองคำหนักหนึ่งตะลันต์ประดับด้วยเพชรพลอยต่างๆ และเขาก็สวมบนพระเศียรของดาวิด และพระองค์ทรงเก็บรวบรวมทรัพย์สมบัติของเมืองนั้นได้เป็นอันมาก
2พกษ 11.12 แล้วท่านก็นำโอรสของกษัตริย์ออกมาสวมมงกุฎให้ และมอบพระโอวาทให้ และเขาทั้งหลายตั้งท่านไว้เป็นกษัตริย์ และได้เจิมท่าน และเขาทั้งหลายก็ตบมือ พูดว่า “ขอกษัตริย์ทรงพระเจริญ”
1พศด 20.2 และดาวิดทรงถอดมงกุฎจากพระเศียรของกษัตริย์ของเขาทั้งหลาย พระองค์ทรงทราบว่ามงกุฎนั้นมีทองคำหนักหนึ่งตะลันต์ และมีเพชรพลอยต่างๆ ซึ่งต่อมาอยู่บนพระเศียรของดาวิด และพระองค์ทรงริบของจากเมืองนั้นได้ข้าวของเป็นอันมาก
2พศด 23.11 แล้วเขานำโอรสของกษัตริย์ออกมา และสวมมงกุฎให้ท่าน มอบพระโอวาทให้แก่ท่าน และเขาทั้งหลายตั้งท่านไว้เป็นกษัตริย์ เยโฮยาดากับบุตรชายของท่านก็เจิมพระองค์ และเขาทั้งหลายร้องว่า “ขอกษัตริย์ทรงพระเจริญ”
อสธ 1.11 ให้ไปเชิญพระราชินีวัชทีสวมมงกุฎมาเฝ้ากษัตริย์ เพื่อจะให้ประชาชนและเจ้านายของพระองค์ได้ชมสง่าราศีโฉมของพระนาง เพราะพระนางงามนัก
อสธ 6.8 ขอนำฉลองพระองค์ซึ่งกษัตริย์ทรง และม้าซึ่งกษัตริย์ทรง และมงกุฎซึ่งพระองค์ทรงสวมบนพระเศียร
อสธ 8.15 เมื่อโมรเดคัยออกไปพ้นพระพักตร์กษัตริย์ สวมฉลองพระองค์สีฟ้าและสีขาว พร้อมกับมงกุฎทองคำใหญ่และเสื้อคลุมผ้าป่านเนื้อละเอียดสีม่วง ฝ่ายชาวนครสุสาก็โห่ร้องเปรมปรีดิ์
โยบ 19.9 พระองค์ทรงปลดสง่าราศีของข้าไปจากข้าเสีย และทรงถอดมงกุฎจากศีรษะของข้า
โยบ 31.36 ข้าจะใส่บ่าแบกไปแน่ทีเดียว ข้าจะมัดมันไว้ต่างมงกุฎ
สดด 8.5 เพราะพระองค์ทรงทำให้เขาต่ำกว่าพวกทูตสวรรค์แต่หน่อยเดียว และทรงประทานสง่าราศีกับเกียรติเป็นมงกุฎให้แก่เขา
สดด 21.3 เพราะพระองค์ทรงอำนวยพรดีแก่ท่าน พระองค์ทรงสวมมงกุฎทองคำบริสุทธิ์บนศีรษะของท่าน
สดด 89.39 พระองค์ได้ทรงบอกเลิกพันธสัญญากับผู้รับใช้ของพระองค์ พระองค์ทรงกระทำมงกุฎของท่านมลทินโดยเหวี่ยงลงสู่พื้นดิน
สดด 103.4 ผู้ทรงไถ่ชีวิตของท่านมาจากปากแดนผู้ตาย ผู้ทรงสวมความเมตตาและพระกรุณาเป็นมงกุฎให้ท่าน
สดด 132.18 เราจะเอาความอายห่มศัตรูของท่าน แต่มงกุฎของท่านจะแวววาวอยู่บนท่าน”
สภษ 4.9 เธอจะเอามาลัยงามสวมศีรษะเจ้า เธอจะให้มงกุฎแห่งสง่าราศีแก่เจ้า”
สภษ 12.4 ภรรยาดีเป็นมงกุฎของสามีตน แต่นางผู้ที่นำความอับอายมาก็เหมือนความเปื่อยเน่าในกระดูกสามี
สภษ 14.18 คนเขลาได้ความโง่เป็นมรดก แต่คนหยั่งรู้ก็มีความรู้เป็นมงกุฎ
สภษ 14.24 มงกุฎของปราชญ์คือความมั่งคั่งของตน แต่ความโง่ของคนโง่คือความเขลา
สภษ 16.31 ศีรษะที่มีผมหงอกเป็นมงกุฎแห่งสง่าราศี ถ้าพบในทางแห่งความชอบธรรม
สภษ 17.6 หลานๆเป็นมงกุฎของคนแก่ และสง่าราศีของบุตรคือบิดาของเขา
สภษ 27.24 เพราะความมั่งคั่งไม่ได้ทนอยู่ได้เป็นนิตย์ และมงกุฎทนอยู่ได้ทุกชั่วอายุหรือ
พซม 3.11 โอ บุตรสาวแห่งศิโยนเอ๋ย จงออกไป ไปดูกษัตริย์ซาโลมอนเถิด ทรงมงกุฎซึ่งพระราชชนนีได้สวมให้ ในวันที่พระองค์ได้ทรงอภิเษกสมรสนั้น ในวันเมื่อพระทัยของพระองค์ทรงเบิกบานอยู่
อสย 23.8 ผู้ใดได้มุ่งหมายไว้เช่นนี้ต่อเมืองไทระ คือเมืองที่ให้มงกุฎ ซึ่งบรรดาพ่อค้าของมันเป็นเจ้านาย ซึ่งพวกพาณิชของมันเป็นคนมีเกียรติของโลก
อสย 28.1 วิบัติแก่มงกุฎอันโอ่อ่า แก่คนขี้เมาแห่งเอฟราอิม ซึ่งความงามอันรุ่งเรืองของเขาเหมือนดอกไม้ที่กำลังร่วงโรย ซึ่งอยู่บนยอดเขาในที่ลุ่มอันอุดมของบรรดาผู้ที่เหล้าองุ่นมีชัย
อสย 28.3 มงกุฎอันโอ่อ่า คือคนขี้เมาแห่งเอฟราอิม จะถูกเหยียบอยู่ใต้เท้า
อสย 28.5 ในวันนั้น พระเยโฮวาห์จอมโยธา จะเป็นมงกุฎแห่งสง่าราศี และเป็นมงกุฎแห่งความงาม แก่คนที่เหลืออยู่แห่งชนชาติของพระองค์
อสย 62.3 เจ้าจะเป็นมงกุฎแห่งสง่าราศีในพระหัตถ์ของพระเยโฮวาห์ และเป็นราชมงกุฎในพระหัตถ์แห่งพระเจ้าของเจ้า
ยรม 13.18 จงกล่าวแก่กษัตริย์และพระราชินีว่า “ขอทรงประทับ ณ ที่ต่ำ เพราะว่าอำนาจของพระองค์ คือมงกุฎแห่งสง่าราศีของพระองค์จะหล่นมา”
พคค 5.16 มงกุฎได้ร่วงหล่นจากศีรษะข้าพระองค์แล้ว วิบัติแก่พวกข้าพระองค์ เพราะพวกข้าพระองค์กระทำบาปไว้
อสค 16.12 เราเอาเพชรพลอยเม็ดหนึ่งใส่หน้าผากเจ้า และใส่ตุ้มหูที่หูของเจ้า และสวมมงกุฎงามไว้บนศีรษะของเจ้า
อสค 21.26 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า จงปลดผ้าโพก และถอดมงกุฎออกเสีย สิ่งต่างๆจะไม่คงอยู่อย่างที่เคยเป็น ให้ยกย่องคนที่ต่ำขึ้น และให้กดคนที่สูงลง
อสค 23.42 เสียงของประชาชนที่ปล่อยตัวก็ดังอยู่กับเธอพร้อมกับคนสามัญ เขานำคนเส-บามาจากถิ่นทุรกันดารด้วย และเขาเอากำไลมือสวมที่มือของผู้หญิง และสวมมงกุฎงามๆบนศีรษะของเธอทั้งสอง
ศคย 6.11 จงเอาเงินและทองคำทำเป็นมงกุฎหลายมงกุฎ และสวมบนศีรษะของโยชูวาบุตรชายเยโฮซาดัก มหาปุโรหิต
ศคย 6.14 และมงกุฎเหล่านั้นจะอยู่ในพระวิหารของพระเยโฮวาห์ เพื่อให้เป็นที่ระลึกถึงเฮเลม โทบียาห์ เยดายาห์ และเฮ็น บุตรชายของเศฟันยาห์
ศคย 9.16 ในวันนั้น พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขาจะทรงช่วยเขาให้รอด เพราะเขาทั้งหลายเป็นประชาชนของพระองค์ดังฝูงแกะ เขาทั้งหลายจะเป็นเหมือนกับเพชรพลอยที่อยู่ในมงกุฎ คือถูกยกขึ้นเหมือนธงในแผ่นดินของพระองค์
มธ 27.29 เมื่อพวกเขาเอาหนามสานเป็นมงกุฎ เขาก็สวมพระเศียรของพระองค์ แล้วเอาไม้อ้อให้ถือไว้ในพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ และเขาได้คุกเข่าลงต่อพระพักตร์พระองค์ เยาะเย้ยพระองค์ว่า “กษัตริย์ของพวกยิวเจ้าข้า ขอทรงพระเจริญ”
มก 15.17 เขาเอาเสื้อสีม่วงมาสวมพระองค์ เอาหนามสานเป็นมงกุฎสวมพระเศียรพระองค์
ยน 19.2 และพวกทหารก็เอาหนามสานเป็นมงกุฎสวมพระเศียรของพระองค์ และให้พระองค์สวมเสื้อสีม่วง
ยน 19.5 พระเยซูจึงเสด็จออกมาทรงมงกุฎทำด้วยหนามและทรงเสื้อสีม่วง และปีลาตกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า “ดูคนนี้ซิ”
1คร 9.25 ฝ่ายนักกีฬาทุกคนก็เคร่งครัดในระเบียบทุกอย่าง แล้วเขากระทำอย่างนั้นเพื่อจะได้มงกุฎใบไม้ซึ่งร่วงโรยได้ แต่เรากระทำเพื่อจะได้มงกุฎที่ไม่มีวันร่วงโรยเลย
ฟป 4.1 เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้า ผู้เป็นที่รัก เป็นที่ปรารถนา เป็นที่ยินดี และเป็นมงกุฎของข้าพเจ้า พวกที่รักของข้าพเจ้า จงยืนมั่นในองค์พระผู้เป็นเจ้า
1ธส 2.19 เพราะอะไรเล่าจะเป็นความหวัง หรือความยินดี หรือมงกุฎแห่งความชื่นชมยินดีของเรา จำเพาะพระพักตร์พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา เมื่อพระองค์จะเสด็จมา ก็มิใช่ท่านทั้งหลายดอกหรือ
2ทธ 2.5 และถ้าผู้ใดจะเข้าแข่งขันกัน เขาก็คงมิได้สวมมงกุฎ เว้นเสียแต่เขาได้ปฏิบัติตามกฎ
2ทธ 4.8 ตั้งแต่นี้ไป มงกุฎแห่งความชอบธรรมก็เตรียมไว้สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้พิพากษาอันชอบธรรม จะทรงประทานแก่ข้าพเจ้าในวันนั้น และมิใช่แก่ข้าพเจ้าผู้เดียวเท่านั้น แต่จะทรงประทานแก่คนทั้งปวงที่รักการเสด็จมาของพระองค์
ฮบ 2.7 พระองค์ทรงทำให้เขาต่ำกว่าพวกทูตสวรรค์แต่หน่อยเดียว และพระองค์ทรงประทานสง่าราศีกับเกียรติเป็นมงกุฎให้แก่เขา และได้ทรงตั้งเขาไว้ให้อยู่เหนือบรรดาพระหัตถกิจของพระองค์
ฮบ 2.9 แต่เราก็เห็นพระเยซู ผู้ซึ่งพระองค์ทรงทำให้ต่ำกว่าทูตสวรรค์แต่หน่อยเดียวนั้น ทรงได้รับสง่าราศีและพระเกียรติเป็นมงกุฎ เพราะที่พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ด้วยความทุกข์ทรมาน ทั้งนี้โดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์จะได้ทรงชิมความตายเพื่อมนุษย์ทุกคน
ยก 1.12 ความสุขย่อมมีแก่คนนั้นที่สู้ทนการทดลอง เพราะเมื่อปรากฏว่าผู้นั้นทนได้แล้ว เขาจะได้รับมงกุฎแห่งชีวิต ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสัญญาไว้แก่คนทั้งหลายที่รักพระองค์
1ปต 5.4 และเมื่อพระผู้เลี้ยงใหญ่จะเสด็จมาปรากฏ ท่านทั้งหลายจะรับมงกุฎแห่งสง่าราศีที่ร่วงโรยไม่ได้เลย
วว 2.10 อย่ากลัวความทุกข์ทรมานต่างๆซึ่งเจ้าจะได้รับนั้น ดูเถิด พญามารจะขังพวกเจ้าบางคนไว้ในคุกเพื่อจะลองใจเจ้า และเจ้าทั้งหลายจะได้รับความทุกข์ทรมานถึงสิบวัน แต่เจ้าจงสัตย์ซื่อจนถึงความตาย และเราจะมอบมงกุฎแห่งชีวิตให้แก่เจ้า
วว 3.11 ดูเถิด เราจะมาโดยเร็ว จงยึดมั่นในสิ่งที่เจ้ามี เพื่อไม่ให้ผู้ใดชิงเอามงกุฎของเจ้าไปได้
วว 4.4 และล้อมรอบพระที่นั่งนั้นมีที่นั่งอีกยี่สิบสี่ที่นั่ง และข้าพเจ้าได้เห็นผู้อาวุโสยี่สิบสี่คนนั่งอยู่บนที่นั่งเหล่านั้น ทุกคนนุ่งห่มเสื้อสีขาว และสวมมงกุฎทองคำบนศีรษะ
วว 4.10 ผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่นั้นก็ทรุดตัวลงจำเพาะพระพักตร์พระองค์ ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น และนมัสการพระองค์ผู้ทรงพระชนม์อยู่ตลอดไปเป็นนิตย์ และถอดมงกุฎออกวางตรงหน้าพระที่นั่งร้องว่า
วว 6.2 ข้าพเจ้าก็แลเห็น และดูเถิด มีม้าขาวตัวหนึ่ง และผู้ที่ขี่ม้านั้นถือธนู และได้รับมงกุฎ และผู้นั้นก็ออกไปอย่างมีชัย และเพื่อได้ชัยชนะ
วว 9.7 ตั๊กแตนนั้นมีรูปร่างเหมือนม้าที่ผูกเครื่องพร้อมสำหรับออกศึก บนหัวมีสิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนมงกุฎทองคำ หน้ามันเหมือนหน้ามนุษย์
วว 12.1 มีการมหัศจรรย์ใหญ่ยิ่งปรากฏในสวรรค์ คือผู้หญิงคนหนึ่งมีดวงอาทิตย์เป็นอาภรณ์ มีดวงจันทร์อยู่ใต้เท้า และบนศีรษะมีดวงดาวสิบสองดวงเป็นมงกุฎ
วว 12.3 และมีการมหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่งปรากฏในสวรรค์ ดูเถิด มีพญานาคใหญ่สีแดงตัวหนึ่ง มีเจ็ดหัวและมีสิบเขา และที่หัวเหล่านั้นมีมงกุฎเจ็ดอัน
วว 13.1 และข้าพเจ้าได้ยืนอยู่ที่หาดทรายชายทะเล และเห็นสัตว์ร้ายตัวหนึ่งขึ้นมาจากทะเล มันมีเจ็ดหัวและสิบเขา ที่เขาทั้งสิบนั้นมีมงกุฎสิบอัน และมีชื่อที่เป็นคำหมิ่นประมาทจารึกไว้ที่หัวทั้งหลายของมัน
วว 14.14 ข้าพเจ้าได้แลเห็น และดูเถิด มีเมฆขาว และมีผู้หนึ่งประทับบนเมฆนั้นเหมือนกับบุตรมนุษย์ สวมมงกุฎทองคำบนพระเศียร และพระหัตถ์ถือเคียวอันคม
วว 19.12 พระเนตรของพระองค์ดุจเปลวไฟ และบนพระเศียรของพระองค์มีมงกุฎหลายอัน และพระองค์ทรงมีพระนามจารึกไว้ซึ่งไม่มีผู้ใดรู้จักเลย นอกจากพระองค์เอง

มงคลสมรส ( 1 )
วว 19.7 ขอให้เราทั้งหลายร่าเริงยินดีและถวายพระเกียรติแด่พระองค์ เพราะว่าถึงเวลามงคลสมรสของพระเมษโปดกแล้ว และมเหสีของพระองค์ได้เตรียมตัวพร้อมแล้ว

มณฑล ( 58 )
อสร 2.1 ต่อไปนี้เป็นประชาชนแห่งมณฑลที่ขึ้นมาจากการเป็นเชลยในพวกที่ถูกกวาดไป ซึ่งเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้กวาดเอาไปเป็นเชลยยังบาบิโลน และกลับไปยังเยรูซาเล็มและยูดาห์ ต่างก็ไปยังเมืองของตน
อสร 4.10 และคนประชาชาติอื่นๆ ผู้ซึ่งโอสนัปปาร์ เจ้านายผู้ใหญ่ได้ส่งมาให้ตั้งอยู่ในหัวเมืองสะมาเรีย และในส่วนที่เหลือของมณฑลทางฟากแม่น้ำข้างนี้ เป็นต้น
อสร 4.11 และนี่เป็นสำเนาจดหมายที่เขาส่งไปถึงพระองค์ คือถึงกษัตริย์อารทาเซอร์ซีสว่า “ขอกราบทูล ข้าราชการของพระองค์ คือคนของมณฑลฟากแม่น้ำข้างนี้ เป็นต้น
อสร 4.15 เพื่อว่าจะได้ค้นดูในหนังสือบันทึกของบรรพบุรุษของพระองค์ พระองค์จะพบในหนังสือบันทึกแล้วทราบว่าเมืองนี้เป็นเมืองมักกบฏ เป็นภยันตรายแก่บรรดากษัตริย์และมณฑลทั้งหลาย และได้มีการปลุกปั่นขึ้นจากสมัยเก่าก่อน เพราะเหตุนี้เองเมืองนี้จึงถูกทิ้งร้าง
อสร 4.16 ข้าพระองค์ทั้งหลายขอกราบทูลให้กษัตริย์ทรงทราบว่า ถ้าเมืองนี้ได้สร้างใหม่เสร็จและกำแพงเมืองก็สำเร็จแล้ว พระองค์จะไม่มีกรรมสิทธิ์ในมณฑลฟากแม่น้ำข้างนี้”
อสร 4.17 กษัตริย์ทรงส่งพระราชสารตอบไปถึงเรฮูมผู้บังคับบัญชา และชิมชัยอาลักษณ์ และภาคีทั้งปวงของเขาผู้อาศัยในสะมาเรีย และในส่วนที่เหลือของมณฑลทางฟากแม่น้ำข้างโน้นว่า “ขอให้อยู่เย็นเป็นสุขเถิด เป็นต้น
อสร 4.20 เคยมีกษัตริย์ผู้ทรงอำนาจได้ครองเยรูซาเล็ม เป็นผู้ทรงปกครองมณฑลทั้งสิ้นฟากแม่น้ำข้างโน้น ซึ่งเขาถวายบรรณาการ ค่าธรรมเนียมและภาษีให้
อสร 5.3 ในเวลาเดียวกันนั้นทัทเธนัย ผู้ว่าราชการมณฑลฟากแม่น้ำข้างนี้ และเชธาร์โบเซนัย และคณะของเขาได้มาหาท่าน และพูดกับท่านดังนี้ว่า “ผู้ใดที่ให้กฤษฎีกาแก่ท่าน ให้สร้างพระนิเวศและกำแพงนี้จนสำเร็จ”
อสร 5.6 สำเนาจดหมายซึ่งทัทเธนัยผู้ว่าราชการมณฑลฟากแม่น้ำข้างนี้ และเชธาร์โบเซนัย และคณะของท่านคือคนอาฟอาร์เซคาซึ่งอยู่ในมณฑลฟากแม่น้ำข้างนี้ ส่งไปทูลกษัตริย์ดาริอัส
อสร 5.8 ขอกษัตริย์ทรงทราบว่าข้าพระองค์ทั้งหลายไปยังมณฑลยูดาห์ ถึงพระนิเวศของพระเจ้าใหญ่ยิ่ง ซึ่งกำลังสร้างขึ้นด้วยหินใหญ่ และวางไม้ไว้บนผนัง งานนี้ได้ดำเนินไปอย่างขยันขันแข็งและเจริญขึ้นในมือของเขา
อสร 6.2 และได้มีการพบหนังสือม้วนหนึ่งที่อาคเมตาห์ในพระราชวังซึ่งอยู่ในมณฑลมีเดีย และมีข้อความเขียนอยู่ในหนังสือม้วนนั้นดังต่อไปนี้
อสร 6.6 เพราะฉะนั้นบัดนี้ทัทเธนัยผู้ว่าราชการมณฑลฟากแม่น้ำข้างโน้น เชธาร์โบเซนัย และภาคีของท่าน คือคนอาฟอาร์เซคาซึ่งอยู่ในมณฑลฟากแม่น้ำข้างโน้น จงไปเสียให้ห่างเถิด
อสร 6.8 ยิ่งกว่านั้นอีก เราออกกฤษฎีกาเกี่ยวกับสิ่งที่ท่านพึงกระทำเพื่อพวกผู้ใหญ่ของพวกยิวในการสร้างพระนิเวศของพระเจ้า ให้ชำระเงินค่าก่อสร้างแก่คนเหล่านี้เต็ม เพื่อพวกเขาไม่ถูกหยุดยั้ง เอาเงินจากราชทรัพย์ คือบรรณาการของมณฑลฟากแม่น้ำข้างโน้น
อสร 6.13 แล้วทัทเธนัยผู้ว่าราชการมณฑลฟากแม่น้ำข้างนี้ เชธาร์โบเซนัย และภาคีของท่านทั้งสองก็ได้กระทำทุกอย่างด้วยความขยันขันแข็งตามพระดำรัสซึ่งกษัตริย์ดาริอัสได้ทรงบัญชามา
อสร 7.16 พร้อมทั้งเงินและทองคำทั้งสิ้นซึ่งเจ้าจะหาได้ทั่วไปในมณฑลบาบิโลน พร้อมกับของถวายด้วยใจสมัครของประชาชนและปุโรหิต เต็มใจถวายแด่พระนิเวศของพระเจ้าของเขา ซึ่งอยู่ในเยรูซาเล็ม
อสร 7.21 และเรา คือกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส ได้ออกกฤษฎีกาไปยังบรรดานายคลังในมณฑลฟากแม่น้ำข้างโน้นว่า สิ่งใดๆที่เอสราปุโรหิตธรรมาจารย์ของพระราชบัญญัติแห่งพระเจ้าของฟ้าสวรรค์ต้องการจากท่าน จงกระทำให้เขาด้วยความขยันขันแข็ง
อสร 7.25 ส่วนเจ้า เอสรา ตามพระสติปัญญาแห่งพระเจ้าของเจ้าอันอยู่ในมือของเจ้า จงแต่งตั้งพนักงานผู้ปกครองและผู้พิพากษา ให้พิพากษาประชาชนทั้งปวงในมณฑลฟากแม่น้ำข้างโน้น คือทุกคนที่รู้บรรดาพระราชบัญญัติของพระเจ้าของเจ้า และคนเหล่านั้นที่ไม่รู้ เจ้าทั้งหลายจะต้องสอน
อสร 8.36 เขาทั้งหลายได้มอบพระราชโองการให้แก่สมุหเทศาภิบาลของกษัตริย์ และแก่ผู้ว่าราชการมณฑลฟากแม่น้ำข้างนี้ และท่านเหล่านี้ได้ช่วยเหลือประชาชนและพระนิเวศของพระเจ้า
นหม 1.3 เขาทั้งหลายพูดกับข้าพเจ้าว่า “ผู้ที่เหลือจากพวกที่ถูกกวาดไปเป็นเชลยซึ่งอยู่ในมณฑลมีความลำบากและความอับอายมาก กำแพงเมืองเยรูซาเล็มก็พังลง และประตูเมืองก็ถูกไฟทำลายเสีย”
นหม 2.7 และข้าพเจ้ากราบทูลกษัตริย์ว่า “ถ้าเป็นที่พอพระทัยกษัตริย์ ขอทรงโปรดมีพระราชสารให้ข้าพระองค์นำไปถึงผู้ว่าราชการมณฑลฟากแม่น้ำข้างโน้น เพื่อเขาจะได้อนุญาตให้ข้าพระองค์ผ่านไปจนข้าพระองค์จะไปถึงยูดาห์
นหม 2.9 แล้วข้าพเจ้ามายังผู้ว่าราชการมณฑลฟากแม่น้ำข้างโน้น และมอบพระราชสารของกษัตริย์ให้แก่เขา อนึ่งกษัตริย์ทรงจัดให้นายทหารและพลม้าไปกับข้าพเจ้าด้วย
นหม 7.6 ต่อไปนี้ เป็นประชาชนแห่งมณฑลที่ขึ้นมาจากการเป็นเชลยในพวกที่ถูกกวาดไป ซึ่งเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้กวาดไป เขาทั้งหลายกลับมายังเยรูซาเล็มและยูดาห์ ต่างกลับยังหัวเมืองของตน
นหม 11.3 ต่อไปนี้เป็นหัวหน้ามณฑลที่มาอาศัยอยู่ในเยรูซาเล็ม แต่ในหัวเมืองของประเทศยูดาห์ต่างคนต่างอาศัยอยู่ในที่ดินของตนในหัวเมืองของตน คืออิสราเอล บรรดาปุโรหิต คนเลวี คนใช้ประจำพระวิหาร และลูกหลานข้าราชการของซาโลมอน
นหม 12.28 ลูกหลานพวกนักร้องได้รวมกันมาจากมณฑลรอบเยรูซาเล็ม และจากชนบทของชาวเนโทฟาห์
อสธ 1.1 อยู่มาในรัชสมัยของอาหสุเอรัส (อาหสุเอรัสผู้ทรงครอบครองตั้งแต่ประเทศอินเดียถึงประเทศเอธิโอเปีย เหนือหนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ดมณฑลนั้น)
อสธ 1.3 ในปีที่สามแห่งรัชกาลของพระองค์ พระองค์พระราชทานการเลี้ยงแก่เจ้านาย และบรรดาข้าราชการของพระองค์ นายทัพนายกองทัพแห่งเปอร์เซียและมีเดีย และขุนนางกับผู้ว่าราชการมณฑลเฝ้าอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์
อสธ 1.16 เมมูคานจึงทูลต่อพระพักตร์กษัตริย์และเจ้านายทั้งปวงว่า “พระราชินีวัชทีได้ทรงกระทำผิดมิใช่ต่อกษัตริย์เท่านั้น แต่ต่อเจ้านายทั้งปวงและประชาชนทั้งปวงผู้อยู่ในมณฑลทั้งสิ้นของกษัตริย์อาหสุเอรัส
อสธ 1.22 พระองค์ทรงมีพระอักษรไปทั่วราชมณฑลของกษัตริย์ ถึงทุกมณฑลตามอักขระของมณฑลนั้น และถึงทุกชาติตามภาษาของเขา ให้ชายทุกคนเป็นเจ้าเป็นนายในเรือนของตน และให้ประกาศกฤษฎีกานี้ตามภาษาของแต่ละชนชาติ
อสธ 2.3 และขอกษัตริย์ทรงแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ทุกมณฑลแห่งราชอาณาจักรของพระองค์ เพื่อให้คนเหล่านี้รวบรวมหญิงสาวพรหมจารีงดงามทั้งหลายมายังฮาเร็มในสุสาปราสาท ให้อยู่ในอารักขาของเฮกัยข้าราชบริพารในพระราชสำนักของกษัตริย์ ผู้ดูแลสตรี และขอประทานเครื่องชำระล้างและประเทืองผิวสำหรับหญิงเหล่านั้น
อสธ 2.18 แล้วกษัตริย์พระราชทานการเลี้ยงใหญ่แก่เจ้านายและข้าราชการทั้งปวงของพระองค์ เป็นการเลี้ยงของพระนางเอสเธอร์ พระองค์ทรงอนุมัติให้งดส่วยแก่มณฑลทั้งปวง และพระราชทานของกำนัล ด้วยพระทัยกว้างขวางของกษัตริย์
อสธ 3.8 แล้วฮามานทูลกษัตริย์อาหสุเอรัสว่า “มีชนชาติหนึ่งกระจายอยู่ทั่ว และแยกกันอยู่ท่ามกลางชนชาติทั้งหลายในมณฑลทั้งหลายแห่งราชอาณาจักรของพระองค์ กฎหมายของเขาผิดกับกฎหมายของชนชาติอื่นทั้งสิ้น และพวกนี้ไม่รักษากฎหมายของกษัตริย์ การที่กษัตริย์ทรงปล่อยเขาไว้นี้ไม่บังเกิดประโยชน์แก่พระองค์
อสธ 3.12 แล้วทรงเรียกราชอาลักษณ์เข้ามาในวันที่สิบสามเดือนต้น ให้เขียนกฤษฎีกาตามที่ฮามานบัญชาไว้ทุกประการ ส่งไปยังสมุหเทศาภิบาลของกษัตริย์และของเจ้าเมืองมณฑลทั้งปวงและถึงเจ้านายแห่งชนชาติทั้งปวง ถึงทุกมณฑลเป็นอักขระของมณฑลนั้น และถึงชนทุกชาติเป็นภาษาของเขา เขียนในพระนามของกษัตริย์อาหสุเอรัส และประทับตราด้วยพระธำมรงค์ของกษัตริย์
อสธ 3.13 ให้คนเดินข่าวจดหมายเหล่านี้ไปถึงมณฑลของกษัตริย์ทั้งสิ้นสั่งให้ทำลาย สังหารและทำให้ยิวทั้งปวงพินาศไป ทั้งหนุ่มและแก่ เด็กและผู้หญิงในวันเดียวกัน คือวันที่สิบสามเดือนที่สิบสองซึ่งเป็นเดือนอาดาร์ และให้ริบเอาข้าวของของเขาไปหมด
อสธ 3.14 ให้ออกสำเนาเอกสารนั้นเป็นกฤษฎีกาในทุกมณฑล นำไปป่าวร้องให้ชนชาติทั้งปวงพร้อมเพื่อวันนั้น
อสธ 4.3 และในทุกมณฑลที่พระบัญชาของกษัตริย์และกฤษฎีกาของพระองค์ไปถึง ก็มีการไว้ทุกข์อย่างใหญ่หลวงท่ามกลางพวกยิว ด้วยการอดอาหาร ร้องไห้และคร่ำครวญ และคนเป็นอันมากนอนในผ้ากระสอบและมีขี้เถ้า
อสธ 4.11 “ข้าราชการของกษัตริย์ทั้งสิ้นและประชาชนในบรรดามณฑลของกษัตริย์ทราบอยู่ว่า ถ้าชายหรือหญิงคนใดเข้าเฝ้ากษัตริย์ภายในพระลานชั้นในโดยมิได้ทรงเรียก ก็มีกฎหมายอยู่ข้อเดียวเหมือนกันหมด ให้ลงโทษถึงตาย เว้นเสียแต่ผู้ซึ่งกษัตริย์ยื่นธารพระกรทองคำออกรับคนนั้นจึงจะมีชีวิตอยู่ได้ ส่วนฉันกษัตริย์ก็มิได้ตรัสเรียกให้เข้าเฝ้ามาสามสิบวันแล้ว”
อสธ 8.5 พระนางทูลว่า “ถ้าเป็นที่พอพระทัยกษัตริย์ และถ้าหม่อมฉันเป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระองค์ ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องต่อพระพักตร์กษัตริย์ และหม่อมฉันเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ขอทรงให้มีพระอักษรรับสั่งให้กลับความในจดหมายซึ่งฮามาน คนอากัก บุตรชายฮัมเมดาธาได้คิดขึ้น และเขียนเพื่อทำลายพวกยิวที่อยู่ในมณฑลทั้งสิ้นของกษัตริย์
อสธ 8.9 แล้วพระองค์ทรงเรียกราชอาลักษณ์เข้ามาในเวลานั้นในเดือนที่สามซึ่งเป็นเดือนสิวัน ณ วันที่ยี่สิบสาม และให้เขียนกฤษฎีกาตามที่โมรเดคัยบัญชาทุกอย่างเกี่ยวกับพวกยิว ถึงบรรดาสมุหเทศาภิบาล และผู้ว่าราชการ และเจ้าหน้าที่ของมณฑล ตั้งแต่อินเดียถึงเอธิโอเปีย ร้อยยี่สิบเจ็ดมณฑล ไปถึงทุกมณฑลเป็นอักขระของมณฑลนั้น และถึงชนทุกชาติเป็นภาษาของเขา และถึงพวกยิวเป็นอักขระและในภาษาของเขา
อสธ 8.11 ตามจดหมายเหล่านี้กษัตริย์ทรงอนุญาตให้พวกยิวผู้อยู่ในทุกเมืองชุมนุมกันและป้องกันชีวิตของตน ให้ทำลาย ให้สังหารและให้ล้างผลาญกำลังพลใดๆของประชาชนหรือมณฑลใดๆซึ่งจะมาทำร้าย ทั้งเด็กและผู้หญิง และปล้นเอาข้าวของของเขา
อสธ 8.12 ในวันเดียวตลอดทั่วทุกมณฑลของกษัตริย์อาหสุเอรัส คือวันที่สิบสาม เดือนที่สิบสอง ซึ่งเป็นเดือนอาดาร์
อสธ 8.13 สำเนาของหนังสือที่เขียนนั้นจะต้องเป็นกฤษฎีกาในทุกมณฑล และออกโดยการป่าวร้องแก่ชนชาติทั้งปวง พวกยิวจะต้องพร้อมกันในวันนั้นแก้แค้นศัตรูของตน
อสธ 8.17 ทุกมณฑลทุกเมือง ไม่ว่าที่ใดที่พระบัญชาของกษัตริย์และกฤษฎีกาของพระองค์มาถึง ก็มีความยินดีและความชื่นบานท่ามกลางพวกยิว มีการเลี้ยงและวันรื่นเริง คนเป็นอันมากมาจากชนชาติของประเทศก็ประกาศตัวเป็นพวกยิว เพราะความกลัวพวกยิวมาครอบงำเขา
อสธ 9.2 พวกยิวก็ชุมนุมกันในบรรดาหัวเมืองตลอดทั่วทุกมณฑลของกษัตริย์อาหสุเอรัส เพื่อจะจับพวกที่หาช่องทำร้ายเขา ไม่มีผู้ใดต่อต้านพวกเขาได้ เพราะความกลัวเขาครอบงำเหนือชนชาติทั้งปวง
อสธ 9.3 บรรดาเจ้านายทั้งปวงของมณฑล และสมุหเทศาภิบาล และผู้ว่าราชการเมือง และเจ้าหน้าที่ราชการก็ช่วยพวกยิวด้วย เพราะความกลัวโมรเดคัยครอบงำเขา
อสธ 9.4 เหตุว่าโมรเดคัยเป็นใหญ่อยู่ในราชสำนักของกษัตริย์ และชื่อเสียงของท่านเลื่องลือไปทั่วทุกมณฑล เพราะชายที่ชื่อโมรเดคัยนั้นมีอำนาจมากยิ่งขึ้นทุกที
อสธ 9.12 กษัตริย์จึงตรัสกับพระราชินีเอสเธอร์ว่า “พวกยิวได้สังหารและทำลายล้างเสียห้าร้อยคนในสุสาปราสาท รวมทั้งบุตรชายทั้งสิบคนของฮามานด้วย แล้วเขาได้ทำอะไรกันบ้างในมณฑลที่เหลืออยู่ของกษัตริย์นั้น บัดนี้คำร้องของพระนางคืออะไร เราจะประทานให้ คำทูลขอของพระนางมีอะไรอีกต่อไปอีกบ้าง เราก็จะกระทำตามนั้น”
อสธ 9.16 ฝ่ายพวกยิวอื่นๆซึ่งอยู่ในมณฑลของกษัตริย์ก็ชุมนุมกันป้องกันชีวิต และพ้นศัตรูของเขา เขาสังหารผู้ที่เกลียดชังเขาเสียเจ็ดหมื่นห้าพันคน แต่เขามิได้ริบข้าวของ
อสธ 9.20 และโมรเดคัยบันทึกเรื่องนี้และส่งจดหมายไปยังพวกยิวทั้งปวงผู้อยู่ในมณฑลทั้งปวงของกษัตริย์อาหสุเอรัส ทั้งใกล้และไกล
อสธ 9.28 และว่าจะจดจำวันเหล่านี้ และถือตลอดทุกชั่วอายุ ทุกครอบครัว มณฑลและเมือง วันเทศกาลเปอร์ริมนี้จะไม่เลิกถือในท่ามกลางพวกยิว หรือการระลึกถึงวันเหล่านี้จะไม่สิ้นลงในเชื้อสายของเขาเลย
อสธ 9.30 ให้ส่งจดหมายไปถึงยิวทั้งปวงในหนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ดมณฑลในราชอาณาจักรของอาหสุเอรัส เป็นคำที่แท้จริงให้อยู่เย็นเป็นสุข

มด ( 2 )
สภษ 6.6 คนเกียจคร้านเอ๋ย ไปหามดไป๊ พิเคราะห์ดูทางของมัน และจงฉลาด
สภษ 30.25 มด เป็นประชาชนที่ไม่แข็งแรง แต่มันยังเตรียมอาหารของมันไว้ในฤดูแล้ง

มดยอบ ( 15 )
ปฐก 37.25 ขณะที่นั่งรับประทานอยู่เขาเงยหน้าขึ้น ดูเถิด เห็นหมู่คนอิชมาเอลมาจากเมืองกิเลอาด มีฝูงอูฐบรรทุกยางไม้ พิมเสนและมดยอบ เอาเดินทางลงไปยังอียิปต์
ปฐก 43.11 ฝ่ายอิสราเอลบิดาของพวกเขาจึงบอกบุตรชายทั้งหลายว่า “ถ้าอย่างนั้นให้ทำดังนี้ คือเอาผลิตผลอย่างดีที่สุดที่มีในแผ่นดินนี้ คือพิมเสนบ้าง น้ำผึ้งบ้าง ยางไม้และมดยอบ ลูกนัทและลูกอัลมันด์ ใส่ภาชนะไปเป็นของกำนัลแก่ท่าน
อพย 30.23 “จงเอาเครื่องเทศพิเศษคือมดยอบน้ำ ซึ่งหนักห้าร้อยเชเขล และอบเชยหอมครึ่งจำนวนคือสองร้อยห้าสิบเชเขล และตะไคร้สองร้อยห้าสิบเชเขล
สดด 45.8 บรรดาฉลองพระองค์ของพระองค์ท่านก็หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นมดยอบ กฤษณา และการบูรจากพระราชวังงาช้าง ฉลองพระองค์เหล่านี้กระทำให้พระองค์ท่านยินดี
สภษ 7.17 ฉันได้อบที่นอนของฉันด้วยมดยอบ กฤษณา และอบเชย
พซม 1.13 ที่รักของดิฉันเป็นเหมือนห่อมดยอบสำหรับดิฉัน ห้อยอยู่ตลอดคืนระหว่างสองถันของดิฉัน
พซม 3.6 ผู้ใดหนอที่กำลังขึ้นมาจากถิ่นทุรกันดารดูประดุจเสาควัน หอมไปด้วยกลิ่นมดยอบและกำยาน ทำด้วยบรรดาเครื่องหอมของพ่อค้า
พซม 4.6 จนเวลาเย็นและเงาหมดไปแล้ว ฉันจะไปยังภูเขามดยอบและยังเนินเขากำยาน
พซม 5.1 น้องสาวของฉันจ๊ะ เจ้าสาวของฉันจ๋า ฉันเข้ามาในสวนของฉันแล้วนะ ฉันมาเก็บเอามดยอบของฉันพร้อมกับไม้สีเสียดของฉันแล้ว ฉันรับประทานรวงผึ้งกับน้ำผึ้งของฉันแล้ว ฉันดื่มน้ำองุ่นกับน้ำนมของฉันแล้ว โอ สหายทั้งหลาย จงรับประทานและจงดื่มเถิด โอ ท่านผู้เป็นที่รักเอ๋ย จงดื่มให้อิ่มหนำเถิด
พซม 5.5 ดิฉันลุกขึ้นไปเปิดประตูให้ที่รักของดิฉัน และมือของดิฉันทำให้มดยอบหยด และนิ้วของดิฉันทำให้น้ำมดยอบย้อยบนลูกสลักกลอน
พซม 5.13 แก้มของเขาเหมือนอย่างลานปลูกไม้สีเสียด ส่งกลิ่นหอมหวน ริมฝีปากของเขาเหมือนดอกบัวหยดน้ำมดยอบ
มธ 2.11 ครั้นพวกเขาเข้าไปในเรือนก็พบกุมารกับนางมารีย์มารดา จึงกราบถวายนมัสการกุมารนั้น แล้วเปิดหีบหยิบทรัพย์ของเขาออกมาถวายแก่กุมารเป็นเครื่องบรรณาการ คือ ทองคำ กำยาน และมดยอบ
มก 15.23 แล้วเขาเอาน้ำองุ่นระคนกับมดยอบให้พระองค์เสวย แต่พระองค์ไม่รับ
ยน 19.39 ฝ่ายนิโคเดมัส ซึ่งตอนแรกไปหาพระเยซูในเวลากลางคืนนั้นก็มาด้วย เขานำเครื่องหอมผสม คือมดยอบกับกฤษณาหนักประมาณสามสิบกว่ากิโลกรัมมาด้วย

มดลูก ( 2 )
ปญจ 11.5 เจ้าไม่ทราบทางของวิญญาณว่าไปทางไหน และกระดูกมีขึ้นในมดลูกของหญิงที่มีครรภ์อย่างไรฉันใด เจ้าก็จะไม่ทราบถึงกิจการของพระเจ้าผู้ทรงกระทำสิ่งสารพัดฉันนั้น
ฮชย 9.14 โอ พระเยโฮวาห์เจ้าข้า ขอประทานแก่เขา พระองค์จะประทานอะไรแก่เขา ขอประทานมดลูกที่แท้งบุตรและหัวนมที่เหี่ยวแห้งแก่เขาทั้งหลาย

มติ ( 2 )
2พศด 30.5 เขาจึงลงมติให้ทำประกาศออกไปทั่วอิสราเอล ตั้งแต่เบเออร์เชบาถึงเมืองดานว่า ประชาชนควรมาถือปัสกาถวายแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลที่เยรูซาเล็ม เพราะเขามิได้ถือเป็นเวลานานตามที่ได้กำหนดไว้
ลก 23.51 (ท่านมิได้ยอมเห็นด้วยในมติและการกระทำของเขาทั้งหลาย) ท่านเป็นชาวบ้านอาริมาเธียหมู่บ้านพวกยิว และเป็นผู้คอยท่าอาณาจักรของพระเจ้า

มนต์ ( 2 )
สดด 58.5 มันจึงไม่ฟังเสียงของหมองู ผู้ซึ่งมีมนต์ขลัง
พซม 7.5 ศีรษะของเธอดังยอดภูเขาคารเมล ผมของเธอดุจด้ายสีม่วง กษัตริย์ก็ต้องมนต์เสน่ห์ด้วยเส้นผมนั้น

มนตร์ ( 1 )
ยรม 8.17 เพราะ ดูเถิด เราจะส่งงูเข้ามาท่ามกลางเจ้า คืองูทับทางซึ่งจะผูกด้วยมนตร์ไม่ได้ และมันจะกัดเจ้าทั้งหลาย” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ

มนตรี ( 3 )
ดนล 3.2 แล้วกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์รับสั่งให้ประชุมอุปราช ข้าหลวงภาค ผู้ว่าราชการเมือง ผู้พิพากษา นายคลัง มนตรี ตุลาการ และบรรดาเจ้าหน้าที่ทั้งหลายของหัวเมือง ให้เข้ามาในงานฉลองปฏิมากรซึ่งกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้ทรงตั้งขึ้น
ดนล 3.3 แล้วอุปราช ข้าหลวงภาค ผู้ว่าราชการเมือง ผู้พิพากษา นายคลัง มนตรี ตุลาการ และบรรดาเจ้าหน้าที่ทั้งหลายของหัวเมืองได้เข้ามาประชุมเพื่องานฉลองปฏิมากร ซึ่งกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้ทรงตั้งขึ้น และเขาทั้งหลายก็มายืนอยู่หน้าปฏิมากรซึ่งกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้ทรงตั้งขึ้น
ดนล 6.7 บรรดาอภิรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักร ทั้งข้าหลวงภาค และอุปราช มนตรีและผู้ว่าราชการเมืองทั้งหลายทั้งสิ้นได้ตกลงกันว่า กษัตริย์สมควรจะได้ทรงตรากฎหมายและออกพระราชกฤษฎีกาว่า ในสามสิบวันนี้ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดทูลขอต่อพระเจ้าหรือมนุษย์นอกเหนือพระองค์ โอ ข้าแต่กษัตริย์ ก็ให้โยนผู้นั้นลงในถ้ำสิงโตเสีย

มนัสเสห์ ( 114 )
ปฐก 41.51 โยเซฟเรียกบุตรหัวปีว่า มนัสเสห์ กล่าวว่า “เพราะว่าพระเจ้าทรงโปรดให้ข้าพเจ้าลืมความยากลำบากทั้งปวง และวงศ์วานทั้งสิ้นของบิดาเสีย”
ปฐก 46.20 มนัสเสห์กับเอฟราอิม เกิดแก่โยเซฟในแผ่นดินอียิปต์ ซึ่งนางอาเสนัทบุตรสาวของโปทิเฟรา ปุโรหิตเมืองโอนคลอดให้ท่าน
ปฐก 48.1 และต่อมาภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้มีคนเรียนโยเซฟว่า “ดูเถิด บิดาของท่านป่วย” โยเซฟก็พามนัสเสห์และเอฟราอิมบุตรชายทั้งสองของตนไป
ปฐก 48.5 ส่วนบุตรชายทั้งสองของเจ้าที่เกิดแก่เจ้าในประเทศอียิปต์ก่อนพ่อมาหาเจ้าในอียิปต์ก็เป็นบุตรของพ่อ เอฟราอิมและมนัสเสห์จะต้องเป็นของพ่อ เหมือนรูเบนและสิเมโอน
ปฐก 48.13 โยเซฟจูงบุตรทั้งสองเข้าไปใกล้บิดา มือขวาจับเอฟราอิมให้อยู่ข้างซ้ายอิสราเอล และมือซ้ายจับมนัสเสห์ให้อยู่ข้างขวาอิสราเอล
ปฐก 48.14 ฝ่ายอิสราเอลก็เหยียดมือขวาออกวางบนศีรษะเอฟราอิมผู้เป็นน้อง และมือซ้ายวางไว้บนศีรษะมนัสเสห์ โดยตั้งใจเหยียดมือออกเช่นนั้น เพราะมนัสเสห์เป็นบุตรหัวปี
ปฐก 48.17 ฝ่ายโยเซฟเมื่อเห็นบิดาวางมือข้างขวาบนศีรษะของเอฟราอิมก็ไม่พอใจ จึงจับมือบิดาจะยกจากศีรษะเอฟราอิมวางบนศีรษะมนัสเสห์
ปฐก 48.20 วันนั้นอิสราเอลก็ให้พรแก่ทั้งสองคนว่า “พวกอิสราเอลจะใช้ชื่อเจ้าให้พรว่า ‘ขอพระเจ้าทรงโปรดให้ท่านเป็นเหมือนเอฟราอิมและเหมือนมนัสเสห์เถิด’” อิสราเอลจึงให้เอฟราอิมเป็นใหญ่กว่ามนัสเสห์
ปฐก 50.23 โยเซฟได้เห็นลูกหลานเหลนของเอฟราอิม บุตรของมาคีร์ผู้เป็นบุตรชายของมนัสเสห์ก็เกิดมาบนเข่าของโยเซฟ
กดว 1.10 จากลูกหลานของโยเซฟ มีเอลีชามาบุตรชายอัมมีฮูด จากตระกูลเอฟราอิม และกามาลิเอลบุตรชายเปดาซูร์ จากตระกูลมนัสเสห์
กดว 1.35 จำนวนคนในตระกูลมนัสเสห์เป็นสามหมื่นสองพันสองร้อยคน
กดว 2.20 ให้คนตระกูลมนัสเสห์เรียงถัดมา กามาลิเอลบุตรชายเปดาซูร์จะเป็นนายกองของคนมนัสเสห์
กดว 13.11 ตระกูลโยเซฟคือตระกูลมนัสเสห์มีกัดดีบุตรชายสุสี
กดว 26.28 บุตรชายของโยเซฟตามครอบครัวของเขา คือมนัสเสห์และเอฟราอิม
กดว 26.29 บุตรชายของมนัสเสห์ คือมาคีร์ คนครอบครัวมาคีร์ มาคีร์ให้กำเนิดบุตรชื่อกิเลอาด กิเลอาด คนครอบครัวกิเลอาด
กดว 26.34 เหล่านี้เป็นครอบครัวของมนัสเสห์ และจำนวนของเขามีห้าหมื่นสองพันเจ็ดร้อยคน
กดว 27.1 ครั้งนั้นบุตรสาวทั้งหลายของเศโลเฟหัดบุตรชายของเฮเฟอร์ ผู้เป็นบุตรชายของกิเลอาด ผู้เป็นบุตรชายของมาคีร์ ผู้เป็นบุตรชายของมนัสเสห์ จากครอบครัวต่างๆของมนัสเสห์บุตรชายของโยเซฟเข้ามาใกล้ ชื่อบุตรสาวทั้งหลายของเขาคือ มาลาห์ โนอาห์ โฮกลาห์ มิลคาห์ และทีรซาห์
กดว 32.33 โมเสสได้มอบดินแดนเหล่านี้แก่คนกาด และแก่คนรูเบน และแก่ครึ่งหนึ่งของตระกูลมนัสเสห์บุตรชายโยเซฟ คืออาณาจักรของสิโหนกษัตริย์แห่งคนอาโมไรต์ และอาณาจักรของโอกกษัตริย์แห่งบาชาน ทั้งแผ่นดินและหัวเมืองตลอดพรมแดน คือหัวเมืองใหญ่ในแผ่นดินนี้ตลอดประเทศ
กดว 32.39 และคนมรคีร์บุตรชายมนัสเสห์เข้าไปยึดเมืองกิเลอาด และขับไล่พวกอาโมไรต์ซึ่งอยู่ในเมืองนั้น
กดว 32.40 และโมเสสยกกิเลอาดให้แก่มาคีร์บุตรชายมนัสเสห์และเขาก็เข้าตั้งอยู่ในเมืองนั้น
กดว 32.41 และยาอีร์บุตรชายมนัสเสห์ยกไปยึดเมืองเล็กๆของเขาเหล่านั้น และเรียกชื่อว่าฮาโวทยาอีร์
กดว 34.14 เพราะว่าตระกูลคนรูเบนตามเรือนบรรพบุรุษ และตระกูลคนกาดตามเรือนบรรพบุรุษได้รับมรดกของเขาแล้ว คนครึ่งตระกูลมนัสเสห์ก็ได้รับมรดกของเขาแล้วด้วย
กดว 36.1 หัวหน้าครอบครัวคนกิเลอาด บุตรชายของมาคีร์ ผู้เป็นบุตรชายของมนัสเสห์ ครอบครัวต่างๆของบุตรชายโยเซฟ เข้ามาใกล้และพูดต่อหน้าโมเสสและต่อหน้าประมุข คือบรรดาหัวหน้าคนอิสราเอล
พบญ 3.13 ส่วนกิเลอาดที่ยังเหลืออยู่กับเมืองบาชานทั้งหมด ซึ่งเป็นราชอาณาจักรของโอก คือดินแดนอารโกบทั้งหมด เราก็ได้ให้ไว้กับครึ่งหนึ่งของคนตระกูลมนัสเสห์ ทั้งหมดเมืองบาชานนั้นเรียกว่าดินแดนของพวกมนุษย์ยักษ์
พบญ 29.8 เราริบแผ่นดินของเขาและมอบให้เป็นมรดกแก่คนรูเบน คนกาด และคนครึ่งตระกูลมนัสเสห์
พบญ 34.2 ทั้งนัฟทาลีทั่วหมด เห็นแผ่นดินเอฟราอิม และมนัสเสห์ ทั่วแผ่นดินยูดาห์ ไกลไปถึงทะเลที่อยู่ไกลออกไป
ยชว 1.12 แล้วโยชูวาพูดกับคนรูเบน คนกาด และคนตระกูลมนัสเสห์ครึ่งหนึ่งว่า
ยชว 12.6 โมเสสผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์และคนอิสราเอลได้กระทำให้เขาพ่ายแพ้ไป และโมเสสผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์ได้มอบแผ่นดินตอนนี้ให้แก่คนรูเบน คนกาด และคนครึ่งตระกูลมนัสเสห์
ยชว 13.8 ส่วนมนัสเสห์อีกครึ่งตระกูล คนรูเบน และคนกาดได้รับส่วนมรดกของเขา ซึ่งโมเสสได้มอบให้ทางฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นด้านตะวันออก ส่วนที่โมเสสผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์มอบให้เขาคือ
ยชว 13.31 และกิเลอาดครึ่งหนึ่ง และเมืองอัชทาโรทกับเมืองเอเดรอี หัวเมืองของราชอาณาจักรโอกในบาชาน หัวเมืองเหล่านี้เป็นส่วนแบ่งของคนมาคีร์บุตรชายมนัสเสห์ เป็นของครึ่งหนึ่งของคนมาคีร์ ตามครอบครัวของเขา
ยชว 14.4 เพราะว่าลูกหลานของโยเซฟมีสองตระกูล คือมนัสเสห์และเอฟราอิม และพวกเลวีหาได้มีส่วนแบ่งในแผ่นดินนั้นไม่ ได้แต่หัวเมืองที่จะเข้าอาศัยอยู่ กับลานทุ่งหญ้ารอบเมืองสำหรับฝูงสัตว์และทรัพย์สินของเขาเท่านั้น
ยชว 17.1 ที่ดินตามสลากเป็นอย่างนี้ที่ตกแก่ตระกูลมนัสเสห์ เพราะเป็นบุตรหัวปีของโยเซฟ ส่วนมาคีร์บุตรหัวปีของมนัสเสห์ บิดาของกิเลอาด ได้รับเมืองกิเลอาดและเมืองบาชานเป็นส่วนแบ่ง เพราะว่าเขาเป็นทหาร
ยชว 17.2 และที่ดินตามสลากตกแก่คนมนัสเสห์ที่เหลืออยู่ตามครอบครัว คือคนอาบีเยเซอร์ คนเฮเลค คนอัสรีเอล คนเชเคม คนเฮเฟอร์ และคนเชมีดา บุคคลเหล่านี้เป็นบุตรชายของมนัสเสห์ ผู้เป็นบุตรชายของโยเซฟ ตามครอบครัวของเขา
ยชว 17.3 ฝ่ายเศโลเฟหัดบุตรชายของเฮเฟอร์ บุตรชายของกิเลอาด บุตรชายของมาคีร์ บุตรชายของมนัสเสห์ไม่มีบุตรผู้ชาย มีแต่บุตรสาว และต่อไปนี้เป็นชื่อบุตรสาวของเขาคือ มาลาห์ โนอาห์ ฮกลาห์ มิลคาห์ และทีรซาห์
ยชว 17.6 เพราะว่าบุตรสาวของมนัสเสห์ก็ได้รับมรดกพร้อมกับบุตรชายของท่านด้วย แผ่นดินกิเลอาดนั้นได้ตกเป็นส่วนของบุตรชายมนัสเสห์ที่เหลืออยู่
ยชว 17.7 เขตแดนของมนัสเสห์ตั้งต้นจากอาเชอร์จนถึงมิคเมธัท ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองเชเคมแล้ว พรมแดนก็ยื่นไปทางมือขวาถึงที่ของชาวเมืองเอนทัปปูวาห์
ยชว 17.8 แผ่นดินเมืองทัปปูวาห์เป็นของมนัสเสห์ แต่ตัวเมืองทัปปูวาห์ซึ่งอยู่ที่พรมแดนของมนัสเสห์นั้นเป็นของคนเอฟราอิม
ยชว 17.9 แล้วพรมแดนก็ลงไปถึงแม่น้ำคานาห์ หัวเมืองเหล่านี้ซึ่งอยู่ทางทิศใต้แม่น้ำในท่ามกลางหัวเมืองของมนัสเสห์นั้นเป็นของเอฟราอิม แล้วพรมแดนของมนัสเสห์ก็ขึ้นไปทางด้านเหนือของแม่น้ำไปสิ้นสุดลงที่ทะเล
ยชว 17.10 แผ่นดินทางด้านใต้เป็นของเอฟราอิม และแผ่นดินทางด้านเหนือเป็นของมนัสเสห์ มีทะเลเป็นพรมแดน ทางเหนือจดดินแดนอาเชอร์ และทางทิศตะวันออกจดอิสสาคาร์
ยชว 17.11 ในเขตอิสสาคาร์และในอาเชอร์นั้น มนัสเสห์ยังมีเมืองเบธชานกับชนบทของเมืองนั้น และเมืองอิบเลอัมกับชนบทของเมืองนั้น และชาวเมืองโดร์กับชนบทของเมืองนั้น และชาวเมืองเอนโดร์กับชนบทของเมืองนั้น และชาวเมืองทาอานาคกับชนบทของเมืองนั้น และชาวเมืองเมกิดโดกับชนบทของเมืองนั้น คือภูเขาทั้งสามยอด
ยชว 17.17 แล้วโยชูวาจึงกล่าวแก่วงศ์วานโยเซฟ คือเอฟราอิมและมนัสเสห์ว่า “ท่านทั้งหลายเป็นพวกที่มีคนมากและมีกำลังมหาศาล ท่านจะมีส่วนแบ่งแต่ส่วนเดียวก็หามิได้
ยชว 18.7 แต่คนเลวีไม่มีส่วนแบ่งในหมู่พวกท่านทั้งหลาย ด้วยตำแหน่งปุโรหิตของพระเยโฮวาห์เป็นมรดกของเขาแล้ว คนกาด และคนรูเบน กับตระกูลมนัสเสห์ครึ่งหนึ่งก็ได้รับมรดกของเขาทางฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นด้านตะวันออก ซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์ได้มอบให้แก่เขาทั้งหลายแล้ว”
ยชว 20.8 และทางฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นตรงเมืองเยรีโคนั้น เขาได้กำหนดเมืองเบเซอร์ในถิ่นทุรกันดารบนที่ราบจากที่ดินคนตระกูลรูเบน และเมืองราโมทในกิเลอาดจากที่ดินคนตระกูลกาด และเมืองโกลานในบาชานจากที่ดินคนตระกูลมนัสเสห์
ยชว 21.5 ส่วนคนโคฮาทที่เหลืออยู่ ได้รับหัวเมืองโดยจับสลากสิบหัวเมือง จากครอบครัวของตระกูลเอฟราอิม จากตระกูลดาน และจากครึ่งตระกูลมนัสเสห์
ยชว 21.6 คนเกอร์โชนได้รับหัวเมืองโดยจับสลากสิบสามหัวเมือง จากครอบครัวของตระกูลอิสสาคาร์ จากตระกูลอาเชอร์ จากตระกูลนัฟทาลี และจากครึ่งตระกูลมนัสเสห์ในบาชาน
วนฉ 1.27 มนัสเสห์มิได้ขับไล่ชาวเมืองเบธชานและชาวชนบทของเมืองนั้นให้ออกไป หรือชาวเมืองทาอานาคกับชาวชนบทของเมืองนั้น หรือชาวเมืองโดร์กับชาวชนบทของเมืองนั้น หรือชาวเมืองอิบเลอัมกับชาวชนบทของเมืองนั้น หรือชาวเมืองเมกิดโดกับชาวชนบทของเมืองนั้น แต่คนคานาอันยังขืนอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น
วนฉ 6.35 และท่านส่งผู้สื่อสารไปทั่วมนัสเสห์ เรียกให้เขายกติดตามท่านไปด้วย และท่านส่งผู้สื่อสารไปยังอาเชอร์ เศบูลุน และนัฟทาลี คนเหล่านี้ก็ขึ้นมาปะทะข้าศึกด้วย
วนฉ 7.23 คนอิสราเอลถูกเรียกออกมาจากนัฟทาลี และจากอาเชอร์ และจากทั่วมนัสเสห์ และพร้อมกันติดตามพวกมีเดียนไป
วนฉ 11.29 พระวิญญาณของพระเยโฮวาห์ก็มาสถิตกับเยฟธาห์ ท่านจึงยกผ่านกิเลอาดและมนัสเสห์และผ่านมิสปาห์แห่งกิเลอาด และจากมิสปาห์แห่งกิเลอาด ท่านยกผ่านต่อไปถึงที่คนอัมโมน
วนฉ 12.4 เยฟธาห์จึงรวบรวมบรรดาชาวกิเลอาดสู้รบกับคนเอฟราอิม คนกิเลอาดก็ประหารคนเอฟราอิม เพราะเขากล่าวว่า “เจ้าชาวกิเลอาด เจ้าเป็นคนหลบหนีของชาวเอฟราอิมท่ามกลางคนเอฟราอิมและมนัสเสห์”
วนฉ 18.30 คนดานก็ตั้งรูปแกะสลักไว้ ส่วนโยนาธานบุตรชายเกอร์โชน บุตรชายของมนัสเสห์ ทั้งท่านและบรรดาบุตรชายของเขาก็เป็นปุโรหิตให้แก่คนตระกูลดานจนถึงสมัยที่แผ่นดินตกไปเป็นเชลย
1พกษ 4.13 เบนเกเบอร์ ประจำในราโมทกิเลอาด เขามีเมืองทั้งหลายของยาอีร์บุตรชายมนัสเสห์ซึ่งอยู่ในกิเลอาด และเขามีท้องถิ่นอารโกบ ซึ่งอยู่ในบาชาน หัวเมืองใหญ่หกสิบหัวเมือง ซึ่งมีกำแพงเมือง และดานทองสัมฤทธิ์ขึ้นอยู่แก่เขา
2พกษ 20.21 และเฮเซคียาห์ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และมนัสเสห์โอรสของพระองค์ขึ้นครอบครองแทนพระองค์
2พกษ 21.1 มนัสเสห์มีพระชนมายุสิบสองพรรษาเมื่อพระองค์เริ่มครอบครอง และพระองค์ทรงครอบครองในกรุงเยรูซาเล็มห้าสิบห้าปี พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่าเฮฟซีบาห์
2พกษ 21.9 แต่เขามิได้ฟัง และมนัสเสห์ได้ชักจูงเขาให้กระทำชั่วมากยิ่งไปกว่าบรรดาประชาชาติ ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงทำลายเสียต่อหน้าประชาชนอิสราเอลได้เคยกระทำแล้วเสียอีก
2พกษ 21.11 “เพราะมนัสเสห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ได้กระทำการอันน่าสะอิดสะเอียนเหล่านี้ และได้ประพฤติชั่วร้ายยิ่งกว่าสิ่งทั้งปวงที่คนอาโมไรต์ได้กระทำ ผู้ซึ่งอยู่มาก่อนพระองค์ และได้ทรงกระทำให้ยูดาห์ทำบาปด้วยรูปเคารพทั้งหลายของพระองค์อีกด้วย
2พกษ 21.16 ยิ่งกว่านั้นมนัสเสห์ได้ทรงกระทำให้โลหิตที่ไร้ความผิดตกเป็นอันมาก จนเต็มเยรูซาเล็มจากปลายข้างหนึ่งถึงปลายอีกข้างหนึ่ง นอกเหนือจากบาปที่พระองค์ทรงกระทำให้ยูดาห์ทำด้วย โดยประพฤติสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์
2พกษ 21.17 ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของมนัสเสห์ และบรรดาสิ่งซึ่งพระองค์ทรงกระทำ และบาปซึ่งพระองค์ทรงกระทำ มิได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารแห่งกษัตริย์ประเทศยูดาห์หรือ
2พกษ 21.18 และมนัสเสห์ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังไว้ในพระอุทยานริมพระราชวังของพระองค์ในสวนของอุสซา และอาโมนโอรสของพระองค์ได้ขึ้นครอบครองแทนพระองค์
2พกษ 21.20 และพระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์ อย่างมนัสเสห์บิดาของพระองค์ได้ทรงกระทำ
2พกษ 23.12 และแท่นบนหลังคาห้องชั้นบนของอาหัส ซึ่งบรรดากษัตริย์ของยูดาห์ได้สร้างไว้ และแท่นบูชาซึ่งมนัสเสห์ได้สร้างไว้ในลานทั้งสองของพระนิเวศแห่งพระเยโฮวาห์ กษัตริย์ทรงดึงลงมาให้หักเสียที่นั่น และทรงเหวี่ยงผงคลีของมันลงไปในลำธารขิดโรน
2พกษ 23.26 ถึงกระนั้นพระเยโฮวาห์มิได้ทรงหันจากพระพิโรธอันแรงกล้าและยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระพิโรธของพระองค์ได้พลุ่งขึ้นต่อยูดาห์ ด้วยการกระทำทั้งสิ้นของมนัสเสห์อันเป็นเหตุให้พระองค์ทรงพระพิโรธ
2พกษ 24.3 แท้จริงเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับยูดาห์ตามพระบัญชาของพระเยโฮวาห์เพื่อจะให้เขาออกไปเสียจากสายพระเนตรของพระองค์ เพราะบรรดาบาปของมนัสเสห์ ตามทุกอย่างซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำ
1พศด 3.13 โอรสของโยธามคืออาหัส โอรสของอาหัสคือเฮเซคียาห์ โอรสของเฮเซคียาห์คือมนัสเสห์
1พศด 3.14 โอรสของมนัสเสห์คืออาโมน โอรสของอาโมนคือโยสิยาห์
1พศด 5.18 คนรูเบน คนกาด และคนตระกูลมนัสเสห์ครึ่งหนึ่งมีคนเก่งกล้า ผู้ถือดั้งและดาบ และโก่งธนู ชำนาญศึกสี่หมื่นสี่พันเจ็ดร้อยหกสิบคน พร้อมที่จะเข้ารบ
1พศด 5.23 คนตระกูลมนัสเสห์ครึ่งหนึ่งอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น เขามีคนมากขึ้นด้วยกันตั้งแต่เมืองบาชานถึงเมืองบาอัลเฮอร์โมน เสนีร์ และภูเขาเฮอร์โมน
1พศด 5.26 พระเจ้าแห่งอิสราเอลจึงทรงเร้าจิตใจของปูลกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย และจิตใจของทิกลัทปิเลเสอร์กษัตริย์แห่งอัสซีเรีย และพระองค์ทรงกวาดเขาไปเสียคือ คนรูเบน คนกาด และคนตระกูลมนัสเสห์ครึ่งหนึ่ง และพาเขาทั้งหลายไปยังฮาลาห์ ฮาโบร์ ฮารา และแม่น้ำเมืองโกซาน จนถึงทุกวันนี้
1พศด 6.61 ส่วนคนโคฮาทที่เหลืออยู่นั้นได้รับส่วนมอบโดยสลากที่ได้จากครอบครัวของตระกูล จากตระกูลมนัสเสห์ครึ่งหนึ่งมีสิบหัวเมือง
1พศด 6.62 และมอบสิบสามหัวเมืองจากตระกูลอิสสาคาร์ ตระกูลอาเชอร์ ตระกูลนัฟทาลี และจากตระกูลมนัสเสห์ในบาชานให้แก่คนเกอร์โชมตามครอบครัวของเขา
1พศด 6.70 และมอบเมืองจากตระกูลมนัสเสห์ครึ่งหนึ่ง คือเมืองอาเนอร์พร้อมกับทุ่งหญ้า เมืองบิเลอัมพร้อมกับทุ่งหญ้าให้แก่ครอบครัวคนโคฮาทที่เหลืออยู่
1พศด 6.71 ดินแดนของมนัสเสห์ครึ่งตระกูลที่มอบให้แก่คนเกอร์โชมคือ โกลานในเมืองบาชานพร้อมกับทุ่งหญ้า และอัชทาโรทพร้อมกับทุ่งหญ้า
1พศด 7.14 บุตรชายของมนัสเสห์คือ อัสรีเอล ซึ่งนางกำเนิดให้ท่าน (แต่ภรรยาน้อยของท่านคือชาวอารัมกำเนิดมาคีร์บิดาของกิเลอาด
1พศด 7.17 บุตรชายของอุลามคือเบดาน เหล่านี้เป็นบุตรชายกิเลอาด ผู้เป็นบุตรชายมาคีร์ ผู้เป็นบุตรชายมนัสเสห์
1พศด 9.3 และในเยรูซาเล็มมีประชาชนบางคนในพวกยูดาห์ พวกเบนยามิน พวกเอฟราอิม และพวกมนัสเสห์ ได้อาศัยอยู่
1พศด 26.32 กษัตริย์ดาวิดได้ทรงแต่งตั้งให้ท่านและพี่น้องของท่าน คือคนกล้าหาญสองพันเจ็ดร้อยคนผู้เป็นหัวหน้า ให้เป็นผู้ดูแลคนรูเบน คนกาด และคนตระกูลมนัสเสห์ครึ่งหนึ่ง ในกิจธุระทุกอย่างเกี่ยวกับพระเจ้า และกิจธุระเกี่ยวกับกษัตริย์
2พศด 15.9 และพระองค์ทรงรวบรวมยูดาห์และเบนยามินทั้งปวง และคนเหล่านั้นจากเอฟราอิม มนัสเสห์ และจากสิเมโอน ผู้อาศัยอยู่กับเขาทั้งหลาย เพราะคนเป็นจำนวนมากได้หลบหนีมาหาพระองค์จากอิสราเอล เมื่อเขาเห็นว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพระองค์สถิตกับพระองค์
2พศด 30.1 เฮเซคียาห์ทรงรับสั่งไปถึงอิสราเอลและยูดาห์ทั้งปวง และทรงพระอักษรถึงเอฟราอิมกับมนัสเสห์ด้วยว่า เขาทั้งหลายควรจะมายังพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ที่เยรูซาเล็ม เพื่อจะถือเทศกาลปัสกาถวายแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอล
2พศด 30.10 คนเดินหนังสือจึงไปตามหัวเมืองต่างๆทั่วแผ่นดินเอฟราอิมและมนัสเสห์ไกลไปจนถึงเศบูลุน แต่คนทั้งหลายก็หัวเราะเยาะเขา และเย้ยหยันเขา
2พศด 30.11 มีแต่คนอาเชอร์ มนัสเสห์และเศบูลุนบางคนที่ถ่อมตัวและมายังเยรูซาเล็ม
2พศด 30.18 เพราะว่ามวลชนนั้น คนเป็นอันมากที่มาจากเอฟราอิม มนัสเสห์ อิสสาคาร์ และเศบูลุนยังไม่ได้ชำระตน ถึงกระนั้นเขาก็ยังรับประทานปัสกาผิดต่อข้อที่กำหนดไว้ แต่เฮเซคียาห์ทรงอธิษฐานเผื่อเขาว่า “ขอพระเยโฮวาห์ผู้ประเสริฐทรงให้อภัยแก่ทุกๆคน
2พศด 31.1 เมื่อสำเร็จงานนี้ทั้งสิ้นแล้วอิสราเอลทั้งปวงผู้อยู่ที่นั่นได้ออกไปยังหัวเมืองยูดาห์และทำลายเสาศักดิ์สิทธิ์เป็นชิ้นๆ และโค่นบรรดาเสารูปเคารพลง และพังปูชนียสถานสูงลง และพังแท่นทั่วยูดาห์และเบนยามินทั้งสิ้นและในเอฟราอิมกับมนัสเสห์ จนเขาทำลายเสียหมดสิ้น แล้วประชาชนอิสราเอลทั้งปวงก็กลับไปยังหัวเมืองของตน ทุกคนกลับไปยังที่ดินของเขา
2พศด 32.33 และเฮเซคียาห์ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังพระศพไว้ในอุโมงค์สำคัญที่สุดของโอรสของดาวิด และบรรดาคนยูดาห์และชาวเยรูซาเล็มทั้งปวงได้ถวายเกียรติเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ และมนัสเสห์โอรสของพระองค์ได้ครอบครองแทนพระองค์
2พศด 33.1 เมื่อมนัสเสห์เริ่มครอบครองมีพระชนมายุสิบสองพรรษา และพระองค์ทรงครอบครองในเยรูซาเล็มห้าสิบห้าปี
2พศด 33.9 มนัสเสห์ทรงชักจูงยูดาห์และชาวเยรูซาเล็มให้หลง เขาจึงได้กระทำความชั่วร้ายยิ่งกว่าบรรดาประชาชาติ ซึ่งพระเยโฮวาห์ได้ทรงทำลายให้พ้นหน้าประชาชนอิสราเอลนั้น
2พศด 33.10 พระเยโฮวาห์ตรัสกับมนัสเสห์และประชาชนของพระองค์ แต่เขาทั้งหลายไม่ฟัง
2พศด 33.11 เพราะฉะนั้นพระเยโฮวาห์ทรงให้ผู้บังคับกองทหารของกษัตริย์แห่งอัสซีเรียมาต่อสู้เขาทั้งหลาย ได้จับมนัสเสห์ท่ามกลางพงหนามและจองจำด้วยตรวนและนำพระองค์มายังบาบิโลน
2พศด 33.13 พระองค์ทรงอธิษฐานต่อพระเจ้า และพระเจ้าทรงรับคำวิงวอนของพระองค์ และทรงฟังคำอ้อนวอนของพระองค์ และนำพระองค์กลับมายังกรุงเยรูซาเล็มในราชอาณาจักรของพระองค์อีก แล้วมนัสเสห์ทรงทราบว่าพระเยโฮวาห์ทรงเป็นพระเจ้า
2พศด 33.18 ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของมนัสเสห์ และคำอธิษฐานของพระองค์ต่อพระเจ้า และถ้อยคำของผู้ทำนาย ผู้ทูลพระองค์ในพระนามของพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ดูเถิด มีบันทึกไว้ในหนังสือของกษัตริย์แห่งอิสราเอล
2พศด 33.20 มนัสเสห์จึงทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังพระศพไว้ในพระราชวังของพระองค์ และอาโมนโอรสของพระองค์ได้ครอบครองแทนพระองค์
2พศด 33.22 พระองค์ทรงกระทำความชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์ อย่างมนัสเสห์ราชบิดาของพระองค์ทรงกระทำนั้น อาโมนถวายสัตวบูชาแก่รูปเคารพสลักทั้งสิ้น ซึ่งมนัสเสห์ราชบิดาของพระองค์ได้ทรงสร้างขึ้น และทรงปรนนิบัติรูปเคารพนั้น
2พศด 33.23 และพระองค์มิได้ถ่อมพระองค์ลงต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ อย่างมนัสเสห์ราชบิดาของพระองค์ได้ถ่อมพระองค์ลงนั้น แต่อาโมนองค์นี้ได้ละเมิดยิ่งๆขึ้น
2พศด 34.6 และพระองค์ทรงกระทำเช่นกันในหัวเมืองของมนัสเสห์ เอฟราอิมและสิเมโอน และไปถึงนัฟทาลี ในที่ปรักหักพังซึ่งอยู่โดยรอบ
2พศด 34.9 เมื่อเขาทั้งหลายมาหาฮิลคียาห์มหาปุโรหิตแล้ว เขาได้มอบเงินซึ่งคนทั้งหลายนำมายังพระนิเวศของพระเจ้า ซึ่งคนเลวีผู้เฝ้าธรณีประตูได้เก็บจากมนัสเสห์และเอฟราอิม และจากบรรดาคนที่เหลือของอิสราเอล และจากยูดาห์กับเบนยามินทั้งสิ้น แล้วพวกเขากลับไปยังเยรูซาเล็ม
อสร 10.30 จากคนปาหัทโมอับ มี อัดนา เคลาล เบไนยาห์ มาอาเสอาห์ มัทธานิยาห์ เบซาเลล บินนุย และมนัสเสห์
อสร 10.33 จากคนฮาชูม มี มัทเธนัย มัทธัตตาห์ ศาบาด เอลีเฟเลท เยเรมัย มนัสเสห์และชิเมอี
สดด 60.7 กิเลอาดเป็นของเรา มนัสเสห์เป็นของเรา เอฟราอิมเป็นที่กันศีรษะของเรา ยูดาห์เป็นผู้ตั้งพระราชบัญญัติของเรา
สดด 80.2 ต่อหน้าเอฟราอิม และเบนยามิน และมนัสเสห์ ขอทรงปลุกพระราชอำนาจของพระองค์ขึ้นมาช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้รอด
สดด 108.8 กิเลอาดเป็นของเรา มนัสเสห์เป็นของเรา เอฟราอิมเป็นที่กันศีรษะของเรา ยูดาห์เป็นผู้ตั้งพระราชบัญญัติของเรา
อสย 9.21 มนัสเสห์กินเอฟราอิม เอฟราอิมกินมนัสเสห์ และทั้งคู่ก็สู้กับยูดาห์ ถึงกระนั้นก็ดีพระพิโรธของพระองค์ก็ยังมิได้หันกลับ และพระหัตถ์ของพระองค์ยังเหยียดออกอยู่
ยรม 15.4 และเราจะกระทำให้เขาถูกถอดไปยังราชอาณาจักรทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินโลก เหตุด้วยการกระทำซึ่งมนัสเสห์บุตรเฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ได้กระทำในเยรูซาเล็ม
อสค 48.5 ประชิดกับเขตแดนของมนัสเสห์จากด้านตะวันออกไปถึงด้านตะวันตก เป็นส่วนของคนเอฟราอิม
มธ 1.10 เฮเซคียาห์ให้กำเนิดบุตรชื่อมนัสเสห์ มนัสเสห์ให้กำเนิดบุตรชื่ออาโมน อาโมนให้กำเนิดบุตรชื่อโยสิยาห์
วว 7.6 ผู้ที่มาจากตระกูลอาเชอร์ได้การประทับตราหมื่นสองพันคน ผู้ที่มาจากตระกูลนัฟทาลีได้การประทับตราหมื่นสองพันคน ผู้ที่มาจากตระกูลมนัสเสห์ได้การประทับตราหมื่นสองพันคน

มนาสัน ( 1 )
กจ 21.16 สาวกบางคนที่มาจากเมืองซีซารียาก็ได้ไปกับเราด้วย เขานำเราไปหาคนหนึ่งชื่อมนาสันชาวเกาะไซปรัส เป็นสาวกเก่าแก่ ให้เราอาศัยอยู่กับคนนั้น

มนุษย์ ( 644 )
ปฐก 1.26; ปฐก 1.27; ปฐก 2.5; ปฐก 2.7; ปฐก 2.8; ปฐก 2.15; ปฐก 2.16; ปฐก 2.18; ปฐก 3.22; ปฐก 3.24; ปฐก 4.26; ปฐก 5.1; ปฐก 6.1; ปฐก 6.2; ปฐก 6.3; ปฐก 6.4; ปฐก 6.5; ปฐก 6.6; ปฐก 6.7; ปฐก 6.11; ปฐก 7.21; ปฐก 7.22; ปฐก 7.23; ปฐก 8.21; ปฐก 9.5; ปฐก 9.6; ปฐก 9.19; ปฐก 11.5; ปฐก 32.28; อพย 4.11; อพย 8.17; อพย 8.18; อพย 9.22; อพย 12.12; อพย 13.2; อพย 13.13; อพย 13.15; อพย 19.13; อพย 33.20; อพย 34.7; ลนต 18.5; ลนต 27.9; ลนต 27.29; กดว 3.13; กดว 5.6; กดว 16.22; กดว 18.15; กดว 23.19; กดว 27.16; พบญ 1.17; พบญ 4.32; พบญ 5.24; พบญ 5.26; พบญ 8.3; พบญ 20.19; พบญ 32.26; ยชว 10.14; ยชว 11.14; วนฉ 9.9; วนฉ 9.13; 1ซมอ 2.9; 1ซมอ 2.25; 1ซมอ 15.29; 1ซมอ 16.7; 1ซมอ 26.19; 2ซมอ 7.14; 2ซมอ 7.19; 2ซมอ 23.3; 2ซมอ 24.14; 1พกษ 8.39; 1พกษ 8.46; 2พกษ 19.18; 2พกษ 23.14; 1พศด 17.17; 1พศด 21.13; 2พศด 6.18; 2พศด 6.30; 2พศด 6.36; 2พศด 14.11; 2พศด 19.6; 2พศด 32.19; นหม 9.29; โยบ 4.17; โยบ 5.7; โยบ 5.17; โยบ 7.1; โยบ 7.17; โยบ 7.20; โยบ 9.32; โยบ 10.4; โยบ 10.5; โยบ 11.12; โยบ 12.10; โยบ 12.14; โยบ 13.9; โยบ 13.28; โยบ 14.1; โยบ 14.10; โยบ 14.12; โยบ 14.14; โยบ 14.19; โยบ 15.7; โยบ 15.14; โยบ 15.16; โยบ 16.21; โยบ 20.4; โยบ 21.4; โยบ 22.29; โยบ 25.4; โยบ 25.6; โยบ 28.3; โยบ 28.13; โยบ 28.28; โยบ 32.8; โยบ 32.13; โยบ 33.12; โยบ 33.14; โยบ 33.16; โยบ 33.17; โยบ 33.19; โยบ 33.23; โยบ 33.26; โยบ 33.27; โยบ 33.29; โยบ 34.9; โยบ 34.11; โยบ 34.14; โยบ 34.15; โยบ 34.20; โยบ 34.21; โยบ 34.23; โยบ 36.24; โยบ 36.25; โยบ 36.28; โยบ 37.7; โยบ 37.21; โยบ 37.24; โยบ 38.26; สดด 4.2; สดด 7.12; สดด 8.4; สดด 9.19; สดด 9.20; สดด 10.18; สดด 11.4; สดด 12.1; สดด 14.2; สดด 17.4; สดด 17.14; สดด 21.10; สดด 31.19; สดด 31.20; สดด 33.13; สดด 34.12; สดด 36.6; สดด 36.7; สดด 39.5; สดด 39.6; สดด 39.11; สดด 45.2; สดด 49.12; สดด 49.20; สดด 53.2; สดด 56.1; สดด 56.11; สดด 57.4; สดด 58.1; สดด 60.11; สดด 62.12; สดด 64.6; สดด 66.5; สดด 68.18; สดด 76.10; สดด 78.25; สดด 78.60; สดด 82.7; สดด 89.47; สดด 89.48; สดด 90.3; สดด 90.5; สดด 94.10; สดด 94.11; สดด 103.15; สดด 104.14; สดด 104.15; สดด 104.23; สดด 107.8; สดด 107.15; สดด 107.21; สดด 107.31; สดด 108.12; สดด 115.4; สดด 115.16; สดด 118.6; สดด 118.8; สดด 119.134; สดด 135.15; สดด 144.3; สดด 144.4; สดด 145.6; สดด 145.12; สดด 147.10; สภษ 3.4; สภษ 3.13; สภษ 8.4; สภษ 8.31; สภษ 12.25; สภษ 15.11; สภษ 16.1; สภษ 16.2; สภษ 16.7; สภษ 16.9; สภษ 19.21; สภษ 19.22; สภษ 20.24; สภษ 20.27; สภษ 21.8; สภษ 23.28; สภษ 24.9; สภษ 30.2; สภษ 30.14; ปญจ 1.3; ปญจ 2.3; ปญจ 2.8; ปญจ 2.24; ปญจ 3.10; ปญจ 3.11; ปญจ 3.13; ปญจ 3.18; ปญจ 3.19; ปญจ 3.21; ปญจ 3.22; ปญจ 6.1; ปญจ 6.2; ปญจ 6.3; ปญจ 6.7; ปญจ 6.10; ปญจ 6.11; ปญจ 6.12; ปญจ 7.2; ปญจ 7.14; ปญจ 7.29; ปญจ 8.1; ปญจ 8.6; ปญจ 8.8; ปญจ 8.11; ปญจ 8.15; ปญจ 8.17; ปญจ 9.1; ปญจ 9.3; ปญจ 9.12; ปญจ 10.14; ปญจ 12.5; ปญจ 12.13; อสย 2.11; อสย 2.17; อสย 2.22; อสย 7.13; อสย 8.1; อสย 13.12; อสย 29.13; อสย 29.19; อสย 37.19; อสย 38.11; อสย 38.16; อสย 44.11; อสย 44.15; อสย 45.12; อสย 45.22; อสย 45.24; อสย 47.3; อสย 51.7; อสย 51.12; อสย 52.14; อสย 53.3; ยรม 2.6; ยรม 4.25; ยรม 4.29; ยรม 5.1; ยรม 7.20; ยรม 8.4; ยรม 9.22; ยรม 10.14; ยรม 10.23; ยรม 13.11; ยรม 16.20; ยรม 17.5; ยรม 27.5; ยรม 31.30; ยรม 32.19; ยรม 32.43; ยรม 33.10; ยรม 33.12; ยรม 36.29; ยรม 49.15; ยรม 50.3; ยรม 51.17; ยรม 51.62; พคค 3.33; พคค 3.35; พคค 3.36; พคค 3.39; อสค 1.5; อสค 1.26; อสค 4.12; อสค 4.15; อสค 10.8; อสค 10.14; อสค 10.21; อสค 14.13; อสค 14.14; อสค 14.17; อสค 14.19; อสค 14.21; อสค 18.8; อสค 20.11; อสค 20.13; อสค 20.21; อสค 22.25; อสค 24.17; อสค 24.22; อสค 28.2; อสค 28.9; อสค 29.8; อสค 29.11; อสค 31.14; อสค 32.13; อสค 34.31; ดนล 2.11; ดนล 2.38; ดนล 2.43; ดนล 4.16; ดนล 4.17; ดนล 4.25; ดนล 4.32; ดนล 4.33; ดนล 5.21; ดนล 6.7; ดนล 6.12; ดนล 7.4; ดนล 7.8; ดนล 8.15; ดนล 10.16; ดนล 10.18; ฮชย 6.7; ฮชย 11.9; ยอล 1.12; อมส 4.13; มคา 5.7; มคา 6.8; มคา 7.2; นฮม 3.4; ฮบก 1.14; ฮบก 2.8; ฮบก 2.17; ศฟย 1.3; ศฟย 1.17; ศฟย 2.11; ฮกก 1.11; ศคย 9.1; ศคย 10.1; ศคย 12.1; มลค 2.7; มธ 4.4; มธ 6.1; มธ 6.2; มธ 6.14; มธ 6.15; มธ 7.12; มธ 7.16; มธ 9.8; มธ 10.32; มธ 10.33; มธ 12.12; มธ 12.31; มธ 12.36; มธ 15.9; มธ 15.11; มธ 15.18; มธ 15.20; มธ 16.23; มธ 19.4; มธ 19.6; มธ 19.12; มธ 19.26; มธ 21.25; มธ 21.26; มธ 22.30; มธ 23.4; มธ 23.13; มธ 23.28; มธ 24.30; มธ 25.32; มก 2.27; มก 3.28; มก 7.7; มก 7.8; มก 7.15; มก 7.18; มก 7.20; มก 7.21; มก 7.23; มก 8.33; มก 10.9; มก 10.27; มก 11.30; มก 11.32; มก 12.25; มก 14.58; มก 16.15; ลก 2.14; ลก 4.4; ลก 9.56; ลก 11.46; ลก 12.8; ลก 12.9; ลก 16.15; ลก 18.2; ลก 18.4; ลก 18.27; ลก 20.4; ลก 20.6; ลก 21.26; ยน 1.4; ยน 1.13; ยน 2.24; ยน 2.25; ยน 3.19; ยน 3.27; ยน 5.34; ยน 5.41; ยน 10.33; ยน 12.43; ยน 17.6; กจ 1.24; กจ 4.12; กจ 5.4; กจ 5.29; กจ 5.38; กจ 7.48; กจ 10.26; กจ 12.22; กจ 14.11; กจ 15.8; กจ 17.24; กจ 17.25; กจ 17.26; กจ 17.29; กจ 17.30; กจ 19.26; กจ 24.16; รม 1.18; รม 1.23; รม 2.1; รม 2.3; รม 2.16; รม 2.29; รม 3.5; รม 3.19; รม 5.12; รม 6.6; รม 6.19; รม 7.1; รม 8.27; รม 9.20; รม 12.3; รม 14.18; 1คร 1.25; 1คร 2.4; 1คร 2.5; 1คร 2.9; 1คร 2.11; 1คร 2.13; 1คร 2.14; 1คร 2.15; 1คร 3.3; 1คร 3.21; 1คร 4.3; 1คร 4.9; 1คร 6.18; 1คร 7.23; 1คร 9.8; 1คร 10.13; 1คร 13.1; 1คร 14.2; 1คร 14.3; 1คร 15.21; 1คร 15.32; 1คร 15.39; 1คร 15.45; 1คร 15.47; 1คร 15.48; 1คร 15.49; 2คร 3.3; 2คร 5.1; 2คร 8.21; 2คร 12.4; กท 1.1; กท 1.10; กท 1.11; กท 1.12; กท 3.11; กท 3.15; อฟ 3.5; อฟ 4.8; อฟ 4.14; อฟ 4.22; อฟ 4.24; อฟ 6.7; ฟป 2.7; ฟป 2.8; คส 1.23; คส 2.8; คส 2.11; คส 2.22; คส 3.9; คส 3.10; คส 3.23; 1ธส 2.4; 1ธส 2.6; 1ธส 2.13; 1ธส 4.8; 1ทธ 2.5; 1ทธ 6.16; ทต 1.14; ทต 3.4; ฮบ 2.6; ฮบ 2.9; ฮบ 5.1; ฮบ 6.16; ฮบ 7.8; ฮบ 7.28; ฮบ 8.2; ฮบ 9.24; ฮบ 9.27; ฮบ 13.6; ยก 1.20; ยก 3.7; ยก 3.8; ยก 3.9; ยก 5.17; 1ปต 1.24; 1ปต 2.4; 1ปต 2.13; 1ปต 4.2; 1ปต 4.6; 2ปต 1.21; 2ปต 2.5; 2ปต 2.16; 2ปต 2.19; 1ยน 2.2; 1ยน 4.2; 1ยน 4.3; 1ยน 5.9; 2ยน 1.7; วว 1.7; วว 4.7; วว 9.7; วว 9.10; วว 9.15; วว 9.18; วว 9.20; วว 12.9; วว 13.13; วว 14.4; วว 16.8; วว 16.18; วว 18.13; วว 21.3; วว 21.17

มนุษยชาติ ( 5 )
อสย 40.7 ต้นหญ้าเหี่ยวแห้งไป ดอกไม้นั้นก็ร่วงโรยไป เพราะพระวิญญาณของพระเยโฮวาห์เป่ามาถูกมัน มนุษยชาติเป็นหญ้าแน่ทีเดียว
อสย 42.6 “เราคือพระเยโฮวาห์ เราได้เรียกเจ้ามาด้วยความชอบธรรม เราจะยึดมือเจ้าและจะรักษาเจ้าไว้ เราจะให้เจ้าเป็นตัวพันธสัญญาของมนุษยชาติ เป็นความสว่างแก่บรรดาประชาชาติ
อสย 49.8 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “ในเวลาอันชอบ เราได้ฟังเจ้า ในวันแห่งความรอด เราได้ช่วยเจ้า เราจะรักษาเจ้าไว้ และมอบให้เจ้าเป็นพันธสัญญาของมนุษยชาติ เพื่อสถาปนาแผ่นดิน เพื่อเป็นเหตุให้ได้รับมรดกที่ร้างเปล่านั้น
ยรม 32.20 ทรงเป็นผู้สำแดงหมายสำคัญและการมหัศจรรย์ในแผ่นดินอียิปต์ และจนถึงสมัยนี้ก็ทรงสำแดงในอิสราเอลและท่ามกลางมนุษยชาติ และทรงทำให้พระนามเลื่องลือไปอย่างทุกวันนี้
ศฟย 1.3 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เราจะกวาดมนุษย์และสัตว์เดียรัจฉานไปเสีย เราจะกวาดนกในอากาศไปเสียทั้งปลาในทะเลด้วย เราจะกวาดล้างสิ่งที่ทำให้สะดุดพร้อมกับคนชั่ว เราจะขจัดมนุษยชาติออกจากพื้นแผ่นดิน

มนุษยธรรม ( 1 )
ฮชย 11.4 เราจูงเขาด้วยสายแห่งมนุษยธรรมและด้วยปลอกแห่งความรัก เราเป็นผู้ถอดแอกที่ขากรรไกรของเขาออก และเราก้มลงเลี้ยงเขา

มนุษย์ยักษ์ ( 14 )
ปฐก 6.4 ในคราวนั้นมีพวกมนุษย์ยักษ์บนแผ่นดินโลก แล้วภายหลังเมื่อบุตรชายทั้งหลายของพระเจ้าสมสู่กับบุตรสาวทั้งหลายของมนุษย์ และเธอทั้งหลายคลอดบุตรให้แก่พวกเขา บุตรเหล่านั้นเป็นคนมีอำนาจมาก ตั้งแต่สมัยโบราณเป็นคนมีชื่อเสียง
กดว 13.33 ที่นั่นเราเห็นพวกมนุษย์ยักษ์ คือบุตรของคนอานาคซึ่งมาจากพวกมนุษย์ยักษ์ เราเป็นเหมือนตั๊กแตนในสายตาของเรา ในสายตาของเขาก็เหมือนกัน”
พบญ 2.11 คนเหล่านี้ได้นับว่าเป็นพวกมนุษย์ยักษ์ เหมือนคนอานาค แต่คนโมอับเรียกชื่อพวกนี้ว่าเอมิม
พบญ 2.20 (ทั้งที่นั่นก็นับว่าเป็นแผ่นดินของพวกมนุษย์ยักษ์ แต่ก่อนมนุษย์ยักษ์ได้อยู่ในนั้น แต่คนอัมโมนได้เรียกชื่อของเขาว่าศัมซุมมิม
พบญ 3.11 ด้วยยังเหลืออยู่แต่โอกกษัตริย์เมืองบาชานซึ่งเป็นพวกมนุษย์ยักษ์ ดูเถิด เตียงนอนของท่านทำด้วยเหล็ก เตียงนอนนั้นไม่อยู่ที่เมืองรับบาห์แห่งคนอัมโมนดอกหรือ ยาวตั้งเก้าศอก กว้างสี่ศอกขนาดศอกคนเรา
พบญ 3.13 ส่วนกิเลอาดที่ยังเหลืออยู่กับเมืองบาชานทั้งหมด ซึ่งเป็นราชอาณาจักรของโอก คือดินแดนอารโกบทั้งหมด เราก็ได้ให้ไว้กับครึ่งหนึ่งของคนตระกูลมนัสเสห์ ทั้งหมดเมืองบาชานนั้นเรียกว่าดินแดนของพวกมนุษย์ยักษ์
ยชว 12.4 และเขตแดนของโอกกษัตริย์เมืองบาชาน เป็นพวกมนุษย์ยักษ์ที่เหลืออยู่ อยู่ที่อัชทาโรท และเอเดรอี
ยชว 13.12 ตลอดราชอาณาจักรของโอกในบาชาน ผู้ครอบครองอยู่ในอัชทาโรทและในเอเดรอี ท่านเป็นพวกมนุษย์ยักษ์ที่เหลืออยู่ เมืองเหล่านี้โมเสสรบชนะ และได้ขับไล่ให้ออกไป
ยชว 15.8 แล้วพรมแดนก็ยื่นไปตามหุบเขาบุตรชายของฮินโนมถึงไหล่เขาด้านใต้ของเมืองคนเยบุส คือเยรูซาเล็ม แล้วพรมแดนก็ยื่นไปถึงยอดภูเขาซึ่งอยู่หน้าหุบเขาฮินโนมทางด้านตะวันตก ที่หุบเขาแห่งพวกมนุษย์ยักษ์ด้านเหนือสุด
ยชว 17.15 ฝ่ายโยชูวาตอบเขาว่า “ถ้าเจ้ามีคนมากมาย และถ้าแดนเทือกเขาของคนเอฟราอิมเป็นที่แคบไปสำหรับเจ้า พวกเจ้าจงเข้าไปในป่าแผ้วถางเอาเอง ที่ในแผ่นดินของคนเปริสซีและพวกมนุษย์ยักษ์”
ยชว 18.16 แล้วพรมแดนก็ยื่นลงไปสุดเขตภูเขาซึ่งอยู่ตรงหน้าหุบเขาแห่งบุตรชายของฮินโนม ซึ่งอยู่ทางปลายเหนือสุดของหุบเขาแห่งพวกมนุษย์ยักษ์ แล้วก็ลงไปที่หุบเขาฮินโนมใต้ไหล่เขาของคนเยบุสแล้วลงไปถึงเมืองเอนโรเกล
โยบ 16.14 พระองค์ทรงพังเข้าไปเป็นช่องๆ พระองค์ทรงวิ่งเข้าใส่ข้าอย่างมนุษย์ยักษ์

มรกต ( 5 )
อพย 28.18 แถวที่สองฝังมรกต ไพทูรย์ และเพชร
อพย 39.11 แถวที่สองฝังมรกต ไพทูรย์และเพชร
อสค 27.16 เมืองซีเรียไปมาค้าขายกับเจ้าเพราะเจ้ามีสินค้าอุดม เขาเอามรกต ผ้าสีม่วง ผ้าปัก ป่านเนื้อละเอียด หินปะการังและโมรามาแลกกับสิ้นค้าของเจ้า
อสค 28.13 เจ้าเคยอยู่ในเอเดน พระอุทยานของพระเจ้า เพชรพลอยทุกอย่างเป็นเสื้อของเจ้า คือทับทิม บุษราคัม เพชร พลอยเขียว พลอยสีน้ำข้าว และหยก ไพทูรย์ มรกต พลอยสีแดงเข้มและทองคำ ความเชี่ยวชาญแห่งรำมะนาและปี่ของเจ้าได้จัดเตรียมไว้ในวันที่สร้างเจ้าขึ้นมา
วว 21.19 ฐานของกำแพงเมืองนั้นประดับด้วยเพชรพลอยทุกชนิด ฐานที่หนึ่งเป็นพลอยหยก ที่สองไพทูรย์ ที่สามหินคว๊อตซ์โปร่งแสง ที่สี่มรกต

มรณกรรม ( 1 )
สดด 116.15 มรณกรรมแห่งวิสุทธิชนของพระองค์สำคัญในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์

มรณา ( 5 )
2ซมอ 1.23 ซาอูลและโยนาธานเป็นที่รักและน่ารักเมื่อทรงพระชนม์อยู่ และเมื่อมรณาแล้วทั้งสองไม่แยกจากกัน ทั้งสองก็เร็วกว่านกอินทรี ทั้งสองแข็งแรงกว่าสิงโต
2ซมอ 12.13 ดาวิดจึงรับสั่งกับนาธันว่า “เรากระทำบาปต่อพระเยโฮวาห์แล้ว” และนาธันกราบทูลดาวิดว่า “พระเยโฮวาห์ทรงให้อภัยบาปของพระองค์แล้ว พระองค์จะไม่ถึงแก่มรณา
1พกษ 14.12 เพราะฉะนั้นขอเชิญเสด็จกลับไปยังพระตำหนักของพระนาง เมื่อพระบาทของพระองค์เข้าเมือง กุมารนั้นก็จะถึงแก่มรณา
1พกษ 14.17 แล้วมเหสีของเยโรโบอัมทรงลุกขึ้นเสด็จออกไป และมาถึงเมืองทีรซาห์ และเมื่อพระนางเสด็จถึงธรณีทวาร กุมารก็ถึงแก่มรณา
อสค 32.23 ที่ฝังศพของคนเหล่านี้อยู่ที่แดนมรณาส่วนที่ไกลที่สุด และคณะของเธอก็อยู่รอบหลุมฝังศพของเธอ ทุกคนถูกฆ่า ล้มลงด้วยดาบ เป็นพวกที่ให้เกิดความครั่นคร้ามในแผ่นดินของคนเป็น

มรดก ( 325 )
ปฐก 15.7 พระองค์ตรัสแก่ท่านว่า “เราคือเยโฮวาห์ที่ได้พาเจ้าออกจากเมืองเออร์ของชาวเคลเดีย เพื่อยกดินแดนนี้ให้เป็นมรดกแก่เจ้า”
ปฐก 15.8 ท่านทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า ข้าพระองค์จะรู้ได้อย่างไรว่าข้าพระองค์จะได้ดินแดนนี้เป็นมรดก”
ปฐก 28.4 ขอพระองค์ทรงประทานพรของอับราฮัมแก่เจ้า และแก่เชื้อสายของเจ้าด้วย เพื่อเจ้าจะได้รับเป็นมรดกแผ่นดินนี้ที่เจ้าอาศัยอยู่เป็นคนต่างด้าว ซึ่งพระเจ้าได้ประทานแก่อับราฮัมแล้ว”
ปฐก 31.14 นางราเชลกับนางเลอาห์จึงตอบเขาว่า “เรายังมีส่วนทรัพย์มรดกในบ้านบิดาเราอีกหรือไม่
อพย 6.8 เราจะนำพวกเจ้าเข้าไปในแผ่นดิน ซึ่งเราได้ปฏิญาณไว้ว่าจะให้แก่อับราฮัม แก่อิสอัคและแก่ยาโคบ เราจะยกแผ่นดินนั้นให้แก่เจ้าเป็นมรดก เราคือพระเยโฮวาห์’”
อพย 15.17 พระองค์จะทรงนำเขาเข้ามา และทรงตั้งเขาไว้บนภูเขาซึ่งเป็นมรดกของพระองค์ โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ เป็นสถานที่ซึ่งพระองค์ทรงสร้างไว้ เพื่อเป็นที่สถิตของพระองค์ โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ สถานบริสุทธิ์ซึ่งพระหัตถ์ของพระองค์สถาปนาไว้
อพย 32.13 ขอพระองค์ได้ทรงระลึกถึงอับราฮัม อิสอัค และอิสราเอลผู้รับใช้ของพระองค์ เป็นผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงปฏิญาณด้วยพระองค์เองแก่เขาเหล่านั้นไว้ว่า ‘เราจะให้เชื้อสายของเจ้าทวีขึ้นดุจดวงดาวในท้องฟ้า และแผ่นดินนี้ทั้งหมดซึ่งเราสัญญาไว้แล้ว เราจะยกให้แก่เชื้อสายของเจ้า และเขาจะรับไว้เป็นมรดกตลอดไป’”
อพย 34.9 แล้วทูลว่า “โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าแม้ข้าพระองค์ได้รับพระกรุณาในสายพระเนตรของพระองค์ ข้าพระองค์ทูลวิงวอนต่อพระองค์ ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์โปรดเสด็จไปท่ามกลางพวกข้าพระองค์เพราะเป็นชนชาติคอแข็งดื้อดึง และขอทรงโปรดยกโทษความชั่วช้าและความบาปของพวกข้าพระองค์ และโปรดรับพวกข้าพระองค์เป็นมรดกของพระองค์ด้วย”
ลนต 20.24 แต่เราได้บอกเจ้าแล้วว่า เจ้าทั้งหลายจะได้รับแผ่นดินนี้เป็นมรดก เราจะให้แก่เจ้าเป็นกรรมสิทธิ์ เป็นแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ผู้ได้แยกเจ้าออกจากชนชาติทั้งหลาย
ลนต 25.46 เจ้าจะทำพินัยกรรมยกเขาให้แก่ลูกหลานของเจ้า ให้เป็นมรดกแก่เขาเป็นกรรมสิทธิ์ เจ้าใช้เขาได้อย่างทาสเป็นนิตย์ก็ได้ แต่เจ้าทั้งหลายอย่าปกครองพี่น้องคนอิสราเอลด้วยความรุนแรง
ลนต 27.16 ถ้าผู้ใดถวายที่ดินส่วนหนึ่งแด่พระเยโฮวาห์ซึ่งเป็นมรดกตกแก่เขา ให้เจ้ากำหนดราคาของที่ดินตามจำนวนเมล็ดพืชที่หว่านลงในดินนั้น ถ้าที่นาใช้เมล็ดข้าวบาร์เลย์หนึ่งโฮเมอร์ ให้กำหนดราคาเป็นเงินห้าสิบเชเขล
ลนต 27.22 ถ้าคนใดซื้อนามาถวายแด่พระเยโฮวาห์ ซึ่งไม่ใช่ส่วนมรดกที่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเขา
ลนต 27.24 พอถึงปีเสียงแตรนานั้นต้องกลับไปตกแก่ผู้ที่ขายให้เขาซึ่งเป็นเจ้าของเดิม ตามมรดกที่ตกมาเป็นของเขา
ลนต 27.28 แต่สิ่งใดที่ถวายแด่พระเยโฮวาห์ เป็นสิ่งที่เขามีอยู่ ไม่ว่าเป็นคนหรือสัตว์ หรือที่นาอันเป็นมรดกตกแก่เขาจะขายหรือไถ่ไม่ได้เลย เพราะสิ่งที่ถวายแล้วเป็นสิ่งบริสุทธิ์ที่สุดแด่พระเยโฮวาห์
กดว 16.14 ยิ่งกว่านั้นอีกท่านมิได้นำพวกเราเข้าไปยังแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ มิได้ให้พวกเรารับที่นาหรือสวนองุ่นเป็นมรดก ท่านจะควักตาคนเหล่านี้ออกเสียหรือ เราจะไม่ขึ้นไป”
กดว 18.20 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับอาโรนว่า “เจ้าจะไม่ได้รับมรดกในแผ่นดินของเขา ทั้งเจ้าจะไม่มีส่วนอันใดกับเขาเลย เราเป็นส่วนแบ่งของเจ้าและเป็นมรดกของเจ้าท่ามกลางคนอิสราเอล
กดว 18.21 ดูเถิด เราให้บรรดาสิบชักหนึ่งในอิสราเอลแก่คนเลวีเป็นมรดก เป็นค่าตอบแทนงานที่เขาปฏิบัติ คืองานปฏิบัติที่พลับพลาแห่งชุมนุม
กดว 18.23 แต่คนเลวีจะต้องปฏิบัติงานของพลับพลาแห่งชุมนุม และเขาจะต้องรับโทษความชั่วช้าของเขา จะเป็นกฎเกณฑ์ถาวรตลอดชั่วอายุของเจ้า เขาจะไม่มีส่วนมรดกท่ามกลางคนอิสราเอล
กดว 18.24 เพราะว่าส่วนสิบชักหนึ่งของคนอิสราเอล ซึ่งนำมาถวายแด่พระเยโฮวาห์ เราได้ให้แก่คนเลวีเป็นมรดก เพราะฉะนั้นเราจึงได้บอกเขาว่า ‘เขาจะไม่มีส่วนมรดกท่ามกลางคนอิสราเอล’”
กดว 18.26 “ยิ่งกว่านั้น เจ้าจงกล่าวแก่คนเลวีว่า ‘เมื่อพวกเจ้ารับสิบชักหนึ่งจากคนอิสราเอล ซึ่งเราให้แก่เจ้าอันมาจากเขาเป็นมรดกของเจ้านั้น เจ้าจงนำสิบชักหนึ่งของสิบชักหนึ่งที่เจ้าได้มานั้นถวายแด่พระเยโฮวาห์
กดว 26.53 “ให้แบ่งแผ่นดินนั้นเป็นมรดกแก่คนเหล่านี้ตามจำนวนรายชื่อ
กดว 26.54 มรดกส่วนใหญ่ก็ให้แบ่งแก่คนตระกูลใหญ่ และมรดกส่วนน้อยก็ให้แบ่งแก่คนตระกูลย่อม ทุกตระกูลจะได้รับส่วนมรดกตามจำนวนคน
กดว 26.55 แต่ให้จับสลากแบ่งแผ่นดินนั้น ให้เขาได้รับมรดกตามรายชื่อตระกูลของบรรพบุรุษของเขา
กดว 26.56 ให้จับสลากแบ่งมรดกของเขานั้นตามส่วนตระกูลใหญ่และตระกูลย่อม”
กดว 26.62 และจำนวนของเขาเป็นสองหมื่นสามพันคน เป็นผู้ชายทุกคนอายุตั้งแต่หนึ่งเดือนขึ้นไป เพราะเขามิได้นับรวมไว้ในคนอิสราเอล เพราะไม่มีมรดกให้แก่เขาท่ามกลางคนอิสราเอล
กดว 27.7 “บุตรสาวของเศโลเฟหัดพูดถูกต้องแล้ว เจ้าจงให้กรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นมรดกท่ามกลางพี่น้องบิดาของเขา และกระทำให้มรดกบิดาของเขาตกทอดมาถึงเขา
กดว 27.8 เจ้าจงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า ‘ถ้าผู้ชายคนหนึ่งตายและไม่มีบุตรชาย เจ้าจงให้มรดกของเขาตกไปยังบุตรสาวของเขา
กดว 27.9 และถ้าเขาไม่มีบุตรสาว เจ้าจงให้มรดกของเขาแก่พี่น้องของเขา
กดว 27.10 และถ้าเขาไม่มีพี่น้อง เจ้าจงให้มรดกของเขาแก่พี่น้องบิดาของเขา
กดว 27.11 และถ้าบิดาของเขาไม่มีพี่น้อง เจ้าจงให้มรดกของเขาแก่ญาติถัดตัวเขาไปในครอบครัวของเขา ให้ผู้นั้นถือกรรมสิทธิ์ได้ ให้เป็นกฎเกณฑ์แห่งคำตัดสินแก่ประชาชนอิสราเอล ดังที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาโมเสสไว้’”
กดว 32.18 เราทั้งหลายจะไม่ยอมกลับบ้านจนกว่าคนอิสราเอลจะได้รับมรดกของเขาทุกคน
กดว 32.19 เพราะเราจะมิได้รับมรดกกับเขาซึ่งอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นและนอกออกไป เพราะว่ามรดกที่ตกทอดมาถึงเราอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างตะวันออกนี้”
กดว 32.32 เราจะถืออาวุธข้ามไปต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์สู่แผ่นดินคานาอัน และที่ดินมรดกของเรานั้นจะคงอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้”
กดว 33.54 เจ้าทั้งหลายจงจับสลากมรดกที่ดินนั้นตามครอบครัวของเจ้า ครอบครัวที่ใหญ่เจ้าจงให้มรดกส่วนใหญ่ ครอบครัวที่ย่อมเจ้าจงให้มรดกส่วนน้อย ดินผืนใดที่สลากตกแก่คนใดก็เป็นของคนนั้น เจ้าจงรับมรดกตามตระกูลของบรรพบุรุษของเจ้า
กดว 34.2 “จงบัญชาคนอิสราเอลว่า เมื่อเจ้าเข้าไปในแผ่นดินคานาอัน (อันเป็นแผ่นดินที่เราให้แก่เจ้าเป็นมรดก คือแผ่นดินคานาอันตามเขตพรมแดนทั้งหมด) นั้น
กดว 34.13 โมเสสบัญชาคนอิสราเอลกล่าวว่า “นี่เป็นแผ่นดินที่เจ้าทั้งหลายจะได้จับสลากรับเป็นมรดก ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงบัญชาว่า ให้ยกให้แก่ทั้งเก้าตระกูลกับอีกครึ่งตระกูล
กดว 34.14 เพราะว่าตระกูลคนรูเบนตามเรือนบรรพบุรุษ และตระกูลคนกาดตามเรือนบรรพบุรุษได้รับมรดกของเขาแล้ว คนครึ่งตระกูลมนัสเสห์ก็ได้รับมรดกของเขาแล้วด้วย
กดว 34.15 ทั้งสองตระกูลและครึ่งตระกูลนั้นได้รับมรดกของเขาที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ใกล้เมืองเยรีโคด้านตะวันออก ทางดวงอาทิตย์ขึ้น”
กดว 34.18 ท่านจงนำประมุขของคนทุกตระกูลไป แบ่งดินแดนเพื่อเป็นมรดก
กดว 34.29 บุคคลเหล่านี้เป็นคนที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาให้แบ่งมรดกให้คนอิสราเอลในแผ่นดินคานาอัน
กดว 35.2 “จงบัญชาคนอิสราเอล ให้เขายกเมืองให้คนเลวีได้อาศัยอยู่จากมรดกที่เขาได้รับนั้นบ้าง และยกทุ่งหญ้ารอบๆเมืองนั้นให้คนเลวีด้วย
กดว 35.8 และหัวเมืองที่เจ้าจะให้เขาจากกรรมสิทธิ์ของคนอิสราเอลนั้น จากตระกูลใหญ่เจ้าก็เอาเมืองมากหน่อย จากตระกูลย่อมเจ้าก็เอาเมืองน้อยหน่อย ทุกตระกูลตามส่วนของมรดกซึ่งเขาได้รับ ให้ยกให้แก่คนเลวี”
กดว 36.2 เขาพูดว่า “พระเยโฮวาห์ได้บัญชาเจ้านายของข้าพเจ้าให้จับสลากยกแผ่นดินให้เป็นมรดกแก่คนอิสราเอล และเจ้านายของข้าพเจ้าได้รับบัญชาจากพระเยโฮวาห์ให้ยกมรดกของเศโลเฟหัดพี่น้องของเราแก่บุตรสาวของเขา
กดว 36.3 ถ้าเธอทั้งหลายแต่งงานกับบุตรชายทั้งหลายของคนอิสราเอลตระกูลอื่นแล้ว ส่วนมรดกของบรรพบุรุษของเราจะเพิ่มให้กับมรดกของคนตระกูลที่เธอไปอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นจึงเป็นการที่นำมรดกไปจากส่วนที่เป็นของเรา
กดว 36.4 และเมื่อถึงปีเสียงแตรของคนอิสราเอล มรดกที่เป็นส่วนของเธอก็จะถูกยกไปเพิ่มเข้ากับส่วนของตระกูลที่เธอไปอยู่ด้วย จึงเป็นการที่นำส่วนมรดกของเธอไปจากส่วนมรดกของตระกูลบิดาของเรา”
กดว 36.7 ดังนี้แหละส่วนมรดกของคนอิสราเอลจะไม่ถูกโยกย้ายจากตระกูลหนึ่งไปให้อีกตระกูลหนึ่ง คนอิสราเอลทุกคนต้องอยู่ในที่มรดกแห่งตระกูลบรรพบุรุษของตน
กดว 36.8 และบุตรสาวทุกคนผู้รับกรรมสิทธิ์มรดกในตระกูลคนอิสราเอลตระกูลใด ให้เป็นภรรยาของคนใดคนหนึ่งในครอบครัวในตระกูลบิดาของตน เพื่อคนอิสราเอลทุกคนจะถือกรรมสิทธิ์มรดกของบิดาของเขา
กดว 36.9 ดังนั้นจะไม่มีมรดกที่ถูกโยกย้ายจากตระกูลหนึ่งไปยังอีกตระกูลหนึ่ง เพราะว่าคนอิสราเอลแต่ละตระกูลควรคงอยู่ในที่มรดกของตน’”
กดว 36.12 เธอได้แต่งงานกับครอบครัวคนมนัสเสห์บุตรชายของโยเซฟ และส่วนมรดกของเธอก็คงอยู่ในตระกูลแห่งครอบครัวบิดาของเธอ
พบญ 4.21 ยิ่งกว่านั้น เพราะท่านทั้งหลายเป็นเหตุ พระเยโฮวาห์ทรงพระพิโรธต่อข้าพเจ้า และทรงปฏิญาณว่าข้าพเจ้าจะไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดน และข้าพเจ้าจะไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินดีซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายประทานแก่ท่านให้เป็นมรดก
พบญ 4.38 ทรงขับไล่ประชาชาติที่ใหญ่กว่าและมีกำลังมากกว่าพวกท่านเสียให้พ้นหน้าท่าน และนำท่านเข้ามา และทรงประทานแผ่นดินของเขาให้แก่ท่านเป็นมรดกดังทุกวันนี้
พบญ 9.26 ข้าพเจ้าได้อธิษฐานต่อพระเยโฮวาห์ว่า ‘โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า ขออย่าทรงทำลายประชาชนของพระองค์ และมรดกของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงไถ่เขาทั้งหลายมาด้วยความยิ่งใหญ่ของพระองค์ เป็นคนที่พระองค์ทรงนำออกมาจากอียิปต์ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์
พบญ 9.29 เพราะว่าเขาทั้งหลายเป็นประชาชนของพระองค์และเป็นมรดกของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงนำเขาออกมาด้วยเดชานุภาพยิ่งใหญ่และด้วยพระกรที่เหยียดออกของพระองค์’”
พบญ 10.9 เหตุฉะนี้คนเลวีจึงหามีส่วนแบ่งหรือมรดกกับพวกพี่น้องของตนไม่ พระเยโฮวาห์ทรงเป็นส่วนมรดกของเขา ดังที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายทรงสัญญากับเขานั้น
พบญ 12.9 เพราะว่าท่านทั้งหลายยังไปไม่ถึงที่หยุดพักและถึงมรดก ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน
พบญ 12.10 แต่เมื่อท่านข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปแล้ว และอาศัยอยู่ในแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายประทานเป็นมรดกแก่ท่าน และเมื่อพระองค์โปรดให้ท่านพักพ้นศัตรูรอบข้างของท่านทั้งสิ้น ท่านจึงอยู่อย่างปลอดภัย
พบญ 12.12 และท่านทั้งหลายจงปีติร่าเริงต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ทั้งตัวท่านทั้งหลายและบุตรชายบุตรสาวของท่าน ทั้งทาสชายหญิงของท่านและคนเลวีซึ่งอยู่ภายในประตูเมืองของท่าน เพราะเขาไม่มีส่วนแบ่งหรือส่วนมรดกกับท่าน
พบญ 14.27 ท่านทั้งหลายอย่าทอดทิ้งคนเลวีซึ่งอยู่ภายในประตูเมืองของท่าน เพราะเขาไม่มีส่วนแบ่งหรือมรดกกับท่าน
พบญ 14.29 คนเลวี (เพราะเขาไม่มีส่วนแบ่งหรือมรดกกับท่าน) และคนต่างด้าวและลูกกำพร้าพ่อและแม่ม่าย ผู้ซึ่งอยู่ภายในประตูเมืองของท่าน จะได้มารับประทานอย่างอิ่มหนำ เพื่อว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงอำนวยพระพรแก่บรรดากิจการซึ่งมือของท่านทั้งหลายได้กระทำนั้น”
พบญ 15.4 ยกเว้นเมื่อไม่มีคนยากจนในหมู่พวกท่านทั้งหลาย เพราะว่าพระเยโฮวาห์จะทรงอำนวยพระพรแก่ท่านในแผ่นดิน ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานให้ท่านเป็นมรดกยึดครองนั้น
พบญ 16.20 ท่านจงติดตามความยุติธรรมเท่านั้น เพื่อท่านจะมีชีวิตและสืบมรดกในแผ่นดิน ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน
พบญ 18.1 “คนเลวีซึ่งเป็นปุโรหิตและตระกูลเลวีทั้งหมด จะไม่มีส่วนแบ่งหรือมรดกร่วมกับคนอิสราเอล เขาจะรับประทานเครื่องบูชาที่ถวายด้วยไฟแด่พระเยโฮวาห์และส่วนที่ตกเป็นของพระองค์
พบญ 18.2 ฉะนั้นเขาจะไม่มีมรดกในหมู่พวกพี่น้องของเขา พระเยโฮวาห์ทรงเป็นมรดกของเขา ตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้แก่เขาแล้วนั้น
พบญ 19.10 ด้วยเกรงว่าโลหิตที่ไร้ความผิดจะตกในแผ่นดินของท่าน ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่านเป็นมรดก และท่านทั้งหลายจึงต้องรับผิดชอบโลหิตนั้น
พบญ 19.14 ในเรื่องมรดกซึ่งท่านจะรับในแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่านเป็นกรรมสิทธิ์นั้น ท่านอย่าย้ายเสาเขตของเพื่อนบ้านของท่าน ซึ่งคนโบราณได้ปักไว้
พบญ 20.16 แต่ในหัวเมืองของชนชาติทั้งหลายนี้ ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่านเป็นมรดก ท่านอย่าไว้ชีวิตสิ่งใดๆที่หายใจได้เลย
พบญ 21.16 เมื่อถึงวันแบ่งทรัพย์สินให้แก่บุตรชายเป็นมรดกนั้น อย่าให้เขากระทำแก่บุตรชายของภรรยาคนที่ตนรักนั้นอย่างกับเป็นบุตรหัวปี แทนบุตรชายของภรรยาที่ตนชัง ซึ่งเป็นบุตรหัวปี
พบญ 21.23 อย่าให้ศพค้างอยู่ที่ต้นไม้ข้ามคืน ท่านจงฝังเขาเสียในวันเดียวกันนั้น (ด้วยว่าผู้ที่ต้องถูกแขวนไว้บนต้นไม้ก็ต้องถูกสาปแช่งโดยพระเจ้า) ท่านอย่ากระทำให้แผ่นดินของท่านซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่านให้เป็นมรดกนั้นเป็นมลทิน”
พบญ 24.4 สามีคนเดิมที่ได้ไล่นางไปนั้นจะรับนางหลังจากที่นางเป็นมลทินแล้วกลับมาเป็นภรรยาอีกไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ท่านทั้งหลายอย่ากระทำให้แผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่านให้เป็นมรดกนั้นมีบาป
พบญ 25.19 เพราะฉะนั้นเมื่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานให้ท่านหยุดพักจากบรรดาศัตรูที่อยู่รอบข้างแล้ว ในแผ่นดินที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่านเป็นมรดกให้เป็นกรรมสิทธิ์นั้น ท่านทั้งหลายจงทำลายล้างคนอามาเลขเสียจากความทรงจำภายใต้ฟ้า ท่านทั้งหลายอย่าลืมเสีย”
พบญ 26.1 “เมื่อท่านทั้งหลายเข้าไปในแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่านเป็นมรดก และท่านเข้ายึดเป็นกรรมสิทธิ์ และอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้นแล้ว
พบญ 29.8 เราริบแผ่นดินของเขาและมอบให้เป็นมรดกแก่คนรูเบน คนกาด และคนครึ่งตระกูลมนัสเสห์
พบญ 31.7 แล้วโมเสสเรียกโยชูวาเข้ามาและกล่าวแก่ท่านท่ามกลางสายตาของบรรดาคนอิสราเอลว่า “จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด เพราะท่านจะต้องไปกับชนชาตินี้เข้าไปในแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงปฏิญาณแก่บรรพบุรุษว่าจะประทานแก่เขา ท่านจงกระทำให้เขาได้แผ่นดินนั้นมาเป็นมรดก
พบญ 32.8 เมื่อผู้สูงสุดประทานมรดกแก่บรรดาประชาชาติ เมื่อพระองค์ทรงแยกลูกหลานของอาดัม พระองค์ทรงกั้นเขตของชนชาติทั้งหลายตามจำนวนคนอิสราเอล
พบญ 32.9 เพราะว่าส่วนของพระเยโฮวาห์คือประชาชนของพระองค์ ยาโคบเป็นส่วนมรดกของพระองค์เอง
ยชว 1.6 จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด เพราะเจ้าจะกระทำให้ชนชาตินี้แบ่งมรดกในแผ่นดินนั้น ซึ่งเราปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของเขาทั้งหลายว่าจะยกให้เขา
ยชว 11.23 ดังนั้นแหละ โยชูวาได้ยึดแผ่นดินทั้งสิ้นตามสารพัดที่พระเยโฮวาห์ได้ตรัสไว้กับโมเสส และโยชูวาให้เป็นมรดกแก่คนอิสราเอลตามส่วนแบ่งของแต่ละตระกูล และแผ่นดินนั้นก็สงบจากการศึกสงคราม
ยชว 13.6 ชาวแดนเทือกเขาทั้งหมดจากเลบานอนจนถึงมิสเรโฟทมาอิม และคนไซดอนทั้งหมด เราจะขับไล่เขาทั้งหลายออกไปให้พ้นหน้าคนอิสราเอลเอง เพียงแต่เจ้าจงจับสลากแบ่งดินแดนเหล่านั้นให้เป็นมรดกแก่อิสราเอล ดังที่เราบัญชาเจ้าไว้
ยชว 13.7 ฉะนั้นบัดนี้จงแบ่งแผ่นดินนี้ออกให้เป็นมรดกแก่คนเก้าตระกูลรวมกับคนมนัสเสห์ครึ่งตระกูลด้วย”
ยชว 13.8 ส่วนมนัสเสห์อีกครึ่งตระกูล คนรูเบน และคนกาดได้รับส่วนมรดกของเขา ซึ่งโมเสสได้มอบให้ทางฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นด้านตะวันออก ส่วนที่โมเสสผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์มอบให้เขาคือ
ยชว 13.14 เฉพาะตระกูลเลวีตระกูลเดียวโมเสสหาได้มอบมรดกให้ไม่ ของบูชาด้วยไฟที่ถวายแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลเป็นมรดกของเขา ดังที่พระองค์ตรัสไว้แก่เขาแล้ว
ยชว 13.15 และโมเสสได้มอบส่วนมรดกให้แก่ตระกูลคนรูเบนตามครอบครัวของเขา
ยชว 13.23 อาณาเขตของคนรูเบนคือแม่น้ำจอร์แดนเป็นพรมแดน นี่เป็นมรดกของคนรูเบนตามครอบครัว รวมทั้งหัวเมืองและชนบทด้วย
ยชว 13.24 โมเสสได้มอบมรดกให้แก่ตระกูลกาด คือคนกาดตามครอบครัวของเขาด้วย
ยชว 13.28 นี่เป็นมรดกของคนกาดตามครอบครัวของเขา รวมทั้งหัวเมืองและชนบทด้วย
ยชว 13.29 อนึ่งโมเสสได้มอบมรดกให้แก่คนมนัสเสห์ครึ่งตระกูล เป็นส่วนแบ่งที่ได้กับคนมนัสเสห์ครึ่งตระกูลตามครอบครัวของเขา
ยชว 13.32 เหล่านี้เป็นดินแดนต่างๆซึ่งโมเสสได้แบ่งปันให้เป็นมรดก ณ ที่ราบโมอับ ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นทิศตะวันออกของเมืองเยรีโค
ยชว 13.33 แต่โมเสสมิได้มอบมรดกให้แก่คนตระกูลเลวี พระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลเป็นมรดกของเขา ดังที่พระองค์ตรัสไว้กับเขา
ยชว 14.1 ต่อไปนี้เป็นดินแดนต่างๆซึ่งประชาชนอิสราเอลได้รับเป็นมรดกในแผ่นดินคานาอัน ซึ่งเอเลอาซาร์ปุโรหิตและโยชูวาบุตรชายนูน และหัวหน้าบรรพบุรุษของตระกูลต่างๆแห่งคนอิสราเอลได้แจกจ่ายให้เป็นมรดกแก่เขา
ยชว 14.2 มรดกนี้เขาจับสลากแบ่งกันในระหว่างคนเก้าตระกูลครึ่ง ตามที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาทางโมเสส
ยชว 14.3 เพราะโมเสสได้ให้มรดกแก่คนสองตระกูลครึ่งทางฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นแล้ว แต่ท่านหาได้แบ่งส่วนมรดกให้แก่พวกเลวีไม่
ยชว 14.9 ในวันนั้นโมเสสได้ปฏิญาณว่า ‘แท้จริงแผ่นดินซึ่งเท้าของท่านได้เหยียบย่ำไปนั้นจะตกเป็นมรดกของท่าน และของลูกหลานของท่านสืบไปเป็นนิตย์ เพราะว่าท่านได้ติดตามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้าอย่างสุดใจ’
ยชว 14.13 แล้วโยชูวาก็อวยพรแก่ท่านและยกเมืองเฮโบรนให้คาเลบบุตรชายเยฟุนเนห์เป็นมรดก
ยชว 14.14 เฮโบรนจึงตกเป็นมรดกแก่คาเลบบุตรชายเยฟุนเนห์คนเคนัสจนทุกวันนี้ เพราะว่าท่านติดตามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลอย่างสุดใจ
ยชว 15.20 ต่อไปนี้เป็นมรดกของตระกูลคนยูดาห์ตามครอบครัวของเขา
ยชว 16.4 ลูกหลานของโยเซฟ คือคนมนัสเสห์และคนเอฟราอิม ได้รับมรดกของเขา
ยชว 16.5 เขตของคนเอฟราอิมตามครอบครัวของเขาเป็นดังนี้ พรมแดนมรดกของเขาด้านตะวันออก เริ่มแต่เมืองอาทาโรทอัดดาร์ ไกลไปจนถึงเบธโฮโรนบน
ยชว 16.8 จากทัปปูวาห์พรมแดนลงไปทางทิศตะวันตกถึงแม่น้ำคานาห์ไปสิ้นสุดลงที่ทะเล นี่เป็นดินแดนมรดกของตระกูลคนเอฟราอิมตามครอบครัวของเขา
ยชว 16.9 รวมทั้งหัวเมืองซึ่งแบ่งแยกไว้ให้คนเอฟราอิมในดินแดนมรดกของคนมนัสเสห์ คือบรรดาหัวเมืองเหล่านั้นกับชนบทของเมืองนั้นๆด้วย
ยชว 17.4 เขาเข้ามาหาเอเลอาซาร์ปุโรหิตและโยชูวาบุตรชายนูนและต่อหน้าบรรดาประมุขแล้วกล่าวว่า “พระเยโฮวาห์ได้ทรงบัญชาโมเสสไว้ว่า ให้ข้าพเจ้าทั้งหลายรับส่วนมรดกในหมู่ญาติพี่น้องของข้าพเจ้าทั้งหลายได้” ดังนั้นท่านจึงให้มรดกแก่คนเหล่านี้ในหมู่พี่น้องของบิดาของเขา ตามพระบัญญัติแห่งพระเยโฮวาห์
ยชว 17.6 เพราะว่าบุตรสาวของมนัสเสห์ก็ได้รับมรดกพร้อมกับบุตรชายของท่านด้วย แผ่นดินกิเลอาดนั้นได้ตกเป็นส่วนของบุตรชายมนัสเสห์ที่เหลืออยู่
ยชว 17.14 คนโยเซฟได้พูดกับโยชูวาว่า “เหตุไฉนท่านจึงแบ่งให้ข้าพเจ้ามีแต่ส่วนเดียวเป็นมรดก แม้ว่าข้าพเจ้ามีคนมากมาย เพราะว่าพระเยโฮวาห์ได้ทรงอวยพระพรแก่พวกข้าพเจ้ามาจนบัดนี้แล้ว”
ยชว 18.2 ยังมีประชาชนอิสราเอลอีกเจ็ดตระกูลที่ยังมิได้รับมรดกเป็นส่วนแบ่ง
ยชว 18.4 จงเลือกคนตระกูลละสามคน แล้วข้าพเจ้าจะใช้คนเหล่านั้นไปท่องเที่ยวขึ้นล่องอยู่ที่แผ่นดินนั้น ให้เขียนแนวเขตที่ดินที่จะมอบเป็นมรดก และกลับมาหาข้าพเจ้า
ยชว 18.7 แต่คนเลวีไม่มีส่วนแบ่งในหมู่พวกท่านทั้งหลาย ด้วยตำแหน่งปุโรหิตของพระเยโฮวาห์เป็นมรดกของเขาแล้ว คนกาด และคนรูเบน กับตระกูลมนัสเสห์ครึ่งหนึ่งก็ได้รับมรดกของเขาทางฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นด้านตะวันออก ซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์ได้มอบให้แก่เขาทั้งหลายแล้ว”
ยชว 18.20 แม่น้ำจอร์แดนกั้นเป็นพรมแดนทางตะวันออก นี่เป็นมรดกของคนเบนยามินตามครอบครัวของเขา มีพรมแดนดังนี้ล้อมรอบ
ยชว 18.28 เศลา เอเลฟ เยบุส คือเยรูซาเล็ม กิเบอาห์และคีริยาท รวมเป็นสิบสี่หัวเมืองกับชนบทของเมืองนั้นๆด้วย นี่เป็นมรดกของคนเบนยามินตามครอบครัวของเขา
ยชว 19.1 สลากที่สองออกมาเป็นของสิเมโอน เพื่อคนตระกูลสิเมโอนตามครอบครัวของเขา มรดกของเขาอยู่ท่ามกลางมรดกของคนยูดาห์
ยชว 19.2 มีเมืองเหล่านี้เป็นมรดก คือเบเออร์เชบา เชบา โมลาดาห์
ยชว 19.8 รวมทั้งบรรดาชนบทที่อยู่รอบหัวเมืองเหล่านี้ไกลออกไปจนถึงเมืองบาอาลัทเบเออร์ เมืองรามาห์ที่ภาคใต้ เหล่านี้เป็นมรดกของตระกูลคนสิเมโอนตามครอบครัวของเขา
ยชว 19.9 มรดกของคนสิเมโอนเป็นดินแดนในส่วนแบ่งของคนยูดาห์ เพราะว่าส่วนของคนยูดาห์นั้นใหญ่เกินไป คนสิเมโอนจึงได้รับมรดกอยู่ท่ามกลางมรดกของคนยูดาห์
ยชว 19.10 สลากที่สามขึ้นมาเป็นของคนเศบูลุนตามครอบครัวของเขา และอาณาเขตที่เป็นมรดกของเขาก็ยื่นออกไปถึงสาริด
ยชว 19.16 นี่เป็นมรดกของคนเศบูลุนตามครอบครัวของเขา คือหัวเมืองต่างๆกับชนบทของเมืองนั้นๆด้วย
ยชว 19.23 นี่เป็นมรดกของตระกูลคนอิสสาคาร์ตามครอบครัวของเขา คือทั้งหัวเมืองและชนบทของเมืองนั้นๆด้วย
ยชว 19.31 นี่เป็นมรดกของตระกูลคนอาเชอร์ตามครอบครัวของเขา ทั้งหัวเมืองกับชนบทของเมืองนั้นๆด้วย
ยชว 19.39 นี่เป็นมรดกของตระกูลคนนัฟทาลีตามครอบครัวของเขา ทั้งหัวเมืองกับชนบทของเมืองนั้นๆด้วย
ยชว 19.41 และอาณาเขตที่เป็นมรดกของเขา รวมเมืองโศราห์ เอชทาโอล อิรเชเมช
ยชว 19.48 นี่เป็นมรดกของตระกูลคนดานตามครอบครัวของเขา ทั้งหัวเมืองกับชนบทของเมืองนั้นๆด้วย
ยชว 19.49 เมื่อได้แบ่งดินแดนส่วนต่างๆของแผ่นดินนั้นเป็นมรดกเสร็จสิ้นแล้ว คนอิสราเอลก็ได้มอบส่วนมรดกในหมู่พวกเขาให้แก่โยชูวาบุตรชายนูน
ยชว 19.51 ที่กล่าวมานี้เป็นมรดกที่เอเลอาซาร์ปุโรหิตกับโยชูวาบุตรชายนูน และหัวหน้าบรรพบุรุษของตระกูลต่างๆแห่งคนอิสราเอลจับสลากแบ่งให้เป็นมรดกที่ชีโลห์ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ณ ประตูพลับพลาแห่งชุมนุม ดังนี้แหละเขาทั้งหลายก็ทำการแบ่งปันแผ่นดินสำเร็จลง
ยชว 21.3 ดังนั้นแหละตามพระบัญชาของพระเยโฮวาห์ คนอิสราเอลจึงได้มอบเมืองและทุ่งหญ้าต่อไปนี้จากมรดกของเขาให้แก่คนเลวี
ยชว 23.4 ดูเถิด ประชาชาติที่เหลืออยู่นั้น ข้าพเจ้าได้จับสลากแบ่งให้เป็นมรดกแก่ตระกูลของท่าน รวมกับประชาชาติทั้งสิ้นซึ่งข้าพเจ้าได้ขจัดออกเสีย ตั้งแต่แม่น้ำจอร์แดนจนถึงทะเลใหญ่ทางทิศตะวันตก
ยชว 24.28 แล้วโยชูวาก็ปล่อยให้ประชาชนกลับไปยังที่มรดกของตนทุกคน
ยชว 24.30 และเขาก็ฝังท่านไว้ในที่ดินมรดกของท่านที่เมืองทิมนาทเสราห์ ซึ่งอยู่ในแดนเทือกเขาแห่งเอฟราอิม ทิศเหนือของยอดเขากาอัช
ยชว 24.32 กระดูกของโยเซฟซึ่งชนอิสราเอลนำมาจากอียิปต์นั้น เขาฝังไว้ที่เมืองเชเคม ในส่วนที่ดินซึ่งยาโคบซื้อไว้จากลูกหลานของฮาโมร์บิดาของเชเคมเป็นเงินหนึ่งร้อยแผ่น ที่นี้ตกเป็นมรดกของลูกหลานโยเซฟ
วนฉ 2.6 เมื่อโยชูวาปล่อยประชาชนไปแล้วคนอิสราเอลต่างก็เข้าไปอยู่ในมรดกที่ดินของตนเพื่อยึดครอง
วนฉ 2.9 และเขาทั้งหลายก็ฝังท่านไว้ในที่ดินมรดกของท่านที่เมืองทิมนาทเฮเรส ในแดนเทือกเขาแห่งเอฟราอิม ทิศเหนือของยอดเขากาอัช
วนฉ 11.2 ภรรยาแท้ของกิเลอาดคลอดบุตรชายหลายคน และเมื่อพวกบุตรเหล่านั้นโตขึ้นแล้ว จึงผลักไสเยฟธาห์ออกไปเสียโดยกล่าวว่า “เจ้าจะมีส่วนในมรดกของครอบครัวบิดาเราไม่ได้ เพราะเจ้าเป็นลูกของหญิงคนอื่น”
วนฉ 18.1 ในสมัยนั้นไม่มีกษัตริย์ในอิสราเอล และในสมัยนั้นคนตระกูลดานยังเที่ยวหาที่ดินอันจะเป็นมรดกของตนเพื่อจะได้พักอาศัย เพราะจนบัดนั้นแล้วมรดกในหมู่คนตระกูลอิสราเอลยังไม่ตกแก่เขา
วนฉ 20.6 ข้าพเจ้าจึงนำศพภรรยาน้อยของข้าพเจ้ามาฟันออกเป็นท่อนๆ ส่งไปทั่วประเทศที่เป็นมรดกของอิสราเอล เพราะพวกเขาได้กระทำการลามกและความโง่เขลาในอิสราเอล
วนฉ 21.17 เขาทั้งหลายกล่าวว่า “ต้องมีมรดกให้แก่คนเบนยามินที่รอดตาย เพื่อว่าคนตระกูลหนึ่งจะมิได้ลบล้างเสียจากอิสราเอล
วนฉ 21.23 คนเบนยามินก็กระทำตาม ต่างก็ได้ภรรยาไปตามจำนวน คือได้หญิงเต้นรำที่เขาไปฉุดมา เขาก็กลับไปอยู่ในที่ดินมรดกของเขา สร้างเมืองขึ้นใหม่และอาศัยอยู่ในนั้น
วนฉ 21.24 ครั้งนั้นประชาชนอิสราเอลก็กลับจากที่นั่นไปยังตระกูลและครอบครัวของตน ต่างก็ยกกลับไปสู่ดินแดนมรดกของตน
นรธ 4.5 แล้วโบอาสบอกว่า “ในวันที่ท่านซื้อที่นาจากมือนาโอมีนั้น ท่านก็จะได้รูธชาวโมอับแม่ม่ายของผู้ตายด้วย เพื่อจะจรรโลงนามของผู้ตายไว้กับมรดกของเขา”
นรธ 4.6 ญาติสนิทที่ถัดมาคนนั้นตอบว่า “ข้าพเจ้าจะไถ่เพื่อตนเองอย่างนั้นไม่ได้ จะทำให้มรดกข้าพเจ้าเสียไป ท่านจงเอาสิทธิในการไถ่ของข้าพเจ้าไปจัดการเองเถิด เพราะข้าพเจ้าไถ่ไม่ได้แล้ว”
นรธ 4.10 ยิ่งกว่านั้นรูธชาวโมอับแม่ม่ายของมาห์โลนข้าพเจ้าก็ได้มาเป็นภรรยาของข้าพเจ้า เพื่อจะจรรโลงนามของผู้ตายไว้กับมรดกของเขา เพื่อนามของผู้ตายจะไม่ต้องถูกตัดออกจากพวกพี่น้องของเขา และจากประตูบ้านเกิดเมืองนอนของเขา ท่านทั้งหลายเป็นพยานแล้วในวันนี้”
1ซมอ 2.8 พระองค์ทรงยกคนยากจนขึ้นจากผงคลี พระองค์ทรงยกคนขอทานขึ้นจากกองขยะ กระทำให้เขานั่งร่วมกับเจ้านาย และได้ที่นั่งอันมีเกียรติเป็นมรดก เพราะว่าเสาแห่งพิภพเป็นของพระเยโฮวาห์ พระองค์ทรงวางพิภพไว้บนนั้น
1ซมอ 10.1 แล้วซามูเอลก็หยิบขวดน้ำมันเทลงบนศีรษะของซาอูล และจุบท่านแล้วกล่าวว่า “พระเยโฮวาห์ทรงเจิมท่านไว้ให้เป็นเจ้านายเหนือมรดกของพระองค์แล้วมิใช่หรือ
1ซมอ 26.19 เพราะฉะนั้นบัดนี้ขอกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ทรงฟังเสียงผู้รับใช้ของพระองค์ ถ้าพระเยโฮวาห์ทรงปลุกปั่นพระองค์ให้ต่อสู้ข้าพระองค์ ขอพระเยโฮวาห์ให้ได้รับเครื่องถวาย แต่ถ้าเป็นบุตรทั้งหลายของมนุษย์ยุก็ขอให้คนนั้นเป็นที่สาปแช่งต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ เพราะเขาได้ขับไล่ข้าพระองค์ออกไปในวันนี้มิให้ได้ส่วนมรดกของพระเยโฮวาห์ โดยกล่าวว่า ‘จงไปปรนนิบัติพระอื่น’
2ซมอ 14.16 ด้วยกษัตริย์จะทรงสดับฟัง และทรงช่วยหญิงผู้รับใช้ของพระองค์ให้พ้นจากมือของผู้ที่ตั้งใจทำลายหม่อมฉัน และบุตรชายของหม่อมฉันเสียจากมรดกของพระเจ้า’
2ซมอ 20.1 เผอิญที่นั่นมีคนอันธพาลอยู่คนหนึ่งชื่อเชบาบุตรชายบิครี คนเบนยามิน เขาได้เป่าแตรขึ้นกล่าวว่า “เราไม่มีส่วนในดาวิด เราไม่มีมรดกในบุตรของเจสซี โอ อิสราเอลเอ๋ย ให้ต่างคนต่างกลับไปเต็นท์ของตนเถิด”
2ซมอ 20.19 ฉันเป็นคนหนึ่งที่รักสงบและสัตย์ซื่อในอิสราเอล ท่านหาช่องที่จะทำลายเมือง อันเป็นเมืองแม่ในอิสราเอล ทำไมท่านจึงจะกลืนมรดกของพระเยโฮวาห์เสีย”
2ซมอ 21.3 ดาวิดตรัสถามคนกิเบโอนว่า “เราจะกระทำอะไรให้แก่พวกท่านได้ เราจะทำอย่างไรจึงจะลบมลทินบาปเสียได้ เพื่อพวกท่านจะได้อวยพรแก่มรดกของพระเยโฮวาห์ได้”
1พกษ 8.36 ก็ขอพระองค์ทรงสดับในฟ้าสวรรค์ และขอทรงประทานอภัยบาปของผู้รับใช้ของพระองค์ และของอิสราเอลประชาชนของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงสอนทางดีแก่เขา ซึ่งเขาควรจะดำเนิน และขอทรงประทานฝนบนแผ่นดินของพระองค์ ซึ่งพระองค์ได้ทรงพระราชทานแก่ชนชาติของพระองค์เป็นมรดกนั้น
1พกษ 8.51 เพราะว่าเขาทั้งหลายเป็นประชาชนของพระองค์ และเป็นมรดกของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงนำออกมาจากอียิปต์ จากท่ามกลางเตาเหล็ก
1พกษ 8.53 เพราะพระองค์ทรงแยกเขาจากท่ามกลางชนชาติทั้งหลายของแผ่นดินโลก ให้เป็นมรดกของพระองค์ ตามซึ่งพระองค์ตรัสทางโมเสส ผู้รับใช้ของพระองค์ โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า ในเมื่อพระองค์ทรงนำบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลายออกจากอียิปต์”
1พกษ 12.16 และเมื่ออิสราเอลทั้งปวงเห็นว่ากษัตริย์มิได้ทรงฟังเขาทั้งหลาย ประชาชนก็ทูลตอบกษัตริย์ว่า “ข้าพระองค์ทั้งหลายมีส่วนอะไรในดาวิด ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่มีส่วนมรดกในบุตรชายของเจสซี โอ อิสราเอลเอ๋ย กลับไปเต็นท์ของตนเถิด ข้าแต่ดาวิด จงดูแลราชวงศ์ของพระองค์เองเถิด” อิสราเอลจึงจากไปยังเต็นท์ของเขาทั้งหลาย
1พกษ 21.3 แต่นาโบททูลอาหับว่า “ขอพระเยโฮวาห์ทรงห้ามข้าพระองค์ในการที่จะยกมรดกของบรรพบุรุษให้แก่พระองค์”
1พกษ 21.4 อาหับก็เสด็จเข้าในวังด้วยอารมณ์ขุ่นมัวและไม่พอพระทัยยิ่งนัก ด้วยเรื่องที่นาโบทชาวยิสเรเอลทูลตอบพระองค์ เพราะเขาได้กล่าวว่า “ข้าพระองค์จะไม่ให้มรดกแห่งบรรพบุรุษของข้าพระองค์แก่พระองค์” และพระองค์ก็เอนพระกายลงบนพระแท่น ทรงเบือนพระพักตร์ไม่เสวยพระกระยาหาร
2พกษ 21.14 และเราจะทอดทิ้งมรดกส่วนที่เหลือของเรา และมอบเขาไว้ในมือศัตรูของเขา และเขาทั้งหลายจะเป็นเหยื่อ และเป็นของริบของศัตรูทั้งสิ้นของเขา
1พศด 16.18 ว่า ‘เราจะให้แผ่นดินคานาอันแก่เจ้า เป็นส่วนมรดกของเจ้าทั้งหลาย’
1พศด 28.8 เพราะฉะนั้นบัดนี้ท่ามกลางสายตาของคนอิสราเอลทั้งปวงอันเป็นชุมนุมชนของพระเยโฮวาห์ และต่อพระกรรณของพระเจ้าของเรา จงรักษาและแสวงหาพระบัญญัติทั้งสิ้นของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าทั้งหลาย เพื่อเจ้าจะได้กรรมสิทธิ์แผ่นดินอันดีนี้ และมอบไว้ให้เป็นมรดกของลูกหลานผู้มาภายหลังเจ้าสืบไปเป็นนิตย์
2พศด 6.27 ก็ขอพระองค์ทรงสดับในฟ้าสวรรค์ และขอประทานอภัยแก่บาปของผู้รับใช้ของพระองค์ และของอิสราเอลประชาชนของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงสอนทางดีแก่เขาซึ่งเขาควรจะดำเนิน และขอทรงประทานฝนบนแผ่นดินของพระองค์ ซึ่งพระองค์พระราชทานแก่ประชาชนของพระองค์เป็นมรดกนั้น
2พศด 10.16 และเมื่ออิสราเอลทั้งปวงเห็นว่ากษัตริย์มิได้ทรงฟังเขาทั้งหลาย ประชาชนก็ทูลตอบกษัตริย์ว่า “ข้าพระองค์ทั้งหลายมีส่วนอะไรในดาวิด ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่มีส่วนมรดกในบุตรเจสซี โอ อิสราเอลเอ๋ย กลับไปเต็นท์ของตนแต่ละคนเถิด ข้าแต่ดาวิด จงดูแลราชวงศ์ของพระองค์เองเถิด” อิสราเอลทั้งปวงจึงไปยังเต็นท์ของเขาทั้งหลาย
2พศด 20.11 ดูเถิด เขาทั้งหลายได้ให้บำเหน็จแก่เราอย่างไร ด้วยมาขับเราออกเสียจากแผ่นดินกรรมสิทธิ์ของพระองค์ ซึ่งพระองค์ประทานให้แก่ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นมรดก
อสร 9.12 เพราะฉะนั้นบัดนี้ อย่ามอบพวกบุตรสาวของเจ้าแก่พวกบุตรชายของเขา หรืออย่ารับพวกบุตรสาวของเขาให้พวกบุตรชายของเจ้า หรืออย่าเสริมสันติภาพและความเจริญมั่งคั่งของเขาทั้งหลายเป็นนิตย์ เพื่อเจ้าทั้งหลายจะแข็งแรง และกินของดีๆแห่งแผ่นดินนั้น และมอบแผ่นดินนั้นไว้เป็นมรดกแก่ลูกหลานของเจ้าทั้งหลายเป็นนิตย์’
นหม 11.20 คนอิสราเอลนอกนั้น ที่เป็นพวกปุโรหิตและคนเลวี อยู่ในหัวเมืองทั้งสิ้นของยูดาห์ ทุกคนอยู่ในที่ดินมรดกของเขา
โยบ 20.29 นี่เป็นส่วนของคนชั่วจากพระเจ้า และเป็นมรดกที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เขา”
โยบ 27.13 ต่อพระเจ้า นี่เป็นส่วนของคนชั่ว และมรดกซึ่งผู้บีบบังคับจะได้รับจากองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์
โยบ 31.2 อะไรจะเป็นส่วนของข้าจากพระเจ้าเบื้องบน และเป็นมรดกของข้าจากองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ณ ที่สูง
โยบ 42.15 และในแผ่นดินนั้นทั้งสิ้นไม่มีหญิงใดงดงามเท่าบรรดาบุตรสาวของโยบ และบิดาของเขาได้ให้มรดกแก่เธอพร้อมกับพวกพี่ชายและน้องชายของเธอ
สดด 2.8 จงขอจากเราเถิด และเราจะมอบบรรดาประชาชาติให้เป็นมรดกของเจ้า ตลอดทั้งแผ่นดินโลกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้า
สดด 16.5 พระเยโฮวาห์ทรงเป็นส่วนมรดกและถ้วยของข้าพเจ้า พระองค์ทรงรักษาส่วนของข้าพระองค์ไว้
สดด 16.6 เขตแดนของข้าพเจ้าเป็นที่ที่ร่มรื่น เออ ข้าพเจ้ามีมรดกที่ดี
สดด 28.9 ขอทรงช่วยประชาชนของพระองค์ให้รอด และอำนวยพระพรแก่มรดกของพระองค์ ขอทรงเป็นผู้เลี้ยงดูเขา และหอบหิ้วเขาไปเป็นนิตย์
สดด 33.12 ประชาชาติที่พระเจ้าของเขาคือพระเยโฮวาห์ก็เป็นสุข คือชนชาติซึ่งพระองค์ทรงเลือกสรรไว้เป็นมรดกของพระองค์
สดด 37.9 เพราะคนที่กระทำชั่วจะถูกตัดออกไป แต่คนเหล่านั้นที่รอคอยพระเยโฮวาห์จะได้แผ่นดินโลกเป็นมรดก
สดด 37.11 แต่คนใจอ่อนสุภาพจะได้แผ่นดินตกไปเป็นมรดก และตัวเขาจะปีติยินดีในสันติภาพอุดมสมบูรณ์
สดด 37.18 พระเยโฮวาห์ทรงทราบวันเวลาของคนไร้ตำหนิ และมรดกของเขาจะดำรงอยู่เป็นนิตย์
สดด 37.22 เพราะคนเช่นนั้นที่พระองค์ทรงอำนวยพระพรจะได้แผ่นดินโลกเป็นมรดก แต่คนทั้งหลายที่ถูกพระองค์สาปจะต้องถูกตัดออกไปเสีย
สดด 37.29 คนชอบธรรมจะได้แผ่นดินตกไปเป็นมรดก และอาศัยอยู่บนนั้นเป็นนิตย์
สดด 37.34 จงรอคอยพระเยโฮวาห์ และรักษาทางของพระองค์ไว้ และพระองค์จะยกย่องท่านให้ได้แผ่นดินโลกเป็นมรดก ท่านจะได้เห็นเมื่อคนชั่วถูกตัดออกไปเสีย
สดด 47.4 พระองค์จะทรงเลือกมรดกของเราให้เรา เป็นสิ่งภูมิใจของยาโคบที่พระองค์ทรงรัก เซลาห์
สดด 61.5 โอ ข้าแต่พระเจ้า เพราะพระองค์ทรงสดับคำปฏิญาณของข้าพระองค์ และพระองค์ประทานมรดกของบรรดาผู้ที่เกรงกลัวพระนามของพระองค์แก่ข้าพระองค์
สดด 68.9 โอ ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงส่งฝนอันอุดมลงมา เมื่อมรดกของพระองค์อ่อนระโหย พระองค์ทรงฟื้นขึ้นใหม่
สดด 69.36 เชื้อสายของผู้รับใช้ของพระองค์จะได้เป็นมรดก และบรรดาผู้ที่รักพระนามของพระองค์จะอยู่ที่นั่น
สดด 74.2 ขอทรงระลึกถึงชุมนุมชนของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงไถ่มาแต่ดึกดำบรรพ์ ซึ่งพระองค์ทรงไถ่ไว้ให้เป็นตระกูลที่เป็นมรดกของพระองค์ ขอทรงระลึกถึงภูเขาศิโยน ซึ่งพระองค์ทรงเคยประทับนั้น
สดด 78.55 พระองค์ทรงขับประชาชาติต่างๆออกไปข้างหน้าเขา พระองค์ทรงวัดแบ่งแดนประชาชาตินั้นให้เป็นมรดก และทรงตั้งบรรดาตระกูลอิสราเอลไว้ในเต็นท์ของเขา
สดด 78.62 พระองค์ทรงมอบประชาชนของพระองค์แก่ดาบ และทรงพระพิโรธต่อมรดกของพระองค์
สดด 78.71 พระองค์ทรงพาท่านมาจากการดูแลแม่แกะที่มีลูกอ่อนให้เป็นผู้เลี้ยงดูยาโคบประชาชนของพระองค์ และอิสราเอลมรดกของพระองค์อย่างเลี้ยงแกะ
สดด 79.1 โอ ข้าแต่พระเจ้า พวกต่างชาติได้เข้าในมรดกของพระองค์ เขาได้ทำให้พระวิหารบริสุทธิ์ของพระองค์มีมลทิน เขาได้ทำให้เยรูซาเล็มเป็นที่ปรักหักพัง
สดด 82.8 โอ ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงลุกขึ้นพิพากษาแผ่นดินโลก เพราะบรรดาประชาชาติทั้งสิ้นจะเป็นมรดกของพระองค์
สดด 94.5 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ เขาทุบประชาชนของพระองค์เป็นชิ้นๆ และทำมรดกของพระองค์ให้ทุกข์ยาก
สดด 94.14 เพราะพระเยโฮวาห์จะไม่ทอดทิ้งประชาชนของพระองค์ พระองค์จะไม่ทรงสละมรดกของพระองค์
สดด 105.11 ว่า “เราจะให้แผ่นดินคานาอันแก่เจ้า เป็นส่วนมรดกของเจ้าทั้งหลาย”
สดด 106.5 เพื่อข้าพระองค์จะเห็นความเจริญรุ่งเรืองของบรรดาผู้เลือกสรรของพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะเปรมปรีดิ์ในความยินดีแห่งประชาชาติของพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะอวดได้ร่วมกับมรดกของพระองค์
สดด 106.40 แล้วความกริ้วของพระเยโฮวาห์ก็พลุ่งขึ้นต่อประชาชนของพระองค์ และพระองค์ทรงรังเกียจมรดกของพระองค์
สดด 111.6 พระองค์ได้ทรงสำแดงฤทธานุภาพแห่งพระราชกิจของพระองค์แก่ประชาชนของพระองค์ เพื่อจะทรงประทานมรดกของบรรดาประชาชาติแก่เขา
สดด 119.111 บรรดาพระโอวาทของพระองค์ ข้าพระองค์รับไว้เป็นมรดกเป็นนิตย์ พระเจ้าข้า เป็นความชื่นบานแก่ใจข้าพระองค์
สดด 127.3 ดูเถิด บุตรทั้งหลายเป็นมรดกจากพระเยโฮวาห์ ผู้บังเกิดจากครรภ์เป็นรางวัลของพระองค์
สดด 135.12 และประทานแผ่นดินของเขาทั้งหลายให้เป็นมรดก เป็นมรดกแก่อิสราเอลประชาชนของพระองค์
สดด 136.21 และประทานแผ่นดินของเขาให้เป็นมรดก เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์
สดด 136.22 ให้เป็นมรดกแก่อิสราเอลผู้รับใช้ของพระองค์ เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์
สภษ 3.35 คนฉลาดจะได้เกียรติเป็นมรดก แต่คนโง่จะได้ความอัปยศเป็นตำแหน่ง
สภษ 11.29 บุคคลผู้ทำให้ครัวเรือนของเขาลำบากจะรับลมเป็นมรดก และคนโง่จะเป็นคนใช้ของคนที่มีใจฉลาด
สภษ 13.22 คนดีก็ละมรดกไว้ให้แก่หลานๆ แต่ทรัพย์ศฤงคารของคนบาปนั้นส่ำสมไว้ให้คนชอบธรรม
สภษ 14.18 คนเขลาได้ความโง่เป็นมรดก แต่คนหยั่งรู้ก็มีความรู้เป็นมงกุฎ
สภษ 17.2 ทาสที่เฉลียวฉลาดจะปกครองบุตรชายผู้ประพฤติความละอาย และจะได้ส่วนแบ่งมรดกเท่ากับพวกพี่น้อง
สภษ 19.14 เรือนและทรัพย์ศฤงคารเป็นมรดกมาจากบิดา แต่ภรรยาที่หยั่งรู้ก็มาจากพระเยโฮวาห์
สภษ 20.21 เริ่มแรกอาจได้รับมรดกแบบชิงสุกก่อนห่าม แต่ที่สุดปลายจะไม่เป็นพร
ปญจ 7.11 สติปัญญาประกอบกับมรดกก็เป็นของดี การนั้นเป็นประโยชน์แก่คนที่ได้เห็นดวงตะวัน
อสย 19.25 เป็นผู้ที่พระเยโฮวาห์จอมโยธาจะทรงอำนวยพระพรว่า “อียิปต์ชนชาติของเราจงได้รับพร และอัสซีเรียผลงานแห่งมือของเรา และอิสราเอลมรดกของเรา”
อสย 47.6 เรากริ้วต่อชนชาติของเรา เราทำให้มรดกของเราเป็นมลทิน เรามอบเขาไว้ในมือของเจ้า เจ้ามิได้แสดงความกรุณาต่อเขา เจ้าวางแอกอย่างหนักไว้บนบ่าของคนชรา
อสย 49.8 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “ในเวลาอันชอบ เราได้ฟังเจ้า ในวันแห่งความรอด เราได้ช่วยเจ้า เราจะรักษาเจ้าไว้ และมอบให้เจ้าเป็นพันธสัญญาของมนุษยชาติ เพื่อสถาปนาแผ่นดิน เพื่อเป็นเหตุให้ได้รับมรดกที่ร้างเปล่านั้น
อสย 54.3 เพราะเจ้าจะกระจายออกไปทางขวาและทางซ้าย และเชื้อสายของเจ้าจะได้พวกต่างชาติเป็นมรดก และจะกระทำให้หัวเมืองที่รกร้างมีคนอาศัยอยู่
อสย 54.17 ไม่มีอาวุธใดที่สร้างเพื่อต่อสู้เจ้าจะจำเริญได้ และเจ้าจะปรับโทษลิ้นทุกลิ้นที่ลุกขึ้นต่อสู้เจ้าในการพิพากษา นี่เป็นมรดกของบรรดาผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์ และความชอบธรรมของเขามาจากเรา” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้
อสย 57.13 เมื่อเจ้าร้องออกมาก็ให้สิ่งที่เจ้าสะสมไว้ช่วยเจ้าให้พ้นซี แต่ลมจะพัดมันไปเสียหมด เพียงลมหายใจจะหอบมันออกไป แต่ผู้ที่วางใจในเราจะได้แผ่นดินนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ และจะได้ภูเขาบริสุทธิ์ของเราเป็นมรดก
อสย 58.14 แล้วเจ้าจะได้ความปีติยินดีในพระเยโฮวาห์ และเราจะให้เจ้าขึ้นขี่อยู่บนที่สูงของแผ่นดินโลก และเราจะเลี้ยงเจ้าด้วยมรดกของยาโคบบิดาของเจ้า เพราะโอษฐ์ของพระเยโฮวาห์ได้ตรัสแล้ว”
อสย 63.17 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ไฉนพระองค์ทรงกระทำให้ข้าพระองค์ทั้งหลายผิดไปจากพระมรรคาของพระองค์ และกระทำใจของข้าพระองค์ให้แข็งกระด้างจนข้าพระองค์ไม่ยำเกรงพระองค์ ขอพระองค์ทรงกลับมาเพื่อเห็นแก่บรรดาผู้รับใช้ของพระองค์คือ ตระกูลทั้งหลายอันเป็นมรดกของพระองค์
อสย 65.9 เราจะนำเชื้อสายออกมาจากยาโคบ และผู้รับมรดกภูเขาทั้งหลายของเราจากยูดาห์ ผู้เลือกสรรของเราจะได้รับมันเป็นมรดก และบรรดาผู้รับใช้ของเราจะอาศัยอยู่ที่นั่น
ยรม 2.7 และเราได้พาเจ้าทั้งหลายเข้ามาในดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ เพื่อกินผลไม้และของดีๆในแผ่นดินนั้น แต่เมื่อเจ้าเข้ามา เจ้าได้กระทำให้แผ่นดินของเราเป็นมลทิน และกระทำให้มรดกของเราเป็นสิ่งน่าสะอิดสะเอียน
ยรม 3.18 ในสมัยนั้นวงศ์วานของยูดาห์จะเดินมากับวงศ์วานของอิสราเอล เขาทั้งสองจะรวมกันมาจากแผ่นดินฝ่ายเหนือ มายังแผ่นดินซึ่งเรามอบให้แก่บรรพบุรุษของเจ้าให้เป็นมรดก
ยรม 3.19 แต่เรากล่าวว่า ‘เราจะตั้งเจ้าไว้ท่ามกลางบุตรทั้งหลายของเราอย่างไรดีหนอ และให้แผ่นดินที่น่าปรารถนาแก่เจ้า เป็นมรดกที่สวยงามที่สุดในบรรดาประชาชาติ’ และเรากล่าวว่า ‘เจ้าจะเรียกเราว่า พระบิดาของข้าพระองค์ และจะไม่หันกลับจากการติดตามเรา’”
ยรม 8.10 เพราะฉะนั้น เราจะให้ภรรยาของเขาตกไปเป็นของคนอื่น ให้ไร่นาของเขาตกแก่ผู้ที่จะได้รับเป็นมรดก เพราะว่าตั้งแต่คนที่ต่ำต้อยที่สุดถึงคนที่ใหญ่โตที่สุด ทุกคนโลภอยากได้กำไร ตั้งแต่ผู้พยากรณ์ถึงปุโรหิต ทุกคนก็ทำการฉ้อเขา
ยรม 10.16 พระองค์ผู้ทรงเป็นส่วนของยาโคบไม่เหมือนสิ่งเหล่านี้ เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ที่ก่อร่างทุกสิ่งขึ้น และอิสราเอลเป็นตระกูลที่เป็นมรดกของพระองค์ พระเยโฮวาห์จอมโยธาเป็นพระนามของพระองค์
ยรม 12.7 เราได้ละทิ้งนิเวศของเรา เราได้เหวี่ยงมรดกของเราทิ้ง เราได้มอบผู้ที่รักของจิตใจเราไว้ในมือศัตรูของเธอ
ยรม 12.8 มรดกของเราได้กลายเป็นเหมือนสิงโตในป่าต่อเรา เขาตะเบ็งเสียงของเขาเข้าใส่เรา เพราะฉะนั้นเราจึงเกลียดเขา
ยรม 12.9 มรดกของเราเป็นแก่เราเหมือนนกลายด่าง นกซึ่งอยู่รอบต่อสู้นกนั้น ไปเถอะ ไปชุมนุมสัตว์ป่าทุ่งทั้งสิ้น นำมันให้มากินเสีย
ยรม 12.14 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ ด้วยเรื่องบรรดาเพื่อนบ้านที่ชั่วร้ายของเรา ผู้ที่ได้แตะต้องมรดกซึ่งเราได้ให้อิสราเอลประชาชนของเราสืบมรดกนั้นว่า “ดูเถิด เราจะถอนเขาทั้งหลายขึ้นจากแผ่นดินของเขา และเราจะถอนวงศ์วานยูดาห์จากท่ามกลางเขาทั้งหลาย
ยรม 12.15 และต่อมาหลังจากที่เราได้ถอนเขาทั้งหลายขึ้นแล้ว เราจะกลับมีความเมตตาต่อเขาอีก และเราจะนำเขาทั้งหลายมาอีก ให้ต่างก็มายังมรดกของตน และยังแผ่นดินของตน
ยรม 16.18 และก่อนอื่นเราจะตอบสนองความชั่วช้าและบาปของเขาเป็นสองเท่า เพราะเขาได้กระทำให้แผ่นดินเราเป็นมลทินไป และกระทำให้มรดกของเราเต็มไปด้วยซากของสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนและสิ่งที่น่าเกลียดน่าชังของเขาทั้งหลาย”
ยรม 16.19 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ กำลังและที่กำบังเข้มแข็งของข้าพระองค์ เป็นที่ลี้ภัยของข้าพระองค์ในวันยากลำบาก บรรดาประชาชาติจะมาเฝ้าพระองค์จากที่สุดปลายโลก และทูลว่า “บรรพบุรุษของเราไม่ได้รับมรดกอันใด นอกจากสิ่งมุสา สิ่งไร้ค่า และสิ่งซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรในตัว
ยรม 17.4 เจ้าจะต้องปล่อยมือของเจ้าจากมรดกซึ่งเราได้ยกให้แก่เจ้า และเราจะกระทำให้เจ้าปรนนิบัติศัตรูของเจ้าในแผ่นดินซึ่งเจ้าไม่รู้จัก เพราะความโกรธของเราเจ้าก่อไฟขึ้นซึ่งจะไหม้อยู่เป็นนิตย์”
ยรม 49.1 เกี่ยวด้วยเรื่องคนอัมโมน พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “อิสราเอลไม่มีบุตรชายหรือ เขาไม่มีทายาทหรือ แล้วทำไมกษัตริย์ของพวกเขาจึงรับกาดเป็นมรดก และประชาชนของท่านอาศัยอยู่ในหัวเมืองของท่าน
ยรม 50.11 โอ บรรดาผู้ปล้นมรดกของเราเอ๋ย แม้ว่าเจ้าเปรมปรีดิ์ แม้ว่าเจ้าลิงโลด แม้เจ้าอ้วนพีอย่างวัวสาวอยู่ที่หญ้า และร้องอย่างวัวตัวผู้
ยรม 51.19 พระองค์ผู้ทรงเป็นส่วนของยาโคบไม่เหมือนสิ่งเหล่านี้ เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ที่ก่อร่างทุกสิ่งขึ้น และอิสราเอลเป็นตระกูลที่เป็นมรดกของพระองค์ พระเยโฮวาห์จอมโยธาเป็นพระนามของพระองค์
พคค 5.2 มรดกของพวกข้าพระองค์ได้ไปตกอยู่กับพวกต่างประเทศ บ้านเรือนของพวกข้าพระองค์เป็นของคนต่างด้าว
อสค 22.16 เจ้าจะได้มรดกของเจ้าเพราะตัวเจ้าเองท่ามกลางสายตาของประชาชาติ และเจ้าจะรู้ว่าเราคือพระเยโฮวาห์”
อสค 35.15 เจ้าได้ชื่นชมยินดีต่อมรดกแห่งวงศ์วานอิสราเอลเพราะมันเป็นที่รกร้างฉันใด เราจะกระทำแก่เจ้าฉันนั้น โอ ภูเขาเสอีร์เอ๋ย รวมทั้งเอโดมทั้งหมด ทั้งหมดเลย เจ้าจะต้องเป็นที่รกร้าง แล้วเขาทั้งหลายจะทราบว่าเราคือพระเยโฮวาห์”
อสค 36.12 เออ เราจะให้คนดำเนินบนเจ้า คืออิสราเอลประชาชนของเราด้วย และเขาทั้งหลายจะได้เจ้าเป็นกรรมสิทธิ์ และเจ้าจะเป็นมรดกของเขา และเจ้าจะไม่เอาลูกของเขาไปอีก
อสค 44.28 นั่นจะเป็นมรดกของเขา เราเป็นมรดกของเขา และเจ้าจะไม่ต้องให้เขาถือกรรมสิทธิ์ใดๆในอิสราเอล เราเป็นกรรมสิทธิ์ของเขา
อสค 46.16 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ถ้าเจ้านายนำเอาส่วนหนึ่งของมรดกของท่านมามอบให้แก่บุตรชายเป็นของขวัญ ก็ให้ของนั้นตกเป็นของบุตรชายของท่านโดยมรดกนั้นเป็นทรัพย์สินของเขาตามมรดก
อสค 46.17 แต่ถ้าท่านนำเอาส่วนหนึ่งของมรดกของท่านมามอบให้คนใช้ของท่านคนหนึ่งเป็นของขวัญ ของนั้นจะเป็นของคนใช้นั้นจนถึงปีอิสรภาพ แล้วของนั้นจะกลับมาเป็นของเจ้านาย เฉพาะบุตรชายของท่านเท่านั้นที่จะเก็บส่วนมรดกของท่านมาเป็นของขวัญได้
อสค 46.18 ยิ่งกว่านั้นอีกเจ้านายจะยึดสิ่งใดอันเป็นมรดกของประชาชนไม่ได้โดยไล่ประชาชนออกไปจากทรัพย์สินที่ดินของเขา แต่ท่านจะต้องมอบทรัพย์สินของท่านเองให้เป็นมรดกแก่บุตรชายของท่าน เพื่อว่าจะไม่มีประชาชนของเราสักคนหนึ่งที่ต้องถูกขับไล่จากกรรมสิทธิ์ของตน”
อสค 47.13 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “นี่เป็นเขตแดนซึ่งเจ้าจะใช้แบ่งแผ่นดินสำหรับเป็นมรดกท่ามกลางอิสราเอลทั้งสิบสองตระกูล โยเซฟจะได้สองส่วน
อสค 47.14 และเจ้าจงแบ่งให้เท่าๆกัน เราปฏิญาณที่จะมอบให้แก่บรรพบุรุษของเจ้า และแผ่นดินนี้จะตกแก่เจ้าเป็นมรดกของเจ้า
อสค 47.22 ต่อมาเจ้าทั้งหลายจงแบ่งแผ่นดินเป็นมรดกของตัวเจ้าทั้งหลายโดยการจับสลาก และสำหรับคนต่างด้าวผู้อาศัยอยู่ท่ามกลางเจ้า และบังเกิดลูกหลานอยู่ท่ามกลางเจ้า เขาทั้งหลายจะมีสัญชาติอิสราเอล ให้เขาได้รับส่วนมรดกท่ามกลางตระกูลอิสราเอลพร้อมกับเจ้าทั้งหลาย
อสค 47.23 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า ต่อมาคนต่างด้าวจะอยู่ในเขตของคนตระกูลใดก็ได้ เจ้าจงกำหนดที่ดินให้เป็นมรดกของเขาที่นั่น”
อสค 48.29 นี่เป็นแผ่นดินซึ่งเจ้าจะแบ่งให้เป็นมรดกแก่ตระกูลต่างๆของอิสราเอลโดยการจับสลาก นี่เป็นส่วนต่างๆของเขาทั้งหลาย องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
ยอล 2.17 ให้ปุโรหิต คือผู้ปรนนิบัติพระเยโฮวาห์คร่ำครวญอยู่ระหว่างเฉลียงและแท่นบูชา ให้ทูลว่า “โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงเวทนาประชาชนของพระองค์ ขออย่าทรงกระทำให้มรดกของพระองค์เป็นที่ประณามกัน เพื่อให้ประชาชาติครอบครองเหนือพวกเขา ควรหรือที่เขาจะกล่าวท่ามกลางชนชาติทั้งหลายว่า ‘พระเจ้าของเขาอยู่ที่ไหน’”
ยอล 3.2 เราจะรวบรวมบรรดาประชาชาติทั้งสิ้น และนำเขาลงมาที่หุบเขาเยโฮชาฟัท และเราจะเข้าสู่การพิพากษากับเขาที่นั่นด้วยเรื่องประชาชนของเรา คืออิสราเอลมรดกของเรา เพราะว่าเขาได้กระจายชนชาติของเราไปท่ามกลางประชาชาติ และได้แบ่งแผ่นดินของเรา
มคา 2.2 เขาโลภที่ดินแล้วก็ใช้ความรุนแรงยึดเอาไป เขาโลภบ้านเรือนและก็ริบไปเสีย เขาบีบบังคับคนและบ้านเรือนของเขา และบีบคนกับมรดกของเขา
มคา 7.14 ขอทรงเลี้ยงดูประชาชนของพระองค์ด้วยคทาของพระองค์ คือฝูงประชาชนที่เป็นมรดกของพระองค์ ผู้อาศัยโดดเดี่ยวอยู่ในป่า ในท่ามกลางคารเมล ขอทรงให้เขาหากินอยู่ในบาชานและกิเลอาดอย่างในโบราณกาล
มคา 7.18 ใครเล่าจะเป็นพระเจ้าเสมอเหมือนพระองค์ ผู้ทรงยกโทษความชั่วช้า และทรงให้อภัยการละเมิดแก่คนที่เหลืออยู่อันเป็นมรดกของพระองค์ พระองค์มิได้ทรงถือพระพิโรธเนืองนิตย์ เพราะว่าพระองค์ทรงพอพระทัยในความเมตตา
ศคย 2.12 และพระเยโฮวาห์จะทรงรับยูดาห์เป็นมรดก เป็นส่วนของพระองค์ในแผ่นดินบริสุทธิ์ และจะเลือกสรรกรุงเยรูซาเล็มอีกครั้งหนึ่ง”
มลค 1.3 แต่เราได้เกลียดเอซาว เราได้กระทำให้เทือกเขาและมรดกของเขาร้างเปล่าสำหรับมังกรแห่งถิ่นทุรกันดาร”
มธ 5.5 บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก
มธ 19.29 ทุกคนที่ได้สละบ้านหรือพี่น้องชายหญิงหรือบิดามารดาหรือภรรยาหรือบุตรหรือที่ดิน เพราะเห็นแก่นามของเรา ผู้นั้นจะได้ผลร้อยเท่า และจะได้ชีวิตนิรันดร์เป็นมรดก
มธ 21.38 แต่เมื่อบรรดาคนเช่าสวนเห็นบุตรชายเจ้าของบ้านก็พูดกันว่า ‘คนนี้แหละเป็นทายาท มาเถิด ให้เราฆ่าเขา แล้วให้เรายึดมรดกของเขาเสีย’
มธ 25.34 ขณะนั้น พระมหากษัตริย์จะตรัสแก่บรรดาผู้ที่อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ว่า ‘ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา จงมารับเอาราชอาณาจักรซึ่งได้ตระเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลกเป็นมรดก
มก 10.17 เมื่อพระองค์กำลังเสด็จออกไปตามทาง มีคนหนึ่งวิ่งมาหาพระองค์คุกเข่าลงทูลถามพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าจะกระทำประการใดจึงจะได้ชีวิตนิรันดร์เป็นมรดก”
มก 12.7 แต่คนเช่าสวนพูดกันว่า ‘คนนี้แหละเป็นทายาท มาเถิด ให้เราฆ่าเขาเสีย แล้วมรดกนั้นจะตกอยู่กับเรา’
ลก 10.25 ดูเถิด มีนักกฎหมายคนหนึ่งยืนขึ้นทดลองพระองค์ทูลถามว่า “อาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าจะต้องทำประการใดเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร์เป็นมรดก”
ลก 12.13 และมีผู้หนึ่งในหมู่คนทูลพระองค์ว่า “อาจารย์เจ้าข้า ขอสั่งพี่ชายของข้าพเจ้าให้แบ่งมรดกให้กับข้าพเจ้า”
ลก 18.18 มีขุนนางผู้หนึ่งทูลถามพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าจะทำประการใดจึงจะได้ชีวิตนิรันดร์เป็นมรดก”
ลก 20.14 แต่พวกคนเช่าสวนเมื่อเห็นบุตรนั้นก็ปรึกษากันว่า ‘คนนี้แหละเป็นทายาท มาเถิด ให้เราฆ่าเขาเสีย เพื่อมรดกจะตกกับเรา’
กจ 7.5 แต่พระองค์ไม่ทรงโปรดให้อับราฮัมมีมรดกในแผ่นดินนี้แม้เท่าฝ่าเท้าก็ไม่ได้ และขณะเมื่อท่านยังไม่มีบุตร พระองค์ทรงสัญญาไว้ว่าจะให้แผ่นดินนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของท่าน และเชื้อสายของท่านที่มาภายหลังท่าน
กจ 20.32 พี่น้องทั้งหลาย บัดนี้ข้าพเจ้าฝากท่านไว้กับพระเจ้าและกับพระดำรัสแห่งพระคุณของพระองค์ ซึ่งมีฤทธิ์ก่อสร้างท่านขึ้นได้ และให้ท่านมีมรดกด้วยกันกับบรรดาผู้ที่ทรงแยกตั้งไว้
กจ 26.18 เพื่อจะให้เจ้าเปิดตาของเขา เพื่อเขาจะกลับจากความมืดมาถึงความสว่าง และจากอำนาจของซาตานมาถึงพระเจ้า เพื่อเขาจะได้รับการยกโทษความผิดบาปของเขา และให้ได้รับมรดกด้วยกันกับคนทั้งหลายซึ่งถูกแยกตั้งไว้แล้วโดยความเชื่อในเรา’
รม 4.13 เพราะว่าพระสัญญาที่ประทานแก่อับราฮัมและผู้สืบเชื้อสายของท่าน ที่ว่าจะได้ทั้งพิภพเป็นมรดกนั้นไม่ได้มีมาโดยพระราชบัญญัติ แต่มีมาโดยความชอบธรรมที่เกิดจากความเชื่อ
รม 4.16 ด้วยเหตุนี้เองการที่ได้รับมรดกนั้นจึงขึ้นอยู่กับความเชื่อ เพื่อจะได้เป็นตามพระคุณ เพื่อพระสัญญานั้นจะเป็นที่แน่ใจแก่ผู้สืบเชื้อสายของท่านทุกคน มิใช่แก่ผู้สืบเชื้อสายที่ถือพระราชบัญญัติพวกเดียว แต่แก่คนที่มีความเชื่อเช่นเดียวกับอับราฮัมผู้เป็นบิดาของพวกเราทุกคน
1คร 6.9 ท่านไม่รู้หรือว่าคนอธรรมจะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก อย่าหลงเลย คนล่วงประเวณี คนถือรูปเคารพ คนผิดผัวเมียเขา คนนิสัยเหมือนผู้หญิงหรือคนที่เป็นกะเทย
1คร 6.10 คนขโมย คนโลภ คนขี้เมา คนปากร้าย คนฉ้อโกง จะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก
1คร 15.50 แต่พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าหมายความว่า เนื้อและเลือดจะรับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดกไม่ได้ และสิ่งซึ่งเปื่อยเน่าจะรับสิ่งซึ่งไม่รู้จักเปื่อยเน่าเป็นมรดกก็ไม่ได้
กท 3.18 เพราะว่าถ้าได้รับมรดกโดยพระราชบัญญัติ ก็ไม่ใช่ได้โดยพระสัญญาอีกต่อไป แต่พระเจ้าทรงโปรดประทานมรดกนั้นให้แก่อับราฮัมโดยพระสัญญา
กท 5.21 การอิจฉากัน การฆาตกรรม การเมาเหล้า การเล่นเป็นพาลเกเร และการอื่นๆในทำนองนี้อีก เหมือนที่ข้าพเจ้าได้เตือนท่านมาก่อน บัดนี้ข้าพเจ้าขอเตือนท่านเหมือนกับที่เคยเตือนมาแล้วว่า คนที่ประพฤติเช่นนั้นจะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก
อฟ 1.11 และในพระองค์นั้นเราได้รับมรดกที่ทรงดำริไว้ตามพระประสงค์ของพระองค์ ผู้ทรงกระทำทุกสิ่งตามที่ได้ทรงตริตรองไว้สมกับพระทัยของพระองค์
อฟ 1.14 ผู้ทรงเป็นมัดจำแห่งมรดกของเรา จนกว่าเราจะได้รับการที่พระองค์ทรงไถ่ไว้แล้วนั้น มาเป็นกรรมสิทธิ์เป็นที่ถวายสรรเสริญแด่สง่าราศีของพระองค์
อฟ 1.18 และขอให้ตาใจของท่านสว่างขึ้นเพื่อท่านจะได้รู้ว่า ในการที่พระองค์ทรงเรียกท่านนั้น พระองค์ได้ประทานความหวังอะไรแก่ท่าน และรู้ว่ามรดกของพระองค์สำหรับวิสุทธิชนมีสง่าราศีอันอุดมบริบูรณ์เพียงไร
อฟ 5.5 เพราะท่านรู้แน่ว่า คนล่วงประเวณี คนโสโครก คนโลภ ที่เป็นคนไหว้รูปเคารพ จะได้อาณาจักรของพระคริสต์และของพระเจ้าเป็นมรดกก็หามิได้
คส 1.12 ให้ขอบพระคุณพระบิดา ผู้ทรงทำให้เราทั้งหลายสมกับที่จะเข้าส่วนได้รับมรดกด้วยกันกับวิสุทธิชนในความสว่าง
คส 3.24 ด้วยรู้แล้วว่าท่านจะได้รับมรดกจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นบำเหน็จเพราะท่านปรนนิบัติพระคริสต์เจ้าอยู่
ทต 3.7 เพื่อว่าเมื่อเราได้เป็นคนชอบธรรมแล้วโดยพระคุณของพระองค์ เราจะได้เป็นผู้ได้รับมรดกที่มุ่งหวังคือชีวิตนิรันดร์
ฮบ 1.2 แต่ในวันสุดท้ายเหล่านี้พระองค์ได้ตรัสแก่เราทั้งหลายทางพระบุตร ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงตั้งให้เป็นผู้รับสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นมรดก พระองค์ได้ทรงสร้างกัลปจักรวาลโดยพระบุตร
ฮบ 1.4 พระองค์ทรงเป็นผู้เยี่ยมกว่าเหล่าทูตสวรรค์มากนัก ด้วยว่าพระองค์ทรงรับพระนามที่ประเสริฐกว่านามของทูตสวรรค์นั้นเป็นมรดก
ฮบ 1.14 ทูตสวรรค์ทั้งปวงเป็นแต่เพียงวิญญาณผู้ปรนนิบัติ ที่พระองค์ทรงส่งไปช่วยเหลือบรรดาผู้ที่จะได้รับความรอดเป็นมรดกมิใช่หรือ
ฮบ 6.12 เพื่อท่านจะไม่เป็นคนเฉื่อยช้า แต่ให้ตามเยี่ยงอย่างแห่งคนเหล่านั้นที่อาศัยความเชื่อและความเพียร จึงได้รับตามพระสัญญาเป็นมรดก
ฮบ 6.17 ฝ่ายพระเจ้าเมื่อพระองค์ทรงหมายพระทัยจะสำแดงให้ผู้ที่รับคำทรงสัญญานั้นเป็นมรดกรู้ให้แน่ใจยิ่งขึ้นว่า พระดำริของพระองค์จะแปรปรวนไม่ได้ พระองค์จึงได้ทรงให้คำปฏิญาณไว้ด้วย
ฮบ 9.15 เพราะเหตุนี้พระองค์จึงทรงเป็นคนกลางแห่งพันธสัญญาใหม่ เพื่อเมื่อมีผู้หนึ่งตายสำหรับที่จะไถ่การละเมิดของคนที่ได้ละเมิดต่อพันธสัญญาเดิมนั้นแล้ว คนทั้งหลายที่ถูกเรียกแล้วนั้นจะได้รับมรดกอันนิรันดร์ตามพระสัญญา
ฮบ 11.8 โดยความเชื่อ เมื่อทรงเรียกให้อับราฮัมออกเดินทางไปยังที่ซึ่งท่านจะรับเป็นมรดก ท่านได้เชื่อฟังและได้เดินทางออกไปโดยหารู้ไม่ว่าจะไปทางไหน
ฮบ 12.17 เพราะท่านทั้งหลายก็รู้อยู่แล้วว่า ต่อมาภายหลังเมื่อเอซาวอยากได้รับพรนั้นเป็นมรดก เขาก็ได้รับคำปฏิเสธ เพราะเขาไม่มีหนทางแก้ไขเลย ถึงแม้ว่าได้กลับใจแสวงหาจนน้ำตาไหล
1ปต 1.4 และเพื่อให้ได้รับมรดกซึ่งไม่รู้เปื่อยเน่า ปราศจากมลทินและไม่ร่วงโรย ซึ่งได้รักษาไว้ในสวรรค์เพื่อท่านทั้งหลาย
1ปต 3.9 อย่าทำการร้ายตอบแทนการร้าย อย่าด่าตอบการด่า แต่ตรงกันข้ามจงอวยพรแก่เขา โดยรู้อยู่ว่าพระองค์ได้ทรงเรียกท่านกระทำเช่นนั้น เพื่อท่านจะได้รับพระพรเป็นมรดก
วว 21.7 ผู้ใดมีชัยชนะ ผู้นั้นจะได้รับสิ่งสารพัดเป็นมรดก และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา

มรรคา ( 46 )
1พกษ 15.34 พระองค์ทรงกระทำชั่วในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์ และดำเนินในมรรคาของเยโรโบอัม และในบาปซึ่งพระองค์ทรงกระทำให้อิสราเอลทำบาปด้วย
1พกษ 16.2 “ในเมื่อเราได้เชิดชูเจ้าขึ้นมาจากผงคลี และกระทำให้เจ้าเป็นประมุขเหนืออิสราเอลประชาชนของเรา และเจ้าได้ดำเนินตามมรรคาของเยโรโบอัม และได้กระทำให้อิสราเอลประชาชนของเราทำบาปด้วย กระทำให้เราโกรธด้วยบาปของเขาทั้งหลาย
1พกษ 16.19 เหตุด้วยบาปทั้งหลายซึ่งพระองค์ทรงกระทำไว้ คือทรงกระทำชั่วในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์ ดำเนินอยู่ในมรรคาของเยโรโบอัม และด้วยเหตุบาปซึ่งพระองค์ทรงกระทำ คือทรงกระทำให้อิสราเอลทำบาปด้วย
1พกษ 16.26 เพราะว่าพระองค์ทรงดำเนินตามมรรคาทั้งสิ้นของเยโรโบอัมบุตรชายเนบัท และตามบาปซึ่งพระองค์กระทำให้อิสราเอลทำบาปด้วย กระทำให้พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลพิโรธด้วยความหยิ่งยโสของเขาทั้งหลาย
1พกษ 22.43 พระองค์ทรงดำเนินตามมรรคาของอาสาราชบิดาทุกประการ มิได้หันเหออกไปจากทางนั้น ทรงกระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรพระเยโฮวาห์ แต่ปูชนียสถานสูงนั้นยังมิได้ถูกรื้อลง ประชาชนยังคงถวายเครื่องสัตวบูชาและเผาเครื่องหอมในปูชนียสถานสูงนั้น
1พกษ 22.52 พระองค์ทรงกระทำชั่วในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์ และทรงดำเนินในมรรคาแห่งราชบิดาของพระองค์ และในมรรคาแห่งพระมารดาของพระองค์ และในมรรคาของเยโรโบอัมบุตรชายเนบัทผู้ทรงกระทำให้อิสราเอลทำบาปด้วย
2พกษ 8.18 และพระองค์ทรงดำเนินตามมรรคาของบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอล ตามอย่างที่ราชวงศ์อาหับกระทำ เพราะว่าธิดาของอาหับเป็นมเหสีของพระองค์ และพระองค์ทรงกระทำชั่วในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์
2พกษ 8.27 พระองค์ทรงดำเนินตามมรรคาราชวงศ์ของอาหับด้วย และทรงกระทำชั่วในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์ ดังที่ราชวงศ์ของอาหับได้กระทำ เพราะทรงเป็นราชบุตรเขยในราชวงศ์ของอาหับ
2พกษ 21.22 พระองค์ทรงทอดทิ้งพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของพระองค์ และมิได้ทรงดำเนินในมรรคาของพระเยโฮวาห์
2พกษ 22.2 และพระองค์ได้ทรงกระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์ และทรงดำเนินในมรรคาทั้งสิ้นของดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ และมิได้ทรงหันไปทางขวามือหรือซ้ายมือ
2พศด 6.31 เพื่อว่าเขาทั้งหลายจะได้ยำเกรงพระองค์ และดำเนินในมรรคาของพระองค์ ตลอดวันเวลาที่เขามีชีวิตอาศัยในแผ่นดิน ซึ่งพระองค์พระราชทานแก่บรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลาย
2พศด 20.32 พระองค์ทรงดำเนินตามมรรคาของอาสาราชบิดาของพระองค์ และมิได้ทรงพรากไปจากทางนั้น พระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์
2พศด 21.6 และพระองค์ทรงดำเนินตามมรรคาของกษัตริย์ทั้งหลายแห่งอิสราเอล ตามอย่างที่ราชวงศ์อาหับกระทำ เพราะว่าธิดาของอาหับเป็นมเหสีของพระองค์ และพระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรพระเยโฮวาห์
2พศด 21.12 และจดหมายฉบับหนึ่งมาถึงพระองค์จากเอลียาห์ผู้พยากรณ์ว่า “พระเยโฮวาห์พระเจ้าของดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ ตรัสดังนี้ว่า ‘เพราะเจ้ามิได้ดำเนินในบรรดามรรคาของเยโฮชาฟัทบิดาของเจ้า หรือในบรรดามรรคาของอาสากษัตริย์ของยูดาห์
2พศด 21.13 แต่ได้เดินในมรรคาของบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอล และได้นำยูดาห์กับชาวเยรูซาเล็มในการแพศยา อย่างกับการแพศยาแห่งราชวงศ์อาหับ และเจ้าได้ฆ่าพวกน้องชายของเจ้าเสียด้วย ผู้เป็นเชื้อวงศ์บิดาของเจ้า และพวกเขาดีกว่าเจ้า
2พศด 34.2 พระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์ และดำเนินในมรรคาของดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ และพระองค์มิได้ทรงเอนเอียงไปทางขวามือหรือทางซ้าย
โยบ 23.11 เท้าของข้าติดรอยพระบาทของพระองค์แน่น ข้าตามมรรคาของพระองค์ และมิได้หันไปข้างๆเลย
โยบ 34.27 เพราะว่าเขาทั้งหลายหันกลับเสียจากการติดตามพระองค์ และไม่นับถือมรรคาของพระองค์แต่อย่างใดเลย
โยบ 36.23 ผู้ใดเป็นผู้บงการมรรคาของพระองค์ หรือผู้ใดจะพูดได้ว่า ‘พระองค์ทรงกระทำความชั่วช้าแล้ว’
สดด 18.21 เพราะข้าพเจ้ารักษาบรรดามรรคาของพระเยโฮวาห์ และไม่ได้พรากจากพระเจ้าของข้าพเจ้าอย่างชั่วร้าย
สดด 25.9 พระองค์จะทรงนำคนใจถ่อมไปในสิ่งที่ถูก และทรงสอนมรรคาของพระองค์แก่คนใจถ่อม
สดด 27.11 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอสอนมรรคาของพระองค์แก่ข้าพระองค์ และทรงนำข้าพระองค์ไปบนวิถีราบ เหตุด้วยศัตรูของข้าพระองค์
สดด 85.13 ความชอบธรรมจะนำหน้าพระองค์ และจะตั้งข้าพระองค์ทั้งหลายไว้ในมรรคาแห่งรอยพระบาทของพระองค์
สดด 101.2 ข้าพระองค์จะประพฤติอย่างเฉลียวฉลาดตามมรรคาที่ดีรอบคอบ โอ เมื่อไรพระองค์จะเสด็จมาหาข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะดำเนินด้วยใจซื่อสัตย์ภายในเรือนของข้าพระองค์
สดด 119.35 ขอโปรดให้ข้าพระองค์ไปในมรรคาแห่งพระบัญญัติของพระองค์ เพราะข้าพระองค์ยินดีในมรรคานั้น
สดด 119.105 พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับเท้าของข้าพระองค์ และเป็นความสว่างแก่มรรคาของข้าพระองค์
สดด 119.128 เพราะฉะนั้นข้าพระองค์ถือว่าบรรดาข้อบังคับของพระองค์ถูกต้องในทุกเรื่อง ข้าพระองค์เกลียดมรรคาทุจริตทุกทาง
สดด 128.1 ทุกคนที่เกรงกลัวพระเยโฮวาห์ก็เป็นสุข คือผู้ที่ดำเนินในมรรคาของพระองค์
สดด 139.24 และทอดพระเนตรว่ามีทางชั่วใดๆในข้าพระองค์หรือไม่ และขอทรงนำข้าพระองค์ไปในมรรคานิรันดร์
สภษ 10.29 มรรคาของพระเยโฮวาห์ทรงเป็นกำลังแก่ผู้เที่ยงธรรม แต่ผู้กระทำความชั่วช้าจะถูกทำลาย
สภษ 19.16 บุคคลที่รักษาพระบัญญัติก็รักษาชีวิตของตน บุคคลที่ดูหมิ่นมรรคาทั้งหลายของพระองค์ก็จะถึงตาย
อสย 2.3 และชนชาติทั้งหลายเป็นอันมากจะมากล่าวว่า “มาเถิด ให้เราขึ้นไปยังภูเขาของพระเยโฮวาห์ ยังพระนิเวศแห่งพระเจ้าของยาโคบ เพื่อพระองค์จะทรงสอนวิถีของพระองค์แก่เรา และเพื่อเราจะเดินในมรรคาของพระองค์” เพราะว่าพระราชบัญญัติจะออกมาจากศิโยน และพระวจนะของพระเยโฮวาห์จะออกมาจากเยรูซาเล็ม
อสย 40.3 เสียงผู้ร้องในถิ่นทุรกันดารว่า “จงเตรียมมรรคาแห่งพระเยโฮวาห์ จงทำทางหลวงสำหรับพระเจ้าของเราให้ตรงไปในทะเลทราย
มคา 4.2 และประชาชาติเป็นอันมากจะมากล่าวว่า “มาเถิด ให้เราขึ้นไปยังภูเขาของพระเยโฮวาห์ ยังพระนิเวศแห่งพระเจ้าของยาโคบ เพื่อพระองค์จะทรงสอนวิถีของพระองค์แก่เรา และเพื่อเราจะเดินในมรรคาของพระองค์” เพราะว่าพระราชบัญญัติจะออกมาจากศิโยน และพระวจนะของพระเยโฮวาห์จะออกมาจากเยรูซาเล็ม
มธ 3.3 ยอห์นผู้นี้แหละซึ่งตรัสถึงโดยอิสยาห์ศาสดาพยากรณ์ว่า ‘เสียงผู้ร้องในถิ่นทุรกันดารว่า ท่านจงเตรียมมรรคาขององค์พระผู้เป็นเจ้า จงกระทำหนทางของพระองค์ให้ตรงไป’
มก 1.2 ตามที่ได้เขียนไว้ในคำของศาสดาพยากรณ์ว่า ‘ดูเถิด เราใช้ทูตของเราไปข้างหน้าท่าน ผู้นั้นจะเตรียมมรรคาของท่านไว้ข้างหน้าท่าน
มก 1.3 เสียงผู้ร้องในถิ่นทุรกันดารว่า “จงเตรียมมรรคาแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า จงกระทำหนทางของพระองค์ให้ตรงไป”’
ลก 1.76 ท่านทารกเอ๋ย เขาจะเรียกท่านว่าเป็นศาสดาพยากรณ์ของผู้สูงสุด เพราะว่าท่านจะนำหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อจะจัดเตรียมมรรคาของพระองค์ไว้
ลก 3.4 ตามที่มีเขียนไว้แล้วในหนังสือถ้อยคำของอิสยาห์ศาสดาพยากรณ์ว่า “เสียงผู้ร้องในถิ่นทุรกันดารว่า ‘จงเตรียมมรรคาแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า จงกระทำหนทางของพระองค์ให้ตรงไป
ลก 7.27 คือผู้นั้นเองที่พระคัมภีร์ได้เขียนถึงว่า ‘ดูเถิด เราใช้ทูตของเราไปข้างหน้าท่าน ผู้นั้นจะเตรียมมรรคาของท่านไว้ข้างหน้าท่าน’
ยน 1.23 ท่านตอบว่า “เราเป็นเสียงของผู้ที่ร้องในถิ่นทุรกันดารว่า ‘จงกระทำมรรคาขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ตรงไป’ ตามที่อิสยาห์ศาสดาพยากรณ์ได้กล่าวไว้”
วว 16.12 ทูตสวรรค์องค์ที่หกเทขันของตนลงที่แม่น้ำใหญ่ คือแม่น้ำยูเฟรติส ทำให้น้ำในแม่น้ำนั้นแห้งไป เพื่อเตรียมมรรคาไว้สำหรับบรรดากษัตริย์ที่มาจากทิศตะวันออก

มฤตยู ( 3 )
ยรม 9.8 ลิ้นของเขาเป็นลูกศรมฤตยู มันพูดมารยา เขาพูดอย่างสันติกับเพื่อนบ้านของเขาด้วยปาก แต่ในใจของเขา เขาวางแผนการคอยดักเขาอยู่”
พคค 1.20 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ โปรดทอดพระเนตร เพราะข้าพระองค์มีความทุกข์ จิตใจของข้าพระองค์มีความทุรนทุราย จิตใจของข้าพระองค์ยุ่งเหยิงเพราะข้าพระองค์มักกบฏอย่างร้ายกาจ นอกบ้านมีคนต้องคมดาบตาย ในบ้านก็เหมือนมฤตยู
อสค 5.16 เมื่อเราจะปล่อยลูกธนูมฤตยูแห่งการกันดารอาหาร คือลูกธนูแห่งการทำลายในท่ามกลางเจ้า ซึ่งเราจะปล่อยไปทำลายเจ้า และเมื่อเราเพิ่มการกันดารอาหารให้เจ้า และทำลายอาหารหลักของเจ้าเสีย

มลทิน ( 349 )
ปฐก 49.4 เจ้าไม่มั่นคงเหมือนดั่งน้ำ จึงเป็นยอดไม่ได้ ด้วยเจ้าล่วงเข้าไปถึงที่นอนบิดาของเจ้า เจ้าทำให้ที่นอนนั้นเป็นมลทิน เขาล่วงเข้าไปถึงที่นอนของเรา
อพย 20.25 ถ้าจะก่อแท่นบูชาด้วยศิลาสำหรับเรา อย่าก่อด้วยศิลาที่ตกแต่งแล้ว เพราะถ้าเจ้าใช้เครื่องมือตกแต่งศิลานั้น เจ้าก็จะทำให้ศิลานั้นเป็นมลทิน
อพย 29.33 ให้เขากินของซึ่งนำมาบูชาลบมลทิน เพื่อจะสถาปนาและชำระเขาเหล่านั้นให้บริสุทธิ์ แต่คนภายนอกอย่าให้รับประทาน เพราะเป็นของบริสุทธิ์
อพย 31.14 เหตุฉะนี้ เจ้าทั้งหลายจงรักษาวันสะบาโตไว้ เพราะเป็นวันบริสุทธิ์สำหรับเจ้า ทุกคนที่กระทำให้วันนั้นเป็นมลทินจะต้องถูกประหารให้ตายเป็นแน่ เพราะผู้ใดก็ตามทำการงานในวันนั้น ผู้นั้นต้องถูกตัดขาดจากท่ามกลางชนชาติของเขา
ลนต 5.2 หรือผู้หนึ่งผู้ใดแตะต้องสิ่งที่เป็นมลทิน จะเป็นซากสัตว์ป่าที่มลทิน หรือซากสัตว์เลี้ยงที่มลทิน หรือซากสัตว์เลื้อยคลานที่เป็นมลทิน โดยไม่ทันรู้ตัว เขาจึงเป็นคนมีมลทิน เขาก็มีความผิด
ลนต 5.3 หรือถ้าเขาแตะต้องมลทินของคน จะเป็นสิ่งใดๆซึ่งเป็นมลทิน อันเป็นสิ่งที่กระทำให้คนนั้นเป็นมลทิน โดยเขาไม่รู้ตัว เมื่อเขารู้แล้ว เขาก็มีความผิด
ลนต 7.19 เนื้อที่ไปถูกของที่เป็นมลทินใดๆ อย่ารับประทาน จงเผาเสียด้วยไฟ บุคคลที่สะอาดทุกคนรับประทานเนื้อได้
ลนต 7.20 แต่ผู้ใดรับประทานเนื้อสัตวบูชาอันเป็นเครื่องสันติบูชาแด่พระเยโฮวาห์โดยที่ตนยังมีมลทินติดตัวอยู่ ผู้นั้นจะต้องถูกตัดขาดจากพลไพร่ของตน
ลนต 7.21 ยิ่งกว่านั้นอีกถ้าผู้ใดแตะต้องสิ่งมลทินใดๆ ไม่ว่าจะเป็นมลทินของคน หรือสัตว์มลทินใดๆ หรือสิ่งมลทินที่น่าสะอิดสะเอียนใดๆ และผู้นั้นมารับประทานเนื้อสัตวบูชาอันเป็นเครื่องสันติบูชาแด่พระเยโฮวาห์ ผู้นั้นจะต้องถูกตัดขาดจากพลไพร่ของตน”
ลนต 8.34 สิ่งที่ได้กระทำในวันนี้ พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาให้กระทำเพื่อลบมลทินของท่าน
ลนต 11.4 อย่างไรก็ตามสัตว์ต่อไปนี้ที่เคี้ยวเอื้องหรือแยกกีบ เจ้าก็อย่ารับประทาน อูฐ เพราะมันเคี้ยวเอื้องแต่ไม่แยกกีบ เป็นสัตว์มลทินแก่เจ้า
ลนต 11.5 ตัวกระจงผาเพราะว่ามันเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้องแต่ไม่แยกกีบ เป็นสัตว์มลทินแก่เจ้า
ลนต 11.6 กระต่าย เพราะว่ามันเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้องแต่ไม่แยกกีบ เป็นสัตว์มลทินแก่เจ้า
ลนต 11.7 หมูเพราะมันเป็นสัตว์แยกกีบและมีกีบผ่าแต่ไม่เคี้ยวเอื้อง จึงเป็นสัตว์มลทินแก่เจ้า
ลนต 11.24 สิ่งเหล่านั้นจะกระทำให้เจ้ามลทินได้ คือผู้หนึ่งผู้ใดแตะต้องซากของมันจะต้องมลทินไปถึงเวลาเย็น
ลนต 11.25 ผู้ใดถือซากสัตว์ส่วนใดๆไปต้องซักเสื้อผ้าของตน และมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
ลนต 11.26 ซากของสัตว์ทั้งปวงที่แยกกีบและไม่มีกีบผ่า ไม่เคี้ยวเอื้องเป็นสัตว์มลทินแก่เจ้า ผู้ใดแตะต้องสัตว์เหล่านี้จะมลทิน
ลนต 11.27 ในบรรดาสัตว์สี่เท้าทุกอย่างซึ่งเดินด้วยขยุ้มเท้าเป็นสัตว์มลทินแก่เจ้า ผู้ใดแตะต้องซากสัตว์นี้จะต้องมลทินไปถึงเวลาเย็น
ลนต 11.28 ผู้ใดนำซากมันไปจะต้องซักเสื้อผ้าของตน และมลทินไปจนถึงเวลาเย็น เป็นสัตว์มลทินแก่เจ้า
ลนต 11.29 ในบรรดาสัตว์ที่เลื้อยคลานไปบนดิน ชนิดต่อไปนี้เป็นสัตว์มลทินแก่เจ้า คือ อีเห็น หนู เหี้ยตามชนิดของมัน
ลนต 11.31 ในบรรดาสัตว์เลื้อยคลาน ชนิดเหล่านี้เป็นมลทินแก่เจ้า ผู้ใดแตะต้องเมื่อมันตายแล้ว ผู้นั้นจะมลทินไปถึงเวลาเย็น
ลนต 11.32 และเมื่อมันตายตกทับสิ่งใด สิ่งนั้นก็เป็นมลทิน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เป็นไม้ หรือเสื้อผ้า หรือหนังสัตว์ หรือกระสอบ หรือภาชนะใดๆที่ใช้เพื่อประโยชน์อย่างใด จะต้องแช่น้ำ และจะมลทินไปจนถึงเวลาเย็น ต่อไปก็นับว่าสะอาดได้
ลนต 11.33 และถ้ามันตกลงไปในภาชนะดิน สิ่งที่อยู่ในภาชนะนั้นจะมลทิน จงทุบภาชนะนั้นเสีย
ลนต 11.34 อาหารในภาชนะนั้นที่รับประทานได้ซึ่งมีน้ำปนอยู่ก็เป็นมลทิน และน้ำดื่มทั้งสิ้นซึ่งจะดื่มได้จากภาชนะอย่างนี้จะมลทิน
ลนต 11.35 ถ้าส่วนใดของซากสัตว์ตกใส่สิ่งใดๆ สิ่งนั้นๆก็มลทิน ไม่ว่าเป็นเตาอบหรือเตา ต้องทุบเสีย เป็นมลทิน และเป็นของมลทินแก่เจ้า
ลนต 11.36 อย่างไรก็ตามน้ำพุหรือน้ำในแอ่งเก็บน้ำเป็นของสะอาด แต่สิ่งใดที่แตะต้องซากสัตว์นั้นจะมลทิน
ลนต 11.38 แต่ถ้าเอาเมล็ดพืชนั้นแช่น้ำไว้ และซากสัตว์ส่วนใดตกใส่น้ำนั้นก็เป็นมลทินแก่เจ้า
ลนต 11.39 ถ้าสัตว์ซึ่งเจ้าจะรับประทานได้นั้นตายเอง ผู้ที่แตะต้องซากสัตว์นั้นจะมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
ลนต 11.40 และผู้ใดที่รับประทานซากนั้นจะต้องซักเสื้อผ้าของเขาเสียและเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น ผู้ใดที่จับถือซากนั้นไปก็ต้องซักเสื้อผ้าของตน และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
ลนต 11.43 เจ้าอย่ากระทำให้ตัวเองเป็นที่พึงรังเกียจด้วยสัตว์เลื้อยคลานใดๆ อย่าทำตัวให้เป็นมลทินไปด้วยสัตว์เหล่านี้เลย เกรงว่าเจ้าจะเป็นมลทินไปด้วย
ลนต 11.44 เพราะเราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า จงชำระตัวไว้ให้บริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์ เจ้าอย่าทำตัวให้เป็นมลทินไปด้วยสัตว์อย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งคลานไปบนแผ่นดิน
ลนต 11.47 เพื่อให้สังเกตความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เป็นมลทินและสิ่งที่ไม่เป็นมลทิน และระหว่างสัตว์ที่มีชีวิตรับประทานได้ และสัตว์มีชีวิตที่รับประทานไม่ได้
ลนต 12.2 “จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า ถ้าหญิงคนใดมีครรภ์คลอดบุตรเป็นชาย นางต้องเป็นมลทินเจ็ดวัน นางจะเป็นมลทินอย่างเดียวกับมลทินเวลาที่นางมีประจำเดือน
ลนต 12.5 แต่ถ้านางคลอดบุตรเป็นหญิง นางจะมลทินไปสองสัปดาห์ อย่างเดียวกับเรื่องการมีประจำเดือน และนางจะต้องคอยอยู่หกสิบหกวัน ด้วยเรื่องโลหิตชำระของนาง
ลนต 13.3 ให้ปุโรหิตตรวจผิวหนังตรงที่เป็นโรค ถ้าขนในที่นั้นเปลี่ยนเป็นสีขาวและเห็นว่าโรคนั้นอยู่ลึกกว่าผิวหนังลงไป นับว่าเป็นโรคเรื้อน เมื่อปุโรหิตตรวจเขาเสร็จแล้วให้ประกาศว่าเขาเป็นมลทิน
ลนต 13.8 ให้ปุโรหิตทำการตรวจ ดูเถิด ถ้าบริเวณพุนั้นลามออกไปในผิวหนัง ก็ให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เขาเป็นโรคเรื้อน
ลนต 13.11 แสดงว่าเป็นโรคเรื้อนเรื้อรังที่ผิวหนัง ให้ปุโรหิตประกาศว่าเขามลทิน อย่ากักตัวเขาไว้ เพราะว่าเขาเป็นมลทิน
ลนต 13.14 ถ้ามีเนื้อแผลสดปรากฏขึ้นมาเมื่อไร เขาก็เป็นมลทิน
ลนต 13.15 ให้ปุโรหิตตรวจดูที่เนื้อแผลสดและประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เพราะเนื้อแผลสดนั้นทำให้มลทิน เขาเป็นโรคเรื้อน
ลนต 13.20 และปุโรหิตจะตรวจดู ดูเถิด ถ้าที่เป็นนั้นลึกกว่าผิวหนัง และขนที่บริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นสีขาว ให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาเป็นมลทิน โรคนั้นเป็นโรคเรื้อน มันพุขึ้นมาที่แผลฝี
ลนต 13.22 ถ้าโรคนั้นลามออกไปในผิวหนัง ก็ให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เขาเป็นโรคแล้ว
ลนต 13.25 ให้ปุโรหิตตรวจดู และดูเถิด ถ้าขนในบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นสีขาวและปรากฏว่าเป็นลึกกว่าผิวหนังก็เป็นโรคเรื้อน มันพุขึ้นมาที่แผลไฟลวก และให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เขาเป็นโรคเรื้อน
ลนต 13.27 พอถึงวันที่เจ็ดก็ให้ปุโรหิตตรวจดูเขา ถ้าที่เป็นนั้นลามออกไปในผิวหนัง ก็ให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เขาเป็นโรคเรื้อน
ลนต 13.30 ให้ปุโรหิตตรวจดูโรคนั้น และดูเถิด ถ้าเป็นลึกกว่าผิวหนัง และผมตรงนั้นเหลืองและบาง ให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เขาเป็นโรคคัน เป็นโรคเรื้อนที่ศีรษะหรือที่เครา
ลนต 13.36 ก็ให้ปุโรหิตตรวจเขา และดูเถิด ถ้าโรคคันนั้นลามออกไปในผิวหนังแล้ว ปุโรหิตไม่จำเป็นต้องมองหาขนสีเหลือง เขาเป็นมลทินแล้ว
ลนต 13.44 ชายผู้นั้นเป็นโรคเรื้อน เขาเป็นมลทิน ปุโรหิตต้องประกาศว่า เขาเป็นมลทิน โรคของเขาอยู่ที่ศีรษะ
ลนต 13.45 ให้บุคคลที่เป็นโรคเรื้อนสวมเสื้อผ้าที่ขาด และให้ปล่อยผม และให้เขาปิดริมฝีปากบนไว้ แล้วร้องไปว่า ‘มลทิน มลทิน’
ลนต 13.46 เขาจะเป็นมลทินอยู่ตลอดเวลาที่เขาเป็นโรค เขาเป็นมลทิน เขาจะต้องอยู่แต่ลำพังภายนอกค่าย
ลนต 13.51 พอถึงวันที่เจ็ดก็ให้ตรวจดูโรคนั้นอีก ถ้าโรคนั้นลามไปในเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ไม่ว่าที่ด้ายเส้นยืนหรือเส้นพุ่ง เป็นที่หนังสัตว์ หรือสิ่งใดที่ทำด้วยหนังสัตว์ โรคนั้นเป็นโรคเรื้อนอย่างร้าย นับว่าเป็นมลทิน
ลนต 13.55 เมื่อซักแล้วก็ให้ปุโรหิตตรวจดูตัวที่เป็นโรคนั้นอีก ดูเถิด ถ้าบริเวณที่เป็นโรคไม่เปลี่ยนสี แม้ว่าโรคนั้นไม่ลามไป ก็เป็นมลทิน เจ้าจงเอาใส่ในไฟเผาเสีย ไม่ว่าบริเวณที่เป็นโรคเรื้อนนั้นจะอยู่ข้างในหรือข้างนอก
ลนต 13.59 นี่เป็นพระราชบัญญัติว่าด้วยโรคเรื้อนในเสื้อที่ทำด้วยขนสัตว์หรือผ้าป่าน ไม่ว่าเป็นที่ด้ายเส้นยืนหรือเส้นพุ่ง หรือเป็นที่สิ่งใดๆที่ทำด้วยหนังสัตว์ เพื่อให้พิจารณาว่าอย่างใดสะอาด อย่างใดเป็นมลทิน
ลนต 14.19 ปุโรหิตจะถวายเครื่องบูชาไถ่บาป เพื่อทำการลบมลทินของผู้รับการชำระให้พ้นจากมลทินของเขา ภายหลังปุโรหิตจะฆ่าสัตว์อันเป็นเครื่องเผาบูชา
ลนต 14.36 แล้วปุโรหิตจะบัญชาให้เขาขนของออกจากเรือนให้หมด ก่อนที่ปุโรหิตจะเข้าไปตรวจโรค เกรงว่าของทุกอย่างที่อยู่ในเรือนนั้นจะถูกประกาศว่า มลทิน ต่อจากนั้นปุโรหิตจึงจะเข้าไปตรวจดูเรือน
ลนต 14.40 แล้วปุโรหิตจะบัญชาให้เอาหินก้อนที่ติดโรคนั้นออกเสียนำไปโยนทิ้งในที่มลทินภายนอกเมือง
ลนต 14.41 และสั่งให้ขูดข้างในเรือนทั่วๆไป ผงปูนที่ขูดออกมานั้นให้นำไปทิ้งเสียในที่มลทินภายนอกเมือง
ลนต 14.44 แล้วปุโรหิตจะไปตรวจดู ดูเถิด ถ้าโรคนั้นลามไปในเรือน เป็นโรคเรื้อนอย่างร้ายในเรือน เรือนนั้นก็เป็นมลทิน
ลนต 14.45 ให้เขาพังเรือนนั้นลง หิน ไม้และปูนที่ทำเรือนนั้นให้ขนไปทิ้งเสียในที่ที่มลทินภายนอกเมือง
ลนต 14.46 ยิ่งกว่านั้นอีกเมื่อเรือนปิดอยู่ มีผู้ใดเข้าไป ผู้นั้นจะเป็นมลทินจนถึงเวลาเย็น
ลนต 14.57 เพื่อจะแสดงว่าเมื่อไรจึงเรียกว่ามลทิน เมื่อไรเรียกว่าสะอาด นี่เป็นพระราชบัญญัติเรื่องโรคเรื้อน
ลนต 15.2 “จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า เมื่อผู้ใดมีสิ่งไหลออกจากร่างกาย เพราะเหตุสิ่งที่ไหลออกนั้น เขาเป็นมลทิน
ลนต 15.3 ต่อไปนี้เป็นกฎเกี่ยวด้วยเรื่องมลทินของเขาเนื่องด้วยสิ่งที่ไหลออก ร่างกายของเขาจะมีสิ่งไหลออกหรือสิ่งที่ไหลออกคั่งอยู่ในร่างกายของเขาก็ดี เรื่องนี้เป็นมลทินแก่เขา
ลนต 15.4 เตียงนอนซึ่งผู้ใดที่มีสิ่งไหลออกขึ้นไปนอน เตียงนั้นก็เป็นมลทิน ทุกสิ่งที่เขารองนั่งก็เป็นมลทิน
ลนต 15.5 ผู้ใดที่แตะต้องเตียงของเขาต้องซักเสื้อผ้าของตนและอาบน้ำ และจะเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
ลนต 15.6 ผู้ใดไปนั่งบนสิ่งที่ผู้มีสิ่งไหลออกได้นั่งก่อน ผู้นั้นต้องซักเสื้อผ้าของตนและอาบน้ำ และจะเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
ลนต 15.7 ผู้ใดไปแตะต้องร่างกายของผู้ที่มีสิ่งไหลออก ผู้นั้นต้องซักเสื้อผ้าของตนและอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
ลนต 15.8 และถ้าผู้ใดที่มีสิ่งไหลออกนั้นถ่มน้ำลายรดผู้ที่สะอาดเข้า ผู้ที่ถูกน้ำลายรดต้องซักเสื้อผ้าและอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
ลนต 15.9 และอานใดๆซึ่งผู้มีสิ่งไหลออกนั่งอยู่ อานนั้นก็เป็นมลทิน
ลนต 15.10 ผู้หนึ่งผู้ใดแตะต้องสิ่งที่รองเขาอยู่นั้น ผู้นั้นจะเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น และผู้ใดที่หยิบถือสิ่งนั้นต้องซักเสื้อผ้าของตัวและอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
ลนต 15.11 ผู้ที่มีสิ่งไหลออกแตะต้องผู้ใดด้วยมือที่มิได้ล้าง ผู้ถูกแตะต้องนั้นต้องซักเสื้อผ้าของตัวและอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
ลนต 15.16 ชายคนใดมีน้ำกามไหลออก ให้เขาอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
ลนต 15.17 เครื่องแต่งกายทุกชิ้นและผิวหนังทุกส่วนที่น้ำกามไหลรดต้องชำระเสียในน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
ลนต 15.18 ชายคนใดสมสู่กับหญิงคนใด และมีน้ำกามไหลออกทั้งสองจะต้องอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
ลนต 15.19 เมื่อสตรีมีสิ่งไหลออกเป็นโลหิตประจำเดือน เธอจะต้องอยู่ต่างหากเจ็ดวัน และผู้ใดแตะต้องเธอ จะต้องเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
ลนต 15.20 และทุกสิ่งที่เธอนอนทับในเวลาที่เธอต้องแยกออกนั้นก็เป็นมลทิน สิ่งใดที่เธอไปนั่งทับสิ่งนั้นก็เป็นมลทิน
ลนต 15.21 ผู้ใดไปแตะต้องที่นอนของเธอ ผู้นั้นต้องซักเสื้อผ้าและอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
ลนต 15.22 และผู้หนึ่งผู้ใดแตะต้องสิ่งใดๆที่เธอนั่ง ผู้นั้นต้องซักเสื้อผ้าและอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
ลนต 15.23 สิ่งที่เธอนั่งทับจะเป็นที่นอนหรือสิ่งใดก็ดี เมื่อผู้ใดไปแตะต้องเข้า ผู้นั้นจะเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
ลนต 15.24 ถ้าชายใดไปสมสู่กับเธอและมลทินของเธอมาติดที่ชายนั้นชายนั้น จะเป็นมลทินไปเจ็ดวัน เขาไปนอนที่เตียงใด เตียงนั้นก็เป็นมลทิน
ลนต 15.25 ถ้าสตรีใดมีโลหิตไหลออกหลายวัน ไม่ใช่เป็นเวลาที่เธอต้องอยู่ต่างหากนั้น หรือถ้าเธอมีโลหิตไหลออกเลยกำหนดที่เธอต้องอยู่ต่างหากนั้น ทุกวันที่มีโลหิตไหลออกเธอจะเป็นมลทิน เธอจะเป็นมลทินอย่างเดียวกับเวลาที่เธอต้องอยู่ต่างหากนั้น
ลนต 15.26 ที่นอนทุกหลังที่เธอนอนเมื่อวันเธอมีสิ่งไหลออก ที่นอนนั้นเป็นดังที่นอนในเวลาที่เธอต้องอยู่ต่างหากนั้น และทุกสิ่งที่เธอนั่งทับจะเป็นมลทิน อย่างเดียวกับมลทินในเวลาที่เธอต้องอยู่ต่างหากนั้น
ลนต 15.27 ผู้ใดแตะต้องสิ่งเหล่านั้น ผู้นั้นก็เป็นมลทินด้วย เขาต้องซักเสื้อผ้าและอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
ลนต 15.30 และปุโรหิตจะถวายนกตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และนกอีกตัวหนึ่งเป็นเครื่องเผาบูชา และปุโรหิตจะทำการลบมลทินให้เธอต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ด้วยเรื่องสิ่งไหลออกที่เป็นมลทินของเธอ
ลนต 15.31 ดังนี้แหละพวกเจ้าจะให้คนอิสราเอลแยกจากมลทินของเขาทั้งหลาย เกลือกว่าเขาจะต้องตายด้วยมลทินของเขา เมื่อเขาทำให้พลับพลาของเราที่อยู่ท่ามกลางเขาเป็นมลทินไป”
ลนต 15.32 นี่เป็นพระราชบัญญัติเรื่องผู้มีสิ่งไหลออกและชายที่มีน้ำกามไหลออก ซึ่งกระทำให้ตัวเป็นมลทิน
ลนต 15.33 และเกี่ยวกับสตรีที่ป่วยด้วยมลทินของเธอ คือทั้งนี้เกี่ยวกับผู้ที่มีสิ่งไหลออกไม่ว่าชายหรือหญิง และเกี่ยวกับชายผู้สมสู่กับหญิงผู้มีมลทิน
ลนต 16.16 ดังนี้แหละเขาจะทำการลบมลทินของสถานที่บริสุทธิ์นั้นเพราะเหตุมลทินของคนอิสราเอลและเพราะเหตุการละเมิด เพราะบาปทั้งสิ้นของเขา และอาโรนจะกระทำต่อพลับพลาแห่งชุมนุมซึ่งอยู่กับเขาท่ามกลางมลทินของประชาชน
ลนต 16.19 และเอานิ้วจุ่มเลือดประพรมบนแท่นนั้นเจ็ดครั้ง และชำระกระทำให้แท่นบริสุทธิ์พ้นจากมลทินของคนอิสราเอล
ลนต 17.15 และทุกคนไม่ว่าชาวเมืองหรือคนต่างด้าว ผู้รับประทานสัตว์ที่ตายเองหรือสัตว์ที่ถูกสัตว์อื่นกัดตาย ต้องซักเสื้อผ้าและอาบน้ำ และเป็นมลทินอยู่จนถึงเวลาเย็น แล้วจึงจะสะอาดได้
ลนต 18.19 และเจ้าอย่าเข้าใกล้ผู้หญิงคนใดคนหนึ่งเพื่อเปิดกายที่เปลือยเปล่าของนาง ตราบใดที่นางยังถูกแยกไว้ต่างหากเพราะมลทินของนาง
ลนต 18.27 (ประชาชนในแผ่นดินผู้อยู่ก่อนเจ้าได้กระทำบรรดาสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนเหล่านี้ ดังนั้นแผ่นดินจึงเป็นมลทิน)
ลนต 18.30 เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงรักษากฎของเรา เจ้าอย่าประพฤติตามธรรมเนียมอันน่าสะอิดสะเอียนเหล่านี้ ซึ่งเขาประพฤติกันมาก่อนเจ้า และอย่าทำตัวเจ้าให้เป็นมลทินด้วยสิ่งเหล่านี้ เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า”
ลนต 19.31 อย่าไปหาคนทรงหรือพ่อมดแม่มด อย่าเที่ยวค้นหา ให้ตนมลทินไปเพราะเขาเลย เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า
ลนต 20.3 และเราจะตั้งหน้าของเราต่อสู้ผู้นั้น และจะตัดเขาออกเสียจากท่ามกลางชนชาติของตน เพราะว่าเขาได้มอบเชื้อสายของเขาแก่พระโมเลค กระทำให้สถานบริสุทธิ์ของเราเป็นมลทิน และลบหลู่นามบริสุทธิ์ของเรา
ลนต 20.25 เหตุฉะนั้นเจ้าจงแยกแยะความแตกต่างระหว่างสัตว์สะอาดและสัตว์มลทิน ระหว่างนกมลทินและนกสะอาด เจ้าอย่ากระทำตัวให้เป็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนด้วยสัตว์หรือนกหรือสิ่งมีชีวิตในลักษณะใดๆ ที่เลื้อยคลานอยู่บนดิน ซึ่งเราได้แยกให้เจ้าแล้วว่าเป็นสิ่งมลทิน
ลนต 21.1 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงกล่าวแก่บรรดาปุโรหิต คือลูกหลานของอาโรนและสั่งเขาว่า อย่าให้ผู้ใดกระทำตัวให้มลทินด้วยเรื่องศพในหมู่ประชาชน
ลนต 21.3 หรือพี่สาวน้องสาวพรหมจารี ผู้ที่ยังสนิทกับเขา เพราะเธอยังไม่มีสามี เขาจึงยอมตัวเป็นมลทินเพราะเธอได้
ลนต 21.4 อย่าให้เขามีมลทินคือกระทำให้ตนเองเป็นมลทิน เพราะเหตุเขาเป็นผู้ใหญ่ในหมู่ชนชาติของเขา
ลนต 21.7 ปุโรหิตจะแต่งงานกับหญิงโสเภณีหรือหญิงที่มีมลทินไม่ได้ หรือจะแต่งงานกับหญิงที่หย่าจากสามีก็ไม่ได้ เพราะปุโรหิตจะต้องบริสุทธิ์แด่พระเจ้าของเขา
ลนต 21.9 บุตรสาวของปุโรหิตคนใด ถ้าเธอกระทำตัวให้มลทินโดยไปเป็นหญิงโสเภณีก็กระทำให้บิดาเป็นมลทิน จะต้องเผาเธอเสียด้วยไฟ
ลนต 21.11 อย่าให้เขาเข้าไปถูกต้องศพหรือกระทำตัวให้มลทิน แม้ว่าศพนั้นเป็นบิดาหรือมารดาของเขา
ลนต 21.12 อย่าให้เขาออกไปจากสถานบริสุทธิ์ หรือกระทำสถานบริสุทธิ์ของพระเจ้าให้เป็นมลทิน เพราะว่าการสถาปนาด้วยน้ำมันเจิมของพระเจ้าอยู่บนตัวเขา เราคือพระเยโฮวาห์
ลนต 21.14 อย่าให้เขาแต่งงานกับหญิงม่าย แม่ร้าง หญิงที่มีมลทิน หรือหญิงโสเภณี เขาจะต้องหาหญิงพรหมจารีในชนชาติของเขามาเป็นภรรยา
ลนต 21.15 เพื่อเขาจะมิได้กระทำให้เชื้อสายของเขาในหมู่ชนชาติของเขาเป็นมลทิน เพราะเราคือพระเยโฮวาห์ผู้ตั้งเขาไว้ให้บริสุทธิ์”
ลนต 21.23 แต่อย่าให้เขาเข้ามาใกล้ม่านหรือใกล้แท่น เพราะเขามีตำหนิ เพื่อเขาจะไม่กระทำให้สถานบริสุทธิ์ของเราเป็นมลทิน เพราะเราคือพระเยโฮวาห์ผู้ตั้งเขาไว้ให้บริสุทธิ์”
ลนต 22.3 จงกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า ‘คนใดก็ตามในเชื้อสายของเจ้าตลอดชั่วอายุเข้าใกล้ของบริสุทธิ์ ซึ่งคนอิสราเอลถวายแด่พระเยโฮวาห์ ขณะที่เขามีมลทินอยู่ คนนั้นจะต้องถูกตัดขาดให้พ้นหน้าเรา เราคือพระเยโฮวาห์
ลนต 22.4 อย่าให้เชื้อสายอาโรนคนใดที่เป็นโรคเรื้อนหรือมีสิ่งไหลออกมารับประทานของบริสุทธิ์ ให้รอจนกว่าเขาสะอาดแล้วก่อน ผู้ใดแตะต้องสิ่งที่มลทินโดยแตะต้องศพหรือผู้ที่มีน้ำกามไหลออก
ลนต 22.5 หรือผู้ใดที่แตะต้องสิ่งเลื้อยคลาน ซึ่งกระทำให้เขามลทิน หรือแตะต้องคนซึ่งอาจทำให้เขามลทิน ไม่ว่าจะเป็นมลทินชนิดใด
ลนต 22.6 บุคคลผู้แตะต้องสิ่งเหล่านี้ ต้องมลทินไปจนถึงเวลาเย็น และจะรับประทานสิ่งบริสุทธิ์ไม่ได้ นอกจากเขาจะอาบน้ำชำระตัวเสียก่อน
ลนต 22.8 สิ่งใดที่ตายเอง หรือถูกสัตว์กัดตาย อย่ารับประทาน เขาจะเป็นมลทินด้วยสิ่งเหล่านี้ เราคือพระเยโฮวาห์’
ลนต 22.9 เพราะฉะนั้นเขาทั้งหลายต้องรักษากฎของเรา เกลือกว่าเขาจะต้องรับโทษบาปเพราะสิ่งนั้นและจะต้องตาย เมื่อเขากระทำสิ่งนั้นให้เป็นมลทิน เราคือพระเยโฮวาห์ผู้ที่ตั้งเขาไว้ให้บริสุทธิ์
ลนต 22.15 อย่าให้ปุโรหิตกระทำสิ่งบริสุทธิ์ของคนอิสราเอลที่นำมาถวายแด่พระเยโฮวาห์ให้เป็นมลทิน
ลนต 27.11 ถ้าเป็นสัตว์มลทินซึ่งไม่พึงนำมาถวายแด่พระเยโฮวาห์ ให้ผู้นั้นนำสัตว์ตัวนั้นไปหาปุโรหิต
ลนต 27.27 ถ้าเป็นสัตว์มลทินจงให้เขาซื้อคืนตามกำหนดราคาของเจ้า โดยเพิ่มหนึ่งในห้าของกำหนดราคาที่ตีไว้ ถ้าเขาไม่ไถ่ก็ให้ขายเสียตามกำหนดราคาที่ตีไว้
กดว 5.2 “จงบัญชาคนอิสราเอลให้สั่งบรรดาคนโรคเรื้อน และทุกคนที่มีสิ่งไหลออก และคนใดที่มลทินเพราะการถูกซากศพให้ไปนอกค่าย
กดว 5.3 เจ้าจงสั่งทั้งผู้ชายและผู้หญิงให้ไปนอกค่าย เพื่อมิให้เขากระทำให้ค่ายของเขาซึ่งเราสถิตอยู่ท่ามกลางนั้นเป็นมลทิน”
กดว 5.8 แต่ถ้าคนนั้นไม่มีพี่น้องที่จะรับของคืนก็ให้ถวายของที่คืนนั้นแด่พระเยโฮวาห์ทางปุโรหิตรวมทั้งแกะผู้สำหรับบูชาลบมลทินบาป ซึ่งเขาต้องบูชาลบมลทินบาปของเขา
กดว 5.13 มีชายอื่นมานอนร่วมกับนางพ้นตาสามีของนาง แม้นางได้กระทำตัวให้เป็นมลทินแล้ว แต่ไม่มีใครรู้เห็นและยังไม่มีพยาน เพราะจับไม่ได้คาที่
กดว 5.14 จิตหึงหวงก็มาสิงสามี เขาจึงหึงหวงภรรยาของเขา และภรรยาได้กระทำตัวให้มลทิน หรือจิตหึงหวงมาสิงสามี เขาจึงหึงหวงภรรยาของเขา แม้ว่าภรรยามิได้กระทำตัวให้มลทิน
กดว 5.19 แล้วปุโรหิตจะให้นางปฏิญาณตัวว่า ‘ถ้าไม่มีชายใดมานอนกับเจ้า หรือเจ้าไม่หันเหไปกระทำมลทิน เมื่อเจ้ายังอยู่ในอำนาจของสามี ก็ให้เจ้าพ้นเสียจากน้ำแห่งความขมขื่นที่นำการสาปแช่งนี้
กดว 5.20 แต่ถ้าเจ้าได้หลงไปแม้เจ้าอยู่ในอำนาจของสามีและได้กระทำตัวเองให้เป็นมลทินและชายอื่นนอกจากสามีได้เข้านอนด้วยแล้ว’
กดว 5.27 เมื่อให้หญิงนั้นดื่มน้ำแล้ว ต่อมา ถ้านางกระทำตัวให้มลทินและประพฤตินอกใจสามี น้ำที่นำการสาปแช่งนั้นจะเข้าในตัวนางเป็นความเฝื่อนฝาด ท้องจะป่องและโคนขาจะลีบไป และหญิงนั้นจะเป็นคำสาปแช่งท่ามกลางชนชาติของนาง
กดว 5.28 ถ้าหญิงนั้นมิได้มีมลทิน แต่บริสุทธิ์ นางจะพ้นความผิดและตั้งครรภ์
กดว 5.29 นี่เป็นพระราชบัญญัติเรื่องความหึงหวงเมื่อภรรยาแม้จะอยู่ในอำนาจของสามีได้หลงไปกระทำตนให้มีมลทิน
กดว 6.7 อย่าทำตัวให้มีมลทินด้วยบิดามารดาหรือพี่น้องชายหญิงที่ตาย เพราะที่เขาปลีกตัวออกมาถวายแด่พระเจ้านั้นเป็นพันธนะของเขา
กดว 6.9 และถ้ามีคนมาตายอยู่ใกล้ตัวเขาปัจจุบันทันด่วน ศีรษะของเขาที่ชำระให้บริสุทธิ์ไว้ก็เป็นมลทินเสียแล้ว เขาต้องโกนศีรษะของเขาในวันชำระตัวคือในวันที่เจ็ดนั้นเขาต้องโกนศีรษะ
กดว 6.11 และปุโรหิตจะถวายบูชาตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป อีกตัวหนึ่งถวายเป็นเครื่องเผาบูชา ลบมลทินให้เขา เพราะเขาได้กระทำผิดเหตุเรื่องศพ และเขาต้องชำระศีรษะให้บริสุทธิ์ในวันนั้นอีก
กดว 6.12 และให้เขาปลีกตัวออกถวายแด่พระเยโฮวาห์ตลอดเวลาการปลีกตัวของเขา และนำลูกแกะอายุหนึ่งขวบมาเป็นเครื่องบูชาไถ่การละเมิด แต่เวลาก่อนนั้นนับไม่ได้ เพราะการปฏิญาณปลีกตัวของเขานั้นมีมลทินเสียแล้ว
กดว 8.12 แล้วคนเลวีจะเอามือของตนวางบนหัววัวผู้ทั้งสอง เจ้าจงเอาตัวหนึ่งมาถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และอีกตัวหนึ่งให้เป็นเครื่องเผาบูชาแด่พระเยโฮวาห์ เพื่อลบมลทินบาปของคนเลวี
กดว 9.6 และมีผู้ชายบางคนที่มีมลทินเพราะถูกต้องศพ จึงถือปัสกาในวันนั้นไม่ได้ เขาจึงมาอยู่ต่อหน้าโมเสสและอาโรนในวันนั้น
กดว 9.7 เขาเหล่านั้นกล่าวแก่ท่านว่า “เรามีมลทินเพราะได้ถูกต้องศพ ทำไมจึงห้ามมิให้เราถวายเครื่องบูชาของพระเยโฮวาห์ตามวันกำหนดท่ามกลางคนอิสราเอล”
กดว 9.10 “จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า ถ้าผู้ใดในพวกเจ้าหรือในเชื้อสายของเจ้ามีมลทินเพราะถูกต้องศพ หรือไปทางไกลก็ให้ผู้นั้นถือปัสกาแด่พระเยโฮวาห์
กดว 18.15 บรรดาเนื้อหนังที่เบิกครรภ์ ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ ซึ่งเขาถวายแด่พระเยโฮวาห์จะเป็นของเจ้า แต่อย่างไรก็ตาม บุตรหัวปีของมนุษย์เจ้าจะต้องไถ่ไว้ เจ้าต้องไถ่ลูกหัวปีของบรรดาสัตว์ทั้งปวงที่มลทินด้วย
กดว 18.32 เมื่อเจ้าได้ถวายส่วนที่ดีที่สุดแล้วเจ้าจะหามีโทษบาปโดยของถวายนั้นไม่ และเจ้าอย่าทำสิ่งบริสุทธิ์ของคนอิสราเอลให้มลทินเกลือกว่าเจ้าจะต้องตาย’”
กดว 19.7 แล้วปุโรหิตจะซักเสื้อผ้าของตน และชำระร่างกายเสียในน้ำ ภายหลังจึงเข้าไปในค่ายและปุโรหิตนั้นจึงเป็นมลทินอยู่จนถึงเวลาเย็น
กดว 19.8 ผู้ใดที่ทำการเผาวัวตัวเมียต้องซักเสื้อผ้าและชำระร่างกายของตนเสียในน้ำ และเขาจะเป็นมลทินอยู่จนถึงเวลาเย็น
กดว 19.10 และคนที่เก็บขี้เถ้าของวัวตัวเมียต้องซักเสื้อผ้าของตน และเขาจะเป็นมลทินอยู่จนถึงเวลาเย็น จะเป็นอย่างนี้แก่คนอิสราเอล และแก่คนต่างด้าวผู้อาศัยอยู่ท่ามกลางเขา เป็นกฎเกณฑ์ถาวร
กดว 19.11 ผู้ที่แตะต้องศพของผู้ใดก็ตามต้องเป็นมลทินอยู่เจ็ดวัน
กดว 19.13 ผู้ใดก็ตามแตะต้องคนตาย คือร่างกายของคนที่ตายแล้ว และมิได้ชำระตนให้บริสุทธิ์ ผู้นั้นก็กระทำให้พลับพลาของพระเยโฮวาห์มีมลทิน คนนั้นจะต้องถูกตัดขาดจากอิสราเอล เพราะน้ำแห่งการแยกตั้งไว้ไม่ได้พรมถูกตัวเขา เขาจะเป็นมลทิน มลทินยังค้างอยู่ที่เขา
กดว 19.14 ต่อไปนี้เป็นพระราชบัญญัติเรื่องคนตายในเต็นท์ ทุกคนที่เข้ามาในเต็นท์ และสารพัดที่อยู่ในเต็นท์ จะเป็นมลทินไปเจ็ดวัน
กดว 19.15 ภาชนะทุกลูกที่ไม่มีฝาปิดต้องเป็นมลทิน
กดว 19.16 คนใดที่อยู่ในพื้นทุ่งไปแตะต้องคนที่ถูกดาบตาย หรือแตะต้องศพ หรือกระดูกคน หรือหลุมศพ จะเป็นมลทินไปเจ็ดวัน
กดว 19.17 สำหรับคนที่เป็นมลทินนี้ จงเอาขี้เถ้าจากการเผาวัวตัวเมียในการบูชาไถ่บาป และเอาน้ำที่ไหลเติมเข้าไปปนในภาชนะ
กดว 19.19 ให้คนสะอาดประพรมคนที่เป็นมลทินในวันที่สามและวันที่เจ็ด อย่างนี้พอวันที่เจ็ดเขาจะทำให้คนนั้นสะอาด และเขาต้องซักเสื้อผ้าและอาบน้ำ พอถึงเวลาเย็นเขาจะสะอาด
กดว 19.20 แต่คนที่เป็นมลทินและไม่ชำระตัวให้บริสุทธิ์ คนนั้นจะต้องถูกตัดขาดจากท่ามกลางที่ชุมนุม เพราะเขาได้กระทำให้สถานบริสุทธิ์ของพระเยโฮวาห์เป็นมลทิน คือว่าน้ำแห่งการแยกตั้งไว้ไม่ได้พรมถูกตัวเขา เขาจึงเป็นมลทิน
กดว 19.21 และให้เป็นกฎเกณฑ์แก่พวกเขาอยู่เนืองนิตย์ ผู้ที่ประพรมน้ำแห่งการแยกตั้งไว้จะต้องซักเสื้อผ้าของตน และผู้ที่แตะต้องน้ำแห่งการแยกตั้งไว้จะเป็นมลทินจนถึงเวลาเย็น
กดว 19.22 และสิ่งใดที่ผู้เป็นมลทินแตะต้อง สิ่งนั้นจะเป็นมลทิน และผู้ที่แตะต้องสิ่งนั้นจะเป็นมลทินจนถึงเวลาเย็น”
กดว 28.30 พร้อมกับลูกแพะผู้ตัวหนึ่งสำหรับลบมลทินของเจ้า
กดว 29.5 และถวายลูกแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป เพื่อลบมลทินบาปของเจ้า
กดว 35.33 ดังนั้นเจ้าจึงไม่กระทำให้แผ่นดินที่เจ้าทั้งหลายอาศัยอยู่มีมลทิน เพราะว่าโลหิตทำให้แผ่นดินเป็นมลทิน และไม่มีสิ่งใดที่จะชำระแผ่นดินให้หมดมลทินที่เกิดขึ้นเพราะโลหิตตกในแผ่นดินนั้นได้ นอกจากโลหิตของผู้ที่ทำให้โลหิตตก
กดว 35.34 เจ้าอย่ากระทำให้เกิดมลทินในแผ่นดินที่เจ้าอาศัยอยู่ ที่เราอยู่ท่ามกลาง เพราะว่าเราคือพระเยโฮวาห์อยู่ท่ามกลางคนอิสราเอล”
พบญ 12.15 อย่างไรก็ตาม ท่านจะฆ่าสัตว์และรับประทานเนื้อในประตูเมืองทั้งหลายของท่านตามที่ท่านปรารถนาก็ได้ ตามซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านอำนวยพระพรประทานแก่ท่านทั้งหลาย ทั้งผู้ที่สะอาดและผู้ที่มลทินก็รับประทานได้ อย่างที่รับประทานเนื้อละมั่งและเนื้อกวาง
พบญ 12.22 ท่านจะรับประทานได้อย่างที่ท่านรับประทานเนื้อละมั่งหรือเนื้อกวาง ทั้งผู้ที่มลทินและผู้ที่สะอาดด้วยก็รับประทานได้
พบญ 14.7 อย่างไรก็ตามในจำพวกสัตว์ทั้งหลายที่เคี้ยวเอื้องหรือมีกีบผ่า ท่านอย่ารับประทานสัตว์ต่อไปนี้คือ อูฐ กระต่าย ตัวกระจงผา เพราะว่าสัตว์เหล่านี้เคี้ยวเอื้องแต่กีบไม่ผ่า จึงเป็นสัตว์มลทินแก่ท่าน
พบญ 14.8 และหมูด้วยเพราะหมูมีกีบผ่าแต่ไม่เคี้ยวเอื้อง จึงเป็นสัตว์มลทินแก่ท่าน ท่านอย่ารับประทานเนื้อของมัน และซากของมันท่านก็อย่าแตะต้อง
พบญ 14.10 แต่สัตว์ใดๆที่ไม่มีครีบและเกล็ดท่านอย่ารับประทาน เป็นสัตว์มลทินแก่ท่าน
พบญ 14.19 แมลงมีปีกทุกชนิดเป็นสัตว์มลทินแก่ท่าน อย่ารับประทานเลย
พบญ 15.22 ท่านจงรับประทานสัตว์นั้นภายในประตูเมืองของท่าน ทั้งผู้ที่มลทินและผู้ที่สะอาดด้วยก็รับประทานได้ ดังว่าเป็นละมั่งหรือกวาง
พบญ 21.8 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงลบมลทินบาปของประชาชนชาวอิสราเอลของพระองค์ ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงไถ่ไว้ ขออย่าทรงถือโทษประชาชนชาวอิสราเอลของพระองค์เนื่องด้วยโลหิตที่ไร้ความผิด’ และจะทรงอภัยโทษอันเนื่องจากโลหิตนี้ให้แก่เขา
พบญ 21.23 อย่าให้ศพค้างอยู่ที่ต้นไม้ข้ามคืน ท่านจงฝังเขาเสียในวันเดียวกันนั้น (ด้วยว่าผู้ที่ต้องถูกแขวนไว้บนต้นไม้ก็ต้องถูกสาปแช่งโดยพระเจ้า) ท่านอย่ากระทำให้แผ่นดินของท่านซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่านให้เป็นมรดกนั้นเป็นมลทิน”
พบญ 22.9 อย่าเอาเมล็ดพืชสองชนิดหว่านลงในสวนองุ่นของท่าน เกรงว่าทั้งพืชผลที่ท่านหว่านและผลองุ่นของสวนนั้นเป็นมลทิน
พบญ 24.1 “เมื่อชายคนใดคนหนึ่งมีภรรยาแต่งงานอยู่กินด้วยกันกับนาง และต่อมานางไม่เป็นที่ชอบในสายตาของสามีเพราะเขาพบสิ่งมลทินในตัวนาง ก็ให้เขาทำหนังสือหย่าใส่มือนาง แล้วไล่ออกจากเรือนไป
พบญ 24.4 สามีคนเดิมที่ได้ไล่นางไปนั้นจะรับนางหลังจากที่นางเป็นมลทินแล้วกลับมาเป็นภรรยาอีกไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ท่านทั้งหลายอย่ากระทำให้แผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่านให้เป็นมรดกนั้นมีบาป
พบญ 26.14 ข้าพระองค์มิได้รับประทานสิบชักหนึ่งเมื่อข้าพระองค์ไว้ทุกข์หรือยกส่วนใดออกไปเมื่อข้าพระองค์เป็นมลทิน หรืออุทิศส่วนใดเพื่อผู้ตาย แต่ข้าพระองค์ได้เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ได้กระทำตามทุกสิ่งที่พระองค์ทรงบัญชาไว้
1ซมอ 20.26 อย่างไรก็ดีในวันนั้นซาอูลมิได้ตรัสประการใด เพราะทรงดำริว่า “ดาวิดคงเกิดเหตุบางอย่าง เขาคงมลทิน เขาคงมลทินแน่”
2ซมอ 11.4 ดาวิดก็ทรงใช้ผู้สื่อสารไปรับนางมา นางก็มาเฝ้าพระองค์ แล้วพระองค์ทรงสมสู่กับนาง พอดีนางได้ชำระตัวให้สิ้นมลทินของนางแล้ว แล้วนางก็กลับไปเรือนของตน
2ซมอ 21.3 ดาวิดตรัสถามคนกิเบโอนว่า “เราจะกระทำอะไรให้แก่พวกท่านได้ เราจะทำอย่างไรจึงจะลบมลทินบาปเสียได้ เพื่อพวกท่านจะได้อวยพรแก่มรดกของพระเยโฮวาห์ได้”
1พศด 5.1 บุตรชายของรูเบนบุตรหัวปีของอิสราเอล (เขาเป็นบุตรหัวปีก็จริง แต่เพราะเขาได้กระทำให้ที่นอนของบิดาของเขามีมลทิน สิทธิบุตรหัวปีของเขาจึงตกอยู่กับบุตรชายของโยเซฟผู้เป็นบุตรชายอิสราเอล แต่โยเซฟมิได้ขึ้นทะเบียนไว้ในสำมะโนครัวเชื้อสายตามสิทธิบุตรหัวปี
2พศด 30.17 เพราะว่ามีหลายคนในชุมนุมชนนั้นยังมิได้ชำระตนให้บริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นคนเลวีจึงต้องฆ่าแกะปัสกาแทนทุกคนที่มลทิน เพื่อกระทำให้บริสุทธิ์ต่อพระเยโฮวาห์
2พศด 36.14 ยิ่งกว่านั้นบรรดาปุโรหิตใหญ่และประชาชนก็ทำการละเมิดอย่างยิ่งโดยการติดตามบรรดาสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนของประชาชาติ และเขาทั้งหลายกระทำให้พระนิเวศของพระเยโฮวาห์ซึ่งพระองค์ทรงชำระให้บริสุทธิ์ในเยรูซาเล็มนั้นเป็นมลทินไป
อสร 2.62 คนเหล่านี้เมื่อค้นหาชื่อในทะเบียนที่เขาขึ้นไว้ในสำมะโนครัวเชื้อสายก็ไม่พบ จึงถือว่าเป็นมลทิน และถูกตัดออกจากตำแหน่งปุโรหิต
อสร 9.11 ซึ่งพระองค์ได้ทรงบัญชาไว้โดยผู้พยากรณ์ผู้รับใช้ของพระองค์ว่า ‘แผ่นดินซึ่งเจ้ากำลังเข้าไปเพื่อยึดเป็นกรรมสิทธิ์นั้น เป็นแผ่นดินมลทินด้วยความโสโครกของชนชาติทั้งหลายในแผ่นดินเหล่านั้น ด้วยการกระทำอันน่าสะอิดสะเอียนของเขา ซึ่งเต็มไปหมดตั้งแต่ปลายข้างนี้ถึงปลายข้างโน้น ด้วยความมลทินของเขาทั้งหลาย
นหม 7.64 คนเหล่านี้หาการลงทะเบียนของเขาในทะเบียนสำมะโนครัวเชื้อสาย แต่หาไม่พบ จึงถือว่าเป็นมลทิน และถูกตัดออกจากตำแหน่งปุโรหิต
นหม 13.17 แล้วข้าพเจ้าได้ต่อว่าพวกขุนนางแห่งยูดาห์ และพูดกับเขาว่า “ทำไมท่านทั้งหลายกระทำความชั่วร้ายเช่นนี้ กระทำให้วันสะบาโตเป็นมลทิน
นหม 13.18 บรรพบุรุษของท่านมิได้กระทำเช่นนี้หรือ และพระเจ้าของเรามิได้ทรงนำเหตุร้ายทั้งสิ้นให้ตกอยู่บนเราและบนเมืองนี้หรือ ท่านยังจะนำพระพิโรธยิ่งกว่านั้นมาเหนืออิสราเอลด้วยการกระทำให้วันสะบาโตเป็นมลทิน”
นหม 13.29 “โอ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอทรงระลึกถึงเขาทั้งหลาย เพราะว่าเขาทั้งหลายได้กระทำให้การเป็นปุโรหิต และพันธสัญญาของพวกปุโรหิตและคนเลวีเป็นมลทิน”
สดด 79.1 โอ ข้าแต่พระเจ้า พวกต่างชาติได้เข้าในมรดกของพระองค์ เขาได้ทำให้พระวิหารบริสุทธิ์ของพระองค์มีมลทิน เขาได้ทำให้เยรูซาเล็มเป็นที่ปรักหักพัง
สดด 89.39 พระองค์ได้ทรงบอกเลิกพันธสัญญากับผู้รับใช้ของพระองค์ พระองค์ทรงกระทำมงกุฎของท่านมลทินโดยเหวี่ยงลงสู่พื้นดิน
สดด 106.38 ท่านเทโลหิตผู้ไร้ผิดออกมาคือโลหิตบุตรชายบุตรสาวของท่าน ผู้ซึ่งท่านได้ฆ่าเป็นเครื่องสักการบูชาแก่รูปเคารพแห่งคานาอัน แผ่นดินก็มลทินไปด้วยโลหิต
ปญจ 9.2 สิ่งสารพัดตกแก่คนทั้งปวงเหมือนกันหมด คือเหตุการณ์อันเดียวกันตกแก่คนชอบธรรมและคนชั่ว ตกแก่คนดี ตกแก่คนสะอาดและคนที่มีมลทิน ตกแก่ผู้ที่ถวายสัตวบูชา และแก่ผู้ที่ไม่ถวายสัตวบูชา ตกแก่คนดีอย่างไรก็ตกแก่คนบาปอย่างนั้น ตกแก่คนปฏิญาณอย่างไรก็ตกแก่คนไม่กล้าปฏิญาณอย่างนั้น
อสย 47.6 เรากริ้วต่อชนชาติของเรา เราทำให้มรดกของเราเป็นมลทิน เรามอบเขาไว้ในมือของเจ้า เจ้ามิได้แสดงความกรุณาต่อเขา เจ้าวางแอกอย่างหนักไว้บนบ่าของคนชรา
อสย 59.3 เพราะมือของเจ้ามลทินด้วยโลหิต และนิ้วมือของเจ้าด้วยความชั่วช้า ริมฝีปากของเจ้าได้พูดคำเท็จ ลิ้นของเจ้าพึมพำความอธรรม
ยรม 2.7 และเราได้พาเจ้าทั้งหลายเข้ามาในดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ เพื่อกินผลไม้และของดีๆในแผ่นดินนั้น แต่เมื่อเจ้าเข้ามา เจ้าได้กระทำให้แผ่นดินของเราเป็นมลทิน และกระทำให้มรดกของเราเป็นสิ่งน่าสะอิดสะเอียน
ยรม 2.23 เจ้าจะพูดได้อย่างไรว่า ‘ข้าไม่เป็นมลทิน ข้ามิได้ติดตามพระบาอัลไป’ จงมองดูท่าทางของเจ้าที่ในหุบเขาซิ จงสำนึกซิว่าเจ้าได้กระทำอะไร เจ้าเหมือนอูฐสาวคะนองที่เดินข้ามไปข้ามมา
ยรม 16.18 และก่อนอื่นเราจะตอบสนองความชั่วช้าและบาปของเขาเป็นสองเท่า เพราะเขาได้กระทำให้แผ่นดินเราเป็นมลทินไป และกระทำให้มรดกของเราเต็มไปด้วยซากของสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนและสิ่งที่น่าเกลียดน่าชังของเขาทั้งหลาย”
ยรม 19.13 บรรดาเรือนแห่งเยรูซาเล็ม และราชวังทั้งหลายแห่งบรรดากษัตริย์ยูดาห์ จะเป็นมลทินเหมือนสถานโทเฟท เพราะเขาเผาเครื่องหอมให้แก่บรรดาบริวารแห่งฟ้าสวรรค์ และเทเครื่องดื่มถวายแก่พระอื่น บนหลังคาของบรรดาบ้านทั้งปวง’”
ยรม 32.34 แต่เขาทั้งหลายได้ตั้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนของเขาไว้ในนิเวศ ซึ่งเรียกตามนามของเรา กระทำให้มีมลทิน
ยรม 34.16 แต่แล้วเจ้าก็หวนกลับกระทำให้นามของเราเป็นมลทิน ในเมื่อเจ้าทุกคนจับทาสชายหญิงของเจ้า ซึ่งเจ้าได้ปล่อยให้เป็นอิสระไปตามความปรารถนาของเขาทั้งหลายแล้วนั้นกลับมาให้อยู่ใต้บังคับของการเป็นทาสชายและหญิงอีก
พคค 1.9 มลทินของเธอก็กรังอยู่ในกระโปรงของเธอ และเธอหาได้คำนึงถึงอนาคตของเธอไม่ ดังนั้นเธอจึงได้เสื่อมทรามลงเร็วอย่างน่าใจหาย เธอก็ไม่มีผู้ใดจะเล้าโลม “โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทอดพระเนตรความทุกข์ใจของข้าพระองค์ เพราะพวกศัตรูได้พองตัวขึ้นแล้ว”
พคค 2.2 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลืนที่อยู่ทั้งสิ้นของยาโคบเสียแล้ว และไม่ทรงเมตตา พระองค์ได้ทรงพังป้อมปราการทั้งหลายของธิดาแห่งยูดาห์ให้ลงด้วยพระพิโรธของพระองค์ พระองค์ได้ทรงทลายป้อมปราการเหล่านั้นลงถึงดิน และทรงกระทำให้ราชอาณาจักรและเจ้านายทั้งหลายในนั้นเป็นมลทินไป
พคค 4.14 เขาทั้งหลายเดินเปะปะและตาบอดไปตามถนน ทำตัวให้มลทินด้วยโลหิต จนคนจะจับต้องไม่ได้ที่เสื้อผ้าของเขา
พคค 4.15 คนทั้งหลายร้องบอกเขาว่า “ไปซิ มลทินจริง ไปเถอะ ไป๊ อย่ามาถูกต้องนะ” เมื่อเขาเหล่านั้นหนีไป เป็นคนพเนจร พลเมืองของประชาชาติพูดกันว่า “เขาต้องไม่อยู่ที่นี่อีกต่อไป”
อสค 4.13 และพระเยโฮวาห์ตรัสว่า “ประชาชนอิสราเอลจะต้องรับประทานขนมปังของเขาอย่างมลทินอย่างนี้แหละ ณ ท่ามกลางประชาชาติ ซึ่งเราจะขับไล่เขาไปอยู่”
อสค 4.14 แล้วข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าข้า ดูเถิด จิตใจของข้าพระองค์ไม่เคยเป็นมลทินเลย เพราะตั้งแต่หนุ่มๆมาจนบัดนี้ ข้าพระองค์ไม่เคยรับประทานสิ่งที่ตายเอง หรือที่ถูกสัตว์ฉีกจนแหลกเป็นชิ้นๆ ไม่มีเนื้อสัตว์ที่พึงรังเกียจเข้าไปในปากของข้าพระองค์เลย”
อสค 5.11 เพราะฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจึงตรัสว่า เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด แน่ทีเดียวเพราะเจ้าได้กระทำให้สถานบริสุทธิ์ของเราเป็นมลทินไปด้วยสิ่งน่าสะอิดสะเอียนทั้งสิ้นของเจ้า และด้วยสิ่งลามกทั้งสิ้นของเจ้า เพราะฉะนั้นเราจะตัดเจ้าลง นัยน์ตาของเราจะไม่ปรานี เราจะไม่สงสารด้วย
อสค 7.21 และเราจะมอบสิ่งเหล่านั้นไว้ในมือของชนต่างด้าวให้เป็นของริบ และแก่คนชั่วในแผ่นดินโลกให้เป็นของปล้นได้ และเขาทั้งหลายจะกระทำให้เป็นมลทิน
อสค 7.22 เราจะหันหน้าของเราไปเสียจากเขาด้วย แล้วเขาจึงจะกระทำสถานที่ลับของเราให้มัวหมอง โจรจะเข้ามาในสถานที่ลับนั้นและกระทำให้เป็นมลทิน
อสค 7.24 ฉะนั้นเราจะนำประชาชาติที่ชั่วร้ายที่สุดมาถือกรรมสิทธิ์บ้านเรือนของเขา และเราจะให้ทิฐิของคนที่แข็งแรงนั้นสิ้นสุดลง และสถานที่บริสุทธิ์ของเขาจะเป็นมลทิน
อสค 9.7 แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “จงกระทำให้พระนิเวศเป็นมลทิน จงทิ้งผู้ที่ถูกฆ่าให้เต็มลาน จงไปเถิด” เขาทั้งหลายจึงออกไปและฆ่าฟันที่ในนคร
อสค 14.11 เพื่อว่าวงศ์วานอิสราเอลจะไม่หลงเจิ่นไปจากเราอีก หรือไม่กระทำตัวให้มลทินด้วยการละเมิดทั้งหลายของตนอีก แต่เขาทั้งหลายจะเป็นประชาชนของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้”
อสค 16.63 เพื่อเจ้าจะจำได้และสนเท่ห์ และเพราะความละอายของเจ้า เจ้าจะไม่อ้าปากพูดอีก เมื่อเราลบมลทินบาปทุกสิ่งที่เจ้าได้กระทำมาแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้”
อสค 18.6 ถ้าคนนั้นมิได้รับประทานที่บนภูเขาหรือเงยหน้าขึ้นนมัสการรูปเคารพแห่งวงศ์วานอิสราเอล มิได้กระทำให้ภรรยาของเพื่อนบ้านมลทิน หรือเข้าใกล้ผู้หญิงในเวลาที่เธอมีมลทินประจำเดือน
อสค 18.11 ผู้มิได้กระทำตามหน้าที่เหล่านี้ แต่รับประทานบนภูเขา กระทำให้ภรรยาของเพื่อนบ้านมลทิน
อสค 18.15 มิได้รับประทานบนภูเขา หรือเงยหน้าขึ้นนมัสการรูปเคารพแห่งวงศ์วานอิสราเอล มิได้กระทำให้ภรรยาของเพื่อนบ้านมลทิน
อสค 20.7 และเรากล่าวแก่เขาว่า เจ้าทุกคนจงทิ้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนซึ่งนัยน์ตาของเจ้าทั้งหลายกำลังเพลิดเพลินอยู่นั้นเสีย อย่ากระทำตัวของเจ้าให้มลทินไปด้วยรูปเคารพของอียิปต์ เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า
อสค 20.9 แต่เราก็กระทำโดยเห็นแก่นามของเราเอง เพื่อไม่ให้ชื่อนั้นมลทินต่อหน้าประชาชาติซึ่งเขาอาศัยอยู่ เราจึงได้สำแดงตัวของเราท่ามกลางสายตาของเขาให้เขารู้จัก ในการที่เรานำคนอิสราเอลออกมาจากแผ่นดินอียิปต์
อสค 20.14 แต่เราก็กระทำโดยเห็นแก่นามของเราเอง เพื่อไม่ให้ชื่อนั้นมลทินต่อหน้าประชาชาติทั้งหลาย ซึ่งเราได้นำคนอิสราเอลออกมาท่ามกลางสายตาของเขา
อสค 20.18 แต่เราพูดกับลูกหลานของเขาในถิ่นทุรกันดารนั้นว่า อย่าดำเนินตามกฎเกณฑ์ของบรรพบุรุษของเจ้า หรือรักษาคำตัดสินของเขา หรือกระทำตัวเจ้าให้มลทินไปด้วยรูปเคารพของเขา
อสค 20.22 แต่เราได้หดมือของเราไว้ และกระทำโดยเห็นแก่นามของเราเอง เพื่อไม่ให้ชื่อนั้นมลทินท่ามกลางสายตาของประชาชาติทั้งหลาย ซึ่งเราได้นำชนอิสราเอลออกมาท่ามกลางสายตาของเขา
อสค 20.26 และเราก็ได้ให้เขามลทินไปด้วยของถวายของเขาเอง โดยให้เขาถวายบุตรหัวปีให้ลุยไฟ เพื่อเราจะกระทำให้เขารกร้างไป เพื่อให้เขาทราบว่าเราคือพระเยโฮวาห์
อสค 20.30 เพราะฉะนั้นจงกล่าวแก่วงศ์วานอิสราเอลว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เจ้ากระทำตัวให้มลทินไปตามอย่างบรรพบุรุษของเจ้า และเล่นชู้กับสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนของเขาหรือ
อสค 20.31 เมื่อเจ้าถวายของบูชาและถวายบุตรชายให้ลุยไฟ เจ้าได้กระทำตัวให้มลทินด้วยบรรดารูปเคารพของเจ้าจนทุกวันนี้ โอ วงศ์วานอิสราเอลเอ๋ย เราจะให้เจ้ามาถามเราหรือ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด เราจะไม่ให้เจ้ามาถามเราฉันนั้น
อสค 20.39 เดี๋ยวนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า โอ วงศ์วานอิสราเอลเอ๋ย ฝ่ายเจ้าทั้งหลายทุกคนจงไปปรนนิบัติรูปเคารพของเจ้าเดี๋ยวนี้ และต่อไปถ้าเจ้าไม่ฟังเรา แต่ชื่ออันบริสุทธิ์ของเรานั้นเจ้าอย่ากระทำให้มลทินอีกด้วยของถวายและด้วยรูปเคารพของเจ้า
อสค 20.43 ณ ที่นั่นเจ้าจะระลึกถึงวิถีทางและการกระทำทั้งสิ้นของเจ้า ซึ่งได้กระทำให้เจ้าเป็นมลทิน และในสายตาของเจ้าเองเจ้าจะเกลียดชังตัวของเจ้า เพราะความชั่วทั้งหลายซึ่งเจ้าได้กระทำนั้น
อสค 22.3 เจ้าจงกล่าวว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า นี่เป็นเมืองที่ทำให้โลหิตตกอยู่ที่กลางตนเองเพื่อให้เวลากำหนดของตนมาถึง และเป็นเมืองที่ทำรูปเคารพไว้ให้ตัวมลทินไป
อสค 22.4 เจ้ามีความชั่วด้วยโลหิตที่เจ้ากระทำให้ตกนั้น และมลทินไปด้วยรูปเคารพที่เจ้ากระทำไว้ และเจ้าได้นำให้เวลาของเจ้าเข้ามาใกล้ เวลากำหนดแห่งปีของเจ้ามาถึงแล้ว เพราะฉะนั้นเราจึงกระทำเจ้าให้เป็นที่ประณามกันแก่ประชาชาติ และเป็นที่เย้ยหยันแก่ประเทศทั้งหลาย
อสค 22.10 ในเจ้ามีชายบางคนได้เห็นความเปลือยของบิดาเขา ในเจ้ามีคนที่กระทำหยามเกียรติผู้หญิงที่ยังมีมลทินเพราะมีประจำเดือน
อสค 22.11 คนหนึ่งกระทำการอันน่าสะอิดสะเอียนกับภรรยาของเพื่อนบ้าน อีกคนหนึ่งกระทำให้ลูกสะใภ้ของตนเป็นมลทินอย่างชั่วช้าลามก และอีกคนหนึ่งในพวกเจ้ากระทำหยามเกียรติน้องสาวของเขาเอง คือลูกสาวของบิดาของตน
อสค 23.7 เธอเล่นชู้กับคนเหล่านี้ ซึ่งเป็นบุคคลที่คัดเลือกแล้วของอัสซีเรียทุกคน และเธอก็กระทำตัวให้เป็นมลทินด้วยรูปเคารพของทุกคนที่เธอลุ่มหลงนั้น
อสค 23.13 และเราเห็นว่าเธอมีมลทินเสียแล้ว เธอทั้งสองก็เดินทางเดียวกัน
อสค 23.17 ชาวบาบิโลนก็มาหาเธอถึงเตียงรัก และเขาก็กระทำให้เธอเป็นมลทินด้วยราคะของเขา หลังจากที่เธอโสโครกกับเขาแล้ว จิตใจเธอก็เบื่อหน่าย
อสค 23.38 ยิ่งกว่านั้นอีก เธอได้กระทำเช่นนี้แก่เรา คือเธอได้กระทำให้สถานบริสุทธิ์ของเราเป็นมลทินในวันเดียวกัน และลบหลู่วันสะบาโตของเรา
อสค 23.39 คือขณะเมื่อเธอฆ่าลูกของเธอเป็นเครื่องบูชารูปเคารพ ในวันนั้นเธอก็เข้ามาในสถานบริสุทธิ์ของเรา และกระทำสถานที่นั้นให้เป็นมลทิน ดูเถิด เธอกระทำสิ่งเหล่านี้ในนิเวศของเรา
อสค 28.7 เพราะฉะนั้น ดูเถิด เราจะนำคนต่างด้าวมาสู้เจ้า เป็นชนชาติที่ทารุณในบรรดาประชาชาติ เขาทั้งหลายจะชักดาบออกต่อสู้กับความงามแห่งสติปัญญาของเจ้า และเขาจะกระทำให้ความฉลาดปราดเปรื่องของเจ้าเป็นมลทิน
อสค 28.16 ในความอุดมสมบูรณ์แห่งการค้าของเจ้านั้น เจ้าก็เต็มด้วยการทารุณ เจ้ากระทำบาป ดังนั้น โอ เครูบผู้พิทักษ์เอ๋ย เราจะขับเจ้าออกไปจากภูเขาแห่งพระเจ้าดุจสิ่งมลทิน และเราจะกำจัดเจ้าเสียจากท่ามกลางศิลาเพลิง
อสค 28.18 เจ้ากระทำให้สถานบริสุทธิ์ของเจ้าเป็นมลทิน โดยความชั่วช้าเป็นอันมากของเจ้า ในการค้าอันชั่วช้าของเจ้า เหตุฉะนั้นเราจะนำไฟออกมาจากท่ามกลางเจ้า ไฟจะเผาผลาญเจ้า เราจะกระทำให้เจ้าเป็นเถ้าถ่านไปบนแผ่นดินโลกท่ามกลางสายตาของคนทั้งปวงที่มองดูเจ้าอยู่
อสค 32.2 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงเปล่งเสียงบทคร่ำครวญเรื่องฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ และกล่าวให้ท่านฟังดังนี้ว่า ท่านเหมือนสิงโตหนุ่มท่ามกลางประชาชาติ แต่ท่านเป็นเหมือนปลาวาฬในทะเลทั้งหลาย ท่านเผ่นออกมาในแม่น้ำทั้งหลายของท่าน เอาเท้าของท่านกวนน้ำและกระทำแม่น้ำของมันให้มลทินไป
อสค 33.26 เจ้ายืนอยู่ด้วยดาบของเจ้า เจ้ากระทำการอันน่าสะอิดสะเอียน และเจ้าทุกคนได้กระทำให้ภรรยาของเพื่อนบ้านเป็นมลทิน แล้วเจ้าจะเอากรรมสิทธิ์ที่ดินนี้หรือ
อสค 36.17 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เมื่อวงศ์วานอิสราเอลได้มาอาศัยอยู่ในแผ่นดินของตน เขากระทำให้แผ่นดินเป็นมลทินด้วยวิถีและการกระทำของเขา ความประพฤติของเขาที่มีต่อหน้าเราก็เหมือนมลทินอันเกิดจากระดู
อสค 36.18 เพราะฉะนั้นเราจึงระบายความกริ้วของเราออกเหนือเขาด้วยเรื่องโลหิตซึ่งเขาได้กระทำให้ตกบนแผ่นดิน ด้วยเรื่องรูปเคารพซึ่งเขากระทำให้แผ่นดินนั้นเป็นมลทิน
อสค 36.25 เราจะเอาน้ำสะอาดพรมเจ้า และเจ้าจะสะอาดพ้นจากมลทินทั้งหลายของเจ้า และเราจะชำระเจ้าจากรูปเคารพทั้งหลายของเจ้า
อสค 36.29 เราจะช่วยเจ้าให้พ้นมลทินทั้งหลายของเจ้า และเราจะเรียกข้าวมา และจะกระทำให้อุดมสมบูรณ์ และจะไม่ให้เจ้าเกิดการกันดารอาหารเลย
อสค 37.23 เขาจะไม่กระทำตัวให้เป็นมลทินด้วยรูปเคารพและสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนของเขา หรือด้วยการละเมิดใดๆของเขาต่อไปอีก แต่เราจะช่วยเขาให้พ้นจากบรรดาที่อาศัยซึ่งเขากระทำบาปนั้น และจะชำระเขา และเขาจะเป็นประชาชนของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา
อสค 43.7 และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย บัลลังก์ของเราและสถานที่วางเท้าของเราอยู่ที่นี่ เป็นที่ที่เราจะอยู่ท่ามกลางชนชาติอิสราเอลเป็นนิตย์ และวงศ์วานอิสราเอลจะไม่กระทำให้นามบริสุทธิ์ของเราเป็นมลทินอีก โดยตัวของเขาทั้งหลายเองหรือกษัตริย์ของเขาทั้งหลาย ด้วยการเล่นชู้ของเขาทั้งหลาย และด้วยศพของกษัตริย์ของเขาทั้งหลายในปูชนียสถานสูง
อสค 43.8 โดยการวางธรณีประตูของเขาทั้งหลายไว้ข้างธรณีประตูทั้งหลายของเรา โดยการตั้งเสาประตูของเขาทั้งหลายไว้ข้างเสาประตูทั้งหลายของเรา มีเพียงผนังกั้นไว้ระหว่างเรากับเขาทั้งหลายเท่านั้น เขาได้กระทำให้นามบริสุทธิ์ของเราเป็นมลทินด้วยการอันน่าสะอิดสะเอียนของเขาซึ่งเขาทั้งหลายได้กระทำ ดังนั้นเราจึงเผาผลาญเขาเสียด้วยความกริ้วของเรา
อสค 44.25 อย่าให้เขากระทำตัวให้เป็นมลทินด้วยเข้าไปใกล้ผู้ตาย เว้นแต่เป็นบิดาหรือมารดาหรือบุตรชายหรือบุตรสาว หรือพี่น้องผู้ชายหรือพี่น้องผู้หญิงที่ไม่มีสามี ก็จะกระทำตัวให้เป็นมลทินได้
ดนล 1.8 แต่ดาเนียลตั้งใจไว้ว่าจะไม่กระทำตัวให้เป็นมลทินด้วยอาหารสูงของกษัตริย์ หรือด้วยเหล้าองุ่นซึ่งพระองค์ดื่ม เพราะฉะนั้นเขาจึงขอหัวหน้าขันทีให้ยอมเขาที่ไม่กระทำตัวให้เป็นมลทิน
ดนล 11.31 และกองทัพจะยืนหยัดอยู่ฝ่ายเขา พวกเขาจะกระทำให้สถานบริสุทธิ์แห่งกองกำลังเป็นมลทิน และจะให้เลิกเครื่องเผาบูชาประจำวันนั้นเสีย และเขาทั้งหลายจะตั้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนซึ่งกระทำให้เกิดการรกร้างว่างเปล่าขึ้น
ฮชย 5.3 เรารู้จักเอฟราอิม และอิสราเอลก็มิได้ปิดบังไว้จากเรา โอ เอฟราอิมเอ๋ย เจ้าเล่นชู้ อิสราเอลก็เป็นมลทิน
ฮชย 6.10 เราเห็นสิ่งน่าสยดสยองในวงศ์วานอิสราเอล การเล่นชู้ของเอฟราอิมก็อยู่ที่นั่น อิสราเอลเป็นมลทิน
ฮชย 9.4 เขาจะไม่ทำพิธีเทน้ำองุ่นถวายพระเยโฮวาห์ เขาจะไม่กระทำให้พระองค์พอพระทัย เครื่องสัตวบูชาของเขาจะเป็นเหมือนขนมปังสำหรับไว้ทุกข์แก่เขา ผู้ใดรับประทานก็จะมีมลทิน เพราะว่าขนมปังสำหรับจิตวิญญาณของเขาจะไม่เข้าไปในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์
ศฟย 3.1 วิบัติแก่เมืองนี้ที่โสโครกและเป็นมลทิน เป็นเมืองที่บีบบังคับเขา
ฮกก 2.13 แล้วฮักกัยจึงถามว่า “ถ้าคนหนึ่งคนใดที่มลทินเพราะไปถูกศพมา แล้วมาถูกสิ่งเหล่านี้เข้า สิ่งเหล่านี้จะมลทินไปด้วยหรือไม่” ปุโรหิตตอบว่า “สิ่งเหล่านี้จะมลทินไปด้วย”
ฮกก 2.14 ฮักกัยจึงตอบว่า “พระเยโฮวาห์ตรัสว่า ต่อหน้าเรา ชนชาตินี้เป็นอย่างนั้นและประชาชาตินี้ก็เป็นอย่างนั้น ผลงานทุกอย่างที่มือของเขากระทำเป็นอย่างนั้นด้วย และสิ่งใดๆที่เขาถวายบูชาที่นั่น ก็เป็นมลทิน
มลค 1.7 ก็โดยนำอาหารมลทินมาถวายบนแท่นของเราอย่างไรล่ะ แล้วท่านว่า ‘ข้าพระองค์ทั้งหลายกระทำให้พระองค์เป็นมลทินสถานใด’ ก็โดยคิดว่า ‘โต๊ะของพระเยโฮวาห์นั้นเป็นที่ดูหมิ่น’ อย่างไรล่ะ
มลค 1.12 แต่เมื่อเจ้ากล่าวว่า ‘โต๊ะของพระเยโฮวาห์เป็นมลทิน’ และว่า ‘ผลของโต๊ะนั้นคืออาหารที่ถวายนั้นน่าดูถูก’ เจ้าก็ได้กระทำให้นามนั้นเป็นมลทินไปแล้ว
มธ 15.11 มิใช่สิ่งซึ่งเข้าไปในปากจะทำให้มนุษย์เป็นมลทิน แต่สิ่งซึ่งออกมาจากปากนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน”
มธ 15.18 แต่สิ่งที่ออกจากปากก็ออกมาจากใจ สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน
มธ 15.20 สิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน แต่ซึ่งจะรับประทานอาหารโดยไม่ล้างมือก่อน ไม่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน”
มก 7.2 เมื่อเขาได้เห็นเหล่าสาวกของพระองค์บางคนรับประทานอาหารด้วยมือที่เป็นมลทิน คือมือที่ไม่ได้ล้างก่อน เขาก็ถือว่าผิด
มก 7.15 ไม่มีสิ่งใดภายนอกที่เข้าไปภายในมนุษย์จะกระทำให้มนุษย์เป็นมลทินได้ แต่สิ่งซึ่งออกมาจากภายในมนุษย์ สิ่งนั้นแหละกระทำให้มนุษย์เป็นมลทิน
มก 7.18 พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า “ถึงท่านทั้งหลายก็ยังไม่เข้าใจหรือ ท่านยังไม่เห็นหรือว่าสิ่งใดๆแต่ภายนอกที่เข้าไปภายในมนุษย์จะกระทำให้มนุษย์เป็นมลทินไม่ได้
มก 7.19 เพราะว่าสิ่งนั้นมิได้เข้าในใจ แต่ลงไปในท้องแล้วก็ถ่ายออกลงส้วมไป ทำให้อาหารทุกอย่างปราศจากมลทิน”
มก 7.20 พระองค์ตรัสว่า “สิ่งที่ออกมาจากภายในมนุษย์ สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน
มก 7.23 สารพัดการชั่วนี้เกิดมาจากภายใน และทำให้มนุษย์เป็นมลทิน”
ยน 18.28 เขาจึงได้พาพระเยซูออกไปจากคายาฟาสไปยังศาลปรีโทเรียม เป็นเวลาเช้าตรู่ พวกเขาเองไม่ได้เข้าไปในศาลปรีโทเรียม เพื่อไม่ให้เป็นมลทิน แต่จะได้กินปัสกาได้
กจ 10.28 จึงกล่าวแก่คนเหล่านั้นว่า “ท่านทั้งหลายทราบแล้วว่า คนชาติยิวนั้นจะคบให้สนิทกับคนต่างชาติหรือเข้าเยี่ยมก็เป็นที่พระราชบัญญัติห้ามไว้ แต่พระเจ้าได้ทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าแล้วว่า ไม่ควรเรียกคนหนึ่งคนใดว่าเป็นที่ห้ามหรือมลทิน
กจ 11.8 แต่ข้าพเจ้าทูลว่า ‘หามิได้ พระองค์เจ้าข้า เพราะว่าสิ่งของซึ่งต้องห้ามหรือซึ่งเป็นมลทินยังไม่ได้เข้าปากข้าพระองค์เลย’
กจ 15.20 แต่เราจงเขียนหนังสือฝากไปถึงเขาว่า ให้งดเว้นเสียจากสิ่งที่มลทินเนื่องด้วยรูปเคารพ จากการล่วงประเวณี จากการรับประทานเนื้อสัตว์ที่รัดคอตาย และจากการรับประทานเลือด
กจ 21.28 ร้องว่า “ชนชาติอิสราเอลเอ๋ย จงช่วยกันเถิด คนนี้เป็นผู้ที่ได้สอนคนทั้งปวงทุกตำบลให้เป็นศัตรูต่อชนชาติของเรา ต่อพระราชบัญญัติและต่อสถานที่นี้ และยิ่งกว่านั้นอีก เขาได้พาคนชาวกรีกเข้ามาในพระวิหารด้วย จึงทำให้ที่บริสุทธิ์นี้เป็นมลทิน”
กจ 24.6 กับอีกนัยหนึ่งเขาหมายจะทำให้พระวิหารเป็นมลทิน ข้าพเจ้าทั้งหลายจึงจับเขาไว้ และก็คงจะได้พิพากษาเขาตามกฎหมายของพวกข้าพเจ้า
รม 14.14 ข้าพเจ้ารู้และปลงใจเชื่อเป็นแน่ในองค์พระเยซูเจ้าว่า ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นมลทินในตัวเองเลย แต่ถ้าผู้ใดถือว่าสิ่งใดเป็นมลทิน สิ่งนั้นก็เป็นมลทินสำหรับคนนั้น
รม 14.20 อย่าทำลายงานของพระเจ้าเพราะเรื่องอาหารเลย ทุกสิ่งทุกอย่างปราศจากมลทินก็จริง แต่ผู้ใดที่กินอาหารซึ่งเป็นเหตุให้ผู้อื่นหลงผิด ก็มีความผิดด้วย
1คร 7.14 ด้วยว่าสามีที่ไม่เชื่อนั้นได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ทางภรรยา และภรรยาที่ไม่เชื่อก็ได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ทางสามี มิฉะนั้นลูกของท่านก็เป็นมลทิน แต่บัดนี้ลูกเหล่านั้นก็บริสุทธิ์
1คร 8.7 มิใช่ว่าทุกคนมีความรู้อย่างนี้ เพราะมีบางคนมีจิตสำนึกผิดชอบเรื่องรูปเคารพว่า เมื่อได้กินอาหารนั้นก็ถือว่าเป็นของบูชาแก่รูปเคารพจริงๆ และจิตสำนึกผิดชอบของเขายังอ่อนอยู่จึงเป็นมลทิน
2คร 7.1 ท่านที่รัก เมื่อเรามีพระสัญญาเช่นนี้แล้ว ให้เราชำระตัวเราให้ปราศจากมลทินทุกอย่างของเนื้อหนังและจิตวิญญาณ และจงทำให้มีความบริสุทธิ์ครบถ้วนโดยความเกรงกลัวพระเจ้า
อฟ 5.27 เพื่อพระองค์จะได้ทรงมอบคริสตจักรที่มีสง่าราศีแด่พระองค์เอง ไม่มีจุดด่างพร้อย ริ้วรอย หรือมลทินใดๆเลย แต่บริสุทธิ์ปราศจากตำหนิ
ทต 1.15 สำหรับคนบริสุทธิ์นั้น ทุกสิ่งก็บริสุทธิ์ แต่สำหรับคนชั่วช้า และคนที่ไม่เชื่อนั้น ก็ไม่มีสิ่งใดบริสุทธิ์เลย แต่จิตใจและจิตสำนึกผิดชอบของเขาก็ชั่วมลทินไป
ฮบ 7.26 มหาปุโรหิตเช่นนี้แหละที่เหมาะสำหรับเรา คือเป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากอุบาย ไร้มลทิน แยกจากคนบาปทั้งปวง ประทับอยู่สูงกว่าฟ้าสวรรค์
ฮบ 12.15 และจงระวังให้ดีเกรงว่าจะมีบางคนกำลังเสื่อมจากพระกรุณาคุณของพระเจ้า และเกรงว่าจะมีรากขมขื่นแซมขึ้นมาทำให้เกิดความยุ่งยากแก่ท่าน และเป็นเหตุให้คนเป็นอันมากมลทินไป
ฮบ 13.4 การสมรสเป็นที่นับถือแก่คนทั้งปวง และที่นอนก็ปราศจากมลทิน แต่คนที่ล่วงประเวณีและคนเล่นชู้นั้น พระเจ้าจะทรงพิพากษาโทษเขา
ยก 1.27 การเคร่งครัดในความเชื่ออย่างบริสุทธิ์ไร้มลทินต่อพระพักตร์พระเจ้าและพระบิดานั้น คือการเยี่ยมเยียนเด็กกำพร้าพ่อและหญิงม่ายที่มีความทุกข์ร้อน และการรักษาตัวให้พ้นจากราคีของโลก
ยก 3.6 และลิ้นนั้นก็เป็นไฟ เป็นโลกแห่งการชั่วช้าซึ่งตั้งอยู่ในบรรดาอวัยวะของเรา เป็นเหตุให้ทั้งกายเป็นมลทินไป ทำให้วิถีแห่งธรรมชาติเผาไหม้ และมันเองก็ติดไฟจากนรก
1ปต 1.4 และเพื่อให้ได้รับมรดกซึ่งไม่รู้เปื่อยเน่า ปราศจากมลทินและไม่ร่วงโรย ซึ่งได้รักษาไว้ในสวรรค์เพื่อท่านทั้งหลาย
1ปต 5.2 จงเลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้าที่อยู่กับท่าน จงเอาใจใส่ดูแล ไม่ใช่ด้วยความฝืนใจ แต่ด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่ด้วยการเห็นแก่ทรัพย์สิ่งของอันเป็นมลทิน แต่ด้วยใจพร้อม
2ปต 2.13 และจะรับบำเหน็จแห่งการอธรรม เหมือนคนที่ถือการเสเพลเฮฮาในเวลากลางวันเป็นความเพลิดเพลิน เขาด่างพร้อยและมลทิน และประพฤติการเสเพลเฮฮาด้วยการหลอกลวงของตนเอง เมื่อกำลังกินเลี้ยงรวมกับท่านทั้งหลาย
2ปต 2.20 เพราะว่าถ้าหลังจากที่เขาพ้นจากสรรพมลทินของโลกนี้แล้ว ด้วยการที่เขารู้เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า และพระผู้ช่วยให้รอด เขากลับเกี่ยวข้องและพ่ายแพ้แก่การชั่วนั้นอีก บั้นปลายของเขาก็กลับชั่วร้ายยิ่งกว่าตอนต้น
2ปต 3.14 เหตุฉะนั้นพวกที่รัก เมื่อท่านทั้งหลายยังคอยสิ่งเหล่านี้อยู่ ท่านก็จงอุตส่าห์ให้พระองค์ทรงพบท่านทั้งหลายอยู่เป็นสุข ปราศจากมลทินและข้อตำหนิ
ยด 1.8 เช่นเดียวกัน คนเพ้อฝันแต่เรื่องสกปรกโสโครกเหล่านี้ได้กระทำให้เนื้อหนังเป็นมลทิน ดูหมิ่นผู้มีอำนาจ และพูดจาให้ร้ายต่อผู้มีบรรดาศักดิ์
วว 3.4 แต่ก็มีพวกเจ้าสองสามชื่อที่เมืองซาร์ดิสที่ไม่ได้กระทำให้เสื้อผ้าของตนมีมลทิน และเขาเหล่านั้นจะแต่งตัวสีขาวเดินไปกับเรา เพราะว่าเขาเป็นคนที่สมควรแล้ว
วว 14.4 คนเหล่านี้เป็นคนที่มิได้มีมลทินกับผู้หญิง เพราะว่าเขาเป็นพวกพรหมจารี พระเมษโปดกเสด็จไปที่ใด คนเหล่านี้ก็ตามเสด็จไปด้วย พวกเขาเป็นผู้ที่ทรงไถ่จากมวลมนุษย์ เป็นผลแรกถวายแด่พระเจ้าและแด่พระเมษโปดก
วว 21.27 สิ่งใดที่เป็นมลทิน หรือผู้ใดก็ตามที่กระทำสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน หรือพูดมุสาจะเข้าไปในเมืองไม่ได้เลย เว้นแต่เฉพาะคนที่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตของพระเมษโปดกเท่านั้นจึงจะเข้าไปได้

มลาย ( 2 )
ฮชย 10.7 สำหรับสะมาเรีย กษัตริย์ของเขาจะมลายไปเหมือนฟองที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ
นฮม 2.6 ประตูที่แม่น้ำจะเปิด แล้วที่พระราชวังก็จะมลายไป

ม้วน ( 25 )
2พกษ 2.8 เอลียาห์ก็เอาเสื้อคลุมของท่านม้วนเข้าแล้วฟาดลงที่น้ำนั้น น้ำก็แยกออกไปสองข้าง ท่านทั้งสองจึงเดินข้ามไปได้บนดินแห้ง
2พกษ 22.10 แล้วชาฟานราชเลขาได้ทูลกษัตริย์ว่า “ฮิลคียาห์ปุโรหิตได้มอบหนังสือแก่ข้าพระองค์ม้วนหนึ่ง” และชาฟานก็อ่านถวายกษัตริย์
2พศด 34.18 แล้วชาฟานราชเลขาทูลกษัตริย์ว่า “ฮิลคียาห์ปุโรหิตได้มอบหนังสือแก่ข้าพระองค์ม้วนหนึ่ง” แล้วชาฟานก็อ่านถวายต่อพระพักตร์กษัตริย์
อสร 6.2 และได้มีการพบหนังสือม้วนหนึ่งที่อาคเมตาห์ในพระราชวังซึ่งอยู่ในมณฑลมีเดีย และมีข้อความเขียนอยู่ในหนังสือม้วนนั้นดังต่อไปนี้
อสย 9.18 เพราะความชั่วก็ไหม้เหมือนไฟไหม้ มันจะผลาญทั้งหนามย่อยและหนามใหญ่ มันจะจุดไฟเข้าที่ป่าทึบ และป่าทึบก็จะม้วนขึ้นข้างบนเหมือนควันเป็นลูกๆ
อสย 22.18 และม้วนเจ้า และขว้างเจ้าไปอย่างลูกบอลล์ยังแผ่นดินกว้างเจ้าจะตายที่นั่น และที่นั่นจะมีรถรบอันตระการของเจ้า เจ้าผู้เป็นที่อดสูแก่เรือนนายของเจ้า
อสย 34.4 บริวารทั้งสิ้นของฟ้าสวรรค์จะละลายไป และท้องฟ้าก็จะม้วนเหมือนหนังสือม้วน บริวารทั้งสิ้นของมันจะร่วงหล่นเหมือนใบไม้หล่นจากเถาองุ่น อย่างมะเดื่อหล่นจากต้นมะเดื่อ
ยรม 30.2 “พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า จงเขียนถ้อยคำทั้งสิ้นที่เราได้บอกแก่เจ้าไว้ในหนังสือม้วนหนึ่ง
ยรม 36.2 “เจ้าจงเอาหนังสือม้วนม้วนหนึ่ง และเขียนถ้อยคำนี้ทั้งสิ้นลงไว้ เป็นคำที่เราได้พูดกับเจ้าปรักปรำอิสราเอลและยูดาห์ และบรรดาประชาชาติทั้งสิ้น ตั้งแต่วันที่เราได้พูดกับเจ้า ตั้งแต่รัชกาลโยสิยาห์จนถึงวันนี้
ยรม 36.28 “จงเอาหนังสือม้วนอีกม้วนหนึ่งและจงเขียนถ้อยคำแรกซึ่งอยู่ในหนังสือม้วนก่อนลงไว้ทั้งหมด คือซึ่งเยโฮยาคิมกษัตริย์แห่งยูดาห์ทรงเผาเสียนั้น
ยรม 36.32 แล้วเยเรมีย์จึงเอาหนังสือม้วนอีกม้วนหนึ่ง มอบให้บารุคบุตรชายเนริยาห์เสมียน ผู้เขียนถ้อยคำทั้งสิ้นในนั้นตามคำบอกของเยเรมีย์ คือถ้อยคำทั้งสิ้นในหนังสือม้วนซึ่งเยโฮยาคิมกษัตริย์แห่งยูดาห์ได้เผาเสียในไฟ และมีถ้อยคำเป็นอันมากที่คล้ายคลึงกันเพิ่มขึ้น
อสค 2.9 ดูเถิด เมื่อข้าพเจ้ามองดูก็เห็นพระหัตถ์ข้างหนึ่งเหยียดออกมายังข้าพเจ้า และดูเถิด ในพระหัตถ์นั้นมีหนังสืออยู่ม้วนหนึ่ง
ศคย 5.1 ข้าพเจ้าหันกลับและเงยหน้าขึ้นอีกก็แลเห็น ดูเถิด หนังสือม้วนหนึ่งเหาะอยู่นั่น
ศคย 5.2 ท่านจึงถามข้าพเจ้าว่า “เจ้าเห็นอะไร” ข้าพเจ้าตอบว่า “ข้าพเจ้าแลเห็นหนังสือม้วนหนึ่งเหาะอยู่ มันยาวยี่สิบศอก และกว้างสิบศอก”
มลค 3.16 แล้วคนเหล่านั้นที่เกรงกลัวพระเยโฮวาห์จึงพูดกันและกัน พระเยโฮวาห์ทรงฟังและทรงได้ยิน และมีหนังสือม้วนหนึ่งสำหรับบันทึกความจำหน้าพระพักตร์ ได้บันทึกชื่อผู้ที่เกรงกลัวพระเยโฮวาห์ และที่ตรึกตรองในพระนามของพระองค์ไว้
ลก 4.20 แล้วพระองค์ทรงม้วนหนังสือส่งคืนให้แก่เจ้าหน้าที่ แล้วทรงนั่งลงและตาของคนทั้งปวงในธรรมศาลาก็เพ่งดูพระองค์
ฮบ 1.12 พระองค์จะทรงม้วนสิ่งเหล่านี้ไว้ดุจเสื้อคลุม และสิ่งเหล่านั้นก็จะเปลี่ยนแปลงไป แต่พระองค์ยังทรงเป็นอย่างเดิม และปีเดือนของพระองค์จะไม่สิ้นสุด’
วว 5.1 และในพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ผู้ทรงประทับบนพระที่นั่งนั้น ข้าพเจ้าได้เห็นหนังสือม้วนหนึ่งเขียนไว้ทั้งข้างในและข้างนอก มีตราประทับอยู่เจ็ดดวง
วว 5.7 และพระเมษโปดกนั้นได้เข้ามารับม้วนหนังสือจากพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ ผู้ทรงประทับบนพระที่นั่งนั้น
วว 5.9 และเขาทั้งหลายก็ร้องเพลงใหม่ ว่าดังนี้ “พระองค์ทรงเป็นผู้ที่สมควรจะทรงรับม้วนหนังสือ และแกะตราม้วนหนังสือนั้นออก เพราะว่าพระองค์ทรงถูกปลงพระชนม์แล้ว และด้วยพระโลหิตของพระองค์นั้น พระองค์ได้ทรงไถ่เราทั้งหลายซึ่งมาจากทุกตระกูล ทุกภาษาทุกชาติและทุกประเทศ ให้ไปถึงพระเจ้า
วว 6.14 ท้องฟ้าก็หายไปเหมือนกับหนังสือที่เขาม้วนขึ้นไปหมด และภูเขาทุกลูกและเกาะทุกเกาะก็เลื่อนไปจากที่เดิม
วว 10.2 ท่านถือหนังสือเล็กๆม้วนหนึ่งซึ่งคลี่อยู่ในมือของท่าน ท่านวางเท้าขวาของท่านบนทะเล และเท้าซ้ายของท่านบนบก
วว 10.8 และพระสุรเสียงที่ข้าพเจ้าได้ยินจากสวรรค์นั้นตรัสกับข้าพเจ้าอีกว่า “จงไปรับหนังสือเล็กๆม้วนนั้นที่คลี่อยู่ในมือของทูตสวรรค์องค์ที่ยืนอยู่ทั้งบนทะเลและบนบกนั้น”
วว 20.12 ข้าพเจ้าได้เห็นบรรดาผู้ที่ตายแล้ว ทั้งผู้น้อยและผู้ใหญ่ ยืนอยู่จำเพาะพระพักตร์พระเจ้า และหนังสือต่างๆก็เปิดออก หนังสืออีกม้วนหนึ่งก็เปิดออกด้วย คือหนังสือแห่งชีวิต และผู้ที่ตายไปแล้วก็ถูกพิพากษาตามข้อความที่จารึกไว้ในหนังสือเหล่านั้น ตามที่เขาได้กระทำ

มวย ( 2 )
กดว 5.18 และปุโรหิตจะให้นางเข้าเฝ้าพระเยโฮวาห์ และแก้มวยผมของนางออก และส่งธัญญบูชาแห่งความรำลึกให้นางถือไว้ อันเป็นธัญญบูชาแห่งความหึงหวง แล้วปุโรหิตจะถือน้ำแห่งความขมขื่นที่นำการสาปแช่งนั้นไว้เอง
อสค 44.20 อย่าให้เขาโกนศีรษะหรือปล่อยให้มวยผมยาว ให้เขาเพียงแต่ขลิบผมบนศีรษะของเขาเท่านั้น

มวล ( 12 )
ปฐก 28.3 ขอพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงอวยพระพรแก่เจ้า และโปรดให้เจ้ามีลูกดกทวียิ่งขึ้น จนได้เป็นมวลชนชาติทั้งหลาย
อสธ 10.3 เพราะโมรเดคัยคนยิวมีตำแหน่งรองกษัตริย์อาหสุเอรัส และท่านเป็นใหญ่ท่ามกลางพวกยิว และเป็นที่ชอบพอของมวลญาติพี่น้องของท่าน เพราะท่านแสวงหาความมั่งคั่งให้ชนชาติของท่าน และพูดให้เกิดสันติสุขแก่เชื้อสายทั้งปวงของท่าน
โยบ 11.2 “ควรที่จะฟังมวลถ้อยคำโดยไม่มีใครตอบหรือ และคนที่พูดมากควรจะนับว่าชอบธรรมหรือ
สภษ 14.28 ในมวลประชาชนก็มีศักดิ์ศรีของกษัตริย์ แต่ไร้ประชาชนเจ้านายก็ถูกทำลาย
อสย 29.5 แต่มวลชาวต่างประเทศของเจ้าจะเหมือนผงคลีละเอียด และผู้น่ากลัวทั้งมวลจะเหมือนแกลบที่ฟุ้งหายไป เออ ชั่วประเดี๋ยวเดียวและในทันทีทันใด
อสย 29.7 และมวลประชาชาติทั้งสิ้นที่ต่อสู้กับอารีเอล ทั้งหมดที่ต่อสู้กับเขาและกับที่กำบังเข้มแข็งของเขาและทำให้เขาทุกข์ใจ จะเป็นเหมือนความฝันคือนิมิตในกลางคืน
อสย 29.8 อย่างเมื่อคนหิวฝันว่า ดูเถิด เขากำลังกินอยู่ และตื่นขึ้นก็ยังหิวอยู่ จิตใจเขาไม่อิ่ม หรือเหมือนเมื่อคนกระหายฝันว่า ดูเถิด เขากำลังดื่มอยู่ แล้วตื่นขึ้นมา ดูเถิด อ่อนเปลี้ย จิตใจของเขายังแห้งผาก มวลประชาชาติทั้งสิ้นที่ต่อสู้กับภูเขาศิโยนก็จะเป็นเช่นนั้น
อสย 45.22 มวลมนุษย์ทั่วแผ่นดินโลกเอ๋ย จงหันมาหาเราและรับการช่วยให้รอด เพราะเราเป็นพระเจ้า และไม่มีอื่นใดอีก
อสย 60.6 มวลอูฐจะมาห้อมล้อมเจ้า อูฐหนุ่มจากมีเดียนและเอฟาห์ บรรดาเหล่านั้นจากเชบาจะมา เขาจะนำทองคำและกำยาน และจะบอกข่าวดีถึงกิจการอันน่าสรรเสริญของพระเยโฮวาห์
ยน 17.6 ข้าพระองค์ได้สำแดงพระนามของพระองค์แก่คนทั้งหลายที่พระองค์ได้ประทานให้แก่ข้าพระองค์จากมวลมนุษย์โลก คนเหล่านั้นเป็นของพระองค์แล้ว และพระองค์ได้ประทานเขาให้แก่ข้าพระองค์ และเขาได้รักษาพระดำรัสของพระองค์แล้ว
รม 5.12 เหตุฉะนั้นเช่นเดียวกับที่บาปได้เข้ามาในโลกเพราะคนๆเดียว และความตายก็เกิดมาเพราะบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป
วว 14.4 คนเหล่านี้เป็นคนที่มิได้มีมลทินกับผู้หญิง เพราะว่าเขาเป็นพวกพรหมจารี พระเมษโปดกเสด็จไปที่ใด คนเหล่านี้ก็ตามเสด็จไปด้วย พวกเขาเป็นผู้ที่ทรงไถ่จากมวลมนุษย์ เป็นผลแรกถวายแด่พระเจ้าและแด่พระเมษโปดก

มวลชน ( 15 )
ปฐก 48.16 ขอทูตสวรรค์ที่ได้ช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากความชั่วร้ายทั้งสิ้น โปรดอวยพรแก่เด็กหนุ่มทั้งสองนี้ ให้เขาสืบชื่อของข้าพเจ้าและชื่อของอับราฮัมและชื่อของอิสอัคบิดาของข้าพเจ้าไว้และขอให้เขาเจริญขึ้นเป็นมวลชนบนแผ่นดินเถิด”
1ซมอ 14.16 ยามของซาอูลที่อยู่ ณ กิเบอาห์แห่งคนเบนยามินก็มองดูอยู่ และดูเถิด มวลชนก็สลายไป วิ่งตีกันไปมา
2พกษ 25.11 และประชาชนที่เหลืออยู่ซึ่งอยู่ในเมือง และคนหลบหนีซึ่งหลบหนีไปยังกษัตริย์แห่งบาบิโลน พร้อมกับมวลชนที่เหลืออยู่นั้น เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ได้กวาดไปเป็นเชลย
2พศด 30.18 เพราะว่ามวลชนนั้น คนเป็นอันมากที่มาจากเอฟราอิม มนัสเสห์ อิสสาคาร์ และเศบูลุนยังไม่ได้ชำระตน ถึงกระนั้นเขาก็ยังรับประทานปัสกาผิดต่อข้อที่กำหนดไว้ แต่เฮเซคียาห์ทรงอธิษฐานเผื่อเขาว่า “ขอพระเยโฮวาห์ผู้ประเสริฐทรงให้อภัยแก่ทุกๆคน
2พศด 31.18 และขึ้นทะเบียนทั้งลูกเล็กๆของเขา ภรรยาของเขา บุตรชายบุตรสาวของเขามวลชนทั้งสิ้น เพราะในตำแหน่งหน้าที่นั้นเขาทั้งหลายได้ชำระตัวให้บริสุทธิ์
โยบ 31.34 เพราะข้ากลัวมวลชนและกลัวที่ครอบครัวต่างๆจะเหยียดหยามข้า ข้าจึงนิ่งเสีย ไม่ออกไปพ้นประตูบ้าน
สดด 42.4 เมื่อข้าพเจ้าระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ ข้าพเจ้าก็ระบายความในใจออกมาได้ เพราะข้าพเจ้าไปกับประชาชน คือไปกับพวกเขาถึงพระนิเวศของพระเจ้า ด้วยเสียงโห่ร้องยินดีและเสียงเพลงโมทนา คือมวลชนกำลังมีเทศกาลฉลอง
อสย 5.13 เพราะฉะนั้นชนชาติของเราจึงตกไปเป็นเชลย เพราะขาดความรู้ ผู้มีเกียรติของเขาก็หิวแย่ และมวลชนของเขาก็แห้งผากไปเพราะความกระหาย
อสย 5.14 เพราะฉะนั้นนรกก็ขยายที่ของมันออก และอ้าปากเสียโดยไม่จำกัด และสง่าราศีของเขา และมวลชนของเขา และเสียงอึงคะนึงของเขา และผู้ลิงโลดอยู่ ก็จะลงไป
อสย 13.4 เสียงอึงอลบนภูเขาดั่งเสียงมวลชนมหึมา เสียงอึงคะนึงของราชอาณาจักรทั้งหลายของบรรดาประชาชาติที่รวมเข้าด้วยกัน พระเยโฮวาห์จอมโยธากำลังระดมพลเพื่อสงคราม
อสย 16.14 แต่บัดนี้ พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “ภายในสามปี ตามปีจ้างลูกจ้าง สง่าราศีของโมอับจะถูกเหยียดหยาม แม้มวลชนมหึมาของเขาทั้งสิ้นก็ดี และคนที่เหลืออยู่นั้นก็จะน้อยและกะปลกกะเปลี้ย”
ดนล 10.6 ร่างกายของท่านดั่งพลอยเขียว และหน้าของท่านก็เหมือนฟ้าแลบ ดวงตาของท่านก็เหมือนกับคบเปลวเพลิง แขนและเท้าเป็นเงางามเหมือนกับทองสัมฤทธิ์ขัด และเสียงถ้อยคำของท่านเหมือนเสียงมวลชน
ยอล 3.14 มวลชน มวลชนในหุบเขาแห่งการตัดสิน เพราะวันแห่งพระเยโฮวาห์ใกล้เข้ามาแล้วในหุบเขาแห่งการตัดสิน
วว 17.15 และทูตสวรรค์นั้นบอกข้าพเจ้าว่า “น้ำมากหลายที่ท่านได้เห็นหญิงแพศยานั่งอยู่นั้น ก็คือชนชาติ มวลชน ประชาชาติ และภาษาต่างๆ

มหกิจ ( 8 )
วนฉ 2.7 ประชาชนทั้งหลายได้ปรนนิบัติพระเยโฮวาห์ตลอดสมัยของโยชูวา และตลอดสมัยของพวกผู้ใหญ่ผู้มีอายุยืนนานกว่าโยชูวา ผู้ซึ่งได้เห็นปวงมหกิจซึ่งพระเยโฮวาห์ได้ทรงกระทำเพื่ออิสราเอล
1ซมอ 12.24 จงยำเกรงพระเยโฮวาห์เท่านั้น ปรนนิบัติพระองค์ด้วยความจริงด้วยสิ้นสุดใจของท่าน จงพิเคราะห์ถึงมหกิจซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำแก่ท่านแล้วนั้น
2ซมอ 23.20 เบไนยาห์บุตรชายเยโฮยาดา เป็นบุตรชายของคนแข็งกล้าแห่งเมืองขับเซเอล เป็นคนประกอบมหกิจ ท่านได้ฆ่าคนดุจสิงโตของโมอับเสียสองคน ท่านได้ลงไปฆ่าสิงโตที่ในบ่อในวันที่หิมะตกด้วย
2พกษ 8.4 ฝ่ายกษัตริย์กำลังตรัสกับเกหะซีคนใช้ของคนแห่งพระเจ้าอยู่ว่า “จงบอกเราถึงบรรดามหกิจที่เอลีชาได้กระทำ”
1พศด 11.22 และเบไนยาห์บุตรชายเยโฮยาดา เป็นบุตรชายของคนเก่งกล้าแห่งเมืองขับเซเอล เป็นคนประกอบมหกิจ เขาได้ฆ่าคนดุจสิงโตของโมอับเสียสองคน เขาลงไปฆ่าสิงโตที่ในบ่อในวันที่หิมะตกด้วย
โยบ 9.10 ผู้ทรงกระทำมหกิจเหลือที่จะเข้าใจได้ และการมหัศจรรย์อย่างนับไม่ถ้วน
ลก 19.37 เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้ที่ซึ่งจะลงไปจากภูเขามะกอกเทศแล้ว เหล่าสาวกทุกคนมีความเปรมปรีดิ์เพราะบรรดามหกิจซึ่งเขาได้เห็นนั้น จึงเริ่มสรรเสริญพระเจ้าเสียงดัง
กจ 2.11 ชาวเกาะครีตและชาวอาระเบีย เราทั้งหลายต่างก็ได้ยินคนเหล่านี้กล่าวถึงมหกิจของพระเจ้าตามภาษาของเราเอง”

มหันต์ ( 2 )
พคค 1.5 พวกคู่อริของเธอกลายเป็นหัวหน้า พวกศัตรูของเธอได้จำเริญขึ้น ด้วยว่าพระเยโฮวาห์ได้ทรงกระทำให้เธอทนทุกข์ เพราะความทรยศอันมหันต์ของเธอ ลูกเต้าทั้งหลายของเธอตกไปเป็นเชลยต่อหน้าคู่อริ
อฟ 6.10 พี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้า สุดท้ายนี้ขอท่านจงมีกำลังขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้า และในฤทธิ์เดชอันมหันต์ของพระองค์

มหันตทุกข์ ( 1 )
อสค 30.16 และเราจะวางเพลิงในอียิปต์ เมืองสีนจะอยู่ในมหันตทุกข์ เมืองโนจะแตกและเมืองโนฟจะมีปรปักษ์ในเวลากลางวัน

มหัศจรรย์ ( 32 )
อพย 3.20 และเราจะเหยียดมือของเราออกประหารอียิปต์ด้วยมหัศจรรย์ต่างๆของเราที่เราจะกระทำในท่ามกลางประเทศนั้น แล้วหลังจากนั้น กษัตริย์ก็จะยอมปล่อยพวกเจ้าไป
อพย 4.21 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “เมื่อเจ้ากลับไปถึงอียิปต์ จงกระทำมหัศจรรย์ต่างๆซึ่งเรามอบไว้ในมือของเจ้าแล้วนั้นต่อหน้าฟาโรห์ แต่เราจะทำให้ใจของฟาโรห์แข็งกระด้าง เพื่อเขาจะไม่ยอมให้พลไพร่ไป
อพย 7.3 เราจะทำให้ใจของฟาโรห์แข็งกระด้างไป และเราจะกระทำหมายสำคัญและมหัศจรรย์ของเราให้ทวีมากขึ้นในประเทศอียิปต์
อพย 11.9 แล้วพระเยโฮวาห์ตรัสตอบโมเสสว่า “ฟาโรห์จะไม่เชื่อฟังเจ้า เพื่อมหัศจรรย์ของเราจะได้เพิ่มขึ้นอีกในแผ่นดินอียิปต์”
อพย 11.10 โมเสสกับอาโรนก็ได้กระทำบรรดามหัศจรรย์เหล่านั้นต่อพระพักตร์ฟาโรห์ และพระเยโฮวาห์ทรงกระทำให้พระทัยของฟาโรห์แข็งกระด้างไป ท่านจึงไม่ยอมปล่อยชนชาติอิสราเอลให้ออกไปจากแผ่นดินของท่าน
2พศด 26.15 ในเยรูซาเล็มพระองค์ทรงกระทำเครื่องกลไกโดยคนช่างประดิษฐ์ทำขึ้น ไว้บนป้อมและตามมุม เพื่อยิงลูกธนูและโยนก้อนหินใหญ่ๆ และพระนามของพระองค์ก็ลือไปไกล เพราะพระองค์ทรงรับความช่วยเหลืออย่างมหัศจรรย์จนพระองค์เข้มแข็ง
โยบ 37.14 โอ ท่านโยบเจ้าข้า ขอฟังข้อนี้ จงนิ่งพิจารณาการกระทำอันมหัศจรรย์ของพระเจ้า
สดด 17.7 โอ ข้าแต่พระผู้ช่วยของบรรดาผู้แสวงหาที่ลี้ภัยจากปฏิปักษ์ของเขา ณ พระหัตถ์ขวาของพระองค์ ขอทรงสำแดงความเมตตาอย่างมหัศจรรย์ของพระองค์
สดด 26.7 พลางประกาศด้วยเสียงแห่งการโมทนาพระคุณและบอกเล่าถึงพระราชกิจมหัศจรรย์ทั้งสิ้นของพระองค์
สดด 31.21 สาธุการแด่พระเยโฮวาห์ เพราะพระองค์ทรงสำแดงความเมตตาอย่างมหัศจรรย์ของพระองค์แก่ข้าพระองค์ในเมืองเข้มแข็ง
สดด 40.5 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ พระองค์ได้ทรงทวีพระราชกิจอันมหัศจรรย์ของพระองค์ และพระดำริของพระองค์แก่ข้าพระองค์ ไม่มีผู้ใดรายงานพระราชกิจทั้งสิ้นเหล่านั้นได้ ถ้าข้าพระองค์จะประกาศและบอกกล่าวแล้ว ก็มีมากมายเหลือที่จะนับ
สดด 71.17 โอ ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงสอนข้าพระองค์ตั้งแต่เด็กๆมา และข้าพระองค์ยังป่าวร้องราชกิจมหัศจรรย์ของพระองค์
สดด 72.18 สาธุการแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ทรงกระทำสิ่งมหัศจรรย์แต่พระองค์เดียว
สดด 75.1 โอ ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ทั้งหลายขอโมทนาพระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายขอโมทนาพระองค์ เพราะบรรดาพระราชกิจมหัศจรรย์ของพระองค์ประกาศว่าพระนามของพระองค์อยู่ใกล้
สดด 111.4 พระองค์ได้ทรงให้พระราชกิจมหัศจรรย์ของพระองค์เป็นที่จดจำ พระเยโฮวาห์ทรงมีพระคุณและเต็มไปด้วยพระกรุณา
สดด 119.18 ขอเบิกตาข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะเห็นสิ่งมหัศจรรย์จากพระราชบัญญัติของพระองค์
สดด 119.27 ขอทรงกระทำให้ข้าพระองค์เข้าใจทางแห่งข้อบังคับของพระองค์ และข้าพระองค์จะกล่าวถึงพระราชกิจอันมหัศจรรย์ของพระองค์
สดด 131.1 ข้าแต่พระเยโฮวาห์ จิตใจของข้าพระองค์มิได้เห่อเหิม และนัยน์ตาของข้าพระองค์มิได้ยโส ข้าพระองค์มิได้ไปยุ่งกับเรื่องใหญ่โต หรือเรื่องมหัศจรรย์เกินตัวของข้าพระองค์
สดด 139.6 ความรู้อย่างนี้มหัศจรรย์เกินข้าพระองค์ สูงนัก ข้าพระองค์เอื้อมไม่ถึง
สดด 139.14 ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ เพราะข้าพระองค์ถูกสร้างมาอย่างแปลกประหลาดและน่ากลัว พระราชกิจของพระองค์มหัศจรรย์ จิตใจข้าพระองค์ทราบเรื่องนี้อย่างดี
สดด 145.5 ข้าพระองค์จะกล่าวถึงเกียรติยศอันรุ่งโรจน์ของความสูงส่งของพระองค์ และถึงพระราชกิจมหัศจรรย์ของพระองค์
อสย 9.6 ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครองจะอยู่ที่บ่าของท่าน และท่านจะเรียกนามของท่านว่า “ผู้ที่มหัศจรรย์ ที่ปรึกษา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ องค์สันติราช”
อสย 20.3 และพระเยโฮวาห์ตรัสว่า “อิสยาห์ผู้รับใช้ของเราเดินเปลือยกายและเท้าเปล่าสามปี เป็นหมายสำคัญและเป็นมหัศจรรย์แก่อียิปต์และแก่เอธิโอเปียฉันใด
อสย 28.29 เรื่องนี้มาจากพระเยโฮวาห์จอมโยธาด้วย พระองค์มหัศจรรย์นักในการปรึกษา และวิเศษในเรื่องการกระทำ
อสย 29.14 เพราะฉะนั้น ดูเถิด เราจะกระทำสิ่งมหัศจรรย์กับชนชาตินี้ อีกทั้งการประหลาดและอัศจรรย์ สติปัญญาของคนมีปัญญาของเขาจะพินาศไป และความเข้าใจของคนที่เข้าใจจะถูกปิดบังไว้”
ยรม 21.2 “ขอจงทูลถามพระเยโฮวาห์เพื่อเรา เพราะเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์บาบิโลนกำลังทำสงครามกับเรา ชะรอยพระเยโฮวาห์จะทรงกระทำกับเราตามบรรดาราชกิจอันมหัศจรรย์ของพระองค์ และจะทรงกระทำให้เนบูคัดเนสซาร์ถอยทัพไปจากเรา”
ดนล 12.6 และเขาก็พูดกับชายที่สวมเสื้อผ้าป่าน ผู้ซึ่งอยู่เหนือน้ำแห่งแม่น้ำนั้นว่า “ยังอีกนานเท่าใดจึงจะถึงที่สุดปลายของสิ่งมหัศจรรย์เหล่านี้”
ยอล 2.26 เจ้าทั้งหลายจะรับประทานอย่างบริบูรณ์และอิ่มหนำและสรรเสริญพระนามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ผู้ทรงกระทำแก่เจ้าอย่างมหัศจรรย์ ประชาชนของเราจะไม่ต้องขายหน้าอีก
ยอล 2.30 เราจะสำแดงลางมหัศจรรย์ในท้องฟ้าและบนดิน เป็นเลือดและไฟและเสาควัน
มคา 7.15 ดังในสมัยเมื่อเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์ เราจะสำแดงสิ่งมหัศจรรย์แก่เขา
1ปต 2.9 แต่ท่านทั้งหลายเป็นชาติที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นประชาชาติบริสุทธิ์ เป็นชนชาติของพระองค์โดยเฉพาะ เพื่อท่านทั้งหลายจะได้สำแดงพระบารมีของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกท่านทั้งหลายให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์
วว 15.3 เขาร้องเพลงของโมเสส ซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า และเพลงของพระเมษโปดกว่า “ข้าแต่พระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด พระราชกิจของพระองค์ใหญ่ยิ่งและมหัศจรรย์นัก ข้าแต่องค์พระมหากษัตริย์แห่งวิสุทธิชนทั้งปวง วิถีทางทั้งหลายของพระองค์ยุติธรรมและเที่ยงตรง

มหากษัตริย์ ( 4 )
ปญจ 9.14 ยังมีเมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง มีคนอยู่ในเมืองนั้นน้อยคน แล้วมีมหากษัตริย์มาตีเมืองนั้นและล้อมเมืองนั้นไว้ และสร้างเครื่องล้อมไว้รอบเมือง
ยรม 25.14 เพราะว่าจะมีหลายประชาชาติและบรรดามหากษัตริย์กระทำให้เขาเหล่านั้นเป็นทาส ทั้งเขาทั้งหลายด้วย และเราจะตอบแทนเขาทั้งหลายตามการกระทำและผลงานแห่งมือของเขา’”
ยรม 27.7 บรรดาประชาชาติทั้งสิ้นจะต้องปรนนิบัติตัวเขา ลูกและหลานของเขา จนกว่าเวลากำหนดแห่งแผ่นดินของท่านเองจะมาถึง แล้วหลายประชาชาติและบรรดามหากษัตริย์จะกระทำให้ท่านเป็นทาสของเขาทั้งหลาย
วว 19.16 พระองค์ทรงมีพระนามจารึกที่ฉลองพระองค์ และที่ต้นพระอูรุของพระองค์ว่า “พระมหากษัตริย์แห่งมหากษัตริย์ทั้งปวงและเจ้านายแห่งเจ้านายทั้งปวง”

มหาซีโดน ( 1 )
ยชว 11.8 และพระเยโฮวาห์ทรงมอบเขาไว้ในมืออิสราเอล ผู้ประหารเขาและไล่ตามเขาไปจนถึงมหาซีโดนและถึงมิสเรโฟทมาอิม และถึงหุบเขามิสปาห์ด้านตะวันออก ได้ประหารเขาเสียจนไม่ให้เหลือสักคนเดียว

มหาไซดอน ( 1 )
ยชว 19.28 เฮโบรน เรโหบ ฮัมโมน คานาห์ ไกลไปถึงมหาไซดอน

มหาดเล็ก ( 39 )
วนฉ 3.19 แล้วตัวท่านกลับไปจากรูปเคารพสลักที่อยู่ใกล้กิลกาลทูลว่า “โอ ข้าแต่กษัตริย์ ข้าพระองค์มีข้อราชการลับที่จะกราบทูลให้ทรงทราบ” กษัตริย์จึงมีบัญชาว่า “เงียบๆ” บรรดามหาดเล็กที่เฝ้าอยู่ก็ทูลลาออกไปหมด
วนฉ 3.24 เมื่อเอฮูดไปแล้วมหาดเล็กก็เข้ามา ดูเถิด เมื่อเขาเห็นว่าทวารห้องชั้นบนปิดใส่กุญแจอยู่ เขาทั้งหลายคิดว่า “พระองค์ท่านกำลังทรงส่งทุกข์อยู่ที่ในห้องเย็น”
1ซมอ 8.15 พระองค์จะชักหนึ่งในสิบของพืชผลและผลองุ่นของท่านให้แก่มหาดเล็กและข้าราชการของพระองค์
1ซมอ 16.15 และพวกมหาดเล็กของซาอูลก็กราบทูลว่า “ดูเถิด บัดนี้วิญญาณชั่วจากพระเจ้ากำลังทรมานพระองค์อยู่
1ซมอ 18.22 ซาอูลทรงบัญชามหาดเล็กว่า “จงพูดเป็นส่วนตัวกับดาวิดว่า ‘ดูเถิด กษัตริย์พอพระทัยในเธอ และบรรดามหาดเล็กของพระองค์ก็รักเธอ เพราะฉะนั้นบัดนี้จงเป็นบุตรเขยของกษัตริย์เถิด’”
1ซมอ 18.23 และมหาดเล็กของซาอูลพูดเรื่องนี้ให้ดาวิดฟัง ดาวิดก็ถามว่า “ท่านทั้งหลายเห็นว่า ที่จะเป็นบุตรเขยของกษัตริย์นั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยอยู่หรือ ด้วยข้าพเจ้าเป็นแต่คนจน และไม่มีชื่อเสียงอะไรเลย”
1ซมอ 18.24 และมหาดเล็กของซาอูลจึงทูลว่า “ดาวิดพูดอย่างนั้นอย่างนี้”
1ซมอ 18.26 และเมื่อมหาดเล็กกล่าวคำเหล่านั้นให้ดาวิดฟัง ก็เป็นที่พอใจดาวิดที่จะเป็นบุตรเขยของกษัตริย์ เวลาที่กำหนดไว้ยังไม่หมดไป
1ซมอ 21.11 และมหาดเล็กของอาคีชทูลว่า “ดาวิดคนนี้ไม่ใช่หรือที่เป็นกษัตริย์ของแผ่นดินนั้น เขามิได้เต้นรำและขับเพลงรับกันหรือว่า ‘ซาอูลฆ่าคนเป็นพันๆ และดาวิดฆ่าคนเป็นหมื่นๆ’”
1ซมอ 28.7 ซาอูลจึงรับสั่งกับมหาดเล็กของพระองค์ว่า “จงออกไปหาหญิงที่เป็นคนทรง เพื่อเราจะได้ไปหาและถามเขาดู” และมหาดเล็กก็กราบทูลว่า “ดูเถิด มีหญิงคนทรงคนหนึ่งอยู่ที่บ้านเอนโดร์”
1ซมอ 28.23 พระองค์ก็ทรงปฏิเสธ รับสั่งว่า “ไม่กิน” แต่มหาดเล็กกับหญิงนั้นอ้อนวอนพระองค์ พระองค์ก็ทรงฟังเสียงของเขา พระองค์ทรงลุกขึ้นจากพื้นดินประทับบนเตียง
1ซมอ 28.25 นางก็นำมาถวายแก่ซาอูลและทรงเสวยกับให้มหาดเล็ก เขารับประทาน แล้วก็ทรงลุกขึ้นเสด็จกลับไปในคืนนั้น
1ซมอ 29.3 แล้วเจ้านายของคนฟีลิสเตียกล่าวว่า “พวกฮีบรูเหล่านี้มาทำอะไรที่นี่” และอาคีชก็รับสั่งแก่เจ้านายคนฟีลิสเตียว่า “นี่คือดาวิดมหาดเล็กซาอูลกษัตริย์อิสราเอลไม่ใช่หรือ เขาอยู่กับเรามาเป็นวันเป็นปีแล้ว ตั้งแต่วันที่เขาหนีมาหาข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายังไม่พบความผิดในตัวเขาเลย”
2ซมอ 9.2 มีมหาดเล็กในวงศ์วานซาอูลคนหนึ่งชื่อศิบา เขาก็เรียกให้มาเฝ้าดาวิดและกษัตริย์ตรัสกับเขาว่า “เจ้าคือศิบาหรือ” เขาทูลตอบว่า “ข้าพระองค์คือศิบา พ่ะย่ะค่ะ”
2ซมอ 9.9 แล้วกษัตริย์ตรัสเรียกศิบามหาดเล็กของซาอูล และตรัสแก่เขาว่า “บรรดาสิ่งของที่เป็นของซาอูลและของวงศ์วานทั้งสิ้นของท่าน เราได้มอบให้แก่โอรสเจ้านายของเจ้าแล้ว
2ซมอ 9.12 เมฟีโบเชทมีบุตรชายเล็กคนหนึ่งชื่อมีคา ทุกคนที่อาศัยอยู่ในเรือนของศิบาก็ได้เป็นมหาดเล็กของเมฟีโบเชท
2ซมอ 13.17 ท่านจึงเรียกมหาดเล็กที่ปรนนิบัติอยู่สั่งว่า “จงไล่ผู้หญิงคนนี้ให้ออกไปพ้นหน้าของข้าแล้วปิดประตูใส่กลอนเสีย”
2ซมอ 13.18 เธอสวมเสื้อยาวหลากสีที่ราชธิดาพรหมจารีของกษัตริย์สวมกัน มหาดเล็กของท่านจึงไล่เธอออกไปและใส่กลอนประตูเสีย
2ซมอ 13.24 อับซาโลมไปเฝ้ากษัตริย์ทูลว่า “ดูเถิด ข้าพระองค์มีงานตัดขนแกะ ขอเชิญกษัตริย์และมหาดเล็กของพระองค์ไปในงานนั้นกับข้าพระองค์”
2ซมอ 13.28 แล้วอับซาโลมบัญชามหาดเล็กของท่านว่า “จงคอยดูว่าจิตใจของอัมโนนเพลิดเพลินด้วยเหล้าองุ่นเมื่อไร เมื่อเราสั่งเจ้าว่า ‘จงตีอัมโนน’ เจ้าทั้งหลายจงฆ่าเขาเสีย อย่ากลัวเลย เราบัญชาเจ้าแล้วมิใช่หรือ จงกล้าหาญและเป็นคนเก่งกล้าเถิด”
2ซมอ 13.29 และมหาดเล็กของอับซาโลมก็กระทำกับอัมโนนตามที่อับซาโลมได้บัญชาไว้ แล้วบรรดาราชโอรสของกษัตริย์ก็พากันลุกขึ้นทรงล่อของแต่ละองค์หนีไปสิ้น
2ซมอ 14.30 ท่านจึงสั่งมหาดเล็กของท่านว่า “ดูซิ นาของโยอาบอยู่ถัดนาของเรา เขามีข้าวบาร์เลย์ที่นั่น จงเอาไฟเผาเสีย” มหาดเล็กของอับซาโลมก็ไปเอาไฟเผานา
2ซมอ 14.31 โยอาบก็ลุกขึ้นไปหาอับซาโลมที่วังของท่าน ถามท่านว่า “ทำไมมหาดเล็กของท่านจึงเอาไฟเผานาของหม่อมฉัน”
2ซมอ 16.1 เมื่อดาวิดเสด็จเลยยอดเขาไปหน่อยหนึ่ง ดูเถิด ศิบามหาดเล็กของเมฟีโบเชทก็เข้ามาเฝ้าพระองค์ มีลาคู่หนึ่งผูกอานพร้อม บรรทุกขนมปังสองร้อยก้อน องุ่นแห้งร้อยพวง และผลไม้ฤดูร้อนอีกร้อยหนึ่ง กับน้ำองุ่นหนึ่งถุงหนัง
2ซมอ 19.17 มีคนจากตระกูลเบนยามินพร้อมกับท่านหนึ่งพันคน และศิบามหาดเล็กในราชวงศ์ของซาอูล พร้อมกับบุตรชายสิบห้าคนกับคนใช้อีกยี่สิบคน ก็รีบมายังแม่น้ำจอร์แดนต่อพระพักตร์กษัตริย์
2ซมอ 19.26 ท่านทูลตอบว่า “โอ ข้าแต่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ มหาดเล็กของข้าพระองค์หลอกลวงข้าพระองค์ เพราะผู้รับใช้ของพระองค์บอกเขาว่า ‘ข้าจะผูกอานลาตัวหนึ่งเพื่อข้าจะได้ขี่ไปตามเสด็จกษัตริย์’ เพราะว่าผู้รับใช้ของพระองค์เป็นง่อย
1พกษ 10.5 ทั้งอาหารที่โต๊ะเสวย กับการเข้าเฝ้าของบรรดาข้าราชการ และการปรนนิบัติรับใช้ของมหาดเล็กตลอดทั้งภูษาอาภรณ์ของเขา และพนักงานเชิญถ้วยของพระองค์ และการที่พระองค์เสด็จขึ้นไปในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ พระทัยของพระนางก็สลดลงทีเดียว
1พกษ 20.14 และอาหับตรัสว่า “ทรงใช้ใครทำ” เขาทูลว่า “พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า ด้วยมือของมหาดเล็กของเจ้านายประจำจังหวัดทั้งหลาย” แล้วพระองค์ตรัสว่า “ใครจะเริ่มรบ” เขาทูลตอบว่า “พระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
1พกษ 20.15 พระองค์จึงทรงจัดมหาดเล็กของเจ้านายประจำจังหวัดเหล่านั้นซึ่งมีสองร้อยสามสิบสองคนด้วยกัน และภายหลังทรงจัดพลทั้งหมดคือบรรดาคนอิสราเอลรวมพลเจ็ดพันคน
1พกษ 20.17 พวกมหาดเล็กของเจ้านายประจำจังหวัดได้ยกออกไปก่อน เบนฮาดัดก็ส่งออกไป เขาทั้งหลายรายงานท่านว่า “มีคนยกออกมาจากสะมาเรีย”
1พกษ 20.19 คนเหล่านี้จึงออกไปจากเมืองคือพวกมหาดเล็กของเจ้านายประจำจังหวัด และกองทัพซึ่งติดตามคนเหล่านี้
1พกษ 22.9 แล้วกษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงเรียกมหาดเล็กคนหนึ่งเข้ามาตรัสสั่งว่า “ไปพามีคายาห์บุตรอิมลาห์มาเร็วๆ”
2พศด 9.4 ทั้งอาหารที่โต๊ะเสวย กับการเข้าเฝ้าของบรรดาข้าราชการ และการปรนนิบัติรับใช้ของมหาดเล็กตลอดทั้งภูษาอาภรณ์ของเขา และพนักงานเชิญถ้วยของพระองค์ตลอดทั้งภูษาอาภรณ์ของเขา และการที่พระองค์เสด็จขึ้นไปในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ พระทัยของพระนางก็สลดลงทีเดียว
2พศด 18.8 แล้วกษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงเรียกมหาดเล็กคนหนึ่งเข้ามาและตรัสสั่งว่า “ไปพามีคายาห์บุตรอิมลาห์มาเร็วๆ”
ดนล 1.11 แล้วดาเนียลจึงกล่าวแก่มหาดเล็กผู้ที่หัวหน้าขันทีกำหนดให้ดูแลดาเนียล ฮานันยาห์ มิชาเอล และอาซาริยาห์ ว่า
ดนล 1.16 ดังนั้นมหาดเล็กจึงนำอาหารสูงส่วนของเขาทั้งหลายและเหล้าองุ่นซึ่งเขาทั้งหลายควรจะได้ดื่มนั้นไปเสีย และให้ผักแก่เขา

มหานคร ( 10 )
วว 14.8 ทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งตามไปประกาศว่า “บาบิโลนมหานครนั้นล่มจมแล้ว ล่มจมแล้ว เพราะว่านครนั้นทำให้ประชาชาติทั้งปวงดื่มเหล้าองุ่นแห่งความเดือดดาลของเธอในการล่วงประเวณี”
วว 16.19 มหานครนั้นก็แยกออกเป็นสามส่วน และบ้านเมืองของนานาประชาชาติก็ล่มจม มหานครบาบิโลนนั้นก็อยู่ในความทรงจำต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า เพื่อจะให้นครนั้นดื่มถ้วยเหล้าองุ่นแห่งพระพิโรธอันใหญ่หลวงของพระองค์
วว 17.5 และที่หน้าผากของหญิงนั้นเขียนชื่อไว้ว่า “ความลึกลับ บาบิโลนมหานคร แม่ของหญิงแพศยาทั้งหลาย และแม่แห่งสิ่งทั้งปวงที่น่าสะอิดสะเอียนแห่งแผ่นดินโลก”
วว 18.2 ท่านได้ร้องประกาศด้วยเสียงกึกก้องว่า “บาบิโลนมหานครล่มจมแล้ว ล่มจมแล้ว กลายเป็นที่อาศัยของผีปิศาจ เป็นที่คุมขังของผีโสโครกทุกอย่าง และเป็นกรงของนกทุกอย่างที่ไม่สะอาดและน่าเกลียด
วว 18.10 พวกกษัตริย์จะยืนอยู่แต่ห่างๆเพราะกลัวภัยแห่งการทรมานของนครนั้น และจะกล่าวว่า “อนิจจาเอ๋ย อนิจจาเอ๋ย บาบิโลนมหานครที่ยิ่งใหญ่ นครที่แข็งแรง เพราะเจ้าได้รับการพิพากษาโทษให้พินาศไปภายในชั่วโมงเดียวเท่านั้น”
วว 18.16 ว่า “อนิจจาเอ๋ย อนิจจาเอ๋ย มหานครนั้น ที่ได้นุ่งห่มผ้าป่านเนื้อละเอียด ผ้าสีม่วง และผ้าสีแดงเข้ม ที่ได้ประดับด้วยทองคำ เพชรพลอยต่างๆและไข่มุกนั้น
วว 18.18 และเมื่อคนเหล่านั้นได้เห็นควันไฟที่ไหม้นครนั้นก็ร้องว่า “นครใดเล่าจะเป็นเหมือนมหานครนี้”
วว 18.19 และเขาทั้งหลายก็โปรยผงคลีลงบนศีรษะของตน พลางร้องไห้คร่ำครวญว่า “อนิจจาเอ๋ย อนิจจาเอ๋ย มหานครนั้น อันเป็นที่ซึ่งคนทั้งปวงที่มีเรือกำปั่นเดินทะเลได้กลายเป็นคนมั่งมีด้วยเหตุจากสิ่งของมีค่าของนครนั้น เพราะภายในชั่วโมงเดียวนครนั้นก็เป็นที่รกร้างไป”
วว 18.21 แล้วทูตสวรรค์องค์หนึ่งที่มีฤทธิ์มาก ก็ได้ยกหินก้อนหนึ่งเหมือนหินโม่ใหญ่ทุ่มลงไปในทะเลแล้วว่า “บาบิโลนมหานครนั้นจะถูกทุ่มลงโดยแรงอย่างนี้แหละ และจะไม่มีใครเห็นนครนั้นอีกต่อไปเลย

มหานิเวศ ( 1 )
1พศด 29.1 และกษัตริย์ดาวิดตรัสกับชุมนุมชนทั้งสิ้นว่า “ซาโลมอนบุตรชายของเรา ซึ่งเป็นผู้เดียวที่พระเจ้าทรงเลือกไว้นั้น ยังเป็นคนหนุ่มและไม่มีความชำนาญ การงานก็ใหญ่โต เพราะว่ามหานิเวศนั้นมิใช่สำหรับคน แต่สำหรับพระเยโฮวาห์พระเจ้า

มหาบาบิโลน ( 1 )
ดนล 4.30 และกษัตริย์ตรัสว่า “นี่เป็นมหาบาบิโลนมิใช่หรือ ซึ่งเราได้สร้างไว้เพื่อวงศ์วานแห่งอาณาจักรนี้ด้วยอำนาจใหญ่ยิ่งของเรา และเพื่อเป็นศักดิ์ศรีอันสูงส่งของเรา”

มหาปุโรหิต ( 85 )
ลนต 21.10 และผู้ที่เป็นมหาปุโรหิตในหมู่พวกพี่น้อง ผู้ถูกเจิมที่ศีรษะด้วยน้ำมัน และผู้ที่ได้รับการสถาปนาที่จะสวมเสื้อยศ อย่าปล่อยผม หรือฉีกเสื้อผ้าของตน
กดว 35.25 ให้ชุมนุมชนช่วยผู้ฆ่าให้พ้นจากมือผู้อาฆาตโลหิต ให้ชุมนุมชนพาตัวเขากลับไปถึงเมืองลี้ภัยซึ่งเขาได้หนีไปอยู่นั้น ให้เขาอยู่ที่นั่นจนกว่ามหาปุโรหิตผู้ได้ถูกเจิมไว้ด้วยน้ำมันบริสุทธิ์ถึงแก่ความตาย
กดว 35.28 เพราะว่าชายผู้นั้นต้องอยู่ในเขตเมืองลี้ภัยจนมหาปุโรหิตถึงแก่ความตาย ภายหลังเมื่อมหาปุโรหิตถึงแก่ความตายแล้ว ผู้ฆ่าคนนั้นจะกลับไปยังแผ่นดินที่เขาถือกรรมสิทธิ์อยู่ก็ได้
กดว 35.32 และเจ้าอย่ารับค่าไถ่คนที่หลบหนีไปยังเมืองลี้ภัยเพื่อให้กลับมาอยู่ในแผ่นดินของเขาก่อนที่มหาปุโรหิตสิ้นชีวิต
ยชว 20.6 และผู้นั้นจะอาศัยอยู่ในเมืองนั้นจนกว่าเขาจะยืนต่อหน้าชุมนุมชนเพื่อรอรับการพิพากษา จนกว่ามหาปุโรหิตในเวลานั้นสิ้นชีวิต ผู้ฆ่าคนนั้นจึงจะกลับไปยังเมืองของตน ไปบ้านของตน ไปยังเมืองที่เขาจากมานั้นได้’”
2พกษ 12.10 และเมื่อเขาเห็นว่ามีเงินในหีบมากแล้ว ราชเลขาของกษัตริย์และมหาปุโรหิตมานับเงิน และเอาเงินที่เขาพบในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์นั้นใส่ถุงมัดไว้
2พกษ 22.4 “จงขึ้นไปหาฮิลคียาห์มหาปุโรหิต เพื่อให้ท่านรวมเงินซึ่งเขานำเข้ามาในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ ซึ่งผู้รักษาธรณีประตูได้เก็บจากประชาชน
2พกษ 22.8 และฮิลคียาห์มหาปุโรหิตพูดกับชาฟานราชเลขาว่า “ข้าพเจ้าได้พบหนังสือพระราชบัญญัติในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์” และฮิลคียาห์ได้มอบหนังสือนั้นให้ชาฟานและท่านก็อ่าน
2พกษ 23.4 และกษัตริย์ทรงบัญชาฮิลคียาห์มหาปุโรหิต และพวกปุโรหิตรอง และผู้รักษาธรณีประตู ให้นำเครื่องใช้ทั้งสิ้นที่ทำขึ้นสำหรับพระบาอัล สำหรับเสารูปเคารพ และสำหรับบรรดาบริวารของฟ้าสวรรค์ออกมาจากพระวิหารของพระเยโฮวาห์ พระองค์ทรงเผาเสียที่ภายนอกกรุงเยรูซาเล็มในทุ่งนาแห่งขิดโรน และขนมูลเถ้าของมันไปยังเบธเอล
2พศด 24.11 และต่อมาเมื่อคนเลวีนำหีบเข้ามายังเจ้าพนักงานของกษัตริย์เมื่อไร และเมื่อเขาทั้งหลายเห็นว่ามีเงินมาก ราชเลขาและเจ้าหน้าที่ของมหาปุโรหิตจะเข้ามาเทหีบออกและนำหีบกลับไปยังที่เดิม เขาทั้งหลายทำอย่างนี้วันแล้ววันเล่า และเก็บเงินได้เป็นอันมาก
2พศด 34.9 เมื่อเขาทั้งหลายมาหาฮิลคียาห์มหาปุโรหิตแล้ว เขาได้มอบเงินซึ่งคนทั้งหลายนำมายังพระนิเวศของพระเจ้า ซึ่งคนเลวีผู้เฝ้าธรณีประตูได้เก็บจากมนัสเสห์และเอฟราอิม และจากบรรดาคนที่เหลือของอิสราเอล และจากยูดาห์กับเบนยามินทั้งสิ้น แล้วพวกเขากลับไปยังเยรูซาเล็ม
นหม 3.1 แล้วเอลียาชีบมหาปุโรหิตได้ลุกขึ้นพร้อมกับพี่น้องของท่าน บรรดาปุโรหิต และเขาทั้งหลายได้สร้างประตูแกะ เขาได้ทำพิธีชำระให้บริสุทธิ์และได้ตั้งบานประตู เขาทั้งหลายได้ทำพิธีชำระให้บริสุทธิ์จนถึงหอคอยเมอาห์ไกลไปจนถึงหอคอยฮานันเอล
นหม 3.20 ถัดเขาไปคือ บารุคบุตรชายศับบัย ได้ซ่อมแซมอย่างร้อนใจอีกส่วนหนึ่ง ตั้งแต่มุมหักของกำแพงจนถึงประตูเรือนของเอลียาชีบมหาปุโรหิต
นหม 13.28 บุตรชายคนหนึ่งของโยยาดา ผู้เป็นบุตรชายเอลียาชีบมหาปุโรหิต เป็นบุตรเขยของสันบาลลัท ชาวโฮโรนาอิม เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงขับไล่เขาไปเสียจากข้าพเจ้า
ฮกก 1.1 ณ วันที่หนึ่ง เดือนที่หก ปีที่สองแห่งรัชกาลกษัตริย์ดาริอัส พระวจนะของพระเยโฮวาห์มาโดยทางฮักกัย ผู้พยากรณ์ ถึงเศรุบบาเบลบุตรชายเชอัลทิเอล ผู้ว่าราชการเมืองยูดาห์ และถึงโยชูวาบุตรชายเยโฮซาดัก มหาปุโรหิต ว่า
ฮกก 1.12 แล้วเศรุบบาเบล บุตรชายเชอัลทิเอลและโยชูวา บุตรชายเยโฮซาดัก มหาปุโรหิต พร้อมกับประชาชนทั้งปวงที่เหลืออยู่ได้เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของเขาทั้งหลาย และถ้อยคำของฮักกัยผู้พยากรณ์ เพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขาทั้งหลายได้ทรงใช้ท่านมา และประชาชนก็เกรงกลัวต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
ฮกก 1.14 และพระเยโฮวาห์ทรงเร้าใจเศรุบบาเบลบุตรชายเชอัลทิเอล ผู้ว่าราชการเมืองยูดาห์ และทรงเร้าใจของโยชูวาบุตรชายเยโฮซาดัก มหาปุโรหิต และเร้าใจประชาชนทั้งปวงที่เหลืออยู่นั้น เขาทั้งหลายก็มาทำงานในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าของเขาทั้งหลาย
ฮกก 2.2 “จงกล่าวแก่เศรุบบาเบลบุตรชายเชอัลทิเอล ผู้ว่าราชการเมืองยูดาห์ และแก่โยชูวาบุตรชายเยโฮซาดัก มหาปุโรหิต และแก่ประชาชนที่เหลืออยู่เถิด ว่า
ฮกก 2.4 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า โอ เศรุบบาเบลเอ๋ย แม้กระนั้นก็ดี จงกล้าหาญเถิด โอ โยชูวาบุตรชายเยโฮซาดัก มหาปุโรหิตเอ๋ย จงกล้าหาญเถิด ประชาชนทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินเอ๋ย จงกล้าหาญเถิด พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า จงทำงานเถิด เพราะเราอยู่กับเจ้า
ศคย 3.1 แล้วท่านได้แสดงให้ข้าพเจ้าเห็นโยชูวามหาปุโรหิต ซึ่งยืนอยู่หน้าทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ และซาตานยืนอยู่ข้างขวามือของท่าน จะขัดขวางท่าน
ศคย 3.8 โอ โยชูวามหาปุโรหิต จงฟังเถิด เจ้าและสหายของเจ้าผู้ที่นั่งอยู่ข้างหน้าเจ้า เพราะคนเหล่านี้เป็นหมายสำคัญ ดูเถิด เราจะนำผู้รับใช้ของเรามา คือ พระอังกูร
ศคย 6.11 จงเอาเงินและทองคำทำเป็นมงกุฎหลายมงกุฎ และสวมบนศีรษะของโยชูวาบุตรชายเยโฮซาดัก มหาปุโรหิต
มธ 26.3 ครั้งนั้นพวกปุโรหิตใหญ่ พวกธรรมาจารย์ และพวกผู้ใหญ่ของประชาชนได้ประชุมกันที่คฤหาสน์ของมหาปุโรหิต ผู้ซึ่งเรียกขานกันว่า คายาฟาส
มธ 26.51 ดูเถิด มีคนหนึ่งที่อยู่กับพระเยซู ยื่นมือชักดาบออก ฟันหูผู้รับใช้คนหนึ่งของมหาปุโรหิตขาด
มธ 26.57 ผู้ที่จับพระเยซูได้พาพระองค์ไปยังคายาฟาสมหาปุโรหิต ที่ซึ่งพวกธรรมาจารย์และพวกผู้ใหญ่ได้ประชุมกันอยู่
มธ 26.58 แต่เปโตรได้ติดตามพระองค์ไปห่างๆจนถึงคฤหาสน์ของมหาปุโรหิต แล้วเข้าไปนั่งข้างในกับคนใช้ เพื่อจะดูว่าเรื่องจะจบลงอย่างไร
มธ 26.62 มหาปุโรหิตจึงลุกขึ้นถามพระองค์ว่า “ท่านจะไม่ตอบอะไรหรือ คนเหล่านี้เป็นพยานปรักปรำท่านด้วยเรื่องอะไร”
มธ 26.63 แต่พระเยซูทรงนิ่งอยู่ มหาปุโรหิตจึงกล่าวแก่พระองค์ว่า “เราสั่งให้ท่านปฏิญาณโดยอ้างพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ให้บอกเราว่า ท่านเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าหรือไม่”
มธ 26.65 ขณะนั้นมหาปุโรหิตจึงฉีกเสื้อของตน แล้วว่า “เขาได้พูดหมิ่นประมาทแล้ว เราต้องการพยานอะไรอีกเล่า ดูเถิด บัดนี้ ท่านทั้งหลายก็ได้ยินเขาพูดหมิ่นประมาทแล้ว
มก 2.26 คือคราวเมื่ออาบียาธาร์เป็นมหาปุโรหิต ท่านได้เข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้า และรับประทานขนมปังหน้าพระพักตร์ ซึ่งพระราชบัญญัติห้ามไม่ให้ใครรับประทาน เว้นแต่พวกปุโรหิตเท่านั้น และซ้ำยังส่งให้คนที่มากับท่านรับประทานด้วย”
มก 14.47 คนหนึ่งในพวกเหล่านั้นที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ได้ชักดาบออกฟันผู้รับใช้คนหนึ่งของมหาปุโรหิตถูกหูของเขาขาด
มก 14.53 เขาพาพระเยซูไปหามหาปุโรหิต และมีบรรดาพวกปุโรหิตใหญ่ พวกผู้ใหญ่ และพวกธรรมาจารย์ชุมนุมพร้อมกันอยู่ที่นั่น
มก 14.54 ฝ่ายเปโตรได้ติดตามพระองค์ไปห่างๆจนเข้าไปถึงคฤหาสน์ของมหาปุโรหิต และนั่งผิงไฟอยู่กับพวกคนใช้
มก 14.60 มหาปุโรหิตจึงลุกขึ้นยืนท่ามกลางที่ชุมนุมถามพระเยซูว่า “ท่านไม่ตอบอะไรบ้างหรือ ซึ่งเขาเบิกความปรักปรำท่านนั้นจะว่าอย่างไร”
มก 14.61 แต่พระองค์ทรงนิ่งอยู่ มิได้ตอบประการใด ท่านมหาปุโรหิตจึงถามพระองค์อีกว่า “ท่านเป็นพระคริสต์พระบุตรของผู้ทรงบรมสุขหรือ”
มก 14.63 ท่านมหาปุโรหิตจึงฉีกเสื้อของตนแล้วกล่าวว่า “เราต้องการพยานอะไรอีกเล่า
มก 14.66 และขณะที่เปโตรอยู่ใต้คฤหาสน์ข้างล่างนั้น มีหญิงคนหนึ่งในพวกสาวใช้ของท่านมหาปุโรหิตเดินมา
ลก 3.2 อันนาสกับคายาฟาสเป็นมหาปุโรหิต คราวนั้นพระวจนะของพระเจ้ามาถึงยอห์นบุตรชายเศคาริยาห์ในถิ่นทุรกันดาร
ลก 22.50 และมีคนหนึ่งในเหล่าสาวก ได้ฟันผู้รับใช้คนหนึ่งของมหาปุโรหิต ถูกหูข้างขวาของเขาขาด
ลก 22.54 เขาก็จับพระองค์พาเข้าไปในบ้านมหาปุโรหิต เปโตรติดตามไปห่างๆ
ยน 11.49 แต่คนหนึ่งในพวกเขา ชื่อคายาฟาสเป็นมหาปุโรหิตประจำการในปีนั้น กล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า “ท่านทั้งหลายไม่รู้อะไรเสียเลย
ยน 11.51 เขามิได้กล่าวอย่างนั้นตามใจชอบ แต่เพราะว่าเขาเป็นมหาปุโรหิตประจำการในปีนั้น จึงพยากรณ์ว่าพระเยซูจะสิ้นพระชนม์แทนชนชาตินั้น
ยน 18.10 ซีโมนเปโตรมีดาบ จึงชักออกและฟันผู้รับใช้คนหนึ่งของมหาปุโรหิต ถูกหูข้างขวาขาดไป ชื่อของผู้รับใช้คนนั้นคือมัลคัส
ยน 18.13 แล้วพาพระองค์ไปหาอันนาสก่อน เพราะอันนาสเป็นพ่อตาของคายาฟาสผู้ซึ่งเป็นมหาปุโรหิตประจำการในปีนั้น
ยน 18.15 ซีโมนเปโตรได้ติดตามพระเยซูไป และสาวกอีกคนหนึ่งก็ติดตามไปด้วย สาวกคนนั้นเป็นที่รู้จักของมหาปุโรหิต และเขาได้เข้าไปกับพระเยซูถึงคฤหาสน์ของมหาปุโรหิต
ยน 18.16 แต่เปโตรยืนอยู่ข้างนอกริมประตู สาวกอีกคนหนึ่งนั้นที่รู้จักกันกับมหาปุโรหิต จึงได้ออกไปและพูดกับหญิงที่เฝ้าประตู แล้วก็พาเปโตรเข้าไป
ยน 18.19 มหาปุโรหิตจึงได้ถามพระเยซูถึงเหล่าสาวกของพระองค์ และคำสอนของพระองค์
ยน 18.22 เมื่อพระองค์ตรัสดังนั้นแล้ว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ที่นั่นได้ตบพระเยซูด้วยฝ่ามือของเขาแล้วพูดว่า “เจ้าตอบมหาปุโรหิตอย่างนั้นหรือ”
ยน 18.24 อันนาสจึงให้พาพระเยซูซึ่งถูกมัดอยู่ไปหาคายาฟาสผู้เป็นมหาปุโรหิตประจำการ
ยน 18.26 ผู้รับใช้คนหนึ่งของมหาปุโรหิตซึ่งเป็นญาติกับคนที่เปโตรฟันหูขาดก็กล่าวขึ้นว่า “ข้าเห็นเจ้ากับท่านผู้นั้นในสวนไม่ใช่หรือ”
กจ 4.6 ทั้งอันนาสมหาปุโรหิต และคายาฟาส ยอห์น อเล็กซานเดอร์ กับคนอื่นๆที่เป็นญาติของมหาปุโรหิตนั้นด้วย ได้ประชุมกันในกรุงเยรูซาเล็ม
กจ 5.17 ฝ่ายมหาปุโรหิตและพรรคพวกของท่านก็ลุกขึ้น (คือพวกสะดูสี) มีความโกรธอย่างยิ่ง
กจ 5.21 เมื่ออัครสาวกได้ยินอย่างนั้น พอเวลารุ่งเช้าจึงเข้าไปสั่งสอนในพระวิหาร ฝ่ายมหาปุโรหิตกับพรรคพวกของท่านได้เรียกประชุมสภา พร้อมกับบรรดาผู้เฒ่าทั้งหมดของชนอิสราเอล แล้วใช้คนไปที่คุกให้พาอัครสาวกออกมา
กจ 5.24 เมื่อมหาปุโรหิตและนายทหารรักษาพระวิหารกับพวกปุโรหิตใหญ่ ได้ยินคำเหล่านี้ ก็ฉงนสนเท่ห์ในเรื่องของอัครสาวกว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
กจ 5.27 เมื่อเขาได้พาพวกอัครสาวกมาแล้วก็ให้ยืนหน้าสภา มหาปุโรหิตจึงถาม
กจ 7.1 มหาปุโรหิตจึงถามว่า “เรื่องนี้จริงหรือ”
กจ 9.1 ฝ่ายเซาโลยังขู่คำรามกล่าวว่าจะฆ่าศิษย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเสีย จึงไปหามหาปุโรหิต
กจ 22.5 ตามที่มหาปุโรหิตกับสภาอาจเป็นพยานให้ข้าพเจ้าได้ เพราะข้าพเจ้าได้ถือหนังสือจากท่านผู้นั้นไปยังพวกพี่น้อง และได้เดินทางไปเมืองดามัสกัส เพื่อจับมัดคนทั้งหลายพามายังกรุงเยรูซาเล็มให้ทำโทษเสีย
กจ 23.2 อานาเนียผู้เป็นมหาปุโรหิตจึงสั่งคนที่ยืนอยู่ใกล้ให้ตบปากเปาโล
กจ 23.4 คนทั้งหลายที่ยืนอยู่ที่นั่นจึงถามว่า “เจ้าพูดหยาบคายต่อมหาปุโรหิตของพระเจ้าหรือ”
กจ 23.5 เปาโลจึงตอบว่า “พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านเป็นมหาปุโรหิต ด้วยมีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘อย่าพูดหยาบช้าต่อผู้ปกครองชนชาติของเจ้าเลย’”
กจ 24.1 ครั้นล่วงไปได้ห้าวัน อานาเนียมหาปุโรหิตจึงลงไปกับพวกผู้ใหญ่ และนักพูดคนหนึ่งชื่อเทอร์ทูลลัส เขาเหล่านี้ได้ฟ้องเปาโลต่อหน้าผู้ว่าราชการเมือง
กจ 25.2 มหาปุโรหิตกับคนสำคัญๆในพวกยิวมาฟ้องเปาโลต่อท่าน และได้วิงวอนท่าน
ฮบ 2.17 เหตุฉะนั้นพระองค์จึงทรงต้องเป็นเหมือนกับพี่น้องทุกอย่าง เพื่อว่าพระองค์จะได้ทรงเป็นมหาปุโรหิต ผู้กอปรด้วยพระเมตตาและความสัตย์ซื่อในการทุกอย่างซึ่งเกี่ยวกับพระเจ้า เพื่อลบล้างบาปทั้งหลายของประชาชน
ฮบ 3.1 เหตุฉะนั้นท่านพี่น้องอันบริสุทธิ์ ผู้เข้าส่วนด้วยกันในการทรงเรียกซึ่งมาจากสวรรค์นั้น จงพิจารณาอัครสาวกและมหาปุโรหิตซึ่งเรารับเชื่ออยู่นั้น คือพระเยซูคริสต์
ฮบ 4.14 เหตุฉะนั้นเมื่อเรามีมหาปุโรหิตผู้เป็นใหญ่ที่ผ่านฟ้าสวรรค์ไปแล้ว คือพระเยซูพระบุตรของพระเจ้า ขอให้เราทั้งหลายมั่นคงในการยอมรับของเราไว้
ฮบ 4.15 เพราะว่าเรามิได้มีมหาปุโรหิตที่ไม่สามารถจะเห็นใจในความอ่อนแอของเรา แต่ได้ทรงถูกทดลองเหมือนอย่างเราทุกประการ ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังปราศจากบาป
ฮบ 5.1 ฝ่ายมหาปุโรหิตทุกคนที่เลือกมาจากมนุษย์ได้แต่งตั้งไว้ให้สำหรับมนุษย์ในบรรดาการซึ่งเกี่ยวกับพระเจ้า เพื่อท่านจะได้นำเครื่องบรรณาการและเครื่องบูชามาถวายเพราะความบาป
ฮบ 5.5 ในทำนองเดียวกัน พระคริสต์ก็ไม่ได้ทรงยกย่องพระองค์เองขึ้นเป็นมหาปุโรหิต แต่เป็นโดยพระเจ้า ผู้ได้ตรัสกับพระองค์ว่า ‘ท่านเป็นบุตรของเรา วันนี้เราได้ให้กำเนิดแก่ท่านแล้ว’
ฮบ 5.10 โดยพระเจ้าได้ทรงตั้งพระองค์ให้เป็นมหาปุโรหิตตามอย่างของเมลคีเซเดค
ฮบ 6.20 ที่ผู้นำหน้าได้เสด็จเข้าไปเผื่อเราแล้ว คือพระเยซูผู้ทรงได้รับการแต่งตั้งเป็นมหาปุโรหิตเป็นนิตย์ตามอย่างเมลคีเซเดค
ฮบ 7.26 มหาปุโรหิตเช่นนี้แหละที่เหมาะสำหรับเรา คือเป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากอุบาย ไร้มลทิน แยกจากคนบาปทั้งปวง ประทับอยู่สูงกว่าฟ้าสวรรค์
ฮบ 7.27 พระองค์ไม่ต้องทรงนำเครื่องบูชามาทุกวันๆดังเช่นมหาปุโรหิตอื่นๆ ผู้ซึ่งถวายสำหรับความผิดของตัวเองก่อน แล้วจึงถวายสำหรับความผิดของประชาชน ส่วนพระองค์ได้ทรงถวายเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียว คือเมื่อพระองค์ได้ทรงถวายพระองค์เอง
ฮบ 7.28 ด้วยว่าพระราชบัญญัตินั้นได้แต่งตั้งมนุษย์ที่อ่อนกำลังขึ้นเป็นมหาปุโรหิต แต่คำทรงปฏิญาณนั้นซึ่งมาภายหลังพระราชบัญญัติ ได้ทรงแต่งตั้งพระบุตรขึ้น ผู้ถึงความสำเร็จเป็นนิตย์
ฮบ 8.1 บัดนี้ ในเรื่องที่เราพูดมาแล้วนั้น ข้อสรุปนั้นคือว่า เรามีมหาปุโรหิตอย่างนี้เอง ผู้ได้ประทับเบื้องขวาพระที่นั่งแห่งผู้ทรงเดชานุภาพในฟ้าสวรรค์
ฮบ 8.3 เพราะว่าทรงตั้งมหาปุโรหิตทุกคนขึ้นเพื่อให้ถวายของกำนัลและเครื่องบูชา ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นที่มหาปุโรหิตผู้นี้ต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดถวายด้วย
ฮบ 9.7 แต่ในห้องที่สองนั้นมีมหาปุโรหิตผู้เดียวเท่านั้นที่เข้าไปได้ปีละครั้ง และต้องนำเลือดเข้าไปถวายเพื่อตัวเอง และเพื่อความผิดของประชาชนด้วย
ฮบ 9.11 แต่เมื่อพระคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมหาปุโรหิตแห่งสิ่งประเสริฐซึ่งจะมาถึงโดยทางพลับพลาอันใหญ่ยิ่งกว่าและสมบูรณ์ยิ่งกว่าแต่ก่อน ที่ไม่ได้สร้างขึ้นด้วยมือ และพูดได้ว่ามิได้เป็นอย่างของโลกนี้
ฮบ 9.25 พระองค์ไม่ต้องทรงถวายพระองค์เองซ้ำอีก เหมือนอย่างมหาปุโรหิตที่เข้าไปในที่บริสุทธิ์ทุกปีๆ นำเอาเลือดซึ่งไม่ใช่โลหิตของตัวเองเข้าไปด้วย
ฮบ 10.21 และครั้นเรามีมหาปุโรหิตสำหรับครอบครัวของพระเจ้าแล้ว
ฮบ 13.11 เพราะร่างของสัตว์เหล่านั้นที่มหาปุโรหิตได้เอาเลือดเข้าไปในสถานบริสุทธิ์เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปนั้น ก็ต้องเอาไปเผาเสียนอกค่าย

มหาปูชนียสถานสูง ( 1 )
1พกษ 3.4 และกษัตริย์เสด็จไปที่เมืองกิเบโอนเพื่อถวายเครื่องสัตวบูชาที่นั่น เพราะที่นั่นเป็นมหาปูชนียสถานสูง ซาโลมอนทรงถวายเครื่องเผาบูชาพันตัวบนแท่นบูชานั้น

มหาศาล ( 5 )
ยชว 17.17 แล้วโยชูวาจึงกล่าวแก่วงศ์วานโยเซฟ คือเอฟราอิมและมนัสเสห์ว่า “ท่านทั้งหลายเป็นพวกที่มีคนมากและมีกำลังมหาศาล ท่านจะมีส่วนแบ่งแต่ส่วนเดียวก็หามิได้
วนฉ 16.5 เจ้านายฟีลิสเตียก็ขึ้นไปหานางพูดกับนางว่า “จงลวงเขาเพื่อดูว่ากำลังมหาศาลของเขาอยู่ที่ไหน ทำอย่างไรเราจึงจะมีกำลังเหนือเขา เพื่อเราจะได้มัดเขาให้หมดฤทธิ์ เราทุกคนจะให้เงินเจ้าคนละพันหนึ่งร้อยแผ่น”
วนฉ 16.6 เดลิลาห์จึงพูดกับแซมสันว่า “ขอบอกดิฉันหน่อยเถอะว่า กำลังมหาศาลของเธออยู่ที่ไหน จะมัดเธอไว้อย่างไรเธอจึงจะหมดฤทธิ์”
วนฉ 16.15 นางจึงพูดกับแซมสันว่า “เธอพูดได้อย่างไรว่า ‘ฉันรักเธอ’ เมื่อจิตใจของเธอไม่ได้อยู่กับฉันเลย เธอหลอกฉันสามครั้งแล้ว และเธอมิได้บอกฉันจริงๆว่ากำลังมหาศาลของเธออยู่ที่ไหน”
สดด 33.17 ม้าศึกจะเป็นที่หวังความปลอดภัยก็หาไม่ กำลังมหาศาลของมันก็ช่วยให้รอดไม่ได้

มหาสมุทร ( 11 )
นหม 9.11 และพระองค์ได้ทรงแยกทะเลต่อหน้าเขาทั้งหลาย เขาจึงเดินไปกลางทะเลบนดินแห้ง และพระองค์ได้ทรงเหวี่ยงผู้ข่มเหงเขาทั้งหลายลงในที่ลึกอย่างกับทรงเหวี่ยงหินลงไปในมหาสมุทร
โยบ 38.16 เจ้าเข้าไปในตาน้ำแห่งทะเลแล้วหรือ หรือเดินเข้าไปในซอกมหาสมุทรแล้วหรือ
โยบ 38.30 น้ำถูกซ่อนไว้เหมือนมีหินปิดบัง และผิวมหาสมุทรแข็งตัว
โยบ 41.32 มันละทางแวบวาบไว้ข้างหลัง ทำให้ใครๆคิดว่ามหาสมุทรผมหงอก
สภษ 8.24 เราถือกำเนิดมาเมื่อก่อนมีมหาสมุทร เมื่อไม่มีน้ำพุที่มีน้ำมากมาย
สภษ 8.27 เมื่อพระองค์ทรงสถาปนาฟ้าสวรรค์ เราอยู่ที่นั่นแล้ว เมื่อพระองค์ทรงลากเส้นรอบวงบนพื้นมหาสมุทร
อสย 51.10 ท่านไม่ใช่หรือที่ทำให้ทะเลแห้งไป คือน้ำของมหาสมุทรใหญ่ด้วย ซึ่งทำที่ลึกของทะเลให้เป็นหนทาง เพื่อให้ผู้ที่ได้ไถ่ไว้แล้วเดินผ่านไป
อมส 7.4 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าอย่างนี้ว่า ดูเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงเรียกให้มีการสู้ความด้วยไฟ และไฟได้เผาผลาญมหาสมุทรใหญ่ และกินส่วนหนึ่งเสีย
ฮบก 3.10 บรรดาภูเขาเห็นพระองค์ก็บิดเบี้ยวไป กระแสน้ำที่ดุเดือดก็กวาดผ่านไป มหาสมุทรก็ส่งเสียง มันยกมือของมันขึ้นเบื้องสูง
ยด 1.13 เป็นคลื่นที่บ้าคลั่งในมหาสมุทร ที่ซัดฟองของความบัดสีของตนเองขึ้นมา เขาเป็นดาวที่ลอยลับไป เป็นผู้ที่ตกอยู่ในความมืดทึบตลอดกาล
วว 5.13 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ทั้งในสวรรค์ ในแผ่นดินโลก ใต้แผ่นดินโลก ในมหาสมุทร และบรรดาที่อยู่ในที่เหล่านั้น ร้องว่า “ขอให้คำสดุดีและเกียรติ และสง่าราศีและฤทธิ์เดช จงมีแด่พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่ง และแด่พระเมษโปดกตลอดไปเป็นนิตย์”

มหาหิงค์ ( 1 )
อพย 30.34 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงเอาเครื่องเทศคือยางไม้ ชะมด และมหาหิงค์ ผสมกับกำยานบริสุทธิ์ ให้เท่าๆกันทุกอย่าง

มหิทธิฤทธิ์ ( 11 )
1พกษ 8.42 (เพราะเขาทั้งหลายจะได้ยินถึงพระนามใหญ่ยิ่งของพระองค์ และถึงพระหัตถ์อันมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์ และถึงพระกรที่เหยียดออกของพระองค์) เมื่อเขามาอธิษฐานตรงต่อพระนิเวศนี้
1พศด 29.12 ทั้งความมั่งคั่งและเกียรติมาจากพระองค์ และพระองค์ทรงครอบครองอยู่เหนือทุกสิ่ง ฤทธานุภาพและมหิทธิฤทธิ์อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และอยู่ที่พระหัตถ์ของพระองค์ที่จะทรงกระทำให้ใหญ่ยิ่งและประทานกำลังแก่คนทั้งมวล
2พศด 6.32 ยิ่งกว่านั้นอีก เกี่ยวกับชนต่างด้าว ผู้ซึ่งไม่ใช่อิสราเอลประชาชนของพระองค์ เมื่อเขามาจากประเทศเมืองไกล เพราะเห็นแก่พระนามใหญ่ยิ่งของพระองค์ พระหัตถ์อันมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์ และพระกรที่เหยียดออกของพระองค์ เมื่อเขามาอธิษฐานตรงต่อพระนิเวศนี้
สดด 50.3 พระเจ้าของเราจะเสด็จมา พระองค์จะมิได้ทรงเงียบอยู่ เพลิงจะเผาผลาญมาข้างหน้าพระองค์ รอบพระองค์คือวาตะอันทรงมหิทธิฤทธิ์
สดด 62.7 ความช่วยให้รอดและสง่าราศีของข้าพเจ้าอยู่ที่พระเจ้า ศิลาอันทรงมหิทธิฤทธิ์และที่ลี้ภัยของข้าพเจ้าคือพระเจ้า
สดด 68.33 ต่อพระองค์ผู้ทรงฟ้าสวรรค์ ฟ้าสวรรค์ดึกดำบรรพ์ ดูเถิด พระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียงของพระองค์ คือพระสุรเสียงทรงมหิทธิฤทธิ์
สดด 93.4 พระเยโฮวาห์บนที่สูงนั้นทรงมหิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าเสียงของน้ำมากหลาย ทรงมหิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าคลื่นทะเล
สดด 106.2 ผู้ใดจะพรรณนาถึงพระราชกิจอันทรงมหิทธิฤทธิ์ของพระเยโฮวาห์ ผู้ใดจะแสดงถึงพระเกียรติของพระองค์อย่างครบถ้วนได้
ศฟย 3.17 พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าซึ่งอยู่ท่ามกลางเจ้าทรงมหิทธิฤทธิ์ พระองค์จะทรงช่วยให้รอด พระองค์จะทรงเปรมปรีดิ์เพราะเจ้าด้วยความยินดี พระองค์จะทรงพำนักในความรักของพระองค์ พระองค์จะทรงเริงโลดเพราะเจ้าด้วยร้องเพลงเสียงดัง
กจ 8.10 ฝ่ายคนทั้งปวงทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยก็สนใจฟังคนนั้น แล้วว่า “ชายคนนี้เป็นมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้า”

มหึมา ( 21 )
พบญ 18.16 อย่างที่ท่านปรารถนาจากพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านที่โฮเรบในวันประชุมเมื่อท่านกล่าวว่า ‘อย่าให้ข้าพเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้า หรือได้เห็นเพลิงมหึมานี้อีกเลย เกรงว่าข้าพเจ้าจะตายเสีย’
ยชว 11.4 กษัตริย์เหล่านี้ก็ยกออกมากับบรรดาพลโยธาเป็นกองทัพมหึมา มีจำนวนดังเม็ดทรายที่ชายทะเล มีม้าและรถรบมากมายด้วย
ยชว 22.10 และเมื่อเขาทั้งหลายมาถึงท้องถิ่นที่ใกล้แม่น้ำจอร์แดนที่อยู่ในแผ่นดินคานาอัน คนรูเบน คนกาด และคนมนัสเสห์ครึ่งตระกูล ได้สร้างแท่นบูชาแท่นหนึ่งที่ใกล้แม่น้ำจอร์แดน เป็นแท่นขนาดมหึมา
2ซมอ 18.17 เขาก็ยกศพอับซาโลมโยนลงไปในบ่อใหญ่ซึ่งอยู่ในป่า เอาหินกองทับไว้เป็นกองใหญ่มหึมา คนอิสราเอลทั้งสิ้นต่างก็หนีกลับไปเต็นท์ของตน
1พกษ 7.10 ฐานนั้นทำด้วยหินมีค่า หินก้อนมหึมา หินขนาดแปดและสิบศอก
2พศด 16.8 คนเอธิโอเปียและชาวลิบนีไม่เป็นกองทัพมหึมา มีรถรบและพลม้ามากเหลือหลายหรือ แต่เพราะท่านพึ่งพระเยโฮวาห์ พระองค์ทรงมอบเขาทั้งหลายไว้ในมือของท่าน
2พศด 20.12 โอ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย พระองค์จะไม่ทรงกระทำการพิพากษาเหนือเขาหรือ เพราะว่าข้าพระองค์ทั้งหลายไม่มีฤทธิ์ที่จะต่อสู้คนหมู่มหึมานี้ซึ่งกำลังมาต่อสู้กับข้าพระองค์ทั้งหลาย ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ทราบว่าจะกระทำประการใด แต่ดวงตาของข้าพระองค์ทั้งหลายเพ่งที่พระองค์”
2พศด 20.15 และเขาได้พูดว่า “ยูดาห์ทั้งปวง และชาวเยรูซาเล็มทั้งหลาย กับกษัตริย์เยโฮชาฟัทขอจงฟัง พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แก่ท่านทั้งหลายว่า ‘อย่ากลัวเลย และอย่าท้อถอยด้วยคนหมู่มหึมานี้เลย เพราะว่าการสงครามนั้นไม่ใช่ของท่าน แต่เป็นของพระเจ้า
สดด 77.19 พระมรรคาของพระองค์อยู่ในทะเล พระวิถีของพระองค์อยู่ในน้ำมหึมาทั้งหลาย ถึงกระนั้นรอยพระบาทของพระองค์ก็ไม่มีใครรู้
อสย 13.4 เสียงอึงอลบนภูเขาดั่งเสียงมวลชนมหึมา เสียงอึงคะนึงของราชอาณาจักรทั้งหลายของบรรดาประชาชาติที่รวมเข้าด้วยกัน พระเยโฮวาห์จอมโยธากำลังระดมพลเพื่อสงคราม
อสย 16.14 แต่บัดนี้ พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “ภายในสามปี ตามปีจ้างลูกจ้าง สง่าราศีของโมอับจะถูกเหยียดหยาม แม้มวลชนมหึมาของเขาทั้งสิ้นก็ดี และคนที่เหลืออยู่นั้นก็จะน้อยและกะปลกกะเปลี้ย”
อสย 32.2 และผู้หนึ่งจะเหมือนที่กำบังจากลม เป็นที่คุ้มให้พ้นจากพายุฝน เหมือนธารน้ำในที่แห้ง เหมือนร่มเงาศิลามหึมาในแผ่นดินที่อ่อนเปลี้ย
อสค 17.3 ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า มีนกอินทรีมหึมาตัวหนึ่ง ปีกใหญ่และขนปีกก็ยาว มีขนมากมายหลายสี มายังเลบานอนและจิกยอดต้นสนสีดาร์
อสค 17.7 แต่มีนกอินทรีตัวมหึมาอีกตัวหนึ่ง มีปีกใหญ่และมีขนมาก ดูเถิด องุ่นเถานั้นชอนรากมาหานกอินทรีตัวนี้ และแตกแขนงตรงมาที่มัน เพื่อให้มันรดน้ำให้จากร่องที่ปลูกอยู่นั้น
อสค 29.3 พูดไปเถิดและกล่าวว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราเป็นปฏิปักษ์กับเจ้า ฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ ผู้เป็นพญานาคมหึมา นอนอยู่กลางแม่น้ำทั้งหลายของมัน ผู้กล่าวว่า ‘แม่น้ำของข้าก็เป็นของข้า ข้าสร้างมันขึ้นเพื่อตัวของข้าเอง’
อสค 38.15 เจ้าจะมาจากที่ของเจ้าซึ่งอยู่ส่วนเหนือที่สุด ทั้งเจ้าและชนชาติทั้งหลายเป็นอันมากที่อยู่กับเจ้า ทุกคนขี่ม้าเป็นกองทัพมหึมา เป็นกองทัพทรงกำลังยิ่งนัก
ดนล 7.7 ต่อจากนี้ไปข้าพเจ้าได้เห็นในนิมิตกลางคืน และดูเถิด สัตว์ที่สี่มันร้ายกาจและเป็นที่น่ากลัวและแข็งแรงยิ่งนัก มันมีฟันเหล็กมหึมา มันกินและหักเป็นชิ้นๆ และกระทืบสิ่งที่เหลือนั้นเสีย มันต่างกับสัตว์อื่นทั้งหลายที่อยู่ก่อนมัน มันมีเขาสิบเขา
ดนล 11.5 แล้วกษัตริย์แห่งถิ่นใต้จะเข้มแข็ง แต่เจ้านายของท่านองค์หนึ่งจะเข้มแข็งกว่าท่านและมีอำนาจ และราชอำนาจของท่านจะเป็นราชอำนาจมหึมา
ดนล 11.25 และเขาจะปลุกปั่นกำลังของเขา และความกล้าหาญของเขาด้วยกองทัพมหึมายกไปสู้กับกษัตริย์แห่งถิ่นใต้ และกษัตริย์แห่งถิ่นใต้จะทำสงครามด้วยกองทัพเข้มแข็งมหึมายิ่งนัก แต่เขาก็สู้ไม่ได้ เพราะจะมีการปองร้ายเขา
ยนา 1.17 และพระเยโฮวาห์ทรงกำหนดให้ปลามหึมาตัวหนึ่งกลืนโยนาห์เข้าไป โยนาห์ก็อยู่ในท้องปลานั้นสามวันสามคืน

มเหสี ( 42 )
ปฐก 20.17 เพราะฉะนั้น อับราฮัมก็อธิษฐานต่อพระเจ้า พระเจ้าทรงรักษาอาบีเมเลค และมเหสีของพระองค์และทาสหญิงให้หาย และเขาเหล่านั้นก็มีบุตร
ปฐก 36.39 เมื่อบาอัลฮานันบุตรชายอัคโบร์สิ้นพระชนม์แล้ว ฮาดาร์ขึ้นครอบครองแทน เมืองหลวงของท่านชื่อปาอู และมเหสีของท่านมีพระนามว่า เมเหทาเบล ธิดาของมัทเรด ธิดาของเมซาหับ
1ซมอ 14.50 ชื่อมเหสีของซาอูลคืออาหิโนอัม บุตรสาวของอาหิมาอัส และชื่อแม่ทัพของพระองค์ คืออับเนอร์ บุตรชายเนอร์ ลุงของซาอูล
2ซมอ 5.13 ภายหลังที่พระองค์เสด็จจากเฮโบรน ดาวิดทรงได้นางสนมและมเหสีจากเยรูซาเล็มเพิ่มขึ้นอีก และบังเกิดราชโอรสและราชธิดาแก่ดาวิดอีก
2ซมอ 11.27 เมื่อสิ้นการไว้ทุกข์แล้วดาวิดก็ส่งคนไปให้พานางมาที่พระราชวัง และนางก็ได้เป็นมเหสีของพระองค์ ประสูติโอรสองค์หนึ่งให้พระองค์ แต่สิ่งซึ่งดาวิดทรงกระทำนั้นไม่เป็นที่พอพระทัยพระเยโฮวาห์
2ซมอ 12.24 ฝ่ายดาวิดทรงเล้าโลมใจบัทเชบามเหสีของพระองค์ และทรงเข้าไปสมสู่กับพระนาง พระนางก็ประสูติบุตรชายคนหนึ่งเรียกชื่อว่าซาโลมอน และพระเยโฮวาห์ทรงรักซาโลมอน
2ซมอ 19.5 โยอาบก็เข้ามาในพระราชวังทูลกษัตริย์ว่า “วันนี้พระองค์ได้ทรงกระทำให้ข้าราชการทั้งสิ้นของพระองค์ ผู้ซึ่งวันนี้ได้อารักขาพระชนม์ของพระองค์ ทั้งชีวิตของราชบุตรและราชธิดา และชีวิตของบรรดามเหสี และชีวิตของสนมทั้งหลายของพระองค์ให้เขาได้รับความละอาย
1พกษ 7.8 พระราชวังของพระองค์ซึ่งพระองค์จะทรงประทับอยู่นั้นมีลานอีกแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ภายในท้องพระโรง ก็กระทำด้วยฝีมือช่างอย่างเดียวกัน ซาโลมอนได้ทรงสร้างวังเหมือนท้องพระโรงนี้สำหรับราชธิดาของฟาโรห์ ซึ่งพระองค์ทรงได้มาเป็นมเหสี
1พกษ 9.16 ฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์ได้ยกทัพขึ้นมายึดเมืองเกเซอร์และเอาไฟเผาเสีย และได้ฆ่าคนคานาอันซึ่งอยู่ในเมืองนั้น และได้ยกเมืองนั้นให้แก่ธิดาของท่านเป็นสินสมรสคือ มเหสีของซาโลมอน
1พกษ 11.3 พระองค์ทรงมีมเหสีเจ็ดร้อยคือเจ้าหญิง และนางห้ามสามร้อย และบรรดามเหสีของพระองค์ก็ทรงหันพระทัยของพระองค์ไปเสีย
1พกษ 11.4 เพราะอยู่มาเมื่อซาโลมอนทรงพระชราแล้ว มเหสีของพระองค์ได้หันพระทัยของพระองค์ให้ไปตามพระอื่น และพระทัยของพระองค์หาได้บริสุทธิ์ต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพระองค์ ดังพระทัยของดาวิดราชบิดาของพระองค์ไม่
1พกษ 11.8 และพระองค์จึงทรงกระทำดังนั้นเพื่อมเหสีต่างด้าวของพระองค์ทั้งสิ้น ผู้ที่ได้เผาเครื่องหอมและถวายเครื่องสัตวบูชาแก่บรรดาพระของเขา
1พกษ 11.19 และฮาดัดเป็นที่โปรดปรานยิ่งในสายตาของฟาโรห์ ฟาโรห์จึงประทานน้องสาวของมเหสีของท่านเอง คือขนิษฐาของพระราชินีทาเปเนสให้เป็นภรรยาเขา
1พกษ 14.2 และเยโรโบอัมรับสั่งกับมเหสีของพระองค์ว่า “จงลุกขึ้นปลอมตัวของเธอ อย่าให้รู้ว่าเธอเป็นมเหสีของเยโรโบอัม และจงไปยังชีโลห์ ดูเถิด อาหิยาห์ผู้พยากรณ์อยู่ที่นั่น ผู้ได้กล่าวเรื่องฉันว่าฉันจะได้เป็นกษัตริย์เหนือชนชาตินี้
1พกษ 14.4 มเหสีของเยโรโบอัมก็กระทำดังนั้น พระนางลุกขึ้น เสด็จไปยังชีโลห์เสด็จมาถึงบ้านของอาหิยาห์ ฝ่ายอาหิยาห์มองไม่เห็น เพราะว่าตาของท่านแข็งด้วยอายุของท่าน
1พกษ 14.5 พระเยโฮวาห์ตรัสกับอาหิยาห์ว่า “ดูเถิด มเหสีของเยโรโบอัมกำลังมาเพื่อจะถามเจ้าถึงเรื่องโอรสของเขา เพราะเด็กนั้นป่วย เจ้าจงบอกเธออย่างนี้ๆ เพราะเมื่อพระนางเสด็จเข้ามา พระนางก็แสร้งกระทำเป็นสตรีคนอื่น”
1พกษ 14.17 แล้วมเหสีของเยโรโบอัมทรงลุกขึ้นเสด็จออกไป และมาถึงเมืองทีรซาห์ และเมื่อพระนางเสด็จถึงธรณีทวาร กุมารก็ถึงแก่มรณา
1พกษ 16.31 และอยู่มาประหนึ่งว่าการที่พระองค์ดำเนินในบาปทั้งหลายของเยโรโบอัมบุตรชายเนบัทนั้นเป็นสิ่งเล็กน้อย พระองค์ทรงรับเยเซเบลพระราชธิดาของเอ็ทบาอัลกษัตริย์ของชาวไซดอนมาเป็นมเหสี และไปปรนนิบัติพระบาอัล และนมัสการพระนั้น
1พกษ 21.5 แต่เยเซเบลมเหสีของพระองค์เข้ามาเฝ้าพระองค์ทูลถามพระองค์ว่า “ไฉนพระจิตของพระองค์จึงเสียพระทัย ไม่เสวยพระกระยาหาร”
1พกษ 21.7 และเยเซเบลมเหสีของพระองค์ทูลพระองค์ว่า “พระองค์เป็นผู้ครอบครองราชอาณาจักรอิสราเอลอยู่หรือเพคะ เชิญเสด็จลุกขึ้นเสวยพระกระยาหารเถิด และให้พระทัยของพระองค์ร่าเริง หม่อมฉันจะมอบสวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอลให้แก่พระองค์เอง”
1พกษ 21.25 ไม่มีผู้ใดได้ขายตนเองเพื่อกระทำความชั่วในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์อย่างอาหับ ผู้ที่เยเซเบลมเหสีได้ยุแหย่
2พกษ 8.18 และพระองค์ทรงดำเนินตามมรรคาของบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอล ตามอย่างที่ราชวงศ์อาหับกระทำ เพราะว่าธิดาของอาหับเป็นมเหสีของพระองค์ และพระองค์ทรงกระทำชั่วในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์
1พศด 1.50 เมื่อบาอัลฮานันสิ้นพระชนม์แล้ว ฮาดัดขึ้นครอบครองแทน เมืองหลวงของท่านชื่อปาอี และมเหสีของท่านมีพระนามว่า เมเหทาเบล ธิดาของมัทเรด ธิดาของเมซาหับ
1พศด 3.3 องค์ที่ห้าคือเชฟาทิยาห์ พระนางอาบีทัลประสูติ องค์ที่หกคืออิทเรอัม เอกลาห์มเหสีของพระองค์ประสูติ
1พศด 14.3 และดาวิดทรงรับมเหสีเพิ่มขึ้นในกรุงเยรูซาเล็ม และดาวิดทรงให้กำเนิดโอรสและธิดาอีก
2พศด 8.11 ซาโลมอนทรงนำธิดาของฟาโรห์ขึ้นมาจากนครดาวิดยังพระราชวังซึ่งพระองค์ทรงสร้างไว้ให้พระนาง เพราะพระองค์ตรัสว่า “มเหสีของเราไม่ควรอยู่ในวังของดาวิดกษัตริย์แห่งอิสราเอล เพราะสถานที่ทั้งหลายซึ่งหีบของพระเยโฮวาห์มาถึงเป็นที่บริสุทธิ์”
2พศด 11.18 เรโหโบอัมทรงรับมาหะลัทธิดาของเยรีโมทโอรสของดาวิดเป็นมเหสี และอาบีฮาอิลบุตรสาวของเอลีอับบุตรชายเจสซี
2พศด 11.21 เรโหโบอัมทรงรักมาอาคาห์ธิดาของอับซาโลมมากกว่ามเหสีและนางสนมของพระองค์ทั้งสิ้น (พระองค์มีมเหสีสิบแปดองค์และนางสนมหกสิบคนและให้กำเนิดโอรสยี่สิบแปดองค์และธิดาหกสิบองค์)
2พศด 11.23 และพระองค์ทรงจัดการอย่างฉลาด และแจกจ่ายบรรดาโอรสของพระองค์ไปทั่วแผ่นดินทั้งสิ้นของยูดาห์และของเบนยามิน ในหัวเมืองที่มีป้อมทั้งสิ้น และพระองค์ประทานเสบียงอาหารให้อย่างอุดม และพระองค์ทรงประสงค์มเหสีมากมาย
2พศด 13.21 แต่อาบียาห์ก็มีอำนาจยิ่งขึ้น และมีมเหสีสิบสี่องค์ ให้กำเนิดโอรสยี่สิบสององค์ และธิดาสิบหกองค์
2พศด 21.6 และพระองค์ทรงดำเนินตามมรรคาของกษัตริย์ทั้งหลายแห่งอิสราเอล ตามอย่างที่ราชวงศ์อาหับกระทำ เพราะว่าธิดาของอาหับเป็นมเหสีของพระองค์ และพระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรพระเยโฮวาห์
2พศด 21.17 และเขาทั้งหลายยกมาต่อสู้กับยูดาห์ และบุกรุกเข้าไปในนั้น และขนข้าวของทั้งสิ้นซึ่งมีในราชสำนัก ทั้งบรรดาโอรสและมเหสีของพระองค์ จึงไม่มีโอรสเหลือไว้ให้แก่พระองค์นอกจากเยโฮอาหาสโอรสองค์สุดท้องของพระองค์
2พศด 24.3 เยโฮยาดาหามเหสีให้พระองค์สององค์ และพระองค์ก็ให้กำเนิดโอรสและธิดาหลายองค์
พซม 6.8 มีมเหสีหกสิบองค์ และนางห้ามแปดสิบคน พวกหญิงพรหมจารีอีกมากเหลือจะคณนา
พซม 6.9 แม่นกเขาของฉัน แม่คนงามหมดจดของฉัน เป็นคนเดียว เธอเป็นคนเดียวของมารดา เป็นหัวรักหัวใคร่ของผู้ให้กำเนิด สาวๆทั้งหลายเห็นเธอ และเรียกเธอว่า ผาสุก ทั้งเหล่ามเหสีและเหล่านางห้ามก็สรรเสริญเยินยอเธอว่า
ยรม 38.23 เขาจะพาบรรดาสนมและมเหสีและบุตรของพระองค์ไปให้คนเคลเดีย และพระองค์เองก็จะไม่ทรงรอดไปจากมือของเขาทั้งหลาย แต่พระองค์จะถูกกษัตริย์แห่งบาบิโลนจับได้ และพระองค์จะเป็นเหตุที่พวกเขาเผากรุงนี้เสียด้วยไฟ”
ยรม 44.9 เจ้าได้ลืมความชั่วของบรรพบุรุษของเจ้า ความชั่วของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ บรรดาความชั่วของนางสนมและมเหสีของเขาทั้งหลาย ความชั่วของเจ้าเองและความชั่วของภรรยาของเจ้า ซึ่งเขาทั้งหลายได้กระทำในแผ่นดินยูดาห์ และในถนนหนทางของกรุงเยรูซาเล็มเสียแล้วหรือ
วว 19.7 ขอให้เราทั้งหลายร่าเริงยินดีและถวายพระเกียรติแด่พระองค์ เพราะว่าถึงเวลามงคลสมรสของพระเมษโปดกแล้ว และมเหสีของพระองค์ได้เตรียมตัวพร้อมแล้ว
วว 21.9 ทูตสวรรค์องค์หนึ่งในบรรดาทูตสวรรค์เจ็ดองค์ที่ถือขันเจ็ดใบ อันเต็มด้วยภัยพิบัติสุดท้ายทั้งเจ็ดประการนั้น ได้มาพูดกับข้าพเจ้าว่า “เชิญมานี่เถิด ข้าพเจ้าจะให้ท่านดูเจ้าสาวที่เป็นมเหสีของพระเมษโปดก”

มโหรี ( 1 )
ลก 15.25 ฝ่ายบุตรคนใหญ่นั้นกำลังอยู่ที่ทุ่งนา เมื่อเขากลับมาใกล้บ้านแล้วก็ได้ยินเสียงมโหรีและเต้นรำ

มโหฬาร ( 1 )
1พกษ 8.65 ซาโลมอนจึงทรงฉลองเทศกาลในเวลานั้น พร้อมกับอิสราเอลทั้งปวง เป็นชุมนุมมโหฬาร มีคนมาตั้งแต่ทางเข้าเมืองฮามัทจนถึงแม่น้ำแห่งอียิปต์ ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา เป็นเจ็ดวันและเจ็ดวันคือสิบสี่วัน

มอง ( 92 )
ปฐก 18.16 บุรุษเหล่านั้นก็ลุกขึ้นจากที่นั่นและมองไปทางเมืองโสโดม อับราฮัมไปกับท่านเหล่านั้นเพื่อตามไปส่ง
ปฐก 19.28 ท่านมองไปทางเมืองโสโดม เมืองโกโมราห์และดินแดนที่ราบลุ่มทั้งหลาย และดูเถิด ก็เห็นควันจากแผ่นดินนั้นพลุ่งขึ้นเหมือนควันจากเตาไฟใหญ่
ปฐก 24.63 เวลาเย็นอิสอัคออกไปตรึกตรองที่ทุ่งนาและท่านก็เงยหน้าขึ้นมองไป และดูเถิด มีอูฐเดินมา
ปฐก 27.1 และต่อมาเมื่ออิสอัคแก่ ตามัวจนมองไม่เห็น ท่านก็เรียกเอซาวบุตรชายคนโตของท่านมาและกล่าวแก่เขาว่า “ลูกเอ๋ย” เขาตอบว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่”
ปฐก 29.2 เขาก็มองไป และเห็นบ่อน้ำบ่อหนึ่งในทุ่งนา ดูเถิด มีฝูงแกะสามฝูงนอนอยู่ข้างบ่อนั้น เพราะคนเลี้ยงแกะเคยตักน้ำจากบ่อนั้นให้ฝูงแกะกิน และหินใหญ่ก็ปิดปากบ่อนั้น
ปฐก 48.10 คราวนั้นตาของอิสราเอลมืดมัวไปเพราะชรา มองอะไรไม่เห็น โยเซฟพาบุตรเข้ามาใกล้บิดา บิดาก็จุบกอดเขา
อพย 10.23 เขามองกันไม่เห็น ไม่มีใครลุกไปจากที่ของเขาสามวัน แต่บรรดาชนชาติอิสราเอลนั้นมีแสงสว่างอยู่ในที่อาศัยของเขา
อพย 16.10 ต่อมาขณะที่อาโรนกล่าวแก่บรรดาชุมนุมชนอิสราเอลอยู่นั้น เขาทั้งหลายมองไปทางถิ่นทุรกันดาร แล้วดูเถิด สง่าราศีของพระเยโฮวาห์ปรากฏอยู่ในเมฆ
กดว 4.20 แต่อย่าให้คนโคฮาทเข้าไปมองของบริสุทธิ์แม้แต่อึดใจเดียวเกลือกว่าเขาจะต้องตาย”
กดว 21.20 และจากบาโมทถึงหุบเขาซึ่งอยู่ในท้องถิ่นโมอับข้างยอดเขาปิสกาห์ซึ่งมองลงมาเห็นเยชิโมน
กดว 23.28 บาลาคก็พาบาลาอัมไปถึงยอดเขาเปโอร์ ซึ่งมองลงมาเห็นเยชิโมน
วนฉ 5.28 มารดาของสิเสรามองออกไปตามช่องหน้าต่าง นางมองไปตามบานเกล็ด ร้องว่า ‘ทำไมหนอ รถรบของเขาจึงมาช้าเหลือเกิน ทำไมล้อรถรบของเขาจึงเนิ่นช้าอยู่’
1ซมอ 3.2 อยู่มาครั้งนั้นเอลีนอนอยู่ในที่นอนของตน ตาของท่านเริ่มมืดมัว มองอะไรไม่เห็น
1ซมอ 4.15 ฝ่ายเอลีมีอายุเก้าสิบแปดปี ตาของท่านมืดมัว มองอะไรไม่เห็น
1ซมอ 6.19 พระองค์จึงทรงประหารชาวเบธเชเมช เพราะว่าเขาทั้งหลายได้มองข้างในหีบแห่งพระเยโฮวาห์ พระองค์ได้ทรงประหารเสียห้าหมื่นเจ็ดสิบคน และประชาชนก็ไว้ทุกข์ เพราะว่าพระเยโฮวาห์ทรงประหารประชาชนเสียเป็นอันมาก
1ซมอ 17.42 เมื่อคนฟีลิสเตียมองไปรอบๆ และเห็นดาวิดก็ดูถูกเขา เพราะเขาเป็นแต่คนหนุ่ม ผิวแดงๆ และมีใบหน้างดงาม
2ซมอ 6.16 และขณะเมื่อหีบของพระเยโฮวาห์เข้ามาถึงเมืองดาวิด มีคาลราชธิดาของซาอูลก็มองออกที่ช่องหน้าต่าง เห็นกษัตริย์ดาวิดกระโดดโลดเต้นรำถวายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ และนางก็มีใจหมิ่นประมาท
2ซมอ 24.20 เมื่ออาราวนาห์มองลงมา เห็นกษัตริย์และข้าราชการขึ้นมาหาตน อาราวนาห์ก็ออกไปถวายบังคมกษัตริย์ซบหน้าลงถึงดิน
1พกษ 14.4 มเหสีของเยโรโบอัมก็กระทำดังนั้น พระนางลุกขึ้น เสด็จไปยังชีโลห์เสด็จมาถึงบ้านของอาหิยาห์ ฝ่ายอาหิยาห์มองไม่เห็น เพราะว่าตาของท่านแข็งด้วยอายุของท่าน
1พกษ 18.43 และท่านสั่งคนใช้ของท่านว่า “จงลุกขึ้นมองไปทางทะเล” เขาก็ลุกขึ้นมองและตอบว่า “ไม่มีอะไรเลย” และท่านบอกว่า “จงไปดูอีกเจ็ดครั้ง”
2พกษ 3.14 และเอลีชาทูลว่า “พระเยโฮวาห์จอมโยธาซึ่งข้าพระองค์ปรนนิบัติทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ถ้าข้าพระองค์มิได้เคารพคารวะต่อพระพักตร์เยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์แล้ว ข้าพระองค์จะไม่มองพระพักตร์พระองค์หรือดูแลพระองค์เลย
2พกษ 9.30 เมื่อเยฮูมาถึงเมืองยิสเรเอล เยเซเบลทรงได้ยินเรื่องนั้น พระนางก็ทรงเขียนตาและแต่งพระเศียรและทรงมองออกไปทางพระแกล
1พศด 17.17 โอ ข้าแต่พระเจ้า สิ่งนี้เป็นของเล็กน้อยในสายพระเนตรของพระองค์ เพราะพระองค์ยังตรัสถึงราชวงศ์ของผู้รับใช้ของพระองค์ในอนาคตอันไกลที่จะมาถึงนั้น และทรงมองข้าพระองค์ตามชนชั้นของมนุษย์ที่มีฐานะอันสูงส่ง โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้า
2พศด 20.24 เมื่อยูดาห์ขึ้นไปอยู่ที่หอคอยที่ในถิ่นทุรกันดาร เขามองตรงไปที่คนหมู่ใหญ่นั้น และดูเถิด มีแต่ศพนอนอยู่บนแผ่นดิน ไม่มีสักคนเดียวที่รอดไปได้
โยบ 14.3 และพระองค์ทรงลืมพระเนตรมองคนอย่างนี้หรือ และทรงนำข้าพระองค์มาในการพิพากษาของพระองค์หรือ
โยบ 22.14 เมฆทึบคลุมพระองค์ไว้ พระองค์ทรงมองอะไรไม่เห็น และพระองค์ทรงดำเนินโดยรอบบนพื้นฟ้า’
โยบ 30.20 ข้าพระองค์ร้องทูลพระองค์ และพระองค์หาทรงสดับข้าพระองค์ไม่ ข้าพระองค์ยืนขึ้น และพระองค์หาทรงมองไม่
โยบ 31.1 “ข้าได้ทำพันธสัญญากับนัยน์ตาของข้า แล้วข้าจะมองหญิงพรหมจารีได้อย่างไร
โยบ 31.16 ถ้าข้าได้หน่วงเหนี่ยวสิ่งใดๆที่คนยากจนอยากได้ หรือได้กระทำให้นัยน์ตาของหญิงม่ายมองเสียเปล่า
โยบ 33.21 เนื้อของเขาทรุดโทรมไปมากจนมองไม่เห็น กระดูกของเขาซึ่งแลไม่เห็นนั้นก็โผล่ออกมา
โยบ 34.32 ขอทรงโปรดสอนข้าพระองค์ถึงสิ่งที่ข้าพระองค์มองไม่เห็น ถ้าข้าพระองค์กระทำความชั่วช้า ข้าพระองค์จะไม่กระทำอีก’
สดด 11.4 พระเยโฮวาห์ทรงสถิตในพระวิหารอันบริสุทธิ์ของพระองค์ พระที่นั่งของพระเยโฮวาห์อยู่บนฟ้าสวรรค์ พระเนตรของพระองค์มองและหนังตาของพระองค์ทดสอบบุตรทั้งหลายของมนุษย์
สดด 14.2 พระเยโฮวาห์ทรงมองลงมาจากฟ้าสวรรค์ ดูบุตรทั้งหลายของมนุษย์ว่าจะมีคนใดบ้างที่เข้าใจที่เสาะแสวงหาพระเจ้า
สดด 40.12 เพราะความชั่วได้ล้อมข้าพระองค์ไว้อย่างนับไม่ถ้วน ความชั่วช้าของข้าพระองค์ตามทันข้าพระองค์ จนข้าพระองค์มองอะไรไม่เห็น มันมากกว่าเส้นผมบนศีรษะข้าพระองค์ จิตใจของข้าพระองค์ก็ฝ่อไป
สดด 48.2 มองขึ้นไปก็ดูงาม เป็นความชื่นบานของแผ่นดินโลกทั้งสิ้น คือภูเขาศิโยน ด้านทิศเหนือ ซึ่งเป็นนครของพระมหากษัตริย์
สดด 53.2 พระเจ้าทรงมองลงมาจากฟ้าสวรรค์ ดูบุตรทั้งหลายของมนุษย์ว่าจะมีคนใดบ้างที่เข้าใจที่เสาะแสวงหาพระเจ้า
สดด 68.16 ภูเขาที่มียอดสูงเอ๋ย ทำไมมองด้วยความริษยา ณ ที่ภูเขาซึ่งพระเจ้าทรงประสงค์ให้เป็นที่พำนักของพระองค์ เออ ที่ที่พระเยโฮวาห์จะประทับเป็นนิตย์
สดด 69.23 ขอให้ตาของเขามืดไปเพื่อเขาจะได้มองไม่เห็น และทำบั้นเอวเขาให้สั่นสะเทือนเรื่อยไป
สดด 80.14 โอ ข้าแต่พระเจ้าจอมโยธา ขอทรงหันกลับเถิด พระเจ้าข้า ขอทรงมองจากฟ้าสวรรค์และทรงเห็น ขอทรงสนพระทัยในเถาองุ่นนี้
สดด 85.11 ความจริงจะงอกขึ้นมาจากแผ่นดิน และความชอบธรรมจะมองลงมาจากฟ้าสวรรค์
สดด 114.3 ทะเลมองแล้วหนี จอร์แดนหันกลับ
สดด 142.4 ข้าพระองค์มองทางขวามือและมองดู แต่ไม่มีใครยอมรู้จักข้าพระองค์ ข้าพระองค์ไม่มีที่หลบภัย ไม่มีใครเอาใจใส่จิตใจข้าพระองค์
สภษ 4.25 ให้ตาของเจ้ามองตรงไปข้างหน้า และให้หนังตาของเจ้ามองตรงไปข้างหน้าเจ้า
สภษ 7.6 เพราะที่หน้าต่างบ้านของเรา เราได้มองออกไปตามบานเกล็ด
สภษ 19.11 สามัญสำนึกที่ดีกระทำให้คนโกรธช้า และที่มองข้ามการละเมิดไปเสียก็เป็นสง่าราศีแก่เขา
ปญจ 3.11 พระองค์ทรงกระทำให้สรรพสิ่งงดงามตามฤดูกาลของมัน พระองค์ทรงบรรจุโลกไว้ในจิตใจของมนุษย์ เพื่อมนุษย์จะมองไม่เห็นว่าพระเจ้าทรงกระทำอะไรไว้ตั้งแต่เดิมจนกาลสุดปลาย
ปญจ 11.4 ผู้ใดเฝ้าสังเกตลมก็จะไม่หว่านพืช และผู้ที่มองเมฆก็จะไม่เก็บเกี่ยว
พซม 1.6 อย่ามองค่อนขอดดิฉัน เพราะดิฉันผิวคล้ำ เนื่องด้วยแสงแดดแผดเผาดิฉัน พวกบุตรแห่งมารดาของดิฉันได้ขึ้งโกรธดิฉัน เขาทั้งหลายใช้ดิฉันให้เป็นคนดูแลสวนองุ่น แต่สวนองุ่นของดิฉันเอง ดิฉันไม่ได้ดูแล
พซม 4.8 จงจากเลบานอนไปกับฉันเถิด เจ้าสาวของฉันจ๋า จงจากเลบานอนไปกับฉันนะ ให้มองลงจากยอดเขาอามานา จากยอดเขาเสนีร์ และยอดเขาเฮอร์โมน จากถ้ำราชสีห์ จากเขาเสือดาว
พซม 6.10 “แม่สาวคนนี้เป็นผู้ใดหนอ เมื่อมองลงก็ดังอรุโณทัย แจ่มจรัสดังดวงจันทร์ กระจ่างจ้าดังดวงสุริยัน สง่าน่าเกรงขามดังกองทัพมีธงประจำ”
พซม 6.13 กลับมาเถอะ กลับมาเถิด โอ แม่ชาวชูเลมจ๋า กลับมาเถิด กลับมาเถอะจ๊ะ เพื่อพวกดิฉันจะได้เธอไว้ชมเชย นี่กระไรนะ เธอทั้งหลายจงมองตัวแม่ชาวชูเลม ดังกองทัพสองพวก
พซม 7.4 ลำคอของเธอประหนึ่งหอคอยสร้างด้วยงาช้าง เนตรทั้งสองของเธอดุจสระในเมืองเฮชโบนที่ริมประตูเมืองบัทรับบิม จมูกของเธอเหมือนหอแห่งเลบานอนซึ่งมองลงเห็นเมืองดามัสกัส
อสย 5.30 ในวันนั้นเขาทั้งหลายจะคำรนเหนือเหยื่อนั้นเหมือนเสียงคะนองของทะเล และถ้ามีผู้หนึ่งผู้ใดมองที่แผ่นดิน ดูเถิด ความมืดและความทุกข์ใจ และสว่างแห่งฟ้าสวรรค์ก็มืดลง
อสย 13.8 และเขาทั้งหลายจะตกใจกลัว ความเจ็บและความปวดจะเกาะเขา เขาจะทุรนทุรายดั่งหญิงกำลังคลอดบุตร เขาจะมองตากันอย่างตกตะลึง หน้าของเขาแดงเป็นแสงไฟ
อสย 17.8 เขาจะไม่มองแท่นบูชา ผลงานแห่งมือของเขา และเขาจะไม่เอาใจใส่สิ่งที่นิ้วของเขาเองได้กระทำขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเสารูปเคารพ หรือรูปเคารพทั้งหลาย
อสย 22.4 เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงว่า “อย่ามองข้าพเจ้า ให้ข้าพเจ้าหลั่งน้ำตาอย่างขมขื่น อย่าอุตส่าห์เล้าโลมข้าพเจ้าเลย เหตุด้วยการทำลายธิดาแห่งชนชาติของข้าพเจ้า”
อสย 22.8 พระองค์ทรงเอาสิ่งปิดบังยูดาห์ไปเสียแล้ว ในวันนั้นท่านได้มองที่อาวุธแห่งเรือนพนา
อสย 26.10 ถ้าสำแดงพระคุณแก่คนชั่ว เขาก็จะไม่เรียนรู้ความชอบธรรม เขาจะประพฤติอย่างอยุติธรรมในแผ่นดินที่เที่ยงธรรม และจะมองไม่เห็นความโอ่อ่าตระการของพระเยโฮวาห์
อสย 26.11 ข้าแต่พระเยโฮวาห์ เมื่อพระหัตถ์ของพระองค์ชูขึ้น เขาก็จะมองไม่เห็น แต่เขาจะมองเห็น และจะได้อับอาย เพราะเขามีความอิจฉาต่อชนชาติของพระองค์ เอย ไฟแห่งส่วนปฏิปักษ์ของพระองค์จะเผาผลาญเขาเสีย
อสย 33.20 จงมองศิโยน เมืองแห่งเทศกาลของเรา ตาของท่านจะเห็นเยรูซาเล็ม เป็นที่อยู่ที่สงบ เป็นพลับพลาที่ไม่ต้องขนย้าย หลักหมุดพลับพลาจะไม่รู้จักถอนขึ้น เชือกผูกก็จะไม่รู้จักขาด
อสย 38.11 ข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าจะไม่เห็นพระเยโฮวาห์ คือพระเยโฮวาห์ ในแผ่นดินของคนเป็น ข้าพเจ้าจะมองไม่เห็นมนุษย์อีก ที่ในหมู่ชาวแผ่นดินโลก
อสย 38.14 ข้าพเจ้าร้องอย่างนกนางแอ่นหรือนกกรอด ข้าพเจ้าพิลาปอย่างนกเขา ตาของข้าพเจ้าเหนื่อยอ่อนด้วยมองขึ้นข้างบน โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ข้าพระองค์ถูกบีบบังคับ ขอพระองค์ทรงเป็นผู้ประกันของข้าพระองค์
อสย 41.28 แต่เมื่อเรามองก็ไม่มีใคร ไม่มีที่ปรึกษาในหมู่พวกคนเหล่านี้ คือผู้ที่เมื่อเราถามก็ได้ให้คำตอบ
อสย 42.18 ท่านผู้หูหนวกเอ๋ย ฟังซิ และท่านผู้ตาบอดเอ๋ย มองซิ เพื่อท่านจะเห็นได้
อสย 51.2 จงมองอับราฮัมบรรพบุรุษของเจ้าทั้งหลาย และดูซาราห์ผู้คลอดเจ้า เพราะเมื่อมีเขาอยู่แต่คนเดียว เราได้ร้องเรียกเขา และเราอวยพรเขา และกระทำให้เป็นคนมากมาย
อสย 53.2 เพราะท่านจะเจริญขึ้นต่อพระพักตร์พระองค์อย่างต้นไม้อ่อน และเหมือนรากแตกหน่อมาจากพื้นดินแห้ง ท่านไม่มีรูปร่างหรือความสวยงาม และเมื่อเราทั้งหลายจะมองท่าน ไม่มีความงามที่เราจะพึงปรารถนาท่าน
อสย 60.4 จงเงยตาของเจ้ามองให้รอบและดู เขาทั้งปวงมาอยู่ด้วยกัน เขาทั้งหลายมาหาเจ้า บุตรชายทั้งหลายของเจ้าจะมาจากที่ไกล และบุตรสาวทั้งหลายของเจ้าจะรับการเลี้ยงจากเจ้า
อสย 63.5 เรามอง แต่ไม่มีผู้ใดช่วยเหลือ เราประหลาดใจว่าไม่มีผู้ชูไว้ เพราะฉะนั้นแขนของเราเองจึงนำความรอดมาให้เรา และความพิโรธของเรา ชูเราไว้
อสย 66.2 สิ่งเหล่านี้มือของเราได้กระทำทั้งสิ้น บรรดาสิ่งเหล่านั้นจึงเป็นขึ้นมา” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ “แต่คนนี้ต่างหากที่เราจะมอง คือเขาผู้ที่ถ่อมและสำนึกผิดในใจ และตัวสั่นเพราะคำของเรา
ยรม 5.1 “จงวิ่งไปวิ่งมาอยู่ในถนนกรุงเยรูซาเล็ม บัดนี้จงมองและรับรู้ จงค้นตามลานเมืองดูทีว่า จะหามนุษย์สักคนหนึ่งได้หรือไม่ คือคนที่กระทำการยุติธรรมและแสวงหาความจริง เพื่อเราจะได้อภัยโทษให้แก่เมืองนั้น
ยรม 5.21 โอ ชนชาติที่โง่เขลาและไร้ความเข้าใจเอ๋ย ผู้มีตา แต่มองไม่เห็น ผู้มีหู แต่ฟังไม่ได้ยิน จงฟังข้อความนี้”
ยรม 6.16 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “จงยืนที่ถนนและมองให้ดี และถามหาทางโบราณนั้นว่า ทางดีอยู่ที่ไหน แล้วจงเดินในทางนั้น และท่านจะพบที่พักสงบสำหรับจิตใจของท่าน แต่เขาทั้งหลายกล่าวว่า ‘เราจะไม่เดินในนั้น’
อสค 8.5 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย บัดนี้จงเงยหน้าขึ้นไปดูทางทิศเหนือ” ข้าพเจ้าจึงเงยหน้าขึ้นมองไปดูทางทิศเหนือ และดูเถิด ทางทิศเหนือของประตูแท่นบูชาในทางเข้า รูปความหวงแหนนี้อยู่ที่นั่น
ดนล 10.5 ข้าพเจ้าแหงนขึ้นมอง ดูเถิด มีชายคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าป่าน มีทองคำเนื้อดีเมืองอุฟาสคาดเอวไว้
อมส 9.4 แม้ว่าเขาจะตกไปเป็นเชลยต่อหน้าศัตรูของเขาทั้งหลาย เราจะบัญชาดาบที่นั่น และดาบจะฆ่าเขาเสีย เราจะจ้องมองดูเขาอยู่เป็นการมองร้าย ไม่ใช่มองดี”
ฮบก 1.5 จงมองทั่วประชาชาติต่างๆและดูให้ดี จงประหลาดและแปลกใจ ด้วยว่าเราจะกระทำการในกาลสมัยของเจ้า ถึงจะบอก เจ้าก็จะไม่เชื่อ
ฮบก 2.1 ข้าพเจ้าจะยืนเฝ้าดูอยู่ ข้าพเจ้าจะยืนที่หอคอย และมองออกไปเพื่อจะฟังดูว่า พระองค์จะตรัสอะไรแก่ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะทูลตอบพระองค์อย่างไรเมื่อข้าพเจ้าถูกตำหนิ
ศคย 4.10 เพราะว่าผู้ใดที่ดูหมิ่นวันแห่งการเล็กน้อย เพราะเขาจะเปรมปรีดิ์ และจะได้เห็นสายดิ่งที่อยู่ในมือของเศรุบบาเบลพร้อมกับสิ่งทั้งเจ็ดนี้ ซึ่งคือบรรดาพระเนตรของพระเยโฮวาห์ซึ่งมองอยู่ทั่วพิภพ”
มธ 5.28 ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองผู้หญิงเพื่อให้เกิดใจกำหนัดในหญิงนั้น ผู้นั้นได้ล่วงประเวณีในใจกับหญิงนั้นแล้ว
มก 4.12 เพื่อว่าเขาจะดูแล้วดูเล่า แต่มองไม่เห็น และฟังแล้วฟังเล่า แต่ไม่เข้าใจ เกลือกว่าในเวลาหนึ่งเวลาใดเขาจะกลับใจเสียใหม่ และความผิดบาปของเขาจะได้ยกโทษเสีย”
ยน 9.39 พระเยซูตรัสว่า “เราเข้ามาในโลกเพื่อการพิพากษา เพื่อให้คนทั้งหลายที่มองไม่เห็นกลับมองเห็น และคนที่มองเห็นกลับตาบอด”
ยน 13.22 เหล่าสาวกจึงมองหน้ากันและสงสัยว่าคนที่พระองค์ตรัสถึงนั้นคือผู้ใด
กจ 9.8 ฝ่ายเซาโลได้ลุกขึ้นจากพื้นดิน เมื่อลืมตาแล้วก็มองอะไรไม่เห็น เขาจึงจูงมือท่านไปยังเมืองดามัสกัส
กจ 17.30 ในเวลาเมื่อมนุษย์ยังโฉดเขลาอยู่พระเจ้าทรงมองข้ามไปเสีย แต่เดี๋ยวนี้พระองค์ได้ตรัสสั่งแก่มนุษย์ทั้งปวงทั่วทุกแห่งให้กลับใจใหม่
รม 11.8 (ตามที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘พระเจ้าได้ทรงประทานใจที่เซื่องซึม ประทานตาที่มองไม่เห็น หูที่ฟังไม่ได้ยินให้แก่เขา) จนทุกวันนี้’
รม 11.10 ขอให้ตาของเขามืดไปเพื่อเขาจะได้มองไม่เห็น และให้หลังของเขางอค่อมตลอดไป’
2คร 4.18 ด้วยว่าเราไม่ได้เห็นแก่สิ่งของที่เรามองเห็นอยู่ แต่เห็นแก่สิ่งของที่มองไม่เห็น เพราะว่าสิ่งของซึ่งมองเห็นอยู่นั้นเป็นของไม่ยั่งยืน แต่สิ่งซึ่งมองไม่เห็นนั้นก็ถาวรนิรันดร์

มองดู ( 129 )
ปฐก 8.13 ต่อมาปีที่หกร้อยเอ็ดเดือนที่หนึ่งวันที่หนึ่งของเดือนนั้นน้ำก็แห้งจากแผ่นดินโลก โนอาห์ก็เปิดหลังคาของนาวาและมองดู ดูเถิด พื้นแผ่นดินแห้งแล้ว
ปฐก 9.16 จะมีรุ้งที่เมฆและเราจะมองดูมันเพื่อเราจะระลึกถึงพันธสัญญานิรันดร์ ระหว่างพระเจ้ากับสิ่งทั้งปวงที่มีชีวิตแห่งบรรดาเนื้อหนังที่อยู่บนแผ่นดินโลก”
ปฐก 13.14 ภายหลังที่โลทแยกจากท่านไปแล้วพระเยโฮวาห์ตรัสแก่อับรามว่า “จงเงยหน้าขึ้นแลดูและมองดูจากสถานที่ที่เจ้าอยู่นี้ไปทางทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออกและทิศตะวันตก
ปฐก 15.5 พระองค์จึงนำท่านออกมากลางแจ้งและตรัสว่า “จงมองดูฟ้าและนับดวงดาวทั้งหลาย ถ้าเจ้าสามารถนับมันได้” และพระองค์ตรัสแก่ท่านว่า “เชื้อสายของเจ้าจะเป็นเช่นนั้น”
ปฐก 18.2 เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองดู และดูเถิด มีชายสามคนยืนอยู่ข้างเขา เมื่อเขาเห็นท่านเหล่านั้นจึงวิ่งจากประตูเต็นท์ไปต้อนรับท่านเหล่านั้นและก้มหน้าของเขาลงถึงดิน
ปฐก 19.26 แต่ภรรยาของเขาผู้ตามข้างหลังเขาเหลียวกลับไปมองดูและนางจึงกลายเป็นเสาเกลือ
ปฐก 22.13 อับราฮัมเงยหน้าขึ้นมองดู และดูเถิด ข้างหลังท่านมีแกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ อับราฮัมก็ไปจับแกะผู้ตัวนั้นมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแทนบุตรชายของท่าน
ปฐก 39.7 อยู่มาภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้ภรรยาของนายมองดูโยเซฟด้วยความเสน่หาและชวนว่า “มานอนกับเราเถิด”
ปฐก 42.1 เมื่อยาโคบรู้ว่ามีข้าวในอียิปต์ ยาโคบจึงพูดกับพวกบุตรชายของตนว่า “มานั่งมองดูกันอยู่ทำไมเล่า”
ปฐก 43.33 พวกพี่น้องก็นั่งตรงหน้าโยเซฟ เรียงตั้งแต่พี่ใหญ่ผู้มีสิทธิบุตรหัวปี ลงมาจนถึงน้องสุดท้องตามวัย พี่น้องทั้งหลายมองดูตากันด้วยความประหลาดใจ
อพย 2.12 ท่านก็มองดูซ้ายขวาและเมื่อท่านเห็นว่าไม่มีผู้ใดอยู่ที่นั่น ท่านจึงฆ่าคนอียิปต์นั้นเสีย แล้วซ่อนศพไว้ในทราย
อพย 3.2 ทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ก็ปรากฏแก่โมเสสในเปลวไฟซึ่งอยู่ท่ามกลางพุ่มไม้ โมเสสจึงมองดูและดูเถิด พุ่มไม้นั้นมีไฟลุกโชนอยู่ แต่พุ่มไม้นั้นมิได้ไหม้โทรมไป
อพย 3.6 แล้วพระองค์ตรัสอีกว่า “เราเป็นพระเจ้าของบิดาเจ้า เป็นพระเจ้าของอับราฮัม เป็นพระเจ้าของอิสอัค และเป็นพระเจ้าของยาโคบ” และโมเสสปิดหน้าเสีย เพราะกลัวไม่กล้ามองดูพระเจ้า
อพย 5.21 เขาจึงกล่าวแก่เขาทั้งสองว่า “ขอพระเยโฮวาห์ทรงมองดูพวกท่านและพิพากษาเถิด เพราะท่านกระทำให้ชื่อของพวกข้าพเจ้าเป็นที่เกลียดชังในสายพระเนตรของฟาโรห์ และในสายตาของข้าราชการของพระองค์ เหมือนหนึ่งเอาดาบใส่มือเขาให้สังหารพวกข้าพเจ้าเสีย”
อพย 33.8 และต่อมาเมื่อไรที่โมเสสออกไปยังพลับพลานั้น พลไพร่ทั้งปวงก็จะลุกขึ้นยืนอยู่ที่ประตูเต็นท์ของตน มองดูโมเสสจนท่านเข้าไปในพลับพลา
อพย 34.30 เมื่ออาโรนและคนอิสราเอลทั้งปวงมองดูโมเสส ดูเถิด ผิวหน้าของท่านทอแสง และเขาก็กลัวไม่กล้าเข้ามาใกล้ท่าน
กดว 15.39 เพื่อเจ้าจะมองดูพู่นั้น และจดจำพระบัญญัติทั้งสิ้นของพระเยโฮวาห์ และปฏิบัติตาม เพื่อเจ้าจะไม่กระทำอะไรตามความพอใจพอตาของเจ้าซึ่งเจ้ามักหลงตามนั้น
กดว 21.8 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงทำงูแมวเซาตัวหนึ่งติดไว้ที่เสา และต่อมาทุกคนที่ถูกงูกัดเมื่อเขามองดู เขาจะยังมีชีวิตอยู่ได้”
กดว 21.9 ดังนั้นโมเสสจึงทำงูทองสัมฤทธิ์ตัวหนึ่ง และติดไว้ที่เสา แล้วต่อมาถ้างูกัดคนใด ถ้าเขามองดูงูทองสัมฤทธิ์นั้น เขาก็มีชีวิตอยู่ได้
กดว 24.20 แล้วบาลาอัมมองดูคนอามาเลข และกล่าวกลอนภาษิตของเขาว่า “อามาเลขเป็นประชาชาติที่หนึ่ง แต่ในที่สุดจะถึงซึ่งการทำลายอันถาวร”
กดว 24.21 และเขามองดูคนเคไนต์ และกล่าวกลอนภาษิตของเขาว่า “ที่อาศัยของท่านเข้มแข็งมาก และรังของท่านก็วางอยู่ในศิลา
กดว 27.12 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงขึ้นไปบนภูเขาอาบาริมนี้ และมองดูแผ่นดินซึ่งเรามอบให้แก่คนอิสราเอล
พบญ 9.16 ดูเถิด เมื่อข้าพเจ้ามองดูก็แลเห็นท่านทั้งหลายกระทำบาปต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายแล้ว ท่านทั้งหลายได้หล่อรูปลูกวัวไว้สำหรับท่าน ท่านได้หันจากพระมรรคาซึ่งพระเยโฮวาห์ได้บัญชาแก่ท่านอย่างรวดเร็ว
พบญ 28.32 เขาจะเอาบุตรชายและบุตรสาวของท่านไปให้แก่ประชาชาติอื่น ส่วนตาของท่านจะมองดูและมืดมัวลงด้วยความอาลัยอาวรณ์ตลอดเวลา อำนาจน้ำมือของท่านก็ไม่สามารถจะป้องกันได้
ยชว 5.13 ต่อมาเมื่อโยชูวาอยู่ข้างเมืองเยรีโค ท่านก็เงยหน้าขึ้นมองดู และดูเถิด มีชายคนหนึ่งชักดาบออกมาถือยืนอยู่ตรงหน้าท่าน โยชูวาเข้าไปหาชายนั้น กล่าวแก่เขาว่า “ท่านอยู่ฝ่ายเราหรืออยู่ฝ่ายศัตรู”
วนฉ 9.43 ท่านจึงแบ่งคนของท่านออกเป็นสามกอง ซุ่มคอยอยู่ที่ทุ่งนา ท่านมองดู ดูเถิด คนออกมาจากในเมือง ท่านจึงลุกขึ้นประหารเขา
วนฉ 13.19 มาโนอาห์ก็เอาลูกแพะกับธัญญบูชามาถวายบูชาบนศิลาแด่พระเยโฮวาห์ และทูตสวรรค์นั้นกระทำการมหัศจรรย์ มาโนอาห์และภรรยาก็มองดู
นรธ 2.9 ตาของเจ้าจงมองดูตามนาที่เขากำลังเก็บเกี่ยวกันอยู่ แล้วก็จงติดตามเขาไป ฉันได้สั่งพวกหนุ่มๆมิให้รบกวนเจ้าแล้วมิใช่หรือ เมื่อเจ้ากระหายน้ำก็เชิญไปที่หม้อน้ำ ดื่มน้ำซึ่งคนหนุ่มๆตักไว้”
1ซมอ 9.16 “พรุ่งนี้เวลาประมาณเท่านี้ เราจะส่งชายผู้หนึ่งซึ่งมาจากดินแดนเบนยามิน เจ้าจงเจิมเขาให้เป็นเจ้าเหนืออิสราเอลประชาชนของเรา เขาจะช่วยประชาชนของเราให้พ้นจากมือคนฟีลิสเตีย เพราะเราได้มองดูประชาชนของเราแล้ว ด้วยเสียงร้องทุกข์ของเขามาถึงเรา”
1ซมอ 14.16 ยามของซาอูลที่อยู่ ณ กิเบอาห์แห่งคนเบนยามินก็มองดูอยู่ และดูเถิด มวลชนก็สลายไป วิ่งตีกันไปมา
1ซมอ 16.7 แต่พระเยโฮวาห์ตรัสกับซามูเอลว่า “อย่ามองดูที่รูปร่างหน้าตาหรือที่ความสูงแห่งร่างกายของเขา ด้วยเราไม่ยอมรับเขา เพราะพระเยโฮวาห์ทอดพระเนตรไม่เหมือนกับที่มนุษย์ดู ด้วยว่ามนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอก แต่พระเยโฮวาห์ทอดพระเนตรจิตใจ”
2ซมอ 13.34 แต่อับซาโลมได้หนีไป ฝ่ายทหารยามหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองดู ดูเถิด ประชาชนเป็นอันมากกำลังมาทางข้างๆภูเขาซึ่งอยู่ข้างหลังเขา
2ซมอ 18.24 ฝ่ายดาวิดประทับอยู่ระหว่างประตูเมืองทั้งสอง มีทหารยามขึ้นไปอยู่บนหลังคาซุ้มประตูที่กำแพงเมือง เมื่อเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นชายคนหนึ่งวิ่งมาลำพัง
1พกษ 19.6 และท่านก็มองดู ดูเถิด ตรงที่ศีรษะของท่านมีขนมปังที่ปิ้งบนก้อนหินร้อนและมีไหน้ำลูกหนึ่ง ท่านก็รับประทานและดื่ม และนอนลงอีก
2พกษ 6.30 และต่อมาเมื่อกษัตริย์ทรงได้ยินถ้อยคำของหญิงนั้น พระองค์ก็ฉีกฉลองพระองค์ พระองค์กำลังดำเนินอยู่บนกำแพง ประชาชนก็มองดู ดูเถิด พระองค์ทรงฉลองพระองค์ผ้ากระสอบอยู่แนบเนื้อ
2พกษ 9.2 และเมื่อเจ้าไปถึงแล้ว จงมองดูเยฮูบุตรเยโฮชาฟัทบุตรนิมซี จงเข้าไปหาเขา ให้ลุกขึ้นจากหมู่พวกพี่น้อง และนำเขาเข้าไปในห้องชั้นใน
2พศด 13.14 และเมื่อยูดาห์มองดูข้างหลัง ดูเถิด การศึกก็อยู่ข้างหน้าและข้างหลังเขา และเขาทั้งหลายก็ร้องทูลต่อพระเยโฮวาห์ และบรรดาปุโรหิตก็เป่าแตร
2พศด 26.20 และอาซาริยาห์ปุโรหิตใหญ่ และบรรดาปุโรหิตทั้งปวงมองดูพระองค์ และดูเถิด พระองค์ทรงเป็นโรคเรื้อนที่พระนลาฏ และเขาทั้งหลายก็ผลักพระองค์ออกไปจากที่นั่น และพระองค์เองก็ทรงรีบเสด็จออกไป เพราะว่าพระเยโฮวาห์ทรงลงโทษพระองค์แล้ว
นหม 4.14 ข้าพเจ้ามองดู แล้วลุกขึ้นพูดกับขุนนางและเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย กับคนนอกนั้นว่า “อย่ากลัวเขาเลย จงระลึกถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งและน่าเกรงกลัว และต่อสู้เพื่อพี่น้องของท่าน บุตรชายบุตรสาวของท่าน ภรรยาและเรือนของท่าน”
อสธ 1.17 เพราะสิ่งที่พระราชินีทรงกระทำนี้จะเป็นที่ทราบแก่สตรีทั้งปวง ทำให้เขามองดูสามีของเขาด้วยความประมาท เพราะเขาจะพูดว่า ‘กษัตริย์อาหสุเอรัสมีพระบัญชาให้นำพระราชินีวัชทีมาต่อพระพักตร์พระองค์ แต่พระนางไม่เสด็จมา’
โยบ 6.19 หมู่คนเดินทางของตำบลเทมามองดู คนเดินทางของเมืองเชบารอคอยหมู่คนเหล่านั้น
โยบ 6.28 ฉะนั้นบัดนี้ ขอมองดูข้าด้วยความพอใจเถิด เพราะถ้าข้ามุสา ก็จะปรากฏแจ้งแก่ท่าน
โยบ 10.15 ถ้าข้าพระองค์ชั่วร้าย วิบัติแก่ข้าพระองค์ ถ้าข้าพระองค์ชอบธรรม ข้าพระองค์ยังผงกศีรษะของข้าพระองค์ขึ้นไม่ได้ ข้าพระองค์เต็มด้วยความอดสู ฉะนั้นขอมองดูความทุกข์ใจของข้าพระองค์
โยบ 21.5 มองดูข้าซี และจงตกตะลึงเถิด และท่านจงเอามือปิดปากของท่าน
โยบ 34.21 เพราะพระเนตรของพระองค์มองดูทางทั้งหลายของมนุษย์ พระองค์ทรงเห็นย่างเท้าของเขาหมด
โยบ 35.5 จงมองดูท้องฟ้าเถิด ดูเมฆซึ่งอยู่สูงกว่าท่าน
สดด 37.10 ยังอีกหน่อยหนึ่งคนชั่วจะไม่มีอีก แม้จะมองดูที่ที่ของเขาให้ดี เขาก็ไม่ได้อยู่ที่นั่น
สดด 37.37 จงหมายคนไร้ตำหนิไว้ และมองดูคนเที่ยงธรรม เพราะอนาคตของคนนั้นคือสันติภาพ
สดด 91.8 ท่านจะมองดูด้วยตาเท่านั้น และเห็นการตอบแทนแก่คนชั่ว
สดด 109.25 ข้าพระองค์กลายเป็นที่ตำหนิติเตียนของเขา เมื่อเขามองดูข้าพระองค์ เขาก็สั่นศีรษะ
สดด 119.158 ข้าพระองค์มองดูคนละเมิดด้วยความชิงชัง เพราะเขาไม่รักษาพระดำรัสของพระองค์
สดด 123.2 ดูเถิด ตาของผู้รับใช้มองดูมือนายของตนฉันใด และตาของสาวใช้มองดูมือนายหญิงของตนฉันใด ตาของข้าพเจ้าทั้งหลายมองดูพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลายจนกว่าพระองค์จะมีพระกรุณาต่อข้าพเจ้าทั้งหลายฉันนั้น
สดด 142.4 ข้าพระองค์มองทางขวามือและมองดู แต่ไม่มีใครยอมรู้จักข้าพระองค์ ข้าพระองค์ไม่มีที่หลบภัย ไม่มีใครเอาใจใส่จิตใจข้าพระองค์
สดด 145.15 นัยน์ตาทั้งปวงมองดูพระองค์ และพระองค์ประทานอาหารให้ตามเวลา
สภษ 14.15 คนเขลาเชื่อถือวาจาทุกอย่าง แต่คนหยั่งรู้มองดูว่าเขากำลังไปทางไหน
สภษ 23.31 อย่ามองดูเหล้าองุ่นเมื่อมันมีสีแดง เมื่อเป็นประกายในถ้วย และลงไปคล่องๆ
สภษ 23.33 ตาของเจ้าจะมองดูหญิงชั่ว และใจของเจ้าจะพูดตลบตะแลง
สภษ 24.32 แล้วเราได้เห็นและพิเคราะห์ดู เรามองดูและได้รับคำสั่งสอน
สภษ 29.16 เมื่อคนชั่วร้ายเพิ่มพูน การละเมิดก็ทวีขึ้น แต่คนชอบธรรมจะมองดูความล่มจมของเขา
พซม 2.9 ที่รักของดิฉันเป็นดุจดังละมั่งหรือดุจดังกวางหนุ่ม ดูเถิด เขากำลังยืนอยู่ที่ข้างหลังกำแพงของเรา เขาชะโงกหน้าต่างเข้ามา เขาสอดมองดูทางตาข่าย
อสย 8.22 และจะมองดูที่แผ่นดินโลก และจะมองเห็นความทุกข์ใจและความมืด ความกลุ้มแห่งความแสนระทม และเขาจะถูกผลักไสเข้าไปในความมืดทึบ
อสย 17.7 ในวันนั้น คนจะมองดูพระผู้สร้างตน และนัยน์ตาเขาจะเอาใจใส่ในองค์บริสุทธิ์ของอิสราเอล
อสย 18.3 ท่านทั้งปวงผู้เป็นชาวพิภพ ท่านอาศัยอยู่บนแผ่นดินโลก เมื่อเขายกอาณัติสัญญาณขึ้นบนภูเขา จงมองดู เมื่อเขาเป่าแตร จงฟัง
อสย 22.11 ท่านทำที่ขับน้ำไว้ระหว่างกำแพงทั้งสองเพื่อรับน้ำของสระเก่า แต่ท่านมิได้มองดูผู้ที่ได้ทรงบันดาลเหตุ และมิได้เอาใจใส่ผู้ทรงวางแผนงานนี้ไว้นานมาแล้ว
อสย 51.1 “จงฟังเราซี เจ้าทั้งหลายผู้ติดตามความชอบธรรม เจ้าผู้แสวงหาพระเยโฮวาห์ จงมองดูหินซึ่งได้ทรงสกัดตัวเจ้ามา และจงมองดูบ่อหินซึ่งทรงขุดเอาตัวเจ้าทั้งหลายมา
อสย 51.6 จงแหงนตาดูฟ้าสวรรค์ และมองดูโลกเบื้องล่าง เพราะว่าฟ้าสวรรค์จะสูญสิ้นไปเหมือนควัน และแผ่นดินโลกจะร่อยหรอไปเหมือนอย่างเสื้อผ้า และเขาทั้งหลายผู้อาศัยอยู่ในนั้นจะตายไปเหมือนกัน แต่ความรอดของเราจะอยู่เป็นนิตย์ และความชอบธรรมของเราจะไม่สิ้นสุดเลย
อสย 53.3 ท่านได้ถูกมนุษย์ดูหมิ่นและทอดทิ้ง เป็นคนที่รับความเศร้าโศกและคุ้นเคยกับความระทมทุกข์ และดังผู้หนึ่งซึ่งคนทนมองดูไม่ได้ ท่านถูกดูหมิ่น และเราทั้งหลายไม่ได้นับถือท่าน
อสย 57.8 เจ้าได้ตั้งอนุสาวรีย์ของเจ้าไว้หลังประตูและเสาประตู เจ้าจึงเปิดผ้าคลุมที่นอนของเจ้า เจ้าขึ้นไปบนนั้น เจ้าทำให้มันกว้าง และเจ้าตกลงกับมันเพื่อเจ้าเอง เจ้ารักที่นอนของมัน และเจ้าได้มองดูการเปลือย
อสย 66.24 และเขาจะออกไปมองดูซากศพของคนที่ได้ละเมิดต่อเรา เพราะว่าหนอนของคนเหล่านี้จะไม่ตายไป ไฟของเขาจะไม่ดับ และเขาจะเป็นที่น่าสะอิดสะเอียนต่อเนื้อหนังทั้งสิ้น”
ยรม 2.23 เจ้าจะพูดได้อย่างไรว่า ‘ข้าไม่เป็นมลทิน ข้ามิได้ติดตามพระบาอัลไป’ จงมองดูท่าทางของเจ้าที่ในหุบเขาซิ จงสำนึกซิว่าเจ้าได้กระทำอะไร เจ้าเหมือนอูฐสาวคะนองที่เดินข้ามไปข้ามมา
ยรม 4.21 ข้าจะต้องมองดูธงและฟังเสียงแตรนานสักเท่าใด
ยรม 4.23 ข้าพเจ้ามองดูพื้นที่โลก และดูเถิด เป็นที่ร้างและว่างเปล่า และมองดูฟ้าสวรรค์ ในนั้นก็ไม่มีความสว่าง
ยรม 4.24 ข้าพเจ้ามองดูภูเขา ดูเถิด มันกำลังสั่นอยู่ บรรดาเนินเขาก็แกว่งไปแกว่งมา
ยรม 4.25 ข้าพเจ้ามองดู และดูเถิด ไม่มีมนุษย์เลย นกทั้งปวงแห่งท้องอากาศได้หนีไปแล้ว
ยรม 4.26 ข้าพเจ้ามองดู และดูเถิด เรือกสวนไร่นาก็เป็นถิ่นทุรกันดาร และหัวเมืองทั้งสิ้นก็ปรักหักพังไปต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ต่อพระพิโรธอันร้อนแรงของพระองค์
ยรม 16.17 เพราะว่า ตาเรามองดูพฤติการณ์ทั้งสิ้นของเขา จะปิดบังไว้จากหน้าเราไม่ได้ และความชั่วช้าของเขาทั้งหลายจะซ่อนพ้นตาเราไม่ได้
ยรม 20.4 เพราะพระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะกระทำเจ้าให้เป็นที่น่าหวาดเสียวต่อตัวเจ้าเอง และต่อมิตรสหายทั้งสิ้นของเจ้า เขาทั้งหลายจะล้มลงด้วยดาบของศัตรูของเขา ขณะที่ตาเจ้ามองดูอยู่ และเราจะมอบยูดาห์ทั้งสิ้นไว้ในมือของกษัตริย์บาบิโลน เขาจะกวาดเอาไปเป็นเชลยยังบาบิโลน และจะฆ่าเสียด้วยดาบ
ยรม 31.26 เมื่อนั้น ข้าพเจ้าตื่นขึ้นและมองดู และการหลับนอนของข้าพเจ้าก็เป็นที่ชื่นใจข้าพเจ้า
พคค 1.18 “พระเยโฮวาห์ทรงชอบธรรมแล้ว เพราะข้าพเจ้าได้กบฏต่อพระบัญญัติของพระองค์ ดูก่อนบรรดาชนชาติทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอท่านได้ฟังและขอมามองดูความทนทุกข์ของข้าพเจ้า สาวพรหมจารีของข้าพเจ้า และหนุ่มๆของข้าพเจ้าตกไปเป็นเชลยแล้ว
อสค 1.4 ดูเถิด เมื่อข้าพเจ้ามองดู ลมหมุนก็พัดมาจากทางเหนือ มีเมฆก้อนใหญ่ที่มีความสว่างอยู่รอบ และมีไฟลุกวาบออกมาอยู่เสมอ ท่ามกลางไฟนั้นดูประหนึ่งทองสัมฤทธิ์ที่แวบวาบ ซึ่งออกมาจากท่ามกลางไฟนั้น
อสค 1.15 ขณะเมื่อข้าพเจ้ามองดูสิ่งที่มีชีวิตอยู่นั้น ดูเถิด วงล้ออันหนึ่งอยู่บนพิภพข้างสิ่งมีชีวิตอยู่ที่มีหน้าสี่หน้านั้น
อสค 2.9 ดูเถิด เมื่อข้าพเจ้ามองดูก็เห็นพระหัตถ์ข้างหนึ่งเหยียดออกมายังข้าพเจ้า และดูเถิด ในพระหัตถ์นั้นมีหนังสืออยู่ม้วนหนึ่ง
อสค 6.9 แล้วคนในพวกเจ้าที่หนีไปได้นั้น จะระลึกถึงเราท่ามกลางประชาชาติทั้งหลาย ซึ่งเขาถูกกวาดไปเป็นเชลยนั้น เพราะใจของเราแหลกสลายเนื่องด้วยใจแพศยาของเขาซึ่งได้พรากจากเราไป และเนื่องด้วยตาของเขาที่มองดูรูปเคารพด้วยใจแพศยานั้น และเขาจะเกลียดตัวเองเนื่องจากความชั่วร้ายซึ่งเขาได้กระทำในสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนทั้งสิ้นของเขาด้วย
อสค 8.2 แล้วข้าพเจ้าก็มองดู และดูเถิด มีสัณฐานอย่างไฟ เบื้องล่างของส่วนที่มองเห็นเป็นเอวนั้นเป็นไฟ เหนือเอวขึ้นไปเหมือนความสุกปลั่งประหนึ่งทองสัมฤทธิ์ที่แวบวาบ
อสค 8.7 และพระองค์ทรงนำข้าพเจ้ามาถึงประตูลาน และเมื่อข้าพเจ้ามองดู ดูเถิด ก็เห็นช่องหนึ่งอยู่ในกำแพง
อสค 10.1 แล้วข้าพเจ้าก็มองดู ดูเถิด ที่ท้องฟ้าซึ่งอยู่เหนือศีรษะของเหล่าเครูบ มีอะไรปรากฏขึ้นเหนือเครูบนั้นเหมือนไพทูรย์ มีสัณฐานคล้ายพระที่นั่ง
อสค 10.9 และข้าพเจ้ามองดู ดูเถิด มีวงล้ออยู่สี่อันข้างๆเหล่าเครูบ อยู่ข้างเครูบตนละหนึ่งวงล้อ ลักษณะของวงล้อนั้นเหมือนแสงพลอยเขียว
อสค 16.8 และเมื่อเราผ่านเจ้าไปอีกครั้งหนึ่งและมองดูเจ้า ดูเถิด เจ้ามีอายุรู้จักรักแล้ว เราก็ขยายชายเสื้อคลุมเจ้าและปกคลุมความเปลือยเปล่าของเจ้าไว้ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า เออ เราก็ปฏิญาณและกระทำพันธสัญญากับเจ้า และเจ้าก็เป็นของเรา
อสค 21.21 เพราะว่ากษัตริย์บาบิโลนยืนอยู่ที่ทางแพร่ง อยู่ที่หัวถนนสองถนน กำหนดหาคำทำนาย ท่านเขย่าลูกธนู และปรึกษาเทราฟิม ท่านมองดูที่ตับ
อสค 28.18 เจ้ากระทำให้สถานบริสุทธิ์ของเจ้าเป็นมลทิน โดยความชั่วช้าเป็นอันมากของเจ้า ในการค้าอันชั่วช้าของเจ้า เหตุฉะนั้นเราจะนำไฟออกมาจากท่ามกลางเจ้า ไฟจะเผาผลาญเจ้า เราจะกระทำให้เจ้าเป็นเถ้าถ่านไปบนแผ่นดินโลกท่ามกลางสายตาของคนทั้งปวงที่มองดูเจ้าอยู่
อสค 37.8 และเมื่อข้าพเจ้ามองดู ดูเถิด ก็เห็นมีเอ็นบนมัน และเนื้อก็มาที่กระดูก และหนังก็มาหุ้มกระดูกไว้ แต่ไม่มีลมหายใจในนั้น
อสค 40.4 และชายผู้นั้นกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงมองดูด้วยตาเองเถิด และจงฟังด้วยหูของเจ้า และจงเอาใจใส่กับสิ่งทั้งสิ้นที่เราจะสำแดงให้แก่เจ้า เพราะว่าที่นำเจ้ามาที่นี่ก็เพื่อจะสำแดงให้แก่เจ้า สิ่งทั้งสิ้นที่เจ้าเห็นนั้น จงประกาศแก่วงศ์วานอิสราเอล”
อสค 44.4 แล้วท่านก็นำข้าพเจ้ามาตามทางของประตูเหนือมาที่ข้างหน้าพระนิเวศ และข้าพเจ้ามองดู และดูเถิด สง่าราศีของพระเยโฮวาห์ก็เต็มพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และข้าพเจ้าก็ซบหน้าลงถึงดิน
ดนล 7.4 ตัวแรกเหมือนสิงโต มีปีกนกอินทรี เมื่อข้าพเจ้ามองดูนั้น ขนปีกก็ถูกถอนออกไป และมันถูกยกขึ้นจากแผ่นดิน และให้ยืนสองเท้าเหมือนคน และมอบใจของมนุษย์ให้แก่มัน
ดนล 7.6 ต่อจากนี้ไปข้าพเจ้าก็ได้มองดู ดูเถิด สัตว์อีกตัวหนึ่งเหมือนเสือดาว บนหลังมีปีกนกสี่ปีก สัตว์นั้นมีหัวสี่หัวและมันรับราชอำนาจ
ดนล 7.21 เมื่อข้าพเจ้ามองดู เขานี้ทำสงครามกับวิสุทธิชนและชนะ
ดนล 12.5 แล้วข้าพเจ้าคือดาเนียลก็มองดู และดูเถิด มีอีกสองคนยืนอยู่ คนหนึ่งยืนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำข้างนี้ อีกคนหนึ่งยืนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำข้างโน้น
อมส 5.22 แม้ว่าเจ้าถวายเครื่องเผาบูชาและธัญญบูชาแก่เรา เราจะไม่ยอมรับสิ่งเหล่านั้น และสันติบูชาด้วยสัตว์อ้วนพีของเจ้านั้น เราจะไม่มองดู
อมส 9.4 แม้ว่าเขาจะตกไปเป็นเชลยต่อหน้าศัตรูของเขาทั้งหลาย เราจะบัญชาดาบที่นั่น และดาบจะฆ่าเขาเสีย เราจะจ้องมองดูเขาอยู่เป็นการมองร้าย ไม่ใช่มองดี”
มคา 7.7 เพราะฉะนั้นสำหรับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะมองดูพระเยโฮวาห์ ข้าพเจ้าจะเฝ้าคอยพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้าจะทรงฟังข้าพเจ้า
นฮม 3.5 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า ดูเถิด เราต่อสู้เจ้า และจะยกกระโปรงของเจ้าคลุมหน้าเจ้า เราจะให้บรรดาประชาชาติมองดูความเปลือยเปล่าของเจ้า และให้ราชอาณาจักรทั้งหลายมองดูความอับอายของเจ้า
ฮบก 1.13 พระเนตรของพระองค์บริสุทธิ์เกินที่จะทอดพระเนตรการชั่ว จะทรงมองดูความชั่วช้าก็ไม่ได้ ไฉนพระองค์ทอดพระเนตรคนทรยศ และทรงเงียบอยู่เมื่อคนชั่วกลืนคนที่ชอบธรรมเกินกว่าตัวเขาเสีย
ฮกก 2.3 ใครบ้างที่เหลืออยู่ท่ามกลางพวกท่านนี้ ที่เห็นพระนิเวศนี้ครั้งเมื่อมีสง่าราศีเดิมนั้น บัดนี้ท่านเหล่านั้นเห็นเป็นอย่างไร มองดูแล้วเปรียบกันไม่ได้เลยใช่ไหม
ศคย 1.8 “ณ กลางคืนวันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้มองดู และดูเถิด มีชายคนหนึ่งขี่ม้าสีแดง ยืนอยู่ท่ามกลางต้นน้ำมันเขียวที่ลานหุบเขา ณ เบื้องหลังท่านผู้นั้นมีม้าสีแดง สีแสด และสีขาว
ศคย 12.10 และเราจะเทวิญญาณแห่งพระคุณและการวิงวอนบนราชวงศ์ดาวิดและชาวเยรูซาเล็ม เขาทั้งหลายจะมองดูเราผู้ซึ่งเขาเองได้แทง เขาจึงจะไว้ทุกข์เพื่อท่านเหมือนคนไว้ทุกข์เพื่อบุตรชายคนเดียวของตน และจะร้องไห้อย่างขมขื่นเพื่อท่าน เหมือนอย่างคนร้องไห้อย่างขมขื่นเพื่อบุตรหัวปีของตน
มธ 7.3 เหตุไฉนท่านมองดูผงที่อยู่ในตาพี่น้องของท่าน แต่ไม่ยอมพิจารณาไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่านเอง
มธ 27.55 ที่นั่นมีหญิงหลายคนที่ได้ติดตามพระเยซูจากแคว้นกาลิลีเพื่อปรนนิบัติพระองค์ มองดูอยู่แต่ไกล
มก 15.40 มีพวกผู้หญิงมองดูอยู่แต่ไกล ในพวกผู้หญิงนั้นมีมารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบน้อยและของโยเสส และนางสะโลเม
มก 16.4 เมื่อเขามองดูก็เห็นก้อนหินนั้นกลิ้งออกแล้ว เพราะเป็นก้อนหินโตมาก
ลก 6.41 เหตุไฉนท่านมองดูผงที่ในตาพี่น้องของท่าน แต่ไม่ยอมพิจารณาไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่านเอง
ลก 14.1 ต่อมาเมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในบ้านของขุนนางคนหนึ่งในพวกฟาริสีในวันสะบาโต จะเสวยพระกระยาหาร เขาทั้งหลายคอยมองดูพระองค์
ลก 23.35 คนทั้งปวงก็ยืนมองดู พวกขุนนางก็เยาะเย้ยพระองค์ด้วยว่า “เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ ถ้าเขาเป็นพระคริสต์ของพระเจ้าที่ทรงเลือกไว้ ให้เขาช่วยตัวเองเถิด”
ลก 23.49 คนทั้งปวงที่รู้จักพระองค์และพวกผู้หญิงซึ่งได้ตามพระองค์มาจากกาลิลี ก็ยืนอยู่แต่ไกล มองดูเหตุการณ์เหล่านี้
ลก 24.12 แต่เปโตรลุกขึ้นวิ่งไปถึงอุโมงค์ ก้มลงมองดูก็เห็นแต่ผ้าป่านวางอยู่ต่างหาก แล้วกลับไปคิดพิศวงถึงเหตุการณ์ซึ่งได้เป็นไปนั้น
ยน 1.36 และท่านมองดูพระเยซูขณะที่พระองค์ทรงดำเนินและกล่าวว่า “จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า”
ยน 19.37 และมีข้อพระคัมภีร์อีกข้อหนึ่งว่า ‘เขาทั้งหลายจะมองดูพระองค์ผู้ซึ่งเขาเองได้แทง’
ยน 20.5 เขาก้มลงมองดูเห็นผ้าป่านวางอยู่ แต่เขาไม่ได้เข้าไปข้างใน
ยน 20.11 แต่ฝ่ายมารีย์ยืนร้องไห้อยู่นอกอุโมงค์ ขณะที่ร้องไห้อยู่เธอก้มลงมองดูที่อุโมงค์
กจ 7.32 ว่า ‘เราเป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษของเจ้า เป็นพระเจ้าของอับราฮัม เป็นพระเจ้าของอิสอัค และเป็นพระเจ้าของยาโคบ’ โมเสสจึงกลัวจนตัวสั่นไม่อาจมองดู
1คร 4.9 เพราะข้าพเจ้าเห็นว่าพระเจ้าได้ทรงตั้งเราผู้เป็นอัครสาวกไว้ในที่สุดปลาย เหมือนผู้ที่ได้ถูกปรับโทษให้ถึงตาย เพราะว่าโลกคือทั้งทูตสวรรค์และมนุษย์มองดูเราด้วยความพิศวง
2คร 3.18 แต่เราทั้งหลายไม่มีผ้าคลุมหน้าไว้ จึงแลดูสง่าราศีขององค์พระผู้เป็นเจ้าเหมือนมองดูในกระจก และตัวเราก็เปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระฉายขององค์พระผู้เป็นเจ้าคือมีสง่าราศีเป็นลำดับขึ้นไป เช่นอย่างสง่าราศีที่มาจากพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้า
วว 5.11 แล้วข้าพเจ้าก็มองดู และข้าพเจ้าได้ยินเสียงทูตสวรรค์เป็นอันมากนับเป็นโกฏิๆเป็นแสนๆ ซึ่งอยู่ล้อมรอบพระที่นั่งรอบสัตว์และผู้อาวุโสทั้งหลายนั้น
วว 7.9 ต่อจากนั้นมา ข้าพเจ้าก็มองดู และดูเถิด คนมากมาย ถ้ามีผู้ใดจะนับประมาณมิได้เลย มาจากทุกชาติ ทุกตระกูล ประชากร และทุกภาษา คนเหล่านั้นสวมเสื้อสีขาว ถือใบตาลยืนอยู่หน้าพระที่นั่ง และต่อพระพักตร์พระเมษโปดก
วว 8.13 แล้วข้าพเจ้าก็มองดูและได้ยินทูตสวรรค์องค์หนึ่งที่บินอยู่ในท้องฟ้า ร้องประกาศเสียงดังว่า “วิบัติ วิบัติ วิบัติ จะมีแก่คนทั้งหลายที่อยู่บนแผ่นดินโลก เพราะเสียงแตรของทูตสวรรค์ทั้งสามองค์กำลังจะเป่าอยู่แล้ว”

มองหา ( 18 )
ลนต 13.36 ก็ให้ปุโรหิตตรวจเขา และดูเถิด ถ้าโรคคันนั้นลามออกไปในผิวหนังแล้ว ปุโรหิตไม่จำเป็นต้องมองหาขนสีเหลือง เขาเป็นมลทินแล้ว
2ซมอ 22.42 เขามองหา แต่ไม่มีใครช่วยให้รอดได้ เขาร้องทูลต่อพระเยโฮวาห์ แต่พระองค์มิได้ทรงตอบเขา
โยบ 7.2 เหมือนอย่างทาสที่ปรารถนาเงา และเหมือนอย่างลูกจ้างผู้มองหาค่าจ้างแห่งงานของตน
โยบ 7.8 ตาของผู้ที่เห็นข้าพระองค์จะไม่ได้ดูข้าพระองค์อีกต่อไป ฝ่ายพระเนตรของพระองค์มองหาข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็ไปเสียแล้ว
โยบ 30.26 แต่เมื่อข้ามองหาของดี ของร้ายก็มาถึง และเมื่อข้าคอยความสว่าง ความมืดก็มาถึง
สดด 69.20 การเยาะเย้ยกระทำให้จิตใจข้าพระองค์ชอกช้ำ ข้าพระองค์จึงหมดกำลังใจ ข้าพระองค์มองหาผู้สงสาร แต่ก็ไม่มี หาผู้เล้าโลม แต่ข้าพระองค์หาไม่พบ
สดด 101.6 นัยน์ตาข้าพระองค์จะมองหาคนที่ซื่อตรงในแผ่นดิน เพื่อเขาจะอาศัยอยู่กับข้าพระองค์ ผู้ใดดำเนินในทางที่ดีรอบคอบ ผู้นั้นจะปรนนิบัติข้าพระองค์
พซม 3.1 ยามราตรีกาลเมื่อดิฉันนอนอยู่ดิฉันมองหาเขาผู้นั้นที่ดวงใจของดิฉันรักใคร่ ดิฉันมองหาเขา แต่หาได้พบไม่
พซม 3.2 “บัดนี้ดิฉันจะลุกขึ้น แล้วจะเที่ยวไปในเมืองให้ตลอดไป ตามถนนและลานเมือง ดิฉันจะแสวงหาเขาผู้นั้นที่ดวงใจของดิฉันรักใคร่” ดิฉันมองหาเขา แต่หาได้พบไม่
อสย 59.11 เราทุกคนครางเหมือนหมี และพิลาปเหมือนนกเขา และมองหาความยุติธรรม แต่ไม่มีเลย หาความรอด แต่ก็อยู่ไกลจากเรา
ยรม 8.15 เรามองหาสันติภาพ แต่ไม่มีความดีอะไรมาเลย เรามองหาเวลารักษาให้หาย แต่ประสบความสยดสยอง
ยรม 13.16 จงถวายสง่าราศีแด่พระเยโฮวาห์ พระเจ้าของเจ้าทั้งหลาย ก่อนที่พระองค์จะทรงนำความมืดมา ก่อนที่เท้าของเจ้าจะสะดุดบนภูเขาที่มีแสงโพล้เพล้ และขณะเมื่อเจ้าทั้งหลายมองหาความสว่าง พระองค์ทรงกลับให้เป็นเงามัจจุราช และทรงกระทำให้เป็นความมืดทึบ
ยรม 14.19 พระองค์ทรงปฏิเสธไม่รับยูดาห์เสียทีเดียวแล้วหรือ พระทัยของพระองค์เกลียดศิโยนเสียแล้วหรือ ไฉนพระองค์ทรงเฆี่ยนตีข้าพระองค์ทั้งหลาย จนไม่มีการรักษาข้าพระองค์ให้หาย ข้าพระองค์ทั้งหลายมองหาสันติภาพ แต่ไม่มีความดีมาเลย เรามองหาเวลาเยียวยา แต่ประสบความสยดสยอง
พคค 4.17 นัยน์ตาของพวกเรามองหาความช่วยเหลือ การช่วยเหลือนั้นไร้ประโยชน์ ส่วนการเฝ้ารอคอย พวกเราได้คอยประเทศที่ไม่อาจจะช่วยเราให้รอดได้
ยน 7.11 พวกยิวจึงมองหาพระองค์ในเทศกาลนั้นและถามว่า “คนนั้นอยู่ที่ไหน”

มองเห็น ( 31 )
พบญ 29.4 แต่จนกระทั่งวันนี้พระเยโฮวาห์มิได้ประทานจิตใจที่เข้าใจ ตาที่มองเห็นได้ และหูที่ยินได้ให้แก่ท่าน
1ซมอ 16.6 อยู่มาเมื่อเขาทั้งหลายมาแล้วท่านก็มองเห็นเอลีอับจึงคิดว่า “ผู้ที่พระองค์ทรงให้เจิมไว้ก็อยู่ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์แน่แล้ว”
2พกษ 9.17 ฝ่ายทหารยามยืนอยู่บนหอคอยที่ยิสเรเอล เขามองเห็นพวกของเยฮูมาจึงว่า “ข้าพเจ้าเห็นคนพวกหนึ่ง” โยรัมตรัสว่า “จงใช้ให้พลม้าคนหนึ่งไปพบเขาให้ถามเขาว่า ‘มาอย่างสันติหรือ’”
2พกษ 23.17 แล้วพระองค์ตรัสว่า “อนุสาวรีย์ที่เรามองเห็นข้างโน้นคืออะไร” คนเมืองนั้นก็ทูลพระองค์ว่า “เป็นอุโมงค์ฝังศพของคนแห่งพระเจ้าผู้มาจากยูดาห์ และได้ป่าวร้องถึงสิ่งเหล่านี้ ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำต่อแท่นบูชาที่เบธเอล”
1พศด 21.21 เมื่อดาวิดเสด็จมายังโอรนัน โอรนันมองเห็นดาวิด และออกไปจากลานนวดข้าวถวายบังคมดาวิดด้วยซบหน้าลงถึงดิน
โยบ 28.7 ทางนั้นไม่มีเหยี่ยวรู้ และไม่มีตาเหยี่ยวดำมองเห็น
สดด 54.7 เพราะพระองค์ทรงช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากความทุกข์ยากลำบากทุกอย่าง และนัยน์ตาของข้าพเจ้ามองเห็นพระประสงค์ของพระองค์ต่อพวกศัตรูของข้าพเจ้านั้นสำเร็จ
สภษ 20.12 หูที่ฟังได้และตาที่มองเห็น พระเยโฮวาห์ทรงสร้างมันทั้งสอง
อสย 6.9 และพระองค์ตรัสว่า “ไปเถอะ และกล่าวแก่ชนชาตินี้ว่า ‘ฟังแล้วฟังเล่า แต่อย่าเข้าใจ ดูแล้วดูเล่า แต่อย่ามองเห็น’
อสย 8.22 และจะมองดูที่แผ่นดินโลก และจะมองเห็นความทุกข์ใจและความมืด ความกลุ้มแห่งความแสนระทม และเขาจะถูกผลักไสเข้าไปในความมืดทึบ
อสค 8.2 แล้วข้าพเจ้าก็มองดู และดูเถิด มีสัณฐานอย่างไฟ เบื้องล่างของส่วนที่มองเห็นเป็นเอวนั้นเป็นไฟ เหนือเอวขึ้นไปเหมือนความสุกปลั่งประหนึ่งทองสัมฤทธิ์ที่แวบวาบ
ฮบก 1.3 ไฉนพระองค์ทรงให้ข้าพระองค์เห็นความชั่วช้า และให้มองเห็นความยากลำบาก ทั้งการทำลายและความทารุณก็อยู่ตรงหน้าข้าพระองค์ การวิวาทและการทุ่มเถียงกันก็เกิดขึ้น
มธ 20.33 พวกเขาทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอให้ตาของข้าพระองค์มองเห็น”
ยน 9.11 เขาตอบว่า “ชายคนหนึ่งชื่อเยซู ได้ทำโคลนทาตาของข้าพเจ้า และบอกข้าพเจ้าว่า ‘จงไปที่สระสิโลอัมแล้วล้างออกเสีย’ ข้าพเจ้าก็ได้ไปล้างตาจึงมองเห็นได้”
ยน 9.15 พวกฟาริสีก็ได้ถามเขาอีกว่า ทำอย่างไรตาเขาจึงมองเห็น เขาบอกคนเหล่านั้นว่า “เขาเอาโคลนทาตาของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ล้างออกแล้วจึงมองเห็น”
ยน 9.18 แต่พวกยิวไม่เชื่อเรื่องเกี่ยวกับชายคนนั้นว่า เขาตาบอดและกลับมองเห็น จนกระทั่งเขาได้เรียกบิดามารดาของคนที่ตากลับมองเห็นได้นั้นมา
ยน 9.19 แล้วพวกเขาถามเขาทั้งสองว่า “ชายคนนี้เป็นบุตรชายของเจ้าหรือที่เจ้าบอกว่าตาบอดมาแต่กำเนิด ทำไมเดี๋ยวนี้เขาจึงมองเห็น”
ยน 9.21 แต่ไม่รู้ว่าทำไมเดี๋ยวนี้เขาจึงมองเห็น หรือใครทำให้ตาของเขาหายบอด เราก็ไม่ทราบ จงถามเขาเถิด เขาโตแล้ว เขาจะเล่าเรื่องของเขาเองได้”
ยน 9.25 เขาตอบว่า “ท่านนั้นเป็นคนบาปหรือไม่ข้าพเจ้าไม่ทราบ สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าทราบก็คือว่า ข้าพเจ้าเคยตาบอด แต่เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้ามองเห็นได้”
ยน 9.32 ตั้งแต่เริ่มมีโลกมาแล้ว ไม่เคยมีใครได้ยินว่า มีผู้ใดทำให้ตาของคนที่บอดแต่กำเนิดมองเห็นได้
ยน 9.39 พระเยซูตรัสว่า “เราเข้ามาในโลกเพื่อการพิพากษา เพื่อให้คนทั้งหลายที่มองไม่เห็นกลับมองเห็น และคนที่มองเห็นกลับตาบอด”
ยน 9.41 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ถ้าพวกท่านตาบอด พวกท่านก็จะไม่มีความผิดบาป แต่บัดนี้ท่านพูดว่า ‘เรามองเห็น’ เหตุฉะนั้นความผิดบาปของท่านจึงยังมีอยู่”
ยน 10.21 พวกอื่นก็พูดว่า “คำอย่างนี้ไม่เป็นคำของผู้ที่มีผีสิง ผีจะทำให้คนตาบอดมองเห็นได้หรือ”
ยน 11.37 และบางคนก็พูดว่า “ท่านผู้นี้ทำให้คนตาบอดมองเห็น จะทำให้คนนี้ไม่ตายไม่ได้หรือ”
2คร 4.18 ด้วยว่าเราไม่ได้เห็นแก่สิ่งของที่เรามองเห็นอยู่ แต่เห็นแก่สิ่งของที่มองไม่เห็น เพราะว่าสิ่งของซึ่งมองเห็นอยู่นั้นเป็นของไม่ยั่งยืน แต่สิ่งซึ่งมองไม่เห็นนั้นก็ถาวรนิรันดร์
2คร 5.7 (เพราะเราดำเนินโดยความเชื่อ มิใช่ตามที่ตามองเห็น)
ฮบ 11.3 โดยความเชื่อนี้เอง เราจึงเข้าใจว่า พระเจ้าได้ทรงสร้างกัลปจักรวาลด้วยพระดำรัสของพระองค์ ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นจึงเป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น

มอด ( 17 )
โยบ 4.19 ผู้ที่อาศัยในเรือนดินจะยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด รากฐานของเขาอยู่ในผงคลีดิน ผู้ถูกขยี้เหมือนอย่างตัวมอด
โยบ 13.28 มนุษย์ก็ทรุดโทรมไปเหมือนของเน่า เหมือนเครื่องแต่งกายที่ตัวมอดกิน’”
โยบ 27.18 เขาสร้างบ้านเหมือนอย่างตัวมอด เหมือนอย่างเพิงที่คนยามสร้าง
สดด 39.11 เมื่อพระองค์ทรงตีสอนมนุษย์ด้วยการขนาบเพราะเรื่องความชั่วช้า พระองค์ทรงเผาผลาญความสวยงามของเขาเสียอย่างตัวมอด มนุษย์ทุกคนก็ไร้สาระแน่ทีเดียว” เซลาห์
พซม 8.7 น้ำมากหลายไม่อาจดับความรักให้มอดเสียได้ หรืออุทกธารทั้งหลายไม่อาจท่วมความรักให้สำลักตายเสียได้ แม้ว่าคนใดจะเอาทรัพย์สมบัติในเหย้าเรือนของตนทั้งสิ้นมาแลกกับความรักนั้น คนนั้นจะได้รับความหมิ่นประมาทจากคนทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง
อสย 7.4 และจงกล่าวแก่เขาว่า ‘จงระวังและสงบใจ อย่ากลัว อย่าให้พระทัยของพระองค์ขลาดด้วยเหตุเศษดุ้นฟืนที่จวนมอดทั้งสองนี้ เพราะความกริ้วอันร้ายแรงของเรซีน และซีเรีย และโอรสของเรมาลิยาห์
อสย 50.9 ดูเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจะทรงช่วยข้าพเจ้า ใครจะกล่าวโทษข้าพเจ้าว่ามีความผิด ดูเถิด บรรดาเขาทุกคนจะร่อยหรอไปเหมือนอย่างเสื้อผ้า ตัวมอดจะกินเขาเหล่านั้นเสีย
อสย 51.8 เพราะว่าตัวมอดจะกินเขาเหมือนกินเสื้อผ้า และตัวหนอนจะกินเขาเหมือนกินขนแกะ แต่ความชอบธรรมของเราจะอยู่เป็นนิตย์ และความรอดของเราจะอยู่ตลอดทุกชั่วอายุ
อสค 5.13 เช่นนี้แหละ ความกริ้วของเราจะมอดลง และเราจะระบายความโกรธของเราจนหมดและพอใจ และเขาทั้งหลายจะได้ทราบว่า เราคือพระเยโฮวาห์ได้กล่าวเช่นนี้ด้วยใจจดจ่อเมื่อความโกรธของเราต่อเขามอดลงแล้ว
อสค 6.12 ผู้ที่อยู่ห่างไกลออกไปจะตายด้วยโรคระบาด ผู้ที่อยู่ใกล้ก็จะล้มตายด้วยดาบ และผู้ที่เหลืออยู่และถูกล้อมไว้จะตายด้วยการกันดารอาหาร เราจะให้ความเกรี้ยวกราดของเรามีเหนือเขาจนกว่าจะมอดลง เช่นนี้แหละ
อสค 20.8 แต่เขาทั้งหลายได้กบฏต่อเราและไม่ยอมฟังเรา เขาทั้งหลายไม่ได้ทิ้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนซึ่งนัยน์ตาของเขาเพลิดเพลินอยู่นั้นทุกคน ทั้งเขาก็มิได้ละทิ้งรูปเคารพของอียิปต์ แล้วเราก็คิดว่า เราจะระบายความกริ้วของเราออกเหนือเขา และให้ความโกรธของเรามีต่อเขาในท่ามกลางแผ่นดินอียิปต์จนมอดลง
ฮชย 5.12 เพราะฉะนั้นเราจะเป็นเหมือนตัวมอดต่อเอฟราอิม และเป็นเหมือนสิ่งผุต่อวงศ์วานยูดาห์
มธ 6.19 อย่าสะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัวในโลก ที่ตัวมอดและสนิมอาจทำลายเสียได้ และที่ขโมยอาจขุดช่องลักเอาไปได้
มธ 6.20 แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัวในสวรรค์ ที่ตัวมอดและสนิมทำลายเสียไม่ได้ และที่ไม่มีขโมยขุดช่องลักเอาไปได้
ลก 12.33 จงขายของที่ท่านมีอยู่และทำทาน จงกระทำถุงใส่เงินสำหรับตนซึ่งไม่รู้เก่า คือให้มีทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ซึ่งไม่เสื่อมสูญไป ที่ขโมยมิได้เข้ามาใกล้ และที่ตัวมอดมิได้ทำลายเสีย
ยก 5.2 ทรัพย์สมบัติของท่านก็ผุพังไป และมอดก็กัดกินเสื้อผ้าของท่าน

มอบ ( 604 )
ปฐก 9.2; ปฐก 14.20; ปฐก 18.7; ปฐก 24.7; ปฐก 24.53; ปฐก 25.5; ปฐก 27.17; ปฐก 27.37; ปฐก 29.23; ปฐก 30.26; ปฐก 30.35; ปฐก 32.16; ปฐก 39.4; ปฐก 39.6; ปฐก 39.8; ปฐก 39.22; ปฐก 42.37; อพย 4.21; อพย 23.30; อพย 23.31; อพย 32.3; อพย 32.24; อพย 39.33; ลนต 5.16; ลนต 6.5; ลนต 6.6; ลนต 7.34; ลนต 7.36; ลนต 14.23; ลนต 15.14; ลนต 20.2; ลนต 20.3; ลนต 22.14; กดว 3.9; กดว 3.48; กดว 7.5; กดว 7.6; กดว 7.8; กดว 7.9; กดว 7.10; กดว 7.11; กดว 7.84; กดว 7.88; กดว 8.16; กดว 17.6; กดว 18.14; กดว 18.19; กดว 18.28; กดว 21.2; กดว 21.3; กดว 21.29; กดว 21.34; กดว 27.12; กดว 31.29; กดว 31.30; กดว 31.41; กดว 31.47; กดว 32.5; กดว 32.11; กดว 32.29; กดว 32.33; พบญ 1.27; พบญ 2.24; พบญ 2.30; พบญ 2.31; พบญ 2.33; พบญ 2.36; พบญ 3.2; พบญ 3.3; พบญ 7.2; พบญ 7.16; พบญ 7.23; พบญ 7.24; พบญ 18.3; พบญ 18.4; พบญ 21.10; พบญ 22.2; พบญ 22.19; พบญ 22.29; พบญ 23.14; พบญ 28.68; พบญ 29.8; พบญ 31.5; พบญ 31.9; ยชว 2.24; ยชว 6.2; ยชว 6.16; ยชว 7.7; ยชว 8.1; ยชว 8.7; ยชว 8.18; ยชว 9.24; ยชว 10.8; ยชว 10.12; ยชว 10.19; ยชว 10.30; ยชว 10.32; ยชว 11.6; ยชว 11.8; ยชว 12.6; ยชว 12.7; ยชว 13.8; ยชว 13.14; ยชว 13.15; ยชว 13.24; ยชว 13.29; ยชว 13.33; ยชว 14.12; ยชว 18.4; ยชว 18.7; ยชว 19.49; ยชว 20.5; ยชว 21.2; ยชว 21.3; ยชว 21.44; ยชว 22.7; ยชว 24.8; ยชว 24.11; ยชว 24.33; วนฉ 1.2; วนฉ 1.4; วนฉ 2.14; วนฉ 2.23; วนฉ 3.10; วนฉ 3.15; วนฉ 3.17; วนฉ 3.18; วนฉ 3.28; วนฉ 4.7; วนฉ 4.14; วนฉ 6.1; วนฉ 6.9; วนฉ 6.13; วนฉ 6.30; วนฉ 7.2; วนฉ 7.7; วนฉ 7.9; วนฉ 7.14; วนฉ 7.15; วนฉ 8.7; วนฉ 9.4; วนฉ 11.9; วนฉ 11.21; วนฉ 11.24; วนฉ 11.30; วนฉ 11.32; วนฉ 12.3; วนฉ 13.1; วนฉ 14.19; วนฉ 15.12; วนฉ 15.13; วนฉ 16.23; วนฉ 16.24; วนฉ 17.4; วนฉ 18.10; วนฉ 20.13; วนฉ 20.28; วนฉ 21.14; 1ซมอ 2.28; 1ซมอ 9.23; 1ซมอ 10.4; 1ซมอ 11.3; 1ซมอ 11.10; 1ซมอ 12.9; 1ซมอ 14.10; 1ซมอ 14.12; 1ซมอ 14.37; 1ซมอ 15.28; 1ซมอ 17.22; 1ซมอ 17.25; 1ซมอ 17.46; 1ซมอ 17.47; 1ซมอ 18.4; 1ซมอ 18.17; 1ซมอ 20.40; 1ซมอ 21.3; 1ซมอ 21.6; 1ซมอ 23.4; 1ซมอ 23.7; 1ซมอ 23.11; 1ซมอ 23.12; 1ซมอ 23.14; 1ซมอ 23.20; 1ซมอ 24.4; 1ซมอ 24.10; 1ซมอ 24.18; 1ซมอ 25.11; 1ซมอ 25.27; 1ซมอ 26.8; 1ซมอ 26.23; 1ซมอ 27.5; 1ซมอ 27.6; 1ซมอ 28.17; 1ซมอ 28.19; 1ซมอ 30.15; 1ซมอ 30.23; 2ซมอ 1.10; 2ซมอ 3.8; 2ซมอ 3.12; 2ซมอ 3.14; 2ซมอ 5.19; 2ซมอ 8.11; 2ซมอ 9.7; 2ซมอ 9.9; 2ซมอ 10.10; 2ซมอ 12.8; 2ซมอ 14.7; 2ซมอ 16.8; 2ซมอ 18.28; 2ซมอ 20.21; 2ซมอ 21.6; 2ซมอ 21.9; 1พกษ 3.26; 1พกษ 5.6; 1พกษ 8.46; 1พกษ 11.35; 1พกษ 13.26; 1พกษ 14.16; 1พกษ 14.27; 1พกษ 15.18; 1พกษ 17.23; 1พกษ 18.9; 1พกษ 18.23; 1พกษ 20.13; 1พกษ 20.28; 1พกษ 21.7; 1พกษ 22.6; 1พกษ 22.12; 1พกษ 22.15; 1พกษ 22.26; 2พกษ 3.10; 2พกษ 3.13; 2พกษ 3.18; 2พกษ 10.24; 2พกษ 11.10; 2พกษ 11.12; 2พกษ 12.11; 2พกษ 12.15; 2พกษ 13.3; 2พกษ 17.20; 2พกษ 18.15; 2พกษ 18.16; 2พกษ 18.30; 2พกษ 19.10; 2พกษ 21.14; 2พกษ 22.5; 2พกษ 22.8; 2พกษ 22.9; 2พกษ 22.10; 2พกษ 23.35; 2พกษ 24.12; 1พศด 5.20; 1พศด 6.60; 1พศด 6.61; 1พศด 6.62; 1พศด 6.63; 1พศด 6.64; 1พศด 6.70; 1พศด 6.71; 1พศด 12.23; 1พศด 14.10; 1พศด 19.11; 1พศด 22.18; 1พศด 26.26; 1พศด 26.27; 1พศด 28.8; 1พศด 28.11; 1พศด 28.14; 1พศด 29.3; 2พศด 2.4; 2พศด 6.36; 2พศด 7.9; 2พศด 12.10; 2พศด 13.16; 2พศด 16.8; 2พศด 18.5; 2พศด 18.11; 2พศด 18.14; 2พศด 18.25; 2พศด 20.7; 2พศด 23.9; 2พศด 23.11; 2พศด 24.7; 2พศด 24.24; 2พศด 25.20; 2พศด 28.5; 2พศด 28.9; 2พศด 29.33; 2พศด 30.7; 2พศด 30.8; 2พศด 31.6; 2พศด 31.12; 2พศด 32.11; 2พศด 34.9; 2พศด 34.10; 2พศด 34.11; 2พศด 34.15; 2พศด 34.17; 2พศด 34.18; 2พศด 35.8; 2พศด 36.17; อสร 3.7; อสร 5.12; อสร 5.14; อสร 6.9; อสร 7.19; อสร 8.25; อสร 8.36; อสร 9.7; อสร 9.12; นหม 2.9; นหม 4.4; นหม 7.2; นหม 9.22; นหม 9.24; นหม 9.27; นหม 9.30; นหม 10.29; นหม 12.27; นหม 13.10; อสธ 3.10; อสธ 3.11; อสธ 6.9; อสธ 8.7; โยบ 5.8; โยบ 9.24; โยบ 16.11; โยบ 39.11; สดด 2.8; สดด 10.14; สดด 17.14; สดด 27.12; สดด 31.5; สดด 31.8; สดด 37.5; สดด 41.2; สดด 55.22; สดด 74.19; สดด 78.48; สดด 78.61; สดด 78.62; สดด 81.12; สดด 106.41; สดด 118.18; สภษ 16.3; ปญจ 2.26; ปญจ 8.8; พซม 7.12; พซม 8.11; อสย 19.4; อสย 34.2; อสย 36.15; อสย 37.10; อสย 41.2; อสย 42.24; อสย 43.28; อสย 47.6; อสย 49.6; อสย 49.8; อสย 59.18; ยรม 3.18; ยรม 11.20; ยรม 12.7; ยรม 13.20; ยรม 15.9; ยรม 15.13; ยรม 16.7; ยรม 18.21; ยรม 20.4; ยรม 21.7; ยรม 21.9; ยรม 21.10; ยรม 22.25; ยรม 24.9; ยรม 26.24; ยรม 29.21; ยรม 32.4; ยรม 32.12; ยรม 32.16; ยรม 32.24; ยรม 32.25; ยรม 32.28; ยรม 32.43; ยรม 34.2; ยรม 34.3; ยรม 34.20; ยรม 34.21; ยรม 36.32; ยรม 37.17; ยรม 37.21; ยรม 38.3; ยรม 38.16; ยรม 38.17; ยรม 38.18; ยรม 38.19; ยรม 38.20; ยรม 38.21; ยรม 39.10; ยรม 39.14; ยรม 39.17; ยรม 40.7; ยรม 43.3; ยรม 43.11; ยรม 44.30; ยรม 46.24; ยรม 46.26; พคค 1.14; พคค 2.7; อสค 7.21; อสค 11.9; อสค 11.15; อสค 11.17; อสค 16.27; อสค 16.39; อสค 16.61; อสค 21.11; อสค 21.31; อสค 23.9; อสค 23.24; อสค 23.28; อสค 23.31; อสค 23.46; อสค 25.4; อสค 25.7; อสค 25.10; อสค 28.25; อสค 29.5; อสค 29.19; อสค 29.20; อสค 31.11; อสค 31.14; อสค 33.27; อสค 35.12; อสค 36.5; อสค 39.4; อสค 39.23; อสค 43.19; อสค 44.30; อสค 45.16; อสค 46.16; อสค 46.17; อสค 46.18; อสค 47.14; ดนล 1.2; ดนล 2.38; ดนล 4.16; ดนล 7.4; ดนล 7.11; ดนล 7.14; ดนล 7.25; ดนล 7.27; ดนล 8.12; ดนล 8.13; ดนล 11.11; ดนล 11.21; ฮชย 9.13; อมส 1.6; อมส 1.9; อมส 6.8; อมส 9.15; อบด 1.14; มคา 1.14; มคา 4.13; มคา 5.3; มธ 5.25; มธ 10.17; มธ 10.19; มธ 10.21; มธ 11.27; มธ 16.19; มธ 18.34; มธ 20.19; มธ 20.23; มธ 24.9; มธ 25.20; มธ 25.22; มธ 26.15; มธ 27.2; มธ 27.18; มธ 27.26; มธ 27.58; มธ 28.18; มก 9.31; มก 10.33; มก 13.9; มก 13.11; มก 13.12; มก 13.34; มก 15.1; มก 15.10; มก 15.15; มก 15.45; ลก 4.6; ลก 7.15; ลก 9.44; ลก 10.22; ลก 10.35; ลก 12.58; ลก 16.11; ลก 16.12; ลก 18.32; ลก 19.13; ลก 20.10; ลก 20.20; ลก 21.12; ลก 22.29; ลก 23.25; ลก 24.7; ลก 24.20; ยน 3.35; ยน 5.22; ยน 5.36; ยน 6.39; ยน 14.27; ยน 17.2; ยน 17.14; ยน 17.22; ยน 18.30; ยน 18.35; ยน 19.11; ยน 19.16; กจ 2.23; กจ 3.13; กจ 9.41; กจ 15.23; กจ 15.30; กจ 16.4; กจ 21.11; กจ 23.33; กจ 25.11; กจ 25.16; กจ 27.1; กจ 28.16; กจ 28.17; รม 3.2; รม 4.25; รม 6.17; รม 12.19; รม 15.28; 1คร 5.5; 1คร 9.17; 1คร 11.2; 1คร 11.23; 1คร 13.3; 1คร 15.24; 2คร 4.2; 2คร 4.11; 2คร 5.19; 2คร 8.5; กท 2.7; อฟ 5.27; คส 1.25; 1ธส 2.4; 1ทธ 1.11; 1ทธ 1.20; 2ทธ 1.12; 2ทธ 2.2; ทต 1.3; ฮบ 2.5; ฮบ 2.8; 1ปต 2.23; 1ปต 3.22; ยด 1.3; วว 2.10; วว 2.24; วว 2.28; วว 11.2; วว 17.13; วว 17.17; วว 20.4

มอบหมาย ( 9 )
ปฐก 24.33 แล้วจัดอาหารมาเลี้ยงเขา แต่เขาว่า “ข้าพเจ้าจะไม่รับประทาน จนกว่าข้าพเจ้าจะพูดถึงธุระที่ข้าพเจ้าได้รับมอบหมายมานั้นให้ท่านฟังเสียก่อน” ลาบันก็ว่า “เชิญพูดเถิด”
ลนต 7.35 นี่เป็นส่วนจากการเจิมอาโรนและการเจิมบุตรชายของเขา ได้จากเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่พระเยโฮวาห์ มอบหมายให้แก่เขาทั้งหลายในวันที่เขาทั้งหลายถูกถวายให้ปรนนิบัติพระเยโฮวาห์ในตำแหน่งปุโรหิต
1ซมอ 21.2 ดาวิดจึงพูดกับอาหิเมเลคปุโรหิตว่า “กษัตริย์ทรงบัญชาข้าพเจ้าให้ทำเรื่องหนึ่งรับสั่งแก่ข้าพเจ้าว่า ‘อย่าบอกเรื่องซึ่งเราใช้เจ้าไปกระทำนั้นแก่ผู้ใดให้รู้เลย และด้วยเรื่องซึ่งเรามอบหมายแก่เจ้านั้น’ ข้าพเจ้าได้นัดหมายไว้กับพวกผู้รับใช้ ณ ที่แห่งหนึ่ง
2พศด 34.16 และชาฟานได้นำหนังสือไปถวายกษัตริย์ และต่อไปก็ทูลรายงานกษัตริย์ว่า “สิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงมอบหมายแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ให้กระทำนั้น เขากำลังกระทำอยู่แล้ว”
โยบ 34.13 ใครแต่งตั้งให้พระองค์ปกครองโลก หรือใครเล่ามอบหมายทั้งโลกไว้กับพระองค์
ยรม 41.10 แล้วอิชมาเอลก็จับคนทั้งหมดที่เหลืออยู่ในมิสปาห์ไปเป็นเชลย คือพวกราชธิดาและประชาชนทั้งปวงที่เหลืออยู่ที่มิสปาห์ ผู้ที่เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ได้มอบหมายให้แก่เกดาลิยาห์บุตรชายอาหิคัม อิชมาเอลบุตรชายเนธานิยาห์ได้จับเขาเป็นเชลย และออกเดินข้ามฟากไปหาคนอัมโมน
กจ 12.25 ฝ่ายบารนาบัสกับเซาโล เมื่อได้ทำภารกิจที่รับมอบหมายสำเร็จแล้ว จึงจากกรุงเยรูซาเล็มกลับไป พายอห์นผู้มีชื่ออีกว่ามาระโกไปด้วย
กจ 20.24 แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้ามิได้ถือว่าชีวิตของข้าพเจ้าเป็นสิ่งประเสริฐแก่ข้าพเจ้า แต่ในชีวิตของข้าพเจ้าขอทำหน้าที่ให้สำเร็จด้วยความปีติยินดี และทำการปรนนิบัติที่ได้รับมอบหมายจากพระเยซูเจ้า คือที่จะเป็นพยานถึงข่าวประเสริฐแห่งพระคุณของพระเจ้านั้น
กจ 26.12 ดังนั้นเมื่อข้าพระองค์กำลังไปยังเมืองดามัสกัส ได้ถืออำนาจและงานที่ได้รับมอบหมายจากพวกปุโรหิตใหญ่

มอบอำนาจ ( 4 )
สดด 8.6 พระองค์ทรงมอบอำนาจให้ครอบครองบรรดาพระหัตถกิจของพระองค์ พระองค์ทรงให้สิ่งทั้งปวงอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา
อสย 22.21 เราจะเอาเสื้อยศของเจ้ามาสวมให้เขา และจะเอาผ้าคาดของเจ้าคาดเขาไว้ และจะมอบอำนาจปกครองของเจ้าไว้ในมือของเขา และเขาจะเป็นดังบิดาแก่ชาวเยรูซาเล็มและแก่วงศ์วานยูดาห์
ยน 6.27 อย่าขวนขวายหาอาหารที่ย่อมเสื่อมสูญไป แต่จงหาอาหารที่ดำรงอยู่ถึงชีวิตนิรันดร์ซึ่งบุตรมนุษย์จะให้แก่ท่าน เพราะพระเจ้าคือพระบิดาได้ทรงประทับตรามอบอำนาจแก่พระบุตรแล้ว”
วว 7.2 แล้วข้าพเจ้าก็เห็นทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งปรากฏขึ้นมาจากทิศตะวันออก ถือดวงตราของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ และท่านได้ร้องประกาศด้วยเสียงอันดังแก่ทูตสวรรค์ทั้งสี่ ผู้ได้รับมอบอำนาจให้ทำอันตรายแก่แผ่นดินและทะเลนั้น

มอลตา ( 1 )
กจ 28.1 ครั้นรอดพ้นภัยแล้ว พวกเขาจึงรู้ว่าเกาะนั้นชื่อมอลตา

มะกอกเทศ ( 31 )
ปฐก 8.11 ในเวลาเย็นนกเขาก็กลับมายังท่าน ดูเถิด มันคาบใบมะกอกเทศเขียวสดมา ดังนั้นโนอาห์จึงรู้ว่า น้ำได้ลดลงจากแผ่นดินโลกแล้ว
อพย 23.11 แต่ปีที่เจ็ดนั้นจงงดเสีย ปล่อยให้นานั้นว่างอยู่ เพื่อให้คนจนในชนชาติของเจ้าเก็บกิน ส่วนที่เหลือนอกนั้นก็ให้สัตว์ป่ากิน ส่วนสวนองุ่นและสวนมะกอกเทศเจ้าจงกระทำเช่นเดียวกัน
อพย 27.20 เจ้าจงสั่งชนชาติอิสราเอลให้นำน้ำมันมะกอกเทศบริสุทธิ์ที่คั้นไว้นั้นมาสำหรับเติมประทีป เพื่อจะให้ประทีปนั้นส่องสว่างอยู่เสมอ
อพย 30.24 และการบูรห้าร้อยเชเขล ตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ และน้ำมันมะกอกเทศหนึ่งฮิน
ลนต 24.2 “เจ้าจงบัญชาแก่คนอิสราเอลให้นำน้ำมันอย่างบริสุทธิ์สกัดจากมะกอกเทศเพื่อเติมประทีป เพื่อให้ตะเกียงลุกอยู่เสมอ
พบญ 8.8 แผ่นดินที่มีข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์ เถาองุ่น ต้นมะเดื่อ ต้นทับทิม เป็นแผ่นดินที่มีน้ำมันมะกอกเทศและน้ำผึ้ง
พบญ 28.40 ท่านจะมีต้นมะกอกเทศอยู่ทั่วอาณาเขตของท่าน แต่ท่านจะไม่ได้น้ำมันมาชโลมตัวท่าน เพราะว่าผลมะกอกเทศของท่านจะร่วงหล่นเสีย
ยชว 24.13 เราได้ยกแผ่นดินซึ่งเจ้าไม่ได้เหนื่อยกายบนนั้น และยกเมืองซึ่งเจ้าทั้งหลายไม่ต้องสร้างให้แก่เจ้าและเจ้าทั้งหลายได้เข้าอยู่ เจ้าได้กินผลของสวนองุ่นและสวนมะกอกเทศซึ่งเจ้าไม่ต้องปลูก’
1ซมอ 8.14 พระองค์จะเอานา สวนองุ่นและสวนมะกอกเทศที่ดีที่สุดของเจ้าให้แก่ข้าราชการของพระองค์
2ซมอ 15.30 ฝ่ายดาวิดเสด็จขึ้นไปตามทางขึ้นภูเขามะกอกเทศ เสด็จพลางกันแสงพลาง คลุมพระเศียรเสด็จโดยพระบาทเปล่า และประชาชนทั้งสิ้นที่อยู่กับพระองค์ก็คลุมศีรษะเดินขึ้นไปพลางร้องไห้พลาง
2พกษ 18.32 จนเราจะมานำเจ้าไปยังแผ่นดินที่เหมือนแผ่นดินของเจ้าเอง เป็นแผ่นดินที่มีข้าวและน้ำองุ่น เป็นแผ่นดินที่มีขนมปังและสวนองุ่น เป็นแผ่นดินที่มีน้ำมันมะกอกเทศและน้ำผึ้ง เพื่อเจ้าทั้งหลายจะมีชีวิตอยู่และไม่ตาย และอย่าฟังเฮเซคียาห์เมื่อเขานำเจ้าผิดไปโดยกล่าวว่า “พระเยโฮวาห์จะทรงช่วยเราทั้งหลายให้พ้น”
นหม 5.11 ในวันนี้ ขอจงคืนมา ไร่นา สวนองุ่น สวนมะกอกเทศ และเรือนของเขา และส่วนร้อยของเงิน ข้าว น้ำองุ่น และน้ำมัน ซึ่งท่านได้รีดเอาจากเขานั้นเสีย”
นหม 8.15 และเขาควรจะประกาศและป่าวร้องในหัวเมืองทั้งปวง และในเยรูซาเล็มว่า “จงออกไปที่ภูเขา และนำกิ่งมะกอกเทศ กิ่งไม้สน กิ่งต้นน้ำมันเขียว ใบอินทผลัม และกิ่งไม้ใบดกอื่นๆ เพื่อทำเพิง ดังที่ได้เขียนไว้”
นหม 9.25 และเขาจึงเข้ายึดหัวเมืองที่มีป้อม และแผ่นดินอุดม และถือกรรมสิทธิ์เรือนซึ่งเต็มด้วยของดีทั้งปวง ทั้งที่ขังน้ำซึ่งสกัดไว้ สวนองุ่น สวนมะกอกเทศ และต้นผลไม้มากมาย เขาจึงได้กินอิ่มจนอ้วน และปีติยินดีในพระคุณยิ่งของพระองค์
สดด 128.3 ภรรยาของท่านจะเป็นอย่างเถาองุ่นลูกดกอยู่ข้างบ้านของท่าน ลูกๆของท่านจะเป็นเหมือนหน่อมะกอกเทศรอบโต๊ะของท่าน
มคา 6.15 เจ้าจะหว่าน แต่เจ้าจะไม่ได้เกี่ยว เจ้าจะย่ำบีบมะกอกเทศ แต่จะไม่ได้ชโลมตัวเองด้วยน้ำมัน เจ้าจะย่ำองุ่น แต่จะไม่ได้ดื่มน้ำองุ่น
ศคย 14.4 ในวันนั้นพระบาทของพระองค์จะยืนอยู่ที่ภูเขามะกอกเทศ ซึ่งอยู่หน้าเมืองเยรูซาเล็มด้านตะวันออก และภูเขามะกอกเทศนั้นจะแยกออกตรงกลางจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก โดยมีหุบเขากว้างมากคั่นอยู่ ภูเขาครึ่งหนึ่งจึงจะถอยไปทางเหนือ และอีกครึ่งหนึ่งจะถอยไปทางใต้
มธ 21.1 ครั้นพระองค์กับพวกสาวกมาใกล้กรุงเยรูซาเล็ม ถึงหมู่บ้านเบธฟายี เชิงภูเขามะกอกเทศ แล้วพระเยซูทรงใช้สาวกสองคน
มธ 24.3 เมื่อพระองค์ประทับบนภูเขามะกอกเทศ พวกสาวกมาเฝ้าพระองค์ส่วนตัวกราบทูลว่า “ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ทั้งหลายทราบว่า เหตุการณ์เหล่านี้จะบังเกิดขึ้นเมื่อไร สิ่งไรเป็นหมายสำคัญว่าพระองค์จะเสด็จมา และวาระสุดท้ายของโลกนี้”
มธ 26.30 เมื่อพวกเขาร้องเพลงสรรเสริญแล้ว เขาก็พากันออกไปยังภูเขามะกอกเทศ
มก 11.1 ครั้นพระองค์กับพวกสาวกมาใกล้กรุงเยรูซาเล็ม ถึงหมู่บ้านเบธฟายี และหมู่บ้านเบธานีเชิงภูเขามะกอกเทศ พระองค์ทรงใช้สาวกสองคน
มก 13.3 เมื่อพระองค์ประทับบนภูเขามะกอกเทศตรงหน้าพระวิหาร เปโตร ยากอบ ยอห์นและอันดรูว์มากราบทูลถามพระองค์ส่วนตัวว่า
มก 14.26 เมื่อร้องเพลงสรรเสริญแล้ว พระองค์กับเหล่าสาวกก็พากันออกไปยังภูเขามะกอกเทศ
ลก 19.29 ต่อมาเมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้หมู่บ้านเบธฟายีและหมู่บ้านเบธานีบนภูเขาซึ่งเรียกว่า มะกอกเทศ พระองค์ทรงใช้สาวกสองคนของพระองค์ไป
ลก 19.37 เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้ที่ซึ่งจะลงไปจากภูเขามะกอกเทศแล้ว เหล่าสาวกทุกคนมีความเปรมปรีดิ์เพราะบรรดามหกิจซึ่งเขาได้เห็นนั้น จึงเริ่มสรรเสริญพระเจ้าเสียงดัง
ลก 21.37 กลางวันพระองค์ทรงสั่งสอนในพระวิหาร และกลางคืนก็เสด็จออกไปประทับที่ภูเขาชื่อมะกอกเทศ
ลก 22.39 ฝ่ายพระองค์เสด็จออกไปยังภูเขามะกอกเทศตามเคย และเหล่าสาวกของพระองค์ก็ตามพระองค์ไปด้วย
ยน 8.1 แต่พระเยซูเสด็จไปยังภูเขามะกอกเทศ
กจ 1.12 แล้วอัครสาวกจึงลงจากภูเขามะกอกเทศ ซึ่งอยู่ใกล้กรุงเยรูซาเล็มระยะทางเท่ากับระยะที่อนุญาตให้คนเดินในวันสะบาโต กลับไปกรุงเยรูซาเล็ม
ยก 3.12 พี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้า ต้นมะเดื่อจะออกผลเป็นมะกอกเทศได้หรือ หรือเถาองุ่นจะออกผลเป็นมะเดื่อได้หรือ เช่นเดียวกันไม่มีบ่อน้ำพุใดจะให้ทั้งน้ำเค็มและน้ำจืดได้

มะเขือดูดาอิม ( 6 )
ปฐก 30.14 ในฤดูเกี่ยวข้าวสาลี รูเบนออกไปที่นาพบมะเขือดูดาอิม จึงเก็บผลมาให้นางเลอาห์มารดา ราเชลจึงพูดกับเลอาห์ว่า “ขอมะเขือดูดาอิมของบุตรชายของพี่ให้ฉันบ้าง”
ปฐก 30.15 นางเลอาห์ตอบนางว่า “ที่น้องแย่งสามีของฉันไปแล้วนั้นยังน้อยไปหรือจึงจะมาเอามะเขือดูดาอิมของบุตรชายฉันด้วย” ราเชลตอบว่า “ฉะนั้นถ้าให้มะเขือดูดาอิมของบุตรชายแก่ฉัน คืนวันนี้เขาจะไปนอนกับพี่”
ปฐก 30.16 และยาโคบกลับมาจากนาเวลาเย็น นางเลอาห์ก็ออกไปต้อนรับเขาบอกว่า “จงเข้ามาหาฉันเถิด เพราะฉันให้มะเขือดูดาอิมของบุตรชายเป็นสินจ้างท่านแล้ว” คืนวันนั้นยาโคบก็นอนกับนาง
พซม 7.13 โอ ที่รักของดิฉันจ๋า ผลมะเขือดูดาอิมส่งกลิ่นหอมฟุ้งไป แล้วที่ประตูบ้านของพวกดิฉันมีผลไม้อร่อยนานาชนิด มีทั้งผลใหม่และผลเก่าที่ดิฉันได้เก็บรวบรวมไว้สำหรับเธอ

มะเดื่อ ( 20 )
ปฐก 3.7 ตาของเขาทั้งสองก็สว่างขึ้น เขาจึงรู้ว่าเขาเปลือยกายอยู่ และเขาทั้งสองก็เอาใบมะเดื่อมาเย็บเป็นเครื่องปกปิดอวัยวะส่วนล่างของเขาไว้
กดว 13.23 เขาทั้งหลายมาถึงลำธารเอชโคล์ ที่นั่นเขาตัดองุ่นกิ่งหนึ่งมีองุ่นพวงหนึ่ง สองคนใช้ไม้คานหามมา เขาเก็บผลทับทิมและมะเดื่อมาบ้าง
กดว 20.5 และทำไมท่านจึงให้เราออกจากอียิปต์ นำเรามายังที่เลวทรามนี้ เป็นที่ซึ่งไม่มีพืช ไม่มีมะเดื่อ องุ่นหรือทับทิม และไม่มีน้ำดื่ม”
1ซมอ 25.18 แล้วนางอาบีกายิลก็รีบจัดขนมปังสองร้อยก้อน และน้ำองุ่นสองถุงหนัง และแกะที่ทำเสร็จแล้วห้าตัว และข้าวคั่วห้าถัง และองุ่นแห้งร้อยช่อ และขนมมะเดื่อสองร้อยแผ่นบรรทุกหลังลา
1ซมอ 30.12 และให้ขนมมะเดื่อแผ่นหนึ่งกับช่อองุ่นแห้งสองช่อ เมื่อเขารับประทานแล้ว จิตใจของเขาก็ฟื้นขึ้น เพราะเขาไม่ได้รับประทานขนมปังหรือดื่มน้ำมาสามวันสามคืนแล้ว
2พกษ 20.7 และอิสยาห์บอกว่า “เอาขนมมะเดื่อมาอันหนึ่ง” เขาก็เอามาวางไว้บนพระยอดนั้น พระองค์จึงทรงหายเป็นปกติ
1พศด 12.40 ยิ่งกว่านั้นผู้ที่อยู่ใกล้เขาทั้งหลายด้วยคือไกลออกไปถึงอิสสาคาร์ และเศบูลุน และนัฟทาลีได้จัดอาหารบรรทุกลา อูฐ ล่อ และวัว กับเสบียงอาหารมากมายเป็นแป้ง ขนมมะเดื่อ ช่อองุ่นแห้ง น้ำองุ่น น้ำมัน วัวและแกะ เพราะว่ามีความชื่นบานในอิสราเอล
นหม 13.15 ครั้งนั้นในยูดาห์ ข้าพเจ้าเห็นคนย่ำน้ำองุ่นในวันสะบาโต และนำฟ่อนข้าวเข้ามาบรรทุกหลังลา ทั้งน้ำองุ่น ผลองุ่น มะเดื่อ และภาระทุกอย่าง ซึ่งเขานำมายังเยรูซาเล็มในวันสะบาโต ข้าพเจ้าได้ตักเตือนเขาในวันที่เขาทั้งหลายขายอาหาร
อสย 34.4 บริวารทั้งสิ้นของฟ้าสวรรค์จะละลายไป และท้องฟ้าก็จะม้วนเหมือนหนังสือม้วน บริวารทั้งสิ้นของมันจะร่วงหล่นเหมือนใบไม้หล่นจากเถาองุ่น อย่างมะเดื่อหล่นจากต้นมะเดื่อ
อสย 38.21 ฝ่ายอิสยาห์ได้กล่าวว่า “ให้เขาเอาขนมมะเดื่อมาแผ่นหนึ่ง และแปะไว้ที่พระยอดเพื่อพระองค์จะฟื้น”
ยรม 24.1 หลังจากเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้จับเยโคนิยาห์ราชบุตรของเยโฮยาคิมกษัตริย์แห่งยูดาห์ไปเป็นเชลยเสียจากเยรูซาเล็ม พร้อมกับเจ้านายแห่งยูดาห์ ทั้งพวกช่างไม้และช่างเหล็ก และนำเขามายังกรุงบาบิโลนแล้ว พระเยโฮวาห์ก็ทรงสำแดงนิมิตแก่ข้าพเจ้าดังนี้ ดูเถิด มีกระจาดสองลูกใส่มะเดื่อ วางไว้หน้าพระวิหารของพระเยโฮวาห์
ยรม 24.2 กระจาดลูกหนึ่งมีมะเดื่ออย่างดีนัก เหมือนมะเดื่อที่สุกต้นฤดู แต่กระจาดอีกลูกหนึ่งนั้นมีมะเดื่ออย่างเลวทีเดียว เลวจนรับประทานไม่ได้
ยรม 24.3 และพระเยโฮวาห์ตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า “เยเรมีย์เอ๋ย เจ้าเห็นอะไร” ข้าพเจ้าทูลตอบว่า “เห็นมะเดื่อที่ดีก็ดีมาก และที่เลวก็เลวมาก เลวจนรับประทานไม่ได้ พระเจ้าข้า”
ยรม 24.5 “พระเยโฮวาห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า ก็เหมือนอย่างมะเดื่อที่ดีเหล่านี้แหละ เราจะถือว่าพวกเหล่านั้นที่ถูกกวาดไปจากยูดาห์ยังดีอยู่ คือผู้ที่เราได้ส่งไปจากสถานที่นี้ไปสู่แผ่นดินของชาวเคลเดีย
ยรม 24.8 แต่พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “เหมือนอย่างมะเดื่อที่เลว ซึ่งเลวมากจนรับประทานไม่ได้นั้น เราจะกระทำต่อเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ ทั้งเจ้านายของเขา และชาวเยรูซาเล็มที่เหลืออยู่ ผู้ซึ่งยังค้างอยู่ในแผ่นดินนี้ และผู้ที่ยังอาศัยอยู่ในประเทศอียิปต์
ยรม 29.17 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะส่งดาบ การกันดารอาหาร และโรคระบาดมาเหนือเขาทั้งหลาย และเราจะกระทำให้เขาทั้งหลายเหมือนกับมะเดื่อที่เสียซึ่งเลวมากจนเขารับประทานไม่ได้
มก 11.20 ครั้นเวลาเช้า เมื่อพระองค์กับเหล่าสาวกได้ผ่านที่นั้นไป ก็ได้เห็นมะเดื่อต้นนั้นเหี่ยวแห้งไปจนถึงราก
ยก 3.12 พี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้า ต้นมะเดื่อจะออกผลเป็นมะกอกเทศได้หรือ หรือเถาองุ่นจะออกผลเป็นมะเดื่อได้หรือ เช่นเดียวกันไม่มีบ่อน้ำพุใดจะให้ทั้งน้ำเค็มและน้ำจืดได้

มะรืน ( 1 )
ลก 13.33 แต่ว่าจำเป็นซึ่งเราจะเดินไปวันนี้ พรุ่งนี้ และมะรืนนี้ เพราะว่าศาสดาพยากรณ์จะถูกฆ่านอกกรุงเยรูซาเล็มก็หามิได้

มัก ( 46 )
กดว 15.39 เพื่อเจ้าจะมองดูพู่นั้น และจดจำพระบัญญัติทั้งสิ้นของพระเยโฮวาห์ และปฏิบัติตาม เพื่อเจ้าจะไม่กระทำอะไรตามความพอใจพอตาของเจ้าซึ่งเจ้ามักหลงตามนั้น
พบญ 9.7 จงจำไว้และอย่าลืมเสียว่าพวกท่านได้กระทำให้พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านพิโรธที่ในถิ่นทุรกันดาร ตั้งแต่วันที่ท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ กระทั่งท่านมาถึงที่นี่ ท่านมักกบฏต่อพระเยโฮวาห์อยู่
อสร 4.12 บัดนี้ขอกษัตริย์ทรงทราบว่า พวกยิวซึ่งมาจากพระองค์มาหาข้าพระองค์นั้นได้ไปยังเยรูซาเล็ม เขากำลังก่อสร้างเมืองที่มักกบฏและชั่วร้ายขึ้นใหม่ เขากำลังจะทำกำแพงเมืองเสร็จและซ่อมแซมรากฐาน
อสร 4.15 เพื่อว่าจะได้ค้นดูในหนังสือบันทึกของบรรพบุรุษของพระองค์ พระองค์จะพบในหนังสือบันทึกแล้วทราบว่าเมืองนี้เป็นเมืองมักกบฏ เป็นภยันตรายแก่บรรดากษัตริย์และมณฑลทั้งหลาย และได้มีการปลุกปั่นขึ้นจากสมัยเก่าก่อน เพราะเหตุนี้เองเมืองนี้จึงถูกทิ้งร้าง
โยบ 40.2 “คนมักติจะโต้แย้งกับองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์หรือ เขาผู้โต้แย้งกับพระเจ้า ขอให้เขาตอบหน่อยเถอะ”
สดด 78.8 และเพื่อเขาจะมิได้เหมือนบรรพบุรุษของเขา คือชั่วอายุที่ดื้อดึงและมักกบฏ ชั่วอายุที่จิตใจไม่มั่นคง ผู้ซึ่งจิตวิญญาณของเขาไม่มั่นคงต่อพระเจ้า
สดด 95.10 เราจึงเคืองคนชั่วอายุนั้นอยู่สี่สิบปีและว่า “เขาเป็นชนชาติที่มีใจมักหลงผิด เขาไม่รู้จักทางทั้งหลายของเรา”
สดด 106.43 พระองค์ทรงช่วยท่านให้พ้นหลายครั้ง แต่ท่านมักกบฏในจุดประสงค์ของท่าน และถูกเหยียดลงด้วยความชั่วช้าของท่าน
สภษ 3.34 แน่นอนพระองค์ทรงเยาะเย้ยคนที่มักเยาะเย้ย แต่พระองค์ทรงประทานพระคุณแก่คนที่ใจถ่อม
สภษ 19.2 แล้วการที่จิตใจคนไม่มีความรู้ก็ไม่ดี และบุคคลที่เร่งเท้าหนักก็มักพลาดผิด
สภษ 19.25 จงตีคนที่มักเยาะเย้ย และคนเขลาจะเรียนความหยั่งรู้เอง จงตักเตือนคนที่มีความเข้าใจและเขาจะเข้าใจความรู้
สภษ 22.24 อย่าเป็นมิตรกับคนที่มักโกรธ หรือไปกับคนขี้โมโห
สภษ 26.21 ถ่านเป็นเชื้อเพลิง และฟืนเป็นเชื้อไฟฉันใด คนที่มักทะเลาะวิวาทก็เป็นเชื้อการวิวาทฉันนั้น
สภษ 29.13 คนยากจนและคนหลอกลวงมักมาประจัญหน้ากันเสมอ และพระเยโฮวาห์ประทานความสว่างแก่ตาของคนทั้งสอง
สภษ 29.22 คนเจ้าโมโหย่อมเร้าการวิวาท และคนที่มักโกรธก็เป็นเหตุให้มีการละเมิดมากขึ้น
ปญจ 10.3 แม้เมื่อคนเขลากำลังเดินไปตามทาง เขาก็ขาดสำนึก และตัวเขามักแสดงแก่ทุกคนว่าตนเป็นคนเขลา
อสย 18.2 ซึ่งส่งทูตไปโดยทางทะเล โดยเรือต้นกกบนน้ำ กล่าวว่า “เจ้าผู้สื่อสารที่รวดเร็วเอ๋ย จงไปยังประชาชาติที่ถูกกระจัดกระจายและถูกปอกเปลือก ยังชนชาติที่เขากลัวตั้งแต่แรก ยังประชาชาติที่เข้มแข็งและมักชนะ ซึ่งแผ่นดินของเขามีแม่น้ำแบ่ง”
อสย 18.7 ในครั้งนั้น เขาจะนำของกำนัลมาถวายแด่พระเยโฮวาห์จอมโยธาจากชนชาติที่ถูกกระจัดกระจายและถูกปอกเปลือก จากชนชาติที่เขากลัวตั้งแต่แรก จากประชาชาติที่เข้มแข็งและมักชนะ ซึ่งแผ่นดินของเขามีแม่น้ำแบ่ง ยังสถานที่แห่งพระนามของพระเยโฮวาห์จอมโยธา คือภูเขาศิโยน
อสย 65.2 เรายื่นมือของเราออกตลอดวันต่อชนชาติที่มักกบฏ ผู้ดำเนินในทางที่ไม่ดี ติดตามอุบายของตนเอง
ยรม 6.28 เขาทั้งหลายมักกบฏอย่างดื้อด้านทั้งสิ้น เที่ยวนินทาเขาไป เขาทั้งหลายเป็นทองสัมฤทธิ์ และเป็นเหล็ก เขาทุกคนประพฤติเลวทรามทั้งนั้น
ยรม 9.2 โอ ถ้าข้าพเจ้ามีที่พักสำหรับคนเดินทางอยู่ที่ในถิ่นทุรกันดารก็จะดี เพื่อข้าพเจ้าจะได้พรากจากชนชาติของข้าพเจ้า และไปให้พ้นเขาเสีย เพราะเขาทั้งหลายเป็นคนล่วงประเวณีทั้งหมด และเป็นหมู่คนที่มักทรยศ
พคค 1.20 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ โปรดทอดพระเนตร เพราะข้าพระองค์มีความทุกข์ จิตใจของข้าพระองค์มีความทุรนทุราย จิตใจของข้าพระองค์ยุ่งเหยิงเพราะข้าพระองค์มักกบฏอย่างร้ายกาจ นอกบ้านมีคนต้องคมดาบตาย ในบ้านก็เหมือนมฤตยู
อสค 2.3 และพระองค์ตรัสสั่งข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เราส่งเจ้าไปยังคนอิสราเอล ถึงประชาชาติที่มักกบฏ ผู้ซึ่งได้กบฏต่อเรา ทั้งตัวเขาและบรรพบุรุษของเขาได้ละเมิดต่อเราจนกระทั่งวันนี้
อสค 2.5 เขาจะฟังหรือปฏิเสธไม่ฟังก็ตาม (เพราะว่าเขาเป็นวงศ์วานที่มักกบฏ) เขาก็จะทราบว่า ได้มีผู้พยากรณ์คนหนึ่งในหมู่พวกเขาแล้ว
อสค 2.6 เจ้า บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าอย่ากลัวเขา หรืออย่าเกรงคำพูดของเขา ถึงแม้ว่าหนามย่อยหนามใหญ่อยู่กับเจ้า และเจ้าอยู่ท่ามกลางแมลงป่อง อย่าเกรงคำพูดของเขาเลย อย่าท้อถอยเมื่อเห็นหน้าเขา เพราะเขาเป็นวงศ์วานที่มักกบฏ
อสค 2.7 และเจ้าจะกล่าวถ้อยคำของเราให้เขาฟัง เขาจะฟังหรือปฏิเสธไม่ฟังก็ตามเถอะ เพราะเขาเป็นผู้ที่มักกบฏ
อสค 2.8 บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ฝ่ายเจ้าจงฟังสิ่งที่เรากล่าวแก่เจ้า อย่าเป็นคนมักกบฏอย่างวงศ์วานที่มักกบฏนั้น จงอ้าปากขึ้นและกินสิ่งที่เราให้เจ้า”
อสค 3.9 เราได้กระทำให้หน้าผากของเจ้าแข็งขันอย่างเพชรที่แข็งกว่าหินเหล็กไฟ อย่ากลัวเขาเลย อย่าท้อถอยเมื่อเห็นหน้าเขา เพราะเขาเป็นวงศ์วานที่มักกบฏ”
อสค 3.26 และเราจะกระทำให้ลิ้นของเจ้าติดกับเพดานปากของเจ้า ดังนั้นเจ้าจะเป็นใบ้ ไม่สามารถว่ากล่าวเขาได้ เพราะว่าเขาทั้งหลายเป็นวงศ์วานที่มักกบฏ
อสค 3.27 แต่เมื่อเราพูดกับเจ้า เราจะให้เจ้าหายใบ้ และเจ้าจะกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า’ ผู้ที่จะฟังก็ให้เขาได้ฟัง และผู้ที่จะปฏิเสธไม่ฟังก็ให้เขาปฏิเสธ เพราะเขาทั้งหลายเป็นวงศ์วานที่มักกบฏ”
อสค 12.2 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าอาศัยอยู่ท่ามกลางวงศ์วานที่มักกบฏ ผู้มีตาเพื่อดู แต่ดูไม่เห็น ผู้มีหูเพื่อฟัง แต่ฟังไม่ได้ยิน เพราะเขาทั้งหลายเป็นวงศ์วานที่มักกบฏ
อสค 12.3 เพราะฉะนั้น บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงจัดเตรียมข้าวของสำหรับตนเพื่อการถูกกวาดไปเป็นเชลย และจงไปเป็นเชลยในเวลากลางวันท่ามกลางสายตาของเขา เจ้าจะต้องไปเป็นเชลยจากสถานที่ของเจ้าไปยังอีกที่หนึ่งในสายตาของเขา บางทีเขาอาจจะพินิจพิเคราะห์ดูได้ แม้ว่าเขาเป็นวงศ์วานที่มักกบฏ
อสค 12.9 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย วงศ์วานอิสราเอลคือวงศ์วานที่มักกบฏนั้น ได้พูดกับเจ้ามิใช่หรือว่า ‘เจ้าทำอะไร’
อสค 12.25 แต่เราคือพระเยโฮวาห์จะพูดคำที่เราจะพูด และจะต้องเป็นไปตามคำนั้น จะไม่ล่าช้าต่อไปอีก แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า โอ วงศ์วานที่มักกบฏเอ๋ย ในสมัยของเจ้านี่แหละ เราจะลั่นวาจาและจะกระทำตามนั้น’”
อสค 17.12 “บัดนี้จงกล่าวแก่วงศ์วานที่มักกบฏนั้นว่า ท่านทั้งหลายไม่ทราบหรือว่า สิ่งเหล่านี้มีความหมายว่ากระไร จงบอกเขาว่า ดูเถิด กษัตริย์กรุงบาบิโลนได้มายังกรุงเยรูซาเล็ม และกวาดเอากษัตริย์และเจ้านายทั้งหลายพามายังกษัตริย์ที่กรุงบาบิโลน
อสค 24.3 และจงกล่าวคำอุปมาแก่วงศ์วานที่มักกบฏ และพูดกับเขาว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า จงตั้งหม้อไว้ ตั้งไว้ซิ เทน้ำใส่หม้อด้วย
อสค 44.6 แล้วจงบอกแก่วงศ์วานที่มักกบฏ คือวงศ์วานอิสราเอลว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า โอ วงศ์วานอิสราเอลเอ๋ย ขอให้การที่น่าสะอิดสะเอียนทั้งสิ้นของเจ้าสิ้นสุดเสียทีเถิด
ลก 9.39 และ ดูเถิด ผีมักจะเข้าสิงเขา เด็กก็โห่ร้องขึ้นทันที ผีทำให้เด็กนั้นชักดิ้น น้ำลายฟูมปาก ทำให้ตัวฟกช้ำ ไม่ใคร่ออกจากเขาเลย
รม 2.8 แต่พระองค์จะทรงพระพิโรธ และลงพระอาชญาแก่คนที่มักยกตนข่มท่านและไม่เชื่อฟังความจริง แต่เชื่อฟังความอธรรม
1คร 11.17 แล้วในการให้คำสั่งต่อไปนี้ ข้าพเจ้าชมท่านไม่ได้ คือว่าการประชุมของท่านนั้นมักจะได้ผลเสียมากกว่าผลดี
1ทธ 3.3 ไม่ดื่มเหล้าองุ่น ไม่เป็นนักเลง ไม่เป็นคนโลภมักได้ แต่เป็นคนสุภาพ ไม่เป็นคนชอบวิวาท ไม่เป็นคนเห็นแก่เงิน
1ทธ 3.8 ฝ่ายผู้ช่วยนั้นก็เช่นเดียวกัน คือต้องเป็นคนสง่าผ่าเผย ไม่เป็นคนสองลิ้น ไม่สนใจเหล้าองุ่นมาก ไม่เป็นคนโลภมักได้
ทต 1.7 เพราะว่าศิษยาภิบาลนั้น ในฐานะที่เป็นผู้รับมอบฉันทะจากพระเจ้า ต้องเป็นคนที่ไม่มีข้อตำหนิ ไม่เป็นคนเย่อหยิ่ง ไม่เป็นคนเลือดร้อน ไม่เป็นนักเลงสุรา ไม่เป็นนักเลงหัวไม้ และไม่เป็นคนโลภมักได้
ฮบ 12.1 เหตุฉะนั้น ครั้นเรามีพยานหมู่ใหญ่อย่างนั้นอยู่รอบข้าง ให้เราทิ้งของหนักทุกสิ่งที่ขัดข้องอยู่ และการผิดที่เรามักง่ายกระทำนั้น และการวิ่งแข่งกันที่กำหนดไว้สำหรับเรานั้น ให้เราวิ่งด้วยความเพียรพยายาม
ยด 1.16 คนเหล่านี้มักเป็นคนบ่น เป็นคนโพนทะนา เป็นคนดำเนินตามตัณหาอันชั่วของตัว และปากเขากล่าวคำโอ้อวดต่างๆ เป็นคนยกยอผู้อื่นเพื่อหวังประโยชน์ของตน

มักเคดาห์ ( 9 )
ยชว 10.10 พระเยโฮวาห์ทรงกระทำให้เขาสะดุ้งแตกตื่นต่อหน้าพวกอิสราเอล พระองค์ได้ทรงฆ่าเขาเสียมากมายที่กิเบโอน และไล่ติดตามเขาไปในทางที่ขึ้นไปถึงเบธโฮโรน และตามฆ่าเขาจนถึงเมืองอาเซคาห์ และเมืองมักเคดาห์
ยชว 10.16 กษัตริย์ทั้งห้านั้นหนีไปซ่อนตัวอยู่ในถ้ำมักเคดาห์
ยชว 10.17 มีคนไปบอกโยชูวาว่า “มีคนพบกษัตริย์ทั้งห้าซ่อนตัวอยู่ในถ้ำที่มักเคดาห์”
ยชว 10.21 ประชาชนทั้งปวงก็กลับมาหาโยชูวา ณ ค่ายที่มักเคดาห์โดยสันติภาพทุกคน หามีผู้ใดกล้ากระดิกลิ้นถึงคนอิสราเอลต่อไปไม่
ยชว 10.28 ในวันนั้นโยชูวายึดเมืองมักเคดาห์ได้ ได้ประหารเมืองนั้นเสียด้วยคมดาบ ทั้งกษัตริย์ของเมืองนั้น ท่านได้ทำลายเขาเสียอย่างสิ้นเชิง รวมทุกชีวิตที่อยู่ในเมือง ไม่มีเหลือสักคนเดียว และท่านได้กระทำแก่กษัตริย์มักเคดาห์อย่างที่ท่านได้กระทำแก่กษัตริย์เมืองเยรีโค
ยชว 10.29 แล้วโยชูวาและบรรดาคนอิสราเอลก็ยกกองทัพจากเมืองมักเคดาห์มาถึงลิบนาห์ และเข้าสู้รบกับเมืองลิบนาห์
ยชว 12.16 กษัตริย์เมืองมักเคดาห์องค์หนึ่ง กษัตริย์เมืองเบธเอลองค์หนึ่ง
ยชว 15.41 เกเดโรท เบธดาโกน นาอามาห์และเมืองมักเคดาห์ รวมเป็นสิบหกหัวเมืองกับชนบทของเมืองนั้นๆด้วย

มักดาลา ( 2 )
มธ 15.39 พระองค์ตรัสสั่งให้ประชาชนไปแล้ว ก็เสด็จลงเรือมาถึงเขตเมืองมักดาลา
ยน 20.18 มารีย์มักดาลาจึงไปบอกพวกสาวกว่า เธอได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว และพระองค์ได้ตรัสคำเหล่านั้นกับเธอ

มักดีเอล ( 2 )
ปฐก 36.43 เจ้านายมักดีเอล และเจ้านายอิราม คนเหล่านี้เป็นเจ้านายของเอโดม คือเอซาวบิดาของคนเอโดม ตามที่อยู่ของท่าน ในแผ่นดินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของท่าน
1พศด 1.54 เจ้านายมักดีเอล และเจ้านายอิราม คนเหล่านี้เป็นเจ้านายของเอโดม

มักเทช ( 1 )
ศฟย 1.11 ชาวตำบลมักเทชเอ๋ย จงร่ำไห้เถิด เพราะพ่อค้าทั้งปวงก็ถูกโค่นลงเสียแล้ว บรรดาผู้ที่ค้าขายกับเงินก็ถูกขจัดเสียแล้ว

มักปีอาช ( 1 )
นหม 10.20 มักปีอาช เมชุลลาม เฮซีร์

มักมาก ( 1 )
อสค 16.26 เจ้าได้เล่นชู้กับคนอียิปต์ ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านที่มักมากของเจ้า ทวีการเล่นชู้ของเจ้าเพื่อกระทำให้เรากริ้ว

มักใหญ่ใฝ่สูง ( 1 )
2คร 12.20 เพราะว่าข้าพเจ้าเกรงว่าเมื่อข้าพเจ้ามาถึง ข้าพเจ้าอาจจะไม่เห็นพวกท่านเป็นเหมือนอย่างที่ข้าพเจ้าอยากเห็น และท่านจะไม่เห็นข้าพเจ้าเหมือนอย่างที่ท่านอยากเห็น คือเกรงว่าไม่เหตุใดก็เหตุหนึ่ง จะมีการวิวาทกัน ริษยากัน โกรธกัน มักใหญ่ใฝ่สูง นินทากัน ซุบซิบส่อเสียดกัน จองหองพองตัว และเกะกะวุ่นวายกัน

มักเฮโลท ( 2 )
กดว 33.25 และเขายกเดินจากฮาราดาห์ และตั้งค่ายที่มักเฮโลท
กดว 33.26 และเขายกเดินจากมักเฮโลทและตั้งค่ายที่ทาหัท

มัคนาเดบัย ( 1 )
อสร 10.40 มัคนาเดบัย ชาชัย ชารัย

มัคบันนัย ( 1 )
1พศด 12.13 เยเรมีย์ที่สิบ มัคบันนัยที่สิบเอ็ด

มัคเบนาห์ ( 1 )
1พศด 2.49 นางคลอดบุตรชื่อชาอัฟ ผู้เป็นบิดาของมัดมันนาห์ เชวาผู้เป็นบิดาของมัคเบนาห์ และบิดาของกิเบอาด้วย บุตรสาวของคาเลบชื่ออัคสาห์

มัคเป-ลาห์ ( 6 )
ปฐก 23.9 ขอให้เขาให้ถ้ำมัคเป-ลาห์ ซึ่งเขาถือกรรมสิทธิ์นั้นแก่ข้าพเจ้า มันอยู่ที่ปลายนาของเขา ขอให้เขาขายให้ข้าพเจ้าเต็มตามราคาให้เป็นกรรมสิทธิ์สำหรับใช้เป็นสุสานท่ามกลางหมู่พวกท่าน”
ปฐก 23.17 นาของเอโฟรนในมัคเป-ลาห์ ซึ่งอยู่หน้ามัมเร มีนากับถ้ำซึ่งอยู่ในนั้น และต้นไม้ทั้งสิ้นซึ่งอยู่ในนาตลอดทั่วบริเวณนั้น จึงได้ขาย
ปฐก 23.19 ต่อมาอับราฮัมก็ฝังศพนางซาราห์ภรรยาของตน ในถ้ำที่นามัคเป-ลาห์หน้ามัมเร คือเมืองเฮโบรน ในแผ่นดินคานาอัน
ปฐก 25.9 อิสอัคและอิชมาเอลบุตรชายของท่านก็ฝังท่านไว้ในถ้ำมัคเป-ลาห์ ในนาของเอโฟรนบุตรชายของโศหาร์คนฮิตไทต์ซึ่งอยู่หน้ามัมเร
ปฐก 49.30 ในถ้ำที่อยู่ในนาชื่อมัคเป-ลาห์ หน้ามัมเรในแผ่นดินคานาอัน ซึ่งอับราฮัมได้ซื้อกับนาของเอโฟรนคนฮิตไทต์ไว้เป็นกรรมสิทธิ์เพื่อใช้เป็นสุสาน
ปฐก 50.13 คือบรรดาบุตรชายเชิญศพไปยังแผ่นดินคานาอัน แล้วฝังไว้ในถ้ำที่อยู่ในนาชื่อมัคเป-ลาห์ ซึ่งอับราฮัมซื้อไว้กับนาจากเอโฟรนคนฮิตไทต์เป็นกรรมสิทธิ์เพื่อใช้เป็นสุสาน อยู่หน้ามัมเร

มังกร ( 20 )
พบญ 32.33 น้ำองุ่นของเขาเป็นพิษของมังกร เป็นพิษอำมหิตของงูเห่า
นหม 2.13 ในกลางคืนข้าพเจ้าออกไปทางประตูหุบเขา ถึงบ่อมังกร และถึงประตูกองขยะ และข้าพเจ้าได้ตรวจดูกำแพงเยรูซาเล็มที่พัง และประตูเมืองที่ถูกไฟทำลาย
โยบ 30.29 ข้าเป็นพี่น้องกับมังกร และเป็นเพื่อนกับนกเค้าแมว
สดด 44.19 ถึงแม้พระองค์ทรงให้ข้าพระองค์ทั้งหลายแหลกลาญในที่ของมังกร และคลุมข้าพระองค์ทั้งหลายไว้ด้วยเงามัจจุราช
สดด 74.13 พระองค์ทรงแยกทะเลด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ พระองค์ทรงหักหัวมังกรในน้ำ
สดด 91.13 ท่านจะเหยียบสิงโตและงูพิษ ท่านจะย่ำสิงโตหนุ่มและมังกร
สดด 148.7 จงสรรเสริญพระเยโฮวาห์จากแผ่นดินโลกนะ เจ้ามังกรทั้งหลายและที่น้ำลึกทั้งปวง
อสย 13.22 หมาจิ้งจอกจะเห่าหอนอยู่ในที่อาศัยอันรกร้าง และมังกรจะร้องอยู่ในวังแสนสุขของมัน เวลาของเมืองนั้นก็ใกล้เข้ามาแล้ว และวันเวลาของมันจะไม่ยืดให้ยาวไป
อสย 27.1 ในวันนั้น พระเยโฮวาห์จะทรงลงโทษด้วยพระแสงอันร้ายกาจ ยิ่งใหญ่ และแข็งแกร่งของพระองค์ต่อเลวีอาธาน ซึ่งเป็นพญานาคที่ฉกกัด คือเลวีอาธานพญานาคที่ขด และพระองค์จะทรงประหารมังกรที่อยู่ในทะเล
อสย 34.13 หนามใหญ่จะงอกขึ้นในพระราชวังของมัน ตำแยและต้นหนามจะงอกขึ้นในป้อมปราการของมัน และจะเป็นที่อาศัยของมังกร และเป็นลานของนกเค้าแมว
อสย 35.7 ดินที่แตกระแหงจะกลายเป็นสระน้ำ และดินที่กระหายจะกลายเป็นน้ำพุ ในที่อาศัยของมังกรที่ที่แต่ละตัวอาศัยนอนอยู่จะมีหญ้าพร้อมทั้งต้นอ้อและต้นกกงอกขึ้น
อสย 43.20 สัตว์ป่าในทุ่งจะให้เกียรติเรา คือมังกรและนกเค้าแมว เพราะเราให้น้ำในถิ่นทุรกันดาร ให้แม่น้ำในที่แห้งแล้ง เพื่อให้น้ำดื่มแก่ชนชาติผู้เลือกสรรของเรา
ยรม 9.11 เราจะกระทำให้เยรูซาเล็มเป็นกองซากปรักหักพัง เป็นถ้ำของมังกร และเราจะกระทำให้หัวเมืองของยูดาห์เป็นที่รกร้าง ไม่มีชาวเมืองสักคนเดียว”
ยรม 10.22 ดูเถิด เสียงลือมาถึงแล้ว เสียงโกลาหลยิ่งใหญ่จากแดนเหนือมากระทำให้หัวเมืองยูดาห์เป็นที่รกร้าง และให้เป็นถ้ำของมังกร
ยรม 14.6 ลาป่ายืนอยู่บนที่สูง มันสูดลมหายใจเหมือนมังกร ตาของมันก็มืดมัว เพราะไม่มีหญ้า”
ยรม 49.33 เมืองฮาโซร์จะเป็นที่อาศัยของมังกร เป็นที่ที่ถูกทิ้งไว้ให้รกร้างอยู่เป็นนิตย์ ไม่มีใครจะพำนักที่นั่น ไม่มีบุตรของมนุษย์คนใดจะอาศัยในเมืองนั้น”
ยรม 51.34 ให้ชาวเมืองศิโยนพูดว่า “เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้กินข้าพเจ้าเสียแล้ว ท่านได้ขย้ำข้าพเจ้า ท่านได้ทำให้ข้าพเจ้าเป็นภาชนะว่างเปล่า ท่านได้กลืนข้าพเจ้าดั่งมังกร ท่านได้อิ่มท้องด้วยของอร่อยของข้าพเจ้า แล้วท่านก็คายข้าพเจ้าทิ้งเสีย
ยรม 51.37 และบาบิโลนจะกลายเป็นกองซากปรักหักพัง เป็นที่อยู่อาศัยของมังกร เป็นที่น่าตกตะลึง และเป็นที่เย้ยหยัน ปราศจากคนอาศัย
มคา 1.8 เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงร่ำไห้และคร่ำครวญ ข้าพเจ้าจะเดินเท้าเปล่าและเปลือยกายไปไหนๆ ข้าพเจ้าจะส่งเสียงร่ำไห้ดุจมังกร และเสียงครวญครางดุจนกเค้าแมว
มลค 1.3 แต่เราได้เกลียดเอซาว เราได้กระทำให้เทือกเขาและมรดกของเขาร้างเปล่าสำหรับมังกรแห่งถิ่นทุรกันดาร”

มั่งคั่ง ( 26 )
ปฐก 13.2 อับรามก็มั่งคั่งสมบูรณ์ด้วยฝูงสัตว์ เงินและทองเป็นอันมาก
พบญ 30.9 พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงกระทำให้ท่านจำเริญมั่งคั่งอย่างยิ่งในบรรดากิจการที่มือท่านกระทำ ในผลแห่งตัวของท่าน และในผลแห่งฝูงสัตว์ของท่าน และในผลแห่งพื้นดินของท่าน เพราะพระเยโฮวาห์จะทรงปลื้มปีติที่จะให้ท่านจำเริญมั่งคั่งอีก ดังที่พระองค์ทรงปลื้มปีติในบรรพบุรุษของท่าน
ยชว 22.8 กล่าวแก่เขาว่า “จงกลับไปยังเต็นท์ของท่านทั้งหลายพร้อมกับทรัพย์สมบัติมั่งคั่งมีฝูงสัตว์มากมาย มีเงิน ทองคำ ทองสัมฤทธิ์ และเหล็ก และเสื้อผ้าเป็นอันมาก จงแบ่งของที่ริบมาจากศัตรูของท่านให้แก่พี่น้องของท่าน”
1ซมอ 2.7 พระเยโฮวาห์ทรงกระทำให้ยากจนและทรงกระทำให้มั่งคั่ง พระองค์ทรงกระทำให้ต่ำลงและพระองค์ทรงยกขึ้น
1พศด 29.28 แล้วพระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระชรามาก หง่อมแล้ว ทั้งทรงมั่งคั่งและมีพระเกียรติ และซาโลมอนโอรสของพระองค์ครอบครองแทนพระองค์
2พศด 17.5 เพราะฉะนั้นพระเยโฮวาห์ทรงสถาปนาราชอาณาจักรไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ และสิ้นทั้งยูดาห์ก็นำเครื่องบรรณาการมาถวายเยโฮชาฟัท พระองค์จึงมีทรัพย์มั่งคั่งอย่างยิ่งและมีเกียรติมาก
2พศด 18.1 ฝ่ายเยโฮชาฟัททรงมีทรัพย์มั่งคั่งและเกียรติใหญ่ยิ่ง และพระองค์ทรงกระทำให้เป็นทองแผ่นเดียวกันกับอาหับ
อสร 9.12 เพราะฉะนั้นบัดนี้ อย่ามอบพวกบุตรสาวของเจ้าแก่พวกบุตรชายของเขา หรืออย่ารับพวกบุตรสาวของเขาให้พวกบุตรชายของเจ้า หรืออย่าเสริมสันติภาพและความเจริญมั่งคั่งของเขาทั้งหลายเป็นนิตย์ เพื่อเจ้าทั้งหลายจะแข็งแรง และกินของดีๆแห่งแผ่นดินนั้น และมอบแผ่นดินนั้นไว้เป็นมรดกแก่ลูกหลานของเจ้าทั้งหลายเป็นนิตย์’
โยบ 12.6 เต็นท์ของโจรก็มั่งคั่ง และบุคคลที่ยั่วเย้าพระเจ้าก็มั่นคง พระเจ้าทรงนำของมากมายมาสู่มือของเขา
โยบ 15.21 เสียงที่น่าคร้ามกลัวอยู่ในหูของเขา ผู้ทำลายจะมาเหนือเขาในยามมั่งคั่ง
สดด 45.12 ธิดาของเมืองไทระจะเอาของกำนัลมากำนัลเธอ คือเศรษฐีมั่งคั่งที่สุดของประชาชนจะขอความกรุณาจากเธอ
สภษ 10.4 มือที่หย่อนเป็นเหตุให้เกิดความยากจน แต่มือที่ขยันขันแข็งกระทำให้มั่งคั่ง
สภษ 10.22 พระพรของพระเยโฮวาห์กระทำให้มั่งคั่ง และพระองค์มิได้แถมความโศกเศร้าไว้ด้วย
สภษ 11.16 สตรีงามสง่าย่อมได้รับเกียรติ และชายที่มีอำนาจใหญ่โตย่อมมั่งคั่ง
สภษ 11.24 บางคนยิ่งจำหน่ายยิ่งมั่งคั่ง บางคนยิ่งยึดสิ่งที่ควรจำหน่ายไว้ยิ่งขัดสนก็มี
สภษ 13.7 คนที่ว่าตนมั่งคั่ง แต่ไม่มีอะไรเลยก็มี คนที่ว่าตนเป็นคนจน แต่มีทรัพย์ศฤงคารเป็นอันมากก็มีอยู่
สภษ 21.17 บุคคลที่รักความเพลิดเพลินจะเป็นคนยากจน บุคคลที่รักเหล้าองุ่นและน้ำมันจะไม่มั่งคั่ง
สภษ 28.20 คนที่สัตย์ซื่อจะได้รับพรมากมาย แต่ผู้ที่รีบมั่งคั่งจะไม่มีโทษหามิได้
อสค 27.33 เมื่อสินค้าของเจ้ามาจากทะเลก็กระทำให้ชนชาติทั้งหลายเป็นอันมากพอใจ เจ้าได้กระทำให้บรรดากษัตริย์แห่งโลกมั่งคั่ง ด้วยสมบัติและสินค้าอันอุดมของเจ้า
ยอล 3.5 เพราะเจ้าได้เอาเงินของเราและทองคำของเราไป และเอาทรัพย์สมบัติมั่งคั่งของเราไปยังบรรดาวิหารของเจ้า
นฮม 2.9 ปล้นเอาเงินซิ ปล้นเอาทองคำ มีทรัพย์สมบัติมากมายไม่รู้สิ้นสุด มีของมีค่าทุกอย่างเป็นทรัพย์มั่งคั่ง
ศคย 7.7 ในเมื่อเยรูซาเล็มมีคนอยู่และมั่งคั่ง มีหัวเมืองล้อมรอบ ภาคใต้และแดนที่ราบก็มีคนอยู่ เจ้าควรจะฟังพระวจนะซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงประกาศโดยผู้พยากรณ์รุ่นก่อนๆ มิใช่หรือ”
มลค 3.15 บัดนี้เราถือว่าคนอวดดีเป็นคนได้รับพร เออ คนที่ประกอบความชั่ว ใช่ว่าจะมั่งคั่งเท่านั้น แต่เมื่อเขาได้ทดลองพระเจ้าแล้วก็พ้นไปได้’”
2คร 8.9 เพราะท่านทั้งหลายรู้จักพระคุณของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราว่า แม้พระองค์มั่งคั่ง พระองค์ก็ยังทรงยอมเป็นคนยากจน เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลายเพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนมั่งมี เนื่องจากความยากจนของพระองค์
2คร 9.11 โดยทรงให้ท่านทั้งหลายมีสิ่งสารพัดมั่งคั่งบริบูรณ์ขึ้น เพื่อให้ท่านมีแจกจ่ายอย่างใจกว้างขวาง ซึ่งจะให้เกิดการขอบพระคุณพระเจ้า

มั่งมี ( 21 )
ปฐก 14.23 ว่าข้าพเจ้าจะไม่รับเอาเส้นด้ายหรือสายรัดร้องเท้าและข้าพเจ้าจะไม่รับเอาสิ่งใดๆที่เป็นของท่าน เกรงว่าท่านจะกล่าวว่า ‘เราได้กระทำให้อับรามมั่งมี’
ปฐก 30.43 ยาโคบก็มั่งมีมากขึ้น มีฝูงแพะแกะฝูงใหญ่ คนใช้ชายหญิง และฝูงอูฐฝูงลา
ลนต 25.47 ถ้าคนต่างด้าวหรือคนที่อาศัยอยู่กับเจ้ามั่งมีขึ้น และพี่น้องของเจ้าที่อยู่ใกล้ชิดกับเขายากจนลง และขายตัวให้แก่คนต่างด้าวหรือผู้ที่อาศัยอยู่กับเจ้านั้น หรือขายให้แก่ญาติคนหนึ่งคนใดของคนต่างด้าวนั้น
นรธ 3.10 ท่านจึงว่า “ลูกสาวเอ๋ย ขอพระเยโฮวาห์ทรงอำนวยพระพรแก่เจ้าเถิด คุณของเจ้าครั้งหลังนี้ก็ใหญ่ยิ่งกว่าครั้งก่อน ด้วยว่าเจ้ามิได้ไปหาคนหนุ่ม ไม่ว่าจนหรือมั่งมี
1ซมอ 25.2 มีชายคนหนึ่งในมาโอน มีการงานอยู่ในคารเมล ชายผู้นั้นมั่งมีมาก มีแกะสามพันและแพะหนึ่งพัน ท่านตัดขนแกะของท่านอยู่ที่คารเมล
2ซมอ 12.1 พระเยโฮวาห์ทรงใช้ให้นาธันไปหาดาวิด นาธันก็ไปเข้าเฝ้าและกราบทูลพระองค์ว่า “ในเมืองหนึ่งมีชายสองคน คนหนึ่งมั่งมี อีกคนหนึ่งยากจน
2พกษ 4.8 วันหนึ่งเอลีชาเดินต่อไปถึงเมืองชูเนม เป็นที่ที่หญิงมั่งมีคนหนึ่งอาศัยอยู่ และนางได้ชวนท่านให้รับประทานอาหาร ฉะนั้นเมื่อท่านผ่านทางนั้นไปเมื่อไร ท่านก็แวะเข้าไปรับประทานอาหารที่นั่น
โยบ 15.29 เขาจะไม่มั่งมี และทรัพย์สมบัติของเขาจะไม่ทนทาน และข้าวของของเขาจะไม่เพิ่มพูนในแผ่นดิน
สดด 49.16 ท่านอย่ากลัวเมื่อผู้หนึ่งมั่งมีขึ้น เมื่อสง่าราศีของบ้านของเขาเพิ่มขึ้น
สภษ 23.4 อย่าทำงานเพื่อมั่งมี จงเลิกพึ่งสติปัญญาของตนเอง
ยรม 5.27 เรือนของเขาเต็มด้วยความหลอกลวงเหมือนกระจาดที่มีนกเต็ม เพราะฉะนั้นเขาจึงใหญ่โตและมั่งมี
ยรม 49.31 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า จงลุกขึ้น รุดหน้าไปสู้ประชาชาติหนึ่งที่มั่งมี ซึ่งอาศัยอยู่อย่างมั่นคง ไม่มีประตูเมืองและไม่มีดาลประตู อยู่แต่ลำพัง
ศคย 11.5 บรรดาผู้ที่ซื้อมันไปก็ฆ่ามันเสีย และไม่ต้องมีโทษ และบรรดาคนที่ขายมันกล่าวว่า ‘สาธุการแด่พระเยโฮวาห์ เพราะข้าพเจ้ามั่งมีแล้ว’ และเมษบาลของมันทั้งหลายไม่สงสารมันเลย
ลก 6.24 แต่วิบัติแก่เจ้าทั้งหลายที่มั่งมี เพราะว่าเจ้าได้รับสิ่งที่เล้าโลมใจแล้ว
ลก 12.21 คนที่ส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัว และมิได้มั่งมีจำเพาะพระเจ้าก็เป็นเช่นนั้นแหละ”
ลก 14.12 ฝ่ายพระองค์ตรัสกับคนที่เชิญพระองค์ว่า “เมื่อท่านจะทำการเลี้ยง จะเป็นกลางวันหรือเวลาเย็นก็ตาม อย่าเชิญเฉพาะเหล่ามิตรสหาย หรือพี่น้องหรือญาติหรือเพื่อนบ้านที่มั่งมี เกลือกว่าเขาจะเชิญท่านอีก และท่านจะได้รับการตอบแทน
1คร 4.8 ท่านทั้งหลายอิ่มหนำแล้วหนอ ท่านมั่งมีแล้วหนอ ท่านได้ครองเหมือนกษัตริย์โดยไม่มีเราร่วมด้วยแล้วหนอ ข้าพเจ้ามีความปรารถนาให้ท่านทั้งหลายได้ขึ้นครองจริงๆเพื่อเราจะได้ขึ้นครองกับท่าน
2คร 6.10 เหมือนคนที่มีความทุกข์ แต่ยังมีความชื่นชมยินดีอยู่เสมอ เหมือนคนยากจน แต่ยังทำให้คนเป็นอันมากมั่งมี เหมือนคนไม่มีอะไรเลย แต่ยังมีสิ่งสารพัดบริบูรณ์
1ทธ 6.17 จงกำชับคนเหล่านั้นที่มั่งมีฝ่ายโลก อย่าให้มีใจถือมานะทิฐิ อย่าให้ความหวังของเขาอิงอยู่กับทรัพย์อนิจจัง แต่ให้หวังในพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ผู้ทรงประทานสิ่งสารพัดให้แก่เราอย่างบริบูรณ์ เพื่อจะให้เราใช้ด้วยความปีติยินดี
วว 2.9 เรารู้จักแนวการกระทำของเจ้า และเรารู้ว่าพวกเจ้ามีความทุกข์ลำบากและยากจน (แต่ว่าเจ้าก็มั่งมี) และรู้เรื่องการหมิ่นประมาทของคนเหล่านั้นที่กล่าวว่า เขาเป็นพวกยิวและหาได้เป็นไม่ แต่พวกเขาเป็นธรรมศาลาของซาตาน
วว 18.3 เพราะว่าประชาชาติทั้งปวงได้ดื่มเหล้าองุ่นแห่งความเดือดดาลในการล่วงประเวณีของนครนั้น และบรรดากษัตริย์บนแผ่นดินโลกได้ล่วงประเวณีกับนครนั้น และพ่อค้าทั้งหลายแห่งแผ่นดินโลกก็ได้มั่งมีขึ้นด้วยทรัพย์ฟุ่มเฟือยของนครนั้น”

มัจจุราช ( 12 )
โยบ 28.22 แดนพินาศและมัจจุราชกล่าวว่า ‘เราได้ยินเสียงลือเรื่องพระปัญญากับหูของเรา’
สดด 18.5 ความโศกเศร้าแห่งนรกล้อมข้าพระองค์ไว้ บ่วงมัจจุราชปะทะข้าพระองค์
สดด 22.15 กำลังของข้าพระองค์เหือดแห้งไปเหมือนเศษหม้อดิน และลิ้นของข้าพระองค์ก็เกาะติดที่ขากรรไกร พระองค์ทรงวางข้าพระองค์ไว้ในผงคลีมัจจุราช
สดด 33.19 เพื่อพระองค์จะทรงช่วยจิตวิญญาณของเขาให้พ้นจากมัจจุราช และให้เขาดำรงชีวิตอยู่ได้ในเวลากันดารอาหาร
สดด 49.14 ดังแกะ เขาถูกกำหนดไว้ให้แก่แดนผู้ตาย มัจจุราชจะเป็นเมษบาลของเขา คนเที่ยงธรรมจะมีอำนาจเหนือเขาทั้งหลายในเวลาเช้า และความงามของเขาจะเปื่อยสิ้นไปในแดนผู้ตายซึ่งคือที่อาศัยของเขา
สดด 55.4 จิตใจของข้าพระองค์ระทมอยู่ในข้าพระองค์ ความสยดสยองของมัจจุราชตกเหนือข้าพระองค์
สดด 55.15 ขอมัจจุราชมาหาเขาเหล่านั้น ให้เขาลงไปยังนรกทั้งเป็น เพราะความเลวทรามอยู่ในที่อยู่อาศัยของเขาและอยู่ท่ามกลางพวกเขา
สดด 56.13 เพราะพระองค์ทรงช่วยจิตวิญญาณของข้าพระองค์ให้พ้นจากมัจจุราช พระองค์จะทรงช่วยเท้าของข้าพระองค์ให้พ้นจากการล้มมิใช่หรือ เพื่อข้าพระองค์จะดำเนินอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าในความสว่างแห่งชีวิต
สดด 116.8 เพราะพระองค์ทรงช่วยจิตใจข้าพระองค์ให้พ้นจากมัจจุราช ช่วยนัยน์ตาข้าพระองค์จากน้ำตา ช่วยเท้าข้าพระองค์จากการล้ม
สดด 118.18 พระเยโฮวาห์ทรงตีสอนข้าพเจ้าอย่างหนัก แต่พระองค์ไม่ทรงมอบข้าพเจ้าไว้กับมัจจุราช
ฮชย 13.14 เราจะไถ่เขาให้พ้นอำนาจแดนคนตาย เราจะไถ่เขาให้พ้นความตาย โอ มัจจุราชเอ๋ย เราจะเป็นภัยพิบัติทั้งหลายของเจ้า โอ แดนคนตายเอ๋ย เราจะเป็นความพินาศของเจ้า การกลับใจเสียใหม่จะถูกบดบังไว้พ้นสายตาของเรา
ฮบก 2.5 ยิ่งกว่านั้น เพราะเขาละเมิดโดยเหล้าองุ่น เขาจึงเป็นคนจองหอง เขาไม่ยอมอยู่บ้าน ความตะกละของเขากว้างเหมือนอย่างนรก อย่างมัจจุราชไม่เคยรู้จักอิ่ม เขากอบโกยประชาชาติทั้งหลายมาเพื่อตัวเขาเอง แล้วรวบรวมชนชาติทั้งหลายเข้ามาเป็นคนของตน”

มัช ( 1 )
ปฐก 10.23 บุตรอารัมชื่ออูส ฮุล เกเธอร์ และมัช

มัด ( 63 )
ปฐก 22.9 เขาทั้งสองมาถึงที่ซึ่งพระเจ้าตรัสบอกท่านไว้ อับราฮัมก็สร้างแท่นบูชาที่นั่น เรียงฟืนเป็นระเบียบ แล้วมัดอิสอัคบุตรชายวางไว้บนแท่นบูชาบนฟืน
ปฐก 37.7 ดูเถิด พวกเรากำลังมัดฟ่อนข้าวอยู่ในนา ทันใดนั้น ฟ่อนข้าวของข้าพเจ้าตั้งขึ้นยืนตรง และดูเถิด ฟ่อนข้าวของพวกพี่ๆมาแวดล้อมกราบไหว้ฟ่อนข้าวของข้าพเจ้า”
ปฐก 42.24 โยเซฟก็หันไปจากเขาและร้องไห้ แล้วกลับมาพูดกับเขาอีก และเอาสิเมโอนออกมามัดไว้ต่อหน้าต่อตาพวกเขา
วนฉ 15.10 พวกคนยูดาห์จึงถามว่า “ท่านทั้งหลายขึ้นมารบกับเราทำไม” พวกเหล่านั้นตอบว่า “เราขึ้นมามัดแซมสัน เพื่อจะได้กระทำแก่เขาอย่างที่เขาได้กระทำแก่เรา”
วนฉ 15.12 คนเหล่านั้นจึงพูดกับแซมสันว่า “เราจะลงมามัดท่านเพื่อมอบท่านไว้ในมือของคนฟีลิสเตีย” แซมสันจึงบอกเขาว่า “ขอปฏิญาณให้ซีว่าพวกท่านเองจะไม่ทำร้ายข้าพเจ้า”
วนฉ 15.13 เขาทั้งหลายจึงตอบท่านว่า “เราจะไม่ทำร้ายท่าน เราจะมัดท่านมอบไว้ในมือของเขาเท่านั้น เราจะไม่ฆ่าท่านเสีย” เขาจึงเอาเชือกพวนใหม่สองเส้นมัดแซมสันไว้ และพาขึ้นมาจากศิลานั้น
วนฉ 16.5 เจ้านายฟีลิสเตียก็ขึ้นไปหานางพูดกับนางว่า “จงลวงเขาเพื่อดูว่ากำลังมหาศาลของเขาอยู่ที่ไหน ทำอย่างไรเราจึงจะมีกำลังเหนือเขา เพื่อเราจะได้มัดเขาให้หมดฤทธิ์ เราทุกคนจะให้เงินเจ้าคนละพันหนึ่งร้อยแผ่น”
วนฉ 16.6 เดลิลาห์จึงพูดกับแซมสันว่า “ขอบอกดิฉันหน่อยเถอะว่า กำลังมหาศาลของเธออยู่ที่ไหน จะมัดเธอไว้อย่างไรเธอจึงจะหมดฤทธิ์”
วนฉ 16.7 แซมสันจึงบอกนางว่า “ถ้าเขามัดฉันด้วยสายธนูสดที่ยังไม่แห้งเจ็ดเส้น ฉันจะอ่อนเพลีย เหมือนกับชายอื่นๆ”
วนฉ 16.8 แล้วเจ้านายฟีลิสเตียก็เอาสายธนูสดที่ยังไม่แห้งเจ็ดเส้นมาให้นาง นางก็เอามามัดท่านไว้
วนฉ 16.9 นางจัดคนให้ซุ่มอยู่ที่ห้องชั้นในกับนาง นางก็บอกท่านว่า “แซมสันจ๋า คนฟีลิสเตียมาจับเธอแล้ว” แซมสันก็ดึงสายธนูที่มัดนั้นขาดเหมือนเชือกป่านขาดเมื่อได้กลิ่นไฟ เรื่องกำลังของท่านจึงยังไม่แจ้ง
วนฉ 16.10 เดลิลาห์พูดกับแซมสันว่า “ดูเถิด เธอหลอกฉัน และเธอมุสาต่อฉัน บัดนี้ขอบอกฉันหน่อยเถอะว่า จะมัดเธออย่างไรจึงจะอยู่”
วนฉ 16.11 ท่านก็ตอบนางว่า “ถ้าเอาเชือกใหม่ที่ยังไม่เคยใช้มามัดฉัน ฉันก็จะอ่อนกำลังเหมือนชายอื่น”
วนฉ 16.12 เดลิลาห์จึงเอาเชือกใหม่มัดท่านไว้แล้วบอกท่านว่า “แซมสันจ๋า คนฟีลิสเตียมาจับท่านแล้ว” และคนซุ่มคอยอยู่ในห้องชั้นใน แต่ท่านก็ดึงเชือกออกจากแขนเหมือนดึงเส้นด้าย
วนฉ 16.13 เดลิลาห์พูดกับแซมสันว่า “เธอหลอกฉันเรื่อยมาจนถึงเดี๋ยวนี้ เธอมุสาต่อฉัน บอกฉันเถอะว่า จะมัดเธออย่างไรจึงจะอยู่” ท่านจึงบอกนางว่า “ถ้าเธอเอาผมทั้งเจ็ดแหยมของฉันทอเข้ากับด้ายเส้นยืน กระทกด้วยฟืมให้แน่น”
1ซมอ 31.10 เขาเอาเครื่องอาวุธของพระองค์บรรจุไว้ในวิหารของพระอัชทาโรท และมัดพระศพของพระองค์ไว้กับกำแพงเมืองเบธชาน
2ซมอ 3.34 มือของท่านก็มิได้ถูกมัด เท้าของท่านก็มิได้ติดตรวน ท่านได้ล้มลงเหมือนอย่างคนล้มลงต่อหน้าคนชั่วร้าย” และประชาชนทั้งปวงก็ร้องไห้ถึงอับเนอร์อีก
2พกษ 12.10 และเมื่อเขาเห็นว่ามีเงินในหีบมากแล้ว ราชเลขาของกษัตริย์และมหาปุโรหิตมานับเงิน และเอาเงินที่เขาพบในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์นั้นใส่ถุงมัดไว้
1พศด 10.10 เขาเอาเครื่องอาวุธของพระองค์ไปไว้ในวิหารพระของเขา และเอาพระเศียรของพระองค์มัดไว้ในวิหารของพระดาโกน
โยบ 14.17 การละเมิดของข้าพระองค์นั้นทรงใส่ไว้ในถุงที่ผนึกตรา และพระองค์ทรงมัดความชั่วช้าของข้าพระองค์ไว้
โยบ 26.8 พระองค์ทรงมัดน้ำไว้ในเมฆทึบของพระองค์ และเมฆนั้นก็ไม่ขาดวิ่นไป
โยบ 30.18 เครื่องแต่งกายของข้าเสียรูปไปด้วยความรุนแรงแห่งโรคนี้ มันมัดข้าอย่างผ้าคอเสื้อรัดข้า
โยบ 31.36 ข้าจะใส่บ่าแบกไปแน่ทีเดียว ข้าจะมัดมันไว้ต่างมงกุฎ
โยบ 36.13 คนหน้าซื่อใจคดก็สะสมพระพิโรธ เมื่อพระองค์ทรงมัดเขา เขาไม่ร้องให้ช่วย
โยบ 37.7 พระองค์ทรงมัดมือของมนุษย์ทุกคน เพื่อทุกคนจะรู้จักพระราชกิจของพระองค์
โยบ 38.31 เจ้ามัดหมู่ดาวลูกไก่ให้เป็นกลุ่มได้หรือ หรือแก้เครื่องผูกหมู่ดาวไถได้หรือ
โยบ 40.13 ซ่อนเขาไว้ในผงคลีด้วยกัน มัดหน้าของเขาไว้ด้วยกันในโลกบาดาล
สดด 129.7 ซึ่งคนเกี่ยวไม่เก็บใส่มือหรือคนที่มัดฟ่อนไม่เก็บไว้ที่อกของเขา
สภษ 6.21 มัดมันติดไว้บนใจของเจ้าเสมอ ผูกมันไว้ที่คอของเจ้า
สภษ 7.3 มัดมันไว้ที่นิ้วมือของเจ้า เขียนมันไว้บนแผ่นจารึกแห่งใจของเจ้า
สภษ 26.8 บุคคลผู้ให้เกียรติแก่คนโง่ก็เหมือนผู้ที่มัดก้อนหินไว้กับสลิง
อสย 8.16 จงมัดถ้อยคำพยานเก็บไว้เสีย และจงตีตราพระราชบัญญัติไว้ในหมู่พวกสาวกของข้าพเจ้าเสีย
ยรม 51.63 ต่อมาเมื่อท่านอ่านหนังสือนี้จบแล้ว จงเอาหินก้อนหนึ่งมัดติดมันไว้ และโยนมันทิ้งไปกลางแม่น้ำยูเฟรติส
พคค 1.14 แอกแห่งการละเมิดทั้งมวลของข้าพเจ้าก็ถูกรวบเข้าโดยพระหัตถ์ของพระองค์ทรงรวบมัดไว้ แอกนั้นรัดรึงรอบคอข้าพเจ้า พระองค์ได้ทรงกระทำให้กำลังข้าพเจ้าถอยไป องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงมอบข้าพเจ้าไว้ในมือของเขาทั้งหลาย ซึ่งข้าพเจ้าไม่สามารถต่อต้านได้
อสค 4.8 และ ดูเถิด เราจะเอาเชือกมัดเจ้าไว้ เจ้าจะพลิกจากข้างนี้ไปข้างโน้นไม่ได้จนกว่าเจ้าจะครบการล้อมนครตามกำหนดวันของเจ้า
อสค 5.3 และเจ้าจงเอาเส้นผมนั้นมาหน่อยหนึ่งมัดติดไว้ที่เสื้อคลุมของเจ้า
อสค 27.24 เมืองเหล่านี้ทำการค้าขายกับเจ้าในตลาดของเจ้าในเรื่องเครื่องแต่งกายอย่างดีวิเศษ เสื้อสีฟ้าและเสื้อปัก และพรมทำด้วยด้ายสีต่างๆมัดไว้แน่นด้วยด้ายฟั่น
ดนล 3.20 และพระองค์รับสั่งให้บางคนที่มีกำลังมากที่สุดในกองทัพมามัดชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก และให้โยนเขาเข้าไปในเตาที่ไฟลุกอยู่
ดนล 3.21 แล้วคนเหล่านี้ก็ถูกมัดไว้ทั้งเสื้อ กางเกง หมวก และเครื่องแต่งกายอื่นๆ และเขาก็ถูกโยนเข้าไปในเตาที่ไฟลุกอยู่
ดนล 3.23 และชายทั้งสามนี้ คือชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโกก็ตกลงไปกลางเตาไฟที่ลุกอยู่ทั้งยังมัดอยู่
ดนล 3.24 ขณะนั้นกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ประหลาดพระทัยทรงลุกขึ้นโดยฉับพลัน พระองค์ตรัสกับองคมนตรีของพระองค์ว่า “เรามัดสามคนโยนเข้าไปกลางไฟมิใช่หรือ” เขาทูลตอบกษัตริย์ว่า “โอ ข้าแต่กษัตริย์ จริงพระเจ้าข้า”
ฮชย 10.10 เราประสงค์จะลงโทษพวกเขา ชนชาติทั้งหลายจะประชุมกันสู้เขา เมื่อเขามัดตัวเองไว้ในรอยไถสองแถวของเขา
มธ 12.29 หรือใครจะเข้าไปในเรือนของคนที่มีกำลังมากและปล้นเอาทรัพย์ของเขาอย่างไรได้ เว้นแต่จะจับคนที่มีกำลังมากนั้นมัดไว้เสียก่อน แล้วจึงจะปล้นทรัพย์ในเรือนนั้นได้
มธ 13.30 ให้ทั้งสองจำเริญไปด้วยกันจนถึงฤดูเกี่ยว และในเวลาเกี่ยวนั้นเราจะสั่งผู้เกี่ยวว่า “จงเก็บข้าวละมานก่อนมัดเป็นฟ่อนเผาไฟเสีย แต่ข้าวสาลีนั้นจงเก็บไว้ในยุ้งฉางของเรา”’”
มธ 14.3 ด้วยว่าเฮโรดได้จับยอห์นมัดแล้วขังคุกไว้ เพราะเห็นแก่นางเฮโรเดียสภรรยาของฟีลิปน้องชายของตน
มธ 16.19 เราจะมอบลูกกุญแจของอาณาจักรแห่งสวรรค์ให้ไว้แก่ท่าน ท่านจะผูกมัดสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นก็จะถูกมัดในสวรรค์ และท่านจะปล่อยสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นจะถูกปล่อยในสวรรค์”
มธ 22.13 กษัตริย์จึงรับสั่งแก่พวกผู้รับใช้ว่า ‘จงมัดมือมัดเท้าคนนี้เอาไปทิ้งเสียที่มืดภายนอก ที่นั่นจะมีการร้องไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน’
มธ 27.2 เขาจึงมัดพระองค์พาไปมอบไว้แก่ปอนทิอัสปีลาตเจ้าเมือง
มก 3.27 ไม่มีผู้ใดอาจเข้าไปในเรือนของคนที่มีกำลังมากและปล้นทรัพย์ของเขาได้ เว้นแต่จะจับคนที่มีกำลังมากนั้นมัดไว้เสียก่อน แล้วจึงจะปล้นทรัพย์ในเรือนนั้นได้
มก 15.1 พอรุ่งเช้า พวกปุโรหิตใหญ่กับพวกผู้ใหญ่และพวกธรรมาจารย์และบรรดาสมาชิกสภาได้ปรึกษากัน แล้วจึงมัดพระเยซูพาไปมอบไว้แก่ปีลาต
ยน 18.12 พวกพลทหารกับนายทหารและเจ้าหน้าที่ของพวกยิวจึงจับพระเยซูมัดไว้
ยน 18.24 อันนาสจึงให้พาพระเยซูซึ่งถูกมัดอยู่ไปหาคายาฟาสผู้เป็นมหาปุโรหิตประจำการ
กจ 9.2 ขอหนังสือไปยังธรรมศาลาในเมืองดามัสกัส เพื่อว่าถ้าพบผู้ใดถือทางนั้นไม่ว่าชายหรือหญิง จะได้จับมัดพามายังกรุงเยรูซาเล็ม
กจ 22.5 ตามที่มหาปุโรหิตกับสภาอาจเป็นพยานให้ข้าพเจ้าได้ เพราะข้าพเจ้าได้ถือหนังสือจากท่านผู้นั้นไปยังพวกพี่น้อง และได้เดินทางไปเมืองดามัสกัส เพื่อจับมัดคนทั้งหลายพามายังกรุงเยรูซาเล็มให้ทำโทษเสีย
กจ 22.25 ครั้นเอาเชือกหนังมัดเปาโล ท่านจึงถามนายร้อยซึ่งยืนอยู่ที่นั่นว่า “การที่จะเฆี่ยนคนสัญชาติโรมก่อนพิพากษาปรับโทษนั้นถูกต้องตามกฎหมายหรือ”
กจ 22.29 ขณะนั้นคนทั้งหลายที่จะไต่สวนเปาโลก็ได้ละท่านไปทันที และนายพันเมื่อทราบว่า เปาโลเป็นคนสัญชาติโรมก็ตกใจกลัวเพราะได้มัดท่านไว้
กจ 27.40 เขาจึงตัดสายสมอทิ้งเสียในทะเล แล้วก็แก้เชือกที่มัดหางเสือ และชักใบหัวเรือขึ้นให้กินลมแล่นตรงเข้าไปหาฝั่ง
กจ 28.3 เปาโลเก็บกิ่งไม้แห้งมัดหนึ่งมาใส่ไฟ มีงูพิษตัวหนึ่งออกมาเพราะถูกความร้อนกัดมือของเปาโลติดอยู่
2ปต 2.4 เพราะว่า ถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงยกเว้นพวกทูตสวรรค์ที่ได้ทำบาปนั้น แต่ได้ทรงผลักเขาลงไปสู่นรก และได้มัดเขาไว้ด้วยเครื่องจองจำแห่งความมืด คุมไว้จนกว่าจะถึงเวลาทรงพิพากษา
วว 9.14 เสียงนั้นสั่งทูตสวรรค์องค์ที่หกที่ถือแตรนั้นว่า “จงแก้มัดทูตสวรรค์ทั้งสี่ที่ถูกมัดไว้ที่แม่น้ำใหญ่นั้น คือแม่น้ำยูเฟรติส”

มัดจำ ( 3 )
2คร 1.22 และพระองค์ทรงประทับตราเรา และประทานพระวิญญาณไว้ในใจของเราเป็นมัดจำด้วย
2คร 5.5 แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้เตรียมเราไว้สำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้ และพระองค์ได้ทรงโปรดประทานพระวิญญาณเป็นมัดจำไว้กับเรา
อฟ 1.14 ผู้ทรงเป็นมัดจำแห่งมรดกของเรา จนกว่าเราจะได้รับการที่พระองค์ทรงไถ่ไว้แล้วนั้น มาเป็นกรรมสิทธิ์เป็นที่ถวายสรรเสริญแด่สง่าราศีของพระองค์

มัดมันนาห์ ( 2 )
ยชว 15.31 ศิกลาก มัดมันนาห์ สันสันนาห์
1พศด 2.49 นางคลอดบุตรชื่อชาอัฟ ผู้เป็นบิดาของมัดมันนาห์ เชวาผู้เป็นบิดาของมัคเบนาห์ และบิดาของกิเบอาด้วย บุตรสาวของคาเลบชื่ออัคสาห์

มัดเมน ( 1 )
ยรม 48.2 จะไม่มีการสรรเสริญโมอับอีกต่อไป ในเมืองเฮชโบนคนเหล่านั้นได้วางแผนปองร้ายต่อโมอับว่า ‘มาเถอะ ให้เราตัดมันออกเสียจากการเป็นประชาชาติ’ โอ เมืองมัดเมนเอ๋ย เจ้าจะถูกตัดลงมาเหมือนกัน ดาบจะไล่ตามเจ้าไป

มัดเมนาห์ ( 1 )
อสย 10.31 มัดเมนาห์กำลังหนีอยู่ คนเกบิมหนีให้พ้นภัย

มัตรี ( 1 )
1ซมอ 10.21 ท่านก็นำตระกูลเบนยามินเข้ามาใกล้ตามครอบครัว จับสลากได้ครอบครัวมัตรี และจับสลากได้ซาอูลบุตรชายคีช แต่เมื่อเขาหาซาอูลก็หาไม่พบ

มัทตะธา ( 1 )
ลก 3.31 ซึ่งเป็นบุตรเมเลอา ซึ่งเป็นบุตรเมนนัน ซึ่งเป็นบุตรมัทตะธา ซึ่งเป็นบุตรนาธัน ซึ่งเป็นบุตรดาวิด

มัทตาน ( 1 )
2พกษ 11.18 แล้วประชาชนทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินก็เข้าไปในนิเวศของพระบาอัล และพังนิเวศเสีย เขาทำลายแท่นบูชาและรูปเคารพของพระบาอัลเสียเป็นชิ้นๆ และได้ประหารชีวิตมัทตานปุโรหิตของพระบาอัลเสียที่หน้าแท่นบูชา และปุโรหิตก็วางยามไว้ดูแลพระนิเวศของพระเยโฮวาห์

มัททีธิยาห์ ( 7 )
1พศด 9.31 และมัททีธิยาห์คนเลวีคนหนึ่ง ผู้เป็นบุตรหัวปีของชัลลูม คนโคราห์ มีตำแหน่งหน้าที่เป็นผู้ดูแลสิ่งที่ปิ้งในถาด
1พศด 15.18 และพร้อมกับเขาได้แต่งตั้งพี่น้องของเขาในอันดับสองคือ เศคาริยาห์ เบน ยาอาซีเอล เชมิราโมท เยฮีเอล อุนนี เอลีอับ เบไนยาห์ มาอาเสอาห์ มัททีธิยาห์ เอลีฟัล และมิกเนยาห์ และโอเบดเอโดม กับเยอีเอล เป็นคนเฝ้าประตู
1พศด 15.21 แต่มัททีธิยาห์ เอลีฟัล มิกเนยาห์ โอเบดเอโดม เยอีเอล และอาซาซิยาห์ เป็นผู้นำด้วยพิณเขาคู่ตามสำเนียงเชมินิท
1พศด 25.3 จากเยดูธูน คือลูกหลานของเยดูธูนมี เกดาลิยาห์ เศรี เยชายาห์ ฮาชาบิยาห์ และมัททีธิยาห์ หกคนภายใต้การนำของเยดูธูนบิดาของเขา ผู้พยากรณ์ด้วยพิณเขาคู่ในการโมทนาและสรรเสริญต่อพระเยโฮวาห์
1พศด 25.21 ที่สิบสี่ได้แก่มัททีธิยาห์ พร้อมกับบุตรชายของเขาและพี่น้องของเขา สิบสองคน
อสร 10.43 จากคนเนโบ มี เยอีเอล มัททีธิยาห์ ศาบาด เศบินา ยาดดัย โยเอล และเบไนยาห์
นหม 8.4 เอสราธรรมาจารย์ยืนอยู่บนแท่นไม้ ซึ่งเขาทำไว้เพื่อการนี้ ข้างๆท่านมีมัททีธิยาห์ เชมา อานายาห์ อุรีอาห์ ฮิลคียาห์และมาอาสอาห์ยืนอยู่ข้างขวามือของท่าน กับมีเปดายาห์ มิชาเอล มัลคิยาห์ ฮาชูม ฮัชบัดดานาห์ เศคาริยาห์และเมชุลลามอยู่ข้างซ้ายมือของท่าน

มัทธัต ( 2 )
ลก 3.24 ซึ่งเป็นบุตรมัทธัต ซึ่งเป็นบุตรเลวี ซึ่งเป็นบุตรเมลคี ซึ่งเป็นบุตรยันนาย ซึ่งเป็นบุตรโยเซฟ
ลก 3.29 ซึ่งเป็นบุตรโยซี ซึ่งเป็นบุตรเอลีเยเซอร์ ซึ่งเป็นบุตรโยริม ซึ่งเป็นบุตรมัทธัต ซึ่งเป็นบุตรเลวี

มัทธัตตาห์ ( 1 )
อสร 10.33 จากคนฮาชูม มี มัทเธนัย มัทธัตตาห์ ศาบาด เอลีเฟเลท เยเรมัย มนัสเสห์และชิเมอี

มัทธาธีอัส ( 2 )
ลก 3.25 ซึ่งเป็นบุตรมัทธาธีอัส ซึ่งเป็นบุตรอาโมส ซึ่งเป็นบุตรนาฮูม ซึ่งเป็นบุตรเอสลี ซึ่งเป็นบุตรนักกาย
ลก 3.26 ซึ่งเป็นบุตรมาอาท ซึ่งเป็นบุตรมัทธาธีอัส ซึ่งเป็นบุตรเสเมอิน ซึ่งเป็นบุตรโยเซฟ ซึ่งเป็นบุตรยูดาห์

มัทธาน ( 4 )
2พศด 23.17 แล้วประชาชนทั้งปวงก็ไปที่นิเวศของพระบาอัล และพังลงเสีย และเขาทุบแท่นบูชาและรูปเคารพของพระบาอัลนั้นให้เป็นชิ้นๆ และเขาประหารมัทธานปุโรหิตของพระบาอัลเสียที่หน้าแท่นบูชา
ยรม 38.1 ฝ่ายเชฟาทิยาห์บุตรชายมัทธาน เกดาลิยาห์บุตรชายปาชเฮอร์ และยูคาลบุตรชายเชเลมิยาห์ และปาชเฮอร์บุตรชายมัลคิยาห์ได้ยินถ้อยคำของเยเรมีย์ที่กล่าวแก่ประชาชนทุกคนว่า
มธ 1.15 เอลีอูดให้กำเนิดบุตรชื่อเอเลอาซาร์ เอเลอาซาร์ให้กำเนิดบุตรชื่อมัทธาน มัทธานให้กำเนิดบุตรชื่อยาโคบ

มัทธานาห์ ( 2 )
กดว 21.18 เป็นบ่อน้ำที่เจ้านายได้ขุดไว้ เป็นบ่อที่ขุนนางของประชาชนเจาะไว้ ด้วยคทาและไม้เท้าของผู้ทรงตั้งพระราชบัญญัติ” และจากถิ่นทุรกันดารนั้นไป เขาก็มาถึงมัทธานาห์
กดว 21.19 และจากมัทธานาห์ถึงตำบลนาหะลีเอล และจากนาหะลีเอลถึงตำบลบาโมท

มัทธานิยาห์ ( 16 )
2พกษ 24.17 และกษัตริย์แห่งบาบิโลนตั้งมัทธานิยาห์ปิตุลาของเยโฮยาคีนเป็นกษัตริย์แทนพระองค์ และเปลี่ยนพระนามว่าเศเดคียาห์
1พศด 9.15 กับบัคบัคคาร์ เฮเรช กาลาล และมัทธานิยาห์ ผู้เป็นบุตรชายมีคา ผู้เป็นบุตรชายศิครี ผู้เป็นบุตรชายอาสาฟ
1พศด 25.4 จากเฮมาน คือลูกหลานของเฮมานมี บุคคียาห์ มัทธานิยาห์ อุสซีเอล เชบูเอล และเยรีโมท ฮานานิยาห์ ฮานานี เอลียาธาห์ กิดดาลที และโรมัมทีเอเซอร์ โยชเบคาชาห์ มัลโลธี โฮธีร์ และมาหะซิโอท
1พศด 25.16 ที่เก้าได้แก่มัทธานิยาห์ พร้อมกับบุตรชายของเขาและพี่น้องของเขา สิบสองคน
2พศด 20.14 และพระวิญญาณของพระเยโฮวาห์เสด็จมาสถิตกับยาฮาซีเอลบุตรชายเศคาริยาห์ ผู้เป็นบุตรชายเบไนยาห์ ผู้เป็นบุตรชายเยอีเอล ผู้เป็นบุตรชายมัทธานิยาห์ เป็นคนเลวี ลูกหลานของอาสาฟ เมื่อท่านอยู่ท่ามกลางที่ประชุมนั้น
2พศด 29.13 และลูกหลานของเอลีซาฟาน มีชิมรีและเยอีเอล และลูกหลานของอาสาฟ มีเศคาริยาห์และมัทธานิยาห์
อสร 10.26 จากคนเอลาม คือ มัทธานิยาห์ เศคาริยาห์ เยฮีเอล อับดี เยรีโมท เอลียาห์
อสร 10.27 จากคนศัทธู มี เอลีโอนัย เอลียาชีบ มัทธานิยาห์ เยรีโมท ศาบาด และอาซีซา
อสร 10.30 จากคนปาหัทโมอับ มี อัดนา เคลาล เบไนยาห์ มาอาเสอาห์ มัทธานิยาห์ เบซาเลล บินนุย และมนัสเสห์
อสร 10.37 มัทธานิยาห์ มัทเธนัย ยาอาสุ
นหม 11.17 และมัทธานิยาห์บุตรชายมีคา ผู้เป็นบุตรชายศับดี ผู้เป็นบุตรชายอาสาฟ ผู้เป็นหัวหน้าในการเริ่มต้นการโมทนาพระคุณในการอธิษฐาน และบัคบูคิยาห์เป็นที่สองในหมู่พี่น้องของเขา และอับดาบุตรชายชัมมุวา ผู้เป็นบุตรชายกาลาล ผู้เป็นบุตรชายเยดูธูน
นหม 11.22 ผู้ดูแลคนเลวีในเยรูซาเล็มคือ อุสซีบุตรชายบานี ผู้เป็นบุตรชายฮาชาบิยาห์ ผู้เป็นบุตรชายมัทธานิยาห์ ผู้เป็นบุตรชายมีคา สำหรับลูกหลานของอาสาฟ พวกนักร้องดูแลการงานพระนิเวศของพระเจ้า
นหม 12.8 คนเลวีคือ เยชูอา บินนุย ขัดมีเอล เชเรบิยาห์ ยูดาห์ และมัทธานิยาห์ ผู้ซึ่งดูแลการเพลงโมทนาพร้อมกับพี่น้องของเขา
นหม 12.25 มัทธานิยาห์ บัคบูคิยาห์ โอบาดีห์ เมชุลลาม ทัลโมน และอักขูบ เป็นคนเฝ้าประตู ยืนเฝ้าอยู่ที่โรงพัสดุของประตู
นหม 12.35 และบุตรชายของพวกปุโรหิตบางคนที่มีแตรคือ เศคาริยาห์บุตรชายโยนาธาน ผู้เป็นบุตรชายเชไมอาห์ ผู้เป็นบุตรชายมัทธานิยาห์ ผู้เป็นบุตรชายมีคายาห์ ผู้เป็นบุตรชายศักเกอร์ ผู้เป็นบุตรชายอาสาฟ
นหม 13.13 ข้าพเจ้าได้แต่งตั้งคนให้ดูแลเรือนพัสดุคือ เชเลมิยาห์ปุโรหิต ศาโดกธรรมาจารย์ และเปดายาห์แห่งคนเลวี และผู้ช่วยของเขาคือ ฮานันบุตรชายศักเกอร์ ผู้เป็นบุตรชายมัทธานิยาห์ เพราะนับได้ว่าเขาสัตย์ซื่อ และหน้าที่ของเขาคือแจกจ่ายแก่พวกพี่น้อง

มัทธิว ( 5 )
มธ 9.9 ครั้นพระเยซูเสด็จเลยที่นั่นไป ก็ทอดพระเนตรเห็นชายคนหนึ่งชื่อมัทธิวนั่งอยู่ที่ด่านเก็บภาษี จึงตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป
มธ 10.3 ฟีลิปและบารโธโลมิว โธมัสและมัทธิวคนเก็บภาษี ยากอบบุตรชายอัลเฟอัส และเลบเบอัสผู้ที่มีชื่ออีกว่าธัดเดอัส
มก 3.18 อันดรูว์ ฟีลิป บารโธโลมิว มัทธิว โธมัส ยากอบบุตรชายอัลเฟอัส ธัดเดอัส ซีโมนชาวคานาอัน
ลก 6.15 มัทธิวและโธมัส ยากอบบุตรชายของอัลเฟอัส ซีโมนที่เรียกว่า เศโลเท
กจ 1.13 เมื่อเข้ากรุงแล้วเขาเหล่านั้นจึงขึ้นไปยังห้องชั้นบน ซึ่งมีทั้งเปโตร ยากอบ ยอห์นกับอันดรูว์ ฟีลิปกับโธมัส บารโธโลมิวกับมัทธิว ยากอบบุตรชายอัลเฟอัส ซีโมนเศโลเท กับยูดาสน้องชายของยากอบ พักอยู่นั้น

มัทธีอัส ( 2 )
กจ 1.23 เขาทั้งหลายจึงเสนอชื่อคนสองคน คือโยเซฟที่เรียกว่าบารซับบาส มีนามสกุลว่ายุสทัส และมัทธีอัส
กจ 1.26 เขาทั้งหลายจึงจับสลากกัน และสลากนั้นได้แก่มัทธีอัสจึงนับเขาเข้ากับอัครสาวกสิบเอ็ดคนนั้น

มัทเธนัย ( 3 )
อสร 10.33 จากคนฮาชูม มี มัทเธนัย มัทธัตตาห์ ศาบาด เอลีเฟเลท เยเรมัย มนัสเสห์และชิเมอี
อสร 10.37 มัทธานิยาห์ มัทเธนัย ยาอาสุ
นหม 12.19 และของคนโยยาริบมี มัทเธนัย ของคนเยดายาห์มี อุสซี

มัทเรด ( 2 )
ปฐก 36.39 เมื่อบาอัลฮานันบุตรชายอัคโบร์สิ้นพระชนม์แล้ว ฮาดาร์ขึ้นครอบครองแทน เมืองหลวงของท่านชื่อปาอู และมเหสีของท่านมีพระนามว่า เมเหทาเบล ธิดาของมัทเรด ธิดาของเมซาหับ
1พศด 1.50 เมื่อบาอัลฮานันสิ้นพระชนม์แล้ว ฮาดัดขึ้นครอบครองแทน เมืองหลวงของท่านชื่อปาอี และมเหสีของท่านมีพระนามว่า เมเหทาเบล ธิดาของมัทเรด ธิดาของเมซาหับ

มัน ( 1326 )
ปฐก 1.11; ปฐก 1.12; ปฐก 1.21; ปฐก 1.24; ปฐก 1.25; ปฐก 2.19; ปฐก 3.1; ปฐก 3.3; ปฐก 3.6; ปฐก 4.7; ปฐก 4.12; ปฐก 6.20; ปฐก 6.21; ปฐก 7.14; ปฐก 8.7; ปฐก 8.9; ปฐก 8.11; ปฐก 8.12; ปฐก 8.17; ปฐก 8.19; ปฐก 9.2; ปฐก 9.4; ปฐก 9.13; ปฐก 9.16; ปฐก 11.3; ปฐก 11.4; ปฐก 15.5; ปฐก 15.10; ปฐก 15.11; ปฐก 17.11; ปฐก 19.13; ปฐก 22.13; ปฐก 23.9; ปฐก 27.9; ปฐก 27.20; ปฐก 27.25; ปฐก 29.9; ปฐก 30.38; ปฐก 30.41; ปฐก 34.31; ปฐก 37.20; ปฐก 37.21; ปฐก 37.22; ปฐก 39.14; ปฐก 39.15; ปฐก 39.18; ปฐก 41.21; ปฐก 49.14; อพย 4.4; อพย 9.9; อพย 10.5; อพย 10.6; อพย 10.14; อพย 10.15; อพย 12.46; อพย 13.13; อพย 21.28; อพย 21.29; อพย 22.5; อพย 22.30; อพย 23.5; อพย 23.19; อพย 34.20; อพย 34.26; อพย 40.4; ลนต 3.13; ลนต 4.4; ลนต 4.11; ลนต 8.17; ลนต 11.4; ลนต 11.5; ลนต 11.6; ลนต 11.7; ลนต 11.8; ลนต 11.11; ลนต 11.13; ลนต 11.14; ลนต 11.15; ลนต 11.16; ลนต 11.19; ลนต 11.22; ลนต 11.24; ลนต 11.28; ลนต 11.29; ลนต 11.31; ลนต 11.32; ลนต 11.33; ลนต 13.20; ลนต 13.25; ลนต 13.28; ลนต 16.10; ลนต 20.16; ลนต 22.28; ลนต 26.22; ลนต 26.34; ลนต 26.35; ลนต 26.43; กดว 18.17; กดว 18.18; กดว 19.5; กดว 22.25; กดว 22.27; กดว 22.28; กดว 22.33; พบญ 7.26; พบญ 12.23; พบญ 14.8; พบญ 14.13; พบญ 14.14; พบญ 14.15; พบญ 14.18; พบญ 14.21; พบญ 15.23; พบญ 25.4; พบญ 28.39; พบญ 28.60; พบญ 32.11; ยชว 9.13; ยชว 11.16; วนฉ 5.20; 1ซมอ 6.7; 1ซมอ 6.8; 1ซมอ 6.9; 1ซมอ 6.10; 1ซมอ 6.12; 1ซมอ 17.35; 1ซมอ 22.17; 2ซมอ 12.3; 2ซมอ 16.9; 2ซมอ 23.7; 1พกษ 7.45; 2พกษ 3.4; 2พกษ 13.18; 2พกษ 19.23; 2พกษ 19.26; 2พกษ 19.29; 2พกษ 19.32; 2พกษ 23.4; 2พกษ 23.12; 1พศด 11.14; 2พศด 4.4; 2พศด 4.5; 2พศด 29.22; 2พศด 29.24; 2พศด 36.21; นหม 4.3; นหม 9.36; อสธ 7.9; อสธ 8.7; โยบ 1.15; โยบ 3.5; โยบ 3.6; โยบ 3.9; โยบ 3.10; โยบ 3.21; โยบ 4.5; โยบ 5.21; โยบ 6.4; โยบ 6.5; โยบ 6.17; โยบ 8.12; โยบ 8.15; โยบ 9.5; โยบ 9.6; โยบ 9.7; โยบ 9.25; โยบ 9.26; โยบ 12.7; โยบ 12.8; โยบ 12.15; โยบ 14.7; โยบ 14.8; โยบ 14.9; โยบ 14.18; โยบ 15.24; โยบ 15.33; โยบ 16.8; โยบ 18.4; โยบ 18.13; โยบ 20.15; โยบ 20.25; โยบ 22.12; โยบ 22.30; โยบ 26.9; โยบ 27.21; โยบ 28.6; โยบ 29.14; โยบ 30.18; โยบ 31.36; โยบ 31.39; โยบ 36.33; โยบ 37.8; โยบ 37.12; โยบ 37.15; โยบ 38.6; โยบ 38.8; โยบ 38.9; โยบ 38.10; โยบ 38.12; โยบ 38.13; โยบ 38.20; โยบ 38.32; โยบ 38.35; โยบ 38.40; โยบ 38.41; โยบ 39.2; โยบ 39.3; โยบ 39.4; โยบ 39.6; โยบ 39.7; โยบ 39.8; โยบ 39.9; โยบ 39.10; โยบ 39.11; โยบ 39.12; โยบ 39.14; โยบ 39.15; โยบ 39.16; โยบ 39.17; โยบ 39.18; โยบ 39.19; โยบ 39.20; โยบ 39.21; โยบ 39.22; โยบ 39.23; โยบ 39.24; โยบ 39.25; โยบ 39.26; โยบ 39.27; โยบ 39.28; โยบ 39.29; โยบ 39.30; โยบ 40.15; โยบ 40.16; โยบ 40.17; โยบ 40.18; โยบ 40.19; โยบ 40.20; โยบ 40.21; โยบ 40.22; โยบ 40.23; โยบ 40.24; โยบ 41.1; โยบ 41.2; โยบ 41.3; โยบ 41.4; โยบ 41.5; โยบ 41.6; โยบ 41.7; โยบ 41.8; โยบ 41.9; โยบ 41.10; โยบ 41.12; โยบ 41.13; โยบ 41.14; โยบ 41.15; โยบ 41.16; โยบ 41.17; โยบ 41.18; โยบ 41.19; โยบ 41.20; โยบ 41.21; โยบ 41.22; โยบ 41.23; โยบ 41.24; โยบ 41.25; โยบ 41.26; โยบ 41.27; โยบ 41.28; โยบ 41.29; โยบ 41.30; โยบ 41.31; โยบ 41.32; โยบ 41.33; โยบ 41.34; สดด 6.7; สดด 17.12; สดด 19.6; สดด 19.13; สดด 22.13; สดด 24.2; สดด 30.9; สดด 32.9; สดด 33.9; สดด 33.17; สดด 37.35; สดด 38.4; สดด 40.12; สดด 58.4; สดด 58.5; สดด 58.6; สดด 60.2; สดด 65.10; สดด 68.13; สดด 68.14; สดด 69.10; สดด 74.14; สดด 75.3; สดด 77.16; สดด 78.28; สดด 80.9; สดด 80.10; สดด 80.11; สดด 80.12; สดด 80.13; สดด 80.16; สดด 84.3; สดด 88.17; สดด 90.6; สดด 93.1; สดด 95.5; สดด 96.10; สดด 98.8; สดด 103.16; สดด 104.5; สดด 104.6; สดด 104.7; สดด 104.9; สดด 104.11; สดด 104.12; สดด 104.17; สดด 104.19; สดด 104.21; สดด 104.22; สดด 104.27; สดด 104.28; สดด 104.29; สดด 104.30; สดด 104.32; สดด 105.41; สดด 106.9; สดด 107.42; สดด 119.90; สดด 129.6; สดด 137.7; สดด 143.3; สดด 144.5; สดด 147.4; สดด 147.18; สดด 148.6; สภษ 1.19; สภษ 3.3; สภษ 4.21; สภษ 4.22; สภษ 5.17; สภษ 6.6; สภษ 6.8; สภษ 6.21; สภษ 6.22; สภษ 7.3; สภษ 10.24; สภษ 11.11; สภษ 11.27; สภษ 14.1; สภษ 14.10; สภษ 14.12; สภษ 16.25; สภษ 17.8; สภษ 18.8; สภษ 18.21; สภษ 20.1; สภษ 20.5; สภษ 20.12; สภษ 21.20; สภษ 22.15; สภษ 23.3; สภษ 23.5; สภษ 23.31; สภษ 23.32; สภษ 24.3; สภษ 24.31; สภษ 26.11; สภษ 26.14; สภษ 26.22; สภษ 26.27; สภษ 26.28; สภษ 27.8; สภษ 27.18; สภษ 30.15; สภษ 30.21; สภษ 30.25; สภษ 30.26; สภษ 30.27; สภษ 30.28; สภษ 30.29; ปญจ 1.6; ปญจ 3.11; ปญจ 10.11; ปญจ 11.1; ปญจ 11.3; พซม 1.7; พซม 2.13; อสย 1.3; อสย 1.7; อสย 1.13; อสย 1.14; อสย 1.18; อสย 1.31; อสย 5.2; อสย 5.4; อสย 5.5; อสย 5.6; อสย 5.14; อสย 5.17; อสย 6.13; อสย 7.6; อสย 7.7; อสย 7.16; อสย 7.19; อสย 7.22; อสย 8.7; อสย 8.8; อสย 9.18; อสย 10.15; อสย 11.6; อสย 11.7; อสย 11.15; อสย 13.10; อสย 13.13; อสย 13.19; อสย 13.22; อสย 14.9; อสย 14.29; อสย 16.7; อสย 16.8; อสย 17.2; อสย 17.11; อสย 17.13; อสย 18.5; อสย 19.6; อสย 19.14; อสย 21.1; อสย 21.2; อสย 22.25; อสย 23.7; อสย 23.8; อสย 23.10; อสย 23.11; อสย 23.13; อสย 23.18; อสย 24.1; อสย 24.20; อสย 26.5; อสย 26.6; อสย 26.21; อสย 27.3; อสย 27.4; อสย 27.10; อสย 27.11; อสย 28.4; อสย 28.19; อสย 28.25; อสย 28.28; อสย 29.1; อสย 29.16; อสย 30.22; อสย 31.4; อสย 33.23; อสย 34.4; อสย 34.5; อสย 34.10; อสย 34.11; อสย 34.12; อสย 34.13; อสย 34.14; อสย 34.15; อสย 34.17; อสย 35.2; อสย 35.9; อสย 37.24; อสย 37.27; อสย 37.30; อสย 37.33; อสย 40.6; อสย 40.7; อสย 40.19; อสย 40.26; อสย 41.16; อสย 41.29; อสย 42.5; อสย 42.25; อสย 44.12; อสย 44.13; อสย 44.14; อสย 44.15; อสย 44.19; อสย 44.26; อสย 45.8; อสย 45.9; อสย 45.12; อสย 45.18; อสย 46.2; อสย 46.13; อสย 47.11; อสย 47.12; อสย 48.3; อสย 48.5; อสย 48.13; อสย 48.16; อสย 49.2; อสย 51.17; อสย 51.23; อสย 53.7; อสย 54.14; อสย 54.16; อสย 55.10; อสย 55.12; อสย 55.13; อสย 57.6; อสย 57.8; อสย 57.12; อสย 57.13; อสย 57.20; อสย 58.11; อสย 58.13; อสย 59.6; อสย 59.19; อสย 60.7; อสย 60.8; อสย 60.11; อสย 61.11; อสย 63.3; อสย 65.8; อสย 65.9; อสย 65.21; อสย 65.25; ยรม 2.15; ยรม 2.19; ยรม 2.24; ยรม 2.28; ยรม 4.7; ยรม 4.18; ยรม 4.24; ยรม 5.10; ยรม 5.24; ยรม 6.3; ยรม 6.7; ยรม 7.33; ยรม 8.7; ยรม 8.16; ยรม 8.17; ยรม 9.8; ยรม 9.10; ยรม 9.21; ยรม 10.4; ยรม 10.5; ยรม 10.15; ยรม 11.16; ยรม 11.19; ยรม 12.9; ยรม 13.23; ยรม 14.5; ยรม 14.6; ยรม 14.12; ยรม 15.18; ยรม 17.8; ยรม 17.9; ยรม 17.11; ยรม 18.7; ยรม 21.4; ยรม 21.10; ยรม 23.2; ยรม 23.19; ยรม 27.3; ยรม 27.22; ยรม 28.10; ยรม 30.23; ยรม 31.33; ยรม 32.31; ยรม 36.18; ยรม 45.5; ยรม 46.7; ยรม 46.8; ยรม 47.2; ยรม 47.7; ยรม 48.1; ยรม 48.2; ยรม 48.9; ยรม 48.11; ยรม 48.15; ยรม 48.20; ยรม 48.25; ยรม 48.30; ยรม 48.45; ยรม 49.2; ยรม 49.3; ยรม 49.17; ยรม 49.18; ยรม 49.21; ยรม 49.22; ยรม 49.23; ยรม 50.27; ยรม 50.29; ยรม 51.11; ยรม 51.18; ยรม 51.63; ยรม 52.21; พคค 4.3; อสค 1.9; อสค 1.11; อสค 1.12; อสค 1.17; อสค 1.20; อสค 1.25; อสค 5.17; อสค 7.6; อสค 13.11; อสค 13.13; อสค 14.15; อสค 15.5; อสค 15.6; อสค 16.18; อสค 16.19; อสค 16.20; อสค 16.36; อสค 17.4; อสค 17.5; อสค 17.6; อสค 17.7; อสค 17.8; อสค 17.9; อสค 17.10; อสค 17.22; อสค 17.23; อสค 19.3; อสค 19.4; อสค 19.6; อสค 19.7; อสค 19.8; อสค 19.9; อสค 20.47; อสค 21.9; อสค 21.10; อสค 21.11; อสค 21.15; อสค 21.28; อสค 22.20; อสค 22.30; อสค 24.11; อสค 26.2; อสค 26.3; อสค 29.3; อสค 29.9; อสค 29.12; อสค 30.6; อสค 30.7; อสค 30.8; อสค 30.25; อสค 31.4; อสค 31.5; อสค 31.6; อสค 31.7; อสค 31.8; อสค 31.9; อสค 31.10; อสค 31.11; อสค 31.12; อสค 31.13; อสค 31.14; อสค 31.15; อสค 31.16; อสค 32.2; อสค 32.12; อสค 34.5; อสค 34.6; อสค 34.11; อสค 35.2; อสค 35.3; อสค 35.7; อสค 35.12; อสค 35.15; อสค 37.4; อสค 37.7; อสค 37.8; อสค 39.11; อสค 40.20; อสค 43.21; อสค 47.12; ดนล 2.38; ดนล 4.10; ดนล 4.11; ดนล 4.12; ดนล 4.14; ดนล 4.21; ดนล 6.22; ดนล 7.4; ดนล 7.5; ดนล 7.6; ดนล 7.7; ดนล 7.8; ดนล 7.12; ดนล 7.20; ดนล 8.4; ดนล 8.5; ดนล 8.6; ดนล 8.7; ดนล 8.8; ดนล 8.10; ดนล 8.11; ดนล 8.19; ดนล 9.26; ดนล 9.27; ฮชย 10.11; ยอล 1.6; ยอล 1.7; ยอล 1.18; ยอล 2.3; ยอล 2.4; ยอล 2.5; ยอล 2.6; ยอล 2.7; ยอล 2.8; ยอล 2.9; ยอล 2.10; ยอล 2.20; อมส 3.4; อมส 4.3; อมส 9.1; อมส 9.3; อมส 9.8; อมส 9.14; ยนา 2.10; ยนา 4.7; ยนา 4.10; มคา 1.7; มคา 1.11; มคา 4.11; มคา 5.8; มคา 6.9; นฮม 1.4; นฮม 2.4; นฮม 2.11; นฮม 2.12; นฮม 3.15; นฮม 3.17; ฮบก 1.8; ฮบก 2.3; ฮบก 3.10; ฮบก 3.11; ศฟย 2.14; ศฟย 2.15; ฮกก 1.9; ฮกก 1.10; ศคย 5.2; ศคย 5.8; ศคย 5.11; ศคย 6.7; ศคย 11.5; ศคย 11.16; มลค 3.11; มธ 4.3; มธ 4.7; มธ 4.10; มธ 5.29; มธ 5.30; มธ 6.26; มธ 6.28; มธ 7.6; มธ 12.26; มธ 12.27; มธ 12.33; มธ 12.43; มธ 12.44; มธ 12.45; มธ 15.27; มธ 17.18; มธ 17.20; มธ 17.27; มธ 18.8; มธ 18.9; มธ 21.2; มธ 21.5; มธ 21.7; มธ 23.37; มธ 25.41; มก 1.23; มก 1.25; มก 1.26; มก 1.27; มก 1.34; มก 3.12; มก 3.26; มก 5.8; มก 5.9; มก 5.10; มก 9.43; มก 9.45; มก 11.2; มก 11.4; ลก 4.35; ลก 4.36; ลก 4.41; ลก 6.44; ลก 8.30; ลก 8.31; ลก 8.32; ลก 9.29; ลก 9.40; ลก 11.18; ลก 11.19; ลก 11.24; ลก 11.26; ลก 12.24; ลก 12.27; ลก 13.7; ลก 13.9; ลก 13.15; ลก 13.19; ลก 13.34; ลก 14.5; ลก 17.6; ลก 19.30; ลก 19.31; ยน 8.44; กจ 8.32; กจ 10.30; รม 11.24; 1คร 9.9; 1คร 15.38; 2คร 2.11; 2คร 11.3; 2คร 12.8; 2ธส 2.4; 2ธส 2.6; 2ธส 2.8; 1ทธ 5.18; 2ทธ 2.26; ฮบ 8.10; ฮบ 10.16; ยก 1.11; ยก 3.3; ยก 3.6; ยก 4.7; 1ปต 5.8; 2ปต 2.22; 3ยน 1.12; ยด 1.12; วว 9.4; วว 9.7; วว 9.8; วว 9.9; วว 9.10; วว 9.11; วว 9.17; วว 9.18; วว 9.19; วว 10.9; วว 10.10; วว 12.7; วว 12.9; วว 12.12; วว 12.13; วว 12.17; วว 13.1; วว 13.2; วว 13.5; วว 13.6; วว 13.7; วว 13.12; วว 13.14; วว 13.15; วว 13.16; วว 13.17; วว 13.18; วว 14.9; วว 14.11; วว 15.2; วว 16.2; วว 16.10; วว 16.14; วว 16.16; วว 17.3; วว 17.8; วว 18.14; วว 19.20; วว 20.2; วว 20.3; วว 20.4; วว 20.7; วว 20.8; วว 20.10

มั่น ( 35 )
ยชว 3.17 และปุโรหิตผู้หามหีบพันธสัญญาของพระเยโฮวาห์ยืนมั่นอยู่บนดินแดนแห้งกลางแม่น้ำจอร์แดน คนอิสราเอลทั้งหมดก็เดินข้ามไปบนดินแห้ง จนประชาชนข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปหมด
ยชว 4.3 และบัญชาเขาว่า ‘จงไปเอาศิลาสิบสองก้อนจากที่นี่ที่กลางแม่น้ำจอร์แดน ตรงที่ซึ่งเท้าของปุโรหิตยืนมั่นอยู่นั้น ขนมาวางไว้ในที่ซึ่งท่านทั้งหลายจะนอนในคืนวันนี้’”
2ซมอ 23.12 แต่ท่านยืนมั่นอยู่ท่ามกลางพื้นดินผืนนั้น และป้องกันที่ดินนั้นไว้ และฆ่าฟันคนฟีลิสเตีย และพระเยโฮวาห์ได้ทรงประทานชัยชนะอย่างใหญ่หลวง
1พศด 29.18 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัคและอิสราเอลบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอพระองค์ทรงรักษาความประสงค์แห่งความคิดในใจของประชาชนของพระองค์ให้เป็นเช่นนี้เสมอไป และขอทรงตั้งจิตใจของเขาทั้งหลายให้มั่นในพระองค์
2พศด 32.10 “เซนนาเคอริบกษัตริย์แห่งอัสซีเรียตรัสดังนี้ว่า ‘เจ้าทั้งหลายพึ่งอะไร เจ้าจึงยืนมั่นให้ล้อมอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม
โยบ 27.6 ข้ายึดความชอบธรรมของข้าไว้มั่นไม่ยอมปล่อยไป จิตใจของข้าไม่ตำหนิข้า ไม่ว่าวันใดในชีวิตของข้า
โยบ 41.10 ไม่มีใครดุพอที่จะไปยั่วเย้ามัน แล้วใครเล่าจะยืนมั่นต่อเราได้
สดด 64.5 เขายึดจุดประสงค์ชั่วของเขาไว้มั่น เขาพูดถึงการวางกับดักอย่างลับๆ คิดว่า “ใครจะเห็นเขาทั้งหลายได้”
สดด 75.3 เมื่อแผ่นดินโลกละลาย พร้อมทั้งบรรดาชาวแผ่นดินโลกนั้น ผู้ที่รักษาเสาของมันให้มั่นอยู่คือเราเอง เซลาห์
สภษ 4.4 บิดาสอนเรา และพูดกับเราว่า “ให้ใจของเจ้ายึดคำสอนของเราไว้ให้มั่น จงรักษาบัญญัติของเรา และมีชีวิตอยู่
สภษ 8.28 เมื่อพระองค์ทรงสถาปนาฟ้าเบื้องบน เมื่อพระองค์ทรงกระทำน้ำพุของน้ำบาดาลให้มั่นไว้
อสย 22.25 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า ในวันนั้นหมุดที่ปักแน่นอยู่ในที่มั่นจะหลุด มันจะถูกโค่นลงและตกลงมา และภาระที่อยู่บนนั้นจะถูกขจัดออก เพราะพระเยโฮวาห์ได้ตรัสไว้แล้ว”
อสย 47.10 ด้วยว่าเจ้ารู้สึกมั่นอยู่ในความชั่วของเจ้า เจ้าว่า “ไม่มีผู้ใดเห็นข้า” สติปัญญาของเจ้าและความรู้ของเจ้าทำให้เจ้าเจิ่นไป และเจ้าจึงว่าในใจของเจ้าว่า “ข้านี่แหละ และไม่มีผู้ใดอื่นอีก”
อสย 56.2 ความสุขย่อมมีแก่ผู้กระทำเช่นนี้ และแก่บุตรของมนุษย์ผู้ยึดไว้มั่น ผู้รักษาวันสะบาโตไม่เหยียดหยามวันนั้น และระวังมือของเขาจากการกระทำชั่วร้ายใดๆ”
อสย 56.4 เพราะพระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “เรื่องขันทีทั้งหลายผู้รักษาวันสะบาโตของเรา ผู้เลือกบรรดาสิ่งที่พอใจเรา และยึดพันธสัญญาของเราไว้มั่น
อสย 56.6 และบรรดาบุตรชายของคนต่างชาติผู้เข้าจารีตถือพระเยโฮวาห์ ปรนนิบัติพระองค์และรักพระนามของพระเยโฮวาห์ และเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ ทุกคนผู้รักษาวันสะบาโต และมิได้เหยียดหยาม และยึดพันธสัญญาของเรามั่นไว้
ยรม 8.5 ทำไมชาวเยรูซาเล็มนี้จึงได้หันไป เป็นการกลับสัตย์อยู่เป็นนิตย์ เขายึดการหลอกลวงไว้มั่น เขาทั้งหลายปฏิเสธไม่ยอมกลับ
ยรม 8.21 เพราะแผลแห่งบุตรสาวประชาชนของข้าพเจ้า หัวใจข้าพเจ้าจึงเป็นแผล ข้าพเจ้าเศร้าหมอง และความสยดสยองก็ยึดข้าพเจ้าไว้มั่น
ยรม 46.15 ทำไมชายที่กล้าหาญของเจ้าจึงหนีเสียเล่า พวกเขาไม่ยืนมั่นอยู่ เพราะว่าพระเยโฮวาห์ได้ทรงผลักเขาล้มลง
ยรม 50.33 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า ประชาชนอิสราเอลและประชาชนยูดาห์ถูกบีบบังคับด้วยกัน บรรดาผู้ที่จับเขาทั้งหลายไปเป็นเชลยได้ยึดเขาไว้มั่น เขาทั้งหลายปฏิเสธไม่ยอมให้เขาไป
ดนล 11.32 เขาจะใช้ความสอพลอล่อลวงผู้ที่ละเมิดพันธสัญญา แต่ประชาชนผู้รู้จักพระเจ้าของเขาทั้งหลายจะยืนมั่นและปฏิบัติงาน
ฮชย 12.6 “เหตุฉะนั้นเจ้าจงกลับมาหาพระเจ้าของเจ้า ยึดความเมตตาและความยุติธรรมไว้ให้มั่น และรอคอยพระเจ้าของเจ้าอยู่เสมอ”
มคา 5.4 และพระองค์จะทรงยืนมั่น ทรงเลี้ยงดูด้วยพระกำลังแห่งพระเยโฮวาห์ ด้วยสง่าราศีแห่งพระนามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพระองค์ และเขาทั้งหลายอยู่ได้ เพราะบัดนี้พระองค์จะทรงเป็นใหญ่ตลอดจนถึงที่สุดท้ายปลายพิภพ
มลค 3.2 แต่ใครจะทนอยู่ได้ในวันที่ท่านมา และใครจะยืนมั่นอยู่ได้เมื่อท่านปรากฏตัว เพราะว่าท่านเป็นประดุจไฟถลุงแร่ และประดุจสบู่ของช่างซักฟอก
กจ 14.22 กระทำให้ใจของสาวกทั้งหลายถือมั่นขึ้น เตือนเขาให้ดำรงอยู่ในความเชื่อ และสอนว่า เราทั้งหลายจำต้องทนความยากลำบากมากจนกว่าจะได้เข้าในอาณาจักรของพระเจ้า
รม 14.22 ท่านมีความเชื่อหรือ จงยึดไว้ให้มั่นต่อพระพักตร์พระเจ้า ผู้ใดไม่มีเหตุที่จะติเตียนตัวเองในสิ่งที่ตนเห็นชอบแล้วนั้นก็เป็นสุข
อฟ 6.13 เหตุฉะนั้นจงรับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าไว้ เพื่อท่านจะได้ต่อต้านในวันอันชั่วร้ายนั้นและเมื่อเสร็จแล้วจะยืนมั่นได้
อฟ 6.14 เหตุฉะนั้นท่านจงยืนมั่น เอาความจริงคาดเอว เอาความชอบธรรมเป็นทับทรวงเครื่องป้องกันอก
ฟป 4.1 เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้า ผู้เป็นที่รัก เป็นที่ปรารถนา เป็นที่ยินดี และเป็นมงกุฎของข้าพเจ้า พวกที่รักของข้าพเจ้า จงยืนมั่นในองค์พระผู้เป็นเจ้า
1ธส 5.21 จงพิสูจน์ทุกสิ่ง สิ่งที่ดีนั้นจงยึดถือไว้ให้มั่น
1ทธ 4.16 จงระวังตัวท่านและคำสอนของท่าน จงยึดข้อที่กล่าวนี้ให้มั่น เพราะเมื่อกระทำดังนั้น ท่านจะช่วยทั้งตัวท่านเองและคนทั้งปวงที่ฟังท่านให้รอดได้
ฮบ 8.9 ไม่เหมือนกับพันธสัญญาซึ่งเราได้กระทำกับบรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย เมื่อเราจูงมือเขาเพื่อนำเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ เพราะว่าเขาเหล่านั้นไม่ได้มั่นอยู่ในพันธสัญญาของเราอีกต่อไปแล้ว เราจึงได้ละเขาไว้” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้แหละ
วว 2.13 เรารู้จักแนวการกระทำของเจ้า เรารู้จักที่อยู่ของเจ้าคือเป็นที่นั่งของซาตาน เจ้ายึดนามของเราไว้มั่น และไม่ปฏิเสธความเชื่อในเรา แม้ในเวลาที่อันทีพาผู้เป็นพยานที่สัตย์ซื่อของเรา ต้องถูกฆ่าในท่ามกลางพวกเจ้าในที่ซึ่งซาตานอยู่
วว 2.25 แต่สิ่งที่เจ้ามีอยู่แล้วนั้น จงยึดไว้ให้มั่นจนกว่าเราจะมา
วว 3.3 เหตุฉะนั้น เจ้าจงระลึกว่าเจ้าได้รับและได้ยินอะไร จงยึดไว้ให้มั่นและกลับใจเสียใหม่ ฉะนั้นถ้าเจ้าไม่เฝ้าระวัง เราจะมาหาเจ้าเหมือนอย่างขโมย และเจ้าจะไม่รู้ว่าเราจะมาหาเจ้าเมื่อไร

มั่นคง ( 86 )
ปฐก 49.4 เจ้าไม่มั่นคงเหมือนดั่งน้ำ จึงเป็นยอดไม่ได้ ด้วยเจ้าล่วงเข้าไปถึงที่นอนบิดาของเจ้า เจ้าทำให้ที่นอนนั้นเป็นมลทิน เขาล่วงเข้าไปถึงที่นอนของเรา
อพย 14.13 โมเสสจึงเตือนพลไพร่ว่า “อย่ากลัวเลย มั่นคงไว้ คอยดูความรอดที่จะมาจากพระเยโฮวาห์ ซึ่งพระองค์จะประทานให้แก่ท่านทั้งหลายในวันนี้ ด้วยคนอียิปต์ซึ่งท่านทั้งหลายเห็นในวันนี้ แต่นี้ไปจะไม่ได้เห็นอีกเลย
พบญ 4.4 แต่ท่านทั้งหลายผู้ได้ยึดพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายมั่นคงอยู่ ทุกคนได้มีชีวิตอยู่ถึงวันนี้
1ซมอ 2.35 และเราจะให้ปุโรหิตผู้สัตย์ซื่อของเราเกิดขึ้นมา ซึ่งจะกระทำตามสิ่งที่มีอยู่ในจิตในใจของเรา และเราจะสร้างวงศ์วานมั่นคงให้เขา และเขาจะดำเนินอยู่ต่อหน้าผู้ที่เราเจิมไว้เป็นนิตย์
1ซมอ 25.28 ได้โปรดอภัยการละเมิดของหญิงผู้รับใช้ของท่านเถิด เพราะพระเยโฮวาห์จะทรงกระทำให้เจ้านายของดิฉันเป็นวงศ์วานที่มั่นคงอย่างแน่นอน ด้วยว่าเจ้านายของดิฉันทำสงครามอยู่ฝ่ายพระเยโฮวาห์ ตราบใดที่ท่านมีชีวิตอยู่จะหาความชั่วที่ตัวท่านไม่ได้เลย
2ซมอ 7.16 ราชวงศ์ของเจ้าและอาณาจักรของเจ้าจะดำรงอยู่ต่อหน้าเจ้าอย่างมั่นคงเป็นนิตย์ และบัลลังก์ของเจ้าจะถูกสถาปนาไว้เป็นนิตย์’”
2ซมอ 20.2 ดังนั้นพวกคนอิสราเอลทั้งหมดจึงถอนตัวจากดาวิด และไปตามเชบาบุตรชายบิครี แต่พวกคนยูดาห์ได้ติดตามกษัตริย์ของเขาอย่างมั่นคงจากแม่น้ำจอร์แดนไปถึงกรุงเยรูซาเล็ม
2ซมอ 23.5 ถึงแม้ว่าวงศ์วานของข้าพเจ้าไม่เป็นเช่นนั้นกับพระเจ้าแล้ว แต่พระองค์ยังทรงกระทำพันธสัญญาเนืองนิตย์กับข้าพเจ้าไว้ อันเป็นระเบียบทุกอย่างและมั่นคง เพราะนี่เป็นความรอดและความปรารถนาทั้งสิ้นของข้าพเจ้า ถึงแม้ว่าพระองค์ไม่ทรงกระทำให้เจริญขึ้น
1พกษ 2.12 ดังนั้นแหละซาโลมอนจึงประทับบนพระที่นั่งของดาวิดราชบิดาของพระองค์ และราชอาณาจักรของพระองค์ก็ดำรงมั่นคงอยู่
1พกษ 2.45 แต่กษัตริย์ซาโลมอนจะได้รับพระพร และพระที่นั่งของดาวิดจะตั้งมั่นคงต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์อยู่เป็นนิตย์”
1พกษ 2.46 แล้วกษัตริย์ทรงบัญชาเบไนยาห์บุตรชายเยโฮยาดาและเขาก็ออกไปประหารชีวิตชิเมอีเสีย ดังนั้นราชอาณาจักรก็ตั้งมั่นคงอยู่ในพระหัตถ์ของซาโลมอน
1พกษ 11.38 และจะเป็นดังนี้ว่าถ้าเจ้าเชื่อฟังทุกสิ่งที่เราบัญชาแก่เจ้า และจะดำเนินในทางทั้งหลายของเรา และกระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของเรา โดยรักษากฎเกณฑ์ของเรา และบัญญัติของเราดังดาวิดผู้รับใช้ของเราได้กระทำ เราจะอยู่กับเจ้า และจะสร้างเจ้าให้เป็นราชวงศ์ที่มั่นคง ดังที่เราได้สร้างเพื่อดาวิดมาแล้ว และเราจะให้อิสราเอลแก่เจ้า
2พกษ 14.5 และอยู่มาเมื่อราชอาณาจักรอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์อย่างมั่นคงแล้ว พระองค์ก็ทรงประหารชีวิตข้าราชการของพระองค์ผู้ที่ฆ่ากษัตริย์คือพระราชบิดาของพระองค์เสีย
2พศด 8.5 พระองค์ได้ทรงสร้างเมืองเบธโฮโรนบนและเบธโฮโรนล่างด้วยเป็นเมืองที่มั่นคง มีกำแพง ประตูเมือง และดาน
2พศด 12.1 ต่อมาเมื่อราชอาณาจักรของเรโหโบอัมตั้งมั่นคงและแข็งแรงแล้ว พระองค์ทรงทอดทิ้งพระราชบัญญัติของพระเยโฮวาห์เสีย และอิสราเอลทั้งปวงก็ทิ้งพร้อมกับพระองค์ด้วย
2พศด 20.20 และเขาทั้งหลายได้ลุกขึ้นแต่เช้า และออกไปในถิ่นทุรกันดารแห่งเทโคอา และเมื่อเขาออกไป เยโฮชาฟัทประทับยืนและตรัสว่า “โอ ยูดาห์และชาวเยรูซาเล็มเอ๋ย จงฟังข้าพเจ้า จงเชื่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน และท่านจะตั้งมั่นคงอยู่ จงเชื่อบรรดาผู้พยากรณ์ของพระองค์ และท่านจะสำเร็จผล”
2พศด 25.3 และอยู่มาพอราชอาณาจักรอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์อย่างมั่นคงแล้ว พระองค์ทรงประหารชีวิตข้าราชการของพระองค์ ผู้ที่ฆ่าพระราชบิดาของพระองค์
2พศด 34.10 เขาทั้งหลายมอบให้แก่คนทำงานผู้ดูแลพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และมอบให้แก่คนทำงานผู้ทำงานอยู่ในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ เพื่อการซ่อมแซมพระนิเวศให้มั่นคง
อสร 6.3 “ในปีต้นแห่งรัชกาลกษัตริย์ไซรัส กษัตริย์ไซรัสทรงออกกฤษฎีกาว่า เรื่องพระนิเวศของพระเจ้าที่เยรูซาเล็มว่า ‘ให้สร้างพระนิเวศนั้นขึ้นใหม่ คือที่ซึ่งเขานำเครื่องสัตวบูชามาถวาย ให้ลงรากมั่นคง ให้พระนิเวศสูงหกสิบศอกและกว้างหกสิบศอก
นหม 9.38 เหตุบรรดาสิ่งเหล่านี้เราทั้งหลายจึงกระทำพันธสัญญามั่นคงและบันทึกไว้ เจ้านาย คนเลวีและปุโรหิตของเราทั้งหลายจึงประทับตราของเขาไว้”
โยบ 4.4 ถ้อยคำของท่านหนุนใจคนที่กำลังสะดุด และท่านได้ทำเข่าที่อ่อนเปลี้ยให้มั่นคง
โยบ 11.15 แล้วแน่ละ ท่านจะเงยหน้าขึ้นโดยปราศจากตำหนิ ท่านจะมั่นคง และไม่ต้องกลัว
โยบ 11.18 และท่านจะรู้สึกมั่นคง เพราะมีความหวัง เออ ท่านจะตรวจตราดู และนอนพักอย่างปลอดภัย
โยบ 12.6 เต็นท์ของโจรก็มั่งคั่ง และบุคคลที่ยั่วเย้าพระเจ้าก็มั่นคง พระเจ้าทรงนำของมากมายมาสู่มือของเขา
โยบ 21.8 เชื้อสายของเขาก็ตั้งมั่นคงอยู่ในสายตาของเขา และลูกหลานของเขาก็อยู่ต่อหน้าต่อตาเขา
สดด 33.11 คำปรึกษาของพระเยโฮวาห์ตั้งมั่นคงเป็นนิตย์ พระดำริในพระทัยของพระองค์อยู่ทุกชั่วอายุ
สดด 40.2 พระองค์ทรงฉุดข้าพเจ้าขึ้นมาจากหลุมอันน่าสลด ออกมาจากเลนตม แล้ววางเท้าของข้าพเจ้าลงบนศิลา กระทำให้ย่างเท้าของข้าพเจ้ามั่นคง
สดด 48.3 ภายในปราสาททั้งหลายของนครนั้นก็เป็นที่ทราบกันแล้วว่า พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยอันมั่นคง
สดด 57.7 โอ ข้าแต่พระเจ้า จิตใจของข้าพระองค์มั่นคง จิตใจของข้าพระองค์มั่นคง ข้าพระองค์จะร้องเพลงและร้องเพลงสรรเสริญ
สดด 78.8 และเพื่อเขาจะมิได้เหมือนบรรพบุรุษของเขา คือชั่วอายุที่ดื้อดึงและมักกบฏ ชั่วอายุที่จิตใจไม่มั่นคง ผู้ซึ่งจิตวิญญาณของเขาไม่มั่นคงต่อพระเจ้า
สดด 89.28 เราจะเก็บความเมตตาของเราไว้ให้เขาเป็นนิตย์ และพันธสัญญาของเราจะตั้งมั่นคงอยู่เพื่อเขา
สดด 102.28 ลูกหลานของบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์จะอยู่มั่นคง และเชื้อสายของเขาจะได้รับการสถาปนาต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์
สดด 108.1 โอ ข้าแต่พระเจ้า จิตใจของข้าพระองค์มั่นคง ข้าพระองค์จะร้องเพลงและร้องเพลงสรรเสริญด้วยจิตใจของข้าพระองค์
สดด 119.5 โอ ขอให้ทางทั้งหลายของข้าพระองค์มั่นคงในการรักษากฎเกณฑ์ของพระองค์
สดด 119.133 ขอทรงให้ย่างเท้าของข้าพระองค์มั่นคงอยู่ในพระดำรัสของพระองค์ ขออย่าทรงให้ความชั่วช้าใดๆมีอำนาจเหนือข้าพระองค์
สภษ 4.26 จงพิจารณาวิถีแห่งเท้าของเจ้า แล้วทางทั้งสิ้นของเจ้าจะมั่นคง
สภษ 10.9 ผู้ใดที่ดำเนินในความเที่ยงธรรมก็ดำเนินอย่างมั่นคงดี แต่ผู้ที่ทำทางของตนให้ชั่วก็จะปรากฏแจ้งแก่คนอื่น
สภษ 22.18 เพราะถ้าเจ้ารักษาถ้อยคำและความรู้นั้นไว้ในตัวเจ้า ก็จะเป็นความชื่นใจแก่เจ้า แล้วทั้งสองจะมั่นคงในริมฝีปากของเจ้า
อสย 22.23 และเราจะตอกเขาไว้เหมือนตอกหมุดในที่มั่นคง และเขาจะเป็นที่นั่งมีเกียรติแก่วงศ์วานบิดาของเขา
อสย 28.16 เพราะฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “ดูเถิด เราวางศิลาไว้ในศิโยนเพื่อเป็นรากฐาน คือศิลาที่ทดสอบแล้ว เป็นศิลามุมเอกอย่างประเสริฐ เป็นรากฐานอันมั่นคง เขาผู้นั้นที่เชื่อจะไม่รีบร้อน
อสย 35.3 จงหนุนกำลังของมือที่อ่อน และกระทำหัวเข่าที่อ่อนให้มั่นคง
ยรม 44.29 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า นี่จะเป็นหมายสำคัญแก่เจ้า คือเราจะลงโทษเจ้าในที่นี้ เพื่อเจ้าจะได้ทราบว่า คำของเราจะตั้งมั่นคงอยู่ต่อเจ้าให้เกิดความร้ายเป็นแน่
ยรม 49.31 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า จงลุกขึ้น รุดหน้าไปสู้ประชาชาติหนึ่งที่มั่งมี ซึ่งอาศัยอยู่อย่างมั่นคง ไม่มีประตูเมืองและไม่มีดาลประตู อยู่แต่ลำพัง
ดนล 11.17 ท่านจะมุ่งหน้ามาด้วยกำลังทั้งหมดแห่งราชอาณาจักร และท่านจะนำคนเที่ยงตรงไปด้วย แล้วท่านจะกระทำดังนี้ คือท่านจะยกธิดาของพวกผู้หญิงให้กษัตริย์แห่งถิ่นใต้เพื่อให้ทำลายเธอ แต่เธอจะไม่มั่นคงและอำนวยประโยชน์แก่ท่านแต่ประการใด
มธ 27.66 เขาจึงไปทำอุโมงค์ให้มั่นคง ประทับตราไว้ที่หิน และวางยามประจำอยู่
มก 14.44 ผู้ที่จะทรยศพระองค์นั้นได้ให้สัญญาณแก่เขาว่า “เราจุบผู้ใด ก็เป็นผู้นั้นแหละ จงจับกุมเขาไปให้มั่นคง”
กจ 2.42 เขาทั้งหลายได้ตั้งมั่นคงอยู่ในคำสอนของจำพวกอัครสาวก และในการสามัคคีธรรม และร่วมใจกันในการหักขนมปัง และการอธิษฐาน
กจ 5.23 ว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นคุกปิดอยู่มั่นคงและคนเฝ้าก็ยืนอยู่หน้าประตู ครั้นเปิดประตูแล้วก็ไม่เห็นผู้ใดอยู่ข้างใน”
กจ 11.23 เมื่อบารนาบัสมาถึงแล้ว และได้เห็นพระคุณของพระเจ้าก็ปีติยินดี จึงได้เตือนคนเหล่านั้นให้ตั้งมั่นคงติดสนิทอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้า
กจ 13.43 ครั้นคนที่ประชุมกันนั้นต่างคนต่างไปจากธรรมศาลาแล้ว พวกยิวหลายคนกับคนเข้าจารีตที่เกรงกลัวพระเจ้าได้ตามเปาโลและบารนาบัสไป ท่านทั้งสองจึงพูดกับเขา ชวนให้เขาตั้งมั่นคงอยู่ในพระคุณของพระเจ้า
กจ 16.23 ครั้นโบยหลายทีแล้วจึงให้จำไว้ในคุก และกำชับนายคุกให้รักษาไว้ให้มั่นคง
รม 4.20 ท่านมิได้หวั่นไหวแคลงใจในพระสัญญาของพระเจ้า แต่ท่านมีความเชื่อมั่นคงยิ่งขึ้น จึงถวายเกียรติยศแด่พระเจ้า
รม 9.11 (แม้ก่อนบุตรนั้นบังเกิดมา และยังไม่ได้กระทำดีหรือชั่ว เพื่อพระดำริของพระเจ้าในการทรงเลือกนั้นจะตั้งมั่นคงอยู่ ไม่ใช่ตามการกระทำ แต่ตามซึ่งพระองค์ทรงเรียก)
รม 16.25 บัดนี้จงถวายพระเกียรติแด่พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์สามารถให้ท่านทั้งหลายตั้งมั่นคง ตามข่าวประเสริฐซึ่งข้าพเจ้าได้ประกาศนั้น และตามที่ได้ประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์ ตามการเปิดเผยข้อความอันลึกลับซึ่งได้ปิดบังไว้ตั้งแต่สร้างโลก
1คร 1.8 พระองค์จะทรงให้ท่านมั่นคงอยู่จนถึงที่สุด เพื่อให้ท่านปราศจากที่ติในวันของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
1คร 10.12 เหตุฉะนั้นคนที่คิดว่าตัวเองมั่นคงดีแล้ว ก็จงระวังให้ดี กลัวว่าจะล้มลง
1คร 16.13 ท่านทั้งหลายจงระมัดระวัง จงมั่นคงในความเชื่อ จงเป็นลูกผู้ชายแท้ จงเข้มแข็ง
อฟ 3.17 เพื่อพระคริสต์จะทรงสถิตในใจของท่านโดยความเชื่อ เพื่อว่าเมื่อทรงวางรากฐานท่านไว้อย่างมั่นคงในความรักแล้ว
ฟป 1.7 การที่ข้าพเจ้าคิดอย่างนั้นเนื่องด้วยท่านทั้งหลายก็สมควรแล้ว เพราะว่าข้าพเจ้ามีท่านในใจของข้าพเจ้า ท่านทั้งหลายได้รับส่วนในพระคุณด้วยกันกับข้าพเจ้า ในการที่ข้าพเจ้าถูกจองจำ และในการกล่าวแก้ และหนุนให้ข่าวประเสริฐนั้นตั้งมั่นคงอยู่
ฟป 1.27 ขอแต่เพียงให้ท่านดำเนินชีวิตให้สมกับข่าวประเสริฐของพระคริสต์ เพื่อว่าแม้ข้าพเจ้าจะมาหาท่านหรือไม่ก็ตาม ข้าพเจ้าก็จะได้รู้ข่าวของท่านว่า ท่านตั้งมั่นคงอยู่ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ต่อสู้เหมือนอย่างเป็นคนเดียวเพื่อความเชื่อแห่งข่าวประเสริฐนั้น
คส 2.5 เพราะถึงแม้ว่าตัวของข้าพเจ้าไม่อยู่กับท่าน แต่ใจของข้าพเจ้ายังอยู่กับท่าน และมีความชื่นชมยินดีที่ได้เห็นท่านอยู่กันอย่างเรียบร้อย และเห็นความเชื่อมั่นคงของท่านในพระคริสต์
คส 2.7 โดยท่านได้ถูกวางรากลงไว้แล้ว และถูกก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ให้สมบูรณ์ และถูกตั้งให้มั่นคงอยู่ในความเชื่อตามที่ท่านได้รับการสอนมาแล้วนั้น จึงเต็มล้นด้วยการขอบพระคุณอยู่ในนั้น
1ธส 3.2 และได้ให้ทิโมธีน้องชายของเรา ซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า และเป็นเพื่อนร่วมงานของเราในเรื่องข่าวประเสริฐของพระคริสต์ไปหาพวกท่าน เพื่อจะได้ตั้งพวกท่านไว้ให้มั่นคง และเพื่อจะได้ปลอบประโลมใจพวกท่านในเรื่องความเชื่อของท่าน
1ธส 3.8 เพราะว่าถ้าท่านมั่นคงอยู่ในองค์พระผู้เป็นเจ้า ชีวิตของเราก็สดชื่น
1ธส 3.13 เพื่อในที่สุดพระองค์จะทรงให้ใจของท่านตั้งมั่นคงอยู่ในความบริสุทธิ์ ปราศจากข้อตำหนิต่อพระพักตร์พระเจ้าคือพระบิดาของเรา ในเมื่อพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราจะเสด็จมากับวิสุทธิชนทั้งปวงของพระองค์
2ธส 2.15 เหตุฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย จงมั่นคงไว้ และยึดถือโอวาทที่ท่านได้เรียนแล้ว ไม่ว่าจะด้วยคำพูด หรือด้วยจดหมายของเรา
2ธส 2.17 ทรงชูใจและตั้งใจของท่านไว้ให้มั่นคง ในวาจาและในการกระทำอันดีทุกอย่าง
2ทธ 2.19 แต่ว่ารากฐานแห่งพระเจ้านั้นอยู่อย่างมั่นคง โดยมีตราประทับไว้ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรู้จักคนเหล่านั้นที่เป็นของพระองค์’ และ ‘ให้ทุกคนซึ่งออกพระนามของพระคริสต์ละทิ้งความชั่วช้าเสีย’
2ทธ 3.14 แต่ฝ่ายท่านจงดำเนินต่อไปในสิ่งที่ท่านเรียนรู้แล้ว และได้เชื่ออย่างมั่นคง ท่านก็รู้ว่าท่านได้เรียนมาจากผู้ใด
ฮบ 2.2 ด้วยว่าถ้าถ้อยคำซึ่งทูตสวรรค์ได้กล่าวไว้นั้นมั่นคง และการละเมิดกับการไม่เชื่อฟังทุกอย่างได้รับผลตอบสนองตามความยุติธรรมแล้ว
ฮบ 3.6 แต่พระคริสต์นั้นในฐานะพระบุตรที่ทรงอำนาจเหนือครอบครัวของพระองค์ และเราทั้งหลายเป็นครอบครัวนั้นแหละ หากเราจะยึดความมั่นใจและความชื่นชมยินดีในความหวังนั้นไว้ให้มั่นคงจนถึงที่สุด
ฮบ 3.14 เพราะว่าถ้าเรายึดความไว้วางใจที่เรามีอยู่ตอนต้นไว้ให้มั่นคงจนถึงที่สุด เราก็กลายมาเป็นผู้มีส่วนกับพระคริสต์
ฮบ 4.14 เหตุฉะนั้นเมื่อเรามีมหาปุโรหิตผู้เป็นใหญ่ที่ผ่านฟ้าสวรรค์ไปแล้ว คือพระเยซูพระบุตรของพระเจ้า ขอให้เราทั้งหลายมั่นคงในการยอมรับของเราไว้
ฮบ 6.19 ความหวังนั้นเรายึดไว้ต่างสมอของจิตวิญญาณ เป็นความหวังทั้งแน่และมั่นคง และได้ทอดไว้ภายในม่าน
ยก 1.8 คนสองใจเป็นคนไม่มั่นคงในบรรดาทางทั้งหลายที่ตนประพฤตินั้น
1ปต 5.9 จงต่อสู้กับศัตรูนั้นด้วยตั้งใจมั่นคงในความเชื่อ โดยรู้อยู่ว่าความยากลำบากอย่างนั้นก็มีแก่พวกพี่น้องทั้งหลายของท่านที่อยู่ในโลกเช่นเดียวกัน
1ปต 5.10 และพระเจ้าแห่งบรรดาพระคุณทั้งปวง ผู้ได้ทรงเรียกให้เราทั้งหลายเข้าในสง่าราศีนิรันดร์ของพระองค์โดยพระเยซูคริสต์ ครั้นท่านทั้งหลายทนทุกข์อยู่หน่อยหนึ่งแล้ว พระองค์เองจะทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายถึงที่สำเร็จ ให้ตั้งมั่นคง ให้ท่านมีกำลังมากขึ้น และทรงให้ท่านมีพื้นฐานมั่นคง
2ปต 1.12 เหตุฉะนั้น ถึงแม้ว่าท่านจะรู้และตั้งมั่นคงอยู่ในความจริงที่ท่านรับแล้วนั้นก็ดี ข้าพเจ้าก็ไม่ละเลยที่จะเตือนสติท่านทั้งหลายเสมอให้ระลึกถึงสิ่งเหล่านี้
2ปต 2.14 ตาเขาเต็มไปด้วยความปรารถนาแห่งการล่วงประเวณี และเขาหยุดกระทำบาปไม่ได้เลย เขาวางกับดักคนที่มีจิตใจไม่มั่นคง เขามีใจชินกับการโลภ เขาเป็นลูกแห่งความสาปแช่ง
2ปต 3.16 เหมือนในจดหมายของท่านทุกฉบับ ท่านได้กล่าวถึงเหตุการณ์เหล่านั้น และในจดหมายนั้นมีบางข้อที่เข้าใจยาก ซึ่งคนทั้งหลายที่ไม่ได้เรียนรู้และไม่แน่นอนมั่นคงนั้นได้เปลี่ยนแปลงเสีย เหมือนเขาได้เปลี่ยนแปลงข้ออื่นๆในพระคัมภีร์ จึงเป็นเหตุกระทำให้ตัวพินาศ
2ปต 3.17 เพราะเหตุนั้น พวกที่รัก เมื่อท่านทั้งหลายรู้เรื่องนี้ก่อนแล้ว ท่านก็จงระวังให้ดี เกรงว่าท่านอาจจะหลงไปกระทำผิดตามการผิดของคนชั่ว และท่านทั้งหลายจะสูญเสียความหนักแน่นมั่นคงของท่าน
1ยน 2.24 เหตุฉะนั้น จงให้ข้อความที่ท่านได้ยินมาตั้งแต่ต้นนั้นดำรงอยู่กับท่านเถิด ถ้าข้อความที่ท่านได้ยินตั้งแต่ต้นนั้นดำรงอยู่กับท่าน ท่านจะตั้งมั่นคงอยู่ในพระบุตรและในพระบิดาด้วย
1ยน 2.27 แต่การเจิมซึ่งท่านทั้งหลายได้รับจากพระองค์นั้นดำรงอยู่กับท่าน และท่านไม่จำเป็นต้องให้ใครมาสอนท่านทั้งหลาย เพราะว่าการเจิมนั้นสอนท่านให้รู้ทุกสิ่ง และเป็นความจริง ไม่ใช่ความเท็จ การเจิมนั้นได้สอนท่านทั้งหลายมาแล้วอย่างไร ท่านก็จงตั้งมั่นคงอยู่ในพระองค์อย่างนั้น

มั่นใจ ( 11 )
โยบ 24.22 เขาได้ทำลายคนที่มีกำลังด้วยอำนาจของตน เขาลุกขึ้น แล้วไม่มีใครมั่นใจเรื่องชีวิตของตน
สภษ 14.26 ความยำเกรงพระเยโฮวาห์ทำให้คนอยู่อย่างมั่นใจมาก ลูกหลานของเขาจะมีที่ลี้ภัย
อสย 7.9 และเศียรของเอฟราอิมคือสะมาเรีย และเศียรของสะมาเรียคือโอรสของเรมาลิยาห์ ถ้าเจ้าจะไม่มั่นใจ แน่ละ ก็จะตั้งมั่นเจ้าไว้ไม่ได้’”
มคา 7.5 อย่าวางใจในสหาย อย่ามั่นใจในคนนำทาง จงเฝ้าประตูปากของเจ้าอย่าเผยอะไรแก่เธอที่อยู่ในอ้อมอกของเจ้า
รม 2.19 และท่านมั่นใจว่า ท่านเป็นผู้จูงคนตาบอด เป็นความสว่างให้แก่คนทั้งหลายที่อยู่ในความมืด
2คร 5.6 เหตุฉะนั้นเรามั่นใจอยู่เสมอรู้อยู่แล้วว่า ขณะที่เราอยู่ในร่างกายนี้ เราอยู่ปราศจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
2คร 10.7 ท่านแลดูสิ่งที่ปรากฏภายนอกหรือ ถ้าผู้ใดมั่นใจว่าตนเป็นคนของพระคริสต์ ก็ให้ผู้นั้นคำนึงถึงตนเองอีกว่า เมื่อเขาเป็นคนของพระคริสต์ เราก็เป็นคนของพระคริสต์เหมือนกัน
คส 2.2 เพื่อเขาจะได้รับความชูใจ และเข้าติดสนิทกันในความรัก และมั่นใจในความอุดมสมบูรณ์แห่งความเข้าใจ และเข้าในความรู้ความลึกลับของพระเจ้าและของพระบิดาและของพระคริสต์
ฟม 1.21 ข้าพเจ้ามั่นใจท่านจะเชื่อฟัง จึงได้เขียนมาถึงท่าน เพราะรู้อยู่ว่าท่านจะกระทำยิ่งกว่าที่ข้าพเจ้าขอเสียอีก
ฮบ 11.1 บัดนี้ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นหลักฐานมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง
1ยน 2.3 เราจะมั่นใจได้ว่าเรารู้จักพระองค์โดยข้อนี้ คือถ้าเรารักษาพระบัญญัติของพระองค์

มัมเร ( 10 )
ปฐก 13.18 ดังนั้นอับรามจึงยกเต็นท์มาและอาศัยอยู่ที่ราบของมัมเร ซึ่งอยู่ในเฮโบรนและสร้างแท่นบูชาต่อพระเยโฮวาห์ที่นั่น
ปฐก 14.13 แล้วมีคนหนึ่งที่หนีมานั้นได้บอกให้อับรามชาวฮีบรู เพราะว่าท่านอาศัยอยู่ที่ราบของมัมเรคนอาโมไรต์ พี่น้องของเอชโคล์และพี่น้องของอาเนอร์ คนเหล่านี้เป็นพันธมิตรกับอับราม
ปฐก 14.24 เว้นแต่สิ่งที่คนหนุ่มได้กินและส่วนของคนทั้งหลายซึ่งไปกับข้าพเจ้าคืออาเนอร์ เอชโคล์ และมัมเร ให้พวกเขารับส่วนของพวกเขาเถิด”
ปฐก 18.1 พระเยโฮวาห์ทรงปรากฏแก่เขาที่ราบของมัมเร และเขานั่งอยู่ที่ประตูเต็นท์ในเวลาแดดร้อน
ปฐก 23.17 นาของเอโฟรนในมัคเป-ลาห์ ซึ่งอยู่หน้ามัมเร มีนากับถ้ำซึ่งอยู่ในนั้น และต้นไม้ทั้งสิ้นซึ่งอยู่ในนาตลอดทั่วบริเวณนั้น จึงได้ขาย
ปฐก 23.19 ต่อมาอับราฮัมก็ฝังศพนางซาราห์ภรรยาของตน ในถ้ำที่นามัคเป-ลาห์หน้ามัมเร คือเมืองเฮโบรน ในแผ่นดินคานาอัน
ปฐก 25.9 อิสอัคและอิชมาเอลบุตรชายของท่านก็ฝังท่านไว้ในถ้ำมัคเป-ลาห์ ในนาของเอโฟรนบุตรชายของโศหาร์คนฮิตไทต์ซึ่งอยู่หน้ามัมเร
ปฐก 35.27 ฝ่ายยาโคบกลับมาหาอิสอัคบิดาของตนที่มัมเร คือที่เมืองอารบา คือเฮโบรน ที่อับราฮัมและอิสอัคเคยอาศัยก่อน
ปฐก 49.30 ในถ้ำที่อยู่ในนาชื่อมัคเป-ลาห์ หน้ามัมเรในแผ่นดินคานาอัน ซึ่งอับราฮัมได้ซื้อกับนาของเอโฟรนคนฮิตไทต์ไว้เป็นกรรมสิทธิ์เพื่อใช้เป็นสุสาน
ปฐก 50.13 คือบรรดาบุตรชายเชิญศพไปยังแผ่นดินคานาอัน แล้วฝังไว้ในถ้ำที่อยู่ในนาชื่อมัคเป-ลาห์ ซึ่งอับราฮัมซื้อไว้กับนาจากเอโฟรนคนฮิตไทต์เป็นกรรมสิทธิ์เพื่อใช้เป็นสุสาน อยู่หน้ามัมเร

มัลคัส ( 1 )
ยน 18.10 ซีโมนเปโตรมีดาบ จึงชักออกและฟันผู้รับใช้คนหนึ่งของมหาปุโรหิต ถูกหูข้างขวาขาดไป ชื่อของผู้รับใช้คนนั้นคือมัลคัส

มัลคาม ( 1 )
1พศด 8.9 เขาให้กำเนิดบุตรกับโฮเดชภรรยาของเขาคือ โยบับ ศิเบีย เมชา มัลคาม

มัลคิยาห์ ( 15 )
1พศด 6.40 ผู้เป็นบุตรชายมีคาเอล ผู้เป็นบุตรชายบาอาเสยาห์ ผู้เป็นบุตรชายมัลคิยาห์
1พศด 9.12 และอาดายาห์ ผู้เป็นบุตรชายเยโรฮัม ผู้เป็นบุตรชายปาชเฮอร์ ผู้เป็นบุตรชายมัลคิยาห์ และมาอาสัย ผู้เป็นบุตรชายอาดีเอล ผู้เป็นบุตรชายยาเซราห์ ผู้เป็นบุตรชายเมชุลลาม ผู้เป็นบุตรชายเมชิลเลมิท ผู้เป็นบุตรชายอิมเมอร์
1พศด 24.9 ที่ห้าแก่มัลคิยาห์ ที่หกแก่มิยามิน
อสร 10.25 และจากพวกอิสราเอล คือจากคนปาโรช มี รามียาห์ อิสซียาห์ มัลคิยาห์ มิยามิน เอเลอาซาร์ มัลคิยาห์ และเบไนยาห์
อสร 10.31 จากคนฮาริม มี เอลีเยเซอร์ อิสชีอาห์ มัลคิยาห์ เชไมอาห์ ชิเมโอน
นหม 3.11 มัลคิยาห์บุตรชายฮาริม และหัสชูบบุตรชายปาหัทโมอับได้ซ่อมแซมอีกส่วนหนึ่ง และหอคอยเตาอบ
นหม 3.14 มัลคิยาห์บุตรชายเรคาบ ผู้ปกครองส่วนหนึ่งของแขวงเบธฮัคเคเรม ได้ซ่อมประตูกองขยะ เขาสร้างและตั้งบานประตู ติดลูกสลักและดาลประตู
นหม 8.4 เอสราธรรมาจารย์ยืนอยู่บนแท่นไม้ ซึ่งเขาทำไว้เพื่อการนี้ ข้างๆท่านมีมัททีธิยาห์ เชมา อานายาห์ อุรีอาห์ ฮิลคียาห์และมาอาสอาห์ยืนอยู่ข้างขวามือของท่าน กับมีเปดายาห์ มิชาเอล มัลคิยาห์ ฮาชูม ฮัชบัดดานาห์ เศคาริยาห์และเมชุลลามอยู่ข้างซ้ายมือของท่าน
นหม 10.3 ปาชเฮอร์ อามาริยาห์ มัลคิยาห์
นหม 11.12 และพี่น้องของเขาที่ทำงานอยู่ในพระนิเวศ มีแปดร้อยยี่สิบสองคน และอาดายาห์บุตรชายเยโรฮัม ผู้เป็นบุตรชายเปไลยาห์ ผู้เป็นบุตรชายอัมซี ผู้เป็นบุตรชายเศคาริยาห์ ผู้เป็นบุตรชายปาชเฮอร์ ผู้เป็นบุตรชายมัลคิยาห์
นหม 12.42 และมาอาเสอาห์ เชไมอาห์ เอเลอาซาร์ อุสซี เยโฮฮานัน มัลคิยาห์ เอลาม และเอเซอร์ และบรรดานักร้องได้ร้องเพลงด้วยเสียงดัง มีอิสราหิยาห์เป็นหัวหน้าของเขา
ยรม 21.1 พระวจนะซึ่งมาจากพระเยโฮวาห์ถึงเยเรมีย์ เมื่อกษัตริย์เศเดคียาห์ทรงใช้ให้ปาชเฮอร์บุตรชายมัลคิยาห์ และเศฟันยาห์ปุโรหิตบุตรชายมาอาเสอาห์ไปหาเยเรมีย์ว่า
ยรม 38.1 ฝ่ายเชฟาทิยาห์บุตรชายมัทธาน เกดาลิยาห์บุตรชายปาชเฮอร์ และยูคาลบุตรชายเชเลมิยาห์ และปาชเฮอร์บุตรชายมัลคิยาห์ได้ยินถ้อยคำของเยเรมีย์ที่กล่าวแก่ประชาชนทุกคนว่า
ยรม 38.6 เขาจึงจับเยเรมีย์หย่อนลงไปในคุกใต้ดินของมัลคิยาห์บุตรชายฮามเมเลคซึ่งอยู่ในบริเวณทหารรักษาพระองค์ เขาเอาเชือกหย่อนเยเรมีย์ลงไป ในคุกใต้ดินนั้นไม่มีน้ำ มีแต่โคลน และเยเรมีย์ก็จมลงไปในโคลน

มัลคีชูวา ( 5 )
1ซมอ 14.49 ฝ่ายโอรสของซาอูล มีโยนาธาน อิชวี มัลคีชูวา และชื่อธิดาทั้งสองของพระองค์คือ คนหัวปีชื่อเมราบ และชื่อผู้น้องคือมีคาล
1ซมอ 31.2 และคนฟีลิสเตียก็ไล่ทันซาอูลกับพวกราชโอรส และคนฟีลิสเตียก็ฆ่าโยนาธาน อาบีนาดับ และมัลคีชูวาราชโอรสของซาอูลเสีย
1พศด 8.33 เนอร์ให้กำเนิดบุตรชื่อคีช คีชให้กำเนิดบุตรชื่อซาอูล ซาอูลให้กำเนิดบุตรชื่อโยนาธาน มัลคีชูวา อาบีนาดับ และเอชบาอัล
1พศด 9.39 เนอร์ให้กำเนิดบุตรชื่อคีช คีชให้กำเนิดบุตรชื่อซาอูล ซาอูลให้กำเนิดบุตรชื่อโยนาธาน มัลคีชูวา อาบีนาดับ และเอชบาอัล
1พศด 10.2 และคนฟีลิสเตียก็ไล่ทันซาอูลกับพวกราชโอรส และคนฟีลิสเตียก็ฆ่าโยนาธาน อาบีนาดับ และมัลคีชูวา ราชโอรสของซาอูลเสีย

มัลคีราม ( 1 )
1พศด 3.18 มัลคีราม เปดายาห์ เชนาสซาร์ เยคามิยาห์ โฮชามา เนดาบียาห์

มัลคีเอล ( 4 )
ปฐก 46.17 บุตรชายของอาเชอร์ คือ ยิมนาห์ อิชอูอาห์ อิชอูไอ และเบรีอาห์ กับเสราห์น้องสาวของเขา และบุตรชายของเบรีอาห์คือ เฮเบอร์และมัลคีเอล
กดว 26.45 บุตรชายของเบรียาห์คือ เฮเบอร์ คนครอบครัวเฮเบอร์ มัลคีเอล คนครอบครัวมัลคีเอล
1พศด 7.31 บุตรชายของเบรียาห์คือ เฮเบอร์และมัลคีเอล ผู้เป็นบิดาของบิรซาวิธ

มัลลูค ( 6 )
1พศด 6.44 ที่ข้างซ้ายมือมีบุตรชายของเมรารี พี่น้องของเขาคือ เอธานผู้เป็นบุตรชายคีชี ผู้เป็นบุตรชายอับดี ผู้เป็นบุตรชายมัลลูค
อสร 10.29 จากคนบานี มี เมชุลลาม มัลลูค อาดายาห์ ยาชูบ เชอัล และเยรีโมท
อสร 10.32 เบนยามิน มัลลูค เชมาริยาห์
นหม 10.4 ฮัทธัช เชบานิยาห์ มัลลูค
นหม 10.27 มัลลูค ฮาริม บาอานาห์
นหม 12.2 อามาริยาห์ มัลลูค ฮัทธัช

มัลโลธี ( 2 )
1พศด 25.4 จากเฮมาน คือลูกหลานของเฮมานมี บุคคียาห์ มัทธานิยาห์ อุสซีเอล เชบูเอล และเยรีโมท ฮานานิยาห์ ฮานานี เอลียาธาห์ กิดดาลที และโรมัมทีเอเซอร์ โยชเบคาชาห์ มัลโลธี โฮธีร์ และมาหะซิโอท
1พศด 25.26 ที่สิบเก้าได้แก่มัลโลธี พร้อมกับบุตรชายของเขาและพี่น้องของเขา สิบสองคน

มัว ( 11 )
ปฐก 27.1 และต่อมาเมื่ออิสอัคแก่ ตามัวจนมองไม่เห็น ท่านก็เรียกเอซาวบุตรชายคนโตของท่านมาและกล่าวแก่เขาว่า “ลูกเอ๋ย” เขาตอบว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่”
พบญ 34.7 เมื่อโมเสสสิ้นชีวิตนั้นท่านมีอายุหนึ่งร้อยยี่สิบปี นัยน์ตาของท่านมิได้มัวไป หรือกำลังของท่านก็ไม่ถอย
โยบ 17.5 ผู้ที่กล่าวคำประจบประแจงแก่เพื่อนของเขา นัยน์ตาของลูกหลานของเขาจะมัวมืดไป
สดด 69.3 ข้าพระองค์อ่อนระอาใจด้วยเหตุร้องไห้ คอของข้าพระองค์แห้งผาก ตาของข้าพระองค์มัวลง ด้วยการคอยท่าพระเจ้าของข้าพระองค์
สดด 88.9 นัยน์ตาของข้าพระองค์มัวไปเพราะความทุกข์ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ข้าพระองค์ร้องทูลพระองค์ทุกวัน ข้าพระองค์ชูมือขึ้นต่อพระองค์
สดด 119.82 นัยน์ตาของข้าพระองค์มัวมืดไปด้วยคอยพระดำรัสของพระองค์ ข้าพระองค์ทูลถามว่า “เมื่อไรพระองค์จะทรงเล้าโลมข้าพระองค์”
สดด 119.123 นัยน์ตาของข้าพระองค์มัวมืดไปด้วยคอยความรอดของพระองค์ และคอยพระดำรัสชอบธรรมของพระองค์สำเร็จ
พซม 5.6 ดิฉันเปิดประตูให้ที่รักของดิฉัน แต่ที่รักของดิฉันกลับไปเสียแล้ว เมื่อเขาพูด จิตใจดิฉันมัวตกตะลึง ดิฉันแสวงหาเขา แต่ดิฉันหาเขาไม่พบ ดิฉันร้องเรียกเขา แต่เขามิได้ขานตอบ
พคค 5.17 เหตุนี้เองใจพวกข้าพระองค์จึงอ่อนกำลัง เพราะการเหล่านี้เองนัยน์ตาข้าพระองค์จึงมัวไป
มธ 16.3 ในเวลาเช้าท่านพูดว่า ‘วันนี้จะเกิดพายุฝนเพราะฟ้าแดงและมัว’ โอ คนหน้าซื่อใจคด ท้องฟ้านั้นท่านทั้งหลายยังอาจสังเกตรู้และเข้าใจได้ แต่หมายสำคัญแห่งกาลนี้ท่านกลับไม่เข้าใจ
กจ 6.2 ฝ่ายอัครสาวกทั้งสิบสองคนจึงเรียกบรรดาศิษย์ให้มาหาเขาแล้วกล่าวว่า “ซึ่งเราจะละเลยพระวจนะของพระเจ้ามัวไปแจกอาหารก็หาควรไม่

มัวเมา ( 2 )
ยด 1.7 เช่นเดียวกับเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์และเมืองที่อยู่รอบๆนั้น ที่ได้หลงตัวไปกับการผิดประเวณี และมัวเมาในกามวิตถาร ก็ได้ทรงบัญญัติไว้เป็นตัวอย่างของการที่จะต้องได้รับพระอาชญาในไฟนิรันดร์
วว 17.2 คือหญิงที่บรรดากษัตริย์ทั่วแผ่นดินโลกได้ล่วงประเวณีด้วย และคนทั้งหลายที่อยู่ในแผ่นดินโลกก็ได้มัวเมาด้วยเหล้าองุ่นแห่งการล่วงประเวณีของเธอ”

มั่วสุม ( 5 )
วนฉ 9.47 มีคนไปเรียนอาบีเมเลคว่า บรรดาชาวบ้านหอเชเคมไปมั่วสุมกันอยู่
วนฉ 11.3 เยฟธาห์จึงหนีจากพี่น้องของตนไปอาศัยอยู่ที่แผ่นดินโทบ พวกนักเลงก็มั่วสุมกับเยฟธาห์และติดตามเขาไป
1ซมอ 22.2 แล้วทุกคนที่มีความทุกข์ยาก และทุกคนที่มีหนี้สิน และทุกคนที่ไม่มีความพอใจก็พากันมาหาท่าน และท่านก็เป็นหัวหน้าของเขาทั้งหลาย มีคนมามั่วสุมอยู่กับท่านประมาณสี่ร้อยคน
2พศด 13.7 และมีคนถ่อยคนอันธพาลบางคนมั่วสุมกันกับเขาและขันสู้กับเรโหโบอัมโอรสของซาโลมอน เมื่อเรโหโบอัมยังเด็กอยู่และใจอ่อนแอต้านทานไม่ไหว
ปญจ 9.4 ส่วนคนใดที่มั่วสุมอยู่กับคนทั้งปวงที่มีชีวิต คนนั้นก็มีความหวังใจได้ ด้วยว่าสุนัขที่เป็นอยู่ก็ยังดีกว่าสิงโตที่ตายแล้ว

มัวหมอง ( 13 )
สภษ 25.10 เกรงว่าผู้ที่ได้ยินจะนำความอายมาสู่เจ้า และชื่อเสียงของเจ้าจะมัวหมองอยู่นาน
ยรม 7.30 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เพราะคนยูดาห์ได้กระทำความชั่วในสายตาของเรา เขาได้ตั้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนไว้ในนิเวศซึ่งเรียกตามนามของเรา กระทำให้นิเวศนั้นมัวหมองไป
อสค 7.22 เราจะหันหน้าของเราไปเสียจากเขาด้วย แล้วเขาจึงจะกระทำสถานที่ลับของเราให้มัวหมอง โจรจะเข้ามาในสถานที่ลับนั้นและกระทำให้เป็นมลทิน
อสค 13.19 เจ้าจะกระทำให้เรามัวหมองท่ามกลางประชาชนของเรา ด้วยเห็นแก่ข้าวบาร์เลย์เพียงหลายกำมือ และขนมปังเพียงหลายชิ้น เพื่อสังหารคนที่ไม่สมควรจะตาย และไว้ชีวิตคนที่ไม่ควรจะมีชีวิตอยู่ โดยการมุสาของเจ้าต่อประชาชนของเราที่ฟังคำมุสานั้น
อสค 16.22 และในการอันน่าสะอิดสะเอียนของเจ้าและการเล่นชู้ของเจ้า เจ้ามิได้ระลึกถึงวันที่เจ้ายังเด็กอยู่เมื่อเจ้าเปลือยเปล่าและล่อนจ้อน และมัวหมองอยู่ในกองเลือดของเจ้า
อสค 20.13 แต่วงศ์วานอิสราเอลได้กบฏต่อเราในถิ่นทุรกันดาร เขามิได้ดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา แต่ได้ดูหมิ่นคำตัดสินของเรา ซึ่งถ้ามนุษย์คนหนึ่งคนใดปฏิบัติตาม เขาก็จะดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยกฎเกณฑ์และคำตัดสินเหล่านั้น และเขาได้กระทำให้วันสะบาโตของเรามัวหมองอย่างยิ่ง เราจึงกล่าวว่า เราจะเทความเดือดดาลของเราออกเหนือเขาในถิ่นทุรกันดารเพื่อผลาญเขาเสีย
อสค 20.16 เพราะเขาดูหมิ่นคำตัดสินของเรา และไม่ดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา และได้กระทำให้วันสะบาโตของเรามัวหมอง เพราะว่าจิตใจของเขาไปติดตามรูปเคารพของเขา
อสค 20.21 แต่ลูกหลานเหล่านั้นก็กบฏต่อเรา เขาทั้งหลายมิได้ดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา และไม่รักษาคำตัดสินของเราเพื่อจะประพฤติตาม ซึ่งถ้ามนุษย์คนหนึ่งคนใดปฏิบัติตามก็จะดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยกฎเกณฑ์และคำตัดสินเหล่านั้น เขาได้กระทำให้บรรดาวันสะบาโตของเรามัวหมอง เราจึงกล่าวว่า เราจะเทความเดือดดาลของเราออกเหนือเขา และให้ความโกรธของเราที่มีต่อเขาที่ในถิ่นทุรกันดารบรรลุลงเสียที
อสค 20.24 เพราะว่าเขามิได้กระทำตามคำตัดสินของเรา แต่ได้ดูหมิ่นกฎเกณฑ์ของเรา และกระทำให้วันสะบาโตทั้งหลายของเรามัวหมอง และนัยน์ตาของเขาก็ติดตามรูปเคารพแห่งบรรพบุรุษของเขา
อสค 23.30 เราจะกระทำสิ่งเหล่านี้แก่เจ้า เพราะเจ้าเล่นชู้ตามประชาชาติ และเพราะเจ้ากระทำตัวของเจ้าให้มัวหมองไปด้วยรูปเคารพของเขาทั้งหลาย
อสค 39.7 และเราจะกระทำให้นามบริสุทธิ์ของเราเป็นที่รู้จักในท่ามกลางอิสราเอลประชาชนของเรา เราจะไม่ยอมให้อิสราเอลทำให้นามบริสุทธิ์ของเรามัวหมองอีกต่อไป และประชาชาติจะทราบว่า เราคือพระเยโฮวาห์ องค์บริสุทธิ์ในอิสราเอล
อสค 44.7 คือการที่เจ้าพาคนต่างด้าวที่มิได้เข้าสุหนัตทางจิตใจและมิได้เข้าสุหนัตทางเนื้อหนังเข้ามาในสถานบริสุทธิ์ของเรา กระทำให้สถานนั้น คือพระนิเวศของเรามัวหมอง เมื่อเจ้าถวายอาหารของเราแก่เรา คือไขมันและเลือด สิ่งเหล่านี้ได้ทำลายพันธสัญญาของเราด้วยการอันน่าสะอิดสะเอียนทั้งสิ้นของเจ้า
ศฟย 3.4 ผู้พยากรณ์ของเธอเป็นคนเบาปัญญา เป็นคนทรยศ พวกปุโรหิตของเธอก็กระทำสถานบริสุทธิ์ให้มัวหมอง เขาฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติ

มัสเรคาห์ ( 2 )
ปฐก 36.36 เมื่อฮาดัดสิ้นพระชนม์แล้ว สัมลาห์ชาวเมืองมัสเรคาห์ขึ้นครอบครองแทน
1พศด 1.47 เมื่อฮาดัดสิ้นพระชนม์แล้ว สัมลาห์ชาวเมืองมัสเรคาห์ขึ้นครอบครองแทน

มัสสา ( 2 )
ปฐก 25.14 มิชมา ดูมาห์ มัสสา
1พศด 1.30 มิชมา ดูมาห์ มัสสา ฮาดัด เทมา

มัสสาห์ ( 4 )
อพย 17.7 โมเสสเรียกชื่อตำบลนั้นว่า มัสสาห์ และเมรบาห์ ด้วยเหตุว่า คนอิสราเอลกล่าวหาตน ณ ที่นั้น และลองดีกับพระเยโฮวาห์ว่า “พระเยโฮวาห์ทรงสถิตอยู่ท่ามกลางพวกข้าพเจ้าจริงหรือ”
พบญ 6.16 อย่าทดลองพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย ดังที่ได้ทดลองพระองค์ที่มัสสาห์
พบญ 9.22 ท่านทั้งหลายได้กระทำให้พระเยโฮวาห์ทรงพิโรธที่ทาเบราห์ และที่มัสสาห์ และที่ขิบโรทหัทธาอาวาห์
พบญ 33.8 ท่านกล่าวถึงเลวีว่า “ขอให้ทูมมีมและอูรีมของพระองค์อยู่กับผู้บริสุทธิ์ของพระองค์ ผู้ที่พระองค์ทรงทดลองแล้วที่ตำบลมัสสาห์ ผู้ที่พระองค์ได้ต่อสู้แล้วที่น้ำเมรีบาห์

มา ( 5173 )
ปฐก 2.2; ปฐก 2.8; ปฐก 2.19; ปฐก 2.22; ปฐก 3.7; ปฐก 3.19; ปฐก 3.22; ปฐก 3.23; ปฐก 4.3; ปฐก 4.26; ปฐก 5.3; ปฐก 5.6; ปฐก 5.9; ปฐก 5.12; ปฐก 5.15; ปฐก 5.18; ปฐก 5.21; ปฐก 5.25; ปฐก 5.28; ปฐก 6.7; ปฐก 7.4; ปฐก 8.1; ปฐก 8.11; ปฐก 8.21; ปฐก 9.11; ปฐก 9.15; ปฐก 9.19; ปฐก 11.3; ปฐก 11.4; ปฐก 11.7; ปฐก 12.18; ปฐก 12.19; ปฐก 13.18; ปฐก 14.5; ปฐก 14.7; ปฐก 14.10; ปฐก 14.13; ปฐก 14.16; ปฐก 14.18; ปฐก 15.9; ปฐก 15.10; ปฐก 15.17; ปฐก 16.8; ปฐก 17.6; ปฐก 17.7; ปฐก 17.8; ปฐก 17.9; ปฐก 17.10; ปฐก 17.12; ปฐก 17.13; ปฐก 17.16; ปฐก 17.19; ปฐก 17.23; ปฐก 17.27; ปฐก 18.4; ปฐก 18.5; ปฐก 18.6; ปฐก 18.8; ปฐก 18.19; ปฐก 19.4; ปฐก 19.9; ปฐก 19.13; ปฐก 19.17; ปฐก 19.24; ปฐก 19.32; ปฐก 19.33; ปฐก 19.35; ปฐก 19.37; ปฐก 19.38; ปฐก 20.2; ปฐก 20.3; ปฐก 20.9; ปฐก 20.12; ปฐก 21.27; ปฐก 22.13; ปฐก 22.15; ปฐก 22.20; ปฐก 23.4; ปฐก 24.5; ปฐก 24.7; ปฐก 24.8; ปฐก 24.10; ปฐก 24.27; ปฐก 24.32; ปฐก 24.33; ปฐก 24.39; ปฐก 24.48; ปฐก 24.50; ปฐก 24.54; ปฐก 24.57; ปฐก 24.62; ปฐก 24.63; ปฐก 24.65; ปฐก 25.10; ปฐก 25.28; ปฐก 26.9; ปฐก 26.10; ปฐก 26.20; ปฐก 26.32; ปฐก 27.1; ปฐก 27.3; ปฐก 27.4; ปฐก 27.5; ปฐก 27.7; ปฐก 27.9; ปฐก 27.12; ปฐก 27.13; ปฐก 27.14; ปฐก 27.15; ปฐก 27.19; ปฐก 27.20; ปฐก 27.21; ปฐก 27.25; ปฐก 27.31; ปฐก 27.33; ปฐก 27.42; ปฐก 28.1; ปฐก 28.9; ปฐก 28.11; ปฐก 29.3; ปฐก 29.4; ปฐก 29.6; ปฐก 29.7; ปฐก 29.8; ปฐก 29.13; ปฐก 29.15; ปฐก 29.22; ปฐก 29.23; ปฐก 30.11; ปฐก 30.14; ปฐก 30.15; ปฐก 30.28; ปฐก 30.30; ปฐก 30.33; ปฐก 30.35; ปฐก 30.37; ปฐก 30.38; ปฐก 30.41; ปฐก 31.1; ปฐก 31.4; ปฐก 31.10; ปฐก 31.16; ปฐก 31.18; ปฐก 31.24; ปฐก 31.25; ปฐก 31.26; ปฐก 31.27; ปฐก 31.29; ปฐก 31.30; ปฐก 31.32; ปฐก 31.36; ปฐก 31.37; ปฐก 31.38; ปฐก 31.39; ปฐก 31.43; ปฐก 31.44; ปฐก 31.46; ปฐก 31.54; ปฐก 32.5; ปฐก 32.6; ปฐก 32.7; ปฐก 32.8; ปฐก 32.11; ปฐก 32.17; ปฐก 32.18; ปฐก 32.20; ปฐก 32.24; ปฐก 33.1; ปฐก 33.2; ปฐก 33.11; ปฐก 33.15; ปฐก 34.30; ปฐก 35.4; ปฐก 35.11; ปฐก 35.12; ปฐก 35.18; ปฐก 35.22; ปฐก 36.2; ปฐก 36.6; ปฐก 37.1; ปฐก 37.2; ปฐก 37.3; ปฐก 37.7; ปฐก 37.10; ปฐก 37.13; ปฐก 37.14; ปฐก 37.18; ปฐก 37.19; ปฐก 37.20; ปฐก 37.25; ปฐก 37.27; ปฐก 37.28; ปฐก 37.31; ปฐก 37.35; ปฐก 38.12; ปฐก 38.13; ปฐก 38.16; ปฐก 38.17; ปฐก 38.20; ปฐก 38.24; ปฐก 38.27; ปฐก 39.7; ปฐก 39.11; ปฐก 39.12; ปฐก 39.14; ปฐก 39.15; ปฐก 39.17; ปฐก 40.13; ปฐก 40.15; ปฐก 40.17; ปฐก 40.19; ปฐก 41.1; ปฐก 41.3; ปฐก 41.8; ปฐก 41.14; ปฐก 41.57; ปฐก 42.1; ปฐก 42.2; ปฐก 42.6; ปฐก 42.7; ปฐก 42.9; ปฐก 42.10; ปฐก 42.12; ปฐก 42.15; ปฐก 42.16; ปฐก 42.28; ปฐก 43.2; ปฐก 43.3; ปฐก 43.5; ปฐก 43.7; ปฐก 43.12; ปฐก 43.16; ปฐก 43.18; ปฐก 43.22; ปฐก 43.25; ปฐก 43.26; ปฐก 43.31; ปฐก 43.32; ปฐก 44.8; ปฐก 44.14; ปฐก 44.21; ปฐก 44.23; ปฐก 44.25; ปฐก 45.4; ปฐก 45.5; ปฐก 45.7; ปฐก 45.8; ปฐก 45.16; ปฐก 45.19; ปฐก 45.27; ปฐก 46.5; ปฐก 46.6; ปฐก 46.32; ปฐก 46.34; ปฐก 47.1; ปฐก 47.4; ปฐก 47.15; ปฐก 47.16; ปฐก 47.17; ปฐก 47.29; ปฐก 48.4; ปฐก 48.6; ปฐก 48.7; ปฐก 48.15; ปฐก 49.1; ปฐก 49.2; ปฐก 49.10; ปฐก 49.19; ปฐก 49.24; ปฐก 49.25; ปฐก 49.26; ปฐก 50.18; ปฐก 50.23; อพย 1.1; อพย 1.10; อพย 1.22; อพย 2.1; อพย 2.5; อพย 2.7; อพย 2.8; อพย 2.10; อพย 2.16; อพย 2.17; อพย 2.20; อพย 2.23; อพย 3.10; อพย 3.12; อพย 3.16; อพย 4.7; อพย 4.9; อพย 4.14; อพย 4.24; อพย 4.31; อพย 5.11; อพย 5.12; อพย 5.15; อพย 5.17; อพย 5.18; อพย 5.22; อพย 7.11; อพย 7.16; อพย 8.8; อพย 8.12; อพย 8.17; อพย 8.18; อพย 8.20; อพย 8.21; อพย 8.25; อพย 9.18; อพย 9.24; อพย 9.27; อพย 10.6; อพย 10.12; อพย 10.13; อพย 10.28; อพย 10.29; อพย 11.1; อพย 11.6; อพย 12.5; อพย 12.21; อพย 12.31; อพย 12.39; อพย 12.44; อพย 12.48; อพย 13.19; อพย 14.4; อพย 14.9; อพย 14.10; อพย 14.12; อพย 14.13; อพย 14.15; อพย 14.17; อพย 14.20; อพย 14.26; อพย 15.9; อพย 15.10; อพย 16.5; อพย 16.7; อพย 16.13; อพย 16.22; อพย 16.27; อพย 17.1; อพย 17.8; อพย 17.12; อพย 18.12; อพย 18.22; อพย 19.7; อพย 19.13; อพย 19.14; อพย 19.16; อพย 19.17; อพย 20.19; อพย 20.20; อพย 21.3; อพย 21.5; อพย 21.10; อพย 21.29; อพย 21.35; อพย 21.36; อพย 22.9; อพย 22.13; อพย 22.29; อพย 22.30; อพย 23.4; อพย 23.9; อพย 23.15; อพย 23.19; อพย 24.3; อพย 24.16; อพย 25.2; อพย 25.20; อพย 25.23; อพย 27.20; อพย 28.1; อพย 28.38; อพย 28.43; อพย 29.3; อพย 29.4; อพย 29.8; อพย 29.10; อพย 29.13; อพย 29.15; อพย 29.19; อพย 29.30; อพย 29.33; อพย 29.36; อพย 29.39; อพย 30.12; อพย 30.14; อพย 30.15; อพย 30.25; อพย 30.29; อพย 30.36; อพย 32.2; อพย 32.3; อพย 32.6; อพย 32.15; อพย 32.21; อพย 32.23; อพย 34.3; อพย 34.16; อพย 34.20; อพย 34.23; อพย 34.26; อพย 34.29; อพย 34.31; อพย 34.34; อพย 35.5; อพย 35.10; อพย 35.21; อพย 35.22; อพย 35.23; อพย 35.24; อพย 35.25; อพย 35.27; อพย 35.29; อพย 36.2; อพย 36.3; อพย 36.5; อพย 36.6; อพย 37.9; อพย 38.24; อพย 38.26; อพย 38.29; อพย 39.33; อพย 40.12; อพย 40.14; อพย 40.34; ลนต 1.2; ลนต 1.3; ลนต 1.5; ลนต 1.10; ลนต 1.14; ลนต 1.15; ลนต 2.1; ลนต 2.2; ลนต 2.4; ลนต 2.8; ลนต 2.11; ลนต 2.12; ลนต 3.6; ลนต 3.7; ลนต 3.12; ลนต 4.3; ลนต 4.4; ลนต 4.5; ลนต 4.14; ลนต 4.16; ลนต 4.23; ลนต 4.28; ลนต 4.32; ลนต 5.5; ลนต 5.6; ลนต 5.7; ลนต 5.8; ลนต 5.11; ลนต 5.12; ลนต 5.13; ลนต 5.18; ลนต 6.2; ลนต 6.4; ลนต 6.6; ลนต 6.15; ลนต 7.11; ลนต 7.13; ลนต 7.18; ลนต 7.21; ลนต 7.29; ลนต 7.30; ลนต 7.38; ลนต 8.2; ลนต 8.6; ลนต 8.10; ลนต 8.28; ลนต 8.35; ลนต 9.4; ลนต 9.5; ลนต 9.7; ลนต 9.9; ลนต 9.12; ลนต 9.13; ลนต 9.15; ลนต 9.17; ลนต 9.18; ลนต 9.19; ลนต 10.1; ลนต 10.12; ลนต 10.14; ลนต 10.15; ลนต 10.18; ลนต 14.11; ลนต 14.14; ลนต 14.15; ลนต 14.17; ลนต 14.21; ลนต 14.22; ลนต 14.23; ลนต 14.25; ลนต 14.30; ลนต 14.31; ลนต 14.35; ลนต 14.42; ลนต 14.48; ลนต 15.14; ลนต 15.24; ลนต 16.9; ลนต 16.12; ลนต 16.14; ลนต 16.21; ลนต 17.4; ลนต 17.5; ลนต 17.9; ลนต 17.13; ลนต 18.30; ลนต 19.7; ลนต 20.14; ลนต 20.22; ลนต 21.14; ลนต 22.10; ลนต 22.11; ลนต 22.15; ลนต 22.21; ลนต 22.22; ลนต 22.23; ลนต 22.24; ลนต 22.25; ลนต 22.27; ลนต 23.17; ลนต 23.18; ลนต 23.38; ลนต 23.40; ลนต 24.11; ลนต 25.11; ลนต 25.12; ลนต 25.25; ลนต 25.26; ลนต 25.28; ลนต 25.51; ลนต 25.54; ลนต 26.16; ลนต 26.21; ลนต 26.25; ลนต 26.26; ลนต 26.37; ลนต 27.9; ลนต 27.10; ลนต 27.11; ลนต 27.13; ลนต 27.22; ลนต 27.24; ลนต 27.26; ลนต 27.32; ลนต 27.33; กดว 1.17; กดว 2.5; กดว 2.12; กดว 2.20; กดว 2.27; กดว 3.4; กดว 4.11; กดว 5.7; กดว 5.9; กดว 5.13; กดว 5.14; กดว 5.16; กดว 5.19; กดว 6.9; กดว 6.12; กดว 6.13; กดว 7.3; กดว 7.10; กดว 7.11; กดว 7.89; กดว 8.7; กดว 8.9; กดว 8.10; กดว 8.12; กดว 8.16; กดว 8.22; กดว 9.6; กดว 9.13; กดว 9.14; กดว 9.15; กดว 9.16; กดว 10.3; กดว 10.4; กดว 10.7; กดว 10.9; กดว 10.12; กดว 11.1; กดว 11.3; กดว 11.4; กดว 11.8; กดว 11.9; กดว 11.12; กดว 11.13; กดว 11.16; กดว 11.17; กดว 11.22; กดว 11.26; กดว 11.27; กดว 11.28; กดว 11.31; กดว 11.32; กดว 12.5; กดว 13.22; กดว 13.23; กดว 13.24; กดว 13.25; กดว 13.32; กดว 13.33; กดว 14.11; กดว 14.22; กดว 14.24; กดว 14.37; กดว 14.40; กดว 15.9; กดว 15.12; กดว 15.14; กดว 15.15; กดว 15.16; กดว 15.25; กดว 15.36; กดว 16.2; กดว 16.3; กดว 16.6; กดว 16.9; กดว 16.10; กดว 16.15; กดว 16.28; กดว 16.29; กดว 16.39; กดว 16.42; กดว 16.43; กดว 17.2; กดว 17.8; กดว 17.9; กดว 17.13; กดว 18.2; กดว 18.4; กดว 18.13; กดว 18.24; กดว 18.26; กดว 18.27; กดว 18.30; กดว 20.4; กดว 20.5; กดว 20.16; กดว 20.20; กดว 21.1; กดว 21.5; กดว 21.6; กดว 21.12; กดว 21.13; กดว 21.17; กดว 21.27; กดว 22.4; กดว 22.6; กดว 22.8; กดว 22.9; กดว 22.10; กดว 22.11; กดว 22.14; กดว 22.17; กดว 22.20; กดว 22.22; กดว 22.24; กดว 22.32; กดว 22.36; กดว 22.37; กดว 23.7; กดว 23.11; กดว 23.27; กดว 24.2; กดว 24.9; กดว 24.10; กดว 24.14; กดว 24.22; กดว 24.24; กดว 25.13; กดว 27.2; กดว 27.18; กดว 27.22; กดว 28.15; กดว 28.26; กดว 30.8; กดว 30.15; กดว 31.9; กดว 31.12; กดว 31.26; กดว 31.32; กดว 31.41; กดว 31.42; กดว 31.50; กดว 31.53; กดว 31.54; กดว 33.8; กดว 33.10; กดว 33.11; กดว 33.12; กดว 33.16; กดว 33.17; กดว 33.40; กดว 33.44; พบญ 1.3; พบญ 1.8; พบญ 1.17; พบญ 1.22; พบญ 1.23; พบญ 1.25; พบญ 2.7; พบญ 2.12; พบญ 2.14; พบญ 2.16; พบญ 2.23; พบญ 2.35; พบญ 3.1; พบญ 3.4; พบญ 3.7; พบญ 4.25; พบญ 4.26; พบญ 4.32; พบญ 4.37; พบญ 4.40; พบญ 5.27; พบญ 7.3; พบญ 7.6; พบญ 7.20; พบญ 8.15; พบญ 8.17; พบญ 9.4; พบญ 9.26; พบญ 9.28; พบญ 10.15; พบญ 11.8; พบญ 11.10; พบญ 11.26; พบญ 12.17; พบญ 12.25; พบญ 12.28; พบญ 13.2; พบญ 13.17; พบญ 14.24; พบญ 14.28; พบญ 14.29; พบญ 15.18; พบญ 17.4; พบญ 17.5; พบญ 18.6; พบญ 18.8; พบญ 18.17; พบญ 19.12; พบญ 20.3; พบญ 20.14; พบญ 21.10; พบญ 21.11; พบญ 21.12; พบญ 22.1; พบญ 22.2; พบญ 22.8; พบญ 22.14; พบญ 22.15; พบญ 22.18; พบญ 22.27; พบญ 22.30; พบญ 23.4; พบญ 23.15; พบญ 23.18; พบญ 23.25; พบญ 24.5; พบญ 24.13; พบญ 24.19; พบญ 25.5; พบญ 25.6; พบญ 25.8; พบญ 26.2; พบญ 26.9; พบญ 26.10; พบญ 28.2; พบญ 28.15; พบญ 28.31; พบญ 28.33; พบญ 28.36; พบญ 28.40; พบญ 28.48; พบญ 28.49; พบญ 28.53; พบญ 28.55; พบญ 28.57; พบญ 28.59; พบญ 28.60; พบญ 28.61; พบญ 29.2; พบญ 29.22; พบญ 30.4; พบญ 30.12; พบญ 30.13; พบญ 31.7; พบญ 31.11; พบญ 31.12; พบญ 31.14; พบญ 32.12; พบญ 32.15; พบญ 32.17; พบญ 32.18; พบญ 32.23; พบญ 32.24; พบญ 32.25; พบญ 32.32; พบญ 32.35; พบญ 32.44; พบญ 33.2; พบญ 33.19; พบญ 33.22; พบญ 33.26; พบญ 33.29; พบญ 34.10; ยชว 1.1; ยชว 1.5; ยชว 2.3; ยชว 2.4; ยชว 3.2; ยชว 3.4; ยชว 3.7; ยชว 3.8; ยชว 3.9; ยชว 3.13; ยชว 3.16; ยชว 4.3; ยชว 4.5; ยชว 4.8; ยชว 5.5; ยชว 5.7; ยชว 5.14; ยชว 6.6; ยชว 6.8; ยชว 6.16; ยชว 6.18; ยชว 6.24; ยชว 7.7; ยชว 7.9; ยชว 7.17; ยชว 7.19; ยชว 7.21; ยชว 7.25; ยชว 8.2; ยชว 8.6; ยชว 8.20; ยชว 8.21; ยชว 9.6; ยชว 9.8; ยชว 9.9; ยชว 9.16; ยชว 9.22; ยชว 9.27; ยชว 10.24; ยชว 11.5; ยชว 11.17; ยชว 11.19; ยชว 11.20; ยชว 11.21; ยชว 12.3; ยชว 14.7; ยชว 15.4; ยชว 15.11; ยชว 15.18; ยชว 15.19; ยชว 17.14; ยชว 18.1; ยชว 18.6; ยชว 19.11; ยชว 19.51; ยชว 20.6; ยชว 21.20; ยชว 22.1; ยชว 22.8; ยชว 22.19; ยชว 24.1; ยชว 24.3; ยชว 24.5; ยชว 24.8; ยชว 24.9; ยชว 24.11; ยชว 24.29; ยชว 24.32; วนฉ 1.1; วนฉ 1.7; วนฉ 1.14; วนฉ 1.15; วนฉ 1.28; วนฉ 2.4; วนฉ 2.10; วนฉ 2.19; วนฉ 3.2; วนฉ 3.6; วนฉ 3.13; วนฉ 3.25; วนฉ 3.26; วนฉ 3.28; วนฉ 4.6; วนฉ 4.7; วนฉ 4.11; วนฉ 4.18; วนฉ 4.20; วนฉ 5.12; วนฉ 5.15; วนฉ 5.25; วนฉ 5.28; วนฉ 5.30; วนฉ 6.4; วนฉ 6.5; วนฉ 6.11; วนฉ 6.18; วนฉ 6.19; วนฉ 6.21; วนฉ 6.25; วนฉ 6.26; วนฉ 6.30; วนฉ 6.31; วนฉ 6.34; วนฉ 7.9; วนฉ 7.13; วนฉ 7.25; วนฉ 8.2; วนฉ 8.4; วนฉ 8.5; วนฉ 8.6; วนฉ 8.7; วนฉ 8.15; วนฉ 8.16; วนฉ 8.24; วนฉ 8.25; วนฉ 8.33; วนฉ 9.6; วนฉ 9.10; วนฉ 9.12; วนฉ 9.14; วนฉ 9.15; วนฉ 9.27; วนฉ 9.28; วนฉ 9.31; วนฉ 9.48; วนฉ 10.17; วนฉ 11.5; วนฉ 11.6; วนฉ 11.8; วนฉ 11.12; วนฉ 11.18; วนฉ 11.23; วนฉ 11.29; วนฉ 11.39; วนฉ 12.1; วนฉ 12.5; วนฉ 12.8; วนฉ 12.9; วนฉ 12.11; วนฉ 12.13; วนฉ 13.3; วนฉ 13.6; วนฉ 13.8; วนฉ 13.10; วนฉ 13.14; วนฉ 13.19; วนฉ 13.20; วนฉ 14.4; วนฉ 14.8; วนฉ 14.9; วนฉ 14.11; วนฉ 14.13; วนฉ 14.15; วนฉ 15.1; วนฉ 15.14; วนฉ 15.15; วนฉ 15.17; วนฉ 16.2; วนฉ 16.4; วนฉ 16.8; วนฉ 16.9; วนฉ 16.11; วนฉ 16.12; วนฉ 16.13; วนฉ 16.14; วนฉ 16.16; วนฉ 16.18; วนฉ 16.19; วนฉ 16.20; วนฉ 16.21; วนฉ 16.25; วนฉ 16.26; วนฉ 17.3; วนฉ 17.9; วนฉ 18.2; วนฉ 18.3; วนฉ 18.19; วนฉ 18.23; วนฉ 18.24; วนฉ 18.27; วนฉ 18.28; วนฉ 19.1; วนฉ 19.11; วนฉ 19.13; วนฉ 19.14; วนฉ 19.16; วนฉ 19.17; วนฉ 19.18; วนฉ 19.22; วนฉ 19.23; วนฉ 20.3; วนฉ 20.6; วนฉ 20.10; วนฉ 20.12; วนฉ 20.13; วนฉ 20.34; วนฉ 20.40; วนฉ 20.41; วนฉ 21.2; วนฉ 21.4; วนฉ 21.5; วนฉ 21.8; วนฉ 21.12; วนฉ 21.22; วนฉ 21.23; นรธ 1.1; นรธ 1.2; นรธ 1.4; นรธ 1.17; นรธ 1.22; นรธ 2.4; นรธ 2.7; นรธ 2.11; นรธ 2.12; นรธ 2.14; นรธ 2.17; นรธ 2.18; นรธ 2.19; นรธ 3.8; นรธ 3.9; นรธ 3.13; นรธ 3.14; นรธ 4.1; นรธ 4.2; นรธ 4.3; นรธ 4.6; นรธ 4.8; นรธ 4.10; นรธ 4.13; นรธ 4.14; นรธ 4.15; นรธ 4.16; 1ซมอ 1.12; 1ซมอ 1.16; 1ซมอ 1.20; 1ซมอ 1.24; 1ซมอ 2.4; 1ซมอ 2.14; 1ซมอ 2.19; 1ซมอ 2.28; 1ซมอ 2.35; 1ซมอ 2.36; 1ซมอ 3.1; 1ซมอ 3.2; 1ซมอ 3.10; 1ซมอ 3.16; 1ซมอ 4.3; 1ซมอ 4.4; 1ซมอ 4.7; 1ซมอ 4.16; 1ซมอ 5.10; 1ซมอ 6.2; 1ซมอ 6.7; 1ซมอ 6.8; 1ซมอ 6.21; 1ซมอ 7.1; 1ซมอ 7.2; 1ซมอ 7.6; 1ซมอ 7.9; 1ซมอ 7.14; 1ซมอ 8.1; 1ซมอ 8.10; 1ซมอ 9.5; 1ซมอ 9.9; 1ซมอ 9.10; 1ซมอ 9.12; 1ซมอ 9.13; 1ซมอ 9.16; 1ซมอ 9.23; 1ซมอ 9.24; 1ซมอ 9.26; 1ซมอ 10.5; 1ซมอ 10.6; 1ซมอ 10.11; 1ซมอ 10.13; 1ซมอ 10.14; 1ซมอ 10.17; 1ซมอ 10.22; 1ซมอ 10.23; 1ซมอ 10.27; 1ซมอ 11.7; 1ซมอ 11.9; 1ซมอ 11.14; 1ซมอ 12.2; 1ซมอ 12.3; 1ซมอ 12.8; 1ซมอ 12.12; 1ซมอ 12.18; 1ซมอ 13.8; 1ซมอ 13.9; 1ซมอ 13.11; 1ซมอ 13.12; 1ซมอ 14.1; 1ซมอ 14.6; 1ซมอ 14.18; 1ซมอ 14.19; 1ซมอ 14.30; 1ซมอ 14.32; 1ซมอ 14.33; 1ซมอ 14.34; 1ซมอ 14.38; 1ซมอ 14.43; 1ซมอ 14.52; 1ซมอ 15.1; 1ซมอ 15.5; 1ซมอ 15.10; 1ซมอ 15.12; 1ซมอ 15.15; 1ซมอ 15.20; 1ซมอ 15.21; 1ซมอ 15.32; 1ซมอ 15.35; 1ซมอ 16.2; 1ซมอ 16.3; 1ซมอ 16.4; 1ซมอ 16.5; 1ซมอ 16.6; 1ซมอ 16.11; 1ซมอ 16.12; 1ซมอ 16.17; 1ซมอ 16.21; 1ซมอ 16.22; 1ซมอ 16.23; 1ซมอ 17.1; 1ซมอ 17.10; 1ซมอ 17.13; 1ซมอ 17.18; 1ซมอ 17.21; 1ซมอ 17.26; 1ซมอ 17.27; 1ซมอ 17.28; 1ซมอ 17.31; 1ซมอ 17.33; 1ซมอ 17.34; 1ซมอ 17.35; 1ซมอ 17.36; 1ซมอ 17.48; 1ซมอ 17.53; 1ซมอ 17.54; 1ซมอ 17.57; 1ซมอ 18.1; 1ซมอ 18.6; 1ซมอ 18.10; 1ซมอ 18.19; 1ซมอ 18.27; 1ซมอ 18.29; 1ซมอ 19.13; 1ซมอ 19.20; 1ซมอ 20.11; 1ซมอ 20.21; 1ซมอ 20.27; 1ซมอ 20.29; 1ซมอ 20.30; 1ซมอ 20.31; 1ซมอ 20.41; 1ซมอ 21.1; 1ซมอ 21.4; 1ซมอ 21.6; 1ซมอ 21.8; 1ซมอ 21.15; 1ซมอ 22.2; 1ซมอ 22.3; 1ซมอ 22.4; 1ซมอ 22.5; 1ซมอ 22.9; 1ซมอ 23.6; 1ซมอ 23.7; 1ซมอ 23.9; 1ซมอ 23.10; 1ซมอ 23.23; 1ซมอ 23.26; 1ซมอ 23.27; 1ซมอ 24.1; 1ซมอ 24.3; 1ซมอ 24.16; 1ซมอ 25.8; 1ซมอ 25.11; 1ซมอ 25.12; 1ซมอ 25.14; 1ซมอ 25.27; 1ซมอ 25.32; 1ซมอ 25.34; 1ซมอ 25.35; 1ซมอ 25.38; 1ซมอ 25.39; 1ซมอ 25.40; 1ซมอ 25.43; 1ซมอ 26.4; 1ซมอ 26.5; 1ซมอ 26.14; 1ซมอ 26.22; 1ซมอ 27.10; 1ซมอ 27.11; 1ซมอ 28.1; 1ซมอ 28.4; 1ซมอ 28.9; 1ซมอ 28.15; 1ซมอ 28.16; 1ซมอ 28.20; 1ซมอ 28.24; 1ซมอ 28.25; 1ซมอ 29.3; 1ซมอ 29.6; 1ซมอ 29.10; 1ซมอ 30.1; 1ซมอ 30.3; 1ซมอ 30.7; 1ซมอ 30.12; 1ซมอ 30.13; 1ซมอ 30.14; 1ซมอ 30.16; 1ซมอ 30.18; 1ซมอ 30.19; 1ซมอ 30.20; 1ซมอ 30.22; 1ซมอ 30.23; 1ซมอ 30.26; 1ซมอ 31.3; 1ซมอ 31.8; 1ซมอ 31.12; 2ซมอ 1.1; 2ซมอ 1.2; 2ซมอ 1.3; 2ซมอ 1.6; 2ซมอ 1.7; 2ซมอ 1.9; 2ซมอ 1.10; 2ซมอ 1.13; 2ซมอ 1.22; 2ซมอ 2.4; 2ซมอ 2.20; 2ซมอ 2.23; 2ซมอ 3.6; 2ซมอ 3.12; 2ซมอ 3.13; 2ซมอ 3.15; 2ซมอ 3.20; 2ซมอ 3.21; 2ซมอ 3.22; 2ซมอ 3.23; 2ซมอ 3.24; 2ซมอ 3.25; 2ซมอ 3.35; 2ซมอ 4.4; 2ซมอ 4.10; 2ซมอ 5.3; 2ซมอ 5.11; 2ซมอ 5.20; 2ซมอ 7.1; 2ซมอ 7.4; 2ซมอ 7.8; 2ซมอ 7.10; 2ซมอ 7.12; 2ซมอ 7.18; 2ซมอ 7.22; 2ซมอ 7.23; 2ซมอ 8.1; 2ซมอ 8.2; 2ซมอ 8.5; 2ซมอ 8.11; 2ซมอ 8.12; 2ซมอ 9.2; 2ซมอ 9.5; 2ซมอ 9.6; 2ซมอ 10.1; 2ซมอ 10.3; 2ซมอ 10.4; 2ซมอ 10.11; 2ซมอ 10.14; 2ซมอ 10.16; 2ซมอ 11.1; 2ซมอ 11.2; 2ซมอ 11.3; 2ซมอ 11.4; 2ซมอ 11.6; 2ซมอ 11.10; 2ซมอ 11.13; 2ซมอ 11.16; 2ซมอ 11.22; 2ซมอ 11.27; 2ซมอ 12.3; 2ซมอ 12.4; 2ซมอ 12.9; 2ซมอ 12.10; 2ซมอ 12.14; 2ซมอ 12.17; 2ซมอ 12.18; 2ซมอ 12.20; 2ซมอ 13.5; 2ซมอ 13.6; 2ซมอ 13.8; 2ซมอ 13.9; 2ซมอ 13.11; 2ซมอ 13.15; 2ซมอ 13.16; 2ซมอ 13.34; 2ซมอ 13.35; 2ซมอ 13.36; 2ซมอ 14.2; 2ซมอ 14.4; 2ซมอ 14.7; 2ซมอ 14.14; 2ซมอ 14.15; 2ซมอ 14.23; 2ซมอ 14.29; 2ซมอ 14.32; 2ซมอ 15.1; 2ซมอ 15.2; 2ซมอ 15.6; 2ซมอ 15.7; 2ซมอ 15.8; 2ซมอ 15.12; 2ซมอ 15.13; 2ซมอ 15.18; 2ซมอ 15.19; 2ซมอ 15.24; 2ซมอ 15.28; 2ซมอ 15.31; 2ซมอ 15.32; 2ซมอ 15.34; 2ซมอ 15.36; 2ซมอ 16.2; 2ซมอ 16.5; 2ซมอ 16.7; 2ซมอ 16.9; 2ซมอ 16.14; 2ซมอ 16.15; 2ซมอ 16.16; 2ซมอ 16.19; 2ซมอ 17.6; 2ซมอ 17.13; 2ซมอ 17.14; 2ซมอ 17.19; 2ซมอ 17.21; 2ซมอ 17.24; 2ซมอ 17.27; 2ซมอ 17.29; 2ซมอ 18.10; 2ซมอ 18.24; 2ซมอ 18.25; 2ซมอ 18.26; 2ซมอ 18.27; 2ซมอ 18.29; 2ซมอ 18.30; 2ซมอ 19.8; 2ซมอ 19.11; 2ซมอ 19.15; 2ซมอ 19.16; 2ซมอ 19.17; 2ซมอ 19.20; 2ซมอ 19.22; 2ซมอ 19.25; 2ซมอ 19.32; 2ซมอ 19.33; 2ซมอ 19.40; 2ซมอ 19.41; 2ซมอ 20.4; 2ซมอ 20.8; 2ซมอ 20.11; 2ซมอ 20.12; 2ซมอ 20.14; 2ซมอ 20.16; 2ซมอ 20.21; 2ซมอ 21.2; 2ซมอ 21.6; 2ซมอ 21.10; 2ซมอ 21.12; 2ซมอ 21.18; 2ซมอ 22.17; 2ซมอ 22.45; 2ซมอ 23.9; 2ซมอ 23.10; 2ซมอ 23.11; 2ซมอ 23.15; 2ซมอ 23.16; 2ซมอ 23.21; 2ซมอ 24.6; 2ซมอ 24.8; 2ซมอ 24.11; 2ซมอ 24.13; 2ซมอ 24.21; 1พกษ 1.2; 1พกษ 1.3; 1พกษ 1.6; 1พกษ 1.35; 1พกษ 1.37; 1พกษ 1.39; 1พกษ 1.42; 1พกษ 1.53; 1พกษ 2.7; 1พกษ 2.8; 1พกษ 2.13; 1พกษ 2.15; 1พกษ 2.19; 1พกษ 2.20; 1พกษ 2.30; 1พกษ 2.39; 1พกษ 2.40; 1พกษ 2.42; 1พกษ 2.44; 1พกษ 3.1; 1พกษ 3.15; 1พกษ 3.16; 1พกษ 3.21; 1พกษ 3.24; 1พกษ 4.27; 1พกษ 4.28; 1พกษ 4.34; 1พกษ 5.1; 1พกษ 5.7; 1พกษ 5.8; 1พกษ 5.9; 1พกษ 6.1; 1พกษ 6.7; 1พกษ 6.27; 1พกษ 7.8; 1พกษ 7.13; 1พกษ 7.14; 1พกษ 8.3; 1พกษ 8.6; 1พกษ 8.10; 1พกษ 8.31; 1พกษ 8.41; 1พกษ 8.42; 1พกษ 8.65; 1พกษ 9.1; 1พกษ 9.9; 1พกษ 9.10; 1พกษ 9.28; 1พกษ 10.1; 1พกษ 10.2; 1พกษ 10.7; 1พกษ 10.10; 1พกษ 10.11; 1พกษ 10.12; 1พกษ 10.13; 1พกษ 10.14; 1พกษ 10.15; 1พกษ 10.22; 1พกษ 10.25; 1พกษ 10.28; 1พกษ 11.4; 1พกษ 11.6; 1พกษ 11.15; 1พกษ 11.18; 1พกษ 11.29; 1พกษ 11.38; 1พกษ 12.1; 1พกษ 12.2; 1พกษ 12.3; 1พกษ 12.10; 1พกษ 12.15; 1พกษ 12.20; 1พกษ 12.21; 1พกษ 12.22; 1พกษ 12.24; 1พกษ 13.2; 1พกษ 13.4; 1พกษ 13.7; 1พกษ 13.9; 1พกษ 13.10; 1พกษ 13.11; 1พกษ 13.12; 1พกษ 13.14; 1พกษ 13.15; 1พกษ 13.17; 1พกษ 13.18; 1พกษ 13.20; 1พกษ 13.21; 1พกษ 13.23; 1พกษ 13.25; 1พกษ 14.5; 1พกษ 14.8; 1พกษ 14.10; 1พกษ 15.15; 1พกษ 15.19; 1พกษ 15.21; 1พกษ 15.22; 1พกษ 15.29; 1พกษ 16.11; 1พกษ 16.25; 1พกษ 16.31; 1พกษ 16.33; 1พกษ 17.2; 1พกษ 17.6; 1พกษ 17.8; 1พกษ 17.10; 1พกษ 17.11; 1พกษ 17.13; 1พกษ 17.17; 1พกษ 17.19; 1พกษ 17.20; 1พกษ 17.21; 1พกษ 17.22; 1พกษ 18.1; 1พกษ 18.12; 1พกษ 18.17; 1พกษ 18.19; 1พกษ 18.26; 1พกษ 18.31; 1พกษ 18.36; 1พกษ 18.40; 1พกษ 18.41; 1พกษ 18.44; 1พกษ 18.45; 1พกษ 19.4; 1พกษ 19.5; 1พกษ 19.7; 1พกษ 20.4; 1พกษ 20.5; 1พกษ 20.7; 1พกษ 20.10; 1พกษ 20.18; 1พกษ 20.22; 1พกษ 20.26; 1พกษ 20.31; 1พกษ 20.32; 1พกษ 20.33; 1พกษ 20.36; 1พกษ 20.39; 1พกษ 20.43; 1พกษ 21.1; 1พกษ 21.15; 1พกษ 21.16; 1พกษ 21.21; 1พกษ 21.27; 1พกษ 21.28; 1พกษ 21.29; 1พกษ 22.9; 1พกษ 22.15; 1พกษ 22.21; 1พกษ 22.32; 1พกษ 22.33; 1พกษ 22.37; 2พกษ 1.6; 2พกษ 1.7; 2พกษ 1.13; 2พกษ 2.1; 2พกษ 2.4; 2พกษ 2.11; 2พกษ 2.15; 2พกษ 2.20; 2พกษ 2.21; 2พกษ 2.22; 2พกษ 2.25; 2พกษ 3.5; 2พกษ 3.9; 2พกษ 3.10; 2พกษ 3.13; 2พกษ 3.15; 2พกษ 3.20; 2พกษ 3.23; 2พกษ 4.1; 2พกษ 4.2; 2พกษ 4.3; 2พกษ 4.5; 2พกษ 4.6; 2พกษ 4.11; 2พกษ 4.12; 2พกษ 4.15; 2พกษ 4.20; 2พกษ 4.22; 2พกษ 4.25; 2พกษ 4.27; 2พกษ 4.36; 2พกษ 4.41; 2พกษ 4.42; 2พกษ 5.1; 2พกษ 5.2; 2พกษ 5.6; 2พกษ 5.7; 2พกษ 5.9; 2พกษ 5.10; 2พกษ 5.11; 2พกษ 5.15; 2พกษ 5.20; 2พกษ 5.21; 2พกษ 5.22; 2พกษ 5.23; 2พกษ 5.24; 2พกษ 5.25; 2พกษ 6.2; 2พกษ 6.5; 2พกษ 6.9; 2พกษ 6.11; 2พกษ 6.13; 2พกษ 6.19; 2พกษ 6.20; 2พกษ 6.22; 2พกษ 6.23; 2พกษ 6.24; 2พกษ 6.28; 2พกษ 6.29; 2พกษ 6.32; 2พกษ 6.33; 2พกษ 7.4; 2พกษ 7.6; 2พกษ 7.9; 2พกษ 7.10; 2พกษ 7.20; 2พกษ 8.1; 2พกษ 8.3; 2พกษ 8.5; 2พกษ 8.6; 2พกษ 8.7; 2พกษ 8.9; 2พกษ 8.14; 2พกษ 8.21; 2พกษ 9.1; 2พกษ 9.12; 2พกษ 9.17; 2พกษ 9.18; 2พกษ 9.19; 2พกษ 9.21; 2พกษ 9.22; 2พกษ 9.25; 2พกษ 9.31; 2พกษ 10.6; 2พกษ 10.7; 2พกษ 10.8; 2พกษ 10.15; 2พกษ 10.16; 2พกษ 10.19; 2พกษ 10.21; 2พกษ 10.25; 2พกษ 11.4; 2พกษ 12.4; 2พกษ 12.9; 2พกษ 12.10; 2พกษ 12.13; 2พกษ 12.16; 2พกษ 13.15; 2พกษ 13.16; 2พกษ 13.21; 2พกษ 13.25; 2พกษ 14.5; 2พกษ 14.8; 2พกษ 14.9; 2พกษ 14.13; 2พกษ 14.25; 2พกษ 15.14; 2พกษ 15.20; 2พกษ 15.29; 2พกษ 15.37; 2พกษ 16.6; 2พกษ 16.11; 2พกษ 17.2; 2พกษ 17.3; 2พกษ 17.5; 2พกษ 17.13; 2พกษ 17.14; 2พกษ 17.24; 2พกษ 17.25; 2พกษ 17.26; 2พกษ 17.27; 2พกษ 17.28; 2พกษ 18.1; 2พกษ 18.5; 2พกษ 18.9; 2พกษ 18.17; 2พกษ 18.23; 2พกษ 18.25; 2พกษ 18.27; 2พกษ 18.32; 2พกษ 19.1; 2พกษ 19.4; 2พกษ 19.16; 2พกษ 19.28; 2พกษ 19.31; 2พกษ 19.33; 2พกษ 19.35; 2พกษ 19.37; 2พกษ 20.3; 2พกษ 20.4; 2พกษ 20.7; 2พกษ 20.9; 2พกษ 20.10; 2พกษ 20.11; 2พกษ 20.12; 2พกษ 20.14; 2พกษ 20.18; 2พกษ 21.11; 2พกษ 22.3; 2พกษ 22.4; 2พกษ 22.11; 2พกษ 22.16; 2พกษ 22.18; 2พกษ 22.20; 2พกษ 23.1; 2พกษ 23.17; 2พกษ 23.22; 2พกษ 23.25; 2พกษ 23.30; 2พกษ 24.2; 2พกษ 24.11; 2พกษ 24.16; 2พกษ 25.1; 2พกษ 25.5; 2พกษ 25.8; 2พกษ 25.25; 2พกษ 25.27; 1พศด 2.55; 1พศด 4.3; 1พศด 4.38; 1พศด 5.2; 1พศด 5.22; 1พศด 6.31; 1พศด 7.15; 1พศด 7.22; 1พศด 10.3; 1พศด 10.8; 1พศด 10.12; 1พศด 11.3; 1พศด 11.17; 1พศด 11.18; 1พศด 11.19; 1พศด 11.23; 1พศด 12.16; 1พศด 12.17; 1พศด 12.18; 1พศด 12.19; 1พศด 12.22; 1พศด 12.27; 1พศด 12.31; 1พศด 12.34; 1พศด 12.38; 1พศด 13.3; 1พศด 14.1; 1พศด 14.9; 1พศด 14.13; 1พศด 15.3; 1พศด 15.26; 1พศด 16.29; 1พศด 16.33; 1พศด 17.1; 1พศด 17.3; 1พศด 17.7; 1พศด 17.9; 1พศด 17.11; 1พศด 17.16; 1พศด 17.21; 1พศด 18.2; 1พศด 18.4; 1พศด 18.5; 1พศด 18.6; 1พศด 18.7; 1พศด 18.10; 1พศด 18.11; 1พศด 19.2; 1พศด 19.7; 1พศด 19.9; 1พศด 20.1; 1พศด 20.4; 1พศด 21.2; 1พศด 21.3; 1พศด 21.12; 1พศด 21.20; 1พศด 21.21; 1พศด 22.4; 1พศด 22.8; 1พศด 22.9; 1พศด 22.19; 1พศด 26.14; 1พศด 27.24; 1พศด 28.8; 1พศด 29.12; 1พศด 29.14; 1พศด 29.15; 1พศด 29.16; 1พศด 29.25; 2พศด 1.16; 2พศด 2.16; 2พศด 5.4; 2พศด 5.7; 2พศด 5.11; 2พศด 5.13; 2พศด 6.3; 2พศด 6.22; 2พศด 6.32; 2พศด 7.9; 2พศด 7.13; 2พศด 8.1; 2พศด 8.18; 2พศด 9.1; 2พศด 9.6; 2พศด 9.10; 2พศด 9.12; 2พศด 9.13; 2พศด 9.14; 2พศด 9.21; 2พศด 9.24; 2พศด 10.1; 2พศด 10.2; 2พศด 10.3; 2พศด 10.10; 2พศด 10.15; 2พศด 11.1; 2พศด 11.2; 2พศด 11.4; 2พศด 11.14; 2พศด 11.16; 2พศด 12.2; 2พศด 12.3; 2พศด 12.4; 2พศด 12.5; 2พศด 12.11; 2พศด 13.9; 2พศด 13.15; 2พศด 14.11; 2พศด 14.14; 2พศด 15.1; 2พศด 15.8; 2พศด 15.11; 2พศด 16.3; 2พศด 16.6; 2พศด 16.7; 2พศด 17.5; 2พศด 17.10; 2พศด 17.11; 2พศด 18.2; 2พศด 18.8; 2พศด 18.14; 2พศด 18.20; 2พศด 18.31; 2พศด 18.32; 2พศด 19.10; 2พศด 20.1; 2พศด 20.2; 2พศด 20.4; 2พศด 20.10; 2พศด 20.11; 2พศด 20.12; 2พศด 20.14; 2พศด 20.25; 2พศด 20.28; 2พศด 20.29; 2พศด 21.9; 2พศด 21.14; 2พศด 21.17; 2พศด 22.7; 2พศด 22.8; 2พศด 23.2; 2พศด 23.8; 2พศด 24.6; 2พศด 24.10; 2พศด 24.14; 2พศด 24.19; 2พศด 24.23; 2พศด 24.24; 2พศด 25.3; 2พศด 25.7; 2พศด 25.10; 2พศด 25.12; 2พศด 25.14; 2พศด 25.16; 2พศด 25.17; 2พศด 25.18; 2พศด 25.20; 2พศด 25.23; 2พศด 26.19; 2พศด 28.5; 2พศด 28.8; 2พศด 28.9; 2พศด 28.11; 2พศด 28.13; 2พศด 28.14; 2พศด 28.15; 2พศด 29.8; 2พศด 29.17; 2พศด 29.23; 2พศด 29.25; 2พศด 29.31; 2พศด 29.32; 2พศด 29.35; 2พศด 30.1; 2พศด 30.5; 2พศด 30.6; 2พศด 30.8; 2พศด 30.9; 2พศด 30.11; 2พศด 30.13; 2พศด 30.15; 2พศด 30.16; 2พศด 30.18; 2พศด 31.8; 2พศด 32.1; 2พศด 32.2; 2พศด 32.4; 2พศด 32.23; 2พศด 32.25; 2พศด 32.26; 2พศด 32.28; 2พศด 32.31; 2พศด 33.11; 2พศด 34.9; 2พศด 34.19; 2พศด 34.24; 2พศด 34.26; 2พศด 34.28; 2พศด 35.7; 2พศด 35.11; 2พศด 35.18; 2พศด 35.21; 2พศด 35.24; 2พศด 36.10; 2พศด 36.15; 2พศด 36.17; 2พศด 36.18; อสร 1.7; อสร 2.2; อสร 3.1; อสร 3.7; อสร 3.8; อสร 4.2; อสร 4.10; อสร 4.12; อสร 4.14; อสร 5.5; อสร 5.11; อสร 5.16; อสร 6.3; อสร 6.5; อสร 6.13; อสร 7.9; อสร 8.13; อสร 8.17; อสร 8.18; อสร 8.35; อสร 9.4; อสร 9.8; อสร 9.15; อสร 10.3; อสร 10.7; อสร 10.8; อสร 10.14; นหม 1.2; นหม 1.4; นหม 1.9; นหม 2.1; นหม 2.9; นหม 2.11; นหม 2.17; นหม 3.5; นหม 4.2; นหม 4.8; นหม 4.12; นหม 4.15; นหม 4.16; นหม 5.4; นหม 5.7; นหม 5.8; นหม 5.11; นหม 5.12; นหม 5.17; นหม 6.1; นหม 6.2; นหม 6.5; นหม 6.7; นหม 6.8; นหม 6.10; นหม 6.13; นหม 6.16; นหม 6.19; นหม 8.1; นหม 8.2; นหม 8.16; นหม 10.28; นหม 10.31; นหม 10.35; นหม 10.36; นหม 10.37; นหม 10.38; นหม 10.39; นหม 11.3; นหม 12.27; นหม 12.28; นหม 12.29; นหม 12.39; นหม 12.40; นหม 13.2; นหม 13.3; นหม 13.7; นหม 13.15; นหม 13.18; นหม 13.19; นหม 13.21; นหม 13.22; อสธ 1.1; อสธ 1.11; อสธ 1.12; อสธ 1.17; อสธ 2.2; อสธ 2.3; อสธ 2.7; อสธ 2.8; อสธ 2.11; อสธ 2.19; อสธ 2.20; อสธ 3.4; อสธ 4.4; อสธ 4.11; อสธ 4.12; อสธ 4.14; อสธ 5.1; อสธ 5.4; อสธ 5.5; อสธ 5.8; อสธ 6.1; อสธ 6.10; อสธ 7.8; อสธ 8.2; อสธ 8.11; อสธ 8.17; อสธ 9.11; โยบ 1.4; โยบ 1.5; โยบ 1.6; โยบ 1.7; โยบ 1.13; โยบ 1.15; โยบ 1.16; โยบ 1.17; โยบ 1.18; โยบ 1.19; โยบ 1.21; โยบ 2.1; โยบ 2.2; โยบ 2.11; โยบ 3.21; โยบ 3.24; โยบ 3.25; โยบ 4.3; โยบ 4.14; โยบ 5.6; โยบ 5.7; โยบ 5.10; โยบ 5.19; โยบ 5.26; โยบ 7.4; โยบ 9.14; โยบ 9.23; โยบ 9.32; โยบ 10.17; โยบ 10.19; โยบ 11.10; โยบ 11.12; โยบ 11.19; โยบ 12.6; โยบ 12.22; โยบ 14.1; โยบ 14.3; โยบ 15.7; โยบ 15.14; โยบ 15.18; โยบ 15.21; โยบ 15.27; โยบ 16.2; โยบ 16.4; โยบ 17.10; โยบ 18.14; โยบ 18.20; โยบ 19.29; โยบ 20.4; โยบ 20.22; โยบ 20.25; โยบ 21.17; โยบ 21.21; โยบ 21.34; โยบ 24.14; โยบ 25.3; โยบ 27.9; โยบ 28.2; โยบ 28.8; โยบ 28.11; โยบ 28.20; โยบ 30.4; โยบ 30.27; โยบ 31.13; โยบ 31.18; โยบ 31.23; โยบ 31.25; โยบ 31.29; โยบ 33.22; โยบ 33.23; โยบ 33.30; โยบ 33.32; โยบ 36.3; โยบ 36.16; โยบ 36.17; โยบ 37.9; โยบ 37.19; โยบ 37.22; โยบ 38.4; โยบ 38.12; โยบ 38.18; โยบ 38.21; โยบ 38.26; โยบ 38.29; โยบ 39.12; โยบ 40.19; โยบ 41.6; โยบ 41.20; โยบ 42.11; สดด 4.6; สดด 7.7; สดด 10.9; สดด 14.7; สดด 17.1; สดด 17.2; สดด 18.16; สดด 18.44; สดด 20.2; สดด 22.19; สดด 22.27; สดด 22.31; สดด 25.6; สดด 30.5; สดด 33.9; สดด 34.11; สดด 35.15; สดด 36.11; สดด 37.13; สดด 37.39; สดด 38.22; สดด 40.7; สดด 40.13; สดด 41.6; สดด 42.2; สดด 42.5; สดด 44.3; สดด 44.26; สดด 45.12; สดด 45.14; สดด 46.8; สดด 50.3; สดด 50.5; สดด 50.14; สดด 50.23; สดด 51.5; สดด 53.6; สดด 55.5; สดด 57.3; สดด 59.4; สดด 61.2; สดด 62.1; สดด 62.5; สดด 65.2; สดด 65.4; สดด 66.5; สดด 66.12; สดด 66.16; สดด 68.10; สดด 68.12; สดด 68.28; สดด 68.29; สดด 69.2; สดด 69.18; สดด 70.1; สดด 71.5; สดด 71.6; สดด 71.12; สดด 71.17; สดด 71.18; สดด 72.10; สดด 73.10; สดด 74.2; สดด 74.3; สดด 75.2; สดด 75.6; สดด 76.8; สดด 76.11; สดด 77.5; สดด 77.17; สดด 78.6; สดด 78.15; สดด 78.45; สดด 78.49; สดด 78.54; สดด 78.70; สดด 78.71; สดด 79.8; สดด 79.11; สดด 80.13; สดด 80.18; สดด 81.16; สดด 83.4; สดด 83.12; สดด 84.7; สดด 86.9; สดด 88.2; สดด 88.15; สดด 89.47; สดด 90.2; สดด 91.6; สดด 91.7; สดด 91.10; สดด 94.23; สดด 95.1; สดด 95.6; สดด 96.8; สดด 96.13; สดด 98.1; สดด 98.9; สดด 102.18; สดด 103.4; สดด 103.5; สดด 104.14; สดด 105.23; สดด 105.28; สดด 105.30; สดด 105.31; สดด 105.34; สดด 105.35; สดด 105.40; สดด 106.15; สดด 106.23; สดด 107.30; สดด 109.8; สดด 109.11; สดด 111.9; สดด 116.3; สดด 118.14; สดด 118.21; สดด 118.23; สดด 119.56; สดด 119.77; สดด 119.79; สดด 119.135; สดด 119.143; สดด 119.162; สดด 121.1; สดด 121.2; สดด 126.6; สดด 129.1; สดด 129.2; สดด 134.1; สดด 138.2; สดด 139.14; สดด 140.10; สดด 144.10; สภษ 1.11; สภษ 1.26; สภษ 2.6; สภษ 2.17; สภษ 6.11; สภษ 7.10; สภษ 7.18; สภษ 8.6; สภษ 8.23; สภษ 8.24; สภษ 8.25; สภษ 9.5; สภษ 9.17; สภษ 10.5; สภษ 10.14; สภษ 11.2; สภษ 12.4; สภษ 12.18; สภษ 12.27; สภษ 13.11; สภษ 13.17; สภษ 14.4; สภษ 14.10; สภษ 16.1; สภษ 16.10; สภษ 16.19; สภษ 16.33; สภษ 17.17; สภษ 18.3; สภษ 18.6; สภษ 18.17; สภษ 19.14; สภษ 19.23; สภษ 19.24; สภษ 20.7; สภษ 20.17; สภษ 20.25; สภษ 21.5; สภษ 21.6; สภษ 21.27; สภษ 24.22; สภษ 25.8; สภษ 25.10; สภษ 25.20; สภษ 26.2; สภษ 26.14; สภษ 26.27; สภษ 27.1; สภษ 29.13; สภษ 29.15; สภษ 31.14; สภษ 31.21; ปญจ 1.4; ปญจ 1.6; ปญจ 1.11; ปญจ 2.1; ปญจ 2.9; ปญจ 2.12; ปญจ 2.18; ปญจ 2.19; ปญจ 2.20; ปญจ 2.24; ปญจ 3.15; ปญจ 3.20; ปญจ 3.22; ปญจ 4.3; ปญจ 4.16; ปญจ 5.15; ปญจ 5.16; ปญจ 6.3; ปญจ 6.4; ปญจ 6.10; ปญจ 7.14; ปญจ 7.18; ปญจ 7.27; ปญจ 8.9; ปญจ 9.1; ปญจ 9.14; ปญจ 10.5; ปญจ 11.8; ปญจ 12.7; พซม 2.8; พซม 2.10; พซม 2.13; พซม 2.15; พซม 3.4; พซม 3.7; พซม 3.9; พซม 4.1; พซม 4.2; พซม 4.11; พซม 4.16; พซม 5.1; พซม 5.9; พซม 6.5; พซม 6.6; พซม 7.11; พซม 8.5; พซม 8.7; พซม 8.8; อสย 1.13; อสย 1.18; อสย 1.25; อสย 2.3; อสย 2.5; อสย 3.9; อสย 3.14; อสย 5.19; อสย 5.26; อสย 6.6; อสย 6.10; อสย 7.17; อสย 7.19; อสย 7.20; อสย 7.24; อสย 7.25; อสย 8.1; อสย 8.7; อสย 9.1; อสย 9.2; อสย 9.3; อสย 9.6; อสย 9.11; อสย 10.3; อสย 10.14; อสย 10.16; อสย 10.26; อสย 10.29; อสย 11.11; อสย 13.5; อสย 13.6; อสย 13.9; อสย 13.17; อสย 14.2; อสย 14.9; อสย 14.28; อสย 18.7; อสย 19.1; อสย 19.20; อสย 20.1; อสย 21.1; อสย 21.8; อสย 21.9; อสย 21.12; อสย 21.14; อสย 22.10; อสย 22.11; อสย 22.20; อสย 22.21; อสย 23.7; อสย 24.17; อสย 25.1; อสย 26.20; อสย 27.11; อสย 27.13; อสย 28.9; อสย 28.29; อสย 29.4; อสย 29.8; อสย 29.13; อสย 30.5; อสย 30.27; อสย 30.33; อสย 31.2; อสย 31.4; อสย 34.1; อสย 34.12; อสย 35.4; อสย 35.9; อสย 35.10; อสย 36.2; อสย 36.8; อสย 36.10; อสย 36.12; อสย 36.17; อสย 37.4; อสย 37.17; อสย 37.29; อสย 37.32; อสย 37.34; อสย 38.3; อสย 38.8; อสย 38.21; อสย 39.1; อสย 39.3; อสย 39.7; อสย 40.7; อสย 40.10; อสย 40.20; อสย 40.24; อสย 41.2; อสย 41.9; อสย 41.21; อสย 41.22; อสย 41.25; อสย 42.6; อสย 42.11; อสย 43.5; อสย 43.6; อสย 43.9; อสย 43.23; อสย 43.26; อสย 44.7; อสย 44.15; อสย 44.19; อสย 44.26; อสย 44.28; อสย 45.8; อสย 45.20; อสย 45.21; อสย 46.1; อสย 46.3; อสย 46.7; อสย 46.11; อสย 46.13; อสย 47.11; อสย 47.12; อสย 47.15; อสย 48.5; อสย 48.15; อสย 48.16; อสย 49.12; อสย 49.21; อสย 49.22; อสย 50.2; อสย 50.3; อสย 50.8; อสย 51.1; อสย 51.9; อสย 51.11; อสย 51.18; อสย 51.22; อสย 52.7; อสย 53.2; อสย 54.14; อสย 54.15; อสย 54.17; อสย 55.1; อสย 56.1; อสย 56.7; อสย 56.8; อสย 56.9; อสย 56.12; อสย 57.1; อสย 58.12; อสย 59.6; อสย 59.16; อสย 59.19; อสย 59.20; อสย 60.1; อสย 60.3; อสย 60.4; อสย 60.5; อสย 60.6; อสย 60.8; อสย 60.9; อสย 60.11; อสย 60.13; อสย 60.14; อสย 60.15; อสย 60.17; อสย 61.1; อสย 61.4; อสย 62.8; อสย 62.11; อสย 62.12; อสย 63.1; อสย 63.5; อสย 66.4; อสย 66.8; อสย 66.15; อสย 66.18; อสย 66.20; อสย 66.23; ยรม 1.3; ยรม 1.11; ยรม 1.13; ยรม 1.14; ยรม 1.15; ยรม 2.1; ยรม 2.2; ยรม 2.14; ยรม 2.17; ยรม 2.20; ยรม 2.23; ยรม 2.27; ยรม 2.29; ยรม 2.36; ยรม 3.2; ยรม 3.18; ยรม 3.21; ยรม 4.5; ยรม 4.6; ยรม 4.7; ยรม 4.11; ยรม 4.12; ยรม 4.15; ยรม 4.16; ยรม 4.18; ยรม 5.1; ยรม 5.6; ยรม 5.15; ยรม 6.3; ยรม 6.19; ยรม 6.20; ยรม 6.22; ยรม 6.23; ยรม 6.26; ยรม 7.1; ยรม 7.10; ยรม 8.4; ยรม 8.7; ยรม 8.14; ยรม 8.15; ยรม 8.16; ยรม 9.17; ยรม 10.3; ยรม 10.4; ยรม 10.9; ยรม 10.13; ยรม 10.22; ยรม 11.1; ยรม 11.8; ยรม 11.11; ยรม 11.23; ยรม 12.9; ยรม 12.12; ยรม 12.15; ยรม 13.1; ยรม 13.4; ยรม 13.6; ยรม 13.7; ยรม 13.8; ยรม 13.16; ยรม 13.18; ยรม 13.20; ยรม 13.23; ยรม 13.26; ยรม 14.19; ยรม 15.1; ยรม 15.5; ยรม 15.8; ยรม 15.10; ยรม 16.1; ยรม 16.6; ยรม 16.16; ยรม 16.19; ยรม 17.11; ยรม 17.15; ยรม 17.18; ยรม 17.25; ยรม 17.26; ยรม 18.1; ยรม 18.5; ยรม 18.14; ยรม 18.18; ยรม 18.22; ยรม 19.1; ยรม 19.14; ยรม 20.14; ยรม 20.15; ยรม 20.18; ยรม 21.1; ยรม 21.4; ยรม 22.4; ยรม 22.23; ยรม 23.12; ยรม 23.17; ยรม 23.40; ยรม 24.1; ยรม 24.10; ยรม 25.3; ยรม 25.4; ยรม 25.9; ยรม 25.17; ยรม 25.27; ยรม 25.29; ยรม 26.1; ยรม 26.2; ยรม 26.10; ยรม 26.12; ยรม 26.15; ยรม 26.19; ยรม 26.23; ยรม 27.1; ยรม 27.3; ยรม 27.13; ยรม 28.12; ยรม 29.12; ยรม 29.14; ยรม 29.17; ยรม 29.19; ยรม 29.28; ยรม 29.30; ยรม 30.1; ยรม 30.3; ยรม 31.3; ยรม 31.8; ยรม 31.9; ยรม 31.11; ยรม 31.12; ยรม 31.28; ยรม 32.1; ยรม 32.6; ยรม 32.26; ยรม 32.29; ยรม 32.30; ยรม 32.37; ยรม 32.39; ยรม 32.42; ยรม 33.1; ยรม 33.5; ยรม 33.6; ยรม 33.7; ยรม 33.11; ยรม 33.15; ยรม 33.19; ยรม 34.1; ยรม 34.8; ยรม 34.11; ยรม 34.12; ยรม 34.14; ยรม 35.1; ยรม 35.2; ยรม 35.4; ยรม 35.11; ยรม 35.15; ยรม 35.17; ยรม 36.1; ยรม 36.9; ยรม 36.14; ยรม 36.21; ยรม 36.27; ยรม 36.29; ยรม 37.6; ยรม 37.7; ยรม 37.17; ยรม 37.19; ยรม 38.14; ยรม 38.25; ยรม 39.1; ยรม 39.14; ยรม 39.15; ยรม 40.1; ยรม 40.2; ยรม 40.3; ยรม 40.4; ยรม 40.12; ยรม 40.14; ยรม 40.15; ยรม 41.5; ยรม 41.6; ยรม 41.14; ยรม 41.16; ยรม 42.7; ยรม 42.17; ยรม 42.21; ยรม 43.2; ยรม 43.7; ยรม 43.8; ยรม 44.1; ยรม 44.2; ยรม 44.8; ยรม 44.12; ยรม 44.14; ยรม 44.28; ยรม 45.5; ยรม 46.1; ยรม 46.18; ยรม 46.20; ยรม 46.21; ยรม 46.22; ยรม 46.25; ยรม 47.1; ยรม 47.3; ยรม 48.2; ยรม 48.3; ยรม 48.8; ยรม 48.11; ยรม 48.12; ยรม 48.18; ยรม 48.19; ยรม 48.35; ยรม 48.36; ยรม 48.44; ยรม 49.3; ยรม 49.4; ยรม 49.5; ยรม 49.8; ยรม 49.9; ยรม 49.14; ยรม 49.32; ยรม 49.34; ยรม 49.36; ยรม 50.3; ยรม 50.4; ยรม 50.5; ยรม 50.9; ยรม 50.15; ยรม 50.24; ยรม 50.26; ยรม 50.29; ยรม 50.41; ยรม 51.2; ยรม 51.8; ยรม 51.10; ยรม 51.16; ยรม 51.27; ยรม 51.28; ยรม 51.46; ยรม 51.48; ยรม 51.53; ยรม 51.54; ยรม 51.56; ยรม 51.64; ยรม 52.4; พคค 1.1; พคค 1.2; พคค 1.12; พคค 1.18; พคค 1.22; พคค 2.13; พคค 2.14; พคค 2.22; พคค 3.2; พคค 3.38; พคค 4.5; พคค 4.10; พคค 4.15; พคค 5.9; พคค 5.18; อสค 1.1; อสค 1.3; อสค 1.4; อสค 1.14; อสค 1.25; อสค 3.19; อสค 3.21; อสค 3.22; อสค 4.1; อสค 4.3; อสค 4.9; อสค 4.14; อสค 5.1; อสค 5.2; อสค 5.3; อสค 5.4; อสค 5.9; อสค 5.17; อสค 6.3; อสค 7.3; อสค 7.20; อสค 7.24; อสค 8.3; อสค 8.6; อสค 8.13; อสค 8.15; อสค 8.17; อสค 9.1; อสค 9.2; อสค 10.6; อสค 11.1; อสค 11.3; อสค 11.8; อสค 11.13; อสค 11.14; อสค 11.17; อสค 11.18; อสค 11.24; อสค 12.7; อสค 12.26; อสค 14.1; อสค 14.13; อสค 14.17; อสค 14.21; อสค 14.22; อสค 16.1; อสค 16.4; อสค 16.15; อสค 16.19; อสค 16.20; อสค 16.25; อสค 16.34; อสค 16.37; อสค 16.38; อสค 16.40; อสค 16.63; อสค 17.1; อสค 17.3; อสค 17.6; อสค 17.7; อสค 17.10; อสค 17.11; อสค 17.12; อสค 17.23; อสค 18.1; อสค 18.24; อสค 19.4; อสค 19.5; อสค 19.9; อสค 19.10; อสค 20.1; อสค 20.2; อสค 20.3; อสค 20.29; อสค 20.31; อสค 20.45; อสค 21.1; อสค 21.8; อสค 21.18; อสค 21.20; อสค 21.29; อสค 22.1; อสค 22.17; อสค 22.23; อสค 23.1; อสค 23.4; อสค 23.8; อสค 23.22; อสค 23.24; อสค 23.27; อสค 23.40; อสค 23.42; อสค 23.46; อสค 24.1; อสค 24.4; อสค 24.5; อสค 24.15; อสค 24.20; อสค 25.1; อสค 26.1; อสค 26.3; อสค 26.7; อสค 26.12; อสค 26.16; อสค 26.19; อสค 26.20; อสค 27.1; อสค 27.5; อสค 27.6; อสค 27.7; อสค 27.12; อสค 27.14; อสค 27.15; อสค 27.16; อสค 27.17; อสค 27.19; อสค 27.22; อสค 27.29; อสค 27.33; อสค 28.1; อสค 28.4; อสค 28.7; อสค 28.11; อสค 28.20; อสค 28.24; อสค 29.1; อสค 29.8; อสค 29.17; อสค 29.18; อสค 30.1; อสค 30.4; อสค 30.11; อสค 30.18; อสค 30.20; อสค 30.21; อสค 31.1; อสค 31.6; อสค 32.1; อสค 32.4; อสค 32.11; อสค 32.17; อสค 32.29; อสค 33.1; อสค 33.2; อสค 33.3; อสค 33.4; อสค 33.6; อสค 33.14; อสค 33.15; อสค 33.16; อสค 33.21; อสค 33.22; อสค 33.23; อสค 33.30; อสค 33.31; อสค 33.33; อสค 34.1; อสค 34.13; อสค 35.1; อสค 35.9; อสค 35.10; อสค 36.10; อสค 36.16; อสค 36.17; อสค 36.20; อสค 36.24; อสค 36.29; อสค 37.1; อสค 37.6; อสค 37.8; อสค 37.9; อสค 37.15; อสค 37.16; อสค 37.17; อสค 37.19; อสค 37.21; อสค 38.1; อสค 38.8; อสค 38.12; อสค 38.13; อสค 38.15; อสค 38.16; อสค 38.17; อสค 38.18; อสค 38.21; อสค 39.6; อสค 39.8; อสค 39.10; อสค 39.15; อสค 39.17; อสค 39.26; อสค 39.27; อสค 40.1; อสค 40.3; อสค 40.4; อสค 40.28; อสค 40.32; อสค 40.35; อสค 40.48; อสค 41.12; อสค 43.1; อสค 43.2; อสค 43.3; อสค 43.5; อสค 43.11; อสค 43.24; อสค 44.4; อสค 45.19; อสค 46.2; อสค 46.16; อสค 46.17; อสค 46.19; อสค 48.19; ดนล 1.1; ดนล 1.2; ดนล 1.12; ดนล 1.21; ดนล 2.25; ดนล 2.29; ดนล 2.45; ดนล 2.46; ดนล 3.3; ดนล 3.8; ดนล 3.20; ดนล 3.26; ดนล 3.28; ดนล 4.21; ดนล 4.24; ดนล 4.34; ดนล 4.36; ดนล 5.2; ดนล 5.3; ดนล 5.13; ดนล 5.15; ดนล 5.23; ดนล 5.24; ดนล 6.10; ดนล 6.11; ดนล 6.13; ดนล 6.15; ดนล 6.16; ดนล 6.17; ดนล 6.18; ดนล 6.20; ดนล 6.22; ดนล 6.24; ดนล 7.9; ดนล 7.13; ดนล 7.17; ดนล 7.24; ดนล 8.3; ดนล 8.5; ดนล 8.15; ดนล 8.17; ดนล 9.14; ดนล 9.15; ดนล 9.21; ดนล 9.23; ดนล 9.26; ดนล 10.10; ดนล 10.12; ดนล 10.13; ดนล 10.14; ดนล 10.16; ดนล 10.20; ดนล 11.6; ดนล 11.7; ดนล 11.10; ดนล 11.13; ดนล 11.15; ดนล 11.16; ดนล 11.17; ดนล 11.18; ดนล 11.24; ดนล 11.27; ดนล 11.30; ดนล 11.35; ดนล 11.40; ดนล 12.1; ดนล 12.3; ดนล 12.4; ฮชย 1.2; ฮชย 1.3; ฮชย 2.3; ฮชย 3.2; ฮชย 6.1; ฮชย 8.1; ฮชย 8.6; ฮชย 8.9; ฮชย 8.10; ฮชย 8.14; ฮชย 10.9; ฮชย 10.12; ฮชย 10.13; ฮชย 11.10; ฮชย 11.11; ฮชย 13.15; ฮชย 14.2; ฮชย 14.8; ยอล 1.2; ยอล 1.15; ยอล 2.1; ยอล 2.25; ยอล 2.28; ยอล 2.29; ยอล 2.32; ยอล 3.11; ยอล 3.18; อมส 1.7; อมส 1.10; อมส 1.12; อมส 2.2; อมส 2.4; อมส 2.5; อมส 2.8; อมส 3.11; อมส 3.12; อมส 4.1; อมส 4.4; อมส 4.9; อมส 4.10; อมส 5.8; อมส 6.4; อมส 6.13; อมส 7.13; อมส 7.15; อมส 8.10; อมส 8.11; อมส 8.12; อมส 9.2; อมส 9.3; อมส 9.6; อมส 9.7; อบด 1.9; อบด 1.15; อบด 1.16; ยนา 1.7; ยนา 1.8; ยนา 1.14; ยนา 4.7; ยนา 4.8; มคา 1.7; มคา 1.15; มคา 3.7; มคา 4.2; มคา 4.4; มคา 4.8; มคา 4.13; มคา 5.1; มคา 5.2; มคา 5.5; มคา 6.3; มคา 6.4; มคา 7.12; มคา 7.19; นฮม 1.11; นฮม 1.15; นฮม 2.4; นฮม 2.8; นฮม 2.12; นฮม 3.7; นฮม 3.18; ฮบก 1.1; ฮบก 1.8; ฮบก 1.9; ฮบก 1.12; ฮบก 1.15; ฮบก 2.5; ฮบก 2.7; ฮบก 2.8; ฮบก 2.9; ฮบก 2.10; ฮบก 2.11; ฮบก 3.5; ฮบก 3.14; ศฟย 1.7; ศฟย 1.17; ศฟย 2.1; ศฟย 2.5; ศฟย 3.10; ศฟย 3.18; ฮกก 1.1; ฮกก 1.6; ฮกก 1.8; ฮกก 1.9; ฮกก 1.11; ฮกก 1.12; ฮกก 1.14; ฮกก 2.1; ฮกก 2.10; ฮกก 2.13; ฮกก 2.16; ศคย 1.1; ศคย 1.7; ศคย 1.12; ศคย 1.21; ศคย 2.4; ศคย 2.8; ศคย 2.9; ศคย 2.10; ศคย 2.11; ศคย 3.5; ศคย 3.8; ศคย 3.10; ศคย 4.1; ศคย 4.8; ศคย 6.9; ศคย 6.15; ศคย 7.1; ศคย 7.3; ศคย 7.4; ศคย 7.12; ศคย 8.1; ศคย 8.8; ศคย 8.9; ศคย 8.18; ศคย 8.20; ศคย 8.22; ศคย 9.6; ศคย 10.10; ศคย 11.10; ศคย 13.3; ศคย 14.1; ศคย 14.5; ศคย 14.16; ศคย 14.21; มลค 1.7; มลค 1.8; มลค 1.9; มลค 1.13; มลค 2.2; มลค 2.4; มลค 3.1; มลค 3.2; มลค 3.4; มลค 3.5; มลค 3.10; มลค 4.1; มลค 4.5; มลค 4.6; มธ 1.16; มธ 1.20; มธ 1.24; มธ 2.1; มธ 2.2; มธ 2.9; มธ 2.13; มธ 2.19; มธ 2.20; มธ 2.21; มธ 3.1; มธ 3.2; มธ 3.7; มธ 3.11; มธ 4.1; มธ 4.11; มธ 4.13; มธ 4.17; มธ 4.19; มธ 4.25; มธ 5.1; มธ 5.17; มธ 5.24; มธ 5.32; มธ 6.10; มธ 7.6; มธ 8.2; มธ 8.5; มธ 8.9; มธ 8.11; มธ 8.18; มธ 8.22; มธ 8.25; มธ 8.28; มธ 8.29; มธ 9.9; มธ 9.13; มธ 9.16; มธ 9.17; มธ 9.18; มธ 9.20; มธ 9.27; มธ 9.38; มธ 10.1; มธ 10.7; มธ 10.13; มธ 10.23; มธ 10.34; มธ 10.35; มธ 10.40; มธ 11.3; มธ 11.11; มธ 11.13; มธ 11.14; มธ 11.18; มธ 11.19; มธ 11.21; มธ 12.1; มธ 12.35; มธ 12.42; มธ 12.46; มธ 13.4; มธ 13.10; มธ 13.15; มธ 13.19; มธ 13.25; มธ 13.27; มธ 13.32; มธ 13.33; มธ 13.36; มธ 13.54; มธ 13.56; มธ 14.4; มธ 14.8; มธ 14.11; มธ 14.12; มธ 14.15; มธ 14.18; มธ 14.26; มธ 14.29; มธ 14.33; มธ 14.35; มธ 15.1; มธ 15.2; มธ 15.9; มธ 15.12; มธ 15.22; มธ 15.23; มธ 15.25; มธ 15.29; มธ 15.30; มธ 15.32; มธ 15.36; มธ 16.1; มธ 16.7; มธ 16.8; มธ 16.21; มธ 16.24; มธ 16.26; มธ 16.27; มธ 16.28; มธ 17.3; มธ 17.5; มธ 17.7; มธ 17.10; มธ 17.11; มธ 17.12; มธ 18.1; มธ 18.2; มธ 18.11; มธ 18.15; มธ 18.21; มธ 18.24; มธ 18.25; มธ 18.32; มธ 19.3; มธ 19.9; มธ 19.16; มธ 19.20; มธ 19.21; มธ 19.27; มธ 19.28; มธ 20.8; มธ 20.9; มธ 20.10; มธ 20.12; มธ 20.14; มธ 20.20; มธ 20.25; มธ 20.28; มธ 20.30; มธ 20.32; มธ 21.1; มธ 21.2; มธ 21.3; มธ 21.7; มธ 21.8; มธ 21.9; มธ 21.11; มธ 21.13; มธ 21.14; มธ 21.25; มธ 21.26; มธ 21.38; มธ 21.40; มธ 21.42; มธ 22.3; มธ 22.4; มธ 22.9; มธ 22.10; มธ 22.12; มธ 22.19; มธ 22.46; มธ 23.39; มธ 24.1; มธ 24.3; มธ 24.5; มธ 24.21; มธ 24.27; มธ 24.30; มธ 24.31; มธ 24.33; มธ 24.37; มธ 24.39; มธ 24.42; มธ 24.43; มธ 24.44; มธ 24.46; มธ 24.48; มธ 24.50; มธ 25.6; มธ 25.11; มธ 25.13; มธ 25.14; มธ 25.16; มธ 25.19; มธ 25.20; มธ 25.22; มธ 25.24; มธ 25.27; มธ 25.31; มธ 25.34; มธ 25.36; มธ 25.37; มธ 25.39; มธ 26.7; มธ 26.16; มธ 26.17; มธ 26.18; มธ 26.24; มธ 26.26; มธ 26.27; มธ 26.36; มธ 26.45; มธ 26.46; มธ 26.47; มธ 26.50; มธ 26.59; มธ 26.60; มธ 26.64; มธ 26.69; มธ 26.73; มธ 27.3; มธ 27.6; มธ 27.19; มธ 27.28; มธ 27.34; มธ 27.35; มธ 27.49; มธ 27.57; มธ 27.59; มธ 27.64; มธ 28.1; มธ 28.6; มธ 28.9; มธ 28.13; มธ 28.15; มก 1.7; มก 1.9; มก 1.11; มก 1.13; มก 1.14; มก 1.15; มก 1.17; มก 1.24; มก 1.30; มก 1.33; มก 1.38; มก 2.2; มก 2.14; มก 2.17; มก 2.18; มก 2.21; มก 2.22; มก 2.26; มก 3.3; มก 3.9; มก 3.20; มก 3.23; มก 3.31; มก 4.4; มก 4.15; มก 4.21; มก 4.32; มก 4.38; มก 5.2; มก 5.22; มก 5.25; มก 5.26; มก 5.33; มก 5.35; มก 5.43; มก 6.2; มก 6.7; มก 6.18; มก 6.21; มก 6.25; มก 6.27; มก 6.28; มก 6.29; มก 6.35; มก 6.55; มก 6.56; มก 7.1; มก 7.3; มก 7.4; มก 7.5; มก 7.7; มก 7.23; มก 7.25; มก 7.31; มก 8.1; มก 8.3; มก 8.34; มก 8.37; มก 8.38; มก 9.1; มก 9.7; มก 9.11; มก 9.12; มก 9.13; มก 9.14; มก 9.21; มก 9.28; มก 9.33; มก 9.34; มก 9.35; มก 9.36; มก 9.37; มก 9.38; มก 10.2; มก 10.13; มก 10.20; มก 10.21; มก 10.28; มก 10.32; มก 10.42; มก 10.45; มก 10.46; มก 10.47; มก 10.49; มก 11.1; มก 11.2; มก 11.3; มก 11.8; มก 11.9; มก 11.10; มก 11.27; มก 11.30; มก 11.31; มก 11.32; มก 12.7; มก 12.9; มก 12.11; มก 12.15; มก 12.16; มก 12.21; มก 12.41; มก 12.42; มก 12.43; มก 12.44; มก 13.3; มก 13.6; มก 13.11; มก 13.19; มก 13.26; มก 13.29; มก 13.35; มก 13.36; มก 14.3; มก 14.8; มก 14.12; มก 14.13; มก 14.17; มก 14.21; มก 14.22; มก 14.32; มก 14.42; มก 14.43; มก 14.55; มก 14.62; มก 14.66; มก 15.16; มก 15.17; มก 15.21; มก 15.36; มก 15.44; มก 16.1; ลก 1.11; ลก 1.14; ลก 1.19; ลก 1.26; ลก 1.35; ลก 1.59; ลก 1.63; ลก 1.78; ลก 1.80; ลก 2.1; ลก 2.9; ลก 2.10; ลก 2.11; ลก 2.13; ลก 2.37; ลก 2.44; ลก 2.46; ลก 3.12; ลก 3.16; ลก 3.20; ลก 3.21; ลก 3.22; ลก 4.34; ลก 4.43; ลก 5.7; ลก 5.15; ลก 5.17; ลก 5.27; ลก 5.29; ลก 5.30; ลก 5.32; ลก 5.36; ลก 5.37; ลก 6.8; ลก 6.17; ลก 6.48; ลก 7.3; ลก 7.8; ลก 7.9; ลก 7.10; ลก 7.12; ลก 7.16; ลก 7.19; ลก 7.20; ลก 7.28; ลก 7.34; ลก 7.38; ลก 8.5; ลก 8.12; ลก 8.22; ลก 8.24; ลก 8.27; ลก 8.41; ลก 8.43; ลก 8.44; ลก 8.49; ลก 8.55; ลก 8.56; ลก 9.1; ลก 9.8; ลก 9.12; ลก 9.23; ลก 9.26; ลก 9.31; ลก 9.34; ลก 9.37; ลก 9.41; ลก 9.42; ลก 9.48; ลก 9.49; ลก 9.55; ลก 9.56; ลก 9.59; ลก 10.2; ลก 10.9; ลก 10.11; ลก 10.13; ลก 10.16; ลก 10.40; ลก 11.2; ลก 11.22; ลก 11.31; ลก 11.36; ลก 12.36; ลก 12.37; ลก 12.38; ลก 12.39; ลก 12.40; ลก 12.43; ลก 12.45; ลก 12.46; ลก 12.49; ลก 12.51; ลก 12.55; ลก 13.11; ลก 13.14; ลก 13.19; ลก 13.25; ลก 13.27; ลก 13.29; ลก 13.31; ลก 13.35; ลก 14.9; ลก 14.10; ลก 14.17; ลก 14.27; ลก 14.31; ลก 15.5; ลก 15.6; ลก 15.9; ลก 15.17; ลก 15.22; ลก 15.23; ลก 15.26; ลก 15.29; ลก 15.30; ลก 16.1; ลก 16.2; ลก 16.5; ลก 16.16; ลก 16.18; ลก 16.21; ลก 16.22; ลก 16.24; ลก 17.12; ลก 17.20; ลก 17.21; ลก 17.23; ลก 17.26; ลก 17.27; ลก 17.29; ลก 17.30; ลก 18.5; ลก 18.8; ลก 18.12; ลก 18.16; ลก 18.21; ลก 18.22; ลก 18.28; ลก 18.35; ลก 18.40; ลก 19.10; ลก 19.11; ลก 19.12; ลก 19.13; ลก 19.15; ลก 19.16; ลก 19.18; ลก 19.20; ลก 19.23; ลก 19.27; ลก 19.29; ลก 19.30; ลก 19.37; ลก 19.38; ลก 19.41; ลก 19.44; ลก 19.46; ลก 20.1; ลก 20.4; ลก 20.5; ลก 20.6; ลก 20.7; ลก 20.14; ลก 20.16; ลก 21.1; ลก 21.2; ลก 21.4; ลก 21.8; ลก 21.9; ลก 21.20; ลก 21.27; ลก 21.35; ลก 21.36; ลก 22.1; ลก 22.10; ลก 22.18; ลก 22.43; ลก 22.47; ลก 22.59; ลก 23.8; ลก 23.26; ลก 23.28; ลก 23.32; ลก 23.48; ลก 23.49; ลก 23.55; ลก 24.1; ลก 24.17; ลก 24.23; ลก 24.28; ลก 24.42; ลก 24.43; ลก 24.49; ยน 1.3; ยน 1.6; ยน 1.7; ยน 1.8; ยน 1.11; ยน 1.15; ยน 1.17; ยน 1.18; ยน 1.22; ยน 1.24; ยน 1.27; ยน 1.29; ยน 1.30; ยน 1.31; ยน 1.38; ยน 1.39; ยน 1.43; ยน 1.44; ยน 1.46; ยน 2.9; ยน 2.10; ยน 3.2; ยน 3.8; ยน 3.16; ยน 3.21; ยน 3.23; ยน 3.31; ยน 3.34; ยน 4.6; ยน 4.7; ยน 4.11; ยน 4.15; ยน 4.16; ยน 4.22; ยน 4.25; ยน 4.29; ยน 4.33; ยน 4.34; ยน 4.39; ยน 4.47; ยน 4.51; ยน 5.5; ยน 5.23; ยน 5.24; ยน 5.30; ยน 5.36; ยน 5.37; ยน 5.38; ยน 5.43; ยน 5.44; ยน 6.15; ยน 6.19; ยน 6.23; ยน 6.25; ยน 6.29; ยน 6.32; ยน 6.37; ยน 6.38; ยน 6.39; ยน 6.40; ยน 6.44; ยน 6.46; ยน 6.57; ยน 6.66; ยน 7.16; ยน 7.17; ยน 7.18; ยน 7.22; ยน 7.27; ยน 7.28; ยน 7.29; ยน 7.31; ยน 7.33; ยน 7.41; ยน 7.42; ยน 7.45; ยน 7.52; ยน 8.12; ยน 8.14; ยน 8.16; ยน 8.18; ยน 8.23; ยน 8.26; ยน 8.29; ยน 8.33; ยน 8.40; ยน 8.42; ยน 8.44; ยน 8.47; ยน 8.58; ยน 9.2; ยน 9.4; ยน 9.8; ยน 9.16; ยน 9.18; ยน 9.19; ยน 9.20; ยน 9.24; ยน 9.29; ยน 9.30; ยน 9.32; ยน 9.33; ยน 9.34; ยน 10.8; ยน 10.10; ยน 10.12; ยน 10.16; ยน 10.17; ยน 10.18; ยน 10.24; ยน 10.32; ยน 11.20; ยน 11.27; ยน 11.28; ยน 11.33; ยน 11.34; ยน 11.39; ยน 11.42; ยน 11.48; ยน 11.56; ยน 11.57; ยน 12.3; ยน 12.9; ยน 12.12; ยน 12.13; ยน 12.15; ยน 12.21; ยน 12.26; ยน 12.28; ยน 12.35; ยน 12.40; ยน 12.44; ยน 12.45; ยน 12.47; ยน 12.49; ยน 13.3; ยน 13.20; ยน 13.34; ยน 14.6; ยน 14.24; ยน 14.26; ยน 14.30; ยน 15.21; ยน 15.22; ยน 15.26; ยน 16.5; ยน 16.8; ยน 16.13; ยน 16.14; ยน 16.15; ยน 16.21; ยน 16.27; ยน 16.28; ยน 16.30; ยน 16.32; ยน 17.3; ยน 17.5; ยน 17.7; ยน 17.8; ยน 17.18; ยน 17.21; ยน 17.23; ยน 17.25; ยน 18.2; ยน 18.3; ยน 18.18; ยน 18.29; ยน 18.33; ยน 18.36; ยน 18.37; ยน 19.9; ยน 19.27; ยน 19.32; ยน 19.38; ยน 19.39; ยน 20.14; ยน 20.21; ยน 20.24; ยน 20.27; ยน 21.7; ยน 21.8; ยน 21.10; ยน 21.12; ยน 21.19; ยน 21.20; ยน 21.22; ยน 21.23; กจ 1.8; กจ 1.10; กจ 1.11; กจ 1.20; กจ 2.1; กจ 2.2; กจ 2.5; กจ 2.6; กจ 2.10; กจ 2.17; กจ 2.39; กจ 2.44; กจ 2.45; กจ 3.2; กจ 3.19; กจ 3.24; กจ 3.26; กจ 4.18; กจ 4.28; กจ 4.34; กจ 4.37; กจ 5.2; กจ 5.16; กจ 5.19; กจ 5.25; กจ 5.26; กจ 5.27; กจ 5.38; กจ 5.39; กจ 6.6; กจ 6.9; กจ 6.13; กจ 7.4; กจ 7.5; กจ 7.20; กจ 7.21; กจ 7.30; กจ 7.34; กจ 7.38; กจ 7.41; กจ 7.45; กจ 8.9; กจ 8.11; กจ 8.18; กจ 8.27; กจ 8.40; กจ 9.2; กจ 9.3; กจ 9.14; กจ 9.17; กจ 9.21; กจ 9.33; กจ 9.42; กจ 10.5; กจ 10.13; กจ 10.17; กจ 10.20; กจ 10.21; กจ 10.22; กจ 10.24; กจ 10.27; กจ 10.29; กจ 10.30; กจ 10.32; กจ 10.33; กจ 10.45; กจ 11.4; กจ 11.5; กจ 11.11; กจ 11.13; กจ 11.15; กจ 11.20; กจ 11.26; กจ 12.7; กจ 12.8; กจ 12.11; กจ 12.13; กจ 13.7; กจ 13.24; กจ 13.25; กจ 13.32; กจ 13.41; กจ 14.13; กจ 14.15; กจ 14.19; กจ 14.24; กจ 14.26; กจ 15.18; กจ 15.21; กจ 15.23; กจ 15.25; กจ 15.27; กจ 16.9; กจ 16.14; กจ 16.16; กจ 16.17; กจ 16.29; กจ 16.36; กจ 16.37; กจ 16.39; กจ 17.1; กจ 17.5; กจ 17.6; กจ 17.13; กจ 17.17; กจ 17.18; กจ 17.23; กจ 18.2; กจ 18.5; กจ 18.17; กจ 18.19; กจ 18.24; กจ 18.26; กจ 19.1; กจ 19.4; กจ 19.18; กจ 19.19; กจ 19.25; กจ 19.37; กจ 19.38; กจ 20.1; กจ 20.2; กจ 20.14; กจ 20.15; กจ 20.17; กจ 21.1; กจ 21.7; กจ 21.16; กจ 21.22; กจ 21.26; กจ 21.27; กจ 21.32; กจ 22.5; กจ 22.6; กจ 22.11; กจ 23.17; กจ 23.23; กจ 23.34; กจ 23.35; กจ 24.7; กจ 24.8; กจ 24.17; กจ 24.18; กจ 24.19; กจ 24.24; กจ 24.25; กจ 24.26; กจ 24.27; กจ 25.2; กจ 25.3; กจ 25.13; กจ 25.15; กจ 25.16; กจ 25.23; กจ 26.4; กจ 26.5; กจ 26.6; กจ 26.19; กจ 27.2; กจ 27.6; กจ 27.8; กจ 27.13; กจ 27.21; กจ 27.23; กจ 27.27; กจ 28.3; กจ 28.10; กจ 28.11; กจ 28.13; กจ 28.17; กจ 28.20; กจ 28.21; กจ 28.27; รม 1.7; รม 1.11; รม 1.20; รม 1.23; รม 3.27; รม 4.13; รม 5.12; รม 5.14; รม 6.19; รม 7.5; รม 8.3; รม 8.22; รม 8.30; รม 9.6; รม 9.9; รม 9.11; รม 9.21; รม 9.24; รม 11.13; รม 11.17; รม 11.24; รม 11.26; รม 11.36; รม 13.1; รม 13.2; รม 15.2; รม 15.12; รม 15.20; รม 15.29; รม 16.3; รม 16.5; รม 16.6; รม 16.7; รม 16.8; รม 16.9; รม 16.10; รม 16.11; รม 16.12; รม 16.13; รม 16.14; รม 16.15; รม 16.16; รม 16.17; รม 16.21; รม 16.22; รม 16.23; รม 16.26; 1คร 1.26; 1คร 2.1; 1คร 2.12; 1คร 3.5; 1คร 3.10; 1คร 4.5; 1คร 4.6; 1คร 4.7; 1คร 4.21; 1คร 5.1; 1คร 6.15; 1คร 7.5; 1คร 7.17; 1คร 8.6; 1คร 10.4; 1คร 10.28; 1คร 10.29; 1คร 11.12; 1คร 11.26; 1คร 11.29; 1คร 11.33; 1คร 11.34; 1คร 14.36; 1คร 15.11; 1คร 15.23; 1คร 15.45; 1คร 15.47; 1คร 15.49; 1คร 16.2; 1คร 16.17; 1คร 16.19; 1คร 16.20; 1คร 16.22; 2คร 1.2; 2คร 1.8; 2คร 1.12; 2คร 1.17; 2คร 2.3; 2คร 2.17; 2คร 3.5; 2คร 3.14; 2คร 3.18; 2คร 4.7; 2คร 5.2; 2คร 5.18; 2คร 7.7; 2คร 8.8; 2คร 8.14; 2คร 8.20; 2คร 9.4; 2คร 10.2; 2คร 10.11; 2คร 10.14; 2คร 11.4; 2คร 11.9; 2คร 11.20; 2คร 12.1; 2คร 12.2; 2คร 12.14; 2คร 12.21; 2คร 13.1; 2คร 13.2; 2คร 13.10; 2คร 13.13; 2คร 13.14; กท 2.6; กท 3.17; กท 3.23; กท 3.25; กท 4.4; กท 4.24; กท 5.8; กท 5.10; กท 5.21; กท 6.17; อฟ 1.14; อฟ 2.17; อฟ 3.15; อฟ 4.18; อฟ 6.15; อฟ 6.23; ฟป 1.5; ฟป 1.28; ฟป 3.5; ฟป 3.9; ฟป 3.13; ฟป 3.20; ฟป 4.16; ฟป 4.18; ฟป 4.21; ฟป 4.22; คส 1.5; คส 1.13; คส 2.6; คส 2.7; คส 2.17; คส 4.10; คส 4.12; คส 4.14; คส 4.15; คส 4.16; 1ธส 1.3; 1ธส 1.10; 1ธส 2.2; 1ธส 2.3; 1ธส 2.18; 1ธส 2.19; 1ธส 3.6; 1ธส 3.13; 1ธส 4.14; 1ธส 4.15; 1ธส 4.16; 1ธส 5.2; 1ธส 5.4; 1ธส 5.23; 2ธส 1.10; 2ธส 2.1; 2ธส 2.2; 2ธส 2.9; 2ธส 2.11; 1ทธ 1.15; 1ทธ 1.18; 1ทธ 3.14; 1ทธ 3.15; 1ทธ 4.13; 1ทธ 6.2; 1ทธ 6.14; 2ทธ 1.3; 2ทธ 1.9; 2ทธ 1.10; 2ทธ 2.25; 2ทธ 3.14; 2ทธ 3.15; 2ทธ 4.1; 2ทธ 4.11; 2ทธ 4.13; 2ทธ 4.19; 2ทธ 4.21; ทต 1.9; ทต 3.15; ฟม 1.15; ฟม 1.23; ฟม 1.24; ฮบ 2.11; ฮบ 3.1; ฮบ 3.14; ฮบ 5.1; ฮบ 6.1; ฮบ 6.4; ฮบ 6.5; ฮบ 6.7; ฮบ 7.4; ฮบ 7.11; ฮบ 7.13; ฮบ 7.14; ฮบ 7.27; ฮบ 7.28; ฮบ 8.1; ฮบ 9.11; ฮบ 9.19; ฮบ 9.26; ฮบ 10.1; ฮบ 10.7; ฮบ 10.9; ฮบ 10.11; ฮบ 10.37; ฮบ 11.4; ฮบ 11.7; ฮบ 11.15; ฮบ 11.17; ฮบ 11.19; ฮบ 11.23; ฮบ 11.28; ฮบ 12.28; ฮบ 13.23; ฮบ 13.24; ยก 1.13; ยก 1.17; ยก 3.4; ยก 3.15; ยก 5.7; ยก 5.14; 1ปต 1.7; 1ปต 1.11; 1ปต 5.1; 1ปต 5.4; 1ปต 5.13; 2ปต 1.16; 2ปต 1.18; 2ปต 1.21; 2ปต 2.3; 2ปต 2.12; 2ปต 3.4; 2ปต 3.6; 2ปต 3.9; 2ปต 3.10; 1ยน 2.18; 1ยน 2.21; 1ยน 2.24; 1ยน 2.27; 1ยน 2.28; 1ยน 3.2; 1ยน 3.8; 1ยน 3.10; 1ยน 3.11; 1ยน 3.12; 1ยน 4.1; 1ยน 4.2; 1ยน 4.3; 1ยน 4.7; 1ยน 4.9; 1ยน 4.14; 1ยน 4.21; 1ยน 5.6; 1ยน 5.20; 2ยน 1.1; 2ยน 1.5; 2ยน 1.6; 2ยน 1.7; 2ยน 1.8; 2ยน 1.10; 2ยน 1.13; 3ยน 1.3; 3ยน 1.10; 3ยน 1.11; 3ยน 1.14; ยด 1.4; ยด 1.5; ยด 1.12; ยด 1.14; วว 1.4; วว 1.7; วว 1.8; วว 1.9; วว 1.10; วว 1.12; วว 2.5; วว 2.25; วว 3.9; วว 3.11; วว 4.8; วว 5.9; วว 6.1; วว 6.3; วว 6.5; วว 6.7; วว 6.8; วว 7.4; วว 7.5; วว 7.6; วว 7.7; วว 7.8; วว 7.9; วว 7.13; วว 7.14; วว 9.3; วว 11.12; วว 11.17; วว 15.4; วว 15.8; วว 16.12; วว 16.15; วว 16.18; วว 17.1; วว 18.4; วว 19.9; วว 19.17; วว 19.19; วว 20.8; วว 21.3; วว 21.9; วว 22.7; วว 22.12; วว 22.17; วว 22.20

ม้า ( 161 )
ปฐก 47.17 เขาก็นำฝูงสัตว์มาให้โยเซฟ โยเซฟก็ให้อาหารแก่เขาแลกกับม้า แพะแกะ ฝูงวัวและลา ในปีนั้นท่านจ่ายอาหารแลกกับสัตว์ต่างๆของเขา
ปฐก 49.17 ดานจะเป็นงูอยู่ตามทาง เป็นงูพิษที่อยู่ในหนทางที่กัดส้นเท้าม้า ให้คนขี่ตกหงายลง
ปฐก 50.9 มีขบวนราชรถ ขบวนม้าไปกับท่าน เป็นขบวนใหญ่มาก
อพย 9.3 ดูเถิด หัตถ์ของพระเยโฮวาห์จะอยู่บนฝูงสัตว์ของเจ้าซึ่งอยู่ในทุ่งนา ฝูงม้า ฝูงลา ฝูงอูฐ ฝูงวัว และฝูงแกะ จะทำให้เป็นโรคระบาดร้ายแรงขึ้น
อพย 14.9 ชาวอียิปต์ไล่ตามไปมีทั้งม้าและรถรบทั้งหมดของฟาโรห์และทหารม้า กองทัพของท่านมาทันชนชาติอิสราเอลที่ตั้งค่ายอยู่ริมทะเล ใกล้ตำบลปีหะหิโรท หน้าตำบลบาอัลเซโฟน
อพย 15.1 ขณะนั้นโมเสสกับชนชาติอิสราเอลร้องเพลงบทนี้ ถวายพระเยโฮวาห์ว่า “ข้าพเจ้าจะร้องเพลงถวายพระเยโฮวาห์ เพราะพระองค์ทรงได้ชัยชนะอย่างใหญ่หลวง พระองค์ทรงกวาดม้าและพลม้าลงในทะเล
อพย 15.21 มิเรียมจึงร้องนำว่า “จงร้องเพลงถวายพระเยโฮวาห์เถิด เพราะพระองค์ทรงได้ชัยชนะอย่างใหญ่หลวง พระองค์ทรงกวาดม้าและพลม้าให้ตกลงไปในทะเล”
พบญ 11.4 และซึ่งพระองค์ทรงกระทำต่อกองทัพอียิปต์ ต่อม้าของเขา และต่อรถรบของเขา และที่พระองค์ทรงกระทำให้น้ำในทะเลแดงท่วมเขาเมื่อเขาไล่ติดตามท่านทั้งหลาย และที่พระเยโฮวาห์ทรงทำลายเขาทั้งหลายจนทุกวันนี้
พบญ 17.16 แต่ว่าอย่าให้ผู้นั้นมีม้าของตนเองมากเกินไป หรือเป็นเหตุให้ประชาชนกลับไปอียิปต์เพื่อจะมีม้ามากๆ เพราะพระเยโฮวาห์ได้ตรัสกับท่านทั้งหลายแล้วว่า ‘เจ้าทั้งหลายจะไม่ได้กลับไปทางนั้นอีกเลย’
พบญ 20.1 “เมื่อท่านทั้งหลายจะยกไปทำสงครามกับพวกศัตรูของท่าน เห็นม้า รถรบ และกองทัพมากมายใหญ่โตกว่าของท่าน ท่านอย่ากลัวเขาเลย เพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงสถิตอยู่กับท่าน ผู้ทรงนำท่านขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์
ยชว 11.4 กษัตริย์เหล่านี้ก็ยกออกมากับบรรดาพลโยธาเป็นกองทัพมหึมา มีจำนวนดังเม็ดทรายที่ชายทะเล มีม้าและรถรบมากมายด้วย
ยชว 11.6 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับโยชูวาว่า “อย่ากลัวเขาเลย เพราะว่าพรุ่งนี้ในเวลาเดียวกันนี้ เราจะมอบเขาไว้หมดต่อหน้าอิสราเอลให้ถูกประหาร เอ็นน่องม้าของเขาให้เจ้าตัดเสีย และรถรบของเขา เจ้าจงเผาไฟเสีย”
ยชว 11.9 โยชูวาได้กระทำแก่เขาตามที่พระเยโฮวาห์ตรัสสั่งไว้ คือได้ตัดเอ็นน่องม้าและเผารถรบเสียด้วยไฟ
วนฉ 5.22 แล้วเสียงกีบม้าก็กระทบแรงโดยม้าของเขาวิ่งควบไป ม้าที่มีอำนาจใหญ่โตวิ่งควบไป
2ซมอ 8.4 และดาวิดทรงยึดรถรบหนึ่งพันคัน พลม้าเจ็ดร้อยคน ทหารราบสองหมื่นคน และดาวิดรับสั่งให้ตัดเอ็นขาม้ารถรบเสียให้หมด เหลือไว้ให้พอแก่รถรบหนึ่งร้อยคัน
2ซมอ 15.1 อยู่มาภายหลังอับซาโลมได้เตรียมรถรบและม้ากับทหารวิ่งนำหน้าห้าสิบคน
1พกษ 4.26 ซาโลมอนยังมีคอกขังม้าเดี่ยวอีกสี่หมื่นสำหรับรถรบของพระองค์ และพลม้าหนึ่งหมื่นสองพันคน
1พกษ 4.28 ทั้งข้าวบาร์เลย์และฟางข้าวสำหรับม้าและม้าอาชาไนย เขานำมายังสถานที่ของข้าหลวงเหล่านั้นตามที่ได้มีรับสั่งแก่ทุกคน
1พกษ 10.25 ทุกคนก็นำเครื่องบรรณาการของเขามา เป็นเครื่องทำด้วยเงิน เครื่องทำด้วยทองคำ เครื่องแต่งกาย เครื่องอาวุธ เครื่องเทศ ม้า และล่อ ตามจำนวนกำหนดทุกๆปี
1พกษ 10.28 ม้าอันเป็นสินค้าเข้าของซาโลมอนมาจากอียิปต์ พร้อมด้วยเส้นด้ายสำหรับผ้าป่าน และบรรดาพ่อค้าของกษัตริย์รับเส้นด้ายสำหรับผ้าป่านนั้นมาตามราคา
1พกษ 10.29 จะนำรถรบคันหนึ่งเข้ามาจากอียิปต์ได้ในราคาหกร้อยเชเขลเงิน ม้าตัวหนึ่งหนึ่งร้อยห้าสิบ ดังนั้นโดยทางพวกพ่อค้าเขาก็ส่งออกไปยังบรรดากษัตริย์ทั้งปวงของคนฮิตไทต์ และบรรดากษัตริย์ของซีเรีย
1พกษ 18.5 และอาหับรับสั่งโอบาดีห์ว่า “จงไปให้ทั่วพื้นแผ่นดินไปหาธารน้ำพุ และไปให้ทั่วทุกลำธาร ชะรอยเราจะพบหญ้าและรักษาชีวิตม้าและล่อให้คงอยู่ได้ และไม่ต้องสูญเสียสัตว์ไปหมด”
1พกษ 20.1 เบนฮาดัดกษัตริย์ซีเรียได้ประชุมกองทัพทั้งปวงของท่าน มีกษัตริย์สามสิบสององค์ขึ้นกับท่าน ทั้งม้าและรถรบ และท่านก็ขึ้นไปล้อมสะมาเรีย สู้รบกับเมืองนั้น
1พกษ 20.20 และต่างก็ฆ่าคู่รบของตน คนซีเรียหนีและคนอิสราเอลไล่ติดตามเขาไป แต่เบนฮาดัดกษัตริย์แห่งซีเรียทรงม้าหนีไปกับทหารม้า
1พกษ 20.21 กษัตริย์แห่งอิสราเอลก็ออกไปโจมตีม้าและรถรบ และประหารชนซีเรียเสียอย่างใหญ่โต
1พกษ 20.25 และเกณฑ์กองทัพเข้าแทนส่วนที่ล้มตายไปในคราวก่อน ม้าแทนม้า รถรบแทนรถรบ แล้วเราทั้งหลายจะสู้รบกับเขาในที่ราบ เราจะต้องแข็งกว่าเขาแน่นอนทีเดียว” และท่านก็ฟังเสียงของเขาทั้งหลายและกระทำตาม
1พกษ 22.4 และพระองค์ตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “ท่านจะยกไปทำศึกที่ราโมทกิเลอาดกับข้าพเจ้าหรือ” และเยโฮชาฟัทตรัสกับกษัตริย์แห่งอิสราเอลว่า “ข้าพเจ้าก็เป็นอย่างที่ท่านเป็น ประชาชนของข้าพเจ้าก็เป็นดังประชาชนของท่าน ม้าของข้าพเจ้าก็เป็นดังม้าของท่าน”
2พกษ 2.11 และอยู่มาเมื่อท่านทั้งสองยังเดินพูดกันต่อไป ดูเถิด รถเพลิงคันหนึ่งและม้าเพลิงได้แยกท่านทั้งสองออกจากกัน และเอลียาห์ได้ขึ้นไปโดยลมหมุนเข้าสวรรค์
2พกษ 3.7 พระองค์ทรงส่งสารไปยังเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ว่า “กษัตริย์แห่งโมอับได้กบฏต่อข้าพเจ้า ท่านจะไปรบกับโมอับพร้อมกับข้าพเจ้าได้หรือไม่” และท่านว่า “เราจะไป เราก็เป็นดังที่ท่านเป็น และประชาชนของเราก็เป็นดังประชาชนของท่าน บรรดาม้าของเราก็เป็นดังม้าของท่าน”
2พกษ 5.9 นาอามานจึงมาพร้อมกับบรรดาม้าและรถรบของท่าน มาหยุดอยู่ที่ประตูเรือนของเอลีชา
2พกษ 6.14 พระองค์จึงทรงส่งม้า รถรบ และกองทัพใหญ่ เขาไปกันในกลางคืนและล้อมเมืองนั้นไว้
2พกษ 6.15 เมื่อคนใช้ของคนแห่งพระเจ้าตื่นขึ้นเวลาเช้าตรู่และออกไป ดูเถิด กองทัพพร้อมกับม้าและรถรบก็ล้อมเมืองไว้ และคนใช้นั้นบอกท่านว่า “อนิจจา นายของข้าพเจ้า เราจะทำอย่างไรดี”
2พกษ 6.17 แล้วเอลีชาก็อธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงเบิกตาของเขาเพื่อเขาจะได้เห็น” และพระเยโฮวาห์ทรงเบิกตาของชายหนุ่มคนนั้น และเขาก็ได้เห็นและดูเถิด ที่ภูเขาก็เต็มไปด้วยม้า และรถรบเพลิงอยู่รอบเอลีชา
2พกษ 7.6 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำให้กองทัพของคนซีเรียได้ยินเสียงรถรบ เสียงม้า และเสียงกองทัพใหญ่ เขาจึงพูดกันและกันว่า “ดูเถิด กษัตริย์แห่งอิสราเอลได้จ้างบรรดากษัตริย์แห่งคนฮิตไทต์ และบรรดากษัตริย์แห่งอียิปต์มารบเราแล้ว”
2พกษ 7.7 เขาจึงลุกขึ้นหนีไปในเวลาโพล้เพล้ และทิ้งเต็นท์ ม้าและลาของเขา ทิ้งค่ายไว้อย่างนั้นเอง และหนีไปเอาชีวิตรอด
2พกษ 7.10 เขาจึงมาเรียกนายประตูเมือง และบอกเรื่องราวแก่เขาว่า “เรามายังค่ายของคนซีเรีย และดูเถิด เราไม่เห็นใครและไม่ได้ยินเสียงผู้ใดที่นั่น มีแต่ม้าผูกอยู่ และลาผูกอยู่ และเต็นท์ตั้งอยู่อย่างนั้นเอง”
2พกษ 7.13 และข้าราชการคนหนึ่งทูลว่า “ขอรับสั่งให้คนเอาม้าที่เหลืออยู่ในเมืองสักห้าตัว (ดูเถิด บางทีม้าเหล่านั้นจะยังเป็นอยู่อย่างคนอิสราเอลที่เหลืออยู่ในเมือง หรือดูเถิด จะเป็นอย่างคนอิสราเอลที่ได้พินาศแล้วก็ช่างเถิด) ขอให้เราส่งคนไปดู”
2พกษ 7.14 เขาจึงเอาม้ากับรถรบสองคัน และกษัตริย์ทรงส่งให้ไปติดตามกองทัพของคนซีเรีย ตรัสว่า “จงไปดู”
2พกษ 9.18 คนนั้นจึงขึ้นม้าไปพบท่านและพูดว่า “กษัตริย์ตรัสดังนี้ว่า ‘มาอย่างสันติหรือ’” และเยฮูตอบว่า “ท่านเกี่ยวข้องอะไรกับสันติ จงเลี้ยวกลับตามเรามา” และทหารยามก็รายงานว่า “ผู้สื่อสารไปถึงเขาแล้ว แต่เขาไม่กลับมา”
2พกษ 9.33 พระองค์ตรัสว่า “โยนนางลงมา” เขาจึงโยนพระนางลงมา และโลหิตของพระนางก็กระเด็นติดผนังกำแพงและติดม้า และพระองค์ทรงม้าย่ำไปบนพระนาง
2พกษ 10.2 “เพราะบรรดาโอรสของนายของท่านอยู่กับท่าน และท่านมีรถรบและม้า และเมืองที่มีป้อมด้วยและอาวุธ พอจดหมายนี้มาถึงท่าน
2พกษ 11.16 เขาทั้งหลายจึงจับพระนาง และพระนางก็ไปตามทางที่ม้าเข้าพระราชวัง และถูกประหารเสียที่นั่น
2พกษ 14.20 และเขานำพระศพบรรทุกม้ากลับมา และฝังไว้ในเยรูซาเล็มอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ในนครดาวิด
2พกษ 18.23 ฉะนั้นบัดนี้ มาเถิด มาทำสัญญากันกับกษัตริย์แห่งอัสซีเรียนายของข้า เราจะให้ม้าสองพันตัวแก่เจ้า ถ้าฝ่ายเจ้าหาคนที่ขี่ม้าเหล่านั้นได้
2พกษ 23.11 และพระองค์ทรงกำจัดม้าซึ่งบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ได้ถวายแก่ดวงอาทิตย์ ที่ตรงทางเข้าพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ ข้างห้องนาธันเมเลคข้าราชสำนัก ซึ่งอยู่ในบริเวณ และพระองค์ทรงเผารถรบของดวงอาทิตย์เสียด้วยไฟ
1พศด 18.4 และดาวิดทรงยึดรถรบจากท่านมาหนึ่งพันคัน พลม้าเจ็ดพัน และทหารราบสองหมื่น และดาวิดทรงตัดเอ็นโคนขาม้ารถรบเสียสิ้น แต่ทรงเหลือไว้ให้พอแก่รถรบหนึ่งร้อยคัน
2พศด 1.16 ม้าอันเป็นสินค้าเข้าของซาโลมอนมาจากอียิปต์ พร้อมด้วยเส้นด้ายสำหรับผ้าป่าน และบรรดาพ่อค้าของกษัตริย์รับเส้นด้ายสำหรับผ้าป่านนั้นมาตามราคา
2พศด 1.17 เขาทั้งหลายนำรถรบเข้ามาจากอียิปต์คันหนึ่งเป็นเงินหกร้อยเชเขลเงิน และม้าตัวหนึ่งหนึ่งร้อยห้าสิบ ดังนั้นโดยทางพวกพ่อค้า เขาก็ส่งออกไปยังบรรดากษัตริย์ของคนฮิตไทต์และบรรดากษัตริย์ของคนซีเรีย
2พศด 9.24 ทุกคนก็นำเครื่องบรรณาการของเขามา เป็นเครื่องทำด้วยเงิน เครื่องทำด้วยทองคำ และเครื่องแต่งกาย เครื่องอาวุธ เครื่องเทศ ม้า และล่อ ตามจำนวนกำหนดทุกๆปี
2พศด 9.25 และซาโลมอนทรงมีโรงช่องม้าสี่พันช่องสำหรับม้าและรถรบ และมีพลม้าหนึ่งหมื่นสองพันคน ซึ่งพระองค์ทรงให้ประจำอยู่ในหัวเมืองรถรบและอยู่กับกษัตริย์ที่กรุงเยรูซาเล็ม
2พศด 9.28 และเขานำม้าเข้ามาถวายซาโลมอนจากอียิปต์ และจากแผ่นดินทั้งปวง
2พศด 23.15 เขาจึงจับพระนาง แล้วพระนางก็เสด็จไปที่ทางเข้าประตูม้า ณ พระราชวังและเขาทั้งหลายก็ประหารพระนางเสียที่นั่น
2พศด 25.28 และเขาทั้งหลายนำพระศพใส่หลังม้ากลับมา และฝังไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ในเมืองแห่งยูดาห์
อสร 2.66 ม้าของเขามีเจ็ดร้อยสามสิบหกตัว ล่อของเขาสองร้อยสี่สิบห้าตัว
นหม 3.28 บรรดาปุโรหิตได้ซ่อมแซมเหนือประตูม้าขึ้นไป ต่างก็ซ่อมที่ตรงข้ามกับเรือนของตน
นหม 7.68 ม้าของเขามีเจ็ดร้อยสามสิบหกตัว ล่อของเขามีสองร้อยสี่สิบห้าตัว
อสธ 6.8 ขอนำฉลองพระองค์ซึ่งกษัตริย์ทรง และม้าซึ่งกษัตริย์ทรง และมงกุฎซึ่งพระองค์ทรงสวมบนพระเศียร
อสธ 6.9 ขอทรงมอบฉลองพระองค์และม้าในมือของเจ้านายผู้ใหญ่ยิ่งที่สุดคนหนึ่งของกษัตริย์ ขอให้แต่งคนที่กษัตริย์พอพระทัยจะประทานเกียรติยศ และขอให้ชายนั้นขึ้นนั่งหลังม้าไปตามถนนของกรุง และป่าวร้องไปข้างหน้าเขาว่า ‘ผู้ที่กษัตริย์พอพระทัยจะประทานเกียรติยศก็เป็นเช่นนี้แหละ’”
อสธ 6.10 กษัตริย์จึงตรัสกับฮามานว่า “รีบเข้าเถอะ เอาเสื้อและม้าอย่างที่ท่านว่า แล้วให้เกียรติแก่โมรเดคัยคนยิวซึ่งนั่งที่ประตูของกษัตริย์ อย่าเว้นสิ่งใดที่ท่านกล่าวมานั้นเลย”
อสธ 6.11 ฮามานจึงนำฉลองพระองค์กับม้าและตกแต่งโมรเดคัย และให้ท่านขึ้นม้าไปตามถนนในกรุง ป่าวร้องหน้าท่านว่า “ผู้ที่กษัตริย์พอพระทัยจะประทานเกียรติยศก็เป็นเช่นนี้แหละ”
อสธ 8.10 และท่านเขียนในพระนามของกษัตริย์อาหสุเอรัสและประทับตราพระธำมรงค์ของกษัตริย์ และส่งจดหมายนั้นไปทางผู้เดินข่าวขึ้นม้าเร็ว และผู้ขี่ล่อ อูฐและม้าอาชาไนยหนุ่ม
โยบ 39.18 เมื่อมันเร่งตัวเองให้หนี มันหัวเราะเยาะม้าและคนขี่
โยบ 39.19 เจ้าให้พลังแก่ม้าหรือ เจ้าห่มคอของมันด้วยฟ้าร้องหรือ
สดด 20.7 บ้างก็วางใจในรถรบ บ้างก็วางใจในม้า แต่เราจะระลึกถึงพระนามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา
สดด 32.9 อย่าเป็นเหมือนม้าหรือล่อที่ปราศจากความเข้าใจ ซึ่งต้องติดเหล็กขวางปากและบังเหียน มิฉะนั้นมันก็จะเข้ามาหาเจ้า
สดด 45.4 ขอทรงม้าอย่างโอ่อ่าตระการเสด็จไปอย่างมีชัย เพื่อเห็นแก่ความจริง ความอ่อนสุภาพและความชอบธรรม ให้พระหัตถ์ขวาของพระองค์ท่านสอนกิจอันน่าครั่นคร้ามแก่พระองค์ท่าน
สดด 76.6 โอ ข้าแต่พระเจ้าของยาโคบ พอพระองค์ทรงขนาบทั้งรถม้าและม้าก็ล่วงลับไป
สดด 147.10 ความปีติยินดีของพระองค์มิได้อยู่ที่กำลังของม้า ความปรีดีของพระองค์มิได้อยู่ที่ขาของมนุษย์
สภษ 21.31 ม้าก็เตรียมไว้พร้อมแล้วสำหรับวันสงคราม แต่ความปลอดภัยเป็นของพระเยโฮวาห์
สภษ 26.3 แส้สำหรับม้า บังเหียนสำหรับลา และไม้เรียวสำหรับหลังคนโง่
อสย 2.7 แผ่นดินของเขาเต็มด้วยเงินและทองคำ ทรัพย์สมบัติของเขาไม่มีสิ้นสุด แผ่นดินของเขาเต็มด้วยม้า รถรบของเขาไม่มีสิ้นสุด
อสย 5.28 ลูกธนูของเขาก็แหลม บรรดาคันธนูของเขาก็ก่งไว้ กีบม้าทั้งหลายของเขาจะเหมือนกับหินเหล็กไฟ และล้อของเขาทั้งหลายเหมือนลมหมุน
อสย 28.28 คนใดบดข้าวที่ทำขนมปังหรือ เปล่าเลย เขาไม่นวดมันเป็นนิตย์ เมื่อเขาขับล้อเกวียนเทียมม้าทับมันแล้ว เขามิได้บดมันด้วยคนขี่ม้า
อสย 31.1 วิบัติแก่คนเหล่านั้นผู้ลงไปที่อียิปต์เพื่อขอความช่วยเหลือ และหมายพึ่งม้า ผู้ที่วางใจในรถรบเพราะมีมาก และวางใจในพลม้า เพราะเขาทั้งหลายแข็งแรงนัก แต่มิได้หมายพึ่งองค์บริสุทธิ์ของอิสราเอล หรือแสวงหาพระเยโฮวาห์
อสย 31.3 คนอียิปต์เป็นคน และไม่ใช่พระเจ้า และม้าทั้งหลายของเขาเป็นเนื้อหนัง และไม่ใช่วิญญาณ เมื่อพระเยโฮวาห์จะทรงเหยียดพระหัตถ์ของพระองค์ออก ทั้งผู้ช่วยเหลือก็จะสะดุด และผู้ที่รับการช่วยเหลือก็จะล้ม และเขาทั้งหลายจะล้มเหลวด้วยกัน
อสย 36.8 ฉะนั้นบัดนี้ มาเถิด มาทำสัญญากันกับกษัตริย์แห่งอัสซีเรียนายของข้า เราจะให้ม้าสองพันตัวแก่เจ้า ถ้าฝ่ายเจ้าหาคนที่ขี่ม้าเหล่านั้นได้
อสย 43.17 ผู้ทรงนำรถรบและม้า กองทัพ และอานุภาพออกมา เขาทั้งหลายนอนลงด้วยกันและลุกขึ้นไม่ได้ เขาทั้งหลายสูญไปและดับเสียเหมือนไส้ตะเกียง ตรัสดังนี้ว่า
อสย 63.13 ผู้ได้นำเขาทั้งหลายข้ามทะเลนั้นเหมือนม้าในถิ่นทุรกันดาร เพื่อเขาทั้งหลายจะมิได้สะดุด
อสย 66.20 และเขาจะนำพี่น้องทั้งสิ้นของเจ้าทั้งหลายจากบรรดาประชาชาติทั้งสิ้นเป็นเครื่องถวายบูชาพระเยโฮวาห์ มาด้วยม้า ด้วยรถรบ ด้วยเกวียนประทุน ด้วยล่อและด้วยอูฐโหนกเดียว ยังเยรูซาเล็มภูเขาบริสุทธิ์ของเรา” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ “เช่นเดียวกับคนอิสราเอลนำธัญญบูชาใส่ภาชนะสะอาดมายังพระนิเวศของพระเยโฮวาห์
ยรม 4.13 ดูเถิด เขาจะขึ้นมาเหมือนเมฆ รถรบของเขาจะเหมือนลมหมุน ม้าทั้งหลายของเขาเร็วยิ่งกว่านกอินทรี วิบัติแก่เราทั้งหลาย เพราะว่าเราจะต้องพินาศ
ยรม 5.8 เขาทั้งหลายเหมือนม้าที่กินอิ่มในตอนเช้า ทุกคนก็ร้องหาภรรยาของเพื่อนบ้าน”
ยรม 8.6 เราได้ตั้งใจและคอยฟัง แต่เขาทั้งหลายก็พูดไม่ถูกต้อง ไม่มีคนใดกลับใจจากความชั่วของตน กล่าวว่า ‘ฉันได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง’ ทุกคนหันไปตามทางของเขาเอง เหมือนม้าวิ่งหัวทิ่มเข้าไปในสงคราม
ยรม 8.16 “เสียงคะนองแห่งม้าของเขาก็ได้ยินมาจากเมืองดาน แผ่นดินทั้งสิ้นก็หวั่นไหวด้วยเสียงร้องของกองอาชาของเขา มันทั้งหลายมากินแผ่นดินและสิ่งทั้งปวงที่อยู่บนนั้นจนหมด ทั้งเมืองและผู้ที่อาศัยอยู่ในเมือง
ยรม 12.5 “ถ้าเจ้าวิ่งแข่งกับทหารราบ และเขาทำให้เจ้าเหน็ดเหนื่อย เจ้าจะแข่งกับม้าได้อย่างไร และถ้าเจ้ายังเหน็ดเหนื่อยในแผ่นดินแห่งสันติภาพซึ่งเจ้าวางใจนั้น เจ้าจะทำอย่างไรในคลื่นของลุ่มแม่น้ำจอร์แดน
ยรม 17.25 แล้วจะมีกษัตริย์และเจ้านาย ผู้ประทับบนบัลลังก์แห่งดาวิดเสด็จเข้าทางประตูทั้งหลายของเมืองนี้ เสด็จมาในรถรบ และบนม้า ทั้งบรรดากษัตริย์และเจ้านายของพระองค์ ทั้งคนยูดาห์และชาวเยรูซาเล็ม และเมืองนี้จะดำรงอยู่เป็นนิตย์
ยรม 22.4 เพราะถ้าท่านกระทำสิ่งนี้จริงๆแล้วจะมีกษัตริย์ผู้ประทับบนพระที่นั่งของดาวิดเข้ามาทางประตูของพระราชวังนี้ เสด็จมาโดยรถรบและม้า ทั้งตัวกษัตริย์ บรรดาข้าราชการและประชาชนของท่านนั้น
ยรม 31.40 หุบเขาแห่งซากศพและขี้เถ้าทั้งสิ้นนั้น และทุ่งนาทั้งหมดไกลไปจนถึงลำธารขิดโรนจนถึงมุมประตูม้าไปทางตะวันออก จะเป็นที่บริสุทธิ์แด่พระเยโฮวาห์ จะไม่เป็นที่ถอนรากหรือคว่ำต่อไปอีกเป็นนิตย์”
ยรม 46.4 จงผูกอานม้า พลม้าเอ๋ย จงขึ้นม้าเถิด จงสวมหมวกเหล็กของเจ้าเข้าประจำที่ จงขัดหอกของเจ้า จงสวมเสื้อเกราะของเจ้าไว้
ยรม 46.9 ม้าทั้งหลายเอ๋ย รุดหน้าไปเถิด รถรบทั้งหลายเอ๋ย เดือดดาลเข้าเถิด จงให้นักรบออกไป คือคนเอธิโอเปียและคนพูต ผู้ถือโล่ คนลูดิม นักถือและโก่งธนู
ยรม 47.3 เมื่อได้ยินเสียงกีบม้าตัวแข็งแรงของเขากระทืบ และเสียงรถรบของเขากรูกันมา และเสียงล้อรถดังกึกก้อง พวกพ่อก็จะมิได้หันกลับมาดูลูกทั้งหลายของตน เพราะมือของเขาอ่อนเปลี้ยเต็มทีแล้ว
ยรม 50.37 ให้ดาบอยู่เหนือม้าทั้งหลายของเขาและรถรบของเขา และอยู่เหนือบรรดาชนที่ปะปนกันท่ามกลางเขา เพื่อเขาทั้งหลายจะกลายเป็นผู้หญิงไป ให้ดาบอยู่เหนือทรัพย์สมบัติทั้งสิ้นของเขา เพื่อว่าทรัพย์สมบัตินั้นจะถูกปล้นเสีย
ยรม 51.21 เราจะทุบม้าและคนขี่เป็นชิ้นๆด้วยเจ้า เราจะทุบบรรดารถรบและคนขับให้เป็นชิ้นๆด้วยเจ้า
ยรม 51.27 จงตั้งธงไว้บนแผ่นดิน จงเป่าแตรท่ามกลางประชาชาติทั้งหลาย จงเตรียมประชาชาติทั้งหลายไว้ทำสงครามกับเธอ จงเรียกราชอาณาจักรต่อไปนี้มาสู้กับเธอ อารารัต มินนี และอัชเคนัส จงตั้งจอมทัพไว้ต่อสู้เธอ จงทำม้าขึ้นเหมือนบุ้งคันระเกะระกะ
อสค 17.15 แต่กษัตริย์ได้กบฏต่อพระองค์ โดยส่งราชทูตไปยังอียิปต์ ด้วยหวังว่าจะได้ม้าและกองทัพใหญ่โต กษัตริย์จะกระทำสำเร็จหรือ ผู้ที่กระทำเช่นนี้จะหนีไปรอดหรือ ถ้าท่านหักพันธสัญญายังจะรอดพ้นได้อีกหรือ
อสค 23.20 เธอลุ่มหลงชู้ของเธอที่นั่น ลำเนื้อของเขาก็เหมือนของลา และของเขาก็เหมือนของม้า
อสค 26.7 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะนำเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์บาบิโลน ผู้เป็นจอมกษัตริย์มายังเมืองไทระจากทิศเหนือ พร้อมทั้งม้าและรถรบกับพลม้าและกองทหารกับคนมากมาย
อสค 26.10 ม้าของท่านมากมายจนฝุ่นม้าตลบคลุมเจ้าไว้ กำแพงเมืองของเจ้าจะสั่นสะเทือนด้วยเสียงพลม้าและล้อเลื่อนและรถรบ เมื่อท่านจะยกเข้าประตูเมืองของเจ้า อย่างกับคนเดินเข้าเมืองเมื่อเมืองนั้นแตกแล้ว
อสค 26.11 ท่านจะย่ำที่ถนนทั้งปวงของเจ้าด้วยกีบม้า ท่านจะฆ่าชนชาติของเจ้าเสียด้วยดาบ และเสาอันแข็งแรงของเจ้าจะล้มลงถึงดิน
อสค 27.14 วงศ์วานโทการมาห์เอาม้า ม้าศึกและล่อมาแลกกับสินค้าของเจ้า
อสค 38.4 เราจะให้เจ้าหันกลับ และเอาเบ็ดเกี่ยวขากรรไกรของเจ้า และเราจะนำเจ้าออกมาพร้อมทั้งกองทัพทั้งสิ้นของเจ้า ทั้งม้าและพลม้า สวมเครื่องรบครบทุกคน เป็นกองทัพใหญ่ มีดั้งและโล่ ถือดาบทุกคน
อสค 39.20 และเจ้าจะอิ่มหนำที่สำรับของเราด้วยเนื้อม้าและผู้ขับขี่ ทั้งเนื้อของผู้แกล้วกล้า และของนักรบทุกชนิด’ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
ฮชย 1.7 แต่เราจะเมตตาวงศ์วานยูดาห์ และเราจะช่วยเขาให้รอดพ้นโดยพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขาทั้งหลาย เราจะไม่ช่วยเขาให้รอดพ้นด้วยคันธนู หรือด้วยดาบ หรือด้วยสงคราม หรือด้วยเหล่าม้า หรือด้วยเหล่าพลม้า”
ยอล 2.4 ร่างของมันทั้งหลายเหมือนร่างของพวกม้า มันจะวิ่งเหมือนกับม้าสงคราม
อมส 4.10 “เราให้โรคระบาดอย่างที่เกิดในอียิปต์มาเกิดท่ามกลางเจ้า เราประหารคนหนุ่มของเจ้าเสียด้วยดาบ ทั้งเอาม้าทั้งหลายของเจ้าไปเสีย และกระทำให้ความเน่าเหม็นที่ค่ายของเจ้าคลุ้งเข้าจมูกเจ้า เจ้าก็ยังไม่กลับมาหาเรา” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
อมส 6.12 ม้าจะวิ่งบนศิลาหรือ มีคนหนึ่งคนใดใช้วัวไถที่นั่นหรือ แต่เจ้าทั้งหลายได้กลับความยุติธรรมให้ขมอย่างดีหมี และเปลี่ยนผลของความชอบธรรมให้ขมอย่างบอระเพ็ด
มคา 1.13 โอ ชาวเมืองลาคีชเอ๋ย จงเทียมม้าเข้ากับรถรบ เธอเริ่มสร้างบาปให้แก่บุตรสาวของศิโยน เพราะได้พบการละเมิดของอิสราเอลในเจ้า
มคา 5.10 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า ต่อมาในวันนั้นเราจะขจัดม้าของเจ้าให้หมดไปจากท่ามกลางเจ้า และจะทำลายรถรบของเจ้า
นฮม 3.2 เสียงขวับของแส้ และเสียงกระหึ่มของล้อ ม้าควบ และรถรบห้อไป
ฮบก 1.8 ม้าทั้งหลายของเขาก็เร็วกว่าเสือดาว และดุร้ายยิ่งกว่าหมาป่ายามเย็น พลม้าของเขาจะรุดหน้าเรื่อยไปอย่างผยอง เออ พลม้าของเขาจะมาจากถิ่นที่ไกล มันจะบินไปอย่างนกอินทรีคอยกินเร็วนัก
ฮบก 3.8 ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระองค์ทรงพระพิโรธต่อแม่น้ำหรือ พระองค์ทรงกริ้วต่อแม่น้ำหรือ หรือว่าพระองค์ทรงโกรธทะเลเมื่อพระองค์เสด็จทรงม้า เมื่อทรงรถรบแห่งความรอด
ฮบก 3.15 พระองค์ทรงเหยียบย่ำทะเลด้วยม้าของพระองค์ คือน้ำมากหลายซึ่งเดือดพลุ่ง
ฮกก 2.22 และเราจะคว่ำพระที่นั่งของบรรดาราชอาณาจักร เราจะทำลายเรี่ยวแรงของบรรดาราชอาณาจักรแห่งประชาชาติ และจะคว่ำรถรบกับผู้ขับขี่ ม้าและผู้ขับขี่จะต้องล้มลง คือทุกคนจะต้องล้มลงด้วยดาบแห่งพี่น้องของเขา
ศคย 1.8 “ณ กลางคืนวันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้มองดู และดูเถิด มีชายคนหนึ่งขี่ม้าสีแดง ยืนอยู่ท่ามกลางต้นน้ำมันเขียวที่ลานหุบเขา ณ เบื้องหลังท่านผู้นั้นมีม้าสีแดง สีแสด และสีขาว
ศคย 6.2 รถรบคันแรกเทียมม้าแดง รถรบคันที่สองม้าดำ
ศคย 6.3 รถรบคันที่สามม้าขาว รถรบคันที่สี่ม้าด่างสีเทา
ศคย 6.6 ม้าดำตรงไปยังประเทศเหนือ ตัวขาวติดตามม้าดำไป และตัวสีด่างตรงไปยังประเทศใต้”
ศคย 6.7 และตัวสีเทาออกไป พวกมันก็ร้อนใจที่จะออกไปและตรวจตราพื้นพิภพ และท่านกล่าวว่า “ไปซิ ไปตรวจตราพิภพ” ดังนั้นม้าเหล่านั้นจึงตรวจตราพิภพ
ศคย 6.8 แล้วท่านจึงร้องบอกข้าพเจ้าว่า “ดูเถิด ม้าเหล่านี้ที่ไปยังประเทศเหนือนั้นได้กระทำให้จิตวิญญาณของเราสงบนิ่งในประเทศเหนือนั้น”
ศคย 9.10 เราจะขจัดรถรบเสียจากเอฟราอิม และม้าเสียจากเยรูซาเล็ม ธนูสงครามจะถูกขจัดเสียด้วย และท่านจะบัญชาสันติให้มีแก่ประชาชาติทั้งหลาย อาณาจักรของท่านจะมีจากทะเลนี้ไปถึงทะเลโน้น และจากแม่น้ำนั้นไปถึงสุดปลายพิภพ
ศคย 10.5 เขาจะเป็นอย่างชายฉกรรจ์ในสงคราม เหยียบย่ำศัตรูไปในโคลนตามถนน เขาจะต่อสู้เพราะพระเยโฮวาห์ทรงสถิตกับเขา เขาจะกระทำให้ผู้ที่อยู่บนหลังม้ายุ่งเหยิง
ศคย 12.4 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า ในวันนั้น เราจะให้ม้าทุกตัววุ่นวาย และกระทำให้คนขี่บ้าคลั่ง แต่เราจะลืมตาดูวงศ์วานยูดาห์ และเราจะกระทำให้ม้าทุกตัวของชนชาติทั้งหลายตาบอดไป
ศคย 14.15 และภัยพิบัติอย่างหนึ่งที่เหมือนภัยพิบัติอย่างนี้จะบังเกิดแก่ม้า ล่อ อูฐ ลา และไม่ว่าสัตว์ชนิดใดซึ่งมีอยู่ในเต็นท์เหล่านั้น
ศคย 14.20 และในวันนั้นลูกพรวนที่ผูกม้าจะมีคำจารึกว่า “บริสุทธิ์แด่พระเยโฮวาห์” และหม้อซึ่งอยู่ในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์จะเป็นเหมือนชามซึ่งอยู่หน้าแท่นบูชา
ยก 3.3 ดูเถิด เราเอาเหล็กบังเหียนใส่ปากม้าเพื่อให้มันเชื่อฟังเรา เราก็บังคับมันให้ไปไหนๆได้ทั้งตัว
วว 6.2 ข้าพเจ้าก็แลเห็น และดูเถิด มีม้าขาวตัวหนึ่ง และผู้ที่ขี่ม้านั้นถือธนู และได้รับมงกุฎ และผู้นั้นก็ออกไปอย่างมีชัย และเพื่อได้ชัยชนะ
วว 6.4 และมีม้าอีกตัวหนึ่งออกไปเป็นม้าสีแดงสด ผู้ที่ขี่ม้าตัวนี้ได้รับอนุญาตให้นำสันติสุขไปจากแผ่นดินโลก เพื่อให้คนทั้งปวงรบราฆ่าฟันกัน และผู้นี้ได้รับดาบใหญ่เล่มหนึ่ง
วว 6.5 เมื่อพระองค์ทรงแกะตราดวงที่สามนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้ยินสัตว์ตัวที่สามร้องว่า “มาดูเถิด” แล้วข้าพเจ้าก็แลเห็น และดูเถิด มีม้าดำตัวหนึ่ง และผู้ที่ขี่ม้านั้นถือตราชู
วว 6.8 แล้วข้าพเจ้าก็แลเห็น และดูเถิด มีม้าสีกะเลียวตัวหนึ่ง ผู้ที่นั่งบนหลังม้านั้นมีชื่อว่าความตาย และนรกก็ติดตามเขามาด้วย และได้ให้ทั้งสองนี้มีอำนาจล้างผลาญแผ่นดินโลกได้หนึ่งในสี่ส่วน ด้วยดาบ ด้วยความอดอยาก ด้วยความตาย และด้วยสัตว์ร้ายแห่งแผ่นดิน
วว 9.7 ตั๊กแตนนั้นมีรูปร่างเหมือนม้าที่ผูกเครื่องพร้อมสำหรับออกศึก บนหัวมีสิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนมงกุฎทองคำ หน้ามันเหมือนหน้ามนุษย์
วว 9.17 ในนิมิตนั้นข้าพเจ้าสังเกตเห็นม้าเป็นดังนี้คือ ผู้ที่นั่งบนหลังม้านั้น ก็มีทับทรวงสีไฟ สีพลอยสีแดง และสีกำมะถัน หัวม้าทั้งหลายนั้นเหมือนหัวสิงโต มีไฟและควันและกำมะถันพลุ่งออกมาจากปากของมัน
วว 9.19 เพราะว่าฤทธิ์ของม้านั้นอยู่ที่ปากและหาง หางของมันเหมือนงูและมีหัว สิ่งเหล่านี้ทำให้มันทำร้ายคนได้
วว 14.20 บ่อย่ำองุ่นถูกย่ำภายนอกเมือง และโลหิตไหลออกจากบ่อย่ำองุ่นนั้นสูงถึงบังเหียนม้า ไหลนองไปประมาณสามร้อยกิโลเมตร
วว 18.13 อบเชย เครื่องเทศ เครื่องหอม กำยาน เหล้าองุ่น น้ำมัน ยอดแป้ง ข้าวสาลี สัตว์ต่างๆ แกะ ม้า รถรบ และทาส และชีวิตมนุษย์
วว 19.11 แล้วข้าพเจ้าได้เห็นสวรรค์เปิดออก และดูเถิด มีม้าขาวตัวหนึ่ง พระองค์ผู้ทรงม้านั้นมีพระนามว่า “สัตย์ซื่อและสัตย์จริง” พระองค์ทรงพิพากษาและกระทำสงครามด้วยความชอบธรรม
วว 19.14 เหล่าพลโยธาในสวรรค์สวมอาภรณ์ผ้าป่านเนื้อละเอียด ขาวและสะอาด ได้นั่งบนหลังม้าขาวตามเสด็จพระองค์ไป
วว 19.18 เพื่อจะได้กินเนื้อกษัตริย์ เนื้อนายทหาร เนื้อคนมีบรรดาศักดิ์ เนื้อม้า และเนื้อคนที่นั่งบนม้า และเนื้อประชาชนทั้งไทยและทาส ทั้งผู้น้อยและผู้ใหญ่”
วว 19.19 และข้าพเจ้าเห็นสัตว์ร้ายนั้น และบรรดากษัตริย์บนแผ่นดินโลก พร้อมทั้งพลรบของกษัตริย์เหล่านั้น มาประชุมกันจะทำสงครามกับพระองค์ผู้ทรงม้า และกับพลโยธาของพระองค์
วว 19.21 และคนที่เหลืออยู่นั้น ก็ถูกฆ่าด้วยพระแสงที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ผู้ทรงม้านั้นเสีย และนกทั้งปวงก็กินเนื้อของคนเหล่านั้นจนอิ่ม

มาก ( 682 )
ปฐก 1.22; ปฐก 1.28; ปฐก 3.16; ปฐก 6.1; ปฐก 6.4; ปฐก 6.5; ปฐก 7.17; ปฐก 7.18; ปฐก 7.19; ปฐก 8.17; ปฐก 9.1; ปฐก 9.7; ปฐก 10.8; ปฐก 10.9; ปฐก 12.10; ปฐก 12.16; ปฐก 13.6; ปฐก 15.15; ปฐก 16.10; ปฐก 17.2; ปฐก 17.6; ปฐก 17.20; ปฐก 18.11; ปฐก 18.18; ปฐก 18.20; ปฐก 19.3; ปฐก 19.13; ปฐก 21.11; ปฐก 22.17; ปฐก 24.1; ปฐก 24.16; ปฐก 25.8; ปฐก 26.4; ปฐก 26.13; ปฐก 26.22; ปฐก 26.24; ปฐก 27.33; ปฐก 29.7; ปฐก 30.43; ปฐก 31.30; ปฐก 34.8; ปฐก 34.10; ปฐก 35.11; ปฐก 35.29; ปฐก 36.7; ปฐก 37.5; ปฐก 37.8; ปฐก 39.3; ปฐก 41.19; ปฐก 41.56; ปฐก 44.5; ปฐก 44.20; ปฐก 49.14; ปฐก 50.9; อพย 1.7; อพย 1.10; อพย 1.12; อพย 1.19; อพย 1.20; อพย 2.23; อพย 5.5; อพย 7.3; อพย 8.9; อพย 10.14; อพย 11.3; อพย 12.38; อพย 16.16; อพย 16.17; อพย 16.18; อพย 19.21; อพย 23.2; อพย 23.30; อพย 32.7; อพย 36.5; ลนต 20.17; ลนต 23.40; ลนต 25.16; ลนต 26.9; กดว 11.4; กดว 11.34; กดว 12.3; กดว 12.9; กดว 13.18; กดว 13.28; กดว 16.15; กดว 21.4; กดว 21.6; กดว 22.3; กดว 22.6; กดว 24.21; กดว 32.14; กดว 35.8; พบญ 1.10; พบญ 2.10; พบญ 2.21; พบญ 3.5; พบญ 6.3; พบญ 7.22; พบญ 8.1; พบญ 8.13; พบญ 9.8; พบญ 9.20; พบญ 10.7; พบญ 10.22; พบญ 13.17; พบญ 17.16; พบญ 17.17; พบญ 25.2; พบญ 26.5; พบญ 28.38; พบญ 28.62; พบญ 28.63; พบญ 30.5; พบญ 30.14; พบญ 30.16; ยชว 9.9; ยชว 9.13; ยชว 9.22; ยชว 13.1; ยชว 17.17; ยชว 22.5; ยชว 22.30; ยชว 23.1; ยชว 23.2; วนฉ 3.17; วนฉ 5.23; วนฉ 5.24; วนฉ 6.6; วนฉ 7.2; วนฉ 7.4; วนฉ 7.12; วนฉ 8.32; วนฉ 11.33; วนฉ 11.35; วนฉ 14.3; วนฉ 14.6; วนฉ 14.7; วนฉ 14.17; วนฉ 14.19; วนฉ 15.14; วนฉ 15.18; วนฉ 19.11; นรธ 1.13; 1ซมอ 1.5; 1ซมอ 1.10; 1ซมอ 1.16; 1ซมอ 2.5; 1ซมอ 2.22; 1ซมอ 2.26; 1ซมอ 4.10; 1ซมอ 4.17; 1ซมอ 4.18; 1ซมอ 9.6; 1ซมอ 14.6; 1ซมอ 14.15; 1ซมอ 15.22; 1ซมอ 16.21; 1ซมอ 17.11; 1ซมอ 17.12; 1ซมอ 17.24; 1ซมอ 18.29; 1ซมอ 18.30; 1ซมอ 19.2; 1ซมอ 20.41; 1ซมอ 21.12; 1ซมอ 22.15; 1ซมอ 23.3; 1ซมอ 25.2; 1ซมอ 25.15; 1ซมอ 25.36; 1ซมอ 28.5; 1ซมอ 28.21; 1ซมอ 30.6; 1ซมอ 31.4; 2ซมอ 1.9; 2ซมอ 1.26; 2ซมอ 3.8; 2ซมอ 10.5; 2ซมอ 11.2; 2ซมอ 11.16; 2ซมอ 11.23; 2ซมอ 12.5; 2ซมอ 13.15; 2ซมอ 19.32; 2ซมอ 24.10; 2ซมอ 24.14; 1พกษ 1.1; 1พกษ 1.15; 1พกษ 1.42; 1พกษ 7.47; 1พกษ 10.7; 1พกษ 10.10; 1พกษ 16.30; 1พกษ 16.33; 1พกษ 18.2; 1พกษ 18.25; 2พกษ 1.8; 2พกษ 5.1; 2พกษ 6.11; 2พกษ 9.22; 2พกษ 10.18; 2พกษ 12.10; 2พกษ 21.9; 1พศด 1.10; 1พศด 4.27; 1พศด 5.2; 1พศด 5.9; 1พศด 5.22; 1พศด 5.23; 1พศด 7.4; 1พศด 8.40; 1พศด 9.13; 1พศด 10.4; 1พศด 12.29; 1พศด 19.5; 1พศด 21.8; 1พศด 21.13; 1พศด 22.3; 1พศด 22.5; 1พศด 22.8; 1พศด 23.11; 1พศด 23.17; 1พศด 27.23; 1พศด 29.28; 2พศด 1.9; 2พศด 4.18; 2พศด 9.9; 2พศด 11.12; 2พศด 14.13; 2พศด 14.14; 2พศด 15.9; 2พศด 16.8; 2พศด 17.5; 2พศด 20.25; 2พศด 20.35; 2พศด 24.11; 2พศด 25.9; 2พศด 26.13; 2พศด 27.3; 2พศด 27.6; 2พศด 28.5; 2พศด 30.24; 2พศด 31.10; 2พศด 32.5; 2พศด 32.16; 2พศด 32.29; 2พศด 33.12; 2พศด 33.14; อสร 3.13; อสร 10.1; อสร 10.13; นหม 1.3; นหม 1.7; นหม 4.1; นหม 4.7; นหม 4.10; นหม 4.19; นหม 5.2; นหม 5.6; นหม 5.18; อสธ 9.4; โยบ 3.25; โยบ 6.25; โยบ 8.7; โยบ 9.34; โยบ 10.16; โยบ 11.2; โยบ 12.12; โยบ 16.2; โยบ 21.7; โยบ 26.2; โยบ 26.3; โยบ 27.16; โยบ 31.25; โยบ 33.21; โยบ 36.9; โยบ 37.23; โยบ 38.21; โยบ 39.11; โยบ 41.16; โยบ 42.10; โยบ 42.12; สดด 3.1; สดด 18.17; สดด 19.10; สดด 25.19; สดด 32.6; สดด 32.10; สดด 37.35; สดด 38.6; สดด 38.19; สดด 69.4; สดด 71.14; สดด 77.4; สดด 79.8; สดด 87.2; สดด 90.15; สดด 94.19; สดด 107.37; สดด 107.38; สดด 107.41; สดด 109.30; สดด 119.14; สดด 119.159; สดด 119.167; สดด 133.1; สดด 142.6; สดด 150.2; สภษ 7.26; สภษ 9.9; สภษ 10.19; สภษ 11.14; สภษ 14.26; สภษ 14.29; สภษ 15.6; สภษ 15.22; สภษ 16.8; สภษ 16.32; สภษ 24.5; สภษ 24.6; สภษ 25.27; สภษ 28.12; สภษ 28.27; สภษ 29.22; สภษ 30.24; สภษ 30.29; สภษ 30.30; สภษ 31.10; ปญจ 1.18; ปญจ 5.3; ปญจ 5.7; ปญจ 5.12; ปญจ 5.20; ปญจ 6.11; ปญจ 7.17; ปญจ 10.14; ปญจ 11.8; ปญจ 12.12; พซม 6.8; อสย 6.12; อสย 9.1; อสย 17.12; อสย 21.15; อสย 31.1; อสย 38.17; อสย 49.19; ยรม 2.15; ยรม 2.22; ยรม 2.28; ยรม 3.9; ยรม 10.6; ยรม 11.13; ยรม 11.15; ยรม 13.17; ยรม 14.7; ยรม 14.9; ยรม 14.17; ยรม 15.8; ยรม 20.11; ยรม 20.15; ยรม 21.5; ยรม 23.3; ยรม 24.3; ยรม 24.8; ยรม 29.6; ยรม 29.17; ยรม 33.22; ยรม 42.2; ยรม 48.29; ยรม 51.14; ยรม 52.6; อสค 5.6; อสค 17.7; อสค 23.32; อสค 27.25; อสค 31.3; อสค 33.31; อสค 40.2; ดนล 3.20; ดนล 3.22; ดนล 4.10; ดนล 5.9; ดนล 7.5; ดนล 7.28; ดนล 8.24; ดนล 9.23; ดนล 10.7; ดนล 11.3; ดนล 11.11; ดนล 11.26; ดนล 11.34; ฮชย 1.11; ฮชย 4.7; ฮชย 10.1; ฮชย 11.2; ฮชย 12.10; ฮชย 13.2; ยอล 1.6; ยอล 2.2; ยอล 2.11; ยอล 2.21; อมส 2.14; อมส 4.4; อบด 1.2; ยนา 1.11; ยนา 1.13; ยนา 3.3; มคา 1.16; นฮม 3.4; นฮม 3.8; นฮม 3.15; ศฟย 1.14; ฮกก 1.6; ฮกก 1.9; ศคย 1.15; ศคย 8.2; ศคย 8.4; ศคย 14.4; มธ 3.17; มธ 5.1; มธ 6.30; มธ 7.13; มธ 8.6; มธ 8.10; มธ 10.25; มธ 11.19; มธ 12.12; มธ 12.29; มธ 13.2; มธ 13.46; มธ 13.58; มธ 14.15; มธ 15.28; มธ 17.5; มธ 17.15; มธ 19.25; มธ 20.16; มธ 22.9; มธ 22.14; มธ 23.14; มธ 25.21; มธ 25.23; มธ 26.7; มธ 26.9; มก 1.11; มก 2.4; มก 2.15; มก 3.27; มก 5.26; มก 6.35; มก 7.36; มก 12.27; มก 12.40; มก 12.41; มก 14.3; มก 16.4; ลก 1.18; ลก 1.28; ลก 2.36; ลก 3.22; ลก 4.25; ลก 5.19; ลก 7.2; ลก 7.9; ลก 7.34; ลก 7.47; ลก 8.19; ลก 9.7; ลก 9.13; ลก 10.40; ลก 11.8; ลก 11.21; ลก 12.16; ลก 12.19; ลก 12.24; ลก 12.28; ลก 12.47; ลก 12.48; ลก 12.50; ลก 15.17; ลก 16.10; ลก 16.15; ลก 17.5; ลก 18.23; ลก 19.48; ลก 20.47; ลก 22.44; ลก 23.8; ลก 23.10; ลก 24.29; ยน 2.10; ยน 3.23; ยน 6.9; ยน 6.10; ยน 7.31; ยน 8.26; ยน 12.3; ยน 12.24; ยน 14.30; ยน 15.2; ยน 15.5; ยน 15.8; ยน 19.8; ยน 21.11; กจ 5.13; กจ 6.1; กจ 7.11; กจ 7.17; กจ 7.22; กจ 9.13; กจ 9.16; กจ 9.31; กจ 10.2; กจ 10.7; กจ 11.28; กจ 12.24; กจ 14.22; กจ 15.7; กจ 16.18; กจ 16.20; กจ 17.4; กจ 18.10; กจ 18.24; กจ 19.20; กจ 19.23; กจ 19.24; กจ 19.32; กจ 20.2; กจ 20.38; กจ 21.34; กจ 22.12; กจ 22.28; กจ 24.4; กจ 25.23; กจ 26.24; กจ 27.9; กจ 27.10; กจ 27.16; รม 3.2; รม 3.7; รม 5.15; รม 5.17; รม 5.20; รม 6.1; รม 9.27; รม 11.12; รม 13.12; 1คร 4.10; 1คร 7.29; 1คร 8.5; 1คร 9.11; 1คร 9.19; 1คร 11.30; 1คร 12.24; 1คร 14.27; 2คร 1.5; 2คร 2.4; 2คร 3.11; 2คร 3.12; 2คร 4.15; 2คร 7.4; 2คร 7.7; 2คร 7.11; 2คร 7.13; 2คร 7.15; 2คร 8.15; 2คร 8.22; 2คร 9.6; 2คร 10.8; 2คร 10.10; 2คร 10.15; 2คร 11.23; 2คร 12.10; 2คร 12.15; 2คร 13.3; กท 3.16; อฟ 1.19; อฟ 3.16; อฟ 3.20; อฟ 5.32; ฟป 1.23; ฟป 1.26; ฟป 2.26; ฟป 4.17; คส 1.11; คส 2.1; คส 4.13; 1ธส 5.13; 2ธส 1.3; 1ทธ 1.14; 1ทธ 3.8; 1ทธ 6.6; 2ทธ 1.18; 2ทธ 2.16; 2ทธ 3.13; ทต 1.10; ทต 2.3; ฟม 1.16; ฮบ 1.4; ฮบ 2.1; ฮบ 3.3; ฮบ 5.11; ฮบ 6.14; ฮบ 9.14; ฮบ 10.25; ฮบ 10.29; ฮบ 11.11; ฮบ 12.3; ฮบ 12.25; ฮบ 13.19; ยก 3.5; ยก 5.16; 1ปต 1.19; 1ปต 1.22; 1ปต 3.4; 1ปต 4.4; 1ปต 4.8; 1ปต 5.10; 2ปต 1.17; 1ยน 2.14; 1ยน 2.18; วว 3.17; วว 10.1; วว 18.7; วว 18.12; วว 18.21; วว 19.1

มากกว่า ( 112 )
ปฐก 3.14 พระเยโฮวาห์พระเจ้าตรัสแก่งูนั้นว่า “เพราะเหตุที่เจ้าได้กระทำเช่นนี้ เจ้าถูกสาปแช่งมากกว่าบรรดาสัตว์ใช้งาน และบรรดาสัตว์ในท้องทุ่ง เจ้าจะเลื้อยไปด้วยท้องของเจ้า และเจ้าจะกินผงคลีดินตลอดวันเวลาในชีวิตของเจ้า
ปฐก 25.23 พระเยโฮวาห์ตรัสกับนางว่า “ชนสองชาติอยู่ในครรภ์ของเจ้า และประชาชนสองพวกที่เกิดจากบั้นเอวของเจ้าจะต้องแยกกัน พวกหนึ่งจะมีกำลังมากกว่าอีกพวกหนึ่ง พี่จะปรนนิบัติน้อง”
ปฐก 26.16 อาบีเมเลคตรัสกับอิสอัคว่า “ไปเสียจากเราเถิด เพราะท่านมีกำลังมากกว่าพวกเรา”
ปฐก 29.30 ฝ่ายยาโคบก็เข้าไปหาราเชลด้วย และเขารักราเชลมากกว่าเลอาห์ เขาจึงรับใช้ลาบันต่อไปอีกเจ็ดปี
ปฐก 34.19 หนุ่มคนนั้นไม่รีรอที่จะทำตาม เพราะเขามีความรักใคร่ในบุตรสาวของยาโคบ เขาเป็นคนน่าเคารพนับถือมากกว่าใครๆในครอบครัวของบิดา
ปฐก 37.3 ฝ่ายอิสราเอลรักโยเซฟมากกว่าบุตรทั้งหมดของท่าน เพราะโยเซฟเป็นบุตรชายที่เกิดมาเมื่อบิดาแก่แล้ว บิดาทำเสื้อยาวหลากสีให้แก่โยเซฟ
ปฐก 37.4 เมื่อพวกพี่ชายเห็นว่าบิดารักโยเซฟมากกว่าบรรดาพี่ชาย ก็ชังโยเซฟ และพูดดีกับเขาไม่ได้
ปฐก 43.34 แล้วโยเซฟก็ส่งของรับประทานให้พี่น้องเหล่านั้นต่อหน้าท่าน แต่ของที่ส่งให้เบนยามินนั้นมากกว่าของพี่ชายถึงห้าเท่า พวกเขาก็กินดื่มกับโยเซฟจนสำราญใจ
ปฐก 49.26 ส่วนพรที่มาจากบิดาของเจ้า มีมากกว่าพรที่มาจากบรรพบุรุษของเรา จนถึงที่สุดแห่งเนินเขาเนืองนิตย์ ขอพรเหล่านั้นอยู่บนศีรษะของโยเซฟ และอยู่เบื้องบนกระหม่อมศีรษะแห่งผู้ที่ต้องพรากจากพี่น้อง
อพย 1.9 และพระองค์ทรงประกาศแก่ชนชาติของพระองค์ว่า “ดูเถิด ประชาชนชนชาติอิสราเอลมีมากกว่าและมีกำลังยิ่งกว่าเราอีก
กดว 13.31 ฝ่ายคนทั้งปวงที่ขึ้นไปสอดแนมด้วยกันกล่าวว่า “เราไม่สามารถสู้คนเหล่านั้นได้ เพราะเขามีกำลังมากกว่าเรา”
กดว 22.15 บาลาคได้ส่งพวกเจ้านายไปอีกครั้งหนึ่ง มีจำนวนมากกว่า และมีเกียรติยศมากกว่ารุ่นก่อน
พบญ 4.38 ทรงขับไล่ประชาชาติที่ใหญ่กว่าและมีกำลังมากกว่าพวกท่านเสียให้พ้นหน้าท่าน และนำท่านเข้ามา และทรงประทานแผ่นดินของเขาให้แก่ท่านเป็นมรดกดังทุกวันนี้
พบญ 7.1 “เมื่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายจะทรงพาท่านเข้าในแผ่นดินซึ่งท่านทั้งหลายกำลังจะเข้ายึดครอง และกวาดไล่ประชาชาติหลายชาติให้ออกไปพ้นหน้าท่าน คือคนฮิตไทต์ คนเกอร์กาชี คนอาโมไรต์ คนคานาอัน คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส เป็นเจ็ดประชาชาติซึ่งใหญ่โตกว่าและมีกำลังมากกว่าท่าน
พบญ 7.7 ที่พระเยโฮวาห์ทรงรักและทรงเลือกท่านทั้งหลายนั้น มิใช่เพราะท่านทั้งหลายมีจำนวนมากกว่าประชาชนชาติอื่น ด้วยว่าในบรรดาชนชาติทั้งหลาย ท่านเป็นจำนวนน้อยที่สุด
พบญ 9.1 “โอ คนอิสราเอล จงฟังเถิด ท่านกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปในวันนี้ เพื่อจะเข้าไปยึดครองประชาชาติที่ใหญ่กว่าและมีกำลังมากกว่าท่าน ทั้งเมืองที่ใหญ่มีกำแพงสูงเทียมฟ้า
พบญ 11.23 พระเยโฮวาห์จะทรงขับไล่บรรดาประชาชาติเหล่านี้ให้ออกไปพ้นหน้าท่านทั้งหลาย แล้วท่านจะเข้ายึดครองแผ่นดินของประชาชาติที่ใหญ่กว่าและมีกำลังมากกว่าท่าน
พบญ 15.18 เมื่อท่านปล่อยเขาให้เป็นอิสระนั้นท่านอย่ารู้สึกหนักอกหนักใจ เพราะว่าเขาได้รับใช้ท่านมาหกปีด้วยมีค่าแรงมากกว่าลูกจ้างเป็นสองเท่า พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงอำนวยพระพรแก่ท่านในการทั้งปวงที่ท่านได้กระทำนั้น
ยชว 10.11 ต่อมาขณะเมื่อเขาหนีไปข้างหน้าพวกอิสราเอลลงไปตามทางเบธโฮโรนนั้น พระเยโฮวาห์ทรงโยนลูกเห็บใหญ่ๆลงมาจากฟ้า ตลอดถึงเมืองอาเซคาห์ เขาทั้งหลายก็ตาย ผู้ที่ตายด้วยลูกเห็บนั้นก็มากกว่าผู้ที่คนอิสราเอลฆ่าเสียด้วยดาบ
วนฉ 16.30 แซมสันกล่าวว่า “ขอให้ข้าตายกับคนฟีลิสเตียเถิด” แล้วก็โน้มตัวลงด้วยกำลังทั้งสิ้นของตน ตึกนั้นก็พังทับเจ้านายและประชาชนทุกคนที่อยู่ในนั้น ดังนั้นคนที่ท่านฆ่าตายเมื่อท่านตายนี้ก็มากกว่าคนที่ท่านฆ่าตายเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่
วนฉ 18.26 ฝ่ายคนดานก็เดินต่อไป เมื่อมีคาห์เห็นว่าเขาเหล่านั้นมีกำลังมากกว่า จึงหันกลับเดินทางไปบ้านของตน
1ซมอ 14.30 ถ้าวันนี้พวกพลได้กินของที่ริบมาจากศัตรูซึ่งเขาหามาได้อย่างอิ่มหนำจะดีกว่านี้สักเท่าใด เพราะขณะนี้การฆ่าฟันคนฟีลิสเตียก็จะมากกว่ามิใช่หรือ”
1ซมอ 18.30 บรรดาเจ้านายแห่งคนฟีลิสเตียก็ออกมาทำสงคราม ต่อมาเมื่อเขาทั้งหลายจะออกมาแล้ว ดาวิดก็ได้กระทำอย่างเฉลียวฉลาดมากกว่าบรรดาข้าราชการของซาอูล ชื่อเสียงของเธอจึงโด่งดังมาก
2ซมอ 13.14 แต่ท่านก็หาฟังเสียงเธอไม่ ด้วยท่านมีกำลังมากกว่าจึงข่มขืน และนอนร่วมกับเธอ
2ซมอ 18.8 การสงครามกระจายไปทั่วพื้นแผ่นดิน ในวันนั้นป่ากินคนเสียมากกว่าดาบกิน
2ซมอ 19.43 คนอิสราเอลก็ตอบคนยูดาห์ว่า “เรามีส่วนในกษัตริย์สิบส่วน และในดาวิดเราก็มีสิทธิมากกว่าท่าน ทำไมท่านจึงดูถูกเราเช่นนี้เล่า เราไม่ได้เป็นพวกแรกที่พูดเรื่องการนำกษัตริย์กลับดอกหรือ” แต่ถ้อยคำของคนยูดาห์รุนแรงกว่าถ้อยคำของคนอิสราเอล
2ซมอ 22.18 พระองค์ทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้นจากศัตรูที่เข้มแข็งของข้าพเจ้า จากบรรดาผู้ที่เกลียดชังข้าพเจ้า เพราะเขามีกำลังมากกว่าข้าพเจ้า
1พกษ 14.22 และยูดาห์ได้กระทำชั่วในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์ และเขาทั้งหลายได้ยั่วยุให้พระองค์หวงแหนด้วยบาปทั้งหลายที่เขาได้กระทำ ซึ่งมากกว่าบาปทั้งสิ้นที่บรรพบุรุษของเขาได้กระทำเสียอีก
2พกษ 6.16 ท่านตอบว่า “อย่ากลัวเลย เพราะฝ่ายเรามีมากกว่าฝ่ายเขา”
1พศด 11.21 ในสามคนนั้นท่านมีชื่อเสียงมากกว่าอีกสองคนนั้น และได้เป็นผู้บังคับบัญชาของเขา แต่ท่านไม่มียศเท่ากับสามคนแรกนั้น
1พศด 24.4 มีหัวหน้าในหมู่บุตรชายของเอเลอาซาร์มากกว่าในหมู่บุตรชายของอิธามาร์ เขาจึงจัดแบ่งดังนี้ พวกบุตรชายของเอเลอาซาร์มีสิบหกคนเป็นหัวหน้าตามเรือนบรรพบุรุษของเขา และในหมู่พวกบุตรชายของอิธามาร์ตามเรือนบรรพบุรุษของเขามีแปดคน
2พศด 11.21 เรโหโบอัมทรงรักมาอาคาห์ธิดาของอับซาโลมมากกว่ามเหสีและนางสนมของพระองค์ทั้งสิ้น (พระองค์มีมเหสีสิบแปดองค์และนางสนมหกสิบคนและให้กำเนิดโอรสยี่สิบแปดองค์และธิดาหกสิบองค์)
นหม 7.2 ข้าพเจ้ามอบให้ฮานานีพี่น้องของข้าพเจ้า และฮานันยาห์ผู้ดูแลสำนักพระราชวังเป็นผู้รับผิดชอบกรุงเยรูซาเล็ม เพราะเขาเป็นคนสัตย์ซื่อและยำเกรงพระเจ้ามากกว่าคนอื่นๆ
อสธ 2.17 กษัตริย์ทรงรักเอสเธอร์ยิ่งกว่าบรรดาหญิงทั้งปวงนั้น และเธอได้รับพระกรุณาและความโปรดปรานในสายพระเนตรของพระองค์มากกว่าหญิงพรหมจารีทั้งสิ้น พระองค์จึงทรงสวมพระมงกุฎบนศีรษะของเธอ และทรงตั้งเธอให้เป็นพระราชินีแทนวัชที
อสธ 6.6 ฮามานจึงเข้ามา กษัตริย์ตรัสกับท่านว่า “หากกษัตริย์มีพระประสงค์จะประทานเกียรติยศแก่บุคคลผู้ใดแล้ว กษัตริย์ควรจะทำแก่เขาประการใด” และฮามานรำพึงในใจว่า “ผู้ใดเล่าที่กษัตริย์พอพระทัยจะประทานเกียรติยศมากกว่าข้า”
โยบ 3.21 ผู้คอยความตาย แต่มันไม่มา และขุดหามันมากกว่าหาทรัพย์ที่ซ่อนอยู่
โยบ 34.19 ยิ่งไม่เหมาะสมที่จะแสดงอคติแก่เจ้านาย หรือไม่ทรงเห็นแก่คนมั่งคั่งมากกว่าคนยากจน เพราะคนทั้งหมดนี้เป็นพระหัตถกิจของพระองค์
โยบ 35.11 ผู้ทรงสอนเรามากกว่าสอนสัตว์แห่งแผ่นดินโลก และทรงกระทำให้เราฉลาดกว่านกในฟ้าอากาศ’
โยบ 36.21 ระวังให้ดี อย่าหันไปหาความชั่วช้า เพราะท่านเลือกสิ่งนี้มากกว่าเลือกความทุกข์ใจ
สดด 4.7 พระองค์ได้ประทานความชื่นบานให้แก่จิตใจของข้าพระองค์มากกว่าเมื่อพวกเขาได้ข้าวและน้ำองุ่นมากมาย
สดด 19.10 น่าปรารถนามากกว่าทองคำ เออ ยิ่งกว่าทองคำเนื้อดีมากนัก หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งและรวงผึ้ง
สดด 40.12 เพราะความชั่วได้ล้อมข้าพระองค์ไว้อย่างนับไม่ถ้วน ความชั่วช้าของข้าพระองค์ตามทันข้าพระองค์ จนข้าพระองค์มองอะไรไม่เห็น มันมากกว่าเส้นผมบนศีรษะข้าพระองค์ จิตใจของข้าพระองค์ก็ฝ่อไป
สดด 52.3 เจ้ารักชั่วมากกว่าดี และการมุสามากกว่าพูดความชอบธรรม เซลาห์
สดด 69.31 การนั้นจะเป็นที่พอพระทัยพระเยโฮวาห์มากกว่าวัวผู้หรือวัวผู้ทั้งเขาและกีบ
สดด 119.99 ข้าพระองค์มีความเข้าใจมากกว่าบรรดาครูของข้าพระองค์ เพราะบรรดาพระโอวาทของพระองค์เป็นคำรำพึงของข้าพระองค์
สดด 119.100 ข้าพระองค์เข้าใจมากกว่าคนสูงอายุ เพราะข้าพระองค์รักษาข้อบังคับของพระองค์
สดด 139.18 ถ้าข้าพระองค์จะนับก็มากกว่าเม็ดทราย เมื่อข้าพระองค์ตื่นขึ้น ข้าพระองค์ก็ยังอยู่กับพระองค์
สภษ 19.10 ที่คนโง่จะอยู่อย่างสำราญก็ไม่เหมาะอยู่แล้ว ที่ทาสจะปกครองเจ้านายก็ยิ่งไม่เหมาะมากกว่านั้นอีก
สภษ 21.3 ที่จะกระทำความเที่ยงธรรมและความยุติธรรมก็เป็นที่โปรดปรานแด่พระเยโฮวาห์มากกว่าเครื่องสักการบูชา
สภษ 26.12 ท่านเห็นคนที่คิดว่าตัวเองฉลาดหรือ ยังมีหวังในคนโง่ได้มากกว่าในคนเช่นนั้น
สภษ 28.23 บุคคลที่ขนาบคนหนึ่งคนใด ทีหลังเขาจะได้รับความชอบมากกว่าคนที่ป้อยอด้วยลิ้นของตัว
สภษ 29.20 เจ้าเห็นคนที่ปากไวหรือ ยังมีหวังในคนโง่มากกว่าเขา
ปญจ 1.16 ข้าพเจ้ารำพึงในใจของข้าพเจ้าว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าได้มาถึงฐานะที่สูงส่ง และได้มีสติปัญญามากกว่าใครๆที่เคยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มก่อนข้าพเจ้า เออ ใจข้าพเจ้าก็เจนจัดในสติปัญญาและความรู้อย่างยิ่ง”
ปญจ 2.7 ข้าพเจ้าซื้อทาสชายหญิงไว้ มีทาสเกิดขึ้นในบ้าน ข้าพเจ้ายังมีฝูงวัวฝูงแพะแกะเป็นสมบัติมากกว่าของบรรดาคนที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มก่อนข้าพเจ้าด้วย
ปญจ 2.9 ข้าพเจ้าจึงเป็นใหญ่เป็นโตและเพิ่มพูนมากกว่าบรรดาคนที่เคยอยู่มาก่อนข้าพเจ้าในเยรูซาเล็ม และสติปัญญาของข้าพเจ้ายังคงอยู่กับข้าพเจ้าด้วย
ปญจ 2.16 เพราะตลอดไปไม่มีใครระลึกถึงคนมีสติปัญญามากกว่าคนเขลา ด้วยเห็นว่าในอนาคตก็ลืมกันไปหมดแล้ว แล้วคนมีสติปัญญาตายอย่างไร ก็เหมือนคนเขลา
ปญจ 2.25 ด้วยใครจะกินได้ หรือใครจะมีความชื่นบานได้ มากกว่าข้าพเจ้า
ปญจ 4.2 เพราะฉะนั้นข้าพเจ้ายกย่องคนตายที่ตายไปแล้วมากกว่าคนเป็นที่ยังเป็นอยู่
ปญจ 10.10 ถ้าขวานทื่อแล้ว และเขาไม่ลับให้คม เขาก็ต้องออกแรงมากกว่า แต่สติปัญญาจะช่วยให้บรรลุความสำเร็จ
อสย 13.12 เราจะกระทำให้คนมีค่ามากกว่าทองคำเนื้อดี และมนุษย์มีค่ามากกว่าทองคำแห่งโอฟีร์
อสย 52.14 ด้วยคนเป็นอันมากตะลึงเพราะท่านฉันใด หน้าตาของท่านเสียโฉมมากกว่ามนุษย์คนใด และรูปร่างของท่านก็เสียโฉมมากกว่าบุตรทั้งหลายของมนุษย์คนใด
อสย 54.1 “จงร้องเพลงเถิด โอ หญิงหมันเอ๋ย ผู้ไม่คลอดบุตร จงเปล่งเสียงร้องเพลงและร้องเสียงดัง เจ้าผู้ไม่ได้เจ็บครรภ์ ด้วยว่าบุตรของผู้อยู่อย่างโดดเดี่ยวก็ยังจะมีมากกว่าบุตรของภรรยาที่ได้แต่งงาน” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้
ยรม 46.23 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เขาทั้งหลายจะโค่นป่าของเธอลง แม้ว่าป่านั้นใครจะเข้าไปค้นหาไม่ได้ เพราะว่าพวกเขาทั้งหลายมีจำนวนมากกว่าตั๊กแตน นับไม่ถ้วน
ยรม 48.32 โอ เถาองุ่นแห่งสิบมาห์เอ๋ย เราจะร้องไห้เพื่อเจ้ามากกว่าเพื่อยาเซอร์ กิ่งทั้งหลายของเจ้ายื่นข้ามทะเลจนถึงทะเลของยาเซอร์ ผู้ทำลายได้โจมตีผลไม้ฤดูร้อนและการเก็บองุ่นของเจ้า
อสค 6.14 และเราจะยื่นมือของเราออกต่อสู้เขา และกระทำให้แผ่นดินนั้นรกร้าง และทิ้งร้างตลอดที่อาศัยทั้งสิ้นของเขา คือรกร้างมากกว่าถิ่นทุรกันดารที่ไปทางดิบลา แล้วเขาจึงจะรู้ว่าเราคือพระเยโฮวาห์”
อสค 16.52 เจ้าผู้ซึ่งได้พิพากษาพี่และน้องสาวของเจ้า จงทนรับความอับอายขายหน้าของเจ้าเองด้วย เพราะบาปของเจ้าซึ่งเจ้าได้ทำนั้นน่าสะอิดสะเอียนยิ่งกว่าเขาไปอีก เขาจึงมีความชอบธรรมมากกว่าเจ้า เออ เจ้าจงฉงนสนเท่ห์ไปด้วย และจงทนรับความอับอายขายหน้าของเจ้า เพราะเจ้าได้กระทำให้พี่และน้องสาวของเจ้าดูเหมือนชอบธรรม
อสค 36.11 เราจะทวีทั้งคนและสัตว์ให้แก่เจ้า จะเพิ่มขึ้นและมีลูกดก และเราจะกระทำให้เจ้ามีคนอาศัยอยู่อย่างในกาลก่อน และจะเป็นประโยชน์แก่เจ้ามากกว่าแต่ก่อน แล้วเจ้าจะทราบว่าเราคือพระเยโฮวาห์
อสค 42.6 เพราะว่าเป็นห้องสามชั้น และไม่มีเสารองเหมือนเสาที่ลานข้างนอก เพราะฉะนั้นห้องชั้นบนจึงร่นเข้าไปกว่าพื้นมากกว่าห้องชั้นล่างและชั้นกลาง
ดนล 2.30 ฝ่ายข้าพระองค์ ซึ่งทรงเผยความลึกลับนี้แก่ข้าพระองค์นั้น มิใช่เพราะข้าพระองค์มีปัญญามากกว่าผู้มีชีวิตทั้งหลาย แต่เพื่อกษัตริย์จะทรงรู้คำแก้พระสุบิน และเพื่อพระองค์จะทรงรู้พระดำริในพระทัยของพระองค์
ยนา 4.11 ไม่สมควรหรือที่เราจะไว้ชีวิตเมืองนีนะเวห์นครใหญ่นั้น ซึ่งมีพลเมืองมากกว่าหนึ่งแสนสองหมื่นคน ผู้ไม่ทราบว่าข้างไหนมือขวาข้างไหนมือซ้าย และมีสัตว์เลี้ยงเป็นอันมากด้วย”
นฮม 3.16 เจ้าเพิ่มพวกพ่อค้าให้มากกว่าดวงดาวในท้องฟ้า ตั๊กแตนวัยกระโดดนั้นลอกคราบแล้วก็บินไปเสีย
มธ 5.29 ถ้าตาข้างขวาของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงควักออกและโยนมันทิ้งเสียจากท่าน เพราะว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านมากกว่าที่จะเสียอวัยวะไปอย่างหนึ่ง แต่ทั้งตัวของท่านไม่ต้องถูกทิ้งลงในนรก
มธ 5.30 และถ้ามือข้างขวาของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงตัดออกและโยนมันทิ้งเสียจากท่าน เพราะว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านมากกว่าที่จะเสียอวัยวะไปอย่างหนึ่ง แต่ทั้งตัวของท่านไม่ต้องถูกทิ้งลงในนรก
มธ 20.10 ส่วนคนที่มาทีแรกนึกว่าเขาคงจะได้มากกว่านั้น แต่ก็ได้คนละหนึ่งเดนาริอันเหมือนกัน
มธ 21.36 อีกครั้งหนึ่งเขาก็ใช้ผู้รับใช้คนอื่นๆไปมากกว่าครั้งก่อน แต่พวกเช่าสวนก็ได้ทำแก่เขาอย่างนั้นอีก
มก 12.43 พระองค์จึงทรงเรียกเหล่าสาวกของพระองค์มาตรัสแก่เขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า หญิงม่ายจนคนนี้ได้ใส่ไว้ในตู้เก็บเงินถวายมากกว่าคนทั้งปวงที่ใส่ไว้นั้น
ลก 7.42 เมื่อเขาไม่มีอะไรจะใช้หนี้แล้ว ท่านจึงโปรดยกหนี้ให้เขาทั้งสองคน เพราะฉะนั้นจงบอกเราว่า ในสองคนนั้น คนไหนจะรักเจ้าหนี้มากกว่า”
ลก 7.43 ซีโมนจึงทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าเห็นว่า คนที่เจ้าหนี้ได้โปรดยกหนี้ให้มากกว่า” พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านคิดเห็นถูกแล้ว”
ลก 11.22 แต่เมื่อคนมีกำลังมากกว่าเขามาต่อสู้ชนะเขา คนนั้นก็ชิงเอาเครื่องอาวุธที่เขาได้วางใจนั้นไปเสีย แล้วแบ่งปันของที่เขาได้ริบเอาไปนั้น
ลก 14.8 “เมื่อผู้ใดเชิญท่านไปในการเลี้ยงสมรส อย่าเอนกายลงในที่อันมีเกียรติ เกลือกว่าเขาได้เชิญคนมีเกียรติมากกว่าท่านอีก
ลก 15.7 เราบอกท่านทั้งหลายว่า เช่นนั้นแหละ จะมีความปรีดีในสวรรค์เพราะคนบาปคนเดียวที่กลับใจใหม่ มากกว่าคนชอบธรรมเก้าสิบเก้าคนที่ไม่ต้องการกลับใจใหม่
ลก 21.3 พระองค์ตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า หญิงม่ายจนคนนี้ได้ใส่ไว้มากกว่าคนทั้งปวงนี้
ยน 3.19 หลักของการพิพากษามีอย่างนี้ คือความสว่างได้เข้ามาในโลกแล้ว แต่มนุษย์ได้รักความมืดมากกว่ารักความสว่าง เพราะกิจการของเขาชั่ว
ยน 4.1 เหตุฉะนั้นเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทราบว่า พวกฟาริสีได้ยินว่า พระเยซูทรงมีสาวกและให้บัพติศมามากกว่ายอห์น
ยน 12.43 เพราะว่าเขารักการสรรเสริญของมนุษย์มากกว่าการสรรเสริญของพระเจ้า
ยน 19.11 พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านจะมีอำนาจเหนือเราไม่ได้ นอกจากจะประทานจากเบื้องบนให้แก่ท่าน เหตุฉะนั้นผู้ที่มอบเราไว้กับท่านจึงมีความผิดบาปมากกว่าท่าน”
ยน 21.15 เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้วพระเยซูตรัสกับซีโมนเปโตรว่า “ซีโมนบุตรชายโยนาห์เอ๋ย ท่านรักเรามากกว่าพวกเหล่านี้หรือ” เขาทูลตอบพระองค์ว่า “ถูกแล้ว พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์” พระองค์ตรัสสั่งเขาว่า “จงเลี้ยงลูกแกะของเราเถิด”
กจ 4.19 ฝ่ายเปโตรและยอห์นตอบเขาว่า “การที่จะฟังท่านมากกว่าฟังพระเจ้าจะเป็นการถูกต้องในสายพระเนตรของพระเจ้าหรือ ขอท่านทั้งหลายพิจารณาดูเถิด
กจ 5.14 มีชายหญิงเป็นอันมากที่เชื่อถือ ได้เข้ามาเป็นสาวกขององค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่าก่อน)
กจ 27.11 แต่นายร้อยเชื่อกัปตันและเจ้าของกำปั่นมากกว่าเชื่อคำที่เปาโลกล่าวนั้น
1คร 10.22 เราจะยั่วยุให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอิจฉาหรือ เรามีฤทธิ์มากกว่าพระองค์หรือ
1คร 11.17 แล้วในการให้คำสั่งต่อไปนี้ ข้าพเจ้าชมท่านไม่ได้ คือว่าการประชุมของท่านนั้นมักจะได้ผลเสียมากกว่าผลดี
1คร 14.18 ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าพูดภาษาต่างๆมากกว่าท่านทั้งหลายอีก
1คร 15.10 แต่ว่าข้าพเจ้าเป็นอยู่อย่างที่เป็นอยู่นี้ก็เนื่องด้วยพระคุณของพระเจ้า และพระคุณของพระองค์ซึ่งได้ทรงประทานแก่ข้าพเจ้านั้นมิได้ไร้ประโยชน์ แต่ข้าพเจ้ากลับทำงานมากกว่าพวกเขาเสียอีก มิใช่ตัวข้าพเจ้าเองทำ แต่เป็นด้วยพระคุณของพระเจ้าซึ่งดำรงอยู่กับข้าพเจ้า
2คร 3.9 เพราะว่าถ้าการรับใช้สำหรับปรับโทษยังมีรัศมี การรับใช้สำหรับความชอบธรรมก็ยิ่งมีรัศมีมากกว่านั้นอีก
2คร 5.8 เรามีความมั่นใจ และเราปรารถนาจะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่าอยู่ในร่างกายนี้
2คร 11.23 เขาเป็นผู้รับใช้ของพระคริสต์หรือ ข้าพเจ้าเป็นดีกว่าเขาเสียอีก (ข้าพเจ้าพูดอย่างคนโง่) ข้าพเจ้าทำงานมากยิ่งกว่าเขาอีก ข้าพเจ้าถูกโบยตีเกินขนาด ข้าพเจ้าติดคุกมากกว่าเขา ข้าพเจ้าหวิดตายบ่อยๆ
กท 1.14 และเมื่อข้าพเจ้าอยู่ในลัทธิยิวนั้น ข้าพเจ้าได้ก้าวหน้าเกินกว่าเพื่อนหลายคนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน และที่เป็นชนชาติเดียวกัน เพราะเหตุที่ข้าพเจ้ามีใจร้อนรนมากกว่าเขาในเรื่องขนบธรรมเนียมของบรรพบุรุษของข้าพเจ้า
กท 4.27 เพราะมีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘จงชื่นชมยินดีเถิด หญิงหมันผู้ไม่คลอดบุตร จงเปล่งเสียงโห่ร้อง เจ้าผู้ไม่ได้เจ็บครรภ์ ด้วยว่าหญิงที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวก็ยังมีบุตรมากกว่าหญิงที่ยังมีสามีอยู่กับนางมากมายนัก’
ฟป 1.24 แต่การที่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่ในร่างกายนี้ ก็มีความจำเป็นสำหรับพวกท่านมากกว่า
ฟป 3.4 ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าเองมีเหตุที่จะไว้ใจในเนื้อหนัง ถ้าผู้อื่นคิดว่าเขามีเหตุผลที่จะไว้ใจในเนื้อหนัง ข้าพเจ้าก็มีมากกว่าเขาเสียอีก
1ทธ 1.4 ทั้งไม่ให้เขาใส่ใจในเรื่องนิยายต่างๆและเรื่องลำดับวงศ์ตระกูลอันไม่รู้จบ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดปัญหามากกว่าให้เกิดความจำเริญในทางของพระเจ้า อันดำเนินไปด้วยความเชื่อ ก็จงกระทำดังนั้น
ฮบ 3.3 แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็ทรงสมควรได้รับพระเกียรติมากกว่าโมเสสมากนัก เช่นเดียวกับผู้สร้างบ้านย่อมมีเกียรติยศมากกว่าบ้านนั้น
ยก 2.13 เพราะว่าผู้ที่ไม่แสดงความเมตตาย่อมจะได้รับการพิพากษาโดยปราศจากความเมตตา แต่ความเมตตาย่อมก่อให้เกิดความชื่นชมยินดีมากกว่าการพิพากษา
2ปต 2.11 แต่ฝ่ายทูตสวรรค์แม้ว่ามีฤทธิ์และกำลังมากกว่า ก็หาได้กล่าวประณามคนเหล่านั้นหน้าพระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่
3ยน 1.2 ท่านที่รัก ข้าพเจ้าปรารถนามากกว่าทุกสิ่งที่จะให้ท่านจำเริญขึ้นและมีสุขภาพดี เหมือนอย่างที่จิตวิญญาณของท่านจำเริญอยู่นั้น
วว 2.19 เรารู้จักแนวการกระทำของเจ้า ความรัก การปรนนิบัติ ความเชื่อ และความเพียรของเจ้า และแนวการกระทำของเจ้า และรู้ว่าการเบื้องปลายของเจ้ามีมากกว่าการเบื้องต้น

มากมาย ( 170 )
ปฐก 16.10 แล้วทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์กล่าวแก่หญิงนั้นว่า “เราจะให้เชื้อสายของเจ้าทวีมากขึ้น เพราะว่าจะมีคนจำนวนมากมายจนนับไม่ถ้วน”
ปฐก 17.4 “สำหรับเรา ดูเถิด นี่เป็นพันธสัญญาของเรากับเจ้า และเจ้าจะเป็นบิดาของประชาชาติมากมาย
ปฐก 17.5 ชื่อของเจ้าจะไม่เรียกว่า อับราม อีกต่อไป แต่เจ้าจะมีชื่อว่า อับราฮัม เพราะเราจะกระทำให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติมากมาย
ปฐก 24.35 พระเยโฮวาห์ทรงอวยพระพรแก่นายข้าพเจ้าอย่างมากมาย ท่านก็เจริญขึ้น และพระองค์ทรงประทานฝูงแพะแกะ และฝูงวัว เงินและทอง คนใช้ชายหญิง อูฐและลา
ปฐก 26.14 ด้วยว่าท่านมีฝูงแพะแกะ และฝูงวัวเป็นกรรมสิทธิ์และมีบริวารมากมาย ชาวฟีลิสเตียจึงอิจฉาท่าน
ปฐก 27.28 ดังนั้นขอพระเจ้าทรงประทานน้ำค้างจากฟ้าแก่เจ้า และประทานความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินทั้งข้าวและน้ำองุ่นมากมายแก่เจ้า
ปฐก 32.12 แต่พระองค์ตรัสไว้แล้วว่า ‘เราจะกระทำการดีแก่เจ้า และทำให้เชื้อสายของเจ้าดุจเม็ดทรายที่ทะเล ซึ่งจะมากมายจนนับไม่ถ้วน’”
ปฐก 41.47 ในเจ็ดปีที่อุดมสมบูรณ์นั้น แผ่นดินก็ออกผลมากมาย
ปฐก 41.49 โยเซฟสะสมข้าวไว้ดุจเม็ดทรายในทะเลมากมายจนต้องหยุดคิดบัญชี เพราะนับไม่ถ้วน
ปฐก 47.27 พวกอิสราเอลอาศัยอยู่ในประเทศอียิปต์ ณ แผ่นดินโกเชน เขามีทรัพย์สมบัติที่นั่น และมีลูกหลานทวีขึ้นมากมาย
อพย 12.38 มีฝูงชนชาติอื่นเป็นจำนวนมากติดตามไปด้วยพร้อมทั้งฝูงสัตว์ คือฝูงแพะแกะ และวัวจำนวนมากมาย
กดว 20.11 และโมเสสก็ยกมือขึ้นตีหินนั้นสองครั้งด้วยไม้เท้า และน้ำก็ไหลออกมามากมาย ชุมนุมชนและสัตว์ของเขาก็ได้ดื่มน้ำ
พบญ 17.17 และอย่าให้ผู้นั้นมีภรรยามาก เกรงว่าจิตใจของเขาจะหันเหไปเสีย หรืออย่าให้มีเงินมีทองเป็นของตนอย่างมากมาย
พบญ 20.1 “เมื่อท่านทั้งหลายจะยกไปทำสงครามกับพวกศัตรูของท่าน เห็นม้า รถรบ และกองทัพมากมายใหญ่โตกว่าของท่าน ท่านอย่ากลัวเขาเลย เพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงสถิตอยู่กับท่าน ผู้ทรงนำท่านขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์
พบญ 29.24 เออ ประชาชาติทั้งหลายจะกล่าวว่า ‘ทำไมพระเยโฮวาห์ทรงกระทำเช่นนี้แก่แผ่นดินนี้ พระพิโรธมากมายเช่นนี้หมายความว่ากระไร’
พบญ 29.28 และพระเยโฮวาห์จึงทรงถอนรากเขาเสียจากแผ่นดินด้วยความกริ้ว พระพิโรธและความเดือดดาลอันมากมาย และทิ้งเขาไปในอีกแผ่นดินหนึ่ง ดังที่เป็นอยู่วันนี้’
พบญ 33.24 และท่านกล่าวถึงอาเชอร์ว่า “ขอให้อาเชอร์ได้รับพระพรคือให้มีบุตรมากมาย ให้เขาเป็นที่โปรดปรานของพี่น้องของเขา และให้เขาจุ่มเท้าเขาลงในน้ำมัน
ยชว 10.10 พระเยโฮวาห์ทรงกระทำให้เขาสะดุ้งแตกตื่นต่อหน้าพวกอิสราเอล พระองค์ได้ทรงฆ่าเขาเสียมากมายที่กิเบโอน และไล่ติดตามเขาไปในทางที่ขึ้นไปถึงเบธโฮโรน และตามฆ่าเขาจนถึงเมืองอาเซคาห์ และเมืองมักเคดาห์
ยชว 11.4 กษัตริย์เหล่านี้ก็ยกออกมากับบรรดาพลโยธาเป็นกองทัพมหึมา มีจำนวนดังเม็ดทรายที่ชายทะเล มีม้าและรถรบมากมายด้วย
ยชว 17.14 คนโยเซฟได้พูดกับโยชูวาว่า “เหตุไฉนท่านจึงแบ่งให้ข้าพเจ้ามีแต่ส่วนเดียวเป็นมรดก แม้ว่าข้าพเจ้ามีคนมากมาย เพราะว่าพระเยโฮวาห์ได้ทรงอวยพระพรแก่พวกข้าพเจ้ามาจนบัดนี้แล้ว”
ยชว 17.15 ฝ่ายโยชูวาตอบเขาว่า “ถ้าเจ้ามีคนมากมาย และถ้าแดนเทือกเขาของคนเอฟราอิมเป็นที่แคบไปสำหรับเจ้า พวกเจ้าจงเข้าไปในป่าแผ้วถางเอาเอง ที่ในแผ่นดินของคนเปริสซีและพวกมนุษย์ยักษ์”
ยชว 22.8 กล่าวแก่เขาว่า “จงกลับไปยังเต็นท์ของท่านทั้งหลายพร้อมกับทรัพย์สมบัติมั่งคั่งมีฝูงสัตว์มากมาย มีเงิน ทองคำ ทองสัมฤทธิ์ และเหล็ก และเสื้อผ้าเป็นอันมาก จงแบ่งของที่ริบมาจากศัตรูของท่านให้แก่พี่น้องของท่าน”
ยชว 24.3 แล้วเราได้นำบิดาของเจ้าคืออับราฮัมมาจากฟากแม่น้ำข้างโน้น และนำเขามาตลอดแผ่นดินคานาอัน กระทำให้เชื้อสายของเขามีมากมาย เราให้อิสอัคแก่เขา
วนฉ 18.23 จึงตะโกนเรียกคนดาน เขาก็หันกลับมาพูดกับมีคาห์ว่า “เป็นอะไรเล่า เจ้าจึงยกคนมามากมายอย่างนี้”
1ซมอ 13.5 และคนฟีลิสเตียชุมนุมกันเพื่อจะต่อสู้คนอิสราเอล มีรถรบสามหมื่น และพลม้าหกพัน และกองทหารนั้นก็มากมายเหมือนเม็ดทรายที่ฝั่งทะเล เขาก็ยกขึ้นมาตั้งค่ายอยู่ที่มิคมาช ทางตะวันออกของเบธาเวน
1ซมอ 17.25 คนอิสราเอลพูดว่า “เจ้าเคยเห็นคนที่ออกมานั้นหรือ เขาออกมาท้าทายอิสราเอลแท้ๆ ถ้าใครฆ่าเขาได้ กษัตริย์จะพระราชทานทรัพย์ให้เขามากมาย และจะมอบราชธิดาให้ด้วย และกระทำให้วงศ์วานบิดาของเขาเป็นคนยกเว้นการเกณฑ์ในอิสราเอล”
1ซมอ 30.16 เมื่อเขาพาท่านลงไปแล้ว ดูเถิด ก็พบเขาทั้งหลายแผ่กันอยู่เต็มดินไปหมด ต่างกินและดื่มและเต้นรำเพราะเขาริบได้ข้าวของมากมายมาจากแผ่นดินฟีลิสเตียและจากแผ่นดินยูดาห์
2ซมอ 1.4 ดาวิดถามเขาว่า “ขอบอกฉันหน่อยว่า เหตุการณ์เป็นไปอย่างไรบ้าง” และเขาตอบว่า “ประชาชนหนีจากการรบไปแล้ว มีคนล้มและถึงความตายมากมาย ซาอูลและโยนาธานราชโอรสก็สิ้นพระชนม์ด้วย”
2ซมอ 3.22 ดูเถิด ขณะนั้นข้าราชการทหารของดาวิดกับโยอาบกลับมาจากการไปปล้นและนำสิ่งของที่ริบได้มากมายนั้นมาด้วย แต่อับเนอร์มิได้อยู่กับดาวิดที่เฮโบรนแล้ว เพราะพระองค์ทรงส่งท่านกลับไป และท่านก็ไปโดยสันติภาพ
2ซมอ 17.11 แต่คำปรึกษาของข้าพระองค์มีว่า ขอพระองค์รวบรวมอิสราเอลทั้งสิ้นตั้งแต่ดานถึงเบเออร์เชบา ให้มากมายดั่งเม็ดทรายที่ทะเล แล้วพระองค์ก็เสด็จคุมทัพไปเอง
1พกษ 4.20 คนยูดาห์และคนอิสราเอลนั้นมีจำนวนมากมายดังเม็ดทรายชายทะเล เขาทั้งหลายกินและดื่มและมีจิตใจเบิกบาน
1พกษ 8.5 และกษัตริย์ซาโลมอน และชุมนุมชนอิสราเอลทั้งสิ้นที่ได้ประชุมกันต่อพระองค์ อยู่กับพระองค์ต่อหน้าหีบ ได้ถวายแกะและวัวมากมาย ซึ่งเขาจะนับหรือเอาจำนวนก็ไม่ได้
1พกษ 10.2 พระนางเสด็จมายังกรุงเยรูซาเล็ม พร้อมด้วยข้าราชบริพารมากมาย มีฝูงอูฐบรรทุกเครื่องเทศและทองคำเป็นอันมาก และเพชรพลอยต่างๆ และเมื่อพระนางเสด็จมาถึงซาโลมอนแล้ว พระนางก็ทูลเรื่องในพระทัยต่อพระองค์ทุกประการ
1พกษ 10.10 แล้วพระนางก็ถวายทองคำหนึ่งร้อยยี่สิบตะลันต์แด่กษัตริย์ ทั้งเครื่องเทศเป็นจำนวนมาก และเพชรพลอยต่างๆ ไม่มีเครื่องเทศมามากมายดังนี้อีก ดังที่พระราชินีแห่งเชบาถวายแด่กษัตริย์ซาโลมอน
1พกษ 10.27 และกษัตริย์ทรงกระทำให้เงินนั้นเป็นของสามัญในกรุงเยรูซาเล็มเหมือนก้อนหิน และทรงกระทำให้มีสนสีดาร์มากมายเหมือนไม้มะเดื่อแห่งหุบเขา
2พกษ 4.13 ท่านจึงบอกแก่เกหะซีว่า “จงบอกนางว่า ดูเถิด เธอลำบากมากมายอย่างนี้เพื่อเรา จะให้เราทำอะไรให้เธอบ้าง มีอะไรจะให้ทูลกษัตริย์เผื่อเธอหรือ หรือให้พูดอะไรกับผู้บัญชาการกองทัพ” นางตอบว่า “ดิฉันอยู่ในหมู่พวกพี่น้องของดิฉันค่ะ”
1พศด 4.38 ท่านที่กล่าวชื่อมานี้เป็นเจ้านายในครอบครัวของท่าน และเรือนบรรพบุรุษของเขาทั้งหลายก็เพิ่มขึ้นมากมาย
1พศด 12.40 ยิ่งกว่านั้นผู้ที่อยู่ใกล้เขาทั้งหลายด้วยคือไกลออกไปถึงอิสสาคาร์ และเศบูลุน และนัฟทาลีได้จัดอาหารบรรทุกลา อูฐ ล่อ และวัว กับเสบียงอาหารมากมายเป็นแป้ง ขนมมะเดื่อ ช่อองุ่นแห้ง น้ำองุ่น น้ำมัน วัวและแกะ เพราะว่ามีความชื่นบานในอิสราเอล
1พศด 22.4 และไม้สนสีดาร์นับไม่ถ้วน เพราะว่าชาวไซดอน และชาวไทระ ได้นำไม้สนสีดาร์จำนวนมากมายมาถวายดาวิด
1พศด 22.14 และดูเถิด เราได้จัดเตรียมไว้เพื่อพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ด้วยความยากเหนื่อยอย่างยิ่ง เป็นทองคำหนักหนึ่งแสนตะลันต์ เงินหนักหนึ่งล้านตะลันต์ ทองสัมฤทธิ์และเหล็กเหลือที่จะชั่ง เพราะมีมากมายเหลือเกิน เราได้จัดเตรียมตัวไม้และหินด้วย เจ้าจะเพิ่มเติมเข้าอีกก็ได้
1พศด 22.15 ยิ่งกว่านั้นเจ้ามีคนทำงานมากมาย คือช่างสกัดหิน ช่างก่อ ช่างไม้ และช่างฝีมือทุกชนิด
1พศด 22.16 ส่วนทองคำ เงิน ทองสัมฤทธิ์ และเหล็กนั้นก็มีมากมายเหลือที่จะนับได้ ลุกขึ้นทำไปเถิด ขอพระเยโฮวาห์ทรงสถิตอยู่กับเจ้า”
1พศด 29.16 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ของมากมายเหล่านี้ทั้งสิ้นซึ่งข้าพระองค์จัดหาเพื่อสร้างพระนิเวศถวายแด่พระองค์เพื่อพระนามบริสุทธิ์ของพระองค์ มาจากพระหัตถ์ของพระองค์ และเป็นของพระองค์ทั้งสิ้น
1พศด 29.21 และเขาทั้งหลายได้ถวายสัตวบูชาแด่พระเยโฮวาห์ และถวายเครื่องเผาบูชาแด่พระเยโฮวาห์ในวันรุ่งขึ้นต่อจากวันนั้น เป็นวัวผู้หนึ่งพันตัว แกะผู้หนึ่งพันตัว ลูกแกะหนึ่งพันตัว พร้อมกับเครื่องดื่มบูชาที่คู่กัน และถวายสัตวบูชาอย่างมากมายเพื่ออิสราเอลทั้งปวง
2พศด 1.15 และกษัตริย์ทรงกระทำให้เงินและทองคำเป็นของสามัญในกรุงเยรูซาเล็มเหมือนก้อนหิน และทรงกระทำให้มีไม้สนสีดาร์มากมายเหมือนไม้มะเดื่อแห่งหุบเขา
2พศด 2.9 เพื่อจัดเตรียมตัวไม้ให้แก่ข้าพเจ้าให้มากมาย เพราะว่าพระนิเวศที่ข้าพเจ้าจะสร้างนี้จะใหญ่โตและแปลกประหลาด
2พศด 5.6 และกษัตริย์ซาโลมอนกับชุมนุมชนอิสราเอลทั้งสิ้นที่ได้ประชุมกันอยู่กับพระองค์ต่อหน้าหีบ ได้ถวายแกะและวัวมากมาย ซึ่งเขาจะนับหรือเอาจำนวนก็ไม่ได้
2พศด 9.1 เมื่อพระราชินีแห่งเชบาทรงได้ยินกิตติศัพท์แห่งซาโลมอน พระนางก็เสด็จมายังเยรูซาเล็ม เพื่อทดลองพระองค์ด้วยปัญหายุ่งยากต่างๆ พร้อมด้วยข้าราชบริพารมากมาย กับอูฐบรรทุกเครื่องเทศและทองคำเป็นอันมาก และเพชรพลอยต่างๆ และเมื่อพระนางเสด็จมาถึงซาโลมอนแล้ว พระนางทูลเรื่องในใจของพระนางทุกประการ
2พศด 9.27 และกษัตริย์ทรงกระทำให้เงินนั้นเป็นของสามัญในกรุงเยรูซาเล็มเหมือนก้อนหิน และกระทำให้มีไม้สนสีดาร์มากมายเหมือนไม้มะเดื่อแห่งหุบเขา
2พศด 11.23 และพระองค์ทรงจัดการอย่างฉลาด และแจกจ่ายบรรดาโอรสของพระองค์ไปทั่วแผ่นดินทั้งสิ้นของยูดาห์และของเบนยามิน ในหัวเมืองที่มีป้อมทั้งสิ้น และพระองค์ประทานเสบียงอาหารให้อย่างอุดม และพระองค์ทรงประสงค์มเหสีมากมาย
2พศด 13.17 อาบียาห์และประชาชนของพระองค์ก็ฆ่าเขาเสียมากมาย คนอิสราเอลที่คัดเลือกแล้วจึงล้มตายห้าแสนคน
2พศด 14.13 อาสาและพลที่อยู่กับพระองค์ก็ไล่ตามเขาไปถึงเมืองเก-ราร์ และชาวเอธิโอเปียล้มตายมากจนไม่เหลือสักชีวิตเดียว เพราะเขาได้แตกพ่ายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์และกองทัพของพระองค์ คนยูดาห์ได้เก็บของที่ริบได้มากมายนักหนา
2พศด 14.15 และเขาได้โจมตีเต็นท์ของผู้ที่มีวัว และเอาแกะไปมากมายและอูฐด้วย แล้วเขาก็กลับไปยังเยรูซาเล็ม
2พศด 15.5 ในสมัยนั้นไม่มีสันติภาพแก่ผู้ที่ออกไปหรือผู้ที่เข้ามา เพราะมีการวุ่นวายอยู่มากมายรบกวนชาวเมืองทั้งหลายนั้น
2พศด 17.13 และพระองค์ทรงมีพระราชกิจมากมายในหัวเมืองของยูดาห์ พระองค์ทรงมีทหารเป็นทแกล้วทหารในกรุงเยรูซาเล็ม
2พศด 18.2 ครั้นล่วงมาหลายปีพระองค์เสด็จลงไปเฝ้าอาหับในสะมาเรีย และอาหับทรงฆ่าแกะและวัวมากมายสำหรับพระองค์ และสำหรับพลที่มากับพระองค์ และทรงชักชวนพระองค์ให้ขึ้นไปต่อสู้กับราโมทกิเลอาด
2พศด 21.3 พระราชบิดาของเขาทั้งหลายประทานเงิน ทองคำ และของอันมีค่ามากมาย พร้อมกับหัวเมืองที่มีป้อมในยูดาห์ แต่พระองค์ประทานราชอาณาจักรแก่เยโฮรัม เพราะว่าท่านเป็นโอรสหัวปี
2พศด 24.27 เรื่องราวแห่งโอรสของพระองค์ และภาระหนักมากมายที่ตกอยู่แก่พระองค์ และการซ่อมแซมพระนิเวศของพระเจ้า ดูเถิด มีบันทึกไว้ในหนังสือเรื่องราวของกษัตริย์ และอามาซิยาห์โอรสของพระองค์ครอบครองแทนพระองค์
2พศด 29.35 นอกจากเครื่องเผาบูชามีจำนวนมากมายแล้วยังมีไขมันของเครื่องสันติบูชา และมีเครื่องดื่มบูชาคู่กับเครื่องเผาบูชาด้วย ดังนี้แหละงานปรนนิบัติในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ก็ฟื้นคืนมาอีก
2พศด 31.5 พอพระบัญชากระจายออกไป ประชาชนอิสราเอลก็ได้บริจาคเข้ามาอย่างมากมาย มีผลรุ่นแรกของข้าว น้ำองุ่น น้ำมัน น้ำผึ้ง และผลิตผลทุกอย่างของไร่นา และเขานำสิบชักหนึ่งแห่งของทุกชนิดเข้ามาอย่างมากมาย
นหม 5.18 สิ่งที่เตรียมไว้ในวันหนึ่งๆมีวัวตัวหนึ่ง และแกะที่คัดเลือกแล้วหกตัว เป็ดไก่เขาก็จัดไว้ให้ข้าพเจ้าด้วย ในทุกๆสิบวันน้ำองุ่นมากมายหลายถุงหนัง แม้จะมากอย่างนี้ ข้าพเจ้ามิได้เรียกร้องเอาส่วนอาหารของตำแหน่งผู้ว่าราชการ เพราะว่าการปรนนิบัตินั้นหนักหน้าชนชาตินี้อยู่แล้ว
นหม 9.25 และเขาจึงเข้ายึดหัวเมืองที่มีป้อม และแผ่นดินอุดม และถือกรรมสิทธิ์เรือนซึ่งเต็มด้วยของดีทั้งปวง ทั้งที่ขังน้ำซึ่งสกัดไว้ สวนองุ่น สวนมะกอกเทศ และต้นผลไม้มากมาย เขาจึงได้กินอิ่มจนอ้วน และปีติยินดีในพระคุณยิ่งของพระองค์
นหม 9.37 และผลิตผลอันมากมายของแผ่นดินนั้นก็ตกแก่กษัตริย์ผู้ที่พระองค์ทรงตั้งไว้เหนือข้าพระองค์ทั้งหลาย ด้วยเหตุบาปของข้าพระองค์ทั้งหลาย เขาทั้งหลายมีอำนาจเหนือร่างกาย และเหนือฝูงสัตว์ของข้าพระองค์ทั้งหลาย ตามความพอใจของเขาทั้งหลาย และข้าพระองค์ทั้งหลายทุกข์นัก
อสธ 1.7 เครื่องดื่มก็ใส่ถ้วยทองคำส่งให้ (เป็นถ้วยหลากชนิด) และเหล้าองุ่นของราชสำนักมากมายตามพระทัยกว้างขวางของกษัตริย์
โยบ 1.3 ส่วนสัตว์เลี้ยงของท่าน มีแกะเจ็ดพันตัว อูฐสามพันตัว วัวห้าร้อยคู่ และลาตัวเมียห้าร้อยตัว และท่านมีคนใช้มากมาย ดังนั้นชายผู้นี้จึงใหญ่โตที่สุดในบรรดาชาวตะวันออก
โยบ 4.3 ดูเถิด ท่านได้แนะนำคนมามากมายแล้ว และท่านได้เสริมมือที่อ่อนเปลี้ยให้มีกำลัง
โยบ 5.25 ท่านจะทราบด้วยว่าเชื้อสายของท่านจะมากมาย และลูกหลานของท่านจะเป็นอย่างหญ้าแห่งแผ่นดินโลก
โยบ 12.6 เต็นท์ของโจรก็มั่งคั่ง และบุคคลที่ยั่วเย้าพระเจ้าก็มั่นคง พระเจ้าทรงนำของมากมายมาสู่มือของเขา
โยบ 22.25 และองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จะเป็นผู้ป้องกันท่าน และท่านจะมีเงินอย่างมากมาย
โยบ 31.25 ถ้าข้าเปรมปรีดิ์เพราะสมบัติของข้ามากมาย หรือเพราะมือของข้าได้มามาก
โยบ 35.15 บัดนี้ เพราะไม่เป็นเช่นนั้น พระพิโรธของพระองค์ได้ลงโทษ แต่พระองค์มิได้สนพระทัยการละเมิดเสียมากมาย
โยบ 38.34 เจ้าตะเบ็งเสียงไปถึงเมฆได้ไหมล่ะ เพื่อน้ำมากมายจะลงมาคลุมเจ้า
สดด 3.1 ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ศัตรูของข้าพระองค์ทวีมากขึ้นเหลือเกิน คู่อริมากมายเหล่านี้กำลังลุกขึ้นต่อสู้ข้าพระองค์
สดด 4.7 พระองค์ได้ประทานความชื่นบานให้แก่จิตใจของข้าพระองค์มากกว่าเมื่อพวกเขาได้ข้าวและน้ำองุ่นมากมาย
สดด 33.16 กองทัพใหญ่หาช่วยให้กษัตริย์องค์หนึ่งองค์ใดรอดพ้นไปไม่ กำลังอันมากมายก็ไม่ช่วยนักรบให้พ้นได้
สดด 40.5 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ พระองค์ได้ทรงทวีพระราชกิจอันมหัศจรรย์ของพระองค์ และพระดำริของพระองค์แก่ข้าพระองค์ ไม่มีผู้ใดรายงานพระราชกิจทั้งสิ้นเหล่านั้นได้ ถ้าข้าพระองค์จะประกาศและบอกกล่าวแล้ว ก็มีมากมายเหลือที่จะนับ
สดด 71.15 ปากของข้าพระองค์จะเล่าถึงความชอบธรรมและความรอดของพระองค์วันยังค่ำ เพราะจำนวนเหล่านั้นมากมายเกินความรู้ของข้าพระองค์
สดด 97.1 พระเยโฮวาห์ทรงครอบครอง จงให้แผ่นดินโลกเปรมปรีดิ์ ให้เกาะเล็กๆมากมายนั้นยินดี
สดด 104.24 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระราชกิจของพระองค์มากมายจริงๆ พระองค์ทรงสร้างการงานนั้นทั้งสิ้นด้วยพระปัญญา แผ่นดินโลกเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติของพระองค์
สดด 119.157 ผู้ข่มเหงและปรปักษ์ของข้าพระองค์มีมากมาย แต่ข้าพระองค์ไม่หันเหไปจากบรรดาพระโอวาทของพระองค์
สดด 132.15 เราจะอำนวยพรอย่างมากมายแก่เสบียงของเมืองนี้ เราจะให้คนจนของเมืองนี้อิ่มด้วยขนมปัง
สภษ 8.24 เราถือกำเนิดมาเมื่อก่อนมีมหาสมุทร เมื่อไม่มีน้ำพุที่มีน้ำมากมาย
สภษ 14.20 คนยากจนนั้นแม้เพื่อนบ้านของตนก็รังเกียจ แต่คนมั่งคั่งมีสหายมากมาย
สภษ 22.1 ชื่อเสียงดีเป็นสิ่งควรเลือกยิ่งกว่าความมั่งคั่งมากมาย และซึ่งเป็นที่โปรดปรานก็ยิ่งกว่ามีเงินหรือทอง
สภษ 28.19 บุคคลที่ไถไร่นาของตนจะได้อาหารมากมาย แต่ผู้ที่ติดตามคนไร้ค่าจะยิ่งจนลง
สภษ 28.20 คนที่สัตย์ซื่อจะได้รับพรมากมาย แต่ผู้ที่รีบมั่งคั่งจะไม่มีโทษหามิได้
ปญจ 2.15 ข้าพเจ้าจึงรำพึงในใจว่า “เหตุการณ์อันใดเกิดแก่คนเขลาฉันใด ก็จะเกิดกับตัวข้าพเจ้าฉันนั้น ถ้ากระนั้นแล้วข้าพเจ้าจะมีสติปัญญามากมายทำไมเล่า” ข้าพเจ้าจึงรำพึงในใจว่า เรื่องนี้ก็อนิจจังเหมือนกัน
ปญจ 6.3 แม้ว่ามนุษย์คนใดมีบุตรสักร้อยคน และมีอายุอยู่หลายปี จนปีเดือนของเขาก็มากมาย แต่จิตใจของเขาหาได้อิ่มด้วยของดีไม่ ยิ่งกว่านั้นอีก เขาไม่มีงานฝังศพของตนด้วย ข้าพเจ้าว่าบุตรที่เกิดมาแท้งเสียยังดีกว่าคนนั้น
อสย 1.11 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เครื่องบูชาอันมากมายของเจ้านั้นจะเป็นประโยชน์อะไรแก่เรา เราเอือมแกะตัวผู้อันเป็นเครื่องเผาบูชา และไขมันของสัตว์ที่ขุนไว้นั้นแล้ว เรามิได้ปีติยินดีในเลือดของวัวผู้หรือลูกแกะหรือแพะผู้
อสย 1.15 เมื่อเจ้ากางมือของเจ้าออกเราจะซ่อนตาของเราเสียจากเจ้า แม้ว่าเจ้าจะอธิษฐานมากมายเราจะไม่ฟัง มือของเจ้าเปรอะไปด้วยโลหิต
อสย 7.22 และต่อมาเพราะมันให้นมมากมาย เขาจะรับประทานนมข้น เพราะว่าทุกคนที่เหลืออยู่ในแผ่นดินจะรับประทานนมข้นและน้ำผึ้ง
อสย 30.33 เพราะโทเฟทก็จัดไว้นานแล้ว เออ เตรียมไว้สำหรับกษัตริย์ เชิงตะกอนก็ลึกและกว้าง พร้อมไฟและฟืนมากมาย คือพระปัสสาสะของพระเยโฮวาห์เหมือนธารกำมะถันมาจุดให้ลุก
อสย 51.2 จงมองอับราฮัมบรรพบุรุษของเจ้าทั้งหลาย และดูซาราห์ผู้คลอดเจ้า เพราะเมื่อมีเขาอยู่แต่คนเดียว เราได้ร้องเรียกเขา และเราอวยพรเขา และกระทำให้เป็นคนมากมาย
อสย 66.16 เพราะพระเยโฮวาห์จะทรงกระทำการพิพากษาด้วยไฟ และด้วยพระแสงของพระองค์เหนือเนื้อหนังทั้งสิ้น และผู้ที่พระเยโฮวาห์ทรงสังหารเสียจะมีมากมาย
ยรม 3.1 “เขาทั้งหลายว่า ‘ถ้าชายคนใดหย่าภรรยาของตนและเธอก็ไปจากเขาเสีย และไปเป็นภรรยาของชายอีกคนหนึ่ง เขาจะกลับไปหาเธอหรือ แผ่นดินนั้นจะไม่โสโครกมากมายหรือ’ แต่เจ้าได้เล่นชู้กับคนรักมากมายแล้ว ถึงกระนั้นเจ้าจงกลับมาหาเรา” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ยรม 5.6 เพราะฉะนั้น สิงโตจากป่าจะมาสังหารเขา สุนัขป่ายามสนธยาจะทำลายเขา เสือดาวจะเฝ้าหัวเมืองทั้งหลายของเขา ทุกคนที่ไปจากเมืองเหล่านั้นจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ เพราะว่าความละเมิดของเขามากมาย การกลับสัตย์ของเขาก็ใหญ่ยิ่ง
ยรม 13.22 และถ้าเจ้าว่าในใจของเจ้าว่า ‘ทำไมสิ่งเหล่านี้จึงเกิดกับข้า’ ก็เพราะความชั่วช้าที่มากมายใหญ่โตของเจ้า เสื้อของเจ้าจึงต้องถูกถลกขึ้น และส้นเท้าของเจ้าจึงไม่ปิดบัง
ยรม 25.30 เพราะฉะนั้น เจ้าจงพยากรณ์คำเหล่านี้ทั้งสิ้นสู้เขาทั้งหลาย และกล่าวแก่เขาว่า ‘พระเยโฮวาห์จะทรงเปล่งเสียงคำรามจากที่สูง และจากที่พำนักอันบริสุทธิ์ของพระองค์ พระองค์จะเปล่งพระสุรเสียง พระองค์จะเปล่งเสียงคำรามมากมายต่อคอกแกะของพระองค์ และทรงโห่ร้องอย่างกับคนที่ย่ำองุ่นโห่ร้องต่อชาวพิภพทั้งสิ้น
ยรม 30.14 คนรักทั้งสิ้นของเจ้าได้ลืมเจ้าเสีย เขาทั้งหลายไม่แสวงหาเจ้าแล้ว เพราะเราตีเจ้าอย่างการโบยตีของศัตรู เป็นการลงโทษอย่างของคนโหดร้าย เพราะว่าความชั่วช้าของเจ้าก็มากมาย เพราะว่าบาปของเจ้าก็ทวีขึ้น
ยรม 30.15 ไฉนเจ้าร้องเพราะความเจ็บของเจ้า ความเศร้าโศกของเจ้ารักษาไม่หาย เพราะว่าความชั่วช้าของเจ้ามากมาย เพราะว่าบาปของเจ้าทวีขึ้น เราได้กระทำสิ่งเหล่านี้แก่เจ้า
ยรม 49.32 อูฐของเขาทั้งหลายจะกลายเป็นของที่ปล้นมาได้ และฝูงวัวอันมากมายของเขาจะเป็นของที่ริบมา พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เราจะกระจายเขาไปทุกทิศลม คือคนที่อยู่ในมุมที่ไกลที่สุด และเราจะนำภัยพิบัติมาจากทุกด้านของเขา
ยรม 51.13 โอ เจ้าผู้อาศัยตามน้ำมากหลาย ผู้มีสมบัติมากมายเอ๋ย อวสานของเจ้ามาถึงแล้ว เส้นความโลภของเจ้าได้ถูกตัดขาดเสียแล้ว
ยรม 51.42 ทะเลขึ้นมาเหนือบาบิโลน คลื่นอย่างมากมายคลุมเธอไว้
พคค 1.22 ขอให้บรรดาการชั่วของเขาทั้งหลายมาปรากฏต่อพระพักตร์พระองค์ และขอทรงกระทำแก่เขาทั้งหลาย เหมือนที่พระองค์ได้ทรงกระทำแก่ข้าพระองค์ เพราะการละเมิดทั้งสิ้นของข้าพระองค์เถิด ด้วยความสะท้อนถอนใจของข้าพระองค์นั้นมากมายหลายครั้ง และจิตใจของข้าพระองค์ก็อ่อนเพลียเต็มทีแล้ว”
อสค 14.4 เพราะฉะนั้นจงพูดกับเขาและกล่าวแก่เขาว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า คนใดในวงศ์วานอิสราเอลเอารูปเคารพของเขาไว้ในใจ และวางสิ่งที่สะดุดให้ทำความชั่วช้าไว้ข้างหน้าเขาและยังมาหาผู้พยากรณ์ เราคือพระเยโฮวาห์จะตอบเขาเองด้วยเรื่องรูปเคารพมากมายของเขานั้น
อสค 17.3 ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า มีนกอินทรีมหึมาตัวหนึ่ง ปีกใหญ่และขนปีกก็ยาว มีขนมากมายหลายสี มายังเลบานอนและจิกยอดต้นสนสีดาร์
อสค 17.17 ฟาโรห์ประกอบด้วยกองทัพอันใหญ่โตและผู้คนมากมายจะไม่ช่วยท่านผู้นั้น ในการสงคราม ในเมื่อเขาก่อเชิงเทินและก่อกำแพงล้อมเพื่อจะขจัดคนเป็นอันมากเสีย
อสค 19.10 มารดาของเจ้าเหมือนเถาองุ่นที่อยู่ในโลหิตของเจ้า เอามาปลูกไว้ริมน้ำ เธอมีผลดกและมีแขนงมากมายเหตุด้วยน้ำบริบูรณ์
อสค 19.11 เธอมีแขนงที่แข็งแรงซึ่งกลายเป็นไม้ธารพระกรของผู้ครอบครอง ความสูงของเธอชูขึ้นท่ามกลางแขนงที่หนาทึบ เธอปรากฏในที่สูงของเธอพร้อมกับแขนงมากมายของเธอ
อสค 22.25 มีการวางแผนร้ายระหว่างพวกผู้พยากรณ์ท่ามกลางแผ่นดินนั้น เป็นเหมือนสิงโตคำรามฉีกเหยื่ออยู่ เขาทั้งหลายกินชีวิตมนุษย์ เขาริบทรัพย์สมบัติและสิ่งประเสริฐไป เขาได้กระทำให้เกิดหญิงม่ายมีขึ้นมากมายท่ามกลางแผ่นดินนั้น
อสค 26.7 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะนำเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์บาบิโลน ผู้เป็นจอมกษัตริย์มายังเมืองไทระจากทิศเหนือ พร้อมทั้งม้าและรถรบกับพลม้าและกองทหารกับคนมากมาย
อสค 26.10 ม้าของท่านมากมายจนฝุ่นม้าตลบคลุมเจ้าไว้ กำแพงเมืองของเจ้าจะสั่นสะเทือนด้วยเสียงพลม้าและล้อเลื่อนและรถรบ เมื่อท่านจะยกเข้าประตูเมืองของเจ้า อย่างกับคนเดินเข้าเมืองเมื่อเมืองนั้นแตกแล้ว
อสค 27.12 ทารชิชไปมาค้าขายกับเจ้าเพราะเจ้ามีทรัพยากรมากมายหลายชนิด เขาเอาเงิน เหล็ก ดีบุก และตะกั่วมาแลกเปลี่ยนกับสินค้าของเจ้า
อสค 27.18 ดามัสกัสไปมาค้าขายกับเจ้าเพราะเจ้ามีสินค้าอุดม เพราะทรัพยากรมากมายหลายชนิดของเจ้า มีเหล้าองุ่นเฮลโบน และขนแกะขาว
อสค 31.9 เราได้กระทำให้มันงามด้วยกิ่งก้านมากมายของมัน ต้นไม้ทั้งสิ้นในสวนเอเดนก็อิจฉามัน คือต้นไม้ซึ่งอยู่ในอุทยานของพระเจ้า
อสค 37.2 พระองค์ทรงพาข้าพเจ้าไปเที่ยวในหมู่กระดูกเหล่านั้น ดูเถิด มีกระดูกที่หว่างเขานั้นมากมายเหลือเกิน และดูเถิด เป็นกระดูกแห้งทีเดียว
อสค 38.13 เชบาและเดดานและบรรดาพ่อค้าแห่งทารชิช และสิงโตหนุ่มทั้งหลายในเมืองนั้นจะกล่าวแก่เจ้าว่า ‘ท่านมาเพื่อจะชิงข้าวของหรือ ท่านชุมนุมกองทัพเพื่อจะปล้น เพื่อจะขนเอาเงินและทองไป ขนเอาสัตว์และข้าวของไป เพื่อจะชิงของมากมายหรือ’
อสค 47.7 ขณะเมื่อข้าพเจ้ากลับ ดูเถิด ข้าพเจ้าเห็นต้นไม้มากมายอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำทั้งสองฟาก
อสค 47.9 ต่อมาแม่น้ำนั้นไปถึงที่ไหน ทุกสิ่งที่มีชีวิตซึ่งแหวกว่ายไปมาก็จะมีชีวิตได้ และที่นั่นมีปลามากมายเพราะว่าน้ำนี้ไปถึงที่นั่นน้ำทะเลก็จืด เพราะฉะนั้นแม่น้ำไปถึงไหน ทุกสิ่งก็มีชีวิต
อสค 47.10 ต่อมาชาวประมงก็จะยืนอยู่ที่ข้างทะเล จากเอนเกดีถึงเอนเอกลาอิม จะเป็นที่สำหรับตากอวน ปลาในที่นั่นจะมีหลายชนิด เหมือนปลาในทะเลใหญ่ คือจะมีมากมาย
ดนล 11.11 แล้วกษัตริย์แห่งถิ่นใต้จะโกรธมาก จะยกออกมาต่อสู้กับท่าน คือกษัตริย์แห่งถิ่นเหนือ ท่านจะจัดกองทัพเป็นอันมาก แต่พลมากมายนั้นก็จะถูกมอบไว้ในมือของท่าน
ดนล 11.13 เพราะว่ากษัตริย์แห่งถิ่นเหนือจะกลับมาและจะจัดกองทัพเป็นอันมากใหญ่โตกว่าครั้งก่อน ต่อมาอีกหลายปีท่านจะยกกองทัพใหญ่มาพร้อมกับทรัพย์สมบัติมากมาย
ดนล 11.28 แล้วกษัตริย์แห่งถิ่นเหนือก็จะกลับเข้าบ้านเข้าเมืองพร้อมกับทรัพย์สมบัติมากมาย แต่จิตใจก็มุ่งร้ายต่อพันธสัญญาบริสุทธิ์ และเขาจะปฏิบัติงานและกลับเข้าบ้านเข้าเมือง
ฮชย 1.10 แต่จำนวนประชาชนอิสราเอลจะมากมายเหมือนเม็ดทรายในทะเล ซึ่งจะตวงหรือนับไม่ถ้วน และต่อมาในสถานที่ซึ่งทรงกล่าวแก่เขาว่า “เจ้าทั้งหลายไม่ใช่ประชาชนของเรา” ก็จะกล่าวแก่เขาว่า “เจ้าทั้งหลายเป็นบุตรชายของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่”
ฮชย 2.8 แต่นางหาทราบไม่ว่าเราเป็นผู้ให้ข้าว น้ำองุ่น และน้ำมัน และได้ให้เงินและทองมากมายแก่นาง ซึ่งเขาใช้สำหรับพระบาอัล
ฮชย 9.9 เขาเสื่อมทรามลึกลงไปในความชั่วอย่างมากมายดังสมัยเมืองกิเบอาห์ พระองค์จึงจะทรงระลึกถึงความชั่วช้าของเขา พระองค์จะทรงลงโทษเพราะบาปของเขา
ยอล 3.13 จงเอาเคียวเกี่ยวเถิด เพราะถึงฤดูเกี่ยวแล้ว เข้าไปซิ ย่ำเลย เพราะบ่อย่ำองุ่นกำลังเต็ม บ่อเก็บน้ำองุ่นล้นแล้ว เพราะว่าความชั่วของเขาทั้งหลายมากมายนัก
อมส 3.9 จงประกาศในปราสาททั้งหลายที่อัชโดด และในปราสาททั้งหลายในแผ่นดินอียิปต์ และกล่าวว่า “จงประชุมกันบนภูเขาแห่งสะมาเรีย และพินิจดูความโกลาหลอันยิ่งใหญ่มากมายและผู้ที่ถูกกดขี่ทั้งหลายท่ามกลางเมืองนั้น”
อมส 5.12 เพราะเรารู้ว่าการละเมิดของเจ้ามีเท่าใด และบาปของเจ้ามากมายสักเท่าใด เจ้าทั้งหลายผู้ข่มใจคนชอบธรรม ผู้รับสินบน และขับไล่คนขัดสนออกไปเสียจากประตูเมือง
อมส 8.3 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า “ในวันนั้น เสียงเพลงในพระวิหารจะเป็นเสียงร่ำไห้ จะมีศพมากมายทุกแห่งทิ้งไว้เงียบๆ”
มคา 2.12 โอ ยาโคบเอ๋ย เราจะรวบรวมเจ้าทั้งหลายเป็นแน่ เราจะรวบรวมคนอิสราเอลที่เหลืออยู่ และจะตั้งเขาไว้ด้วยกันเหมือนฝูงแพะแกะที่อยู่ในเมืองโบสราห์ เหมือนฝูงสัตว์ที่อยู่ในคอก เขาจะทำเสียงดังเพราะเหตุมีคนมากมาย
นฮม 1.12 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “แม้พวกนั้นจะอยู่อย่างสงบและมีจำนวนมากมายด้วย เขาก็จะถูกตัดขาดและสิ้นไปเมื่อเขาผ่านไป แม้ว่าเราให้เจ้าทุกข์ใจบ้าง แต่เราจะไม่ให้เจ้าทุกข์ใจอีกต่อไป
นฮม 2.9 ปล้นเอาเงินซิ ปล้นเอาทองคำ มีทรัพย์สมบัติมากมายไม่รู้สิ้นสุด มีของมีค่าทุกอย่างเป็นทรัพย์มั่งคั่ง
ฮบก 1.9 เขาทั้งหลายจะพากันมาเพื่อความทารุณ หน้าเขาทั้งหลายจะสะสมเหมือนกับลมจากทิศตะวันออก เขาจะรวบรวมเชลยไว้มากมายเหมือนทราย
ศคย 2.4 และบอกท่านว่า “วิ่งซิ บอกชายหนุ่มคนนั้นว่า ‘จะมีคนมาอาศัยอยู่ในเยรูซาเล็มอย่างกับเมืองที่ไม่มีกำแพงล้อม เพราะว่าประชาชนและสัตว์เลี้ยงในนั้นจะมีมากมาย
ศคย 8.20 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า ชนชาติทั้งหลายยังจะมา คือประชาชนที่ยังอาศัยอยู่ในหัวเมืองอันมากมาย
ศคย 9.17 ด้วยว่าความดีของพระองค์มากมายเพียงใด และความงดงามของพระองค์ยิ่งใหญ่แค่ไหน เมล็ดข้าวจะกระทำให้คนหนุ่มรื่นเริง และน้ำองุ่นใหม่จะทำให้หญิงสาวชื่นบาน
ศคย 10.8 เราจะผิวปากเรียกเขาและรวบรวมเขาเข้ามา เพราะเราได้ไถ่เขาไว้แล้ว และเขาจะมีมากมายเหมือนกาลก่อน
ศคย 14.14 แม้ว่ายูดาห์ก็จะต่อสู้กันที่เยรูซาเล็ม ทรัพย์สมบัติของประชาชาติทั้งสิ้นที่อยู่ล้อมรอบจะถูกเก็บ มีทองคำ เงิน และเสื้อผ้ามากมาย
มก 1.45 แต่คนนั้นเมื่อออกไปแล้วก็ตั้งต้นป่าวร้องมากมายให้เลื่องลือไป จนพระเยซูจะเสด็จเข้าไปในเมืองอย่างเปิดเผยต่อไปไม่ได้ แต่ต้องประทับภายนอกในที่เปลี่ยว และมีคนทุกแห่งทุกตำบลมาหาพระองค์
มก 8.1 คราวนั้นเมื่อฝูงชนพากันมามากมายและไม่มีอาหารกิน พระเยซูจึงทรงเรียกเหล่าสาวกของพระองค์มาตรัสแก่เขาว่า
ลก 5.29 เลวีได้จัดให้มีการเลี้ยงใหญ่ในเรือนของตนเพื่อเป็นเกียรติยศแก่พระองค์ มีคนมากมายเป็นคนเก็บภาษีและคนอื่นๆมาเอนกายลงรับประทานด้วยกัน
ลก 9.37 ต่อมาวันรุ่งขึ้นเมื่อพระองค์กับเหล่าสาวกลงมาจากภูเขาแล้ว มีคนมากมายมาพบพระองค์
กจ 9.36 ในเมืองยัฟฟามีหญิงคนหนึ่งเป็นศิษย์ชื่อทาบิธา ซึ่งแปลว่าโดรคัส หญิงคนนี้เคยกระทำการอันเป็นคุณประโยชน์และให้ทานมากมาย
กจ 10.2 เป็นคนมีศรัทธามาก คือท่านและทั้งครอบครัวเป็นคนยำเกรงพระเจ้า ท่านเคยให้ทานมากมายแก่ประชาชน และอธิษฐานต่อพระเจ้าเสมอ
กจ 13.45 แต่เมื่อพวกยิวเห็นคนมากมายก็มีใจอิจฉาอย่างยิ่ง ได้พูดคัดค้านคำของเปาโลถึงโต้แย้งกับพูดคำสบประมาท
กจ 15.2 เหตุฉะนั้นเมื่อเกิดการโต้แย้งและไล่เลียงกันระหว่างเปาโลและบารนาบัสกับคนเหล่านั้นมากมายแล้ว เขาทั้งหลายได้ตั้งเปาโลและบารนาบัสกับคนอื่นๆในพวกนั้นให้ขึ้นไป หารือกับอัครสาวกและผู้ปกครองในกรุงเยรูซาเล็มในเรื่องที่เถียงกันนั้น
กจ 20.37 เขาทั้งหลายจึงร้องไห้มากมาย และกอดคอของเปาโล จุบท่าน
รม 4.17 (ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า ‘เราได้ให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติมากมาย’) ต่อพระพักตร์พระองค์ที่ท่านเชื่อ คือพระเจ้าผู้ทรงให้คนที่ตายแล้วฟื้นชีวิตขึ้นมา และทรงเรียกสิ่งของที่ยังมิได้เป็นให้เป็นขึ้น
รม 4.18 ฝ่ายอับราฮัมนั้นเมื่อไม่มีหวังซึ่งเป็นที่น่าไว้ใจก็ยังได้เชื่อไว้ใจ มีความหวังว่าจะได้เป็นบิดาของประชาชาติมากมาย ตามคำที่ได้ตรัสไว้แล้วว่า ‘เชื้อสายของเจ้าจะเป็นเช่นนั้น’
รม 16.12 ขอฝากความคิดถึงมายังตรีเฟนาและตรีโฟสาผู้ปฏิบัติงานในฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้า ขอฝากความคิดถึงมายังเปอร์ซิสที่รักผู้ได้ปฏิบัติงานมากมายฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้า
1คร 16.19 คริสตจักรทั้งหลายในแคว้นเอเชียฝากความคิดถึงมายังท่านทั้งหลาย อาควิลลาและปริสสิลลากับคริสตจักรที่อยู่ในบ้านของเขา ฝากความคิดถึงมากมายในองค์พระผู้เป็นเจ้ามายังท่านทั้งหลาย
2คร 2.4 เพราะว่าข้าพเจ้าเขียนถึงท่านเพราะข้าพเจ้ามีความทุกข์ระทมใจมาก และน้ำตาไหลมากมาย มิใช่เพื่อจะทำให้ท่านเป็นทุกข์ แต่เพื่อจะให้ท่านรู้จักความรักอย่างมากมายซึ่งข้าพเจ้ามีต่อท่านทั้งหลาย
2คร 8.4 และเขายังได้วิงวอนเรามากมายขอให้เรายอมรับของถวายนั้น และให้เขามีส่วนในการช่วยวิสุทธิชนด้วย
2คร 12.7 และเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวจนเกินไป เนื่องจากที่ได้เห็นการสำแดงมากมายนั้น ก็ทรงให้มีหนามในเนื้อของข้าพเจ้า หนามนั้นเป็นทูตของซาตานคอยทุบตีข้าพเจ้า เพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวเกินไป
กท 3.4 ท่านได้ทนทุกข์มากมายโดยไร้ประโยชน์หรือ ถ้าเป็นการไร้ประโยชน์จริงๆแล้ว
กท 4.27 เพราะมีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘จงชื่นชมยินดีเถิด หญิงหมันผู้ไม่คลอดบุตร จงเปล่งเสียงโห่ร้อง เจ้าผู้ไม่ได้เจ็บครรภ์ ด้วยว่าหญิงที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวก็ยังมีบุตรมากกว่าหญิงที่ยังมีสามีอยู่กับนางมากมายนัก’
ฟป 1.14 และพี่น้องมากมายในองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ได้เกิดความเชื่อมั่นเนื่องด้วยเครื่องพันธนาการทั้งหลายของข้าพเจ้า และพวกเขาก็มีใจกล้าขึ้นที่จะกล่าวพระวจนะนั้นโดยปราศจากความกลัว
1ธส 2.2 แต่ถึงแม้ว่าเราต้องทนการยากลำบากและได้รับการอัปยศต่างๆมาแล้วที่เมืองฟีลิปปี ซึ่งท่านก็ทราบอยู่ เราก็ยังมีใจกล้าในพระเจ้าของเราที่ได้ประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าแก่ท่านทั้งหลาย โดยเผชิญกับอุปสรรคมากมาย
1ธส 3.10 เราอธิษฐานมากมายทั้งกลางวันกลางคืน เพื่อจะได้เห็นหน้าท่านอีก และจะได้เพิ่มเติมความเชื่อของท่านส่วนที่ยังบกพร่องอยู่ให้บริบูรณ์
ฮบ 1.1 ในโบราณกาลพระเจ้าได้ตรัสด้วยวิธีต่างๆมากมายแก่บรรพบุรุษทางพวกศาสดาพยากรณ์
ฮบ 5.7 ฝ่ายพระเยซู ขณะเมื่อพระองค์ดำรงอยู่ในเนื้อหนังนั้น พระองค์ได้ถวายคำอธิษฐาน และทูลวิงวอนด้วยทรงกันแสงมากมายและน้ำพระเนตรไหล ต่อพระเจ้าผู้ทรงสามารถช่วยพระองค์ให้พ้นจากความตายได้ และพระเจ้าได้ทรงสดับเพราะพระองค์นั้นได้ยำเกรง
ฮบ 12.22 แต่ท่านทั้งหลายได้มาถึงภูเขาศิโยน และมาถึงเมืองของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์อยู่ คือกรุงเยรูซาเล็มแห่งสวรรค์ และมาถึงที่ชุมนุมทูตสวรรค์มากมายเหลือที่จะนับได้
ยก 3.1 พี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้า อย่าเป็นอาจารย์กันมากมายหลายคนนักเลย เพราะท่านก็รู้ว่าเราทั้งหลายจะได้รับการพิพากษาที่เข้มงวดกว่าผู้อื่น
วว 5.4 และข้าพเจ้าก็ร่ำไห้มากมาย เพราะไม่มีผู้ใดสมควรจะคลี่หนังสือม้วนนั้นออกและอ่านหนังสือนั้น หรือดูหนังสือนั้นได้
วว 7.9 ต่อจากนั้นมา ข้าพเจ้าก็มองดู และดูเถิด คนมากมาย ถ้ามีผู้ใดจะนับประมาณมิได้เลย มาจากทุกชาติ ทุกตระกูล ประชากร และทุกภาษา คนเหล่านั้นสวมเสื้อสีขาว ถือใบตาลยืนอยู่หน้าพระที่นั่ง และต่อพระพักตร์พระเมษโปดก
วว 20.8 และมันจะออกไปล่อลวงบรรดาประชาชาติทั้งสี่ทิศของแผ่นดินโลก คือโกกและมาโกก ให้คนมาชุมนุมกันทำศึกสงคราม จำนวนคนเหล่านั้นมากมายดุจเม็ดทรายที่ทะเล

มากมายก่ายกอง ( 1 )
โยบ 16.4 ข้าก็พูดอย่างท่านทั้งหลายได้เหมือนกัน ถ้าชีวิตท่านมาแทนที่ชีวิตของข้า ข้าก็สามารถสรรหาถ้อยคำมากมายก่ายกองมาต่อสู้ท่านทั้งหลายได้ และสั่นศีรษะของข้าใส่ท่าน

มากหลาย ( 32 )
2ซมอ 12.27 และโยอาบได้ส่งผู้สื่อสารไปเฝ้าดาวิด ทูลว่า “ข้าพระองค์ได้สู้รบกับกรุงรับบาห์ และข้าพระองค์ตีได้เมืองที่มีแม่น้ำมากหลายนั้นแล้ว
2ซมอ 22.17 พระองค์ทรงเอื้อมมาจากที่สูงทรงจับข้าพเจ้า พระองค์ทรงดึงข้าพเจ้าออกมาจากน้ำมากหลาย
1พกษ 10.11 ยิ่งกว่านั้นอีก กองกำปั่นของฮีรามซึ่งได้นำทองคำมาจากโอฟีร์ ได้นำไม้จันทน์แดงและเพชรพลอยต่างๆจำนวนมากหลายมาจากโอฟีร์
โยบ 24.18 เขารวดเร็วดุจดังน้ำมากหลาย ส่วนแบ่งของเขาถูกสาปในแผ่นดิน เขาไม่หันหน้าไปสู่สวนองุ่นของเขา
โยบ 27.20 ความสยดสยองท่วมเขาเหมือนน้ำมากหลาย ในกลางคืนพายุหอบเขาไป
สดด 18.16 พระองค์ทรงเอื้อมมาจากที่สูงทรงจับข้าพเจ้า พระองค์ทรงดึงข้าพเจ้าออกมาจากน้ำอันมากหลาย
สดด 93.4 พระเยโฮวาห์บนที่สูงนั้นทรงมหิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าเสียงของน้ำมากหลาย ทรงมหิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าคลื่นทะเล
สดด 109.30 ด้วยปากของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระเยโฮวาห์เป็นอย่างมาก ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์ท่ามกลางคนมากหลาย
สดด 144.7 ขอทรงเหยียดพระหัตถ์ของพระองค์จากที่สูง ขอทรงช่วยเหลือข้าพระองค์ และช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากน้ำมากหลาย ให้พ้นจากมือของชนต่างด้าว
สภษ 4.10 โอ บุตรชายของเราเอ๋ย จงฟังและรับถ้อยคำของเรา เพื่อปีเดือนแห่งชีวิตของเจ้าจะมากหลาย
พซม 8.7 น้ำมากหลายไม่อาจดับความรักให้มอดเสียได้ หรืออุทกธารทั้งหลายไม่อาจท่วมความรักให้สำลักตายเสียได้ แม้ว่าคนใดจะเอาทรัพย์สมบัติในเหย้าเรือนของตนทั้งสิ้นมาแลกกับความรักนั้น คนนั้นจะได้รับความหมิ่นประมาทจากคนทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง
อสย 8.7 เพราะฉะนั้นบัดนี้ ดูเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำน้ำแห่งแม่น้ำมาสู้เขาทั้งหลาย ที่มีกำลังและมากหลาย คือกษัตริย์แห่งอัสซีเรียและสง่าราศีทั้งสิ้นของพระองค์ และน้ำนั้นจะไหลล้นห้วยทั้งสิ้นของมัน และท่วมฝั่งทั้งสิ้นของมัน
อสย 23.3 และข้ามน้ำมากหลายรายได้ของเมืองนั้นคือข้าวเมืองชิโหร์ เป็นผลเกี่ยวเก็บของแม่น้ำ เมืองนั้นเป็นพ่อค้าของบรรดาประชาชาติ
ยรม 51.13 โอ เจ้าผู้อาศัยตามน้ำมากหลาย ผู้มีสมบัติมากมายเอ๋ย อวสานของเจ้ามาถึงแล้ว เส้นความโลภของเจ้าได้ถูกตัดขาดเสียแล้ว
อสค 1.24 และเมื่อสิ่งที่มีชีวิตอยู่เหล่านี้ไป ข้าพเจ้าได้ยินเสียงของปีกเหมือนเสียงของน้ำมากหลาย ดังพระสุรเสียงขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เสียงโกลาหล เหมือนเสียงพลโยธา เมื่อสิ่งที่มีชีวิตอยู่เหล่านั้นหยุดนิ่งก็หุบปีกลง
อสค 17.5 แล้วมันก็เอาเมล็ดพืชแห่งแผ่นดินไปปลูกไว้ในที่ดินอุดม มันเอาเมล็ดไว้ข้างน้ำมากหลาย ตั้งไว้อย่างกับกิ่งต้นหลิว
อสค 17.8 นกได้ย้ายมันไปปลูกไว้ในที่ดินดีใกล้น้ำมากหลาย เพื่อให้แตกแขนงและบังเกิดผล และเป็นเถาองุ่นที่มีเกียรติ
อสค 26.19 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เมื่อเราจะกระทำให้เจ้าเป็นเมืองรกร้างเหมือนอย่างเมืองที่ไม่มีคนอาศัย เมื่อเราจะนำทะเลลึกมาท่วมเจ้า และน้ำมากหลายจะคลุมเจ้าไว้
อสค 31.5 ดังนั้นมันจึงสูงเหนือต้นไม้ในป่าทั้งหลาย กิ่งไม้ก็แตกใหญ่และก้านก็ยาว เพราะน้ำมากหลายเมื่อให้งอก
อสค 32.13 เราจะทำลายสัตว์ของเมืองนั้นทั้งสิ้น จากข้างน้ำมากหลายและไม่มีเท้ามนุษย์คนใดกระทำให้น้ำนั้นขุ่นอีก กีบสัตว์ก็จะไม่กระทำให้น้ำนั้นขุ่นอีกเช่นกัน
อสค 35.13 ด้วยปากของเจ้า เจ้าเบ่งตัวเจ้าต่อสู้เรา และว่าเราอีกมากหลาย เราได้ยินแล้ว
อสค 43.2 และ ดูเถิด สง่าราศีของพระเจ้าแห่งอิสราเอลมาจากทิศตะวันออก และพระสุรเสียงของพระองค์ก็เหมือนเสียงน้ำมากหลาย และพิภพก็รุ่งโรจน์ด้วยสง่าราศีของพระองค์
ดนล 8.25 ด้วยความฉลาดของท่าน ท่านจะกระทำให้การล่อลวงแพร่หลายขึ้นด้วยน้ำมือของท่าน ท่านจะพองตัวของท่านในใจของท่านเอง ท่านจะทำลายคนมากหลายโดยความสงบ แล้วจะลุกขึ้นต่อสู้กับจอมเจ้านาย แต่ท่านจะต้องถูกหักทำลาย ไม่ใช่ด้วยมือเลย
มคา 4.11 บัดนี้ ประชาชาติมากหลายได้ชุมนุมต่อสู้เจ้า กล่าวว่า “จงให้มันหมดความศักดิ์สิทธิ์ ให้ตาของเราเพ่งดูศิโยน”
ฮบก 3.15 พระองค์ทรงเหยียบย่ำทะเลด้วยม้าของพระองค์ คือน้ำมากหลายซึ่งเดือดพลุ่ง
มธ 6.7 แต่เมื่อท่านอธิษฐาน อย่าใช้คำซ้ำซากไร้ประโยชน์เหมือนคนต่างชาติ เพราะเขาคิดว่าพูดมากหลายคำ พระจึงจะทรงโปรดฟัง
1ปต 4.8 ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดก็จงรักซึ่งกันและกันให้มาก ด้วยว่าความรักก็ปกปิดความผิดไว้มากหลาย
วว 1.15 พระบาทของพระองค์ดุจทองสัมฤทธิ์เงางาม ราวกับว่าได้ถูกหลอมในเตาไฟ พระสุรเสียงของพระองค์ดุจเสียงน้ำมากหลาย
วว 14.2 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงจากสวรรค์ดุจเสียงน้ำมากหลาย และดุจเสียงฟ้าร้องสนั่น และข้าพเจ้าได้ยินเสียงพวกดีดพิณเขาคู่กำลังบรรเลงอยู่
วว 17.1 ทูตสวรรค์องค์หนึ่งในเจ็ดองค์ที่ถือขันเจ็ดใบนั้นมาหาข้าพเจ้า และพูดว่า “เชิญมาที่นี่เถิด ข้าพเจ้าจะให้ท่านดูการพิพากษาลงโทษหญิงแพศยาคนสำคัญที่นั่งอยู่บนน้ำมากหลาย
วว 17.15 และทูตสวรรค์นั้นบอกข้าพเจ้าว่า “น้ำมากหลายที่ท่านได้เห็นหญิงแพศยานั่งอยู่นั้น ก็คือชนชาติ มวลชน ประชาชาติ และภาษาต่างๆ
วว 19.6 แล้วข้าพเจ้าได้ยินเสียงดุจเสียงฝูงชนเป็นอันมาก ดุจเสียงน้ำมากหลาย และดุจเสียงฟ้าร้องสนั่นว่า “อาเลลูยา เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้า ผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ทรงครอบครองอยู่

มากอร์มิสสะบิบ ( 1 )
ยรม 20.3 ต่อมาพอรุ่งขึ้นเมื่อปาชเฮอร์ปลดเยเรมีย์ออกจากคา เยเรมีย์พูดกับท่านว่า “พระเยโฮวาห์มิได้ทรงเรียกชื่อของท่านว่า ปาชเฮอร์ แต่ทรงเรียกว่า มากอร์มิสสะบิบ

มาโกก ( 5 )
ปฐก 10.2 บุตรชายทั้งหลายของยาเฟทชื่อโกเมอร์ มาโกก มีเดีย ยาวาน ทูบัล เมเชค และทิราส
1พศด 1.5 บุตรชายทั้งหลายของยาเฟท ชื่อ โกเมอร์ มาโกก มีเดีย ยาวาน ทูบัล เมเชค และทิราส
อสค 38.2 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงมุ่งหน้าของเจ้าต่อสู้โกกแห่งแผ่นดินมาโกก เจ้าองค์สำคัญของเมเชคและทูบัล และจงพยากรณ์กล่าวโทษเขา
อสค 39.6 เราจะส่งเพลิงมาเหนือมาโกก และท่ามกลางผู้ที่อาศัยอยู่อย่างไร้กังวลตามเกาะต่างๆ และเขาทั้งหลายจะทราบว่าเราคือพระเยโฮวาห์
วว 20.8 และมันจะออกไปล่อลวงบรรดาประชาชาติทั้งสี่ทิศของแผ่นดินโลก คือโกกและมาโกก ให้คนมาชุมนุมกันทำศึกสงคราม จำนวนคนเหล่านั้นมากมายดุจเม็ดทรายที่ทะเล

มาคาส ( 1 )
1พกษ 4.9 เบนเดเคอร์ ประจำในมาคาสและในชาอัลบิม เบธเชเมช และเอโลนเบธฮานัน

มาคี ( 1 )
กดว 13.15 เกอูเอลบุตรชายมาคีเป็นตระกูลกาด

มาคีร์ ( 20 )
ปฐก 50.23 โยเซฟได้เห็นลูกหลานเหลนของเอฟราอิม บุตรของมาคีร์ผู้เป็นบุตรชายของมนัสเสห์ก็เกิดมาบนเข่าของโยเซฟ
กดว 26.29 บุตรชายของมนัสเสห์ คือมาคีร์ คนครอบครัวมาคีร์ มาคีร์ให้กำเนิดบุตรชื่อกิเลอาด กิเลอาด คนครอบครัวกิเลอาด
กดว 27.1 ครั้งนั้นบุตรสาวทั้งหลายของเศโลเฟหัดบุตรชายของเฮเฟอร์ ผู้เป็นบุตรชายของกิเลอาด ผู้เป็นบุตรชายของมาคีร์ ผู้เป็นบุตรชายของมนัสเสห์ จากครอบครัวต่างๆของมนัสเสห์บุตรชายของโยเซฟเข้ามาใกล้ ชื่อบุตรสาวทั้งหลายของเขาคือ มาลาห์ โนอาห์ โฮกลาห์ มิลคาห์ และทีรซาห์
กดว 32.40 และโมเสสยกกิเลอาดให้แก่มาคีร์บุตรชายมนัสเสห์และเขาก็เข้าตั้งอยู่ในเมืองนั้น
กดว 36.1 หัวหน้าครอบครัวคนกิเลอาด บุตรชายของมาคีร์ ผู้เป็นบุตรชายของมนัสเสห์ ครอบครัวต่างๆของบุตรชายโยเซฟ เข้ามาใกล้และพูดต่อหน้าโมเสสและต่อหน้าประมุข คือบรรดาหัวหน้าคนอิสราเอล
พบญ 3.15 เมืองกิเลอาดนั้นเราให้แก่มาคีร์
ยชว 17.1 ที่ดินตามสลากเป็นอย่างนี้ที่ตกแก่ตระกูลมนัสเสห์ เพราะเป็นบุตรหัวปีของโยเซฟ ส่วนมาคีร์บุตรหัวปีของมนัสเสห์ บิดาของกิเลอาด ได้รับเมืองกิเลอาดและเมืองบาชานเป็นส่วนแบ่ง เพราะว่าเขาเป็นทหาร
ยชว 17.3 ฝ่ายเศโลเฟหัดบุตรชายของเฮเฟอร์ บุตรชายของกิเลอาด บุตรชายของมาคีร์ บุตรชายของมนัสเสห์ไม่มีบุตรผู้ชาย มีแต่บุตรสาว และต่อไปนี้เป็นชื่อบุตรสาวของเขาคือ มาลาห์ โนอาห์ ฮกลาห์ มิลคาห์ และทีรซาห์
วนฉ 5.14 ผู้ที่มีรากอยู่ในอามาเลขได้ลงมาจากเอฟราอิม เขาเดินตามท่านนะ เบนยามินท่ามกลางประชาชนของท่าน ผู้บังคับบัญชาเดินลงมาจากมาคีร์และผู้บันทึกรายงานของจอมพลออกมาจากเศบูลุน
2ซมอ 9.4 กษัตริย์ตรัสถามเขาว่า “เขาอยู่ที่ไหน” ศิบาจึงกราบทูลกษัตริย์ว่า “ดูเถิด เขาอยู่ในเรือนของมาคีร์บุตรอัมมีเอลในเมืองโลเดบาร์ พ่ะย่ะค่ะ”
2ซมอ 9.5 แล้วกษัตริย์ดาวิดรับสั่งให้คนไปนำเขามาจากเรือนของมาคีร์บุตรชายอัมมีเอลที่โลเดบาร์
2ซมอ 17.27 อยู่มาเมื่อดาวิดเสด็จมาถึงมาหะนาอิม โชบีบุตรชายนาหาชชาวเมืองรับบาห์แห่งคนอัมโมน และมาคีร์บุตรชายอัมมีเอลชาวโลเดบาร์ และบารซิลลัยชาวกิเลอาดจากเมืองโรเกลิม
1พศด 2.21 ภายหลังเฮสโรนได้เข้าหาบุตรสาวของมาคีร์บิดาของกิเลอาด และได้แต่งงานด้วยเมื่อท่านมีอายุหกสิบปี และนางได้กำเนิดบุตรให้ท่านชื่อ เสกุบ
1พศด 2.23 แต่จากหัวเมืองเหล่านั้น เขาได้ยึดเกชูร์กับอารัม พร้อมกับหัวเมืองต่างๆของยาอีร์ และหัวเมืองเคนาท กับบรรดาชนบทของหัวเมืองหกสิบชนบทด้วยกัน ทั้งสิ้นเหล่านี้เป็นของลูกหลานมาคีร์บิดาของกิเลอาด
1พศด 7.14 บุตรชายของมนัสเสห์คือ อัสรีเอล ซึ่งนางกำเนิดให้ท่าน (แต่ภรรยาน้อยของท่านคือชาวอารัมกำเนิดมาคีร์บิดาของกิเลอาด
1พศด 7.15 มาคีร์ก็รับพี่สาวของหุปปิมและชุปปิมมาเป็นภรรยา พี่สาวของเขาชื่อมาอาคาห์) และคนที่สองชื่อเศโลเฟหัด และเศโลเฟหัดมีบุตรสาว
1พศด 7.16 และมาอาคาห์ภรรยาของมาคีร์คลอดบุตรชายคนหนึ่ง นางเรียกชื่อเขาว่า เปเรช และน้องชายของเขาชื่อเชเรช และบุตรชายของเขาชื่อ อุลาม และราเคม
1พศด 7.17 บุตรชายของอุลามคือเบดาน เหล่านี้เป็นบุตรชายกิเลอาด ผู้เป็นบุตรชายมาคีร์ ผู้เป็นบุตรชายมนัสเสห์

มาชาล ( 1 )
1พศด 6.74 จากตระกูลอาเชอร์ คือ เมืองมาชาลพร้อมกับทุ่งหญ้า เมืองอับโดนพร้อมกับทุ่งหญ้า

มาซิโดเนีย ( 25 )
กจ 16.9 ในเวลากลางคืนเปาโลได้นิมิตเห็นผู้ชายชาวมาซิโดเนียคนหนึ่งยืนอ้อนวอนว่า “ขอโปรดมาช่วยพวกข้าพเจ้าในแคว้นมาซิโดเนียเถิด”
กจ 16.10 ครั้นท่านเห็นนิมิตนั้นแล้ว เราจึงหาโอกาสทันทีที่จะไปยังแคว้นมาซิโดเนีย ด้วยเห็นแน่ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงเรียกเราให้ไปประกาศข่าวประเสริฐแก่ชาวแคว้นนั้น
กจ 16.12 เมื่อออกจากที่นั่นแล้ว ก็ได้ไปยังเมืองฟีลิปปีซึ่งเป็นเมืองเอกในเขตแคว้นมาซิโดเนีย และเป็นเมืองขึ้น เราจึงพักอยู่ในเมืองนั้นหลายวัน
กจ 18.5 พอสิลาสกับทิโมธีมาจากแคว้นมาซิโดเนีย เปาโลก็ได้รับการดลใจ และเป็นพยานแก่พวกยิวว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์
กจ 19.21 ครั้นสิ้นเหตุการณ์เหล่านี้แล้วเปาโลได้ตั้งใจว่า เมื่อไปทั่วแคว้นมาซิโดเนียกับแคว้นอาคายาแล้วจะเลยไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และพูดว่า “เมื่อข้าพเจ้าไปที่นั่นแล้ว ข้าพเจ้าจะต้องไปเห็นกรุงโรมด้วย”
กจ 19.22 ท่านจึงใช้ผู้ช่วยของท่านสองคน คือทิโมธีกับเอรัสทัสไปยังแคว้นมาซิโดเนีย ฝ่ายท่านก็พักอยู่หน่อยหนึ่งในแคว้นเอเชีย
กจ 20.1 ครั้นการวุ่นวายนั้นสงบแล้ว เปาโลจึงให้ไปตามพวกสาวกมา กอดกันแล้วก็ลาเขาไปยังแคว้นมาซิโดเนีย
กจ 20.3 พักอยู่ที่นั่นสามเดือน และเมื่อท่านจวนจะลงเรือไปยังแคว้นซีเรีย พวกยิวก็คิดร้ายต่อท่าน ท่านจึงตั้งใจกลับไปทางแคว้นมาซิโดเนีย
รม 15.26 เพราะว่าพวกศิษย์ในแคว้นมาซิโดเนียและแคว้นอาคายาเห็นชอบที่จะถวายทรัพย์ ส่งไปให้แก่วิสุทธิชนที่ยากจนในกรุงเยรูซาเล็ม
1คร 16.5 เพราะเมื่อข้าพเจ้าข้ามแคว้นมาซิโดเนียแล้วข้าพเจ้าจะมาหาท่าน เพราะข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไปทางมาซิโดเนีย
2คร 1.16 ข้าพเจ้าใคร่จะแวะเยี่ยมพวกท่านระหว่างที่เดินทางไปยังแคว้นมาซิโดเนีย และเมื่อข้าพเจ้ากลับจากแคว้นมาซิโดเนีย ก็จะแวะเยี่ยมท่านอีก ท่านก็จะได้ส่งให้ข้าพเจ้าออกเดินทางไปยังแคว้นยูเดีย
2คร 2.13 ข้าพเจ้ายังไม่มีความสบายใจเลย เพราะข้าพเจ้าไม่ได้พบทิตัสน้องของข้าพเจ้าที่นั่น ข้าพเจ้าจึงลาพวกนั้นเดินทางไปยังแคว้นมาซิโดเนีย
2คร 7.5 เพราะแม้ว่าเมื่อเรามาถึงแคว้นมาซิโดเนียแล้ว เนื้อหนังของเราไม่ได้พักผ่อนเลย เรามีความลำบากอยู่รอบข้าง ภายนอกมีการต่อสู้ ภายในมีความกลัว
2คร 8.1 ยิ่งกว่านี้ พี่น้องทั้งหลาย เราใคร่ให้ท่านทราบถึงพระคุณของพระเจ้า โดยที่พระองค์ได้ทรงโปรดประทานแก่คริสตจักรต่างๆในแคว้นมาซิโดเนีย
2คร 9.2 เพราะข้าพเจ้ารู้ว่าใจของท่านพร้อมอยู่แล้ว ข้าพเจ้าจึงพูดอวดเรื่องพวกท่านกับพวกมาซิโดเนียว่า พวกอาคายาได้จัดเตรียมไว้พร้อมแล้วตั้งแต่ปีกลาย และความกระตือรือร้นของพวกท่านก็เร้าใจคนเป็นอันมาก
2คร 11.9 และเมื่อข้าพเจ้าอยู่กับพวกท่านและกำลังขาดแคลนนั้น ข้าพเจ้าก็มิได้เป็นภาระแก่ผู้ใด เพราะว่า พี่น้องที่มาจากแคว้นมาซิโดเนียได้เจือจานให้พอแก่ความต้องการของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าระวังตัวไม่ให้เป็นภาระแก่พวกท่านในทางหนึ่งทางใดทุกประการ และข้าพเจ้าจะระวังตัวเช่นนั้นต่อไป
2คร 13.14 ขอให้พระคุณของพระเยซูคริสต์เจ้า ความรักแห่งพระเจ้า และความสนิทสนมซึ่งมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ จงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด เอเมน [จดหมายฉบับที่สองถึงชาวโครินธ์ ได้เขียนจากเมืองฟีลิปปี แคว้นมาซิโดเนีย และส่งโดยทิตัสและลูกา]
ฟป 4.15 และพวกท่านชาวฟีลิปปีก็ทราบอยู่แล้วว่า การประกาศข่าวประเสริฐในเวลาเริ่มแรกนั้น เมื่อข้าพเจ้าออกไปจากแคว้นมาซิโดเนีย ไม่มีคริสตจักรใดมีส่วนร่วมกับข้าพเจ้าในการให้ทานและรับทานนั้นเลย นอกจากพวกท่านพวกเดียวเท่านั้น
1ธส 1.7 เพราะเหตุนั้นท่านจึงเป็นแบบอย่างแก่ทุกคนที่เชื่อแล้วในแคว้นมาซิโดเนียและแคว้นอาคายา
1ธส 1.8 เพราะว่าพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้เลื่องลือออกไปจากพวกท่าน ไม่ใช่แต่ในแคว้นมาซิโดเนียและแคว้นอาคายาเท่านั้น แต่ความเชื่อของท่านในพระเจ้าได้เลื่องลือไปทุกแห่งหน จนเราไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก
1ธส 4.10 ความจริงท่านได้ประพฤติต่อบรรดาพี่น้องทั่วแคว้นมาซิโดเนียเช่นนั้นอยู่ แต่พี่น้องทั้งหลาย เราขอวิงวอนท่านให้มีความรักทวีขึ้นอีก
1ทธ 1.3 เมื่อข้าพเจ้าได้ไปยังแคว้นมาซิโดเนีย ตามที่ข้าพเจ้าได้ขอร้องให้ท่านคอยอยู่ในเมืองเอเฟซัส เพื่อท่านจะได้กำชับบางคนไม่ให้เขาสอนคำสอนอื่นๆ
ทต 3.15 คนทั้งหลายที่อยู่กับข้าพเจ้าฝากความคิดถึงมายังท่าน ขอฝากความคิดถึงมายังคนทั้งปวงที่รักเราในความเชื่อ ขอพระคุณดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด เอเมน [เขียนถึงทิตัส ผู้ได้รับการเจิมให้เป็นศิษยาภิบาลคนแรกแห่งคริสตจักรชาวครีต จากเมืองนิโคบุรี แคว้นมาซิโดเนีย]

มาดร้าย ( 1 )
1ปต 2.23 เมื่อเขากล่าวคำหยาบคายต่อพระองค์ พระองค์ไม่ได้ทรงกล่าวตอบเขาด้วยคำหยาบคายเลย เมื่อพระองค์ทรงทนทุกข์ พระองค์ไม่ได้ทรงมาดร้าย แต่ทรงมอบเรื่องของพระองค์ไว้แก่พระเจ้าผู้ทรงพิพากษาอย่างชอบธรรม

มาโดน ( 2 )
ยชว 11.1 ต่อมาเมื่อยาบินกษัตริย์เมืองฮาโซร์ได้ยินข่าวนี้ จึงใช้คนไปหาโยบับกษัตริย์เมืองมาโดนและไปหากษัตริย์เมืองชิมโรน และกษัตริย์เมืองอัคชาฟ
ยชว 12.19 กษัตริย์เมืองมาโดนองค์หนึ่ง กษัตริย์เมืองฮาโซร์องค์หนึ่ง

มาตรฐาน ( 1 )
อสค 45.11 เอฟาห์และบัทนั้นให้เป็นขนาดเดียวกัน บัทหนึ่งจุหนึ่งในสิบของโฮเมอร์ และเอฟาห์ก็จุหนึ่งในสิบของโฮเมอร์ ให้โฮเมอร์เป็นเครื่องวัดมาตรฐาน

มาตรวัด ( 2 )
วว 21.17 ท่านวัดกำแพงเมืองนั้น ได้เจ็ดสิบสองเมตร ตามมาตรวัดของมนุษย์ ซึ่งคือมาตรวัดของทูตสวรรค์องค์นั้น

มาถึง ( 617 )
ปฐก 6.13; ปฐก 11.31; ปฐก 12.8; ปฐก 14.7; ปฐก 15.1; ปฐก 15.4; ปฐก 18.21; ปฐก 19.1; ปฐก 19.19; ปฐก 22.9; ปฐก 24.41; ปฐก 24.42; ปฐก 25.24; ปฐก 27.33; ปฐก 28.11; ปฐก 29.1; ปฐก 29.9; ปฐก 30.30; ปฐก 33.18; ปฐก 35.6; ปฐก 37.23; ปฐก 37.29; ปฐก 41.35; ปฐก 42.22; ปฐก 46.1; ปฐก 46.28; ปฐก 50.10; อพย 3.1; อพย 3.9; อพย 13.5; อพย 15.13; อพย 15.23; อพย 15.27; อพย 16.1; อพย 16.35; อพย 19.1; อพย 19.2; อพย 19.4; อพย 19.24; อพย 22.8; อพย 36.4; ลนต 2.8; ลนต 5.18; ลนต 23.10; กดว 13.23; กดว 13.26; กดว 14.30; กดว 15.18; กดว 20.22; กดว 21.18; กดว 21.23; กดว 22.7; กดว 22.16; กดว 23.14; กดว 27.7; กดว 32.19; กดว 33.9; กดว 34.11; กดว 34.12; พบญ 1.19; พบญ 1.20; พบญ 1.24; พบญ 1.31; พบญ 3.16; พบญ 4.30; พบญ 6.10; พบญ 9.7; พบญ 10.6; พบญ 10.7; พบญ 11.5; พบญ 15.9; พบญ 17.14; พบญ 29.7; พบญ 29.27; พบญ 30.1; พบญ 31.17; พบญ 31.21; พบญ 33.21; ยชว 3.1; ยชว 3.15; ยชว 7.25; ยชว 10.29; ยชว 15.9; ยชว 19.11; ยชว 22.10; ยชว 22.15; ยชว 23.15; ยชว 24.6; วนฉ 1.16; วนฉ 3.27; วนฉ 4.22; วนฉ 5.19; วนฉ 7.13; วนฉ 7.19; วนฉ 9.52; วนฉ 11.16; วนฉ 13.11; วนฉ 14.5; วนฉ 14.9; วนฉ 15.14; วนฉ 17.8; วนฉ 18.2; วนฉ 18.8; วนฉ 18.13; วนฉ 18.27; วนฉ 20.4; วนฉ 20.10; นรธ 1.19; นรธ 3.16; 1ซมอ 2.31; 1ซมอ 4.1; 1ซมอ 4.12; 1ซมอ 4.13; 1ซมอ 5.10; 1ซมอ 9.5; 1ซมอ 9.13; 1ซมอ 9.15; 1ซมอ 9.16; 1ซมอ 10.5; 1ซมอ 10.10; 1ซมอ 11.4; 1ซมอ 13.10; 1ซมอ 17.20; 1ซมอ 19.22; 1ซมอ 20.37; 1ซมอ 25.8; 1ซมอ 25.9; 1ซมอ 25.40; 1ซมอ 30.1; 1ซมอ 30.9; 1ซมอ 30.26; 2ซมอ 1.2; 2ซมอ 2.24; 2ซมอ 2.29; 2ซมอ 3.23; 2ซมอ 3.27; 2ซมอ 4.5; 2ซมอ 6.6; 2ซมอ 6.9; 2ซมอ 7.4; 2ซมอ 7.19; 2ซมอ 10.17; 2ซมอ 13.36; 2ซมอ 15.14; 2ซมอ 15.20; 2ซมอ 15.32; 2ซมอ 16.15; 2ซมอ 17.20; 2ซมอ 17.27; 2ซมอ 18.31; 2ซมอ 20.8; 2ซมอ 20.15; 2ซมอ 22.7; 2ซมอ 24.6; 2ซมอ 24.7; 1พกษ 1.38; 1พกษ 1.42; 1พกษ 6.11; 1พกษ 10.2; 1พกษ 11.18; 1พกษ 14.4; 1พกษ 14.6; 1พกษ 14.17; 1พกษ 16.1; 1พกษ 16.7; 1พกษ 17.10; 1พกษ 18.1; 1พกษ 18.31; 1พกษ 19.3; 1พกษ 19.9; 1พกษ 19.13; 1พกษ 21.17; 2พกษ 3.24; 2พกษ 4.25; 2พกษ 4.36; 2พกษ 4.38; 2พกษ 5.6; 2พกษ 5.24; 2พกษ 6.4; 2พกษ 6.32; 2พกษ 7.5; 2พกษ 7.8; 2พกษ 9.5; 2พกษ 9.19; 2พกษ 9.30; 2พกษ 10.2; 2พกษ 10.7; 2พกษ 10.17; 2พกษ 14.7; 2พกษ 16.11; 2พกษ 19.5; 2พกษ 20.4; 2พกษ 21.12; 2พกษ 23.34; 2พกษ 24.20; 2พกษ 25.20; 1พศด 13.9; 1พศด 15.29; 1พศด 17.3; 1พศด 17.17; 2พศด 7.22; 2พศด 8.11; 2พศด 9.1; 2พศด 12.7; 2พศด 14.9; 2พศด 19.2; 2พศด 19.10; 2พศด 21.12; 2พศด 22.1; อสร 2.68; อสร 3.1; อสร 3.8; อสร 7.8; อสร 8.32; อสร 10.6; นหม 6.17; อสธ 4.14; อสธ 6.14; อสธ 8.6; อสธ 8.17; โยบ 4.5; โยบ 4.12; โยบ 5.21; โยบ 6.20; โยบ 14.14; โยบ 20.23; โยบ 22.21; โยบ 23.3; โยบ 23.17; โยบ 29.13; โยบ 30.26; โยบ 34.28; โยบ 36.33; สดด 7.9; สดด 32.6; สดด 35.8; สดด 43.3; สดด 61.2; สดด 69.1; สดด 78.4; สดด 102.1; สดด 102.13; สดด 107.7; สดด 119.41; สดด 144.15; สภษ 1.27; สภษ 3.25; สภษ 6.15; สภษ 10.24; สภษ 11.2; สภษ 11.27; สภษ 13.3; สภษ 13.18; สภษ 18.3; สภษ 18.16; สภษ 19.3; สภษ 20.13; สภษ 22.16; สภษ 23.21; สภษ 28.7; สภษ 28.22; ปญจ 1.16; ปญจ 9.11; ปญจ 9.12; ปญจ 12.1; พซม 2.12; อสย 1.23; อสย 10.28; อสย 14.11; อสย 20.1; อสย 21.12; อสย 28.15; อสย 29.24; อสย 30.8; อสย 32.10; อสย 37.5; อสย 38.4; อสย 38.10; อสย 38.12; อสย 38.13; อสย 45.11; อสย 47.9; อสย 47.11; อสย 51.19; อสย 55.1; อสย 63.4; อสย 66.4; อสย 66.7; อสย 66.9; อสย 66.12; ยรม 1.2; ยรม 1.4; ยรม 2.3; ยรม 3.14; ยรม 4.10; ยรม 4.18; ยรม 5.31; ยรม 6.20; ยรม 7.32; ยรม 9.25; ยรม 10.18; ยรม 10.22; ยรม 10.24; ยรม 11.19; ยรม 13.3; ยรม 14.1; ยรม 14.15; ยรม 16.14; ยรม 17.6; ยรม 17.8; ยรม 19.3; ยรม 19.6; ยรม 23.5; ยรม 23.7; ยรม 24.4; ยรม 25.1; ยรม 25.34; ยรม 27.7; ยรม 30.3; ยรม 31.27; ยรม 31.31; ยรม 31.38; ยรม 32.23; ยรม 32.24; ยรม 33.14; ยรม 33.20; ยรม 33.23; ยรม 35.12; ยรม 43.7; ยรม 43.11; ยรม 46.28; ยรม 47.4; ยรม 48.12; ยรม 49.2; ยรม 49.37; ยรม 50.27; ยรม 50.31; ยรม 51.13; ยรม 51.33; ยรม 51.47; ยรม 51.52; ยรม 51.60; ยรม 51.61; พคค 1.21; พคค 3.47; พคค 4.18; พคค 4.21; อสค 3.15; อสค 3.16; อสค 6.1; อสค 7.1; อสค 7.2; อสค 7.3; อสค 7.5; อสค 7.6; อสค 7.7; อสค 7.10; อสค 7.12; อสค 7.25; อสค 7.26; อสค 8.3; อสค 8.7; อสค 8.14; อสค 12.1; อสค 12.8; อสค 12.17; อสค 12.21; อสค 13.1; อสค 14.2; อสค 14.12; อสค 15.1; อสค 21.7; อสค 21.25; อสค 21.27; อสค 21.29; อสค 22.3; อสค 22.4; อสค 24.24; อสค 30.9; อสค 32.12; อสค 33.22; อสค 40.2; อสค 41.1; อสค 42.1; อสค 43.14; ดนล 4.24; ดนล 5.26; ดนล 7.22; ดนล 9.2; ดนล 9.26; ดนล 12.12; ฮชย 1.1; ฮชย 4.14; ฮชย 9.7; ฮชย 13.13; ยอล 1.1; ยอล 2.31; อมส 4.2; อมส 8.2; อมส 8.11; อมส 9.13; ยนา 1.1; ยนา 2.7; ยนา 3.1; มคา 1.1; มคา 1.9; มคา 7.4; ฮบก 2.16; ฮบก 3.16; ศฟย 1.1; ฮกก 1.2; ฮกก 1.3; ฮกก 2.16; ฮกก 2.20; ศคย 7.8; มลค 2.2; มลค 4.1; มลค 4.5; มธ 3.7; มธ 5.23; มธ 9.15; มธ 10.11; มธ 12.28; มธ 12.44; มธ 13.54; มธ 14.6; มธ 14.34; มธ 15.39; มธ 17.14; มธ 17.24; มธ 24.6; มธ 24.14; มธ 25.10; มธ 26.29; มธ 27.33; มก 1.15; มก 2.20; มก 5.15; มก 8.10; มก 11.7; มก 11.13; มก 11.15; มก 12.14; มก 12.28; มก 13.7; มก 13.33; มก 14.25; มก 14.41; มก 14.45; มก 15.22; มก 16.2; ลก 1.27; ลก 1.28; ลก 1.45; ลก 2.10; ลก 3.2; ลก 3.7; ลก 4.16; ลก 5.11; ลก 5.35; ลก 7.4; ลก 7.20; ลก 8.35; ลก 10.32; ลก 10.33; ลก 10.34; ลก 11.20; ลก 11.25; ลก 13.35; ลก 15.6; ลก 16.26; ลก 16.28; ลก 17.20; ลก 17.22; ลก 19.5; ลก 19.9; ลก 19.35; ลก 19.43; ลก 21.34; ลก 22.40; ลก 22.45; ลก 23.33; ลก 24.1; ยน 2.4; ยน 3.20; ยน 4.27; ยน 4.40; ยน 6.44; ยน 6.45; ยน 6.65; ยน 11.17; ยน 11.32; ยน 11.38; ยน 12.1; ยน 12.12; ยน 12.27; ยน 13.6; ยน 14.6; ยน 19.33; ยน 20.1; ยน 20.4; ยน 20.6; ยน 20.8; กจ 2.1; กจ 8.36; กจ 8.40; กจ 10.32; กจ 11.23; กจ 12.10; กจ 12.12; กจ 13.5; กจ 13.26; กจ 14.27; กจ 15.4; กจ 16.19; กจ 16.20; กจ 17.20; กจ 18.22; กจ 20.6; กจ 20.15; กจ 20.18; กจ 20.19; กจ 21.1; กจ 21.8; กจ 21.11; กจ 21.17; กจ 21.35; กจ 23.15; กจ 25.17; กจ 26.18; กจ 27.5; กจ 27.7; กจ 27.41; กจ 28.13; กจ 28.16; รม 5.18; รม 11.11; 1คร 7.1; 1คร 13.10; 1คร 14.36; 1คร 14.37; 1คร 16.3; 1คร 16.11; 2คร 2.3; 2คร 3.15; 2คร 4.15; 2คร 7.5; 2คร 10.14; 2คร 12.20; กท 1.20; กท 2.11; กท 2.12; กท 3.14; กท 3.19; กท 3.24; อฟ 1.21; คส 1.6; 1ธส 1.5; 1ธส 3.6; 1ธส 5.3; 1ธส 5.4; 2ธส 2.2; 2ธส 2.3; 1ทธ 2.4; ฟม 1.21; ฮบ 8.8; ฮบ 9.11; ฮบ 12.18; ฮบ 12.22; ฮบ 12.23; ฮบ 12.24; ฮบ 13.22; ฮบ 13.23; 1ปต 2.4; 1ปต 5.12; 2ปต 1.17; 2ปต 2.1; 2ปต 3.10; 2ปต 3.12; 1ยน 5.13; 2ยน 1.12; วว 6.17; วว 11.14; วว 11.18; วว 12.10

ม่าน ( 93 )
อพย 26.1 “นอกจากนั้น เจ้าจงทำพลับพลาด้วยม่านสิบผืน ทำด้วยผ้าป่านเนื้อละเอียด และผ้าทอด้วยด้ายย้อมสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม กับให้มีภาพเครูบฝีมือช่างออกแบบไว้
อพย 26.2 ม่านผืนหนึ่งให้ยาวยี่สิบแปดศอก กว้างสี่ศอก ม่านทุกผืนให้เท่ากัน
อพย 26.3 ม่านห้าผืนให้เกี่ยวติดกัน และอีกห้าผืนนั้นก็ให้เกี่ยวติดกันด้วย
อพย 26.4 จงทำหูม่านด้วยด้ายสีฟ้าติดไว้ตามขอบม่านด้านนอกสุดชุดที่หนึ่ง และตามขอบม่านด้านนอกสุดชุดที่สอง จงติดหูไว้เหมือนกัน
อพย 26.5 ม่านผืนหนึ่งให้ทำหูห้าสิบหู และตามขอบม่านชุดที่สอง ให้ทำหูห้าสิบหูให้ตรงกัน
อพย 26.6 จงทำขอทองคำห้าสิบขอสำหรับใช้เกี่ยวม่าน เพื่อให้เป็นพลับพลาเดียวกัน
อพย 26.7 จงทำม่านด้วยขนแพะ สำหรับเป็นเต็นท์คลุมพลับพลาชั้นนอกอีกสิบเอ็ดผืน
อพย 26.8 ม่านผืนหนึ่งให้ทำยาวสามสิบศอก กว้างสี่ศอก ทั้งสิบเอ็ดผืนให้เท่ากัน
อพย 26.9 ม่านห้าผืนให้เกี่ยวติดกันต่างหากและม่านอีกหกผืนให้เกี่ยวติดกันต่างหากเช่นกัน และม่านผืนที่หกนั้นจงให้ห้อยซ้อนลงมาข้างหน้าพลับพลา
อพย 26.10 ทำหูห้าสิบหูติดกับขอบม่านด้านนอกสุดชุดที่หนึ่ง และหูห้าสิบหูติดกับขอบม่านด้านนอกสุดชุดที่สอง
อพย 26.12 ม่านเต็นท์ส่วนที่เกินอยู่ คือชายม่านครึ่งหนึ่งที่เหลืออยู่นั้น จงให้ห้อยลงมาด้านหลังพลับพลา
อพย 26.13 ส่วนม่านคลุมพลับพลา ซึ่งยาวเกินไปข้างละหนึ่งศอกนั้น ให้ห้อยลงมาข้างๆพลับพลาทั้งข้างนี้และข้างโน้น สำหรับใช้กำบัง
อพย 26.31 จงทำม่านผืนหนึ่ง ทอด้วยด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และด้วยผ้าป่านเนื้อละเอียด ให้มีภาพเครูบฝีมือช่างออกแบบไว้
อพย 26.32 ม่านนั้นให้แขวนไว้ด้วยขอทองคำที่เสาไม้กระถินเทศสี่เสาที่หุ้มด้วยทองคำ และซึ่งตั้งอยู่บนฐานเงินสี่อัน
อพย 26.33 ม่านนั้นให้เขาแขวนไว้กับขอสำหรับเกี่ยวม่าน แล้วเอาหีบพระโอวาทเข้ามาไว้ข้างในภายในม่าน และม่านนั้นจะเป็นที่แบ่งพลับพลาระหว่างที่บริสุทธิ์กับที่บริสุทธิ์ที่สุด
อพย 26.35 จงตั้งโต๊ะไว้ข้างนอกม่าน และจงตั้งคันประทีปไว้ด้านใต้ในพลับพลาตรงข้ามกับโต๊ะ เจ้าจงตั้งโต๊ะไว้ทางด้านเหนือ
อพย 27.21 ในพลับพลาแห่งชุมนุมข้างนอกม่านซึ่งอยู่หน้าหีบพระโอวาท ให้อาโรนและบุตรชายของอาโรน ดูแลประทีปนั้นอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ตั้งแต่เวลาพลบค่ำจนถึงรุ่งเช้า ให้เป็นกฎเกณฑ์เนืองนิตย์ที่ชนชาติอิสราเอลต้องปฏิบัติตามชั่วอายุของเขา”
อพย 30.6 จงตั้งแท่นนั้นไว้ข้างนอกม่านซึ่งอยู่ใกล้หีบพระโอวาท ข้างหน้าพระที่นั่งกรุณาซึ่งอยู่เหนือหีบพระโอวาท ที่ที่เราจะพบกับเจ้า
อพย 35.12 หีบและไม้คานหามหีบ พระที่นั่งกรุณากับม่านบังตา
อพย 35.15 แท่นเผาเครื่องหอมกับไม้คานหามแท่นนั้น น้ำมันเจิม และเครื่องหอมสำหรับเผาถวาย และม่านบังตาสำหรับประตูที่ประตูพลับพลา
อพย 36.8 บรรดาช่างผู้เฉลียวฉลาดได้ทำพลับพลาด้วยม่านสิบผืน ด้วยผ้าป่านเนื้อละเอียด ด้วยด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม มีรูปเครูบฝีมือช่างออกแบบไว้
อพย 36.9 ม่านผืนหนึ่งยาวยี่สิบแปดศอก กว้างสี่ศอก ม่านทุกผืนเท่ากัน
อพย 36.10 ม่านห้าผืนเขาทำให้เกี่ยวติดกัน และอีกห้าผืนนั้นเกี่ยวติดกันด้วย
อพย 36.11 เขาทำหูด้วยด้ายสีฟ้า ติดไว้ตามขอบม่านด้านนอกสุดชุดที่หนึ่ง และตามขอบม่านด้านนอกสุดชุดที่สองก็ทำหูไว้เหมือนกัน
อพย 36.12 ม่านผืนหนึ่งเขาทำหูห้าสิบหู และตามขอบม่านชุดที่สองเขาก็ทำหูห้าสิบหูให้ตรงกัน
อพย 36.13 และเขาทำขอทองคำห้าสิบขอ สำหรับใช้เกี่ยวม่านเพื่อให้พลับพลาเป็นชิ้นเดียวกัน
อพย 36.14 เขาทำม่านด้วยขนแพะสำหรับเป็นเต็นท์คลุมพลับพลาอีกสิบเอ็ดผืน
อพย 36.15 ม่านผืนหนึ่งยาวสามสิบศอก กว้างสี่ศอก ทั้งสิบเอ็ดผืนเท่ากัน
อพย 36.16 เขาเกี่ยวม่านห้าผืนให้ติดกันต่างหาก และม่านอีกหกผืนก็เกี่ยวติดกันอีกต่างหาก
อพย 36.17 และเขาทำหูห้าสิบหูติดกับม่านด้านนอกสุดชุดที่หนึ่ง และเขาทำหูห้าสิบหูติดกับขอบม่านด้านนอกสุดชุดที่สอง
อพย 36.35 เขาทำม่านนั้นด้วยด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และด้วยผ้าป่านเนื้อละเอียด มีภาพเครูบฝีมือช่างออกแบบไว้
อพย 36.38 และทำเสาห้าต้นสำหรับม่านนั้นพร้อมด้วยขอเกี่ยว บัวคว่ำและราวยึดเสานั้นหุ้มด้วยทองคำ แต่ฐานห้าฐานสำหรับรองรับเสานั้นทำด้วยทองสัมฤทธิ์
อพย 38.18 ม่านบังตาที่ประตูลานนั้นปักด้วยฝีมือของช่างปัก เป็นสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้มและผ้าป่านเนื้อละเอียด ยาวยี่สิบศอก สูงห้าศอก เสมอกับผ้าบังลาน
อพย 38.27 เงินหนึ่งร้อยตะลันต์นั้น เขาใช้หล่อทำฐานรองรับเสาของสถานบริสุทธิ์และฐานของม่าน ฐานร้อยฐานเป็นเงินหนึ่งร้อยตะลันต์ คือฐานละหนึ่งตะลันต์
อพย 39.34 เครื่องดาดพลับพลาข้างบนทำด้วยหนังแกะตัวผู้ย้อมสีแดง และหนังของตัวแบดเจอร์ และม่านสำหรับบังตา
อพย 39.40 ม่านบังลาน เสากับฐานรองรับ ผ้าบังตาประตูลาน เชือกและหลักหมุดสำหรับลาน และเครื่องใช้ทั้งหมดของการปรนนิบัติที่พลับพลา สำหรับเต็นท์แห่งชุมนุม
อพย 40.3 จงตั้งหีบพระโอวาทไว้ในพลับพลาและกั้นม่านบังหีบนั้นไว้
อพย 40.5 จงตั้งแท่นบูชาทองคำสำหรับเผาเครื่องหอมตรงหน้าหีบพระโอวาท แล้วติดม่านบังตาของประตูพลับพลา
อพย 40.8 จงตั้งข้างฝาลานไว้รอบพลับพลา และติดม่านบังตาไว้ที่ประตูลานนั้น
อพย 40.21 แล้วท่านนำหีบเข้าไปไว้ในพลับพลา และกั้นม่านบังตาบังหีบพระโอวาทนั้นไว้ ตามที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาแก่โมเสส
อพย 40.22 ท่านตั้งโต๊ะไว้ในเต็นท์แห่งชุมนุมทางทิศเหนือของพลับพลานอกม่านนั้น
อพย 40.26 ท่านตั้งแท่นทองคำไว้ในเต็นท์แห่งชุมนุมตรงหน้าม่าน
อพย 40.28 ท่านกั้นม่านบังตาที่ประตูพลับพลา
อพย 40.33 ท่านกั้นบริเวณลานรอบพลับพลาและแท่นนั้น แล้วกั้นม่านบังตาที่ตรงประตูลาน โมเสสก็จัดการนั้นให้เสร็จสิ้นไปทุกประการ
ลนต 4.6 ปุโรหิตจะเอานิ้วจุ่มลงในเลือด และประพรมเลือดนั้นที่หน้าม่านสถานบริสุทธิ์เจ็ดครั้งต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
ลนต 4.17 และปุโรหิตจะเอานิ้วจุ่มลงในเลือดและประพรมที่หน้าม่านเจ็ดครั้งต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
ลนต 16.2 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “เจ้าจงบอกอาโรนพี่ชายว่า อย่าเข้าไปในสถานที่บริสุทธิ์ที่อยู่ในม่านหน้าพระที่นั่งพระกรุณาซึ่งอยู่บนหลังหีบ ตลอดทุกเวลา เพื่อเขาจะไม่ตาย เพราะว่าเราจะปรากฏในเมฆเหนือพระที่นั่งกรุณา
ลนต 16.12 และอาโรนจะเอากระถางไฟที่มีถ่านลุกอยู่เต็มมาจากแท่นบูชาต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ และเครื่องหอมทุบละเอียดสองกำมือนำเข้าไปภายในม่าน
ลนต 16.15 แล้วอาโรนจะฆ่าแพะอันเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปสำหรับประชาชน และนำเลือดแพะเข้าไปภายในม่าน และเอาเลือดแพะไปกระทำเช่นเดียวกับกระทำเลือดวัว คือประพรมบนพระที่นั่งกรุณาและที่ข้างหน้าพระที่นั่งกรุณานั้น
ลนต 21.23 แต่อย่าให้เขาเข้ามาใกล้ม่านหรือใกล้แท่น เพราะเขามีตำหนิ เพื่อเขาจะไม่กระทำให้สถานบริสุทธิ์ของเราเป็นมลทิน เพราะเราคือพระเยโฮวาห์ผู้ตั้งเขาไว้ให้บริสุทธิ์”
ลนต 24.3 ภายในพลับพลาแห่งชุมนุมข้างนอกม่านหีบพระโอวาทนั้น ให้อาโรนจัดประทีปให้เป็นระเบียบตั้งแต่เวลาเย็นจนเวลาเช้าเสมอต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ทั้งนี้ให้เป็นกฎเกณฑ์ถาวรตลอดชั่วอายุของเจ้า
กดว 3.25 งานที่วงศ์เกอร์โชนปฏิบัติในพลับพลาแห่งชุมนุมมีงานพลับพลา งานเต็นท์พร้อมกับเครื่องคลุมเต็นท์ และม่านประตูพลับพลาแห่งชุมนุม
กดว 3.26 ม่านบังลานและม่านประตูลาน ซึ่งอยู่รอบพลับพลาและแท่นบูชา รวมทั้งเชือกโยงทั้งงานสารพัดที่เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้
กดว 3.31 คนเหล่านี้มีหน้าที่ดูแลหีบพระโอวาท โต๊ะ คันประทีป แท่นบูชาทั้งสองและเครื่องใช้ต่างๆของสถานบริสุทธิ์ ซึ่งปุโรหิตใช้ปฏิบัติงานและม่าน ทั้งงานสารพัดที่เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้
กดว 4.5 เมื่อจะเคลื่อนย้ายค่ายไป อาโรนและบุตรชายของท่านจะเข้าไปข้างใน และปลดม่านกำบังออกเอาคลุมหีบพระโอวาทไว้
กดว 4.25 ให้เขาทั้งหลายขนม่านพลับพลา และขนพลับพลาแห่งชุมนุมพร้อมกับผ้าคลุมและหนังของตัวแบดเจอร์ที่คลุมอยู่ข้างบน และผ้าม่านสำหรับบังประตูพลับพลาแห่งชุมนุม
กดว 4.26 และม่านบังลาน และม่านทางเข้าประตูลานซึ่งอยู่รอบพลับพลาและแท่นบูชา และเชือกโยง และเครื่องใช้สอยทั้งสิ้น เขาจะต้องกระทำงานที่ควรกระทำทุกอย่างที่เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้
กดว 18.7 ทั้งเจ้าและบุตรชายจงคอยรับใช้ในหน้าที่ปุโรหิต เพื่องานทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับแท่นบูชาและสิ่งที่อยู่ภายในม่าน เจ้าต้องอยู่ปฏิบัติงาน เราให้ตำแหน่งปุโรหิตแก่เจ้าเป็นของประทานสำหรับงานปฏิบัติ และผู้ใดอื่นที่เข้ามาใกล้ต้องให้ถึงแก่ความตาย”
2พกษ 23.7 และพระองค์ทรงทำลายเรือนกะเทย ซึ่งอยู่ข้างพระนิเวศของพระเยโฮวาห์เสีย เป็นที่ที่ผู้หญิงทอม่านสำหรับเสารูปเคารพ
1พศด 17.1 อยู่มาเมื่อดาวิดประทับในพระราชวังของพระองค์ ดาวิดตรัสกับนาธันผู้พยากรณ์ว่า “ดูเถิด เราอยู่ในบ้านทำด้วยไม้สนสีดาร์ แต่หีบพันธสัญญาแห่งพระเยโฮวาห์อยู่ภายใต้ม่าน”
2พศด 3.14 และพระองค์ทรงสร้างม่าน ด้วยผ้าสีฟ้า สีม่วง และสีแดงเข้ม และผ้าป่านเนื้อละเอียด และปักรูปเครูบไว้บนนั้น
สดด 104.2 ผู้ทรงคลุมพระองค์ด้วยแสงสว่างดุจดังฉลองพระองค์ ผู้ทรงขึงฟ้าสวรรค์ออกดังขึงม่าน
อสย 25.7 และบนภูเขานี้พระองค์จะทรงทำลายผ้าคลุมหน้าซึ่งคลุมหน้าบรรดาชนชาติทั้งหลาย และม่านซึ่งกางอยู่เหนือบรรดาประชาชาติ
อสย 40.22 คือพระองค์ผู้ประทับเหนือปริมณฑลของแผ่นดินโลก และชาวแผ่นดินโลกก็เหมือนอย่างตั๊กแตน ผู้ทรงขึงฟ้าสวรรค์เหมือนขึงม่าน และกางออกเหมือนเต็นท์ที่อาศัย
อสย 54.2 “จงขยายสถานที่แห่งเต็นท์ของเจ้า และให้เขาขึงม่านของที่อาศัยของเจ้าออก อย่าหน่วงไว้ ต่อเชือกของเจ้าให้ยาว และเสริมกำลังหลักหมุดของเจ้า
ยรม 4.20 การประกาศเรื่องความหายนะไล่ติดตามความหายนะ แผ่นดินทั้งสิ้นก็ถูกทิ้งร้าง บรรดาเต็นท์ของข้าก็ถูกทำลายในฉับพลัน ม่านทั้งหลายของข้าก็สิ้นไปในบัดเดี๋ยวเดียว
ยรม 10.20 เต็นท์ของข้าพเจ้าก็ถูกทำลาย และเชือกของข้าพเจ้าก็ขาดสิ้น ลูกๆของข้าพเจ้าจากข้าพเจ้าไปหมด และไม่มีเขาอีกแล้ว ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดที่จะกางเต็นท์ให้ข้าพเจ้าอีก และแขวนม่านของข้าพเจ้าให้
ยรม 49.29 เต็นท์และฝูงแพะแกะของเขาจะถูกริบเสีย ทั้งม่านและภาชนะทั้งสิ้นของเขา อูฐของเขาจะถูกนำเอาไปจากเขา และคนจะร้องแก่เขาว่า ‘ความสยดสยองทุกด้าน’
ฮบก 3.7 ข้าพเจ้าได้เห็นเต็นท์ของคนคูชันอยู่ในสภาพทุกข์ใจ และม่านแห่งแผ่นดินมีเดียนหวั่นไหว
มธ 27.51 และดูเถิด ม่านในพระวิหารก็ขาดออกเป็นสองท่อนตั้งแต่บนตลอดล่าง แผ่นดินก็ไหว ศิลาก็แตกออกจากกัน
มก 15.38 ขณะนั้นม่านในพระวิหารก็ขาดออกเป็นสองท่อน ตั้งแต่บนตลอดล่าง
ลก 23.45 ดวงอาทิตย์ก็มืดไป ม่านในพระวิหารก็ขาดตรงกลาง
ฮบ 6.19 ความหวังนั้นเรายึดไว้ต่างสมอของจิตวิญญาณ เป็นความหวังทั้งแน่และมั่นคง และได้ทอดไว้ภายในม่าน
ฮบ 9.3 และภายในม่านชั้นที่สองมีห้องพลับพลาซึ่งเรียกว่า ที่บริสุทธิ์ที่สุด
ฮบ 10.20 ตามทางใหม่และเป็นทางที่มีชีวิต ซึ่งพระองค์ได้ทรงเปิดออกสำหรับเราทั้งหลายโดยม่านนั้น คือเนื้อหนังของพระองค์

ม้าน ( 4 )
1พกษ 8.37 ถ้ามีการกันดารอาหารในแผ่นดิน ถ้ามีโรคระบาด ข้าวม้าน รากินข้าว หรือตั๊กแตนวัยบิน หรือตั๊กแตนวัยคลาน หรือถ้าศัตรูของเขาทั้งหลายล้อมเมืองของเขาไว้รอบด้าน จะเป็นภัยพิบัติอย่างใด หรือความเจ็บไข้อย่างใด มีขึ้นก็ดี
2พศด 6.28 ถ้ามีการกันดารอาหารในแผ่นดิน ถ้ามีโรคระบาด ข้าวม้าน รากินข้าว หรือตั๊กแตนวัยบิน หรือตั๊กแตนวัยคลาน หรือศัตรูของเขาทั้งหลายล้อมเมืองในแผ่นดินของเขาไว้รอบด้าน จะเป็นภัยพิบัติอย่างใด หรือความเจ็บอย่างใดมีขึ้นก็ดี
อมส 4.9 “เราโจมตีเจ้าด้วยให้ข้าวม้านและขึ้นรา เมื่อบรรดาสวนของเจ้าและสวนองุ่นของเจ้า พร้อมต้นมะเดื่อและต้นมะกอกเทศของเจ้าผลิตผล ตั๊กแตนก็มากิน เจ้าก็ยังไม่กลับมาหาเรา” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ฮกก 2.17 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เราได้โจมตีเจ้าและผลงานทั้งสิ้นจากมือของเจ้าด้วยให้ข้าวม้าน และขึ้นรา และด้วยลูกเห็บ แต่เจ้าทั้งหลายก็ยังไม่หันมาหาเรา

มานะ ( 4 )
สภษ 17.22 ใจร่าเริงเป็นยาอย่างดี แต่จิตใจที่หมดมานะทำให้กระดูกแห้ง
รม 11.11 ข้าพเจ้าจึงถามว่า “พวกอิสราเอลสะดุดจนหกล้มทีเดียวหรือ” ขอพระเจ้าอย่ายอมให้เป็นเช่นนั้นเลย แต่การที่เขาละเมิดนั้นเป็นเหตุให้ความรอดแผ่มาถึงพวกต่างชาติ เพื่อจะให้พวกอิสราเอลมีใจมานะขึ้น
2คร 10.5 คือทำลายความคิด และทิฐิมานะทุกประการที่ตั้งตัวขึ้นขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และน้อมนำความคิดทุกประการให้เข้าอยู่ใต้บังคับจนถึงเชื่อฟังพระคริสต์
1ทธ 6.17 จงกำชับคนเหล่านั้นที่มั่งมีฝ่ายโลก อย่าให้มีใจถือมานะทิฐิ อย่าให้ความหวังของเขาอิงอยู่กับทรัพย์อนิจจัง แต่ให้หวังในพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ผู้ทรงประทานสิ่งสารพัดให้แก่เราอย่างบริบูรณ์ เพื่อจะให้เราใช้ด้วยความปีติยินดี

ม้านั่ง ( 1 )
มก 11.15 เมื่อพระองค์กับสาวกมาถึงกรุงเยรูซาเล็ม พระเยซูก็เสด็จเข้าไปในพระวิหาร แล้วเริ่มขับไล่บรรดาผู้ซื้อขายในพระวิหารนั้น และคว่ำโต๊ะผู้รับแลกเงิน กับทั้งคว่ำม้านั่งผู้ขายนกเขาเสีย

มานา ( 22 )
อพย 16.15 เมื่อชนชาติอิสราเอลเห็นจึงพูดกันว่า “นี่คือมานา” เพราะเขาไม่ทราบว่าเป็นสิ่งใด โมเสสจึงบอกเขาว่า “นี่แหละเป็นอาหารที่พระเยโฮวาห์ประทานให้พวกท่านรับประทาน
อพย 16.31 เหล่าวงศ์วานของอิสราเอลเรียกชื่ออาหารนั้นว่า มานา เป็นเม็ดขาวเหมือนเมล็ดผักชี มีรสเหมือนขนมแผ่นประสมน้ำผึ้ง
อพย 16.32 โมเสสกล่าวว่า “พระเยโฮวาห์มีรับสั่งว่า ‘จงตวงมานาโอเมอร์หนึ่ง เก็บไว้ตลอดชั่วอายุของเจ้า เพื่อเขาทั้งหลายจะได้เห็นอาหารซึ่งเราเลี้ยงเจ้าในถิ่นทุรกันดารนี้ เมื่อเรานำพวกเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์’”
อพย 16.33 โมเสสบอกอาโรนว่า “เอาหม้อลูกหนึ่ง ตวงมานาให้เต็มโอเมอร์หนึ่ง เก็บไว้ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ตลอดชั่วอายุของท่าน”
อพย 16.34 อาโรนก็วางมานานั้นลงหน้าหีบพระโอวาท เพื่อรักษาไว้ตามพระดำรัสที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาแก่โมเสส
อพย 16.35 ชนชาติอิสราเอลได้กินมานาสี่สิบปีจนเขามาถึงเมืองที่จะอาศัยอยู่ พวกเขากินมานาจนมาถึงชายแดนแผ่นดินคานาอัน
กดว 11.6 บัดนี้จิตใจของเราก็เหี่ยวแห้งลง ไม่มีอะไรให้เราดูเลยนอกจากมานานี้”
กดว 11.7 มานานั้นเหมือนเมล็ดผักชี สีเหมือนยางไม้หอม
กดว 11.8 ประชาชนก็เที่ยวออกไปเก็บมาโม่หรือตำในครกและใส่หม้อต้มทำขนม รสของมานาเหมือนรสน้ำมันสด
กดว 11.9 กลางคืนเมื่อน้ำค้างตกมาเหนือค่าย มานาก็ตกมาด้วย
พบญ 8.3 พระองค์ทรงกระทำให้ท่านถ่อมใจ และปล่อยท่านให้หิว และเลี้ยงท่านด้วยมานา ซึ่งท่านเองหรือบรรพบุรุษของท่านก็ไม่ทราบว่าเป็นอะไร เพื่อพระองค์จะทรงกระทำให้ท่านตระหนักแก่ใจว่า มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวก็หามิได้ แต่มนุษย์จะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยพระวจนะทุกคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเยโฮวาห์
พบญ 8.16 ผู้ทรงเลี้ยงท่านทั้งหลายด้วยมานาในถิ่นทุรกันดาร ซึ่งบรรพบุรุษของท่านไม่ทราบ เพื่อว่าพระองค์จะทรงกระทำให้ท่านถ่อมใจและทดลองท่าน เพื่อกระทำให้เกิดประโยชน์แก่ท่านในบั้นปลาย
ยชว 5.12 ตั้งแต่วันรุ่งขึ้นมานาก็ขาดไป คือเมื่อเขาได้รับประทานผลจากแผ่นดิน คนอิสราเอลไม่มีมานาอีกเลย ในปีนั้นเขารับประทานผลจากแผ่นดินคานาอัน
นหม 9.20 พระองค์ประทานพระวิญญาณอันประเสริฐให้สั่งสอนเขา และมิได้ทรงยับยั้งมานาของพระองค์เสียจากปากของเขาทั้งหลาย และประทานน้ำแก้กระหายของเขา
สดด 78.24 พระองค์ทรงหลั่งมานาให้เขารับประทาน และทรงประทานอาหารทิพย์ให้เขา
ยน 6.31 บรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลายได้กินมานาในถิ่นทุรกันดารนั้น ตามที่มีคำเขียนไว้ว่า ‘ท่านได้ให้เขากินอาหารจากสวรรค์’”
ยน 6.49 บรรพบุรุษของท่านทั้งหลายได้กินมานาในถิ่นทุรกันดารและสิ้นชีวิต
ยน 6.58 นี่แหละเป็นอาหารซึ่งลงมาจากสวรรค์ ไม่เหมือนกับมานาที่พวกบรรพบุรุษของท่านได้กินและสิ้นชีวิต ผู้ที่กินอาหารนี้จะมีชีวิตนิรันดร์”
ฮบ 9.4 ห้องนั้นมีแท่นทองคำสำหรับถวายเครื่องหอม และมีหีบพันธสัญญาหุ้มด้วยทองคำทุกด้าน ในหีบนั้นมีโถทองคำใส่มานา และมีไม้เท้าของอาโรนที่ออกช่อ และมีแผ่นศิลาพันธสัญญา
วว 2.17 ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความซึ่งพระวิญญาณตรัสไว้แก่คริสตจักรทั้งหลาย ผู้ที่มีชัยชนะ เราจะให้ผู้นั้นกินมานาที่ซ่อนอยู่ และจะให้หินขาวแก่ผู้นั้นด้วย ที่หินนั้นมีชื่อใหม่จารึกไว้ซึ่งไม่มีผู้ใดรู้เลยนอกจากผู้ที่รับเท่านั้น’

มานาเอน ( 1 )
กจ 13.1 คราวนั้นในคริสตจักรที่อยู่ในเมืองอันทิโอก มีบางคนที่เป็นผู้พยากรณ์และอาจารย์ มีบารนาบัส สิเมโอนที่เรียกว่านิเกอร์ กับลูสิอัสชาวเมืองไซรีน มานาเอน ผู้ได้รับการเลี้ยงดูเติบโตขึ้นด้วยกันกับเฮโรดเจ้าเมือง และเซาโล

มานาฮาท ( 3 )
ปฐก 36.23 ต่อไปนี้เป็นบุตรของโชบาล คืออัลวาน มานาฮาท เอบาล เซโฟ และโอนัม
1พศด 1.40 บุตรชายของโชบาล ชื่อ เอลียัน มานาฮาท เอบาล เชฟี และโอนัม บุตรชายของศิเบโอน ชื่อ อัยยาห์ และอานาห์
1พศด 8.6 ต่อไปนี้เป็นบุตรชายของเอฮูด เขาทั้งหลายเป็นหัวหน้าบรรพบุรุษของชาวเมืองเกบา และเขาถูกกวาดไปเป็นเชลยยังเมืองมานาฮาท

มาเน ( 5 )
1พกษ 10.17 และพระองค์ทรงสร้างโล่สามร้อยอันด้วยทองคำทุบ โล่อันหนึ่งใช้ทองคำสามมาเน และกษัตริย์ทรงเก็บโล่ไว้ในพระตำหนักพนาเลบานอน
อสร 2.69 เขาถวายตามกำลังของเขาแก่กองทรัพย์เพื่อพระราชกิจ เป็นทองคำหกหมื่นหนึ่งพันดาริค เงินห้าพันมาเน และเครื่องแต่งกายปุโรหิตหนึ่งร้อยตัว
นหม 7.71 และประมุขของบรรพบุรุษบางคนถวายให้แก่พระคลังของงาน เป็นทองคำสองหมื่นดาริค เงินสองพันสองร้อยมาเน
นหม 7.72 และสิ่งที่ประชาชนส่วนที่เหลือถวายนั้น มีทองคำสองหมื่นดาริค เงินสองพันมาเน และเสื้อปุโรหิตหกสิบเจ็ดตัว
อสค 45.12 เชเขลหนึ่งมียี่สิบเก-ราห์ มาเนของเจ้าก็ให้มียี่สิบเชเขล ยี่สิบห้าเชเขลและสิบห้าเชเขล

มาโนอาห์ ( 19 )
วนฉ 13.2 มีชายคนหนึ่งเป็นชาวโศราห์คนครอบครัวดาน ชื่อมาโนอาห์ ภรรยาของท่านเป็นหมันไม่มีบุตรเลย
วนฉ 13.8 แล้วมาโนอาห์ก็วิงวอนพระเยโฮวาห์ทูลว่า “โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอบุรุษของพระเจ้าผู้ซึ่งพระองค์ทรงใช้มานั้นปรากฏแก่ข้าพระองค์ทั้งสองอีกครั้งหนึ่ง สั่งสอนข้าพระองค์ว่า ข้าพระองค์ควรกระทำอย่างไรแก่เด็กที่จะเกิดมานั้น”
วนฉ 13.9 และพระเจ้าทรงฟังเสียงของมาโนอาห์ และทูตสวรรค์ของพระเจ้ามาหาหญิงนั้นอีกเมื่อนางนั่งอยู่ในทุ่งนา แต่มาโนอาห์สามีของนางไม่ได้อยู่ด้วย
วนฉ 13.11 มาโนอาห์ก็ลุกขึ้นตามภรรยาไป เมื่อมาถึงบุรุษผู้นั้นเขาจึงว่า “ท่านเป็นบุรุษผู้ที่พูดกับผู้หญิงคนนี้หรือ” ผู้นั้นตอบว่า “เราเป็นผู้นั้นแหละ”
วนฉ 13.12 มาโนอาห์จึงกล่าวว่า “บัดนี้ขอให้ถ้อยคำของท่านเป็นความจริง ข้าพเจ้าทั้งสองควรสั่งสอนเด็กคนนั้นอย่างไร และข้าพเจ้าทั้งสองควรกระทำต่อเขาอย่างไร”
วนฉ 13.13 และทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์บอกแก่มาโนอาห์ว่า “บรรดาสิ่งที่เราได้บอกแก่หญิงแล้วนั้นให้นางระวังให้ดี
วนฉ 13.15 มาโนอาห์กล่าวแก่ทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ว่า “ขอท่านรออยู่ก่อน ข้าพเจ้าทั้งสองจะไปเตรียมลูกแพะตัวหนึ่งให้ท่าน”
วนฉ 13.16 ทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์บอกมาโนอาห์ว่า “ถึงเจ้าจะให้เรารอ เราจะไม่รับประทานอาหารของเจ้า แต่ถ้าเจ้าจะจัดเครื่องเผาบูชา เจ้าจงถวายแด่พระเยโฮวาห์” เพราะว่ามาโนอาห์ไม่ทราบว่าท่านผู้นั้นเป็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเยโฮวาห์
วนฉ 13.17 มาโนอาห์ถามทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ว่า “ท่านชื่ออะไร เพื่อเมื่อเป็นจริงตามถ้อยคำของท่าน เราจะได้ให้เกียรติแก่ท่าน”
วนฉ 13.18 ทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์บอกมาโนอาห์ว่า “ถามชื่อเราทำไม ชื่อของเราเป็นที่ซ่อนเร้นอยู่”
วนฉ 13.19 มาโนอาห์ก็เอาลูกแพะกับธัญญบูชามาถวายบูชาบนศิลาแด่พระเยโฮวาห์ และทูตสวรรค์นั้นกระทำการมหัศจรรย์ มาโนอาห์และภรรยาก็มองดู
วนฉ 13.20 และอยู่มาเมื่อเปลวไฟจากแท่นบูชาพลุ่งขึ้นไปสวรรค์ ทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ก็ขึ้นไปตามเปลวไฟแห่งแท่นบูชา ขณะเมื่อมาโนอาห์และภรรยาคอยดูอยู่ และเขาทั้งสองก็ซบหน้าลงถึงดิน
วนฉ 13.21 ทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ไม่ปรากฏแก่มาโนอาห์หรือแก่ภรรยาของเขาอีกเลย แล้วมาโนอาห์จึงทราบว่าผู้นั้นเป็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเยโฮวาห์
วนฉ 13.22 และมาโนอาห์พูดกับภรรยาของตนว่า “เราจะตายเป็นแน่ เพราะเราได้เห็นพระเจ้า”
วนฉ 16.31 แล้วพี่น้องและบรรดาครอบครัวบิดาของท่านก็ลงมารับศพของท่านและขึ้นไปฝังไว้ระหว่างโศราห์กับเอชทาโอล ในที่ฝังศพของมาโนอาห์บิดาของท่าน ท่านได้วินิจฉัยอิสราเอลอยู่ยี่สิบปี

ม่าย ( 3 )
อพย 22.24 ความโกรธของเราจะพลุ่งขึ้น และเราจะประหารเจ้าด้วยดาบ ภรรยาของเจ้าจะต้องเป็นม่าย และบุตรของเจ้าจะต้องเป็นกำพร้าพ่อ
สดด 109.9 ขอให้ลูกของเขากำพร้าพ่อ และภรรยาของเขาเป็นม่าย
ลก 2.37 แล้วก็เป็นม่ายมาจนถึงอายุแปดสิบสี่ปี นางมิได้ไปจากพระวิหารเลย อยู่รับใช้พระเจ้าด้วยการถืออดอาหารและอธิษฐาน ทั้งกลางวันกลางคืน

มายมาย ( 1 )
1พศด 29.2 เพราะฉะนั้นเราจึงจัดเตรียมไว้สำหรับพระนิเวศของพระเจ้าของเรา เต็มความสามารถของเรา คือทองคำสำหรับสิ่งที่ทำด้วยทองคำ และเงินสำหรับสิ่งที่ทำด้วยเงิน และทองสัมฤทธิ์สำหรับสิ่งที่ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ และเหล็กสำหรับสิ่งที่ทำด้วยเหล็ก และไม้สำหรับสิ่งที่ทำด้วยไม้ มีพลอยสีน้ำข้าว และพลอยสำหรับฝัง พลวง หินลาย เพชรพลอยทุกชนิดและหินอ่อนมายมาย

มายา ( 1 )
อสย 30.10 ซึ่งกล่าวแก่พวกผู้ทำนายว่า “อย่าเห็นเลย” และแก่ผู้พยากรณ์ว่า “อย่าพยากรณ์สิ่งที่ถูกต้องแก่เราเลย จงพูดสิ่งราบรื่นแก่เรา จงพยากรณ์มายา

ม้ายูนิคอน ( 9 )
กดว 23.22 พระเจ้าทรงนำพวกเขาออกจากอียิปต์ พระองค์ทรงเป็นเสมือนพลังแห่งม้ายูนิคอน
กดว 24.8 พระเจ้าผู้ทรงนำเขาออกมาจากอียิปต์ ทรงเป็นเสมือนพลังแห่งม้ายูนิคอน เขาจะกินประชาชาติซึ่งเป็นศัตรูเสีย และหักกระดูกของศัตรูเหล่านั้น และแทงเขาทั้งหลายทะลุด้วยลูกศร
พบญ 33.17 สง่าราศีของเขาเหมือนลูกวัวหัวปีของเขา เขาของเขาเหมือนเขาม้ายูนิคอน และด้วยเขานั้นเขาจะดันชนชาติทั้งหลายออกไปจนสุดปลายพิภพ คนเอฟราอิมนับหมื่นเป็นเช่นนี้ คนมนัสเสห์นับพันก็เหมือนกัน”
โยบ 39.9 ม้ายูนิคอนยอมรับใช้เจ้าหรือ มันจะนอนค้างคืนอยู่ที่รางหญ้าของเจ้าหรือ
โยบ 39.10 เจ้าเอาเชือกผูกม้ายูนิคอนให้ลากไถได้หรือ หรือมันจะยอมคราดที่ลุ่มตามเจ้าไปหรือ
สดด 22.21 ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดพ้นจากปากสิงโต เพราะพระองค์ทรงฟังข้าพระองค์จากบรรดาเขาของม้ายูนิคอนเหล่านั้นด้วย
สดด 29.6 พระองค์ทรงกระทำให้พวกเขากระโดดเหมือนลูกวัว เลบานอนและสีรีออนเหมือนม้ายูนิคอนหนุ่ม
สดด 92.10 แต่พระองค์ทรงเชิดชูเขาของข้าพระองค์อย่างกับเขาม้ายูนิคอน ข้าพระองค์จะถูกเจิมด้วยน้ำมันใหม่
อสย 34.7 ม้ายูนิคอนจะล้มลงพร้อมกับเขาด้วย และวัวหนุ่มจะล้มอยู่กับวัวที่ฉกรรจ์ แผ่นดินของเขาจะโชกไปด้วยเลือด และดินจะได้อุดมด้วยไขมัน

มาร ( 5 )
ลก 4.4 ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบมารว่า “มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวก็หามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำของพระเจ้า’”
ลก 4.8 ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบมารว่า “อ้ายซาตาน จงถอยไปข้างหลังเรา เพราะมีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘จงนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว’”
ลก 4.9 แล้วมารจึงนำพระองค์ไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และให้พระองค์ประทับอยู่ที่ยอดหลังคาพระวิหาร แล้วทูลพระองค์ว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรพระเจ้า จงโจนลงไปจากที่นี่เถิด
ลก 4.12 พระเยซูจึงตรัสตอบมารว่า “มีคำกล่าวไว้ว่า ‘อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน’”
ยด 1.9 ฝ่ายอัครเทวทูตาธิบดีมีคาเอล ครั้นเมื่อท่านโต้เถียงกับพญามารเรื่องศพของโมเสส ท่านเองก็ยังไม่บังอาจตั้งข้อกล่าวหาอย่างเย้ยหยันต่อมารเลย ได้แต่เพียงกล่าวว่า “ขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงห้ามเจ้าเถิด”

มารดา ( 183 )
ปฐก 3.20 อาดัมเรียกชื่อภรรยาของเขาว่าเอวา เพราะว่านางเป็นมารดาของบรรดาชนที่มีชีวิต
ปฐก 17.16 เราจะอวยพรแก่นางและให้บุตรชายคนหนึ่งแก่เจ้ากับนางด้วย ใช่ เราจะอวยพรนาง นางจะเป็นมารดาของชนหลายชาติ กษัตริย์ของชนหลายชาติจะมาจากนาง”
ปฐก 20.12 ยิ่งกว่านั้นนางเป็นน้องสาวของข้าพระองค์จริงๆ นางเป็นบุตรสาวของบิดาข้าพระองค์ แต่ไม่ใช่บุตรสาวของมารดาข้าพระองค์ และนางได้มาเป็นภรรยาของข้าพระองค์
ปฐก 21.21 เขาอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารแห่งปาราน มารดาก็หาภรรยาคนหนึ่งจากประเทศอียิปต์ให้เขา
ปฐก 24.28 แล้วหญิงสาวนั้นก็วิ่งไปบอกคนในครอบครัวของมารดาถึงเรื่องเหล่านี้
ปฐก 24.53 แล้วคนใช้ก็นำเอาเครื่องเงินและเครื่องทอง พร้อมกับเสื้อผ้ามอบให้แก่เรเบคาห์ เขายังมอบของอันมีค่าให้แก่พี่ชายและมารดาของนางด้วย
ปฐก 24.55 พี่ชายและมารดาของนางว่า “ขอให้หญิงสาวอยู่กับเราสักหน่อยก่อน อย่างน้อยสักสิบวันแล้วนางจะไปก็ได้”
ปฐก 24.60 พวกเขาอวยพรเรเบคาห์ และกล่าวแก่นางว่า “น้องสาวเอ๋ย ขอให้เจ้าเป็นมารดาคนนับแสนนับล้าน และขอให้เชื้อสายของเจ้าได้ประตูเมืองของคนที่เกลียดชังเจ้าเป็นกรรมสิทธิ์”
ปฐก 24.67 อิสอัคก็พานางเข้ามาในเต็นท์ของนางซาราห์มารดาของท่านและรับเรเบคาห์ไว้ นางก็เป็นภรรยาของท่าน และท่านก็รักนาง อิสอัคก็ได้รับความปลอบประโลมภายหลังที่มารดาของท่านสิ้นชีวิตแล้ว
ปฐก 27.11 ยาโคบพูดกับนางเรเบคาห์มารดาของตนว่า “ดูเถิด เอซาวพี่ชายของข้าพเจ้าเป็นคนมีขนดก และข้าพเจ้าเป็นคนเกลี้ยงเกลา
ปฐก 27.13 มารดาของเขาพูดกับเขาว่า “ลูกเอ๋ย ขอให้การสาปแช่งของเจ้าตกอยู่กับแม่เถิด ฟังเสียงของแม่เท่านั้น ไปเอาลูกแพะมาให้แม่เถิด”
ปฐก 27.14 เขาจึงไปจับเอามาให้มารดาของตน มารดาของเขาได้จัดอาหารอร่อยอย่างที่บิดาของเขาชอบนั้น
ปฐก 27.29 ขอให้ชนชาติทั้งหลายรับใช้เจ้า และให้ประชาชาติกราบไหว้เจ้า ขอให้เป็นเจ้านายเหนือพี่น้อง และบุตรชายมารดาของเจ้ากราบไหว้เจ้า ผู้ใดสาปแช่งเจ้าก็ขอให้ผู้นั้นถูกสาปและผู้ใดอวยพรเจ้าก็ขอให้ผู้นั้นได้รับพร”
ปฐก 28.5 อิสอัคก็ส่งยาโคบไป ยาโคบก็ไปปัดดานอารัมไปหาลาบัน บุตรชายของเบธูเอลคนซีเรียพี่ชายของนางเรเบคาห์ มารดาของยาโคบและเอซาว
ปฐก 29.10 และต่อมาครั้นยาโคบแลเห็นราเชลบุตรสาวของลาบันพี่ชายมารดาของตน และฝูงแกะของลาบันพี่ชายมารดาของตน ยาโคบก็เข้าไปกลิ้งหินออกจากปากบ่อน้ำ เอาน้ำให้ฝูงแกะของลาบันพี่ชายมารดาของตนกิน
ปฐก 30.14 ในฤดูเกี่ยวข้าวสาลี รูเบนออกไปที่นาพบมะเขือดูดาอิม จึงเก็บผลมาให้นางเลอาห์มารดา ราเชลจึงพูดกับเลอาห์ว่า “ขอมะเขือดูดาอิมของบุตรชายของพี่ให้ฉันบ้าง”
ปฐก 32.11 ขอพระองค์ทรงโปรดช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากเงื้อมมือพี่ชายข้าพระองค์ คือจากเงื้อมมือของเอซาว เพราะข้าพระองค์กลัวเขา เกรงว่าเขาจะมาตีข้าพระองค์ ทั้งมารดากับลูกด้วย
ปฐก 37.10 เมื่อเล่าให้บิดาและพวกพี่ชายฟัง บิดาก็ว่ากล่าวโยเซฟว่า “ความฝันที่เจ้าได้ฝันเห็นนั้นหมายความว่าอะไร เรากับมารดาและพวกพี่ชายของเจ้าจะมาซบหน้าลงถึงดินกราบไหว้เจ้ากระนั้นหรือ”
ปฐก 43.29 โยเซฟเงยหน้าดูเห็นเบนยามินน้องชายมารดาเดียวกัน แล้วถามว่า “คนนี้เป็นน้องชายสุดท้องที่พวกเจ้าบอกแก่เราครั้งก่อนหรือ” โยเซฟกล่าวว่า “ลูกเอ๋ย ขอให้พระเจ้าทรงเมตตาแก่เจ้า”
ปฐก 44.20 พวกข้าพเจ้าตอบนายของข้าพเจ้าว่า ‘ข้าพเจ้าทั้งหลายมีบิดาที่ชราแล้ว มีบุตรคนหนึ่งเกิดเมื่อบิดาชรา เป็นน้องเล็ก พี่ชายของเด็กนั้นตายเสียแล้ว บุตรของมารดานั้นยังอยู่แต่คนนี้คนเดียวและบิดารักเด็กคนนี้มาก’
อพย 2.8 พระราชธิดาของฟาโรห์จึงมีรับสั่งแก่เธอว่า “ไปหาเถิด” หญิงสาวนั้นจึงไปเรียกมารดาของทารกนั้นมา
ลนต 18.7 เจ้าอย่าเปิดกายที่เปลือยเปล่าของบิดาเจ้าหรือกายที่เปลือยเปล่าของมารดาเจ้า นางเป็นมารดาของเจ้า เจ้าอย่าเปิดกายที่เปลือยเปล่าของนางเลย
ลนต 18.9 เจ้าอย่าเปิดกายที่เปลือยเปล่าของพี่สาวหรือน้องสาวของเจ้า คือบุตรสาวของบิดาเจ้า หรือบุตรสาวของมารดาเจ้า ไม่ว่าเธอจะเกิดที่บ้านหรือเกิดต่างแดนก็ตาม
ลนต 18.13 เจ้าอย่าเปิดกายที่เปลือยเปล่าของพี่สาวหรือน้องสาวของมารดาเจ้า เพราะเธอเป็นญาติผู้หญิงที่ใกล้ชิดของมารดาเจ้า
ลนต 19.3 เจ้าทุกคนต้องเคารพมารดาและบิดาของตน และเจ้าต้องรักษาบรรดาสะบาโตของเรา เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า
ลนต 20.9 เพราะว่าทุกคนที่แช่งบิดาหรือมารดาของตนจะต้องมีโทษถึงตายเป็นแน่ เขาได้แช่งบิดาหรือมารดาของเขา ให้โลหิตของผู้นั้นตกอยู่บนผู้นั้นเอง
ลนต 20.14 และถ้าชายใดได้ภรรยาและได้มารดาของนางมาเป็นภรรยาด้วย นี่เป็นเรื่องชั่วนัก ให้เผาทั้งชายนั้นและหญิงทั้งสองนั้นเสียด้วยไฟ เพื่อว่าจะไม่มีความชั่วร้ายในหมู่พวกเจ้า
ลนต 20.17 ถ้าชายใดพาพี่สาวหรือน้องสาวของตน คือบุตรสาวของบิดา หรือบุตรสาวของมารดา และดูการเปลือยกายของเธอและเธอก็ดูการเปลือยกายของเขา นี่เป็นสิ่งที่น่าอายมาก เขาจะต้องถูกตัดขาดท่ามกลางสายตาของชนชาติของเขา เพราะเขาได้เปิดกายที่เปลือยเปล่าของพี่สาวน้องสาวของเขา เขาต้องรับโทษความชั่วช้าของเขา
ลนต 20.19 เจ้าอย่าเปิดกายที่เปลือยเปล่าของพี่สาวหรือน้องสาวมารดาเจ้า หรือพี่สาวน้องสาวของบิดาเจ้า เพราะผู้นั้นได้เปิดกายที่เปลือยเปล่าของญาติสนิท เขาจะต้องรับโทษความชั่วช้าของเขา
ลนต 21.2 เว้นแต่ญาติที่สนิทที่สุดคือ มารดา บิดา บุตรชายหญิง พี่ชายน้องชาย
ลนต 21.11 อย่าให้เขาเข้าไปถูกต้องศพหรือกระทำตัวให้มลทิน แม้ว่าศพนั้นเป็นบิดาหรือมารดาของเขา
ลนต 24.11 และบุตรชายหญิงอิสราเอลคนนั้นได้เหยียดหยามพระนามของพระเยโฮวาห์และได้แช่งด่า เขาจึงนำตัวมาให้โมเสส (มารดาของเขาชื่อเชโลมิทบุตรสาวของดิบรีคนตระกูลดาน)
กดว 3.12 “ดูเถิด เราเองได้เลือกคนเลวีจากคนอิสราเอลแทนบรรดาบุตรหัวปีท่ามกลางคนอิสราเอลที่คลอดจากครรภ์มารดาก่อน คนเลวีจะเป็นของเรา
กดว 8.16 เพราะเขาทั้งหมดถูกแยกออกจากคนอิสราเอล และมอบไว้แก่เรา เราได้รับเขามาเป็นของเราแล้วแทนทุกคนที่เกิดจากครรภ์มารดาก่อนคือ แทนบุตรหัวปีของประชาชนอิสราเอลทั้งหมด
กดว 12.12 ขออย่าให้มิเรียมเป็นเหมือนคนที่ตายแล้ว ดุจคนที่คลอดจากครรภ์มารดามีเนื้อกุดไปครึ่งหนึ่ง”
พบญ 13.6 ถ้าพี่ชายน้องชายของท่านมารดาเดียวกันกับท่าน หรือบุตรชายบุตรสาวของท่าน หรือภรรยาที่อยู่ในอ้อมอกของท่าน หรือมิตรสหายร่วมใจของท่าน ชักชวนท่านอย่างลับๆว่า ‘ให้เราไปปรนนิบัติพระอื่นกันเถิด’ ซึ่งเป็นพระที่ท่านเองหรือบรรพบุรุษของท่านไม่รู้จัก
พบญ 21.18 ถ้าชายคนใดมีบุตรชายที่ดื้อและไม่อยู่ในโอวาท ไม่เชื่อฟังเสียงของบิดาของตน หรือเสียงของมารดาของตน แม้ว่าบิดามารดาจะได้ตีสอน เขาก็ไม่ยอมฟัง
พบญ 22.15 บิดาของหญิงสาวคนนั้นและมารดาจะต้องนำของสำคัญอันเป็นพยานว่า หญิงนั้นเป็นพรหมจารีมาให้พวกผู้ใหญ่ของเมืองนั้นที่ประตูเมือง
พบญ 27.16 ‘ผู้ใดหมิ่นประมาทบิดาของตนหรือมารดาของตน ให้ผู้นั้นถูกสาปแช่ง’ ให้ประชาชนทั้งปวงกล่าวว่า ‘เอเมน’
พบญ 27.22 ‘ผู้ใดที่สมสู่กับพี่สาวหรือน้องสาว จะเป็นบุตรสาวของบิดา หรือบุตรสาวของมารดาของตนก็ตาม ให้ผู้นั้นถูกสาปแช่ง’ ให้ประชาชนทั้งปวงกล่าวว่า ‘เอเมน’
วนฉ 5.7 ชาวไร่ชาวนาในอิสราเอลก็หยุดยั้ง เขาหยุดยั้งจนดิฉันเดโบราห์ขึ้นมา จนดิฉันขึ้นมาเป็นอย่างมารดาอิสราเอล
วนฉ 5.28 มารดาของสิเสรามองออกไปตามช่องหน้าต่าง นางมองไปตามบานเกล็ด ร้องว่า ‘ทำไมหนอ รถรบของเขาจึงมาช้าเหลือเกิน ทำไมล้อรถรบของเขาจึงเนิ่นช้าอยู่’
วนฉ 9.1 ฝ่ายอาบีเมเลคบุตรชายเยรุบบาอัลก็ขึ้นไปหาญาติของมารดาที่เมืองเชเคม แล้วพูดกับเขาและกับครอบครัวที่บ้านของตาว่า
วนฉ 9.3 ฝ่ายญาติของมารดาของเขาก็กล่าวคำทั้งหมดเหล่านี้ให้เข้าหูบรรดาชาวเชเคม จิตใจของชาวเมืองก็เอนเอียงเข้าข้างอาบีเมเลค ด้วยเขากล่าวกันว่า “เขาเป็นญาติของเรา”
วนฉ 14.3 แต่บิดาและมารดาของท่านกล่าวแก่ท่านว่า “ไม่มีผู้หญิงสักคนหนึ่งในท่ามกลางบุตรสาวแห่งญาติพี่น้องของเจ้า หรือในท่ามกลางชนชาติของเราหรือ เจ้าจึงไปรับภรรยาจากคนฟีลิสเตียที่ไม่เข้าสุหนัต” แต่แซมสันกล่าวแก่บิดาว่า “ไปขอหญิงนั้นให้ฉันที เพราะเธอเป็นที่พอใจฉันมาก”
วนฉ 14.6 พระวิญญาณของพระเยโฮวาห์ก็ทรงสถิตกับแซมสันอย่างมาก ท่านจึงฉีกสิงโตออกอย่างคนฉีกลูกแพะ ทั้งที่ไม่มีอะไรในมือ แต่ท่านมิได้บอกให้บิดาหรือมารดาของท่านทราบว่าท่านได้ทำอะไรไป
วนฉ 16.17 จึงบอกความจริงในใจของท่านแก่นางจนสิ้นว่า “มีดโกนยังไม่เคยถูกศีรษะของฉัน เพราะฉันเป็นพวกนาศีร์แด่พระเจ้าตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของมารดา ถ้าโกนผมฉันเสีย กำลังก็จะหมดไปจากฉัน ฉันก็จะอ่อนเพลียเหมือนชายอื่น”
วนฉ 17.2 เขาพูดกับมารดาของเขาว่า “เงินหนึ่งพันหนึ่งร้อยแผ่น ซึ่งมีคนลักไปจากแม่และแม่ก็ได้สาปแช่ง และพูดเข้าหูฉันนั้น ดูเถิด เงินนั้นอยู่ที่ฉัน ฉันเอาไปเอง” มารดาของเขาจึงพูดว่า “ขอพระเยโฮวาห์ทรงอำนวยพระพรให้ลูกของแม่เถิด”
วนฉ 17.3 เขาจึงนำเงินพันหนึ่งร้อยแผ่นนั้นมาคืนให้แก่มารดา และมารดาของเขาพูดว่า “เงินรายนี้แม่ได้ถวายแล้วแด่พระเยโฮวาห์จากมือแม่เพื่อลูกให้ทำเป็นรูปแกะสลักและรูปหล่อ บัดนี้แม่จึงคืนให้แก่เจ้า”
วนฉ 17.4 เมื่อมีคาห์คืนเงินให้แก่มารดาแล้ว มารดาก็นำเงินสองร้อยแผ่นมอบให้กับช่างเงิน ทำเป็นรูปแกะสลักและรูปหล่อ รูปนั้นอยู่ในบ้านของมีคาห์
นรธ 1.8 แต่นาโอมีกล่าวแก่บุตรสะใภ้ทั้งสองของนางว่า “ไปเถิด ขอให้ต่างคนต่างกลับไปบ้านมารดาของตน ขอพระเยโฮวาห์ทรงพระเมตตาต่อเจ้าทั้งสอง ดังที่เจ้าได้เมตตาต่อผู้ที่ตายไปแล้วและต่อแม่
1ซมอ 2.19 ฝ่ายมารดาเคยเย็บเสื้อเล็กๆนำมาให้เขาทุกปี เมื่อนางขึ้นไปพร้อมกับสามีเพื่อถวายเครื่องบูชาประจำปี
1ซมอ 15.33 ฝ่ายซามูเอลกล่าวว่า “ดาบของท่านได้กระทำให้ผู้หญิงไร้บุตรฉันใด มารดาของท่านจะไร้บุตรในหมู่พวกผู้หญิงทั้งหลายฉันนั้น” และซามูเอลก็ฟันอากักเสียเป็นท่อนๆต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ที่ในกิลกาล
2ซมอ 17.25 อับซาโลมทรงตั้งอามาสาเป็นแม่ทัพแทนโยอาบ อามาสาเป็นบุตรของชายคนหนึ่งชื่ออิธราคนอิสราเอล ได้แต่งงานกับอาบีกายิลบุตรสาวของนาหาช น้องสาวของนางเศรุยาห์มารดาของโยอาบ
1พกษ 3.27 แล้วกษัตริย์ตรัสตอบเขาว่า “จงให้เด็กที่มีชีวิตนั้นแก่คนนั้น อย่าฆ่าเสียเลย นางเป็นมารดาของเด็กนั้น”
1พกษ 11.26 เยโรโบอัมบุตรชายเนบัท คนเอฟราอิม ชาวเมืองเศเรดาห์ข้าราชการคนหนึ่งของซาโลมอน มารดาชื่อเศรุวาห์เป็นหญิงม่าย ได้ยกมือขึ้นต่อสู้กษัตริย์ด้วย
1พกษ 17.23 และเอลียาห์ก็อุ้มเด็กนั้น นำลงมาจากห้องชั้นบนเข้าไปในเรือน และมอบเขาให้แก่มารดาของเด็ก และเอลียาห์บอกว่า “ดูซิ บุตรของเจ้ายังมีชีวิตอยู่”
2พกษ 4.20 และเมื่อเขาอุ้มมาให้มารดาของเด็ก เด็กนั้นก็นั่งอยู่บนตักมารดาจนเที่ยงวัน แล้วก็สิ้นชีวิต
2พกษ 4.30 แล้วมารดาของเด็กนั้นเรียนว่า “พระเยโฮวาห์ทรงพระชนม์อยู่และตัวท่านเองมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ดิฉันจะไม่พรากจากท่านไป” ดังนั้นท่านจึงลุกขึ้นตามนางไป
2พกษ 9.22 และอยู่มาเมื่อโยรัมเห็นเยฮูแล้วจึงตรัสว่า “เยฮูมาอย่างสันติหรือ” เยฮูตอบว่า “จะสันติอย่างไรได้ เมื่อการเล่นชู้และวิทยาคมของเยเซเบลมารดาของท่านยังมีอยู่มากเช่นนี้”
1พศด 2.26 เยราเมเอลมีภรรยาอีกคนหนึ่งชื่ออาทาราห์ นางเป็นมารดาของโอนัม
1พศด 4.9 ฝ่ายยาเบสเป็นผู้มีเกียรติกว่าพี่น้องทั้งหลายของเขา มารดาของเขาเรียกชื่อเขาว่า ยาเบส กล่าวว่า “เพราะเราคลอดเขาด้วยความเจ็บปวด”
โยบ 1.21 ท่านว่า “ข้าพเจ้ามาจากครรภ์มารดาของข้าพเจ้าตัวเปล่า และข้าพเจ้าจะกลับไปตัวเปล่า พระเยโฮวาห์ทรงประทาน และพระเยโฮวาห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระเยโฮวาห์”
โยบ 3.10 เพราะว่ามันมิได้ปิดประตูแห่งครรภ์มารดาของข้า หรือซ่อนความเศร้าโศกจากตาของข้า
โยบ 31.18 (เพราะตั้งแต่เด็กมา เขาเติบโตขึ้นกับข้า อย่างอยู่กับพ่อ และข้าได้เป็นผู้แนะนำเธอตั้งแต่ครรภ์มารดาของข้า)
สดด 22.9 ถึงกระนั้นพระองค์ก็ทรงเป็นผู้นำข้าพระองค์ออกมาจากครรภ์มารดา และทรงให้ข้าพระองค์มีความหวังใจเมื่ออยู่ที่อกแม่
สดด 22.10 ตั้งแต่คลอด ข้าพระองค์ก็ต้องพึ่งพระองค์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ตั้งแต่ข้าพระองค์ยังอยู่ในครรภ์มารดา
สดด 27.10 แม้บิดาและมารดาของข้าพระองค์ทอดทิ้งข้าพระองค์ แต่พระเยโฮวาห์จะทรงยกข้าพระองค์ขึ้น
สดด 35.14 ข้าพระองค์ประพฤติอย่างที่เขาเป็นเพื่อนหรือพี่น้องของข้าพระองค์ ข้าพระองค์คอตกและร้องไห้คร่ำครวญเหมือนคนไว้ทุกข์ให้มารดา
สดด 50.20 เจ้านั่งพูดใส่ร้ายพี่น้องของเจ้า เจ้านินทาลูกชายมารดาของเจ้าเอง
สดด 51.5 ดูเถิด ข้าพระองค์ถือกำเนิดมาในความชั่วช้า และมารดาตั้งครรภ์ข้าพระองค์ในบาป
สดด 69.8 ข้าพระองค์กลายเป็นแขกแปลกหน้าของพี่น้อง และเป็นคนต่างด้าวของบุตรแห่งมารดาข้าพระองค์
สดด 71.6 ข้าพระองค์พึ่งพระองค์ตั้งแต่กำเนิด พระองค์ทรงเป็นผู้นำข้าพระองค์มาจากครรภ์มารดาข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์เสมอ
สดด 109.14 ขอให้ความชั่วช้าของบรรพบุรุษของเขายังเป็นที่จำได้อยู่ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ อย่าให้บาปของมารดาเขาลบเลือนไป
สดด 131.2 แต่ข้าพระองค์ได้สงบและระงับจิตใจของข้าพระองค์ อย่างเด็กที่หย่านมมารดาของตนแล้ว จิตใจของข้าพระองค์เหมือนอย่างเด็กที่หย่านมแล้ว
สดด 139.13 เพราะพระองค์ทรงปั้นส่วนภายในของข้าพระองค์ พระองค์ทรงทอข้าพระองค์เข้าด้วยกันในครรภ์มารดาของข้าพระองค์
สภษ 10.1 สุภาษิตของซาโลมอน บุตรชายที่ฉลาดกระทำให้บิดายินดี แต่บุตรชายที่โง่เป็นความโศกของมารดาเขา
สภษ 15.20 บุตรชายที่ฉลาดกระทำให้บิดายินดี แต่คนโง่ดูหมิ่นมารดาของตน
สภษ 19.26 บุคคลผู้ทำทารุณแก่บิดาของเขาและขับไล่มารดาของเขาไปเสีย เป็นบุตรชายผู้ก่อให้เกิดความอับอายและการถูกตำหนิ
สภษ 20.20 ถ้าคนหนึ่งคนใดแช่งบิดาหรือมารดาของตน ประทีปของเขาจะดับมืดมิด
สภษ 23.22 จงฟังบิดาของเจ้าผู้ให้กำเนิดเจ้า และอย่าดูหมิ่นมารดาของเจ้าเมื่อนางแก่
สภษ 28.24 บุคคลที่ขโมยของของบิดาหรือมารดาของตน และกล่าวว่า “อย่างนี้ไม่ละเมิด” เขาก็เป็นเพื่อนของคนทำลาย
สภษ 29.15 ไม้เรียวและคำตักเตือนให้เกิดปัญญา แต่ถ้าปล่อยเด็กไว้แต่ลำพังจะนำความอับอายมาสู่มารดาของตน
สภษ 30.11 มีคนชั่วอายุหนึ่งที่แช่งบิดาของตน และไม่อวยพรแก่มารดาของตน
สภษ 30.17 นัยน์ตาที่เยาะเย้ยบิดาและดูถูกไม่ฟังมารดาจะถูกกาแห่งหุบเขาจิกออกและนกอินทรีหนุ่มจะกินเสีย
ปญจ 5.15 เขาได้คลอดมาจากครรภ์มารดาฉันใด เขาจะกลับไปอย่างเปลือยเปล่าเช่นเดียวกับที่เขามาฉันนั้น และเขาจะเอาอะไรซึ่งเป็นผลจากหยาดเหงื่อแรงงานของเขาติดมือไปไม่ได้เลย
พซม 1.6 อย่ามองค่อนขอดดิฉัน เพราะดิฉันผิวคล้ำ เนื่องด้วยแสงแดดแผดเผาดิฉัน พวกบุตรแห่งมารดาของดิฉันได้ขึ้งโกรธดิฉัน เขาทั้งหลายใช้ดิฉันให้เป็นคนดูแลสวนองุ่น แต่สวนองุ่นของดิฉันเอง ดิฉันไม่ได้ดูแล
พซม 3.4 พอดิฉันผ่านพลตระเวนพ้นมาหน่อยเดียว ดิฉันก็พบเขาผู้นั้นที่ดวงใจของดิฉันรักใคร่ ดิฉันจับตัวเขากุมไว้แน่น และไม่ยอมปล่อยให้เขาหลุดไปเลย จนดิฉันพาเขาให้เข้ามาในเรือนของมารดาดิฉัน และให้เข้ามาในห้องของผู้ที่ให้ดิฉันได้ปฏิสนธิ
พซม 6.9 แม่นกเขาของฉัน แม่คนงามหมดจดของฉัน เป็นคนเดียว เธอเป็นคนเดียวของมารดา เป็นหัวรักหัวใคร่ของผู้ให้กำเนิด สาวๆทั้งหลายเห็นเธอ และเรียกเธอว่า ผาสุก ทั้งเหล่ามเหสีและเหล่านางห้ามก็สรรเสริญเยินยอเธอว่า
พซม 8.1 โอ ถ้าเธอได้เป็นเหมือนพี่ชายของดิฉัน ผู้ได้ดูดนมจากอกมารดาของดิฉันก็จะดี เพราะเมื่อดิฉันพบเธอนอกบ้าน ดิฉันจะได้จุบเธอได้ แล้วคนทั้งหลายจะได้ไม่ดูถูกดูหมิ่นดิฉัน
พซม 8.2 แล้วดิฉันจะได้เดินนำเธอพาเธอให้เข้ามาในเรือนมารดาของดิฉัน ผู้ซึ่งจะสอนดิฉัน ดิฉันจะได้ให้เธอดื่มน้ำองุ่นใส่เครื่องเทศ และดื่มน้ำทับทิมของดิฉัน
พซม 8.5 แม่คนนี้ที่ขึ้นมาจากถิ่นทุรกันดารอิงแอบแนบมากับคู่รัก คือใครที่ไหนหนอ ดิฉันได้ปลุกเธอเมื่อเธออยู่ใต้ต้นแอบเปิ้ล ที่นั่นแหละที่มารดาของเธอได้ให้กำเนิดเธอ ที่ตรงนั้นแหละผู้ที่คลอดเธอได้ให้กำเนิดเธอ
อสย 49.1 โอ เกาะทั้งหลายเอ๋ย จงฟังข้าพเจ้า เจ้าชนชาติทั้งหลายแต่ไกลเอ๋ย จงฟัง พระเยโฮวาห์ทรงเรียกข้าพเจ้าตั้งแต่ในครรภ์ พระองค์ทรงกล่าวถึงชื่อข้าพเจ้าตั้งแต่อยู่ในท้องมารดาข้าพเจ้า
อสย 66.13 ดั่งผู้ที่มารดาของตนเล้าโลม เราจะเล้าโลมเจ้าเช่นนั้น และเจ้าจะรับการเล้าโลมในเยรูซาเล็ม
ยรม 16.3 เพราะพระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้เรื่องบุตรชายและบุตรสาวที่เกิดในที่นี้ และทรงกล่าวถึงพวกมารดาที่คลอดบุตรเหล่านั้น และพวกบิดาที่ให้บังเกิดคนเหล่านั้นในแผ่นดินนี้ว่า
ยรม 20.14 ขอให้วันที่ข้าพเจ้าเกิดมานั้นถูกสาปแช่ง อย่าให้วันที่มารดาของข้าพเจ้าคลอดข้าพเจ้าได้รับพร
ยรม 20.17 เพราะเขามิได้ฆ่าข้าพเจ้าเสียตั้งแต่ในครรภ์ ให้มารดาของข้าพเจ้าเป็นหลุมฝังศพของข้าพเจ้า และครรภ์นั้นจะได้โตอยู่เป็นนิตย์
ยรม 22.26 เราจะเหวี่ยงเจ้าและมารดาผู้คลอดเจ้าไปยังอีกประเทศหนึ่ง ที่ซึ่งเจ้ามิได้เกิดที่นั่น และเจ้าจะตายที่นั่น
ยรม 50.12 มารดาของเจ้าจะละอายอย่างอดสู และนางที่คลอดเจ้าจะต้องอับอาย ดูเถิด ที่รั้งท้ายแห่งบรรดาประชาชาติจะเป็นถิ่นทุรกันดาร ที่แห้งแล้งและทะเลทราย
พคค 5.3 พวกข้าพระองค์เป็นคนกำพร้าและคนกำพร้าพ่อ และเหล่ามารดาของข้าพระองค์เป็นดั่งหญิงม่าย
อสค 19.2 กล่าวว่า “มารดาของเจ้าเป็นอย่างไรหนอ ก็เป็นแม่สิงโต เธอนอนอยู่ท่ามกลางสิงโตทั้งหลาย เธอเลี้ยงดูลูกของเธอท่ามกลางสิงโตหนุ่ม
อสค 19.10 มารดาของเจ้าเหมือนเถาองุ่นที่อยู่ในโลหิตของเจ้า เอามาปลูกไว้ริมน้ำ เธอมีผลดกและมีแขนงมากมายเหตุด้วยน้ำบริบูรณ์
อสค 23.2 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย มีผู้หญิงสองคน เป็นบุตรสาวมารดาเดียวกัน
อสค 44.25 อย่าให้เขากระทำตัวให้เป็นมลทินด้วยเข้าไปใกล้ผู้ตาย เว้นแต่เป็นบิดาหรือมารดาหรือบุตรชายหรือบุตรสาว หรือพี่น้องผู้ชายหรือพี่น้องผู้หญิงที่ไม่มีสามี ก็จะกระทำตัวให้เป็นมลทินได้
ฮชย 2.2 จงว่ากล่าวมารดาของเจ้า จงว่ากล่าวเถิด เพราะว่านางไม่ใช่ภรรยาของเรา และเราไม่ใช่สามีของนาง ฉะนั้นให้เธอทิ้งการเล่นชู้เสียจากสายตาของเธอ และทิ้งการล่วงประเวณีเสียจากระหว่างถันของนาง
ฮชย 2.5 เพราะว่ามารดาของเขาเล่นชู้ เธอผู้ที่ให้กำเนิดเขาทั้งหลายได้ประพฤติความอับอาย เพราะนางกล่าวว่า ‘ฉันจะตามคนรักของฉันไป ผู้ให้อาหารและน้ำแก่ฉัน เขาให้ขนแกะและป่านแก่ฉัน ทั้งน้ำมันและของดื่ม’
ฮชย 4.5 ฉะนั้นเวลากลางวันเจ้าจะสะดุด และผู้พยากรณ์จะสะดุดกับเจ้าในเวลากลางคืน และเราจะทำลายมารดาของเจ้า
ฮชย 12.3 ในครรภ์ของมารดาเขายึดส้นเท้าพี่ชายของเขา และโดยกำลังของเขาเอง เขาจึงมีอำนาจกับพระเจ้า
มธ 1.18 เรื่องพระกำเนิดของพระเยซูคริสต์เป็นดังนี้ คือมารีย์ผู้เป็นมารดาของพระเยซูนั้น เดิมโยเซฟได้สู่ขอหมั้นกันไว้แล้ว ก่อนที่จะได้อยู่กินด้วยกันก็ปรากฏว่า มารีย์มีครรภ์แล้วด้วยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์
มธ 2.11 ครั้นพวกเขาเข้าไปในเรือนก็พบกุมารกับนางมารีย์มารดา จึงกราบถวายนมัสการกุมารนั้น แล้วเปิดหีบหยิบทรัพย์ของเขาออกมาถวายแก่กุมารเป็นเครื่องบรรณาการ คือ ทองคำ กำยาน และมดยอบ
มธ 2.13 ครั้นเขาไปแล้ว ดูเถิด ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันแล้วบอกว่า “จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดาหนีไปประเทศอียิปต์ และคอยอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกเจ้า เพราะว่าเฮโรดจะแสวงหากุมารเพื่อจะประหารชีวิตเสีย”
มธ 2.14 ในเวลากลางคืนโยเซฟจึงลุกขึ้นพากุมารกับมารดาไปยังประเทศอียิปต์
มธ 2.20 สั่งว่า “จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดามายังแผ่นดินอิสราเอล เพราะคนเหล่านั้นที่แสวงหาชีวิตของกุมารนั้นตายแล้ว”
มธ 2.21 โยเซฟจึงลุกขึ้นพากุมารกับมารดามายังแผ่นดินอิสราเอล
มธ 10.35 ด้วยว่าเรามาเพื่อจะให้ลูกชายหมางใจกับบิดาของตน และลูกสาวหมางใจกับมารดาและลูกสะใภ้หมางใจกับแม่สามี
มธ 12.46 ขณะที่พระองค์ยังตรัสกับประชาชนอยู่นั้น ดูเถิด มารดาและพวกน้องชายของพระองค์พากันมายืนอยู่ภายนอกประสงค์จะสนทนากับพระองค์
มธ 12.47 แล้วมีคนหนึ่งทูลพระองค์ว่า “ดูเถิด มารดาและพวกน้องชายของพระองค์ยืนอยู่ข้างนอกประสงค์จะสนทนากับพระองค์”
มธ 12.48 แต่พระองค์ตรัสตอบผู้ที่ทูลพระองค์นั้นว่า “ใครเป็นมารดาของเรา ใครเป็นพี่น้องของเรา”
มธ 12.49 พระองค์ทรงเหยียดพระหัตถ์ไปทางพวกสาวกของพระองค์ และตรัสว่า “ดูเถิด นี่เป็นมารดาและพี่น้องของเรา
มธ 12.50 ด้วยว่าผู้ใดจะกระทำตามพระทัยพระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ผู้นั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา”
มธ 13.55 คนนี้เป็นลูกช่างไม้มิใช่หรือ มารดาของเขาชื่อมารีย์มิใช่หรือ และน้องชายของเขาชื่อยากอบ โยเสส ซีโมน และยูดาสมิใช่หรือ
มธ 14.8 บุตรสาวก็ทูลตามที่มารดาได้สั่งไว้แล้วว่า “ขอศีรษะยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาใส่ถาดมาให้หม่อมฉันที่นี่เพคะ”
มธ 14.11 เขาจึงเอาศีรษะของยอห์นใส่ถาดมาให้หญิงสาวนั้น หญิงสาวนั้นก็เอาไปให้มารดา
มธ 19.12 ด้วยว่าผู้ที่เป็นขันทีตั้งแต่กำเนิดจากครรภ์มารดาก็มี ผู้ที่มนุษย์กระทำให้เป็นขันทีก็มี ผู้ที่กระทำตัวเองให้เป็นขันทีเพราะเห็นแก่อาณาจักรแห่งสวรรค์ก็มี ใครถือได้ก็ให้ถือเอาเถิด”
มธ 20.20 ขณะนั้นมารดาของบุตรแห่งเศเบดีพาบุตรชายทั้งสองมาเฝ้าพระองค์ นมัสการทูลขอสิ่งหนึ่งจากพระองค์
มธ 27.56 ในพวกนั้นมีมารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบและโยเสส และมารดาของบุตรเศเบดี
มก 3.31 เวลานั้นมารดาและพวกน้องชายของพระองค์มายืนอยู่ข้างนอก แล้วใช้คนเข้าไปทูลเรียกพระองค์
มก 3.32 และประชาชนก็นั่งอยู่รอบพระองค์ เขาจึงทูลพระองค์ว่า “ดูเถิด มารดาและพวกน้องชายของพระองค์มาหาพระองค์คอยอยู่ข้างนอก”
มก 3.33 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “ใครเป็นมารดาของเรา และใครเป็นพี่น้องของเรา”
มก 3.34 พระองค์ทอดพระเนตรคนที่นั่งล้อมรอบพระองค์นั้นแล้วตรัสว่า “ดูเถิด นี่เป็นมารดาและพี่น้องของเรา
มก 3.35 ผู้ใดจะกระทำตามพระทัยพระเจ้า ผู้นั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา”
มก 6.24 หญิงสาวนั้นจึงออกไปถามมารดาว่า “ฉันจะขอสิ่งใดดี” มารดาจึงตอบว่า “จงขอศีรษะยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาเถิด”
มก 6.28 เอาศีรษะของยอห์นใส่ถาดมาให้แก่หญิงสาวนั้น หญิงสาวนั้นก็เอาไปให้แก่มารดาของตน
มก 10.30 ในเวลานี้ผู้นั้นจะได้รับตอบแทนร้อยเท่า คือบ้าน พี่น้องชายหญิง มารดา บุตรและที่ดิน ทั้งจะถูกการข่มเหงด้วย และในโลกหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร์
มก 15.40 มีพวกผู้หญิงมองดูอยู่แต่ไกล ในพวกผู้หญิงนั้นมีมารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบน้อยและของโยเสส และนางสะโลเม
มก 15.47 ฝ่ายมารีย์ชาวมักดาลา และมารีย์มารดาของโยเสส ได้เห็นที่ที่พระศพบรรจุไว้
มก 16.1 ครั้นวันสะบาโตล่วงไปแล้ว มารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบ และนางสะโลเม ซื้อเครื่องหอมมาเพื่อจะไปชโลมพระศพของพระองค์
ลก 1.15 เพราะว่าเขาจะเป็นใหญ่ในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า เขาจะไม่ดื่มน้ำองุ่นหรือเหล้าเลย และเขาจะประกอบไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ตั้งแต่ครรภ์มารดา
ลก 1.43 เป็นไฉนข้าพเจ้าจึงได้ความโปรดปรานเช่นนี้ คือมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าได้มาหาข้าพเจ้า
ลก 1.60 ฝ่ายมารดาจึงตอบว่า “ไม่ใช่ แต่ต้องให้ชื่อว่ายอห์น”
ลก 2.33 ฝ่ายโยเซฟกับมารดาของพระกุมารก็ประหลาดใจ เพราะถ้อยคำซึ่งท่านได้กล่าวถึงพระกุมารนั้น
ลก 2.34 แล้วสิเมโอนก็อวยพรแก่เขา แล้วกล่าวแก่นางมารีย์มารดาของพระกุมารนั้นว่า “ดูก่อนท่าน ทรงตั้งพระกุมารนี้ไว้เป็นเหตุให้หลายคนในพวกอิสราเอลล้มลงหรือยกตั้งขึ้น และจะเป็นหมายสำคัญซึ่งคนปฏิเสธ
ลก 2.43 เมื่อครบกำหนดวันเลี้ยงกันแล้ว ขณะเขากำลังกลับไป พระกุมารเยซูก็ยังค้างอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม ฝ่ายโยเซฟกับมารดาของพระองค์ก็ไม่รู้
ลก 2.48 ฝ่ายเขาทั้งสองเมื่อเห็นพระกุมารแล้วก็ประหลาดใจ มารดาจึงถามพระกุมารว่า “ลูกเอ๋ย ทำไมจึงทำแก่เราอย่างนี้ ดูเถิด พ่อกับแม่แสวงหาเป็นทุกข์นัก”
ลก 2.51 แล้วพระกุมารก็ลงไปกับเขาไปยังเมืองนาซาเร็ธ อยู่ใต้ความปกครองของเขา มารดาก็เก็บเรื่องราวทั้งหมดนั้นไว้ในใจ
ลก 7.13 เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นมารดานั้น พระองค์ทรงเมตตากรุณาเขาและตรัสแก่เขาว่า “อย่าร้องไห้”
ลก 7.15 คนที่ตายนั้นก็ลุกขึ้นนั่งเริ่มพูด พระองค์จึงทรงมอบชายหนุ่มให้แก่มารดาของเขา
ลก 8.19 ครั้งนั้นมารดาและพวกน้องชายของพระองค์มาหาพระองค์ แต่เข้าไปถึงพระองค์ไม่ได้เพราะคนมาก
ลก 8.20 มีคนทูลพระองค์ว่า “มารดาและน้องชายของพระองค์ยืนอยู่ข้างนอกปรารถนาจะพบพระองค์”
ลก 8.21 แต่พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “มารดาของเรา และพี่น้องของเราคือคนเหล่านั้นที่ได้ฟังพระวจนะของพระเจ้าและกระทำตาม”
ลก 24.10 ผู้ที่ได้บอกเหตุการณ์นั้นแก่อัครสาวก คือมารีย์ชาวมักดาลา โยอันนา มารีย์มารดาของยากอบ และหญิงอื่นๆที่อยู่กับเขา
ยน 2.1 วันที่สามมีงานสมรสที่หมู่บ้านคานาแคว้นกาลิลี และมารดาของพระเยซูก็อยู่ที่นั่น
ยน 2.3 เมื่อน้ำองุ่นหมดแล้ว มารดาของพระเยซูทูลพระองค์ว่า “เขาไม่มีน้ำองุ่น”
ยน 2.5 มารดาของพระองค์จึงบอกพวกคนใช้ว่า “ท่านจะสั่งพวกเจ้าให้ทำสิ่งใด ก็จงกระทำตามเถิด”
ยน 2.12 ภายหลังเหตุการณ์นี้พระองค์ก็เสด็จลงไปยังเมืองคาเปอรนาอุม พร้อมกับมารดาและน้องชายและสาวกของพระองค์ และอยู่ที่นั่นเพียงไม่กี่วัน
ยน 3.4 นิโคเดมัสทูลพระองค์ว่า “คนชราแล้วจะบังเกิดใหม่อย่างไรได้ จะเข้าในครรภ์มารดาครั้งที่สองและบังเกิดใหม่ได้หรือ”
ยน 19.25 ผู้ที่ยืนอยู่ข้างกางเขนของพระเยซูนั้น มีมารดาของพระองค์กับน้าสาวของพระองค์ มารีย์ภรรยาของเคลโอปัส และมารีย์ชาวมักดาลา
ยน 19.26 ฉะนั้นเมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นมารดาของพระองค์ และสาวกคนที่พระองค์ทรงรักยืนอยู่ใกล้ พระองค์ตรัสกับมารดาของพระองค์ว่า “หญิงเอ๋ย จงดูบุตรของท่านเถิด”
ยน 19.27 แล้วพระองค์ตรัสกับสาวกคนนั้นว่า “จงดูมารดาของท่านเถิด” และตั้งแต่เวลานั้นมา สาวกคนนั้นก็รับนางมาอยู่ในบ้านของตน
กจ 1.14 พวกเขาร่วมใจกันอธิษฐานอ้อนวอนต่อเนื่องพร้อมกับพวกผู้หญิง และมารีย์มารดาของพระเยซูและพวกน้องชายของพระองค์ด้วย
กจ 3.2 มีชายคนหนึ่งเป็นง่อยตั้งแต่ครรภ์มารดา ทุกวันคนเคยหามเขามาวางไว้ริมประตูพระวิหาร ซึ่งมีชื่อว่าประตูงาม เพื่อให้ขอทานจากคนที่จะเข้าไปในพระวิหาร
กจ 12.12 เมื่อเปโตรคิดอย่างนั้นแล้ว ก็มาถึงบ้านของมารีย์มารดาของยอห์นผู้มีชื่ออีกว่า มาระโก ที่นั่นมีหลายคนได้ประชุมอธิษฐานกันอยู่
กจ 14.8 ที่เมืองลิสตรามีชายคนหนึ่งนั่งอยู่ใช้เท้าไม่ได้ เขาพิการตั้งแต่ครรภ์มารดา ยังไม่เคยเดินเลย
รม 16.13 ขอฝากความคิดถึงมายังรูฟัสผู้ที่ทรงเลือกไว้ในฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้า และมารดาของเขาและมารดาข้าพเจ้าด้วย
กท 1.15 แต่เมื่อเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้า ผู้ได้ทรงสรรข้าพเจ้าไว้แต่ครรภ์มารดาของข้าพเจ้า และได้ทรงเรียกข้าพเจ้าโดยพระคุณของพระองค์
กท 4.26 แต่ว่ากรุงเยรูซาเล็มซึ่งอยู่เบื้องบนนั้นเป็นไทย เป็นมารดาของเราทั้งปวง
1ทธ 5.2 และผู้หญิงผู้มีอาวุโสเป็นเสมือนมารดา และส่วนหญิงสาวๆก็ให้เป็นเสมือนพี่สาวน้องสาว ด้วยความบริสุทธิ์ทั้งหมด
2ทธ 1.5 ข้าพเจ้าระลึกถึงความเชื่ออันแท้นั้นซึ่งมีอยู่ในท่าน และซึ่งเมื่อก่อนได้มีอยู่ในโลอิสยายของท่าน และซึ่งได้มีอยู่ในยูนีสมารดาของท่าน และซึ่งข้าพเจ้าเชื่อมั่นคงว่ามีอยู่ในท่านด้วย

มารธา ( 15 )
ลก 10.38 และต่อมาเมื่อพระองค์กับเหล่าสาวกกำลังเดินทางไป พระองค์จึงทรงเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อมารธาต้อนรับพระองค์ไว้ในเรือนของเธอ
ลก 10.39 มารธามีน้องสาวชื่อมารีย์ มารีย์ก็นั่งใกล้พระบาทพระเยซูฟังถ้อยคำของพระองค์ด้วย
ลก 10.40 แต่มารธายุ่งในการปรนนิบัติมากจึงมาทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ไม่สนพระทัยหรือ ซึ่งน้องสาวของข้าพระองค์ปล่อยให้ข้าพระองค์ทำการปรนนิบัติแต่คนเดียว ขอพระองค์สั่งเขาให้มาช่วยข้าพระองค์เถิด”
ลก 10.41 แต่พระเยซูตรัสตอบเธอว่า “มารธา มารธา เอ๋ย เธอกระวนกระวายและร้อนใจด้วยหลายสิ่งนัก
ยน 11.1 มีชายคนหนึ่งชื่อลาซารัสกำลังป่วยอยู่ที่หมู่บ้านเบธานี ซึ่งเป็นเมืองที่มารีย์และมารธาพี่สาวของเธออยู่นั้น
ยน 11.5 พระเยซูทรงรักมารธาและน้องสาวของเธอและลาซารัส
ยน 11.19 พวกยิวหลายคนได้มาหามารธาและมารีย์ เพื่อจะปลอบโยนเธอเรื่องน้องชายของเธอ
ยน 11.20 ครั้นมารธารู้ข่าวว่าพระเยซูกำลังเสด็จมา เธอก็ออกไปต้อนรับพระองค์ แต่มารีย์นั่งอยู่ในเรือน
ยน 11.21 มารธาจึงทูลพระเยซูว่า “พระองค์เจ้าข้า ถ้าพระองค์อยู่ที่นี่ น้องชายของข้าพระองค์คงไม่ตาย
ยน 11.24 มารธาทูลพระองค์ว่า “ข้าพระองค์ทราบแล้วว่า เขาจะฟื้นขึ้นมาอีกในวันสุดท้ายเมื่อคนทั้งปวงจะฟื้นขึ้นมา”
ยน 11.27 มารธาทูลพระองค์ว่า “เชื่อ พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์เชื่อว่า พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ที่จะเสด็จมาในโลก”
ยน 11.30 ฝ่ายพระเยซูยังไม่เสด็จเข้าไปในเมือง แต่ยังประทับอยู่ ณ ที่ซึ่งมารธาพบพระองค์นั้น
ยน 11.39 พระเยซูตรัสว่า “จงเอาศิลาออกเสีย” มารธาพี่สาวของผู้ตายจึงทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ป่านนี้ศพมีกลิ่นเหม็นแล้ว เพราะว่าเขาตายมาสี่วันแล้ว”
ยน 12.2 ที่นั่นเขาจัดงานเลี้ยงอาหารเย็นแก่พระองค์ มารธาก็ปรนนิบัติอยู่ และลาซารัสก็เป็นคนหนึ่งในพวกเขาที่เอนกายลงรับประทานกับพระองค์

มารยา ( 2 )
ยรม 9.8 ลิ้นของเขาเป็นลูกศรมฤตยู มันพูดมารยา เขาพูดอย่างสันติกับเพื่อนบ้านของเขาด้วยปาก แต่ในใจของเขา เขาวางแผนการคอยดักเขาอยู่”
รม 12.9 จงให้ความรักปราศจากมารยา จงเกลียดชังสิ่งที่ชั่ว จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี

มารร้าย ( 7 )
มธ 13.19 เมื่อผู้ใดได้ยินพระวจนะแห่งอาณาจักรนั้นแต่ไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาฉวยเอาพืชซึ่งหว่านในใจเขานั้นไปเสีย นั่นแหละได้แก่ผู้ซึ่งรับเมล็ดริมหนทาง
มธ 13.38 นานั้นได้แก่โลก ส่วนเมล็ดพืชดีได้แก่ลูกหลานแห่งอาณาจักร แต่ข้าวละมานได้แก่ลูกหลานของมารร้าย
ยน 6.70 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราเลือกพวกท่านสิบสองคนมิใช่หรือ และคนหนึ่งในพวกท่านเป็นมารร้าย”
1ยน 2.13 ท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้รู้จักกับพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่เริ่มแรก ท่านทั้งหลายที่เป็นคนหนุ่มๆ ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้ชัยชนะแก่มารร้าย ท่านทั้งหลายผู้เป็นลูกเล็กๆ ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้รู้จักกับพระบิดา
1ยน 2.14 ท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้รู้จักกับพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่เริ่มแรก ท่านทั้งหลายที่เป็นคนหนุ่มๆ ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายมีกำลังมาก และพระวจนะของพระเจ้าดำรงอยู่ในท่านทั้งหลาย และท่านได้ชัยชนะแก่มารร้ายแล้ว
1ยน 3.12 อย่าเป็นเหมือนคาอินที่มาจากมารร้ายนั้น และได้ฆ่าน้องชายของตนเอง และเหตุใดเขาจึงฆ่าน้องชาย ก็เพราะการกระทำของเขาชั่ว และการกระทำของน้องชายนั้นชอบธรรม
1ยน 5.18 เราทั้งหลายรู้ว่า คนใดที่บังเกิดจากพระเจ้าก็ไม่กระทำบาป แต่ว่าคนที่บังเกิดจากพระเจ้าก็ระวังรักษาตัว และมารร้ายนั้นไม่แตะต้องเขาเลย

มารเสนา ( 1 )
อสธ 1.14 ผู้ที่รองพระองค์คือ คารเชนา เชธาร์ อัดมาธา ทารชิช เมเรส มารเสนา และเมมูคาน เจ้านายทั้งเจ็ดของเปอร์เซียและมีเดีย ผู้เคยเข้าเฝ้ากษัตริย์ และนั่งก่อนในราชอาณาจักร)

มารห์โลน ( 1 )
นรธ 1.2 ชายคนนั้นชื่อเอลีเมเลค ภรรยาชื่อนาโอมี บุตรชายสองคนชื่อมารห์โลนและคิลิโอน เป็นชาวเอฟราธาห์ มาจากเมืองเบธเลเฮมในยูดาห์ เขาทั้งหลายเดินทางเข้าไปในแผ่นดินโมอับและอาศัยอยู่ที่นั่น

มาระโก ( 9 )
กจ 12.12 เมื่อเปโตรคิดอย่างนั้นแล้ว ก็มาถึงบ้านของมารีย์มารดาของยอห์นผู้มีชื่ออีกว่า มาระโก ที่นั่นมีหลายคนได้ประชุมอธิษฐานกันอยู่
กจ 12.25 ฝ่ายบารนาบัสกับเซาโล เมื่อได้ทำภารกิจที่รับมอบหมายสำเร็จแล้ว จึงจากกรุงเยรูซาเล็มกลับไป พายอห์นผู้มีชื่ออีกว่ามาระโกไปด้วย
กจ 15.37 ฝ่ายบารนาบัสได้ตั้งใจว่าจะพายอห์นผู้มีอีกชื่อหนึ่งว่ามาระโกไปด้วย
กจ 15.39 แล้วได้เกิดการขัดแย้งกันจนต้องแยกกัน บารนาบัสจึงพามาระโกลงเรือไปยังเกาะไซปรัส
คส 4.10 อาริสทารคัส เพื่อนร่วมในการถูกจองจำกับข้าพเจ้าและมาระโก ลูกชายของน้องสาวบารนาบัส ฝากความคิดถึงมายังท่านทั้งหลาย (ท่านก็ได้รับคำสั่งถึงเรื่องมาระโกแล้วว่า ถ้าเขามาหาท่าน ก็จงรับรองเขา)
2ทธ 4.11 ลูกาคนเดียวเท่านั้นที่อยู่กับข้าพเจ้า จงไปตามมาระโกและพาเขามาด้วย เพราะเขาเป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้าสำหรับการรับใช้นี้
ฟม 1.24 มาระโก อาริสทารคัส เดมาส และลูกา ผู้เป็นเพื่อนร่วมงานกับข้าพเจ้า ก็ฝากความคิดถึงมายังท่านด้วย
1ปต 5.13 คริสตจักรที่เมืองบาบิโลน ซึ่งทรงเลือกไว้เช่นเดียวกันกับท่านทั้งหลาย ฝากความคิดถึงมายังท่าน และมาระโกบุตรชายของข้าพเจ้าก็ฝากความคิดถึงมายังท่านด้วย

มารา ( 1 )
นรธ 1.20 นาโอมีตอบเขาว่า “ขออย่าเรียกฉันว่านาโอมีเลย ขอเรียกฉันว่ามาราเถอะ เพราะว่าองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงกระทำแก่ฉันอย่างขมขื่น

มาราลาห์ ( 1 )
ยชว 19.11 แล้วพรมแดนของเขายื่นออกไปทางด้านทะเล เรื่อยไปจนถึงมาราลาห์ และมาจดเมืองดับเบเชท แล้วมาถึงแม่น้ำที่อยู่ตรงหน้าโยกเนอัม

มาราห์ ( 5 )
อพย 15.23 ครั้นมาถึงตำบลมาราห์ เขาก็กินน้ำที่ตำบลมาราห์นั้นไม่ได้ เพราะน้ำขม เหตุฉะนั้นจึงตั้งชื่อว่ามาราห์
กดว 33.8 และเขาทั้งหลายยกเดินจากหน้าปีหะหิโรท ข้ามกลางทะเลเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร และเขาทั้งหลายเดินในถิ่นทุรกันดารเอธามระยะทางสามวัน และมาตั้งค่ายที่มาราห์
กดว 33.9 และเขายกเดินจากมาราห์มาถึงเอลิม ที่เอลิมมีน้ำพุสิบสองแห่งและต้นอินทผลัมเจ็ดสิบต้น และเขาตั้งค่ายที่นั่น

มารีย์ ( 71 )
มธ 1.16 ยาโคบให้กำเนิดบุตรชื่อโยเซฟ สามีของนางมารีย์ พระเยซูที่เรียกว่าพระคริสต์ก็ทรงบังเกิดมาจากนางมารีย์
มธ 1.18 เรื่องพระกำเนิดของพระเยซูคริสต์เป็นดังนี้ คือมารีย์ผู้เป็นมารดาของพระเยซูนั้น เดิมโยเซฟได้สู่ขอหมั้นกันไว้แล้ว ก่อนที่จะได้อยู่กินด้วยกันก็ปรากฏว่า มารีย์มีครรภ์แล้วด้วยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์
มธ 1.20 แต่เมื่อโยเซฟยังคิดในเรื่องนี้อยู่ ดูเถิด มีทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันว่า “โยเซฟ บุตรดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของเจ้าเลย เพราะว่าผู้ซึ่งปฏิสนธิในครรภ์ของเธอเป็นโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์
มธ 1.24 ครั้นโยเซฟตื่นขึ้นก็กระทำตามคำซึ่งทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าสั่งเขานั้น คือได้รับมารีย์มาเป็นภรรยา
มธ 2.11 ครั้นพวกเขาเข้าไปในเรือนก็พบกุมารกับนางมารีย์มารดา จึงกราบถวายนมัสการกุมารนั้น แล้วเปิดหีบหยิบทรัพย์ของเขาออกมาถวายแก่กุมารเป็นเครื่องบรรณาการ คือ ทองคำ กำยาน และมดยอบ
มธ 13.55 คนนี้เป็นลูกช่างไม้มิใช่หรือ มารดาของเขาชื่อมารีย์มิใช่หรือ และน้องชายของเขาชื่อยากอบ โยเสส ซีโมน และยูดาสมิใช่หรือ
มธ 27.56 ในพวกนั้นมีมารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบและโยเสส และมารดาของบุตรเศเบดี
มธ 27.61 ฝ่ายมารีย์ชาวมักดาลากับมารีย์อีกคนหนึ่งนั้น ก็นั่งอยู่ที่นั่นตรงหน้าอุโมงค์
มธ 28.1 ภายหลังวันสะบาโต เวลาใกล้รุ่งเช้าวันต้นสัปดาห์ มารีย์ชาวมักดาลากับมารีย์อีกคนหนึ่งมาดูอุโมงค์
มก 6.3 คนนี้เป็นช่างไม้บุตรชายนางมารีย์มิใช่หรือ ยากอบ โยเสส ยูดาส และซีโมนเป็นน้องชายมิใช่หรือ และน้องสาวทั้งหลายของเขาก็อยู่ที่นี่กับเรามิใช่หรือ” เขาทั้งหลายจึงหมางใจในพระองค์
มก 15.40 มีพวกผู้หญิงมองดูอยู่แต่ไกล ในพวกผู้หญิงนั้นมีมารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบน้อยและของโยเสส และนางสะโลเม
มก 15.47 ฝ่ายมารีย์ชาวมักดาลา และมารีย์มารดาของโยเสส ได้เห็นที่ที่พระศพบรรจุไว้
มก 16.1 ครั้นวันสะบาโตล่วงไปแล้ว มารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบ และนางสะโลเม ซื้อเครื่องหอมมาเพื่อจะไปชโลมพระศพของพระองค์
มก 16.9 ครั้นรุ่งเช้าวันต้นสัปดาห์ เมื่อพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาแล้ว พระองค์ทรงสำแดงพระองค์ให้ปรากฏแก่มารีย์ชาวมักดาลาก่อน คือมารีย์คนที่พระองค์ได้ขับผีออกเจ็ดผี
มก 16.10 มารีย์จึงไปบอกพวกคนที่เคยอยู่กับพระองค์แต่ก่อน เขากำลังร้องไห้เป็นทุกข์อยู่
มก 16.11 เมื่อเขาได้ยินว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ และมารีย์ได้เห็นพระองค์แล้ว เขาก็ไม่เชื่อ
ลก 1.27 มาถึงหญิงพรหมจารีคนหนึ่งที่ได้หมั้นกันไว้กับชายคนหนึ่งชื่อโยเซฟ เป็นคนในวงศ์วานดาวิด หญิงพรหมจารีนั้นชื่อมารีย์
ลก 1.29 เมื่อมารีย์เห็นทูตสวรรค์องค์นั้น เธอก็ตกใจเพราะคำของทูตนั้น และรำพึงว่าคำกล่าวนั้นจะหมายว่าอะไร
ลก 1.30 แล้วทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่เธอว่า “มารีย์เอ๋ย อย่ากลัวเลย เพราะเธอเป็นที่พระเจ้าทรงโปรดปรานแล้ว
ลก 1.34 ฝ่ายมารีย์ทูลทูตสวรรค์นั้นว่า “เหตุการณ์นั้นจะเป็นไปอย่างไรได้ เพราะข้าพเจ้ายังหาได้ร่วมกับชายใดไม่”
ลก 1.38 ส่วนมารีย์จึงทูลว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าเป็นหญิงคนใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้บังเกิดแก่ข้าพเจ้าตามคำของท่านเถิด” แล้วทูตสวรรค์นั้นจึงจากเธอไป
ลก 1.39 คราวนั้นมารีย์จึงรีบออกไปถึงเมืองหนึ่งในแถบภูเขาแห่งยูเดีย
ลก 1.41 ต่อมาเมื่อนางเอลีซาเบธได้ยินคำปราศรัยของมารีย์ ทารกในครรภ์ของเขาก็ดิ้น และนางเอลีซาเบธก็ประกอบไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์
ลก 1.46 นางมารีย์จึงว่า “จิตใจของข้าพเจ้าก็ยกย่ององค์พระผู้เป็นเจ้า
ลก 1.56 มารีย์อาศัยอยู่กับนางเอลีซาเบธประมาณสามเดือน แล้วจึงกลับไปยังบ้านของตน
ลก 2.5 เขาได้ไปกับมารีย์ที่เขาได้หมั้นไว้แล้ว เพื่อจะขึ้นทะเบียนและนางมีครรภ์
ลก 2.6 เมื่อเขาทั้งสองยังอยู่ที่นั่น ก็ถึงเวลาที่มารีย์จะประสูติบุตร
ลก 2.16 เขาก็รีบไปแล้วพบนางมารีย์กับโยเซฟและพบพระกุมารนั้นนอนอยู่ในรางหญ้า
ลก 2.19 ฝ่ายนางมารีย์ก็เก็บบรรดาสิ่งเหล่านี้ไว้ในใจ และรำพึงอยู่
ลก 2.22 เมื่อวันทำพิธีชำระตัวของนางมารีย์ตามพระราชบัญญัติของโมเสสเสร็จลงแล้ว เขาทั้งหลายจึงนำพระกุมารไปยังกรุงเยรูซาเล็มจะถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า
ลก 2.34 แล้วสิเมโอนก็อวยพรแก่เขา แล้วกล่าวแก่นางมารีย์มารดาของพระกุมารนั้นว่า “ดูก่อนท่าน ทรงตั้งพระกุมารนี้ไว้เป็นเหตุให้หลายคนในพวกอิสราเอลล้มลงหรือยกตั้งขึ้น และจะเป็นหมายสำคัญซึ่งคนปฏิเสธ
ลก 2.39 ครั้นโยเซฟกับนางมารีย์ได้กระทำการทั้งปวงตามพระราชบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้าเสร็จแล้ว จึงกลับไปถึงนาซาเร็ธเมืองของตนในแคว้นกาลิลี
ลก 8.2 พร้อมกับผู้หญิงบางคนที่มีวิญญาณชั่วออกจากนางและที่หายโรคต่างๆ คือมารีย์ที่เรียกว่าชาวมักดาลา ที่ได้ทรงขับผีออกจากนางเจ็ดผี
ลก 10.39 มารธามีน้องสาวชื่อมารีย์ มารีย์ก็นั่งใกล้พระบาทพระเยซูฟังถ้อยคำของพระองค์ด้วย
ลก 10.42 สิ่งซึ่งต้องการนั้นมีแต่สิ่งเดียว มารีย์ได้เลือกเอาส่วนดีนั้น ใครจะชิงเอาไปจากเธอไม่ได้”
ลก 24.10 ผู้ที่ได้บอกเหตุการณ์นั้นแก่อัครสาวก คือมารีย์ชาวมักดาลา โยอันนา มารีย์มารดาของยากอบ และหญิงอื่นๆที่อยู่กับเขา
ยน 11.1 มีชายคนหนึ่งชื่อลาซารัสกำลังป่วยอยู่ที่หมู่บ้านเบธานี ซึ่งเป็นเมืองที่มารีย์และมารธาพี่สาวของเธออยู่นั้น
ยน 11.2 (มารีย์ผู้นี้คือหญิงที่เอาน้ำมันหอมชโลมองค์พระผู้เป็นเจ้า และเอาผมของเธอเช็ดพระบาทของพระองค์ ลาซารัสน้องชายของเธอกำลังป่วยอยู่)
ยน 11.19 พวกยิวหลายคนได้มาหามารธาและมารีย์ เพื่อจะปลอบโยนเธอเรื่องน้องชายของเธอ
ยน 11.20 ครั้นมารธารู้ข่าวว่าพระเยซูกำลังเสด็จมา เธอก็ออกไปต้อนรับพระองค์ แต่มารีย์นั่งอยู่ในเรือน
ยน 11.28 เมื่อเธอทูลดังนี้แล้ว เธอก็กลับไปและเรียกมารีย์น้องสาวกระซิบว่า “พระอาจารย์เสด็จมาแล้ว และทรงเรียกเจ้า”
ยน 11.29 เมื่อมารีย์ได้ยินแล้ว เธอก็รีบลุกขึ้นไปเฝ้าพระองค์
ยน 11.31 พวกยิวที่อยู่กับมารีย์ในเรือนและกำลังปลอบโยนเธออยู่ เมื่อเห็นมารีย์รีบลุกขึ้นและเดินออกไปจึงตามเธอไปพูดกันว่า “เธอจะไปร้องไห้ที่อุโมงค์”
ยน 11.32 ครั้นมารีย์มาถึงที่ซึ่งพระเยซูประทับอยู่และเห็นพระองค์แล้ว จึงกราบลงที่พระบาทของพระองค์ทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ถ้าพระองค์ประทับอยู่ที่นี่ น้องชายของข้าพระองค์คงไม่ตาย”
ยน 11.45 ดังนั้นพวกยิวหลายคนที่มาหามารีย์และได้เห็นการกระทำของพระเยซู ก็เชื่อในพระองค์
ยน 12.3 มารีย์จึงเอาน้ำมันหอมนาระดาบริสุทธิ์หนักประมาณครึ่งกิโลกรัม ซึ่งมีราคาแพงมากมาชโลมพระบาทของพระเยซู และเอาผมของเธอเช็ดพระบาทของพระองค์ เรือนก็หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นน้ำมันนั้น
ยน 19.25 ผู้ที่ยืนอยู่ข้างกางเขนของพระเยซูนั้น มีมารดาของพระองค์กับน้าสาวของพระองค์ มารีย์ภรรยาของเคลโอปัส และมารีย์ชาวมักดาลา
ยน 20.1 วันแรกของสัปดาห์เวลาเช้ามืด มารีย์ชาวมักดาลามาถึงอุโมงค์ฝังศพ เธอเห็นหินออกจากปากอุโมงค์อยู่แล้ว
ยน 20.11 แต่ฝ่ายมารีย์ยืนร้องไห้อยู่นอกอุโมงค์ ขณะที่ร้องไห้อยู่เธอก้มลงมองดูที่อุโมงค์
ยน 20.13 ทูตทั้งสองพูดกับมารีย์ว่า “หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม” เธอตอบทูตทั้งสองว่า “เพราะเขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าไปเสียแล้ว และข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน”
ยน 20.14 เมื่อมารีย์พูดอย่างนั้นแล้ว ก็หันกลับมาและเห็นพระเยซูประทับยืนอยู่ แต่ไม่ทราบว่าเป็นองค์พระเยซู
ยน 20.15 พระเยซูตรัสถามเธอว่า “หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม เจ้าตามหาผู้ใด” มารีย์สำคัญว่าพระองค์เป็นคนทำสวนจึงตอบพระองค์ว่า “นายเจ้าข้า ถ้าท่านได้เอาพระองค์ไป ขอบอกให้ดิฉันรู้ว่าเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน และดิฉันจะรับพระองค์ไป”
ยน 20.16 พระเยซูตรัสกับเธอว่า “มารีย์เอ๋ย” มารีย์จึงหันมาและทูลพระองค์ว่า “รับโบนี” ซึ่งแปลว่า อาจารย์
ยน 20.18 มารีย์มักดาลาจึงไปบอกพวกสาวกว่า เธอได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว และพระองค์ได้ตรัสคำเหล่านั้นกับเธอ
กจ 1.14 พวกเขาร่วมใจกันอธิษฐานอ้อนวอนต่อเนื่องพร้อมกับพวกผู้หญิง และมารีย์มารดาของพระเยซูและพวกน้องชายของพระองค์ด้วย
กจ 12.12 เมื่อเปโตรคิดอย่างนั้นแล้ว ก็มาถึงบ้านของมารีย์มารดาของยอห์นผู้มีชื่ออีกว่า มาระโก ที่นั่นมีหลายคนได้ประชุมอธิษฐานกันอยู่
รม 16.6 ขอฝากความคิดถึงมายังมารีย์ผู้ได้ตรากตรำทำงานหนักเพื่อเราทั้งหลาย

มาเรชาห์ ( 8 )
ยชว 15.44 เคอีลาห์ อัคซิบ มาเรชาห์ รวมเป็นเก้าหัวเมืองกับชนบทของเมืองนั้นๆด้วย
1พศด 2.42 บุตรชายของคาเลบน้องชายของเยราเมเอลชื่อ เมชาบุตรหัวปีของท่าน ผู้เป็นบิดาของศิฟ และบุตรชายของมาเรชาห์ ผู้เป็นบิดาของเฮโบรน
1พศด 4.21 บุตรชายของเช-ลาห์ผู้เป็นบุตรชายยูดาห์ คือ เอร์ บิดาของเลคาห์ ลาอาดาห์บิดาของมาเรชาห์ และบรรดาครอบครัวแห่งวงศ์วานของผู้ทำผ้าป่านเนื้อละเอียดแห่งวงศ์วานอัชเบอา
2พศด 11.8 กัท มาเรชาห์ และศิฟ
2พศด 14.9 เศ-ราห์ชาวเอธิโอเปียได้ออกมาต่อสู้กับเขาทั้งหลายด้วยกองทัพหนึ่งล้านคน และรถรบสามร้อยคันมาถึงเมืองมาเรชาห์
2พศด 14.10 และอาสาทรงยกออกไปปะทะกับเขา และเขาทั้งหลายก็ตั้งแนวรบในหุบเขาเศฟาธาห์ที่มาเรชาห์
2พศด 20.37 แล้วเอลีเยเซอร์บุตรชายโดดาวาหุแห่งเมืองมาเรชาห์ได้พยากรณ์ถึงเยโฮชาฟัทว่า “เพราะพระองค์ทรงร่วมงานกับอาหัสยาห์ พระเยโฮวาห์จะทรงทำลายสิ่งที่ท่านกระทำ” เรือก็แตกไม่สามารถไปเมืองทารชิชได้
มคา 1.15 โอ ชาวเมืองมาเรชาห์เอ๋ย เราจะนำผู้รับมรดกมาสู่เจ้าอีก ท่านจะมายังอดุลลัมซึ่งเป็นสง่าราศีของอิสราเอล

มาโรท ( 1 )
มคา 1.12 เพราะว่าชาวมาโรทคอยความดีอยู่ด้วยความรอบคอบ แต่ภัยพิบัติได้ลงมาจากพระเยโฮวาห์ถึงประตูเมืองเยรูซาเล็ม

มาลัย ( 6 )
1พกษ 7.17 แล้วมีตาข่ายเป็นตาหมากรุกด้วยมาลัยโซ่สำหรับบัวคว่ำที่อยู่บนหัวเสา เจ็ดอันสำหรับบัวคว่ำอันหนึ่ง และเจ็ดอันสำหรับบัวคว่ำอีกอันหนึ่ง
1พกษ 7.29 บนแผงที่ฝังอยู่ในกรอบนั้นมีรูปสิงโต วัว และเครูบ ข้างบนกรอบมีแท่นที่อยู่เหนือ และใต้สิงโตและวัวมีลวดลายเป็นมาลัยฝีค้อน
1พกษ 7.30 แล้วแท่นหนึ่งๆมีล้อทองสัมฤทธิ์สี่ล้อ และมีเพลาทองสัมฤทธิ์ ที่มุมทั้งสี่มีที่หนุน ขันที่หนุนอันหนึ่งหล่อมีมาลัยห้อยข้างๆทุกข้าง
1พกษ 7.36 ที่พื้นกรอบและพื้นแผง ท่านสลักเป็นรูปเครูบ สิงโต และต้นอินทผลัม ตามที่ว่างของแต่ละสิ่ง มีลายมาลัยรอบ
สภษ 1.9 เพราะทั้งสองนั้นจะเป็นมาลัยงามสวมศีรษะของเจ้า เป็นจี้ห้อยคอของเจ้า
สภษ 4.9 เธอจะเอามาลัยงามสวมศีรษะเจ้า เธอจะให้มงกุฎแห่งสง่าราศีแก่เจ้า”

มาลา ( 11 )
อพย 28.37 และเจ้าจงเอาด้ายถักสีฟ้า ผูกแผ่นทองคำนั้นไว้บนมาลาให้อยู่ที่ข้างมาลาด้านหน้า
อพย 28.40 จงทำเสื้อ รัดประคดและมาลาสำหรับบุตรชายทั้งหลายของอาโรนให้สมเกียรติและงดงาม
อพย 29.6 จงสวมมาลาที่ศีรษะของอาโรน และจงสวมมงกุฎบริสุทธิ์ทับมาลา
อพย 29.9 แล้วจงเอารัดประคดคาดเอวเขาไว้ ทั้งตัวอาโรนเองและบุตรชายของเขา และคาดมาลาให้เขา แล้วเขาก็จะรับตำแหน่งเป็นปุโรหิตตามกฎเกณฑ์เนืองนิตย์ ดังนี้แหละ เจ้าจงสถาปนาอาโรนและบุตรชายทั้งหลายของเขาไว้
อพย 39.28 และทำมาลาด้วยผ้าป่านเนื้อละเอียด และมาลางามด้วยผ้าป่านเนื้อละเอียด และทำกางเกงด้วยผ้าป่านเนื้อละเอียด
อพย 39.31 แล้วเขาเอาด้ายถักสีฟ้าผูกแผ่นทองคำนั้นไว้บนมาลา ตามที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาแก่โมเสส
ลนต 8.13 และโมเสสก็นำบุตรชายอาโรนเข้ามาสวมเสื้อแล้วคาดรัดประคดให้ และสวมมาลาให้ ดังที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาโมเสสไว้
อสค 44.18 ให้เขาสวมมาลาป่านไว้เหนือศีรษะ และสวมกางเกงผ้าป่านเพียงเอว อย่าให้เขาคาดตัวด้วยสิ่งใดที่ให้มีเหงื่อ

มาลาคี ( 1 )
มลค 1.1 ภาระแห่งพระวจนะของพระเยโฮวาห์ที่มีต่ออิสราเอลโดยมาลาคี

มาลาห์ ( 4 )
กดว 26.33 ส่วนเศโลเฟหัดบุตรชายเฮเฟอร์ไม่มีบุตรชายมีแต่บุตรสาว ชื่อบุตรสาวของเศโลเฟหัดคือ มาลาห์ โนอาห์ โฮกลาห์ มิลคาห์และทีรซาห์
กดว 27.1 ครั้งนั้นบุตรสาวทั้งหลายของเศโลเฟหัดบุตรชายของเฮเฟอร์ ผู้เป็นบุตรชายของกิเลอาด ผู้เป็นบุตรชายของมาคีร์ ผู้เป็นบุตรชายของมนัสเสห์ จากครอบครัวต่างๆของมนัสเสห์บุตรชายของโยเซฟเข้ามาใกล้ ชื่อบุตรสาวทั้งหลายของเขาคือ มาลาห์ โนอาห์ โฮกลาห์ มิลคาห์ และทีรซาห์
กดว 36.11 เพราะว่ามาลาห์ ทีรซาห์ โฮกลาห์ มิลคาห์ และโนอาห์ บุตรสาวของเศโลเฟหัด ได้แต่งงานกับบุตรชายทั้งหลายของพี่น้องแห่งบิดาของตน
ยชว 17.3 ฝ่ายเศโลเฟหัดบุตรชายของเฮเฟอร์ บุตรชายของกิเลอาด บุตรชายของมาคีร์ บุตรชายของมนัสเสห์ไม่มีบุตรผู้ชาย มีแต่บุตรสาว และต่อไปนี้เป็นชื่อบุตรสาวของเขาคือ มาลาห์ โนอาห์ ฮกลาห์ มิลคาห์ และทีรซาห์

มาลี ( 3 )
กดว 3.20 และบุตรชายของเมรารีตามครอบครัว คือมาลี และมูชี นี่เป็นครอบครัวคนเลวี ตามเรือนบรรพบุรุษของเขา
กดว 3.33 วงศ์เมรารีมีครอบครัวมาลี และครอบครัวมูชี เหล่านี้เป็นครอบครัวเมรารี
กดว 26.58 ต่อไปนี้เป็นครอบครัวของเลวี คือคนครอบครัวลิบนี คนครอบครัวเฮโบรน คนครอบครัวมาลี คนครอบครัวมูชี คนครอบครัวโคราห์ และโคฮาทให้กำเนิดบุตรชื่ออัมราม

ม้าศึก ( 3 )
สดด 33.17 ม้าศึกจะเป็นที่หวังความปลอดภัยก็หาไม่ กำลังมหาศาลของมันก็ช่วยให้รอดไม่ได้
อสค 27.14 วงศ์วานโทการมาห์เอาม้า ม้าศึกและล่อมาแลกกับสินค้าของเจ้า
ศคย 10.3 “เราโกรธเมษบาลอย่างรุนแรง และเราลงโทษบรรดาแพะผู้ เพราะพระเยโฮวาห์จอมโยธาเอาพระทัยใส่ฝูงสัตว์ของพระองค์คือวงศ์วานยูดาห์ และทรงกระทำเขาให้เป็นเหมือนม้าศึกฮึกเหิมในสงคราม

มาห์ลี ( 11 )
1พศด 6.19 บุตรชายของเมรารีคือ มาห์ลี และมูชี เหล่านี้เป็นครอบครัวของคนเลวีตามพงศ์พันธุ์บิดาของเขา
1พศด 6.29 บุตรชายของเมรารีคือมาห์ลี บุตรชายของมาห์ลีคือลิบนี บุตรชายของลิบนีคือชิเมอี บุตรชายของชิเมอีคืออุสซาห์
1พศด 6.47 ผู้เป็นบุตรชายมาห์ลี ผู้เป็นบุตรชายมูชี ผู้เป็นบุตรชายเมรารี ผู้เป็นบุตรชายเลวี
1พศด 23.21 บุตรชายของเมรารีคือ มาห์ลีและมูชี บุตรชายของมาห์ลีคือ เอเลอาซาร์และคีช
1พศด 23.23 บุตรชายของมูชีคือ มาห์ลี เอเดอร์ และเยรีโมท สามคน
1พศด 24.26 บุตรชายของเมรารีคือ มาห์ลีและมูชี บุตรชายของยาอาซียาห์คือ เบโน
1พศด 24.28 ของมาห์ลีคือ เอเลอาซาร์ผู้ไม่มีบุตรชาย
1พศด 24.30 บุตรชายของมูชีคือ มาห์ลี เอเดอร์ และเยรีโมท คนเหล่านี้เป็นลูกหลานของคนเลวี ตามเรือนบรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย
อสร 8.18 และโดยพระหัตถ์อันทรงพระคุณของพระเจ้าของเราอยู่กับเรา เขาได้นำคนที่มีความสุขุมมาให้เรา เป็นลูกหลานของมาห์ลีบุตรชายเลวี ผู้เป็นบุตรชายอิสราเอล ชื่อเชเรบิยาห์ กับบุตรชายและญาติพี่น้อง รวมสิบแปดคน

มาห์โลน ( 3 )
นรธ 1.5 แล้วมาห์โลนและคิลิโอนทั้งสองคนก็สิ้นชีวิต หญิงคนนั้นก็ต้องเปล่าเปลี่ยวเพราะเหตุสามีและบุตรชายทั้งสองของนางต้องล้มหายตายจากไป
นรธ 4.9 แล้วโบอาสจึงกล่าวแก่พวกผู้ใหญ่และประชาชนทั้งปวงว่า “ท่านทั้งหลายเป็นพยานในวันนี้ว่า ข้าพเจ้าได้ซื้อทรัพย์สินทั้งหมดของเอลีเมเลค และทรัพย์สินทั้งหมดของคิลิโอนและมาห์โลนจากมือนาโอมีแล้ว
นรธ 4.10 ยิ่งกว่านั้นรูธชาวโมอับแม่ม่ายของมาห์โลนข้าพเจ้าก็ได้มาเป็นภรรยาของข้าพเจ้า เพื่อจะจรรโลงนามของผู้ตายไว้กับมรดกของเขา เพื่อนามของผู้ตายจะไม่ต้องถูกตัดออกจากพวกพี่น้องของเขา และจากประตูบ้านเกิดเมืองนอนของเขา ท่านทั้งหลายเป็นพยานแล้วในวันนี้”

มาหะซิโอท ( 2 )
1พศด 25.4 จากเฮมาน คือลูกหลานของเฮมานมี บุคคียาห์ มัทธานิยาห์ อุสซีเอล เชบูเอล และเยรีโมท ฮานานิยาห์ ฮานานี เอลียาธาห์ กิดดาลที และโรมัมทีเอเซอร์ โยชเบคาชาห์ มัลโลธี โฮธีร์ และมาหะซิโอท
1พศด 25.30 ที่ยี่สิบสามได้แก่มาหะซิโอท พร้อมกับบุตรชายของเขาและพี่น้องของเขา สิบสองคน

มาหะนาอิม ( 13 )
ปฐก 32.2 เมื่อยาโคบเห็นทูตสวรรค์เหล่านั้นเขาจึงว่า “นี่เป็นกองทัพของพระเจ้า” เขาจึงเรียกสถานที่นั้นว่า มาหะนาอิม
ยชว 13.26 ตั้งแต่เมืองเฮชโบน จนถึงเมืองรามัทมิสเปห์และเบโทนิม และตั้งแต่มาหะนาอิมจนถึงเขตแดนเดบีร์
ยชว 13.30 อาณาเขตของเขาทั้งหลายเริ่มตั้งแต่มาหะนาอิมตลอดบาชานทั้งสิ้น คือราชอาณาจักรทั้งสิ้นของโอกกษัตริย์เมืองบาชาน และหัวเมืองทั้งหมดของยาอีร์ มีหกสิบหัวเมืองด้วยกันอยู่ในบาชาน
ยชว 21.38 และจากตระกูลกาด มีเมืองราโมทในกิเลอาด เป็นเมืองลี้ภัยของผู้ฆ่าคน พร้อมทุ่งหญ้า เมืองมาหะนาอิมพร้อมทุ่งหญ้า
2ซมอ 2.8 ฝ่ายอับเนอร์บุตรชายเนอร์แม่ทัพของกองทัพซาอูลได้พาอิชโบเชทราชโอรสของซาอูลข้ามไปที่เมืองมาหะนาอิม
2ซมอ 2.12 อับเนอร์บุตรชายเนอร์และพวกข้าราชการทหารของอิชโบเชทราชโอรสของซาอูลได้ออกจากมาหะนาอิมไปยังเมืองกิเบโอน
2ซมอ 2.29 อับเนอร์กับคนของท่านก็เดินทางตลอดคืนนั้นในที่ราบ เขาข้ามแม่น้ำจอร์แดนและเดินไปตามหุบเขาบิทโรน เขาก็มาถึงมาหะนาอิม
2ซมอ 17.24 ฝ่ายดาวิดก็เสด็จมายังเมืองมาหะนาอิม และอับซาโลมก็ข้ามแม่น้ำจอร์แดนพร้อมกับคนอิสราเอลทั้งปวง
2ซมอ 17.27 อยู่มาเมื่อดาวิดเสด็จมาถึงมาหะนาอิม โชบีบุตรชายนาหาชชาวเมืองรับบาห์แห่งคนอัมโมน และมาคีร์บุตรชายอัมมีเอลชาวโลเดบาร์ และบารซิลลัยชาวกิเลอาดจากเมืองโรเกลิม
2ซมอ 19.32 บารซิลลัยเป็นคนชรามากแล้ว อายุแปดสิบปี ท่านได้นำเสบียงอาหารมาถวายกษัตริย์ ขณะพระองค์ประทับที่มาหะนาอิม เพราะท่านเป็นคนมั่งมีมาก
1พกษ 2.8 และดูเถิด มีชิเมอีบุตรเก-ราคนเบนยามินจากบ้านบาฮูริมอยู่กับเจ้าด้วย เขาเป็นผู้ด่าเราอย่างน่าสลดใจในวันที่เราเดินไปยังมาหะนาอิม แต่เขามาต้อนรับเราที่แม่น้ำจอร์แดน และเราจึงได้ปฏิญาณต่อเขาในพระนามพระเยโฮวาห์ว่า ‘เราจะไม่ประหารชีวิตเจ้าด้วยดาบ’
1พกษ 4.14 อาหินาดับบุตรชายอิดโด ประจำในมาหะนาอิม
1พศด 6.80 และจากตระกูลกาด คือ เมืองราโมทในกิเลอาดพร้อมกับทุ่งหญ้า เมืองมาหะนาอิมพร้อมกับทุ่งหญ้า

มาหะเนห์ดาน ( 1 )
วนฉ 18.12 เขาทั้งหลายยกขึ้นไปตั้งค่ายอยู่ที่คีริยาทเยอาริมในยูดาห์ เพราะเหตุนี้เขาจึงเรียกที่นั่นว่า มาหะเนห์ดาน จนถึงทุกวันนี้ ดูเถิด เมืองนี้อยู่ด้านหลังคีริยาทเยอาริม

มาหะรัย ( 3 )
2ซมอ 23.28 ศัลโมนชาวอาโหไฮ มาหะรัยชาวเนโทฟาห์
1พศด 11.30 มาหะรัย ชาวเนโทฟาห์ เฮเลด บุตรชายบาอานาห์ชาวเนโทฟาห์
1พศด 27.13 ผู้บัญชาการคนที่สิบสำหรับเดือนที่สิบคือ มาหะรัยชาวเนโทฟาห์จากคนเศ-ราห์ ในกองเวรของเขามีสองหมื่นสี่พันคน

มาหะลัท ( 2 )
ปฐก 28.9 เอซาวจึงไปหาอิชมาเอลและรับมาหะลัทบุตรสาวของอิชมาเอลบุตรชายของอับราฮัมน้องสาวของเนบาโยทมาเป็นภรรยา นอกเหนือภรรยาซึ่งเขามีอยู่แล้ว
2พศด 11.18 เรโหโบอัมทรงรับมาหะลัทธิดาของเยรีโมทโอรสของดาวิดเป็นมเหสี และอาบีฮาอิลบุตรสาวของเอลีอับบุตรชายเจสซี

มาหะลาเลล ( 8 )
ปฐก 5.12 เคนันอยู่มาได้เจ็ดสิบปี และให้กำเนิดบุตรชื่อมาหะลาเลล
ปฐก 5.13 ตั้งแต่เคนันให้กำเนิดมาหะลาเลลแล้ว ก็มีอายุต่อไปอีกแปดร้อยสี่สิบปี และให้กำเนิดบุตรชายและบุตรสาวหลายคน
ปฐก 5.15 มาหะลาเลลอยู่มาได้หกสิบห้าปี และให้กำเนิดบุตรชื่อยาเรด
ปฐก 5.16 ตั้งแต่มาหะลาเลลให้กำเนิดยาเรดแล้ว ก็มีอายุต่อไปอีกแปดร้อยสามสิบปี และให้กำเนิดบุตรชายและบุตรสาวหลายคน
ปฐก 5.17 รวมอายุของมาหะลาเลลได้แปดร้อยเก้าสิบห้าปีและเขาได้สิ้นชีวิต
1พศด 1.2 เคนัน มาหะลาเลล ยาเรด
นหม 11.4 บางคนในลูกหลานของยูดาห์และลูกหลานของเบนยามินอาศัยอยู่ในเยรูซาเล็ม ลูกหลานของยูดาห์มี อาธายาห์บุตรชายอุสซียาห์ ผู้เป็นบุตรชายเศคาริยาห์ ผู้เป็นบุตรชายอามาริยาห์ ผู้เป็นบุตรชายเชฟาทิยาห์ ผู้เป็นบุตรชายมาหะลาเลล แห่งคนเปเรศ
ลก 3.37 ซึ่งเป็นบุตรเมธูเสลาห์ ซึ่งเป็นบุตรเอโนค ซึ่งเป็นบุตรยาเรด ซึ่งเป็นบุตรมาหะลาเลล ซึ่งเป็นบุตรเคนัน

มาหา ( 381 )
ปฐก 6.20 นกตามชนิดของมัน และสัตว์ใช้งานตามชนิดของมัน สัตว์เลื้อยคลานตามชนิดของมัน อย่างละคู่จะมาหาเจ้าเพื่อรักษาชีวิตไว้
ปฐก 19.5 พวกเขาเรียกโลทและพูดกับเขาว่า “ผู้ชายเหล่านั้นซึ่งมาหาท่านคืนนี้อยู่ที่ไหน จงนำเขาเหล่านั้นออกมาให้พวกเราเพื่อพวกเราจะได้สมสู่กับเขา”
ปฐก 20.3 แต่พระเจ้าเสด็จมาหาอาบีเมเลคทางพระสุบินในเวลากลางคืนและตรัสกับท่านว่า “ดูเถิด เจ้าเป็นเหมือนคนตาย เพราะหญิงนั้นซึ่งเจ้านำมา ด้วยว่านางเป็นภรรยาของผู้อื่นแล้ว”
ปฐก 24.58 พวกเขาก็เรียกเรเบคาห์มาหา และพูดกับนางว่า “เจ้าจะไปกับชายคนนี้หรือไม่” นางตอบว่า “ข้าพเจ้าจะไป”
ปฐก 24.65 เพราะนางได้พูดกับคนใช้นั้นว่า “ชายคนโน้นที่กำลังเดินผ่านทุ่งนามาหาเรานั้นคือใคร” คนใช้นั้นตอบว่า “นายของข้าพเจ้าเอง” นางจึงหยิบผ้าคลุมหน้ามาคลุม
ปฐก 26.27 อิสอัคทูลถามเขาทั้งหลายว่า “ไฉนท่านจึงมาหาข้าพเจ้าเมื่อท่านเกลียดชังข้าพเจ้าและขับไล่ข้าพเจ้าไปจากท่าน”
ปฐก 31.52 หินกองนี้เป็นพยาน และเสานั้นก็เป็นพยานว่า เราจะไม่ข้ามกองหินนี้ไปหาเจ้า และเจ้าจะไม่ข้ามกองหินนี้และเสานี้มาหาเรา เพื่อทำอันตรายกัน
ปฐก 42.20 แล้วพาน้องชายสุดท้องมาหาเรา ดังนั้นจึงจะเห็นได้ว่าพวกเจ้าพูดจริง แล้วพวกเจ้าจะไม่ตาย” พวกพี่ชายก็ทำดังนั้น
ปฐก 42.34 แล้วจงพาน้องชายสุดท้องมาหาเรา เราจึงจะรู้แน่ว่าพวกเจ้ามิได้เป็นคนสอดแนม แต่เป็นคนสัตย์จริง แล้วเราจะปล่อยพี่ชายไป พวกเจ้ายังจะได้ค้าขายในประเทศนี้’”
ปฐก 43.23 คนต้นเรือนจึงตอบว่า “จงเป็นสุขเถิด อย่ากลัวเลย พระเจ้าของท่านและพระเจ้าของบิดาท่านบันดาลให้มีทรัพย์อยู่ในกระสอบเพื่อท่าน เงินของท่านนั้นเราได้รับแล้ว” คนต้นเรือนก็พาสิเมโอนออกมาหาเขา
ปฐก 45.9 เจ้าจงรีบขึ้นไปหาบิดาเราบอกท่านว่า ‘โยเซฟบุตรชายของท่านพูดดังนี้ว่า “พระเจ้าทรงโปรดให้ลูกเป็นเจ้าเหนืออียิปต์ทั้งสิ้น ขอลงมาหาลูก อย่าได้ช้า
ปฐก 45.18 พาบิดาและครอบครัวของเจ้ามาหาเรา เราจะประทานของดีที่สุดในแผ่นดินอียิปต์ให้พวกเจ้า พวกเจ้าจะได้รับประทานผลอันอุดมบริบูรณ์ของประเทศนี้’
ปฐก 46.31 โยเซฟจึงบอกพี่น้องและครอบครัวของบิดาว่า “เราจะขึ้นไปแสดงแก่ฟาโรห์และทูลแก่พระองค์ว่า ‘พี่น้องและครอบครัวของบิดาผู้เคยอยู่ในแผ่นดินคานาอันนั้นมาหาข้าพระองค์แล้ว
ปฐก 46.33 และต่อมาเมื่อฟาโรห์จะรับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้าและจะถามว่า ‘พวกเจ้าเคยทำมาหาเลี้ยงชีพอย่างไร’
ปฐก 46.34 ท่านทั้งหลายจงทูลว่า ‘การทำมาหาเลี้ยงชีพของผู้รับใช้ของพระองค์นั้นเกี่ยวข้องกับพวกสัตว์ใช้งานตั้งแต่เป็นเด็กมาจนทุกวันนี้ ทั้งข้าพระองค์ทั้งหลายและบรรพบุรุษของข้าพระองค์ด้วย’ เพื่อท่านทั้งหลายจะได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินโกเชน เหตุว่าคนเลี้ยงแพะแกะทุกคนนั้นเป็นที่พึงรังเกียจสำหรับชาวอียิปต์”
ปฐก 47.3 ฟาโรห์ตรัสถามพี่น้องของโยเซฟว่า “พวกเจ้าเคยทำมาหาเลี้ยงชีพอย่างไร” เขาทูลฟาโรห์ว่า “ผู้รับใช้ของพระองค์เป็นผู้เลี้ยงแพะแกะ ทั้งพวกข้าพระองค์และบรรพบุรุษของพวกข้าพระองค์”
ปฐก 47.5 ฟาโรห์จึงตรัสแก่โยเซฟว่า “บิดาและพี่น้องของท่านมาหาท่านแล้ว
ปฐก 47.18 เมื่อปีนั้นสิ้นสุดลงแล้ว เขาก็มาหาท่านในปีที่สองกราบเรียนท่านว่า “พวกข้าพเจ้าจะไม่ปิดบังเรื่องนี้ไว้จากนายของข้าพเจ้าว่า เงินของข้าพเจ้าหมดแล้วและฝูงสัตว์ของข้าพเจ้าก็เป็นของนายแล้วด้วย ข้าพเจ้าไม่มีสิ่งใดเหลือในสายตาของท่านเลย เว้นแต่ตัวข้าพเจ้ากับที่ดินเท่านั้น
ปฐก 48.2 มีคนบอกยาโคบว่า “ดูเถิด โยเซฟบุตรชายมาหาท่าน” อิสราเอลก็รวบรวมกำลังลุกขึ้นนั่งบนที่นอน
ปฐก 48.5 ส่วนบุตรชายทั้งสองของเจ้าที่เกิดแก่เจ้าในประเทศอียิปต์ก่อนพ่อมาหาเจ้าในอียิปต์ก็เป็นบุตรของพ่อ เอฟราอิมและมนัสเสห์จะต้องเป็นของพ่อ เหมือนรูเบนและสิเมโอน
อพย 1.19 นางผดุงครรภ์จึงกราบทูลฟาโรห์ว่า “เพราะหญิงฮีบรูไม่เหมือนหญิงอียิปต์ เพราะเขามีกำลังมากจึงคลอดบุตรโดยเร็ว และนางผดุงครรภ์มาหาเขาไม่ทัน”
อพย 3.13 และโมเสสทูลพระเจ้าว่า “ดูเถิด เมื่อข้าพระองค์ไปหาชนชาติอิสราเอล และบอกพวกเขาว่า ‘พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่านทั้งหลายทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่าน’ และเขาจะพูดกับข้าพเจ้าว่า ‘พระองค์ทรงพระนามว่ากระไร’ ข้าพระองค์จะกล่าวแก่เขาอย่างไร”
อพย 3.14 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า “เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น” แล้วพระองค์ตรัสว่า “เจ้าจงไปบอกชนชาติอิสราเอลว่า ‘เราเป็น ได้ทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย’”
อพย 3.15 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสอีกว่า “เจ้าจงกล่าวแก่ชนชาติอิสราเอลว่าดังนี้ ‘พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่าน คือพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัคและพระเจ้าของยาโคบ ทรงใช้ให้ข้าพเจ้ามาหาท่าน’ นี่เป็นนามของเราตลอดไปเป็นนิตย์ และนี่เป็นที่ระลึกของเราตลอดทุกชั่วอายุ
อพย 11.8 ข้าราชการของพระองค์จะลงมาหาเรากราบลงต่อหน้าเรากล่าวว่า “ขอท่านกับพรรคพวกไปเสียจากที่นี่เถิด” หลังจากนั้นเราก็จะออกไป’” โมเสสทูลลาฟาโรห์ไปด้วยความโกรธยิ่งนัก
อพย 18.5 เยโธรพ่อตาของโมเสส พาภรรยาและบุตรชายทั้งสองคนนั้นมาหาโมเสสที่ในถิ่นทุรกันดารที่เขาตั้งค่ายอยู่ที่ภูเขาของพระเจ้า
อพย 18.6 ท่านบอกโมเสสว่า “เราคือเยโธรพ่อตาของท่านพาภรรยากับบุตรชายทั้งสองของนางมาหาท่าน”
อพย 18.15 โมเสสจึงตอบพ่อตาว่า “เพราะพลไพร่มาหาข้าพเจ้า เพื่อขอให้ทูลถามพระเจ้า
อพย 18.16 เมื่อเขามีการโต้เถียงกันก็มาหาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ตัดสินความระหว่างเขากับเพื่อนบ้าน สอนเขาให้รู้จักกฎเกณฑ์ของพระเจ้าและพระราชบัญญัติของพระองค์”
อพย 18.18 ทั้งท่านและพลไพร่ที่มาหาท่านนั้นจะอ่อนระอาใจ เพราะภาระอันหนักนี้เหลือกำลังของท่าน ท่านไม่สามารถที่จะทำแต่ผู้เดียวได้
อพย 19.9 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “ดูเถิด เราจะมาหาเจ้าในเมฆหนาทึบ เพื่อพลไพร่จะได้ยินขณะที่เราพูดกับเจ้า แล้วจะได้เชื่อเจ้าตลอดไป” โมเสสนำคำของพลไพร่นั้นกราบทูลพระเยโฮวาห์
อพย 20.24 จงใช้ดินก่อแท่นบูชาสำหรับเรา และบนแท่นนั้นจงใช้แกะและวัวของเจ้าเป็นเครื่องเผาบูชา และเป็นสันติบูชาแก่เรา ในทุกตำบลที่เราให้ระลึกถึงนามของเรา เราจะมาหาเจ้าและอวยพรเจ้า
อพย 24.12 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “ขึ้นมาหาเราบนภูเขาแล้วคอยอยู่ที่นั่น เราจะให้แผ่นศิลาอันมีราชบัญญัติ และข้อบัญญัติซึ่งเราจารึกไว้เพื่อเก็บไว้สอนเขา”
อพย 24.14 และกล่าวแก่พวกผู้ใหญ่เหล่านั้นว่า “คอยเราอยู่ที่นี่จนกว่าเราจะกลับมาหาพวกท่านอีก ดูเถิด อาโรนและเฮอร์อยู่กับพวกท่าน ใครมีเรื่องราวอะไรก็จงมาหาท่านทั้งสองนี้เถิด”
อพย 32.1 เมื่อพลไพร่เห็นโมเสสล่าช้าอยู่ ไม่ลงมาจากภูเขาจึงได้พากันมาหาอาโรน เรียนว่า “ลุกขึ้น ขอท่านสร้างพระให้แก่พวกข้าพเจ้า ซึ่งจะนำพวกข้าพเจ้าไป ด้วยว่าโมเสสคนนี้ที่ได้นำข้าพเจ้าออกมาจากประเทศอียิปต์เป็นอะไรไปเสียแล้ว ข้าพเจ้าไม่ทราบ”
อพย 32.26 แล้วโมเสสยืนอยู่ที่ประตูค่ายร้องว่า “ผู้ใดอยู่ฝ่ายพระเยโฮวาห์ให้ผู้นั้นมาหาเราเถิด” ฝ่ายลูกหลานของเลวีได้มาหาโมเสสพร้อมกัน
ลนต 13.2 “ถ้าผู้ใดเกิดอาการบวมหรือพุหรือด่างขึ้นที่ผิวหนัง แล้วผิวหนังของเขาเป็นโรคเรื้อน ก็ให้พาผู้นั้นมาหาอาโรนปุโรหิต หรือมาหาบุตรชายคนหนึ่งคนใดของเขาที่เป็นปุโรหิต
ลนต 13.9 ถ้าผู้ใดเป็นโรคเรื้อนก็ให้พาเขามาหาปุโรหิต
ลนต 13.16 หรือถ้าเนื้อแผลสดนั้นเปลี่ยนไปอีกกลายเป็นสีขาว ให้เขามาหาปุโรหิต
ลนต 14.2 “ต่อไปนี้จะเป็นพระราชบัญญัติเรื่องคนเป็นโรคเรื้อนในวันชำระตัวของเขา ให้พาเขามาหาปุโรหิต
กดว 15.33 ผู้ที่พบเขาเก็บฟืนก็พาเขามาหาโมเสสและอาโรน และมาหาชุมนุมชนทั้งหมด
กดว 21.7 และประชาชนมาหาโมเสสกล่าวว่า “เราทั้งหลายได้กระทำบาปเพราะเราทั้งหลายได้บ่นว่าพระเยโฮวาห์และบ่นว่าท่าน ขอทูลแด่พระเยโฮวาห์ ขอพระองค์ทรงนำงูไปจากเราเสีย” ดังนั้นโมเสสจึงอธิษฐานเพื่อประชาชน
กดว 22.9 และพระเจ้าเสด็จมาหาบาลาอัมตรัสว่า “คนที่มาอยู่กับเจ้าคือผู้ใด”
กดว 22.20 และพระเจ้าเสด็จมาหาบาลาอัมในกลางคืนตรัสแก่เขาว่า “ถ้ามีผู้ชายมาเรียกเจ้าจงลุกขึ้นไปกับเขา แต่เจ้าจงกระทำตามที่เราสั่งเจ้าเท่านั้น”
กดว 22.37 บาลาคพูดกับบาลาอัมว่า “เราได้อุตส่าห์ใช้คนไปเชิญท่านมามิใช่หรือ เหตุไฉนท่านไม่มาหาเราเล่า เราไม่สามารถที่จะให้เกียรติแก่ท่านหรือ”
กดว 22.38 บาลาอัมพูดกับบาลาคว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้ามาหาท่านแล้ว บัดนี้ข้าพเจ้าจะกล่าวอะไรได้เล่า คำซึ่งพระเจ้าใส่ปากข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องกล่าว”
กดว 23.3 แล้วบาลาอัมพูดกับบาลาคว่า “จงยืนอยู่ใกล้เครื่องเผาบูชาของท่านแล้วข้าพเจ้าจะไป ชะรอยพระเยโฮวาห์จะเสด็จมาหาข้าพเจ้า และสิ่งใดที่พระองค์สำแดงแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะบอกท่าน” แล้วเขาก็ขึ้นไปยังที่สูง
กดว 32.2 ดังนั้นคนกาดและคนรูเบนจึงมาหาโมเสสและเอเลอาซาร์ปุโรหิตและประมุขของชุมนุมชนกล่าวว่า
พบญ 10.1 “ครั้งนั้นพระเยโฮวาห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘จงสกัดศิลาสองแผ่นให้เหมือนอย่างเดิม และขึ้นมาหาเราที่บนภูเขาและทำหีบไม้ไว้ด้วย
พบญ 21.19 ให้บิดามารดาจับตัวเขาให้ออกมาหาพวกผู้ใหญ่ของเมืองนั้น ณ ประตูเมืองที่เขาอาศัยอยู่
พบญ 30.2 และท่านก็หันกลับมาหาพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ทั้งตัวท่านและลูกหลานของท่าน และเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์ในทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาท่านในวันนี้ด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน
พบญ 30.10 ถ้าท่านเชื่อฟังพระสุรเสียงแห่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน โดยรักษาพระบัญญัติและกฎเกณฑ์ของพระองค์ ซึ่งจารึกไว้ในหนังสือของพระราชบัญญัตินี้ ถ้าท่านทั้งหลายหันกลับมาหาพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน
ยชว 2.3 ฝ่ายกษัตริย์เมืองเยรีโคจึงใช้คนไปสั่งราหับว่า “จงส่งคนเหล่านั้นซึ่งมาหาเจ้าในบ้านของเจ้าออกมาให้เรา เพราะเขามาเพื่อจะสอดแนมดูทั่วแผ่นดินของเรา”
ยชว 2.4 แต่หญิงนั้นได้ซ่อนชายทั้งสองเสียแล้วจึงกล่าวว่า “มีผู้ชายมาหาข้าพเจ้าจริง แต่เขามาจากไหนข้าพเจ้าไม่ทราบ
ยชว 8.23 แต่กษัตริย์เมืองอัยยังเป็นอยู่ ได้ถูกจับและคุมตัวมาหาโยชูวา
ยชว 9.6 เขาเดินทางมาหาโยชูวาที่ค่าย ณ เมืองกิลกาล กล่าวแก่ท่านและคนอิสราเอลว่า “พวกข้าพเจ้ามาจากประเทศที่ห่างไกล ฉะนั้นบัดนี้ขอทำพันธสัญญากับพวกข้าพเจ้าเถิด”
ยชว 9.12 ขนมปังของพวกข้าพเจ้านี้ในวันที่ข้าพเจ้าออกมาหาท่าน ข้าพเจ้าเอาออกจากบ้านเมื่อยังร้อนๆ อยู่เพื่อใช้เป็นอาหารรับประทานตามทาง แต่บัดนี้ ดูเถิด แห้งและราขึ้นแล้ว
ยชว 10.4 “ขอเชิญท่านมาหาข้าพเจ้า และช่วยข้าพเจ้าตีเมืองกิเบโอนเถิด เพราะว่าเมืองนั้นได้กระทำสันติภาพกับโยชูวาและคนอิสราเอล”
ยชว 10.22 แล้วโยชูวาจึงว่า “จงเปิดปากถ้ำคุมกษัตริย์ทั้งห้านั้นออกจากถ้ำมาหาเรา”
ยชว 10.23 เขาก็กระทำตาม จึงคุมกษัตริย์ทั้งห้าออกจากถ้ำมาหาท่าน มีกษัตริย์เมืองเยรูซาเล็ม กษัตริย์เมืองเฮโบรน กษัตริย์เมืองยารมูท กษัตริย์เมืองลาคีช และกษัตริย์เมืองเอกโลน
ยชว 14.6 ขณะนั้นคนยูดาห์มาหาโยชูวา ณ เมืองกิลกาล และคาเลบบุตรชายเยฟุนเนห์ชาวเคนัสได้กล่าวแก่ท่านว่า “ท่านทราบเรื่องซึ่งพระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสบุรุษของพระเจ้าที่คาเดชบารเนียเกี่ยวกับท่านและข้าพเจ้าแล้ว
ยชว 16.6 และพรมแดนยื่นไปถึงทะเลทางทิศเหนือคือเมืองมิคเมธัท ทางด้านตะวันออกพรมแดนโค้งมาหาเมืองทาอานัทชีโลห์ แล้วผ่านพ้นเมืองนี้ไปทางตะวันออกของเมืองยาโนอาห์
ยชว 21.1 ขณะนั้นหัวหน้าบรรพบุรุษของคนเลวีมาหาเอเลอาซาร์ปุโรหิตและโยชูวาบุตรชายนูน และหัวหน้าบรรพบุรุษของตระกูลต่างๆของคนอิสราเอล
วนฉ 4.5 นางเคยนั่งอยู่ใต้ต้นอินทผลัมเดโบราห์ที่อยู่ระหว่างรามาห์และเบธเอลในแดนเทือกเขาเอฟราอิม และคนอิสราเอลก็ขึ้นมาหานางที่นั่นเพื่อให้ชำระความ
วนฉ 6.8 พระเยโฮวาห์ก็ทรงใช้ผู้พยากรณ์คนหนึ่งให้มาหาคนอิสราเอล ผู้นั้นพูดกับเขาทั้งหลายว่า “พระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘เราได้นำพวกเจ้าขึ้นมาจากอียิปต์ นำเจ้าออกมาจากเรือนทาส
วนฉ 8.15 กิเดโอนจึงมาหาชาวเมืองสุคคทกล่าวว่า “จงมาดูเศบาห์และศัลมุนนา ซึ่งเมื่อก่อนเจ้าเยาะเย้ยเราว่า ‘มือของเศบาห์และของศัลมุนนาอยู่ในมือเจ้าแล้วหรือ เราจะได้เลี้ยงทหารที่เหน็ดเหนื่อยของเจ้าด้วยขนมปัง’”
วนฉ 11.7 แต่เยฟธาห์กล่าวแก่พวกผู้ใหญ่ของกิเลอาดว่า “ท่านไม่ได้เกลียดข้าพเจ้า และขับไล่ข้าพเจ้าเสียจากครอบครัวบิดาของข้าพเจ้าดอกหรือ เมื่อคราวทุกข์ยากท่านจะมาหาข้าพเจ้าทำไมเล่า”
วนฉ 13.6 ฝ่ายหญิงนั้นจึงไปบอกสามีว่า “มีบุรุษผู้หนึ่งของพระเจ้ามาหาดิฉัน ใบหน้าของท่านเหมือนใบหน้าทูตสวรรค์ของพระเจ้า น่ากลัวนัก ดิฉันไม่ได้ถามท่านว่าท่านมาจากไหน และท่านก็ไม่บอกชื่อของท่านแก่ดิฉัน
วนฉ 13.9 และพระเจ้าทรงฟังเสียงของมาโนอาห์ และทูตสวรรค์ของพระเจ้ามาหาหญิงนั้นอีกเมื่อนางนั่งอยู่ในทุ่งนา แต่มาโนอาห์สามีของนางไม่ได้อยู่ด้วย
วนฉ 16.18 เมื่อเดลิลาห์เห็นว่าท่านบอกความจริงในใจแก่นางจนสิ้นแล้ว นางจึงใช้คนไปเรียกเจ้านายฟีลิสเตียว่า “ขอจงขึ้นมาอีกครั้งเดียว เพราะเขาบอกความจริงในใจแก่ฉันจนสิ้นแล้ว” แล้วเจ้านายฟีลิสเตียก็ขึ้นมาหานางถือเงินมาด้วย
1ซมอ 1.25 แล้วเขาทั้งหลายก็ฆ่าวัวผู้ตัวนั้นและนำเด็กมาหาเอลี
1ซมอ 2.27 ครั้งนั้นมีบุรุษของพระเจ้ามาหาเอลี กล่าวแก่ท่านว่า “พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า ‘เราได้เผยเราเองให้แจ้งแก่เรือนบรรพบุรุษเจ้า เมื่อเขาทั้งหลายอยู่ในอียิปต์ใต้บังคับวงศ์วานของฟาโรห์
1ซมอ 8.4 และบรรดาพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลก็พากันมาหาซามูเอลที่เมืองรามาห์
1ซมอ 10.8 และท่านจงลงไปที่กิลกาลก่อนฉัน และดูเถิด ฉันจะลงมาหาท่านเพื่อจะถวายเครื่องเผาบูชา และถวายสัตว์เป็นเครื่องสันติบูชา ท่านจงคอยอยู่ที่นั่นเจ็ดวันจนฉันมาหาท่าน และสำแดงแก่ท่านว่าท่านควรจะกระทำอะไร”
1ซมอ 14.9 ถ้าเขาจะกล่าวแก่เราว่า ‘จงคอยอยู่จนกว่าเราจะมาหาเจ้า’ แล้วเราจะยืนนิ่งอยู่ในที่ของเรา และเราจะไม่ไปหาเขา
1ซมอ 14.10 แต่ถ้าเขาว่า ‘จงขึ้นมาหาเราเถิด’ แล้วเราจึงจะขึ้นไป เพราะพระเยโฮวาห์ทรงมอบเขาไว้ในมือเราแล้ว จะให้เรื่องนี้เป็นสัญญาณแก่เรา”
1ซมอ 14.12 และคนที่กองทหารรักษาการจึงร้องบอกโยนาธานและผู้ถือเครื่องอาวุธของท่านว่า “จงขึ้นมาหาเรา แล้วเราจะแจ้งให้เจ้าทราบสักเรื่องหนึ่ง” และโยนาธานบอกผู้ถือเครื่องอาวุธของท่านว่า “จงตามข้าขึ้นมา เพราะพระเยโฮวาห์ได้ทรงมอบเขาไว้ในมืออิสราเอลแล้ว”
1ซมอ 15.13 และซามูเอลก็มาหาซาอูล และซาอูลเรียนท่านว่า “ขอพระเยโฮวาห์อวยพระพรท่านเถิด ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเยโฮวาห์แล้ว”
1ซมอ 16.4 ซามูเอลก็กระทำตามที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชา และมาที่เบธเลเฮม พวกผู้ใหญ่ของเมืองนั้นก็ตัวสั่นออกมาหาท่านกล่าวว่า “ท่านมาอย่างสันติหรือ”
1ซมอ 16.17 ซาอูลก็รับสั่งผู้รับใช้ของพระองค์ว่า “จงไปหาชายคนหนึ่งที่ดีดพิณได้ดีมาให้เรา นำเขามาหาเรา”
1ซมอ 16.19 เพราะฉะนั้นซาอูลจึงส่งผู้สื่อสารไปยังเจสซีกล่าวว่า “จงให้ดาวิดบุตรชายของท่านผู้อยู่กับแกะนั้นมาหาเรา”
1ซมอ 17.8 เขาออกมายืนตะโกนไปทางแนวอิสราเอลว่า “เจ้าทั้งหลายออกมาทำศึกทำไมเล่า ข้าเป็นคนฟีลิสเตียไม่ใช่หรือ เจ้าก็เป็นข้าของซาอูลไม่ใช่หรือ จงเลือกคนแทนพวกเจ้า ให้เขาลงมาหาข้านี่
1ซมอ 17.43 คนฟีลิสเตียจึงพูดกับดาวิดว่า “ข้าเป็นหมาหรือเจ้าจึงถือไม้เท้ามาหาข้า” และคนฟีลิสเตียคนนั้นก็แช่งด่าดาวิดออกนามพระของตน
1ซมอ 17.44 คนฟีลิสเตียพูดกับดาวิดว่า “มาหาข้านี่ ข้าจะเอาเนื้อของเจ้าให้นกในอากาศกับสัตว์ในทุ่งกิน”
1ซมอ 17.45 แล้วดาวิดก็พูดกับคนฟีลิสเตียคนนั้นว่า “ท่านมาหาข้าพเจ้าด้วยดาบ ด้วยหอกและด้วยหอกซัด แต่ข้าพเจ้ามาหาท่านในพระนามแห่งพระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งกองทัพอิสราเอล ผู้ซึ่งท่านได้ท้าทายนั้น
1ซมอ 19.15 แล้วซาอูลส่งผู้สื่อสารนั้นให้ไปดูดาวิดอีก สั่งว่า “จงนำเขามาหาเราทั้งเตียง เพื่อเราจะได้ฆ่าเขาเสีย”
1ซมอ 19.18 ฝ่ายดาวิดก็หนีรอดไป เธอมาหาซามูเอลที่เมืองรามาห์ และเล่าทุกเรื่องที่ซาอูลได้ทรงกระทำแก่เธอให้ซามูเอลฟัง เธอและซามูเอลก็ไปอยู่เสียที่นาโยท
1ซมอ 20.1 ดาวิดก็หนีจากนาโยทในเมืองรามาห์ และมาหาโยนาธานกล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้กระทำสิ่งใด อะไรเป็นความชั่วช้าของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้กระทำความผิดบาปอันใดต่อเสด็จพ่อของท่าน พระองค์จึงได้แสวงหาชีวิตของข้าพเจ้า”
1ซมอ 21.1 แล้วดาวิดก็มายังเมืองโนบมาหาอาหิเมเลคปุโรหิต และอาหิเมเลคตัวสั่นอยู่เมื่อพบดาวิดจึงพูดกับท่านว่า “ทำไมท่านจึงมาคนเดียว และไม่มีผู้ใดมากับท่าน”
1ซมอ 21.14 อาคีชจึงสั่งผู้รับใช้ของท่านว่า “ดูเถิด เจ้าเห็นว่าคนนั้นบ้า แล้วเจ้าพาเขามาหาเราทำไม
1ซมอ 22.2 แล้วทุกคนที่มีความทุกข์ยาก และทุกคนที่มีหนี้สิน และทุกคนที่ไม่มีความพอใจก็พากันมาหาท่าน และท่านก็เป็นหัวหน้าของเขาทั้งหลาย มีคนมามั่วสุมอยู่กับท่านประมาณสี่ร้อยคน
1ซมอ 22.9 โดเอกคนเอโดมซึ่งอยู่เหนือผู้รับใช้ของซาอูลจึงทูลตอบว่า “ข้าพระองค์เห็นบุตรเจสซีมาที่เมืองโนบมาหาอาหิเมเลคบุตรอาหิทูบ
1ซมอ 22.11 แล้วกษัตริย์ก็ใช้ให้ไปเรียกอาหิเมเลคปุโรหิต บุตรชายอาหิทูบ และวงศ์วานบิดาของท่านทั้งสิ้น ผู้เป็นปุโรหิตเมืองโนบ ทุกคนก็มาหากษัตริย์
1ซมอ 26.1 ชาวศิฟมาหาซาอูลที่เมืองกิเบอาห์ทูลว่า “ดาวิดซ่อนตัวอยู่บนเขาฮาคีลาห์ ซึ่งอยู่ตรงหน้าเยชิโมนมิใช่หรือ”
1ซมอ 26.3 และซาอูลทรงตั้งค่ายอยู่ที่เขาฮาคีลาห์ ซึ่งอยู่ข้างถนนซึ่งอยู่ตรงหน้าเยชิโมน แต่ดาวิดยังคงอยู่ในถิ่นทุรกันดาร และท่านเห็นว่าซาอูลเสด็จมาหาท่านที่ในถิ่นทุรกันดาร
1ซมอ 26.20 เพราะฉะนั้นบัดนี้ ขออย่าให้โลหิตของข้าพระองค์ตกถึงดินต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ เพราะกษัตริย์แห่งอิสราเอลได้ออกมาหาชีวิตหมัดตัวเดียว ดังผู้หนึ่งไล่ตามนกกระทาอยู่บนภูเขา”
1ซมอ 29.3 แล้วเจ้านายของคนฟีลิสเตียกล่าวว่า “พวกฮีบรูเหล่านี้มาทำอะไรที่นี่” และอาคีชก็รับสั่งแก่เจ้านายคนฟีลิสเตียว่า “นี่คือดาวิดมหาดเล็กซาอูลกษัตริย์อิสราเอลไม่ใช่หรือ เขาอยู่กับเรามาเป็นวันเป็นปีแล้ว ตั้งแต่วันที่เขาหนีมาหาข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายังไม่พบความผิดในตัวเขาเลย”
1ซมอ 30.11 เขาทั้งหลายพบชาวอียิปต์คนหนึ่งอยู่ที่กลางแจ้ง จึงนำเขามาหาดาวิด ให้ขนมปังและเขาก็รับประทานและให้น้ำเขาดื่ม
2ซมอ 5.1 และบรรดาตระกูลคนอิสราเอลก็มาหาดาวิดที่เมืองเฮโบรนทูลว่า “ดูเถิด ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นกระดูกและเนื้อของพระองค์
2ซมอ 5.11 ฮีรามกษัตริย์เมืองไทระได้ส่งผู้สื่อสารมาหาดาวิด และได้ส่งไม้สนสีดาร์ พวกช่างไม้และพวกช่างก่อมาสร้างพระราชวังของดาวิด
2ซมอ 10.3 แต่บรรดาเจ้านายของคนอัมโมนทูลฮานูนเจ้านายของตนว่า “พระองค์ดำริว่าดาวิดส่งผู้เล้าโลมมาหาพระองค์ เพราะนับถือพระราชบิดาของพระองค์เช่นนั้นหรือ ดาวิดมิได้ส่งข้าราชการมาเพื่อตรวจเมืองและสอดแนมดู และเพื่อจะคว่ำเมืองนี้เสียดอกหรือ”
2ซมอ 14.7 ดูเถิด หมู่ญาติทั้งสิ้นรุมกันมาหาสาวใช้ของพระองค์บอกว่า ‘จงมอบผู้ที่ฆ่าพี่ชายของตัวมาให้เรา เพื่อเราจะฆ่าเขาเสีย เพื่อแก้แค้นแทนพี่ชายที่เขาได้ฆ่าเสียนั้น จะได้ฆ่าผู้ที่รับมรดกเสียด้วย’ ดังว่าจะดับถ่านไฟของหม่อมฉันที่ยังเหลืออยู่นั้นเสีย ไม่ให้สามีของหม่อมฉันมีชื่อหรือมีเชื้อเหลืออยู่บนพื้นโลกเลย”
2ซมอ 14.10 กษัตริย์ตรัสว่า “ถ้ามีผู้ใดกล่าวอะไรแก่เจ้า จงพาเขามาหาเรา คนนั้นจะไม่แตะต้องเจ้าอีกเลย”
2ซมอ 14.29 แล้วอับซาโลมก็ให้ไปตามโยอาบ จะใช้ให้เข้าไปเฝ้ากษัตริย์ แต่โยอาบไม่ยอมมาหาท่าน ท่านก็ใช้คนไปครั้งที่สอง แต่โยอาบก็ไม่มาเหมือนกัน
2ซมอ 15.4 อับซาโลมเคยกล่าวยิ่งกว่านั้นว่า “โอ ถ้าข้าเป็นผู้พิพากษาในแผ่นดินนี้ก็ดี เมื่อใครมีข้อหาหรือคดีจะได้มาหาข้า ข้าจะตัดสินให้ความยุติธรรมแก่เขา”
2ซมอ 23.13 ในพวกทหารเอกสามสิบคนนั้นมีสามคนที่ลงมา และได้มาหาดาวิดที่ถ้ำอดุลลัมในฤดูเกี่ยวข้าว มีคนฟีลิสเตียกองหนึ่งตั้งค่ายอยู่ในหุบเขาเรฟาอิม
2ซมอ 24.20 เมื่ออาราวนาห์มองลงมา เห็นกษัตริย์และข้าราชการขึ้นมาหาตน อาราวนาห์ก็ออกไปถวายบังคมกษัตริย์ซบหน้าลงถึงดิน
2ซมอ 24.21 และอาราวนาห์กราบทูลว่า “ไฉนกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์จึงเสด็จมาหาผู้รับใช้ของพระองค์” ดาวิดตรัสว่า “มาซื้อลานนวดข้าวจากท่าน เพื่อจะสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระเยโฮวาห์ เพื่อโรคร้ายจะได้ระงับเสียจากประชาชน”
1พกษ 1.28 แล้วกษัตริย์ดาวิดตรัสตอบว่า “จงเรียกบัทเชบาให้มาหาเรา” พระนางก็เสด็จเข้ามาเฝ้าต่อพระพักตร์กษัตริย์ และประทับยืนอยู่ต่อพระพักตร์กษัตริย์
1พกษ 1.32 กษัตริย์ดาวิดรับสั่งว่า “จงเรียกศาโดกปุโรหิต และนาธันผู้พยากรณ์ กับเบไนยาห์บุตรชายเยโฮยาดามาหาเรา” เขาทั้งหลายจึงเข้ามาเฝ้ากษัตริย์
1พกษ 8.33 เมื่ออิสราเอลชนชาติของพระองค์พ่ายแพ้ต่อหน้าศัตรู เพราะเขาได้กระทำบาปต่อพระองค์ ถ้าเขาหันกลับมาหาพระองค์อีก และยอมรับพระนามของพระองค์ และอธิษฐานและกระทำการวิงวอนต่อพระองค์ในพระนิเวศนี้
1พกษ 8.58 เพื่อพระองค์ทรงโน้มจิตใจของเราให้มาหาพระองค์ ที่จะดำเนินในทางทั้งสิ้นของพระองค์ และรักษาบรรดาพระบัญญัติของพระองค์ กฎเกณฑ์ของพระองค์ และคำตัดสินของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงบัญญัติไว้แก่บรรพบุรุษของเรา
1พกษ 12.5 พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงกลับไปเสียสักสามวัน แล้วจึงมาหาเราอีก” ประชาชนจึงกลับไป
1พกษ 12.12 เยโรโบอัมกับประชาชนทั้งปวงจึงเข้ามาเฝ้าเรโหโบอัมในวันที่สาม ดังที่กษัตริย์รับสั่งว่า “จงมาหาเราอีกในวันที่สาม”
1พกษ 17.18 นางจึงกล่าวแก่เอลียาห์ว่า “โอ คนของพระเจ้า เจ้าข้า ฉันมีเรื่องอะไรเกี่ยวข้องกับท่าน ท่านได้มาหาฉันเพื่อฟื้นให้ทรงระลึกถึงความผิดของฉัน และกระทำให้บุตรชายของฉันตายหรือ”
1พกษ 20.33 ฝ่ายคนเหล่านั้นกำลังหาช่องอยู่แล้ว เขาทั้งหลายก็รีบตอบโดยเร็วว่า “พระเจ้าข้า เบนฮาดัดอนุชาของพระองค์” แล้วพระองค์ตรัสว่า “ไปเถอะและนำท่านมา” แล้วเบนฮาดัดก็ออกมาหาพระองค์ แล้วพระองค์ก็ให้ท่านขึ้นไปบนรถรบ
2พกษ 2.3 และเหล่าศิษย์แห่งผู้พยากรณ์ผู้อยู่ในเบธเอลได้ออกมาหาเอลีชาและบอกท่านว่า “ท่านทราบไหมว่า วันนี้พระเยโฮวาห์จะทรงรับอาจารย์ของท่านไปจากเป็นหัวหน้าท่าน” ท่านตอบว่า “ครับ ข้าพเจ้าทราบแล้ว เงียบๆไว้”
2พกษ 4.10 ขอให้เราทำห้องเล็กไว้บนกำแพง วางเตียง โต๊ะ เก้าอี้ และตะเกียงไว้ให้ท่าน เพื่อว่าเมื่อท่านมาหาเรา ท่านจะได้เข้าไปพักในห้องนั้น”
2พกษ 5.8 แต่เมื่อเอลีชาคนแห่งพระเจ้าได้ยินว่ากษัตริย์แห่งอิสราเอลได้ทรงฉีกฉลองพระองค์ จึงใช้คนไปทูลกษัตริย์ว่า “ไฉนพระองค์จึงทรงฉีกฉลองพระองค์ของพระองค์เสีย ขอให้เขามาหาข้าพระองค์เถิด เพื่อเขาจะได้ทราบว่า มีผู้พยากรณ์คนหนึ่งในอิสราเอล”
2พกษ 5.11 แต่นาอามานก็โกรธและไปเสีย บ่นว่า “ดูเถิด ข้าคิดว่าเขาจะออกมาหาข้าเป็นแน่ และมายืนอยู่และออกพระนามของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขา แล้วโบกมือเหนือที่นั้นให้โรคเรื้อนหาย
2พกษ 6.33 ขณะที่ท่านยังพูดกับเขาทั้งหลายอยู่ ดูเถิด ผู้สื่อสารลงมาหาท่าน และบอกว่า “ดูเถิด เหตุร้ายนี้มาจากพระเยโฮวาห์ ข้าพเจ้าจะรอคอยพระเยโฮวาห์อีกทำไม”
2พกษ 7.17 ฝ่ายกษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายทหารคนสนิทให้เป็นนายประตู และประชาชนก็เหยียบไปบนเขาตรงประตู เขาจึงสิ้นชีวิตตามซึ่งคนแห่งพระเจ้าได้กล่าวไว้ในวันเมื่อกษัตริย์เสด็จลงมาหาท่าน
2พกษ 8.9 ฮาซาเอลจึงไปพบท่านนำของกำนัลไปด้วย คือสินค้าอย่างดีทุกอย่างของเมืองดามัสกัสจุอูฐต่างสี่สิบตัว เมื่อเขามายืนอยู่ต่อหน้าท่าน เขากล่าวว่า “บุตรของท่านคือเบนฮาดัด กษัตริย์แห่งซีเรีย ได้ทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่าน กล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าจะหายป่วยหรือ’”
2พกษ 9.5 และเมื่อเขามาถึง ดูเถิด บรรดาผู้บังคับบัญชาทหารกำลังประชุมกันอยู่ และเขากล่าวว่า “โอ ข้าแต่ท่านผู้บัญชาการ ข้าพเจ้ามีธุระด่วนมาถึงท่าน” และเยฮูพูดว่า “มาหาคนใดในพวกเรา” และเขาว่า “โอ ข้าแต่ท่านผู้บัญชาการ มาหาท่าน”
2พกษ 9.11 เมื่อเยฮูออกมาสู่พวกข้าราชการของเจ้านายของท่าน คนหนึ่งพูดกับท่านว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือ ทำไมคนบ้าคนนี้จึงมาหาท่าน” ท่านพูดกับเขาทั้งหลายว่า “ท่านทั้งหลายรู้จักชายคนนั้นและทราบเขาพูดอะไรแล้ว”
2พกษ 10.6 แล้วพระองค์ทรงมีลายพระหัตถ์ไปถึงเขาฉบับที่สองว่า “ถ้าท่านทั้งหลายอยู่ฝ่ายเรา และถ้าท่านพร้อมที่จะเชื่อฟังเสียงของเรา จงนำศีรษะของบรรดาโอรสนายของท่านมาหาเราที่ยิสเรเอลพรุ่งนี้เวลานี้” ฝ่ายโอรสของกษัตริย์เจ็ดสิบองค์ด้วยกัน อยู่กับคนใหญ่คนโตในเมือง ผู้ซึ่งได้ชุบเลี้ยงท่านทั้งหลายมา
2พกษ 10.15 และเมื่อพระองค์เสด็จจากที่นั่นก็ทรงพบเยโฮนาดับบุตรชายเรคาบมาหาพระองค์ พระองค์ทรงต้อนรับเขาและตรัสกับเขาว่า “จิตใจของท่านซื่อตรงต่อจิตใจของฉัน อย่างจิตใจของฉันตรงต่อจิตใจของท่านหรือ” และเยโฮนาดับทูลว่า “ตรง พระเจ้าข้า” เยฮูตรัสว่า “ถ้าตรงก็ยื่นมือมาให้เรา” เขาจึงยื่นมือของเขา และเยฮูก็จับเขาขึ้นมาบนรถรบ
2พกษ 11.4 แต่ในปีที่เจ็ดเยโฮยาดาได้ใช้ให้บรรดานายทัพนายกอง ผู้บังคับบัญชากองและพวกทหารรักษาพระองค์ ให้เขาทั้งหลายมาหาท่านที่ในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และท่านได้ทำพันธสัญญากับเขาทั้งหลาย และให้เขาปฏิญาณในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และท่านได้นำโอรสของกษัตริย์มาให้เขาเห็น
2พกษ 11.9 นายทัพนายกองก็ได้กระทำตามที่เยโฮยาดาปุโรหิตสั่งทุกประการ ต่างก็นำคนของตนที่จะเข้าเวรวันสะบาโต พร้อมกับคนที่จะออกเวรวันสะบาโตนั้น มาหาเยโฮยาดาปุโรหิต
2พกษ 18.31 อย่าฟังเฮเซคียาห์ เพราะกษัตริย์แห่งอัสซีเรียตรัสดังนี้ว่า ‘จงทำสัญญาไมตรีกับเราด้วยของกำนัล และออกมาหาเรา แล้วทุกคนจะได้กินจากเถาองุ่นของตน และทุกคนจะกินจากต้นมะเดื่อของตน และทุกคนจะดื่มน้ำจากที่ขังน้ำของตน
2พกษ 22.15 และนางตอบพวกเขาว่า “พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘จงบอกชายคนที่ใช้พวกเจ้ามาหาเรานั้นว่า
2พกษ 25.23 เมื่อบรรดาผู้บังคับบัญชาพลรบ ทั้งตัวเขาทั้งหลายและคนของเขาได้ยินว่า กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้แต่งตั้งเกดาลิยาห์ให้เป็นเจ้าเมือง เขาก็มาหาเกดาลิยาห์ที่มิสปาห์ คืออิชมาเอลบุตรชายเนธานิยาห์ และโยฮานันบุตรชายคาเรอาห์ และเสไรอาห์บุตรชายทันหุเมทชาวเนโทฟาห์ และยาอาซันยาห์บุตรชายคนมาอาคาห์ ทั้งเขาทั้งหลายและคนของเขา
1พศด 12.1 ต่อไปนี้เป็นคนที่มาหาดาวิดที่ศิกลาก ขณะเมื่อท่านไปไหนไม่ได้สะดวกเพราะเหตุซาอูลบุตรชายคีช เขาทั้งหลายเป็นคนในพวกทแกล้วทหาร ผู้ช่วยท่านในการรบ
1พศด 12.23 ต่อไปนี้เป็นจำนวนทหารติดอาวุธพร้อมสำหรับสงคราม ผู้มาหาดาวิดในเมืองเฮโบรนเพื่อจะมอบราชอาณาจักรของซาอูลให้กับพระองค์ ตามพระวจนะของพระเยโฮวาห์
1พศด 13.2 และดาวิดตรัสกับชุมนุมชนอิสราเอลทั้งปวงว่า “ถ้าท่านทั้งหลายเห็นด้วย และถ้าเป็นน้ำพระทัยของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา ก็ให้เราทั้งหลายส่งคนไปหาพี่น้องของเรา ผู้ที่เหลืออยู่ในแผ่นดินอิสราเอลทั้งสิ้น ให้ไปยังปุโรหิตและคนเลวีด้วย ผู้ซึ่งอยู่ในหัวเมืองและทุ่งหญ้าของเขา เพื่อให้เขาทั้งหลายมาหาพวกเราพร้อมกัน
1พศด 19.3 แต่บรรดาเจ้านายของคนอัมโมนทูลฮานูนว่า “พระองค์ดำริว่าดาวิดส่งผู้เล้าโลมมาหาพระองค์เพราะนับถือพระราชบิดาของพระองค์เช่นนั้นหรือ ข้าราชการของท่านมาหาพระองค์เพื่อค้นหาและคว่ำและสอดแนมแผ่นดินมิใช่หรือ”
1พศด 19.17 และเมื่อมีคนกราบทูลดาวิด พระองค์ก็ทรงรวมอิสราเอลทั้งสิ้นเข้าด้วยกัน และข้ามแม่น้ำจอร์แดนมาหาเขา และจัดทัพต่อสู้กับเขา และเมื่อดาวิดทรงจัดทัพเข้าต่อสู้กับคนซีเรีย เขาทั้งหลายต่อสู้กับพระองค์
2พศด 6.24 ถ้าอิสราเอลประชาชนของพระองค์พ่ายแพ้ต่อหน้าศัตรูเพราะเขาได้กระทำบาปต่อพระองค์ และเขาหันกลับมาหาพระองค์อีก ยอมรับพระนามของพระองค์ และอธิษฐานและกระทำการวิงวอนต่อพระพักตร์พระองค์ในพระนิเวศนี้
2พศด 10.12 เยโรโบอัมกับประชาชนทั้งปวงจึงเข้ามาเฝ้าเรโหโบอัมในวันที่สาม ดังที่กษัตริย์รับสั่งว่า “จงมาหาเราอีกในวันที่สาม”
2พศด 13.13 เยโรโบอัมได้ส้องสุมผู้คนไว้เพื่อจะอ้อมมาหาเขาจากเบื้องหลัง ดังนั้นกองทหารของท่านจึงอยู่ข้างหน้ายูดาห์ และกองซุ่มก็อยู่ข้างหลังเขา
2พศด 15.9 และพระองค์ทรงรวบรวมยูดาห์และเบนยามินทั้งปวง และคนเหล่านั้นจากเอฟราอิม มนัสเสห์ และจากสิเมโอน ผู้อาศัยอยู่กับเขาทั้งหลาย เพราะคนเป็นจำนวนมากได้หลบหนีมาหาพระองค์จากอิสราเอล เมื่อเขาเห็นว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพระองค์สถิตกับพระองค์
2พศด 22.9 ท่านได้ค้นหาอาหัสยาห์ และพระองค์ก็ถูกจับ (เมื่อซ่อนพระองค์อยู่ในสะมาเรีย) และเขาพาพระองค์มาหาเยฮู และประหารชีวิตพระองค์เสีย เขาทั้งหลายก็ฝังพระศพไว้ เพราะเขาทั้งหลายกล่าวว่า “พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าหลานเธอของเยโฮชาฟัท ผู้แสวงหาพระเยโฮวาห์ด้วยสิ้นสุดพระทัยของพระองค์” และราชวงศ์ของอาหัสยาห์ไม่มีผู้ใดสามารถปกครองราชอาณาจักรได้
2พศด 34.9 เมื่อเขาทั้งหลายมาหาฮิลคียาห์มหาปุโรหิตแล้ว เขาได้มอบเงินซึ่งคนทั้งหลายนำมายังพระนิเวศของพระเจ้า ซึ่งคนเลวีผู้เฝ้าธรณีประตูได้เก็บจากมนัสเสห์และเอฟราอิม และจากบรรดาคนที่เหลือของอิสราเอล และจากยูดาห์กับเบนยามินทั้งสิ้น แล้วพวกเขากลับไปยังเยรูซาเล็ม
2พศด 34.23 และนางพูดกับเขาว่า “พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า จงบอกชายผู้ซึ่งใช้พวกเจ้าให้มาหาเราว่า
อสร 4.12 บัดนี้ขอกษัตริย์ทรงทราบว่า พวกยิวซึ่งมาจากพระองค์มาหาข้าพระองค์นั้นได้ไปยังเยรูซาเล็ม เขากำลังก่อสร้างเมืองที่มักกบฏและชั่วร้ายขึ้นใหม่ เขากำลังจะทำกำแพงเมืองเสร็จและซ่อมแซมรากฐาน
อสร 5.3 ในเวลาเดียวกันนั้นทัทเธนัย ผู้ว่าราชการมณฑลฟากแม่น้ำข้างนี้ และเชธาร์โบเซนัย และคณะของเขาได้มาหาท่าน และพูดกับท่านดังนี้ว่า “ผู้ใดที่ให้กฤษฎีกาแก่ท่าน ให้สร้างพระนิเวศและกำแพงนี้จนสำเร็จ”
อสร 6.22 และเขาได้ถือเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อเจ็ดวันด้วยความชื่นบาน เพราะว่าพระเยโฮวาห์ได้ทรงกระทำให้เขาชื่นบาน และทรงหันพระทัยของกษัตริย์อัสซีเรียมาหาเขา เพื่อเสริมกำลังมือของเขาในการสร้างพระนิเวศของพระเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอล
นหม 2.10 แต่เมื่อสันบาลลัทชาวโฮโรนาอิม และโทบีอาห์คนอัมโมนข้าราชการได้ยินเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ไม่พอใจเขาอย่างยิ่งที่มีคนมาหาความสุขให้คนอิสราเอล
นหม 6.2 สันบาลลัทกับเกเชมใช้ให้มาหาข้าพเจ้าว่า “ขอเชิญมาพบกันในชนบทแห่งหนึ่งในที่ราบโอโน” แต่เขาทั้งหลายเจตนาจะทำอันตรายข้าพเจ้า
นหม 6.3 ข้าพเจ้าก็ใช้ผู้สื่อสารไปหาพวกเขาว่า “ข้าพเจ้ากำลังทำงานใหญ่ ลงมาไม่ได้ ทำไมจะให้งานหยุดเสียในขณะที่ข้าพเจ้าทิ้งงานลงมาหาท่าน”
นหม 6.4 แล้วเขาใช้ให้มาหาข้าพเจ้าอย่างนี้สี่ครั้ง ข้าพเจ้าก็ตอบเขาไปทำนองเดียวกัน
นหม 6.5 สันบาลลัทได้ส่งคนใช้ของท่านมาหาข้าพเจ้าในทำนองเดียวกันเป็นครั้งที่ห้า ถือจดหมายเปิดมา
นหม 8.13 ณ วันที่สอง ประมุขของบรรพบุรุษแห่งประชาชนทั้งปวง พร้อมกับบรรดาปุโรหิตและคนเลวีมาหาเอสราธรรมาจารย์พร้อมกัน เพื่อจะศึกษาถ้อยคำของพระราชบัญญัติ
โยบ 1.14 มีผู้สื่อสารมาหาโยบเรียนว่า “วัวกำลังไถนาอยู่ และลากำลังกินหญ้าในที่ข้างๆ
โยบ 3.26 ข้าไม่สบายใจเลย ทั้งข้าก็ไม่สงบ ข้าไม่ได้หยุดพัก แต่ความทรมานก็มาหา”
โยบ 30.14 เขามาหาข้าอย่างกับน้ำที่ทะลักเข้ามาอย่างเต็มที่ เขากลิ้งตัวเข้ามาหาข้าท่ามกลางซากปรักหักพัง
โยบ 39.4 ลูกอ่อนของมันแข็งแรงขึ้น มันเติบโตใหญ่ด้วยมีข้าวกิน มันออกไปแล้วไม่กลับมาหาอีก
โยบ 42.11 และบรรดาพี่น้องชายหญิงของท่าน และบรรดาผู้ที่รู้จักท่านมาก่อนได้มาหาท่าน และรับประทานอาหารกับท่านในบ้านของท่าน และเขาทั้งหลายสำแดงความเห็นอกเห็นใจและเล้าโลมท่าน ด้วยเรื่องเหตุร้ายทั้งสิ้นซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงนำมาเหนือท่าน และต่างก็ให้เงินแผ่นหนึ่งกับแหวนทองคำวงหนึ่งแก่ท่าน
สดด 55.15 ขอมัจจุราชมาหาเขาเหล่านั้น ให้เขาลงไปยังนรกทั้งเป็น เพราะความเลวทรามอยู่ในที่อยู่อาศัยของเขาและอยู่ท่ามกลางพวกเขา
สดด 70.5 แต่ข้าพระองค์ยากจนและขัดสน โอ ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงรีบมาหาข้าพระองค์ โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขออย่าทรงรอช้า พระองค์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์และผู้ช่วยให้พ้นของข้าพระองค์
สดด 101.2 ข้าพระองค์จะประพฤติอย่างเฉลียวฉลาดตามมรรคาที่ดีรอบคอบ โอ เมื่อไรพระองค์จะเสด็จมาหาข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะดำเนินด้วยใจซื่อสัตย์ภายในเรือนของข้าพระองค์
สภษ 7.15 ฉันจึงออกมาหาเธอ เสาะหาหน้าเธอ และฉันพบเธอแล้ว
สภษ 24.34 แล้วความจนจะมาหาเจ้าอย่างนักท่องเที่ยว ความขัดสนอย่างคนถืออาวุธ”
อสย 6.6 แล้วตนหนึ่งในเสราฟิมบินมาหาข้าพเจ้า ในมือมีถ่านเพลิง ซึ่งเขาเอาคีมคีบมาจากแท่นบูชา
อสย 19.22 และพระเยโฮวาห์จะโจมตีอียิปต์ ทรงโจมตีพลาง ทรงรักษาพลาง และเขาทั้งหลายจะหันกลับมาหาพระเยโฮวาห์ และพระองค์จะทรงฟังคำวิงวอนของเขา และทรงรักษาเขา
อสย 36.3 เอลียาคิมบุตรชายฮิลคียาห์ก็ออกมาหาท่าน เอลียาคิมเป็นผู้บัญชาการราชสำนัก พร้อมกับเชบนาห์ราชเลขา และโยอาห์บุตรชายอาสาฟเจ้ากรมสารบรรณ
อสย 36.16 อย่าฟังเฮเซคียาห์ เพราะกษัตริย์แห่งอัสซีเรียตรัสดังนี้ว่า ‘จงทำสัญญาไมตรีกับเราด้วยของกำนัล และออกมาหาเรา แล้วทุกคนจะได้กินจากเถาองุ่นของตน และทุกคนจะกินจากต้นมะเดื่อของตน และทุกคนจะดื่มน้ำจากที่ขังน้ำของตน
อสย 39.3 แล้วอิสยาห์ผู้พยากรณ์ก็เข้าเฝ้ากษัตริย์เฮเซคียาห์และทูลพระองค์ว่า “คนเหล่านี้ทูลอะไรบ้าง และเขามาแต่ไหนเข้าเฝ้าพระองค์” เฮเซคียาห์ตรัสว่า “เขาได้มาหาเราจากเมืองไกล จากบาบิโลน”
อสย 45.14 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “ผลแรงงานของอียิปต์และสินค้ากำไรของเอธิโอเปีย และคนเส-บา คนร่างสูงจะมาหาเจ้าและจะเป็นของเจ้า เขาจะติดตามเจ้า เขาจะติดตรวนมาหาและกราบไหว้เจ้า เขาจะวิงวอนเจ้าว่า ‘พระเจ้าอยู่กับท่านแน่ และไม่มีอื่นใดอีก ไม่มีพระเจ้าอื่น’”
อสย 45.24 แน่นอนผู้หนึ่งจะพูดว่า ‘ในพระเยโฮวาห์ข้ามีความชอบธรรมและอานุภาพ’ มนุษย์ทั้งหลายจะมาหาพระองค์ บรรดาผู้ที่แค้นเคืองต่อพระองค์จะอับอายขายหน้า
อสย 49.18 จงเงยหน้าเงยตาขึ้นดูรอบๆ เขาทั้งหลายชุมนุมกัน เขาทั้งหลายมาหาเจ้า” พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เรามีชีวิตอยู่ตราบใด เจ้าจะสวมเขาทั้งหลายไว้หมดอย่างเครื่องอาภรณ์ เจ้าจะผูกเขาไว้อย่างเจ้าสาวประดับอาภรณ์
อสย 55.3 เอียงหูของเจ้า และมาหาเรา จงฟัง เพื่อจิตวิญญาณของเจ้าจะมีชีวิต และเราจะทำพันธสัญญานิรันดร์กับเจ้า คือความเมตตาอันแน่นอนของเราต่อดาวิด
อสย 55.5 ดูเถิด เจ้าจะร้องเรียกประชาชาติซึ่งเจ้าไม่รู้จัก และประชาชาติซึ่งไม่รู้จักเจ้าจะวิ่งมาหาเจ้าเหตุด้วยพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า และเพราะองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล เพราะพระองค์ทรงให้เจ้าได้รับเกียรติ
อสย 60.4 จงเงยตาของเจ้ามองให้รอบและดู เขาทั้งปวงมาอยู่ด้วยกัน เขาทั้งหลายมาหาเจ้า บุตรชายทั้งหลายของเจ้าจะมาจากที่ไกล และบุตรสาวทั้งหลายของเจ้าจะรับการเลี้ยงจากเจ้า
อสย 60.7 ฝูงแพะแกะทั้งสิ้นแห่งเคดาร์จะรวมมาหาเจ้า แกะผู้ของเนบาโยทจะปรนนิบัติเจ้า มันจะขึ้นไปบนแท่นบูชาของเราอย่างเป็นที่โปรดปราน และเราจะให้นิเวศแห่งสง่าราศีของเราได้รับสง่าราศี
ยรม 2.31 โอ คนยุคนี้เอ๋ย เจ้าทั้งหลายจงพิจารณาดูพระวจนะของพระเยโฮวาห์ เราเป็นเหมือนถิ่นทุรกันดารแก่อิสราเอลหรือ หรือเหมือนแผ่นดินที่มืดทึบหรือ ทำไมประชาชนของเราจึงกล่าวว่า ‘ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นเจ้านาย ข้าพระองค์จะไม่มาหาพระองค์อีก’
ยรม 3.10 แม้ว่าเธอกระทำไปสิ้นอย่างนี้แล้ว ยูดาห์น้องสาวที่ทรยศของเธอก็มิได้หันกลับมาหาเราด้วยสิ้นสุดใจ แต่แสร้งทำเป็นกลับมา” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ยรม 3.22 “บรรดาบุตรที่กลับสัตย์เอ๋ย จงกลับมาเถิด เราจะรักษาความสัตย์ของเจ้าให้หาย” “ดูเถิด ข้าพระองค์ทั้งหลายมาหาพระองค์แล้ว เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์
ยรม 15.19 เพราะฉะนั้น พระเยโฮวาห์จึงตรัสว่า “ถ้าเจ้ากลับมา เราจะให้เจ้ากลับมาอีก และเจ้าจะยืนอยู่ต่อหน้าเรา ถ้าเจ้าแยกสิ่งประเสริฐไปจากสิ่งเลวทราม เจ้าจะเป็นเหมือนปากของเรา จงให้เขาทั้งหลายหันกลับมาหาเจ้า แต่เจ้าอย่าหันไปหาเขา
ยรม 32.7 ดูเถิด ฮานัมเอลบุตรชายชัลลูม อาของเจ้าจะมาหาเจ้าและกล่าวว่า ‘จงซื้อนาของข้าพเจ้าซึ่งอยู่ที่อานาโธท เพราะว่าสิทธิของการไถ่ด้วยการซื้อนั้นเป็นของท่าน’
ยรม 32.8 แล้วฮานัมเอลลูกของอาของข้าพเจ้ามาหาข้าพเจ้าที่บริเวณของทหารรักษาพระองค์ถูกต้องตามพระวจนะของพระเยโฮวาห์ และพูดกับข้าพเจ้าว่า ‘จงซื้อนาของข้าพเจ้าซึ่งอยู่ที่อานาโธทในแผ่นดินเบนยามิน เพราะสิทธิของการถือกรรมสิทธิ์และการไถ่เป็นของท่าน จงซื้อไว้เถิด’ แล้วข้าพระองค์จึงทราบว่านี่เป็นพระวจนะของพระเยโฮวาห์
ยรม 35.15 เราได้ส่งบรรดาผู้รับใช้ของเราคือผู้พยากรณ์มาหาเจ้า ส่งเขามาอย่างไม่หยุดยั้ง กล่าวว่า ‘บัดนี้เจ้าทุกคนจงหันกลับจากทางชั่วของตน และแก้ไขการกระทำของเจ้าทั้งหลายเสีย อย่าไปติดตามพระอื่นเพื่อปรนนิบัติพระเหล่านั้น แล้วเจ้าจะได้อาศัยอยู่ในแผ่นดิน ซึ่งเราได้ประทานแก่เจ้าและบรรพบุรุษของเจ้า’ แต่เจ้ามิได้เงี่ยหูหรือเชื่อฟังเรา
ยรม 36.14 เหตุดังนั้นบรรดาเจ้านายจึงใช้เยฮูดีบุตรชายเนธานิยาห์ ผู้เป็นบุตรชายของเชเลมิยาห์ ผู้เป็นบุตรชายของคูชี ให้ไปพูดกับบารุคว่า “จงถือหนังสือม้วนซึ่งเจ้าอ่านให้ประชาชนฟังนั้นมา” ดังนั้นบารุคบุตรชายเนริยาห์จึงถือหนังสือม้วนนั้นมาหาเขาทั้งหลาย
ยรม 37.14 และเยเรมีย์ตอบว่า “ไม่จริงเลย ข้าพเจ้ามิได้กำลังหนีไปหาคนเคลเดีย” แต่อิรียาห์ไม่ฟังท่าน และจับเยเรมีย์นำมาหาพวกเจ้านาย
ยรม 38.25 แต่ถ้าพวกเจ้านายได้ยินว่าเราได้พูดกับท่าน และมาหาท่านพูดว่า ‘จงบอกมาว่าเจ้าพูดอะไรกับกษัตริย์ และกษัตริย์ตรัสอะไรกับเจ้า อย่าซ่อนอะไรจากเราเลย และเราจะไม่ฆ่าเจ้า’
ยรม 38.27 และเจ้านายทั้งปวงก็มาหาเยเรมีย์และซักถามท่าน และท่านก็ตอบเขาตามบรรดาถ้อยคำเหล่านี้ที่กษัตริย์ทรงรับสั่งท่าน เขาทั้งหลายจึงหยุดถามท่าน เพราะการสนทนานั้นไม่มีใครได้ยิน
ยรม 39.9 แล้วเนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ได้จับส่วนประชาชนที่เหลืออยู่ในกรุงเป็นเชลยพาไปยังบาบิโลน ทั้งคนที่เล็ดลอด คือคนที่เล็ดลอดมาหาท่าน และส่วนคนที่เหลืออยู่
ยรม 40.10 ส่วนตัวข้าพเจ้า ดูเถิด ข้าพเจ้าจะอาศัยอยู่ที่มิสปาห์ เพื่อจะปรนนิบัติคนเคลเดีย ผู้ซึ่งจะมาหาเรา แต่ฝ่ายท่านจงเก็บน้ำองุ่น ผลไม้ฤดูร้อน และน้ำมันและเก็บไว้ในภาชนะ และจงอยู่ในหัวเมืองซึ่งท่านยึดได้นั้น”
ยรม 40.12 แล้วพวกยิวทั้งปวงก็ได้กลับมาจากทุกที่ซึ่งเขาถูกขับไล่ให้ไปอยู่นั้น และมายังแผ่นดินยูดาห์มาหาเกดาลิยาห์ที่มิสปาห์ และเขาทั้งหลายได้เก็บน้ำองุ่นและผลไม้ในฤดูร้อนได้เป็นอันมาก
ยรม 40.13 ฝ่ายโยฮานันบุตรชายของคาเรอาห์และบรรดาประมุขของกองทหารที่ในทุ่งนาได้มาหาเกดาลิยาห์ที่มิสปาห์
ยรม 41.1 ต่อมาในเดือนที่เจ็ดอิชมาเอลบุตรชายเนธานิยาห์ ผู้เป็นบุตรชายเอลีชามาเชื้อพระวงศ์ พร้อมกับเจ้านายสิบคนของกษัตริย์ ได้มาหาเกดาลิยาห์บุตรชายอาหิคัมที่มิสปาห์ แล้วพวกเขารับประทานอาหารอยู่ด้วยกันที่มิสปาห์
ยรม 49.9 ถ้าคนเก็บองุ่นมาหาเจ้า เขาจะไม่ทิ้งองุ่นตกค้างไว้บ้างหรือ ถ้าขโมยมาเวลากลางคืน เขาจะไม่ทำลายเพียงพอแก่ตัวเขาเท่านั้นหรือ
อสค 14.1 พวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลบางคนมาหาข้าพเจ้า และมานั่งอยู่หน้าข้าพเจ้า
อสค 14.4 เพราะฉะนั้นจงพูดกับเขาและกล่าวแก่เขาว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า คนใดในวงศ์วานอิสราเอลเอารูปเคารพของเขาไว้ในใจ และวางสิ่งที่สะดุดให้ทำความชั่วช้าไว้ข้างหน้าเขาและยังมาหาผู้พยากรณ์ เราคือพระเยโฮวาห์จะตอบเขาเองด้วยเรื่องรูปเคารพมากมายของเขานั้น
อสค 14.7 เพราะว่าคนใดในวงศ์วานอิสราเอล หรือคนต่างด้าวคนใดที่อาศัยอยู่ในอิสราเอล ผู้ซึ่งแยกตัวเขาจากเรา ยึดเอารูปเคารพของเขาไว้ในใจของเขา และวางสิ่งที่สะดุดให้ทำความชั่วช้าไว้ตรงหน้าของเขา แล้วยังจะมาหาผู้พยากรณ์เพื่อขอถามเขาเกี่ยวกับเรา เราคือพระเยโฮวาห์จะตอบเขาเอง
อสค 14.22 ดูเถิด แม้จะมีคนรอดตายเหลืออยู่ในนครนั้น นำเอาบุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของเขาออกมา ดูเถิด เมื่อเขาทั้งหลายออกมาหาเจ้า เจ้าจะได้เห็นทางและการกระทำของเขา เจ้าจะเบาใจในเรื่องการร้าย ซึ่งเราได้นำมาเหนือเยรูซาเล็ม คือบรรดาสิ่งที่เราได้นำมาเหนือนครนั้น
อสค 17.7 แต่มีนกอินทรีตัวมหึมาอีกตัวหนึ่ง มีปีกใหญ่และมีขนมาก ดูเถิด องุ่นเถานั้นชอนรากมาหานกอินทรีตัวนี้ และแตกแขนงตรงมาที่มัน เพื่อให้มันรดน้ำให้จากร่องที่ปลูกอยู่นั้น
อสค 23.17 ชาวบาบิโลนก็มาหาเธอถึงเตียงรัก และเขาก็กระทำให้เธอเป็นมลทินด้วยราคะของเขา หลังจากที่เธอโสโครกกับเขาแล้ว จิตใจเธอก็เบื่อหน่าย
อสค 24.26 ในวันนั้น ผู้หนีภัยจะมาหาเจ้า เพื่อจะรายงานข่าวให้เจ้าได้ยินเอง
อสค 26.21 เราจะกระทำให้เจ้าเป็นที่น่าครั่นคร้าม จะไม่มีเจ้าอีกแล้ว ถึงใครจะมาหาเจ้า เขาจะมาหาเจ้าไม่พบอีกต่อไปเป็นนิตย์ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ”
อสค 33.21 และอยู่มา เมื่อวันที่ห้า เดือนที่สิบ ในปีที่สิบสอง ซึ่งเราได้ถูกกวาดไปเป็นเชลย ชายคนหนึ่งหนีมาจากกรุงเยรูซาเล็มมาหาข้าพเจ้ากล่าวว่า “เมืองนั้นแตกเสียแล้ว”
ดนล 4.6 เราจึงออกกฤษฎีกาเรียกนักปราชญ์แห่งบาบิโลนทั้งสิ้นมาหาเราเพื่อให้แก้ความฝันให้แก่เรา
ดนล 4.36 ในเวลานั้นเอง จิตปกติของเราก็กลับคืนมา ความสูงส่งและราชสง่าราศีกลับมาสู่เราอีก เพื่อสง่าราศีแห่งราชอาณาจักรของเรา องคมนตรีและข้าราชบริพารของเรากลับมาหาเรา และเราก็รับการสถาปนาไว้ในราชอาณาจักรของเรา ความใหญ่ยิ่งกลับเพิ่มพูนแก่เราขึ้นอีก
ดนล 7.13 ข้าพเจ้าเห็นในนิมิตกลางคืน และดูเถิด มีท่านผู้หนึ่งเหมือนบุตรมนุษย์มาพร้อมกับบรรดาเมฆในท้องฟ้า และท่านมาหาผู้เจริญด้วยวัยวุฒินั้น เขานำท่านมาเฝ้าต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์
ดนล 8.6 มันมาหาแกะผู้ที่มีเขาสองเขาซึ่งข้าพเจ้าเห็นยืนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำ มันวิ่งเข้าใส่แกะผู้ตัวนั้นด้วยเต็มกำลังความโกรธของมัน
ดนล 10.11 ท่านกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า “โอ ดาเนียล บุรุษผู้เป็นที่รักอย่างยิ่ง จงเข้าใจถ้อยคำที่เราพูดกับท่าน และยืนตรง เพราะบัดนี้ข้าพเจ้าได้รับใช้ให้มาหาท่าน” ขณะที่ท่านกล่าวคำนี้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ยืนสั่นสะท้านอยู่
ดนล 10.20 แล้วท่านจึงกล่าวว่า “ท่านทราบหรือไม่ว่าข้าพเจ้ามาหาท่านทำไม แต่บัดนี้ข้าพเจ้าจะกลับไปต่อสู้กับเจ้าผู้พิทักษ์แห่งเปอร์เซีย และเมื่อข้าพเจ้าเสร็จธุระกับเขาแล้ว ดูเถิด เจ้าผู้พิทักษ์แห่งกรีกจะมา
ดนล 11.6 ต่อมาอีกหลายปีเขาจะกระทำพันธมิตรกัน และบุตรสาวแห่งกษัตริย์ถิ่นใต้จะมาหากษัตริย์แห่งถิ่นเหนือเพื่อกระทำสันติภาพ แต่เธอก็ไม่กระทำให้กำลังแขนของเธอคงอยู่ได้ กษัตริย์และแขนของท่านจะไม่ยั่งยืน เธอจะถูกอายัดไว้ ทั้งผู้ที่นำเธอมา ผู้ที่ให้กำเนิดเธอ และผู้ที่ให้กำลังแก่เธอในกาลนั้น
ฮชย 6.3 แล้วเราก็จะรู้ถ้าเราพยายามรู้จักพระเยโฮวาห์ การที่พระองค์เสด็จออกก็เตรียมไว้ดุจยามเช้า พระองค์จะเสด็จมาหาเราอย่างห่าฝน ดังฝนชุกปลายฤดูกับต้นฤดูที่รดพื้นแผ่นดิน”
ฮชย 11.7 ประชาชนของเราโน้มไปในทางเหินห่างจากเรา ถึงแม้พวกเขาเรียกเขาทั้งหลายให้มาหาพระองค์ผู้สูงสุด ไม่มีใครยอมยกย่องพระองค์
ยอล 2.13 จงฉีกใจของเจ้า มิใช่ฉีกเสื้อผ้าของเจ้า” จงหันกลับมาหาพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย เพราะว่าพระองค์ทรงกอปรด้วยพระคุณและทรงพระกรุณา ทรงกริ้วช้าและบริบูรณ์ด้วยความเมตตา และทรงกลับพระทัยไม่ลงโทษ
อมส 6.1 “วิบัติแก่ผู้ที่เอกเขนกอยู่ในศิโยน และวางใจอยู่ในภูเขาสะมาเรีย คือผู้มีชื่อเสียงแห่งประชาชาติชั้นเอกในบรรดาประชาชาติทั้งหลาย ผู้ซึ่งวงศ์วานอิสราเอลมาหานั่นน่ะ
อบด 1.5 ถ้าขโมยเข้ามาหาเจ้า ถ้าพวกปล้นเข้ามาในเวลากลางคืน (เจ้าจะถูกทำลายสักเท่าใด) เขาจะไม่ขโมยเพียงพอแก่ตัวของเขาเท่านั้นหรือ ถ้าคนเก็บองุ่นมาหาเจ้า เขาจะไม่ทิ้งองุ่นตกค้างไว้บ้างหรือ
ยนา 1.6 นายเรือจึงมาหาท่านและกล่าวแก่ท่านว่า “โอ เจ้าคนขี้เซาเอ๋ย อย่างไรกันนี่ ลุกขึ้นซิ จงร้องขอต่อพระเจ้าของเจ้า ชะรอยพระเจ้านั้นจะทรงระลึกถึงพวกเราบ้าง เราจะได้ไม่พินาศ”
มคา 7.12 ในวันนั้นเขาจะมาหาเจ้าคือมาจากอัสซีเรียและจากเมืองที่มีป้อมปราการ จากระหว่างป้อมปราการกับแม่น้ำ จากระหว่างทะเลนี้กับทะเลโน้น และจากระหว่างภูเขานี้กับภูเขาโน้น
ศคย 4.9 “มือของเศรุบบาเบลได้วางรากฐานของพระนิเวศนี้ และมือของเขาจะสร้างให้สำเร็จ แล้วเจ้าจะทราบว่า พระเยโฮวาห์จอมโยธาได้ใช้ข้าพเจ้ามาหาเจ้าทั้งหลาย
ศคย 9.9 โอ ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย จงร่าเริงอย่างยิ่งเถิด โอ บุตรสาวแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย จงโห่ร้อง ดูเถิด กษัตริย์ของเธอเสด็จมาหาเธอ ทรงความชอบธรรมและความรอด พระองค์ทรงอ่อนสุภาพและทรงลา ทรงลูกลา
มธ 3.13 แล้วพระเยซูเสด็จจากแคว้นกาลิลีมาหายอห์นที่แม่น้ำจอร์แดน เพื่อจะรับบัพติศมาจากท่าน
มธ 3.14 แต่ยอห์นทูลห้ามพระองค์ว่า “ข้าพระองค์ต้องการจะรับบัพติศมาจากพระองค์ ควรหรือที่พระองค์จะเสด็จมาหาข้าพระองค์”
มธ 4.3 เมื่อผู้ทดลองมาหาพระองค์ มันก็ทูลว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นพระกระยาหาร”
มธ 4.24 กิตติศัพท์ของพระองค์ก็เลื่องลือไปทั่วประเทศซีเรีย เขาจึงพาบรรดาคนป่วยเป็นโรคต่างๆ คนที่ทนทุกข์เวทนา คนผีเข้า คนบ้า และคนเป็นอัมพาตมาหาพระองค์ พระองค์ก็ทรงรักษาเขาให้หาย
มธ 7.15 จงระวังผู้พยากรณ์เท็จที่มาหาท่านนุ่งห่มดุจแกะ แต่ภายในเขาร้ายกาจดุจสุนัขป่า
มธ 8.16 พอค่ำลง เขาพาคนเป็นอันมากที่มีผีเข้าสิงมาหาพระองค์ พระองค์ก็ทรงขับผีออกด้วยพระดำรัสของพระองค์ และบรรดาคนเจ็บป่วยนั้น พระองค์ก็ได้ทรงรักษาให้หาย
มธ 8.19 ขณะนั้นมีธรรมาจารย์คนหนึ่งมาหาพระองค์ทูลว่า “อาจารย์เจ้าข้า ท่านไปทางไหน ข้าพเจ้าจะตามท่านไปทางนั้น”
มธ 9.2 ดูเถิด เขาหามคนอัมพาตคนหนึ่งซึ่งนอนอยู่บนที่นอนมาหาพระองค์ เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นความเชื่อของเขาทั้งหลาย จึงตรัสกับคนอัมพาตว่า “ลูกเอ๋ย จงชื่นใจเถิด บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว”
มธ 9.14 แล้วพวกสาวกของยอห์นมาหาพระองค์ทูลว่า “เหตุไฉนพวกข้าพระองค์และพวกฟาริสีถืออดอาหารบ่อยๆ แต่พวกสาวกของพระองค์ไม่ถืออดอาหาร”
มธ 9.32 ขณะเมื่อพระเยซูและเหล่าสาวกกำลังเสด็จออกไปจากที่นั่น ดูเถิด มีผู้พาคนใบ้คนหนึ่งที่มีผีสิงอยู่มาหาพระองค์
มธ 11.28 บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข
มธ 12.22 ขณะนั้นเขาพาคนหนึ่งมีผีเข้าสิงอยู่ ทั้งตาบอดและเป็นใบ้มาหาพระองค์ พระองค์ทรงรักษาให้หาย คนตาบอดและใบ้นั้นจึงพูดจึงเห็นได้
มธ 13.2 มีคนพากันมาหาพระองค์มากนัก พระองค์จึงเสด็จลงไปประทับในเรือ และบรรดาคนเหล่านั้นก็ยืนอยู่บนฝั่ง
มธ 15.24 พระองค์ตรัสตอบว่า “เรามิได้รับใช้มาหาผู้ใด เว้นแต่แกะหลงของวงศ์วานอิสราเอล”
มธ 17.14 ครั้นพระเยซูกับเหล่าสาวกมาถึงฝูงชนแล้ว มีชายคนหนึ่งมาหาพระองค์คุกเข่าลงต่อพระองค์ และทูลว่า
มธ 17.16 ข้าพระองค์ได้พาเขามาหาพวกสาวกของพระองค์ แต่พวกสาวกนั้นรักษาเขาให้หายไม่ได้”
มธ 17.17 พระเยซูตรัสตอบว่า “โอ คนในยุคที่ขาดความเชื่อและมีทิฐิชั่ว เราจะต้องอยู่กับท่านทั้งหลายนานเท่าใด เราจะต้องอดทนเพราะท่านไปถึงไหน จงพาเด็กนั้นมาหาเราที่นี่เถิด”
มธ 17.19 ภายหลังเหล่าสาวกมาหาพระเยซูเป็นส่วนตัวทูลถามว่า “เหตุไฉนพวกข้าพระองค์ขับผีนั้นออกไม่ได้”
มธ 17.24 เมื่อพระองค์กับเหล่าสาวกมาถึงเมืองคาเปอรนาอุมแล้ว พวกคนเก็บค่าบำรุงพระวิหารมาหาเปโตรถามว่า “อาจารย์ของท่านไม่เสียค่าบำรุงพระวิหารหรือ”
มธ 19.13 ขณะนั้นเขาพาเด็กเล็กๆมาหาพระองค์ เพื่อจะให้พระองค์ทรงวางพระหัตถ์และอธิษฐาน แต่เหล่าสาวกก็ห้ามปรามไว้
มธ 21.5 ‘จงบอกธิดาแห่งศิโยนว่า ดูเถิด กษัตริย์ของเธอเสด็จมาหาเธอ โดยพระทัยอ่อนสุภาพ ทรงแม่ลากับลูกของมัน’
มธ 21.23 เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในพระวิหารในเวลาที่ทรงสั่งสอนอยู่ พวกปุโรหิตใหญ่และพวกผู้ใหญ่ของประชาชนมาหาพระองค์ทูลถามว่า “ท่านมีสิทธิอันใดจึงได้ทำเช่นนี้ ใครให้สิทธินี้แก่ท่าน”
มธ 21.32 ด้วยยอห์นได้มาหาพวกท่านด้วยทางแห่งความชอบธรรม ท่านหาเชื่อยอห์นไม่ แต่พวกเก็บภาษีและพวกหญิงโสเภณีได้เชื่อยอห์น ฝ่ายท่านทั้งหลายถึงแม้ได้เห็นแล้ว ภายหลังก็มิได้กลับใจเชื่อยอห์น
มธ 22.23 ในวันนั้นมีพวกสะดูสีมาหาพระองค์ พวกนี้เป็นผู้ที่กล่าวว่า การฟื้นขึ้นมาจากความตายไม่มี เขาจึงทูลถามพระองค์
มธ 23.37 โอ เยรูซาเล็มๆ ที่ได้ฆ่าบรรดาศาสดาพยากรณ์ และเอาหินขว้างผู้ที่ได้รับใช้มาหาเจ้าถึงตาย เราใคร่จะรวบรวมลูกของเจ้าไว้เนืองๆ เหมือนแม่ไก่กกลูกอยู่ใต้ปีกของมัน แต่เจ้าไม่ยอมเลยหนอ
มธ 26.49 ขณะนั้น ยูดาสตรงมาหาพระเยซูทูลว่า “สวัสดี พระอาจารย์” แล้วจุบพระองค์
มธ 28.5 ทูตสวรรค์นั้นจึงกล่าวแก่หญิงนั้นว่า “อย่ากลัวเลย เพราะเรารู้อยู่ว่าท่านทั้งหลายมาหาพระเยซูซึ่งถูกตรึงที่กางเขน
มก 1.32 เวลาเย็นวันนั้นครั้นตะวันตกแล้ว คนทั้งหลายพาบรรดาคนเจ็บป่วย และคนที่มีผีสิง มาหาพระองค์
มก 1.40 และมีคนโรคเรื้อนคนหนึ่งมาหาพระองค์ คุกเข่าลงต่อพระองค์ และทูลวิงวอนพระองค์ว่า “เพียงแต่พระองค์จะโปรด พระองค์ก็จะทรงบันดาลให้ข้าพระองค์สะอาดได้”
มก 1.45 แต่คนนั้นเมื่อออกไปแล้วก็ตั้งต้นป่าวร้องมากมายให้เลื่องลือไป จนพระเยซูจะเสด็จเข้าไปในเมืองอย่างเปิดเผยต่อไปไม่ได้ แต่ต้องประทับภายนอกในที่เปลี่ยว และมีคนทุกแห่งทุกตำบลมาหาพระองค์
มก 2.3 แล้วมีคนนำคนอัมพาตคนหนึ่งมาหาพระองค์ มีสี่คนหาม
มก 2.13 ฝ่ายพระองค์ได้เสด็จไปตามชายทะเลอีก ประชาชนก็มาหาพระองค์ และพระองค์ได้ตรัสสั่งสอนเขา
มก 3.8 จากกรุงเยรูซาเล็ม และจากเมืองเอโดม และจากฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น และจากแคว้นเมืองไทระและไซดอน ฝูงชนเป็นอันมาก เมื่อเขาได้ยินถึงสิ่งยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงกระทำนั้นก็มาหาพระองค์
มก 3.13 แล้วพระองค์เสด็จขึ้นภูเขา และพอพระทัยจะเรียกผู้ใด พระองค์ก็ทรงเรียกผู้นั้น แล้วเขาได้มาหาพระองค์
มก 3.32 และประชาชนก็นั่งอยู่รอบพระองค์ เขาจึงทูลพระองค์ว่า “ดูเถิด มารดาและพวกน้องชายของพระองค์มาหาพระองค์คอยอยู่ข้างนอก”
มก 4.1 แล้วพระองค์ทรงตั้งต้นสั่งสอนที่ฝั่งทะเลอีก ฝูงชนเป็นอันมากพากันมาหาพระองค์ เหตุฉะนั้นพระองค์จึงได้เสด็จลงไปประทับในเรือที่ทะเล และฝูงชนอยู่บนฝั่งชายทะเล
มก 5.21 ครั้นพระเยซูเสด็จลงเรือข้ามฟากกลับไปแล้ว มีคนเป็นอันมากมาหาพระองค์ และพระองค์ยังประทับที่ฝั่งทะเล
มก 6.30 ฝ่ายอัครสาวกพากันมาหาพระเยซู และได้ทูลถึงบรรดาการซึ่งเขาได้กระทำและได้สั่งสอน
มก 7.1 ครั้งนั้นพวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์บางคน ซึ่งได้มาจากกรุงเยรูซาเล็ม พากันมาหาพระองค์
มก 7.32 เขาพาชายหูหนวกพูดติดอ่างคนหนึ่งมาหาพระองค์ แล้วทูลอ้อนวอนขอพระองค์ให้ทรงวางพระหัตถ์บนคนนั้น
มก 8.22 พระองค์จึงไปยังเมืองเบธไซดา เขาพาชายตาบอดคนหนึ่งมาหาพระองค์ ทูลอ้อนวอนขอพระองค์ให้โปรดถูกต้องคนนั้น
มก 9.17 มีคนหนึ่งในหมู่ประชาชนทูลตอบว่า “อาจารย์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้พาบุตรชายของข้าพระองค์มาหาพระองค์เพราะผีใบ้เข้าสิง
มก 9.19 พระองค์จึงตรัสแก่คนนั้นว่า “โอ คนในยุคที่ขาดความเชื่อ เราจะต้องอยู่กับเจ้านานเท่าใด เราจะต้องอดทนกับเจ้านานเท่าใด จงพาเด็กนั้นมาหาเราเถิด”
มก 9.20 เขาก็พาเด็กนั้นมาหาพระองค์ และเมื่อเห็นพระองค์แล้ว ในทันใดนั้นผีนั้นจึงทำให้เขาชักล้มลงกลิ้งเกลือกที่ดิน มีน้ำลายฟูมปาก
มก 10.1 ฝ่ายพระองค์ได้ทรงลุกขึ้นเสด็จจากที่นั่น เข้าในเขตแดนแคว้นยูเดีย ไปตามทางแม่น้ำจอร์แดนฟากข้างโน้น และประชาชนพากันมาหาพระองค์อีก พระองค์จึงตรัสสั่งสอนเขาอีกตามที่พระองค์ทรงเคยสอนนั้น
มก 10.13 ขณะนั้นเขาพาเด็กเล็กๆมาหาพระองค์ เพื่อจะให้พระองค์ทรงถูกต้องตัวเด็กนั้น แต่เหล่าสาวกก็ห้ามปรามคนที่พาเด็กมานั้น
มก 10.17 เมื่อพระองค์กำลังเสด็จออกไปตามทาง มีคนหนึ่งวิ่งมาหาพระองค์คุกเข่าลงทูลถามพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าจะกระทำประการใดจึงจะได้ชีวิตนิรันดร์เป็นมรดก”
มก 10.50 คนนั้นก็ทิ้งผ้าห่มเสียลุกขึ้นมาหาพระเยซู
มก 11.27 ฝ่ายพระองค์กับเหล่าสาวกมายังกรุงเยรูซาเล็มอีก เมื่อพระองค์เสด็จดำเนินอยู่ในพระวิหาร พวกปุโรหิตใหญ่ พวกธรรมาจารย์ และพวกผู้ใหญ่มาหาพระองค์
มก 12.18 มีพวกสะดูสีมาหาพระองค์ พวกนี้เป็นผู้ที่กล่าวว่าการฟื้นขึ้นมาจากความตายนั้นไม่มี เขาทูลถามพระองค์ว่า
มก 16.6 ฝ่ายคนหนุ่มนั้นบอกเขาว่า “อย่าตกตะลึงเลย พวกท่านทั้งหลายมาหาพระเยซูชาวนาซาเร็ธซึ่งต้องตรึงไว้ที่กางเขน พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว พระองค์หาได้ประทับที่นี่ไม่ จงดูที่ที่เขาได้วางพระศพของพระองค์เถิด
ลก 1.16 เขาจะนำคนอิสราเอลหลายคนให้หันกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเขาทั้งหลาย
ลก 1.43 เป็นไฉนข้าพเจ้าจึงได้ความโปรดปรานเช่นนี้ คือมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าได้มาหาข้าพเจ้า
ลก 4.40 ครั้นเวลาตะวันยอแสง ใครมีคนเจ็บเป็นโรคต่างๆก็พามาหาพระองค์ พระองค์ก็ทรงวางพระหัตถ์ถูกต้องเขาทุกคน ให้เขาหายโรค
ลก 6.47 ทุกคนที่มาหาเราและฟังคำของเรา และกระทำตามคำนั้น เราจะแจ้งให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า เขาเปรียบเหมือนผู้ใด
ลก 7.20 เมื่อคนทั้งสองนั้นมาถึงพระองค์แล้วเขาทูลว่า “ยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านให้ถามว่า ‘ท่านเป็นผู้ที่จะมานั้นหรือ หรือเราจะต้องคอยผู้อื่น’”
ลก 8.4 เมื่อประชาชนเป็นอันมากอยู่พร้อมกัน และคนกำลังมาหาพระองค์จากทุกเมือง พระองค์จึงตรัสเป็นคำอุปมาว่า
ลก 8.19 ครั้งนั้นมารดาและพวกน้องชายของพระองค์มาหาพระองค์ แต่เข้าไปถึงพระองค์ไม่ได้เพราะคนมาก
ลก 11.6 เพราะเพื่อนของฉันคนหนึ่งเพิ่งเดินทางมาหาฉัน และฉันไม่มีอะไรจะให้เขารับประทาน’
ลก 13.6 พระองค์ตรัสคำอุปมาต่อไปนี้ว่า “คนหนึ่งมีต้นมะเดื่อต้นหนึ่งปลูกไว้ในสวนองุ่นของตน และเขามาหาผลที่ต้นนั้นแต่ไม่พบ
ลก 13.7 เขาจึงว่าแก่คนที่รักษาสวนองุ่นว่า ‘ดูเถิด เรามาหาผลที่ต้นมะเดื่อนี้ได้สามปีแล้ว แต่ไม่พบ จงโค่นมันเสีย จะให้ดินรกไปเปล่าๆทำไม’
ลก 13.34 โอ เยรูซาเล็มๆ ที่ได้ฆ่าบรรดาศาสดาพยากรณ์และเอาหินขว้างผู้ที่ได้รับใช้มาหาเจ้าให้ถึงตาย เราใคร่จะรวบรวมลูกของเจ้าไว้เนืองๆ เหมือนแม่ไก่กกลูกอยู่ใต้ปีกของมัน แต่เจ้าไม่ยอมเลยหนอ
ลก 14.26 “ถ้าผู้ใดมาหาเรา และไม่ชังบิดามารดา บุตรภรรยา และพี่น้องชายหญิง แม้ทั้งชีวิตของตนเองด้วย ผู้นั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้
ลก 17.4 แม้เขาจะทำการละเมิดต่อท่านวันหนึ่งเจ็ดหน และจะกลับมาหาท่านทั้งเจ็ดหนในวันเดียวนั้น แล้วว่า ‘ฉันกลับใจแล้ว’ จงยกโทษให้เขาเถิด”
ลก 18.3 ในนครนั้นมีหญิงม่ายคนหนึ่งมาหาผู้พิพากษาผู้นั้นพูดว่า ‘ขอแก้แค้นศัตรูของข้าพเจ้าให้ข้าพเจ้าเถิด’
ลก 18.15 แล้วเขาอุ้มทารกมาหาพระองค์ เพื่อจะให้พระองค์ทรงถูกต้องทารกนั้น แต่เหล่าสาวกเมื่อเห็นเข้าก็ห้ามเขา
ลก 18.40 พระเยซูทรงประทับยืนอยู่สั่งให้พาคนตาบอดมาหาพระองค์ เมื่อเขามาใกล้แล้ว พระองค์ทรงถามเขา
ลก 20.27 ยังมีพวกสะดูสีบางคนมาหาพระองค์ ซึ่งเขาทั้งหลายว่าการฟื้นขึ้นมาจากความตายนั้นไม่มี เขาจึงทูลถามพระองค์
ลก 21.38 คนทั้งปวงก็มาหาพระองค์ในพระวิหารแต่เช้าตรู่เพื่อจะฟังพระองค์
ลก 23.14 จึงกล่าวแก่เขาว่า “ท่านทั้งหลายได้พาคนนี้มาหาเราฟ้องว่าเขาได้ยุยงประชาชน ดูเถิด เราได้สืบถามต่อหน้าท่านทั้งหลาย และไม่เห็นว่าคนนี้มีความผิดในข้อที่ท่านทั้งหลายฟ้องเขานั้น
ยน 1.47 พระเยซูทอดพระเนตรเห็นนาธานาเอลมาหาพระองค์จึงตรัสถึงเรื่องตัวเขาว่า “ดูเถิด ชนอิสราเอลแท้ ในตัวเขาไม่มีอุบาย”
ยน 3.2 ชายผู้นี้ได้มาหาพระเยซูในเวลากลางคืนและทูลพระองค์ว่า “รับบี พวกข้าพเจ้าทราบอยู่ว่าท่านเป็นครูที่มาจากพระเจ้า เพราะไม่มีผู้ใดกระทำการอัศจรรย์ซึ่งท่านได้กระทำนั้นได้ นอกจากว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเขาด้วย”
ยน 5.40 แต่ท่านทั้งหลายไม่ยอมมาหาเราเพื่อจะได้ชีวิต
ยน 6.5 เมื่อพระเยซูทรงเงยพระพักตร์ทอดพระเนตรและเห็นคนเป็นอันมากพากันมาหาพระองค์ พระองค์จึงตรัสกับฟีลิปว่า “เราจะซื้ออาหารที่ไหนให้คนเหล่านี้กินได้”
ยน 6.35 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิวอีก และผู้ที่เชื่อในเราจะไม่กระหายอีกเลย
ยน 6.37 สารพัดที่พระบิดาทรงประทานแก่เราจะมาสู่เรา และผู้ที่มาหาเรา เราก็จะไม่ทิ้งเขาเลย
ยน 7.37 ในวันสุดท้ายของเทศกาลซึ่งเป็นวันใหญ่นั้น พระเยซูทรงยืนและประกาศว่า “ถ้าผู้ใดกระหาย ผู้นั้นจงมาหาเราและดื่ม
ยน 7.50 นิโคเดมัส (ผู้ที่ได้มาหาพระเยซูในเวลากลางคืนนั้น และเป็นคนหนึ่งในพวกเขา) ได้กล่าวแก่พวกเขาว่า
ยน 8.2 ในตอนเช้าตรู่พระองค์เสด็จเข้าในพระวิหารอีก และคนทั้งหลายพากันมาหาพระองค์ พระองค์ก็ประทับนั่งและสั่งสอนเขา
ยน 8.3 พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีได้พาผู้หญิงคนหนึ่งมาหาพระองค์ หญิงผู้นี้ถูกจับฐานล่วงประเวณี และเมื่อเขาให้หญิงผู้นี้ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน
ยน 10.41 คนเป็นอันมากพากันมาหาพระองค์ และกล่าวว่า “ยอห์นมิได้ทำการอัศจรรย์ใดๆเลย แต่ทุกสิ่งซึ่งยอห์นได้กล่าวถึงท่านผู้นี้เป็นความจริง”
ยน 11.19 พวกยิวหลายคนได้มาหามารธาและมารีย์ เพื่อจะปลอบโยนเธอเรื่องน้องชายของเธอ
ยน 11.45 ดังนั้นพวกยิวหลายคนที่มาหามารีย์และได้เห็นการกระทำของพระเยซู ก็เชื่อในพระองค์
ยน 12.32 และเรา ถ้าเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว เราก็จะชักชวนคนทั้งปวงให้มาหาเรา”
ยน 14.18 เราจะไม่ละทิ้งท่านทั้งหลายไว้ให้เปล่าเปลี่ยว เราจะมาหาท่าน
ยน 14.23 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ถ้าผู้ใดรักเรา ผู้นั้นจะรักษาคำของเรา และพระบิดาของเราจะทรงรักเขา แล้วพระบิดากับเราจะมาหาเขาและจะอยู่กับเขา
ยน 14.28 ท่านได้ยินเรากล่าวแก่ท่านว่า ‘เราจะจากไปและจะกลับมาหาท่านอีก’ ถ้าท่านรักเรา ท่านก็จะชื่นชมยินดีที่เราว่า ‘เราจะไปหาพระบิดา’ เพราะพระบิดาของเราทรงเป็นใหญ่กว่าเรา
ยน 15.26 แต่เมื่อพระองค์ผู้ปลอบประโลมใจที่เราจะใช้มาจากพระบิดามาหาท่านทั้งหลาย คือพระวิญญาณแห่งความจริง ผู้ทรงมาจากพระบิดานั้นได้เสด็จมาแล้ว พระองค์นั้นจะทรงเป็นพยานถึงเรา
ยน 16.7 อย่างไรก็ตามเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย คือการที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป พระองค์ผู้ปลอบประโลมใจก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน
ยน 18.4 พระเยซูทรงทราบทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพระองค์ พระองค์จึงเสด็จออกไปถามเขาว่า “ท่านทั้งหลายมาหาใคร”
ยน 18.5 เขาทูลตอบพระองค์ว่า “มาหาเยซูชาวนาซาเร็ธ” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราคือผู้นั้นแหละ” ยูดาสผู้ทรยศพระองค์ก็ยืนอยู่กับคนเหล่านั้นด้วย
ยน 18.7 พระองค์จึงตรัสถามเขาอีกว่า “ท่านมาหาใคร” เขาทูลตอบว่า “มาหาเยซูชาวนาซาเร็ธ”
ยน 18.29 ปีลาตจึงออกมาหาเขาเหล่านั้นแล้วถามว่า “พวกท่านมีเรื่องอะไรมาฟ้องคนนี้”
กจ 4.1 ขณะที่เปโตรกับยอห์นยังกล่าวแก่คนทั้งปวงอยู่ ปุโรหิตทั้งหลายกับนายทหารรักษาพระวิหารและพวกสะดูสีมาหาท่านทั้งสอง
กจ 6.2 ฝ่ายอัครสาวกทั้งสิบสองคนจึงเรียกบรรดาศิษย์ให้มาหาเขาแล้วกล่าวว่า “ซึ่งเราจะละเลยพระวจนะของพระเจ้ามัวไปแจกอาหารก็หาควรไม่
กจ 7.14 ฝ่ายโยเซฟจึงได้เชิญยาโคบบิดากับบรรดาญาติของตนเจ็ดสิบห้าคนให้มาหา
กจ 9.32 ต่อมาเมื่อเปโตรเที่ยวไปตลอดทุกแห่งแล้ว ก็ลงมาหาพวกวิสุทธิชนซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองลิดดาด้วย
กจ 9.35 ฝ่ายคนทั้งปวงที่อยู่ในเมืองลิดดา และที่ราบชาโรนได้เห็นแล้วจึงกลับใจมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า
กจ 9.38 เมืองลิดดาอยู่ใกล้กับเมืองยัฟฟา พวกสาวกได้ยินว่าเปโตรอยู่ที่นั่น จึงใช้ชายสองคนไปหาท่าน เชิญท่านมาหาเขาโดยเร็ว
กจ 10.21 เปโตรจึงลงไปหาคนเหล่านั้นซึ่งโครเนลิอัสได้ใช้มากล่าวว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าเป็นคนที่ท่านมาหานั้น ท่านมาธุระอะไร”
กจ 11.11 ดูเถิด ในทันใดนั้นมีชายสามคนมายืนอยู่ตรงหน้าบ้านที่ข้าพเจ้าอยู่ รับใช้มาจากเมืองซีซารียามาหาข้าพเจ้า
กจ 12.20 ฝ่ายเฮโรดกริ้วชาวเมืองไทระและเมืองไซดอน แต่ชาวเมืองนั้นได้พากันมาหาท่าน เมื่อได้เอาใจบลัสทัสกรมวังของกษัตริย์แล้ว จึงได้ขอกลับเป็นไมตรีกันอีก เพราะว่าเมืองของเขาต้องอาศัยอาหารเลี้ยงชีพจากแผ่นดินของกษัตริย์นั้น
กจ 14.11 เมื่อหมู่ชนเห็นการซึ่งเปาโลได้กระทำนั้น จึงพากันร้องเป็นภาษาลิคาโอเนียว่า “พวกพระแปลงเป็นมนุษย์ลงมาหาเราแล้ว”
กจ 14.15 ว่า “ท่านทั้งหลาย เหตุไฉนท่านจึงทำการอย่างนี้ เราเป็นคนธรรมดาเช่นเดียวกันกับท่านทั้งหลาย และมาประกาศให้ท่านกลับจากสิ่งไร้ประโยชน์เหล่านี้ ให้มาหาพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ผู้ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ทะเลและสิ่งสารพัดซึ่งมีอยู่ในที่เหล่านั้น
กจ 15.19 เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าตัดสินใจว่า อย่าให้เราวางเครื่องขัดขวางกีดกันคนต่างชาติซึ่งกลับมาหาพระเจ้า
กจ 22.13 ได้มาหาข้าพเจ้าและยืนอยู่ใกล้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ‘พี่เซาโลเอ๋ย จงเห็นได้อีกเถิด’ ข้าพเจ้าจึงเห็นท่านได้ในเวลานั้น
กจ 23.15 ฉะนั้น บัดนี้ท่านทั้งหลายกับพวกสมาชิกสภาจงพูดให้นายพันเข้าใจว่า พวกท่านต้องการให้พาเปาโลลงมาหาท่านทั้งหลายพรุ่งนี้ เพื่อจะได้ซักถามความให้ถ้วนถี่ยิ่งกว่าแต่ก่อน ฝ่ายพวกข้าพเจ้าจะได้เตรียมตัวไว้พร้อมที่จะฆ่าเปาโลเสียเมื่อยังไม่ทันจะมาถึง”
กจ 23.18 เหตุฉะนั้นนายร้อยจึงรับตัวชายหนุ่มคนนั้นไปหานายพันกล่าวว่า “เปาโลผู้ถูกขังอยู่นั้นเรียกข้าพเจ้า ขอให้พาชายหนุ่มคนนี้มาหาท่าน เพราะเขามีเรื่องที่จะแจ้งให้ท่านทราบ”
กจ 23.30 เมื่อมีคนบอกข้าพเจ้าให้ทราบว่าพวกยิวมีการปองร้ายคนนี้ ข้าพเจ้าจึงส่งเขามาหาท่านทีเดียว แล้วได้สั่งให้พวกโจทก์ไปว่าความกับเขาต่อหน้าท่าน สวัสดี”
กจ 28.9 ครั้นทำอย่างนั้นแล้ว คนอื่นๆที่เกาะนั้นซึ่งมีโรคต่างๆก็มาหา และเขาก็หายด้วย
กจ 28.23 เมื่อเขานัดวันพบกับท่าน คนเป็นอันมากก็พากันมาหายังที่อาศัยของท่าน ท่านจึงกล่าวแก่เขาตั้งแต่เช้าจนเย็น เป็นพยานถึงอาณาจักรของพระเจ้า และชักชวนให้เขาเชื่อถือในพระเยซู โดยใช้ข้อความจากพระราชบัญญัติของโมเสส และจากคัมภีร์ศาสดาพยากรณ์
กจ 28.30 เปาโลจึงได้อาศัยอยู่ครบสองปีในบ้านที่ท่านเช่า และได้ต้อนรับคนทั้งปวงที่มาหาท่าน
รม 1.13 พี่น้องทั้งหลาย บัดนี้ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทั้งหลายทราบว่า ข้าพเจ้าได้ตั้งใจไว้หลายครั้งแล้วว่าจะมาหาท่าน เพื่อข้าพเจ้าจะได้เก็บเกี่ยวผลในหมู่พวกท่านด้วย เช่นเดียวกับในหมู่ชนชาติอื่นๆ (แต่จนบัดนี้ก็ยังมีเหตุขัดข้องอยู่)
รม 12.16 จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อย่าใฝ่สูง แต่จงถ่อมใจลงมาหาคนที่ต่ำต้อย อย่าถือว่าตัวฉลาด
รม 15.22 นี่คือเหตุที่ขัดขวางข้าพเจ้าไว้ไม่ให้มาหาท่าน
รม 15.23 แต่เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าไม่มีกิจที่จะต้องอยู่ในแว่นแคว้นเหล่านี้ต่อไป ข้าพเจ้ามีความปรารถนาหลายปีแล้วที่จะมาหาท่าน
รม 15.24 เมื่อข้าพเจ้าจะไปประเทศสเปน ข้าพเจ้าจะแวะมาหาท่านทั้งหลาย เพราะข้าพเจ้าหวังว่าจะได้พบท่านขณะที่ไปตามทางนั้น และเมื่อได้รับความบันเทิงใจกับท่านทั้งหลายบ้างแล้ว ข้าพเจ้าจะได้ลาท่านไปตามทาง
รม 15.29 และข้าพเจ้ารู้แน่ว่าเมื่อข้าพเจ้ามาหาท่านนั้น ข้าพเจ้าจะมาพร้อมด้วยพระพรอันบริบูรณ์ของข่าวประเสริฐแห่งพระคริสต์
รม 15.32 เพื่อข้าพเจ้าจะได้มาหาท่านตามชอบพระทัยพระเจ้า ด้วยความชื่นชมยินดีและมีความเบิกบานแจ่มใสที่ได้พบท่าน
1คร 2.1 พี่น้องทั้งหลาย เมื่อข้าพเจ้ามาหาท่าน ข้าพเจ้ามิได้มาเพื่อประกาศสักขีพยานของพระเจ้าแก่ท่านทั้งหลาย ด้วยถ้อยคำอันไพเราะหรือด้วยสติปัญญา
1คร 4.17 เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงได้ใช้ทิโมธีลูกที่รักของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นคนสัตย์ซื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าให้มาหาท่าน เพื่อนำท่านให้ระลึกถึงแบบการประพฤติของข้าพเจ้าในพระคริสต์ ตามที่ข้าพเจ้าสอนอยู่ในทุกคริสตจักร
1คร 4.18 แต่บางคนทำผยองราวกับข้าพเจ้าจะไม่มาหาท่าน
1คร 4.19 แต่ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรด ข้าพเจ้าจะมาหาท่านในไม่ช้านี้ และข้าพเจ้าจะหยั่งดู มิใช่ถ้อยคำของคนที่ผยองเหล่านั้นแต่จะหยั่งดูฤทธิ์อำนาจของเขา
1คร 4.21 ท่านจะเอาอย่างไร จะให้ข้าพเจ้าถือไม้เรียวมาหาท่าน หรือจะให้ข้าพเจ้ามาด้วยความรักและด้วยใจอ่อนสุภาพ
1คร 14.6 นี่แหละพี่น้องทั้งหลาย ถ้าข้าพเจ้ามาหาท่านและพูดภาษาต่างๆ จะเป็นประโยชน์อะไรแก่ท่านเล่า เว้นเสียแต่ข้าพเจ้าจะพูดกับท่านโดยคำวิวรณ์ หรือโดยความรู้ หรือโดยคำพยากรณ์ หรือโดยการสั่งสอน
1คร 16.5 เพราะเมื่อข้าพเจ้าข้ามแคว้นมาซิโดเนียแล้วข้าพเจ้าจะมาหาท่าน เพราะข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไปทางมาซิโดเนีย
1คร 16.10 แล้วถ้าทิโมธีมาหาท่านจงให้เขาอยู่กับท่านโดยปราศจากความกลัว เพราะว่าเขาทำงานขององค์พระผู้เป็นเจ้าเหมือนกับข้าพเจ้า
2คร 2.1 แต่ข้าพเจ้าได้ตั้งใจไว้ว่า เมื่อมีความทุกข์อยู่ จะไม่มาหาพวกท่านอีก
2คร 3.16 แต่เมื่อผู้ใดหันกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ผ้าคลุมนั้นก็จะเปิดออก
2คร 7.6 แต่ถึงกระนั้นก็ดี พระเจ้าผู้ทรงหนุนน้ำใจคนที่ท้อใจ ได้ทรงหนุนน้ำใจเราโดยทรงให้ทิตัสมาหาเรา
ฟป 1.26 เพื่อความปลาบปลื้มของท่านจะมากยิ่งขึ้นในพระเยซูคริสต์เนื่องด้วยข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าจะมาหาท่านอีก
ฟป 1.27 ขอแต่เพียงให้ท่านดำเนินชีวิตให้สมกับข่าวประเสริฐของพระคริสต์ เพื่อว่าแม้ข้าพเจ้าจะมาหาท่านหรือไม่ก็ตาม ข้าพเจ้าก็จะได้รู้ข่าวของท่านว่า ท่านตั้งมั่นคงอยู่ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ต่อสู้เหมือนอย่างเป็นคนเดียวเพื่อความเชื่อแห่งข่าวประเสริฐนั้น
ฟป 2.24 แต่ข้าพเจ้าไว้วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า ในไม่ช้าข้าพเจ้าเองจะมาหาท่านด้วย
ฟป 2.25 ข้าพเจ้าคิดแล้วว่า จะต้องให้เอปาโฟรดิทัสน้องชายของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานและเพื่อนทหารของข้าพเจ้า และเป็นผู้นำข่าวของพวกท่าน และได้ปรนนิบัติข้าพเจ้าในยามขัดสน มาหาท่านทั้งหลาย
คส 4.10 อาริสทารคัส เพื่อนร่วมในการถูกจองจำกับข้าพเจ้าและมาระโก ลูกชายของน้องสาวบารนาบัส ฝากความคิดถึงมายังท่านทั้งหลาย (ท่านก็ได้รับคำสั่งถึงเรื่องมาระโกแล้วว่า ถ้าเขามาหาท่าน ก็จงรับรองเขา)
1ธส 2.1 พี่น้องทั้งหลาย ท่านเองก็ทราบว่า การที่เรามาหาท่านนั้นไม่ได้ไร้ประโยชน์เลย
1ธส 2.18 เพราะเหตุนั้นเราอยากมาหาท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าคือเปาโลอยากมาหนแล้วหนเล่า แต่ซาตานได้ขัดขวางเราไว้
1ทธ 3.14 ข้อความเหล่านี้ข้าพเจ้าเขียนฝากมายังท่าน หวังใจว่าไม่ช้าไม่นานข้าพเจ้าจะมาหาท่าน
2ทธ 4.9 จงพยายามมาหาข้าพเจ้าโดยเร็ว
ทต 3.12 เมื่อข้าพเจ้าจะใช้อารเทมาสหรือทีคิกัสมาหาท่าน ท่านจงรีบไปหาข้าพเจ้าที่เมืองนิโคบุรี เพราะข้าพเจ้าตั้งใจแล้วว่าจะค้างอยู่ที่นั่นจนสิ้นฤดูหนาว
ฟม 1.22 อีกประการหนึ่ง ขอท่านได้จัดเตรียมที่พักไว้สำหรับข้าพเจ้าด้วย เพราะข้าพเจ้าหวังว่าจะมาหาท่านอีกตามคำอธิษฐานของท่าน
ฮบ 6.18 เพื่อด้วยสองประการนั้นที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ในที่ซึ่งพระองค์จะตรัสมุสาไม่ได้นั้น เราซึ่งได้หนีมาหาที่ลี้ภัยนั้นจึงจะได้รับการหนุนน้ำใจอย่างจริงจัง ที่จะฉวยเอาความหวังซึ่งมีอยู่ตรงหน้าเรา
ฮบ 11.6 แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่พอพระทัยของพระองค์ก็ไม่ได้เลย เพราะว่าผู้ที่จะมาหาพระเจ้าได้นั้นต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่ปลงใจแสวงหาพระองค์
1ปต 2.4 จงมาหาพระองค์ เหมือนมาถึงศิลาอันมีชีวิตอยู่ ซึ่งมนุษย์ได้ปฏิเสธไม่ยอมรับแล้ว แต่ว่าพระเจ้าทรงเลือกไว้ และทรงค่าอันประเสริฐ
1ปต 2.25 เพราะว่าท่านทั้งหลายเป็นเหมือนแกะที่พลัดฝูงไป แต่บัดนี้ได้กลับมาหาพระผู้เลี้ยง และศิษยาภิบาลแห่งจิตวิญญาณของท่านทั้งหลายแล้ว
2ยน 1.10 ถ้าผู้ใดมาหาท่านและไม่นำพระโอวาทนี้มาด้วย อย่ารับเขาไว้ในเรือน และอย่าขอพรให้เขาเลย
2ยน 1.12 ข้าพเจ้ายังมีข้อความอีกหลายข้อที่จะเขียนมาถึงท่าน แต่ก็ไม่อยากจะเขียนด้วยกระดาษและน้ำหมึก ข้าพเจ้าหวังใจว่าจะมาหาท่าน และสนทนากันต่อหน้า เพื่อความปีติยินดีของเราจะได้เต็มเปี่ยม
วว 2.5 เหตุฉะนั้น จงระลึกถึงสภาพเดิมที่เจ้าได้หล่นจากมาแล้วนั้น จงกลับใจเสียใหม่ และประพฤติตามอย่างเดิม มิฉะนั้นเราจะรีบมาหาเจ้า และจะยกคันประทีปของเจ้าออกจากที่ เว้นไว้แต่เจ้าจะกลับใจใหม่
วว 2.16 จงกลับใจเสียใหม่ มิฉะนั้นเราจะรีบมาหาเจ้า และจะสู้กับเขาเหล่านั้นด้วยดาบแห่งปากของเรา
วว 3.3 เหตุฉะนั้น เจ้าจงระลึกว่าเจ้าได้รับและได้ยินอะไร จงยึดไว้ให้มั่นและกลับใจเสียใหม่ ฉะนั้นถ้าเจ้าไม่เฝ้าระวัง เราจะมาหาเจ้าเหมือนอย่างขโมย และเจ้าจะไม่รู้ว่าเราจะมาหาเจ้าเมื่อไร
วว 12.12 ฉะนั้นสวรรค์และบรรดาผู้ที่อยู่ในสวรรค์จงรื่นเริงยินดีเถิด แต่วิบัติจะมีแก่ผู้ที่อยู่ในแผ่นดินโลกและทะเล เพราะว่าพญามารได้ลงมาหาเจ้าด้วยความโกรธยิ่งนัก เพราะมันรู้ว่าเวลาของมันมีน้อย”
วว 17.1 ทูตสวรรค์องค์หนึ่งในเจ็ดองค์ที่ถือขันเจ็ดใบนั้นมาหาข้าพเจ้า และพูดว่า “เชิญมาที่นี่เถิด ข้าพเจ้าจะให้ท่านดูการพิพากษาลงโทษหญิงแพศยาคนสำคัญที่นั่งอยู่บนน้ำมากหลาย

มาอัย ( 1 )
นหม 12.36 กับญาติพี่น้องของเขาคือ เชไมอาห์ อาซาเรล มิลาลัย กิลาลัย มาอัย เนธันเอลและยูดาห์ ฮานานี พร้อมกับเครื่องดนตรีของดาวิดคนของพระเจ้า และเอสราธรรมาจารย์ได้เดินนำหน้าเขา

มาอัส ( 1 )
1พศด 2.27 บุตรชายของรามบุตรหัวปีของเยราเมเอลชื่อ มาอัส ยามีน และเอเคอร์

มาอาคาห์ ( 22 )
ปฐก 22.24 และภรรยาน้อยของเขาที่ชื่อเรอูมาห์ ก็ได้บังเกิดเตบาห์ กาฮัม ทาหาช และมาอาคาห์
พบญ 3.14 ยาอีร์คนมนัสเสห์ก็ตีได้ดินแดนอารโกบทั้งหมด จนถึงเขตแดนเมืองชาวเกชูร์ และเมืองมาอาคาห์ และได้เรียกชื่อเมืองเหล่านั้นตามชื่อของตนว่า บาชานฮาโวทยาอีร์ จนถึงทุกวันนี้
2ซมอ 3.3 คนที่สองชื่อ คิเลอาบ บุตรนางอาบีกายิลภรรยาของนาบาลชาวคารเมล และคนที่สามชื่อ อับซาโลม บุตรชายนางมาอาคาห์ราชธิดาของทัลมัยกษัตริย์เมืองเกชูร์
2ซมอ 10.6 เมื่อคนอัมโมนเห็นว่าเขาทั้งหลายเป็นที่เกลียดชังแก่ดาวิด คนอัมโมนจึงส่งคนไปจ้างคนซีเรียชาวเมืองเบธเรโหบ และคนซีเรียชาวเมืองโศบาห์ เป็นทหารราบจำนวนสองหมื่นคน จากกษัตริย์เมืองมาอาคาห์หนึ่งพันคน และชาวเมืองอิชโทบหนึ่งหมื่นสองพันคน
2ซมอ 10.8 ฝ่ายคนอัมโมนก็ยกออกมาและจัดทัพไว้ที่ทางเข้าประตูเมือง ฝ่ายคนซีเรียชาวเมืองโศบาห์และชาวเมืองเรโหบ กับคนเมืองอิชโทบ และเมืองมาอาคาห์อยู่ที่ชนบทกลางแจ้งต่างหาก
1พกษ 2.39 ต่อมาเมื่อล่วงไปสามปีแล้วทาสสองคนของชิเมอีได้หลบหนีไปยังอาคีชโอรสของมาอาคาห์กษัตริย์เมืองกัท และเมื่อเขามาบอกชิเมอีว่า “ดูเถิด ทาสของท่านอยู่ในเมืองกัท”
1พกษ 15.2 พระองค์ทรงครองในเยรูซาเล็มสามปี พระนามของพระชนนีคือมาอาคาห์ธิดาของอาบีชาโลม
1พกษ 15.10 และพระองค์ทรงครองอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มสี่สิบเอ็ดปี พระอัยกีของพระองค์คือมาอาคาห์ธิดาของอาบีชาโลม
1พกษ 15.13 และพระองค์ทรงถอดมาอาคาห์พระอัยกีเสียจากตำแหน่งพระราชชนนี เพราะพระนางมีรูปเคารพน่าเกลียดน่าชังสร้างไว้ในเสารูปเคารพ และอาสาทรงฟันรูปเคารพของพระนางลง และทรงเผาเสียที่ลำธารขิดโรน
1พศด 2.48 มาอาคาห์ภรรยาน้อยของคาเลบคลอดบุตรชื่อเชเบอร์และทีรหะนาห์
1พศด 3.2 องค์ที่สามคืออับซาโลม โอรสของมาอาคาห์ราชธิดาของทัลมัย กษัตริย์ของเมืองเกชูร์ องค์ที่สี่คืออาโดนียาห์ โอรสของฮักกีท
1พศด 7.15 มาคีร์ก็รับพี่สาวของหุปปิมและชุปปิมมาเป็นภรรยา พี่สาวของเขาชื่อมาอาคาห์) และคนที่สองชื่อเศโลเฟหัด และเศโลเฟหัดมีบุตรสาว
1พศด 7.16 และมาอาคาห์ภรรยาของมาคีร์คลอดบุตรชายคนหนึ่ง นางเรียกชื่อเขาว่า เปเรช และน้องชายของเขาชื่อเชเรช และบุตรชายของเขาชื่อ อุลาม และราเคม
1พศด 8.29 และในกิเบโอนก็มีบิดาของกิเบโอนอาศัยอยู่ และภรรยาของท่านชื่อมาอาคาห์
1พศด 9.35 ในกิเบโอนนั้นเยฮีเอลบิดาของกิเบโอนอาศัยอยู่ และภรรยาของท่านชื่อมาอาคาห์
1พศด 11.43 ฮานัน บุตรชายมาอาคาห์ และโยชาฟัท คนมิทเน
1พศด 19.7 เขาได้จ้างรถรบสามหมื่นสองพันคันและกษัตริย์แห่งเมืองมาอาคาห์กับกองทัพของท่าน ผู้ซึ่งมาตั้งค่ายอยู่ที่หน้าเมืองเมเดบา และคนอัมโมนก็รวบรวมกันมาจากหัวเมืองของเขาทั้งหลาย และมาทำสงคราม
1พศด 27.16 เหนือตระกูลต่างๆของอิสราเอลคือ สำหรับคนรูเบนมี เอลีเยเซอร์บุตรชายศิครีเป็นประมุข สำหรับคนสิเมโอนมี เชฟาทิยาห์บุตรชายมาอาคาห์
2พศด 11.20 ภายหลังพระองค์ก็ทรงรับมาอาคาห์ธิดาของอับซาโลม ผู้ซึ่งประสูติ อาบียาห์ อัททัย ศีศา และเชโลมิทให้พระองค์
2พศด 11.21 เรโหโบอัมทรงรักมาอาคาห์ธิดาของอับซาโลมมากกว่ามเหสีและนางสนมของพระองค์ทั้งสิ้น (พระองค์มีมเหสีสิบแปดองค์และนางสนมหกสิบคนและให้กำเนิดโอรสยี่สิบแปดองค์และธิดาหกสิบองค์)
2พศด 11.22 และเรโหโบอัมทรงแต่งตั้งให้อาบียาห์โอรสของมาอาคาห์เป็นโอรสองค์ใหญ่ ให้เป็นประมุขท่ามกลางพี่น้องของตน เพราะพระองค์ทรงตั้งพระทัยจะให้ท่านเป็นกษัตริย์
2พศด 15.16 แม้ว่ามาอาคาห์พระมารดาของกษัตริย์อาสา พระองค์ก็ทรงถอดเสียจากเป็นพระราชชนนี เพราะพระนางได้กระทำรูปเคารพอันน่าเกลียดน่าชังในเสารูปเคารพ อาสาทรงโค่นรูปเคารพของพระนางลง และบดและเผาเสียที่ลำธารขิดโรน

ม้าอาชาไนย ( 2 )
1พกษ 4.28 ทั้งข้าวบาร์เลย์และฟางข้าวสำหรับม้าและม้าอาชาไนย เขานำมายังสถานที่ของข้าหลวงเหล่านั้นตามที่ได้มีรับสั่งแก่ทุกคน
อสธ 8.10 และท่านเขียนในพระนามของกษัตริย์อาหสุเอรัสและประทับตราพระธำมรงค์ของกษัตริย์ และส่งจดหมายนั้นไปทางผู้เดินข่าวขึ้นม้าเร็ว และผู้ขี่ล่อ อูฐและม้าอาชาไนยหนุ่ม

มาอาซิยาห์ ( 2 )
1พศด 24.18 ที่ยี่สิบสามแก่เดไลยาห์ ที่ยี่สิบสี่แก่มาอาซิยาห์
นหม 10.8 มาอาซิยาห์ บิลกัย เชไมอาห์ คนเหล่านี้เป็นปุโรหิต

มาอาดัย ( 1 )
อสร 10.34 จากคนบานี มี มาอาดัย อัมราม อูเอล

มาอาดียาห์ ( 1 )
นหม 12.5 มิยามิน มาอาดียาห์ บิลกาห์

มาอาท ( 1 )
ลก 3.26 ซึ่งเป็นบุตรมาอาท ซึ่งเป็นบุตรมัทธาธีอัส ซึ่งเป็นบุตรเสเมอิน ซึ่งเป็นบุตรโยเซฟ ซึ่งเป็นบุตรยูดาห์

มาอาราท ( 1 )
ยชว 15.59 มาอาราท เบธาโนท และเมืองเอลเทโคน รวมเป็นหกหัวเมืองกับชนบทของเมืองนั้นๆด้วย

มาอาเลอัครับบิม ( 1 )
ยชว 15.3 ยื่นไปทางด้านใต้ของมาอาเลอัครับบิม ผ่านเรื่อยไปถึงศิน แล้วขึ้นไปทางด้านใต้เมืองคาเดชบารเนีย ตามทางเมืองเฮชโรน ขึ้นไปถึงเมืองอัดดาร์เลี้ยวไปถึงคารคา

มาอาสอาห์ ( 1 )
นหม 8.4 เอสราธรรมาจารย์ยืนอยู่บนแท่นไม้ ซึ่งเขาทำไว้เพื่อการนี้ ข้างๆท่านมีมัททีธิยาห์ เชมา อานายาห์ อุรีอาห์ ฮิลคียาห์และมาอาสอาห์ยืนอยู่ข้างขวามือของท่าน กับมีเปดายาห์ มิชาเอล มัลคิยาห์ ฮาชูม ฮัชบัดดานาห์ เศคาริยาห์และเมชุลลามอยู่ข้างซ้ายมือของท่าน

มาอาสัย ( 1 )
1พศด 9.12 และอาดายาห์ ผู้เป็นบุตรชายเยโรฮัม ผู้เป็นบุตรชายปาชเฮอร์ ผู้เป็นบุตรชายมัลคิยาห์ และมาอาสัย ผู้เป็นบุตรชายอาดีเอล ผู้เป็นบุตรชายยาเซราห์ ผู้เป็นบุตรชายเมชุลลาม ผู้เป็นบุตรชายเมชิลเลมิท ผู้เป็นบุตรชายอิมเมอร์

มาอาเสยาห์ ( 1 )
1พศด 15.20 เศคาริยาห์ อาซีเอล เชมิราโมท เยฮีเอล อุนนี เอลีอับ มาอาเสยาห์ และเบไนยาห์ เล่นพิณใหญ่ตามสำเนียงอาลาโมท

มาอาเสอาห์ ( 23 )
1พศด 15.18 และพร้อมกับเขาได้แต่งตั้งพี่น้องของเขาในอันดับสองคือ เศคาริยาห์ เบน ยาอาซีเอล เชมิราโมท เยฮีเอล อุนนี เอลีอับ เบไนยาห์ มาอาเสอาห์ มัททีธิยาห์ เอลีฟัล และมิกเนยาห์ และโอเบดเอโดม กับเยอีเอล เป็นคนเฝ้าประตู
2พศด 23.1 แต่ในปีที่เจ็ดเยโฮยาดาได้กล้าแข็งขึ้น และให้พวกนายร้อยกระทำพันธสัญญากับท่าน มีอาซาริยาห์บุตรชายเยโรฮัม อิชมาเอลบุตรชายเยโฮฮานนัน อาซาริยาห์บุตรชายโอเบด มาอาเสอาห์บุตรชายอาดายาห์ และเอลีชาฟัทบุตรชายศิครี
2พศด 26.11 ยิ่งกว่านั้นอีกอุสซียาห์ทรงมีกองทหาร ซึ่งออกไปทำศึกเป็นกองๆตามจำนวนที่เยอีเอลราชเลขาได้รวบรวมไว้ด้วยกันกับมาอาเสอาห์เจ้าหน้าที่ภายใต้การควบคุมของฮานันยาห์ ผู้บังคับกองพลคนหนึ่งของกษัตริย์
2พศด 28.7 และศิครีทแกล้วทหารของเอฟราอิมได้สังหารมาอาเสอาห์โอรสของกษัตริย์ และอัสรีคัมอธิบดีกรมวังและเอลคานาห์อุปราช
2พศด 34.8 ในปีที่สิบแปดแห่งรัชกาลของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงกวาดล้างแผ่นดินและพระนิเวศแล้ว พระองค์ทรงใช้ชาฟานบุตรชายอาซาลิยาห์ และมาอาเสอาห์ผู้ว่าราชการนคร และโยอาห์บุตรชายโยอาฮาสเจ้ากรมสารบรรณ ให้ซ่อมแซมพระนิเวศของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพระองค์
อสร 10.18 ลูกหลานของปุโรหิตผู้ได้แต่งงานกับหญิงต่างชาติ จากคนเยชูอาบุตรชายโยซาดักและพี่น้องของท่านมี มาอาเสอาห์ เอลีเยเซอร์ ยารีบและเกดาลิยาห์
อสร 10.21 จากคนฮาริม มี มาอาเสอาห์ เอลียาห์ เชไมอาห์ เยฮีเอล และอุสซียาห์
อสร 10.22 จากคนปาชเฮอร์ มี เอลีโอนัย มาอาเสอาห์ อิชมาเอล เนธันเอล โยซาบาด และเอลาสาห์
อสร 10.30 จากคนปาหัทโมอับ มี อัดนา เคลาล เบไนยาห์ มาอาเสอาห์ มัทธานิยาห์ เบซาเลล บินนุย และมนัสเสห์
นหม 3.23 ถัดเขาไปคือ เบนยามินและหัสชูบ ได้ซ่อมแซมตรงข้ามกับบ้านของเขาทั้งหลาย ถัดเขาไปคือ อาซาริยาห์บุตรชายมาอาเสอาห์ ผู้เป็นบุตรชายอานานิยาห์ได้ซ่อมแซมข้างเรือนของเขาเอง
นหม 8.7 อนึ่งเยชูอา บานี เชเรบิยาห์ ยามีน อักขูบ ชับเบธัย โฮดียาห์ มาอาเสอาห์ เคลิทา อาซาริยาห์ โยซาบาด ฮานัน เปไลยาห์และพวกคนเลวี ได้ช่วยประชาชนให้เข้าใจพระราชบัญญัติ ฝ่ายประชาชนก็ยังอยู่ในที่ของตน
นหม 10.25 เรฮูม ฮาชับนาห์ มาอาเสอาห์
นหม 11.5 และมาอาเสอาห์บุตรชายบารุค ผู้เป็นบุตรชายคลโฮเซห์ ผู้เป็นบุตรชายฮาซายาห์ ผู้เป็นบุตรชายอาดายาห์ ผู้เป็นบุตรชายโยยาริบ ผู้เป็นบุตรชายเศคาริยาห์ ผู้เป็นบุตรชายชาวชีโลห์
นหม 11.7 และต่อไปนี้เป็นคนเบนยามิน คือสัลลูบุตรชายเมชุลลาม ผู้เป็นบุตรชายโยเอด ผู้เป็นบุตรชายเปดายาห์ ผู้เป็นบุตรชายโคลายาห์ ผู้เป็นบุตรชายมาอาเสอาห์ ผู้เป็นบุตรชายอิธีเอล ผู้เป็นบุตรชายเยชายาห์
นหม 12.41 กับปุโรหิตที่ถือแตรคือ เอลียาคิม มาอาเสอาห์ มินยามิน มีคายาห์ เอลีโอนัย เศคาริยาห์ กับฮานันยาห์
นหม 12.42 และมาอาเสอาห์ เชไมอาห์ เอเลอาซาร์ อุสซี เยโฮฮานัน มัลคิยาห์ เอลาม และเอเซอร์ และบรรดานักร้องได้ร้องเพลงด้วยเสียงดัง มีอิสราหิยาห์เป็นหัวหน้าของเขา
ยรม 21.1 พระวจนะซึ่งมาจากพระเยโฮวาห์ถึงเยเรมีย์ เมื่อกษัตริย์เศเดคียาห์ทรงใช้ให้ปาชเฮอร์บุตรชายมัลคิยาห์ และเศฟันยาห์ปุโรหิตบุตรชายมาอาเสอาห์ไปหาเยเรมีย์ว่า
ยรม 29.21 “พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอล ตรัสดังนี้เกี่ยวกับอาหับบุตรชายของโคลายาห์ และเศเดคียาห์บุตรชายมาอาเสอาห์ ผู้ซึ่งได้พยากรณ์เท็จแก่เจ้าในนามของเรา ดูเถิด เราจะมอบเขาทั้งสองไว้ในมือของเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน และท่านจะฆ่าเขาทั้งสองเสียต่อหน้าต่อตาเจ้า
ยรม 29.25 “พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า เจ้าได้ส่งจดหมายในนามของเจ้าไปยังประชาชนทั้งปวงผู้อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม และยังเศฟันยาห์บุตรชายมาอาเสอาห์ปุโรหิต และยังปุโรหิตทั้งปวงว่า
ยรม 32.12 และข้าพระองค์ก็มอบโฉนดของการซื้อให้แก่บารุคบุตรชายเนริยาห์ ผู้เป็นบุตรชายของมาอาเสอาห์ ต่อสายตาของฮานัมเอลลูกของอาของข้าพระองค์ ต่อหน้าพยานผู้ที่ลงนามในโฉนดการซื้อและต่อหน้าบรรดาพวกยิว ผู้ซึ่งนั่งอยู่ในบริเวณทหารรักษาพระองค์
ยรม 35.4 ข้าพเจ้านำเขามายังพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ มาในห้องเฉลียงของบุตรชายของฮานัน ผู้เป็นบุตรชายอิกดาลิยาห์ ผู้เป็นคนของพระเจ้า ซึ่งอยู่ใกล้กับห้องเฉลียงของเจ้านาย เหนือห้องเฉลียงของมาอาเสอาห์บุตรชายชัลลูม ผู้ดูแลธรณีประตู
ยรม 37.3 กษัตริย์เศเดคียาห์ทรงใช้เยฮูคัลบุตรชายเชเลมิยาห์ และเศฟันยาห์ปุโรหิตบุตรชายมาอาเสอาห์ให้ไปยังเยเรมีย์ผู้พยากรณ์ กล่าวว่า “ขออธิษฐานต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราเผื่อเรา”
ยรม 51.59 ถ้อยคำซึ่งเยเรมีย์ผู้พยากรณ์ได้บัญชาแก่เสไรอาห์บุตรชายเนริยาห์ ผู้เป็นบุตรชายมาอาเสอาห์ เมื่อเขาไปยังบาบิโลนกับเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ ในปีที่สี่แห่งรัชกาลของท่านนั้น เสไรอาห์เป็นหัวหน้าจัดที่พัก

มาโอค ( 1 )
1ซมอ 27.2 ดาวิดจึงลุกขึ้นยกข้ามไป ทั้งตัวท่านและคนที่อยู่กับท่านหกร้อยคนด้วยกัน ไปหาอาคีชบุตรชายมาโอค กษัตริย์เมืองกัท

มาโอน ( 7 )
ยชว 15.55 มาโอน คารเมล ศิฟ ยุทธาห์
1ซมอ 23.24 เขาทั้งหลายก็ลุกขึ้นไปยังศิฟก่อนซาอูล ฝ่ายดาวิดกับคนของท่านอยู่ในถิ่นทุรกันดารมาโอนในที่ราบใต้เยชิโมน
1ซมอ 23.25 ซาอูลกับคนของพระองค์ก็แสวงหาท่าน มีคนบอกดาวิด ท่านจึงลงไปยังศิลาและอยู่ในถิ่นทุรกันดารมาโอน เมื่อซาอูลทรงได้ยินดังนั้นก็ทรงติดตามดาวิดไปในถิ่นทุรกันดารมาโอน
1ซมอ 25.2 มีชายคนหนึ่งในมาโอน มีการงานอยู่ในคารเมล ชายผู้นั้นมั่งมีมาก มีแกะสามพันและแพะหนึ่งพัน ท่านตัดขนแกะของท่านอยู่ที่คารเมล
1พศด 2.45 บุตรชายของชัมมัยคือ มาโอน และมาโอนเป็นบิดาของเบธซูร์

มาฮาท ( 3 )
1พศด 6.35 ผู้เป็นบุตรชายศูฟ ผู้เป็นบุตรชายเอลคานาห์ ผู้เป็นบุตรชายมาฮาท ผู้เป็นบุตรชายอามาสัย
2พศด 29.12 แล้วคนเลวีก็ลุกขึ้น คือมาฮาทบุตรชายอามาสัย และโยเอลบุตรชายอาซาริยาห์ ผู้เป็นลูกหลานของโคฮาท และลูกหลานของเมรารี มีคีชบุตรชายอับดี และอาซาริยาห์บุตรชายเยฮาลเลเลล และของคนเกอร์โชน มีโยอาห์บุตรชายศิมมาห์ และเอเดนบุตรชายโยอาห์
2พศด 31.13 เยฮีเอล อาซาซิยาห์ นาหัท อาสาเฮล เยรีโมท โยซาบาด เอลีเอล อิสมาคิยาห์ มาฮาท และเบไนยาห์ เป็นผู้ควบคุมช่วยเหลือโคนานิยาห์ และชิเมอีน้องชายของเขา โดยการแต่งตั้งของกษัตริย์เฮเซคียาห์ และอาซาริยาห์เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของพระนิเวศของพระเจ้า

มาฮาลาห์ ( 1 )
1พศด 7.18 และฮัมโมเลเคทน้องสาวของเขาคลอดบุตรชื่ออิชโฮด อาบีเยเซอร์ และมาฮาลาห์

มาฮาลี ( 1 )
อพย 6.19 บุตรชายของเมรารีชื่อ มาฮาลี และมูชี คนเหล่านี้เป็นครอบครัวต่างๆของเลวีตามพงศ์พันธุ์ของเขา

มาเฮอร์ชาลาลหัชบัส ( 2 )
อสย 8.1 แล้วพระเยโฮวาห์ตรัสกับข้าพเจ้าอีกว่า “จงเอาแผ่นจารึกใหญ่มาแผ่นหนึ่ง และจงเขียนด้วยปากกาของมนุษย์เรื่อง ‘มาเฮอร์ชาลาลหัชบัส’”
อสย 8.3 และข้าพเจ้าได้เข้าไปหาหญิงผู้พยากรณ์ และเธอก็ตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และพระเยโฮวาห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงเรียกชื่อบุตรนั้นว่า มาเฮอร์ชาลาลหัชบัส

มาโฮล ( 1 )
1พกษ 4.31 เพราะพระองค์ทรงมีสติปัญญาฉลาดกว่าคนอื่นทุกคน ทรงฉลาดกว่าเอธานคนเอสราห์ และเฮมาน คาลโคล์และดารดา บรรดาบุตรชายของมาโฮล และพระนามของพระองค์ก็เลื่องลือไปในทุกประชาชาติที่อยู่ล้อมรอบ

มิ ( 15 )
ปฐก 24.5 คนใช้ก็เรียนท่านว่า “หากว่าหญิงนั้นจะไม่เต็มใจมากับข้าพเจ้ายังแผ่นดินนี้ ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้ามิต้องนำบุตรชายของท่านกลับไปยังแผ่นดินซึ่งท่านจากมานั้นหรือ”
กดว 23.19 พระเจ้ามิใช่มนุษย์จึงมิได้มุสา และมิได้เป็นบุตรของมนุษย์จึงไม่ต้องกลับใจ ที่พระองค์ตรัสไปแล้ว พระองค์ก็จะมิทรงกระทำตามหรือ ที่พระองค์ทรงลั่นวาจาแล้ว จะไม่ทรงกระทำให้สำเร็จหรือ
2พศด 16.1 ในปีที่สามสิบหกแห่งรัชกาลอาสา บาอาชากษัตริย์แห่งอิสราเอลขึ้นมาต่อสู้กับยูดาห์และได้สร้างเมืองรามาห์ เพื่อว่าพระองค์จะมิทรงให้คนหนึ่งคนใดออกไปหรือเข้ามาหาอาสากษัตริย์ของยูดาห์
โยบ 31.4 พระองค์มิทรงเห็นทางที่ข้าไป และนับฝีก้าวของข้าดอกหรือ
สดด 73.25 นอกจากพระองค์ ข้าพระองค์มิมีผู้ใดในฟ้าสวรรค์ นอกจากพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ไม่ปรารถนาผู้ใดในโลก
อสย 42.20 เจ้าเห็นหลายอย่าง แต่มิได้สังเกต หูของเขาเปิดแล้ว แต่เขามิได้ยิน
อสย 59.2 แต่ว่าความชั่วช้าของเจ้าทั้งหลายได้กระทำให้เกิดการแยกระหว่างเจ้ากับพระเจ้าของเจ้า และบาปของเจ้าทั้งหลายได้บังพระพักตร์ของพระองค์เสียจากเจ้า พระองค์จึงมิได้ยิน
พคค 3.8 ยิ่งกว่านั้น เมื่อข้าพเจ้าร้องและตะโกน พระองค์มิทรงฟังคำอธิษฐานของข้าพเจ้า
มธ 6.26 จงดูนกในอากาศ มันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว มิได้สะสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านทั้งหลายผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้ ท่านทั้งหลายมิประเสริฐกว่านกหรือ
มธ 13.17 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ศาสดาพยากรณ์และผู้ชอบธรรมเป็นอันมากได้ปรารถนาจะเห็นซึ่งท่านทั้งหลายเห็นอยู่นี้ แต่เขามิเคยได้เห็น และอยากจะได้ยินซึ่งท่านทั้งหลายได้ยิน แต่เขาก็มิเคยได้ยิน
ลก 10.24 เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่า ศาสดาพยากรณ์หลายคน และกษัตริย์หลายองค์ ปรารถนาจะเห็นซึ่งท่านทั้งหลายเห็นอยู่นี้ แต่เขามิเคยได้เห็น และอยากจะได้ยินซึ่งท่านทั้งหลายได้ยิน แต่เขามิเคยได้ยิน”
กจ 17.27 เพื่อเขาจะได้แสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า และหากเขาจะคลำหาก็จะได้พบพระองค์ ด้วยพระองค์มิทรงอยู่ห่างไกลจากเราทุกคนเลย
1คร 14.23 เหตุฉะนั้นถ้าทั้งคริสตจักรมีการประชุมพร้อมกัน แล้วคนทั้งปวงต่างก็พูดภาษาต่างๆ และมีคนที่รู้ไม่ถึงหรือคนที่ไม่เชื่อเข้ามา เขาจะมิเห็นไปว่าท่านทั้งหลายคลั่งไปแล้วหรือ

มิกดล ( 4 )
อพย 14.2 “จงสั่งชนชาติอิสราเอลให้ย้อนกลับไปยังค่ายหน้าตำบลปีหะหิโรท ระหว่างมิกดลและทะเล หน้าตำบลบาอัลเซโฟน แล้วตั้งค่ายตรงนั้นใกล้ทะเล
กดว 33.7 และเขาทั้งหลายยกเดินจากเอธาม หันกลับไปยังปีหะหิโรท ซึ่งอยู่ตรงหน้าบาอัลเซโฟน และเขาตั้งค่ายที่หน้าเมืองมิกดล
ยรม 44.1 พระวจนะที่มายังเยเรมีย์เกี่ยวด้วยบรรดายิวที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินอียิปต์ที่มิกดล ที่ทาปานเหส ที่โนฟ และในแผ่นดินปัทโรส ว่า
ยรม 46.14 “จงประกาศในอียิปต์ และป่าวร้องในมิกดล จงป่าวร้องในโนฟและทาปานเหส จงกล่าวว่า ยืนให้พร้อมไว้และเตรียมตัวพร้อม เพราะว่าดาบจะกินอยู่รอบตัวเจ้า

มิกดัลกาด ( 1 )
ยชว 15.37 เมืองเศนัน ฮาดัสสาห์ มิกดัลกาด

มิกดัลเอล ( 1 )
ยชว 19.38 ยิโรน มิกดัลเอล โฮเรม เบธานาท และเบธเชเมช รวมเป็นสิบเก้าหัวเมืองกับชนบทของเมืองนั้นๆด้วย

มิกเนยาห์ ( 2 )
1พศด 15.18 และพร้อมกับเขาได้แต่งตั้งพี่น้องของเขาในอันดับสองคือ เศคาริยาห์ เบน ยาอาซีเอล เชมิราโมท เยฮีเอล อุนนี เอลีอับ เบไนยาห์ มาอาเสอาห์ มัททีธิยาห์ เอลีฟัล และมิกเนยาห์ และโอเบดเอโดม กับเยอีเอล เป็นคนเฝ้าประตู
1พศด 15.21 แต่มัททีธิยาห์ เอลีฟัล มิกเนยาห์ โอเบดเอโดม เยอีเอล และอาซาซิยาห์ เป็นผู้นำด้วยพิณเขาคู่ตามสำเนียงเชมินิท

มิกโลท ( 4 )
1พศด 8.32 และมิกโลทให้กำเนิดบุตรชื่อชิเมอาห์ คนเหล่านี้อาศัยอยู่ตรงข้ามกับญาติของเขาในเยรูซาเล็มด้วย เขาอยู่กับญาติของเขา
1พศด 9.37 เกโดร์ อาหิโย เศคาริยาห์ และมิกโลท
1พศด 9.38 และมิกโลทให้กำเนิดบุตรชื่อชิเมอัม และคนเหล่านี้อาศัยอยู่ตรงข้ามกับญาติของเขาในเยรูซาเล็มด้วย อยู่กับญาติของเขา
1พศด 27.4 โดดัยคนอาโหอาห์ เป็นผู้ดูแลกองเวรของเดือนที่สอง มิกโลทเป็นผู้บังคับบัญชากองเวรของเขา ในกองเวรของเขามีสองหมื่นสี่พันคน

มิโกรน ( 2 )
1ซมอ 14.2 ซาอูลทรงพักอยู่ที่ชานเมืองกิเบอาห์ใต้ต้นทับทิม ซึ่งอยู่ที่ตำบลมิโกรน พลซึ่งอยู่ด้วยมีประมาณหกร้อยคน
อสย 10.28 เขาได้มาถึงอัยยาทแล้ว เขาได้ข้ามมิโกรน เขาเก็บสัมภาระของเขาไว้ที่มิคมาช

มิคมาช ( 9 )
1ซมอ 13.2 ซาอูลจึงทรงคัดเลือกชายอิสราเอลสามพันคน สองพันคนอยู่กับซาอูลที่มิคมาชและที่แดนเทือกเขาเบธเอล อีกหนึ่งพันคนนั้นอยู่กับโยนาธานที่เมืองกิเบอาห์แห่งคนเบนยามิน ประชาชนนอกนั้นพระองค์ก็ปล่อยให้กลับเต็นท์ของตนทุกคน
1ซมอ 13.5 และคนฟีลิสเตียชุมนุมกันเพื่อจะต่อสู้คนอิสราเอล มีรถรบสามหมื่น และพลม้าหกพัน และกองทหารนั้นก็มากมายเหมือนเม็ดทรายที่ฝั่งทะเล เขาก็ยกขึ้นมาตั้งค่ายอยู่ที่มิคมาช ทางตะวันออกของเบธาเวน
1ซมอ 13.11 ซามูเอลถามว่า “ท่านได้กระทำอะไรไปแล้วนี่” และซาอูลตรัสตอบว่า “เมื่อข้าพเจ้าเห็นประชาชนแตกกระจายไปจากข้าพเจ้า และท่านก็มิได้มาภายในวันที่กำหนดไว้ และคนฟีลิสเตียก็ได้ชุมนุมกันที่มิคมาช
1ซมอ 13.16 ซาอูลกับโยนาธานราชโอรสของพระองค์ และพลที่อยู่กับพระองค์ก็อยู่ในกิเบอาห์แห่งคนเบนยามิน แต่คนฟีลิสเตียตั้งค่ายอยู่ที่มิคมาช
1ซมอ 13.23 และกองทหารรักษาการของคนฟีลิสเตียยกไปถึงทางที่ข้ามไปเมืองมิคมาช
1ซมอ 14.5 หินแหลมยอดหนึ่งโผล่ขึ้นข้างเหนือหน้ามิคมาช และอีกยอดหนึ่งโผล่ขึ้นข้างใต้หน้ากิเบอาห์
1ซมอ 14.31 ในวันนั้นเขาทั้งหลายฆ่าฟันคนฟีลิสเตียจากมิคมาชถึงอัยยาโลน และพวกพลก็อ่อนเพลียนัก
นหม 11.31 ประชาชนเบนยามินอยู่ต่อจากเกบาไปด้วย ที่มิคมาช ที่อัยยา เบธเอลและชนบทของเมืองนั้น
อสย 10.28 เขาได้มาถึงอัยยาทแล้ว เขาได้ข้ามมิโกรน เขาเก็บสัมภาระของเขาไว้ที่มิคมาช

มิคเมธัท ( 2 )
ยชว 16.6 และพรมแดนยื่นไปถึงทะเลทางทิศเหนือคือเมืองมิคเมธัท ทางด้านตะวันออกพรมแดนโค้งมาหาเมืองทาอานัทชีโลห์ แล้วผ่านพ้นเมืองนี้ไปทางตะวันออกของเมืองยาโนอาห์
ยชว 17.7 เขตแดนของมนัสเสห์ตั้งต้นจากอาเชอร์จนถึงมิคเมธัท ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองเชเคมแล้ว พรมแดนก็ยื่นไปทางมือขวาถึงที่ของชาวเมืองเอนทัปปูวาห์

มิครี ( 1 )
1พศด 9.8 อิบเนยาห์บุตรชายเยโรฮัม เอลาห์บุตรชายอุสซี ผู้เป็นบุตรชายมิครี และเมชุลลามบุตรชายเชฟาทิยาห์ ผู้เป็นบุตรชายเรอูเอล ผู้เป็นบุตรชายอิบนียาห์

มิฉะนั้น ( 36 )
ปฐก 3.3 แต่ผลของต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งอยู่ท่ามกลางสวน พระเจ้าตรัสว่า ‘เจ้าอย่ากินหรือแตะต้องมัน มิฉะนั้นเจ้าจะตาย’”
ปฐก 24.49 บัดนี้ถ้าท่านยอมแสดงความเมตตาและจริงใจต่อนายข้าพเจ้าแล้ว ขอกรุณาบอกข้าพเจ้า ถ้ามิฉะนั้นก็ขอบอกข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะหันไปทางขวาหรือซ้าย”
ปฐก 26.7 คนเมืองนั้นจึงถามท่านเรื่องภรรยาของท่าน ท่านจึงว่า “เธอเป็นน้องสาวของข้าพเจ้า” เพราะท่านกลัวที่จะพูดว่า “เธอเป็นภรรยาของข้าพเจ้า” คิดไปว่า “มิฉะนั้นแล้วคนเมืองนี้จะฆ่าข้าพเจ้าเพื่อแย่งเอาเรเบคาห์” เพราะว่านางมีรูปงาม
ปฐก 26.9 อาบีเมเลคจึงเรียกอิสอัคมาเฝ้า และตรัสว่า “ดูเถิด นางเป็นภรรยาของเจ้าแน่แล้ว ทำไมเจ้าจึงพูดว่า ‘เธอเป็นน้องสาวของข้าพระองค์’” อิสอัคทูลพระองค์ว่า “เพราะข้าพระองค์คิดว่า ‘มิฉะนั้นข้าจะตายเพราะนาง’”
ปฐก 38.23 ยูดาห์จึงว่า “ให้หญิงนั้นเก็บของนั้นไว้เถิด มิฉะนั้นเราจะละอายใจ ดูเถิด เราฝากลูกแพะตัวนี้ไปให้ แต่ท่านก็หาหญิงนั้นไม่พบ”
ปฐก 42.16 พวกเจ้าต้องอยู่ในคุกก่อน ให้คนหนึ่งในพวกเจ้าไปพาน้องชายมา เพื่อพิสูจน์ถ้อยคำของเจ้าว่าเจ้าพูดจริงหรือไม่ มิฉะนั้นโดยพระชนม์ฟาโรห์ พวกเจ้าเป็นคนสอดแนมแน่”
ปฐก 45.11 ลูกจะบำรุงรักษาพ่อที่นั่น ด้วยยังจะกันดารอาหารอีกห้าปี มิฉะนั้นพ่อและครอบครัวของพ่อและผู้คนที่พ่อมีอยู่จะยากจนไป”’
อพย 10.4 มิฉะนั้นถ้าเจ้าไม่ยอมปล่อยพลไพร่ของเราไป ดูเถิด พรุ่งนี้เราจะให้ตั๊กแตนเข้ามาในเขตแดนของเจ้า
อพย 22.27 เพราะเขามีเสื้อคลุมตัวนั้นตัวเดียวเป็นเครื่องปกคลุมร่างกาย มิฉะนั้นเวลานอนเขาจะเอาอะไรห่มเล่า ต่อมาเมื่อเขาทูลร้องทุกข์ต่อเรา เราจะสดับฟังเพราะเราเป็นผู้มีเมตตากรุณา
วนฉ 9.15 ต้นหนามจึงตอบต้นไม้เหล่านั้นว่า ‘ถ้าแม้ท่านทั้งหลายจะเจิมตั้งเราให้เป็นกษัตริย์ของเจ้าทั้งหลายจริงๆ จงมาอาศัยใต้ร่มของเราเถิด มิฉะนั้นก็ให้ไฟเกิดจากต้นหนามเผาผลาญต้นสนสีดาร์เลบานอนเสีย’
วนฉ 14.15 ต่อมาพอถึงวันที่เจ็ดเขาจึงไปอ้อนวอนภรรยาของแซมสันว่า “จงลวงสามีของเจ้าให้แก้ปริศนานี้ให้เราฟัง มิฉะนั้นเราจะเอาไฟเผาเจ้ากับบ้านครอบครัวบิดาของเจ้าเสีย เจ้าเชิญเรามาหวังจะทำให้เรายากจนหรือ”
วนฉ 21.22 ถ้าบิดาหรือพี่น้องของหญิงเหล่านั้นมาร้องทุกข์ต่อเรา เราจะบอกเขาว่า ‘ขอโปรดยินยอมเพราะเห็นแก่เราเถิด ในเวลาสงครามเราไม่ได้ผู้หญิงให้พอแก่ทุกคน ทั้งท่านทั้งหลายเองก็ไม่ได้ให้แก่เขา ถ้ามิฉะนั้นบัดนี้พวกท่านก็จะมีโทษ’”
2ซมอ 3.13 ดาวิดตรัสว่า “ดีแล้ว เราจะกระทำพันธสัญญากับท่าน แต่เราขอจากท่านสักอย่างหนึ่งคือว่า เมื่อท่านจะมาเห็นหน้าเราอีก ขอท่านนำมีคาลบุตรสาวของซาอูลมาให้เราก่อน มิฉะนั้นท่านจะมิได้เห็นหน้าเรา”
2ซมอ 15.14 แล้วดาวิดรับสั่งแก่บรรดาข้าราชการที่อยู่กับพระองค์ ณ เยรูซาเล็มว่า “จงลุกขึ้นให้เราหนีไปเถิด มิฉะนั้นเราจะหนีไม่พ้นจากอับซาโลมสักคนเดียว จงรีบไป เกรงว่าเขาจะตามเราทันโดยเร็วและนำเหตุร้ายมาถึงเรา และทำลายกรุงนี้เสียด้วยคมดาบ”
2ซมอ 18.13 มิฉะนั้นข้าพเจ้ากระทำความผิดต่อชีวิตของตนเอง เพราะไม่มีอะไรจะปิดบังให้พ้นกษัตริย์ได้ แล้วตัวท่านเองก็คงใส่โทษข้าพเจ้าด้วย”
1พกษ 1.21 มิฉะนั้นจะเป็นดังนี้ คือเมื่อกษัตริย์เจ้านายของหม่อมฉันล่วงลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์แล้ว หม่อมฉันและซาโลมอนบุตรของหม่อมฉันก็จะตกเป็นฝ่ายผิด”
1พกษ 20.39 พอกษัตริย์ทรงผ่านไป ท่านก็ร้องทูลกษัตริย์ว่า “ผู้รับใช้ของพระองค์เข้าไปในกลางศึก และดูเถิด ทหารคนหนึ่งหันมา และนำชายคนหนึ่งมาให้ข้าพระองค์ บอกว่า ‘จงระวังชายคนนี้ไว้นะ ถ้าเขาหลุดไปได้โดยเหตุใดๆ ชีวิตของท่านจะต้องแทนชีวิตของเขา หรือมิฉะนั้นท่านจะต้องเสียเงินตะลันต์หนึ่ง’
1พกษ 21.6 และพระองค์ตรัสตอบพระนางว่า “เพราะเราได้พูดกับนาโบทชาวยิสเรเอลว่า ‘จงขายสวนองุ่นของเจ้าให้แก่เรา หรือมิฉะนั้นถ้าเจ้าพอใจ เราจะให้สวนองุ่นอีกแห่งหนึ่งแก่เจ้าเพื่อแลกกัน’ และเขาตอบว่า ‘ข้าพระองค์จะไม่ให้สวนองุ่นของข้าพระองค์แก่พระองค์’”
2พกษ 5.17 แล้วนาอามานจึงกล่าวว่า “มิฉะนั้นขอท่านได้โปรดให้ดินบรรทุกล่อสักสองตัวให้แก่ผู้รับใช้ของท่านเถิด เพราะตั้งแต่นี้ไปผู้รับใช้ของท่านจะไม่ถวายเครื่องเผาบูชาหรือเครื่องสัตวบูชาแด่พระอื่น แต่จะถวายแด่พระเยโฮวาห์เท่านั้น
สดด 32.9 อย่าเป็นเหมือนม้าหรือล่อที่ปราศจากความเข้าใจ ซึ่งต้องติดเหล็กขวางปากและบังเหียน มิฉะนั้นมันก็จะเข้ามาหาเจ้า
สดด 38.16 เพราะข้าพระองค์ทูลว่า “โปรดฟังข้าพระองค์เถิด มิฉะนั้นพวกเขาจะเปรมปรีดิ์เพราะข้าพระองค์ คือผู้ที่โอ้อวดต่อข้าพระองค์เมื่อเท้าข้าพระองค์พลาดไป”
สดด 51.16 เพราะพระองค์มิได้ทรงประสงค์เครื่องสัตวบูชา มิฉะนั้นข้าพระองค์จะถวายให้ พระองค์มิได้พอพระทัยเครื่องเผาบูชา
ยรม 11.21 เพราะฉะนั้น พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้เกี่ยวกับคนตำบลอานาโธท ผู้แสวงหาชีวิตของเจ้าและกล่าวว่า “อย่าพยากรณ์ในพระนามของพระเยโฮวาห์ หรือมิฉะนั้นเจ้าจะต้องตายด้วยมือของเรา”
มธ 6.1 “จงระวังให้ดี ท่านอย่าทำทานต่อหน้ามนุษย์เพื่อจะให้เขาเห็น มิฉะนั้นท่านจะไม่ได้รับบำเหน็จจากพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์
ยน 5.14 ภายหลังพระเยซูได้ทรงพบคนนั้นในพระวิหารและตรัสกับเขาว่า “ดูเถิด เจ้าหายโรคแล้ว อย่าทำบาปอีก มิฉะนั้นเหตุร้ายกว่านั้นจะเกิดกับเจ้า”
ยน 14.11 จงเชื่อเราเถิดว่าเราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา หรือมิฉะนั้นก็จงเชื่อเราเพราะกิจการเหล่านั้นเถิด
รม 11.22 เหตุฉะนั้นจงพิจารณาดูทั้งพระกรุณาและความเข้มงวดของพระเจ้า กับคนเหล่านั้นที่หลงผิดไปก็ทรงเข้มงวด แต่สำหรับท่านก็ทรงพระกรุณา ถ้าท่านจะดำรงอยู่ในพระกรุณาของพระองค์นั้นต่อไป มิฉะนั้นท่านก็จะถูกตัดออกเสียด้วย
1คร 7.14 ด้วยว่าสามีที่ไม่เชื่อนั้นได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ทางภรรยา และภรรยาที่ไม่เชื่อก็ได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ทางสามี มิฉะนั้นลูกของท่านก็เป็นมลทิน แต่บัดนี้ลูกเหล่านั้นก็บริสุทธิ์
1คร 14.16 มิฉะนั้นเมื่อท่านขอบพระคุณด้วยจิตวิญญาณแล้ว คนที่อยู่ในพวกที่รู้ไม่ถึงจะว่า “เอเมน” เมื่อท่านขอบพระคุณอย่างไรได้ ในเมื่อเขาไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านพูด
1คร 15.29 มิฉะนั้น คนเหล่านั้นที่รับบัพติศมาสำหรับคนตายเขาทำอะไรกัน ถ้าคนตายจะไม่เป็นขึ้นมา เหตุไฉนจึงมีคนรับบัพติศมาสำหรับคนตายเล่า
2คร 9.4 มิฉะนั้นแล้ว ถ้าชาวมาซิโดเนียบางคนมากับข้าพเจ้า และเห็นว่าท่านมิได้เตรียมพร้อมตามที่เราได้อวดไว้นั้น (อย่าว่าแต่ท่านจะขายหน้าเลย) เราเองก็จะขายหน้าด้วย
ฮบ 2.1 เหตุฉะนั้นเราควรจะสนใจในข้อความเหล่านั้นที่เราได้ยินได้ฟังให้มากขึ้นอีก เพราะมิฉะนั้นในเวลาหนึ่งเวลาใดเราจะห่างไกลไปจากข้อความเหล่านั้น
ฮบ 9.17 เพราะว่าเมื่อคนตายแล้วหนังสือพินัยกรรมนั้นจึงใช้ได้ มิฉะนั้นเมื่อผู้ทำยังมีชีวิตอยู่ หนังสือพินัยกรรมนั้นก็ใช้ไม่ได้
ฮบ 9.26 มิฉะนั้นพระองค์คงต้องทนทุกข์ทรมานบ่อยๆตั้งแต่สร้างโลกมา แต่ว่าเดี๋ยวนี้พระองค์ได้ทรงปรากฏในเวลาที่สุดนี้ครั้งเดียว เพื่อจะได้กำจัดความบาปได้โดยถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชา
วว 2.5 เหตุฉะนั้น จงระลึกถึงสภาพเดิมที่เจ้าได้หล่นจากมาแล้วนั้น จงกลับใจเสียใหม่ และประพฤติตามอย่างเดิม มิฉะนั้นเราจะรีบมาหาเจ้า และจะยกคันประทีปของเจ้าออกจากที่ เว้นไว้แต่เจ้าจะกลับใจใหม่
วว 2.16 จงกลับใจเสียใหม่ มิฉะนั้นเราจะรีบมาหาเจ้า และจะสู้กับเขาเหล่านั้นด้วยดาบแห่งปากของเรา

มิชมันนาห์ ( 1 )
1พศด 12.10 มิชมันนาห์ที่สี่ เยเรมีย์ที่ห้า

มิชมา ( 4 )
ปฐก 25.14 มิชมา ดูมาห์ มัสสา
1พศด 1.30 มิชมา ดูมาห์ มัสสา ฮาดัด เทมา
1พศด 4.25 บุตรชายของชาอูลคือชัลลูม บุตรชายของชัลลูมคือมิบสัม บุตรชายของมิบสัมคือมิชมา
1พศด 4.26 บุตรชายของมิชมาคือฮัมมูเอล บุตรชายของฮัมมูเอลคือศักเกอร์ บุตรชายของศักเกอร์คือชิเมอี

มิชรา ( 1 )
1พศด 2.53 และครอบครัวของคีรียาทเยอาริม คือครอบครัวอิทไรต์ ครอบครัวปุไท ครอบครัวชุมัท ครอบครัวมิชรา จากคนเหล่านี้บังเกิดชาวโศราห์ และชาวเอชทาโอล

มิชอัม ( 1 )
1พศด 8.12 บุตรชายของเอลปาอัลคือ เอเบอร์ มิชอัม และเชเมด ผู้สร้างเมืองโอโน และเมืองโลดพร้อมกับหัวเมือง

มิชอาล ( 2 )
ยชว 19.26 อาลัมเมเลค อามาด มิชอาล ทางทิศตะวันออกจดคารเมล และเมืองชิโหลิบนาท
ยชว 21.30 และจากตระกูลอาเชอร์ มีเมืองมิชอาลพร้อมทุ่งหญ้า อับโดนพร้อมทุ่งหญ้า

มิชาเอล ( 8 )
อพย 6.22 บุตรชายของอุสชีเอลชื่อ มิชาเอล เอลซาฟาน และสิธรี
ลนต 10.4 โมเสสเรียกมิชาเอลและเอลซาฟาน บุตรชายของอุสซีเอล อาของอาโรน บอกเขาว่า “จงเข้ามาใกล้ หามเอาพี่น้องของเจ้าออกไปเสียนอกค่ายจากหน้าสถานบริสุทธิ์”
นหม 8.4 เอสราธรรมาจารย์ยืนอยู่บนแท่นไม้ ซึ่งเขาทำไว้เพื่อการนี้ ข้างๆท่านมีมัททีธิยาห์ เชมา อานายาห์ อุรีอาห์ ฮิลคียาห์และมาอาสอาห์ยืนอยู่ข้างขวามือของท่าน กับมีเปดายาห์ มิชาเอล มัลคิยาห์ ฮาชูม ฮัชบัดดานาห์ เศคาริยาห์และเมชุลลามอยู่ข้างซ้ายมือของท่าน
ดนล 1.6 ในบรรดาคนยูดาห์นั้นมีดาเนียล ฮานันยาห์ มิชาเอล และอาซาริยาห์
ดนล 1.7 และท่านหัวหน้าขันทีจึงตั้งชื่อให้ใหม่ ดาเนียลนั้นให้เรียกว่าเบลเทชัสซาร์ ฮานันยาห์เรียกว่าชัดรัค มิชาเอลเรียกว่าเมชาค และอาซาริยาห์เรียกว่าเอเบดเนโก
ดนล 1.11 แล้วดาเนียลจึงกล่าวแก่มหาดเล็กผู้ที่หัวหน้าขันทีกำหนดให้ดูแลดาเนียล ฮานันยาห์ มิชาเอล และอาซาริยาห์ ว่า
ดนล 1.19 และกษัตริย์ก็ทรงสัมภาษณ์เขา ในบรรดาอนุชนเหล่านั้นไม่พบสักคนหนึ่งที่เหมือนดาเนียล ฮานันยาห์ มิชาเอลและอาซาริยาห์ เพราะฉะนั้นเขาจึงได้รับใช้ต่อพระพักตร์กษัตริย์
ดนล 2.17 แล้วดาเนียลก็กลับไปเรือนของท่าน และแจ้งเรื่องให้ฮานันยาห์ มิชาเอล และอาซาริยาห์สหายของท่านฟัง

มิใช่ ( 356 )
ปฐก 13.9 แผ่นดินทั้งหมดอยู่ตรงหน้าเจ้ามิใช่หรือ โปรดจงแยกไปจากเราเถิด ถ้าเจ้าไปทางซ้ายมือเราจะไปทางขวามือ หรือถ้าเจ้าไปทางขวามือเราจะไปทางซ้ายมือ”
ปฐก 17.12 ผู้ชายที่มีอายุแปดวันจะเข้าสุหนัตในท่ามกลางพวกเจ้า เด็กผู้ชายทุกคนตลอดชั่วอายุของพวกเจ้า ผู้ชายที่เกิดในบ้านหรือเอาเงินซื้อมาจากคนต่างด้าวใดๆซึ่งมิใช่เชื้อสายของเจ้า
ปฐก 19.20 ดูเถิด กรุณาเถิด เมืองนี้อยู่ใกล้ที่จะหนีไปถึงได้และเป็นเมืองเล็ก โอ โปรดให้ข้าพเจ้าหนีไปที่นั่น (เป็นเมืองเล็กๆมิใช่หรือ) และชีวิตของข้าพเจ้าจะรอด”
ปฐก 20.5 เขาบอกแก่ข้าพระองค์มิใช่หรือว่า ‘นางเป็นน้องสาวของข้าพเจ้า’ และแม้แต่นางเองก็ว่า ‘เขาเป็นพี่ชายของข้าพเจ้า’ ข้าพระองค์กระทำดังนี้ด้วยจิตใจอันซื่อตรงและด้วยมือที่บริสุทธิ์”
ปฐก 27.36 เอซาวพูดว่า “เขามีชื่อว่ายาโคบก็ถูกต้องแล้วมิใช่หรือ เพราะว่าเขาแกล้งให้ข้าพเจ้าเสียเปรียบสองครั้งแล้ว เขาเอาสิทธิบุตรหัวปีของข้าพเจ้าไป และดูเถิด คราวนี้เขาเอาพรของข้าพเจ้าไปอีกด้วย” แล้วเขาพูดว่า “ท่านมิได้สงวนพรไว้ให้ข้าพเจ้าบ้างหรือ”
ปฐก 28.17 เขากลัวและพูดว่า “สถานที่นี้น่านับถือ สถานที่นี้มิใช่อย่างอื่น แต่เป็นพระนิเวศของพระเจ้าและประตูฟ้าสวรรค์”
ปฐก 29.25 และต่อมาพอรุ่งขึ้น ดูเถิด เป็นนางเลอาห์ ยาโคบจึงกล่าวแก่ลาบันว่า “ลุงทำอะไรกับข้าพเจ้าเล่า ข้าพเจ้ารับใช้ลุงเพื่อได้ราเชลมิใช่หรือ ทำไมลุงจึงล่อลวงข้าพเจ้าเล่า”
ปฐก 31.15 บิดานับเราเหมือนคนต่างด้าวมิใช่หรือ เพราะบิดาขายเรา ทั้งยังกินเงินของเราเกือบหมด
ปฐก 34.23 ฝูงสัตว์เลี้ยงและทรัพย์สมบัติของเขา กับฝูงสัตว์ทั้งสิ้นของเขาก็จะเป็นของเราด้วยมิใช่หรือ ขอแต่ให้เรายอมกระทำดังนั้นเขาจะยอมอยู่กับเรา”
ปฐก 37.13 อิสราเอลจึงพูดกับโยเซฟว่า “พี่ชายของเจ้าเลี้ยงแพะแกะอยู่ที่เมืองเชเคมมิใช่หรือ มาพ่อจะใช้เจ้าไปหาพี่ชาย” โยเซฟตอบว่า “ข้าพเจ้าพร้อมแล้ว”
ปฐก 40.8 เขาตอบว่า “เราทั้งสองฝันไปและไม่มีผู้ใดจะแก้ฝันได้” โยเซฟบอกเขาว่า “พระเจ้าเท่านั้นแก้ฝันได้มิใช่หรือ ขอท่านเล่าให้ข้าพเจ้าฟังเถิด”
ปฐก 42.10 พวกเขาจึงตอบท่านว่า “นายเจ้าข้า มิใช่เช่นนั้น แต่ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านมาซื้ออาหาร
ปฐก 42.11 ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นบุตรชายร่วมบิดาเดียวกัน เป็นคนสัตย์จริง ผู้รับใช้ของท่านมิใช่คนสอดแนม”
ปฐก 42.12 โยเซฟบอกเขาอีกว่า “มิใช่ แต่พวกเจ้ามาเพื่อดูจุดอ่อนของบ้านเมือง”
ปฐก 42.22 ฝ่ายรูเบนพูดกับน้องทั้งหลายว่า “ข้าห้ามเจ้าแล้วมิใช่หรือว่า ‘อย่าทำบาปผิดต่อเด็กนั้น’ แต่พวกเจ้าไม่ฟัง เหตุฉะนั้น ดูเถิด การพิพากษาเรื่องโลหิตของน้องจึงมาถึง”
ปฐก 44.5 ถ้วยนี้เป็นถ้วยเฉพาะที่เจ้านายของข้าใช้ดื่ม และใช้ทำนายมิใช่หรือ เจ้าทำเช่นนี้ผิดมาก’”
ปฐก 45.8 ฉะนั้นบัดนี้มิใช่พี่เป็นผู้ให้เรามาที่นี่ แต่พระเจ้าทรงให้มา พระองค์ทรงโปรดให้เราเป็นเหมือนบิดาแก่ฟาโรห์ เป็นเจ้าในราชวังทั้งสิ้น และเป็นผู้ครอบครองประเทศอียิปต์ทั้งหมด
อพย 4.10 แต่โมเสสทูลพระเยโฮวาห์ว่า “โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์มิใช่คนพูดคล่อง ทั้งในกาลก่อน และตั้งแต่เวลาที่พระองค์ตรัสกับผู้รับใช้ของพระองค์ แต่ข้าพระองค์เป็นคนพูดไม่คล่อง และพูดช้า”
อพย 14.12 พวกเราบอกท่านในอียิปต์แล้วมิใช่หรือว่า ‘ปล่อยพวกเราแต่ลำพัง ให้พวกเรารับใช้ชาวอียิปต์เถิด’ เพราะการรับใช้ชาวอียิปต์นั้น ก็ยังดีกว่าที่จะมาตายในถิ่นทุรกันดาร”
อพย 32.18 ฝ่ายโมเสสตอบว่า “ที่เราได้ยินมิใช่เสียงอื้ออึงของคนที่มีชัยชนะ และมิใช่เสียงคนที่แพ้ แต่เป็นเสียงคนร้องเพลงกัน”
อพย 33.16 ทำอย่างไรจะทราบได้ตรงนี้ว่า ข้าพระองค์และพลไพร่ของพระองค์ได้รับพระกรุณาในสายพระเนตรของพระองค์แล้ว ก็เมื่อพระองค์เสด็จไปกับพวกข้าพระองค์ด้วยมิใช่หรือ ดังนี้ เราทั้งหลายทั้งข้าพระองค์และพลไพร่ของพระองค์จึงจะแยกออกจากชนชาติทั้งปวงที่อยู่บนพื้นแผ่นดินโลก”
กดว 12.14 แต่พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “ถ้าพ่อของนางถ่มน้ำลายรดหน้านาง นางจะละอายอยู่เจ็ดวันมิใช่หรือ จงกักนางไว้นอกค่ายเจ็ดวัน ภายหลังจึงให้กลับเข้ามาได้”
กดว 16.40 ให้เป็นเครื่องเตือนใจคนอิสราเอล เพื่อว่าคนสามัญผู้ที่มิใช่เป็นเชื้อสายของอาโรน จะมิได้เข้าไปเผาเครื่องหอมถวายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ เกลือกว่าจะเป็นอย่างโคราห์และพรรคพวกของเขา ดังที่พระเยโฮวาห์ตรัสกับเอเลอาซาร์ทางโมเสส
กดว 22.37 บาลาคพูดกับบาลาอัมว่า “เราได้อุตส่าห์ใช้คนไปเชิญท่านมามิใช่หรือ เหตุไฉนท่านไม่มาหาเราเล่า เราไม่สามารถที่จะให้เกียรติแก่ท่านหรือ”
กดว 23.19 พระเจ้ามิใช่มนุษย์จึงมิได้มุสา และมิได้เป็นบุตรของมนุษย์จึงไม่ต้องกลับใจ ที่พระองค์ตรัสไปแล้ว พระองค์ก็จะมิทรงกระทำตามหรือ ที่พระองค์ทรงลั่นวาจาแล้ว จะไม่ทรงกระทำให้สำเร็จหรือ
พบญ 5.3 มิใช่พระเยโฮวาห์จะทรงกระทำพันธสัญญานี้กับบรรพบุรุษของเราทั้งหลาย แต่ทรงกระทำกับเรา คือเราทั้งหลายผู้มีชีวิตอยู่ที่นี่ในวันนี้
พบญ 7.7 ที่พระเยโฮวาห์ทรงรักและทรงเลือกท่านทั้งหลายนั้น มิใช่เพราะท่านทั้งหลายมีจำนวนมากกว่าประชาชนชาติอื่น ด้วยว่าในบรรดาชนชาติทั้งหลาย ท่านเป็นจำนวนน้อยที่สุด
พบญ 9.5 ซึ่งท่านทั้งหลายกำลังเข้าไปยึดครองแผ่นดินนี้นั้น มิใช่เพราะความชอบธรรมของท่านหรือความสัตย์ธรรมในใจของท่าน แต่เป็นเพราะความชั่วของประชาชาตินี้ ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านต้องขับไล่เขาออกเสียต่อหน้าท่านทั้งหลาย และเพื่อว่าพระองค์จะทรงให้เป็นจริงตามพระวจนะซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงปฏิญาณต่อบรรพบุรุษของท่าน คือต่ออับราฮัม ต่ออิสอัค และต่อยาโคบ
พบญ 9.6 เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงเข้าใจเถิดว่า ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแผ่นดินดีนี้ให้ท่านยึดครองนั้น มิใช่เพราะความชอบธรรมของท่าน เพราะว่าท่านทั้งหลายเป็นชนชาติคอแข็ง
พบญ 11.30 ภูเขาเหล่านี้อยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น ไปตามทางที่ดวงอาทิตย์ตกในแผ่นดินคนคานาอัน ผู้อาศัยอยู่ในที่ราบตรงหน้ากิลกาลข้างที่ราบโมเรห์มิใช่หรือ
พบญ 17.15 ก็จงตั้งผู้ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงเลือกไว้ให้เป็นกษัตริย์เหนือท่าน คือตั้งผู้หนึ่งผู้ใดในพวกพี่น้องของท่านให้เป็นกษัตริย์เหนือท่าน ท่านอย่าตั้งคนต่างด้าวซึ่งมิใช่พี่น้องของท่านให้อยู่เหนือท่าน
พบญ 28.13 ถ้าท่านเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ และระวังที่จะกระทำตาม พระเยโฮวาห์จะทรงกระทำให้ท่านเป็นหัว ไม่ใช่เป็นหาง กระทำให้สูงขึ้นทางเดียว มิใช่ให้ต่ำลง
พบญ 30.12 มิใช่พระบัญญัตินั้นอยู่บนสวรรค์แล้วท่านจะกล่าวว่า ‘ใครจะแทนเราขึ้นไปบนสวรรค์และนำมาให้เรา และกระทำให้เราได้ฟังและประพฤติตาม’
พบญ 30.13 มิใช่อยู่พ้นทะเล ซึ่งท่านจะกล่าวว่า ‘ใครจะข้ามทะเลไปแทนเราและนำมาให้เรา และกระทำให้เราได้ฟังและประพฤติตาม’
พบญ 32.6 โอ ชนชาติโฉดเขลาและเบาความเอ๋ย ท่านจะตอบสนองพระเยโฮวาห์อย่างนี้ละหรือ พระองค์มิใช่พระบิดา ผู้ทรงไถ่ท่านไว้ดอกหรือ ผู้ทรงสรรค์ท่าน และตั้งท่านไว้แล้ว
ยชว 1.9 เราสั่งเจ้าไว้แล้วมิใช่หรือว่า จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่าตกใจหรือคร้ามกลัวเลย เพราะว่าเจ้าไปในถิ่นฐานใด พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าทรงสถิตกับเจ้า”
ยชว 5.14 ผู้นั้นจึงตอบว่า “มิใช่ ที่เรามานี้ก็มาเป็นจอมพลโยธาของพระเยโฮวาห์” ฝ่ายโยชูวาก็กราบลงถึงดินนมัสการแล้วถามว่า “เจ้านายของข้าพเจ้าท่านจะให้ผู้รับใช้ของท่านกระทำอะไร”
ยชว 22.26 เพราะฉะนั้นเราจึงว่า ‘ให้เราสร้างแท่นบัดนี้ มิใช่สำหรับถวายเครื่องเผาบูชาหรือเครื่องสัตวบูชาใดๆ
ยชว 22.28 และเราคิดว่า ถ้ามีใครพูดเช่นนี้กับเราหรือกับเชื้อสายของเราในเวลาข้างหน้า เราก็จะกล่าวว่า ‘ดูเถิด นั่นเป็นแท่นจำลองของแท่นแห่งพระเยโฮวาห์ บรรพบุรุษของเรากระทำไว้ มิใช่เพื่อถวายเครื่องเผาบูชาหรือเครื่องสัตวบูชา แต่เพื่อเป็นพยานระหว่างเรากับท่าน’
วนฉ 4.14 นางเดโบราห์จึงกล่าวแก่บาราคว่า “ลุกขึ้นเถิด เพราะว่านี่เป็นวันที่พระเยโฮวาห์ทรงมอบสิเสราไว้ในมือของท่าน พระเยโฮวาห์เสด็จนำหน้าท่านไปมิใช่หรือ” บาราคจึงลงไปจากภูเขาทาโบร์พร้อมกับทหารหนึ่งหมื่นคนติดตามท่านไป
วนฉ 6.13 กิเดโอนจึงทูลท่านผู้นั้นว่า “โอ ท่านเจ้าข้า ถ้าพระเยโฮวาห์ทรงสถิตกับพวกเราแล้ว ไฉนเหตุเหล่านี้จึงเกิดขึ้นแก่เราเล่า และการอัศจรรย์ทั้งหลายของพระองค์ซึ่งบรรพบุรุษเคยเล่าให้เราฟังว่า ‘พระเยโฮวาห์ทรงนำเราออกจากอียิปต์มิใช่หรือ’ แต่สมัยนี้พระเยโฮวาห์ทรงทอดทิ้งเราเสียแล้ว และทรงมอบเราไว้ในมือของพวกมีเดียน”
วนฉ 6.14 และพระเยโฮวาห์ทรงหันมาหาเขาตรัสว่า “จงไปช่วยคนอิสราเอลให้พ้นจากเงื้อมมือพวกมีเดียนด้วยกำลังของเจ้านี่แหละ เราใช้เจ้าให้ไปแล้ว มิใช่หรือ”
วนฉ 8.2 ท่านจึงตอบเขาทั้งหลายว่า “สิ่งที่เราทำมาแล้วจะเปรียบเทียบกับสิ่งที่ท่านทั้งหลายทำแล้วได้หรือ ผลองุ่นที่ชาวเอฟราอิมเก็บเล็มก็ยังดีกว่าผลองุ่นที่อาบีเยเซอร์เก็บเกี่ยวมิใช่หรือ
วนฉ 9.28 กาอัลบุตรชายเอเบดจึงกล่าวว่า “อาบีเมเลคคือใคร และเราชาวเชเคมเป็นใครกันจึงต้องมาปรนนิบัติเขา เขาเป็นบุตรชายของเยรุบบาอัลมิใช่หรือ และเศบุลเป็นเจ้าหน้าที่ของเขามิใช่หรือ จงปรนนิบัติคนฮาโมร์บิดาของเชเคมเถิด เราจะปรนนิบัติอาบีเมเลคทำไมเล่า
วนฉ 9.38 เศบุลก็กล่าวแก่กาอัลว่า “ปากของท่านอยู่ที่ไหนเดี๋ยวนี้ ท่านผู้ที่กล่าวว่า ‘อาบีเมเลคคือผู้ใด ที่เราต้องปรนนิบัติ’ คนเหล่านี้เป็นคนที่ท่านหมิ่นประมาทมิใช่หรือ จงยกออกไปสู้รบกับเขาเถิด”
วนฉ 15.2 พ่อตาจึงว่า “ข้าเข้าใจจริงๆว่าเจ้าเกลียดชังนางเหลือเกิน ข้าจึงยกนางให้แก่เพื่อนของเจ้าไป น้องสาวของนางก็สวยกว่านางมิใช่หรือ ขอจงรับน้องแทนพี่เถิด”
วนฉ 15.18 แซมสันกระหายน้ำมาก จึงร้องทุกข์ถึงพระเยโฮวาห์ว่า “การช่วยให้พ้นอันยิ่งใหญ่พระองค์ประทานให้สำเร็จด้วยมือผู้รับใช้ของพระองค์ บัดนี้ข้าพระองค์จะตายเพราะอดน้ำอยู่แล้ว และตกอยู่ในมือของผู้ไม่เข้าสุหนัตมิใช่หรือพระเจ้าข้า”
นรธ 2.9 ตาของเจ้าจงมองดูตามนาที่เขากำลังเก็บเกี่ยวกันอยู่ แล้วก็จงติดตามเขาไป ฉันได้สั่งพวกหนุ่มๆมิให้รบกวนเจ้าแล้วมิใช่หรือ เมื่อเจ้ากระหายน้ำก็เชิญไปที่หม้อน้ำ ดื่มน้ำซึ่งคนหนุ่มๆตักไว้”
นรธ 3.2 โบอาสผู้ที่เจ้าไปกับพวกสาวใช้ของเขานั้น เป็นญาติของเรามิใช่หรือ ดูเถิด คืนวันนี้เขาจะซัดข้าวบาร์เลย์ที่ลานนวดข้าว
1ซมอ 1.15 แต่ฮันนาห์ตอบว่า “มิใช่เช่นนั้นเจ้าค่ะ ดิฉันเป็นหญิงที่มีทุกข์หนัก ดิฉันมิได้ดื่มเหล้าองุ่นหรือเมรัย แต่ดิฉันระบายความในใจของดิฉันออกต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
1ซมอ 6.6 ทำไมท่านจึงกระทำให้จิตใจของท่านแข็งกระด้างไปอย่างที่ชาวอียิปต์และฟาโรห์ได้กระทำจิตใจของเขาให้แข็งกระด้างนั้น เมื่อพระองค์ทรงกระทำเหตุการณ์สู้เขาทั้งหลายแล้ว เขาทั้งหลายก็ต้องปล่อยให้ประชาชนไปมิใช่หรือ แล้วเขาทั้งหลายก็จากไป
1ซมอ 10.1 แล้วซามูเอลก็หยิบขวดน้ำมันเทลงบนศีรษะของซาอูล และจุบท่านแล้วกล่าวว่า “พระเยโฮวาห์ทรงเจิมท่านไว้ให้เป็นเจ้านายเหนือมรดกของพระองค์แล้วมิใช่หรือ
1ซมอ 14.30 ถ้าวันนี้พวกพลได้กินของที่ริบมาจากศัตรูซึ่งเขาหามาได้อย่างอิ่มหนำจะดีกว่านี้สักเท่าใด เพราะขณะนี้การฆ่าฟันคนฟีลิสเตียก็จะมากกว่ามิใช่หรือ”
1ซมอ 15.17 และซามูเอลเรียนว่า “แม้ท่านเป็นแต่ผู้เล็กน้อยในสายตาของท่านเอง ท่านก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประมุขของบรรดาตระกูลอิสราเอล และพระเยโฮวาห์ก็ทรงเจิมท่านไว้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลมิใช่หรือ
1ซมอ 23.19 ฝ่ายชาวศิฟได้ขึ้นไปหาซาอูลที่กิเบอาห์ทูลว่า “ดาวิดได้ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางพวกข้าพระองค์ ในที่กำบังเข้มแข็งที่ป่าไม้ บนเนินเขาฮาคีลาห์ ซึ่งอยู่ใต้เยชิโมนมิใช่หรือ
1ซมอ 26.1 ชาวศิฟมาหาซาอูลที่เมืองกิเบอาห์ทูลว่า “ดาวิดซ่อนตัวอยู่บนเขาฮาคีลาห์ ซึ่งอยู่ตรงหน้าเยชิโมนมิใช่หรือ”
1ซมอ 29.4 แต่เจ้านายฟีลิสเตียโกรธท่าน และเจ้านายฟีลิสเตียทูลท่านว่า “ขอส่งชายคนนั้นกลับไป เพื่อให้เขากลับไปยังที่ที่ท่านกำหนดให้เขาอยู่ และอย่าให้เขาลงไปรบพร้อมกับเรา เกรงว่าเมื่อเรารบกัน เขาจะเป็นศัตรูของเรา เพราะว่าชายคนนี้จะคืนดีกับเจ้านายของเขาได้อย่างไร มิใช่ด้วยศีรษะของคนที่นี่ดอกหรือ
1ซมอ 29.5 ดาวิดคนนี้มิใช่หรือ ซึ่งเขาร้องเพลงขับรำรับกันว่า ‘ซาอูลฆ่าคนเป็นพันๆและดาวิดฆ่าคนเป็นหมื่นๆ’”
2ซมอ 11.3 ดาวิดทรงใช้คนไปไต่ถามเรื่องผู้หญิงคนนั้น คนหนึ่งมากราบทูลว่า “หญิงคนนี้ชื่อบัทเชบา บุตรสาวของเอลีอัม ภรรยาของอุรีอาห์คนฮิตไทต์มิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
2ซมอ 13.28 แล้วอับซาโลมบัญชามหาดเล็กของท่านว่า “จงคอยดูว่าจิตใจของอัมโนนเพลิดเพลินด้วยเหล้าองุ่นเมื่อไร เมื่อเราสั่งเจ้าว่า ‘จงตีอัมโนน’ เจ้าทั้งหลายจงฆ่าเขาเสีย อย่ากลัวเลย เราบัญชาเจ้าแล้วมิใช่หรือ จงกล้าหาญและเป็นคนเก่งกล้าเถิด”
2ซมอ 15.35 ศาโดกกับอาบียาธาร์ปุโรหิตก็อยู่กับเจ้าที่นั่นมิใช่หรือ สิ่งใดที่เจ้าได้ยินในพระราชวังจงบอกให้ศาโดกกับอาบียาธาร์ปุโรหิตทราบ
2ซมอ 16.18 หุชัยกราบทูลอับซาโลมว่า “มิใช่พ่ะย่ะค่ะ พระเยโฮวาห์กับประชาชนเหล่านี้กับคนอิสราเอลทั้งสิ้นเลือกตั้งผู้ใดไว้ ข้าพระองค์ขอเป็นฝ่ายผู้นั้น ข้าพระองค์จะขออยู่กับผู้นั้น
2ซมอ 16.19 อีกประการหนึ่งข้าพระองค์ควรจะปรนนิบัติผู้ใด มิใช่โอรสของท่านผู้นั้นดอกหรือ ข้าพระองค์ได้ปรนนิบัติต่อพระพักตร์เสด็จพ่อของพระองค์มาแล้วฉันใด ก็ขอปรนนิบัติต่อพระพักตร์พระองค์ฉันนั้น”
2ซมอ 23.17 และตรัสว่า “โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ซึ่งข้าพระองค์จะกระทำเช่นนี้ ก็ขอให้ห่างไกลจากข้าพระองค์ นี่คือโลหิตของผู้ที่ไปมาด้วยการเสี่ยงชีวิตของเขามิใช่หรือ” เพราะฉะนั้นพระองค์หาทรงดื่มไม่ ทแกล้วทหารทั้งสามได้กระทำสิ่งเหล่านี้
2ซมอ 23.19 ท่านเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในสามคนนั้นมิใช่หรือ ฉะนั้นได้เป็นผู้บังคับบัญชาของเขา แต่ท่านไม่มียศเท่ากับสามคนแรกนั้น
1พกษ 1.13 ขอเสด็จเข้าเฝ้ากษัตริย์ดาวิด และกราบทูลพระองค์ว่า ‘โอ กษัตริย์เจ้านายของหม่อมฉัน พระองค์ได้ทรงปฏิญาณกับสาวใช้ของพระองค์ไว้มิใช่หรือว่า “ซาโลมอนบุตรของเจ้าจะครองสมบัติต่อจากเราแน่นอน และจะนั่งบนบัลลังก์ของเรา” มิใช่หรือ ไฉนอาโดนียาห์จึงทรงครองเล่าเพคะ’
1พกษ 2.42 กษัตริย์ก็ทรงใช้ให้เรียกชิเมอีมาเฝ้าและตรัสกับเขาว่า “เราได้ให้ท่านปฏิญาณในพระนามของพระเยโฮวาห์มิใช่หรือ และได้ตักเตือนท่านแล้วว่า ‘ท่านจงรู้เป็นแน่ว่า ในวันที่ท่านออกไป ไม่ว่าไปที่ใดๆ ท่านจะต้องตายแน่’ และท่านก็ได้ตอบเราว่า ‘คำตรัสที่ข้าพระองค์ได้ยินนั้นก็ดีแล้ว’
2พกษ 6.10 และกษัตริย์แห่งอิสราเอลทรงใช้ให้ไปยังสถานที่ซึ่งคนแห่งพระเจ้าบอกและเตือนให้ พระองค์จึงทรงระวังตัวได้ที่นั่นมิใช่เพียงครั้งสองครั้ง
2พกษ 6.32 แต่เอลีชานั่งอยู่ในบ้านของท่าน และพวกผู้ใหญ่ก็นั่งอยู่ด้วย กษัตริย์ทรงใช้คนมาจากต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ แต่ก่อนที่ผู้สื่อสารจะมาถึง เอลีชาก็พูดกับพวกผู้ใหญ่ว่า “ท่านทั้งหลายเห็นหรือไม่เล่า ที่บุตรชายของฆาตกรคนนี้ใช้คนมาเอาศีรษะของข้าพเจ้า ดูเถิด เมื่อผู้สื่อสารมา จงปิดประตู และยึดประตูให้แน่นกันเขาไว้ เสียงเท้าของนายของเขาตามเขามามิใช่หรือ”
2พกษ 18.22 แต่ถ้าท่านทั้งหลายจะบอกเราว่า “เราวางใจในพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา” ก็ปูชนียสถานสูงและแท่นบูชาของพระองค์นั้นมิใช่หรือที่เฮเซคียาห์รื้อทิ้งเสียแล้ว พลางกล่าวแก่ยูดาห์และเยรูซาเล็มว่า “ท่านทั้งหลายจงนมัสการที่หน้าแท่นบูชานี้ในเยรูซาเล็มเถิด”
2พกษ 19.18 และได้เหวี่ยงพระของประชาชาตินั้นเข้าไฟ เพราะเขามิใช่พระ เป็นแต่ผลงานของมือมนุษย์ เป็นไม้และหิน เพราะฉะนั้นเขาจึงถูกทำลายเสีย
2พกษ 20.19 แล้วเฮเซคียาห์ตรัสกับอิสยาห์ว่า “พระวจนะของพระเยโฮวาห์ซึ่งท่านกล่าวนั้นก็ดีอยู่” เพราะพระองค์ดำริว่า “ก็ดีแล้วมิใช่หรือ ในเมื่อมีความอยู่เย็นเป็นสุขและความจริงในวันเวลาของเรา”
1พศด 12.33 จากคนเศบูลุน มีห้าหมื่นคนที่ฝึกแล้วเตรียมพร้อมเข้าสู้รบ สรรพด้วยอาวุธทุกอย่างเพื่อทำสงครามเพื่อช่วยเหลือ มิใช่ด้วยสองจิตสองใจ
1พศด 19.3 แต่บรรดาเจ้านายของคนอัมโมนทูลฮานูนว่า “พระองค์ดำริว่าดาวิดส่งผู้เล้าโลมมาหาพระองค์เพราะนับถือพระราชบิดาของพระองค์เช่นนั้นหรือ ข้าราชการของท่านมาหาพระองค์เพื่อค้นหาและคว่ำและสอดแนมแผ่นดินมิใช่หรือ”
1พศด 21.3 แต่โยอาบทูลว่า “ขอพระเยโฮวาห์ทรงเพิ่มประชาชนของพระองค์อีกร้อยเท่าของที่มีอยู่แล้ว ข้าแต่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ แต่ประชาชนนี้ทั้งสิ้นเป็นผู้รับใช้ของเจ้านายของข้าพระองค์มิใช่หรือ ไฉนเจ้านายของข้าพระองค์จึงรับสั่งเช่นนี้ ไฉนพระองค์จึงทรงนำการละเมิดมาสู่อิสราเอล”
1พศด 21.17 และดาวิดทูลพระเจ้าว่า “ข้าพระองค์มิใช่หรือที่บัญชาให้นับประชาชน ข้าพระองค์เป็นผู้ได้กระทำบาป และได้กระทำความชั่วร้ายยิ่งนัก แต่บรรดาแกะเหล่านี้เขาได้กระทำอะไร โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอพระหัตถ์ของพระองค์อยู่เหนือข้าพระองค์ และราชวงศ์ของข้าพระองค์ แต่ขออย่าให้โรคร้ายนั้นอยู่เหนือประชาชนของพระองค์”
1พศด 22.18 “พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าทรงสถิตอยู่กับเจ้ามิใช่หรือ และพระองค์มิได้ประทานการหยุดพักสงบแก่เจ้าทุกด้านหรือ เพราะพระองค์ทรงมอบชาวแผ่นดินนี้ไว้ในมือของเรา และแผ่นดินนั้นก็ราบคาบต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์และต่อหน้าประชาชนของพระองค์
1พศด 29.1 และกษัตริย์ดาวิดตรัสกับชุมนุมชนทั้งสิ้นว่า “ซาโลมอนบุตรชายของเรา ซึ่งเป็นผู้เดียวที่พระเจ้าทรงเลือกไว้นั้น ยังเป็นคนหนุ่มและไม่มีความชำนาญ การงานก็ใหญ่โต เพราะว่ามหานิเวศนั้นมิใช่สำหรับคน แต่สำหรับพระเยโฮวาห์พระเจ้า
2พศด 20.7 พระองค์เป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลายมิใช่หรือ ผู้ทรงขับไล่ชาวแผ่นดินนี้ออกไปเสียให้พ้นหน้าอิสราเอลประชาชนของพระองค์ และทรงมอบไว้แก่เชื้อสายของอับราฮัมมิตรสหายของพระองค์เป็นนิตย์
2พศด 25.2 และพระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์ แต่มิใช่ด้วยพระทัยที่เพียบพร้อม
2พศด 26.18 และเขาทั้งหลายได้ขัดขวางกษัตริย์อุสซียาห์และทูลพระองค์ว่า “ข้าแต่อุสซียาห์ มิใช่หน้าที่ของพระองค์ที่จะเผาเครื่องหอมถวายแด่พระเยโฮวาห์ แต่เป็นหน้าที่ของปุโรหิตลูกหลานของอาโรน ผู้ซึ่งชำระไว้ให้บริสุทธิ์เพื่อเผาเครื่องหอม ขอเชิญพระองค์เสด็จออกไปจากสถานบริสุทธิ์นี้ เพราะพระองค์ได้ทรงล่วงเกิน และพระองค์จะไม่ได้รับเกียรติอันใดจากพระเยโฮวาห์พระเจ้าเลย”
2พศด 32.12 เฮเซคียาห์คนนี้แหละมิใช่หรือที่ได้กำจัดปูชนียสถานสูง และแท่นบูชาของพระองค์ และบัญชาแก่ยูดาห์กับเยรูซาเล็มว่า “เจ้าจงนมัสการอยู่หน้าแท่นบูชาแท่นเดียว และเจ้าจงเผาเครื่องหอมบนแท่นนั้น”
นหม 2.2 ด้วยเหตุนี้กษัตริย์จึงตรัสกับข้าพเจ้าว่า “ทำไมสีหน้าของเจ้าจึงเศร้าหมอง เจ้าก็ไม่เจ็บไม่ป่วยมิใช่หรือ เห็นจะไม่มีอะไรนอกจากเศร้าใจ” และข้าพเจ้าก็เกรงกลัวยิ่งนัก
อสธ 1.16 เมมูคานจึงทูลต่อพระพักตร์กษัตริย์และเจ้านายทั้งปวงว่า “พระราชินีวัชทีได้ทรงกระทำผิดมิใช่ต่อกษัตริย์เท่านั้น แต่ต่อเจ้านายทั้งปวงและประชาชนทั้งปวงผู้อยู่ในมณฑลทั้งสิ้นของกษัตริย์อาหสุเอรัส
โยบ 4.21 สง่าราศีซึ่งอยู่ภายในเขาจะหายไปมิใช่หรือ เขาจะตายด้วยปราศจากปัญญา’”
โยบ 9.32 พระองค์มิใช่มนุษย์อย่างข้า ที่ข้าจะตอบพระองค์ ซึ่งเราจะมาสู้คดีด้วยกัน
โยบ 12.11 หูทดลองถ้อยคำมิใช่หรือ และเพดานปากชิมรสอาหารมิใช่หรือ
โยบ 22.5 ความชั่วของท่านใหญ่โตมิใช่หรือ ความชั่วช้าของท่านไม่มีที่สิ้นสุดมิใช่หรือ
โยบ 30.28 ข้าได้ไว้ทุกข์ มิใช่ด้วยแดด ข้ายืนขึ้นในที่ชุมนุมชน และร้องขอความช่วยเหลือ
โยบ 31.3 มิใช่ภยันตรายสำหรับคนชั่ว และภัยพิบัติสำหรับคนที่กระทำความชั่วช้าดอกหรือ
โยบ 31.15 พระองค์ผู้ทรงสร้างข้าในครรภ์ มิได้ทรงสร้างเขาหรือ มิใช่พระองค์องค์เดียวเท่านั้นหรือ ที่ทรงสร้างเราทั้งสองในครรภ์
โยบ 32.13 อย่าเพ่อพูดนะว่า ‘เราได้พบพระปัญญาแล้ว พระเจ้าทรงผลักเขาลงแล้วมิใช่มนุษย์’
โยบ 34.20 สักครู่เดียวเขาทั้งหลายก็ตาย เวลาเที่ยงคืนประชาชนตัวสั่นและตายไป และผู้มีอานุภาพก็ถูกเอาไปเสียมิใช่ด้วยมือมนุษย์
โยบ 36.4 เพราะที่จริงถ้อยคำของข้าพเจ้ามิใช่เท็จ พระองค์ผู้ทรงความรู้รอบคอบสถิตกับท่าน
สดด 22.6 ข้าพระองค์เป็นดุจตัวหนอน มิใช่คน คนก็ด่า ประชาชนก็ดูหมิ่น
สดด 44.3 เพราะเขาทั้งหลายไม่ได้แผ่นดินนั้นมาครอบครองด้วยดาบของเขาเอง มิใช่แขนของเขาที่ช่วยให้เขารอด แต่โดยพระหัตถ์ขวา และพระกรของพระองค์ และโดยความสว่างจากสีพระพักตร์พระองค์ เพราะพระองค์ทรงโปรดปรานเขาทั้งหลาย
สดด 55.12 มิใช่ศัตรูผู้เยาะเย้ยข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะได้ทนได้ มิใช่ผู้ที่เกลียดชังข้าพเจ้าผู้พองตัวใส่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะได้หลบเขาได้
สดด 56.13 เพราะพระองค์ทรงช่วยจิตวิญญาณของข้าพระองค์ให้พ้นจากมัจจุราช พระองค์จะทรงช่วยเท้าของข้าพระองค์ให้พ้นจากการล้มมิใช่หรือ เพื่อข้าพระองค์จะดำเนินอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าในความสว่างแห่งชีวิต
สดด 59.3 เพราะดูเถิด เขาซุ่มคอยเอาชีวิตข้าพระองค์ ผู้มีอำนาจร่วมหัวกันต่อสู้ข้าพระองค์ โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ มิใช่การละเมิดหรือบาปของข้าพระองค์เอง
สดด 59.4 เขาวิ่งไปเตรียมพร้อม มิใช่ความผิดของข้าพระองค์ ขอทรงกระปรี้กระเปร่า ขอทรงมาช่วยข้าพระองค์และทอดพระเนตร
สดด 75.6 เพราะการยกขึ้นนั้นมิได้มาจากทิศตะวันออกหรือทิศตะวันตก และมิใช่มาจากทิศใต้
สดด 94.17 ถ้าพระเยโฮวาห์มิใช่ความอุปถัมภ์ของข้าพเจ้า วิญญาณของข้าพเจ้าคงอยู่ในความสงัด
สดด 115.1 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ มิใช่แก่เหล่าข้าพระองค์ มิใช่แก่เหล่าข้าพระองค์ พระเจ้าข้า แต่ขอถวายสง่าราศีแด่พระนามของพระองค์ เพราะเห็นแก่ความเมตตาของพระองค์ และความจริงของพระองค์
สดด 119.36 ขอทรงโน้มใจข้าพระองค์ในบรรดาพระโอวาทของพระองค์และมิใช่ในทางโลภกำไร
สภษ 5.17 จงให้มันเป็นของเจ้าแต่ผู้เดียว และมิใช่สำหรับคนแปลกหน้าด้วย
สภษ 6.30 ถ้าขโมยเข้าลักเพื่อบรรเทาความอยากเมื่อเขาหิว คนไม่ดูหมิ่นขโมยนั้นมิใช่หรือ
สภษ 22.20 เราได้เขียนให้เจ้าถึงสิ่งวิเศษนัก ถึงเรื่องการปรึกษาและความรู้แล้วมิใช่หรือ
ปญจ 10.17 โอ บ้านเมืองเอ๋ย ความสำราญจะมีแก่เจ้า เมื่อกษัตริย์ของเจ้าเป็นบุตรชายของขุนนาง และเจ้านายของเจ้ามีการเลี้ยงตามกาลเทศะ เพื่อจะมีกำลังวังชา มิใช่จะดื่มให้มึนเมา
อสย 10.7 แต่เขามิได้ตั้งใจอย่างนั้น และจิตใจของเขาก็มิได้คิดอย่างนั้น แต่ในใจของเขาคิดจะทำลาย และตัดประชาชาติเสียมิใช่น้อย
อสย 10.8 เพราะเขาพูดว่า “ผู้บังคับบัญชาของข้าเป็นกษัตริย์หมดมิใช่หรือ
อสย 10.9 เมืองคาลโนก็เหมือนเมืองคารเคมิชมิใช่หรือ เมืองฮามัทก็เหมือนเมืองอารปัดมิใช่หรือ เมืองสะมาเรียก็เหมือนเมืองดามัสกัสมิใช่หรือ
อสย 36.7 แต่ถ้าท่านจะบอกเราว่า “เราวางใจในพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา” ก็ปูชนียสถานสูงและแท่นบูชาของพระองค์นั้นมิใช่หรือที่เฮเซคียาห์รื้อทิ้งเสียแล้ว พลางกล่าวแก่ยูดาห์และเยรูซาเล็มว่า “ท่านทั้งหลายจงนมัสการที่หน้าแท่นบูชานี้”
อสย 37.19 และได้เหวี่ยงพระของประชาชาตินั้นเข้าไฟ เพราะเขามิใช่พระ เป็นแต่ผลงานของมือมนุษย์ เป็นไม้และหิน เพราะฉะนั้นเขาจึงถูกทำลายเสีย
อสย 48.1 ฟังข้อนี้ซิ โอ วงศ์วานของยาโคบเอ๋ย ผู้ซึ่งเขาเรียกด้วยนามของอิสราเอล และผู้ซึ่งออกมาจากน้ำทั้งหลายของยูดาห์ ผู้ซึ่งปฏิญาณในพระนามของพระเยโฮวาห์ และกล่าวถึงพระเจ้าของอิสราเอล แต่มิใช่ด้วยสัจจะและความชอบธรรม
อสย 51.21 ฉะนั้นเจ้าผู้ถูกข่มใจ ผู้ซึ่งมึนเมาแต่มิใช่ด้วยเหล้าองุ่น จงฟังข้อนี้เถิด
อสย 54.15 ดูเถิด พวกเขาจะปลุกปั่นให้เกิดการแก่งแย่งเป็นแน่ แต่ก็มิใช่เพราะมาจากเรา ผู้ใดปลุกปั่นให้เกิดการแก่งแย่งกับเจ้า ผู้นั้นจะล้มลงเพราะเจ้า
อสย 57.4 เจ้าทั้งหลายพูดเย้ยหยันใคร เจ้าอ้าปากเย้ยแลบลิ้นหลอกผู้ใด เจ้าเป็นลูกแห่งการละเมิด เป็นเชื้อสายแห่งความมุสามิใช่หรือ
ยรม 2.17 เจ้าหาเรื่องเหล่านี้ให้มาใส่ตัวเจ้าเอง โดยการทอดทิ้งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า เมื่อพระองค์ทรงนำเจ้าไปตามทางมิใช่หรือ
ยรม 2.27 ผู้กล่าวแก่ลำต้นว่า ‘ท่านเป็นบิดาของข้าพเจ้า’ และกล่าวแก่ศิลาว่า ‘ท่านคลอดข้าพเจ้ามา’ เพราะเขาทั้งหลายได้หันหลังให้แก่เรา มิใช่หันหน้ามาให้ แต่เมื่อถึงเวลาลำบากเขาจะกล่าวว่า ‘ขอทรงลุกขึ้นช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้รอด’
ยรม 3.4 ตั้งแต่เวลานี้เจ้าจะร้องเรียกเรามิใช่หรือว่า ‘พระบิดาของข้าพระองค์ พระองค์ทรงเป็นผู้ชี้นำตั้งแต่ข้าพระองค์ยังสาวๆ
ยรม 5.3 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระเนตรของพระองค์ทรงหาความจริงมิใช่หรือ พระองค์ทรงเฆี่ยนตีเขาทั้งหลาย แต่เขาก็ไม่รู้สึกสำนึก พระองค์ทรงล้างผลาญเขา แต่เขาทั้งหลายปฏิเสธไม่ยอมดีขึ้น เขาได้กระทำให้หน้าของเขากระด้างยิ่งกว่าหิน เขาปฏิเสธไม่ยอมกลับใจ
ยรม 7.19 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “คือเราที่เขายั่วยุหรือ มิใช่ยั่วยุตัวเขาเองให้ไปสู่ความขายหน้าของเขาทั้งหลายดอกหรือ”
ยรม 10.24 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงโปรดตีสอนข้าพระองค์ด้วยความยุติธรรม มิใช่ด้วยความกริ้วของพระองค์ เกรงว่าพระองค์จะทรงนำข้าพระองค์มาถึงความสูญเปล่า
ยรม 14.22 ในบรรดาพระเทียมเท็จแห่งประชาชาติทั้งหลายมีพระองค์ใดเล่าที่ทำให้เกิดฝนได้หรือ ท้องฟ้าประทานห่าฝนได้หรือ โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระเจ้าของพวกข้าพระองค์ พระองค์มิใช่พระเจ้าองค์นั้นดอกหรือ พวกข้าพระองค์จึงคอยหวังในพระองค์ เพราะพระองค์ทรงกระทำสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้น
ยรม 23.16 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า “อย่าฟังถ้อยคำของผู้พยากรณ์ที่พยากรณ์ให้ท่านฟัง เขากระทำให้ท่านไร้สาระ เขากล่าวถึงนิมิตแห่งใจของเขาเอง มิใช่จากพระโอษฐ์ของพระเยโฮวาห์
ยรม 23.23 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เราเป็นพระเจ้าใกล้แค่คืบ มิใช่พระเจ้าที่อยู่ไกลด้วยดอกหรือ”
ยรม 26.19 เฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์และคนยูดาห์ทั้งสิ้นได้ฆ่าเขาเสียหรือ ท่านได้ยำเกรงพระเยโฮวาห์และทูลวิงวอนขอพระเยโฮวาห์ และพระเยโฮวาห์ได้กลับพระทัยต่อความร้ายซึ่งพระองค์ทรงประกาศเตือนเขาเหล่านั้นมิใช่หรือ แต่เรากำลังจะนำเหตุร้ายใหญ่ยิ่งมาสู่จิตใจเราเอง
ยรม 32.33 เขาทั้งหลายได้หันหลังให้เรา มิใช่หันหน้า แม้ว่าเราได้สอนเขาอยู่อย่างไม่หยุดยั้ง เขาก็มิได้ฟังที่จะรับคำสั่งสอนของเรา
ยรม 38.15 เยเรมีย์จึงทูลเศเดคียาห์ว่า “ถ้าข้าพระองค์จะทูลพระองค์ พระองค์จะประหารข้าพระองค์แน่มิใช่หรือ และถ้าข้าพระองค์จะถวายคำปรึกษา พระองค์จะไม่ฟังข้าพระองค์มิใช่หรือ”
ยรม 44.27 ดูเถิด เราคอยดูอยู่เพื่อให้เกิดความร้าย มิใช่ความดี ชนยูดาห์ทั้งสิ้นผู้อยู่ในแผ่นดินอียิปต์จะถูกผลาญเสียด้วยดาบ และด้วยการกันดารอาหาร จนกว่าจะถึงที่สุดของเขา
อสค 3.6 มิใช่ให้ไปหาชนชาติทั้งหลายเป็นอันมากที่พูดภาษาต่างด้าวและภาษาที่พูดยาก เป็นคำที่เจ้าจะเข้าใจไม่ได้ ที่จริงถ้าเราใช้เจ้าไปหาคนเช่นนั้น เขาทั้งหลายจะฟังเจ้า
อสค 8.12 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าได้เห็นแล้วมิใช่หรือว่าพวกผู้ใหญ่ของวงศ์วานอิสราเอลกระทำอะไรอยู่ในที่มืด ทุกคนต่างก็อยู่ในห้องรูปภาพของตนเพราะเขาทั้งหลายพูดว่า ‘พระเยโฮวาห์ไม่ทอดพระเนตรเห็นเรา พระเยโฮวาห์ทรงทอดทิ้งแผ่นดินนี้เสียแล้ว’”
อสค 12.9 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย วงศ์วานอิสราเอลคือวงศ์วานที่มักกบฏนั้น ได้พูดกับเจ้ามิใช่หรือว่า ‘เจ้าทำอะไร’
อสค 13.7 เจ้าได้เคยเห็นนิมิตเท็จ และเคยทำนายมุสามิใช่หรือ ในเมื่อเจ้ากล่าวว่า ‘พระเยโฮวาห์ตรัสว่า’ ทั้งที่เรามิได้พูดเลย”
อสค 16.56 ในสมัยที่เจ้าเย่อหยิ่งอยู่นั้น ปากของเจ้าไม่ได้กล่าวถึงโสโดมน้องสาวของเจ้ามิใช่หรือ
อสค 18.23 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า เรามีความพอใจในความตายของคนชั่วหรือ แต่เราพอใจให้เขากลับจากความชั่วของเขาและมีชีวิตอยู่มิใช่หรือ
อสค 18.25 แต่เจ้ายังกล่าวว่า ‘วิธีการขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ยุติธรรม’ โอ วงศ์วานอิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถอะ วิธีการของเราไม่ยุติธรรมหรือ วิธีการของเจ้ามิใช่หรือที่ไม่ยุติธรรม
อสค 18.29 แต่วงศ์วานอิสราเอลกล่าวว่า ‘วิธีการขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ยุติธรรม’ โอ วงศ์วานอิสราเอลเอ๋ย วิธีการของเราไม่ยุติธรรมหรือ วิธีการของเจ้ามิใช่หรือที่ไม่ยุติธรรม
อสค 20.44 โอ วงศ์วานอิสราเอลเอ๋ย เมื่อเราได้กระทำกับเจ้าด้วยเห็นแก่นามของเรา มิใช่ตามทางอันชั่วของเจ้า หรือตามการกระทำที่เสื่อมทรามของเจ้า แล้วเจ้าจึงจะทราบว่าเราคือพระเยโฮวาห์ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ”
อสค 28.2 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงกล่าวแก่เจ้าเมืองไทระว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เพราะใจของเจ้าผยองขึ้นและเจ้าได้กล่าวว่า ‘ข้าเป็นพระเจ้า ข้านั่งอยู่ในที่นั่งแห่งพระเจ้าในท้องทะเล’ แต่เจ้าเป็นเพียงมนุษย์ มิใช่พระเจ้า แม้เจ้าจะยึดถือใจของเจ้าว่าเป็นใจของพระเจ้า
อสค 28.9 เจ้ายังจะกล่าวอีกหรือ ว่า ‘ข้าเป็นพระเจ้า’ ต่อหน้าคนที่ฆ่าเจ้า ถึงเจ้าเป็นเพียงมนุษย์ มิใช่พระเจ้า อยู่ในมือของคนที่ฆ่าเจ้า
อสค 34.2 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงพยากรณ์กล่าวโทษบรรดาผู้เลี้ยงแกะแห่งอิสราเอล จงพยากรณ์และกล่าวแก่เขาว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสแก่พวกผู้เลี้ยงแกะดังนี้ว่า วิบัติแก่ผู้เลี้ยงแกะแห่งอิสราเอล ผู้เลี้ยงตัวเอง ผู้เลี้ยงแกะย่อมเลี้ยงแกะมิใช่หรือ
อสค 36.32 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า ที่เรากระทำนั้นมิใช่เพราะเห็นแก่เจ้า ขอให้เจ้าทราบเสีย โอ วงศ์วานอิสราเอลเอ๋ย จงอับอายและขายหน้าด้วยเรื่องทางของเจ้าเถิด
ดนล 2.30 ฝ่ายข้าพระองค์ ซึ่งทรงเผยความลึกลับนี้แก่ข้าพระองค์นั้น มิใช่เพราะข้าพระองค์มีปัญญามากกว่าผู้มีชีวิตทั้งหลาย แต่เพื่อกษัตริย์จะทรงรู้คำแก้พระสุบิน และเพื่อพระองค์จะทรงรู้พระดำริในพระทัยของพระองค์
ดนล 2.34 ขณะเมื่อพระองค์ทอดพระเนตร มีหินก้อนหนึ่งถูกตัดออกมามิใช่ด้วยมือ กระทบปฏิมากรที่เท้าอันเป็นเหล็กปนดิน กระทำให้แตกเป็นชิ้นๆ
ดนล 2.45 ดังที่พระองค์ทอดพระเนตรก้อนหินถูกตัดออกจากภูเขามิใช่ด้วยมือ และก้อนหินนั้นได้กระทำให้เหล็ก ทองสัมฤทธิ์ ดิน เงิน และทองคำแตกเป็นชิ้นๆ พระเจ้ายิ่งใหญ่ได้ทรงให้กษัตริย์รู้ว่าอะไรจะบังเกิดมาภายหลังนี้ พระสุบินนั้นเที่ยงแท้และคำแก้พระสุบินก็แน่นอน”
ดนล 3.24 ขณะนั้นกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ประหลาดพระทัยทรงลุกขึ้นโดยฉับพลัน พระองค์ตรัสกับองคมนตรีของพระองค์ว่า “เรามัดสามคนโยนเข้าไปกลางไฟมิใช่หรือ” เขาทูลตอบกษัตริย์ว่า “โอ ข้าแต่กษัตริย์ จริงพระเจ้าข้า”
ดนล 4.30 และกษัตริย์ตรัสว่า “นี่เป็นมหาบาบิโลนมิใช่หรือ ซึ่งเราได้สร้างไว้เพื่อวงศ์วานแห่งอาณาจักรนี้ด้วยอำนาจใหญ่ยิ่งของเรา และเพื่อเป็นศักดิ์ศรีอันสูงส่งของเรา”
ดนล 6.12 แล้วเขาทั้งหลายก็เข้าไปใกล้กราบทูลต่อพระพักตร์กษัตริย์เกี่ยวด้วยพระราชกฤษฎีกาของกษัตริย์ว่า “ข้าแต่กษัตริย์ พระองค์ได้ทรงลงพระนามในพระราชกฤษฎีกาฉบับหนึ่งมิใช่หรือว่า ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดทูลขอต่อพระเจ้าหรือมนุษย์นอกเหนือพระองค์ในสามสิบวันนี้ โอ ข้าแต่กษัตริย์ ก็ให้โยนผู้นั้นลงไปในถ้ำสิงโตเสีย” กษัตริย์ตรัสตอบว่า “เรื่องนั้นยังคงอยู่ตามกฎหมายของคนมีเดียและคนเปอร์เซียซึ่งจะแก้ไขหาได้ไม่”
ดนล 8.24 อำนาจของท่านจะใหญ่โตมาก แต่มิใช่โดยอำนาจของท่านเอง และท่านจะกระทำให้บังเกิดความพินาศอย่างน่ากลัว ท่านก็เจริญขึ้นและปฏิบัติงาน ท่านจะทำลายคนที่มีกำลังมากและประชาชนบริสุทธิ์
ดนล 9.26 หลังจากหกสิบสองสัปดาห์แล้ว พระเมสสิยาห์ก็จะถูกตัดออก แต่มิใช่เพื่อตัวท่านเอง และประชาชนของประมุขผู้หนึ่งที่จะมานั้นจะทำลายกรุงและสถานบริสุทธิ์เสีย ที่สุดปลายของมันจะมาถึงด้วยน้ำท่วม และจนสงครามสิ้นสุดลงก็มีการรกร้างกำหนดไว้
ดนล 11.20 แล้วจะมีผู้หนึ่งขึ้นมาแทนที่ของท่าน ผู้นี้จะส่งเจ้าพนักงานเก็บส่วยให้ไปตลอดทั่วราชอาณาจักรอันรุ่งโรจน์ แต่ไม่กี่วันเขาก็ประสบหายนะ มิใช่ด้วยความโกรธหรือสงคราม
ฮชย 1.9 และพระเจ้าตรัสว่า “จงเรียกชื่อบุตรนั้นว่า โลอัมมี เพราะเจ้าทั้งหลายมิใช่ประชาชนของเรา และเราก็มิใช่พระเจ้าของเจ้า”
ยอล 1.16 อาหารถูกตัดออกจากเบื้องหน้าสายตาของพวกเราแล้ว เออ ความปีติและความยินดีก็ขาดไปจากพระนิเวศแห่งพระเจ้าของเราแล้ว มิใช่หรือ
ยอล 2.13 จงฉีกใจของเจ้า มิใช่ฉีกเสื้อผ้าของเจ้า” จงหันกลับมาหาพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย เพราะว่าพระองค์ทรงกอปรด้วยพระคุณและทรงพระกรุณา ทรงกริ้วช้าและบริบูรณ์ด้วยความเมตตา และทรงกลับพระทัยไม่ลงโทษ
อมส 6.13 เจ้าทั้งหลายผู้เปรมปรีดิ์อยู่ในสิ่งอันไร้สาระ ผู้ซึ่งกล่าวว่า “เราได้ยึดเขาสัตว์มาเป็นของเราด้วยกำลังของเรามิใช่หรือ”
อมส 8.8 แผ่นดินจะไม่หวั่นไหวเพราะเรื่องนี้หรือ ทุกคนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้นจะไม่ไว้ทุกข์หรือ และแผ่นดินนั้นทั้งหมดก็เอ่อขึ้นมาอย่างแม่น้ำ ถูกซัดไปซัดมาและยุบลงอีก เหมือนแม่น้ำแห่งอียิปต์มิใช่หรือ”
ยนา 4.2 ท่านจึงอธิษฐานต่อพระเยโฮวาห์ว่า “โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ เมื่อข้าพระองค์ยังอยู่ในประเทศของข้าพระองค์ ข้าพระองค์พูดแล้วว่า จะเป็นไปเช่นนี้มิใช่หรือ นี่แหละเป็นเหตุให้ข้าพระองค์ได้รีบหนีไปยังเมืองทารชิช เพราะข้าพระองค์ทราบว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงกอปรด้วยพระคุณ และทรงพระกรุณา ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความเมตตา และทรงกลับพระทัยไม่ลงโทษ
มคา 1.5 เหตุการณ์ทั้งปวงเหล่านี้บังเกิดขึ้นเพราะการละเมิดของยาโคบ และเพราะความบาปของวงศ์วานอิสราเอล การละเมิดของยาโคบนั้นคืออะไร สะมาเรียมิใช่หรือ ปูชนียสถานสูงแห่งยูดาห์คืออะไร เยรูซาเล็มมิใช่หรือ
มคา 3.11 ผู้เป็นประมุขของเมืองนี้ตัดสินความด้วยเห็นแก่สินบน ปุโรหิตของเธอสั่งสอนด้วยเห็นแก่สินจ้าง ผู้พยากรณ์ของเธอทำนายด้วยเห็นแก่เงิน ถึงกระนั้นเขาทั้งหลายยังอิงพระเยโฮวาห์และกล่าวว่า “พระเยโฮวาห์ทรงสถิตท่ามกลางเรามิใช่หรือ ไม่มีความชั่วอย่างไรเกิดขึ้นแก่เราได้”
ฮบก 1.6 เพราะดูเถิด เรากำลังเร้าคนเคลเดีย ประชาชาติที่ขมขื่นและรีบร้อนนั้น ผู้กรีธาทัพไปทั่วแผ่นดิน เพื่อยึดเอาบ้านเรือนที่มิใช่ของตน
ฮบก 2.6 ประชาชาติทั้งสิ้นเหล่านี้จะไม่ยกคำอุปมากล่าวต่อเขาหรือ และยกสุภาษิตกล่าวเยาะเขาว่า “วิบัติแก่ผู้ที่สะสมสิ่งที่มิใช่ของตนไว้ จะทำอย่างนี้ได้นานเท่าใดนะ และบรรทุกของที่ยึดเป็นประกันไว้เต็มตัว
ศคย 1.6 แต่ถ้อยคำของเราและกฎเกณฑ์ของเรา ซึ่งเราได้บัญชาแก่ผู้พยากรณ์ผู้รับใช้ของเราก็ได้ติดตามบรรพบุรุษของเจ้าทันมิใช่หรือ จนเขากลับใจแล้วกล่าวว่า ‘พระเยโฮวาห์จอมโยธาทรงดำริว่าจะทรงกระทำแก่เราประการใด ในเรื่องทางและการกระทำของเรา พระองค์ทรงกระทำแก่เราอย่างนั้น’”
ศคย 4.6 แล้วท่านจึงตอบข้าพเจ้าว่า “นี่เป็นพระวจนะของพระเยโฮวาห์ที่ให้ไว้กับเศรุบบาเบลว่า มิใช่ด้วยกำลัง มิใช่ด้วยฤทธานุภาพ แต่ด้วยวิญญาณของเรา พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้แหละ
ศคย 7.6 และเมื่อเจ้ารับประทานและเมื่อเจ้าดื่ม เจ้าก็รับประทานเพื่อตัวเจ้าเอง และดื่มเพื่อตัวเจ้าเองมิใช่หรือ
ศคย 7.7 ในเมื่อเยรูซาเล็มมีคนอยู่และมั่งคั่ง มีหัวเมืองล้อมรอบ ภาคใต้และแดนที่ราบก็มีคนอยู่ เจ้าควรจะฟังพระวจนะซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงประกาศโดยผู้พยากรณ์รุ่นก่อนๆ มิใช่หรือ”
ศคย 8.6 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องประหลาดในสายตาของประชาชนที่เหลืออยู่ในสมัยนี้แล้ว พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า ก็น่าจะประหลาดในสายตาของเราด้วยมิใช่หรือ
มลค 1.2 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เราได้รักเจ้าทั้งหลาย” แต่ท่านทั้งหลายพูดว่า “พระองค์ได้ทรงรักข้าพระองค์สถานใด” พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เอซาวเป็นพี่ชายของยาโคบมิใช่หรือ เราก็ยังรักยาโคบ
มลค 2.10 เราทุกคนมิได้มีบิดาคนเดียวหรอกหรือ พระเจ้าองค์เดียวได้ทรงสร้างเรามิใช่หรือ แล้วทำไมเราทุกคนจึงปฏิบัติต่อพี่น้องของตนด้วยการทรยศ โดยการลบหลู่พันธสัญญาของบรรพบุรุษของเรา
มลค 2.15 พระองค์ทรงทำให้เขาทั้งสองเป็นอันเดียวกันมิใช่หรือ แต่เขายังมีลมปราณแห่งชีวิตอยู่ และทำไมเป็นอันเดียวกัน เพราะพระองค์ทรงประสงค์เชื้อสายที่ตามทางของพระเจ้า ดังนั้นจงเอาใจใส่ต่อจิตวิญญาณของเจ้าให้ดี อย่าให้ผู้ใดทรยศต่อภรรยาคนที่ได้เมื่อหนุ่มนั้น
มธ 5.46 แม้ว่าท่านรักผู้ที่รักท่าน ท่านจะได้บำเหน็จอะไร ถึงพวกเก็บภาษีก็กระทำอย่างนั้นมิใช่หรือ
มธ 5.47 ถ้าท่านทักทายแต่พี่น้องของตนฝ่ายเดียว ท่านได้กระทำอะไรเป็นพิเศษยิ่งกว่าคนทั้งปวงเล่า ถึงพวกเก็บภาษีก็กระทำอย่างนั้นมิใช่หรือ
มธ 6.25 เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่า จะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารมิใช่หรือ และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ
มธ 7.21 มิใช่ทุกคนที่ร้องแก่เราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ จะได้เข้าในอาณาจักรแห่งสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้
มธ 7.22 เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนเป็นอันมากร้องแก่เราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้พยากรณ์ในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้กระทำการมหัศจรรย์เป็นอันมากในพระนามของพระองค์มิใช่หรือ’
มธ 10.20 เพราะว่าผู้ที่พูดมิใช่ตัวท่านเอง แต่เป็นพระวิญญาณแห่งพระบิดาของท่าน ผู้ตรัสทางท่าน
มธ 10.29 นกกระจอกสองตัวเขาขายบาทหนึ่งมิใช่หรือ แต่ถ้าพระบิดาของท่านไม่ทรงเห็นชอบ นกนั้นแม้สักตัวเดียวจะตกลงถึงดินก็ไม่ได้
มธ 12.23 และคนทั้งปวงก็อัศจรรย์ใจถามกันว่า “คนนี้เป็นบุตรของดาวิดมิใช่หรือ”
มธ 13.27 พวกผู้รับใช้แห่งเจ้าบ้านจึงมาแจ้งแก่นายว่า ‘นายเจ้าข้า ท่านได้หว่านพืชดีในนาของท่านมิใช่หรือ แต่มีข้าวละมานมาจากไหน’
มธ 13.55 คนนี้เป็นลูกช่างไม้มิใช่หรือ มารดาของเขาชื่อมารีย์มิใช่หรือ และน้องชายของเขาชื่อยากอบ โยเสส ซีโมน และยูดาสมิใช่หรือ
มธ 13.56 และน้องสาวทั้งหลายของเขาก็อยู่กับเรามิใช่หรือ เขาได้สิ่งทั้งปวงเหล่านี้มาจากไหน”
มธ 15.11 มิใช่สิ่งซึ่งเข้าไปในปากจะทำให้มนุษย์เป็นมลทิน แต่สิ่งซึ่งออกมาจากปากนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน”
มธ 18.33 เจ้าควรจะเมตตาเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกัน เหมือนเราได้เมตตาเจ้ามิใช่หรือ’
มธ 19.11 พระองค์ทรงตอบเขาว่า “มิใช่ทุกคนจะรับประพฤติตามข้อนี้ได้ เว้นแต่ผู้ที่ทรงให้ประพฤติได้
มธ 20.13 ฝ่ายเจ้าของบ้านก็ตอบแก่คนหนึ่งในพวกนั้นว่า ‘สหายเอ๋ย เรามิได้โกงท่านเลย ท่านได้ตกลงกับเราแล้ววันละหนึ่งเดนาริอันมิใช่หรือ
มธ 24.2 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “สิ่งสารพัดเหล่านี้พวกท่านเห็นแล้วมิใช่หรือ เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ศิลาที่ซ้อนทับกันอยู่ที่นี่ ซึ่งจะไม่ถูกทำลายลงก็หามิได้”
มก 2.27 พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า “วันสะบาโตนั้นทรงตั้งไว้เพื่อมนุษย์ มิใช่ทรงสร้างมนุษย์ไว้สำหรับวันสะบาโต
มก 4.21 แล้วพระองค์ตรัสแก่เขาว่า “เขาเอาเทียนมาสำหรับตั้งไว้ใต้ถัง ใต้เตียงนอนหรือ และมิใช่สำหรับตั้งไว้บนเชิงเทียนหรือ
มก 6.3 คนนี้เป็นช่างไม้บุตรชายนางมารีย์มิใช่หรือ ยากอบ โยเสส ยูดาส และซีโมนเป็นน้องชายมิใช่หรือ และน้องสาวทั้งหลายของเขาก็อยู่ที่นี่กับเรามิใช่หรือ” เขาทั้งหลายจึงหมางใจในพระองค์
มก 9.37 “ถ้าผู้ใดจะรับเด็กเล็กๆเช่นนี้คนหนึ่งในนามของเรา ผู้นั้นก็รับเรา และผู้ใดได้รับเรา ผู้นั้นก็มิใช่รับเรา แต่รับพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา”
มก 11.17 พระองค์ตรัสสอนเขาว่า “มีพระวจนะเขียนไว้มิใช่หรือว่า ‘นิเวศของเราประชาชาติทั้งหลายจะเรียกว่า เป็นนิเวศอธิษฐาน’ แต่เจ้าทั้งหลายได้กระทำให้เป็น ‘ถ้ำของพวกโจร’”
มก 12.10 ท่านทั้งหลายอ่านพระคัมภีร์ตอนนี้แล้วมิใช่หรือซึ่งว่า ‘ศิลาซึ่งช่างก่อได้ปฏิเสธเสีย ได้กลับกลายเป็นศิลามุมเอกแล้ว
มก 13.11 แต่ว่าเมื่อเขาจะนำท่านมามอบไว้นั้น อย่าเป็นกังวลก่อนว่าจะพูดอะไรดี และอย่าตรึกตรองเลย แต่จงพูดตามซึ่งได้ทรงโปรดให้ท่านพูดในเวลานั้น เพราะว่าผู้ที่พูดนั้นมิใช่ตัวท่านเอง แต่เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์
ลก 3.15 เมื่อคนทั้งหลายกำลังคอยพระคริสต์อยู่ และได้ใคร่ครวญถึงยอห์นว่า ตัวท่านเป็นพระคริสต์หรือมิใช่
ลก 4.22 คนทั้งปวงก็เป็นพยานรับรองคำของพระองค์ และประหลาดใจด้วยถ้อยคำอันประกอบด้วยคุณซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ และว่า “คนนี้เป็นบุตรชายของโยเซฟมิใช่หรือ”
ลก 11.28 แต่พระองค์ตรัสว่า “มิใช่เช่นนั้น แต่คนทั้งหลายที่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้า และได้ถือรักษาพระวจนะนั้นไว้ ก็เป็นสุข”
ลก 11.40 คนโฉดเขลา ผู้ที่ได้สร้างภายนอกก็ได้สร้างภายในด้วยมิใช่หรือ
ลก 12.6 นกกระจอกห้าตัวเขาขายสองบาทมิใช่หรือ และนกนั้นแม้สักตัวเดียว พระเจ้ามิได้ทรงลืมเลย
ลก 12.51 ท่านทั้งหลายคิดว่า เรามาเพื่อจะให้เกิดสันติภาพในโลกหรือ เราบอกท่านว่า มิใช่ แต่จะให้แตกแยกกันต่างหาก
ลก 13.3 เราบอกท่านทั้งหลายว่า มิใช่ แต่ถ้าท่านทั้งหลายมิได้กลับใจเสียใหม่ก็จะต้องพินาศเหมือนกัน
ลก 13.5 เราบอกท่านทั้งหลายว่า มิใช่ แต่ถ้าท่านทั้งหลายมิได้กลับใจเสียใหม่จะต้องพินาศเหมือนกัน”
ลก 13.15 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบเขาว่า “คนหน้าซื่อใจคด เจ้าทั้งหลายทุกคนได้แก้วัวแก้ลาจากคอกมันพาไปให้กินน้ำในวันสะบาโตมิใช่หรือ
ลก 17.17 ฝ่ายพระเยซูตรัสว่า “มีสิบคนหายสะอาดมิใช่หรือ แต่เก้าคนนั้นอยู่ที่ไหน
ลก 22.27 ด้วยว่าใครเป็นใหญ่กว่า ผู้ที่เอนกายลงรับประทานหรือผู้รับใช้ ผู้ที่เอนกายลงรับประทานมิใช่หรือ แต่ว่าเราอยู่ท่ามกลางท่านทั้งหลายเหมือนผู้รับใช้
ลก 24.26 จำเป็นซึ่งพระคริสต์จะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างนั้น แล้วเข้าในสง่าราศีของพระองค์มิใช่หรือ”
ลก 24.32 เขาจึงพูดกันว่า “ใจเราเร่าร้อนภายใน เมื่อพระองค์ตรัสกับเราตามทาง เมื่อพระองค์ทรงอธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟังมิใช่หรือ”
ยน 3.28 ท่านทั้งหลายเองก็ได้เป็นพยานของข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าได้พูดว่า ข้าพเจ้ามิใช่พระคริสต์ แต่ข้าพเจ้าได้รับพระบัญชาให้นำเสด็จพระองค์
ยน 4.29 “มาดูท่านผู้หนึ่งที่เล่าถึงสิ่งสารพัดซึ่งฉันได้กระทำ ท่านผู้นี้มิใช่พระคริสต์หรือ”
ยน 4.35 ท่านทั้งหลายว่า อีกสี่เดือนจะถึงฤดูเกี่ยวข้าวมิใช่หรือ ดูเถิด เราบอกท่านทั้งหลายว่า เงยหน้าขึ้นดูนาเถิด ว่าทุ่งนาก็ขาว ถึงเวลาเกี่ยวแล้ว
ยน 4.42 เขาเหล่านั้นพูดกับหญิงนั้นว่า “ตั้งแต่นี้ไปที่เราเชื่อนั้นมิใช่เพราะคำของเจ้า แต่เพราะเราได้ยินเอง และเรารู้แน่ว่าท่านองค์นี้เป็นผู้ช่วยโลกให้รอด คือพระคริสต์”
ยน 5.18 เหตุฉะนั้นพวกยิวยิ่งแสวงหาโอกาสที่จะฆ่าพระองค์ มิใช่เพราะพระองค์ล่วงกฎวันสะบาโตเท่านั้น แต่ยังได้เรียกพระเจ้าว่าเป็นบิดาของตนด้วย ซึ่งเป็นการกระทำตนเสมอกับพระเจ้า
ยน 6.26 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายตามหาเรามิใช่เพราะได้เห็นการอัศจรรย์นั้น แต่เพราะได้กินขนมปังอิ่ม
ยน 6.32 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า มิใช่โมเสสที่ให้อาหารจากสวรรค์นั้นแก่ท่าน แต่พระบิดาของเราประทานอาหารแท้ซึ่งมาจากสวรรค์ให้แก่ท่านทั้งหลาย
ยน 6.38 เพราะว่าเราได้ลงมาจากสวรรค์ มิใช่เพื่อกระทำตามความประสงค์ของเราเอง แต่เพื่อกระทำตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา
ยน 6.42 เขาทั้งหลายว่า “คนนี้เป็นเยซูลูกชายของโยเซฟมิใช่หรือ พ่อแม่ของเขาเราก็รู้จัก เหตุใดคนนี้จึงพูดว่า ‘เราได้ลงมาจากสวรรค์’”
ยน 6.70 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราเลือกพวกท่านสิบสองคนมิใช่หรือ และคนหนึ่งในพวกท่านเป็นมารร้าย”
ยน 7.12 และประชาชนก็ซุบซิบกันถึงพระองค์เป็นอันมาก บางคนว่า “เขาเป็นคนดี” คนอื่นๆว่า “มิใช่ แต่เขาหลอกลวงประชาชนต่างหาก”
ยน 7.19 โมเสสได้ให้พระราชบัญญัติแก่ท่านทั้งหลายมิใช่หรือ และไม่มีผู้ใดในพวกท่านรักษาพระราชบัญญัตินั้น ท่านทั้งหลายหาโอกาสที่จะฆ่าเราทำไม”
ยน 7.22 โมเสสได้ให้ท่านทั้งหลายเข้าสุหนัต (มิใช่ได้มาจากโมเสส แต่มาจากบรรพบุรุษ) และในวันสะบาโตท่านทั้งหลายก็ยังให้คนเข้าสุหนัต
ยน 7.25 เพราะฉะนั้นชาวกรุงเยรูซาเล็มบางคนจึงพูดว่า “คนนี้มิใช่หรือที่เขาหาโอกาสจะฆ่าเสีย
ยน 7.42 พระคัมภีร์กล่าวไว้มิใช่หรือว่า พระคริสต์จะมาจากเชื้อสายของดาวิด และมาจากเมืองเบธเลเฮมซึ่งดาวิดเคยอยู่นั้น”
ยน 9.3 พระเยซูตรัสตอบว่า “มิใช่ชายคนนี้หรือบิดามารดาของเขาได้ทำบาป แต่เพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา
ยน 9.8 เพื่อนบ้านและคนทั้งหลายที่เคยเห็นชายคนนั้นเป็นคนตาบอดมาก่อน จึงพูดกันว่า “คนนี้มิใช่หรือที่เคยนั่งขอทาน”
ยน 10.33 พวกยิวทูลตอบพระองค์ว่า “เราจะขว้างท่านมิใช่เพราะการกระทำดี แต่เพราะการพูดหมิ่นประมาท เพราะท่านเป็นเพียงมนุษย์แต่ตั้งตัวเป็นพระเจ้า”
ยน 10.34 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ในพระราชบัญญัติของท่านมีคำเขียนไว้มิใช่หรือว่า ‘เราได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายเป็นพระ’
ยน 11.9 พระเยซูตรัสตอบว่า “วันหนึ่งมีสิบสองชั่วโมงมิใช่หรือ ถ้าผู้ใดเดินในตอนกลางวันเขาก็จะไม่สะดุด เพราะเขาเห็นความสว่างของโลกนี้
ยน 11.40 พระเยซูตรัสกับเธอว่า “เราบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่า ถ้าเจ้าเชื่อ เจ้าก็จะได้เห็นสง่าราศีของพระเจ้า”
ยน 11.52 และมิใช่แทนชนชาตินั้นอย่างเดียว แต่เพื่อจะรวบรวมบุตรทั้งหลายของพระเจ้าที่กระจัดกระจายไปนั้น ให้เข้าเป็นพวกเดียวกัน
ยน 12.6 เขาพูดอย่างนั้นมิใช่เพราะเขาเอาใจใส่คนจน แต่เพราะเขาเป็นขโมย และได้ถือย่าม และได้ยักยอกเงินที่ใส่ไว้ในย่ามนั้น
ยน 13.9 ซีโมนเปโตรทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า มิใช่แต่เท้าของข้าพระองค์เท่านั้น แต่ขอทรงโปรดล้างทั้งมือและศีรษะด้วย”
ยน 14.22 ยูดาส มิใช่อิสคาริโอท ทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า เหตุใดพระองค์จึงจะสำแดงพระองค์แก่พวกข้าพระองค์ และไม่ทรงสำแดงแก่โลก”
กจ 5.4 เมื่อที่ดินยังอยู่ก็เป็นของเจ้ามิใช่หรือ เมื่อขายแล้วเงินก็ยังอยู่ในอำนาจของเจ้ามิใช่หรือ มีเหตุอะไรเกิดขึ้นให้เจ้าคิดในใจเช่นนั้นเล่า เจ้ามิได้มุสาต่อมนุษย์แต่ได้มุสาต่อพระเจ้า”
กจ 7.50 สิ่งเหล่านี้มือของเราได้กระทำทั้งสิ้น มิใช่หรือ’
กจ 9.21 คนทั้งหลายที่ได้ยินก็พากันประหลาดใจแล้วว่า “คนนี้มิใช่หรือที่ได้ทำลายคนในกรุงเยรูซาเล็มที่ร้องออกพระนามนี้ และเขามาที่นี่หวังจะผูกมัดพวกนั้นส่งให้พวกปุโรหิตใหญ่”
กจ 10.41 มิใช่ทรงให้ปรากฏแก่คนทั่วไป แต่ทรงปรากฏแก่เหล่าพวกพยานซึ่งพระเจ้าได้ทรงเลือกไว้แต่ก่อน คือทรงปรากฏแก่พวกเราที่ได้รับประทานและดื่มกับพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงคืนพระชนม์แล้ว
กจ 12.18 แล้วครั้นรุ่งเช้า พวกทหารก็ขวัญหนีดีฝ่อมิใช่น้อย เปโตรหายไปไหนหนอ
กจ 12.22 คนทั้งหลายจึงร้องขึ้นว่า “เป็นพระสุรเสียงของพระ มิใช่เสียงมนุษย์”
กจ 19.37 ท่านทั้งหลายได้พาคนเหล่านี้มา ซึ่งมิใช่เป็นคนปล้นพระวิหารหรือพูดหมิ่นประมาทพระแม่เจ้าของพวกท่าน
กจ 21.38 เจ้าเป็นชาวอียิปต์ซึ่งได้ก่อการกบฏแต่ก่อน และพาพวกฆาตกรสี่พันคนเข้าไปในถิ่นทุรกันดารมิใช่หรือ”
กจ 26.29 เปาโลจึงทูลว่า “จำเพาะพระพักตร์พระเจ้า ข้าพระองค์มีความปรารถนายิ่งนักที่จะให้เป็นเหมือนอย่างข้าพระองค์ มิใช่พระองค์องค์เดียว แต่คนทั้งปวงที่ฟังข้าพระองค์วันนี้ด้วย เว้นเสียแต่เครื่องจองจำนี้”
กจ 27.10 ว่า “ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าเห็นว่าซึ่งเราจะแล่นไปคราวนี้จะมีอันตรายและเสียหายมาก มิใช่แต่ของบรรทุกกับเรือกำปั่นเท่านั้นแต่ชีวิตของเราทั้งหลายด้วย”
กจ 28.19 แต่ว่าเมื่อพวกยิวพูดคัดค้าน ข้าพเจ้าจึงจำต้องอุทธรณ์ถึงซีซาร์ แต่มิใช่ว่าข้าพเจ้ามีอะไรจะฟ้องชนร่วมชาติของข้าพเจ้า
รม 2.28 เพราะว่ายิวแท้ มิใช่คนที่เป็นยิวแต่ภายนอกเท่านั้น และการเข้าสุหนัตแท้ก็ไม่ใช่การเข้าสุหนัตซึ่งปรากฏที่เนื้อหนังเท่านั้น
รม 2.29 คนที่เป็นยิวแท้ คือคนที่เป็นยิวภายใน และการเข้าสุหนัตแท้นั้นเป็นเรื่องของจิตใจตามจิตวิญญาณ มิใช่ตามตัวบทบัญญัติ คนอย่างนั้นพระเจ้าสรรเสริญ มนุษย์ไม่สรรเสริญ
รม 4.2 เพราะถ้าอับราฮัมเป็นผู้ชอบธรรมโดยการกระทำ ท่านก็มีทางที่จะอวดได้ แต่มิใช่จำเพาะพระพักตร์พระเจ้า
รม 4.10 แต่พระเจ้าทรงถืออย่างไร เมื่อท่านเข้าสุหนัตแล้วหรือ หรือเมื่อยังไม่ได้เข้าสุหนัต มิใช่เมื่อท่านเข้าสุหนัตแล้วแต่เมื่อท่านยังไม่ได้เข้าสุหนัต
รม 4.16 ด้วยเหตุนี้เองการที่ได้รับมรดกนั้นจึงขึ้นอยู่กับความเชื่อ เพื่อจะได้เป็นตามพระคุณ เพื่อพระสัญญานั้นจะเป็นที่แน่ใจแก่ผู้สืบเชื้อสายของท่านทุกคน มิใช่แก่ผู้สืบเชื้อสายที่ถือพระราชบัญญัติพวกเดียว แต่แก่คนที่มีความเชื่อเช่นเดียวกับอับราฮัมผู้เป็นบิดาของพวกเราทุกคน
รม 5.11 มิใช่เพียงเท่านั้น เราทั้งหลายยังชื่นชมยินดีในพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา เพราะโดยพระองค์นั้นเราจึงได้กลับคืนดีกับพระเจ้า
รม 7.7 ถ้าเช่นนั้นเราจะว่าอย่างไร ว่าพระราชบัญญัติคือบาปหรือ ขอพระเจ้าอย่ายอมให้เป็นเช่นนั้นเลย แต่ว่าถ้ามิใช่เพราะพระราชบัญญัติแล้ว ข้าพเจ้าก็จะไม่รู้จักบาป เพราะว่าถ้าพระราชบัญญัติมิได้ห้ามว่า “อย่าโลภ” ข้าพเจ้าก็จะไม่รู้ว่าอะไรคือความโลภ
รม 7.17 ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมิใช่ผู้กระทำ แต่ว่าบาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั่นเองเป็นผู้ทำ
รม 8.12 ท่านพี่น้องทั้งหลาย เหตุฉะนั้นเราทั้งหลายเป็นหนี้ แต่มิใช่เป็นหนี้ฝ่ายเนื้อหนังที่จะดำเนินชีวิตตามเนื้อหนัง
รม 9.6 แต่มิใช่ว่าพระวจนะของพระเจ้าได้ไร้ประโยชน์ไป เพราะว่าเขาทั้งหลายที่เกิดมาจากอิสราเอลนั้นหาได้เป็นคนอิสราเอลแท้ทุกคนไม่
รม 9.7 และมิใช่ว่าทุกคนที่เป็นเชื้อสายของอับราฮัมเป็นบุตรแท้ของท่าน แต่ว่า ‘เขาจะเรียกเชื้อสายของเจ้าทางสายอิสอัค’
รม 9.10 และมิใช่เท่านั้น แต่ว่านางเรเบคาห์ก็ได้มีครรภ์กับชายคนหนึ่งด้วย คืออิสอัคบรรพบุรุษของเรา
รม 9.24 คือเราทั้งหลายที่พระองค์ได้ทรงเรียกมาแล้ว มิใช่จากยิวพวกเดียว แต่จากพวกต่างชาติด้วย
รม 10.16 แต่มิใช่ทุกคนได้เชื่อฟังข่าวประเสริฐนั้น เพราะอิสยาห์ได้กล่าวไว้ว่า ‘พระองค์เจ้าข้า ใครเล่าได้เชื่อสิ่งที่เขาได้ยินจากเราทั้งหลาย’
รม 13.5 เหตุฉะนั้นท่านจะต้องอยู่ในบังคับบัญชา มิใช่เพราะเกรงพระอาชญาสิ่งเดียว แต่เพราะจิตที่สำนึกผิดและชอบด้วย
รม 13.13 เราจงดำเนินชีวิตให้เหมาะสมกับเวลากลางวัน มิใช่เลี้ยงเสพสุราเมามาย มิใช่หยาบโลนลามก มิใช่วิวาทริษยากัน
รม 14.1 ส่วนคนที่ยังอ่อนในความเชื่อนั้น จงรับเขาไว้ แต่มิใช่เพื่อให้โต้เถียงกันในเรื่องความเชื่อที่แตกต่างกันนั้น
รม 16.4 ผู้ซึ่งได้ยอมพลีชีวิตของเขาเพื่อป้องกันชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอขอบคุณเขาทั้งสองและมิใช่ข้าพเจ้าคนเดียว แต่คริสตจักรทุกแห่งของพวกต่างชาติก็ขอบคุณเขาด้วย
1คร 1.17 เพราะว่าพระคริสต์มิได้ทรงใช้ข้าพเจ้าไปเพื่อให้เขารับบัพติศมา แต่เพื่อให้ประกาศข่าวประเสริฐ แต่มิใช่ด้วยชั้นเชิงฉลาดในการพูด เกรงว่าเรื่องกางเขนของพระคริสต์จะหมดฤทธิ์เดช
1คร 2.6 เรากล่าวถึงเรื่องปัญญาในหมู่คนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วก็จริง แต่มิใช่เรื่องปัญญาของโลกนี้ หรือเรื่องปัญญาของอำนาจครอบครองในโลกนี้ซึ่งจะเสื่อมสูญไป
1คร 2.13 คือสิ่งเหล่านั้นที่เราได้กล่าวด้วยถ้อยคำซึ่งมิใช่ปัญญาของมนุษย์สอนไว้ แต่ด้วยถ้อยคำซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงสั่งสอน ซึ่งเปรียบเทียบสิ่งที่อยู่ฝ่ายจิตวิญญาณกับสิ่งซึ่งเป็นของจิตวิญญาณ
1คร 3.2 ข้าพเจ้าเลี้ยงท่านด้วยน้ำนมมิใช่ด้วยอาหารแข็ง เพราะว่าเมื่อก่อนนั้นท่านยังไม่สามารถรับและถึงแม้เดี๋ยวนี้ท่านก็ยังไม่สามารถ
1คร 4.19 แต่ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรด ข้าพเจ้าจะมาหาท่านในไม่ช้านี้ และข้าพเจ้าจะหยั่งดู มิใช่ถ้อยคำของคนที่ผยองเหล่านั้นแต่จะหยั่งดูฤทธิ์อำนาจของเขา
1คร 4.20 เพราะว่าอาณาจักรของพระเจ้ามิใช่เรื่องของคำพูดแต่เป็นเรื่องฤทธิ์เดช
1คร 5.8 เหตุฉะนั้นให้เราถือปัสกานั้น มิใช่ด้วยเชื้อเก่าหรือด้วยเชื้อของความชั่วช้าเลวทราม แต่ด้วยขนมปังไร้เชื้อคือความจริงใจและความจริง
1คร 5.12 ไม่ใช่หน้าที่ของข้าพเจ้าที่จะไปตัดสินลงโทษคนภายนอก ท่านจะต้องตัดสินลงโทษคนภายในมิใช่หรือ
1คร 7.6 ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้โดยได้รับอนุญาต มิใช่เป็นพระบัญชา
1คร 7.10 ส่วนคนที่แต่งงานแล้วข้าพเจ้าขอสั่ง มิใช่ข้าพเจ้าสั่งเอง แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาว่า อย่าให้ภรรยาทิ้งสามี
1คร 7.35 ข้าพเจ้าว่าอย่างนี้ก็เพื่อเป็นประโยชน์ของท่าน มิใช่จะเอาบ่วงบาศคล้องท่านแต่เพื่อความเป็นระเบียบ ให้ท่านปฏิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้าโดยปราศจากใจสองฝักสองฝ่าย
1คร 8.7 มิใช่ว่าทุกคนมีความรู้อย่างนี้ เพราะมีบางคนมีจิตสำนึกผิดชอบเรื่องรูปเคารพว่า เมื่อได้กินอาหารนั้นก็ถือว่าเป็นของบูชาแก่รูปเคารพจริงๆ และจิตสำนึกผิดชอบของเขายังอ่อนอยู่จึงเป็นมลทิน
1คร 9.15 แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ใช้สิทธิ์เหล่านี้เลย ที่ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้ ก็มิใช่เพื่อจะให้เขากระทำอย่างนั้นแก่ข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้ายอมตายเสียดีกว่าที่จะให้ผู้ใดทำลายเกียรติอันนี้ของข้าพเจ้า
1คร 10.16 ถ้วยแห่งพระพรซึ่งเราได้ขอพระพรนั้นเป็นที่ทำให้เรามีส่วนร่วมในพระโลหิตของพระคริสต์มิใช่หรือ ขนมปังซึ่งเราหักนั้นเป็นที่ทำให้เรามีส่วนร่วมในพระกายของพระคริสต์มิใช่หรือ
1คร 10.18 จงพิจารณาดูพวกอิสราเอลตามเนื้อหนัง คนที่รับประทานของที่บูชาแล้วนั้น ก็มีส่วนร่วมในแท่นบูชานั้นมิใช่หรือ
1คร 12.13 เพราะว่าถึงเราจะเป็นพวกยิวหรือพวกต่างชาติ เป็นทาสหรือมิใช่ทาสก็ตาม เราทั้งหลายได้รับบัพติศมาโดยพระวิญญาณองค์เดียวเข้าเป็นกายอันเดียวกัน และพระวิญญาณองค์เดียวกันนั้นซาบซ่านอยู่
1คร 15.10 แต่ว่าข้าพเจ้าเป็นอยู่อย่างที่เป็นอยู่นี้ก็เนื่องด้วยพระคุณของพระเจ้า และพระคุณของพระองค์ซึ่งได้ทรงประทานแก่ข้าพเจ้านั้นมิได้ไร้ประโยชน์ แต่ข้าพเจ้ากลับทำงานมากกว่าพวกเขาเสียอีก มิใช่ตัวข้าพเจ้าเองทำ แต่เป็นด้วยพระคุณของพระเจ้าซึ่งดำรงอยู่กับข้าพเจ้า
2คร 1.12 นี่เป็นสิ่งที่เราชื่นชมยินดีได้ คือใจสำนึกผิดชอบของเราเป็นพยานว่าเราได้ประพฤติตนเป็นที่ประจักษ์แก่โลก และยิ่งกว่านั้นก็คือการประพฤติต่อท่านทั้งหลาย ด้วยน้ำใจบริสุทธิ์ และด้วยความจริงใจซึ่งมาจากพระเจ้า และมิใช่ตามปัญญาฝ่ายเนื้อหนัง แต่ตามพระคุณของพระเจ้า
2คร 1.18 แต่พระเจ้าทรงสัตย์จริงแน่ฉันใด คำของเราที่กล่าวกับท่านก็มิใช่เป็นคำรับ หรือปฏิเสธ ส่งๆไปแน่ฉันนั้น
2คร 2.4 เพราะว่าข้าพเจ้าเขียนถึงท่านเพราะข้าพเจ้ามีความทุกข์ระทมใจมาก และน้ำตาไหลมากมาย มิใช่เพื่อจะทำให้ท่านเป็นทุกข์ แต่เพื่อจะให้ท่านรู้จักความรักอย่างมากมายซึ่งข้าพเจ้ามีต่อท่านทั้งหลาย
2คร 3.3 ท่านปรากฏเป็นหนังสือของพระคริสต์ซึ่งเราเป็นผู้ปรนนิบัติ และได้เขียนไว้ มิใช่ด้วยน้ำหมึก แต่ด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ และมิได้เขียนไว้ที่แผ่นศิลา แต่เขียนไว้ที่แผ่นดวงใจมนุษย์
2คร 3.5 มิใช่เราจะคิดถือว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดจากความสามารถของเราเอง แต่ว่าความสามารถของเรามาจากพระเจ้า
2คร 3.6 พระองค์จึงทรงโปรดประทานให้เราสามารถเป็นผู้ปฏิบัติได้ตามพันธสัญญาใหม่ มิใช่ตามตัวอักษร แต่ตามพระวิญญาณ ด้วยว่าตัวอักษรนั้นประหารให้ตาย แต่พระวิญญาณนั้นประทานชีวิต
2คร 5.4 เพราะว่าเราผู้อาศัยในพลับพลานี้จึงครวญคร่ำเป็นทุกข์ มิใช่เพราะปรารถนาที่จะอยู่ตัวเปล่า แต่ปรารถนาจะสวมกายใหม่นั้น เพื่อว่าร่างกายของเราซึ่งจะต้องตายนั้นจะได้ถูกชีวิตอมตะกลืนเสีย
2คร 5.7 (เพราะเราดำเนินโดยความเชื่อ มิใช่ตามที่ตามองเห็น)
2คร 7.3 ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้มิใช่เพื่อจะปรักปรำท่าน เพราะข้าพเจ้าบอกแล้วว่า ท่านทั้งหลายอยู่ในใจของเราทีเดียว จะตายหรือจะเป็นก็อยู่ด้วยกัน
2คร 7.7 และมิใช่เพียงการมาของทิตัสเท่านั้น แต่โดยการที่ท่านได้หนุนน้ำใจทิตัสด้วย ตามที่ทิตัสได้มาบอกเราถึงความปรารถนาอย่างยิ่งและความโศกเศร้าของท่าน และใจจดจ่อของท่านที่มีต่อข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้ามีความชื่นชมยินดีมากยิ่งขึ้น
2คร 7.9 แต่บัดนี้ข้าพเจ้ามีความชื่นชมยินดี มิใช่เพราะท่านเสียใจ แต่เพราะความเสียใจนั้นทำให้ท่านกลับใจใหม่ เพราะว่าท่านได้รับความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้า ท่านจึงไม่ได้ผลร้ายจากเราเลย
2คร 7.12 เหตุฉะนี้ที่ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านก็มิใช่เพราะเห็นแก่คนที่ได้ทำผิด หรือเพราะเห็นแก่คนที่ต้องทนต่อการร้าย แต่เพื่อให้ความห่วงใยของเราที่มีต่อท่านปรากฏแก่ท่านในสายพระเนตรพระเจ้า
2คร 8.10 และข้าพเจ้าจะออกความเห็นในเรื่องนี้ เพราะจะเป็นประโยชน์แก่ท่าน เรื่องที่ท่านได้ตั้งต้นเมื่อปีกลายนี้ และมิใช่ตั้งต้นจะกระทำเท่านั้น แต่ว่ามีน้ำใจจะกระทำด้วยนั้น
2คร 8.12 เพราะว่าถ้ามีน้ำใจพร้อมอยู่แล้ว พระเจ้าก็พอพระทัยที่จะทรงรับตามที่ทุกคนมีอยู่ มิใช่ตามที่เขาไม่มี
2คร 8.19 และมิใช่แต่เท่านั้น คริสตจักรได้ตั้งคนนั้นไว้ให้เป็นเพื่อนเดินทางด้วยกันกับเราในพระคุณนี้ซึ่งเราได้รับใช้อยู่ เพื่อให้เป็นที่ถวายเกียรติยศแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า และเป็นที่แสดงน้ำใจพรักพร้อมของท่าน
2คร 8.21 เพราะเรามุ่งที่จะกระทำสิ่งที่ซื่อสัตย์ มิใช่เฉพาะแต่ในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แต่ในสายตาของมนุษย์ด้วย
2คร 9.5 เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงเห็นว่า สมควรจะวิงวอนให้พี่น้องเหล่านั้นไปหาท่านก่อนข้าพเจ้า และให้จัดเตรียมของถวายของท่านไว้ ตามที่ท่านได้สัญญาไว้แล้ว เพื่อของถวายนั้นจะมีอยู่พร้อม และจะเป็นของถวายที่ให้ด้วยใจศรัทธา มิใช่ให้ด้วยการฝืนใจ
2คร 9.7 ทุกคนจงให้ตามที่เขาได้คิดหมายไว้ในใจ มิใช่ให้ด้วยนึกเสียดาย มิใช่ให้ด้วยการฝืนใจ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนนั้นที่ให้ด้วยใจยินดี
2คร 9.12 เพราะว่าการรับใช้ในการปรนนิบัตินั้นมิใช่จะช่วยวิสุทธิชนซึ่งขัดสนเท่านั้น แต่ยังเป็นเหตุให้มีการขอบพระคุณพระเจ้าเป็นอันมากด้วย
2คร 10.8 ถึงแม้ข้าพเจ้าจะโอ้อวดมากไปสักหน่อยในเรื่องอำนาจ ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานให้ไว้เพื่อสร้างท่าน มิใช่เพื่อทำลายท่าน ข้าพเจ้าก็จะไม่ละอาย
2คร 10.14 การที่มาถึงท่านนั้น มิใช่โดยการล่วงขอบเขตอันควร เรามาจนถึงท่านทั้งหลายเพื่อประกาศข่าวประเสริฐของพระคริสต์
2คร 13.7 บัดนี้ข้าพเจ้าอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อท่านทั้งหลายจะไม่กระทำชั่วใดๆ มิใช่ว่าเราจะให้ปรากฏว่าเราเป็นที่ทรงชอบพระทัย แต่เพื่อท่านจะประพฤติเป็นที่ชอบ ถึงแม้จะดูเหมือนเราเองเป็นผู้ถูกทอดทิ้ง
2คร 13.10 เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงเขียนข้อความนี้เมื่อข้าพเจ้าไม่อยู่ ด้วยเพื่อเมื่อข้าพเจ้ามาแล้ว จะได้ไม่ต้องกวดขันท่านโดยใช้อำนาจ ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรดประทานให้แก่ข้าพเจ้า เพื่อการก่อขึ้นมิใช่เพื่อการทำลายลง
กท 1.1 เปาโล ผู้เป็นอัครสาวก (มิใช่มนุษย์แต่งตั้ง หรือมนุษย์เป็นตัวแทนแต่งตั้ง แต่พระเยซูคริสต์และพระเจ้าพระบิดา ผู้ได้ทรงโปรดให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตายได้ทรงแต่งตั้ง)
กท 1.7 ซึ่งมิใช่อย่างอื่นดอก แต่ว่ามีบางคนที่ทำให้ท่านยุ่งยาก และปรารถนาที่จะบิดเบือนข่าวประเสริฐของพระคริสต์
กท 2.14 แต่เมื่อข้าพเจ้าเห็นว่าเขาไม่ได้ดำเนินในความเที่ยงธรรมตามความจริงของข่าวประเสริฐนั้น ข้าพเจ้าจึงว่าแก่เปโตรต่อหน้าคนทั้งปวงว่า “ถ้าท่านเองซึ่งเป็นพวกยิวประพฤติตามอย่างคนต่างชาติ มิใช่ตามอย่างพวกยิว เหตุไฉนท่านจึงบังคับคนต่างชาติให้ประพฤติตามอย่างพวกยิวเล่า”
อฟ 1.21 สูงยิ่งเหนือบรรดาเทพผู้ครอง เหนือศักดิเทพ เหนืออิทธิเทพ เหนือเทพอาณาจักร และเหนือนามทั้งปวงที่เขาเอ่ยขึ้น มิใช่ในยุคนี้เท่านั้นแต่ในยุคที่จะมาถึงด้วย
อฟ 2.8 ด้วยว่าซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่านทั้งหลายเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้
ฟป 1.29 เพราะว่าได้ทรงโปรดแก่ท่านเพราะเห็นแก่พระคริสต์ มิใช่ให้ท่านเชื่อถือในพระองค์เท่านั้น แต่ให้ท่านทนความทุกข์ยากเพราะเห็นแก่พระองค์ด้วย
ฟป 3.12 มิใช่ว่าข้าพเจ้าได้แล้ว หรือสำเร็จแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไป เพื่อข้าพเจ้าจะได้ฉวยเอาตามอย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงฉวยข้าพเจ้าไว้เป็นของพระองค์แล้ว
ฟป 4.17 มิใช่ว่าข้าพเจ้าปรารถนาจะได้รับของให้ แต่ว่าข้าพเจ้าอยากให้ท่านได้ผลกำไรในบัญชีของท่านมากขึ้น
1ธส 2.8 เมื่อเรารักท่านอย่างนี้แล้ว เราก็มีใจพร้อมที่จะเผื่อแผ่เจือจาน มิใช่แต่เพียงข่าวประเสริฐของพระเจ้าเท่านั้น แต่อุทิศจิตใจเราให้แก่ท่านด้วย เพราะท่านเป็นที่รักยิ่งของเรา
1ธส 2.19 เพราะอะไรเล่าจะเป็นความหวัง หรือความยินดี หรือมงกุฎแห่งความชื่นชมยินดีของเรา จำเพาะพระพักตร์พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา เมื่อพระองค์จะเสด็จมา ก็มิใช่ท่านทั้งหลายดอกหรือ
1ธส 4.5 มิใช่ด้วยราคะตัณหาเหมือนอย่างคนต่างชาติที่ไม่รู้จักพระเจ้า
2ธส 3.9 มิใช่เพราะเราไม่มีสิทธิ์ แต่ว่าเพื่อทำตัวเป็นแบบอย่างให้ท่านทั้งหลายทำตามเรา
1ทธ 5.13 นอกจากนั้นเขาก็จะกลายเป็นคนเกียจคร้าน เที่ยวไปบ้านนี้บ้านนั้น และมิใช่แต่เกียจคร้านเท่านั้น แต่ปากบอนด้วย และเที่ยวยุ่งกับเรื่องของผู้อื่น พูดสิ่งซึ่งไม่ควรจะพูด
2ทธ 4.8 ตั้งแต่นี้ไป มงกุฎแห่งความชอบธรรมก็เตรียมไว้สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้พิพากษาอันชอบธรรม จะทรงประทานแก่ข้าพเจ้าในวันนั้น และมิใช่แก่ข้าพเจ้าผู้เดียวเท่านั้น แต่จะทรงประทานแก่คนทั้งปวงที่รักการเสด็จมาของพระองค์
ทต 3.5 พระองค์ได้ทรงช่วยเราให้รอด มิใช่ด้วยการกระทำที่ชอบธรรมของเราเอง แต่พระองค์ทรงพระกรุณาชำระให้เรามีใจบังเกิดใหม่ และทรงสร้างเราขึ้นมาใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์
ฟม 1.16 บัดนี้เขามิใช่เป็นทาสอีกต่อไป แต่ดียิ่งกว่าทาส คือเป็นพี่น้องที่รัก เขาเป็นที่รักมากของข้าพเจ้า แต่คงจะเป็นที่รักของท่านมากยิ่งกว่านั้นอีก ทั้งในเนื้อหนังและในองค์พระผู้เป็นเจ้า
ฮบ 1.14 ทูตสวรรค์ทั้งปวงเป็นแต่เพียงวิญญาณผู้ปรนนิบัติ ที่พระองค์ทรงส่งไปช่วยเหลือบรรดาผู้ที่จะได้รับความรอดเป็นมรดกมิใช่หรือ
ฮบ 3.16 เพราะบางคน เมื่อเขาได้ยินแล้ว ก็ยังได้กบฏอยู่ แต่มิใช่ทุกคนที่โมเสสได้นำออกจากประเทศอียิปต์
ฮบ 3.17 และใครหนอที่พระองค์ได้ทรงโทมนัสตลอดสี่สิบปีนั้น ก็คนเหล่านั้นที่กระทำบาป และซากศพของเขาทิ้งอยู่ในถิ่นทุรกันดารมิใช่หรือ
ฮบ 3.18 และแก่ใครหนอที่พระองค์ได้ทรงปฏิญาณว่า เขาจะไม่ได้เข้าสู่ที่สงบสุขของพระองค์ ก็คนเหล่านั้นที่ไม่เชื่อมิใช่หรือ
ฮบ 10.1 โดยเหตุที่พระราชบัญญัตินั้นได้เป็นแต่เงาของสิ่งดีที่จะมาภายหน้า มิใช่ตัวจริงของสิ่งนั้นทีเดียว พระราชบัญญัตินั้นจะใช้เครื่องบูชาที่เขาถวายทุกปีๆเสมอมากระทำให้ผู้ถวายสักการบูชานั้นถึงที่สำเร็จไม่ได้
ฮบ 10.2 เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นได้ เขาคงได้หยุดการถวายเครื่องบูชาแล้วมิใช่หรือ เพราะถ้าผู้นมัสการนั้นได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ครั้งหนึ่งแล้ว เขาคงจะไม่รู้สึกว่ามีบาปอีกต่อไป
ฮบ 12.9 อีกประการหนึ่ง เราทั้งหลายได้มีบิดาตามเนื้อหนังที่ได้ตีสอนเรา และเราจึงได้นับถือบิดานั้น ยิ่งกว่านั้นอีก เราควรจะได้ยำเกรงนบนอบต่อพระบิดาแห่งจิตวิญญาณและจำเริญชีวิตมิใช่หรือ
ฮบ 12.26 พระสุรเสียงของพระองค์คราวนั้นได้บันดาลให้แผ่นดินหวั่นไหว แต่บัดนี้พระองค์ได้ตรัสสัญญาไว้ว่า “อีกครั้งหนึ่งเราจะกระทำให้หวาดหวั่นไหว มิใช่แผ่นดินโลกแห่งเดียว แต่ทั้งสวรรค์ด้วย”
ยก 2.5 พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงฟังเถิด พระเจ้าทรงเลือกคนยากจนในโลกนี้ให้เป็นคนมั่งมีในความเชื่อ และให้เป็นทายาทแห่งอาณาจักร ซึ่งพระองค์ทรงสัญญาไว้แก่ผู้ที่รักพระองค์มิใช่หรือ
ยก 2.24 ท่านทั้งหลายก็เห็นแล้วว่า ผู้ใดจะเป็นคนชอบธรรมได้ ก็เนื่องด้วยการกระทำ และมิใช่ด้วยความเชื่อเพียงอย่างเดียว
ยก 2.25 เช่นเดียวกันราหับหญิงแพศยาก็ได้ความชอบธรรมเนื่องด้วยการกระทำด้วยมิใช่หรือ เมื่อนางได้รับรองผู้ส่งข่าวเหล่านั้น และส่งเขาไปเสียทางอื่น
ยก 4.1 อะไรเป็นสาเหตุของสงครามและการทะเลาะวิวาทกันในพวกท่าน มิใช่ราคะตัณหาของท่านหรือที่ต่อสู้กันในอวัยวะของท่าน
1ยน 2.21 ข้าพเจ้าเขียนมายังท่านทั้งหลายมิใช่เพราะท่านไม่รู้ความจริง แต่เพราะท่านทั้งหลายรู้แล้ว และรู้ว่าคำมุสาไม่ได้มาจากความจริงเลย
1ยน 2.22 ใครเล่าเป็นผู้ที่พูดมุสา ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นผู้ที่ปฏิเสธว่าพระเยซูมิใช่พระคริสต์ ผู้ใดที่ปฏิเสธพระบิดาและพระบุตร ผู้นั้นแหละเป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์
1ยน 4.10 ในข้อนี้แหละเป็นความรัก มิใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระองค์ทรงรักเรา และทรงใช้พระบุตรของพระองค์ให้เป็นผู้ลบล้างพระอาชญาที่ตกกับเราทั้งหลาย เพราะบาปของเรา
2ยน 1.1 ข้าพเจ้าผู้ปกครอง เรียน มายังท่านสุภาพสตรีที่ทรงเลือกสรรไว้ และบรรดาบุตรของเธอ ผู้ซึ่งข้าพเจ้ารักเนื่องด้วยความจริงนั้น และมิใช่แต่ข้าพเจ้าเท่านั้น แต่คนทั้งปวงที่ได้รู้จักความจริงก็รักด้วย
2ยน 1.5 และท่านสุภาพสตรี บัดนี้ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่าน มิใช่เสมือนหนึ่งว่าข้าพเจ้าเขียนพระบัญญัติใหม่ให้แก่ท่าน แต่เป็นพระบัญญัติที่เราได้มีมาแล้วตั้งแต่เริ่มแรก นั่นก็คือให้เราทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน

มิซาร์ ( 1 )
สดด 42.6 โอ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ จิตใจของข้าพระองค์ฝ่ออยู่ภายในข้าพระองค์ เพราะฉะนั้นข้าพระองค์จึงจะระลึกถึงพระองค์ ตั้งแต่แผ่นดินแห่งแม่น้ำจอร์แดนและแห่งภูเขาเฮอร์โมนตั้งแต่เนินมิซาร์

มิเซีย ( 2 )
กจ 16.7 เมื่อไปยังแคว้นมิเซียแล้ว ก็พยายามจะไปยังแว่นแคว้นบิธีเนีย แต่พระวิญญาณไม่ทรงโปรดให้ไป
กจ 16.8 แล้วท่านเหล่านั้นได้เดินทางผ่านแคว้นมิเซียลงมายังเมืองโตรอัส

มิด ( 4 )
อพย 15.10 พระองค์ทรงบันดาลให้ลมพัดมา น้ำทะเลก็ท่วมเขามิด เขาจมลงในกระแสน้ำอันไหลแรงนั้นเหมือนตะกั่ว
ยชว 24.7 และเมื่อเขาร้องทูลต่อพระเยโฮวาห์ พระองค์ก็บันดาลให้ความมืดเกิดขึ้นระหว่างเจ้าทั้งหลายและชาวอียิปต์ และกระทำให้ทะเลท่วมมิดเขา นัยน์ตาของเจ้าทั้งหลายได้เห็นสิ่งที่เรากระทำในอียิปต์ และเจ้าทั้งหลายอยู่ในถิ่นทุรกันดารช้านาน
สดด 88.17 มันล้อมข้าพระองค์ไว้รอบวันยังค่ำอย่างน้ำท่วม มันท่วมข้าพระองค์มิด
ยนา 2.5 น้ำก็ท่วมมิดข้าพระองค์ คือถึงจิตใจข้าพระองค์ ที่ลึกก็อยู่รอบตัวข้าพระองค์ สาหร่ายทะเลก็พันศีรษะข้าพระองค์อยู่

มิดดีน ( 1 )
ยชว 15.61 เมืองที่ในถิ่นทุรกันดาร คือเบธอาราบาห์ มิดดีน เสคะคาห์

มิดีมิร้าย ( 1 )
ดนล 3.29 เพราะฉะนั้นเราจึงออกกฤษฎีกาว่า ชนชาติ ประชาชาติ หรือภาษาใดๆที่กล่าวมิดีมิร้ายต่อพระเจ้าของชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก จะถูกหั่นเป็นชิ้นๆ และบ้านเรือนของเขาจะต้องเป็นกองขยะ เพราะว่าไม่มีพระเจ้าอื่นที่จะสามารถช่วยให้พ้นในทางนี้ได้”

มิได้ ( 1364 )
ปฐก 9.23; ปฐก 15.3; ปฐก 17.14; ปฐก 18.15; ปฐก 21.26; ปฐก 22.12; ปฐก 22.16; ปฐก 24.27; ปฐก 26.22; ปฐก 26.29; ปฐก 27.36; ปฐก 31.7; ปฐก 31.20; ปฐก 31.38; ปฐก 31.39; ปฐก 33.10; ปฐก 35.5; ปฐก 36.7; ปฐก 37.29; ปฐก 38.14; ปฐก 38.26; ปฐก 39.6; ปฐก 39.8; ปฐก 39.9; ปฐก 40.23; ปฐก 41.16; ปฐก 42.21; ปฐก 42.34; ปฐก 44.30; ปฐก 44.34; ปฐก 45.1; อพย 1.8; อพย 1.17; อพย 3.2; อพย 4.1; อพย 5.16; อพย 5.23; อพย 6.3; อพย 6.9; อพย 6.12; อพย 7.23; อพย 8.31; อพย 8.32; อพย 9.19; อพย 9.32; อพย 9.33; อพย 12.34; อพย 12.48; อพย 13.17; อพย 13.22; อพย 14.20; อพย 15.22; อพย 16.8; อพย 16.20; อพย 16.24; อพย 21.7; อพย 21.8; อพย 21.11; อพย 21.13; อพย 21.29; อพย 21.33; อพย 21.36; อพย 22.6; อพย 24.11; อพย 30.12; อพย 30.21; อพย 32.14; อพย 33.11; อพย 33.12; อพย 33.15; อพย 33.23; อพย 34.20; อพย 34.28; อพย 40.37; ลนต 4.2; ลนต 4.27; ลนต 5.18; ลนต 10.1; ลนต 10.17; ลนต 10.18; ลนต 13.6; ลนต 13.53; ลนต 14.48; ลนต 15.11; ลนต 17.4; ลนต 17.9; ลนต 19.20; ลนต 20.22; ลนต 21.15; ลนต 22.2; ลนต 22.14; ลนต 25.5; ลนต 25.11; ลนต 26.13; ลนต 26.14; ลนต 26.35; กดว 1.47; กดว 2.33; กดว 5.14; กดว 5.28; กดว 7.9; กดว 9.13; กดว 9.22; กดว 11.17; กดว 11.19; กดว 12.15; กดว 14.22; กดว 14.23; กดว 14.42; กดว 14.44; กดว 15.22; กดว 16.14; กดว 16.15; กดว 16.28; กดว 16.29; กดว 16.40; กดว 18.22; กดว 19.13; กดว 20.12; กดว 22.33; กดว 23.9; กดว 23.19; กดว 24.12; กดว 25.11; กดว 26.62; กดว 27.3; กดว 27.14; กดว 27.17; กดว 30.4; กดว 30.7; กดว 32.11; กดว 32.19; กดว 32.23; กดว 33.55; กดว 35.11; กดว 35.15; กดว 35.22; กดว 35.23; พบญ 1.32; พบญ 1.42; พบญ 1.45; พบญ 2.7; พบญ 2.37; พบญ 3.26; พบญ 4.42; พบญ 5.5; พบญ 5.22; พบญ 6.11; พบญ 9.18; พบญ 10.17; พบญ 11.2; พบญ 17.12; พบญ 17.13; พบญ 17.20; พบญ 18.20; พบญ 18.21; พบญ 18.22; พบญ 19.4; พบญ 19.6; พบญ 20.6; พบญ 20.18; พบญ 21.7; พบญ 22.8; พบญ 22.14; พบญ 22.24; พบญ 23.4; พบญ 23.5; พบญ 25.6; พบญ 25.18; พบญ 26.13; พบญ 26.14; พบญ 27.25; พบญ 28.31; พบญ 28.47; พบญ 28.61; พบญ 29.4; พบญ 29.5; พบญ 29.6; พบญ 29.14; พบญ 29.20; พบญ 29.26; พบญ 30.17; พบญ 32.18; พบญ 32.34; พบญ 32.51; พบญ 33.9; พบญ 34.7; ยชว 5.6; ยชว 8.17; ยชว 8.26; ยชว 8.31; ยชว 8.35; ยชว 10.13; ยชว 11.13; ยชว 13.33; ยชว 17.13; ยชว 18.2; ยชว 20.3; ยชว 20.5; ยชว 20.9; ยชว 22.3; ยชว 22.20; ยชว 22.31; ยชว 23.7; วนฉ 1.21; วนฉ 1.27; วนฉ 1.28; วนฉ 1.29; วนฉ 1.30; วนฉ 1.31; วนฉ 1.32; วนฉ 1.33; วนฉ 2.2; วนฉ 2.17; วนฉ 2.19; วนฉ 2.23; วนฉ 4.6; วนฉ 5.19; วนฉ 8.34; วนฉ 8.35; วนฉ 10.11; วนฉ 11.15; วนฉ 11.18; วนฉ 11.27; วนฉ 11.28; วนฉ 14.6; วนฉ 14.9; วนฉ 16.15; วนฉ 21.5; วนฉ 21.8; วนฉ 21.17; นรธ 3.10; นรธ 4.14; 1ซมอ 1.15; 1ซมอ 1.22; 1ซมอ 2.12; 1ซมอ 2.33; 1ซมอ 3.6; 1ซมอ 3.13; 1ซมอ 8.3; 1ซมอ 8.5; 1ซมอ 8.7; 1ซมอ 12.4; 1ซมอ 13.8; 1ซมอ 13.11; 1ซมอ 13.12; 1ซมอ 13.13; 1ซมอ 13.14; 1ซมอ 14.6; 1ซมอ 14.37; 1ซมอ 16.8; 1ซมอ 16.9; 1ซมอ 16.10; 1ซมอ 17.47; 1ซมอ 20.2; 1ซมอ 20.26; 1ซมอ 20.27; 1ซมอ 20.29; 1ซมอ 20.34; 1ซมอ 21.8; 1ซมอ 21.11; 1ซมอ 23.14; 1ซมอ 24.11; 1ซมอ 24.18; 1ซมอ 25.7; 1ซมอ 25.19; 1ซมอ 25.34; 1ซมอ 25.36; 1ซมอ 26.16; 1ซมอ 26.23; 1ซมอ 27.4; 1ซมอ 27.11; 1ซมอ 28.6; 1ซมอ 28.15; 1ซมอ 28.18; 1ซมอ 31.4; 2ซมอ 1.14; 2ซมอ 1.20; 2ซมอ 1.21; 2ซมอ 1.22; 2ซมอ 2.19; 2ซมอ 3.8; 2ซมอ 3.9; 2ซมอ 3.13; 2ซมอ 3.22; 2ซมอ 3.34; 2ซมอ 7.7; 2ซมอ 10.3; 2ซมอ 11.9; 2ซมอ 11.10; 2ซมอ 11.13; 2ซมอ 13.22; 2ซมอ 13.25; 2ซมอ 14.13; 2ซมอ 14.24; 2ซมอ 14.28; 2ซมอ 15.3; 2ซมอ 19.13; 2ซมอ 19.24; 2ซมอ 19.25; 2ซมอ 20.3; 2ซมอ 22.23; 2ซมอ 22.42; 2ซมอ 24.24; 1พกษ 1.8; 1พกษ 1.10; 1พกษ 1.11; 1พกษ 1.27; 1พกษ 2.28; 1พกษ 3.11; 1พกษ 7.47; 1พกษ 8.16; 1พกษ 8.46; 1พกษ 9.6; 1พกษ 10.7; 1พกษ 11.6; 1พกษ 11.10; 1พกษ 11.11; 1พกษ 11.33; 1พกษ 11.41; 1พกษ 12.15; 1พกษ 12.16; 1พกษ 12.31; 1พกษ 13.21; 1พกษ 13.22; 1พกษ 13.28; 1พกษ 13.33; 1พกษ 14.29; 1พกษ 15.5; 1พกษ 15.7; 1พกษ 15.14; 1พกษ 15.23; 1พกษ 15.31; 1พกษ 16.5; 1พกษ 16.11; 1พกษ 16.14; 1พกษ 16.20; 1พกษ 16.27; 1พกษ 18.10; 1พกษ 18.18; 1พกษ 19.2; 1พกษ 19.11; 1พกษ 19.18; 1พกษ 20.7; 1พกษ 20.28; 1พกษ 22.3; 1พกษ 22.18; 1พกษ 22.28; 1พกษ 22.39; 1พกษ 22.43; 1พกษ 22.45; 2พกษ 1.18; 2พกษ 2.18; 2พกษ 3.14; 2พกษ 5.26; 2พกษ 6.23; 2พกษ 6.27; 2พกษ 8.23; 2พกษ 10.29; 2พกษ 10.31; 2พกษ 10.34; 2พกษ 11.2; 2พกษ 12.3; 2พกษ 12.6; 2พกษ 12.7; 2พกษ 12.13; 2พกษ 12.15; 2พกษ 12.16; 2พกษ 12.19; 2พกษ 13.6; 2พกษ 13.7; 2พกษ 13.8; 2พกษ 13.11; 2พกษ 13.12; 2พกษ 14.4; 2พกษ 14.6; 2พกษ 14.15; 2พกษ 14.18; 2พกษ 14.24; 2พกษ 14.27; 2พกษ 14.28; 2พกษ 15.4; 2พกษ 15.6; 2พกษ 15.9; 2พกษ 15.16; 2พกษ 15.18; 2พกษ 15.20; 2พกษ 15.21; 2พกษ 15.24; 2พกษ 15.28; 2พกษ 15.35; 2พกษ 15.36; 2พกษ 16.2; 2พกษ 16.19; 2พกษ 17.14; 2พกษ 17.19; 2พกษ 17.25; 2พกษ 17.40; 2พกษ 18.6; 2พกษ 18.12; 2พกษ 19.10; 2พกษ 20.13; 2พกษ 20.15; 2พกษ 20.20; 2พกษ 21.9; 2พกษ 21.17; 2พกษ 21.22; 2พกษ 21.25; 2พกษ 22.2; 2พกษ 22.13; 2พกษ 23.9; 2พกษ 23.22; 2พกษ 23.26; 2พกษ 23.28; 2พกษ 24.5; 2พกษ 24.7; 1พศด 5.1; 1พศด 10.4; 1พศด 10.13; 1พศด 10.14; 1พศด 12.19; 1พศด 13.3; 1พศด 13.13; 1พศด 15.13; 1พศด 16.21; 1พศด 17.6; 1พศด 21.4; 1พศด 21.6; 1พศด 21.24; 1พศด 22.18; 1พศด 27.23; 1พศด 27.24; 2พศด 1.11; 2พศด 4.18; 2พศด 6.5; 2พศด 6.36; 2พศด 8.8; 2พศด 8.15; 2พศด 9.6; 2พศด 9.29; 2พศด 10.15; 2พศด 10.16; 2พศด 12.12; 2พศด 12.15; 2พศด 13.9; 2พศด 13.10; 2พศด 13.20; 2พศด 14.6; 2พศด 15.17; 2พศด 16.7; 2พศด 16.12; 2พศด 17.3; 2พศด 17.4; 2พศด 17.10; 2พศด 18.17; 2พศด 18.27; 2พศด 19.6; 2พศด 20.6; 2พศด 20.10; 2พศด 20.32; 2พศด 20.33; 2พศด 21.12; 2พศด 21.19; 2พศด 23.8; 2พศด 24.22; 2พศด 24.25; 2พศด 25.4; 2พศด 25.7; 2พศด 25.16; 2พศด 25.26; 2พศด 27.2; 2พศด 28.1; 2พศด 28.27; 2พศด 29.7; 2พศด 30.3; 2พศด 30.5; 2พศด 30.17; 2พศด 32.11; 2พศด 32.17; 2พศด 32.25; 2พศด 32.26; 2พศด 33.23; 2พศด 34.2; 2พศด 34.33; 2พศด 35.21; 2พศด 35.22; 2พศด 36.12; อสร 3.6; อสร 9.1; อสร 9.9; นหม 1.7; นหม 2.1; นหม 5.13; นหม 5.14; นหม 5.15; นหม 5.16; นหม 5.18; นหม 6.12; นหม 9.16; นหม 9.17; นหม 9.19; นหม 9.20; นหม 9.21; นหม 9.29; นหม 9.31; นหม 9.34; นหม 9.35; นหม 13.2; นหม 13.6; นหม 13.18; นหม 13.26; อสธ 1.15; อสธ 2.10; อสธ 2.15; อสธ 2.20; อสธ 3.2; อสธ 4.11; อสธ 5.12; อสธ 9.10; อสธ 9.15; อสธ 9.16; อสธ 9.27; อสธ 10.2; โยบ 1.10; โยบ 1.22; โยบ 2.10; โยบ 3.10; โยบ 5.6; โยบ 6.10; โยบ 7.9; โยบ 10.7; โยบ 10.10; โยบ 10.19; โยบ 14.16; โยบ 15.15; โยบ 15.18; โยบ 21.29; โยบ 22.7; โยบ 22.12; โยบ 23.8; โยบ 23.11; โยบ 23.12; โยบ 23.13; โยบ 23.17; โยบ 24.12; โยบ 24.13; โยบ 25.3; โยบ 29.24; โยบ 30.25; โยบ 31.15; โยบ 31.20; โยบ 31.31; โยบ 31.32; โยบ 31.39; โยบ 32.14; โยบ 33.27; โยบ 35.13; โยบ 35.15; โยบ 36.5; โยบ 36.6; โยบ 36.7; โยบ 37.4; โยบ 39.17; โยบ 42.7; โยบ 42.8; สดด 5.4; สดด 9.10; สดด 9.12; สดด 10.4; สดด 15.5; สดด 17.3; สดด 17.4; สดด 17.5; สดด 18.22; สดด 18.41; สดด 21.2; สดด 22.2; สดด 22.5; สดด 22.24; สดด 24.4; สดด 26.4; สดด 30.1; สดด 31.8; สดด 32.2; สดด 32.5; สดด 36.4; สดด 40.4; สดด 40.6; สดด 40.9; สดด 40.10; สดด 44.9; สดด 44.18; สดด 50.3; สดด 50.8; สดด 51.16; สดด 51.17; สดด 54.3; สดด 60.10; สดด 66.9; สดด 69.4; สดด 69.5; สดด 69.33; สดด 75.6; สดด 78.8; สดด 78.10; สดด 78.32; สดด 78.38; สดด 78.39; สดด 78.42; สดด 78.50; สดด 78.56; สดด 78.67; สดด 84.11; สดด 86.14; สดด 88.5; สดด 89.31; สดด 89.43; สดด 103.10; สดด 105.14; สดด 105.28; สดด 106.7; สดด 106.34; สดด 107.38; สดด 108.11; สดด 119.102; สดด 119.153; สดด 124.1; สดด 124.2; สดด 124.6; สดด 127.1; สดด 131.1; สดด 137.6; สดด 139.12; สดด 139.21; สดด 147.10; สดด 147.20; สภษ 1.25; สภษ 3.30; สภษ 8.1; สภษ 10.3; สภษ 10.22; สภษ 23.7; สภษ 23.18; สภษ 25.14; สภษ 30.12; ปญจ 2.10; ปญจ 6.2; ปญจ 6.6; พซม 5.6; พซม 7.2; อสย 1.9; อสย 1.11; อสย 1.23; อสย 3.9; อสย 5.12; อสย 5.25; อสย 9.3; อสย 9.12; อสย 9.13; อสย 9.17; อสย 9.21; อสย 10.4; อสย 10.7; อสย 17.10; อสย 22.2; อสย 22.11; อสย 23.4; อสย 26.18; อสย 28.28; อสย 30.5; อสย 31.1; อสย 31.2; อสย 32.3; อสย 33.1; อสย 37.10; อสย 39.2; อสย 39.4; อสย 40.28; อสย 42.8; อสย 42.20; อสย 42.24; อสย 42.25; อสย 43.23; อสย 43.24; อสย 44.8; อสย 45.18; อสย 45.19; อสย 47.6; อสย 47.7; อสย 48.9; อสย 48.16; อสย 48.21; อสย 53.9; อสย 56.6; อสย 57.10; อสย 57.11; อสย 58.2; อสย 58.3; อสย 59.1; อสย 62.12; อสย 63.13; อสย 63.16; อสย 65.1; ยรม 2.6; ยรม 2.8; ยรม 2.19; ยรม 2.23; ยรม 2.34; ยรม 2.35; ยรม 3.10; ยรม 3.13; ยรม 4.8; ยรม 4.27; ยรม 5.12; ยรม 5.28; ยรม 6.19; ยรม 7.9; ยรม 7.13; ยรม 7.17; ยรม 7.22; ยรม 7.24; ยรม 7.31; ยรม 8.19; ยรม 9.26; ยรม 10.11; ยรม 10.21; ยรม 11.8; ยรม 14.14; ยรม 15.7; ยรม 15.10; ยรม 15.17; ยรม 15.18; ยรม 16.11; ยรม 17.16; ยรม 19.5; ยรม 20.3; ยรม 20.16; ยรม 20.17; ยรม 22.13; ยรม 22.15; ยรม 22.26; ยรม 23.2; ยรม 23.21; ยรม 23.24; ยรม 23.32; ยรม 26.5; ยรม 26.24; ยรม 27.20; ยรม 28.15; ยรม 29.9; ยรม 29.16; ยรม 29.23; ยรม 29.27; ยรม 29.31; ยรม 29.32; ยรม 32.23; ยรม 32.33; ยรม 32.35; ยรม 32.40; ยรม 33.25; ยรม 34.17; ยรม 34.18; ยรม 35.14; ยรม 35.15; ยรม 37.4; ยรม 37.14; ยรม 38.4; ยรม 40.7; ยรม 42.5; ยรม 42.21; ยรม 43.2; ยรม 44.10; ยรม 44.21; ยรม 47.3; ยรม 51.5; พคค 2.1; พคค 2.8; อสค 3.5; อสค 3.19; อสค 3.20; อสค 3.21; อสค 5.7; อสค 6.10; อสค 11.12; อสค 13.6; อสค 13.7; อสค 14.23; อสค 15.5; อสค 16.4; อสค 16.22; อสค 16.43; อสค 16.48; อสค 18.6; อสค 18.7; อสค 18.8; อสค 18.11; อสค 18.14; อสค 18.15; อสค 18.16; อสค 18.17; อสค 18.22; อสค 18.24; อสค 20.8; อสค 20.13; อสค 20.17; อสค 20.21; อสค 20.24; อสค 22.24; อสค 22.26; อสค 22.28; อสค 22.30; อสค 23.8; อสค 23.27; อสค 24.6; อสค 24.7; อสค 26.15; อสค 28.10; อสค 31.18; อสค 33.8; อสค 34.4; อสค 35.6; อสค 38.14; อสค 44.7; อสค 44.8; อสค 44.9; อสค 48.11; ดนล 2.11; ดนล 3.6; ดนล 3.12; ดนล 3.14; ดนล 3.27; ดนล 5.22; ดนล 5.23; ดนล 6.2; ดนล 6.4; ดนล 6.22; ดนล 9.6; ดนล 9.10; ดนล 9.13; ดนล 9.14; ดนล 9.18; ดนล 10.3; ดนล 10.7; ฮชย 2.23; ฮชย 5.3; ฮชย 7.2; ฮชย 7.8; ฮชย 7.10; ฮชย 7.14; ฮชย 8.6; ฮชย 8.13; ฮชย 9.17; ยอล 3.21; อมส 2.4; อมส 3.7; อมส 6.6; อมส 9.7; ยนา 3.9; ยนา 3.10; ยนา 4.10; มคา 5.13; มคา 7.18; ฮบก 1.2; ฮบก 1.4; ฮบก 1.12; ฮบก 2.13; ฮบก 2.16; ฮบก 3.17; ศฟย 1.6; ศฟย 3.5; ศคย 1.4; ศคย 8.14; ศคย 10.6; มลค 2.2; มลค 2.9; มลค 2.10; มลค 3.7; มธ 1.25; มธ 5.17; มธ 6.26; มธ 6.29; มธ 7.25; มธ 9.13; มธ 10.34; มธ 11.17; มธ 11.20; มธ 13.34; มธ 13.58; มธ 14.21; มธ 15.2; มธ 15.9; มธ 15.13; มธ 15.24; มธ 15.38; มธ 16.7; มธ 16.11; มธ 16.12; มธ 16.17; มธ 16.23; มธ 18.13; มธ 18.22; มธ 19.8; มธ 20.13; มธ 20.28; มธ 21.21; มธ 21.32; มธ 22.11; มธ 22.16; มธ 22.32; มธ 24.22; มธ 25.24; มธ 25.26; มธ 25.42; มธ 25.44; มธ 25.45; มธ 26.24; มธ 27.12; มธ 27.14; มก 2.17; มก 4.34; มก 5.26; มก 7.3; มก 7.4; มก 7.5; มก 7.7; มก 7.19; มก 7.24; มก 8.33; มก 9.38; มก 10.15; มก 10.45; มก 11.23; มก 12.14; มก 12.27; มก 13.20; มก 14.21; มก 14.61; มก 15.5; มก 16.8; มก 16.13; มก 16.14; ลก 1.20; ลก 2.21; ลก 2.37; ลก 4.2; ลก 4.26; ลก 4.35; ลก 5.32; ลก 6.49; ลก 7.30; ลก 7.32; ลก 7.44; ลก 7.45; ลก 7.46; ลก 8.27; ลก 9.36; ลก 9.56; ลก 11.38; ลก 11.44; ลก 12.6; ลก 12.15; ลก 12.21; ลก 12.24; ลก 12.27; ลก 12.33; ลก 12.47; ลก 12.48; ลก 13.3; ลก 13.5; ลก 14.27; ลก 14.31; ลก 14.33; ลก 15.29; ลก 16.12; ลก 16.30; ลก 18.2; ลก 18.17; ลก 18.34; ลก 19.21; ลก 19.22; ลก 19.23; ลก 20.21; ลก 20.38; ลก 22.53; ลก 22.58; ลก 23.29; ลก 23.51; ลก 23.53; ลก 24.3; ยน 1.13; ยน 1.20; ยน 1.21; ยน 2.24; ยน 3.18; ยน 3.34; ยน 4.21; ยน 4.38; ยน 5.22; ยน 5.30; ยน 5.34; ยน 5.38; ยน 5.43; ยน 5.44; ยน 6.17; ยน 6.22; ยน 7.5; ยน 7.28; ยน 7.39; ยน 8.10; ยน 8.15; ยน 8.16; ยน 8.24; ยน 8.28; ยน 8.29; ยน 8.35; ยน 8.40; ยน 8.41; ยน 8.42; ยน 8.44; ยน 8.45; ยน 8.47; ยน 8.50; ยน 9.16; ยน 9.31; ยน 10.1; ยน 10.8; ยน 10.12; ยน 10.16; ยน 10.26; ยน 10.38; ยน 10.41; ยน 11.15; ยน 11.51; ยน 12.46; ยน 12.47; ยน 12.49; ยน 13.18; ยน 14.10; ยน 15.6; ยน 15.20; ยน 15.24; ยน 16.4; ยน 16.29; ยน 17.9; ยน 17.20; ยน 18.36; ยน 19.9; ยน 19.33; ยน 20.17; ยน 21.23; กจ 2.15; กจ 2.25; กจ 5.4; กจ 5.42; กจ 7.52; กจ 9.9; กจ 10.14; กจ 12.23; กจ 13.27; กจ 13.28; กจ 13.37; กจ 14.17; กจ 15.24; กจ 15.38; กจ 17.24; กจ 20.20; กจ 20.24; กจ 20.27; กจ 20.31; กจ 20.33; กจ 24.18; กจ 25.17; กจ 25.18; กจ 25.27; กจ 26.26; กจ 26.31; กจ 26.32; กจ 27.33; กจ 28.6; กจ 28.17; รม 1.21; รม 4.5; รม 4.6; รม 4.8; รม 4.9; รม 4.12; รม 4.17; รม 4.19; รม 4.20; รม 4.23; รม 5.5; รม 5.14; รม 5.19; รม 6.14; รม 6.15; รม 7.7; รม 7.19; รม 8.9; รม 8.32; รม 9.2; รม 9.29; รม 9.32; รม 10.20; รม 11.2; รม 11.4; รม 11.21; รม 11.29; รม 11.30; รม 11.31; รม 12.4; รม 13.1; รม 14.3; รม 14.6; รม 14.23; รม 15.3; 1คร 1.7; 1คร 1.14; 1คร 1.17; 1คร 1.20; 1คร 1.28; 1คร 2.1; 1คร 2.8; 1คร 3.4; 1คร 4.3; 1คร 4.7; 1คร 4.14; 1คร 5.10; 1คร 7.12; 1คร 7.18; 1คร 7.30; 1คร 7.31; 1คร 9.1; 1คร 9.2; 1คร 9.7; 1คร 9.8; 1คร 9.12; 1คร 9.19; 1คร 9.21; 1คร 10.29; 1คร 10.33; 1คร 11.29; 1คร 12.14; 1คร 12.15; 1คร 12.16; 1คร 15.10; 1คร 15.14; 1คร 15.37; 2คร 2.5; 2คร 3.3; 2คร 3.14; 2คร 5.1; 2คร 5.3; 2คร 5.12; 2คร 5.15; 2คร 5.19; 2คร 6.1; 2คร 6.3; 2คร 7.2; 2คร 8.8; 2คร 9.4; 2คร 10.15; 2คร 11.9; 2คร 11.17; 2คร 12.16; 2คร 12.18; 2คร 12.21; 2คร 13.3; 2คร 13.6; กท 2.6; กท 3.10; กท 3.16; กท 3.25; กท 6.13; อฟ 2.11; อฟ 3.8; ฟป 2.6; คส 2.11; คส 2.13; 1ธส 1.5; 1ธส 2.3; 1ธส 2.5; 1ธส 4.7; 1ธส 4.8; 1ธส 5.9; 2ธส 3.7; 2ธส 3.8; 1ทธ 1.9; 1ทธ 1.17; 1ทธ 6.1; 2ทธ 1.3; 2ทธ 1.7; 2ทธ 2.5; 2ทธ 2.20; ทต 1.14; ฮบ 2.16; ฮบ 4.8; ฮบ 4.15; ฮบ 7.11; ฮบ 9.11; ฮบ 11.16; ฮบ 11.27; ฮบ 11.31; ฮบ 12.13; ยก 1.5; ยก 1.26; ยก 2.4; ยก 3.2; 1ปต 1.18; 1ยน 1.10; 1ยน 2.4; 1ยน 3.10; 1ยน 5.10; 1ยน 5.16; วว 2.3; วว 7.9; วว 9.20; วว 9.21; วว 14.4; วว 17.8; วว 21.11

มิตร ( 14 )
ปฐก 34.21 “คนเหล่านี้เป็นมิตรกับพวกเรา เพราะฉะนั้นจงให้เขาอาศัยค้าขายในแผ่นดินนี้ เพราะดูเถิด แผ่นดินนี้กว้างขวางพอให้เขาอยู่ได้ ให้เรารับบุตรสาวของเขาเป็นภรรยาพวกเราและยกบุตรสาวของเราให้เขา
สดด 38.11 มิตรและเพื่อนของข้าพระองค์ยืนเด่นอยู่ห่างจากภัยพิบัติของข้าพระองค์ และญาติของข้าพระองค์ยืนห่างออกไปไกลโพ้น
สดด 55.13 แต่เป็นท่าน เสมอบ่าเสมอไหล่กับข้าพเจ้า เป็นเกลอของข้าพเจ้า เป็นมิตรรู้จักมักคุ้นกับข้าพเจ้า
สภษ 18.24 คนที่มีเพื่อนต้องแสร้งทำเป็นเพื่อน แต่มีมิตรคนหนึ่งที่ใกล้ชิดยิ่งกว่าพี่น้อง
สภษ 19.6 คนเป็นอันมากเอาอกเอาใจของเจ้านาย และทุกคนก็เป็นมิตรกับคนที่ให้ของกำนัล
สภษ 19.7 บรรดาพี่น้องของคนยากจนก็ยังเกลียดเขา มิตรของเขาจะยิ่งไกลจากเขาสักเท่าใด เขาพยายามพูด แต่ไม่มีใครยอมฟัง
สภษ 22.11 บุคคลที่รักใจบริสุทธิ์ เพราะเหตุริมฝีปากของเขามีกรุณาคุณ กษัตริย์จะได้เป็นมิตรของเขา
สภษ 22.24 อย่าเป็นมิตรกับคนที่มักโกรธ หรือไปกับคนขี้โมโห
สภษ 27.6 บาดแผลที่มิตรทำก็สุจริต แต่การจุบของศัตรูนั้นก็หลอกลวง
สภษ 27.10 อย่าทอดทิ้งมิตรของเจ้าเอง และมิตรของบิดาเจ้า และอย่าเข้าไปในเรือนพี่น้องของเจ้าในวันที่เจ้าประสบหายนะ เพราะเพื่อนบ้านสักคนที่อยู่ใกล้ดีกว่าพี่น้องคนหนึ่งที่อยู่ห่างไกล
อบด 1.7 พันธมิตรทั้งสิ้นของเจ้าได้ขับเจ้าไปถึงพรมแดน สหมิตรของเจ้าได้ล่อลวงเจ้า เขากลับสู้ชนะเจ้าเสียแล้ว มิตรที่กินข้าวหม้อเดียวกับเจ้าก็วางกับดักเจ้า เรื่องนี้ไม่มีใครเข้าใจอะไรเสียเลย
ยน 19.12 ตั้งแต่นั้นไปปีลาตก็หาโอกาสที่จะปล่อยพระองค์ แต่พวกยิวร้องอึงว่า “ถ้าท่านปล่อยชายคนนี้ ท่านก็ไม่ใช่มิตรของซีซาร์ ผู้ใดที่ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ก็พูดต่อสู้ซีซาร์”
ยก 4.4 ท่านทั้งหลายผู้ล่วงประเวณีชายหญิงเอ๋ย ท่านไม่รู้หรือว่า การเป็นมิตรกับโลกนั้นคือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า เหตุฉะนั้นผู้ใดใคร่เป็นมิตรกับโลก ผู้นั้นก็เป็นศัตรูของพระเจ้า

มิตรภาพ ( 1 )
ลนต 6.2 “ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดทำบาปและทำการละเมิดต่อพระเยโฮวาห์ ด้วยการมุสาต่อเพื่อนบ้านของเขาในสิ่งที่ฝากเขาให้เก็บรักษาไว้หรือในเรื่องมิตรภาพ หรือในสิ่งที่ใช้ความรุนแรงไปแย่งชิงมา หรือได้หลอกลวงเพื่อนบ้านของเขา

มิตรสหาย ( 29 )
อพย 32.27 โมเสสจึงกล่าวแก่เขาว่า “พระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสสั่งดังนี้ว่า ‘จงเอาดาบสะพายทุกคนแล้วจงไปมาตามประตูต่างๆทั่วค่าย ทุกๆคนจงฆ่าพี่น้องและมิตรสหายและเพื่อนบ้านของตัวเอง’”
อพย 33.11 ดังนี้แหละพระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสสองต่อสอง เหมือนมิตรสหายสนทนากัน แล้วโมเสสก็กลับไปยังค่าย แต่โยชูวาผู้รับใช้หนุ่ม ผู้เป็นบุตรชายของนูน มิได้ออกไปจากพลับพลา
พบญ 13.6 ถ้าพี่ชายน้องชายของท่านมารดาเดียวกันกับท่าน หรือบุตรชายบุตรสาวของท่าน หรือภรรยาที่อยู่ในอ้อมอกของท่าน หรือมิตรสหายร่วมใจของท่าน ชักชวนท่านอย่างลับๆว่า ‘ให้เราไปปรนนิบัติพระอื่นกันเถิด’ ซึ่งเป็นพระที่ท่านเองหรือบรรพบุรุษของท่านไม่รู้จัก
2ซมอ 3.8 ฝ่ายอับเนอร์ก็โกรธอิชโบเชทเพราะถ้อยคำนี้มาก จึงทูลว่า “ข้าพระองค์เป็นหัวสุนัขหรือ ซึ่งทุกวันนี้ข้าพระองค์ได้ต่อต้านยูดาห์โดยสำแดงความเมตตาต่อวงศ์วานของซาอูลเสด็จพ่อของพระองค์ และต่อพี่น้องและต่อมิตรสหายของเสด็จพ่อท่าน มิได้มอบพระองค์ไว้ในมือของดาวิด วันนี้พระองค์ยังหาความต่อข้าพระองค์ด้วยเรื่องผู้หญิงคนนี้
1พกษ 16.11 และอยู่มาเมื่อพระองค์ทรงเริ่มครองราชย์ ทันทีที่พระองค์เสด็จประทับบนราชบัลลังก์ พระองค์ทรงสังหารราชวงศ์ของบาอาชาเสียสิ้น พระองค์มิได้ทรงเหลือไว้สักคนหนึ่งที่ปัสสาวะรดกำแพงได้ ไม่ว่าจะเป็นญาติหรือมิตรสหายของบาอาชา
2พศด 20.7 พระองค์เป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลายมิใช่หรือ ผู้ทรงขับไล่ชาวแผ่นดินนี้ออกไปเสียให้พ้นหน้าอิสราเอลประชาชนของพระองค์ และทรงมอบไว้แก่เชื้อสายของอับราฮัมมิตรสหายของพระองค์เป็นนิตย์
โยบ 35.4 ข้าพเจ้าจะตอบท่านกับมิตรสหายของท่านด้วย
สดด 122.8 เพื่อเห็นแก่พี่น้องและมิตรสหาย บัดนี้ข้าพเจ้าจะพูดว่า “สันติภาพจงมีอยู่ภายในเธอ”
สภษ 17.17 มิตรสหายก็มีความรักอยู่ทุกเวลา และพี่น้องก็เกิดมาเพื่อช่วยกันยามทุกข์ยาก
ยรม 6.21 เพราะฉะนั้น พระเยโฮวาห์จึงตรัสดังนี้ว่า “ดูเถิด ต่อหน้าชนชาตินี้ เราจะวางเครื่องสะดุดไว้ให้เขาสะดุด ทั้งบิดาและบุตรชายด้วยกัน ทั้งเพื่อนบ้านและมิตรสหายจะพินาศ”
ยรม 20.4 เพราะพระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะกระทำเจ้าให้เป็นที่น่าหวาดเสียวต่อตัวเจ้าเอง และต่อมิตรสหายทั้งสิ้นของเจ้า เขาทั้งหลายจะล้มลงด้วยดาบของศัตรูของเขา ขณะที่ตาเจ้ามองดูอยู่ และเราจะมอบยูดาห์ทั้งสิ้นไว้ในมือของกษัตริย์บาบิโลน เขาจะกวาดเอาไปเป็นเชลยยังบาบิโลน และจะฆ่าเสียด้วยดาบ
ยรม 20.6 ส่วนตัวท่านนะ ปาชเฮอร์และบรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในเรือนของท่าน จะต้องไปเป็นเชลย ท่านจะต้องไปยังบาบิโลน และท่านจะตายและถูกฝังไว้ที่นั่น ทั้งท่านและมิตรสหายทั้งสิ้นของท่าน ผู้ซึ่งท่านได้พยากรณ์เท็จแก่เขา”
ยรม 20.10 เพราะข้าพระองค์ได้ยินเสียงซุบซิบเป็นอันมาก ความหวาดเสียวอยู่รอบทุกด้าน เขากล่าวว่า “ใส่ความเขา ให้เราใส่ความเขา” มิตรสหายที่คุ้นเคยทั้งสิ้นของข้าพระองค์เฝ้าดูความล่มจมของข้าพระองค์ กล่าวว่า “ชะรอยเขาจะถูกหลอกลวงแล้วเราจะชนะเขาได้ และจะทำการแก้แค้นเขา”
มธ 11.19 ฝ่ายบุตรมนุษย์มาทั้งกินและดื่ม เขาก็ว่า ‘ดูเถิด นี่เป็นคนกินเติบและดื่มน้ำองุ่นมาก เป็นมิตรสหายกับคนเก็บภาษีและคนบาป’ แต่พระปัญญาก็ปรากฏว่าชอบธรรมแล้วโดยผลแห่งพระปัญญานั้น”
ลก 7.34 ฝ่ายบุตรมนุษย์มาทั้งกินและดื่ม และท่านทั้งหลายว่า ‘ดูเถิด นี่เป็นคนกินเติบและดื่มน้ำองุ่นมาก เป็นมิตรสหายกับพวกคนเก็บภาษีและพวกคนบาป’
ลก 11.5 พระองค์ตรัสแก่เขาว่า “ผู้ใดในพวกท่านมีมิตรสหายคนหนึ่ง และจะไปหามิตรสหายนั้นในเวลาเที่ยงคืนพูดกับเขาว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ขอให้ฉันยืมขนมปังสามก้อนเถิด
ลก 11.7 ฝ่ายมิตรสหายที่อยู่ข้างในจะตอบว่า ‘อย่ารบกวนฉันเลย ประตูก็ปิดเสียแล้ว ทั้งพวกลูกก็นอนร่วมเตียงกับฉันแล้ว ฉันจะลุกขึ้นหยิบให้ท่านไม่ได้’
ลก 11.8 เราบอกท่านทั้งหลายว่า แม้เขาจะไม่ลุกขึ้นหยิบให้คนนั้นเพราะเป็นมิตรสหายกัน แต่ว่าเพราะวิงวอนมากเข้า เขาจึงจะลุกขึ้นหยิบให้ตามที่เขาต้องการ
ลก 12.4 มิตรสหายของเราเอ๋ย เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย และภายหลังไม่มีอะไรที่จะทำได้อีก
ลก 14.12 ฝ่ายพระองค์ตรัสกับคนที่เชิญพระองค์ว่า “เมื่อท่านจะทำการเลี้ยง จะเป็นกลางวันหรือเวลาเย็นก็ตาม อย่าเชิญเฉพาะเหล่ามิตรสหาย หรือพี่น้องหรือญาติหรือเพื่อนบ้านที่มั่งมี เกลือกว่าเขาจะเชิญท่านอีก และท่านจะได้รับการตอบแทน
ลก 15.6 เมื่อมาถึงบ้านแล้ว จึงเชิญพวกมิตรสหายและเพื่อนบ้านให้มาพร้อมกัน พูดกับเขาว่า ‘จงยินดีกับข้าพเจ้าเถิด เพราะข้าพเจ้าได้พบแกะของข้าพเจ้าที่หายไปนั้นแล้ว’
ลก 15.9 เมื่อพบแล้ว จึงเชิญเหล่ามิตรสหายและเพื่อนบ้านให้มาพร้อมกัน พูดว่า ‘จงยินดีกับข้าพเจ้าเถิด เพราะข้าพเจ้าได้พบเหรียญเงินที่หายไปนั้นแล้ว’
ลก 16.9 เราบอกท่านทั้งหลายว่า จงกระทำตัวให้มีมิตรสหายด้วยทรัพย์สมบัติอธรรม เพื่อเมื่อท่านพลาดไป เขาทั้งหลายจะได้ต้อนรับท่านไว้ในที่อาศัยอันถาวรเป็นนิตย์
ลก 21.16 แม้แต่บิดามารดาญาติพี่น้องและมิตรสหายจะทรยศท่าน และพวกเขาจะฆ่าบางคนในพวกท่านเสีย
ยน 15.13 ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน
ยน 15.14 ถ้าท่านทั้งหลายประพฤติตามที่เราสั่งท่าน ท่านก็จะเป็นมิตรสหายของเรา
ยน 15.15 เราไม่เรียกท่านทั้งหลายว่าทาสอีก เพราะทาสไม่ทราบว่านายของเขาทำอะไร แต่เราเรียกท่านว่ามิตรสหาย เพราะว่าทุกสิ่งที่เราได้ยินจากพระบิดาของเรา เราได้สำแดงแก่ท่านแล้ว
กจ 27.3 วันรุ่งขึ้นเราได้แวะที่เมืองไซดอน ฝ่ายยูเลียสมีใจเมตตาปรานีแก่เปาโล ยอมให้เปาโลไปหามิตรสหายทั้งหลายเพื่อจะได้บรรเทาใจ

มิทคาห์ ( 2 )
กดว 33.28 และเขายกเดินจากเทราห์ และตั้งค่ายที่มิทคาห์
กดว 33.29 และเขายกเดินจากมิทคาห์และตั้งค่ายที่ฮัชโมเนาห์

มิททีธิยาห์ ( 1 )
1พศด 16.5 อาสาฟเป็นหัวหน้า และรองท่านคือเศคาริยาห์ เยอีเอล เชมิราโมท เยฮีเอล มิททีธิยาห์ เอลีอับ เบไนยาห์ โอเบดเอโดม และเยอีเอล ผู้ซึ่งจะเล่นพิณใหญ่และพิณเขาคู่ อาสาฟเป็นคนตีฉาบ

มิทเรดาท ( 2 )
อสร 1.8 ไซรัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซียทรงนำสิ่งเหล่านี้ออกมาในความดูแลของมิทเรดาท สมุหพระคลัง ผู้นับออกให้แก่เชชบัสซาร์เจ้านายของยูดาห์
อสร 4.7 และในรัชสมัยของอารทาเซอร์ซีสนั้น บิชลาม มิทเรดาท และทาเบเอล และพวกภาคีทั้งปวงของเขาได้เขียนไปทูลอารทาเซอร์ซีสกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย ฎีกานั้นได้เขียนขึ้นเป็นอักขระอารัมแล้วก็แปลเป็นภาษาอารัม

มิทิเลนี ( 1 )
กจ 20.14 ครั้นท่านพบกับเราที่เมืองอัสโสส เราก็รับท่าน แล้วมายังเมืองมิทิเลนี

มินนิท ( 2 )
วนฉ 11.33 และท่านได้ประหารเขาจากอาโรเออร์จนถึงที่ใกล้ๆเมืองมินนิทรวมยี่สิบหัวเมือง และไกลไปจนถึงที่ราบแห่งสวนองุ่น ผู้คนล้มตายมาก คนอัมโมนจึงพ่ายแพ้ต่อหน้าคนอิสราเอล
อสค 27.17 ยูดาห์และแผ่นดินอิสราเอลก็ค้าขายกับเจ้า เขาเอาข้าวสาลีเมืองมินนิทและเมืองปานาง น้ำผึ้ง น้ำมัน พิมเสน มาแลกกับสินค้าของเจ้า

มินนี ( 1 )
ยรม 51.27 จงตั้งธงไว้บนแผ่นดิน จงเป่าแตรท่ามกลางประชาชาติทั้งหลาย จงเตรียมประชาชาติทั้งหลายไว้ทำสงครามกับเธอ จงเรียกราชอาณาจักรต่อไปนี้มาสู้กับเธอ อารารัต มินนี และอัชเคนัส จงตั้งจอมทัพไว้ต่อสู้เธอ จงทำม้าขึ้นเหมือนบุ้งคันระเกะระกะ

มินยามิน ( 2 )
2พศด 31.15 เอเดน มินยามิน เยชูอา เชไมอาห์ อามาริยาห์ เชคานิยาห์ได้ช่วยเขาในตำแหน่งหน้าที่ในหัวเมืองของปุโรหิต ให้แจกแก่พี่น้องของเขาทั้งหลาย ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยเหมือนกันตามกองเวร
นหม 12.41 กับปุโรหิตที่ถือแตรคือ เอลียาคิม มาอาเสอาห์ มินยามิน มีคายาห์ เอลีโอนัย เศคาริยาห์ กับฮานันยาห์

มินา ( 9 )
ลก 19.13 ท่านจึงเรียกผู้รับใช้ของท่านสิบคนมามอบเงินไว้แก่เขาสิบมินา สั่งเขาว่า ‘จงเอาไปค้าขายจนเราจะกลับมา’
ลก 19.16 ฝ่ายคนแรกมาบอกว่า ‘ท่านเจ้าข้า เงินมินาหนึ่งของท่านได้กำไรสิบมินา’
ลก 19.18 คนที่สองมาบอกว่า ‘ท่านเจ้าข้า เงินมินาหนึ่งของท่านได้กำไรห้ามินา’
ลก 19.20 อีกคนหนึ่งมาบอกว่า ‘ท่านเจ้าข้า ดูเถิด นี่เงินมินาหนึ่งของท่าน ซึ่งข้าพเจ้าได้เอาผ้าห่อเก็บไว้
ลก 19.24 แล้วท่านสั่งคนที่ยืนอยู่ที่นั่นว่า ‘จงเอาเงินมินาหนึ่งนั้นไปจากเขา ให้แก่คนที่มีสิบมินา’
ลก 19.25 (คนเหล่านั้นบอกท่านว่า ‘ท่านเจ้าข้า เขามีสิบมินาแล้ว’)

มิบซาร์ ( 2 )
ปฐก 36.42 เจ้านายเคนัส เจ้านายเทมาน เจ้านายมิบซาร์
1พศด 1.53 เจ้านายเคนัส เจ้านายเทมาน เจ้านายมิบซาร์

มิบสัม ( 4 )
ปฐก 25.13 ต่อไปนี้เป็นชื่อบรรดาบุตรชายของอิชมาเอล ตามชื่อ ตามพงศ์พันธุ์ คือเนบาโยธเป็นบุตรหัวปีของอิชมาเอล เคดาร์ อัดบีเอล มิบสัม
1พศด 1.29 ต่อไปนี้เป็นพงศ์พันธุ์ของเขา บุตรหัวปีของอิชมาเอล คือ เนบาโยธ และเคดาร์ อัดบีเอล มิบสัม
1พศด 4.25 บุตรชายของชาอูลคือชัลลูม บุตรชายของชัลลูมคือมิบสัม บุตรชายของมิบสัมคือมิชมา

มิบฮาร์ ( 1 )
1พศด 11.38 โยเอล น้องชายนาธัน มิบฮาร์ บุตรชายฮากรี

มิฟคาด ( 1 )
นหม 3.31 ถัดเขาไป มิลคิยาห์บุตรชายของช่างทองคนหนึ่งได้ซ่อมแซมไกลไปจนถึงเรือนของคนใช้ประจำพระวิหาร และของพ่อค้า ตรงข้ามกับประตูมิฟคาด จนถึงห้องชั้นบนที่มุม

มิยามิน ( 4 )
1พศด 24.9 ที่ห้าแก่มัลคิยาห์ ที่หกแก่มิยามิน
อสร 10.25 และจากพวกอิสราเอล คือจากคนปาโรช มี รามียาห์ อิสซียาห์ มัลคิยาห์ มิยามิน เอเลอาซาร์ มัลคิยาห์ และเบไนยาห์
นหม 10.7 เมชุลลาม อาบียาห์ มิยามิน
นหม 12.5 มิยามิน มาอาดียาห์ บิลกาห์

มิรมาห์ ( 1 )
1พศด 8.10 เยอูส สาเคีย และมิรมาห์ เหล่านี้เป็นบุตรชายของเขา เป็นหัวหน้าบรรพบุรุษของเขา

มิรา ( 1 )
กจ 27.5 เมื่อแล่นข้ามทะเลที่อยู่ตรงแคว้นซีลีเซียกับแคว้นปัมฟีเลีย ก็มาถึงเมืองมิราที่อยู่ในแคว้นลีเซีย

มิเรียม ( 16 )
อพย 15.20 ฝ่ายมิเรียมหญิงผู้พยากรณ์ พี่สาวของอาโรนก็ถือรำมะนา และหญิงทั้งปวงก็ถือรำมะนาเดินตาม พร้อมเต้นรำไปด้วย
อพย 15.21 มิเรียมจึงร้องนำว่า “จงร้องเพลงถวายพระเยโฮวาห์เถิด เพราะพระองค์ทรงได้ชัยชนะอย่างใหญ่หลวง พระองค์ทรงกวาดม้าและพลม้าให้ตกลงไปในทะเล”
กดว 12.1 มิเรียมและอาโรนได้พูดติโมเสส เหตุหญิงคนเอธิโอเปียที่ท่านได้แต่งงานด้วย เพราะโมเสสได้แต่งงานกับหญิงคนเอธิโอเปียคนหนึ่ง
กดว 12.4 ทันใดนั้นพระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสและอาโรนกับมิเรียมว่า “เจ้าทั้งสามจงออกมาที่พลับพลาแห่งชุมนุม” เขาทั้งสามก็ออกมา
กดว 12.5 พระเยโฮวาห์ก็เสด็จลงมาในเสาเมฆ ประทับยืนที่ประตูพลับพลาแห่งชุมนุม ทรงเรียกอาโรนและมิเรียม เขาทั้งสองก็มาข้างหน้า
กดว 12.10 เมื่อเมฆลอยพ้นพลับพลาไป ดูเถิด มิเรียมก็เป็นโรคเรื้อน ขาวดุจหิมะ อาโรนหันไปดูมิเรียมและดูเถิด นางเป็นโรคเรื้อน
กดว 12.12 ขออย่าให้มิเรียมเป็นเหมือนคนที่ตายแล้ว ดุจคนที่คลอดจากครรภ์มารดามีเนื้อกุดไปครึ่งหนึ่ง”
กดว 12.15 ดังนั้นมิเรียมจึงถูกกักอยู่นอกค่ายเจ็ดวัน และประชาชนก็มิได้ยกเดินไปจนกว่ามิเรียมกลับเข้ามาอีก
กดว 20.1 ชุมนุมชนทั้งหมดของคนอิสราเอลเข้ามาในถิ่นทุรกันดารศินในเดือนที่หนึ่ง ประชาชนพักอยู่ในคาเดช มิเรียมก็สิ้นชีวิตและฝังไว้ที่นั่น
กดว 26.59 ภรรยาของอัมรามคือโยเคเบดบุตรสาวของเลวีเกิดแก่เลวีที่อียิปต์ และนางคลอดบุตรให้อัมรามชื่อ อาโรนและโมเสส และมิเรียมพี่สาวของเขาทั้งสอง
พบญ 24.9 จงระลึกถึงเรื่องที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านกระทำแก่มิเรียมตามทาง เมื่อท่านทั้งหลายออกจากอียิปต์แล้ว
1พศด 4.17 บุตรชายของเอสราห์คือเยเธอร์ เมเรด เอเฟอร์ และยาโลน และนางก็คลอดบุตรชื่อมิเรียม ชัมมัย และอิชบาห์ ผู้เป็นบิดาของเอชเทโมอา
1พศด 6.3 บุตรของอัมรามคือ อาโรน โมเสส และนางมิเรียม บุตรชายอาโรนคือ นาดับ อาบีฮู เอเลอาซาร์ และอิธามาร์
มคา 6.4 ด้วยว่าเราได้นำเจ้าขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์ และไถ่เจ้ามาจากเรือนทาส และเราใช้ให้โมเสส อาโรน และมิเรียม นำหน้าเจ้าไป

มิลคาห์ ( 11 )
ปฐก 11.29 อับรามและนาโฮร์ต่างก็ได้ภรรยา ภรรยาของอับรามมีชื่อว่าซาราย และภรรยาของนาโฮร์มีชื่อว่ามิลคาห์ผู้เป็นบุตรีของฮาราน ผู้เป็นบิดาของมิลคาห์และบิดาของอิสคาห์
ปฐก 22.20 และต่อมาภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้ มีคนมาบอกอับราฮัมว่า “ดูเถิด มิลคาห์บังเกิดบุตรให้แก่นาโฮร์น้องชายของท่านด้วยแล้ว
ปฐก 22.23 เบธูเอลให้กำเนิดบุตรสาวชื่อเรเบคาห์ ทั้งแปดนี้มิลคาห์บังเกิดให้นาโฮร์ น้องชายของอับราฮัม
ปฐก 24.15 และต่อมาเมื่อเขาอธิษฐานยังไม่ทันเสร็จ ดูเถิด เรเบคาห์ ผู้ที่เกิดแก่เบธูเอลบุตรชายของนางมิลคาห์ภรรยาของนาโฮร์น้องชายของอับราฮัม ก็แบกไหน้ำของนางเดินออกมา
ปฐก 24.24 นางตอบเขาว่า “ข้าพเจ้าเป็นบุตรสาวของเบธูเอลบุตรชายของนางมิลคาห์ซึ่งนางบังเกิดให้กับนาโฮร์”
ปฐก 24.47 แล้วข้าพเจ้าถามนางว่า ‘นางเป็นบุตรสาวของใคร’ นางตอบว่า ‘เป็นบุตรสาวของเบธูเอลบุตรชายของนาโฮร์ ซึ่งนางมิลคาห์กำเนิดให้แก่เขา’ ข้าพเจ้าจึงใส่แหวนที่จมูกของนางแล้วสวมกำไลที่ข้อมือนาง
กดว 26.33 ส่วนเศโลเฟหัดบุตรชายเฮเฟอร์ไม่มีบุตรชายมีแต่บุตรสาว ชื่อบุตรสาวของเศโลเฟหัดคือ มาลาห์ โนอาห์ โฮกลาห์ มิลคาห์และทีรซาห์
กดว 27.1 ครั้งนั้นบุตรสาวทั้งหลายของเศโลเฟหัดบุตรชายของเฮเฟอร์ ผู้เป็นบุตรชายของกิเลอาด ผู้เป็นบุตรชายของมาคีร์ ผู้เป็นบุตรชายของมนัสเสห์ จากครอบครัวต่างๆของมนัสเสห์บุตรชายของโยเซฟเข้ามาใกล้ ชื่อบุตรสาวทั้งหลายของเขาคือ มาลาห์ โนอาห์ โฮกลาห์ มิลคาห์ และทีรซาห์
กดว 36.11 เพราะว่ามาลาห์ ทีรซาห์ โฮกลาห์ มิลคาห์ และโนอาห์ บุตรสาวของเศโลเฟหัด ได้แต่งงานกับบุตรชายทั้งหลายของพี่น้องแห่งบิดาของตน
ยชว 17.3 ฝ่ายเศโลเฟหัดบุตรชายของเฮเฟอร์ บุตรชายของกิเลอาด บุตรชายของมาคีร์ บุตรชายของมนัสเสห์ไม่มีบุตรผู้ชาย มีแต่บุตรสาว และต่อไปนี้เป็นชื่อบุตรสาวของเขาคือ มาลาห์ โนอาห์ ฮกลาห์ มิลคาห์ และทีรซาห์

มิลคิยาห์ ( 1 )
นหม 3.31 ถัดเขาไป มิลคิยาห์บุตรชายของช่างทองคนหนึ่งได้ซ่อมแซมไกลไปจนถึงเรือนของคนใช้ประจำพระวิหาร และของพ่อค้า ตรงข้ามกับประตูมิฟคาด จนถึงห้องชั้นบนที่มุม

มิลโคม ( 1 )
1พกษ 11.33 เพราะเขาทั้งหลายได้ทอดทิ้งเรา และได้นมัสการพระอัชโทเรท พระแม่เจ้าของชาวไซดอน เคโมชพระของโมอับ และมิลโคมพระของคนอัมโมน และมิได้ดำเนินในทางของเรา เพื่อจะกระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของเรา และรักษากฎเกณฑ์ของเรา และคำตัดสินของเรา อย่างกับดาวิดบิดาของเขาได้กระทำนั้น

มิลโล ( 10 )
วนฉ 9.6 ชาวเมืองเชเคมและชาววงศ์วานมิลโลทั้งสิ้นก็มาประชุมพร้อมกัน ตั้งอาบีเมเลคให้เป็นกษัตริย์ที่ข้างที่ราบแห่งเสาสำคัญที่อยู่ในเมืองเชเคม
วนฉ 9.20 แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น ก็ขอให้ไฟออกมาจากอาบีเมเลค เผาผลาญชาวเมืองเชเคมและวงศ์วานมิลโล และให้ไฟออกมาจากชาวเมืองเชเคมและจากวงศ์วานมิลโลเผาผลาญอาบีเมเลคเสีย”
2ซมอ 5.9 ดาวิดก็ทรงประทับอยู่ในที่กำบังเข้มแข็ง และเรียกที่นั้นว่า เมืองของดาวิด และดาวิดทรงสร้างเมืองรอบตั้งแต่มิลโลเข้าไปข้างใน
1พกษ 9.15 นี่เป็นเรื่องแรงงานเกณฑ์ ซึ่งกษัตริย์ซาโลมอนได้เกณฑ์เพื่อสร้างพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และพระราชวังของพระองค์ และป้อมมิลโล และกำแพงกรุงเยรูซาเล็ม และฮาโซร์ และเมกิดโด และเกเซอร์
1พกษ 9.24 แต่ธิดาของฟาโรห์ได้ขึ้นไปจากนครดาวิด ถึงพระตำหนักของพระนางเองซึ่งซาโลมอนได้สร้างให้พระนาง แล้วพระองค์จึงสร้างป้อมมิลโล
1พกษ 11.27 ต่อไปนี้เป็นสาเหตุที่ท่านยกมือขึ้นต่อสู้กษัตริย์ คือซาโลมอนทรงสร้างป้อมมิลโล และอุดช่องกำแพงนครของดาวิดราชบิดาของพระองค์
2พกษ 12.20 ข้าราชการของพระองค์ลุกขึ้นกระทำการทรยศและประหารโยอาชเสียในวังมิลโลตามทางที่ลงไปยังสิลลา
1พศด 11.8 และพระองค์ทรงสร้างเมืองรอบ ตั้งแต่มิลโลโดยรอบ และโยอาบก็ซ่อมส่วนที่เหลือของเมืองนั้น
2พศด 32.5 พระองค์ทรงประกอบกิจอย่างบึกบึน สร้างกำแพงที่ปรักหักพังนั้นทั่วไปใหม่ และสร้างหอคอยขึ้น และทรงสร้างกำแพงข้างนอกอีกชั้นหนึ่ง และพระองค์ทรงเสริมกำแพงป้อมมิลโลที่นครดาวิด ทรงสร้างหอกและโล่เป็นจำนวนมาก

มิลาลัย ( 1 )
นหม 12.36 กับญาติพี่น้องของเขาคือ เชไมอาห์ อาซาเรล มิลาลัย กิลาลัย มาอัย เนธันเอลและยูดาห์ ฮานานี พร้อมกับเครื่องดนตรีของดาวิดคนของพระเจ้า และเอสราธรรมาจารย์ได้เดินนำหน้าเขา

มิเลทัส ( 3 )
กจ 20.15 ครั้นแล่นเรือออกจากที่นั่นได้วันหนึ่งก็มายังที่ตรงข้ามเกาะคิโอส วันที่สองก็มาถึงเกาะสามอส และหยุดพักที่โตรกิเลียม และอีกวันหนึ่งก็มาถึงเมืองมิเลทัส
กจ 20.17 เปาโลจึงใช้คนจากเมืองมิเลทัสไปยังเมืองเอเฟซัส ให้เชิญพวกผู้ปกครองในคริสตจักรนั้นมา
2ทธ 4.20 เอรัสทัสยังค้างอยู่ที่เมืองโครินธ์ แต่เมื่อข้าพเจ้าจากโตรฟีมัสที่เมืองมิเลทัสนั้น เขายังป่วยอยู่

มิสกาบ ( 1 )
ยรม 48.1 เกี่ยวด้วยเรื่องโมอับ พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า “วิบัติแก่เนโบ เพราะเป็นที่ถูกทิ้งร้าง คีริยาธาอิมได้อาย มันถูกยึดแล้ว มิสกาบก็ได้อายและคร้ามกลัว

มิสซาห์ ( 3 )
ปฐก 36.13 ต่อไปนี้เป็นบุตรชายของเรอูเอล คือนาหาท เศ-ราห์ ชัมมาห์ และมิสซาห์ คนเหล่านี้เป็นบุตรชายของบาเสมัทภรรยาของเอซาว
ปฐก 36.17 ต่อไปนี้เป็นบุตรชายของเรอูเอลผู้เป็นบุตรชายของเอซาว คือเจ้านายนาหาท เจ้านายเศ-ราห์ เจ้านายชัมมาห์และเจ้านายมิสซาห์ คนเหล่านี้เป็นเจ้านายของเรอูเอลในแผ่นดินเอโดม พวกเขาเป็นลูกหลานของนางบาเสมัทภรรยาของเอซาว
1พศด 1.37 บุตรชายของเรอูเอล ชื่อ นาหาท เศ-ราห์ ชัมมาห์ และมิสซาห์

มิสปาร์ ( 1 )
อสร 2.2 เขาทั้งหลายมากับเศรุบบาเบลคือ เยชูอา เนหะมีย์ เสไรอาห์ เรเอไลยาห์ โมรเดคัย บิลชาน มิสปาร์ บิกวัย เรฮูม และบาอานาห์ จำนวนผู้ชายของประชาชนอิสราเอลคือ

มิสปาห์ ( 44 )
ปฐก 31.49 และมิสปาห์ เพราะเขากล่าวว่า “พระเยโฮวาห์ทรงเฝ้าอยู่ระหว่างเรากับเจ้า เมื่อเราจากกันไป
ยชว 11.3 และไปหาคนคานาอันทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก คนอาโมไรต์ คนฮิตไทต์ คนเปริสซี และคนเยบุสในแดนเทือกเขา และคนฮีไวต์อยู่เชิงเขาเฮอร์โมนในแผ่นดินมิสปาห์
ยชว 11.8 และพระเยโฮวาห์ทรงมอบเขาไว้ในมืออิสราเอล ผู้ประหารเขาและไล่ตามเขาไปจนถึงมหาซีโดนและถึงมิสเรโฟทมาอิม และถึงหุบเขามิสปาห์ด้านตะวันออก ได้ประหารเขาเสียจนไม่ให้เหลือสักคนเดียว
วนฉ 10.17 ฝ่ายคนอัมโมนก็ถูกเรียกให้มาพร้อมกัน เขาได้ตั้งค่ายในกิเลอาด และคนอิสราเอลก็มาพร้อมกันตั้งค่ายอยู่ที่มิสปาห์
วนฉ 11.11 เยฟธาห์จึงไปกับพวกผู้ใหญ่ของกิเลอาด และประชาชนก็ตั้งท่านให้เป็นหัวหน้าและเป็นประมุขของเขา แล้วเยฟธาห์ก็กล่าวคำที่ตกลงกันทั้งสิ้นต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ที่เมืองมิสปาห์
วนฉ 11.29 พระวิญญาณของพระเยโฮวาห์ก็มาสถิตกับเยฟธาห์ ท่านจึงยกผ่านกิเลอาดและมนัสเสห์และผ่านมิสปาห์แห่งกิเลอาด และจากมิสปาห์แห่งกิเลอาด ท่านยกผ่านต่อไปถึงที่คนอัมโมน
วนฉ 11.34 แล้วเยฟธาห์ก็กลับมาบ้านที่มิสปาห์ ดูเถิด บุตรสาวของท่านถือรำมะนาเต้นโลดออกมาต้อนรับท่าน เธอเป็นบุตรคนเดียว นอกจากบุตรสาวคนนี้ท่านไม่มีบุตรชายและบุตรสาวเลย
วนฉ 20.1 คนอิสราเอลทั้งหมดตั้งแต่ดานถึงเบเออร์เชบา ทั้งแผ่นดินกิเลอาดก็ออกมา ชุมนุมชนนั้นได้ประชุมกันเป็นใจเดียวกันต่อพระเยโฮวาห์ที่เมืองมิสปาห์
วนฉ 20.3 (ครั้งนั้นคนเบนยามินได้ยินว่าคนอิสราเอลได้ขึ้นไปยังมิสปาห์) ประชาชนอิสราเอลกล่าวว่า “ขอบอกเรามาว่า เรื่องชั่วร้ายนี้เกิดขึ้นมาอย่างไรกัน”
วนฉ 21.1 ฝ่ายคนอิสราเอลได้ปฏิญาณไว้ที่มิสปาห์ว่า “พวกเราไม่มีใครสักคนเดียวที่จะให้บุตรสาวของตนแต่งงานกับคนเบนยามิน”
วนฉ 21.5 และคนอิสราเอลกล่าวว่า “คนใดในบรรดาตระกูลของอิสราเอลที่มิได้ขึ้นมาประชุมต่อพระเยโฮวาห์” เพราะเขาได้ปฏิญาณไว้แข็งแรงถึงผู้ที่มิได้มาประชุมต่อพระเยโฮวาห์ที่มิสปาห์ว่า “ผู้นั้นจะต้องถูกโทษถึงตายเป็นแน่”
วนฉ 21.8 เขาทั้งหลายถามขึ้นว่า “มีตระกูลใดในอิสราเอลที่มิได้ขึ้นมาเฝ้าพระเยโฮวาห์ที่มิสปาห์” ดูเถิด ไม่มีคนใดจากยาเบชกิเลอาดมาประชุมที่ค่ายเลยสักคนเดียว
1ซมอ 7.5 แล้วซามูเอลกล่าวว่า “จงประชุมคนอิสราเอลทั้งสิ้นที่เมืองมิสปาห์และข้าพเจ้าจะอธิษฐานต่อพระเยโฮวาห์เพื่อท่าน”
1ซมอ 7.6 เขาทั้งหลายจึงประชุมกันที่มิสปาห์ และตักน้ำมาเทออกถวายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ และอดอาหารในวันนั้นและกล่าวที่นั่นว่า “เราทั้งหลายได้กระทำบาปต่อพระเยโฮวาห์” และซามูเอลก็วินิจฉัยคนอิสราเอลที่เมืองมิสปาห์
1ซมอ 7.7 เมื่อคนฟีลิสเตียได้ยินว่าคนอิสราเอลได้ประชุมกันที่เมืองมิสปาห์ เจ้านายแห่งฟีลิสเตียก็ยกขึ้นไปต่อสู้กับอิสราเอล และเมื่อคนอิสราเอลได้ยินเช่นนั้นเขาก็กลัวคนฟีลิสเตีย
1ซมอ 7.11 คนอิสราเอลก็ออกจากมิสปาห์ติดตามคนฟีลิสเตียและฆ่าฟันเขา จนไปถึงเมืองเบธคาร์
1ซมอ 7.12 แล้วซามูเอลก็เอาศิลาก้อนหนึ่งตั้งไว้ระหว่างมิสปาห์และเชน เรียกชื่อศิลานั้นว่า เอเบนเอเซอร์ เพราะท่านกล่าวว่า “พระเยโฮวาห์ทรงช่วยพวกเราจนบัดนี้”
1ซมอ 7.16 และท่านก็เที่ยวไปโดยรอบทุกปีเป็นประจำ ไปถึงเมืองเบธเอล กิลกาล และมิสปาห์ และท่านก็วินิจฉัยคนอิสราเอลในบรรดาเมืองเหล่านั้น
1ซมอ 10.17 ฝ่ายซามูเอลจึงเรียกประชาชนมาประชุมต่อพระเยโฮวาห์ที่มิสปาห์
1ซมอ 22.3 ดาวิดก็ออกจากที่นั่นไปยังเมืองมิสปาห์ในแผ่นดินโมอับ และท่านทูลกษัตริย์เมืองโมอับว่า “ขอโปรดให้บิดามารดาของข้าพเจ้ามาอยู่กับพระองค์เถิด จนกว่าข้าพเจ้าจะทราบว่าพระเจ้าจะทรงกระทำประการใดเพื่อข้าพเจ้า”
1พกษ 15.22 แล้วกษัตริย์อาสาทรงประกาศไปทั่วยูดาห์ไม่เว้นผู้ใดเลย เขาทั้งหลายก็มารื้อเอาหินของเมืองรามาห์ และตัวไม้ของเมืองนั้นซึ่งบาอาชาทรงสร้างค้างอยู่ กษัตริย์อาสาก็ทรงเอามาสร้างเมืองเกบาแห่งเบนยามินและเมืองมิสปาห์
2พกษ 25.23 เมื่อบรรดาผู้บังคับบัญชาพลรบ ทั้งตัวเขาทั้งหลายและคนของเขาได้ยินว่า กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้แต่งตั้งเกดาลิยาห์ให้เป็นเจ้าเมือง เขาก็มาหาเกดาลิยาห์ที่มิสปาห์ คืออิชมาเอลบุตรชายเนธานิยาห์ และโยฮานันบุตรชายคาเรอาห์ และเสไรอาห์บุตรชายทันหุเมทชาวเนโทฟาห์ และยาอาซันยาห์บุตรชายคนมาอาคาห์ ทั้งเขาทั้งหลายและคนของเขา
2พกษ 25.25 แต่อยู่มาในเดือนที่เจ็ดอิชมาเอลบุตรชายเนธานิยาห์บุตรชายเอลีชามาผู้เป็นเชื้อพระวงศ์ ได้เข้ามาพร้อมกับชายสิบคน ได้โจมตีและฆ่าเกดาลิยาห์และพวกยิวกับคนเคลเดียผู้อยู่กับท่านที่มิสปาห์เสีย
2พศด 16.6 แล้วกษัตริย์อาสาทรงนำยูดาห์ทั้งสิ้น และเขาทั้งหลายขนหินของเมืองรามาห์และเครื่องไม้ของเมืองนั้น ซึ่งบาอาชาใช้สร้างอยู่นั้น และเอามาสร้างเมืองเกบาและเมืองมิสปาห์
นหม 3.7 และถัดเขาไป คือ เมลาติยาห์ชาวกิเบโอน และยาโดนชาวเมโรโนท คนเมืองกิเบโอนและเมืองมิสปาห์ได้ซ่อมแซม ซึ่งอยู่ใต้ปกครองของเจ้าเมืองฟากแม่น้ำข้างนี้
นหม 3.15 ชัลลูนบุตรชายคลโฮเซห์ ผู้ปกครองส่วนหนึ่งของแขวงมิสปาห์ ได้ซ่อมแซมประตูน้ำพุ ได้สร้างประตู สร้างมุงและตั้งบานประตู ติดลูกสลักและดาลประตู ท่านได้สร้างกำแพงสระชิโลอาห์ตรงไปทางราชอุทยานไกลไปจนถึงบันไดซึ่งลงไปจากนครดาวิด
นหม 3.19 ถัดเขาไปคือ เอเซอร์บุตรชายเยชูอา ผู้ปกครองเมืองมิสปาห์ได้ซ่อมแซมอีกส่วนหนึ่งตรงข้ามกับทางขึ้นไปยังคลังอาวุธตรงที่มุมหักของกำแพง
ยรม 40.6 เยเรมีย์ก็ไปหาเกดาลิยาห์ บุตรชายอาหิคัมที่มิสปาห์ และอาศัยอยู่กับเขาท่ามกลางประชาชนซึ่งเหลืออยู่ในแผ่นดินนั้น
ยรม 40.8 เขาทั้งหลายก็ไปหาเกดาลิยาห์ที่มิสปาห์ มีอิชมาเอลบุตรชายเนธานิยาห์ โยฮานันและโยนาธานบุตรชายคาเรอาห์ เสไรอาห์บุตรชายทันหุเมท บรรดาบุตรชายของเอฟายชาวเนโทฟาห์ เยซันยาห์บุตรชายชาวมาอาคาห์ ทั้งตัวเขาและคนของเขา
ยรม 40.10 ส่วนตัวข้าพเจ้า ดูเถิด ข้าพเจ้าจะอาศัยอยู่ที่มิสปาห์ เพื่อจะปรนนิบัติคนเคลเดีย ผู้ซึ่งจะมาหาเรา แต่ฝ่ายท่านจงเก็บน้ำองุ่น ผลไม้ฤดูร้อน และน้ำมันและเก็บไว้ในภาชนะ และจงอยู่ในหัวเมืองซึ่งท่านยึดได้นั้น”
ยรม 40.12 แล้วพวกยิวทั้งปวงก็ได้กลับมาจากทุกที่ซึ่งเขาถูกขับไล่ให้ไปอยู่นั้น และมายังแผ่นดินยูดาห์มาหาเกดาลิยาห์ที่มิสปาห์ และเขาทั้งหลายได้เก็บน้ำองุ่นและผลไม้ในฤดูร้อนได้เป็นอันมาก
ยรม 40.13 ฝ่ายโยฮานันบุตรชายของคาเรอาห์และบรรดาประมุขของกองทหารที่ในทุ่งนาได้มาหาเกดาลิยาห์ที่มิสปาห์
ยรม 40.15 แล้วโยฮานันบุตรชายคาเรอาห์ได้พูดกับเกดาลิยาห์เป็นการลับที่มิสปาห์ว่า “จงให้ข้าพเจ้าไปฆ่าอิชมาเอลบุตรชายเนธานิยาห์เสีย และจะไม่มีใครทราบเรื่อง ทำไมจะให้เขาเอาชีวิตของท่าน แล้วพวกยิวทั้งหลายซึ่งมารวบรวมอยู่กับท่านจะกระจัดกระจายกันไป และคนยูดาห์ที่เหลืออยู่นี้ก็จะพินาศ”
ยรม 41.1 ต่อมาในเดือนที่เจ็ดอิชมาเอลบุตรชายเนธานิยาห์ ผู้เป็นบุตรชายเอลีชามาเชื้อพระวงศ์ พร้อมกับเจ้านายสิบคนของกษัตริย์ ได้มาหาเกดาลิยาห์บุตรชายอาหิคัมที่มิสปาห์ แล้วพวกเขารับประทานอาหารอยู่ด้วยกันที่มิสปาห์
ยรม 41.3 อิชมาเอลได้ฆ่าพวกยิวทั้งหลายที่อยู่กับเกดาลิยาห์ที่มิสปาห์ และคนเคลเดียซึ่งได้พบอยู่ที่นั่นพร้อมกับพวกทหารด้วย
ยรม 41.6 และอิชมาเอลบุตรชายเนธานิยาห์มาจากมิสปาห์พบเขาเหล่านั้นเข้า อิชมาเอลเดินมาพลางร้องไห้พลาง และต่อมาเมื่อเขาพบคนเหล่านั้นจึงพูดกับเขาทั้งหลายว่า “เชิญเข้ามาหาเกดาลิยาห์บุตรชายอาหิคัมเถิด”
ยรม 41.10 แล้วอิชมาเอลก็จับคนทั้งหมดที่เหลืออยู่ในมิสปาห์ไปเป็นเชลย คือพวกราชธิดาและประชาชนทั้งปวงที่เหลืออยู่ที่มิสปาห์ ผู้ที่เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ได้มอบหมายให้แก่เกดาลิยาห์บุตรชายอาหิคัม อิชมาเอลบุตรชายเนธานิยาห์ได้จับเขาเป็นเชลย และออกเดินข้ามฟากไปหาคนอัมโมน
ยรม 41.14 ประชาชนทั้งปวงซึ่งอิชมาเอลจับเป็นเชลยมาจากมิสปาห์จึงหันหลังและกลับไป เขาไปหาโยฮานันบุตรชายคาเรอาห์
ยรม 41.16 แล้วโยฮานันบุตรชายคาเรอาห์และบรรดาหัวหน้าของกองทหารซึ่งอยู่กับท่าน ได้นำประชาชนที่เหลืออยู่ทั้งหมด ซึ่งเอากลับคืนมาจากอิชมาเอลบุตรชายเนธานิยาห์ซึ่งมาจากมิสปาห์หลังจากที่ได้ฆ่าเกดาลิยาห์บุตรชายอาหิคัมแล้วนั้น คือทหาร ผู้หญิง เด็ก และขันที ผู้ซึ่งโยฮานันนำกลับมายังกิเบโอน
ฮชย 5.1 โอ ปุโรหิตทั้งหลาย จงฟังข้อนี้ วงศ์วานอิสราเอลเอ๋ย จงสดับ โอ ราชวงศ์กษัตริย์ จงเงี่ยหูฟัง เพราะเจ้าทั้งหลายจะต้องถูกพิพากษา เพราะเจ้าเป็นกับอยู่ที่เมืองมิสปาห์ และเป็นข่ายกางอยู่ที่เมืองทาโบร์

มิสเปเรท ( 1 )
นหม 7.7 เขาทั้งหลายที่กลับมากับเศรุบบาเบล เยชูอา เนหะมีย์ อาซาริยาห์ ราอามิยาห์ นาหะมานี โมรเดคัย บิลชาน มิสเปเรท บิกวัย เนฮูม บาอานาห์ จำนวนผู้ชายของประชาชนอิสราเอลคือ

มิสเปห์ ( 2 )
ยชว 15.38 ดิเลอัน มิสเปห์ โยกเธเอล
ยชว 18.26 มิสเปห์ เคฟีราห์ โมซาห์

มิสรายิม ( 4 )
ปฐก 10.6 บุตรชายทั้งหลายของฮามชื่อคูช มิสรายิม พูต และคานาอัน
ปฐก 10.13 มิสรายิมให้กำเนิดบุตรชื่อลูดิม อานามิม เลหะบิม นัฟทูฮิม
1พศด 1.8 บุตรชายทั้งหลายของฮาม ชื่อ คูช มิสรายิม พูต และคานาอัน
1พศด 1.11 มิสรายิมให้กำเนิดบุตรชื่อลูดิม อานามิม เลหะบิม นัฟทูฮิม

มิสเรโฟทมาอิม ( 2 )
ยชว 11.8 และพระเยโฮวาห์ทรงมอบเขาไว้ในมืออิสราเอล ผู้ประหารเขาและไล่ตามเขาไปจนถึงมหาซีโดนและถึงมิสเรโฟทมาอิม และถึงหุบเขามิสปาห์ด้านตะวันออก ได้ประหารเขาเสียจนไม่ให้เหลือสักคนเดียว
ยชว 13.6 ชาวแดนเทือกเขาทั้งหมดจากเลบานอนจนถึงมิสเรโฟทมาอิม และคนไซดอนทั้งหมด เราจะขับไล่เขาทั้งหลายออกไปให้พ้นหน้าคนอิสราเอลเอง เพียงแต่เจ้าจงจับสลากแบ่งดินแดนเหล่านั้นให้เป็นมรดกแก่อิสราเอล ดังที่เราบัญชาเจ้าไว้

มิให้ ( 98 )
ปฐก 23.6 “นายเจ้าข้า โปรดฟังพวกเรา ท่านเป็นเจ้านายจากพระเจ้าท่ามกลางเรา ขอให้ฝังผู้ตายของท่านในอุโมงค์ฝังศพที่ดีที่สุดของเราเถิด ไม่มีผู้ใดในพวกเราที่จะหวงสุสานของเขาไว้ไม่ให้ท่าน หรือขัดขวางท่านมิให้ฝังผู้ตายของท่าน”
อพย 8.22 ในวันนั้นเราจะแยกแผ่นดินโกเชน ที่พลไพร่ของเราอาศัยอยู่นั้นออก มิให้มีฝูงเหลือบที่นั่น เพื่อเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือพระเยโฮวาห์ สถิตอยู่ท่ามกลางแผ่นดินโลก
อพย 28.28 ให้ผูกทับทรวงนั้นติดกับเอโฟดด้วย ใช้ด้ายถักสีฟ้าร้อยผูกที่ห่วง ให้ทับทรวงทับรัดประคดที่ทำด้วยฝีมือประณีตของเอโฟด เพื่อมิให้ทับทรวงหลุดไปจากเอโฟด
อพย 28.32 ให้ทำช่องคอกลางผืนเสื้อ แล้วขลิบรอบคอด้วยผ้าทอ เช่นเดียวกับคอเสื้อทหาร เพื่อจะมิให้ขาด
อพย 39.21 และเขาทั้งหลายผูกทับทรวงนั้นติดกับเอโฟดด้วย ใช้ด้ายถักสีฟ้าร้อยผูกที่ห่วง ให้ทับทรวงทับรัดประคดซึ่งทอด้วยฝีมือประณีตของเอโฟด เพื่อมิให้ทับทรวงหลุดไปจากเอโฟด ตามที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาแก่โมเสส
อพย 39.23 และช่องกลางผืนเสื้อนั้น เขาทำเป็นคอเสื้อเช่นเดียวกับคอเสื้อทหารและมีขลิบรอบคอเพื่อมิให้ขาด
ลนต 4.2 “จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดกระทำผิดสิ่งใดซึ่งพระเยโฮวาห์ได้ทรงบัญชามิให้กระทำ โดยเขามิได้เจตนากระทำสิ่งเหล่านั้นประการหนึ่งประการใด
ลนต 4.13 ถ้าชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมดกระทำผิดโดยไม่รู้ตัวและความผิดนั้นยังไม่ปรากฏแจ้งแก่ที่ประชุม และเขาได้กระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งพระเยโฮวาห์บัญชามิให้กระทำ เขาก็มีความผิด
ลนต 4.22 ถ้าผู้ครอบครองกระทำความบาป กระทำสิ่งซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขาทรงบัญชามิให้กระทำโดยไม่รู้ตัว เขาก็มีความผิด
ลนต 4.27 ถ้าพลไพร่สามัญคนหนึ่งคนใดกระทำความผิดโดยมิได้เจตนาคือกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงบัญชามิให้เขากระทำ เขาก็มีความผิด
ลนต 5.17 ถ้าผู้ใดกระทำผิด คือกระทำสิ่งที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชามิให้กระทำ ถึงแม้ว่าเขากระทำโดยไม่รู้เท่าถึงการณ์ เขาก็มีความผิดจะต้องรับโทษความชั่วช้าของเขา
ลนต 21.5 ห้ามมิให้เขาทั้งหลายโกนศีรษะ หรือกันริมเครา หรือเชือดเนื้อตัวเอง
กดว 1.53 แต่ให้คนเลวีตั้งเต็นท์รอบพลับพลาพระโอวาท เพื่อมิให้พระพิโรธเกิดเหนือชุมนุมชนอิสราเอล ให้ตระกูลเลวีปฏิบัติงานพลับพลาพระโอวาท”
กดว 5.3 เจ้าจงสั่งทั้งผู้ชายและผู้หญิงให้ไปนอกค่าย เพื่อมิให้เขากระทำให้ค่ายของเขาซึ่งเราสถิตอยู่ท่ามกลางนั้นเป็นมลทิน”
กดว 9.7 เขาเหล่านั้นกล่าวแก่ท่านว่า “เรามีมลทินเพราะได้ถูกต้องศพ ทำไมจึงห้ามมิให้เราถวายเครื่องบูชาของพระเยโฮวาห์ตามวันกำหนดท่ามกลางคนอิสราเอล”
กดว 22.13 รุ่งเช้าบาลาอัมก็ลุกขึ้นกล่าวแก่เจ้านายของบาลาคว่า “จงกลับไปแผ่นดินของท่านเถิด เพราะพระเยโฮวาห์ทรงปฏิเสธมิให้เราไปกับท่าน”
กดว 24.11 ฉะนั้นบัดนี้ จงหนีไปยังที่อยู่ของท่านเถิด เราได้กล่าวว่า เราจะให้เกียรติแก่ท่านแน่แท้ แต่ดูเถิด พระเยโฮวาห์ทรงขัดขวางมิให้ท่านได้รับเกียรติ”
กดว 35.12 ให้เมืองเหล่านั้นเป็นเมืองลี้ภัยจากผู้ที่อาฆาต เพื่อมิให้คนฆ่าคนจะต้องตายก่อนที่เขาจะยืนต่อหน้าชุมนุมชนเพื่อรับการพิพากษา
พบญ 22.30 ห้ามมิให้ผู้ชายคนใดเอาภรรยาของบิดามาเป็นภรรยาของตน และห้ามมิให้เปิดผ้าของนางผู้เป็นของบิดา”
นรธ 2.9 ตาของเจ้าจงมองดูตามนาที่เขากำลังเก็บเกี่ยวกันอยู่ แล้วก็จงติดตามเขาไป ฉันได้สั่งพวกหนุ่มๆมิให้รบกวนเจ้าแล้วมิใช่หรือ เมื่อเจ้ากระหายน้ำก็เชิญไปที่หม้อน้ำ ดื่มน้ำซึ่งคนหนุ่มๆตักไว้”
1ซมอ 3.19 และซามูเอลก็เติบโตขึ้น และพระเยโฮวาห์ทรงสถิตกับท่าน มิให้วาจาของท่านตกไปเปล่าแต่สักคำเดียว
1ซมอ 20.2 และโยนาธานจึงตอบเธอว่า “ขอพระเจ้าอย่ายอมให้เป็นเช่นนั้นเลย เธอไม่ต้องตายดอก ดูเถิด เสด็จพ่อจะมิได้ทรงกระทำการใหญ่น้อยสิ่งใดโดยมิให้ฉันรู้ ทำไมเสด็จพ่อจะปิดบังเรื่องนี้จากฉันเล่า คงไม่เป็นเช่นนั้นแน่”
1ซมอ 26.19 เพราะฉะนั้นบัดนี้ขอกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ทรงฟังเสียงผู้รับใช้ของพระองค์ ถ้าพระเยโฮวาห์ทรงปลุกปั่นพระองค์ให้ต่อสู้ข้าพระองค์ ขอพระเยโฮวาห์ให้ได้รับเครื่องถวาย แต่ถ้าเป็นบุตรทั้งหลายของมนุษย์ยุก็ขอให้คนนั้นเป็นที่สาปแช่งต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ เพราะเขาได้ขับไล่ข้าพระองค์ออกไปในวันนี้มิให้ได้ส่วนมรดกของพระเยโฮวาห์ โดยกล่าวว่า ‘จงไปปรนนิบัติพระอื่น’
2ซมอ 21.5 เขากราบทูลกษัตริย์ว่า “ชายผู้ที่เผาผลาญพวกข้าพระองค์ และวางแผนการทำลายพวกข้าพระองค์เพื่อมิให้พวกข้าพระองค์มีที่อยู่ในเขตแดนอิสราเอล
1พกษ 15.17 บาอาชากษัตริย์แห่งอิสราเอลได้ทรงยกไปต่อสู้กับยูดาห์ และได้สร้างเมืองรามาห์ เพื่อมิให้ผู้ใดเข้าไปเฝ้าหรือออกมาจากอาสากษัตริย์แห่งยูดาห์
2พกษ 17.15 เขาทอดทิ้งกฎเกณฑ์ของพระองค์ และพันธสัญญาของพระองค์ซึ่งได้ทรงกระทำไว้กับบรรพบุรุษของเขา และพระโอวาทซึ่งพระองค์ได้ทรงประทานแก่เขา เขาทั้งหลายติดตามสิ่งที่ไร้สาระและกลายเป็นผู้ที่ไร้สาระไป และเขาติดตามประชาชาติที่อยู่รอบๆเขา ซึ่งพระเยโฮวาห์ได้ทรงบัญชาเขามิให้เขากระทำตาม
2พกษ 23.33 และฟาโรห์เนโคก็จับพระองค์ขังไว้ที่ริบลาห์ในแผ่นดินฮามัท เพื่อมิให้พระองค์ครอบครองในเยรูซาเล็ม และกำหนดบรรณาการจากแผ่นดินนั้นเป็นเงินหนึ่งร้อยตะลันต์ และทองคำหนึ่งตะลันต์
1พศด 4.10 ยาเบสทูลพระเจ้าของอิสราเอลว่า “โอ ขอพระองค์ทรงอวยพระพรแก่ข้าพระองค์ และขยายเขตแดนของข้าพระองค์ และขอพระหัตถ์ของพระองค์อยู่กับข้าพระองค์ และขอพระองค์ทรงรักษาข้าพระองค์ให้พ้นจากเหตุร้าย เพื่อมิให้ข้าพระองค์เจ็บใจปวดกาย” และพระเจ้าทรงประสาทตามที่เขาทูลขอ
2พศด 7.13 ถ้าเราปิดฟ้าสวรรค์มิให้ฝนตก หรือเราบัญชาให้ตั๊กแตนมากินแผ่นดิน หรือส่งโรคระบาดมาท่ามกลางประชาชนของเรา
2พศด 22.11 แต่พระนางเยโฮชาเบอาทธิดาของกษัตริย์ได้นำโยอาชโอรสของอาหัสยาห์ลักพาไปเสียจากท่ามกลางบรรดาโอรสของกษัตริย์ ผู้ซึ่งจะต้องถูกประหาร และพระนางก็เก็บเธอและพี่เลี้ยงของเธอไว้ในห้องบรรทม ดังนั้นแหละเยโฮชาเบอาทธิดาของกษัตริย์เยโฮรัม และภรรยาของเยโฮยาดาปุโรหิต (เพราะว่าพระนางเป็นพระขนิษฐาของอาหัสยาห์) ได้ซ่อนเธอให้พ้นพระนางอาธาลิยาห์ เพื่อมิให้พระนางประหารเธอได้
2พศด 23.19 ท่านได้ตั้งผู้เฝ้าประตูไว้ที่ประตูรั้วพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ เพื่อมิให้ผู้มีมลทินด้วยประการหนึ่งประการใดเข้าไป
อสร 2.63 ผู้ว่าราชการเมืองสั่งเขามิให้รับประทานอาหารบริสุทธิ์ที่สุด จนกว่าจะมีปุโรหิตที่จะปรึกษากับอูรีมและทูมมีมเสียก่อน
อสร 4.5 และได้จ้างที่ปรึกษาไว้ขัดขวางเขาเพื่อมิให้เขาสมหวังตามจุดประสงค์ของเขา ตลอดรัชสมัยของไซรัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย แม้ถึงรัชกาลของดาริอัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย
นหม 7.65 ผู้ว่าราชการเมืองสั่งเขามิให้รับอาหารบริสุทธิ์ที่สุด จนกว่าจะมีปุโรหิตที่จะปรึกษากับอูรีมและทูมมีมเสียก่อน
โยบ 22.7 ท่านมิได้ให้น้ำแก่คนอิดโรยดื่ม และท่านหน่วงเหนี่ยวขนมปังไว้มิให้คนที่หิว
โยบ 28.11 เขากันตาน้ำไว้ เพื่อมิให้มีน้ำย้อย และสิ่งที่ปิดบังไว้ เขานำมาให้แจ้ง
สดด 104.5 ผู้ทรงวางรากฐานของแผ่นดินโลก เพื่อมิให้มันหวั่นไหวเป็นนิตย์
สดด 104.9 พระองค์ทรงวางขอบเขตมิให้มันข้าม เพื่อมิให้มันคลุมแผ่นดินโลกอีก
อสย 8.11 เพราะว่าพระเยโฮวาห์ตรัสดังต่อไปนี้กับข้าพเจ้าพร้อมด้วยพระหัตถ์อันเข้มแข็ง และทรงสั่งสอนข้าพเจ้ามิให้ดำเนินในทางของชนชาตินี้ พระองค์ตรัสว่า
อสย 45.1 พระเยโฮวาห์ตรัสกับผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้คือไซรัส ผู้ซึ่งเราได้จับมือขวาไว้ เพื่อปราบหลายประชาชาติให้อยู่ข้างหน้าท่าน และให้ปลดรัดประคดจากบั้นเอวของบรรดากษัตริย์ ให้เปิดประตูทั้งสองที่อยู่ข้างหน้าท่านและมิให้ประตูเมืองปิด ดังนี้ว่า
อสย 55.2 ทำไมเจ้าจึงใช้เงินของเจ้าเพื่อของซึ่งไม่ใช่อาหาร และใช้ผลแรงงานซื้อสิ่งซึ่งมิให้อิ่มใจ จงเอาใจใส่ฟังเรา และรับประทานของดี และให้จิตใจปีติยินดีในไขมัน
ยรม 5.22 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “เจ้าไม่ยำเกรงเราหรือ เจ้าไม่ตัวสั่นอยู่ต่อหน้าเราหรือ คือเราผู้วางกองทรายไว้เป็นเขตล้อมทะเล เป็นเครื่องกีดขวางเป็นนิตย์มิให้ผ่านไปได้ แม้ว่าคลื่นจะซัด ก็เอาชนะไม่ได้ แม้คลื่นจะคะนอง ก็ข้ามไปไม่ได้
ยรม 36.25 แม้ว่าเมื่อเอลนาธันและเดลายาห์และเกมาริยาห์ ได้ทูลวิงวอนกษัตริย์มิให้พระองค์ทรงเผาหนังสือม้วน พระองค์หาทรงฟังไม่
ยรม 38.26 ท่านจงบอกเขาทั้งหลายว่า ‘ข้าพเจ้าได้ทูลขอต่อพระพักตร์กษัตริย์มิให้พระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ากลับไปที่เรือนของโยนาธานเพื่อให้ตายเสียที่นั่น’”
อสค 13.22 เพราะเจ้าได้กระทำให้คนชอบธรรมท้อใจด้วยการมุสา ทั้งที่เราไม่ได้กระทำให้เขาเศร้าใจเลย และเจ้าได้ทำให้มือของคนชั่วแข็งแรงขึ้น เพื่อมิให้เขาหันกลับจากทางชั่วของเขา โดยสัญญาว่าเขาจะได้ชีวิตรอด
อสค 24.8 เราได้วางโลหิตที่เธอทำให้ตกนั้นไว้บนก้อนหิน เพื่อมิให้ปิดโลหิตนั้นไว้ เพื่อเร้าความพิโรธ และทำการแก้แค้น
อสค 34.10 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราเป็นปฏิปักษ์กับผู้เลี้ยงแกะ และเราจะเรียกร้องเอาแกะของเราจากมือของเขา และให้เขายับยั้งการเลี้ยงแกะของเขา ผู้เลี้ยงแกะจะไม่ได้เลี้ยงตัวเองอีกต่อไป เราจะช่วยแกะของเราให้พ้นจากปากของเขา เพื่อมิให้แกะเป็นอาหารของเขา
ฮชย 2.6 เพราะเหตุนี้ ดูเถิด เราจะเอาหนามให้สะทางของนางไว้ เราจะสร้างกำแพงกั้นนางไว้เพื่อมิให้นางหาทางของนางพบ
ศคย 9.8 และเราจะตั้งค่ายรอบนิเวศของเราเป็นกองยาม เพื่อจะมิให้ผู้ใดเดินทัพไปมาได้ จะไม่มีผู้บีบบังคับผ่านพวกเขาไปอีก เพราะบัดนี้เราเห็นกับตาของเราเอง
มธ 2.12 และพวกนักปราชญ์ได้ยินคำเตือนจากพระเจ้าในความฝัน มิให้กลับไปเฝ้าเฮโรด เขาจึงกลับไปยังบ้านเมืองของตนทางอื่น
มธ 12.16 แล้วพระองค์ทรงกำชับห้ามเขามิให้แพร่งพรายว่าพระองค์คือผู้ใด
มธ 16.20 แล้วพระองค์ทรงกำชับห้ามเหล่าสาวกของพระองค์ มิให้บอกผู้ใดว่า พระองค์ทรงเป็นพระเยซูพระคริสต์ผู้นั้น
มธ 17.27 แต่เพื่อมิให้เราทั้งหลายทำให้เขาสะดุด ท่านจงไปตกเบ็ดที่ทะเล เมื่อได้ปลาตัวแรกขึ้นมาก็ให้เปิดปากมัน แล้วจะพบเงินแผ่นหนึ่ง จงเอาเงินนั้นไปจ่ายให้แก่เขาสำหรับเรากับท่านเถิด”
มก 1.34 พระองค์จึงทรงรักษาคนเป็นโรคต่างๆให้หายหลายคน และได้ทรงขับผีออกเสียหลายผี แต่ผีเหล่านั้นพระองค์ทรงห้ามมิให้พูด เพราะว่ามันรู้จักพระองค์
มก 3.9 พระองค์จึงตรัสสั่งพวกสาวกของพระองค์ให้เอาเรือเล็กมาคอยรับพระองค์ เพื่อมิให้ประชาชนเบียดเสียดพระองค์
มก 3.12 ฝ่ายพระองค์จึงทรงกำชับห้ามมันมิให้แพร่งพรายว่าพระองค์คือผู้ใด
มก 5.10 มันจึงอ้อนวอนพระองค์เป็นอันมากมิให้ขับไล่มันออกจากแดนเมืองนั้น
มก 6.8 และตรัสกำชับเขาไม่ให้เอาอะไรไปใช้ตามทางเว้นแต่ไม้เท้าสิ่งเดียว ห้ามมิให้เอาอาหาร หรือย่าม หรือหาสตางค์ใส่ไถ้ไป
มก 7.24 พระองค์จึงทรงลุกขึ้นจากที่นั่นไปยังเขตแดนเมืองไทระและเมืองไซดอน แล้วเข้าไปในเรือนแห่งหนึ่งประสงค์จะมิให้ผู้ใดรู้ แต่พระองค์จะซ่อนอยู่มิได้
มก 7.36 พระองค์ทรงห้ามปรามคนทั้งหลายมิให้แจ้งความนี้แก่ผู้ใดเลย แต่พระองค์ยิ่งทรงห้ามปรามพวกเขา เขาก็ยิ่งเล่าลือไปมาก
มก 11.16 และทรงห้ามมิให้ผู้ใดขนสิ่งใดๆเดินลัดพระวิหาร
ลก 4.41 ผีก็ออกมาจากคนหลายคนด้วย ร้องว่า “ท่านเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า” ฝ่ายพระองค์ก็ทรงห้ามมิให้มันพูด เพราะว่ามันรู้แล้วว่าพระองค์เป็นพระคริสต์
ลก 8.31 ผีนั้นจึงอ้อนวอนขอพระองค์มิให้สั่งให้มันลงไปยังนรกขุมลึก
ลก 9.21 พระองค์จึงกำชับสั่งเขามิให้บอกความนี้แก่ผู้ใด
ลก 16.28 เพราะว่าข้าพเจ้ามีพี่น้องห้าคน ให้ลาซารัสเป็นพยานแก่เขา เพื่อมิให้เขามาถึงที่ทรมานนี้’
ลก 18.5 แต่เพราะแม่ม่ายคนนี้มากวนเราให้ลำบาก เราจะแก้แค้นให้เขา เพื่อมิให้นางมารบกวนบ่อยๆให้เรารำคาญใจ’”
ลก 22.40 เมื่อมาถึงที่นั่นแล้ว พระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “จงอธิษฐานเพื่อมิให้เข้าในการทดลอง”
ลก 23.2 และเขาเริ่มฟ้องพระองค์ว่า “เราได้พบคนนี้ยุยงชนชาติของเราและห้ามมิให้ส่งส่วยแก่ซีซาร์ และว่าตัวเองเป็นพระคริสต์กษัตริย์องค์หนึ่ง”
ยน 6.39 และพระประสงค์ของพระบิดาผู้ทรงใช้เรามานั้น ก็คือให้เรารักษาบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงมอบไว้กับเรา มิให้หายไปสักคนเดียว แต่ให้ฟื้นขึ้นมาในวันที่สุด
ยน 7.23 ถ้าในวันสะบาโตคนยังเข้าสุหนัต เพื่อมิให้ละเมิดพระราชบัญญัติของโมเสสแล้ว ท่านทั้งหลายจะโกรธเรา เพราะเราทำให้ชายผู้หนึ่งหายโรคเป็นปกติในวันสะบาโตหรือ
กจ 1.4 เมื่อพระองค์ได้ทรงชุมนุมกันกับอัครสาวก จึงกำชับเขามิให้ออกไปจากกรุงเยรูซาเล็ม แต่ให้คอยรับตามพระสัญญาของพระบิดา คือพระองค์ตรัสว่า “ตามที่ท่านทั้งหลายได้ยินจากเรานั่นแหละ
กจ 5.28 ว่า “เราได้กำชับพวกเจ้าอย่างแข็งแรงมิให้สอนออกชื่อนี้ ก็ดูเถิด เจ้าได้ให้คำสอนของเจ้าแพร่ไปทั่วกรุงเยรูซาเล็ม และปรารถนาให้ความผิดเนื่องด้วยโลหิตของผู้นั้นตกอยู่กับเรา”
กจ 10.47 “ใครอาจจะห้ามคนเหล่านี้ที่ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เหมือนเรา โดยมิให้เขารับบัพติศมาด้วยน้ำได้”
กจ 13.34 ส่วนข้อที่พระเจ้าได้ทรงให้พระองค์คืนพระชนม์ มิให้กลับเปื่อยเน่าอีกเลย พระองค์จึงตรัสอย่างนี้ว่า ‘เราจะให้ความเมตตาอันแน่นอนของเราซึ่งได้สัญญาไว้กับดาวิดให้แก่ท่าน’
กจ 14.18 ถึงแม้ว่าได้กล่าวสิ่งนี้แล้วก็ดี อัครสาวกก็ยังห้ามประชาชนมิให้เขากระทำสักการบูชาถวายแก่ท่านทั้งสองนั้นได้โดยยาก
กจ 16.6 ครั้นท่านเหล่านั้นไปทั่วแว่นแคว้นฟรีเจียกับกาลาเทียแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ห้ามมิให้กล่าวพระวจนะในแคว้นเอเชีย
กจ 19.31 มีบางคนในพวกเจ้านายที่ประจำแคว้นเอเชียซึ่งเป็นสหายของเปาโล ได้ใช้คนไปวิงวอนขอเปาโลมิให้เข้าไปในโรงมหรสพ
กจ 21.4 เมื่อไปหาพวกสาวกพบแล้ว เราจึงพักอยู่ที่นั่นเจ็ดวัน สาวกได้เตือนเปาโลโดยพระวิญญาณ มิให้ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
กจ 21.12 ครั้นเราได้ยินดังนั้น เรากับคนทั้งหลายที่อยู่ที่นั่น จึงอ้อนวอนเปาโลมิให้ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
กจ 21.25 แต่ฝ่ายคนต่างชาติที่เชื่อนั้น เราได้เขียนจดหมายตัดสินมิให้เขาถือเช่นนั้น แต่ให้เขาทั้งหลายงดไม่รับประทานของซึ่งบูชาแก่รูปเคารพ ไม่รับประทานเลือด ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ที่รัดคอตาย และไม่ล่วงประเวณี”
กจ 24.4 แต่เพื่อมิให้ท่านป่วยการมากไป ข้าพเจ้าขอความกรุณาโปรดฟังข้าพเจ้าสักหน่อยหนึ่ง
กจ 27.43 แต่นายร้อยปรารถนาจะให้เปาโลรอดตาย จึงห้ามพวกทหารมิให้ทำตามความคิดนั้น แล้วสั่งคนทั้งหลายที่ว่ายน้ำเป็นให้กระโดดน้ำว่ายไปหาฝั่งก่อน
1คร 1.29 เพื่อมิให้เนื้อหนังใดๆอวดต่อพระพักตร์พระองค์ได้
1คร 4.6 พี่น้องทั้งหลาย สิ่งเหล่านั้นที่ข้าพเจ้าได้นำมากล่าวเปรียบเทียบถึงตัวข้าพเจ้าและอปอลโล ก็เพื่อประโยชน์ของท่านทั้งหลาย เพื่อให้ท่านทั้งหลายเรียนแบบของเรา มิให้ยกย่องคนหนึ่งคนใดเกินกว่าที่เขียนบอกไว้แล้ว มิให้ยกคนหนึ่งคนใดข่มผู้อื่น
1คร 7.5 อย่าปฏิเสธการอยู่ร่วมกันเว้นแต่ได้ตกลงกันเป็นการชั่วคราว เพื่ออุทิศตัวในการถืออดอาหารและการอธิษฐาน แล้วจึงค่อยมาอยู่ร่วมกันอีก เพื่อมิให้ซาตานชักจูงให้ทำผิด เพราะตัวอดไม่ได้
1คร 11.32 แต่เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำโทษเรานั้น พระองค์ทรงตีสอนเรา เพื่อมิให้เราถูกพิพากษาลงโทษด้วยกันกับโลก
2คร 1.9 ที่จริงเราคาดว่าเราถึงที่ตายแล้ว แต่ที่เป็นเช่นนี้ก็เพื่อมิให้เราไว้ใจในตนเอง แต่ให้ไว้ใจในพระเจ้าผู้ทรงโปรดให้คนทั้งปวงฟื้นจากความตาย
2คร 6.3 เรามิได้ให้ผู้ใดมีเหตุสะดุดในสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เพื่อมิให้การที่เรารับใช้ปฏิบัตินั้นเป็นที่เขาจะติเตียนได้
2คร 9.3 แต่ข้าพเจ้าได้ให้พี่น้องเหล่านั้นไป เพื่อมิให้การอวดของเราเรื่องท่านในข้อนั้นเป็นการเปล่าประโยชน์ และเพื่อให้ท่านจัดเตรียมไว้ให้พร้อมตามที่ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้วนั้น
อฟ 2.9 ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้
คส 2.4 ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้เพื่อมิให้ผู้ใดล่อลวงท่านด้วยคำชักชวนอันน่าฟัง
1ทธ 5.14 เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าปรารถนาให้พวกแม่ม่ายสาวๆนั้นมีสามี มีบุตร และดูแลบ้านเรือน เพื่อมิให้ศัตรูมีช่องทางนินทาได้
ฮบ 4.11 เหตุฉะนั้นให้เราทั้งหลายอุตส่าห์เข้าในที่สงบสุขนั้น เพื่อมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดตกหลงไปในการไม่เชื่อเช่นเขาเหล่านั้นซึ่งเป็นตัวอย่าง
ฮบ 11.28 โดยความเชื่อ ท่านได้ถือเทศกาลปัสกาและพิธีประพรมเลือด เพื่อมิให้องค์เพชฌฆาตผู้ประหารบุตรหัวปีมาถูกต้องพวกอิสราเอลได้
ยด 1.24 บัดนี้แด่พระองค์ผู้ทรงสามารถคุ้มครองรักษาท่านมิให้ล้มลง และทรงนำท่านให้ตั้งอยู่จำเพาะสง่าราศีของพระองค์โดยปราศจากตำหนิ และมีความร่าเริงยินดีอย่างเหลือล้น

มี ( 7496 )
ปฐก 1.3; ปฐก 1.5; ปฐก 1.6; ปฐก 1.8; ปฐก 1.11; ปฐก 1.12; ปฐก 1.13; ปฐก 1.14; ปฐก 1.19; ปฐก 1.20; ปฐก 1.21; ปฐก 1.22; ปฐก 1.23; ปฐก 1.24; ปฐก 1.28; ปฐก 1.29; ปฐก 1.30; ปฐก 1.31; ปฐก 2.5; ปฐก 2.6; ปฐก 2.7; ปฐก 2.9; ปฐก 2.10; ปฐก 2.11; ปฐก 2.12; ปฐก 2.16; ปฐก 2.19; ปฐก 2.25; ปฐก 3.18; ปฐก 3.20; ปฐก 3.22; ปฐก 4.19; ปฐก 4.21; ปฐก 4.22; ปฐก 4.25; ปฐก 5.3; ปฐก 5.4; ปฐก 5.5; ปฐก 5.7; ปฐก 5.10; ปฐก 5.13; ปฐก 5.16; ปฐก 5.19; ปฐก 5.26; ปฐก 5.30; ปฐก 5.32; ปฐก 6.4; ปฐก 6.5; ปฐก 6.17; ปฐก 6.19; ปฐก 7.6; ปฐก 7.11; ปฐก 7.14; ปฐก 7.15; ปฐก 7.22; ปฐก 8.1; ปฐก 8.17; ปฐก 8.21; ปฐก 8.22; ปฐก 9.1; ปฐก 9.3; ปฐก 9.7; ปฐก 9.10; ปฐก 9.11; ปฐก 9.12; ปฐก 9.14; ปฐก 9.15; ปฐก 9.16; ปฐก 9.28; ปฐก 10.9; ปฐก 11.1; ปฐก 11.3; ปฐก 11.6; ปฐก 11.10; ปฐก 11.11; ปฐก 11.12; ปฐก 11.13; ปฐก 11.14; ปฐก 11.15; ปฐก 11.16; ปฐก 11.17; ปฐก 11.18; ปฐก 11.19; ปฐก 11.20; ปฐก 11.21; ปฐก 11.22; ปฐก 11.23; ปฐก 11.24; ปฐก 11.25; ปฐก 11.26; ปฐก 11.29; ปฐก 11.30; ปฐก 12.2; ปฐก 12.4; ปฐก 12.13; ปฐก 12.20; ปฐก 13.1; ปฐก 13.5; ปฐก 13.6; ปฐก 13.7; ปฐก 13.8; ปฐก 13.10; ปฐก 14.10; ปฐก 14.13; ปฐก 15.2; ปฐก 16.1; ปฐก 16.2; ปฐก 16.10; ปฐก 16.11; ปฐก 17.3; ปฐก 17.5; ปฐก 17.6; ปฐก 17.12; ปฐก 17.17; ปฐก 17.18; ปฐก 17.20; ปฐก 17.22; ปฐก 17.24; ปฐก 17.25; ปฐก 18.2; ปฐก 18.10; ปฐก 18.11; ปฐก 18.12; ปฐก 18.14; ปฐก 18.18; ปฐก 18.24; ปฐก 18.27; ปฐก 18.31; ปฐก 18.33; ปฐก 19.8; ปฐก 19.12; ปฐก 19.16; ปฐก 19.19; ปฐก 19.31; ปฐก 20.7; ปฐก 20.11; ปฐก 20.17; ปฐก 21.4; ปฐก 21.5; ปฐก 22.13; ปฐก 22.20; ปฐก 23.1; ปฐก 23.6; ปฐก 23.15; ปฐก 23.17; ปฐก 24.1; ปฐก 24.2; ปฐก 24.16; ปฐก 24.23; ปฐก 24.25; ปฐก 24.29; ปฐก 24.63; ปฐก 25.6; ปฐก 25.8; ปฐก 25.20; ปฐก 25.23; ปฐก 25.24; ปฐก 25.25; ปฐก 25.26; ปฐก 26.7; ปฐก 26.13; ปฐก 26.14; ปฐก 26.16; ปฐก 26.33; ปฐก 26.34; ปฐก 26.35; ปฐก 27.11; ปฐก 27.23; ปฐก 27.36; ปฐก 27.38; ปฐก 27.39; ปฐก 27.40; ปฐก 28.3; ปฐก 28.9; ปฐก 28.12; ปฐก 29.2; ปฐก 29.16; ปฐก 29.20; ปฐก 29.26; ปฐก 29.35; ปฐก 30.1; ปฐก 30.2; ปฐก 30.3; ปฐก 30.13; ปฐก 30.30; ปฐก 30.32; ปฐก 30.33; ปฐก 30.35; ปฐก 30.39; ปฐก 30.40; ปฐก 30.43; ปฐก 31.8; ปฐก 31.12; ปฐก 31.14; ปฐก 31.22; ปฐก 31.27; ปฐก 31.29; ปฐก 31.35; ปฐก 31.50; ปฐก 32.5; ปฐก 32.6; ปฐก 32.7; ปฐก 32.10; ปฐก 32.13; ปฐก 32.24; ปฐก 32.30; ปฐก 33.8; ปฐก 33.9; ปฐก 33.11; ปฐก 33.13; ปฐก 33.15; ปฐก 34.19; ปฐก 34.30; ปฐก 35.3; ปฐก 35.4; ปฐก 35.5; ปฐก 35.10; ปฐก 35.22; ปฐก 35.28; ปฐก 36.7; ปฐก 36.31; ปฐก 36.39; ปฐก 37.8; ปฐก 37.24; ปฐก 37.25; ปฐก 37.26; ปฐก 38.13; ปฐก 38.21; ปฐก 38.22; ปฐก 38.24; ปฐก 38.25; ปฐก 38.27; ปฐก 38.30; ปฐก 39.5; ปฐก 39.8; ปฐก 39.9; ปฐก 39.11; ปฐก 40.5; ปฐก 40.6; ปฐก 40.8; ปฐก 40.10; ปฐก 40.14; ปฐก 40.16; ปฐก 40.17; ปฐก 41.2; ปฐก 41.3; ปฐก 41.5; ปฐก 41.6; ปฐก 41.8; ปฐก 41.11; ปฐก 41.12; ปฐก 41.15; ปฐก 41.18; ปฐก 41.19; ปฐก 41.21; ปฐก 41.22; ปฐก 41.24; ปฐก 41.25; ปฐก 41.29; ปฐก 41.33; ปฐก 41.38; ปฐก 41.39; ปฐก 41.43; ปฐก 41.44; ปฐก 41.48; ปฐก 41.50; ปฐก 41.52; ปฐก 41.54; ปฐก 42.1; ปฐก 42.2; ปฐก 42.21; ปฐก 42.32; ปฐก 42.36; ปฐก 43.6; ปฐก 43.7; ปฐก 43.8; ปฐก 43.11; ปฐก 43.23; ปฐก 43.27; ปฐก 43.28; ปฐก 43.33; ปฐก 44.10; ปฐก 44.19; ปฐก 44.20; ปฐก 44.29; ปฐก 44.31; ปฐก 45.1; ปฐก 45.3; ปฐก 45.6; ปฐก 45.11; ปฐก 45.13; ปฐก 45.26; ปฐก 45.28; ปฐก 46.15; ปฐก 46.22; ปฐก 46.26; ปฐก 46.27; ปฐก 46.30; ปฐก 46.32; ปฐก 47.4; ปฐก 47.6; ปฐก 47.9; ปฐก 47.12; ปฐก 47.18; ปฐก 47.19; ปฐก 47.27; ปฐก 47.28; ปฐก 48.1; ปฐก 48.2; ปฐก 48.4; ปฐก 49.14; ปฐก 49.19; ปฐก 49.22; ปฐก 49.24; ปฐก 49.26; ปฐก 50.9; อพย 1.7; อพย 1.8; อพย 1.9; อพย 1.19; อพย 1.20; อพย 1.21; อพย 2.1; อพย 2.2; อพย 2.4; อพย 2.8; อพย 2.12; อพย 2.13; อพย 2.16; อพย 2.19; อพย 3.2; อพย 3.8; อพย 3.17; อพย 4.14; อพย 4.18; อพย 5.5; อพย 5.6; อพย 5.13; อพย 5.19; อพย 6.16; อพย 6.18; อพย 6.20; อพย 7.7; อพย 7.16; อพย 7.19; อพย 7.21; อพย 8.7; อพย 8.10; อพย 8.15; อพย 8.19; อพย 8.22; อพย 8.32; อพย 9.14; อพย 9.16; อพย 9.18; อพย 9.19; อพย 9.23; อพย 9.24; อพย 9.26; อพย 9.28; อพย 9.29; อพย 10.9; อพย 10.14; อพย 10.15; อพย 10.19; อพย 10.21; อพย 10.22; อพย 10.23; อพย 10.25; อพย 11.6; อพย 11.7; อพย 12.4; อพย 12.10; อพย 12.13; อพย 12.15; อพย 12.16; อพย 12.19; อพย 12.20; อพย 12.30; อพย 12.38; อพย 12.48; อพย 13.3; อพย 13.5; อพย 13.6; อพย 13.7; อพย 13.18; อพย 13.21; อพย 14.5; อพย 14.7; อพย 14.8; อพย 14.9; อพย 14.10; อพย 14.11; อพย 14.20; อพย 15.27; อพย 16.8; อพย 16.13; อพย 16.18; อพย 16.26; อพย 16.27; อพย 16.31; อพย 16.32; อพย 17.1; อพย 18.9; อพย 18.16; อพย 19.12; อพย 19.16; อพย 19.18; อพย 20.3; อพย 20.4; อพย 20.7; อพย 20.11; อพย 21.3; อพย 21.8; อพย 21.11; อพย 21.16; อพย 21.18; อพย 21.21; อพย 21.22; อพย 21.28; อพย 21.29; อพย 21.33; อพย 22.3; อพย 22.9; อพย 22.10; อพย 22.13; อพย 22.16; อพย 22.27; อพย 23.18; อพย 23.26; อพย 24.12; อพย 24.14; อพย 25.32; อพย 25.33; อพย 25.34; อพย 25.35; อพย 26.1; อพย 26.17; อพย 26.19; อพย 26.25; อพย 26.31; อพย 27.9; อพย 27.10; อพย 27.11; อพย 27.12; อพย 27.14; อพย 27.15; อพย 27.16; อพย 27.17; อพย 27.18; อพย 28.3; อพย 28.11; อพย 28.13; อพย 28.21; อพย 28.25; อพย 28.29; อพย 30.13; อพย 31.3; อพย 31.6; อพย 32.17; อพย 32.18; อพย 32.24; อพย 33.3; อพย 33.4; อพย 33.20; อพย 33.21; อพย 34.7; อพย 34.10; อพย 34.24; อพย 34.25; อพย 35.5; อพย 35.21; อพย 35.22; อพย 35.23; อพย 35.24; อพย 35.26; อพย 35.29; อพย 35.31; อพย 35.33; อพย 35.34; อพย 35.35; อพย 36.7; อพย 36.8; อพย 36.22; อพย 36.24; อพย 36.26; อพย 36.30; อพย 36.35; อพย 37.16; อพย 37.18; อพย 37.19; อพย 37.20; อพย 37.21; อพย 38.9; อพย 38.10; อพย 38.11; อพย 38.12; อพย 38.14; อพย 38.15; อพย 38.17; อพย 38.19; อพย 38.21; อพย 38.24; อพย 39.6; อพย 39.14; อพย 39.23; อพย 40.34; อพย 40.38; ลนต 1.3; ลนต 1.10; ลนต 2.11; ลนต 3.1; ลนต 3.6; ลนต 4.3; ลนต 4.13; ลนต 4.22; ลนต 4.23; ลนต 4.27; ลนต 4.28; ลนต 4.32; ลนต 5.2; ลนต 5.3; ลนต 5.4; ลนต 5.17; ลนต 6.4; ลนต 6.6; ลนต 6.27; ลนต 7.7; ลนต 7.20; ลนต 9.2; ลนต 9.3; ลนต 11.2; ลนต 11.3; ลนต 11.7; ลนต 11.9; ลนต 11.10; ลนต 11.12; ลนต 11.20; ลนต 11.21; ลนต 11.23; ลนต 11.26; ลนต 11.34; ลนต 11.42; ลนต 11.47; ลนต 12.2; ลนต 12.5; ลนต 13.10; ลนต 13.14; ลนต 13.18; ลนต 13.19; ลนต 13.29; ลนต 13.31; ลนต 13.32; ลนต 13.37; ลนต 13.38; ลนต 13.40; ลนต 13.41; ลนต 13.42; ลนต 13.47; ลนต 13.49; ลนต 14.4; ลนต 14.7; ลนต 14.46; ลนต 14.51; ลนต 14.52; ลนต 14.53; ลนต 15.2; ลนต 15.3; ลนต 15.4; ลนต 15.6; ลนต 15.7; ลนต 15.8; ลนต 15.9; ลนต 15.11; ลนต 15.12; ลนต 15.13; ลนต 15.16; ลนต 15.18; ลนต 15.19; ลนต 15.25; ลนต 15.26; ลนต 15.32; ลนต 15.33; ลนต 16.12; ลนต 16.17; ลนต 16.21; ลนต 17.4; ลนต 18.5; ลนต 18.18; ลนต 19.6; ลนต 19.23; ลนต 19.26; ลนต 19.28; ลนต 20.2; ลนต 20.9; ลนต 20.10; ลนต 20.12; ลนต 20.14; ลนต 20.15; ลนต 20.16; ลนต 20.18; ลนต 20.20; ลนต 20.21; ลนต 20.24; ลนต 20.27; ลนต 21.3; ลนต 21.4; ลนต 21.7; ลนต 21.13; ลนต 21.14; ลนต 21.17; ลนต 21.18; ลนต 21.19; ลนต 21.20; ลนต 21.21; ลนต 21.23; ลนต 22.3; ลนต 22.4; ลนต 22.13; ลนต 22.16; ลนต 22.20; ลนต 22.21; ลนต 22.22; ลนต 22.23; ลนต 22.24; ลนต 22.25; ลนต 23.2; ลนต 23.7; ลนต 23.12; ลนต 23.21; ลนต 23.35; ลนต 23.39; ลนต 23.40; ลนต 24.10; ลนต 24.22; ลนต 25.21; ลนต 25.24; ลนต 25.25; ลนต 25.26; ลนต 25.29; ลนต 25.30; ลนต 25.31; ลนต 25.44; ลนต 25.48; ลนต 25.49; ลนต 25.51; ลนต 26.6; ลนต 26.9; ลนต 26.17; ลนต 26.20; ลนต 26.36; ลนต 26.37; ลนต 26.42; ลนต 26.43; ลนต 26.44; ลนต 26.45; ลนต 27.8; ลนต 27.28; กดว 1.4; กดว 1.10; กดว 1.18; กดว 1.20; กดว 1.22; กดว 1.24; กดว 1.26; กดว 1.28; กดว 1.30; กดว 1.32; กดว 1.34; กดว 1.36; กดว 1.38; กดว 1.40; กดว 1.42; กดว 1.45; กดว 2.4; กดว 2.6; กดว 2.8; กดว 2.11; กดว 2.13; กดว 2.15; กดว 2.19; กดว 2.21; กดว 2.23; กดว 2.26; กดว 2.28; กดว 2.30; กดว 2.32; กดว 3.2; กดว 3.4; กดว 3.15; กดว 3.21; กดว 3.22; กดว 3.24; กดว 3.25; กดว 3.27; กดว 3.28; กดว 3.30; กดว 3.31; กดว 3.32; กดว 3.33; กดว 3.34; กดว 3.38; กดว 3.39; กดว 3.40; กดว 3.43; กดว 3.47; กดว 4.3; กดว 4.14; กดว 4.19; กดว 4.23; กดว 4.30; กดว 4.35; กดว 4.39; กดว 4.43; กดว 4.47; กดว 5.2; กดว 5.6; กดว 5.8; กดว 5.13; กดว 5.15; กดว 5.19; กดว 5.28; กดว 5.29; กดว 6.7; กดว 6.9; กดว 6.12; กดว 6.13; กดว 6.26; กดว 7.3; กดว 7.13; กดว 7.14; กดว 7.19; กดว 7.20; กดว 7.25; กดว 7.26; กดว 7.31; กดว 7.32; กดว 7.37; กดว 7.38; กดว 7.43; กดว 7.44; กดว 7.49; กดว 7.50; กดว 7.55; กดว 7.56; กดว 7.61; กดว 7.62; กดว 7.67; กดว 7.68; กดว 7.73; กดว 7.74; กดว 7.79; กดว 7.80; กดว 7.84; กดว 7.86; กดว 7.87; กดว 7.88; กดว 8.19; กดว 8.24; กดว 9.6; กดว 9.7; กดว 9.10; กดว 9.14; กดว 9.15; กดว 9.16; กดว 10.10; กดว 10.14; กดว 10.22; กดว 10.25; กดว 11.1; กดว 11.6; กดว 11.17; กดว 11.25; กดว 11.26; กดว 11.27; กดว 11.31; กดว 12.6; กดว 12.12; กดว 13.11; กดว 13.18; กดว 13.20; กดว 13.23; กดว 13.27; กดว 13.28; กดว 13.30; กดว 13.31; กดว 14.8; กดว 14.18; กดว 14.21; กดว 14.24; กดว 14.28; กดว 14.30; กดว 14.34; กดว 14.38; กดว 15.3; กดว 15.9; กดว 15.10; กดว 15.15; กดว 15.16; กดว 15.29; กดว 16.2; กดว 16.13; กดว 16.14; กดว 16.17; กดว 16.49; กดว 17.3; กดว 17.8; กดว 18.9; กดว 18.20; กดว 18.23; กดว 18.24; กดว 18.32; กดว 19.2; กดว 19.5; กดว 19.13; กดว 19.15; กดว 20.2; กดว 20.5; กดว 21.5; กดว 21.8; กดว 21.9; กดว 21.14; กดว 21.17; กดว 21.28; กดว 21.35; กดว 22.3; กดว 22.15; กดว 22.16; กดว 22.20; กดว 22.22; กดว 22.24; กดว 22.26; กดว 22.29; กดว 23.17; กดว 23.21; กดว 23.23; กดว 24.4; กดว 24.7; กดว 24.16; กดว 24.23; กดว 25.6; กดว 25.9; กดว 25.11; กดว 25.13; กดว 26.7; กดว 26.14; กดว 26.18; กดว 26.22; กดว 26.25; กดว 26.27; กดว 26.33; กดว 26.34; กดว 26.37; กดว 26.43; กดว 26.47; กดว 26.50; กดว 26.51; กดว 26.62; กดว 26.64; กดว 26.65; กดว 27.3; กดว 27.4; กดว 27.8; กดว 27.9; กดว 27.10; กดว 27.11; กดว 27.17; กดว 27.18; กดว 28.3; กดว 28.9; กดว 28.11; กดว 28.18; กดว 28.19; กดว 28.25; กดว 28.26; กดว 29.1; กดว 29.2; กดว 29.7; กดว 29.8; กดว 29.12; กดว 29.13; กดว 29.17; กดว 29.20; กดว 29.23; กดว 29.26; กดว 29.29; กดว 29.32; กดว 29.35; กดว 29.36; กดว 30.6; กดว 31.6; กดว 31.8; กดว 31.35; กดว 31.36; กดว 31.37; กดว 31.38; กดว 31.39; กดว 31.40; กดว 31.49; กดว 31.50; กดว 31.52; กดว 32.1; กดว 32.4; กดว 32.17; กดว 32.22; กดว 32.27; กดว 32.29; กดว 32.36; กดว 33.9; กดว 33.14; กดว 33.39; กดว 34.22; กดว 34.23; กดว 34.24; กดว 34.25; กดว 34.26; กดว 34.27; กดว 34.28; กดว 35.4; กดว 35.7; กดว 35.27; กดว 35.30; กดว 35.31; กดว 35.33; กดว 36.9; พบญ 1.10; พบญ 1.13; พบญ 1.15; พบญ 1.28; พบญ 1.35; พบญ 1.43; พบญ 2.25; พบญ 2.34; พบญ 2.36; พบญ 3.3; พบญ 3.4; พบญ 3.5; พบญ 3.17; พบญ 3.19; พบญ 3.24; พบญ 4.1; พบญ 4.4; พบญ 4.6; พบญ 4.7; พบญ 4.8; พบญ 4.10; พบญ 4.11; พบญ 4.12; พบญ 4.17; พบญ 4.25; พบญ 4.30; พบญ 4.32; พบญ 4.33; พบญ 4.34; พบญ 4.35; พบญ 4.38; พบญ 4.39; พบญ 5.7; พบญ 5.8; พบญ 5.11; พบญ 5.16; พบญ 5.23; พบญ 5.26; พบญ 5.29; พบญ 5.33; พบญ 6.3; พบญ 6.10; พบญ 6.11; พบญ 6.18; พบญ 6.20; พบญ 7.1; พบญ 7.2; พบญ 7.7; พบญ 7.14; พบญ 7.16; พบญ 7.24; พบญ 8.1; พบญ 8.3; พบญ 8.7; พบญ 8.8; พบญ 8.13; พบญ 8.15; พบญ 8.17; พบญ 9.1; พบญ 9.10; พบญ 9.14; พบญ 9.15; พบญ 9.19; พบญ 10.3; พบญ 10.7; พบญ 10.9; พบญ 10.19; พบญ 10.22; พบญ 11.9; พบญ 11.11; พบญ 11.23; พบญ 11.25; พบญ 12.1; พบญ 12.12; พบญ 13.1; พบญ 13.5; พบญ 13.13; พบญ 13.14; พบญ 14.4; พบญ 14.7; พบญ 14.8; พบญ 14.9; พบญ 14.10; พบญ 14.19; พบญ 14.20; พบญ 14.27; พบญ 14.29; พบญ 15.1; พบญ 15.3; พบญ 15.4; พบญ 15.7; พบญ 15.9; พบญ 15.10; พบญ 15.14; พบญ 15.18; พบญ 15.21; พบญ 16.3; พบญ 16.15; พบญ 16.20; พบญ 17.1; พบญ 17.2; พบญ 17.4; พบญ 17.6; พบญ 17.16; พบญ 17.17; พบญ 18.1; พบญ 18.2; พบญ 18.10; พบญ 18.20; พบญ 19.3; พบญ 19.6; พบญ 19.15; พบญ 19.16; พบญ 20.8; พบญ 21.4; พบญ 21.15; พบญ 21.18; พบญ 21.22; พบญ 22.6; พบญ 22.7; พบญ 22.8; พบญ 22.22; พบญ 22.23; พบญ 22.25; พบญ 22.26; พบญ 22.27; พบญ 22.28; พบญ 23.12; พบญ 23.13; พบญ 23.15; พบญ 23.21; พบญ 23.22; พบญ 24.1; พบญ 24.4; พบญ 24.5; พบญ 24.7; พบญ 24.13; พบญ 24.15; พบญ 25.5; พบญ 25.13; พบญ 25.14; พบญ 25.15; พบญ 26.5; พบญ 26.9; พบญ 26.15; พบญ 27.3; พบญ 28.20; พบญ 28.26; พบญ 28.29; พบญ 28.31; พบญ 28.40; พบญ 28.44; พบญ 28.47; พบญ 28.50; พบญ 28.55; พบญ 28.62; พบญ 28.65; พบญ 28.66; พบญ 28.67; พบญ 28.68; พบญ 29.18; พบญ 29.23; พบญ 30.4; พบญ 30.6; พบญ 30.16; พบญ 30.18; พบญ 30.19; พบญ 30.20; พบญ 31.2; พบญ 31.20; พบญ 31.21; พบญ 31.27; พบญ 32.10; พบญ 32.12; พบญ 32.15; พบญ 32.20; พบญ 32.22; พบญ 32.25; พบญ 32.28; พบญ 32.36; พบญ 32.39; พบญ 32.47; พบญ 33.2; พบญ 33.6; พบญ 33.21; พบญ 33.24; พบญ 33.26; พบญ 33.28; พบญ 34.6; พบญ 34.7; พบญ 34.9; พบญ 34.10; พบญ 34.11; ยชว 1.5; ยชว 1.8; ยชว 2.2; ยชว 2.4; ยชว 2.11; ยชว 2.12; ยชว 2.14; ยชว 2.19; ยชว 2.24; ยชว 4.6; ยชว 4.13; ยชว 4.21; ยชว 5.1; ยชว 5.6; ยชว 5.12; ยชว 5.13; ยชว 6.1; ยชว 6.8; ยชว 6.22; ยชว 7.3; ยชว 7.4; ยชว 7.7; ยชว 7.13; ยชว 7.15; ยชว 7.22; ยชว 7.24; ยชว 8.11; ยชว 8.14; ยชว 8.17; ยชว 8.22; ยชว 8.31; ยชว 8.34; ยชว 8.35; ยชว 9.5; ยชว 9.20; ยชว 9.21; ยชว 10.8; ยชว 10.14; ยชว 10.17; ยชว 10.20; ยชว 10.21; ยชว 10.23; ยชว 10.28; ยชว 11.4; ยชว 11.11; ยชว 11.19; ยชว 11.20; ยชว 11.22; ยชว 13.1; ยชว 13.3; ยชว 13.27; ยชว 13.30; ยชว 14.4; ยชว 14.7; ยชว 14.10; ยชว 14.11; ยชว 14.12; ยชว 14.15; ยชว 15.15; ยชว 15.33; ยชว 17.3; ยชว 17.5; ยชว 17.10; ยชว 17.11; ยชว 17.14; ยชว 17.15; ยชว 17.16; ยชว 17.17; ยชว 17.18; ยชว 18.2; ยชว 18.7; ยชว 18.20; ยชว 19.2; ยชว 19.29; ยชว 19.35; ยชว 20.5; ยชว 21.17; ยชว 21.23; ยชว 21.25; ยชว 21.26; ยชว 21.28; ยชว 21.30; ยชว 21.33; ยชว 21.34; ยชว 21.36; ยชว 21.38; ยชว 21.40; ยชว 21.41; ยชว 21.42; ยชว 21.44; ยชว 22.7; ยชว 22.8; ยชว 22.24; ยชว 22.25; ยชว 22.27; ยชว 22.28; ยชว 23.1; ยชว 23.2; ยชว 23.6; ยชว 23.9; ยชว 23.14; ยชว 24.3; ยชว 24.29; ยชว 24.31; วนฉ 1.7; วนฉ 1.10; วนฉ 1.11; วนฉ 1.19; วนฉ 1.28; วนฉ 2.1; วนฉ 2.7; วนฉ 2.15; วนฉ 3.19; วนฉ 3.20; วนฉ 3.25; วนฉ 3.31; วนฉ 4.3; วนฉ 4.10; วนฉ 4.11; วนฉ 4.12; วนฉ 4.20; วนฉ 4.22; วนฉ 5.8; วนฉ 5.14; วนฉ 5.15; วนฉ 5.16; วนฉ 5.22; วนฉ 6.2; วนฉ 6.4; วนฉ 6.21; วนฉ 6.23; วนฉ 6.25; วนฉ 6.28; วนฉ 6.31; วนฉ 6.37; วนฉ 6.39; วนฉ 6.40; วนฉ 7.2; วนฉ 7.3; วนฉ 7.6; วนฉ 7.11; วนฉ 7.13; วนฉ 7.16; วนฉ 8.10; วนฉ 8.24; วนฉ 8.26; วนฉ 8.30; วนฉ 8.32; วนฉ 9.7; วนฉ 9.19; วนฉ 9.25; วนฉ 9.40; วนฉ 9.42; วนฉ 9.47; วนฉ 9.51; วนฉ 9.53; วนฉ 10.1; วนฉ 10.4; วนฉ 11.2; วนฉ 11.12; วนฉ 11.34; วนฉ 12.6; วนฉ 12.9; วนฉ 12.14; วนฉ 13.2; วนฉ 13.3; วนฉ 13.6; วนฉ 14.3; วนฉ 14.4; วนฉ 14.5; วนฉ 14.6; วนฉ 14.8; วนฉ 14.14; วนฉ 14.18; วนฉ 15.3; วนฉ 16.2; วนฉ 16.5; วนฉ 16.27; วนฉ 16.30; วนฉ 17.1; วนฉ 17.2; วนฉ 17.5; วนฉ 17.6; วนฉ 17.7; วนฉ 17.13; วนฉ 18.1; วนฉ 18.7; วนฉ 18.10; วนฉ 18.14; วนฉ 18.24; วนฉ 18.26; วนฉ 18.28; วนฉ 19.1; วนฉ 19.3; วนฉ 19.10; วนฉ 19.15; วนฉ 19.16; วนฉ 19.18; วนฉ 19.19; วนฉ 19.24; วนฉ 19.28; วนฉ 19.30; วนฉ 20.2; วนฉ 20.16; วนฉ 20.34; วนฉ 20.40; วนฉ 20.47; วนฉ 21.1; วนฉ 21.3; วนฉ 21.8; วนฉ 21.9; วนฉ 21.17; วนฉ 21.19; วนฉ 21.22; วนฉ 21.25; นรธ 1.1; นรธ 1.9; นรธ 1.11; นรธ 1.12; นรธ 1.13; นรธ 1.17; นรธ 1.21; นรธ 2.1; นรธ 2.2; นรธ 2.11; นรธ 2.20; นรธ 3.1; นรธ 3.8; นรธ 3.12; นรธ 3.14; นรธ 4.4; นรธ 4.11; นรธ 4.14; นรธ 4.17; 1ซมอ 1.1; 1ซมอ 1.2; 1ซมอ 1.3; 1ซมอ 1.15; 1ซมอ 1.26; 1ซมอ 1.28; 1ซมอ 2.2; 1ซมอ 2.5; 1ซมอ 2.6; 1ซมอ 2.8; 1ซมอ 2.13; 1ซมอ 2.27; 1ซมอ 2.31; 1ซมอ 2.32; 1ซมอ 2.33; 1ซมอ 2.35; 1ซมอ 3.1; 1ซมอ 4.10; 1ซมอ 4.15; 1ซมอ 4.17; 1ซมอ 4.19; 1ซมอ 5.11; 1ซมอ 6.14; 1ซมอ 6.15; 1ซมอ 6.18; 1ซมอ 7.14; 1ซมอ 8.19; 1ซมอ 9.1; 1ซมอ 9.2; 1ซมอ 9.6; 1ซมอ 9.7; 1ซมอ 9.8; 1ซมอ 9.22; 1ซมอ 10.5; 1ซมอ 10.7; 1ซมอ 10.24; 1ซมอ 10.26; 1ซมอ 10.27; 1ซมอ 11.3; 1ซมอ 11.9; 1ซมอ 11.12; 1ซมอ 12.12; 1ซมอ 12.17; 1ซมอ 12.19; 1ซมอ 12.21; 1ซมอ 13.5; 1ซมอ 13.17; 1ซมอ 13.19; 1ซมอ 13.22; 1ซมอ 14.2; 1ซมอ 14.4; 1ซมอ 14.6; 1ซมอ 14.14; 1ซมอ 14.20; 1ซมอ 14.25; 1ซมอ 14.26; 1ซมอ 14.28; 1ซมอ 14.39; 1ซมอ 14.49; 1ซมอ 14.52; 1ซมอ 15.3; 1ซมอ 15.12; 1ซมอ 16.11; 1ซมอ 16.12; 1ซมอ 16.16; 1ซมอ 16.18; 1ซมอ 17.3; 1ซมอ 17.4; 1ซมอ 17.6; 1ซมอ 17.12; 1ซมอ 17.29; 1ซมอ 17.34; 1ซมอ 17.42; 1ซมอ 17.46; 1ซมอ 17.50; 1ซมอ 18.20; 1ซมอ 18.23; 1ซมอ 18.25; 1ซมอ 19.5; 1ซมอ 19.19; 1ซมอ 19.21; 1ซมอ 19.22; 1ซมอ 20.3; 1ซมอ 20.8; 1ซมอ 20.9; 1ซมอ 20.12; 1ซมอ 20.14; 1ซมอ 20.15; 1ซมอ 20.17; 1ซมอ 20.21; 1ซมอ 20.29; 1ซมอ 20.31; 1ซมอ 20.35; 1ซมอ 21.1; 1ซมอ 21.3; 1ซมอ 21.4; 1ซมอ 21.6; 1ซมอ 21.7; 1ซมอ 21.8; 1ซมอ 21.9; 1ซมอ 22.2; 1ซมอ 22.6; 1ซมอ 22.8; 1ซมอ 22.14; 1ซมอ 23.7; 1ซมอ 23.13; 1ซมอ 23.22; 1ซมอ 23.25; 1ซมอ 23.27; 1ซมอ 24.1; 1ซมอ 24.3; 1ซมอ 24.11; 1ซมอ 25.2; 1ซมอ 25.3; 1ซมอ 25.6; 1ซมอ 25.7; 1ซมอ 25.10; 1ซมอ 25.13; 1ซมอ 25.14; 1ซมอ 25.20; 1ซมอ 25.21; 1ซมอ 25.26; 1ซมอ 25.28; 1ซมอ 25.29; 1ซมอ 25.31; 1ซมอ 25.34; 1ซมอ 25.36; 1ซมอ 26.9; 1ซมอ 26.12; 1ซมอ 26.13; 1ซมอ 26.15; 1ซมอ 27.1; 1ซมอ 27.3; 1ซมอ 27.4; 1ซมอ 28.7; 1ซมอ 28.14; 1ซมอ 28.15; 1ซมอ 28.18; 1ซมอ 28.20; 1ซมอ 28.22; 1ซมอ 28.24; 1ซมอ 29.10; 1ซมอ 30.4; 1ซมอ 30.6; 1ซมอ 30.17; 1ซมอ 30.19; 2ซมอ 1.2; 2ซมอ 1.4; 2ซมอ 1.21; 2ซมอ 1.22; 2ซมอ 1.26; 2ซมอ 2.4; 2ซมอ 2.5; 2ซมอ 2.10; 2ซมอ 2.15; 2ซมอ 3.1; 2ซมอ 3.2; 2ซมอ 3.6; 2ซมอ 3.7; 2ซมอ 3.23; 2ซมอ 3.29; 2ซมอ 4.2; 2ซมอ 4.4; 2ซมอ 5.4; 2ซมอ 6.12; 2ซมอ 6.14; 2ซมอ 6.16; 2ซมอ 6.20; 2ซมอ 6.22; 2ซมอ 6.23; 2ซมอ 7.9; 2ซมอ 7.11; 2ซมอ 7.22; 2ซมอ 7.23; 2ซมอ 9.1; 2ซมอ 9.2; 2ซมอ 9.3; 2ซมอ 9.10; 2ซมอ 9.12; 2ซมอ 10.5; 2ซมอ 10.12; 2ซมอ 10.16; 2ซมอ 10.17; 2ซมอ 11.8; 2ซมอ 11.10; 2ซมอ 11.11; 2ซมอ 11.16; 2ซมอ 11.17; 2ซมอ 12.1; 2ซมอ 12.2; 2ซมอ 12.3; 2ซมอ 12.4; 2ซมอ 12.6; 2ซมอ 12.14; 2ซมอ 12.22; 2ซมอ 12.23; 2ซมอ 12.27; 2ซมอ 13.1; 2ซมอ 13.3; 2ซมอ 13.14; 2ซมอ 13.23; 2ซมอ 13.24; 2ซมอ 13.30; 2ซมอ 14.5; 2ซมอ 14.6; 2ซมอ 14.7; 2ซมอ 14.9; 2ซมอ 14.10; 2ซมอ 14.19; 2ซมอ 14.20; 2ซมอ 14.25; 2ซมอ 14.27; 2ซมอ 14.30; 2ซมอ 14.32; 2ซมอ 15.2; 2ซมอ 15.4; 2ซมอ 15.5; 2ซมอ 15.11; 2ซมอ 15.20; 2ซมอ 15.28; 2ซมอ 15.31; 2ซมอ 15.32; 2ซมอ 16.1; 2ซมอ 16.5; 2ซมอ 16.10; 2ซมอ 17.9; 2ซมอ 17.11; 2ซมอ 17.12; 2ซมอ 17.13; 2ซมอ 17.17; 2ซมอ 17.18; 2ซมอ 17.19; 2ซมอ 17.22; 2ซมอ 18.3; 2ซมอ 18.7; 2ซมอ 18.10; 2ซมอ 18.13; 2ซมอ 18.14; 2ซมอ 18.18; 2ซมอ 18.22; 2ซมอ 18.24; 2ซมอ 18.26; 2ซมอ 18.31; 2ซมอ 19.6; 2ซมอ 19.7; 2ซมอ 19.17; 2ซมอ 19.22; 2ซมอ 19.28; 2ซมอ 19.35; 2ซมอ 19.43; 2ซมอ 20.1; 2ซมอ 20.3; 2ซมอ 20.6; 2ซมอ 20.7; 2ซมอ 20.8; 2ซมอ 20.16; 2ซมอ 20.21; 2ซมอ 21.1; 2ซมอ 21.5; 2ซมอ 21.8; 2ซมอ 21.11; 2ซมอ 21.16; 2ซมอ 21.18; 2ซมอ 21.19; 2ซมอ 21.20; 2ซมอ 22.18; 2ซมอ 22.42; 2ซมอ 23.4; 2ซมอ 23.7; 2ซมอ 23.8; 2ซมอ 23.11; 2ซมอ 23.13; 2ซมอ 23.19; 2ซมอ 23.23; 2ซมอ 24.3; 2ซมอ 24.9; 2ซมอ 24.14; 2ซมอ 24.15; 2ซมอ 24.22; 1พกษ 1.1; 1พกษ 1.42; 1พกษ 1.48; 1พกษ 1.51; 1พกษ 2.8; 1พกษ 2.9; 1พกษ 2.13; 1พกษ 2.14; 1พกษ 2.16; 1พกษ 2.18; 1พกษ 2.22; 1พกษ 2.29; 1พกษ 2.30; 1พกษ 2.33; 1พกษ 2.41; 1พกษ 3.12; 1พกษ 3.13; 1พกษ 3.18; 1พกษ 3.23; 1พกษ 3.25; 1พกษ 3.26; 1พกษ 3.27; 1พกษ 4.7; 1พกษ 4.11; 1พกษ 4.13; 1พกษ 4.20; 1พกษ 4.23; 1พกษ 4.24; 1พกษ 4.26; 1พกษ 4.28; 1พกษ 4.31; 1พกษ 4.32; 1พกษ 5.4; 1พกษ 5.6; 1พกษ 5.10; 1พกษ 5.12; 1พกษ 5.15; 1พกษ 5.16; 1พกษ 5.17; 1พกษ 6.4; 1พกษ 6.9; 1พกษ 6.18; 1พกษ 6.25; 1พกษ 7.2; 1พกษ 7.4; 1พกษ 7.5; 1พกษ 7.6; 1พกษ 7.8; 1พกษ 7.9; 1พกษ 7.10; 1พกษ 7.11; 1พกษ 7.12; 1พกษ 7.17; 1พกษ 7.18; 1พกษ 7.20; 1พกษ 7.24; 1พกษ 7.28; 1พกษ 7.29; 1พกษ 7.30; 1พกษ 7.31; 1พกษ 7.34; 1พกษ 7.35; 1พกษ 7.36; 1พกษ 7.38; 1พกษ 7.42; 1พกษ 7.47; 1พกษ 8.9; 1พกษ 8.23; 1พกษ 8.35; 1พกษ 8.37; 1พกษ 8.46; 1พกษ 8.60; 1พกษ 8.65; 1พกษ 9.1; 1พกษ 9.11; 1พกษ 9.19; 1พกษ 10.2; 1พกษ 10.3; 1พกษ 10.10; 1พกษ 10.12; 1พกษ 10.13; 1พกษ 10.19; 1พกษ 10.20; 1พกษ 10.21; 1พกษ 10.22; 1พกษ 10.26; 1พกษ 10.27; 1พกษ 11.1; 1พกษ 11.3; 1พกษ 11.32; 1พกษ 11.36; 1พกษ 12.16; 1พกษ 12.20; 1พกษ 13.11; 1พกษ 13.18; 1พกษ 13.25; 1พกษ 14.21; 1พกษ 14.24; 1พกษ 14.30; 1พกษ 15.6; 1พกษ 15.7; 1พกษ 15.13; 1พกษ 15.16; 1พกษ 15.19; 1พกษ 15.29; 1พกษ 15.32; 1พกษ 17.1; 1พกษ 17.7; 1พกษ 17.12; 1พกษ 17.17; 1พกษ 17.18; 1พกษ 17.23; 1พกษ 18.10; 1พกษ 18.13; 1พกษ 18.22; 1พกษ 18.26; 1พกษ 18.29; 1พกษ 18.41; 1พกษ 18.43; 1พกษ 18.44; 1พกษ 18.45; 1พกษ 19.5; 1พกษ 19.6; 1พกษ 19.12; 1พกษ 19.13; 1พกษ 19.18; 1พกษ 20.1; 1พกษ 20.4; 1พกษ 20.15; 1พกษ 20.17; 1พกษ 20.32; 1พกษ 20.35; 1พกษ 21.1; 1พกษ 21.11; 1พกษ 21.25; 1พกษ 22.1; 1พกษ 22.7; 1พกษ 22.8; 1พกษ 22.12; 1พกษ 22.15; 1พกษ 22.17; 1พกษ 22.21; 1พกษ 22.34; 1พกษ 22.36; 1พกษ 22.42; 1พกษ 22.47; 2พกษ 1.3; 2พกษ 1.6; 2พกษ 1.8; 2พกษ 1.16; 2พกษ 1.17; 2พกษ 2.2; 2พกษ 2.4; 2พกษ 2.6; 2พกษ 2.16; 2พกษ 2.21; 2พกษ 2.23; 2พกษ 3.11; 2พกษ 3.13; 2พกษ 3.17; 2พกษ 3.19; 2พกษ 3.20; 2พกษ 3.21; 2พกษ 3.25; 2พกษ 3.27; 2พกษ 4.2; 2พกษ 4.6; 2พกษ 4.13; 2พกษ 4.14; 2พกษ 4.27; 2พกษ 4.30; 2พกษ 4.31; 2พกษ 4.40; 2พกษ 4.41; 2พกษ 4.42; 2พกษ 5.7; 2พกษ 5.8; 2พกษ 5.15; 2พกษ 5.21; 2พกษ 5.22; 2พกษ 6.12; 2พกษ 6.13; 2พกษ 6.16; 2พกษ 6.25; 2พกษ 6.26; 2พกษ 7.3; 2พกษ 7.5; 2พกษ 7.10; 2พกษ 7.15; 2พกษ 8.7; 2พกษ 8.12; 2พกษ 8.17; 2พกษ 8.26; 2พกษ 9.5; 2พกษ 9.10; 2พกษ 9.22; 2พกษ 9.31; 2พกษ 9.32; 2พกษ 9.37; 2พกษ 10.1; 2พกษ 10.2; 2พกษ 10.6; 2พกษ 10.19; 2พกษ 10.21; 2พกษ 10.23; 2พกษ 11.14; 2พกษ 11.21; 2พกษ 12.10; 2พกษ 14.2; 2พกษ 14.21; 2พกษ 14.26; 2พกษ 15.2; 2พกษ 15.16; 2พกษ 15.25; 2พกษ 15.26; 2พกษ 15.31; 2พกษ 15.33; 2พกษ 16.2; 2พกษ 16.8; 2พกษ 17.9; 2พกษ 17.18; 2พกษ 17.26; 2พกษ 18.2; 2พกษ 18.5; 2พกษ 18.8; 2พกษ 18.13; 2พกษ 18.15; 2พกษ 18.20; 2พกษ 18.32; 2พกษ 18.33; 2พกษ 18.36; 2พกษ 19.3; 2พกษ 19.25; 2พกษ 19.26; 2พกษ 20.13; 2พกษ 20.15; 2พกษ 20.17; 2พกษ 20.19; 2พกษ 21.1; 2พกษ 21.19; 2พกษ 22.1; 2พกษ 23.10; 2พกษ 23.25; 2พกษ 23.31; 2พกษ 23.36; 2พกษ 24.8; 2พกษ 24.14; 2พกษ 24.18; 2พกษ 25.3; 2พกษ 25.17; 2พกษ 25.30; 1พศด 1.43; 1พศด 1.50; 1พศด 2.4; 1พศด 2.21; 1พศด 2.22; 1พศด 2.26; 1พศด 2.30; 1พศด 2.32; 1พศด 2.34; 1พศด 2.52; 1พศด 3.6; 1พศด 4.5; 1พศด 4.27; 1พศด 4.41; 1พศด 4.42; 1พศด 5.1; 1พศด 5.2; 1พศด 5.18; 1พศด 5.23; 1พศด 5.24; 1พศด 6.44; 1พศด 6.61; 1พศด 6.66; 1พศด 7.4; 1พศด 7.5; 1พศด 7.15; 1พศด 7.25; 1พศด 7.29; 1พศด 8.29; 1พศด 8.30; 1พศด 8.38; 1พศด 8.40; 1พศด 9.3; 1พศด 9.10; 1พศด 9.14; 1พศด 9.22; 1พศด 9.26; 1พศด 9.27; 1พศด 9.31; 1พศด 9.32; 1พศด 9.36; 1พศด 9.44; 1พศด 11.13; 1พศด 11.21; 1พศด 11.25; 1พศด 11.26; 1พศด 12.8; 1พศด 12.16; 1พศด 12.17; 1พศด 12.18; 1พศด 12.22; 1พศด 12.24; 1พศด 12.25; 1พศด 12.27; 1พศด 12.30; 1พศด 12.32; 1พศด 12.33; 1พศด 12.34; 1พศด 12.35; 1พศด 12.37; 1พศด 12.40; 1พศด 13.14; 1พศด 14.4; 1พศด 14.12; 1พศด 15.16; 1พศด 15.29; 1พศด 16.7; 1พศด 16.19; 1พศด 16.27; 1พศด 16.42; 1พศด 17.8; 1พศด 17.10; 1พศด 17.17; 1พศด 17.20; 1พศด 17.21; 1พศด 19.5; 1พศด 19.13; 1พศด 19.16; 1พศด 19.17; 1พศด 20.2; 1พศด 20.5; 1พศด 20.6; 1พศด 21.3; 1พศด 21.5; 1พศด 21.13; 1พศด 22.5; 1พศด 22.7; 1พศด 22.9; 1พศด 22.11; 1พศด 22.12; 1พศด 22.14; 1พศด 22.15; 1พศด 22.16; 1พศด 23.11; 1พศด 23.14; 1พศด 23.17; 1พศด 23.22; 1พศด 23.28; 1พศด 24.1; 1พศด 24.2; 1พศด 24.4; 1พศด 24.5; 1พศด 24.19; 1พศด 24.20; 1พศด 24.21; 1พศด 24.22; 1พศด 24.27; 1พศด 24.28; 1พศด 25.3; 1พศด 25.4; 1พศด 25.7; 1พศด 26.1; 1พศด 26.2; 1พศด 26.4; 1พศด 26.6; 1พศด 26.7; 1พศด 26.8; 1พศด 26.9; 1พศด 26.10; 1พศด 26.11; 1พศด 26.12; 1พศด 26.17; 1พศด 26.18; 1พศด 26.25; 1พศด 26.29; 1พศด 26.30; 1พศด 26.31; 1พศด 27.1; 1พศด 27.2; 1พศด 27.4; 1พศด 27.5; 1พศด 27.7; 1พศด 27.8; 1พศด 27.9; 1พศด 27.10; 1พศด 27.11; 1พศด 27.12; 1พศด 27.13; 1พศด 27.14; 1พศด 27.15; 1พศด 27.16; 1พศด 27.17; 1พศด 27.18; 1พศด 27.19; 1พศด 27.20; 1พศด 27.21; 1พศด 27.22; 1พศด 27.32; 1พศด 28.2; 1พศด 28.12; 1พศด 28.21; 1พศด 29.1; 1พศด 29.2; 1พศด 29.3; 1พศด 29.8; 1พศด 29.11; 1พศด 29.15; 1พศด 29.19; 1พศด 29.25; 1พศด 29.28; 1พศด 29.30; 2พศด 1.9; 2พศด 1.12; 2พศด 1.14; 2พศด 1.15; 2พศด 2.11; 2พศด 2.17; 2พศด 3.15; 2พศด 4.3; 2พศด 4.13; 2พศด 5.10; 2พศด 5.12; 2พศด 5.13; 2พศด 6.14; 2พศด 6.26; 2พศด 6.28; 2พศด 6.31; 2พศด 6.36; 2พศด 6.42; 2พศด 7.9; 2พศด 7.10; 2พศด 8.5; 2พศด 8.6; 2พศด 8.10; 2พศด 9.2; 2พศด 9.9; 2พศด 9.11; 2พศด 9.12; 2พศด 9.18; 2พศด 9.19; 2พศด 9.20; 2พศด 9.25; 2พศด 9.27; 2พศด 10.16; 2พศด 11.10; 2พศด 11.21; 2พศด 11.23; 2พศด 12.3; 2พศด 12.4; 2พศด 12.13; 2พศด 12.15; 2พศด 13.2; 2พศด 13.3; 2พศด 13.7; 2พศด 13.8; 2พศด 13.10; 2พศด 13.21; 2พศด 14.6; 2พศด 14.8; 2พศด 14.11; 2พศด 14.14; 2พศด 14.15; 2พศด 15.3; 2พศด 15.5; 2พศด 15.8; 2พศด 15.11; 2พศด 15.13; 2พศด 15.18; 2พศด 15.19; 2พศด 16.3; 2พศด 16.8; 2พศด 16.9; 2พศด 16.14; 2พศด 17.2; 2พศด 17.5; 2พศด 17.8; 2พศด 17.9; 2พศด 17.13; 2พศด 17.14; 2พศด 17.19; 2พศด 18.1; 2พศด 18.6; 2พศด 18.7; 2พศด 18.11; 2พศด 18.14; 2พศด 18.16; 2พศด 18.20; 2พศด 18.33; 2พศด 19.5; 2พศด 19.7; 2พศด 19.8; 2พศด 19.10; 2พศด 20.1; 2พศด 20.2; 2พศด 20.6; 2พศด 20.12; 2พศด 20.24; 2พศด 20.30; 2พศด 20.31; 2พศด 20.34; 2พศด 21.2; 2พศด 21.3; 2พศด 21.5; 2พศด 21.15; 2พศด 21.16; 2พศด 21.17; 2พศด 21.20; 2พศด 22.2; 2พศด 22.9; 2พศด 23.1; 2พศด 23.13; 2พศด 24.1; 2พศด 24.9; 2พศด 24.11; 2พศด 24.15; 2พศด 24.27; 2พศด 25.1; 2พศด 25.4; 2พศด 25.5; 2พศด 26.1; 2พศด 26.3; 2พศด 26.10; 2พศด 26.11; 2พศด 26.13; 2พศด 26.16; 2พศด 26.19; 2พศด 27.1; 2พศด 27.6; 2พศด 27.7; 2พศด 27.8; 2พศด 28.1; 2พศด 28.8; 2พศด 28.10; 2พศด 28.13; 2พศด 29.1; 2พศด 29.10; 2พศด 29.12; 2พศด 29.13; 2พศด 29.14; 2พศด 29.25; 2พศด 29.31; 2พศด 29.33; 2พศด 29.34; 2พศด 29.35; 2พศด 30.11; 2พศด 30.17; 2พศด 30.26; 2พศด 31.5; 2พศด 31.10; 2พศด 31.19; 2พศด 32.1; 2พศด 32.4; 2พศด 32.7; 2พศด 32.8; 2พศด 32.14; 2พศด 32.15; 2พศด 32.27; 2พศด 32.32; 2พศด 33.1; 2พศด 33.14; 2พศด 33.18; 2พศด 33.21; 2พศด 34.1; 2พศด 34.12; 2พศด 35.18; 2พศด 35.21; 2พศด 35.25; 2พศด 35.27; 2พศด 36.2; 2พศด 36.5; 2พศด 36.9; 2พศด 36.11; 2พศด 36.15; 2พศด 36.17; 2พศด 36.22; 2พศด 36.23; อสร 1.1; อสร 1.3; อสร 1.10; อสร 2.63; อสร 2.64; อสร 2.65; อสร 2.66; อสร 4.3; อสร 4.15; อสร 4.16; อสร 4.20; อสร 5.4; อสร 5.5; อสร 5.7; อสร 6.2; อสร 6.17; อสร 7.7; อสร 7.23; อสร 7.28; อสร 8.2; อสร 8.3; อสร 8.4; อสร 8.5; อสร 8.6; อสร 8.7; อสร 8.8; อสร 8.9; อสร 8.10; อสร 8.11; อสร 8.12; อสร 8.13; อสร 8.14; อสร 8.16; อสร 8.18; อสร 8.20; อสร 8.26; อสร 8.27; อสร 8.35; อสร 9.5; อสร 9.7; อสร 9.8; อสร 9.9; อสร 9.14; อสร 9.15; อสร 10.1; อสร 10.2; อสร 10.13; อสร 10.14; อสร 10.18; อสร 10.19; อสร 10.20; อสร 10.21; อสร 10.22; อสร 10.23; อสร 10.24; อสร 10.25; อสร 10.27; อสร 10.28; อสร 10.29; อสร 10.30; อสร 10.31; อสร 10.33; อสร 10.34; อสร 10.43; อสร 10.44; นหม 1.3; นหม 2.2; นหม 2.6; นหม 2.7; นหม 2.10; นหม 2.12; นหม 2.14; นหม 2.20; นหม 4.6; นหม 4.10; นหม 4.13; นหม 4.18; นหม 4.23; นหม 5.1; นหม 5.2; นหม 5.3; นหม 5.5; นหม 5.17; นหม 5.18; นหม 6.1; นหม 6.6; นหม 6.7; นหม 6.13; นหม 6.18; นหม 7.60; นหม 7.63; นหม 7.65; นหม 7.66; นหม 7.67; นหม 7.68; นหม 7.69; นหม 7.72; นหม 8.4; นหม 8.10; นหม 8.17; นหม 8.18; นหม 9.17; นหม 9.25; นหม 9.37; นหม 10.28; นหม 11.4; นหม 11.6; นหม 11.8; นหม 11.12; นหม 11.13; นหม 11.14; นหม 11.18; นหม 11.19; นหม 11.23; นหม 12.12; นหม 12.13; นหม 12.14; นหม 12.15; นหม 12.16; นหม 12.17; นหม 12.18; นหม 12.19; นหม 12.20; นหม 12.21; นหม 12.22; นหม 12.23; นหม 12.32; นหม 12.35; นหม 12.42; นหม 12.46; นหม 13.1; นหม 13.16; นหม 13.26; อสธ 1.6; อสธ 1.8; อสธ 1.13; อสธ 1.17; อสธ 1.18; อสธ 1.19; อสธ 1.22; อสธ 2.5; อสธ 2.7; อสธ 2.11; อสธ 2.21; อสธ 2.23; อสธ 3.6; อสธ 3.8; อสธ 4.2; อสธ 4.3; อสธ 4.5; อสธ 4.11; อสธ 6.6; อสธ 7.8; อสธ 8.5; อสธ 8.16; อสธ 8.17; อสธ 9.2; อสธ 9.4; อสธ 9.12; อสธ 9.14; อสธ 9.19; อสธ 9.31; อสธ 9.32; อสธ 10.1; อสธ 10.3; โยบ 1.1; โยบ 1.3; โยบ 1.8; โยบ 1.10; โยบ 1.11; โยบ 1.12; โยบ 1.14; โยบ 1.16; โยบ 1.17; โยบ 1.18; โยบ 1.19; โยบ 2.3; โยบ 2.4; โยบ 2.13; โยบ 3.12; โยบ 3.15; โยบ 3.20; โยบ 3.24; โยบ 4.3; โยบ 4.12; โยบ 4.15; โยบ 4.16; โยบ 4.20; โยบ 5.1; โยบ 5.4; โยบ 5.13; โยบ 5.15; โยบ 5.16; โยบ 5.19; โยบ 6.5; โยบ 6.6; โยบ 6.11; โยบ 6.13; โยบ 6.25; โยบ 6.30; โยบ 7.1; โยบ 8.11; โยบ 8.12; โยบ 8.22; โยบ 9.17; โยบ 9.19; โยบ 9.33; โยบ 10.4; โยบ 10.7; โยบ 10.22; โยบ 11.2; โยบ 11.3; โยบ 11.18; โยบ 11.19; โยบ 12.3; โยบ 12.5; โยบ 12.9; โยบ 12.12; โยบ 12.13; โยบ 12.14; โยบ 12.20; โยบ 12.24; โยบ 13.23; โยบ 14.4; โยบ 14.7; โยบ 14.12; โยบ 14.14; โยบ 15.10; โยบ 15.11; โยบ 15.19; โยบ 15.28; โยบ 16.10; โยบ 16.17; โยบ 16.18; โยบ 17.9; โยบ 17.10; โยบ 18.10; โยบ 18.15; โยบ 18.17; โยบ 18.19; โยบ 19.7; โยบ 19.29; โยบ 20.8; โยบ 20.17; โยบ 20.21; โยบ 21.7; โยบ 21.10; โยบ 21.21; โยบ 21.22; โยบ 21.34; โยบ 22.5; โยบ 22.8; โยบ 22.25; โยบ 22.28; โยบ 22.29; โยบ 23.13; โยบ 24.2; โยบ 24.7; โยบ 24.9; โยบ 24.10; โยบ 24.15; โยบ 24.20; โยบ 24.21; โยบ 24.22; โยบ 25.3; โยบ 25.5; โยบ 26.2; โยบ 26.3; โยบ 26.6; โยบ 28.1; โยบ 28.5; โยบ 28.6; โยบ 28.7; โยบ 28.11; โยบ 28.14; โยบ 29.12; โยบ 29.19; โยบ 30.5; โยบ 30.13; โยบ 31.19; โยบ 31.31; โยบ 31.40; โยบ 32.5; โยบ 32.8; โยบ 32.12; โยบ 32.15; โยบ 32.18; โยบ 32.19; โยบ 33.9; โยบ 33.23; โยบ 33.32; โยบ 34.2; โยบ 34.6; โยบ 34.10; โยบ 34.16; โยบ 34.22; โยบ 34.33; โยบ 34.35; โยบ 35.10; โยบ 35.12; โยบ 36.2; โยบ 36.16; โยบ 36.29; โยบ 37.15; โยบ 37.24; โยบ 38.4; โยบ 38.26; โยบ 38.28; โยบ 38.30; โยบ 39.4; โยบ 39.17; โยบ 39.30; โยบ 40.9; โยบ 40.21; โยบ 40.22; โยบ 41.10; โยบ 41.16; โยบ 41.25; โยบ 41.33; โยบ 42.10; โยบ 42.12; โยบ 42.13; โยบ 42.15; โยบ 42.16; สดด 3.2; สดด 4.6; สดด 5.9; สดด 6.5; สดด 7.2; สดด 7.3; สดด 7.8; สดด 12.1; สดด 12.8; สดด 13.2; สดด 14.1; สดด 14.2; สดด 14.3; สดด 14.4; สดด 16.2; สดด 16.3; สดด 16.6; สดด 16.11; สดด 17.1; สดด 17.14; สดด 18.12; สดด 18.17; สดด 18.25; สดด 18.41; สดด 19.3; สดด 19.6; สดด 19.7; สดด 19.13; สดด 22.9; สดด 22.11; สดด 22.26; สดด 22.30; สดด 24.4; สดด 25.3; สดด 25.6; สดด 25.14; สดด 25.16; สดด 25.19; สดด 26.10; สดด 29.11; สดด 30.3; สดด 31.13; สดด 32.2; สดด 32.10; สดด 32.11; สดด 34.22; สดด 35.7; สดด 35.10; สดด 35.11; สดด 35.19; สดด 36.1; สดด 37.10; สดด 37.16; สดด 37.35; สดด 37.36; สดด 38.3; สดด 38.7; สดด 38.14; สดด 39.13; สดด 40.5; สดด 40.7; สดด 41.2; สดด 42.1; สดด 42.4; สดด 45.9; สดด 46.4; สดด 48.6; สดด 49.7; สดด 49.9; สดด 49.14; สดด 49.20; สดด 50.8; สดด 50.16; สดด 50.22; สดด 51.6; สดด 52.1; สดด 53.1; สดด 53.2; สดด 53.3; สดด 53.4; สดด 53.5; สดด 55.6; สดด 55.11; สดด 55.23; สดด 58.4; สดด 58.5; สดด 58.11; สดด 59.7; สดด 60.9; สดด 63.1; สดด 65.9; สดด 65.11; สดด 68.15; สดด 68.16; สดด 68.17; สดด 68.21; สดด 68.23; สดด 68.25; สดด 68.27; สดด 69.2; สดด 69.4; สดด 69.20; สดด 69.29; สดด 71.11; สดด 72.7; สดด 72.15; สดด 72.16; สดด 73.1; สดด 73.4; สดด 73.7; สดด 73.11; สดด 73.25; สดด 74.5; สดด 74.9; สดด 75.8; สดด 76.4; สดด 77.18; สดด 77.19; สดด 78.9; สดด 78.21; สดด 78.32; สดด 78.64; สดด 78.71; สดด 79.1; สดด 79.3; สดด 81.9; สดด 84.7; สดด 86.8; สดด 86.13; สดด 88.4; สดด 88.15; สดด 89.13; สดด 89.48; สดด 89.50; สดด 90.10; สดด 90.13; สดด 91.10; สดด 92.14; สดด 92.15; สดด 94.19; สดด 95.10; สดด 96.6; สดด 97.11; สดด 101.5; สดด 102.18; สดด 103.2; สดด 103.8; สดด 103.11; สดด 104.12; สดด 104.25; สดด 104.32; สดด 104.33; สดด 104.35; สดด 105.12; สดด 105.24; สดด 105.30; สดด 105.31; สดด 105.37; สดด 106.4; สดด 106.14; สดด 107.8; สดด 107.12; สดด 107.15; สดด 107.21; สดด 107.30; สดด 107.31; สดด 107.34; สดด 107.40; สดด 108.10; สดด 109.11; สดด 111.3; สดด 111.4; สดด 112.3; สดด 112.4; สดด 113.5; สดด 113.9; สดด 115.5; สดด 115.6; สดด 115.7; สดด 116.2; สดด 116.12; สดด 117.2; สดด 118.6; สดด 119.17; สดด 119.42; สดด 119.49; สดด 119.76; สดด 119.78; สดด 119.99; สดด 119.117; สดด 119.132; สดด 119.133; สดด 119.157; สดด 119.165; สดด 119.175; สดด 122.7; สดด 122.8; สดด 123.2; สดด 125.5; สดด 126.3; สดด 126.6; สดด 127.5; สดด 128.6; สดด 130.4; สดด 130.7; สดด 132.13; สดด 132.17; สดด 135.16; สดด 135.17; สดด 136.19; สดด 137.8; สดด 137.9; สดด 139.24; สดด 140.2; สดด 140.3; สดด 142.4; สดด 143.2; สดด 144.5; สดด 144.13; สดด 144.14; สดด 144.15; สดด 145.8; สดด 145.9; สดด 145.16; สดด 146.2; สดด 146.3; สดด 148.9; สภษ 1.5; สภษ 1.14; สภษ 1.24; สภษ 2.19; สภษ 3.16; สภษ 3.28; สภษ 4.4; สภษ 6.16; สภษ 6.29; สภษ 7.7; สภษ 7.13; สภษ 7.23; สภษ 8.5; สภษ 8.8; สภษ 8.14; สภษ 8.24; สภษ 8.31; สภษ 10.8; สภษ 10.13; สภษ 10.20; สภษ 10.23; สภษ 10.25; สภษ 11.10; สภษ 11.12; สภษ 11.13; สภษ 11.14; สภษ 11.16; สภษ 11.17; สภษ 11.20; สภษ 11.21; สภษ 11.24; สภษ 11.29; สภษ 11.30; สภษ 12.7; สภษ 12.9; สภษ 12.11; สภษ 12.18; สภษ 12.20; สภษ 12.21; สภษ 12.27; สภษ 12.28; สภษ 13.7; สภษ 14.1; สภษ 14.3; สภษ 14.4; สภษ 14.6; สภษ 14.9; สภษ 14.10; สภษ 14.12; สภษ 14.14; สภษ 14.18; สภษ 14.20; สภษ 14.23; สภษ 14.26; สภษ 14.28; สภษ 14.29; สภษ 14.32; สภษ 14.33; สภษ 15.6; สภษ 15.14; สภษ 15.15; สภษ 15.16; สภษ 15.17; สภษ 15.21; สภษ 15.22; สภษ 15.27; สภษ 16.5; สภษ 16.8; สภษ 16.15; สภษ 16.19; สภษ 16.21; สภษ 16.22; สภษ 16.25; สภษ 16.31; สภษ 16.32; สภษ 17.1; สภษ 17.3; สภษ 17.5; สภษ 17.11; สภษ 17.16; สภษ 17.17; สภษ 17.18; สภษ 17.20; สภษ 17.21; สภษ 17.24; สภษ 17.27; สภษ 17.28; สภษ 18.18; สภษ 18.24; สภษ 19.1; สภษ 19.2; สภษ 19.7; สภษ 19.18; สภษ 19.21; สภษ 19.23; สภษ 19.25; สภษ 19.29; สภษ 20.5; สภษ 20.15; สภษ 20.17; สภษ 20.18; สภษ 21.8; สภษ 21.13; สภษ 21.20; สภษ 21.22; สภษ 22.1; สภษ 22.9; สภษ 22.11; สภษ 22.13; สภษ 22.27; สภษ 23.5; สภษ 23.18; สภษ 23.29; สภษ 23.31; สภษ 24.5; สภษ 24.6; สภษ 24.13; สภษ 24.14; สภษ 24.19; สภษ 24.20; สภษ 24.25; สภษ 24.28; สภษ 24.31; สภษ 25.4; สภษ 25.14; สภษ 25.26; สภษ 25.28; สภษ 26.12; สภษ 26.13; สภษ 26.20; สภษ 26.25; สภษ 27.3; สภษ 27.21; สภษ 27.27; สภษ 28.1; สภษ 28.2; สภษ 28.10; สภษ 28.11; สภษ 28.12; สภษ 28.18; สภษ 28.20; สภษ 28.22; สภษ 28.28; สภษ 29.9; สภษ 29.18; สภษ 29.20; สภษ 29.22; สภษ 29.23; สภษ 30.2; สภษ 30.3; สภษ 30.10; สภษ 30.11; สภษ 30.12; สภษ 30.13; สภษ 30.14; สภษ 30.15; สภษ 30.18; สภษ 30.24; สภษ 30.26; สภษ 30.27; สภษ 30.29; สภษ 30.30; สภษ 30.31; สภษ 31.5; ปญจ 1.9; ปญจ 1.10; ปญจ 1.11; ปญจ 1.16; ปญจ 1.18; ปญจ 2.2; ปญจ 2.5; ปญจ 2.7; ปญจ 2.8; ปญจ 2.11; ปญจ 2.14; ปญจ 2.15; ปญจ 2.16; ปญจ 2.19; ปญจ 2.21; ปญจ 2.23; ปญจ 2.24; ปญจ 2.25; ปญจ 3.1; ปญจ 3.2; ปญจ 3.3; ปญจ 3.4; ปญจ 3.5; ปญจ 3.6; ปญจ 3.7; ปญจ 3.8; ปญจ 3.12; ปญจ 3.14; ปญจ 3.16; ปญจ 3.17; ปญจ 3.19; ปญจ 3.22; ปญจ 4.1; ปญจ 4.8; ปญจ 4.10; ปญจ 4.13; ปญจ 4.14; ปญจ 4.15; ปญจ 4.16; ปญจ 5.3; ปญจ 5.7; ปญจ 5.8; ปญจ 5.11; ปญจ 5.13; ปญจ 5.14; ปญจ 5.17; ปญจ 5.19; ปญจ 6.1; ปญจ 6.2; ปญจ 6.3; ปญจ 6.5; ปญจ 6.6; ปญจ 6.8; ปญจ 6.10; ปญจ 6.11; ปญจ 7.2; ปญจ 7.4; ปญจ 7.5; ปญจ 7.6; ปญจ 7.7; ปญจ 7.8; ปญจ 7.9; ปญจ 7.12; ปญจ 7.14; ปญจ 7.15; ปญจ 7.20; ปญจ 7.26; ปญจ 8.5; ปญจ 8.6; ปญจ 8.8; ปญจ 8.9; ปญจ 8.10; ปญจ 8.12; ปญจ 8.13; ปญจ 8.14; ปญจ 8.15; ปญจ 9.1; ปญจ 9.2; ปญจ 9.3; ปญจ 9.4; ปญจ 9.6; ปญจ 9.10; ปญจ 9.11; ปญจ 9.14; ปญจ 9.15; ปญจ 9.16; ปญจ 10.2; ปญจ 10.5; ปญจ 10.12; ปญจ 10.14; ปญจ 10.16; ปญจ 10.17; ปญจ 10.20; ปญจ 11.3; ปญจ 11.5; ปญจ 11.8; ปญจ 12.1; ปญจ 12.4; ปญจ 12.5; ปญจ 12.12; พซม 1.10; พซม 1.11; พซม 2.13; พซม 2.15; พซม 4.2; พซม 4.4; พซม 4.7; พซม 5.2; พซม 6.4; พซม 6.6; พซม 6.8; พซม 6.10; พซม 6.11; พซม 7.2; พซม 7.12; พซม 7.13; พซม 8.8; พซม 8.11; อสย 1.6; อสย 1.31; อสย 2.7; อสย 2.22; อสย 3.3; อสย 3.6; อสย 3.7; อสย 3.24; อสย 4.3; อสย 4.5; อสย 4.6; อสย 5.1; อสย 5.4; อสย 5.6; อสย 5.7; อสย 5.8; อสย 5.9; อสย 5.12; อสย 5.27; อสย 5.29; อสย 5.30; อสย 6.2; อสย 6.4; อสย 6.6; อสย 6.11; อสย 6.12; อสย 6.13; อสย 7.23; อสย 8.7; อสย 8.20; อสย 9.5; อสย 9.6; อสย 9.7; อสย 9.17; อสย 9.19; อสย 10.13; อสย 10.14; อสย 10.16; อสย 11.1; อสย 11.4; อสย 11.16; อสย 13.12; อสย 13.14; อสย 13.20; อสย 14.1; อสย 14.2; อสย 14.6; อสย 14.8; อสย 14.18; อสย 14.28; อสย 14.30; อสย 14.31; อสย 15.5; อสย 15.6; อสย 15.9; อสย 16.5; อสย 16.10; อสย 17.2; อสย 17.6; อสย 17.9; อสย 17.12; อสย 17.14; อสย 18.2; อสย 18.7; อสย 19.7; อสย 19.12; อสย 19.15; อสย 19.18; อสย 19.19; อสย 19.23; อสย 21.11; อสย 22.5; อสย 22.9; อสย 22.12; อสย 22.13; อสย 22.16; อสย 22.18; อสย 22.22; อสย 22.23; อสย 23.1; อสย 23.10; อสย 23.12; อสย 23.13; อสย 24.5; อสย 24.6; อสย 24.11; อสย 24.12; อสย 24.16; อสย 25.2; อสย 25.6; อสย 26.1; อสย 26.11; อสย 26.14; อสย 26.17; อสย 26.18; อสย 26.19; อสย 27.4; อสย 27.6; อสย 27.9; อสย 28.2; อสย 28.8; อสย 29.1; อสย 29.2; อสย 29.11; อสย 29.16; อสย 30.25; อสย 30.28; อสย 30.29; อสย 31.1; อสย 32.14; อสย 33.1; อสย 33.16; อสย 33.21; อสย 33.24; อสย 34.6; อสย 34.8; อสย 34.10; อสย 34.12; อสย 34.16; อสย 35.4; อสย 35.7; อสย 35.8; อสย 35.9; อสย 35.10; อสย 36.1; อสย 36.5; อสย 36.17; อสย 36.18; อสย 36.21; อสย 37.3; อสย 37.26; อสย 37.27; อสย 38.9; อสย 38.16; อสย 38.17; อสย 39.2; อสย 39.4; อสย 39.6; อสย 39.8; อสย 40.11; อสย 40.17; อสย 40.20; อสย 40.21; อสย 40.29; อสย 41.15; อสย 41.17; อสย 41.22; อสย 41.24; อสย 41.26; อสย 41.28; อสย 42.21; อสย 42.22; อสย 43.8; อสย 43.9; อสย 43.10; อสย 43.11; อสย 43.12; อสย 43.13; อสย 43.16; อสย 44.6; อสย 44.8; อสย 44.19; อสย 44.20; อสย 44.26; อสย 44.28; อสย 45.5; อสย 45.6; อสย 45.11; อสย 45.14; อสย 45.18; อสย 45.20; อสย 45.21; อสย 45.22; อสย 45.24; อสย 46.9; อสย 47.1; อสย 47.8; อสย 47.9; อสย 47.10; อสย 47.15; อสย 48.22; อสย 49.18; อสย 49.19; อสย 50.2; อสย 50.4; อสย 50.9; อสย 50.10; อสย 51.2; อสย 51.18; อสย 52.5; อสย 52.13; อสย 52.15; อสย 53.2; อสย 53.9; อสย 54.1; อสย 54.3; อสย 54.8; อสย 54.10; อสย 54.13; อสย 54.17; อสย 55.1; อสย 55.3; อสย 56.2; อสย 57.1; อสย 57.14; อสย 57.15; อสย 57.21; อสย 58.11; อสย 58.13; อสย 59.4; อสย 59.8; อสย 59.10; อสย 59.11; อสย 59.15; อสย 59.16; อสย 60.15; อสย 60.20; อสย 60.22; อสย 63.1; อสย 63.3; อสย 63.5; อสย 64.4; อสย 64.7; อสย 65.4; อสย 65.6; อสย 65.8; อสย 65.20; อสย 66.4; อสย 66.16; ยรม 1.3; ยรม 1.18; ยรม 2.6; ยรม 2.10; ยรม 2.11; ยรม 2.15; ยรม 2.26; ยรม 2.28; ยรม 2.35; ยรม 3.2; ยรม 3.3; ยรม 3.11; ยรม 3.16; ยรม 4.4; ยรม 4.5; ยรม 4.15; ยรม 4.22; ยรม 4.23; ยรม 4.25; ยรม 4.29; ยรม 5.12; ยรม 5.13; ยรม 5.15; ยรม 5.17; ยรม 5.21; ยรม 5.23; ยรม 5.27; ยรม 5.31; ยรม 6.6; ยรม 6.7; ยรม 6.11; ยรม 6.14; ยรม 6.20; ยรม 6.23; ยรม 7.31; ยรม 7.32; ยรม 7.33; ยรม 8.1; ยรม 8.2; ยรม 8.3; ยรม 8.6; ยรม 8.8; ยรม 8.9; ยรม 8.11; ยรม 8.13; ยรม 8.14; ยรม 8.15; ยรม 8.22; ยรม 9.2; ยรม 9.5; ยรม 9.10; ยรม 9.11; ยรม 9.12; ยรม 9.18; ยรม 9.22; ยรม 10.6; ยรม 10.7; ยรม 10.13; ยรม 10.14; ยรม 10.20; ยรม 11.5; ยรม 11.9; ยรม 11.15; ยรม 11.23; ยรม 12.3; ยรม 12.11; ยรม 12.12; ยรม 12.15; ยรม 13.16; ยรม 13.17; ยรม 13.19; ยรม 14.3; ยรม 14.4; ยรม 14.5; ยรม 14.6; ยรม 14.9; ยรม 14.13; ยรม 14.16; ยรม 14.17; ยรม 14.19; ยรม 14.21; ยรม 14.22; ยรม 15.8; ยรม 16.2; ยรม 16.4; ยรม 16.6; ยรม 16.7; ยรม 16.8; ยรม 16.14; ยรม 16.19; ยรม 17.6; ยรม 17.25; ยรม 19.4; ยรม 19.6; ยรม 19.11; ยรม 20.7; ยรม 20.11; ยรม 20.15; ยรม 21.7; ยรม 21.9; ยรม 21.12; ยรม 22.4; ยรม 22.6; ยรม 22.7; ยรม 22.14; ยรม 22.17; ยรม 22.24; ยรม 22.28; ยรม 22.30; ยรม 23.1; ยรม 23.3; ยรม 23.9; ยรม 23.14; ยรม 23.17; ยรม 23.28; ยรม 23.33; ยรม 24.1; ยรม 24.2; ยรม 25.14; ยรม 25.31; ยรม 25.33; ยรม 25.35; ยรม 26.20; ยรม 27.12; ยรม 27.17; ยรม 28.8; ยรม 28.9; ยรม 29.6; ยรม 29.11; ยรม 29.15; ยรม 29.32; ยรม 30.7; ยรม 30.10; ยรม 30.13; ยรม 30.17; ยรม 30.18; ยรม 30.19; ยรม 31.6; ยรม 31.8; ยรม 31.12; ยรม 31.15; ยรม 31.17; ยรม 31.20; ยรม 32.15; ยรม 32.17; ยรม 32.22; ยรม 32.27; ยรม 32.34; ยรม 32.35; ยรม 32.43; ยรม 33.3; ยรม 33.9; ยรม 33.10; ยรม 33.13; ยรม 33.21; ยรม 33.26; ยรม 34.7; ยรม 34.9; ยรม 35.7; ยรม 35.9; ยรม 36.22; ยรม 36.27; ยรม 36.30; ยรม 36.32; ยรม 37.10; ยรม 37.17; ยรม 37.21; ยรม 38.2; ยรม 38.6; ยรม 38.9; ยรม 38.10; ยรม 38.17; ยรม 38.27; ยรม 39.3; ยรม 39.10; ยรม 39.16; ยรม 39.18; ยรม 40.8; ยรม 40.15; ยรม 41.5; ยรม 41.8; ยรม 42.2; ยรม 42.17; ยรม 44.2; ยรม 44.3; ยรม 44.7; ยรม 44.10; ยรม 44.17; ยรม 44.28; ยรม 46.18; ยรม 46.23; ยรม 46.26; ยรม 46.27; ยรม 48.2; ยรม 48.3; ยรม 48.8; ยรม 48.33; ยรม 48.37; ยรม 48.38; ยรม 49.1; ยรม 49.4; ยรม 49.5; ยรม 49.7; ยรม 49.10; ยรม 49.11; ยรม 49.18; ยรม 49.31; ยรม 49.33; ยรม 49.36; ยรม 50.3; ยรม 50.7; ยรม 50.9; ยรม 50.13; ยรม 50.32; ยรม 50.39; ยรม 50.40; ยรม 50.42; ยรม 51.13; ยรม 51.14; ยรม 51.16; ยรม 51.17; ยรม 51.43; ยรม 51.46; ยรม 51.48; ยรม 51.54; ยรม 51.62; ยรม 51.64; ยรม 52.1; ยรม 52.6; ยรม 52.22; ยรม 52.23; ยรม 52.34; พคค 1.4; พคค 1.7; พคค 1.9; พคค 1.12; พคค 1.13; พคค 1.16; พคค 1.17; พคค 1.20; พคค 1.21; พคค 2.9; พคค 2.17; พคค 2.22; พคค 3.21; พคค 3.22; พคค 3.29; พคค 3.33; พคค 3.38; พคค 3.49; พคค 3.52; พคค 4.1; พคค 4.2; พคค 4.4; พคค 4.6; พคค 4.7; พคค 4.18; พคค 5.1; พคค 5.5; พคค 5.8; พคค 5.12; อสค 1.4; อสค 1.5; อสค 1.6; อสค 1.8; อสค 1.10; อสค 1.13; อสค 1.15; อสค 1.16; อสค 1.18; อสค 1.22; อสค 1.23; อสค 1.25; อสค 1.26; อสค 1.27; อสค 2.5; อสค 2.9; อสค 2.10; อสค 3.20; อสค 3.21; อสค 4.14; อสค 5.4; อสค 5.11; อสค 6.8; อสค 6.12; อสค 7.8; อสค 7.11; อสค 7.13; อสค 7.14; อสค 7.25; อสค 8.2; อสค 8.3; อสค 8.8; อสค 8.10; อสค 8.11; อสค 8.14; อสค 8.16; อสค 9.2; อสค 9.6; อสค 10.1; อสค 10.4; อสค 10.6; อสค 10.8; อสค 10.9; อสค 10.12; อสค 10.14; อสค 10.21; อสค 11.1; อสค 11.15; อสค 12.2; อสค 12.19; อสค 12.20; อสค 12.22; อสค 12.24; อสค 13.10; อสค 13.11; อสค 13.13; อสค 13.15; อสค 13.16; อสค 13.19; อสค 14.15; อสค 14.16; อสค 14.18; อสค 14.20; อสค 14.22; อสค 15.5; อสค 16.5; อสค 16.6; อสค 16.8; อสค 16.16; อสค 16.34; อสค 16.48; อสค 16.49; อสค 16.52; อสค 16.61; อสค 17.3; อสค 17.7; อสค 17.8; อสค 17.12; อสค 17.16; อสค 17.19; อสค 17.23; อสค 18.2; อสค 18.3; อสค 18.6; อสค 18.9; อสค 18.10; อสค 18.13; อสค 18.14; อสค 18.22; อสค 18.23; อสค 18.24; อสค 18.31; อสค 18.32; อสค 19.10; อสค 19.11; อสค 19.14; อสค 20.3; อสค 20.6; อสค 20.8; อสค 20.15; อสค 20.21; อสค 20.31; อสค 20.33; อสค 20.34; อสค 21.13; อสค 21.20; อสค 21.22; อสค 21.27; อสค 21.32; อสค 22.4; อสค 22.9; อสค 22.10; อสค 22.12; อสค 22.25; อสค 23.2; อสค 23.13; อสค 23.15; อสค 23.23; อสค 23.24; อสค 23.41; อสค 23.44; อสค 24.19; อสค 25.9; อสค 25.10; อสค 26.14; อสค 26.17; อสค 26.19; อสค 26.20; อสค 26.21; อสค 27.3; อสค 27.10; อสค 27.12; อสค 27.16; อสค 27.18; อสค 27.20; อสค 27.32; อสค 28.3; อสค 28.12; อสค 28.24; อสค 29.5; อสค 29.11; อสค 29.21; อสค 30.3; อสค 30.13; อสค 30.16; อสค 30.18; อสค 30.21; อสค 31.3; อสค 31.4; อสค 31.8; อสค 32.13; อสค 32.20; อสค 32.22; อสค 32.25; อสค 32.27; อสค 32.29; อสค 33.11; อสค 33.13; อสค 33.27; อสค 33.28; อสค 33.32; อสค 33.33; อสค 34.5; อสค 34.6; อสค 34.8; อสค 34.12; อสค 34.13; อสค 34.28; อสค 34.29; อสค 35.6; อสค 35.8; อสค 35.11; อสค 36.10; อสค 36.11; อสค 36.17; อสค 36.35; อสค 37.1; อสค 37.2; อสค 37.3; อสค 37.5; อสค 37.6; อสค 37.7; อสค 37.8; อสค 37.9; อสค 37.10; อสค 37.14; อสค 37.22; อสค 37.24; อสค 38.4; อสค 38.5; อสค 38.6; อสค 38.11; อสค 38.12; อสค 38.19; อสค 39.11; อสค 39.25; อสค 39.26; อสค 40.2; อสค 40.3; อสค 40.5; อสค 40.10; อสค 40.12; อสค 40.14; อสค 40.16; อสค 40.17; อสค 40.18; อสค 40.21; อสค 40.22; อสค 40.23; อสค 40.24; อสค 40.25; อสค 40.26; อสค 40.27; อสค 40.28; อสค 40.29; อสค 40.30; อสค 40.31; อสค 40.33; อสค 40.34; อสค 40.35; อสค 40.36; อสค 40.37; อสค 40.38; อสค 40.39; อสค 40.40; อสค 40.41; อสค 40.42; อสค 40.43; อสค 40.44; อสค 40.49; อสค 41.6; อสค 41.7; อสค 41.8; อสค 41.10; อสค 41.18; อสค 41.19; อสค 41.20; อสค 41.23; อสค 41.24; อสค 41.25; อสค 41.26; อสค 42.4; อสค 42.6; อสค 42.7; อสค 42.9; อสค 42.10; อสค 42.11; อสค 42.12; อสค 42.14; อสค 42.20; อสค 43.8; อสค 43.13; อสค 43.15; อสค 44.17; อสค 44.18; อสค 44.24; อสค 44.25; อสค 44.26; อสค 44.30; อสค 45.2; อสค 45.5; อสค 45.7; อสค 45.10; อสค 45.12; อสค 45.23; อสค 46.18; อสค 46.19; อสค 46.21; อสค 46.22; อสค 46.23; อสค 47.1; อสค 47.3; อสค 47.9; อสค 47.10; อสค 47.12; อสค 47.17; อสค 47.22; อสค 48.8; อสค 48.9; อสค 48.10; อสค 48.13; อสค 48.17; อสค 48.31; อสค 48.32; อสค 48.33; อสค 48.34; อสค 48.35; ดนล 1.4; ดนล 1.6; ดนล 1.10; ดนล 2.2; ดนล 2.9; ดนล 2.10; ดนล 2.11; ดนล 2.13; ดนล 2.21; ดนล 2.27; ดนล 2.28; ดนล 2.30; ดนล 2.31; ดนล 2.34; ดนล 2.39; ดนล 2.40; ดนล 2.44; ดนล 2.46; ดนล 3.4; ดนล 3.12; ดนล 3.13; ดนล 3.20; ดนล 3.27; ดนล 3.29; ดนล 4.1; ดนล 4.4; ดนล 4.8; ดนล 4.9; ดนล 4.12; ดนล 4.15; ดนล 4.19; ดนล 4.21; ดนล 4.23; ดนล 4.26; ดนล 4.31; ดนล 4.35; ดนล 5.2; ดนล 5.10; ดนล 5.11; ดนล 5.12; ดนล 5.14; ดนล 5.24; ดนล 5.31; ดนล 6.2; ดนล 6.3; ดนล 6.10; ดนล 6.17; ดนล 6.23; ดนล 6.25; ดนล 7.1; ดนล 7.4; ดนล 7.5; ดนล 7.6; ดนล 7.7; ดนล 7.8; ดนล 7.9; ดนล 7.13; ดนล 7.19; ดนล 7.20; ดนล 7.22; ดนล 7.23; ดนล 7.24; ดนล 8.1; ดนล 8.3; ดนล 8.4; ดนล 8.5; ดนล 8.6; ดนล 8.7; ดนล 8.8; ดนล 8.9; ดนล 8.15; ดนล 8.20; ดนล 8.22; ดนล 8.23; ดนล 8.24; ดนล 9.2; ดนล 9.12; ดนล 9.19; ดนล 9.23; ดนล 9.24; ดนล 9.26; ดนล 9.27; ดนล 10.1; ดนล 10.5; ดนล 10.10; ดนล 10.14; ดนล 10.16; ดนล 10.17; ดนล 10.18; ดนล 10.19; ดนล 10.21; ดนล 11.2; ดนล 11.3; ดนล 11.4; ดนล 11.5; ดนล 11.7; ดนล 11.15; ดนล 11.16; ดนล 11.20; ดนล 11.21; ดนล 11.25; ดนล 11.34; ดนล 11.38; ดนล 11.45; ดนล 12.1; ดนล 12.5; ดนล 12.10; ดนล 12.12; ฮชย 1.3; ฮชย 2.4; ฮชย 2.10; ฮชย 2.15; ฮชย 3.4; ฮชย 3.5; ฮชย 4.1; ฮชย 4.2; ฮชย 4.14; ฮชย 4.15; ฮชย 5.8; ฮชย 7.7; ฮชย 7.10; ฮชย 7.13; ฮชย 8.7; ฮชย 8.14; ฮชย 9.4; ฮชย 9.11; ฮชย 9.16; ฮชย 10.3; ฮชย 10.8; ฮชย 11.7; ฮชย 11.10; ฮชย 12.2; ฮชย 12.3; ฮชย 12.4; ฮชย 12.7; ฮชย 12.9; ฮชย 12.11; ฮชย 13.4; ฮชย 13.11; ฮชย 13.16; ฮชย 14.6; ฮชย 14.7; ยอล 1.6; ยอล 1.18; ยอล 2.2; ยอล 2.3; ยอล 2.11; ยอล 2.14; ยอล 2.24; ยอล 2.27; ยอล 2.32; ยอล 3.17; ยอล 3.18; ยอล 3.20; อมส 1.11; อมส 1.13; อมส 1.14; อมส 2.14; อมส 2.15; อมส 2.16; อมส 3.4; อมส 3.5; อมส 3.6; อมส 3.8; อมส 3.11; อมส 4.5; อมส 4.7; อมส 5.2; อมส 5.3; อมส 5.6; อมส 5.12; อมส 5.13; อมส 5.16; อมส 5.17; อมส 5.20; อมส 6.1; อมส 6.9; อมส 6.10; อมส 6.12; อมส 7.4; อมส 7.7; อมส 8.1; อมส 8.3; อมส 8.14; อมส 9.1; อมส 9.9; อมส 9.13; อบด 1.7; อบด 1.15; อบด 1.17; อบด 1.18; ยนา 4.6; ยนา 4.11; มคา 2.4; มคา 2.5; มคา 2.7; มคา 2.8; มคา 2.11; มคา 2.12; มคา 3.7; มคา 3.11; มคา 3.12; มคา 4.4; มคา 4.9; มคา 5.2; มคา 5.8; มคา 5.12; มคา 5.15; มคา 6.2; มคา 6.5; มคา 6.8; มคา 6.9; มคา 6.10; มคา 6.11; มคา 6.14; มคา 6.16; มคา 7.1; มคา 7.2; มคา 7.12; นฮม 1.2; นฮม 1.11; นฮม 1.12; นฮม 2.5; นฮม 2.8; นฮม 2.9; นฮม 2.11; นฮม 2.13; นฮม 3.4; นฮม 3.8; นฮม 3.12; นฮม 3.17; นฮม 3.18; นฮม 3.19; ฮบก 1.14; ฮบก 2.4; ฮบก 2.19; ฮบก 3.4; ฮบก 3.17; ศฟย 1.16; ศฟย 2.5; ศฟย 2.9; ศฟย 2.15; ศฟย 3.6; ศฟย 3.13; ศฟย 3.20; ฮกก 1.4; ฮกก 1.5; ฮกก 1.6; ฮกก 1.7; ฮกก 1.8; ฮกก 2.3; ฮกก 2.16; ฮกก 2.19; ศคย 1.5; ศคย 1.8; ศคย 1.14; ศคย 1.18; ศคย 1.21; ศคย 2.1; ศคย 2.4; ศคย 3.7; ศคย 3.9; ศคย 4.2; ศคย 4.3; ศคย 5.7; ศคย 5.9; ศคย 6.1; ศคย 6.12; ศคย 6.13; ศคย 7.7; ศคย 7.14; ศคย 8.4; ศคย 8.10; ศคย 8.12; ศคย 9.1; ศคย 9.2; ศคย 9.5; ศคย 9.8; ศคย 9.10; ศคย 9.11; ศคย 9.12; ศคย 10.8; ศคย 10.10; ศคย 11.5; ศคย 12.1; ศคย 12.6; ศคย 13.1; ศคย 13.3; ศคย 13.4; ศคย 13.5; ศคย 13.6; ศคย 14.4; ศคย 14.7; ศคย 14.11; ศคย 14.14; ศคย 14.15; ศคย 14.20; ศคย 14.21; มลค 1.1; มลค 1.6; มลค 1.10; มลค 1.14; มลค 2.1; มลค 2.5; มลค 2.6; มลค 2.10; มลค 2.15; มลค 3.6; มลค 3.10; มลค 3.16; มลค 4.1; มลค 4.2; มธ 1.18; มธ 1.20; มธ 2.1; มธ 2.10; มธ 2.18; มธ 3.9; มธ 3.11; มธ 3.17; มธ 4.4; มธ 4.6; มธ 4.7; มธ 4.10; มธ 4.11; มธ 4.16; มธ 4.25; มธ 5.5; มธ 5.7; มธ 5.8; มธ 5.12; มธ 5.13; มธ 5.15; มธ 5.20; มธ 5.21; มธ 5.22; มธ 5.23; มธ 5.27; มธ 5.31; มธ 5.33; มธ 6.20; มธ 6.24; มธ 6.27; มธ 6.30; มธ 6.34; มธ 7.9; มธ 7.13; มธ 7.14; มธ 7.22; มธ 7.24; มธ 8.2; มธ 8.5; มธ 8.9; มธ 8.12; มธ 8.16; มธ 8.19; มธ 8.20; มธ 8.26; มธ 8.28; มธ 8.30; มธ 8.33; มธ 9.6; มธ 9.10; มธ 9.16; มธ 9.17; มธ 9.18; มธ 9.20; มธ 9.27; มธ 9.32; มธ 9.36; มธ 10.2; มธ 10.3; มธ 10.16; มธ 10.26; มธ 10.28; มธ 10.31; มธ 11.11; มธ 11.15; มธ 11.18; มธ 11.27; มธ 11.29; มธ 12.5; มธ 12.6; มธ 12.7; มธ 12.10; มธ 12.11; มธ 12.19; มธ 12.20; มธ 12.22; มธ 12.29; มธ 12.38; มธ 12.47; มธ 13.2; มธ 13.3; มธ 13.5; มธ 13.6; มธ 13.9; มธ 13.12; มธ 13.15; มธ 13.20; มธ 13.21; มธ 13.27; มธ 13.42; มธ 13.43; มธ 13.44; มธ 13.46; มธ 13.50; มธ 13.54; มธ 13.58; มธ 14.17; มธ 14.21; มธ 14.31; มธ 15.22; มธ 15.32; มธ 15.34; มธ 15.38; มธ 16.8; มธ 16.28; มธ 17.5; มธ 17.14; มธ 17.15; มธ 17.17; มธ 17.20; มธ 18.7; มธ 18.8; มธ 18.9; มธ 18.12; มธ 18.13; มธ 18.20; มธ 18.25; มธ 18.27; มธ 19.9; มธ 19.12; มธ 19.16; มธ 19.17; มธ 19.21; มธ 19.22; มธ 19.30; มธ 20.7; มธ 20.24; มธ 20.30; มธ 20.34; มธ 21.3; มธ 21.13; มธ 21.19; มธ 21.21; มธ 21.23; มธ 21.28; มธ 21.33; มธ 22.13; มธ 22.23; มธ 22.24; มธ 22.25; มธ 22.30; มธ 22.35; มธ 22.46; มธ 23.5; มธ 23.6; มธ 23.8; มธ 23.9; มธ 23.10; มธ 23.30; มธ 24.5; มธ 24.11; มธ 24.19; มธ 24.21; มธ 24.22; มธ 24.24; มธ 24.29; มธ 24.36; มธ 24.51; มธ 25.2; มธ 25.4; มธ 25.6; มธ 25.8; มธ 25.9; มธ 25.28; มธ 25.29; มธ 25.30; มธ 26.7; มธ 26.11; มธ 26.31; มธ 26.47; มธ 26.51; มธ 26.60; มธ 26.66; มธ 26.69; มธ 27.16; มธ 27.24; มธ 27.38; มธ 27.55; มธ 27.56; มธ 27.57; มธ 27.63; มธ 27.64; มธ 28.11; มก 1.7; มก 1.11; มก 1.13; มก 1.23; มก 1.32; มก 1.40; มก 1.45; มก 2.2; มก 2.3; มก 2.6; มก 2.10; มก 2.15; มก 2.18; มก 2.21; มก 2.22; มก 3.1; มก 3.5; มก 3.10; มก 3.15; มก 3.22; มก 3.26; มก 3.27; มก 3.30; มก 4.3; มก 4.5; มก 4.6; มก 4.9; มก 4.16; มก 4.17; มก 4.22; มก 4.23; มก 4.25; มก 4.28; มก 4.36; มก 4.39; มก 4.40; มก 5.2; มก 5.3; มก 5.4; มก 5.11; มก 5.15; มก 5.21; มก 5.22; มก 5.24; มก 5.25; มก 5.26; มก 5.35; มก 6.6; มก 6.31; มก 6.33; มก 6.34; มก 6.36; มก 6.38; มก 6.44; มก 7.15; มก 7.16; มก 7.21; มก 7.25; มก 8.1; มก 8.2; มก 8.5; มก 8.7; มก 8.9; มก 8.14; มก 8.16; มก 8.17; มก 8.18; มก 8.38; มก 9.1; มก 9.7; มก 9.12; มก 9.13; มก 9.17; มก 9.18; มก 9.20; มก 9.26; มก 9.39; มก 9.43; มก 9.45; มก 9.47; มก 9.50; มก 10.11; มก 10.12; มก 10.17; มก 10.18; มก 10.21; มก 10.22; มก 10.31; มก 10.41; มก 10.46; มก 10.48; มก 11.2; มก 11.8; มก 11.10; มก 11.13; มก 11.14; มก 11.17; มก 11.25; มก 11.28; มก 12.1; มก 12.6; มก 12.18; มก 12.19; มก 12.20; มก 12.21; มก 12.22; มก 12.25; มก 12.28; มก 12.31; มก 12.32; มก 12.34; มก 12.39; มก 12.42; มก 12.44; มก 13.1; มก 13.6; มก 13.17; มก 13.19; มก 13.20; มก 13.22; มก 13.25; มก 13.32; มก 13.34; มก 14.3; มก 14.4; มก 14.7; มก 14.13; มก 14.21; มก 14.27; มก 14.51; มก 14.53; มก 14.56; มก 14.57; มก 14.64; มก 14.66; มก 15.7; มก 15.21; มก 15.26; มก 15.36; มก 15.40; มก 16.17; ลก 1.1; ลก 1.4; ลก 1.5; ลก 1.6; ลก 1.7; ลก 1.13; ลก 1.14; ลก 1.25; ลก 1.36; ลก 1.37; ลก 1.50; ลก 1.51; ลก 1.55; ลก 1.61; ลก 1.77; ลก 1.80; ลก 2.1; ลก 2.5; ลก 2.7; ลก 2.8; ลก 2.9; ลก 2.13; ลก 2.14; ลก 2.25; ลก 2.36; ลก 2.42; ลก 3.4; ลก 3.8; ลก 3.11; ลก 3.16; ลก 3.23; ลก 4.4; ลก 4.8; ลก 4.10; ลก 4.12; ลก 4.24; ลก 4.25; ลก 4.27; ลก 4.33; ลก 4.40; ลก 5.12; ลก 5.17; ลก 5.18; ลก 5.24; ลก 5.29; ลก 5.36; ลก 5.37; ลก 5.39; ลก 6.6; ลก 6.11; ลก 6.19; ลก 6.23; ลก 6.35; ลก 6.36; ลก 6.44; ลก 7.2; ลก 7.8; ลก 7.12; ลก 7.16; ลก 7.28; ลก 7.33; ลก 7.36; ลก 7.37; ลก 7.40; ลก 7.41; ลก 7.42; ลก 7.47; ลก 8.2; ลก 8.5; ลก 8.8; ลก 8.13; ลก 8.16; ลก 8.17; ลก 8.18; ลก 8.20; ลก 8.23; ลก 8.27; ลก 8.30; ลก 8.32; ลก 8.35; ลก 8.41; ลก 8.42; ลก 8.43; ลก 8.46; ลก 8.48; ลก 8.49; ลก 9.1; ลก 9.13; ลก 9.26; ลก 9.27; ลก 9.30; ลก 9.34; ลก 9.35; ลก 9.37; ลก 9.38; ลก 9.41; ลก 9.55; ลก 9.57; ลก 9.58; ลก 10.5; ลก 10.19; ลก 10.21; ลก 10.22; ลก 10.25; ลก 10.26; ลก 10.30; ลก 10.33; ลก 10.38; ลก 10.39; ลก 10.42; ลก 11.5; ลก 11.6; ลก 11.11; ลก 11.22; ลก 11.27; ลก 11.29; ลก 11.31; ลก 11.32; ลก 11.33; ลก 11.36; ลก 11.41; ลก 11.43; ลก 11.44; ลก 12.2; ลก 12.4; ลก 12.5; ลก 12.11; ลก 12.13; ลก 12.15; ลก 12.17; ลก 12.19; ลก 12.24; ลก 12.25; ลก 12.28; ลก 12.29; ลก 12.33; ลก 13.1; ลก 13.6; ลก 13.11; ลก 13.14; ลก 13.23; ลก 13.28; ลก 13.29; ลก 13.30; ลก 13.31; ลก 14.2; ลก 14.5; ลก 14.7; ลก 14.8; ลก 14.10; ลก 14.14; ลก 14.16; ลก 14.22; ลก 14.24; ลก 14.28; ลก 14.31; ลก 14.33; ลก 14.35; ลก 15.4; ลก 15.7; ลก 15.8; ลก 15.10; ลก 15.11; ลก 15.16; ลก 15.17; ลก 15.20; ลก 15.24; ลก 16.1; ลก 16.3; ลก 16.9; ลก 16.13; ลก 16.14; ลก 16.16; ลก 16.18; ลก 16.19; ลก 16.20; ลก 16.25; ลก 16.26; ลก 16.28; ลก 16.29; ลก 17.1; ลก 17.6; ลก 17.7; ลก 17.10; ลก 17.12; ลก 17.17; ลก 17.34; ลก 18.2; ลก 18.3; ลก 18.10; ลก 18.18; ลก 18.19; ลก 18.22; ลก 18.35; ลก 19.2; ลก 19.12; ลก 19.17; ลก 19.24; ลก 19.25; ลก 19.26; ลก 19.30; ลก 19.31; ลก 19.37; ลก 19.38; ลก 19.46; ลก 20.9; ลก 20.27; ลก 20.28; ลก 20.29; ลก 20.30; ลก 20.31; ลก 20.34; ลก 20.35; ลก 20.46; ลก 21.4; ลก 21.8; ลก 21.11; ลก 21.23; ลก 21.25; ลก 21.26; ลก 22.10; ลก 22.15; ลก 22.24; ลก 22.25; ลก 22.35; ลก 22.36; ลก 22.38; ลก 22.47; ลก 22.50; ลก 22.56; ลก 22.58; ลก 22.59; ลก 23.4; ลก 23.8; ลก 23.14; ลก 23.15; ลก 23.20; ลก 23.22; ลก 23.27; ลก 23.29; ลก 23.32; ลก 23.38; ลก 23.50; ลก 24.4; ลก 24.13; ลก 24.22; ลก 24.25; ลก 24.39; ลก 24.41; ลก 24.46; ลก 24.52; ยน 1.3; ยน 1.4; ยน 1.6; ยน 1.7; ยน 1.18; ยน 1.26; ยน 1.30; ยน 1.47; ยน 2.1; ยน 2.3; ยน 2.6; ยน 2.18; ยน 2.23; ยน 2.25; ยน 3.1; ยน 3.2; ยน 3.13; ยน 3.15; ยน 3.16; ยน 3.19; ยน 3.23; ยน 3.29; ยน 3.32; ยน 3.36; ยน 4.1; ยน 4.7; ยน 4.11; ยน 4.17; ยน 4.18; ยน 4.21; ยน 4.27; ยน 4.32; ยน 4.33; ยน 4.46; ยน 5.2; ยน 5.3; ยน 5.4; ยน 5.5; ยน 5.7; ยน 5.13; ยน 5.21; ยน 5.24; ยน 5.25; ยน 5.26; ยน 5.27; ยน 5.32; ยน 5.36; ยน 5.38; ยน 5.39; ยน 5.42; ยน 5.45; ยน 6.9; ยน 6.10; ยน 6.12; ยน 6.22; ยน 6.23; ยน 6.31; ยน 6.40; ยน 6.44; ยน 6.45; ยน 6.46; ยน 6.47; ยน 6.51; ยน 6.53; ยน 6.54; ยน 6.57; ยน 6.58; ยน 6.63; ยน 6.64; ยน 6.65; ยน 6.68; ยน 7.4; ยน 7.6; ยน 7.13; ยน 7.18; ยน 7.19; ยน 7.20; ยน 7.27; ยน 7.30; ยน 7.31; ยน 7.38; ยน 7.43; ยน 7.44; ยน 7.46; ยน 7.48; ยน 7.52; ยน 8.7; ยน 8.10; ยน 8.11; ยน 8.12; ยน 8.17; ยน 8.20; ยน 8.26; ยน 8.30; ยน 8.37; ยน 8.41; ยน 8.46; ยน 8.48; ยน 8.49; ยน 8.50; ยน 8.52; ยน 8.54; ยน 8.56; ยน 9.4; ยน 9.32; ยน 9.41; ยน 10.16; ยน 10.18; ยน 10.20; ยน 10.21; ยน 10.28; ยน 10.29; ยน 10.34; ยน 10.42; ยน 11.1; ยน 11.9; ยน 11.10; ยน 11.25; ยน 11.26; ยน 11.38; ยน 11.39; ยน 11.44; ยน 12.3; ยน 12.8; ยน 12.14; ยน 12.16; ยน 12.20; ยน 12.28; ยน 12.35; ยน 12.36; ยน 12.42; ยน 12.48; ยน 13.8; ยน 13.23; ยน 13.28; ยน 13.32; ยน 14.2; ยน 14.6; ยน 14.21; ยน 14.30; ยน 15.13; ยน 15.22; ยน 15.24; ยน 16.5; ยน 16.12; ยน 16.15; ยน 16.21; ยน 16.22; ยน 16.24; ยน 16.33; ยน 17.2; ยน 17.5; ยน 17.10; ยน 17.12; ยน 18.10; ยน 18.29; ยน 18.34; ยน 18.38; ยน 18.39; ยน 19.4; ยน 19.6; ยน 19.7; ยน 19.10; ยน 19.11; ยน 19.15; ยน 19.23; ยน 19.25; ยน 19.29; ยน 19.37; ยน 19.41; ยน 20.20; ยน 20.31; ยน 21.5; ยน 21.9; ยน 21.11; ยน 21.12; ยน 21.25; กจ 1.9; กจ 1.10; กจ 1.13; กจ 1.15; กจ 1.20; กจ 1.23; กจ 2.2; กจ 2.3; กจ 2.5; กจ 2.6; กจ 2.28; กจ 2.29; กจ 2.41; กจ 2.43; กจ 3.2; กจ 3.6; กจ 3.7; กจ 3.10; กจ 3.16; กจ 4.12; กจ 4.13; กจ 4.14; กจ 4.21; กจ 4.22; กจ 4.24; กจ 4.32; กจ 4.34; กจ 4.37; กจ 5.1; กจ 5.4; กจ 5.12; กจ 5.14; กจ 5.16; กจ 5.17; กจ 5.25; กจ 5.36; กจ 5.37; กจ 6.3; กจ 6.9; กจ 7.5; กจ 7.10; กจ 7.11; กจ 7.12; กจ 7.19; กจ 7.20; กจ 7.22; กจ 7.23; กจ 7.31; กจ 7.39; กจ 7.41; กจ 7.42; กจ 7.44; กจ 7.45; กจ 7.46; กจ 7.52; กจ 8.9; กจ 8.19; กจ 8.21; กจ 8.27; กจ 8.31; กจ 8.36; กจ 8.40; กจ 9.3; กจ 9.6; กจ 9.10; กจ 9.18; กจ 9.19; กจ 9.22; กจ 9.31; กจ 9.36; กจ 9.39; กจ 10.1; กจ 10.2; กจ 10.7; กจ 10.11; กจ 10.12; กจ 10.13; กจ 10.15; กจ 10.17; กจ 10.22; กจ 10.30; กจ 11.9; กจ 11.11; กจ 11.20; กจ 11.27; กจ 12.6; กจ 12.7; กจ 12.12; กจ 12.13; กจ 12.21; กจ 12.23; กจ 12.25; กจ 13.1; กจ 13.8; กจ 13.9; กจ 13.15; กจ 13.21; กจ 13.25; กจ 13.29; กจ 13.33; กจ 13.41; กจ 13.45; กจ 13.46; กจ 13.48; กจ 13.50; กจ 14.2; กจ 14.3; กจ 14.8; กจ 14.9; กจ 14.15; กจ 14.17; กจ 14.19; กจ 15.1; กจ 15.3; กจ 15.5; กจ 15.21; กจ 15.22; กจ 15.24; กจ 15.31; กจ 15.32; กจ 15.37; กจ 16.1; กจ 16.2; กจ 16.13; กจ 16.14; กจ 16.16; กจ 17.1; กจ 17.7; กจ 17.12; กจ 17.16; กจ 17.20; กจ 17.23; กจ 17.24; กจ 17.28; กจ 17.34; กจ 18.2; กจ 18.3; กจ 18.10; กจ 18.24; กจ 18.25; กจ 19.7; กจ 19.9; กจ 19.14; กจ 19.16; กจ 19.17; กจ 19.18; กจ 19.24; กจ 19.31; กจ 19.35; กจ 19.38; กจ 19.39; กจ 20.8; กจ 20.22; กจ 20.29; กจ 20.30; กจ 20.32; กจ 20.35; กจ 21.9; กจ 21.10; กจ 21.20; กจ 21.23; กจ 21.24; กจ 22.3; กจ 22.6; กจ 22.12; กจ 22.22; กจ 23.5; กจ 23.6; กจ 23.8; กจ 23.9; กจ 23.11; กจ 23.13; กจ 23.17; กจ 23.18; กจ 23.21; กจ 23.25; กจ 23.29; กจ 23.30; กจ 24.2; กจ 24.14; กจ 24.15; กจ 24.18; กจ 24.19; กจ 24.25; กจ 25.5; กจ 25.11; กจ 25.14; กจ 25.16; กจ 25.24; กจ 25.26; กจ 26.3; กจ 26.6; กจ 26.22; กจ 26.26; กจ 26.29; กจ 27.2; กจ 27.3; กจ 27.9; กจ 27.10; กจ 27.16; กจ 27.22; กจ 27.29; กจ 27.36; กจ 27.39; กจ 27.42; กจ 28.2; กจ 28.3; กจ 28.7; กจ 28.9; กจ 28.11; กจ 28.15; กจ 28.18; กจ 28.19; กจ 28.21; กจ 28.31; รม 1.10; รม 1.13; รม 1.16; รม 1.17; รม 1.20; รม 1.26; รม 1.27; รม 1.28; รม 1.31; รม 2.1; รม 2.10; รม 2.12; รม 2.14; รม 2.15; รม 2.20; รม 2.24; รม 2.27; รม 3.1; รม 3.2; รม 3.3; รม 3.4; รม 3.10; รม 3.11; รม 3.12; รม 3.13; รม 3.16; รม 3.18; รม 3.19; รม 3.20; รม 4.2; รม 4.9; รม 4.11; รม 4.12; รม 4.13; รม 4.14; รม 4.15; รม 4.16; รม 4.17; รม 4.18; รม 4.20; รม 5.1; รม 5.2; รม 5.4; รม 5.7; รม 5.13; รม 5.15; รม 5.20; รม 6.1; รม 6.2; รม 6.8; รม 6.10; รม 6.11; รม 6.14; รม 6.17; รม 7.1; รม 7.2; รม 7.3; รม 7.5; รม 7.8; รม 7.9; รม 7.10; รม 7.18; รม 7.23; รม 8.1; รม 8.9; รม 8.10; รม 8.19; รม 8.20; รม 8.21; รม 8.25; รม 8.30; รม 8.38; รม 8.39; รม 9.2; รม 9.9; รม 9.10; รม 9.13; รม 9.17; รม 9.18; รม 9.21; รม 9.33; รม 10.2; รม 10.4; รม 10.5; รม 10.6; รม 10.11; รม 10.14; รม 10.15; รม 11.5; รม 11.7; รม 11.8; รม 11.11; รม 11.25; รม 11.26; รม 11.36; รม 12.1; รม 12.4; รม 12.6; รม 12.11; รม 12.13; รม 12.15; รม 12.19; รม 13.1; รม 13.8; รม 14.5; รม 14.7; รม 14.8; รม 14.11; รม 14.14; รม 14.20; รม 14.22; รม 15.1; รม 15.3; รม 15.4; รม 15.5; รม 15.6; รม 15.9; รม 15.10; รม 15.11; รม 15.17; รม 15.20; รม 15.21; รม 15.23; รม 15.32; รม 16.7; รม 16.19; รม 16.27; 1คร 1.10; 1คร 1.11; 1คร 1.15; 1คร 1.19; 1คร 1.25; 1คร 1.26; 1คร 2.3; 1คร 2.8; 1คร 2.9; 1คร 2.11; 1คร 2.15; 1คร 2.16; 1คร 3.19; 1คร 3.20; 1คร 4.4; 1คร 4.7; 1คร 4.8; 1คร 4.10; 1คร 4.11; 1คร 4.15; 1คร 5.1; 1คร 6.1; 1คร 6.5; 1คร 6.11; 1คร 6.13; 1คร 7.2; 1คร 7.4; 1คร 7.9; 1คร 7.11; 1คร 7.12; 1คร 7.13; 1คร 7.18; 1คร 7.26; 1คร 7.27; 1คร 7.28; 1คร 7.29; 1คร 7.30; 1คร 7.32; 1คร 7.33; 1คร 7.34; 1คร 7.36; 1คร 7.37; 1คร 7.39; 1คร 8.1; 1คร 8.4; 1คร 8.5; 1คร 8.6; 1คร 8.7; 1คร 8.10; 1คร 8.11; 1คร 9.1; 1คร 9.4; 1คร 9.5; 1คร 9.6; 1คร 9.12; 1คร 9.16; 1คร 9.23; 1คร 9.24; 1คร 9.25; 1คร 9.26; 1คร 10.5; 1คร 10.6; 1คร 10.7; 1คร 10.13; 1คร 10.15; 1คร 10.16; 1คร 10.18; 1คร 10.20; 1คร 10.22; 1คร 10.27; 1คร 10.28; 1คร 11.12; 1คร 11.18; 1คร 11.19; 1คร 11.22; 1คร 11.30; 1คร 11.34; 1คร 12.3; 1คร 12.4; 1คร 12.5; 1คร 12.6; 1คร 12.7; 1คร 12.8; 1คร 12.9; 1คร 12.12; 1คร 12.19; 1คร 12.20; 1คร 12.23; 1คร 12.25; 1คร 12.28; 1คร 13.1; 1คร 13.2; 1คร 13.3; 1คร 13.7; 1คร 13.8; 1คร 14.2; 1คร 14.7; 1คร 14.10; 1คร 14.21; 1คร 14.23; 1คร 14.26; 1คร 14.28; 1คร 14.30; 1คร 15.4; 1คร 15.12; 1คร 15.13; 1คร 15.19; 1คร 15.29; 1คร 15.31; 1คร 15.34; 1คร 15.35; 1คร 15.40; 1คร 15.43; 1คร 15.44; 1คร 15.45; 1คร 15.49; 1คร 15.51; 1คร 15.52; 1คร 16.9; 1คร 16.12; 1คร 16.24; 2คร 1.2; 2คร 1.4; 2คร 1.5; 2คร 1.7; 2คร 2.1; 2คร 2.2; 2คร 2.3; 2คร 2.4; 2คร 2.12; 2คร 2.13; 2คร 2.16; 2คร 3.4; 2คร 3.7; 2คร 3.8; 2คร 3.9; 2คร 3.11; 2คร 3.12; 2คร 3.17; 2คร 3.18; 2คร 4.1; 2คร 4.2; 2คร 4.4; 2คร 4.6; 2คร 4.7; 2คร 4.11; 2คร 4.13; 2คร 4.15; 2คร 4.17; 2คร 5.1; 2คร 5.2; 2คร 5.8; 2คร 5.12; 2คร 5.15; 2คร 5.21; 2คร 6.3; 2คร 6.8; 2คร 6.9; 2คร 6.10; 2คร 6.14; 2คร 6.15; 2คร 7.1; 2คร 7.4; 2คร 7.5; 2คร 7.7; 2คร 7.8; 2คร 7.9; 2คร 7.12; 2คร 7.13; 2คร 8.4; 2คร 8.7; 2คร 8.8; 2คร 8.10; 2คร 8.11; 2คร 8.12; 2คร 8.14; 2คร 8.15; 2คร 8.16; 2คร 8.17; 2คร 8.18; 2คร 8.22; 2คร 8.23; 2คร 9.5; 2คร 9.8; 2คร 9.11; 2คร 9.12; 2คร 10.4; 2คร 10.10; 2คร 11.3; 2คร 11.6; 2คร 11.10; 2คร 11.12; 2คร 11.16; 2คร 11.20; 2คร 11.28; 2คร 11.29; 2คร 12.1; 2คร 12.2; 2คร 12.3; 2คร 12.7; 2คร 12.9; 2คร 12.15; 2คร 12.20; 2คร 13.1; 2คร 13.4; 2คร 13.11; กท 1.5; กท 1.7; กท 1.12; กท 1.14; กท 2.4; กท 2.15; กท 2.16; กท 2.19; กท 2.20; กท 3.10; กท 3.11; กท 3.13; กท 3.15; กท 3.19; กท 3.21; กท 4.20; กท 4.22; กท 4.27; กท 5.4; กท 5.13; กท 5.23; กท 5.25; กท 6.4; กท 6.10; กท 6.16; กท 6.17; อฟ 1.8; อฟ 1.17; อฟ 1.18; อฟ 1.19; อฟ 2.1; อฟ 2.5; อฟ 2.12; อฟ 2.18; อฟ 3.6; อฟ 3.12; อฟ 3.20; อฟ 3.21; อฟ 4.2; อฟ 4.4; อฟ 4.5; อฟ 4.17; อฟ 4.19; อฟ 4.21; อฟ 4.28; อฟ 4.32; อฟ 5.3; อฟ 5.6; อฟ 5.27; อฟ 5.29; อฟ 6.2; อฟ 6.3; อฟ 6.10; อฟ 6.19; ฟป 1.5; ฟป 1.7; ฟป 1.14; ฟป 1.15; ฟป 1.18; ฟป 1.20; ฟป 1.21; ฟป 1.22; ฟป 1.23; ฟป 1.24; ฟป 2.1; ฟป 2.2; ฟป 2.3; ฟป 2.5; ฟป 2.7; ฟป 2.13; ฟป 2.15; ฟป 2.16; ฟป 2.17; ฟป 2.20; ฟป 2.27; ฟป 3.4; ฟป 3.6; ฟป 3.9; ฟป 3.15; ฟป 3.18; ฟป 4.2; ฟป 4.3; ฟป 4.8; ฟป 4.10; ฟป 4.11; ฟป 4.15; ฟป 4.18; ฟป 4.20; คส 1.4; คส 1.5; คส 1.8; คส 1.11; คส 1.19; คส 1.20; คส 1.24; คส 2.5; คส 2.8; คส 2.13; คส 2.17; คส 2.20; คส 2.23; คส 3.13; คส 3.19; คส 3.25; คส 4.1; คส 4.6; คส 4.11; 1ธส 1.10; 1ธส 2.2; 1ธส 2.8; 1ธส 3.3; 1ธส 3.9; 1ธส 4.4; 1ธส 4.10; 1ธส 4.13; 1ธส 5.3; 1ธส 5.10; 1ธส 5.14; 2ธส 1.3; 2ธส 2.3; 2ธส 2.16; 2ธส 3.4; 2ธส 3.9; 2ธส 3.11; 1ทธ 1.11; 1ทธ 1.14; 1ทธ 1.17; 1ทธ 1.19; 1ทธ 1.20; 1ทธ 2.2; 1ทธ 2.4; 1ทธ 2.5; 1ทธ 3.2; 1ทธ 3.7; 1ทธ 3.10; 1ทธ 3.13; 1ทธ 3.16; 1ทธ 4.1; 1ทธ 4.8; 1ทธ 4.10; 1ทธ 4.14; 1ทธ 5.4; 1ทธ 5.10; 1ทธ 5.14; 1ทธ 5.15; 1ทธ 5.16; 1ทธ 5.19; 1ทธ 5.22; 1ทธ 6.2; 1ทธ 6.3; 1ทธ 6.5; 1ทธ 6.8; 1ทธ 6.14; 1ทธ 6.16; 1ทธ 6.17; 1ทธ 6.18; 2ทธ 1.1; 2ทธ 1.5; 2ทธ 1.6; 2ทธ 1.8; 2ทธ 1.13; 2ทธ 1.15; 2ทธ 2.1; 2ทธ 2.4; 2ทธ 2.9; 2ทธ 2.10; 2ทธ 2.11; 2ทธ 2.17; 2ทธ 2.19; 2ทธ 2.20; 2ทธ 2.21; 2ทธ 2.24; 2ทธ 3.5; 2ทธ 3.6; 2ทธ 3.15; 2ทธ 4.2; 2ทธ 4.16; 2ทธ 4.18; ทต 1.6; ทต 1.7; ทต 1.8; ทต 1.10; ทต 1.12; ทต 1.13; ทต 1.15; ทต 2.2; ทต 2.3; ทต 2.5; ทต 2.8; ทต 2.12; ทต 2.13; ทต 3.5; ฟม 1.5; ฟม 1.6; ฟม 1.7; ฟม 1.8; ฟม 1.20; ฮบ 1.3; ฮบ 1.5; ฮบ 2.6; ฮบ 2.8; ฮบ 2.14; ฮบ 3.3; ฮบ 3.4; ฮบ 3.12; ฮบ 3.13; ฮบ 3.14; ฮบ 3.15; ฮบ 4.1; ฮบ 4.2; ฮบ 4.4; ฮบ 4.6; ฮบ 4.9; ฮบ 4.12; ฮบ 4.13; ฮบ 4.14; ฮบ 4.15; ฮบ 4.16; ฮบ 5.2; ฮบ 5.4; ฮบ 5.11; ฮบ 6.4; ฮบ 6.13; ฮบ 6.18; ฮบ 7.3; ฮบ 7.5; ฮบ 7.8; ฮบ 7.11; ฮบ 7.13; ฮบ 7.14; ฮบ 7.15; ฮบ 7.17; ฮบ 7.18; ฮบ 7.21; ฮบ 8.1; ฮบ 8.3; ฮบ 8.4; ฮบ 8.7; ฮบ 9.1; ฮบ 9.2; ฮบ 9.3; ฮบ 9.4; ฮบ 9.5; ฮบ 9.7; ฮบ 9.9; ฮบ 9.15; ฮบ 9.17; ฮบ 9.22; ฮบ 9.27; ฮบ 10.2; ฮบ 10.7; ฮบ 10.18; ฮบ 10.19; ฮบ 10.20; ฮบ 10.21; ฮบ 10.22; ฮบ 10.24; ฮบ 10.26; ฮบ 10.27; ฮบ 10.28; ฮบ 10.34; ฮบ 10.35; ฮบ 10.38; ฮบ 11.1; ฮบ 11.4; ฮบ 11.5; ฮบ 11.6; ฮบ 11.7; ฮบ 11.10; ฮบ 11.15; ฮบ 11.18; ฮบ 11.22; ฮบ 11.32; ฮบ 11.34; ฮบ 11.39; ฮบ 12.1; ฮบ 12.2; ฮบ 12.7; ฮบ 12.8; ฮบ 12.9; ฮบ 12.12; ฮบ 12.14; ฮบ 12.15; ฮบ 12.16; ฮบ 12.17; ฮบ 12.23; ฮบ 12.24; ฮบ 12.27; ฮบ 13.1; ฮบ 13.3; ฮบ 13.5; ฮบ 13.10; ฮบ 13.14; ฮบ 13.18; ฮบ 13.21; ยก 1.12; ยก 1.17; ยก 1.27; ยก 2.2; ยก 2.14; ยก 2.16; ยก 2.18; ยก 2.19; ยก 3.8; ยก 3.11; ยก 3.12; ยก 3.13; ยก 3.14; ยก 3.16; ยก 3.17; ยก 4.2; ยก 4.5; ยก 4.12; ยก 4.14; ยก 4.15; ยก 4.17; ยก 5.5; ยก 5.7; ยก 5.13; ยก 5.14; ยก 5.16; ยก 5.17; 1ปต 1.3; 1ปต 1.16; 1ปต 1.19; 1ปต 1.22; 1ปต 2.4; 1ปต 2.5; 1ปต 2.6; 1ปต 2.7; 1ปต 2.16; 1ปต 3.4; 1ปต 3.6; 1ปต 3.7; 1ปต 3.8; 1ปต 3.15; 1ปต 3.16; 1ปต 3.18; 1ปต 3.21; 1ปต 4.1; 1ปต 4.6; 1ปต 4.11; 1ปต 4.13; 1ปต 4.15; 1ปต 4.16; 1ปต 5.1; 1ปต 5.9; 1ปต 5.10; 1ปต 5.11; 2ปต 1.3; 2ปต 1.4; 2ปต 1.8; 2ปต 1.11; 2ปต 1.19; 2ปต 1.20; 2ปต 2.1; 2ปต 2.2; 2ปต 2.7; 2ปต 2.10; 2ปต 2.11; 2ปต 2.14; 2ปต 3.6; 2ปต 3.10; 2ปต 3.16; 2ปต 3.18; 1ยน 1.5; 1ยน 1.8; 1ยน 2.1; 1ยน 2.7; 1ยน 2.10; 1ยน 2.14; 1ยน 2.16; 1ยน 2.18; 1ยน 2.23; 1ยน 2.28; 1ยน 3.3; 1ยน 3.5; 1ยน 3.15; 1ยน 3.17; 1ยน 3.21; 1ยน 4.1; 1ยน 4.9; 1ยน 4.12; 1ยน 4.16; 1ยน 4.17; 1ยน 4.18; 1ยน 5.4; 1ยน 5.7; 1ยน 5.8; 1ยน 5.10; 1ยน 5.11; 1ยน 5.12; 1ยน 5.13; 1ยน 5.14; 1ยน 5.16; 1ยน 5.17; 2ยน 1.5; 2ยน 1.7; 2ยน 1.9; 2ยน 1.12; 3ยน 1.2; 3ยน 1.4; 3ยน 1.13; 3ยน 1.14; ยด 1.4; ยด 1.10; ยด 1.11; ยด 1.12; ยด 1.18; ยด 1.24; ยด 1.25; วว 1.3; วว 1.6; วว 1.13; วว 1.16; วว 2.3; วว 2.4; วว 2.6; วว 2.7; วว 2.9; วว 2.11; วว 2.14; วว 2.15; วว 2.17; วว 2.18; วว 2.19; วว 2.20; วว 2.25; วว 2.26; วว 2.29; วว 3.1; วว 3.4; วว 3.5; วว 3.6; วว 3.7; วว 3.8; วว 3.11; วว 3.12; วว 3.13; วว 3.19; วว 3.21; วว 3.22; วว 4.2; วว 4.3; วว 4.4; วว 4.5; วว 4.6; วว 4.7; วว 4.8; วว 5.1; วว 5.2; วว 5.3; วว 5.4; วว 5.5; วว 5.6; วว 5.13; วว 6.2; วว 6.4; วว 6.5; วว 6.8; วว 7.9; วว 7.10; วว 7.12; วว 8.5; วว 8.8; วว 8.9; วว 8.10; วว 8.11; วว 8.13; วว 9.1; วว 9.2; วว 9.3; วว 9.4; วว 9.7; วว 9.9; วว 9.10; วว 9.11; วว 9.12; วว 9.16; วว 9.17; วว 9.19; วว 10.1; วว 10.6; วว 11.6; วว 11.7; วว 11.11; วว 11.13; วว 11.15; วว 11.18; วว 11.19; วว 12.1; วว 12.2; วว 12.3; วว 12.6; วว 12.7; วว 12.8; วว 12.12; วว 13.1; วว 13.5; วว 13.7; วว 13.8; วว 13.9; วว 13.11; วว 13.12; วว 13.14; วว 13.15; วว 13.17; วว 13.18; วว 14.1; วว 14.3; วว 14.4; วว 14.5; วว 14.11; วว 14.14; วว 14.15; วว 15.1; วว 15.4; วว 15.8; วว 16.2; วว 16.3; วว 16.9; วว 16.11; วว 16.17; วว 16.18; วว 16.20; วว 16.21; วว 17.3; วว 17.7; วว 17.8; วว 17.10; วว 17.13; วว 17.17; วว 17.18; วว 18.1; วว 18.4; วว 18.7; วว 18.9; วว 18.11; วว 18.12; วว 18.17; วว 18.19; วว 18.21; วว 18.22; วว 18.23; วว 19.1; วว 19.5; วว 19.9; วว 19.11; วว 19.12; วว 19.15; วว 19.16; วว 20.1; วว 20.3; วว 20.4; วว 20.5; วว 20.6; วว 20.11; วว 20.15; วว 21.1; วว 21.4; วว 21.7; วว 21.12; วว 21.13; วว 21.14; วว 21.22; วว 21.25; วว 21.27; วว 22.1; วว 22.2; วว 22.3; วว 22.5; วว 22.14; วว 22.15; วว 22.17; วว 22.19

มีคา ( 5 )
2ซมอ 9.12 เมฟีโบเชทมีบุตรชายเล็กคนหนึ่งชื่อมีคา ทุกคนที่อาศัยอยู่ในเรือนของศิบาก็ได้เป็นมหาดเล็กของเมฟีโบเชท
1พศด 9.15 กับบัคบัคคาร์ เฮเรช กาลาล และมัทธานิยาห์ ผู้เป็นบุตรชายมีคา ผู้เป็นบุตรชายศิครี ผู้เป็นบุตรชายอาสาฟ
นหม 10.11 มีคา เรโหบ ฮาชาบิยาห์
นหม 11.17 และมัทธานิยาห์บุตรชายมีคา ผู้เป็นบุตรชายศับดี ผู้เป็นบุตรชายอาสาฟ ผู้เป็นหัวหน้าในการเริ่มต้นการโมทนาพระคุณในการอธิษฐาน และบัคบูคิยาห์เป็นที่สองในหมู่พี่น้องของเขา และอับดาบุตรชายชัมมุวา ผู้เป็นบุตรชายกาลาล ผู้เป็นบุตรชายเยดูธูน
นหม 11.22 ผู้ดูแลคนเลวีในเยรูซาเล็มคือ อุสซีบุตรชายบานี ผู้เป็นบุตรชายฮาชาบิยาห์ ผู้เป็นบุตรชายมัทธานิยาห์ ผู้เป็นบุตรชายมีคา สำหรับลูกหลานของอาสาฟ พวกนักร้องดูแลการงานพระนิเวศของพระเจ้า

มีคายาห์ ( 27 )
1พกษ 22.8 และกษัตริย์แห่งอิสราเอลทูลเยโฮชาฟัทว่า “ยังมีชายอีกคนหนึ่งซึ่งเราจะให้ทูลถามพระเยโฮวาห์ได้คือ มีคายาห์บุตรอิมลาห์ แต่ข้าพเจ้าชังเขา เพราะเขาพยากรณ์แต่ความร้าย ไม่เคยพยากรณ์ความดีเกี่ยวกับข้าพเจ้าเลย” และเยโฮชาฟัททูลว่า “ขอกษัตริย์อย่าตรัสดังนั้นเลย”
1พกษ 22.9 แล้วกษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงเรียกมหาดเล็กคนหนึ่งเข้ามาตรัสสั่งว่า “ไปพามีคายาห์บุตรอิมลาห์มาเร็วๆ”
1พกษ 22.13 และผู้สื่อสารผู้ไปตามมีคายาห์ได้บอกท่านว่า “ดูเถิด ถ้อยคำของบรรดาผู้พยากรณ์ก็พูดสิ่งที่ดีแก่กษัตริย์เป็นปากเดียวกัน ขอให้ถ้อยคำของท่านเหมือนอย่างถ้อยคำของคนหนึ่งในพวกนั้น และพูดแต่สิ่งที่ดี”
1พกษ 22.14 แต่มีคายาห์ตอบว่า “พระเยโฮวาห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด พระเยโฮวาห์ตรัสกับข้าพเจ้าอย่างไร ข้าพเจ้าจะต้องพูดอย่างนั้น”
1พกษ 22.15 และเมื่อท่านมาเฝ้ากษัตริย์ กษัตริย์ตรัสถามท่านว่า “มีคายาห์ ควรที่เราจะไปตีราโมทกิเลอาดหรือ หรือเราไม่ควรไป” และท่านทูลตอบพระองค์ว่า “ขอเชิญเสด็จขึ้นไปและมีชัยชนะ พระเยโฮวาห์จะทรงมอบไว้ในพระหัตถ์ของกษัตริย์”
1พกษ 22.19 และมีคายาห์ทูลว่า “ฉะนั้นขอสดับพระวจนะของพระเยโฮวาห์ ข้าพระองค์ได้เห็นพระเยโฮวาห์ประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ และบรรดาบริวารแห่งฟ้าสวรรค์ยืนข้างๆพระองค์ ข้างขวาพระหัตถ์และข้างซ้าย
1พกษ 22.24 แล้วเศเดคียาห์บุตรชายเคนาอะนาห์ได้เข้ามาใกล้และตบแก้มมีคายาห์พูดว่า “พระวิญญาณของพระเยโฮวาห์ไปจากข้า พูดกับเจ้าได้อย่างไร”
1พกษ 22.25 และมีคายาห์ตอบว่า “ดูเถิด เจ้าจะเห็นในวันนั้น เมื่อเจ้าเข้าไปในห้องชั้นในเพื่อจะซ่อนตัวเจ้า”
1พกษ 22.26 และกษัตริย์แห่งอิสราเอลตรัสว่า “จงจับมีคายาห์พาเขากลับไปมอบให้อาโมนผู้ว่าราชการเมืองและแก่โยอาชราชโอรสกษัตริย์
1พกษ 22.28 และมีคายาห์ทูลว่า “ถ้าพระองค์เสด็จกลับมาโดยสันติภาพ พระเยโฮวาห์ก็มิได้ตรัสโดยข้าพระองค์” และท่านกล่าวว่า “โอ บรรดาชนชาติทั้งหลายเอ๋ย ขอจงฟังเถิด”
2พกษ 22.12 และกษัตริย์ทรงบัญชาฮิลคียาห์ปุโรหิต และอาหิคัมบุตรชายชาฟาน และอัคโบร์บุตรชายมีคายาห์ และชาฟานราชเลขา และอาสายาห์ผู้รับใช้ของกษัตริย์ รับสั่งว่า
2พศด 13.2 พระองค์ทรงครอบครองในเยรูซาเล็มสามปี พระชนนีของพระองค์มีพระนามว่ามีคายาห์ธิดาของอุรีเอลแห่งกิเบอาห์ มีสงครามระหว่างอาบียาห์และเยโรโบอัม
2พศด 17.7 ในปีที่สามแห่งรัชกาลของพระองค์ พระองค์ทรงใช้เจ้านายของพระองค์คือ เบนฮาอิล โอบาดีห์ เศคาริยาห์ เนธันเอล และมีคายาห์ไปสั่งสอนในหัวเมืองของยูดาห์
2พศด 18.7 และกษัตริย์แห่งอิสราเอลทูลเยโฮชาฟัทว่า “ยังมีชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งเราจะให้ทูลถามพระเยโฮวาห์ได้ แต่ข้าพเจ้าชังเขา เพราะเขาพยากรณ์แต่ความร้ายเสมอ ไม่เคยพยากรณ์ความดีเกี่ยวกับข้าพเจ้าเลย คนนั้นคือมีคายาห์บุตรอิมลาห์” และเยโฮชาฟัททูลว่า “ขอกษัตริย์อย่าตรัสดังนั้นเลย”
2พศด 18.8 แล้วกษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงเรียกมหาดเล็กคนหนึ่งเข้ามาและตรัสสั่งว่า “ไปพามีคายาห์บุตรอิมลาห์มาเร็วๆ”
2พศด 18.12 และผู้สื่อสารผู้ไปตามมีคายาห์ได้บอกท่านว่า “ดูเถิด ถ้อยคำของบรรดาผู้พยากรณ์ก็พูดสิ่งที่ดีแก่กษัตริย์ดุจปากเดียวกัน ขอให้ถ้อยคำของท่านเหมือนอย่างถ้อยคำของคนหนึ่งในพวกนั้น และพูดแต่สิ่งที่ดี”
2พศด 18.13 แต่มีคายาห์ตอบว่า “พระเยโฮวาห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด พระเจ้าของข้าพเจ้าตรัสว่าอย่างไร ข้าพเจ้าจะพูดอย่างนั้น”
2พศด 18.14 และเมื่อท่านมาเฝ้ากษัตริย์ กษัตริย์ตรัสถามท่านว่า “มีคายาห์ ควรที่เราจะไปตีราโมทกิเลอาดหรือ หรือเราไม่ควรไป” และท่านทูลตอบพระองค์ว่า “ขอเชิญเสด็จขึ้นไปและจะมีชัยชนะ เขาทั้งหลายจะถูกมอบไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์”
2พศด 18.18 และมีคายาห์ทูลว่า “ฉะนั้นขอสดับพระวจนะของพระเยโฮวาห์ ข้าพระองค์ได้เห็นพระเยโฮวาห์ประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ และบรรดาบริวารแห่งฟ้าสวรรค์ยืนข้างๆพระองค์ข้างขวาพระหัตถ์และข้างซ้าย
2พศด 18.23 แล้วเศเดคียาห์บุตรชายเคนาอะนาห์ได้เข้ามาใกล้และตบแก้มมีคายาห์พูดว่า “พระวิญญาณของพระเยโฮวาห์ไปจากข้าพูดกับเจ้าได้อย่างไร”
2พศด 18.24 และมีคายาห์ตอบว่า “ดูเถิด เจ้าจะเห็นในวันนั้น เมื่อเจ้าเข้าไปในห้องชั้นในเพื่อจะซ่อนตัวเจ้า”
2พศด 18.25 และกษัตริย์แห่งอิสราเอลตรัสว่า “จงจับมีคายาห์ พาเขากลับไปมอบให้อาโมนผู้ว่าราชการเมือง และแก่โยอาชราชโอรส
2พศด 18.27 และมีคายาห์ทูลว่า “ถ้าพระองค์เสด็จกลับมาโดยสันติภาพ พระเยโฮวาห์ก็มิได้ตรัสโดยข้าพระองค์” และท่านกล่าวว่า “บรรดาชนชาติทั้งหลายเอ๋ย ขอจงฟังเถิด”
นหม 12.35 และบุตรชายของพวกปุโรหิตบางคนที่มีแตรคือ เศคาริยาห์บุตรชายโยนาธาน ผู้เป็นบุตรชายเชไมอาห์ ผู้เป็นบุตรชายมัทธานิยาห์ ผู้เป็นบุตรชายมีคายาห์ ผู้เป็นบุตรชายศักเกอร์ ผู้เป็นบุตรชายอาสาฟ
นหม 12.41 กับปุโรหิตที่ถือแตรคือ เอลียาคิม มาอาเสอาห์ มินยามิน มีคายาห์ เอลีโอนัย เศคาริยาห์ กับฮานันยาห์
ยรม 36.11 เมื่อมีคายาห์ บุตรชายเกมาริยาห์ ผู้เป็นบุตรชายชาฟาน ได้ยินพระวจนะทั้งสิ้นของพระเยโฮวาห์จากหนังสือม้วนแล้ว
ยรม 36.13 และมีคายาห์ก็เล่าถ้อยคำทั้งสิ้นซึ่งท่านได้ยิน เมื่อบารุคอ่านจากหนังสือม้วนให้ประชาชนฟังนั้น

มีคาล ( 20 )
1ซมอ 14.49 ฝ่ายโอรสของซาอูล มีโยนาธาน อิชวี มัลคีชูวา และชื่อธิดาทั้งสองของพระองค์คือ คนหัวปีชื่อเมราบ และชื่อผู้น้องคือมีคาล
1ซมอ 18.20 ฝ่ายมีคาลราชธิดาของซาอูลนั้นรักดาวิด มีคนเอาเรื่องไปทูลซาอูล เรื่องนี้เป็นที่พอพระทัยพระองค์
1ซมอ 18.27 ดาวิดก็ลุกขึ้นไปพร้อมกับคนของเธอ ได้ฆ่าคนฟีลิสเตียเสียสองร้อยคน และดาวิดก็นำหนังปลายองคชาตของคนเหล่านั้นมาถวายแก่กษัตริย์ครบจำนวน เพื่อเธอจะเป็นบุตรเขยของกษัตริย์ ซาอูลจึงยกมีคาลพระราชธิดาของพระองค์ให้เป็นภรรยาของดาวิด
1ซมอ 18.28 ซาอูลทรงเห็นและทราบว่าพระเยโฮวาห์ทรงสถิตกับดาวิด และมีคาลพระราชธิดาของซาอูลรักเธอ
1ซมอ 19.11 ซาอูลทรงใช้ผู้สื่อสารไปที่บ้านของดาวิดเพื่อเฝ้าดูเธอ และเพื่อจะฆ่าเธอเสียในเวลาเช้า แต่มีคาลภรรยาของดาวิดบอกดาวิดว่า “ถ้าคืนนี้เธอไม่ช่วยชีวิตของเธอให้พ้น พรุ่งนี้เธอจะถูกฆ่าตาย”
1ซมอ 19.12 มีคาลจึงหย่อนดาวิดลงทางหน้าต่าง และเธอก็หนีรอดไป
1ซมอ 19.13 มีคาลได้นำรูปเคารพมาวางไว้บนเตียงนอน และวางหมอนขนแพะไว้ที่ศีรษะ เอาผ้าห่มคลุมไว้
1ซมอ 19.14 เมื่อซาอูลส่งผู้สื่อสารไปจับดาวิด มีคาลตอบว่า “เขาไม่สบาย”
1ซมอ 19.17 ซาอูลรับสั่งถามมีคาลว่า “ไฉนเจ้าจึงหลอกลวงเรา และปล่อยศัตรูของเราไปเสีย เขาจึงรอดพ้นไป” และมีคาลทูลตอบซาอูลว่า “เธอพูดกับหม่อมฉันว่า ‘ปล่อยให้ฉันไปเถิด จะให้ฉันฆ่าเธอทำไมเล่า’”
1ซมอ 25.44 ซาอูลได้ทรงยกมีคาลราชธิดาของพระองค์ ผู้เป็นภรรยาของดาวิด ให้แก่ปัลทีบุตรชายลาอิชชาวกัลลิมแล้ว
2ซมอ 3.13 ดาวิดตรัสว่า “ดีแล้ว เราจะกระทำพันธสัญญากับท่าน แต่เราขอจากท่านสักอย่างหนึ่งคือว่า เมื่อท่านจะมาเห็นหน้าเราอีก ขอท่านนำมีคาลบุตรสาวของซาอูลมาให้เราก่อน มิฉะนั้นท่านจะมิได้เห็นหน้าเรา”
2ซมอ 3.14 แล้วดาวิดก็ส่งผู้สื่อสารไปยังอิชโบเชทราชโอรสของซาอูลว่า “ขอมอบมีคาลภรรยาของข้าพเจ้าแก่ข้าพเจ้า ผู้ซึ่งข้าพเจ้าได้หมั้นไว้ด้วยหนังปลายองคชาตของคนฟีลิสเตียหนึ่งร้อยชิ้น”
2ซมอ 3.15 อิชโบเชทจึงทรงให้คนไปพามีคาลมาจากสามีของเธอ คือปัลทีเอลบุตรชายของลาอิช
2ซมอ 6.16 และขณะเมื่อหีบของพระเยโฮวาห์เข้ามาถึงเมืองดาวิด มีคาลราชธิดาของซาอูลก็มองออกที่ช่องหน้าต่าง เห็นกษัตริย์ดาวิดกระโดดโลดเต้นรำถวายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ และนางก็มีใจหมิ่นประมาท
2ซมอ 6.20 และดาวิดก็ทรงกลับไปอวยพรแก่ราชวงศ์ของพระองค์ แต่มีคาลราชธิดาของซาอูลได้ออกมาพบดาวิดและทูลว่า “วันนี้กษัตริย์แห่งอิสราเอลได้รับเกียรติยศอย่างยิ่งใหญ่ทีเดียวนะเพคะ ที่ทรงถอดฉลองพระองค์วันนี้ท่ามกลางสายตาของพวกสาวใช้ของข้าราชการ เหมือนกับคนถ่อยแก้ผ้าอย่างไม่มีความละอาย”
2ซมอ 6.21 และดาวิดตรัสตอบมีคาลว่า “เป็นงานที่ถวายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ผู้ทรงเลือกเราไว้แทนเสด็จพ่อของเจ้า และแทนราชวงศ์ทั้งสิ้นของพระองค์ท่าน ทรงแต่งตั้งให้เราเป็นเจ้าเหนืออิสราเอลประชาชนของพระเยโฮวาห์ และเราจึงจะร่าเริงต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
2ซมอ 6.23 เพราะฉะนั้นมีคาลราชธิดาของซาอูลก็ไม่มีบุตรจนถึงวันสิ้นชีพ
2ซมอ 21.8 แต่กษัตริย์นำเอาบุตรชายสองคนของนางริสปาห์บุตรสาวของอัยยาห์ซึ่งบังเกิดกับซาอูล ชื่ออารโมนีกับเมฟีโบเชท กับบุตรชายห้าคนของมีคาลราชธิดาของซาอูล ซึ่งพระนางมีกับอาดรีเอลบุตรชายบารซิลลัยชาวเมโหลาห์
1พศด 15.29 และต่อมาเมื่อหีบพันธสัญญาของพระเยโฮวาห์มาถึงนครดาวิดแล้ว มีคาลราชธิดาของซาอูลแลดูตามช่องพระแกลเห็นกษัตริย์ดาวิดทรงเต้นรำและทรงร่าเริงอยู่ พระนางก็มีใจดูหมิ่นพระองค์

มีคาห์ ( 35 )
วนฉ 17.1 มีชายคนหนึ่งเป็นชาวแดนเทือกเขาเอฟราอิม ชื่อมีคาห์
วนฉ 17.4 เมื่อมีคาห์คืนเงินให้แก่มารดาแล้ว มารดาก็นำเงินสองร้อยแผ่นมอบให้กับช่างเงิน ทำเป็นรูปแกะสลักและรูปหล่อ รูปนั้นอยู่ในบ้านของมีคาห์
วนฉ 17.5 มีคาห์คนนี้มีเรือนพระหลังหนึ่ง เขาทำรูปเอโฟด และรูปพระ และแต่งตั้งให้บุตรชายคนหนึ่งของเขาเป็นปุโรหิต
วนฉ 17.8 ชายนั้นเดินออกจากบ้านเบธเลเฮมในยูดาห์ เที่ยวหาที่เพื่อพักอาศัย เมื่อเขาเดินทางไปนั้นก็มาถึงแดนเทือกเขาเอฟราอิมถึงบ้านของมีคาห์
วนฉ 17.9 มีคาห์จึงพูดกับเขาว่า “ท่านมาจากไหน” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นพวกเลวีชาวบ้านเบธเลเฮมในยูดาห์ ข้าพเจ้าเดินทางเที่ยวหาที่พักอาศัย”
วนฉ 17.10 มีคาห์จึงกล่าวแก่เขาว่า “จงอยู่กับข้าพเจ้าเถิด เป็นอย่างบิดาและปุโรหิตของข้าพเจ้าก็แล้วกัน ข้าพเจ้าจะจ่ายเงินให้ปีละสิบเชเขล ให้เครื่องแต่งตัวสำรับหนึ่ง และอาหารรับประทานด้วย” เลวีคนนั้นจึงเข้าไป
วนฉ 17.12 มีคาห์ก็แต่งตั้งเลวีคนนั้นและชายหนุ่มคนนั้นก็เป็นปุโรหิตของเขา และอยู่ในบ้านของมีคาห์
วนฉ 17.13 มีคาห์กล่าวว่า “บัดนี้ข้าพเจ้าทราบแล้วว่า พระเยโฮวาห์จะทรงให้ข้าพเจ้าอยู่เย็นเป็นสุข เพราะว่าข้าพเจ้ามีเลวีคนหนึ่งเป็นปุโรหิต”
วนฉ 18.2 ดังนั้นคนดานจึงส่งคนห้าคนจากจำนวนทั้งหมดเป็นชายฉกรรจ์ในครอบครัวของตน มาจากโศราห์และจากเอชทาโอล ไปสอดแนมดูแผ่นดินและตรวจดูแผ่นดินนั้น และเขาทั้งหลายพูดแก่เขาว่า “จงไปตรวจดูแผ่นดินนั้น” เขาก็มาถึงแดนเทือกเขาเอฟราอิม ยังบ้านของมีคาห์และอาศัยอยู่ที่นั่น
วนฉ 18.3 เมื่อเขาอยู่ใกล้บ้านของมีคาห์ เขาก็จำเสียงเลวีหนุ่มคนนั้นได้ จึงแวะเข้าไปถามว่า “ใครพาท่านมาที่นี่ ท่านทำอะไรในที่นี้ ท่านทำงานอะไรที่นี่”
วนฉ 18.4 เขาตอบคนเหล่านั้นว่า “มีคาห์ทำแก่ข้าพเจ้าอย่างนี้อย่างนี้ เขาจ้างข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงเป็นปุโรหิตของเขา”
วนฉ 18.13 เขาก็ผ่านจากที่นั่นไปยังแดนเทือกเขาเอฟราอิมมาถึงบ้านของมีคาห์
วนฉ 18.15 เขาทั้งหลายก็แวะเข้าบ้านของเลวีหนุ่มคนนั้น คือที่บ้านของมีคาห์ถามดูทุกข์สุขของเขา
วนฉ 18.18 เมื่อคนเหล่านี้เข้าไปในบ้านของมีคาห์ นำเอารูปแกะสลัก รูปเอโฟด รูปพระ และรูปหล่อนั้น ปุโรหิตถามเขาว่า “นั่นท่านทำอะไร”
วนฉ 18.22 เมื่อไปห่างจากบ้านมีคาห์แล้ว คนที่อยู่ในบ้านใกล้เคียงกับบ้านของมีคาห์ก็ร่วมติดตามไปทันคนดานเข้า
วนฉ 18.23 จึงตะโกนเรียกคนดาน เขาก็หันกลับมาพูดกับมีคาห์ว่า “เป็นอะไรเล่า เจ้าจึงยกคนมามากมายอย่างนี้”
วนฉ 18.26 ฝ่ายคนดานก็เดินต่อไป เมื่อมีคาห์เห็นว่าเขาเหล่านั้นมีกำลังมากกว่า จึงหันกลับเดินทางไปบ้านของตน
วนฉ 18.27 คนดานนำเอาสิ่งที่มีคาห์สร้างขึ้น และนำปุโรหิตซึ่งเป็นของเขามาด้วย ก็เดินทางมาถึงลาอิช มาถึงประชาชนที่อยู่อย่างสงบและไม่หวาดระแวงอะไร จึงประหารคนเหล่านั้นด้วยคมดาบและเอาไฟเผาเมืองเสีย
วนฉ 18.31 เขาได้ตั้งรูปแกะสลักซึ่งมีคาห์ได้ทำไว้นั้นขึ้นนานตลอดเวลาที่พระนิเวศของพระเจ้าอยู่ที่ชีโลห์
1พศด 5.5 บุตรชายของชิเมอีคือมีคาห์ บุตรชายของมีคาห์คือเรอายาห์ บุตรชายของเรอายาห์คือบาอัล
1พศด 8.34 และบุตรชายของโยนาธานคือ เมริบบาอัล และเมริบบาอัลให้กำเนิดบุตรชื่อมีคาห์
1พศด 8.35 บุตรชายของมีคาห์คือ ปีโธน เมเลค ทาเรีย และอาหัส
1พศด 9.40 บุตรชายของโยนาธานชื่อเมริบบาอัล และเมริบบาอัลให้กำเนิดบุตรชื่อมีคาห์
1พศด 9.41 บุตรชายของมีคาห์คือ ปีโธน เมเลค ทาเรีย และอาหัส
1พศด 23.20 บุตรชายของอุสซีเอลคือ มีคาห์ผู้เป็นหัวหน้า และอิสชีอาห์ที่สอง
1พศด 24.24 บุตรชายของอุสซีเอลคือ มีคาห์ บุตรชายของมีคาห์คือ ชามีร์
1พศด 24.25 น้องชายของมีคาห์คือ อิสซีอาห์ บุตรชายของอิสชีอาห์คือ เศคาริยาห์
2พศด 34.20 และกษัตริย์ทรงบัญชาแก่ฮิลคียาห์ อาหิคัมบุตรชายชาฟาน อับโดนบุตรชายมีคาห์ ชาฟานราชเลขา และอาสายาห์ผู้รับใช้ของกษัตริย์ ตรัสว่า
ยรม 26.18 “มีคาห์ชาวเมืองโมเรเชทได้พยากรณ์ในสมัยเฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ และกล่าวแก่ประชาชนทั้งสิ้นของยูดาห์ว่า ‘พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า เมืองศิโยนจะถูกไถเหมือนกับไถนา กรุงเยรูซาเล็มจะกลายเป็นกองสิ่งปรักหักพัง และภูเขาที่ตั้งของพระนิเวศนั้นจะเป็นเหมือนที่สูงในป่าไม้’
มคา 1.1 พระวจนะของพระเยโฮวาห์ที่มาถึงมีคาห์ชาวเมืองโมเรเชท ในรัชกาลโยธาม อาหัส และเฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งประเทศยูดาห์ ซึ่งท่านได้เห็นเกี่ยวกับสะมาเรียและเยรูซาเล็ม

มีคาเอล ( 15 )
กดว 13.13 เสธูร์บุตรชายมีคาเอลเป็นตระกูลอาเชอร์
1พศด 5.13 และวงศ์ญาติของเขาตามเรือนบรรพบุรุษของเขา คือมีคาเอล เมชุลลาม เชบา โยรัย ยาคาน ศิอา และเอเบอร์ เจ็ดคนด้วยกัน
1พศด 5.14 คนเหล่านี้เป็นบุตรอาบีฮาอิล ผู้เป็นบุตรชายหุรี ผู้เป็นบุตรชายยาโรอาห์ ผู้เป็นบุตรชายกิเลอาด ผู้เป็นบุตรชายมีคาเอล ผู้เป็นบุตรชายเยชิชัย ผู้เป็นบุตรชายยาโด ผู้เป็นบุตรชายบุส
1พศด 6.40 ผู้เป็นบุตรชายมีคาเอล ผู้เป็นบุตรชายบาอาเสยาห์ ผู้เป็นบุตรชายมัลคิยาห์
1พศด 7.3 บุตรชายของอุสซีคือ อิสราหิยาห์ และบุตรชายของอิสราหิยาห์คือ มีคาเอล โอบาดีห์ โยเอล และอิสชีอาห์ ห้าคนด้วยกัน ทุกคนเป็นคนชั้นหัวหน้า
1พศด 8.16 มีคาเอล อิชปาห์ และโยฮาเป็นบุตรชายของเบรียาห์
1พศด 12.20 ขณะเมื่อพระองค์ไปยังศิกลาก คนมนัสเสห์เหล่านี้หลบหนีไปสมทบพระองค์ คือ อัดนาห์ โยซาบาด เยดียาเอล มีคาเอล โยซาบาด เอลีฮู และศิลเลธัย หัวหน้าบรรดากองพันในคนมนัสเสห์
1พศด 27.18 สำหรับคนยูดาห์มี เอลีฮู พี่ชายคนหนึ่งของดาวิด สำหรับคนอิสสาคาร์มี อมรีบุตรชายมีคาเอล
2พศด 21.2 พระองค์ทรงมีพระอนุชา ผู้เป็นโอรสของเยโฮชาฟัทคือ อาซาริยาห์ เยฮีเอล เศคาริยาห์ อาซาริยาห์ มีคาเอล เชฟาทิยาห์ เหล่านี้ทั้งสิ้นเป็นโอรสของเยโฮชาฟัทกษัตริย์ของอิสราเอล
อสร 8.8 จากคนเชฟาทิยาห์มี เศบาดิยาห์ บุตรชายมีคาเอล พร้อมกับท่านมีผู้ชายแปดสิบคน
ดนล 10.13 เจ้าผู้พิทักษ์ราชอาณาจักรเปอร์เซียได้ขัดขวางข้าพเจ้าไว้ถึงยี่สิบเอ็ดวัน ข้าพเจ้าจึงยังอยู่ที่นั่นกับกษัตริย์ทั้งหลายของเปอร์เซีย แต่ดูเถิด มีคาเอลเจ้าผู้พิทักษ์ชั้นหัวหน้าผู้หนึ่งมาช่วยข้าพเจ้า
ดนล 10.21 แต่ข้าพเจ้าจะบอกท่านตามสิ่งซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือแห่งความจริง ไม่มีผู้ใดร่วมแรงกับข้าพเจ้าต่อสู้เจ้าเหล่านี้เลย นอกจากมีคาเอล เจ้าผู้พิทักษ์ของท่าน”
ดนล 12.1 “ในครั้งนั้น มีคาเอล เจ้าผู้พิทักษ์ยิ่งใหญ่ ผู้คุ้มกันชนชาติของท่านจะลุกขึ้น และจะมีเวลายากลำบากอย่างไม่เคยมีมาตั้งแต่ครั้งมีประชาชาติจนถึงสมัยนั้น แต่ในครั้งนั้นชนชาติของท่านจะรับการช่วยให้พ้น คือทุกคนที่มีชื่อบันทึกไว้ในหนังสือ
ยด 1.9 ฝ่ายอัครเทวทูตาธิบดีมีคาเอล ครั้นเมื่อท่านโต้เถียงกับพญามารเรื่องศพของโมเสส ท่านเองก็ยังไม่บังอาจตั้งข้อกล่าวหาอย่างเย้ยหยันต่อมารเลย ได้แต่เพียงกล่าวว่า “ขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงห้ามเจ้าเถิด”
วว 12.7 และมีสงครามเกิดขึ้นในสวรรค์ มีคาเอลและพวกทูตสวรรค์ของท่านได้ต่อสู้กับพญานาค และพญานาคกับพวกทูตของมันก็ต่อสู้

มีชัย ( 22 )
พบญ 32.27 ถ้าหากว่าเราไม่กลัวความกริ้วโกรธของศัตรู เกรงว่าศัตรูจะประพฤติผิดไป กลัวว่าศัตรูทั้งหลายจะพูดว่า “กำลังมือของเราจะมีชัย พระเยโฮวาห์หาได้ทรงกระทำกิจการทั้งปวงนี้ไม่”
1ซมอ 14.45 แล้วประชาชนจึงทูลซาอูลว่า “โยนาธานควรจะถึงตายหรือ เขาเป็นผู้ที่ได้นำให้มีชัยใหญ่ยิ่งนี้ในอิสราเอล ขอพระเจ้าอย่ายอมให้เป็นเช่นนั้นเลย พระเยโฮวาห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เส้นผมของท่านสักเส้นหนึ่งจะไม่ตกถึงดินฉันนั้น เพราะในวันนี้ท่านได้กระทำศึกด้วยกันกับพระเจ้า” ประชาชนไถ่โยนาธานไว้ ท่านจึงไม่ถึงตาย
โยบ 18.9 กับอันหนึ่งจะฉวยส้นเท้าของเขาไว้ ผู้ปล้นจะมีชัยต่อเขา
สดด 9.19 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงลุกขึ้น อย่าให้มนุษย์มีชัยได้ แต่ให้บรรดาประชาชาติถูกพิพากษาในสายพระเนตรของพระองค์ทั้งสิ้น
สดด 45.4 ขอทรงม้าอย่างโอ่อ่าตระการเสด็จไปอย่างมีชัย เพื่อเห็นแก่ความจริง ความอ่อนสุภาพและความชอบธรรม ให้พระหัตถ์ขวาของพระองค์ท่านสอนกิจอันน่าครั่นคร้ามแก่พระองค์ท่าน
อสย 28.1 วิบัติแก่มงกุฎอันโอ่อ่า แก่คนขี้เมาแห่งเอฟราอิม ซึ่งความงามอันรุ่งเรืองของเขาเหมือนดอกไม้ที่กำลังร่วงโรย ซึ่งอยู่บนยอดเขาในที่ลุ่มอันอุดมของบรรดาผู้ที่เหล้าองุ่นมีชัย
อสย 42.13 พระเยโฮวาห์จะเสด็จออกไปอย่างคนแกล้วกล้า พระองค์จะทรงเร้าความหึงหวงของพระองค์ขึ้นอย่างนักรบ พระองค์จะทรงร้อง พระองค์จะทรงโห่ดัง พระองค์จะทรงมีชัยต่อศัตรูของพระองค์
อสย 47.12 จงตั้งมั่นอยู่ในเวทมนตร์ของเจ้า และวิทยาคมเป็นอันมากของเจ้า ซึ่งเจ้าทำมาหนักนักหนาตั้งแต่สาวๆ ชะรอยมันจะเป็นประโยชน์แก่เจ้าได้ ชะรอยเจ้าจะมีชัย
ยรม 51.14 พระเยโฮวาห์จอมโยธาได้ทรงปฏิญาณต่อพระองค์เองว่า แน่ละ เราจะให้เจ้ามีคนเต็มเมืองให้มากอย่างตั๊กแตน และเขาทั้งหลายจะเปล่งเสียงโห่ร้องมีชัยเหนือเจ้า
ฮชย 12.4 เออ เขามีอำนาจเหนือทูตสวรรค์และมีชัย เขาร้องไห้และวิงวอนต่อพระองค์ เขาพบพระองค์ที่เบธเอล และพระองค์ตรัสสนทนากับเราที่นั่น
มธ 16.18 ฝ่ายเราบอกท่านด้วยว่า ท่านคือเปโตร และบนศิลานี้เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้ และประตูแห่งนรกจะมีชัยต่อคริสตจักรนั้นก็หามิได้
ลก 23.23 ฝ่ายคนทั้งปวงก็เร่งเร้าเสียงดังให้ตรึงพระองค์เสียที่กางเขน และเสียงของพวกเขาและของพวกปุโรหิตใหญ่นั้นก็มีชัย
กจ 19.20 พระวจนะของพระเจ้าก็บังเกิดผลอย่างมากและมีชัย
รม 3.4 ขอพระเจ้าอย่ายอมให้เป็นเช่นนั้นเลย ถึงแม้ทุกคนจะพูดมุสาก็ขอให้พระเจ้าทรงสัตย์จริงเถิด ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า ‘เพื่อพระองค์จะได้ปรากฏว่า ทรงเป็นผู้สัตย์ซื่อในพระดำรัสทั้งหลายของพระองค์ และทรงมีชัยเมื่อเขาวินิจฉัยพระองค์’
รม 8.37 แต่ว่าในเหตุการณ์ทั้งปวงเหล่านี้ เรามีชัยเหลือล้นโดยพระองค์ผู้ได้ทรงรักเราทั้งหลาย
2คร 2.11 เพื่อไม่ให้ซาตานมีชัยเหนือเรา เพราะเรารู้กลอุบายของมันแล้ว
2คร 2.14 แต่ขอบพระคุณพระเจ้าผู้ทรงให้เรามีชัยเสมอโดยพระคริสต์ และทรงโปรดประทานกลิ่นหอมแห่งความรู้ของพระองค์ให้ปรากฏด้วยตัวเราทุกแห่ง
ฮบ 11.33 โดยความเชื่อ ท่านเหล่านั้นจึงได้มีชัยเหนืออาณาจักรต่างๆ ได้กระทำการชอบธรรม ได้รับพระสัญญา ได้ปิดปากสิงโต
1ยน 5.4 ด้วยว่าผู้ใดที่บังเกิดจากพระเจ้า ก็มีชัยชนะต่อโลก และนี่แหละเป็นชัยชนะซึ่งได้มีชัยต่อโลก คือความเชื่อของเราทั้งหลายนี่เอง
วว 5.5 และมีผู้หนึ่งในพวกผู้อาวุโสนั้น บอกแก่ข้าพเจ้าว่า “อย่าร้องไห้เลย ดูเถิด สิงโตแห่งตระกูลยูดาห์ เป็นมูลรากของดาวิด พระองค์ทรงมีชัยแล้ว พระองค์จึงทรงสามารถแกะตราทั้งเจ็ดดวงและคลี่หนังสือม้วนนั้นออกได้”
วว 6.2 ข้าพเจ้าก็แลเห็น และดูเถิด มีม้าขาวตัวหนึ่ง และผู้ที่ขี่ม้านั้นถือธนู และได้รับมงกุฎ และผู้นั้นก็ออกไปอย่างมีชัย และเพื่อได้ชัยชนะ
วว 15.2 ข้าพเจ้าเห็นเป็นเหมือนทะเลแก้วปนไฟ และบรรดาคนที่มีชัยต่อสัตว์ร้าย และรูปของมัน และเครื่องหมายของมัน และเลขประจำชื่อของมัน ยืนอยู่บนทะเลแก้วนั้น พวกเขาถือพิณเขาคู่ของพระเจ้า

มีด ( 12 )
ปฐก 22.6 อับราฮัมเอาฟืนสำหรับเครื่องเผาบูชาใส่บ่าอิสอัคบุตรชายของตน ถือไฟและมีดแล้วพ่อลูกไปด้วยกัน
ปฐก 22.10 แล้วอับราฮัมก็ยื่นมือจับมีดจะฆ่าบุตรชาย
ยชว 5.2 คราวนั้น พระเยโฮวาห์ตรัสกับโยชูวาว่า “จงทำมีดด้วยหินคมและให้คนอิสราเอลเข้าสุหนัตเป็นครั้งที่สอง”
ยชว 5.3 โยชูวาจึงทำมีดด้วยหินคมและให้คนอิสราเอลเข้าสุหนัตที่เนินเขาแห่งหนังหุ้มปลายองคชาต
วนฉ 19.29 เมื่อถึงบ้านแล้ว ก็เอามีดฟันศพภรรยาน้อยออกเป็นท่อนๆพร้อมกับกระดูก สิบสองท่อนด้วยกันส่งไปทั่วเขตแดนอิสราเอล
1พกษ 18.28 เขาทั้งหลายก็ร้องเสียงดัง และเชือดเฉือนตัวเองตามธรรมเนียมของเขาด้วยมีดและหลาว จนโลหิตไหลพุ่งออกมาตามตัว
อสร 1.9 และนี่เป็นจำนวนของสิ่งเหล่านั้น อ่างทองคำสามสิบ อ่างเงินหนึ่งพัน มีดยี่สิบเก้าเล่ม
สภษ 23.2 ถ้าเจ้าเป็นคนตะกละ เจ้าจงจ่อมีดไว้ที่คอของเจ้า
สภษ 30.14 มีคนชั่วอายุหนึ่งที่ฟันของเขาเป็นเหมือนดาบ เขี้ยวของเขาเป็นเหมือนมีด เพื่อจะกลืนกินคนยากจนเสียจากแผ่นดินโลก และคนขัดสนเสียจากท่ามกลางมนุษย์
ยรม 36.23 ต่อมาเมื่อเยฮูดีอ่านไปได้สามหรือสี่แถบ กษัตริย์ทรงเอามีดอาลักษณ์ตัดออก และทรงโยนเข้าไปในไฟที่ในโถไฟ จนหนังสือม้วนนั้นถูกไฟที่ในโถไฟเผาผลาญหมด
อสค 5.1 “เจ้า บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงเอามีดคมเล่มหนึ่ง จงเอามีดโกนของช่างตัดผม จงโกนศีรษะและโกนเคราของเจ้า เอาตาชั่งสำหรับชั่งมา แบ่งผมนั้นออก
อสค 5.2 เมื่อวันการล้อมครบถ้วนแล้ว เจ้าจงเผาหนึ่งในสามส่วนเสียในไฟที่กลางเมือง และเอาหนึ่งในสามอีกส่วนหนึ่งมา เอามีดฟันให้รอบเมือง และหนึ่งในสามอีกส่วนหนึ่งนั้น เจ้าจงให้ลมพัดกระจายไป และเราจะชักดาบออกตามไป

มีดโกน ( 7 )
กดว 6.5 ตลอดเวลาที่เขาปฏิญาณปลีกตัวออกมานั้น อย่าให้มีดโกนถูกศีรษะของเขา เขาต้องบริสุทธิ์จนกว่าจะสิ้นกำหนดเวลาที่เขาปลีกตัวออกมาถวายแด่พระเยโฮวาห์ เขาจะต้องไว้ผมยาว
วนฉ 13.5 เพราะดูเถิด เจ้าจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรเป็นชาย อย่าให้มีดโกนถูกศีรษะของเขา เพราะเด็กคนนี้จะเป็นพวกนาศีร์แด่พระเจ้าตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เขาจะเป็นคนเริ่มช่วยคนอิสราเอลให้พ้นจากเงื้อมมือของคนฟีลิสเตีย”
วนฉ 16.17 จึงบอกความจริงในใจของท่านแก่นางจนสิ้นว่า “มีดโกนยังไม่เคยถูกศีรษะของฉัน เพราะฉันเป็นพวกนาศีร์แด่พระเจ้าตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของมารดา ถ้าโกนผมฉันเสีย กำลังก็จะหมดไปจากฉัน ฉันก็จะอ่อนเพลียเหมือนชายอื่น”
1ซมอ 1.11 นางก็ปฏิญาณไว้ว่า “โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์จอมโยธา ถ้าพระองค์จะทอดพระเนตรความทุกข์ใจของหญิงผู้รับใช้ของพระองค์จริงๆ และยังระลึกถึงข้าพระองค์ และยังไม่ลืมหญิงผู้รับใช้ของพระองค์ แต่จะทรงประทานบุตรชายแก่หญิงผู้รับใช้ของพระองค์สักคนหนึ่งแล้ว ข้าพระองค์จะถวายเขาไว้แด่พระเยโฮวาห์ตลอดชีวิตของเขา และมีดโกนจะไม่แตะต้องศีรษะของเขาเลย”
สดด 52.2 ลิ้นของเจ้าออกอุบายประสงค์ร้าย และหลอกลวงอย่างมีดโกนคม
อสย 7.20 ในวันนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงโกนทั้งศีรษะและขนที่เท้าเสียด้วยมีดโกนซึ่งเช่ามาจากฟากแม่น้ำข้างโน้น คือโดยกษัตริย์แห่งอัสซีเรียนั้นเอง และจะผลาญเคราด้วย
อสค 5.1 “เจ้า บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงเอามีดคมเล่มหนึ่ง จงเอามีดโกนของช่างตัดผม จงโกนศีรษะและโกนเคราของเจ้า เอาตาชั่งสำหรับชั่งมา แบ่งผมนั้นออก

มีเดีย ( 12 )
ปฐก 10.2 บุตรชายทั้งหลายของยาเฟทชื่อโกเมอร์ มาโกก มีเดีย ยาวาน ทูบัล เมเชค และทิราส
1พศด 1.5 บุตรชายทั้งหลายของยาเฟท ชื่อ โกเมอร์ มาโกก มีเดีย ยาวาน ทูบัล เมเชค และทิราส
อสร 6.2 และได้มีการพบหนังสือม้วนหนึ่งที่อาคเมตาห์ในพระราชวังซึ่งอยู่ในมณฑลมีเดีย และมีข้อความเขียนอยู่ในหนังสือม้วนนั้นดังต่อไปนี้
อสธ 1.3 ในปีที่สามแห่งรัชกาลของพระองค์ พระองค์พระราชทานการเลี้ยงแก่เจ้านาย และบรรดาข้าราชการของพระองค์ นายทัพนายกองทัพแห่งเปอร์เซียและมีเดีย และขุนนางกับผู้ว่าราชการมณฑลเฝ้าอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์
อสธ 1.14 ผู้ที่รองพระองค์คือ คารเชนา เชธาร์ อัดมาธา ทารชิช เมเรส มารเสนา และเมมูคาน เจ้านายทั้งเจ็ดของเปอร์เซียและมีเดีย ผู้เคยเข้าเฝ้ากษัตริย์ และนั่งก่อนในราชอาณาจักร)
อสธ 1.18 ในวันนี้ทีเดียวเจ้านายผู้หญิงแห่งเปอร์เซียและมีเดียซึ่งได้ยินถึงสิ่งที่พระราชินีทรงกระทำนี้ ก็จะเล่าให้เจ้านายทั้งปวงของกษัตริย์รู้ทั่วกัน ทำให้มีความประมาทและความโกรธขึ้นเป็นอันมาก
อสธ 10.2 พระราชกิจอันกอปรด้วยพระราชอำนาจและอานุภาพ กับเรื่องราวละเอียดของยศศักดิ์อันสูงของโมรเดคัย ซึ่งกษัตริย์ทรงเลื่อนท่านขึ้น มิได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารของกษัตริย์แห่งมีเดียและเปอร์เซียหรือ
อสย 21.2 เขาบอกนิมิตที่เหี้ยมหาญแก่ข้าพเจ้า ว่าผู้ปล้นเข้าปล้น ผู้ทำลายเข้าทำลาย โอ เอลามเอ๋ย จงขึ้นไป โอ มีเดียเอ๋ย จงเข้าล้อมซึ่งมันให้เกิดการถอนหายใจทั้งสิ้น เราได้กระทำให้สิ้นไปแล้ว
ยรม 25.25 บรรดากษัตริย์แห่งศิมรี และบรรดากษัตริย์แห่งเอลาม และบรรดากษัตริย์ของมีเดีย
ยรม 51.28 จงเตรียมบรรดาประชาชาติมาทำสงครามกับเธอ คือเตรียมบรรดากษัตริย์แห่งมีเดีย พร้อมทั้งเจ้าเมืองและปลัดเมืองทั้งหลาย และทุกแผ่นดินที่ขึ้นแก่มีเดีย
กจ 2.9 เช่นชาวปารเธียและมีเดีย ชาวเอลามและคนที่อยู่ในเขตแดนเมโสโปเตเมีย และแคว้นยูเดียและแคว้นคัปปาโดเซีย ในแคว้นปอนทัสและเอเชีย

มีเดียน ( 36 )
ปฐก 25.2 นางก็คลอดบุตรให้แก่ท่านชื่อศิมราน โยกชาน เมดาน มีเดียน อิชบากและชูอาห์
ปฐก 25.4 บุตรชายของมีเดียนคือ เอฟาห์ เอเฟอร์ ฮาโนค อาบีดาและเอลดาอาห์ ทั้งหมดนี้เป็นลูกหลานของนางเคทูราห์
อพย 2.15 เมื่อฟาโรห์ทรงได้ยินถึงเรื่องนี้ก็หาช่องที่จะประหารชีวิตโมเสสเสีย แต่โมเสสหนีจากพระพักตร์ของฟาโรห์ไปอาศัยอยู่ในแผ่นดินมีเดียน ท่านจึงนั่งลงที่ริมบ่อน้ำแห่งหนึ่ง
อพย 4.19 พระเยโฮวาห์จึงตรัสกับโมเสสในแผ่นดินมีเดียนว่า “กลับไปอียิปต์ เพราะคนทั้งหมดที่หาช่องประหารชีวิตเจ้านั้นตายแล้ว”
อพย 18.1 เมื่อเยโธร ปุโรหิตแห่งมีเดียน พ่อตาของโมเสส ได้ยินถึงกิจการทั้งหลายที่พระเจ้าทรงกระทำเพื่อโมเสส และอิสราเอลพลไพร่ของพระองค์ว่า พระเยโฮวาห์ทรงนำอิสราเอลออกจากอียิปต์
กดว 22.4 โมอับจึงพูดกับพวกผู้ใหญ่ของเมืองมีเดียนว่า “คนเหล่านี้จะมาเลียกินสารพัดที่ล้อมรอบเราอยู่หมด เหมือนวัวเลียกินหญ้าในนา” บาลาคบุตรชายศิปโปร์เป็นกษัตริย์เมืองโมอับในเวลานั้น
กดว 22.7 ดังนั้นพวกผู้ใหญ่ของเมืองโมอับกับพวกผู้ใหญ่ของเมืองมีเดียนก็ถือค่าการทำอาถรรพ์นั้นออกไป ครั้นเขาทั้งหลายมาถึงบาลาอัม ก็บอกคำของบาลาคแก่เขา
กดว 25.15 และชื่อของหญิงชาวมีเดียนผู้ถูกฆ่า คือคสบี บุตรสาวของศูร์ ผู้เป็นหัวหน้าตระกูลและครอบครัวสำคัญในมีเดียน
กดว 25.18 เพราะเขารบกวนเจ้าด้วยอุบาย ซึ่งเขาล่อเจ้าในเรื่องเปโอร์ และในเรื่องนางคสบี บุตรสาวเจ้านายแห่งมีเดียน ผู้เป็นน้องสาวของพวกเขา ผู้ที่ถูกฆ่าตายในวันที่บังเกิดภัยพิบัติด้วยเรื่องเปโอร์”
กดว 31.3 และโมเสสกล่าวกับประชาชนว่า “จงเตรียมคนบางคนในพวกเจ้าให้พร้อมด้วยอาวุธเพื่อทำสงคราม แล้วยกไปสู้พวกมีเดียนเพื่อกระทำการแก้แค้นของพระเยโฮวาห์ต่อคนมีเดียน
ยชว 13.21 คือหัวเมืองทั้งสิ้นซึ่งอยู่บนที่ราบ และทั้งราชอาณาจักรทั้งหมดของสิโหนกษัตริย์คนอาโมไรต์ผู้ครอบครองอยู่ในเฮชโบน ซึ่งโมเสสได้กระทำให้พ่ายแพ้พร้อมกับเจ้านายของมีเดียน คือ เอวี เรเคม ศูร์ และเฮอร์ กับเรบา เป็นเจ้านายซึ่งขึ้นแก่กษัตริย์สิโหนผู้พำนักอยู่ในแผ่นดินนั้น
วนฉ 6.13 กิเดโอนจึงทูลท่านผู้นั้นว่า “โอ ท่านเจ้าข้า ถ้าพระเยโฮวาห์ทรงสถิตกับพวกเราแล้ว ไฉนเหตุเหล่านี้จึงเกิดขึ้นแก่เราเล่า และการอัศจรรย์ทั้งหลายของพระองค์ซึ่งบรรพบุรุษเคยเล่าให้เราฟังว่า ‘พระเยโฮวาห์ทรงนำเราออกจากอียิปต์มิใช่หรือ’ แต่สมัยนี้พระเยโฮวาห์ทรงทอดทิ้งเราเสียแล้ว และทรงมอบเราไว้ในมือของพวกมีเดียน”
วนฉ 6.14 และพระเยโฮวาห์ทรงหันมาหาเขาตรัสว่า “จงไปช่วยคนอิสราเอลให้พ้นจากเงื้อมมือพวกมีเดียนด้วยกำลังของเจ้านี่แหละ เราใช้เจ้าให้ไปแล้ว มิใช่หรือ”
วนฉ 7.1 เยรุบบาอัล คือกิเดโอน และบรรดาคนที่อยู่กับท่านก็ลุกขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ไปตั้งค่ายอยู่ที่ริมน้ำพุฮาโรด ฝ่ายค่ายของพวกมีเดียนอยู่ทางเหนือของเขา อยู่ในหุบเขาที่ภูเขาโมเรห์
วนฉ 7.8 ประชาชนจึงถือเสบียงและแตรไว้ และท่านสั่งให้อิสราเอลที่เหลืออยู่กลับไปยังเต็นท์ของตนทุกคน แต่ให้สามร้อยคนนั้นอยู่ และค่ายของมีเดียนก็อยู่ข้างล่างท่านในหุบเขา
วนฉ 7.13 ครั้นกิเดโอนแอบมา ดูเถิด มีชายคนหนึ่งเล่าความฝันให้เพื่อนฟังว่า “ดูเถิด เราฝันเรื่องหนึ่ง ดูเถิด มีขนมข้าวบาร์เลย์ก้อนหนึ่งกลิ้งเข้ามาในค่ายของพวกมีเดียน มาถึงเต็นท์โดนเต็นท์ทำให้เต็นท์ล้มลง พลิกขึ้น แล้วก็ราบไป”
วนฉ 7.14 เพื่อนของเขาจึงตอบว่า “นี่ไม่ใช่อื่นไกลเลย นอกจากดาบของกิเดโอนบุตรชายโยอาชบุรุษของอิสราเอล พระเจ้าได้ทรงมอบพวกมีเดียน และกองทัพทั้งสิ้นไว้ในมือของเขาแล้ว”
วนฉ 7.23 คนอิสราเอลถูกเรียกออกมาจากนัฟทาลี และจากอาเชอร์ และจากทั่วมนัสเสห์ และพร้อมกันติดตามพวกมีเดียนไป
วนฉ 7.24 และกิเดโอนก็ใช้ผู้สื่อสารออกไปทั่วแดนเทือกเขาเอฟราอิม ประกาศว่า “จงลงมารบพวกมีเดียน และยึดแควทั้งหลาย ไกลไปถึงตำบลเบธบาราห์ และแม่น้ำจอร์แดนด้วย” เขาก็เรียกบรรดาทหารเอฟราอิมออกมา เขาทั้งหลายยึดแควถึงเบธบาราห์ และแม่น้ำจอร์แดนไว้
วนฉ 7.25 จับโอเรบและเศเอบเจ้านายสองคนของพวกมีเดียนได้ เขาฆ่าโอเรบเสียที่ศิลาโอเรบ และฆ่าเศเอบเสียที่บ่อย่ำองุ่นชื่อเศเอบ แล้วก็ไล่ติดตามพวกมีเดียนไป และเขานำเอาศีรษะโอเรบและเศเอบมาให้กิเดโอนที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น
วนฉ 8.1 คนเอฟราอิมจึงพูดกับท่านว่า “ทำไมท่านจึงกระทำแก่เราอย่างนี้ คือเมื่อท่านยกไปต่อสู้พวกมีเดียนนั้น ท่านก็ไม่ได้เชิญเราให้ไปรบด้วย” และเขาทั้งหลายก็ต่อว่าท่านอย่างรุนแรง
วนฉ 8.3 พระเจ้าประทานโอเรบและเศเอบ เจ้านายมีเดียนไว้ในมือของท่าน ข้าพเจ้าสามารถกระทำอะไรที่จะเทียบกับท่านได้เล่า” เมื่อท่านพูดอย่างนี้ เขาทั้งหลายก็หายโกรธ
วนฉ 8.5 ท่านจึงพูดกับชาวเมืองสุคคทว่า “ขอขนมปังให้คนที่ติดตามเรามาบ้าง เพราะเขาอ่อนเปลี้ย เรากำลังไล่ติดตามเศบาห์และศัลมุนนากษัตริย์แห่งมีเดียน”
วนฉ 8.12 เศบาห์และศัลมุนนาก็หนีไป กิเดโอนก็ไล่ติดตามไปจับเศบาห์กับศัลมุนนากษัตริย์พวกมีเดียนทั้งสององค์ได้ และทำกองทัพทั้งหมดให้แตกตื่น
วนฉ 8.22 ครั้งนั้นคนอิสราเอลก็เรียนกิเดโอนว่า “ขอจงปกครองพวกข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด ทั้งตัวท่านและลูกหลานของท่านสืบไปด้วย เพราะว่าท่านได้ช่วยเราทั้งหลายให้พ้นจากมือของมีเดียน”
วนฉ 8.26 ตุ้มหูทองคำซึ่งท่านขอได้นั้นมีน้ำหนักหนึ่งพันเจ็ดร้อยเชเขลทองคำ นอกจากนี้ยังมีเครื่องประดับ จี้และฉลององค์สีม่วงซึ่งกษัตริย์พวกมีเดียนทรง ทั้งเครื่องผูกคออูฐด้วย
วนฉ 8.28 ดังนี้แหละพวกมีเดียนก็พ่ายแพ้ต่อหน้าคนอิสราเอล ไม่อาจยกศีรษะขึ้นอีกได้เลย และแผ่นดินก็พักสงบอยู่ในสมัยของกิเดโอนถึงสี่สิบปี
วนฉ 9.17 (ด้วยว่าบิดาของเราได้รบพุ่งเพื่อเจ้าทั้งหลาย และเสี่ยงชีวิตช่วยเจ้าทั้งหลายให้พ้นจากมือพวกมีเดียน
1พกษ 11.18 เขาทั้งหลายยกออกจากมีเดียนมายังปาราน และพาคนจากปารานมากับเขาและมาถึงอียิปต์ เฝ้าฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ ผู้ประทานเรือนหลังหนึ่งแก่เขา และกำหนดให้ได้รับปันเสบียงอาหาร และประทานที่ดินให้เขาด้วย
1พศด 1.32 บุตรชายทั้งหลายของนางเคทูราห์ภรรยาน้อยของอับราฮัม คือ นางให้กำเนิดบุตรชื่อศิมราน โยกชาน เมดาน มีเดียน อิชบาก และชูอาห์ และบุตรชายของโยกชาน ชื่อ เชบาและเดดาน
1พศด 1.33 บุตรชายของมีเดียน ชื่อ เอฟาห์ เอเฟอร์ ฮาโนค อาบีดา และเอลดาอาห์ ทั้งหมดนี้เป็นลูกหลานของนางเคทูราห์
สดด 83.9 ขอทรงทำกับเขาอย่างพระองค์ทรงกระทำกับมีเดียน อย่างที่ทำกับสิเสราและยาบินที่ลำธารคีโชน
อสย 60.6 มวลอูฐจะมาห้อมล้อมเจ้า อูฐหนุ่มจากมีเดียนและเอฟาห์ บรรดาเหล่านั้นจากเชบาจะมา เขาจะนำทองคำและกำยาน และจะบอกข่าวดีถึงกิจการอันน่าสรรเสริญของพระเยโฮวาห์
ฮบก 3.7 ข้าพเจ้าได้เห็นเต็นท์ของคนคูชันอยู่ในสภาพทุกข์ใจ และม่านแห่งแผ่นดินมีเดียนหวั่นไหว
กจ 7.29 เมื่อโมเสสได้ยินคำนั้นจึงหนีไปอาศัยอยู่ที่แผ่นดินมีเดียน และให้กำเนิดบุตรชายสองคนที่นั่น

มีหน้ามีตา ( 2 )
โยบ 22.8 คนที่มีอำนาจใหญ่โตย่อมได้ที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ และคนที่มีหน้ามีตาก็ได้เข้าอาศัยอยู่
1ทธ 3.13 เพราะว่าคนที่กระทำการในหน้าที่ผู้ช่วยได้ดี ก็ได้ตำแหน่งอันมีหน้ามีตา และมีใจกล้าเป็นอันมากในความเชื่อซึ่งมีในพระเยซูคริสต์

มึนงง ( 1 )
อสย 6.10 จงกระทำให้จิตใจของชนชาตินี้มึนงง และให้หูทั้งหลายของเขาหนัก และปิดตาของเขาทั้งหลายเสีย เกรงว่าเขาจะเห็นด้วยตาของเขา และได้ยินด้วยหูของเขา และเข้าใจด้วยจิตใจของเขา และหันกลับมาได้รับการรักษาให้หาย”

มึนซึม ( 1 )
อสค 3.15 ข้าพเจ้าจึงมาถึงพวกที่เป็นเชลยที่เทลอาบิบ ผู้ที่อาศัยอยู่ที่ริมแม่น้ำเคบาร์ และที่ที่เขานั่งอยู่ข้าพเจ้าก็นั่งอยู่ และยังคงอยู่อย่างมึนซึมท่ามกลางเขาเจ็ดวัน

มึนเมา ( 11 )
1ซมอ 1.13 ฝ่ายฮันนาห์นั้นนางพูดแต่ในใจ ริมฝีปากของนางมุบมิบเท่านั้น ไม่ได้ยินเสียงของนาง เพราะเหตุนี้เอลีจึงสำคัญว่านางมึนเมา
1ซมอ 25.36 และอาบีกายิลก็กลับไปหานาบาล และดูเถิด ท่านกำลังมีการเลี้ยงใหญ่ในบ้านของท่านอย่างการเลี้ยงของกษัตริย์ และจิตใจของนาบาลก็ร่าเริงอยู่ เพราะท่านมึนเมามาก นางจึงมิได้บอกอะไรให้ท่านทราบ ไม่ว่ามากหรือน้อย จนเวลารุ่งเช้า
2ซมอ 11.13 ดาวิดทรงเชิญเขามา เขาก็มารับประทานและดื่มต่อพระพักตร์ และพระองค์ทรงกระทำให้เขามึนเมา ในเย็นวันนั้นเขาก็ออกไปนอนบนที่นอนกับข้าราชการของเจ้านายของเขา แต่มิได้ลงไปบ้าน
ปญจ 10.17 โอ บ้านเมืองเอ๋ย ความสำราญจะมีแก่เจ้า เมื่อกษัตริย์ของเจ้าเป็นบุตรชายของขุนนาง และเจ้านายของเจ้ามีการเลี้ยงตามกาลเทศะ เพื่อจะมีกำลังวังชา มิใช่จะดื่มให้มึนเมา
อสย 29.9 จงรั้งรอและงงงวย จงร้องเรียกและร้องไห้ เขามึนเมา แต่ไม่ใช่ด้วยเหล้าองุ่น เขาโซเซ แต่ไม่ใช่ด้วยเมรัย
อสย 51.21 ฉะนั้นเจ้าผู้ถูกข่มใจ ผู้ซึ่งมึนเมาแต่มิใช่ด้วยเหล้าองุ่น จงฟังข้อนี้เถิด
ยรม 48.26 จงทำให้เขามึนเมา เพราะว่าเขาได้พองตัวขึ้นต่อพระเยโฮวาห์ เพราะฉะนั้นโมอับจะต้องกลิ้งเกลือกอยู่ในอาเจียนของตัว และเขาจะถูกเยาะเย้ยด้วย
ยรม 51.7 บาบิโลนได้เคยเป็นถ้วยทองคำในพระหัตถ์ของพระเยโฮวาห์ กระทำให้แผ่นดินโลกทั้งสิ้นมึนเมาไป บรรดาประชาชาติได้ดื่มเหล้าองุ่นของเธอ เพราะฉะนั้นประชาชาติต่างจึงบ้าไป
ยรม 51.39 ขณะที่เขาทั้งหลายผ่าวร้อน เราจะเตรียมการเลี้ยงให้ และกระทำให้เขาทั้งหลายมึนเมา เพื่อเขาทั้งหลายจะปลาบปลื้มยินดี จนเขาทั้งหลายจะนอนหลับอยู่ชั่วกาลนาน ไม่ตื่นเลย พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ยรม 51.57 เราจะกระทำให้เจ้านายของเธอและนักปราชญ์ของเธอ เจ้าเมืองของเธอ ผู้บังคับบัญชาของเธอ และนักรบของเธอมึนเมา จนเขาทั้งหลายจะนอนหลับอยู่ชั่วกาลนาน ไม่ตื่นเลย พระบรมมหากษัตริย์ผู้ทรงพระนามว่าพระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้
นฮม 3.11 เจ้าจะมึนเมาไปด้วย เจ้าจะถูกซ่อนไว้ เจ้าจะแสวงหากำลังเพราะเหตุศัตรู

มืด ( 61 )
ปฐก 15.17 ต่อมาเมื่อดวงอาทิตย์ตกและค่ำมืด ดูเถิด เตาที่ควันพลุ่งอยู่และคบเพลิงได้เลื่อนลอยมาที่ระหว่างกลางซีกสัตว์เหล่านั้น
อพย 10.15 เพราะมันปกคลุมพื้นแผ่นดินจนแลมืดไป มันกินผักในแผ่นดินทุกอย่าง และผลไม้ทุกอย่างซึ่งเหลือจากลูกเห็บทำลาย ไม่มีพืชใบเขียวเหลือเลย ไม่ว่าต้นไม้หรือผักในทุ่ง ทั่วแผ่นดินอียิปต์
อพย 14.20 คือเสานั้นมาอยู่ระหว่างค่ายของชาติอียิปต์และค่ายของชนชาติอิสราเอล และเป็นเมฆมืดแก่ชาวอียิปต์ แต่มีแสงส่องสว่างในเวลากลางคืนแก่ชนชาติอิสราเอล ทั้งสองฝ่ายมิได้เข้าใกล้กันตลอดคืน
1ซมอ 29.11 ดาวิดกับคนของท่านจึงลุกขึ้นตั้งแต่มืดเพื่อออกเดินในตอนเช้า กลับไปยังแผ่นดินฟีลิสเตีย แต่คนฟีลิสเตียขึ้นไปยังยิสเรเอล
1พกษ 18.45 และอยู่มาอีกครู่หนึ่งท้องฟ้าก็มืดไปด้วยเมฆและลม และมีฝนหนัก อาหับก็ทรงรถเสด็จไปยังเมืองยิสเรเอล
นหม 13.19 และอยู่มาพอเริ่มมืดที่ประตูเมืองเยรูซาเล็มก่อนวันสะบาโต ข้าพเจ้าได้บัญชาให้ปิดประตูเมือง และสั่งว่า ไม่ให้เปิดจนกว่าจะพ้นวันสะบาโตแล้ว และข้าพเจ้าก็ตั้งข้าราชการบางคนของข้าพเจ้าให้ดูแลประตูเมือง ว่าไม่ให้นำภาระสิ่งใดเข้ามาในวันสะบาโต
โยบ 3.9 ขอให้ดาวเวลารุ่งสางของมันมืด ขอให้มันหวังความสว่าง แต่ไม่พบ อย่าให้เห็นแสงอรุณรุ่งเช้า
โยบ 17.5 ผู้ที่กล่าวคำประจบประแจงแก่เพื่อนของเขา นัยน์ตาของลูกหลานของเขาจะมัวมืดไป
โยบ 18.6 ความสว่างในเต็นท์ของเขาจะมืด และตะเกียงของเขาจะดับพร้อมกับเขา
โยบ 19.8 พระองค์ทรงก่อกำแพงกั้นทางข้าไว้ ข้าจึงข้ามไปไม่ได้ และพระองค์ทรงให้ทางของข้ามืดไป
โยบ 24.16 ในยามมืดเขาขุดเข้าไปในเรือนซึ่งเขาหมายไว้สำหรับตนเองในเวลากลางวัน เขาไม่รู้จักความสว่าง
โยบ 38.19 ทางที่จะนำไปสู่สำนักของความสว่างอยู่ที่ไหน และส่วนที่มืด สถานที่นั้นอยู่ที่ไหน
สดด 18.11 พระองค์ทรงกระทำให้ความมืดปกคลุมพระองค์ไว้ ให้เมฆมืดและอุ้มน้ำเป็นพลับพลาของพระองค์
สดด 35.6 ขอให้ทางของเขามืดและลื่น และขอให้ทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ข่มเหงพวกเขา
สดด 69.23 ขอให้ตาของเขามืดไปเพื่อเขาจะได้มองไม่เห็น และทำบั้นเอวเขาให้สั่นสะเทือนเรื่อยไป
สดด 74.20 ขอสนพระทัยในพันธสัญญา เพราะสถานที่มืดของแผ่นดินเต็มไปด้วยที่อยู่ของความทารุณ
สดด 88.6 พระองค์ทรงใส่ข้าพระองค์ไว้ในส่วนลึกของปากแดนผู้ตาย ในแดนที่มืดและลึก
สดด 105.28 พระองค์ทรงใช้ความมืดมา กระทำให้แผ่นดินมืด เขาทั้งหลายมิได้กบฏต่อพระวจนะของพระองค์
สดด 119.82 นัยน์ตาของข้าพระองค์มัวมืดไปด้วยคอยพระดำรัสของพระองค์ ข้าพระองค์ทูลถามว่า “เมื่อไรพระองค์จะทรงเล้าโลมข้าพระองค์”
สดด 119.123 นัยน์ตาของข้าพระองค์มัวมืดไปด้วยคอยความรอดของพระองค์ และคอยพระดำรัสชอบธรรมของพระองค์สำเร็จ
สดด 143.3 เพราะศัตรูข่มเหงจิตใจข้าพระองค์ มันขยี้ชีวิตข้าพระองค์ลงถึงดิน มันได้กระทำให้ข้าพระองค์อาศัยในที่มืด เหมือนคนที่ตายนานแล้ว
สภษ 31.15 เธอลุกขึ้นตั้งแต่ยังมืดอยู่และจัดอาหารให้ครัวเรือนของเธอ และจัดส่วนแบ่งให้แก่สาวใช้ของเธอ
อสย 5.30 ในวันนั้นเขาทั้งหลายจะคำรนเหนือเหยื่อนั้นเหมือนเสียงคะนองของทะเล และถ้ามีผู้หนึ่งผู้ใดมองที่แผ่นดิน ดูเถิด ความมืดและความทุกข์ใจ และสว่างแห่งฟ้าสวรรค์ก็มืดลง
อสย 9.19 แผ่นดินนั้นก็มืดไปโดยเหตุพระพิโรธของพระเยโฮวาห์จอมโยธา ประชาชนก็จะเหมือนเชื้อเพลิง ไม่มีคนใดจะไว้ชีวิตพี่น้องของตน
อสย 13.10 เพราะดวงดาวแห่งฟ้าสวรรค์ และหมู่ดาวในนั้น จะไม่ทอแสงของมัน ดวงอาทิตย์ก็จะมืดเมื่อเวลาขึ้น และดวงจันทร์จะไม่ส่องแสงของมัน
อสย 24.22 เขาทั้งหลายจะถูกรวบรวมไว้ด้วยกัน ดั่งนักโทษในคุกมืด เขาทั้งหลายจะถูกกักขังไว้ในคุก และต่อมาหลายวันเขาจึงจะถูกลงโทษ
อสย 45.19 เรามิได้พูดในที่ลี้ลับ ในที่มืดแห่งแผ่นดินโลก เรามิได้กล่าวแก่เชื้อสายของยาโคบว่า ‘จงแสวงหาเราในที่ยุ่งเหยิง’ เราคือพระเยโฮวาห์พูดความชอบธรรม เราแจ้งสิ่งที่ถูกต้องให้ทราบ
พคค 3.6 พระองค์ได้ทรงบังคับข้าพเจ้าให้อยู่ในที่มืด ดุจคนที่ตายนานแล้ว
อสค 8.12 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าได้เห็นแล้วมิใช่หรือว่าพวกผู้ใหญ่ของวงศ์วานอิสราเอลกระทำอะไรอยู่ในที่มืด ทุกคนต่างก็อยู่ในห้องรูปภาพของตนเพราะเขาทั้งหลายพูดว่า ‘พระเยโฮวาห์ไม่ทอดพระเนตรเห็นเรา พระเยโฮวาห์ทรงทอดทิ้งแผ่นดินนี้เสียแล้ว’”
อสค 12.6 จงยกข้าวของใส่บ่าของเจ้าท่ามกลางสายตาของเขา แล้วแบกออกไปในเวลามืด เจ้าจงคลุมหน้าเสีย อย่าให้เห็นแผ่นดิน เพราะเรากระทำเจ้าให้เป็นหมายสำคัญแก่วงศ์วานอิสราเอล”
อสค 12.7 ข้าพเจ้าก็กระทำตามที่ข้าพเจ้ารับบัญชามา ข้าพเจ้านำข้าวของออกมาในเวลากลางวัน เหมือนข้าวของเพื่อการถูกกวาดไปเป็นเชลย ในเวลาเย็นข้าพเจ้าก็เจาะกำแพงด้วยมือของข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าออกไปในเวลามืด แบกสัมภาระของข้าพเจ้าไปท่ามกลางสายตาของเขา
อสค 12.12 และเจ้านายคนนั้นผู้อยู่ท่ามกลางเขา จะยกข้าวของขึ้นใส่บ่าในเวลามืดและออกไป เขาทั้งหลายจะเจาะกำแพงและนำออกไปทางนั้น ท่านจะคลุมหน้าของท่าน เพื่อว่าท่านจะไม่แลเห็นแผ่นดินด้วยตาของท่านเอง
อสค 30.18 ที่เมืองทาปานเหสกลางวันจะมืดเมื่อเราทำลายแอกของอียิปต์ และอานุภาพอันผยองของเมืองนั้นจะสิ้นสุดลง จะมีเมฆมาคลุมเมืองนั้นไว้และเหล่าธิดาของเมืองนั้นจะตกไปเป็นเชลย
อสค 32.7 เมื่อเราดับท่าน เราจะคลุมฟ้าสวรรค์ไว้ และกระทำให้ดวงดาวมืดไป เราจะเอาเมฆบังดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์จะไม่ทอแสง
อสค 32.8 แสงสุกใสทั้งสิ้นแห่งสวรรค์นั้นเราจะกระทำให้มืดอยู่เหนือท่าน และวางความมืดไว้เหนือแผ่นดินของท่าน องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
ยอล 2.10 แผ่นดินโลกจะหวั่นไหวต่อหน้ามัน ฟ้าสวรรค์จะสั่นสะเทือน ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จะมืดไป ดวงดาวจะอับแสง
ยอล 3.15 ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จะมืดไป ดวงดาวจะอับแสง
อมส 5.8 จงแสวงหาพระองค์ผู้ทรงสร้างหมู่ดาวลูกไก่และหมู่ดาวไถ และเป็นผู้ทรงกลับเงามัจจุราชให้เป็นรุ่งเช้า และทรงกระทำกลางวันให้มืดเป็นกลางคืน ผู้ทรงเรียกน้ำทะเลมาและโปรยน้ำนั้นลงบนพื้นพิภพ พระเยโฮวาห์คือพระนามของพระองค์
อมส 8.9 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า “และต่อมาในวันนั้นเราจะกระทำให้ดวงอาทิตย์ตกในเวลาเที่ยงวัน กระทำให้โลกมืดไปในกลางวันแสกๆ
มคา 3.6 เพราะฉะนั้น จะเป็นกลางคืนแก่เจ้าปราศจากนิมิต และความมืดทึบจะบังเกิดแก่เจ้าปราศจากการทำนาย สำหรับพวกผู้พยากรณ์นี้ดวงอาทิตย์จะตกไป และกลางวันก็จะมืดอยู่เหนือเขา
มธ 6.23 แต่ถ้าตาของท่านชั่ว ทั้งตัวของท่านก็จะเต็มไปด้วยความมืด เหตุฉะนั้นถ้าความสว่างซึ่งอยู่ในตัวท่านมืดไป ความมืดนั้นจะหนาทึบสักเพียงใด
มธ 8.12 แต่บรรดาลูกของอาณาจักรจะต้องถูกขับไล่ไสส่งออกไปในที่มืดภายนอก ที่นั่นจะมีเสียงร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน”
มธ 10.27 ซึ่งเรากล่าวแก่พวกท่านในที่มืด ท่านจงกล่าวในที่สว่าง และซึ่งท่านได้ยินกระซิบที่หู ท่านจงประกาศจากดาดฟ้าหลังคาบ้าน
มธ 22.13 กษัตริย์จึงรับสั่งแก่พวกผู้รับใช้ว่า ‘จงมัดมือมัดเท้าคนนี้เอาไปทิ้งเสียที่มืดภายนอก ที่นั่นจะมีการร้องไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน’
มธ 24.29 แต่พอสิ้นความทุกข์ลำบากแห่งวันเหล่านั้นแล้ว ‘ดวงอาทิตย์จะมืดไปและดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง ดวงดาวทั้งปวงจะตกจากฟ้า และบรรดาสิ่งที่มีอำนาจในท้องฟ้าจะสะเทือนสะท้านไป’
มธ 25.30 จงเอาเจ้าผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์นี้ไปทิ้งเสียที่มืดภายนอก ซึ่งที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน’
มก 13.24 ภายหลังเมื่อคราวลำบากนั้นพ้นไปแล้ว ‘ดวงอาทิตย์จะมืดไป และดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง
ลก 1.79 เพื่อจะส่องสว่างแก่คนทั้งหลายผู้อยู่ในที่มืด และในเงาแห่งความตาย เพื่อจะนำเท้าของเราไปในทางสันติสุข”
ลก 11.36 เหตุฉะนั้น ถ้ากายทั้งสิ้นของท่านเต็มด้วยความสว่าง ไม่มีที่มืดเลย ก็จะสว่างตลอด เหมือนอย่างแสงสว่างของเทียนที่ส่องมาให้ท่าน”
ลก 12.3 เหตุฉะนั้น สิ่งสารพัดซึ่งพวกท่านได้กล่าวในที่มืดจะได้ยินในที่สว่าง และซึ่งได้กระซิบในหูที่ห้องส่วนตัวจะต้องประกาศบนดาดฟ้าหลังคาบ้าน
ลก 23.45 ดวงอาทิตย์ก็มืดไป ม่านในพระวิหารก็ขาดตรงกลาง
ยน 6.17 แล้วลงเรือข้ามฟากไปยังเมืองคาเปอรนาอุม มืดแล้วแต่พระเยซูก็ยังมิได้เสด็จไปถึงเขา
กจ 2.20 ดวงอาทิตย์จะมืดไปและดวงจันทร์จะกลับเป็นเลือด ก่อนถึงวันใหญ่นั้น คือวันใหญ่ยิ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้า
รม 11.10 ขอให้ตาของเขามืดไปเพื่อเขาจะได้มองไม่เห็น และให้หลังของเขางอค่อมตลอดไป’
2คร 4.4 ส่วนคนที่ไม่เชื่อนั้น พระของยุคนี้ได้กระทำใจของเขาให้มืดไป เพื่อไม่ให้ความสว่างของข่าวประเสริฐอันมีสง่าราศีของพระคริสต์ ผู้เป็นพระฉายของพระเจ้า ส่องแสงถึงพวกเขา
2ปต 1.19 และเรามีคำพยากรณ์ที่แน่นอนยิ่งกว่านั้นอีก จะเป็นการดีถ้าท่านทั้งหลายจะถือตามคำนั้น เสมือนแสงประทีปที่ส่องสว่างในที่มืด จนกว่าแสงอรุณจะขึ้น และดาวประจำรุ่งจะผุดขึ้นในใจของท่านทั้งหลาย
ยด 1.6 และเหล่าทูตสวรรค์ที่ไม่ได้รักษาเทวสภาพของตน แต่ได้ละทิ้งถิ่นฐานของตนนั้น พระองค์ก็ได้ทรงจองจำไว้ด้วยโซ่ตรวนอันเป็นนิรันดร์ ขังไว้ในที่มืดจนกว่าจะถึงการพิพากษาในวันสำคัญยิ่งนั้น
วว 6.12 เมื่อพระองค์ทรงแกะตราดวงที่หกนั้นแล้ว ดูเถิด ข้าพเจ้าก็ได้เห็นแผ่นดินไหวใหญ่โต ดวงอาทิตย์ก็กลายเป็นมืดดำดุจผ้ากระสอบขนสัตว์ และดวงจันทร์ก็กลายเป็นสีเลือด
วว 8.12 เมื่อทูตสวรรค์องค์ที่สี่เป่าแตรขึ้น ดวงอาทิตย์ก็ถูกทำลายไปหนึ่งในสามส่วน ดวงจันทร์และดวงดาวทั้งหลายก็เช่นเดียวกันจึงมืดไปหนึ่งในสามส่วน กลางวันก็ไม่สว่างเสียหนึ่งในสามส่วน และกลางคืนก็เช่นเดียวกับกลางวัน
วว 9.2 เมื่อเขาเปิดเหวที่ไม่มีก้นเหวนั้น ก็มีควันพลุ่งขึ้นมาจากเหวนั้นดุจควันที่เตาใหญ่ และดวงอาทิตย์และอากาศก็มืดไป เพราะเหตุควันที่ขึ้นมาจากเหวนั้น
วว 16.10 ทูตสวรรค์องค์ที่ห้าเทขันของตนลงบนที่นั่งของสัตว์ร้ายนั้น และอาณาจักรของมันก็มืดไป คนเหล่านั้นได้กัดลิ้นของตนด้วยความเจ็บปวด

มืดครึ้ม ( 2 )
โยบ 28.3 มนุษย์กำจัดความมืด และค้นหาไปยังเขตไกลที่สุด ค้นแร่ดิบในที่มืดครึ้มและเงามัจจุราช
โยบ 34.22 ไม่มีที่มืดครึ้มหรือเงามัจจุราชซึ่งคนกระทำความชั่วช้าจะซ่อนตัวได้

มืดทึบ ( 2 )
โยบ 22.13 เพราะฉะนั้นท่านว่า ‘พระเจ้าทรงรู้อะไร พระองค์จะทรงทะลุเมฆมืดทึบไปพิพากษาได้หรือ
ยรม 2.31 โอ คนยุคนี้เอ๋ย เจ้าทั้งหลายจงพิจารณาดูพระวจนะของพระเยโฮวาห์ เราเป็นเหมือนถิ่นทุรกันดารแก่อิสราเอลหรือ หรือเหมือนแผ่นดินที่มืดทึบหรือ ทำไมประชาชนของเราจึงกล่าวว่า ‘ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นเจ้านาย ข้าพระองค์จะไม่มาหาพระองค์อีก’

มืดบอด ( 1 )
2คร 3.14 แต่จิตใจของเขาก็มืดบอดไป เพราะตลอดมาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อเขาอ่านพันธสัญญาเดิม ผ้าคลุมนั้นยังคงอยู่มิได้เปิดออก แต่ผ้าคลุมนั้นได้เปิดออกแล้วโดยพระคริสต์

มืดมน ( 2 )
โยบ 38.2 “นี่ใครหนอที่ให้คำปรึกษามืดมนไปด้วยถ้อยคำอันปราศจากความรู้
อฟ 4.18 โดยที่ความเข้าใจของเขามืดมนไปและเขาอยู่ห่างจากชีวิตซึ่งมาจากพระเจ้า เพราะเหตุความโง่ซึ่งอยู่ในตัวเขา อันเนื่องจากใจที่แข็งกระด้างของเขา

มืดมัว ( 13 )
ปฐก 48.10 คราวนั้นตาของอิสราเอลมืดมัวไปเพราะชรา มองอะไรไม่เห็น โยเซฟพาบุตรเข้ามาใกล้บิดา บิดาก็จุบกอดเขา
พบญ 16.19 ท่านอย่ากระทำให้เสียความยุติธรรม อย่าลำเอียง อย่ารับสินบน เพราะว่าสินบนทำให้ตาของคนมีปัญญามืดมัวไป และกลับคดีของคนชอบธรรมเสีย
พบญ 28.32 เขาจะเอาบุตรชายและบุตรสาวของท่านไปให้แก่ประชาชาติอื่น ส่วนตาของท่านจะมองดูและมืดมัวลงด้วยความอาลัยอาวรณ์ตลอดเวลา อำนาจน้ำมือของท่านก็ไม่สามารถจะป้องกันได้
พบญ 28.65 เมื่อท่านอยู่ท่ามกลางประชาชาติต่างๆนั้น ท่านจะไม่พบความสบายเลย ฝ่าเท้าของท่านจะไม่มีที่หยุดพัก เพราะพระเยโฮวาห์จะประทานให้ท่านมีจิตใจที่หวาดหวั่น มีตาที่มืดมัวลงและมีชีวิตที่ค่อยๆวอดลง
1ซมอ 3.2 อยู่มาครั้งนั้นเอลีนอนอยู่ในที่นอนของตน ตาของท่านเริ่มมืดมัว มองอะไรไม่เห็น
1ซมอ 4.15 ฝ่ายเอลีมีอายุเก้าสิบแปดปี ตาของท่านมืดมัว มองอะไรไม่เห็น
โยบ 11.20 แต่ตาของคนชั่วร้ายจะมืดมัว เขาจะหลีกเลี่ยงหลบหนีไม่ได้ และความหวังของเขาจะเหมือนความตายนั่นเอง”
โยบ 17.7 นัยน์ตาของข้าได้มืดมัวไปด้วยความโศกสลด และอวัยวะทั้งสิ้นของข้าก็เหมือนกับเงา
ปญจ 12.3 ในกาลเมื่อคนยามเฝ้าเรือนจะตัวสั่น และคนแข็งแรงจะคุดคู้ไป และหญิงโม่จะเลิกโม่ เพราะจำนวนลดน้อยลง และบรรดาผู้ที่เยี่ยมหน้าต่างจะมืดมัว
ยรม 14.6 ลาป่ายืนอยู่บนที่สูง มันสูดลมหายใจเหมือนมังกร ตาของมันก็มืดมัว เพราะไม่มีหญ้า”
ศคย 14.6 ต่อมาในวันนั้นแสงสว่างจะไม่แจ่มใสหรือจะไม่มืดมัว
กจ 9.9 ตาท่านก็มืดมัวไปถึงสามวันและท่านมิได้กินหรือดื่มอะไรเลย
รม 1.21 เพราะถึงแม้ว่าเขาทั้งหลายได้รู้จักพระเจ้าแล้ว เขาก็มิได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ให้สมกับที่ทรงเป็นพระเจ้า หรือหาได้ขอบพระคุณไม่ แต่เขากลับคิดในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ และจิตใจโง่เขลาของเขาก็มืดมัวไป

มืดมิด ( 3 )
สภษ 20.20 ถ้าคนหนึ่งคนใดแช่งบิดาหรือมารดาของตน ประทีปของเขาจะดับมืดมิด
ปญจ 11.8 แต่ถ้าคนใดมีชีวิตอยู่ได้ตั้งหลายปี และเขาเปรมปรีดิ์ในตลอดปีเดือนเหล่านั้น ก็จงให้เขาระลึกถึงวันมืดมิดว่าจะมีมาก บรรดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมานั้นก็อนิจจัง
ฮบ 12.18 ท่านทั้งหลายไม่ได้มาถึงภูเขาที่จะถูกต้องได้ และที่ได้ไหม้ไฟแล้ว และถึงที่ดำ ถึงที่มืดมิด และถึงที่ลมพายุ

มือ ( 1049 )
ปฐก 4.11; ปฐก 5.29; ปฐก 9.2; ปฐก 9.5; ปฐก 14.20; ปฐก 14.22; ปฐก 16.6; ปฐก 16.12; ปฐก 19.16; ปฐก 20.5; ปฐก 21.18; ปฐก 21.30; ปฐก 24.2; ปฐก 24.9; ปฐก 25.26; ปฐก 27.16; ปฐก 27.17; ปฐก 27.22; ปฐก 27.23; ปฐก 31.42; ปฐก 33.10; ปฐก 37.21; ปฐก 37.22; ปฐก 38.18; ปฐก 38.20; ปฐก 38.29; ปฐก 39.1; ปฐก 39.3; ปฐก 39.4; ปฐก 39.6; ปฐก 39.8; ปฐก 39.12; ปฐก 39.13; ปฐก 40.11; ปฐก 41.42; ปฐก 41.44; ปฐก 44.17; ปฐก 46.4; ปฐก 47.29; ปฐก 48.14; ปฐก 48.17; ปฐก 48.22; ปฐก 49.8; อพย 2.19; อพย 3.8; อพย 3.20; อพย 4.2; อพย 4.4; อพย 4.6; อพย 4.7; อพย 4.17; อพย 4.20; อพย 4.21; อพย 5.21; อพย 6.1; อพย 7.4; อพย 7.5; อพย 8.5; อพย 8.6; อพย 8.17; อพย 9.15; อพย 9.29; อพย 9.33; อพย 10.12; อพย 13.9; อพย 13.16; อพย 15.9; อพย 17.11; อพย 17.12; อพย 18.10; อพย 19.13; อพย 21.13; อพย 21.16; อพย 21.24; อพย 22.4; อพย 22.8; อพย 22.11; อพย 23.31; อพย 29.10; อพย 29.15; อพย 29.19; อพย 29.24; อพย 29.25; อพย 30.19; อพย 30.21; อพย 32.4; อพย 33.22; อพย 33.23; อพย 35.25; อพย 40.31; ลนต 1.4; ลนต 3.2; ลนต 3.8; ลนต 3.13; ลนต 4.4; ลนต 4.15; ลนต 4.24; ลนต 4.29; ลนต 4.33; ลนต 7.30; ลนต 8.14; ลนต 8.18; ลนต 8.22; ลนต 8.27; ลนต 8.28; ลนต 9.22; ลนต 14.17; ลนต 14.18; ลนต 14.28; ลนต 14.29; ลนต 15.11; ลนต 16.21; ลนต 21.19; ลนต 24.14; ลนต 25.28; ลนต 26.25; ลนต 26.46; กดว 5.25; กดว 6.19; กดว 8.10; กดว 8.12; กดว 20.11; กดว 20.20; กดว 21.2; กดว 21.34; กดว 22.29; กดว 25.7; กดว 27.18; กดว 27.23; กดว 31.6; กดว 35.17; กดว 35.18; กดว 35.25; พบญ 1.27; พบญ 2.7; พบญ 2.24; พบญ 2.30; พบญ 3.2; พบญ 3.3; พบญ 3.8; พบญ 4.28; พบญ 6.8; พบญ 7.24; พบญ 9.15; พบญ 9.17; พบญ 10.3; พบญ 11.18; พบญ 12.7; พบญ 12.18; พบญ 13.17; พบญ 14.29; พบญ 15.3; พบญ 15.7; พบญ 16.10; พบญ 16.15; พบญ 19.12; พบญ 19.21; พบญ 20.13; พบญ 21.6; พบญ 21.7; พบญ 21.10; พบญ 21.12; พบญ 23.20; พบญ 23.25; พบญ 24.1; พบญ 24.3; พบญ 24.19; พบญ 25.11; พบญ 25.12; พบญ 26.4; พบญ 28.8; พบญ 28.20; พบญ 30.9; พบญ 31.29; พบญ 32.27; พบญ 32.39; พบญ 32.41; พบญ 33.7; พบญ 33.11; พบญ 34.9; ยชว 2.19; ยชว 2.24; ยชว 6.2; ยชว 7.7; ยชว 8.1; ยชว 8.7; ยชว 8.18; ยชว 8.26; ยชว 9.26; ยชว 10.6; ยชว 10.8; ยชว 10.19; ยชว 10.30; ยชว 10.32; ยชว 11.8; ยชว 20.5; ยชว 20.9; ยชว 24.8; ยชว 24.10; ยชว 24.11; วนฉ 1.2; วนฉ 1.4; วนฉ 1.35; วนฉ 2.14; วนฉ 2.16; วนฉ 2.23; วนฉ 3.8; วนฉ 3.10; วนฉ 3.28; วนฉ 3.30; วนฉ 4.2; วนฉ 4.7; วนฉ 4.9; วนฉ 4.14; วนฉ 4.24; วนฉ 5.26; วนฉ 6.1; วนฉ 6.2; วนฉ 6.9; วนฉ 6.13; วนฉ 6.36; วนฉ 6.37; วนฉ 7.2; วนฉ 7.6; วนฉ 7.7; วนฉ 7.9; วนฉ 7.11; วนฉ 7.14; วนฉ 7.15; วนฉ 7.19; วนฉ 8.3; วนฉ 8.6; วนฉ 8.7; วนฉ 8.15; วนฉ 8.22; วนฉ 8.34; วนฉ 9.16; วนฉ 9.17; วนฉ 9.24; วนฉ 10.7; วนฉ 10.12; วนฉ 11.21; วนฉ 11.30; วนฉ 11.32; วนฉ 12.2; วนฉ 12.3; วนฉ 13.1; วนฉ 13.23; วนฉ 14.6; วนฉ 15.12; วนฉ 15.13; วนฉ 15.14; วนฉ 15.18; วนฉ 16.23; วนฉ 16.24; วนฉ 17.3; วนฉ 18.10; วนฉ 18.19; วนฉ 19.27; วนฉ 20.28; นรธ 4.5; นรธ 4.9; 1ซมอ 2.13; 1ซมอ 4.3; 1ซมอ 7.3; 1ซมอ 7.8; 1ซมอ 7.14; 1ซมอ 9.16; 1ซมอ 10.4; 1ซมอ 10.18; 1ซมอ 11.7; 1ซมอ 12.3; 1ซมอ 12.4; 1ซมอ 12.5; 1ซมอ 12.9; 1ซมอ 12.10; 1ซมอ 12.11; 1ซมอ 13.22; 1ซมอ 14.10; 1ซมอ 14.12; 1ซมอ 14.19; 1ซมอ 14.26; 1ซมอ 14.27; 1ซมอ 14.37; 1ซมอ 14.43; 1ซมอ 14.48; 1ซมอ 16.23; 1ซมอ 17.37; 1ซมอ 17.40; 1ซมอ 17.46; 1ซมอ 17.47; 1ซมอ 17.49; 1ซมอ 17.50; 1ซมอ 18.17; 1ซมอ 18.21; 1ซมอ 18.25; 1ซมอ 21.3; 1ซมอ 21.13; 1ซมอ 22.17; 1ซมอ 23.4; 1ซมอ 23.7; 1ซมอ 23.11; 1ซมอ 23.12; 1ซมอ 23.14; 1ซมอ 23.16; 1ซมอ 23.17; 1ซมอ 24.4; 1ซมอ 24.6; 1ซมอ 24.10; 1ซมอ 24.11; 1ซมอ 24.12; 1ซมอ 24.13; 1ซมอ 24.18; 1ซมอ 24.20; 1ซมอ 25.8; 1ซมอ 25.26; 1ซมอ 25.33; 1ซมอ 25.35; 1ซมอ 25.39; 1ซมอ 26.8; 1ซมอ 26.9; 1ซมอ 26.11; 1ซมอ 26.18; 1ซมอ 26.23; 1ซมอ 27.1; 1ซมอ 28.17; 1ซมอ 28.19; 1ซมอ 30.15; 1ซมอ 30.23; 2ซมอ 2.7; 2ซมอ 3.8; 2ซมอ 3.12; 2ซมอ 3.18; 2ซมอ 3.34; 2ซมอ 4.11; 2ซมอ 4.12; 2ซมอ 5.19; 2ซมอ 6.6; 2ซมอ 8.1; 2ซมอ 11.14; 2ซมอ 12.7; 2ซมอ 13.5; 2ซมอ 13.6; 2ซมอ 13.10; 2ซมอ 13.11; 2ซมอ 13.19; 2ซมอ 14.16; 2ซมอ 14.19; 2ซมอ 16.8; 2ซมอ 16.21; 2ซมอ 18.5; 2ซมอ 18.12; 2ซมอ 18.28; 2ซมอ 19.9; 2ซมอ 20.10; 2ซมอ 20.21; 2ซมอ 21.9; 2ซมอ 21.22; 2ซมอ 22.1; 2ซมอ 22.21; 2ซมอ 22.35; 2ซมอ 23.6; 2ซมอ 23.10; 2ซมอ 23.21; 2ซมอ 24.14; 2ซมอ 24.16; 1พกษ 8.38; 1พกษ 11.12; 1พกษ 11.26; 1พกษ 11.27; 1พกษ 11.31; 1พกษ 11.34; 1พกษ 11.35; 1พกษ 13.6; 1พกษ 14.27; 1พกษ 15.18; 1พกษ 17.11; 1พกษ 20.10; 1พกษ 20.13; 1พกษ 20.14; 1พกษ 20.28; 1พกษ 20.42; 1พกษ 22.3; 2พกษ 3.10; 2พกษ 3.11; 2พกษ 3.13; 2พกษ 3.18; 2พกษ 4.34; 2พกษ 5.18; 2พกษ 5.20; 2พกษ 5.24; 2พกษ 6.7; 2พกษ 10.24; 2พกษ 12.11; 2พกษ 12.15; 2พกษ 13.3; 2พกษ 13.5; 2พกษ 13.16; 2พกษ 16.7; 2พกษ 17.20; 2พกษ 17.39; 2พกษ 18.21; 2พกษ 18.30; 2พกษ 18.34; 2พกษ 18.35; 2พกษ 19.10; 2พกษ 19.14; 2พกษ 19.18; 2พกษ 19.19; 2พกษ 20.6; 2พกษ 21.14; 2พกษ 22.5; 2พกษ 22.7; 2พกษ 22.9; 2พกษ 22.17; 1พศด 5.10; 1พศด 5.20; 1พศด 11.23; 1พศด 12.17; 1พศด 13.9; 1พศด 13.10; 1พศด 14.10; 1พศด 18.1; 1พศด 20.6; 1พศด 20.8; 1พศด 21.13; 1พศด 21.15; 1พศด 21.16; 1พศด 22.18; 1พศด 29.5; 2พศด 6.29; 2พศด 12.5; 2พศด 12.7; 2พศด 12.10; 2พศด 13.8; 2พศด 13.16; 2พศด 15.7; 2พศด 16.7; 2พศด 16.8; 2พศด 24.13; 2พศด 24.24; 2พศด 25.15; 2พศด 25.20; 2พศด 28.9; 2พศด 29.23; 2พศด 30.16; 2พศด 32.11; 2พศด 32.13; 2พศด 32.14; 2พศด 32.15; 2พศด 32.17; 2พศด 32.19; 2พศด 32.22; 2พศด 34.17; 2พศด 34.25; 2พศด 35.11; 2พศด 36.17; อสร 1.6; อสร 5.8; อสร 6.22; อสร 7.14; อสร 7.25; อสร 8.26; อสร 8.31; อสร 8.33; อสร 9.2; อสร 9.7; นหม 4.17; นหม 6.9; นหม 8.6; นหม 9.24; นหม 9.27; นหม 9.28; นหม 9.30; อสธ 3.9; อสธ 6.9; โยบ 2.6; โยบ 4.3; โยบ 5.12; โยบ 5.15; โยบ 6.23; โยบ 9.24; โยบ 9.30; โยบ 9.33; โยบ 11.13; โยบ 11.14; โยบ 12.6; โยบ 15.23; โยบ 15.25; โยบ 16.11; โยบ 16.13; โยบ 16.17; โยบ 17.9; โยบ 20.10; โยบ 20.22; โยบ 21.5; โยบ 22.30; โยบ 29.9; โยบ 29.20; โยบ 30.2; โยบ 31.7; โยบ 31.21; โยบ 31.25; โยบ 31.27; โยบ 34.20; โยบ 35.7; โยบ 37.7; โยบ 40.4; สดด 7.3; สดด 9.16; สดด 18.20; สดด 18.24; สดด 18.34; สดด 22.16; สดด 24.4; สดด 26.6; สดด 26.10; สดด 28.2; สดด 31.8; สดด 31.15; สดด 36.11; สดด 37.33; สดด 58.2; สดด 71.4; สดด 73.13; สดด 76.5; สดด 77.20; สดด 78.61; สดด 78.72; สดด 81.6; สดด 81.14; สดด 82.4; สดด 89.21; สดด 89.25; สดด 89.48; สดด 91.12; สดด 97.10; สดด 106.10; สดด 106.41; สดด 107.2; สดด 115.7; สดด 119.48; สดด 119.109; สดด 123.2; สดด 127.4; สดด 129.7; สดด 134.2; สดด 140.4; สดด 141.2; สดด 143.6; สดด 144.1; สดด 144.7; สดด 144.11; สดด 149.6; สภษ 1.24; สภษ 3.27; สภษ 6.5; สภษ 6.10; สภษ 6.17; สภษ 6.34; สภษ 10.4; สภษ 12.14; สภษ 12.24; สภษ 14.1; สภษ 16.5; สภษ 17.16; สภษ 19.24; สภษ 21.25; สภษ 24.33; สภษ 26.6; สภษ 26.9; สภษ 26.15; สภษ 30.28; สภษ 30.32; สภษ 31.13; สภษ 31.19; ปญจ 2.11; ปญจ 4.5; ปญจ 5.14; ปญจ 7.26; ปญจ 9.10; ปญจ 10.18; ปญจ 11.6; พซม 5.4; พซม 5.5; พซม 5.14; พซม 7.1; อสย 1.15; อสย 1.25; อสย 2.8; อสย 3.11; อสย 6.6; อสย 10.5; อสย 10.10; อสย 10.13; อสย 10.14; อสย 10.32; อสย 11.8; อสย 13.7; อสย 17.8; อสย 19.4; อสย 19.25; อสย 22.21; อสย 25.11; อสย 28.4; อสย 29.23; อสย 31.7; อสย 33.15; อสย 35.3; อสย 36.6; อสย 36.15; อสย 36.19; อสย 36.20; อสย 37.10; อสย 37.14; อสย 37.19; อสย 37.20; อสย 38.6; อสย 42.6; อสย 43.13; อสย 44.5; อสย 44.20; อสย 45.9; อสย 45.11; อสย 45.12; อสย 47.6; อสย 48.13; อสย 49.22; อสย 50.2; อสย 50.11; อสย 51.16; อสย 51.22; อสย 51.23; อสย 53.10; อสย 56.2; อสย 57.10; อสย 59.3; อสย 59.6; อสย 60.21; อสย 66.2; ยรม 1.16; ยรม 2.37; ยรม 4.31; ยรม 6.9; ยรม 6.12; ยรม 6.24; ยรม 10.3; ยรม 11.21; ยรม 12.7; ยรม 15.6; ยรม 15.21; ยรม 16.21; ยรม 17.4; ยรม 18.4; ยรม 18.6; ยรม 19.7; ยรม 20.4; ยรม 20.5; ยรม 20.13; ยรม 21.4; ยรม 21.5; ยรม 21.7; ยรม 21.10; ยรม 21.12; ยรม 22.3; ยรม 22.25; ยรม 23.14; ยรม 25.6; ยรม 25.7; ยรม 25.14; ยรม 25.15; ยรม 25.28; ยรม 26.14; ยรม 26.24; ยรม 27.3; ยรม 27.6; ยรม 27.8; ยรม 29.3; ยรม 29.21; ยรม 30.6; ยรม 31.11; ยรม 32.3; ยรม 32.4; ยรม 32.24; ยรม 32.25; ยรม 32.28; ยรม 32.30; ยรม 32.36; ยรม 32.43; ยรม 33.13; ยรม 34.2; ยรม 34.3; ยรม 34.20; ยรม 34.21; ยรม 37.17; ยรม 38.3; ยรม 38.4; ยรม 38.5; ยรม 38.16; ยรม 38.18; ยรม 38.19; ยรม 38.23; ยรม 39.17; ยรม 40.4; ยรม 42.11; ยรม 43.3; ยรม 44.8; ยรม 44.25; ยรม 44.30; ยรม 46.24; ยรม 46.26; ยรม 47.3; ยรม 48.37; ยรม 51.25; พคค 1.7; พคค 1.14; พคค 1.17; พคค 3.41; พคค 4.2; พคค 4.6; พคค 4.10; พคค 5.8; พคค 5.12; อสค 1.8; อสค 3.18; อสค 3.20; อสค 7.17; อสค 7.21; อสค 7.27; อสค 8.3; อสค 8.11; อสค 10.2; อสค 10.7; อสค 10.8; อสค 10.12; อสค 10.21; อสค 11.9; อสค 12.7; อสค 13.9; อสค 13.21; อสค 13.22; อสค 13.23; อสค 14.9; อสค 14.13; อสค 16.27; อสค 16.39; อสค 16.49; อสค 18.8; อสค 18.17; อสค 20.22; อสค 20.33; อสค 20.34; อสค 21.7; อสค 21.11; อสค 21.22; อสค 21.24; อสค 21.31; อสค 22.13; อสค 22.14; อสค 23.9; อสค 23.28; อสค 23.31; อสค 23.37; อสค 23.42; อสค 23.45; อสค 25.13; อสค 25.14; อสค 25.16; อสค 28.9; อสค 28.10; อสค 29.7; อสค 30.10; อสค 30.12; อสค 30.22; อสค 30.24; อสค 30.25; อสค 31.11; อสค 33.6; อสค 33.8; อสค 34.10; อสค 34.27; อสค 35.3; อสค 37.17; อสค 37.19; อสค 37.20; อสค 38.12; อสค 39.21; อสค 39.23; อสค 40.3; อสค 40.5; อสค 47.3; ดนล 2.34; ดนล 2.45; ดนล 3.15; ดนล 5.5; ดนล 5.24; ดนล 7.25; ดนล 8.4; ดนล 8.7; ดนล 8.25; ดนล 10.10; ดนล 11.11; ดนล 11.16; ดนล 11.41; ดนล 11.42; ฮชย 2.10; ฮชย 12.7; ฮชย 14.3; ยอล 3.8; อมส 1.8; อมส 5.19; อมส 9.2; ยนา 3.8; มคา 2.1; มคา 4.10; มคา 5.9; มคา 5.12; มคา 5.13; มคา 7.3; มคา 7.16; ฮบก 3.10; ศฟย 1.4; ศฟย 2.15; ศฟย 3.16; ฮกก 1.11; ฮกก 2.14; ฮกก 2.17; ศคย 2.1; ศคย 2.9; ศคย 4.9; ศคย 4.10; ศคย 8.4; ศคย 8.9; ศคย 8.13; ศคย 11.6; ศคย 13.6; ศคย 13.7; ศคย 14.13; มลค 1.9; มลค 1.10; มลค 1.13; มลค 2.13; มธ 4.6; มธ 5.30; มธ 8.15; มธ 9.25; มธ 12.10; มธ 12.13; มธ 15.2; มธ 15.20; มธ 16.22; มธ 18.8; มธ 22.13; มธ 26.45; มธ 27.24; มก 1.31; มก 3.1; มก 3.3; มก 3.5; มก 5.41; มก 6.2; มก 7.2; มก 7.3; มก 7.5; มก 9.27; มก 9.43; มก 14.41; มก 14.58; มก 16.18; ลก 1.71; ลก 1.74; ลก 4.11; ลก 6.8; ลก 6.10; ลก 8.54; ลก 9.62; ลก 22.21; ลก 24.7; ลก 24.39; ยน 10.28; ยน 10.39; ยน 11.44; ยน 13.9; ยน 20.25; ยน 20.27; ยน 21.18; กจ 5.12; กจ 6.6; กจ 7.25; กจ 7.35; กจ 7.41; กจ 7.48; กจ 7.50; กจ 8.17; กจ 8.19; กจ 9.12; กจ 9.17; กจ 12.7; กจ 13.3; กจ 17.24; กจ 17.25; กจ 19.6; กจ 19.11; กจ 19.26; กจ 20.34; กจ 21.11; กจ 24.7; กจ 27.19; กจ 28.3; กจ 28.4; กจ 28.8; กจ 28.17; รม 15.31; 1คร 4.12; 1คร 12.15; 1คร 12.21; 2คร 5.1; กท 3.19; กท 6.11; อฟ 2.11; อฟ 4.28; คส 2.11; คส 2.21; 1ธส 4.11; 2ธส 3.17; 1ทธ 2.8; 1ทธ 4.14; 1ทธ 5.22; ฟม 1.19; ฮบ 9.11; ฮบ 9.24; ฮบ 12.12; ยก 4.8; 1ยน 1.1; วว 1.20; วว 8.4; วว 9.20; วว 10.2; วว 10.8; วว 10.10; วว 14.9; วว 20.4

มื้อ ( 2 )
มธ 26.26 ระหว่างอาหารมื้อนั้น พระเยซูทรงหยิบขนมปังมา และเมื่อขอบพระคุณแล้ว ทรงหักส่งให้แก่เหล่าสาวกตรัสว่า “จงรับกินเถิด นี่เป็นกายของเรา”
มก 14.22 ระหว่างอาหารมื้อนั้น พระเยซูทรงหยิบขนมปังมา ทรงขอบพระคุณ แล้วหักส่งให้แก่เหล่าสาวกตรัสว่า “จงรับกินเถิด นี่เป็นกายของเรา”

มือขวา ( 45 )
ปฐก 48.13 โยเซฟจูงบุตรทั้งสองเข้าไปใกล้บิดา มือขวาจับเอฟราอิมให้อยู่ข้างซ้ายอิสราเอล และมือซ้ายจับมนัสเสห์ให้อยู่ข้างขวาอิสราเอล
ปฐก 48.14 ฝ่ายอิสราเอลก็เหยียดมือขวาออกวางบนศีรษะเอฟราอิมผู้เป็นน้อง และมือซ้ายวางไว้บนศีรษะมนัสเสห์ โดยตั้งใจเหยียดมือออกเช่นนั้น เพราะมนัสเสห์เป็นบุตรหัวปี
ปฐก 48.18 โยเซฟพูดกับบิดาของตนว่า “ไม่ถูก บิดาของข้าพเจ้า เพราะคนนี้เป็นหัวปี ขอท่านวางมือขวาบนศีรษะคนนี้เถิด”
ลนต 14.16 และเอานิ้วมือขวาจิ้มน้ำมันซึ่งอยู่ในมือซ้าย ประพรมน้ำมันด้วยนิ้วของเขาเจ็ดครั้งต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
ลนต 14.27 และเอาน้ำมันที่อยู่ในมือซ้ายนั้นประพรมด้วยนิ้วมือขวาเจ็ดครั้งต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
ยชว 17.7 เขตแดนของมนัสเสห์ตั้งต้นจากอาเชอร์จนถึงมิคเมธัท ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองเชเคมแล้ว พรมแดนก็ยื่นไปทางมือขวาถึงที่ของชาวเมืองเอนทัปปูวาห์
วนฉ 5.26 นางเอื้อมมือหยิบหลักเต็นท์ ข้างมือขวาของนางฉวยตะลุมพุก นางตอกสิเสราเข้าทีหนึ่ง นางบี้ศีรษะของสิเสรา นางตีทะลุขมับของเขา
วนฉ 7.20 ทหารทั้งสามกองก็เป่าแตรและต่อยหม้อ มือซ้ายถือคบเพลิง มือขวาถือแตรจะเป่า และเขาร้องขึ้นว่า “ดาบของพระเยโฮวาห์และของกิเดโอน”
วนฉ 16.29 แซมสันก็กอดเสากลางสองต้นที่รองรับตึกนั้นไว้และพักพิงที่เสานั้น มือขวายันเสาต้นหนึ่ง มือซ้ายยันเสาอีกต้นหนึ่ง
2ซมอ 20.9 โยอาบจึงถามอามาสาว่า “พี่ชายเอ๋ย สบายดีหรือ” และโยอาบก็เอามือขวาจับเคราอามาสาจะจุบเขา
2พกษ 23.13 และกษัตริย์ทรงกระทำให้ปูชนียสถานสูงซึ่งอยู่หน้ากรุงเยรูซาเล็มเสียความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งอยู่ทางมือขวาของภูเขาพินาศ ซึ่งซาโลมอนกษัตริย์แห่งอิสราเอลได้สร้างสำหรับพระอัชโทเรทสิ่งน่าสะอิดสะเอียนของคนไซดอน และสำหรับพระเคโมชสิ่งน่าสะอิดสะเอียนของคนโมอับ และสำหรับพระมิลโคมสิ่งน่าสะอิดสะเอียนของชนอัมโมน
1พศด 12.2 เขาเป็นนักธนู เขาเหวี่ยงหินด้วยสลิงและยิงธนูได้ด้วยมือขวาหรือมือซ้าย เขาเป็นคนเบนยามิน ญาติของซาอูล
โยบ 40.14 แล้วเราเองจะยอมรับว่า มือขวาของเจ้าสามารถช่วยเจ้าได้
สดด 16.8 ข้าพเจ้าตั้งพระเยโฮวาห์ไว้ตรงหน้าข้าพเจ้าเสมอ เพราะพระองค์ประทับที่มือขวาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหว
สดด 26.10 คือคนซึ่งในมือของเขามีแผนการชั่ว และมือขวาของเขาเต็มด้วยสินบน
สดด 73.23 ถึงกระนั้นก็ดี ข้าพระองค์อยู่กับพระองค์เสมอ พระองค์ทรงจับมือขวาของข้าพระองค์ไว้
สดด 89.25 เราจะเอามือของเขาวางไว้บนทะเล และมือขวาของเขาบนแม่น้ำทั้งหลาย
สดด 89.42 พระองค์ทรงยกย่องมือขวาของคู่อริของท่าน พระองค์ทรงกระทำให้ศัตรูทั้งสิ้นของท่านเปรมปรีดิ์
สดด 91.7 พันคนจะล้มอยู่ที่ข้างๆท่าน หมื่นคนที่มือขวาของท่าน แต่ภัยนั้นจะไม่มาใกล้ท่าน
สดด 109.6 ขอทรงตั้งคนชั่วให้อยู่เหนือเขาและให้ซาตานยืนอยู่ที่มือขวาของเขา
สดด 137.5 โอ เยรูซาเล็มเอ๋ย ถ้าข้าพเจ้าลืมเธอก็ขอให้มือขวาของข้าพเจ้าลืมฝีมือเสีย
สดด 144.8 ผู้ซึ่งปากของเขาพูดเรื่องไร้สาระและซึ่งมือขวาของเขาเป็นมือขวาแห่งความมุสา
สดด 144.11 ขอทรงช่วยเหลือข้าพระองค์ และขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากมือคนต่างด้าว ผู้ซึ่งปากของเขาพูดเรื่องไร้สาระและซึ่งมือขวาของเขาเป็นมือขวาแห่งความมุสา
สภษ 3.16 ชีวิตยืนยาวอยู่ที่มือขวาของเธอ และที่มือซ้ายของเธอมีความมั่งคั่งและเกียรติยศ
สภษ 27.16 ผู้ใดที่จะยับยั้งเธอก็เหมือนยับยั้งลมหรือกอบน้ำมันด้วยมือขวา
พซม 2.6 มือซ้ายของเขาช้อนใต้ศีรษะของดิฉันไว้ และมือขวาของเขาสอดกอดดิฉันไว้
พซม 8.3 แล้วมือซ้ายของเขาจะช้อนใต้ศีรษะของดิฉันไว้ และมือขวาของเขาจะสอดกอดดิฉันไว้
อสย 41.10 อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า อย่าขยาด เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะหนุนกำลังเจ้า เออ เราจะช่วยเจ้า เออ เราจะชูเจ้าด้วยมือขวาแห่งความชอบธรรมของเรา
อสย 41.13 เพราะเราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า จะยึดมือขวาของเจ้าไว้ คือเราเองพูดกับเจ้าว่า “อย่ากลัวเลย เราจะช่วยเจ้า”
อสย 45.1 พระเยโฮวาห์ตรัสกับผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้คือไซรัส ผู้ซึ่งเราได้จับมือขวาไว้ เพื่อปราบหลายประชาชาติให้อยู่ข้างหน้าท่าน และให้ปลดรัดประคดจากบั้นเอวของบรรดากษัตริย์ ให้เปิดประตูทั้งสองที่อยู่ข้างหน้าท่านและมิให้ประตูเมืองปิด ดังนี้ว่า
อสย 48.13 เออ มือของเราได้วางรากฐานแผ่นดินโลก และมือขวาของเราได้กางฟ้าสวรรค์ออก เมื่อเราเรียกมัน มันก็ออกมาอยู่ด้วยกัน
อสย 63.12 ผู้นำเขาทั้งหลายทางมือขวาของโมเสสด้วยพระกรอันรุ่งโรจน์ของพระองค์ ผู้แยกน้ำออกต่อหน้าเขาทั้งหลาย เพื่อสร้างพระนามนิรันดร์ให้พระองค์เอง
ยรม 22.24 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เรามีชีวิตอยู่ตราบใด แม้ว่าโคนิยาห์ ราชบุตรของเยโฮยาคิม กษัตริย์แห่งยูดาห์ เป็นแหวนตราอยู่ที่มือขวาของเรา ถึงกระนั้นเราจะถอดออกเสีย
อสค 39.3 แล้วเราจะตีคันธนูให้หลุดจากมือซ้ายของเจ้า และเราจะให้ลูกธนูตกจากมือขวาของเจ้า
ดนล 12.7 ชายที่สวมเสื้อผ้าป่านผู้ซึ่งอยู่เหนือน้ำทั้งหลายแห่งแม่น้ำนั้น ได้ยกมือขวาและมือซ้ายของท่านสู่ฟ้าสวรรค์ และข้าพเจ้าได้ยินท่านปฏิญาณอ้างพระผู้ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ว่า ยังอีกวาระหนึ่ง สองวาระ และครึ่งวาระ และเมื่อการหมดอำนาจของชนชาติบริสุทธิ์สิ้นสุดลงแล้ว บรรดาสิ่งเหล่านี้ก็จะสำเร็จไปด้วย
ยนา 4.11 ไม่สมควรหรือที่เราจะไว้ชีวิตเมืองนีนะเวห์นครใหญ่นั้น ซึ่งมีพลเมืองมากกว่าหนึ่งแสนสองหมื่นคน ผู้ไม่ทราบว่าข้างไหนมือขวาข้างไหนมือซ้าย และมีสัตว์เลี้ยงเป็นอันมากด้วย”
มธ 6.3 ฝ่ายท่านทั้งหลายเมื่อทำทาน อย่าให้มือซ้ายรู้การซึ่งมือขวากระทำนั้น
ลก 6.6 ต่อมาในวันสะบาโตอีกวันหนึ่ง พระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาและสั่งสอน ที่นั่นมีชายคนหนึ่งมือขวาลีบ
กจ 2.25 เพราะดาวิดได้ทรงกล่าวถึงพระองค์ว่า ‘ข้าพเจ้าได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรงหน้าข้าพเจ้าเสมอ เพราะว่าพระองค์ประทับที่มือขวาของข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะมิได้หวั่นไหว
กจ 3.7 แล้วเปโตรจับมือขวาของเขาพยุงขึ้น และในทันใดนั้นเท้าและข้อเท้าของเขาก็มีกำลัง
2คร 6.7 โดยพระวจนะแห่งความจริง โดยฤทธิ์เดชของพระเจ้า โดยใช้เครื่องอาวุธแห่งความชอบธรรมด้วยมือขวาและมือซ้าย
กท 2.9 เมื่อยากอบ เคฟาสและยอห์น ผู้ที่เขานับถือว่าเป็นหลักได้เห็นพระคุณซึ่งประทานแก่ข้าพเจ้าแล้ว ก็ได้จับมือขวาของข้าพเจ้ากับบารนาบัสแสดงว่าเราเป็นเพื่อนร่วมงานกัน เพื่อให้เราไปหาคนต่างชาติ และท่านเหล่านั้นจะไปหาพวกที่ถือพิธีเข้าสุหนัต
วว 13.16 และมันยังได้บังคับคนทั้งปวง ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย คนมั่งมีและคนจน ไทยและทาส ให้รับเครื่องหมายไว้ที่มือขวาหรือที่หน้าผากของเขา

มือซ้าย ( 16 )
ปฐก 48.13 โยเซฟจูงบุตรทั้งสองเข้าไปใกล้บิดา มือขวาจับเอฟราอิมให้อยู่ข้างซ้ายอิสราเอล และมือซ้ายจับมนัสเสห์ให้อยู่ข้างขวาอิสราเอล
ปฐก 48.14 ฝ่ายอิสราเอลก็เหยียดมือขวาออกวางบนศีรษะเอฟราอิมผู้เป็นน้อง และมือซ้ายวางไว้บนศีรษะมนัสเสห์ โดยตั้งใจเหยียดมือออกเช่นนั้น เพราะมนัสเสห์เป็นบุตรหัวปี
ลนต 14.16 และเอานิ้วมือขวาจิ้มน้ำมันซึ่งอยู่ในมือซ้าย ประพรมน้ำมันด้วยนิ้วของเขาเจ็ดครั้งต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
ลนต 14.27 และเอาน้ำมันที่อยู่ในมือซ้ายนั้นประพรมด้วยนิ้วมือขวาเจ็ดครั้งต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
วนฉ 7.20 ทหารทั้งสามกองก็เป่าแตรและต่อยหม้อ มือซ้ายถือคบเพลิง มือขวาถือแตรจะเป่า และเขาร้องขึ้นว่า “ดาบของพระเยโฮวาห์และของกิเดโอน”
วนฉ 16.29 แซมสันก็กอดเสากลางสองต้นที่รองรับตึกนั้นไว้และพักพิงที่เสานั้น มือขวายันเสาต้นหนึ่ง มือซ้ายยันเสาอีกต้นหนึ่ง
1พศด 12.2 เขาเป็นนักธนู เขาเหวี่ยงหินด้วยสลิงและยิงธนูได้ด้วยมือขวาหรือมือซ้าย เขาเป็นคนเบนยามิน ญาติของซาอูล
สภษ 3.16 ชีวิตยืนยาวอยู่ที่มือขวาของเธอ และที่มือซ้ายของเธอมีความมั่งคั่งและเกียรติยศ
ปญจ 10.2 จิตใจของคนที่มีสติปัญญาย่อมอยู่ที่ข้างขวามือของตน แต่จิตใจของคนเขลาย่อมอยู่ที่ข้างมือซ้ายของตัว
พซม 2.6 มือซ้ายของเขาช้อนใต้ศีรษะของดิฉันไว้ และมือขวาของเขาสอดกอดดิฉันไว้
พซม 8.3 แล้วมือซ้ายของเขาจะช้อนใต้ศีรษะของดิฉันไว้ และมือขวาของเขาจะสอดกอดดิฉันไว้
อสค 39.3 แล้วเราจะตีคันธนูให้หลุดจากมือซ้ายของเจ้า และเราจะให้ลูกธนูตกจากมือขวาของเจ้า
ดนล 12.7 ชายที่สวมเสื้อผ้าป่านผู้ซึ่งอยู่เหนือน้ำทั้งหลายแห่งแม่น้ำนั้น ได้ยกมือขวาและมือซ้ายของท่านสู่ฟ้าสวรรค์ และข้าพเจ้าได้ยินท่านปฏิญาณอ้างพระผู้ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ว่า ยังอีกวาระหนึ่ง สองวาระ และครึ่งวาระ และเมื่อการหมดอำนาจของชนชาติบริสุทธิ์สิ้นสุดลงแล้ว บรรดาสิ่งเหล่านี้ก็จะสำเร็จไปด้วย
ยนา 4.11 ไม่สมควรหรือที่เราจะไว้ชีวิตเมืองนีนะเวห์นครใหญ่นั้น ซึ่งมีพลเมืองมากกว่าหนึ่งแสนสองหมื่นคน ผู้ไม่ทราบว่าข้างไหนมือขวาข้างไหนมือซ้าย และมีสัตว์เลี้ยงเป็นอันมากด้วย”
มธ 6.3 ฝ่ายท่านทั้งหลายเมื่อทำทาน อย่าให้มือซ้ายรู้การซึ่งมือขวากระทำนั้น
2คร 6.7 โดยพระวจนะแห่งความจริง โดยฤทธิ์เดชของพระเจ้า โดยใช้เครื่องอาวุธแห่งความชอบธรรมด้วยมือขวาและมือซ้าย

มือเปล่า ( 12 )
อพย 3.21 และเราจะให้พลไพร่นี้เป็นที่โปรดปรานในสายตาของชาวอียิปต์ และต่อมา เมื่อเจ้าทั้งหลายออกไปก็จะไม่ต้องไปมือเปล่า
อพย 23.15 จงถือเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อตามเวลาที่กำหนดไว้ (ในเดือนอาบีบ อันเป็นเดือนซึ่งเราบัญชาไว้ เจ้าจงกินขนมปังไร้เชื้อเจ็ดวันตามที่เราสั่งเจ้าไว้แล้ว เพราะในเดือนนั้นเจ้าออกจากอียิปต์ อย่าให้ผู้ใดมาเฝ้าเรามือเปล่าเลย)
อพย 34.20 ส่วนลูกลาหัวปีนั้นเจ้าจงนำลูกแกะมาไถ่ไว้ ถ้าแม้เจ้ามิได้ไถ่ก็จงหักคอมันเสีย บุตรชายหัวปีทั้งหลายของพวกเจ้านั้นจะต้องไถ่ไว้ด้วย อย่าให้ผู้ใดมาเฝ้าเรามือเปล่าเลย
พบญ 15.13 และเมื่อท่านปล่อยเขาเป็นอิสระไปจากท่าน ท่านอย่าปล่อยเขาไปมือเปล่า
พบญ 16.16 บรรดาผู้ชายทั้งสิ้นจะต้องเข้ามาเฝ้าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านปีละสามครั้ง ณ สถานที่ซึ่งพระองค์จะทรงเลือกไว้ คือ ณ เทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ เทศกาลสัปดาห์ และเทศกาลอยู่เพิง อย่าให้เขาไปเฝ้าพระเยโฮวาห์มือเปล่า
นรธ 3.17 และนางว่า “ท่านให้ข้าวบาร์เลย์หกทะนานนี้แก่ฉัน ท่านว่า ‘เจ้าอย่ากลับไปหาแม่สามีมือเปล่าเลย’”
โยบ 22.9 ท่านไล่แม่ม่ายออกไปมือเปล่า และแขนของลูกกำพร้าพ่อก็หัก
ยรม 50.9 เพราะ ดูเถิด เราจะเร้าและนำบรรดาประชาชาติใหญ่หมู่หนึ่งจากประเทศเหนือมาต่อสู้บาบิโลน และเขาทั้งหลายจะเรียงรายพวกเขามาต่อสู้กับเธอ ตรงนั้นแหละเธอจะถูกยึด ลูกธนูของเขาทั้งหลายก็เหมือนนักรบที่มีฝีมือ ไม่มีคนใดจะกลับมือเปล่า
มก 12.3 ฝ่ายคนเหล่านั้นก็จับผู้รับใช้นั้นเฆี่ยนตี แล้วไล่ให้กลับไปมือเปล่า
ลก 1.53 พระองค์ทรงโปรดให้คนอดอยากอิ่มด้วยสิ่งดี และพระองค์ทรงกระทำให้คนมั่งมีไปมือเปล่า
ลก 20.10 เมื่อถึงเวลาแล้วจึงใช้ผู้รับใช้คนหนึ่งไปหาคนเช่าสวนเหล่านั้น เพื่อเขาทั้งหลายจะได้มอบผลจากสวนองุ่นแก่เขาบ้าง แต่คนเช่าสวนนั้นได้เฆี่ยนตีผู้รับใช้คนนั้นและไล่ให้กลับไปมือเปล่า
ลก 20.11 แล้วเจ้าของสวนจึงใช้ผู้รับใช้อีกคนหนึ่ง แต่คนเช่าสวนได้เฆี่ยนตีและทำการน่าอัปยศต่างๆแก่ผู้รับใช้นั้นด้วย และได้ไล่ให้กลับไปมือเปล่า

มุกดา ( 3 )
อสธ 1.6 มีผ้าม่านฝ้ายสีขาวและสีม่วงคล้ำ มีสายป่านและเชือกขนแกะสีม่วงคล้องห่วงเงินและเสาหินอ่อน ทั้งเตียงทองคำและเงินบนพื้นลาดปูนฝังหินแดง หินอ่อน มุกดา และหินอ่อนสีดำ
โยบ 28.18 อย่าเอ่ยถึงหินปะการังและไข่มุกเลย ค่าของพระปัญญาสูงกว่ามุกดา
พคค 4.7 พวกนาศีร์ของเธอบริสุทธิ์กว่าหิมะ และขาวกว่าน้ำนม ผิวพรรณของเขาเปล่งปลั่งยิ่งกว่ามุกดา เขามีรูปร่างงามดั่งไพทูรย์

มุข ( 44 )
1พกษ 6.3 มุขหน้าห้องโถงของพระนิเวศนั้นยาวยี่สิบศอก เท่ากับด้านกว้างของพระนิเวศ และลึกเข้าไปหน้าพระนิเวศสิบศอก
1พกษ 7.6 และพระองค์ทรงสร้างท้องพระโรงเสา ยาวห้าสิบศอกและกว้างสามสิบศอก มีมุขด้านหน้า และมีเสากับหลังคาข้างหน้า
1พกษ 7.12 กำแพงลานใหญ่มีหินสกัดสามชั้นโดยรอบ และไม้สนสีดาร์ชั้นหนึ่ง ลานชั้นในของพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ก็มีเหมือนกัน ทั้งมุขพระนิเวศด้วย
1พกษ 7.19 ฝ่ายบัวคว่ำซึ่งอยู่บนยอดเสาที่อยู่ในมุขนั้นเป็นดอกบัว ขนาดสี่ศอก
1พกษ 7.21 ท่านตั้งเสาไว้ที่มุขพระวิหาร ท่านตั้งเสาข้างขวาไว้ และเรียกชื่อว่ายาคีน และท่านตั้งเสาข้างซ้ายไว้ เรียกชื่อว่าโบอัส
1พศด 28.11 แล้วดาวิดทรงมอบให้กับซาโลมอนโอรสของพระองค์ ซึ่งแผนผังมุขของพระวิหารและแผนผังเรือนต่างๆของพระวิหารนั้น คลังและห้องชั้นบน และห้องชั้นใน และห้องสำหรับพระที่นั่งกรุณา
2พศด 3.4 มุขด้านหน้าของพระนิเวศนั้นยาวยี่สิบศอก เท่ากับด้านกว้างของพระนิเวศ และส่วนสูงหนึ่งร้อยยี่สิบ พระองค์ทรงบุด้านในด้วยทองคำบริสุทธิ์
2พศด 8.12 แล้วซาโลมอนทรงถวายเครื่องเผาบูชาแด่พระเยโฮวาห์บนแท่นบูชาของพระเยโฮวาห์ ซึ่งพระองค์ทรงสร้างไว้ที่หน้ามุข
2พศด 15.8 เมื่ออาสาทรงสดับถ้อยคำเหล่านี้ คือคำพยากรณ์ของโอเดดผู้พยากรณ์ พระองค์ก็ทรงมีพระทัยกล้าขึ้น ทรงกำจัดสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนจากแผ่นดินยูดาห์และเบนยามินสิ้น และจากหัวเมืองซึ่งพระองค์ยึดมาได้จากถิ่นเทือกเขาเอฟราอิม และพระองค์ทรงซ่อมแซมแท่นบูชาของพระเยโฮวาห์ ซึ่งอยู่หน้ามุขพระนิเวศของพระเยโฮวาห์
2พศด 29.7 เขาปิดประตูมุขพระนิเวศด้วย และได้ดับประทีปเสีย และมิได้เผาเครื่องหอมหรือถวายเครื่องเผาบูชาในสถานบริสุทธิ์แด่พระเจ้าแห่งอิสราเอล
2พศด 29.17 เขาเริ่มชำระในวันแรกของเดือนแรก และในวันที่แปดของเดือนนั้นเขามายังมุขของพระเยโฮวาห์ เขาชำระพระนิเวศของพระเยโฮวาห์อยู่แปดวัน และในวันที่สิบหกของเดือนแรกก็เสร็จ
สภษ 8.3 ข้างประตู หน้าเมือง ที่ทางเข้ามุข เธอก็ร้องเสียงดังว่า
อสค 8.16 แล้วพระองค์ทรงนำข้าพเจ้าเข้ามาในลานชั้นในแห่งพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ ดูเถิด ตรงประตูพระวิหารของพระเยโฮวาห์ ระหว่างมุขและแท่นบูชา มีชายประมาณยี่สิบห้าคนหันหลังให้พระวิหารแห่งพระเยโฮวาห์ หน้าของเขาหันไปทางทิศตะวันออก กำลังนมัสการพระอาทิตย์ตรงทิศตะวันออกนั้น
อสค 40.7 และห้องยามยาวหนึ่งไม้วัด และกว้างหนึ่งไม้วัด และที่ว่างระหว่างห้องยามเหล่านั้นยาวห้าศอก และธรณีหอประตูที่อยู่ริมมุขที่หอประตูตอนปลายชั้นในได้หนึ่งไม้วัด
อสค 40.8 แล้วท่านก็วัดมุขของหอประตูตอนปลายชั้นในได้หนึ่งไม้วัด
อสค 40.9 และท่านก็วัดมุขของหอประตูได้แปดศอก และเสามุขนั้นสองศอก และมุขของหอประตูอยู่ที่ตอนปลายข้างใน
อสค 40.15 วัดจากข้างหน้าหอประตูตรงทางเข้าไปยังปลายมุขชั้นในของหอประตูได้ห้าสิบศอก
อสค 40.16 ตามหอประตูนั้นมีหน้าต่างรอบ ค่อยๆแคบเข้าไปข้างในทั้งในเสาและในห้องยามและมุขก็มีหน้าต่างอยู่รอบข้างในเหมือนกัน ที่เสามีต้นอินทผลัม
อสค 40.21 ห้องยามด้านละสามห้อง กับเสาและมุขมีขนาดเดียวกับหอประตูแรก ยาวห้าสิบศอก กว้างยี่สิบห้าศอก
อสค 40.22 หน้าต่าง มุข ต้นอินทผลัมของหอประตูนี้มีขนาดเดียวกับของหอประตูซึ่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก และมีบันไดเจ็ดขั้นนำขึ้นไปถึง และมุขนั้นอยู่ข้างใน
อสค 40.24 และท่านได้นำข้าพเจ้าตรงไปยังทิศใต้ และดูเถิด มีหอประตูทางทิศใต้หนึ่งหอประตู ท่านก็วัดเสาและวัดมุข ก็มีขนาดเดียวกับที่อื่น
อสค 40.25 มีหน้าต่างที่หอประตูและที่มุขโดยรอบเหมือนหน้าต่างที่อื่น ยาวห้าสิบศอกและกว้างยี่สิบห้าศอก
อสค 40.26 มีบันไดเจ็ดขั้นนำขึ้นไปถึง และมุขนั้นอยู่ข้างใน มีต้นอินทผลัมอยู่ที่เสาด้านละต้น
อสค 40.29 ห้องยาม เสา และมุขของหอประตูนี้มีขนาดเดียวกับที่อื่น มีหน้าต่างที่หอประตูและที่มุขโดยรอบ ยาวห้าสิบศอกและกว้างยี่สิบห้าศอก
อสค 40.30 มีมุขอยู่รอบยาวยี่สิบห้าศอก กว้างห้าศอก
อสค 40.31 มุขนั้นหันหน้าสู่ลานชั้นนอก มีต้นอินทผลัมอยู่ที่เสา และบันไดนี้มีแปดขั้น
อสค 40.33 ห้องยาม เสา และมุขของหอประตูนี้มีขนาดเดียวกันกับที่อื่น มีหน้าต่างที่หอประตูและที่มุขโดยรอบ ยาวห้าสิบศอกและกว้างยี่สิบห้าศอก
อสค 40.34 มุขของด้านนี้หันหน้าสู่ลานชั้นนอก และมีต้นอินทผลัมอยู่ที่เสาด้านละต้น และบันไดนี้มีแปดขั้น
อสค 40.36 ห้องยาม เสา และมุขของหอประตูนี้มีขนาดเดียวกันกับที่อื่น มีหน้าต่างโดยรอบ ยาวห้าสิบศอกและกว้างยี่สิบห้าศอก
อสค 40.37 มุขของด้านนี้หันหน้าสู่ลานชั้นนอก และมีต้นอินทผลัมอยู่ที่เสาด้านละต้น และบันไดนี้มีแปดขั้น
อสค 40.48 แล้วท่านนำข้าพเจ้ามาที่มุขของพระนิเวศและวัดเสาของมุขได้ห้าศอกทั้งสองด้าน และหอประตูก็กว้างด้านละสามศอก
อสค 40.49 มุขนั้นยาวยี่สิบศอกและกว้างสิบเอ็ดศอก และท่านนำข้าพเจ้าทางบันไดไปถึงที่นั้น และมีเสาอยู่ข้างเสาทั้งสองข้าง
อสค 41.15 แล้วท่านก็วัดความยาวของตึกซึ่งหันหน้าไปสู่สนามซึ่งอยู่ด้านหลัง พร้อมทั้งผนังข้างๆ ยาวหนึ่งร้อยศอก ห้องโถงของพระวิหารนั้นและลานของมุข
อสค 41.25 และบนประตูของพระวิหาร มีเครูบและต้นอินทผลัมแกะไว้ เช่นเดียวกับที่แกะไว้บนผนัง มีพลับพลาไม้อยู่ที่หน้ามุขข้างนอก
อสค 41.26 มีหน้าต่างและมีต้นอินทผลัมอยู่ทั้งสองข้างที่บนผนังด้านข้างมุข ทั้งห้องระเบียงพระนิเวศและพลับพลา
อสค 44.3 เฉพาะเจ้านายเท่านั้น คือเจ้านาย ท่านจะประทับเสวยพระกระยาหารต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ในประตูนี้ได้ ท่านจะต้องเข้ามาทางมุขของหอประตูและต้องออกไปตามทางเดียวกัน”
อสค 46.2 ฝ่ายเจ้านายนั้นจะเข้ามาจากข้างนอกทางมุขของหอประตู และจะมายืนอยู่ที่เสาประตู และพวกปุโรหิตจะเตรียมเครื่องเผาบูชา และเครื่องสันติบูชาของท่าน และท่านจะนมัสการอยู่ที่ธรณีประตู แล้วท่านจะออกไป แต่อย่าปิดประตูนั้นจนกว่าจะถึงเวลาเย็น
อสค 46.8 เมื่อเจ้านายเข้ามาท่านจะเข้าไปทางมุขของหอประตูและกลับออกไปตามทางเดียวกันนั้น

มุง ( 2 )
1พกษ 7.3 ชั้นบนมุงด้วยไม้สนสีดาร์บนห้อง ซึ่งอยู่บนเสาสี่สิบห้าห้อง แถวละสิบห้าห้อง
นหม 3.15 ชัลลูนบุตรชายคลโฮเซห์ ผู้ปกครองส่วนหนึ่งของแขวงมิสปาห์ ได้ซ่อมแซมประตูน้ำพุ ได้สร้างประตู สร้างมุงและตั้งบานประตู ติดลูกสลักและดาลประตู ท่านได้สร้างกำแพงสระชิโลอาห์ตรงไปทางราชอุทยานไกลไปจนถึงบันไดซึ่งลงไปจากนครดาวิด

มุ่ง ( 31 )
อพย 10.10 ฟาโรห์ตรัสกับเขาทั้งสองว่า “ถ้าเรายอมให้เจ้าไปกับบุตรด้วย ก็ให้พระเยโฮวาห์ทรงสถิตอยู่กับพวกเจ้าเถิด ระวังตัวให้ดีเถิด เจ้ากำลังมุ่งไปในทางทุจริตเสียแล้ว
กดว 35.23 หรือใช้ก้อนหินขนาดฆ่าคนได้ขว้างถูกเขาเข้าโดยมิได้เห็น และเขาถึงตาย และเขามิได้เป็นศัตรู และมิได้มุ่งทำร้ายเขา
2ซมอ 17.3 แล้วจะนำประชาชนทั้งสิ้นกลับมาเข้าฝ่ายพระองค์ เมื่อได้คนที่พระองค์มุ่งหาคนเดียวก็เหมือนได้ประชาชนกลับมาทั้งหมด แล้วประชาชนทั้งปวงก็จะอยู่เป็นผาสุก”
1พกษ 22.31 ฝ่ายกษัตริย์ประเทศซีเรียทรงบัญชาแม่ทัพรถรบทั้งสามสิบสองคนว่า “อย่ารบกับทหารน้อยหรือใหญ่ แต่มุ่งเฉพาะกษัตริย์แห่งอิสราเอล”
2พกษ 12.17 แล้วคราวนั้นฮาซาเอลกษัตริย์แห่งซีเรียได้ยกขึ้นไปสู้รบกับเมืองกัทและยึดเมืองนั้นได้ แต่เมื่อฮาซาเอลมุ่งพระพักตร์จะไปตีกรุงเยรูซาเล็ม
2พศด 18.30 ฝ่ายกษัตริย์ประเทศซีเรียทรงบัญชาบรรดาผู้บัญชาการรถรบของพระองค์ว่า “อย่ารบกับทหารน้อยหรือใหญ่ แต่มุ่งเฉพาะกษัตริย์แห่งอิสราเอล”
2พศด 19.3 อย่างไรก็ดีพระองค์ทรงพบความดีในพระองค์บ้าง เพราะพระองค์ได้ทำลายบรรดาเสารูปเคารพเสียจากแผ่นดิน และได้มุ่งพระทัยแสวงหาพระเจ้า”
2พศด 20.3 และเยโฮชาฟัทก็กลัว และมุ่งแสวงหาพระเยโฮวาห์ และได้ทรงประกาศให้อดอาหารทั่วยูดาห์
โยบ 22.15 ท่านมุ่งไปทางเก่าหรือ ซึ่งคนชั่วเคยดำเนินนั้น
สดด 70.2 ขอให้ผู้ที่มุ่งเอาชีวิตของข้าพระองค์ได้อายและเกิดความอลวน ขอให้ผู้ปรารถนาที่จะให้ข้าพระองค์เจ็บนั้นต้องหันกลับไปและได้ความอัปยศ
ปญจ 8.11 เพราะการตัดสินการกระทำชั่วนั้น เขาไม่ได้ลงโทษโดยเร็ว เหตุฉะนั้นใจบุตรทั้งหลายของมนุษย์จึงเจตนามุ่งที่จะกระทำความชั่ว
อสย 10.25 เพราะอีกสักหน่อยเท่านั้น แล้วความกริ้วนั้นจะสิ้นสุด และความโกรธของเราจะมุ่งตรงที่การทำลายเขา
อสย 14.27 เพราะพระเยโฮวาห์จอมโยธาทรงมุ่งไว้แล้ว ผู้ใดเล่าจะลบล้างเสียได้ พระหัตถ์ของพระองค์ทรงเหยียดออก และผู้ใดจะหันให้กลับได้
อสย 46.11 เรียกเหยี่ยวมาจากตะวันออก คือเรียกชายที่ทำตามแผนงานของเราจากเมืองไกล เออ เราพูดแล้ว และเราจะให้เป็นไป เรามุ่งแล้ว และเราจะกระทำด้วย
ยรม 5.24 ข้อความนี้เขาไม่มุ่งอยู่ในใจของเขาทั้งหลายว่า ‘บัดนี้ให้เรายำเกรงพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา ผู้ทรงประทานฝนตามฤดูของมันคือฝนต้นฤดูและฝนชุกปลายฤดู และทรงรักษาสัปดาห์ที่กำหนดการเกี่ยวข้าวไว้ให้แก่เรา’
ยรม 37.12 เยเรมีย์ก็ออกไปจากกรุงเยรูซาเล็มมุ่งไปยังแผ่นดินเบนยามิน เพื่อจะรับส่วนของท่านท่ามกลางประชาชนที่นั่น
อสค 21.16 รวมกันเข้ามา ไปทางขวาเรียงแถว แล้วไปทางซ้าย ไม่ว่าหน้าของเจ้ามุ่งไปทางไหน
อสค 23.25 และเราจะมุ่งความร้อนรนของเราต่อสู้เจ้า และเขาจะกระทำกับเจ้าด้วยความเกรี้ยวกราด เขาจะตัดจมูกและตัดหูของเจ้าออกเสีย และผู้ที่รอดตายจะล้มลงด้วยดาบ เขาจะจับบุตรชายและบุตรสาวของเจ้า และคนที่รอดตายของเจ้าจะถูกเผาด้วยไฟ
อสค 33.31 และเข้ามาหาเจ้าอย่างที่ชาวตลาดมา และเขามานั่งข้างหน้าเจ้าอย่างประชาชนของเรา เขาฟังคำพูดของเจ้า แต่เขาไม่ยอมกระทำตาม เพราะว่าเขาแสดงความรักมากด้วยปากของเขา แต่จิตใจของเขามุ่งอยู่ตามความโลภของเขา
ดนล 11.19 แล้วท่านจะหันหน้ามุ่งตรงไปยังป้อมปราการแห่งแผ่นดินของท่านเอง แต่ท่านก็จะสะดุดและล้มลง หาตัวไม่พบอีกต่อไป
ฮชย 4.8 เขาเลี้ยงชีพอยู่ด้วยบาปแห่งประชาชนของเรา เขามุ่งที่จะอิ่มด้วยความชั่วช้าของคนเหล่านั้น
ลก 9.51 ต่อมาครั้นจวนเวลาที่พระองค์จะทรงถูกรับขึ้นไป พระองค์ทรงมุ่งพระพักตร์แน่วไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
ลก 9.53 ชาวบ้านนั้นไม่รับรองพระองค์ เพราะดูเหมือนว่าพระองค์กำลังทรงมุ่งพระพักตร์ไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
ยน 5.30 เราจะทำสิ่งใดตามอำเภอใจไม่ได้ เราได้ยินอย่างไร เราก็พิพากษาอย่างนั้น และการพิพากษาของเราก็ยุติธรรม เพราะเรามิได้มุ่งที่จะทำตามใจของเราเอง แต่ตามพระประสงค์ของพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา
รม 2.4 หรือว่าท่านประมาทพระกรุณาคุณอันอุดมและความอดกลั้นพระทัย และความอดทนของพระองค์ ท่านไม่รู้หรือว่า พระกรุณาคุณของพระเจ้านั้นมุ่งที่จะชักนำท่านให้กลับใจใหม่
รม 12.17 อย่าทำชั่วตอบแทนชั่วแก่ผู้หนึ่งผู้ใดเลย ‘แต่จงมุ่งกระทำสิ่งที่ซื่อสัตย์ในสายตาของคนทั้งปวง’
รม 14.19 เหตุฉะนั้นให้เรามุ่งกระทำในสิ่งซึ่งทำให้เกิดความสงบสุขแก่กันและกัน และสิ่งเหล่านั้นซึ่งทำให้เกิดความเจริญแก่กันและกัน
1คร 14.1 จงมุ่งหาความรัก และจงปรารถนาของประทานฝ่ายจิตวิญญาณ เฉพาะอย่างยิ่งการพยากรณ์
2คร 8.21 เพราะเรามุ่งที่จะกระทำสิ่งที่ซื่อสัตย์ มิใช่เฉพาะแต่ในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แต่ในสายตาของมนุษย์ด้วย
ฟป 3.12 มิใช่ว่าข้าพเจ้าได้แล้ว หรือสำเร็จแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไป เพื่อข้าพเจ้าจะได้ฉวยเอาตามอย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงฉวยข้าพเจ้าไว้เป็นของพระองค์แล้ว
ฟป 3.14 ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัลซึ่งพระเจ้าได้ทรงเรียกจากเบื้องบนให้เราไปรับในพระเยซูคริสต์

มุ่งมั่น ( 1 )
1ทธ 6.11 โอ ผู้เป็นคนของพระเจ้า แต่ท่านจงหลีกหนีเสียจากสิ่งเหล่านี้ จงมุ่งมั่นในความชอบธรรม ในทางของพระเจ้า ความเชื่อ ความรัก ความอดทน และความอ่อนสุภาพ

มุ่งร้าย ( 6 )
1ซมอ 25.17 ฉะนั้นบัดนี้ขอท่านทราบเรื่องนี้และพิจารณาว่าท่านควรจะกระทำประการใด เพราะเขาคงมุ่งร้ายต่อนายของเรา และต่อครัวเรือนทั้งสิ้นของนายนายนั้นเป็นคนอันธพาล ใครจะพูดด้วยก็ไม่ได้”
อสธ 7.7 กษัตริย์ทรงลุกขึ้นจากการเลี้ยงเหล้าองุ่นด้วยทรงพระพิโรธ และเสด็จเข้าไปในราชอุทยาน แต่ฮามานยังอยู่เพื่อทูลขอชีวิตจากพระราชินีเอสเธอร์ เพราะท่านเห็นว่ากษัตริย์ทรงมุ่งร้ายต่อท่านแล้ว
อสธ 9.25 แต่เมื่อพระนางเอสเธอร์เข้าเฝ้ากษัตริย์ พระองค์ทรงบัญชาเป็นลายลักษณ์อักษรให้แผนการมุ่งร้ายของท่าน ซึ่งท่านได้คิดต่อพวกยิวนั้น กลับตกลงบนศีรษะของท่านเอง และให้ตัวท่านกับบุตรชายของท่านถูกแขวนบนตะแลงแกง
สดด 56.5 เขาประทุษร้ายต่อคำกล่าวของข้าพระองค์วันยังค่ำ ความคิดทั้งสิ้นของเขาล้วนมุ่งร้ายต่อข้าพระองค์
สดด 139.20 เพราะพวกเขากล่าวต่อต้านพระองค์ด้วยมุ่งร้าย และพวกศัตรูของพระองค์ใช้พระนามของพระองค์อย่างไร้ประโยชน์
ดนล 11.28 แล้วกษัตริย์แห่งถิ่นเหนือก็จะกลับเข้าบ้านเข้าเมืองพร้อมกับทรัพย์สมบัติมากมาย แต่จิตใจก็มุ่งร้ายต่อพันธสัญญาบริสุทธิ์ และเขาจะปฏิบัติงานและกลับเข้าบ้านเข้าเมือง

มุ่งหน้า ( 23 )
กดว 24.1 เมื่อบาลาอัมเห็นว่าพระเยโฮวาห์ทรงพอพระทัยที่จะให้อวยพรแก่อิสราเอล บาลาอัมก็หาได้ไปแสวงหาลางอย่างครั้งก่อนๆไม่ แต่มุ่งหน้าตรงไปยังถิ่นทุรกันดาร
สภษ 17.24 คนที่มีความเข้าใจมุ่งหน้าของเขาตรงไปสู่ปัญญา แต่ตาของคนโง่อยู่ที่สุดปลายแผ่นดินโลก
อสย 42.23 ผู้ใดในพวกเจ้าจะเงี่ยหูฟังในเรื่องนี้ ที่จะมุ่งหน้าตั้งใจฟังในอนาคต
ยรม 21.10 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เพราะเราได้มุ่งหน้าต่อสู้เมืองนี้ด้วยความร้ายไม่ใช่ด้วยความดี คือเมืองนี้จะถูกมอบไว้ในมือของกษัตริย์แห่งบาบิโลน และท่านจะเผามันเสียด้วยไฟ’
ยรม 42.15 เพราะฉะนั้น บัดนี้ คนยูดาห์ที่เหลืออยู่เอ๋ย ขอฟังพระวจนะของพระเยโฮวาห์ พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า ถ้าเจ้ามุ่งหน้าจะเข้าอียิปต์และไปอาศัยที่นั่น
ยรม 42.17 ทุกคนซึ่งมุ่งหน้าไปยังอียิปต์ เพื่อจะอยู่ที่นั่นจะตายเสียด้วยดาบ ด้วยการกันดารอาหาร ด้วยโรคระบาด เขาจะไม่มีคนที่เหลืออยู่หรือที่รอดตายจากเหตุร้ายซึ่งเราจะนำมาเหนือเขา
ยรม 44.11 เพราะฉะนั้น พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล จึงตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะมุ่งหน้าของเราต่อสู้เจ้าให้เกิดการร้าย และจะตัดยูดาห์ออกเสียให้สิ้น
ยรม 44.12 เราจะเอาชนยูดาห์ที่เหลืออยู่ ผู้ซึ่งมุ่งหน้ามาที่แผ่นดินอียิปต์เพื่อจะอาศัยอยู่นั้น และเขาทั้งหลายจะถูกผลาญเสียหมด เขาจะล้มลงในแผ่นดินอียิปต์ เขาจะถูกผลาญด้วยดาบและด้วยการกันดารอาหาร ตั้งแต่คนเล็กน้อยที่สุดจนถึงคนใหญ่โตที่สุด เขาทั้งหลายจะตายด้วยดาบและด้วยการกันดารอาหาร และเขาจะกลายเป็นคำสาป เป็นที่น่าตกตะลึง เป็นคำแช่งและเป็นที่นินทา
อสค 6.2 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงมุ่งหน้าของเจ้าตรงที่ภูเขาทั้งหลายของอิสราเอล และจงพยากรณ์กล่าวโทษภูเขานั้น
อสค 10.11 เมื่อวงล้อนี้ไป ก็ไปได้ข้างหนึ่งข้างใดในข้างทั้งสี่ โดยไม่ต้องหันเลยในเวลาไป ถ้าอันหน้ามุ่งหน้าไปทางไหน วงล้ออันอื่นก็ตามไปโดยไม่ต้องหันในขณะที่ไป
อสค 13.17 เจ้า บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงมุ่งหน้าต่อสู้บรรดาบุตรสาวแห่งชนชาติของเจ้า ผู้พยากรณ์ตามอำเภอใจของตนเอง จงพยากรณ์กล่าวโทษเขา
อสค 14.8 และเราจะมุ่งหน้าของเราต่อสู้คนนั้น เราจะทำให้เขาเป็นหมายสำคัญและเป็นคำภาษิต และจะตัดเขาออกเสียจากท่ามกลางประชาชนของเรา และเจ้าจะทราบว่าเราคือพระเยโฮวาห์
อสค 15.7 เราจะมุ่งหน้าของเราต่อสู้เขา แม้ว่าเขาจะหนีออกจากไฟอันหนึ่ง ไฟอีกอันหนึ่งก็ยังจะเผาผลาญเขา และเมื่อเรามุ่งหน้าของเราต่อสู้เขา เจ้าจะทราบว่า เราคือพระเยโฮวาห์
อสค 20.46 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงมุ่งหน้าไปทางทิศใต้และเทศนากล่าวโทษพวกถิ่นใต้ จงพยากรณ์ต่อแดนป่าไม้ที่ในถิ่นใต้
อสค 21.2 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงมุ่งหน้าของเจ้าต่อสู้เยรูซาเล็ม และเทศนากล่าวโทษสถานบริสุทธิ์ทั้งหลาย จงพยากรณ์กล่าวโทษแผ่นดินอิสราเอล
อสค 25.2 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย มุ่งหน้าของเจ้าไปยังคนอัมโมน และจงพยากรณ์กล่าวโทษเขา
อสค 28.21 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงมุ่งหน้าต่อสู้ไซดอน และพยากรณ์กล่าวโทษเมืองนั้น
อสค 29.2 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงมุ่งหน้าของเจ้าต่อสู้ฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ พยากรณ์กล่าวโทษกษัตริย์และอียิปต์ทั้งสิ้น
อสค 35.2 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงมุ่งหน้าของเจ้าต่อสู้ภูเขาเสอีร์ และพยากรณ์ต่อมัน
อสค 38.2 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงมุ่งหน้าของเจ้าต่อสู้โกกแห่งแผ่นดินมาโกก เจ้าองค์สำคัญของเมเชคและทูบัล และจงพยากรณ์กล่าวโทษเขา
ดนล 11.17 ท่านจะมุ่งหน้ามาด้วยกำลังทั้งหมดแห่งราชอาณาจักร และท่านจะนำคนเที่ยงตรงไปด้วย แล้วท่านจะกระทำดังนี้ คือท่านจะยกธิดาของพวกผู้หญิงให้กษัตริย์แห่งถิ่นใต้เพื่อให้ทำลายเธอ แต่เธอจะไม่มั่นคงและอำนวยประโยชน์แก่ท่านแต่ประการใด
ดนล 11.18 ภายหลังท่านจะมุ่งหน้าไปตามเกาะต่างๆและจะยึดได้เป็นอันมาก แต่แม่ทัพคนหนึ่งจะได้กำจัดความอหังการของท่านนั้นเสีย ความจริงเขาจะเอาความอหังการนั้นมาสนองท่าน

มุ่งหมาย ( 8 )
1ซมอ 9.20 ส่วนเรื่องลาของท่านที่หายไปสามวันแล้วนั้น อย่าเอาใจใส่เลย เพราะเขาพบแล้ว ความปรารถนาของคนอิสราเอลนั้นมุ่งหมายเอาใครเล่า ไม่ใช่ตัวท่านและวงศ์วานทั้งสิ้นของบิดาท่านดอกหรือ”
2พศด 28.13 พูดกับเขาทั้งหลายว่า “เจ้าอย่านำเชลยเข้ามาที่นี่ เพราะเจ้ามุ่งหมายที่จะนำโทษบาปมาเหนือเราต่อพระเยโฮวาห์ เพิ่มเข้ากับบาปและการละเมิดในปัจจุบันของเรา เพราะว่าการละเมิดของเราก็ใหญ่โตอยู่ พระพิโรธอันแรงกล้าต่ออิสราเอลมีอยู่แล้ว”
อสย 14.24 พระเยโฮวาห์จอมโยธาได้ทรงปฏิญาณว่า “เรากะแผนงานไว้อย่างไร ก็จะเป็นไปอย่างนั้น และเราได้มุ่งหมายไว้อย่างไร ก็จะเกิดขึ้นอย่างนั้น
อสย 14.26 นี่เป็นความมุ่งหมายที่มุ่งหมายไว้เกี่ยวกับแผ่นดินโลกทั้งสิ้น และนี่เป็นพระหัตถ์ซึ่งเหยียดออกเหนือบรรดาประชาชาติทั้งสิ้น
อสย 23.8 ผู้ใดได้มุ่งหมายไว้เช่นนี้ต่อเมืองไทระ คือเมืองที่ให้มงกุฎ ซึ่งบรรดาพ่อค้าของมันเป็นเจ้านาย ซึ่งพวกพาณิชของมันเป็นคนมีเกียรติของโลก
อสย 23.9 พระเยโฮวาห์จอมโยธาทรงมุ่งหมายไว้เพื่อจะหลู่ความเย่อหยิ่งของสง่าราศีทั้งสิ้น เพื่อหลู่เกียรติของผู้มีเกียรติทั้งสิ้นในแผ่นดินโลก
อสย 55.11 คำของเราซึ่งออกไปจากปากของเราจะไม่กลับมาสู่เราเปล่า แต่จะสัมฤทธิ์ผลซึ่งเรามุ่งหมายไว้ และให้สิ่งซึ่งเราใช้ไปทำนั้นจำเริญขึ้นฉันนั้น
2คร 1.17 ฉะนั้นเมื่อข้าพเจ้าหมายที่จะทำอย่างนั้น ข้าพเจ้าโลเลหรือ หรือสิ่งที่ข้าพเจ้ามุ่งหมายไว้ข้าพเจ้ากะโครงการอย่างเนื้อหนังหรือ ซึ่งพร้อมที่จะกล่าวว่ามาไม่มาส่งๆไป

มุ่งหวัง ( 4 )
อสย 5.2 ท่านทำรั้วไว้รอบแล้วเก็บก้อนหินออกหมดและปลูกเถาองุ่นอย่างดีไว้ ท่านสร้างหอเฝ้าไว้ท่ามกลาง และสกัดบ่อย่ำองุ่นไว้ในสวนนั้นด้วย ท่านมุ่งหวังว่ามันจะบังเกิดลูกองุ่น แต่มันบังเกิดลูกเถาเปรี้ยว
อสย 5.4 มีอะไรอีกที่จะทำได้เพื่อสวนองุ่นของเรา ซึ่งเรายังไม่ได้ทำให้ ก็เมื่อเรามุ่งหวังว่ามันจะบังเกิดลูกองุ่น ไฉนมันจึงเกิดลูกเถาเปรี้ยว
อสย 5.7 เพราะว่าสวนองุ่นของพระเยโฮวาห์จอมโยธาคือวงศ์วานอิสราเอล และคนยูดาห์เป็นหมู่ไม้ที่พระองค์ทรงชื่นพระทัย และพระองค์ทรงมุ่งหวังความยุติธรรม แต่ดูเถิด มีแต่การนองเลือด หวังความชอบธรรม แต่ ดูเถิด เสียงร้องให้ช่วย
ทต 3.7 เพื่อว่าเมื่อเราได้เป็นคนชอบธรรมแล้วโดยพระคุณของพระองค์ เราจะได้เป็นผู้ได้รับมรดกที่มุ่งหวังคือชีวิตนิรันดร์

มุบมิบ ( 1 )
1ซมอ 1.13 ฝ่ายฮันนาห์นั้นนางพูดแต่ในใจ ริมฝีปากของนางมุบมิบเท่านั้น ไม่ได้ยินเสียงของนาง เพราะเหตุนี้เอลีจึงสำคัญว่านางมึนเมา

มุปปิม ( 1 )
ปฐก 46.21 บุตรชายของเบนยามินคือ เบลา เบเคอร์ อัชเบล เก-รา นาอามาน เอไฮ โรช มุปปิม หุปปิม และอาร์ด

มุม ( 69 )
อพย 25.12 ให้หล่อห่วงทองคำสี่ห่วงสำหรับหีบนั้น ติดไว้ที่มุมทั้งสี่ ด้านนี้สองห่วงและด้านนั้นสองห่วง
อพย 25.26 จงทำห่วงทองคำสี่ห่วงติดไว้ที่มุมขาโต๊ะทั้งสี่
อพย 26.23 และทำอีกสองแผ่นสำหรับมุมพลับพลาด้านหลัง
อพย 26.24 ไม้กรอบนั้นข้างล่างให้แยกกัน แต่ตอนบนยอดให้ติดกันที่ห่วงแรกทั้งสองแห่ง ให้กระทำดังนี้ก็จะทำให้เกิดมุมสองมุม
อพย 27.2 จงทำเชิงงอนติดไว้ทั้งสี่มุมของแท่น ให้เป็นชิ้นเดียวกันกับแท่น และจงหุ้มแท่นด้วยทองสัมฤทธิ์
อพย 27.4 แล้วเอาทองสัมฤทธิ์ทำตาข่ายประดับแท่นนั้น กับทำห่วงทองสัมฤทธิ์ติดที่มุมทั้งสี่ของตาข่าย
อพย 28.23 และเจ้าจงทำห่วงทองคำสองห่วงติดไว้ที่มุมบนทั้งสองของทับทรวง
อพย 28.24 ส่วนสร้อยที่ทำด้วยทองคำนั้น ให้เกี่ยวด้วยห่วงที่มุมทับทรวง
อพย 28.26 จงทำห่วงทองคำสองอันติดไว้ที่มุมล่างทั้งสองข้างของทับทรวงข้างในที่ติดเอโฟด
อพย 30.2 ให้ยาวศอกหนึ่ง กว้างศอกหนึ่ง เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส และสูงสองศอก เชิงงอนมุมแท่นนั้นให้เป็นไม้ท่อนเดียวกับแท่น
อพย 36.28 เขาทำไม้กรอบอีกสองแผ่นสำหรับมุมพลับพลาด้านหลัง
อพย 36.29 ไม้กรอบนั้นข้างล่างให้แยกกัน แต่ตอนบนยอดติดต่อกันที่ห่วงแรก เขาทำอย่างนี้ทำให้เกิดมุมสองมุม
อพย 36.33 เขาทำกลอนตัวกลางให้ร้อยตอนกลางของไม้กรอบสำหรับขัดฝาตั้งแต่มุมหนึ่งไปจดอีกมุมหนึ่ง
อพย 37.3 เขาหล่อห่วงทองคำสี่ห่วงติดไว้ที่มุมทั้งสี่ ด้านนี้สองห่วงและด้านนั้นสองห่วง
อพย 37.13 เขาหล่อห่วงทองคำสี่อันติดไว้ที่มุมโต๊ะทั้งสี่ตรงขาโต๊ะ
อพย 37.25 เขาสร้างแท่นบูชาสำหรับเผาเครื่องหอมด้วยไม้กระถินเทศ ยาวศอกหนึ่ง กว้างศอกหนึ่ง เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส และสูงสองศอก เชิงงอนที่มุมแท่นนั้นก็เป็นไม้ท่อนเดียวกันกับแท่น
อพย 38.2 เขาทำเชิงงอนติดไว้ทั้งสี่มุมของแท่นนั้น เชิงงอนนั้นเป็นไม้ชิ้นเดียวกันกับแท่นบูชา เขาหุ้มแท่นด้วยทองสัมฤทธิ์
อพย 38.5 เขาหล่อห่วงสี่ห่วงติดที่มุมทั้งสี่ของตาข่ายทองสัมฤทธิ์สำหรับสอดไม้คานหาม
กดว 15.38 “จงพูดกับคนอิสราเอลและสั่งเขาให้ทำพู่ที่มุมชายเสื้อตลอดชั่วอายุของเขา ให้เอาด้ายสีฟ้าติดพู่ที่มุมทุกมุม
พบญ 22.12 ท่านจงทำพู่ห้อยไว้ที่มุมทั้งสี่ของชายเสื้อคลุมของท่าน ซึ่งท่านใช้คลุมตัว
พบญ 32.26 เราพูดแล้วว่า “เราจะให้เขากระจัดกระจายไปถึงมุมต่างๆ เราจะให้ชื่อของเขาสูญไปจากความทรงจำของมนุษย์”
1พกษ 7.30 แล้วแท่นหนึ่งๆมีล้อทองสัมฤทธิ์สี่ล้อ และมีเพลาทองสัมฤทธิ์ ที่มุมทั้งสี่มีที่หนุน ขันที่หนุนอันหนึ่งหล่อมีมาลัยห้อยข้างๆทุกข้าง
1พกษ 7.34 แท่นหนึ่งๆมีที่หนุนอยู่ที่มุมทั้งสี่ ที่หนุนนี้หล่อเป็นชิ้นเดียวกับแท่น
2พกษ 14.13 และเยโฮอาชกษัตริย์แห่งอิสราเอลก็จับอามาซิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์โอรสของเยโฮอาชโอรสของอาหัสยาห์ได้ที่เมืองเบธเชเมช และได้เสด็จมายังเยรูซาเล็ม และทลายกำแพงเยรูซาเล็มลงเสียสี่ร้อยศอก ตั้งแต่ประตูเอฟราอิมจนถึงประตูมุม
2พศด 25.23 โยอาชกษัตริย์แห่งอิสราเอลทรงจับอามาซิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์โอรสของโยอาช โอรสของเยโฮอาหาสที่เบธเชเมช และนำพระองค์มายังเยรูซาเล็ม และทรงพังกำแพงเยรูซาเล็มลงสี่ร้อยศอก ตั้งแต่ประตูเอฟราอิมถึงประตูมุม
2พศด 26.9 ยิ่งกว่านั้นอีกอุสซียาห์ทรงสร้างป้อมในเยรูซาเล็มที่ประตูมุม ที่ประตูหุบเขาและที่หัวเลี้ยว และป้องกันไว้แข็งแรง
2พศด 26.15 ในเยรูซาเล็มพระองค์ทรงกระทำเครื่องกลไกโดยคนช่างประดิษฐ์ทำขึ้น ไว้บนป้อมและตามมุม เพื่อยิงลูกธนูและโยนก้อนหินใหญ่ๆ และพระนามของพระองค์ก็ลือไปไกล เพราะพระองค์ทรงรับความช่วยเหลืออย่างมหัศจรรย์จนพระองค์เข้มแข็ง
2พศด 28.24 และอาหัสทรงรวบรวมเครื่องใช้ของพระนิเวศแห่งพระเจ้า และตัดเครื่องใช้แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเป็นชิ้นๆ และพระองค์ทรงปิดประตูพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และพระองค์ทรงสร้างแท่นบูชาสำหรับพระองค์ทุกมุมเมืองเยรูซาเล็ม
นหม 3.19 ถัดเขาไปคือ เอเซอร์บุตรชายเยชูอา ผู้ปกครองเมืองมิสปาห์ได้ซ่อมแซมอีกส่วนหนึ่งตรงข้ามกับทางขึ้นไปยังคลังอาวุธตรงที่มุมหักของกำแพง
นหม 3.20 ถัดเขาไปคือ บารุคบุตรชายศับบัย ได้ซ่อมแซมอย่างร้อนใจอีกส่วนหนึ่ง ตั้งแต่มุมหักของกำแพงจนถึงประตูเรือนของเอลียาชีบมหาปุโรหิต
นหม 3.24 ถัดเขาไปคือ บินนุยบุตรชายฮานาดัดได้ซ่อมแซมอีกส่วนหนึ่ง ตั้งแต่บ้านของอาซาริยาห์ถึงมุมหักของกำแพง คือถึงมุมเลี้ยว
นหม 3.25 ปาลาลบุตรชายอุซัยได้ซ่อมแซมที่ตรงข้ามกับมุมหักของกำแพง และหอคอยที่ยื่นจากพระราชวังหลังบนที่ลานทหารรักษาพระองค์ ถัดเขาไปคือ เปดายาห์บุตรชายปาโรช
นหม 3.31 ถัดเขาไป มิลคิยาห์บุตรชายของช่างทองคนหนึ่งได้ซ่อมแซมไกลไปจนถึงเรือนของคนใช้ประจำพระวิหาร และของพ่อค้า ตรงข้ามกับประตูมิฟคาด จนถึงห้องชั้นบนที่มุม
นหม 3.32 และระหว่างห้องชั้นบนที่มุมกับประตูแกะนั้น บรรดาช่างทองและพ่อค้าได้ซ่อมแซม
โยบ 1.19 และดูเถิด มีพายุใหญ่ข้ามถิ่นทุรกันดารมากระทบเรือนทั้งสี่มุม และเรือนนั้นพังทับคนหนุ่ม และเขาก็ตาย และข้าพเจ้าผู้เดียวได้หนีรอดมาเรียนท่าน”
สดด 144.12 เพื่อบรรดาบุตรชายของข้าพระองค์ทั้งหลายเมื่อเขายังหนุ่มๆอยู่จะเป็นเหมือนต้นไม้โตเต็มขนาด เพื่อบรรดาบุตรสาวของข้าพระองค์ทั้งหลายจะเป็นเหมือนเสาหัวมุม สลักออกมาตามแบบพระราชวัง
สภษ 7.12 ประเดี๋ยวอยู่ถนน ประเดี๋ยวอยู่ตามถนน และนางหมอบคอยอยู่ทุกมุม)
สภษ 21.9 อยู่ที่มุมบนหลังคาเรือนดีกว่าอยู่ในเรือนกว้างขวางร่วมกับหญิงขี้ทะเลาะ
สภษ 25.24 อยู่ที่มุมบนหลังคาเรือนดีกว่าอยู่ในเรือนกว้างขวางร่วมกับหญิงขี้ทะเลาะ
อสย 11.12 พระองค์จะทรงยกอาณัติสัญญาณนั้นขึ้นให้แก่บรรดาประชาชาติ และจะชุมนุมอิสราเอลที่พลัดพราก และรวบรวมยูดาห์ที่กระจัดกระจายจากสี่มุมแห่งแผ่นดินโลก
อสย 30.20 และถึงแม้องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานอาหารแห่งความยากลำบาก และน้ำแห่งความทุกข์ใจให้แก่เจ้า ถึงกระนั้นครูทั้งหลายของเจ้าจะไม่ซ่อนตัวในมุมอีกเลย แต่ตาของเจ้าจะเห็นครูของเจ้า
ยรม 9.26 อียิปต์ ยูดาห์ เอโดม และคนอัมโมน โมอับและบรรดาคนที่อยู่ในมุมที่ไกลที่สุด ทุกคนที่อาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร เพราะบรรดาประชาชาติเหล่านี้มิได้รับพิธีเข้าสุหนัต และบรรดาวงศ์วานอิสราเอลก็มิได้รับพิธีเข้าสุหนัตทางใจ”
ยรม 25.23 เมืองเดดาน เทมา บุส และบรรดาคนที่อยู่ในมุมที่ไกลที่สุด
ยรม 31.38 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง ที่เมืองนี้จะต้องสร้างขึ้นใหม่เพื่อพระเยโฮวาห์ตั้งแต่หอคอยฮานันเอลไปถึงประตูมุม
ยรม 31.40 หุบเขาแห่งซากศพและขี้เถ้าทั้งสิ้นนั้น และทุ่งนาทั้งหมดไกลไปจนถึงลำธารขิดโรนจนถึงมุมประตูม้าไปทางตะวันออก จะเป็นที่บริสุทธิ์แด่พระเยโฮวาห์ จะไม่เป็นที่ถอนรากหรือคว่ำต่อไปอีกเป็นนิตย์”
ยรม 49.32 อูฐของเขาทั้งหลายจะกลายเป็นของที่ปล้นมาได้ และฝูงวัวอันมากมายของเขาจะเป็นของที่ริบมา พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เราจะกระจายเขาไปทุกทิศลม คือคนที่อยู่ในมุมที่ไกลที่สุด และเราจะนำภัยพิบัติมาจากทุกด้านของเขา
อสค 7.2 “เจ้า บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสกับแผ่นดินอิสราเอลดังนี้ว่า อวสาน ความสิ้นสุดได้มาถึงทั้งสี่มุมของแผ่นดินแล้ว
อสค 40.39 และที่มุมของหอประตูมีโต๊ะด้านละสองโต๊ะ บนนี้สำหรับฆ่าเครื่องเผาบูชา เครื่องบูชาไถ่บาป และเครื่องบูชาไถ่การละเมิด
อสค 40.40 และทางด้านนอก ทางที่เขาขึ้นไปถึงทางเข้าหอประตูเหนือมีโต๊ะสองโต๊ะ อีกด้านหนึ่งของมุมของหอประตูมีโต๊ะสองโต๊ะ
อสค 41.22 แท่นบูชาทำด้วยไม้สูงสามศอกยาวสองศอก ทั้งมุม ความยาว และที่ผนังทำด้วยไม้ ท่านบอกข้าพเจ้าว่า “นี่เป็นโต๊ะซึ่งอยู่ต่อพระพักตร์ของพระเยโฮวาห์”
อสค 43.20 เจ้าจงเอาเลือดวัวนั้นบ้างใส่ไว้ที่เชิงงอนทั้งสี่ของแท่น และมุมทั้งสี่ของขั้นข้างเตา และที่ยกริมโดยรอบ ทำดังนี้แหละท่านจะได้ชำระแท่นและทำการลบมลทินของแท่นนั้นไว้
อสค 45.19 ให้ปุโรหิตเอาเลือดของเครื่องบูชาไถ่บาปมาบ้างและจงประพรมที่เสาประตูพระนิเวศ ที่ขั้นสี่มุมของแท่นบูชา และบนเสาประตูของลานชั้นใน
อสค 46.21 แล้วท่านจึงนำข้าพเจ้าออกมาที่ลานชั้นนอก และพาข้าพเจ้าไปที่มุมทั้งสี่ของลานนั้น และดูเถิด ที่มุมลานทุกมุมก็มีลานอยู่ลานหนึ่ง
อสค 46.22 คือที่มุมทั้งสี่ของลาน มีลานเล็กๆยาวสี่สิบศอก กว้างสามสิบศอก ลานทั้งสี่ขนาดเดียวกัน
อมส 3.12 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “ผู้เลี้ยงแกะชิงเอาขาสองขาหรือหูชิ้นหนึ่งมาจากปากสิงโตได้ฉันใด คนอิสราเอลผู้อยู่ที่มุมหนึ่งของเตียงในสะมาเรีย และบนที่นอนในดามัสกัสจะได้รับการช่วยให้พ้นได้ฉันนั้น”
ศคย 9.15 พระเยโฮวาห์จอมโยธาจะพิทักษ์รักษาเขาทั้งหลายไว้ และเขาทั้งหลายจะล้างผลาญและเหยียบลงด้วยนักยิงสลิงลง และจะดื่มและทำเสียงอึกทึกเพราะเหตุเหล้าองุ่น และจะอิ่มเหมือนชาม เปียกเหมือนมุมแท่นบูชา
ศคย 14.10 แผ่นดินทั้งสิ้นจะกลายเป็นที่ราบจากเกบาถึงริมโมนใต้เยรูซาเล็ม แต่เยรูซาเล็มจะดำรงสูงเด่นอยู่ในที่ตั้งของเมืองนั้น จากประตูเบนยามินถึงสถานที่ที่เป็นประตูเก่า ถึงประตูมุมและจากหอคอยฮานันเอล ถึงบ่อย่ำองุ่นของกษัตริย์
กจ 10.11 และได้เห็นท้องฟ้าแหวกออกเป็นช่อง มีภาชนะอย่างหนึ่งเหมือนผ้าผืนใหญ่ ผูกติดกันทั้งสี่มุมหย่อนลงมายังพื้นโลก
กจ 11.5 “เมื่อข้าพเจ้าอยู่ในเมืองยัฟฟาและกำลังอธิษฐานก็เคลิ้มไป แล้วนิมิตเห็นภาชนะอย่างหนึ่ง เหมือนผ้าผืนใหญ่หย่อนลงมาทั้งสี่มุมจากฟ้ามายังข้าพเจ้า
วว 7.1 ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้ ข้าพเจ้าได้เห็นทูตสวรรค์สี่องค์ยืนอยู่ที่มุมทั้งสี่ของแผ่นดินโลก ห้ามลมในแผ่นดินโลกทั้งสี่ทิศไว้ เพื่อไม่ให้ลมพัดบนบก ในทะเล หรือที่ต้นไม้ใดๆ
วว 9.13 เมื่อทูตสวรรค์องค์ที่หกเป่าแตรขึ้น ข้าพเจ้าได้ยินเสียงออกมาจากเชิงงอนมุมทั้งสี่ของแท่นทองคำที่อยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้า

มุมถนน ( 1 )
มธ 6.5 เมื่อท่านทั้งหลายอธิษฐาน อย่าเป็นเหมือนคนหน้าซื่อใจคด เพราะเขาชอบยืนอธิษฐานในธรรมศาลาและที่มุมถนน เพื่อจะให้คนทั้งปวงได้เห็น เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว

มุสา ( 63 )
ลนต 19.11 เจ้าอย่าลักทรัพย์ หรือโกงหรือมุสาต่อกัน
กดว 23.19 พระเจ้ามิใช่มนุษย์จึงมิได้มุสา และมิได้เป็นบุตรของมนุษย์จึงไม่ต้องกลับใจ ที่พระองค์ตรัสไปแล้ว พระองค์ก็จะมิทรงกระทำตามหรือ ที่พระองค์ทรงลั่นวาจาแล้ว จะไม่ทรงกระทำให้สำเร็จหรือ
วนฉ 16.10 เดลิลาห์พูดกับแซมสันว่า “ดูเถิด เธอหลอกฉัน และเธอมุสาต่อฉัน บัดนี้ขอบอกฉันหน่อยเถอะว่า จะมัดเธออย่างไรจึงจะอยู่”
วนฉ 16.13 เดลิลาห์พูดกับแซมสันว่า “เธอหลอกฉันเรื่อยมาจนถึงเดี๋ยวนี้ เธอมุสาต่อฉัน บอกฉันเถอะว่า จะมัดเธออย่างไรจึงจะอยู่” ท่านจึงบอกนางว่า “ถ้าเธอเอาผมทั้งเจ็ดแหยมของฉันทอเข้ากับด้ายเส้นยืน กระทกด้วยฟืมให้แน่น”
1ซมอ 15.29 ยิ่งกว่านี้ผู้ทรงเป็นกำลังของอิสราเอลจะไม่มุสาหรือกลับใจ เพราะว่าพระองค์หาใช่มนุษย์ที่จะกลับใจไม่”
1พกษ 13.18 และเขาจึงพูดกับท่านว่า “ข้าพเจ้าก็เป็นผู้พยากรณ์อย่างที่ท่านเป็นนั้นด้วย มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาบอกข้าพเจ้าโดยพระวจนะของพระเยโฮวาห์ว่า ‘จงนำเขากลับมากับเจ้ายังเรือนของเจ้า เพื่อเขาจะได้รับประทานอาหารและดื่มน้ำ’” แต่เขามุสาต่อท่าน
1พกษ 22.22 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับเขาว่า ‘จะทำอย่างไร’ และเขาทูลว่า ‘ข้าพระองค์จะออกไป และจะเป็นวิญญาณมุสาอยู่ในปากของผู้พยากรณ์ของเขาทุกคน’ และพระองค์ตรัสว่า ‘เจ้าไปเกลี้ยกล่อมเขาได้ และเจ้าจะทำได้สำเร็จ จงไปทำเถิด’
1พกษ 22.23 เพราะฉะนั้นบัดนี้ ดูเถิด พระเยโฮวาห์ทรงใส่วิญญาณมุสาในปากของเหล่าผู้พยากรณ์นี้ทั้งสิ้นของพระองค์ พระเยโฮวาห์ทรงตรัสเป็นความร้ายเกี่ยวกับพระองค์”
2พกษ 4.16 ท่านกล่าวว่า “ในฤดูนี้เมื่อครบกำหนดอุ้มท้อง เจ้าจะได้อุ้มบุตรชายคนหนึ่ง” และนางตอบว่า “ข้าแต่คนแห่งพระเจ้า เจ้านายของดิฉัน หามิได้ อย่ามุสาแก่สาวใช้ของท่านเลย”
2พศด 18.21 และเขาทูลว่า ‘ข้าพระองค์จะออกไปและจะเป็นวิญญาณมุสาอยู่ในปากของผู้พยากรณ์ของเขาทุกคน’ และพระเยโฮวาห์ตรัสว่า ‘เจ้าไปเกลี้ยกล่อมเขาได้ และเจ้าจะทำได้สำเร็จ จงไปทำเช่นนั้นเถิด’
2พศด 18.22 เพราะฉะนั้นบัดนี้ ดูเถิด พระเยโฮวาห์ทรงใส่วิญญาณมุสาในปากของเหล่าผู้พยากรณ์ของพระองค์ พระเยโฮวาห์ทรงลั่นพระวาจาเป็นความร้ายเกี่ยวกับพระองค์”
โยบ 6.28 ฉะนั้นบัดนี้ ขอมองดูข้าด้วยความพอใจเถิด เพราะถ้าข้ามุสา ก็จะปรากฏแจ้งแก่ท่าน
โยบ 11.3 ควรที่คำพูดมุสาของท่านทำให้คนนิ่ง และเมื่อท่านเยาะเย้ย ไม่ควรมีผู้ใดทำให้ท่านอายหรือ
โยบ 24.25 แล้วบัดนี้ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น ใครจะพิสูจน์ได้ว่าข้ามุสา และสำแดงว่าสิ่งที่ข้ากล่าวนั้นไร้สาระ”
สดด 31.18 ขอให้ริมฝีปากที่มุสาเป็นใบ้ ซึ่งพูดทะลึ่งอวดดีต่อคนชอบธรรม ด้วยความจองหองและการดูหมิ่น
สดด 58.3 คนชั่วหลงเจิ่นไปตั้งแต่จากครรภ์ เขาหลงทางไปตั้งแต่เกิด คือพูดมุสา
สดด 78.36 แต่เขายอพระองค์ด้วยปากของเขา และมุสาต่อพระองค์ด้วยลิ้นของเขา
สดด 89.35 เราปฏิญาณด้วยความบริสุทธิ์ของเราเด็ดขาดว่า เราจะไม่มุสาต่อดาวิด
สดด 109.2 เพราะปากของคนชั่วและปากของคนหลอกลวงอ้าใส่ข้าพระองค์อยู่แล้ว พวกเขาได้พูดปรักปรำข้าพระองค์ด้วยลิ้นมุสา
สดด 120.2 คือทูลว่า “โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงช่วยจิตใจข้าพระองค์ให้พ้นจากริมฝีปากมุสา จากลิ้นที่หลอกลวง”
สภษ 6.17 ตายโส ลิ้นมุสา และมือที่ทำโลหิตไร้ผิดให้ตก
สภษ 6.19 พยานเท็จซึ่งพูดมุสา และคนผู้หว่านความแตกร้าวท่ามกลางพวกพี่น้อง
สภษ 10.18 เขาผู้ปิดบังความเกลียดชังด้วยริมฝีปากมุสา และเขาผู้ออกปากใส่ร้ายเป็นคนโง่
สภษ 12.19 ริมฝีปากที่พูดจริงจะทนอยู่ได้เป็นนิตย์ แต่ลิ้นที่พูดมุสาอยู่ได้เพียงประเดี๋ยวเดียว
สภษ 12.22 ริมฝีปากที่พูดมุสาเป็นที่น่าสะอิดสะเอียนต่อพระเยโฮวาห์ แต่คนทั้งหลายที่ประพฤติอย่างจริงใจเป็นความปีติยินดีของพระองค์
สภษ 14.5 พยานที่สัตย์ซื่อจะไม่มุสา แต่พยานเท็จจะกล่าวคำมุสา
สภษ 17.7 วาจาสละสลวยไม่เหมาะแก่คนโง่ฉันใด ริมฝีปากที่มุสายิ่งไม่เหมาะแก่เจ้านายฉันนั้น
สภษ 21.6 การได้คลังทรัพย์มาด้วยลิ้นมุสาก็คือความอนิจจังที่เคลื่อนไปๆมาๆของคนที่เสาะหาความตาย
สภษ 26.28 ลิ้นที่มุสาเกลียดชังผู้ที่มันทำลาย และปากที่ป้อยอก็ทำความพินาศ
อสย 57.11 เจ้าครั่นคร้ามและกลัวใคร เจ้าจึงได้มุสาอยู่นั่นเองและไม่นึกถึงเรา และไม่เอาใจใส่เราสักนิด เรามิได้ระงับปากอยู่เป็นเวลานานแล้วดอกหรือ อย่างนั้นซีเจ้าจึงไม่ยำเกรงเรา
อสย 63.8 เพราะพระองค์ตรัสว่า “แน่ทีเดียวเขาเป็นชนชาติของเรา บุตรผู้จะไม่พูดมุสา” และพระองค์ได้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา
ยรม 5.12 เขาทั้งหลายพูดมุสาในเรื่องพระเยโฮวาห์ และได้กล่าวว่า “พระองค์มิได้ทรงกระทำประการใด ไม่มีการร้ายอันใดจะเกิดขึ้นแก่เรา เราก็จะไม่เห็นดาบหรือการกันดารอาหาร
ยรม 9.5 ทุกคนจะล่อลวงเพื่อนบ้านของตัว ไม่มีใครจะพูดความจริงสักคนเดียว เขาได้สอนลิ้นของเขาให้พูดมุสา เขาได้กระทำความชั่วช้าจนน่าเบื่อหน่าย
ยรม 16.19 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ กำลังและที่กำบังเข้มแข็งของข้าพระองค์ เป็นที่ลี้ภัยของข้าพระองค์ในวันยากลำบาก บรรดาประชาชาติจะมาเฝ้าพระองค์จากที่สุดปลายโลก และทูลว่า “บรรพบุรุษของเราไม่ได้รับมรดกอันใด นอกจากสิ่งมุสา สิ่งไร้ค่า และสิ่งซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรในตัว
ยรม 43.2 อาซาริยาห์บุตรชายโฮชายาห์และโยฮานันบุตรชายคาเรอาห์ และบรรดาผู้ชายที่โอหังได้พูดกับเยเรมีย์ว่า “ท่านพูดมุสา พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรามิได้ใช้ท่านให้มาพูดว่า ‘อย่าไปอียิปต์ที่จะอาศัยอยู่ที่นั่น’
อสค 13.6 เขาทั้งหลายเห็นนิมิตเท็จและทำนายมุสา เขากล่าวว่า ‘พระเยโฮวาห์ตรัสว่า’ ในเมื่อพระเยโฮวาห์มิได้ทรงใช้เขาไป เขาทำให้คนอื่นหวังว่าเขาจะรับรองถ้อยคำของเขา
อสค 13.7 เจ้าได้เคยเห็นนิมิตเท็จ และเคยทำนายมุสามิใช่หรือ ในเมื่อเจ้ากล่าวว่า ‘พระเยโฮวาห์ตรัสว่า’ ทั้งที่เรามิได้พูดเลย”
อสค 13.8 เพราะฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “เพราะเจ้ากล่าวเท็จและได้เห็นนิมิตมุสา องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า เพราะฉะนั้นดูเถิด เราเป็นปฏิปักษ์กับเจ้า
อสค 13.9 มือของเราจะต่อสู้ผู้พยากรณ์ผู้เห็นนิมิตเท็จและผู้ให้คำทำนายมุสา เขาจะไม่ได้เข้าอยู่ในสภาแห่งประชาชนของเรา หรือขึ้นทะเบียนอยู่ในทะเบียนของวงศ์วานอิสราเอล และเขาจะไม่ได้เข้าในแผ่นดินอิสราเอล และเจ้าจะทราบว่าเราคือองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า
อสค 21.29 ขณะเมื่อเขาเห็นนิมิตเท็จมาบอกท่าน ขณะเมื่อเขาให้คำทำนายมุสาแก่ท่าน เพื่อจะวางท่านไว้บนคอของผู้ชั่วที่ถูกฆ่า เวลากำหนดของเขามาถึงแล้ว คือเวลาแห่งการลงโทษความชั่วช้าครั้งสุดท้าย
อสค 22.28 และผู้พยากรณ์ของแผ่นดินนั้นก็ฉาบด้วยปูนขาว ให้เขาเห็นนิมิตเท็จ และให้คำทำนายมุสาแก่เขา โดยกล่าวว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้’ ในเมื่อพระเยโฮวาห์มิได้ตรัสเลย
ดนล 11.27 ส่วนกษัตริย์สององค์นั้น จิตใจของเขาต่างก็คิดปองร้าย เขาจะพูดมุสาร่วมโต๊ะกัน แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะวาระสุดท้ายก็จะมาตามเวลากำหนด
ฮชย 7.13 วิบัติแก่เขา เพราะเขาได้หลงเจิ่นไปจากเรา ความพินาศจงมีแก่เขา เพราะเขาได้ละเมิดต่อเรา แม้ว่าเราได้ไถ่เขาไว้แล้ว เขาก็ยังพูดมุสาเรื่องเรา
มคา 2.11 หากคนใดจะเที่ยวไปโดยมีนิสัยหลอกลวงและมุสาว่า “เราจะพยากรณ์ให้ท่านฟังเรื่องเหล้าองุ่นและเมรัย” เขาจะเป็นผู้พยากรณ์ของชนชาตินี้ได้ละ
มคา 6.12 บรรดาคนมั่งมีของเจ้าก็เต็มไปด้วยความทารุณ และชาวเมืองของเจ้าก็พูดมุสา และลิ้นของเขาก็ล่อลวงอยู่ในปากของเขา
ฮบก 2.3 เพราะว่านิมิตนั้นยังรอเวลาที่กำหนดไว้ แต่ในที่สุด มันก็จะกล่าวออกมา มันไม่มุสา ถ้าดูช้าไป ก็จงคอยสักหน่อย มันจะบังเกิดขึ้นเป็นแน่ คงไม่ล่าช้านัก
ศคย 13.3 ต่อมาเมื่อมีผู้ใดมาพยากรณ์อีก บิดามารดาผู้ให้เขาบังเกิดมานั้นจะพูดกับเขาว่า ‘เจ้าอย่ามีชีวิตอยู่เลย เพราะเจ้าพูดมุสาในพระนามของพระเยโฮวาห์’ เมื่อเขาพยากรณ์ บิดามารดาผู้ให้เขาเกิดมาจะแทงเขาให้ทะลุ
ยน 8.44 ท่านทั้งหลายมาจากพ่อของท่านคือพญามาร และท่านใคร่จะทำตามความปรารถนาของพ่อท่าน มันเป็นฆาตกรตั้งแต่เดิมมา และมิได้ตั้งอยู่ในความจริง เพราะความจริงมิได้อยู่ในมัน เมื่อมันพูดมุสามันก็พูดตามสันดานของมันเอง เพราะมันเป็นผู้มุสา และเป็นพ่อของการมุสา
กจ 5.4 เมื่อที่ดินยังอยู่ก็เป็นของเจ้ามิใช่หรือ เมื่อขายแล้วเงินก็ยังอยู่ในอำนาจของเจ้ามิใช่หรือ มีเหตุอะไรเกิดขึ้นให้เจ้าคิดในใจเช่นนั้นเล่า เจ้ามิได้มุสาต่อมนุษย์แต่ได้มุสาต่อพระเจ้า”
รม 3.4 ขอพระเจ้าอย่ายอมให้เป็นเช่นนั้นเลย ถึงแม้ทุกคนจะพูดมุสาก็ขอให้พระเจ้าทรงสัตย์จริงเถิด ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า ‘เพื่อพระองค์จะได้ปรากฏว่า ทรงเป็นผู้สัตย์ซื่อในพระดำรัสทั้งหลายของพระองค์ และทรงมีชัยเมื่อเขาวินิจฉัยพระองค์’
รม 9.1 ข้าพเจ้าพูดตามความจริงในพระคริสต์ ข้าพเจ้าไม่ได้มุสา ใจสำนึกผิดชอบของข้าพเจ้าเป็นพยานฝ่ายข้าพเจ้าโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วย
2คร 11.31 พระเจ้าทรงเป็นพระบิดาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระองค์ทรงเป็นผู้ที่ควรแก่การสรรเสริญเป็นนิตย์ พระองค์ทรงทราบว่า ข้าพเจ้าไม่ได้มุสา
กท 1.20 แต่เรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนมาถึงท่านนี้ ดูเถิด ต่อพระพักตร์พระเจ้า ข้าพเจ้าไม่มุสาเลย
อฟ 4.25 เหตุฉะนั้นท่านจงเลิกพูดมุสาเสีย และ ‘จงต่างคนต่างพูดความจริงกับเพื่อนบ้าน’ เพราะว่าเราต่างก็เป็นอวัยวะของกันและกัน
คส 3.9 อย่าพูดมุสาต่อกันเพราะว่าท่านได้ถอดทิ้งมนุษย์เก่ากับการปฏิบัติของมนุษย์นั้นเสียแล้ว
ทต 1.2 ด้วยหวังว่าจะได้ชีวิตนิรันดร์ ซึ่งพระเจ้าผู้ไม่สามารถตรัสมุสา ได้ทรงสัญญาไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก
ฮบ 6.18 เพื่อด้วยสองประการนั้นที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ในที่ซึ่งพระองค์จะตรัสมุสาไม่ได้นั้น เราซึ่งได้หนีมาหาที่ลี้ภัยนั้นจึงจะได้รับการหนุนน้ำใจอย่างจริงจัง ที่จะฉวยเอาความหวังซึ่งมีอยู่ตรงหน้าเรา
ยก 3.14 แต่ถ้าท่านทั้งหลายมีใจอิจฉาอันขมขื่นและอาการแก่งแย่งกันในใจของท่าน อย่าอวดเลยและอย่าพูดมุสาต่อความจริง
1ยน 1.6 ถ้าเราจะว่าเราร่วมสามัคคีธรรมกับพระองค์ และยังดำเนินอยู่ในความมืด เราก็พูดมุสา และไม่ได้ดำเนินชีวิตตามความจริง
วว 3.9 ดูเถิด เราจะทำให้พวกธรรมศาลาของซาตานที่พูดมุสาว่าเขาเป็นพวกยิวและไม่ได้เป็นนั้น ดูเถิด เราจะทำให้เขามากราบลงแทบเท้าของเจ้า และให้เขารู้ว่า เราได้รักพวกเจ้า
วว 21.8 แต่คนขลาด คนไม่เชื่อ คนที่น่าสะอิดสะเอียน ฆาตกร คนล่วงประเวณี คนใช้เวทมนตร์ คนไหว้รูปเคารพ และคนทั้งปวงที่พูดมุสานั้น จะได้รับส่วนของตนในบึงที่เผาไหม้ด้วยไฟและกำมะถัน นั่นคือความตายครั้งที่สอง”
วว 21.27 สิ่งใดที่เป็นมลทิน หรือผู้ใดก็ตามที่กระทำสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน หรือพูดมุสาจะเข้าไปในเมืองไม่ได้เลย เว้นแต่เฉพาะคนที่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตของพระเมษโปดกเท่านั้นจึงจะเข้าไปได้

มูชี ( 10 )
อพย 6.19 บุตรชายของเมรารีชื่อ มาฮาลี และมูชี คนเหล่านี้เป็นครอบครัวต่างๆของเลวีตามพงศ์พันธุ์ของเขา
กดว 3.20 และบุตรชายของเมรารีตามครอบครัว คือมาลี และมูชี นี่เป็นครอบครัวคนเลวี ตามเรือนบรรพบุรุษของเขา
กดว 3.33 วงศ์เมรารีมีครอบครัวมาลี และครอบครัวมูชี เหล่านี้เป็นครอบครัวเมรารี
กดว 26.58 ต่อไปนี้เป็นครอบครัวของเลวี คือคนครอบครัวลิบนี คนครอบครัวเฮโบรน คนครอบครัวมาลี คนครอบครัวมูชี คนครอบครัวโคราห์ และโคฮาทให้กำเนิดบุตรชื่ออัมราม
1พศด 6.19 บุตรชายของเมรารีคือ มาห์ลี และมูชี เหล่านี้เป็นครอบครัวของคนเลวีตามพงศ์พันธุ์บิดาของเขา
1พศด 6.47 ผู้เป็นบุตรชายมาห์ลี ผู้เป็นบุตรชายมูชี ผู้เป็นบุตรชายเมรารี ผู้เป็นบุตรชายเลวี
1พศด 23.21 บุตรชายของเมรารีคือ มาห์ลีและมูชี บุตรชายของมาห์ลีคือ เอเลอาซาร์และคีช
1พศด 23.23 บุตรชายของมูชีคือ มาห์ลี เอเดอร์ และเยรีโมท สามคน
1พศด 24.26 บุตรชายของเมรารีคือ มาห์ลีและมูชี บุตรชายของยาอาซียาห์คือ เบโน
1พศด 24.30 บุตรชายของมูชีคือ มาห์ลี เอเดอร์ และเยรีโมท คนเหล่านี้เป็นลูกหลานของคนเลวี ตามเรือนบรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย

มูล ( 17 )
อพย 29.14 แต่เนื้อกับหนัง และมูลของวัวตัวผู้นั้นจงเผาไฟเสียข้างนอกค่าย ทั้งนี้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
ลนต 1.16 และให้ฉีกกระเพาะข้าวและถอนขนนกออกเสีย ทิ้งลงริมแท่นด้านตะวันออกในที่ที่ทิ้งมูลเถ้า
ลนต 4.11 แต่หนังของวัวพร้อมกับเนื้อวัวทั้งหมด หัว ขา เครื่องในและมูลของมัน
ลนต 4.12 คือวัวทั้งตัวนี้ ให้เอาออกไปเสียจากค่ายถึงที่สะอาดที่ทิ้งมูลเถ้าและให้สุมไฟเผาเสีย ที่ทิ้งมูลเถ้าอยู่ที่ไหนก็ให้เผาที่นั่น
ลนต 6.10 ให้ปุโรหิตสวมเสื้อผ้าป่านและสวมกางเกงผ้าป่านและให้ตักมูลเถ้าออกจากไฟที่ไหม้เครื่องเผาบูชาอยู่บนแท่นนำไปไว้ข้างแท่น
ลนต 6.11 ให้ถอดเสื้อที่สวมอยู่ออกแล้วสวมเสื้ออีกตัวหนึ่ง นำมูลเถ้าออกไปนอกค่ายยังที่สะอาด
ลนต 8.17 แต่วัวและหนังวัว กับเนื้อและมูลของมัน ท่านเผาเสียด้วยไฟข้างนอกค่าย ดังที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาโมเสสไว้
ลนต 16.27 เขาจะเอาวัวซึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และแพะซึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป ที่อาโรนเอาเลือดไปทำการลบมลทินสถานบริสุทธิ์นั้นไปเสียข้างนอกค่าย และเขาจะเผาเนื้อหนังและมูลเสียด้วยไฟ
กดว 19.5 และให้มีคนเผาวัวตัวเมียนั้นเสียในสายตาของเขา คือเขาจะต้องเผาหนัง เนื้อ และเลือด กับมูลของมันเสียให้หมด
1พกษ 13.3 และท่านก็ให้หมายสำคัญในวันเดียวกันนั้น กล่าวว่า “นี่เป็นหมายสำคัญที่พระเยโฮวาห์ได้ตรัสว่า ‘ดูเถิด เขาจะพังแท่นบูชาลงมา และมูลเถ้าซึ่งอยู่บนนั้นจะถูกเทออก’”
1พกษ 13.5 แท่นบูชาก็พังลงด้วย และมูลเถ้าก็ร่วงลงมาจากแท่น ตามหมายสำคัญซึ่งคนของพระเจ้าได้ให้ไว้โดยพระวจนะของพระเยโฮวาห์
2พกษ 6.25 มีการกันดารอาหารอย่างหนักในสะมาเรีย และดูเถิด ขณะเมื่อเขาล้อมอยู่จนหัวลาตัวหนึ่งเขาขายกันเป็นเงินแปดสิบเชเขล และมูลนกเขาครึ่งลิตรเป็นเงินห้าเชเขล
2พกษ 23.4 และกษัตริย์ทรงบัญชาฮิลคียาห์มหาปุโรหิต และพวกปุโรหิตรอง และผู้รักษาธรณีประตู ให้นำเครื่องใช้ทั้งสิ้นที่ทำขึ้นสำหรับพระบาอัล สำหรับเสารูปเคารพ และสำหรับบรรดาบริวารของฟ้าสวรรค์ออกมาจากพระวิหารของพระเยโฮวาห์ พระองค์ทรงเผาเสียที่ภายนอกกรุงเยรูซาเล็มในทุ่งนาแห่งขิดโรน และขนมูลเถ้าของมันไปยังเบธเอล
ยรม 12.1 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ เมื่อข้าพระองค์สู้คดีกับพระองค์ พระองค์ก็ทรงเป็นฝ่ายถูก แม้กระนั้นข้าพระองค์ยังขอทูลเสนอมูลคดีของข้าพระองค์ต่อพระองค์ ไฉนทางของคนชั่วจึงจำเริญขึ้น ไฉนทุกคนที่ทรยศก็อยู่เย็นเป็นสุข
อสค 4.15 แล้วพระองค์จึงตรัสกับข้าพเจ้าว่า “ดูเถิด เราจะยอมให้เจ้าใช้มูลวัวแทนอุจจาระของมนุษย์ ซึ่งเจ้าจะใช้เตรียมขนมปังของเจ้า”
ดนล 9.3 แล้วข้าพเจ้าก็หันหน้าไปหาองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า แสวงหาด้วยการอธิษฐานและการวิงวอน ทั้งด้วยการอดอาหาร และนุ่งห่มผ้ากระสอบและนั่งบนมูลเถ้า

มูลค่า ( 1 )
รม 3.24 แต่พระเจ้าทรงพระกรุณาให้เราเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เราให้พ้นบาปแล้ว

มูลฐาน ( 2 )
รม 10.5 โมเสสได้เขียนเรื่องความชอบธรรมซึ่งมีพระราชบัญญัติเป็นมูลฐานว่า ‘คนใดที่ประพฤติตามสิ่งเหล่านั้นจะได้ชีวิตโดยการประพฤตินั้น’
รม 10.6 แต่ความชอบธรรมที่มีความเชื่อเป็นมูลฐานว่าอย่างนี้ว่า “อย่านึกในใจของตัวว่า ใครจะขึ้นไปบนสวรรค์” (คือจะเชิญพระคริสต์ลงมาจากเบื้องบน)

มูลฝอย ( 1 )
พคค 3.45 พระองค์ได้ทรงกระทำให้พวกข้าพระองค์เป็นเหมือนหยากเหยื่อและมูลฝอยอยู่ในท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย

มูลราก ( 1 )
วว 5.5 และมีผู้หนึ่งในพวกผู้อาวุโสนั้น บอกแก่ข้าพเจ้าว่า “อย่าร้องไห้เลย ดูเถิด สิงโตแห่งตระกูลยูดาห์ เป็นมูลรากของดาวิด พระองค์ทรงมีชัยแล้ว พระองค์จึงทรงสามารถแกะตราทั้งเจ็ดดวงและคลี่หนังสือม้วนนั้นออกได้”

มูลสัตว์ ( 12 )
1พกษ 14.10 เพราะฉะนั้น ดูเถิด เราจะนำเหตุร้ายมาเหนือราชวงศ์ของเยโรโบอัม และจะตัดคนที่ปัสสาวะรดกำแพงได้เสียจากเยโรโบอัม ทั้งคนที่ยังอยู่และเหลืออยู่ในอิสราเอล และจะผลาญคนที่เหลือในราชวงศ์เยโรโบอัมเสียอย่างสิ้นเชิง อย่างคนที่ขนมูลสัตว์ไปทิ้งจนหมด
2พกษ 9.37 และศพของเยเซเบลจะเป็นเหมือนมูลสัตว์บนพื้นทุ่งในเขตแดนยิสเรเอล เพื่อว่าจะไม่มีใครกล่าวว่า ‘นี่คือเยเซเบล’”
อสย 25.10 เพราะพระหัตถ์ของพระเยโฮวาห์จะพักอยู่บนภูเขานี้ และโมอับจะถูกเหยียบย่ำลงภายใต้พระองค์ เหมือนเหยียบฟางลงในหลุมมูลสัตว์
ยรม 8.2 และเขาจะกระจายกระดูกเหล่านั้นออกต่อหน้าดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และบริวารแห่งฟ้าสวรรค์ทั้งสิ้น ซึ่งเขาทั้งหลายรักและปรนนิบัติ ซึ่งเขาได้ติดตาม ซึ่งเขาได้แสวงหาและนมัสการ จะไม่มีใครรวบรวมหรือฝังกระดูกเหล่านี้ แต่จะเป็นเหมือนมูลสัตว์ที่พื้นดิน
ยรม 9.22 จงพูดว่า “พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า ‘ศพมนุษย์จะล้มลงเหมือนมูลสัตว์ตกตามพื้นทุ่ง เหมือนฟ่อนข้าวล้มตามผู้เกี่ยว และไม่มีผู้ใดจะเก็บ’”
ยรม 16.4 เขาทั้งหลายจะตายด้วยโรคร้าย จะไม่มีการโอดครวญอาลัยเขาทั้งหลาย หรือจะไม่มีใครจัดการฝังเขา เขาจะเป็นเหมือนมูลสัตว์ที่อยู่บนพื้นแผ่นดิน เขาทั้งหลายจะพินาศด้วยดาบและการกันดารอาหาร และศพทั้งหลายของเขาจะเป็นอาหารของนกในอากาศและของสัตว์แห่งแผ่นดิน
ยรม 25.33 และบรรดาผู้ที่พระเยโฮวาห์ทรงประหารในวันนั้น จะมีจากปลายโลกข้างนี้ถึงปลายโลกข้างนั้น เขาเหล่านั้นจะไม่มีใครโอดครวญให้ หรือรวบรวมหรือฝังไว้ แต่จะเป็นมูลสัตว์อยู่บนพื้นดิน’”
พคค 4.5 คนทั้งปวงที่เคยรับประทานอาหารอย่างเลิศหรูกลับต้องโดดเดี่ยวอยู่ตามถนน คนทั้งหลายที่เติบโตมาด้วยเสื้อสีแดงสดกลับต้องกอดกองมูลสัตว์
ศฟย 1.17 เราจะนำทุกข์ภัยมาสู่มนุษย์ เขาจะได้เดินไปเหมือนคนตาบอด เพราะเขาได้กระทำบาปต่อพระเยโฮวาห์ โลหิตของเขาจะถูกเทออกเหมือนฝุ่น และเนื้อของเขาจะถูกเทออกเหมือนมูลสัตว์
มลค 2.3 ดูเถิด เราจะกระทำให้เชื้อสายของเจ้าเสื่อมไป และจะละเลงมูลสัตว์ใส่หน้าเจ้า คือมูลสัตว์ของเทศกาลตามกำหนดของเจ้า และเราจะไล่เจ้าออกไปเสียจากหน้าเราอย่างนั้นแหละ
ลก 14.35 จะใช้เป็นปุ๋ยใส่ดินก็ไม่ได้ จะหมักไว้กับกองมูลสัตว์ทำปุ๋ยก็ไม่ได้ แต่เขาก็ทิ้งเสียเท่านั้น ใครมีหู จงฟังเถิด”

มูลเหตุ ( 6 )
ปญจ 7.25 ใจข้าพเจ้าหวนกลับมาเรียนรู้และเสาะแสวงหาสติปัญญา และมูลเหตุของสิ่งต่างๆ เพื่อให้รู้ความชั่วร้ายแห่งความเขลา คือความเขลาและความบ้าบอ
ปญจ 7.27 ปัญญาจารย์กล่าวว่า ดูเถิด ข้าพเจ้าพบดังต่อไปนี้ โดยเอาเรื่องหนึ่งมาประดิษฐ์ติดต่อเข้ากับอีกเรื่องหนึ่ง เพื่อหามูลเหตุ
ดนล 6.4 อภิรัฐมนตรีและอุปราชทั้งหลายจึงหามูลเหตุฟ้องดาเนียลในเรื่องเกี่ยวกับราชอาณาจักร แต่ก็หามูลเหตุหรือความผิดไม่ได้ เพราะท่านเป็นคนสัตย์ซื่อ จะหาความพลั้งพลาดหรือความผิดในท่านมิได้เลย
ดนล 6.5 คนเหล่านี้จึงกล่าวว่า “เราจะหามูลเหตุฟ้องดาเนียลไม่ได้เลย นอกจากเราจะหาเรื่องที่เกี่ยวกับพระราชบัญญัติแห่งพระเจ้าของเขา”
กจ 19.40 ด้วยว่าน่ากลัวเราจะต้องถูกฟ้องว่าเป็นผู้ก่อการจลาจลวันนี้ เพราะเราทั้งหลายไม่อาจยกข้อใดขึ้นอ้างเป็นมูลเหตุพอแก่การจลาจลคราวนี้ได้”

เมกิดโด ( 12 )
ยชว 12.21 กษัตริย์เมืองทาอานาคองค์หนึ่ง กษัตริย์เมืองเมกิดโดองค์หนึ่ง
ยชว 17.11 ในเขตอิสสาคาร์และในอาเชอร์นั้น มนัสเสห์ยังมีเมืองเบธชานกับชนบทของเมืองนั้น และเมืองอิบเลอัมกับชนบทของเมืองนั้น และชาวเมืองโดร์กับชนบทของเมืองนั้น และชาวเมืองเอนโดร์กับชนบทของเมืองนั้น และชาวเมืองทาอานาคกับชนบทของเมืองนั้น และชาวเมืองเมกิดโดกับชนบทของเมืองนั้น คือภูเขาทั้งสามยอด
วนฉ 1.27 มนัสเสห์มิได้ขับไล่ชาวเมืองเบธชานและชาวชนบทของเมืองนั้นให้ออกไป หรือชาวเมืองทาอานาคกับชาวชนบทของเมืองนั้น หรือชาวเมืองโดร์กับชาวชนบทของเมืองนั้น หรือชาวเมืองอิบเลอัมกับชาวชนบทของเมืองนั้น หรือชาวเมืองเมกิดโดกับชาวชนบทของเมืองนั้น แต่คนคานาอันยังขืนอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น
วนฉ 5.19 พอบรรดากษัตริย์มาถึงก็รบกัน บรรดากษัตริย์คานาอันก็รบที่ทาอานาคริมห้วงน้ำเมกิดโดโดยมิได้ริบเงินเลย
1พกษ 4.12 บาอานาบุตรชายอาหิลูด ประจำในทาอานาค เมกิดโดและเบธชานทั้งหมดซึ่งอยู่ข้างศาเรธานเชิงเมืองยิสเรเอล และตั้งแต่เบธชานถึงอาเบล-เมโฮลาห์ไปจนถึงฝากข้างโน้นของโยกเนอัม
1พกษ 9.15 นี่เป็นเรื่องแรงงานเกณฑ์ ซึ่งกษัตริย์ซาโลมอนได้เกณฑ์เพื่อสร้างพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และพระราชวังของพระองค์ และป้อมมิลโล และกำแพงกรุงเยรูซาเล็ม และฮาโซร์ และเมกิดโด และเกเซอร์
2พกษ 9.27 เมื่ออาหัสยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์เห็นดังนั้น พระองค์ทรงหนีไปทางบ้านในสวน และเยฮูก็ติดตามพระองค์ไปตรัสว่า “จงยิงท่านในรถรบด้วย” และเขาทั้งหลายได้ยิงพระองค์ตรงทางข้ามเขาตำบลกูรซึ่งอยู่ใกล้อิบเลอัม และพระองค์ทรงหนีไปถึงเมืองเมกิดโด และสิ้นพระชนม์ที่นั่น
2พกษ 23.29 ในสมัยของพระองค์ ฟาโรห์เนโคกษัตริย์ของอียิปต์เสด็จขึ้นไปยังกษัตริย์แห่งอัสซีเรียถึงแม่น้ำยูเฟรติส กษัตริย์โยสิยาห์เสด็จไปปะทะพระองค์ และเมื่อฟาโรห์เนโคทรงเห็นพระองค์ก็ประหารพระองค์เสียที่เมืองเมกิดโด
2พกษ 23.30 ข้าราชการของพระองค์ก็นำพระศพใส่รถรบไปจากเมืองเมกิดโด และนำมายังกรุงเยรูซาเล็ม และฝังไว้ในอุโมงค์ของพระองค์ และประชาชนแห่งแผ่นดินนั้นก็รับเยโฮอาหาสโอรสโยสิยาห์เจิมท่านไว้ และตั้งท่านให้เป็นกษัตริย์แทนราชบิดาของท่าน
1พศด 7.29 และตามพรมแดนของคนมนัสเสห์ มีเมืองเบธชานพร้อมกับบรรดาหัวเมือง ทาอานาคพร้อมกับบรรดาหัวเมือง เมกิดโดพร้อมกับบรรดาหัวเมือง โดร์พร้อมกับบรรดาหัวเมือง ลูกหลานโยเซฟบุตรชายอิสราเอลได้อาศัยอยู่ในที่เหล่านี้
2พศด 35.22 ถึงกระนั้นก็ดีโยสิยาห์มิได้หันพระพักตร์ไปจากพระองค์ แต่ทรงปลอมพระองค์ เพื่อจะสู้รบกับพระองค์ มิได้ฟังพระดำรัสของเนโคที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า แต่เข้ารบ ณ ที่หุบเขาเมกิดโด
ศคย 12.11 ในวันนั้น การไว้ทุกข์ในเยรูซาเล็มจะใหญ่โตอย่างการไว้ทุกข์เพื่อฮาดัดริมโมน ณ ที่ราบเมกิดโด

เมโคนาห์ ( 1 )
นหม 11.28 ในศิกลาก ในเมโคนาห์กับชนบทของเมืองนั้น

เมฆ ( 147 )
ปฐก 9.13 เราได้ตั้งรุ้งของเราไว้ที่เมฆและมันจะเป็นหมายสำคัญแห่งพันธสัญญาระหว่างเรากับแผ่นดินโลก
ปฐก 9.14 และต่อมาเมื่อเราให้มีเมฆเหนือแผ่นดินโลก จะเห็นรุ้งที่เมฆนั้น
ปฐก 9.16 จะมีรุ้งที่เมฆและเราจะมองดูมันเพื่อเราจะระลึกถึงพันธสัญญานิรันดร์ ระหว่างพระเจ้ากับสิ่งทั้งปวงที่มีชีวิตแห่งบรรดาเนื้อหนังที่อยู่บนแผ่นดินโลก”
อพย 14.20 คือเสานั้นมาอยู่ระหว่างค่ายของชาติอียิปต์และค่ายของชนชาติอิสราเอล และเป็นเมฆมืดแก่ชาวอียิปต์ แต่มีแสงส่องสว่างในเวลากลางคืนแก่ชนชาติอิสราเอล ทั้งสองฝ่ายมิได้เข้าใกล้กันตลอดคืน
อพย 16.10 ต่อมาขณะที่อาโรนกล่าวแก่บรรดาชุมนุมชนอิสราเอลอยู่นั้น เขาทั้งหลายมองไปทางถิ่นทุรกันดาร แล้วดูเถิด สง่าราศีของพระเยโฮวาห์ปรากฏอยู่ในเมฆ
อพย 19.9 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “ดูเถิด เราจะมาหาเจ้าในเมฆหนาทึบ เพื่อพลไพร่จะได้ยินขณะที่เราพูดกับเจ้า แล้วจะได้เชื่อเจ้าตลอดไป” โมเสสนำคำของพลไพร่นั้นกราบทูลพระเยโฮวาห์
อพย 19.16 อยู่มาพอถึงรุ่งเช้าวันที่สาม ก็บังเกิดฟ้าร้องฟ้าแลบ มีเมฆอันหนาทึบปกคลุมภูเขานั้นไว้กับมีเสียงแตรดังสนั่น จนคนทั้งปวงที่อยู่ค่ายต่างก็พากันกลัวจนตัวสั่น
อพย 24.15 แล้วโมเสสขึ้นไปบนภูเขา เมฆก็คลุมภูเขาไว้
อพย 24.16 สง่าราศีของพระเยโฮวาห์มาอยู่บนภูเขาซีนาย เมฆนั้นปกคลุมภูเขาอยู่หกวัน ครั้นวันที่เจ็ดพระองค์ทรงเรียกโมเสสจากหมู่เมฆ
อพย 24.18 โมเสสเข้าไปในหมู่เมฆนั้นและขึ้นไปบนภูเขา โมเสสอยู่บนภูเขานั้นสี่สิบวันสี่สิบคืน
อพย 34.5 ฝ่ายพระเยโฮวาห์เสด็จลงมาในเมฆ และโมเสสยืนอยู่กับพระองค์ที่นั่น และออกพระนามพระเยโฮวาห์
อพย 40.34 ในขณะนั้นมีเมฆมาปกคลุมเต็นท์แห่งชุมนุมไว้ และสง่าราศีของพระเยโฮวาห์ก็ปรากฏอยู่เต็มพลับพลานั้น
อพย 40.35 โมเสสเข้าไปในเต็นท์แห่งชุมนุมไม่ได้เพราะเมฆปกคลุมอยู่ และสง่าราศีของพระเยโฮวาห์ก็อยู่เต็มพลับพลานั้น
อพย 40.36 ตลอดการเดินทางของเขา เมฆนั้นถูกยกขึ้นจากพลับพลาเมื่อใด ชนชาติอิสราเอลก็ยกเดินต่อไปทุกครั้ง
อพย 40.37 แต่หากว่าเมฆนั้นมิได้ถูกยกขึ้นไป เขาก็ไม่ออกเดินทางเลย จนกว่าจะถึงวันที่เมฆนั้นจะถูกยกขึ้นไป
อพย 40.38 เพราะตลอดทางที่เขายกเดินไปนั้น ในกลางวันเมฆของพระเยโฮวาห์ทรงสถิตอยู่เหนือพลับพลา และในตอนกลางคืนมีไฟสถิตอยู่เหนือพลับพลานั้นประจักษ์แก่ตาของวงศ์วานอิสราเอลทั้งปวง
ลนต 16.2 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “เจ้าจงบอกอาโรนพี่ชายว่า อย่าเข้าไปในสถานที่บริสุทธิ์ที่อยู่ในม่านหน้าพระที่นั่งพระกรุณาซึ่งอยู่บนหลังหีบ ตลอดทุกเวลา เพื่อเขาจะไม่ตาย เพราะว่าเราจะปรากฏในเมฆเหนือพระที่นั่งกรุณา
กดว 9.15 ในวันที่จัดตั้งพลับพลานั้นมีเมฆมาปกคลุมพลับพลาไว้ คือเต็นท์พระโอวาท เวลาเย็นเมฆนั้นก็อยู่เหนือพลับพลาปรากฏเหมือนเพลิงจนรุ่งเช้า
กดว 9.16 เป็นอย่างนั้นเสมอมา มีเมฆคลุมกลางวัน แต่กลางคืนปรากฏเหมือนเพลิง
กดว 9.17 เมื่อไรเมฆลอยขึ้นจากพลับพลา ภายหลังนั้นพวกอิสราเอลก็ยกเดินไป ครั้นเมฆนั้นลอยหยุดอยู่ที่ใด คนอิสราเอลก็ตั้งค่ายอยู่ที่นั่น
กดว 9.18 คนอิสราเอลออกเดินตามพระดำรัสของพระเยโฮวาห์ และเขาตั้งค่ายตามพระดำรัสของพระเยโฮวาห์ ตราบใดที่เมฆพักอยู่เหนือพลับพลาเขาก็ยังตั้งค่ายอยู่
กดว 9.19 แม้เมื่อเมฆอยู่เหนือพลับพลานานหลายวัน คนอิสราเอลก็ปฏิบัติตามพระบัญชาของพระเยโฮวาห์ ไม่ยกเดินไป
กดว 9.20 เมื่อเมฆอยู่เหนือพลับพลาน้อยวัน ตามพระดำรัสของพระเยโฮวาห์ เขาก็ยังอยู่ในค่าย แล้วตามพระดำรัสของพระเยโฮวาห์เขาก็ยกออกเดินทาง
กดว 9.21 เมื่อเมฆคงอยู่ตั้งแต่เย็นจนเช้า ครั้นเมฆลอยขึ้นในตอนเช้าเขาก็ยกออกเดิน ไม่ว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืนก็ตาม เมื่อเมฆลอยขึ้นเขาก็ยกออกเดิน
กดว 9.22 ไม่ว่าเมฆจะคงอยู่เหนือพลับพลาสองวัน หรือเดือนหนึ่งหรือปีหนึ่ง คนอิสราเอลก็อยู่ในค่ายนานเท่านั้น มิได้ยกออกไป แต่เมื่อเมฆลอยขึ้นเมื่อใด เขาก็ยกออกไปเมื่อนั้น
กดว 10.11 ต่อมาวันที่ยี่สิบเดือนที่สองปีที่สองทรงให้เมฆนั้นขึ้นจากพลับพลาพระโอวาท
กดว 10.12 คนอิสราเอลก็ยกเดินทางไปจากถิ่นทุรกันดารซีนาย และเมฆนั้นมายั้งอยู่ที่ถิ่นทุรกันดารปาราน
กดว 10.34 เขาทั้งหลายยกค่ายไปเมื่อไร เมฆของพระเยโฮวาห์ก็อยู่เหนือเขาในกลางวันเมื่อนั้น
กดว 11.25 แล้วพระเยโฮวาห์เสด็จลงมาในเมฆและตรัสกับโมเสส และเอาวิญญาณที่มีอยู่บนโมเสสบ้างใส่บนพวกผู้ใหญ่เจ็ดสิบคนนั้น และต่อมาเมื่อวิญญาณอยู่บนเขาทั้งหลายแล้ว เขาทั้งหลายก็พยากรณ์ แต่เขาทั้งหลายก็ไม่ทำอีก
กดว 12.10 เมื่อเมฆลอยพ้นพลับพลาไป ดูเถิด มิเรียมก็เป็นโรคเรื้อน ขาวดุจหิมะ อาโรนหันไปดูมิเรียมและดูเถิด นางเป็นโรคเรื้อน
กดว 14.14 ชาวอียิปต์จะเล่าความนั้นแก่ชาวประเทศนี้ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ เขาทั้งหลายได้ยินว่าพระองค์สถิตท่ามกลางชนชาตินี้ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ เขาได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์ เมฆของพระองค์ตั้งอยู่เหนือเขาทั้งหลาย พระองค์ทรงนำเขาในเวลากลางวันด้วยเสาเมฆ และในกลางคืนด้วยเสาเพลิง
กดว 16.42 ต่อมาเมื่อชุมนุมชนมาประชุมประจัญหน้าโมเสสและอาโรน เขาหันหน้ามาสู่พลับพลาแห่งชุมนุม และดูเถิด เมฆมาคลุมพลับพลานั้น และสง่าราศีของพระเยโฮวาห์ก็ปรากฏ
พบญ 1.33 ผู้ได้ทรงนำทางข้างหน้าท่าน เพื่อจะหาที่ให้ท่านทั้งหลายตั้งเต็นท์ของท่าน เป็นไฟในกลางคืน เพื่อโปรดให้ท่านทั้งหลายเห็นทางที่ควรจะไป และเป็นเมฆในกลางวัน
พบญ 4.11 ท่านทั้งหลายได้เข้ามาใกล้ยืนอยู่ที่เชิงภูเขา และภูเขานั้นมีเพลิงลุกขึ้นถึงท้องฟ้า มีความมืด เมฆ และความมืดคลุ้มคลุมอยู่
พบญ 5.22 พระวจนะเหล่านี้พระเยโฮวาห์ได้ตรัสแก่ชุมนุมชนทั้งปวงของท่านที่ภูเขา ออกมาจากท่ามกลางเพลิง เมฆและความมืดคลุ้มหนาทึบ ด้วยพระสุรเสียงอันดัง และมิได้ทรงเพิ่มเติมสิ่งใดอีก และพระองค์ทรงจารึกไว้บนแผ่นศิลาสองแผ่นและประทานแก่ข้าพเจ้า
วนฉ 5.4 ข้าแต่พระเยโฮวาห์ เมื่อพระองค์เสด็จออกจากเสอีร์ เมื่อพระองค์เสด็จจากท้องถิ่นเอโดม แผ่นดินก็หวาดหวั่นไหว ท้องฟ้าก็ปล่อยลงมา เออ เมฆก็ปล่อยฝนลงมา
2ซมอ 22.12 พระองค์ทรงกระทำความมืดเป็นพลับพลาอยู่รอบพระองค์ ที่รวบรวมบรรดาน้ำและเมฆทึบแห่งฟ้า
2ซมอ 23.4 เขาทอแสงเหมือนแสงอรุณ เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น คือรุ่งเช้าที่ไม่มีเมฆ ซึ่งเมื่อภายหลังฝน กระทำให้หญ้างอกออกจากดิน’
1พกษ 8.10 และอยู่มาเมื่อปุโรหิตออกมาจากที่บริสุทธิ์ที่สุด เมฆมาเต็มพระนิเวศของพระเยโฮวาห์
1พกษ 8.11 ปุโรหิตจึงยืนปรนนิบัติอยู่ไม่ได้เพราะเมฆนั้น เพราะสง่าราศีของพระเยโฮวาห์เต็มพระนิเวศของพระเยโฮวาห์
1พกษ 18.44 และอยู่มาเมื่อถึงครั้งที่เจ็ดเขาบอกว่า “ดูเถิด มีเมฆก้อนหนึ่งเล็กเท่าฝ่ามือคนขึ้นมาจากทะเล” และท่านก็บอกว่า “จงไปทูลอาหับว่า ‘ขอทรงเตรียมราชรถและเสด็จลงไปเพื่อพระองค์จะไม่ติดฝน’”
1พกษ 18.45 และอยู่มาอีกครู่หนึ่งท้องฟ้าก็มืดไปด้วยเมฆและลม และมีฝนหนัก อาหับก็ทรงรถเสด็จไปยังเมืองยิสเรเอล
2พศด 5.13 อยู่มาพวกคนเป่าแตรและพวกนักร้องจะทำให้คนได้ยินเขาทั้งหลายร้องเพลงสรรเสริญ และเพลงโมทนาพระคุณพระเยโฮวาห์เป็นเสียงเดียวกัน และเมื่อเขาร้องขึ้นพร้อมกับแตรและฉาบกับเครื่องดนตรีอย่างอื่น ในการถวายสรรเสริญแด่พระเยโฮวาห์ว่า “เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์” พระนิเวศคือพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ก็มีเมฆเต็มไปหมด
2พศด 5.14 จนปุโรหิตจะยืนปรนนิบัติไม่ได้ด้วยเหตุเมฆนั้น เพราะสง่าราศีของพระเยโฮวาห์เต็มพระนิเวศของพระเจ้า
โยบ 3.5 ขอความมืดทึบและเงามัจจุราชยึดเอาวันนั้นไว้ ขอให้เมฆคลุมมันไว้ ขอให้ความดำทะมึนแห่งวันนั้นทำให้มันหวาดกลัว
โยบ 7.9 เมฆจางและหายไปฉันใด บุคคลที่ลงไปยังแดนคนตายก็มิได้ขึ้นมาฉันนั้น
โยบ 20.6 แม้ความสูงของเขาเด่นขึ้นไปถึงฟ้าสวรรค์ และศีรษะของเขาไปถึงหมู่เมฆ
โยบ 22.13 เพราะฉะนั้นท่านว่า ‘พระเจ้าทรงรู้อะไร พระองค์จะทรงทะลุเมฆมืดทึบไปพิพากษาได้หรือ
โยบ 22.14 เมฆทึบคลุมพระองค์ไว้ พระองค์ทรงมองอะไรไม่เห็น และพระองค์ทรงดำเนินโดยรอบบนพื้นฟ้า’
โยบ 26.8 พระองค์ทรงมัดน้ำไว้ในเมฆทึบของพระองค์ และเมฆนั้นก็ไม่ขาดวิ่นไป
โยบ 26.9 พระองค์ทรงคลุมหน้าของพระที่นั่ง และคลี่เมฆของพระองค์ออกคลุมมันไว้
โยบ 30.15 ความสยดสยองต่างๆหันมาใส่ข้า จิตใจของข้าถูกเขาติดตามอย่างลมตาม และความเจริญรุ่งเรืองของข้าสูญไปเสียอย่างเมฆ
โยบ 35.5 จงมองดูท้องฟ้าเถิด ดูเมฆซึ่งอยู่สูงกว่าท่าน
โยบ 36.28 ซึ่งเมฆก็เทลงมา และหยดลงที่มนุษย์อย่างอุดม
โยบ 36.29 เออ มีคนใดเข้าใจการแผ่ของเมฆหรือ และการคะนองแห่งพลับพลาของพระองค์หรือ
โยบ 36.32 พระองค์ทรงคลุมฟ้าแลบด้วยเมฆ และทรงบัญชาให้เมฆบังฟ้าแลบนั้น
โยบ 37.11 เช่นเดียวกันพระองค์ทรงบรรทุกความชุ่มชื้นไว้ที่เมฆทึบ พระองค์ทรงกระจายเมฆแห่งฟ้าแลบออกไป
โยบ 37.15 ท่านทราบหรือว่าพระเจ้าทรงกำชับมันอย่างไร และกระทำให้ฟ้าแลบแห่งเมฆของพระองค์มีแสง
โยบ 37.16 ท่านทราบถึงการทรงตัวของเมฆหรือ เป็นพระราชกิจอันประหลาดของพระองค์ผู้สมบูรณ์ในความรู้
โยบ 37.21 บัดนี้มนุษย์เพ่งดูฟ้าแลบอันสุกใสแห่งเมฆไม่ได้ เมื่อลมผ่านไปกวาดให้กระจ่าง
โยบ 38.9 เมื่อเราสร้างเมฆให้เป็นเสื้อ และความมืดทึบเป็นผ้าอ้อมของมัน
โยบ 38.34 เจ้าตะเบ็งเสียงไปถึงเมฆได้ไหมล่ะ เพื่อน้ำมากมายจะลงมาคลุมเจ้า
โยบ 38.37 ใครจะนับเมฆด้วยสติปัญญาได้ หรือใครจะเอียงถุงน้ำของท้องฟ้าได้
สดด 18.11 พระองค์ทรงกระทำให้ความมืดปกคลุมพระองค์ไว้ ให้เมฆมืดและอุ้มน้ำเป็นพลับพลาของพระองค์
สดด 18.12 มีลูกเห็บและถ่านเพลิงแตกออกมาทะลุเมฆจากความสว่างสุกใสข้างหน้าพระองค์
สดด 36.5 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ความเมตตาของพระองค์อยู่ในฟ้าสวรรค์ ความสัตย์ซื่อของพระองค์ไปถึงเมฆ
สดด 57.10 เพราะความเมตตาของพระองค์ใหญ่ยิ่งถึงฟ้าสวรรค์ ความจริงของพระองค์สูงถึงเมฆ
สดด 68.4 จงร้องเพลงถวายพระเจ้า จงร้องเพลงสรรเสริญพระนามของพระองค์ จงยกย่องพระองค์ผู้ทรงเมฆเป็นพาหนะโดยพระนามของพระองค์คือพระเยโฮวาห์ จงลิงโลดต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์
สดด 77.17 เมฆเทน้ำลงมา ท้องฟ้าก็คะนองเสียง ลูกธนูของพระองค์ก็ปลิวไปปลิวมา
สดด 78.14 ในกลางวันพระองค์ทรงนำเขาด้วยเมฆ และด้วยแสงไฟคืนยังรุ่ง
สดด 78.23 พระองค์ยังทรงบัญชาเมฆเบื้องบน และทรงเปิดประตูฟ้าสวรรค์
สดด 97.2 เมฆและความมืดทึบอยู่รอบพระองค์ ความชอบธรรมและความยุติธรรมเป็นรากฐานแห่งบัลลังก์ของพระองค์
สดด 104.3 ผู้ทรงวางคานของที่ประทับอันสูงของพระองค์ไว้ในน้ำ ผู้ทรงใช้เมฆเป็นราชรถ ผู้ทรงดำเนินไปบนปีกของลม
สดด 105.39 พระองค์ทรงกางเมฆเป็นเครื่องกำบัง และไฟให้ความสว่างเวลากลางคืน
สดด 108.4 เพราะความเมตตาของพระองค์ใหญ่ยิ่งเหนือฟ้าสวรรค์ ความจริงของพระองค์สูงถึงเมฆ
สดด 135.7 พระองค์ทรงกระทำให้เมฆลอยขึ้นมาจากที่สุดปลายแผ่นดินโลก พระองค์ทรงกระทำฟ้าแลบให้แก่ฝนและทรงนำลมออกมาจากคลังของพระองค์
สดด 147.8 ผู้ทรงคลุมฟ้าสวรรค์ด้วยเมฆ ผู้ทรงเตรียมฝนให้แก่แผ่นดินโลก ผู้ทรงกระทำให้หญ้างอกบนภูเขา
สภษ 3.20 โดยความรู้ของพระองค์น้ำบาดาลก็ปะทุออกมา และเมฆก็หยาดน้ำค้างลงมา
สภษ 25.14 คนที่อวดว่าจะให้ของกำนัลแต่มิได้ให้ ก็เหมือนเมฆและลมที่ไม่มีฝน
ปญจ 11.3 ถ้าบรรดาเมฆมีฝนอยู่เต็ม มันก็จะเททั้งหมดลงมาบนแผ่นดินโลก และถ้าต้นไม้ล้มลงทางใต้หรือทางเหนือ มันล้มลงตรงไหน มันก็นอนอยู่ตรงนั้น
ปญจ 11.4 ผู้ใดเฝ้าสังเกตลมก็จะไม่หว่านพืช และผู้ที่มองเมฆก็จะไม่เก็บเกี่ยว
ปญจ 12.2 ก่อนที่ดวงอาทิตย์ แสงสว่าง ดวงจันทร์ และดวงดาวทั้งหลายอับแสง และก่อนที่เมฆกลับมาเมื่อหมดฝนแล้ว
อสย 4.5 และพระเยโฮวาห์จะทรงสร้างเมฆและควันเพื่อกลางวัน และแสงแห่งเปลวเพลิงเพื่อกลางคืนเหนือที่อยู่อาศัยทั้งสิ้นของภูเขาศิโยน และเหนือประชุมชนเมืองนั้น เพราะจะมีการป้องกันอยู่เหนือสง่าราศีทั่วสิ้น
อสย 5.6 เราจะกระทำมันให้เป็นที่ร้าง จะไม่มีใครลิดแขนงหรือพรวนดิน หนามย่อยหนามใหญ่ก็จะงอกขึ้น และเราจะบัญชาเมฆไม่ให้โปรยฝนรดมัน
อสย 14.14 ข้าจะขึ้นไปเหนือความสูงของเมฆ ข้าจะกระทำตัวของข้าเหมือนองค์ผู้สูงสุด’
อสย 18.4 เพราะพระเยโฮวาห์ตรัสแก่ข้าพเจ้าดังนี้ว่า “เราจะพักผ่อนและจะพิจารณาจากที่อาศัยของเรา เหมือนความร้อนที่กระจ่างอยู่บนผักหญ้า เหมือนอย่างเมฆแห่งน้ำค้างในความร้อนของฤดูเกี่ยว”
อสย 19.1 ภาระเกี่ยวกับอียิปต์ ดูเถิด พระเยโฮวาห์ทรงเมฆอันรวดเร็วและจะเสด็จมายังอียิปต์ ต่อพระพักตร์พระองค์ รูปเคารพแห่งอียิปต์จะสั่นสะเทือน และใจของคนอียิปต์จะละลายไปภายในตัวเขา
อสย 25.5 เหมือนความร้อนในที่แห้ง พระองค์จะทรงระงับเสียงของคนต่างด้าว ร่มเมฆระงับความร้อนฉันใด กิ่งของผู้ทารุณก็จะถูกตัดลงฉันนั้น
อสย 44.22 เราได้ลบล้างการละเมิดของเจ้าเสียเหมือนเมฆทึบ และลบล้างบาปของเจ้าเหมือนเมฆ จงกลับมาหาเรา เพราะเราได้ไถ่เจ้าแล้ว
อสย 60.8 เหล่านี้เป็นใครนะที่บินมาเหมือนเมฆ และเหมือนนกเขาไปยังหน้าต่างของมัน
ยรม 4.13 ดูเถิด เขาจะขึ้นมาเหมือนเมฆ รถรบของเขาจะเหมือนลมหมุน ม้าทั้งหลายของเขาเร็วยิ่งกว่านกอินทรี วิบัติแก่เราทั้งหลาย เพราะว่าเราจะต้องพินาศ
พคค 2.1 ด้วยพระพิโรธ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้เมฆบังธิดาของศิโยนหนอ พระองค์ได้ทรงเหวี่ยงสง่าราศีของอิสราเอลให้ตกลงจากฟ้าถึงดิน พระองค์มิได้ทรงระลึกถึงแท่นรองพระบาทของพระองค์เลยในยามที่พระองค์ทรงกริ้ว
พคค 3.44 พระองค์ทรงคลุมพระองค์ไว้เสียด้วยเมฆ เพื่อว่าการอธิษฐานของพวกข้าพระองค์จะไม่ทะลุไปถึงพระองค์ได้
อสค 1.4 ดูเถิด เมื่อข้าพเจ้ามองดู ลมหมุนก็พัดมาจากทางเหนือ มีเมฆก้อนใหญ่ที่มีความสว่างอยู่รอบ และมีไฟลุกวาบออกมาอยู่เสมอ ท่ามกลางไฟนั้นดูประหนึ่งทองสัมฤทธิ์ที่แวบวาบ ซึ่งออกมาจากท่ามกลางไฟนั้น
อสค 1.28 ลักษณะความสุกใสที่อยู่รอบนั้นเหมือนกับสัณฐานของรุ้งที่ปรากฏในเมฆในวันที่ฝนตก ลักษณะทรวดทรงแห่งสง่าราศีของพระเยโฮวาห์เป็นดังนี้แหละ และเมื่อข้าพเจ้าเห็นแล้ว ข้าพเจ้าก็ซบหน้าลงถึงดิน และข้าพเจ้าได้ยินเสียงท่านผู้หนึ่งตรัส
อสค 10.3 ฝ่ายเหล่าเครูบนั้นยืนที่ด้านขวาของพระนิเวศ ขณะเมื่อชายคนนั้นเข้าไป และเมฆก็คลุมอยู่เต็มลานชั้นใน
อสค 10.4 และสง่าราศีของพระเยโฮวาห์ก็ขึ้นจากเครูบไปยังธรณีประตูพระนิเวศ และพระนิเวศนั้นก็มีเมฆคลุมอยู่เต็ม และลานนั้นก็เต็มไปด้วยความสุกใสแห่งสง่าราศีของพระเยโฮวาห์
อสค 30.3 เพราะวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว วันแห่งพระเยโฮวาห์ใกล้เข้ามา จะเป็นวันมีเมฆ เป็นเวลาที่กำหนดของประชาชาติ
อสค 30.18 ที่เมืองทาปานเหสกลางวันจะมืดเมื่อเราทำลายแอกของอียิปต์ และอานุภาพอันผยองของเมืองนั้นจะสิ้นสุดลง จะมีเมฆมาคลุมเมืองนั้นไว้และเหล่าธิดาของเมืองนั้นจะตกไปเป็นเชลย
อสค 32.7 เมื่อเราดับท่าน เราจะคลุมฟ้าสวรรค์ไว้ และกระทำให้ดวงดาวมืดไป เราจะเอาเมฆบังดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์จะไม่ทอแสง
อสค 34.12 ดังผู้เลี้ยงแกะเที่ยวหาฝูงแกะในวันที่เขาอยู่ท่ามกลางแกะของเขาที่กระจัดกระจายไป เราจะเที่ยวหาแกะของเราดังนั้น และเราจะช่วยเขาให้พ้นจากสถานที่ทั้งหลายซึ่งเขาได้กระจัดกระจายไปอยู่ในวันมีเมฆและมีความมืดทึบ
อสค 38.9 เจ้าจะรุกออกไป มาเหมือนพายุ เจ้าจะเป็นเหมือนเมฆคลุมแผ่นดิน ทั้งเจ้าและกองทัพทั้งสิ้นของเจ้าและชนชาติทั้งหลายเป็นอันมากที่อยู่กับเจ้า
อสค 38.16 เจ้าจะมาต่อสู้อิสราเอลประชาชนของเรา เหมือนอย่างเมฆคลุมแผ่นดินในกาลภายหน้า เราจะนำเจ้ามาต่อสู้กับแผ่นดินของเรา เพื่อประชาชาติทั้งหลายจะรู้จักเรา โอ โกกเอ๋ย ในเมื่อเราสำแดงความบริสุทธิ์ของเราท่ามกลางเจ้าต่อหน้าต่อตาเขา
ดนล 7.13 ข้าพเจ้าเห็นในนิมิตกลางคืน และดูเถิด มีท่านผู้หนึ่งเหมือนบุตรมนุษย์มาพร้อมกับบรรดาเมฆในท้องฟ้า และท่านมาหาผู้เจริญด้วยวัยวุฒินั้น เขานำท่านมาเฝ้าต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์
ฮชย 6.4 โอ เอฟราอิมเอ๋ย เราจะทำอะไรกับเจ้าดี โอ ยูดาห์เอ๋ย เราจะทำอะไรกับเจ้าหนอ ความดีของเจ้าเหมือนเมฆในยามเช้า เหมือนอย่างน้ำค้างที่หายไปแต่เช้าตรู่
ยอล 2.2 เป็นวันแห่งความมืดและความมืดครึ้ม เป็นวันที่มีเมฆและความมืดทึบ ดุจแสงสว่างยามเช้าที่แผ่ปกคลุมไปทั่วภูเขาทั้งหลาย ประชาชนจำนวนมากและมีกำลังยิ่ง ตั้งแต่สมัยโบราณก็ไม่เคยมีเหมือนอย่างนี้ และตั้งแต่นี้ไปก็จะไม่มีอีกตลอดปีทั้งหลายชั่วอายุ
นฮม 1.3 พระเยโฮวาห์ทรงกริ้วช้า ทรงฤทธานุภาพใหญ่ยิ่ง พระองค์จะไม่ทรงงดโทษคนชั่วเลย พระมรรคาของพระเยโฮวาห์อยู่ในลมหมุนและพายุ และเมฆเป็นผงคลีแห่งพระบาทของพระองค์
ศฟย 1.15 วันนั้นเป็นวันแห่งพระพิโรธ เป็นวันแห่งความทุกข์ใจและความซึมเศร้า เป็นวันแห่งการทิ้งให้เสียเปล่าและการทิ้งให้รกร้าง เป็นวันแห่งความมืดและความอึมครึม เป็นวันแห่งเมฆหมอกและความมืดทึบ
ศคย 10.1 จงขอฝนจากพระเยโฮวาห์ในฤดูฝนชุกปลายฤดู ดังนั้นพระเยโฮวาห์จะทรงปั้นเมฆพายุ จะทรงประทานห่าฝนแก่มนุษย์ และผักในทุ่งนาแก่ทุกคน
มธ 17.5 เปโตรทูลยังไม่ทันขาดคำ ดูเถิด ก็บังเกิดมีเมฆสุกใสมาปกคลุมเขาไว้ แล้วดูเถิด มีพระสุรเสียงออกมาจากเมฆนั้นว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านผู้นี้มาก จงฟังท่านเถิด”
มธ 24.30 เมื่อนั้นหมายสำคัญแห่งบุตรมนุษย์จะปรากฏขึ้นในท้องฟ้า ‘มนุษย์ทุกตระกูลทั่วโลกจะไว้ทุกข์’ แล้วเขาจะเห็น ‘บุตรมนุษย์เสด็จมาบนเมฆในท้องฟ้า’ พร้อมด้วยฤทธานุภาพและสง่าราศีเป็นอันมาก
มธ 26.64 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ท่านว่าถูกแล้ว และยิ่งกว่านั้นอีก เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในเวลาเบื้องหน้านั้น ท่านทั้งหลายจะได้เห็นบุตรมนุษย์นั่งข้างขวาพระหัตถ์ของผู้ทรงฤทธานุภาพ และเสด็จมาบนเมฆแห่งฟ้าสวรรค์”
มก 9.7 แล้วมีเมฆมาปกคลุมเขาไว้ และมีพระสุรเสียงออกมาจากเมฆนั้นว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา จงฟังท่านเถิด”
มก 13.26 เมื่อนั้นเขาจะเห็น ‘บุตรมนุษย์เสด็จมาบนเมฆ’ ทรงฤทธานุภาพและสง่าราศีเป็นอันมาก
มก 14.62 พระเยซูทรงตอบว่า “เราเป็น และท่านทั้งหลายจะได้เห็นบุตรมนุษย์นั่งข้างขวาของผู้ทรงฤทธานุภาพ และเสด็จมาในเมฆแห่งฟ้าสวรรค์”
ลก 9.34 เมื่อเขากำลังพูดคำเหล่านี้ มีเมฆมาคลุมเขาไว้ และเมื่อเข้าอยู่ในเมฆนั้นเขาก็กลัว
ลก 9.35 มีพระสุรเสียงออกมาจากเมฆนั้นว่า “ผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา จงฟังท่านเถิด”
ลก 12.54 และพระองค์ตรัสกับประชาชนอีกว่า “เมื่อท่านทั้งหลายเห็นเมฆเกิดขึ้นในทิศตะวันตก ท่านก็กล่าวทันทีว่า ‘ฝนจะตก’ และก็เป็นอย่างนั้นจริง
ลก 21.27 เมื่อนั้นเขาจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในเมฆ ทรงฤทธานุภาพและสง่าราศีเป็นอันมาก
กจ 1.9 เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนั้นแล้ว ในขณะที่เขาทั้งหลายกำลังพินิจดู พระองค์ก็ถูกรับขึ้นไป และมีเมฆคลุมพระองค์ให้พ้นสายตาของเขา
1คร 10.1 พี่น้องทั้งหลาย ยิ่งกว่านี้ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทั้งหลายเข้าใจว่าบรรพบุรุษของเราทั้งสิ้นได้อยู่ใต้เมฆ และได้ผ่านทะเลไปทุกคน
1คร 10.2 ได้รับบัพติศมาในเมฆและในทะเลเข้าส่วนกับโมเสสทุกคน
1ธส 4.17 หลังจากนั้นเราทั้งหลายซึ่งยังเป็นอยู่และเหลืออยู่ จะถูกรับขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น เพื่อจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหละเราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์
2ปต 2.17 คนเหล่านี้เป็นบ่อที่ไร้น้ำ เป็นเมฆที่ถูกพายุพัดไป ทรงเตรียมหมอกแห่งความมืดทึบไว้แล้วสำหรับคนเหล่านั้นเป็นนิตย์
ยด 1.12 คนเหล่านี้เป็นรอยด่างในการประชุมเลี้ยงผูกรักของท่านทั้งหลาย ขณะเขาร่วมการเลี้ยงกับท่าน เขาเลี้ยงแต่ตนเองโดยไม่เกรงกลัวเลย เขาเป็นเมฆที่ปราศจากน้ำที่ถูกพัดลอยไปตามลม เป็นต้นไม้ที่ผลของมันเหี่ยวแห้งไปจึงไม่มีผลอยู่เลย และตายมาสองหนแล้ว เพราะถูกถอนออกทั้งราก
วว 1.7 ‘ดูเถิด พระองค์จะเสด็จมาในเมฆ และนัยน์ตาทุกดวงและคนเหล่านั้นที่ได้แทงพระองค์จะเห็นพระองค์ และมนุษย์ทุกชาติทั่วโลกจะร่ำไห้เพราะพระองค์’ จงเป็นไปอย่างนั้น เอเมน
วว 10.1 และข้าพเจ้าได้เห็นทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์มากอีกองค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ มีเมฆคลุมตัวท่าน และมีรุ้งบนศีรษะท่าน และหน้าท่านเหมือนดวงอาทิตย์ และเท้าท่านเหมือนเสาไฟ
วว 11.12 คนทั้งหลายได้ยินพระสุรเสียงดังมาจากสวรรค์ ตรัสแก่เขาว่า “จงขึ้นมาที่นี่เถิด” และพวกศัตรูก็เห็นเขาขึ้นไปในหมู่เมฆสู่สวรรค์
วว 14.14 ข้าพเจ้าได้แลเห็น และดูเถิด มีเมฆขาว และมีผู้หนึ่งประทับบนเมฆนั้นเหมือนกับบุตรมนุษย์ สวมมงกุฎทองคำบนพระเศียร และพระหัตถ์ถือเคียวอันคม
วว 14.15 และมีทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งออกมาจากพระวิหารร้องทูลพระองค์ ผู้ประทับบนเมฆนั้นด้วยเสียงอันดังว่า “จงใช้เคียวของพระองค์เกี่ยวไปเถิด เพราะว่าถึงเวลาที่พระองค์จะเกี่ยวแล้ว เพราะว่าผลที่จะต้องเก็บเกี่ยวในแผ่นดินโลกนั้นสุกแล้ว”
วว 14.16 และพระองค์ผู้ประทับบนเมฆนั้น ได้ทรงตวัดเคียวนั้นบนแผ่นดินโลก และแผ่นดินโลกก็ได้ถูกเกี่ยวแล้ว

เมฆฝน ( 1 )
สภษ 16.15 ในความผ่องใสจากสีพระพักตร์ของกษัตริย์ก็มีชีวิต และความโปรดปรานของพระองค์ก็เหมือนเมฆฝนปลายฤดู

เมชา ( 4 )
ปฐก 10.30 ที่อยู่อาศัยของพวกเขาเริ่มจากเมืองเมชาไปทางเสฟาร์เทือกเขาทางทิศตะวันออก
2พกษ 3.4 ฝ่ายเมชากษัตริย์แห่งโมอับทรงเป็นผู้ดำเนินกิจการเลี้ยงแกะ และพระองค์ต้องถวายลูกแกะหนึ่งแสนตัว และแกะผู้หนึ่งแสนตัวพร้อมกับขนของมันให้แก่กษัตริย์อิสราเอล
1พศด 2.42 บุตรชายของคาเลบน้องชายของเยราเมเอลชื่อ เมชาบุตรหัวปีของท่าน ผู้เป็นบิดาของศิฟ และบุตรชายของมาเรชาห์ ผู้เป็นบิดาของเฮโบรน
1พศด 8.9 เขาให้กำเนิดบุตรกับโฮเดชภรรยาของเขาคือ โยบับ ศิเบีย เมชา มัลคาม

เมชาค ( 15 )
ดนล 1.7 และท่านหัวหน้าขันทีจึงตั้งชื่อให้ใหม่ ดาเนียลนั้นให้เรียกว่าเบลเทชัสซาร์ ฮานันยาห์เรียกว่าชัดรัค มิชาเอลเรียกว่าเมชาค และอาซาริยาห์เรียกว่าเอเบดเนโก
ดนล 2.49 ดาเนียลก็กราบทูลขอต่อกษัตริย์และพระองค์ทรงตั้งให้ชัดรัค เมชาคและเอเบดเนโกเป็นผู้จัดราชการในเมืองบาบิโลน แต่ดาเนียลยังคงอยู่ในราชสำนัก
ดนล 3.12 มียิวบางคนที่พระองค์ได้แต่งตั้งให้จัดราชการในเมืองบาบิโลน คือชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก โอ ข้าแต่กษัตริย์ คนเหล่านี้ไม่เชื่อฟังพระองค์ เขามิได้ปฏิบัติพระของพระองค์ หรือนมัสการปฏิมากรทองคำซึ่งพระองค์ได้ทรงตั้งไว้”
ดนล 3.13 แล้วเนบูคัดเนสซาร์ก็ทรงกริ้วจัดและเดือดพล่าน มีรับสั่งให้นำตัวชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโกเข้ามา แล้วเขาก็นำคนเหล่านี้เข้ามาเฝ้ากษัตริย์
ดนล 3.14 เนบูคัดเนสซาร์ทรงกล่าวแก่เขาว่า “โอ ชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโกเอ๋ย เป็นความจริงหรือไม่ที่เจ้ามิได้ปรนนิบัติพระของเรา หรือนมัสการปฏิมากรทองคำซึ่งเราได้ตั้งไว้
ดนล 3.16 ชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโกกราบทูลกษัตริย์ว่า “โอ ข้าแต่เนบูคัดเนสซาร์ ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่จำเป็นจะต้องตอบพระองค์ในเรื่องนี้
ดนล 3.19 แล้วเนบูคัดเนสซาร์ทรงเกรี้ยวกราดยิ่งนัก พระพักตร์ของพระองค์ก็เปลี่ยนไปไม่พอพระทัยชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก พระองค์จึงรับสั่งให้ทำเตาไฟให้ร้อนกว่าที่เคยอีกเจ็ดเท่า
ดนล 3.20 และพระองค์รับสั่งให้บางคนที่มีกำลังมากที่สุดในกองทัพมามัดชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก และให้โยนเขาเข้าไปในเตาที่ไฟลุกอยู่
ดนล 3.22 ฉะนั้นเพราะว่าคำรับสั่งของกษัตริย์นั้นเข้มงวดมากและเตาไฟก็ร้อนจัด เปลวไฟจึงได้ฆ่าคนที่โยนชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก
ดนล 3.23 และชายทั้งสามนี้ คือชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโกก็ตกลงไปกลางเตาไฟที่ลุกอยู่ทั้งยังมัดอยู่
ดนล 3.26 แล้วเนบูคัดเนสซาร์เสด็จมาใกล้ประตูเตาที่ไฟลุกอยู่นั้น ทรงกล่าวว่า “ชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก ผู้รับใช้ของพระเจ้าสูงสุด จงออกมาเถิด จงมาที่นี่” แล้วชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโกก็เดินออกมาจากกลางไฟ
ดนล 3.28 เนบูคัดเนสซาร์ตรัสว่า “สาธุการแด่พระเจ้าของชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก ผู้ได้ส่งทูตสวรรค์ของพระองค์มาช่วยผู้รับใช้ของพระองค์ให้พ้น ผู้วางใจในพระองค์ กระทำให้พระบัญชาของกษัตริย์เหลวไป และยอมพลีร่างกายของเขาเสียดีกว่าที่จะปรนนิบัติและนมัสการพระอื่น นอกจากพระเจ้าของเขาเอง
ดนล 3.29 เพราะฉะนั้นเราจึงออกกฤษฎีกาว่า ชนชาติ ประชาชาติ หรือภาษาใดๆที่กล่าวมิดีมิร้ายต่อพระเจ้าของชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก จะถูกหั่นเป็นชิ้นๆ และบ้านเรือนของเขาจะต้องเป็นกองขยะ เพราะว่าไม่มีพระเจ้าอื่นที่จะสามารถช่วยให้พ้นในทางนี้ได้”
ดนล 3.30 แล้วกษัตริย์ได้ทรงเลื่อนยศให้ชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโกสูงขึ้นอีกในเมืองบาบิโลน

เมชิลเลมิท ( 1 )
1พศด 9.12 และอาดายาห์ ผู้เป็นบุตรชายเยโรฮัม ผู้เป็นบุตรชายปาชเฮอร์ ผู้เป็นบุตรชายมัลคิยาห์ และมาอาสัย ผู้เป็นบุตรชายอาดีเอล ผู้เป็นบุตรชายยาเซราห์ ผู้เป็นบุตรชายเมชุลลาม ผู้เป็นบุตรชายเมชิลเลมิท ผู้เป็นบุตรชายอิมเมอร์

เมชิลเลโมท ( 1 )
นหม 11.13 และพี่น้องของเขา ประมุขของบรรพบุรุษ มีสองร้อยสี่สิบสองคน และอามาชสัยบุตรชายอาซาเรล ผู้เป็นบุตรชายอัคซัย ผู้เป็นบุตรชายเมชิลเลโมท ผู้เป็นบุตรชายอิมเมอร์

เมชุลลัม ( 1 )
2พศด 34.12 และคนทั้งหลายก็ทำงานอย่างสัตย์ซื่อ ผู้คุมงานมียาหาทและโอบาดีห์คนเลวีลูกหลานของเมรารี และเศคาริยาห์กับเมชุลลัมลูกหลานของคนโคฮาทเป็นผู้ดูแล คนเลวีทุกคนที่ชำนาญเครื่องดนตรี

เมชุลลาม ( 24 )
2พกษ 22.3 และอยู่มาในปีที่สิบแปดแห่งรัชกาลกษัตริย์โยสิยาห์ กษัตริย์ทรงใช้ชาฟานบุตรชายอาซาลิยาห์ บุตรชายเมชุลลามราชเลขา ไปยังพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ รับสั่งว่า
1พศด 3.19 และบุตรชายของเปดายาห์คือ เศรุบบาเบลและชิเมอี และบุตรชายของเศรุบบาเบลคือ เมชุลลาม ฮานันยาห์ และน้องสาวของเขาชื่อเชโลมิท
1พศด 5.13 และวงศ์ญาติของเขาตามเรือนบรรพบุรุษของเขา คือมีคาเอล เมชุลลาม เชบา โยรัย ยาคาน ศิอา และเอเบอร์ เจ็ดคนด้วยกัน
1พศด 8.17 เศบาดิยาห์ เมชุลลาม ฮิสคี เฮเบอร์
1พศด 9.7 จากลูกหลานของเบนยามินคือ สัลลู ผู้เป็นบุตรชายเมชุลลาม ผู้เป็นบุตรชายโฮดาวิยาห์ ผู้เป็นบุตรชายหัสเสนูอาห์
1พศด 9.8 อิบเนยาห์บุตรชายเยโรฮัม เอลาห์บุตรชายอุสซี ผู้เป็นบุตรชายมิครี และเมชุลลามบุตรชายเชฟาทิยาห์ ผู้เป็นบุตรชายเรอูเอล ผู้เป็นบุตรชายอิบนียาห์
1พศด 9.11 และอาซาริยาห์ ผู้เป็นบุตรชายฮิลคียาห์ ผู้เป็นบุตรชายเมชุลลาม ผู้เป็นบุตรชายศาโดก ผู้เป็นบุตรชายเมราโยท ผู้เป็นบุตรชายอาหิทูบ เจ้าหน้าที่ปกครองของพระนิเวศแห่งพระเจ้า
1พศด 9.12 และอาดายาห์ ผู้เป็นบุตรชายเยโรฮัม ผู้เป็นบุตรชายปาชเฮอร์ ผู้เป็นบุตรชายมัลคิยาห์ และมาอาสัย ผู้เป็นบุตรชายอาดีเอล ผู้เป็นบุตรชายยาเซราห์ ผู้เป็นบุตรชายเมชุลลาม ผู้เป็นบุตรชายเมชิลเลมิท ผู้เป็นบุตรชายอิมเมอร์
อสร 8.16 แล้วข้าพเจ้าจึงให้ไปเรียกเอลีเยเซอร์ อารีเอล เชไมยาห์ เอลนาธัน ยารีบ เอลนาธัน นาธัน เศคาริยาห์ และเมชุลลาม บุคคลชั้นหัวหน้า และให้หาโยยาริบ และเอลนาธัน ผู้เป็นคนมีความเข้าใจ
อสร 10.15 โยนาธานบุตรชายอาสาเฮล และยาไซอาห์บุตรชายทิกวาห์ เท่านั้นที่คัดค้านเรื่องนี้ และเมชุลลามกับชับเบธัย คนเลวีสนับสนุนเขาทั้งสอง
อสร 10.29 จากคนบานี มี เมชุลลาม มัลลูค อาดายาห์ ยาชูบ เชอัล และเยรีโมท
นหม 3.4 ถัดเขาไปเมเรโมทบุตรชายอุรีอาห์ ผู้เป็นบุตรชายฮักโขสได้ซ่อมแซม และถัดเขาไปเมชุลลามบุตรชายเบเรคิยาห์ ผู้เป็นบุตรชายเมเชซาเบลได้ซ่อมแซม และถัดเขาไปซาโดกบุตรชายบาอานาได้ซ่อมแซม
นหม 3.6 และเยโฮยาดาบุตรชายปาเสอาห์ และเมชุลลามบุตรชายเบโสไดอาห์ได้ซ่อมแซมประตูเก่า เขาวางวงกบและตั้งบานประตู ติดลูกสลักและดาลประตู
นหม 3.30 ถัดเขาไป ฮานันยาห์บุตรชายเชเลมิยาห์ และฮานูนบุตรชายคนที่หกของศาลาฟ ได้ซ่อมแซมอีกส่วนหนึ่ง ถัดเขาไปคือ เมชุลลามบุตรชายเบเรคิยาห์ ได้ซ่อมแซมตรงข้ามกับห้องของเขา
นหม 6.18 เพราะมีหลายคนในยูดาห์ได้ผูกพันกับเขาไว้ด้วยคำปฏิญาณ เพราะเขาเป็นบุตรเขยของเชคานิยาห์ ผู้เป็นบุตรชายอาราห์ และโยฮานันบุตรชายของเขาก็ได้รับบุตรสาวของเมชุลลาม ผู้เป็นบุตรชายเบเรคิยาห์เป็นภรรยาของตน
นหม 8.4 เอสราธรรมาจารย์ยืนอยู่บนแท่นไม้ ซึ่งเขาทำไว้เพื่อการนี้ ข้างๆท่านมีมัททีธิยาห์ เชมา อานายาห์ อุรีอาห์ ฮิลคียาห์และมาอาสอาห์ยืนอยู่ข้างขวามือของท่าน กับมีเปดายาห์ มิชาเอล มัลคิยาห์ ฮาชูม ฮัชบัดดานาห์ เศคาริยาห์และเมชุลลามอยู่ข้างซ้ายมือของท่าน
นหม 10.7 เมชุลลาม อาบียาห์ มิยามิน
นหม 10.20 มักปีอาช เมชุลลาม เฮซีร์
นหม 11.7 และต่อไปนี้เป็นคนเบนยามิน คือสัลลูบุตรชายเมชุลลาม ผู้เป็นบุตรชายโยเอด ผู้เป็นบุตรชายเปดายาห์ ผู้เป็นบุตรชายโคลายาห์ ผู้เป็นบุตรชายมาอาเสอาห์ ผู้เป็นบุตรชายอิธีเอล ผู้เป็นบุตรชายเยชายาห์
นหม 11.11 เสไรยาห์บุตรชายฮิลคียาห์ ผู้เป็นบุตรชายเมชุลลาม ผู้เป็นบุตรชายศาโดก ผู้เป็นบุตรชายเมราโยท ผู้เป็นบุตรชายอาหิทูบ ผู้ปกครองพระนิเวศของพระเจ้า
นหม 12.13 ของคนเอสรามี เมชุลลาม ของคนอามาริยาห์มี เยโฮฮานัน
นหม 12.16 ของคนอิดโดมี เศคาริยาห์ ของคนกินเนโธนมี เมชุลลาม
นหม 12.25 มัทธานิยาห์ บัคบูคิยาห์ โอบาดีห์ เมชุลลาม ทัลโมน และอักขูบ เป็นคนเฝ้าประตู ยืนเฝ้าอยู่ที่โรงพัสดุของประตู
นหม 12.33 กับอาซาริยาห์ เอสรา เมชุลลาม

เมชุลเลเมท ( 1 )
2พกษ 21.19 อาโมนมีพระชนมายุยี่สิบสองพรรษาเมื่อพระองค์เริ่มครอบครอง และพระองค์ทรงครอบครองในกรุงเยรูซาเล็มสองปี พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่าเมชุลเลเมทบุตรสาวของฮารูสชาวโยทบาห์

เมเชค ( 8 )
ปฐก 10.2 บุตรชายทั้งหลายของยาเฟทชื่อโกเมอร์ มาโกก มีเดีย ยาวาน ทูบัล เมเชค และทิราส
1พศด 1.5 บุตรชายทั้งหลายของยาเฟท ชื่อ โกเมอร์ มาโกก มีเดีย ยาวาน ทูบัล เมเชค และทิราส
1พศด 1.17 บุตรชายทั้งหลายของเชม ชื่อ เอลาม อัสชูร อารฟัคชาด ลูด อารัม อูส ฮุล เกเธอร์ และเมเชค
อสค 27.13 เมืองยาวาน ทูบัลและเมเชค ค้าขายกับเจ้า เขาแลกเปลี่ยนคนและภาชนะทองสัมฤทธิ์กับสินค้าของเจ้า
อสค 32.26 เมเชคกับทูบัลก็อยู่ที่นั่น ทั้งหมู่นิกรทั้งสิ้นของเธอ หลุมศพของเธอทั้งสองอยู่รอบเขา เป็นผู้ที่ไม่เข้าสุหนัตทุกคน ถูกฆ่าด้วยดาบ เพราะเขาให้เกิดความครั่นคร้ามในแผ่นดินของคนเป็น
อสค 38.2 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงมุ่งหน้าของเจ้าต่อสู้โกกแห่งแผ่นดินมาโกก เจ้าองค์สำคัญของเมเชคและทูบัล และจงพยากรณ์กล่าวโทษเขา
อสค 38.3 จงกล่าวว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด โอ โกกเอ๋ย เราเป็นปฏิปักษ์กับเจ้า ผู้เป็นเจ้าองค์สำคัญแห่งเมเชคและทูบัล
อสค 39.1 “เพราะฉะนั้น เจ้า บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงพยากรณ์กล่าวโทษโกก และกล่าวว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด โอ โกกเอ๋ย เราเป็นปฏิปักษ์กับเจ้า ผู้เป็นเจ้าองค์สำคัญแห่งเมเชคและทูบัล

เมเชซาเบล ( 3 )
นหม 3.4 ถัดเขาไปเมเรโมทบุตรชายอุรีอาห์ ผู้เป็นบุตรชายฮักโขสได้ซ่อมแซม และถัดเขาไปเมชุลลามบุตรชายเบเรคิยาห์ ผู้เป็นบุตรชายเมเชซาเบลได้ซ่อมแซม และถัดเขาไปซาโดกบุตรชายบาอานาได้ซ่อมแซม
นหม 10.21 เมเชซาเบล ศาโดก ยาดดูวา
นหม 11.24 และเปธาหิยาห์บุตรชายเมเชซาเบล คนเศ-ราห์ บุตรชายยูดาห์เป็นสนองโอษฐ์ของกษัตริย์ในเรื่องกิจการต่างๆอันเกี่ยวกับประชาชน

เมเชเลมิยาห์ ( 4 )
1พศด 9.21 เศคาริยาห์ บุตรชายเมเชเลมิยาห์ เป็นผู้เฝ้าทางเข้าประตูพลับพลาแห่งชุมนุม
1พศด 26.1 ฝ่ายกองเวรเฝ้าประตู จากคนโคราห์มี เมเชเลมิยาห์บุตรชายโคเร เป็นลูกหลานของอาสาฟ
1พศด 26.2 และเมเชเลมิยาห์มีบุตรชายคือ เศคาริยาห์ บุตรหัวปี เยดียาเอล ที่สอง เศบาดิยาห์ ที่สาม ยาทนีเอล ที่สี่
1พศด 26.9 และเมเชเลมิยาห์มีบุตรชายและพี่น้องเป็นคนมีกำลังสิบแปดคน

เมโชบับ ( 1 )
1พศด 4.34 เมโชบับ ยัมเลค โยชาห์บุตรชายอามาซิยาห์

เมซาหับ ( 2 )
ปฐก 36.39 เมื่อบาอัลฮานันบุตรชายอัคโบร์สิ้นพระชนม์แล้ว ฮาดาร์ขึ้นครอบครองแทน เมืองหลวงของท่านชื่อปาอู และมเหสีของท่านมีพระนามว่า เมเหทาเบล ธิดาของมัทเรด ธิดาของเมซาหับ
1พศด 1.50 เมื่อบาอัลฮานันสิ้นพระชนม์แล้ว ฮาดัดขึ้นครอบครองแทน เมืองหลวงของท่านชื่อปาอี และมเหสีของท่านมีพระนามว่า เมเหทาเบล ธิดาของมัทเรด ธิดาของเมซาหับ

เมซิลเลโมท ( 1 )
2พศด 28.12 บางคนในหัวหน้าคนเอฟราอิมคือ อาซาริยาห์บุตรชายโยฮานัน เบเรคิยาห์บุตรชายเมซิลเลโมท เยฮิสคียาห์บุตรชายชัลลูมและอามาสาบุตรชายหัดลัย ได้ยืนขึ้นขัดขวางบรรดาผู้ที่กลับมาจากสงคราม

เม็ด ( 11 )
อพย 16.14 เมื่อน้ำค้างระเหยไปแล้ว ดูเถิด สิ่งหนึ่งเหมือนเกล็ดเล็กๆเท่าเม็ดน้ำค้างแข็งอยู่ที่พื้นดินในถิ่นทุรกันดารนั้น
อพย 16.31 เหล่าวงศ์วานของอิสราเอลเรียกชื่ออาหารนั้นว่า มานา เป็นเม็ดขาวเหมือนเมล็ดผักชี มีรสเหมือนขนมแผ่นประสมน้ำผึ้ง
พบญ 32.2 ขอให้คำสอนของข้าพเจ้าหยดลงอย่างเม็ดฝน และคำปราศรัยของข้าพเจ้ากลั่นตัวลงอย่างน้ำค้าง อย่างฝนตกปรอยๆอยู่เหนือหญ้าอ่อน อย่างห่าฝนตกลงเหนือผักสด
พซม 7.1 โอ แม่ธิดาของจ้าว เท้าสวมรองเท้าผูกของเธอนั้นนวยนาดนี่กระไร ตะโพกของเธอกลมดิกราวกับเม็ดเพชรที่มือช่างผู้ชำนาญได้เจียระไนไว้
อสค 16.12 เราเอาเพชรพลอยเม็ดหนึ่งใส่หน้าผากเจ้า และใส่ตุ้มหูที่หูของเจ้า และสวมมงกุฎงามไว้บนศีรษะของเจ้า
อมส 9.9 “เพราะว่า ดูเถิด เราจะบัญชาและจะสั่นวงศ์วานอิสราเอลท่ามกลางประชาชาติทั้งหลายอย่างกับสั่นตะแกรง แต่ไม่มีเม็ดใดสักเม็ดเดียวที่ตกลงถึงดิน
มธ 13.46 ซึ่งเมื่อได้พบไข่มุกเม็ดหนึ่งมีค่ามาก ก็ไปขายสิ่งสารพัดซึ่งเขามีอยู่ ไปซื้อไข่มุกนั้น
ลก 22.44 เมื่อพระองค์ทรงเป็นทุกข์มากนักพระองค์ยิ่งปลงพระทัยอธิษฐาน พระเสโทของพระองค์เป็นเหมือนโลหิตไหลหยดลงถึงดินเป็นเม็ดใหญ่
วว 21.21 ประตูทั้งสิบสองประตูนั้นเป็นไข่มุกสิบสองเม็ด ประตูละเม็ด และถนนในเมืองนั้นเป็นทองคำบริสุทธิ์ ใสราวกับแก้ว

เม็ดทราย ( 19 )
ปฐก 22.17 เราจะอวยพรเจ้าแน่ เราจะทวีเชื้อสายของเจ้าให้มากขึ้น ดังดวงดาวในท้องฟ้า และดังเม็ดทรายบนฝั่งทะเล เชื้อสายของเจ้าจะได้ประตูเมืองศัตรูของเจ้าเป็นกรรมสิทธิ์
ปฐก 32.12 แต่พระองค์ตรัสไว้แล้วว่า ‘เราจะกระทำการดีแก่เจ้า และทำให้เชื้อสายของเจ้าดุจเม็ดทรายที่ทะเล ซึ่งจะมากมายจนนับไม่ถ้วน’”
ปฐก 41.49 โยเซฟสะสมข้าวไว้ดุจเม็ดทรายในทะเลมากมายจนต้องหยุดคิดบัญชี เพราะนับไม่ถ้วน
ยชว 11.4 กษัตริย์เหล่านี้ก็ยกออกมากับบรรดาพลโยธาเป็นกองทัพมหึมา มีจำนวนดังเม็ดทรายที่ชายทะเล มีม้าและรถรบมากมายด้วย
วนฉ 7.12 ฝ่ายคนมีเดียน และคนอามาเลข กับบรรดาชาวตะวันออก นอนอยู่ตามหุบเขาเหมือนตั๊กแตนเป็นฝูงๆ ฝูงอูฐของเขาก็นับไม่ถ้วน มากดุจเม็ดทรายที่ฝั่งทะเล
1ซมอ 13.5 และคนฟีลิสเตียชุมนุมกันเพื่อจะต่อสู้คนอิสราเอล มีรถรบสามหมื่น และพลม้าหกพัน และกองทหารนั้นก็มากมายเหมือนเม็ดทรายที่ฝั่งทะเล เขาก็ยกขึ้นมาตั้งค่ายอยู่ที่มิคมาช ทางตะวันออกของเบธาเวน
2ซมอ 17.11 แต่คำปรึกษาของข้าพระองค์มีว่า ขอพระองค์รวบรวมอิสราเอลทั้งสิ้นตั้งแต่ดานถึงเบเออร์เชบา ให้มากมายดั่งเม็ดทรายที่ทะเล แล้วพระองค์ก็เสด็จคุมทัพไปเอง
1พกษ 4.20 คนยูดาห์และคนอิสราเอลนั้นมีจำนวนมากมายดังเม็ดทรายชายทะเล เขาทั้งหลายกินและดื่มและมีจิตใจเบิกบาน
1พกษ 4.29 และพระเจ้าทรงประทานสติปัญญาและความเข้าใจแก่ซาโลมอนอย่างเหลือประมาณ ทั้งพระทัยอันกว้างขวางดุจเม็ดทรายที่ชายทะเล
สดด 78.27 พระองค์ทรงหลั่งเนื้อให้เขาอย่างผงคลี คือนก ดังเม็ดทรายในทะเล
สดด 139.18 ถ้าข้าพระองค์จะนับก็มากกว่าเม็ดทราย เมื่อข้าพระองค์ตื่นขึ้น ข้าพระองค์ก็ยังอยู่กับพระองค์
อสย 10.22 อิสราเอลเอ๋ย เพราะแม้ว่าชนชาติของเจ้าจะเป็นดั่งเม็ดทรายในทะเล คนที่เหลืออยู่เท่านั้นจะกลับมา การเผาผลาญซึ่งกำหนดไว้แล้วจะล้นหลามไปด้วยความชอบธรรม
อสย 48.19 เชื้อสายของเจ้าจะเป็นเหมือนทรายเช่นกัน และลูกหลานจากบั้นเอวของเจ้าเหมือนเม็ดทราย ชื่อของเขาจะไม่ถูกตัดออกเลย หรือถูกทำลายเสียจากหน้าเรา”
ยรม 15.8 เรากระทำให้หญิงม่ายของเขามีมาก ยิ่งกว่าเม็ดทรายในทะเล ณ เวลาเที่ยงวัน เราได้นำผู้ทำลายมาสู่บรรดาแม่ของคนหนุ่มทั้งหลาย เราได้กระทำให้ความสยดสยองตกเหนือกรุงนั้นโดยฉับพลัน
ยรม 33.22 บริวารของฟ้าสวรรค์จะนับไม่ได้ และเม็ดทรายที่ทะเลก็ตวงไม่ได้ฉันใด เราก็จะให้เชื้อสายของดาวิดผู้รับใช้ของเราและคนเลวีผู้ปรนนิบัติของเราทวีมากขึ้นฉันนั้น”
ฮชย 1.10 แต่จำนวนประชาชนอิสราเอลจะมากมายเหมือนเม็ดทรายในทะเล ซึ่งจะตวงหรือนับไม่ถ้วน และต่อมาในสถานที่ซึ่งทรงกล่าวแก่เขาว่า “เจ้าทั้งหลายไม่ใช่ประชาชนของเรา” ก็จะกล่าวแก่เขาว่า “เจ้าทั้งหลายเป็นบุตรชายของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่”
รม 9.27 และท่านอิสยาห์ได้ร้องประกาศเรื่องพวกอิสราเอลด้วยว่า ‘แม้พวกลูกอิสราเอลจะมากเหมือนเม็ดทรายที่ทะเล แต่คนที่เหลืออยู่เท่านั้นจะรอด
ฮบ 11.12 เหตุฉะนั้น คนเป็นอันมากดุจดาวในท้องฟ้า และดุจเม็ดทรายที่ทะเลซึ่งนับไม่ได้ได้บังเกิดแต่ชายคนเดียว และชายคนนั้นก็เท่ากับคนที่ตายแล้วด้วย
วว 20.8 และมันจะออกไปล่อลวงบรรดาประชาชาติทั้งสี่ทิศของแผ่นดินโลก คือโกกและมาโกก ให้คนมาชุมนุมกันทำศึกสงคราม จำนวนคนเหล่านั้นมากมายดุจเม็ดทรายที่ทะเล

เมดาด ( 2 )
กดว 11.26 ยังมีสองคนที่อยู่ในค่าย คนหนึ่งชื่อเอลดาด อีกคนหนึ่งชื่อเมดาด และวิญญาณอยู่บนเขา เขาเป็นคนที่ได้ลงทะเบียนไว้ แต่ไม่ได้มาที่พลับพลา เขาพยากรณ์ในค่าย
กดว 11.27 มีชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาบอกโมเสสว่า “เอลดาดและเมดาดกำลังพยากรณ์อยู่ในค่าย”

เมดาน ( 2 )
ปฐก 25.2 นางก็คลอดบุตรให้แก่ท่านชื่อศิมราน โยกชาน เมดาน มีเดียน อิชบากและชูอาห์
1พศด 1.32 บุตรชายทั้งหลายของนางเคทูราห์ภรรยาน้อยของอับราฮัม คือ นางให้กำเนิดบุตรชื่อศิมราน โยกชาน เมดาน มีเดียน อิชบาก และชูอาห์ และบุตรชายของโยกชาน ชื่อ เชบาและเดดาน

เมเดบา ( 5 )
กดว 21.30 เราทั้งหลายได้ยิงเขาทั้งปวง เฮชโบนพินาศจนถึงดีโบน เราได้กวาดล้างถึงโนฟาห์เสียคือถึงเมเดบา”
ยชว 13.9 ตั้งแต่อาโรเออร์ ซึ่งอยู่ริมลุ่มแม่น้ำอารโนน และเมืองที่อยู่กลางลุ่มแม่น้ำนี้ และที่ราบเมเดบาตลอดจนถึงดีโบน
ยชว 13.16 ดังนั้นเขตแดนของเขาจึงตั้งแต่อาโรเออร์ซึ่งอยู่ริมลุ่มแม่น้ำอารโนนและเมืองซึ่งอยู่กลางลุ่มแม่น้ำนั้นและที่ราบเมืองเมเดบาทั้งสิ้น
1พศด 19.7 เขาได้จ้างรถรบสามหมื่นสองพันคันและกษัตริย์แห่งเมืองมาอาคาห์กับกองทัพของท่าน ผู้ซึ่งมาตั้งค่ายอยู่ที่หน้าเมืองเมเดบา และคนอัมโมนก็รวบรวมกันมาจากหัวเมืองของเขาทั้งหลาย และมาทำสงคราม
อสย 15.2 เขาได้ขึ้นไปยังบายิทและดีโบน ไปยังปูชนียสถานสูงเพื่อจะร่ำไห้ โมอับจะคร่ำครวญถึงเนโบและถึงเมเดบา ศีรษะทุกศีรษะจะโล้น และหนวดเคราทุกคนก็ถูกโกนออกเสีย

เมตตา ( 56 )
ปฐก 43.29 โยเซฟเงยหน้าดูเห็นเบนยามินน้องชายมารดาเดียวกัน แล้วถามว่า “คนนี้เป็นน้องชายสุดท้องที่พวกเจ้าบอกแก่เราครั้งก่อนหรือ” โยเซฟกล่าวว่า “ลูกเอ๋ย ขอให้พระเจ้าทรงเมตตาแก่เจ้า”
อพย 33.19 พระองค์จึงตรัสตอบว่า “เราจะให้คุณความดีของเราประจักษ์แจ้งต่อหน้าเจ้า และเราจะประกาศนามของเราคือ เยโฮวาห์ ให้ประจักษ์ต่อหน้าเจ้า เราประสงค์จะโปรดปรานผู้ใด เราก็จะโปรดปรานผู้นั้น และเราประสงค์จะเมตตาแก่ผู้ใด เราก็จะเมตตาผู้นั้น”
พบญ 7.16 พวกท่านจงทำลายชนชาติทั้งหลายซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพวกท่านจะทรงมอบให้ท่าน อย่าให้นัยน์ตาของท่านมีเมตตาต่อเขาเลย พวกท่านอย่าปฏิบัติพระของเขา เพราะการอย่างนั้นจะเป็นบ่วงดักท่านทั้งหลาย
พบญ 13.8 ท่านอย่ายอมตามหรือเชื่อฟังเขา อย่าให้นัยน์ตาของท่านเมตตาปรานีเขา ท่านอย่าไว้ชีวิตเขา หรืออย่าซ่อนเขาไว้เลย
พบญ 13.17 อย่าให้ของต้องห้ามนั้นมาติดพันมือของท่าน เพื่อว่าพระเยโฮวาห์จะทรงหันจากพระพิโรธยิ่งของพระองค์ และทรงสำแดงพระกรุณาคุณต่อท่าน และทรงเมตตาท่าน ให้ท่านทวีมากขึ้น ดังที่พระองค์ปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของท่านนั้น
พบญ 19.13 อย่าให้นัยน์ตาของท่านเมตตาสงสารเขาเลย แต่ท่านจงกำจัดความผิดอันเนื่องจากโลหิตที่ไร้ความผิดนั้นให้สิ้นไปจากอิสราเอล เพื่อท่านทั้งหลายจะได้ไปดีมาดี
พบญ 19.21 อย่าให้นัยน์ตาของท่านเมตตาสงสาร ควรให้ชีวิตแทนชีวิต ตาแทนตา ฟันแทนฟัน มือแทนมือ เท้าแทนเท้า”
พบญ 32.36 เพราะพระเยโฮวาห์จะทรงพิพากษาประชาชนของพระองค์ และทรงเมตตาปรานีต่อผู้รับใช้ของพระองค์ เมื่อทอดพระเนตรกำลังของเขาสิ้นลง ไม่มีใครยังอยู่หรือเหลืออยู่
พบญ 32.43 โอ ประชาชาติทั้งหลาย จงชื่นชมยินดีกับประชาชนของพระองค์ เพราะพระองค์จะแก้แค้นโลหิตแห่งพวกผู้รับใช้ของพระองค์แล้ว และจะทรงทำการแก้แค้นศัตรูของพระองค์ และจะทรงเมตตาปรานีทั้งแผ่นดินและประชาชนของพระองค์”
วนฉ 19.3 สามีของนางก็ลุกขึ้นไปตามนาง เพื่อไปพูดกับนางด้วยจิตเมตตาและจะพานางกลับ เขาพาคนใช้คนหนึ่งและลาคู่หนึ่งไปด้วย นางพาเขาเข้าในบ้านบิดาของนาง เมื่อบิดาของผู้หญิงเห็นเข้าก็มีความยินดีต้อนรับเขา
นรธ 1.8 แต่นาโอมีกล่าวแก่บุตรสะใภ้ทั้งสองของนางว่า “ไปเถิด ขอให้ต่างคนต่างกลับไปบ้านมารดาของตน ขอพระเยโฮวาห์ทรงพระเมตตาต่อเจ้าทั้งสอง ดังที่เจ้าได้เมตตาต่อผู้ที่ตายไปแล้วและต่อแม่
2ซมอ 12.6 และจะต้องคืนแกะให้สี่เท่า เพราะเขาได้กระทำอย่างนี้ และเพราะว่าเขาไม่มีเมตตาจิต”
1พกษ 8.50 และขอทรงประทานอภัยแก่ประชาชนของพระองค์ผู้ได้กระทำบาปต่อพระองค์ และทรงประทานอภัยต่อการละเมิดทั้งหลายของเขา ซึ่งเขาได้กระทำต่อพระองค์ และให้เขาเป็นที่เมตตาของคนเหล่านั้นที่จับเขาทั้งหลายไปเป็นเชลย เพื่อเขาทั้งหลายจะได้รับความเมตตาจากเขา
1พกษ 20.31 และข้าราชการของท่านมาทูลว่า “ดูเถิด เราได้ยินว่ากษัตริย์แห่งวงศ์วานอิสราเอลเป็นกษัตริย์ที่ทรงเมตตา ขอให้เราเอาผ้ากระสอบคาดเอว และเอาเชือกพันศีรษะของเรา และออกไปหากษัตริย์แห่งอิสราเอล ชะรอยท่านจะไว้ชีวิตของพระองค์”
2พกษ 13.23 แต่พระเยโฮวาห์ทรงพระกรุณาต่อเขา และทรงเมตตาเขา และพระองค์ทรงหันมาทางเขาเพราะพันธสัญญาของพระองค์กับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ และจะไม่ทรงทำลายเขาหรือทอดทิ้งเขาเสียให้พ้นพระพักตร์จนบัดนี้
2พศด 10.7 เขาทั้งหลายทูลพระองค์ว่า “ถ้าพระองค์ทรงเมตตาแก่ประชาชนนี้และให้เขาพอใจ และตรัสตอบคำดีแก่เขา เขาทั้งหลายจะเป็นผู้รับใช้ของพระองค์เป็นนิตย์”
นหม 9.17 เขาทั้งหลายปฏิเสธไม่เชื่อฟัง และไม่เอาใจใส่ในการมหัศจรรย์ซึ่งพระองค์ทรงประกอบขึ้นท่ามกลางเขา แต่เขาแข็งคอของเขา และในการกบฏนั้นได้แต่งตั้งหัวหน้าเพื่อจะกลับไปสู่ความเป็นทาสเขา แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าพร้อมที่จะทรงให้อภัย มีพระทัยเมตตาและกรุณา ทรงพระพิโรธช้า และทรงอุดมด้วยความเมตตา และมิได้ทรงละทิ้งเขาทั้งหลาย
สดด 4.1 โอ ข้าแต่พระเจ้าแห่งความชอบธรรมของข้าพระองค์ ขอทรงโปรดสดับเมื่อข้าพระองค์ร้องทูล เมื่อข้าพระองค์จนตรอก พระองค์ทรงประทานช่องทางให้ ขอทรงเมตตาแก่ข้าพระองค์และทรงฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์
สดด 56.1 โอ ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเมตตาข้าพระองค์ เพราะมนุษย์จะกลืนข้าพระองค์เสีย เขาต่อสู้และบีบบังคับข้าพระองค์วันยังค่ำ
สดด 59.5 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าจอมโยธา พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของอิสราเอล ขอทรงตื่นขึ้นลงโทษบรรดาประชาชาติ ขออย่าทรงเมตตาผู้ละเมิดที่คิดร้ายแม้สักคนเดียว เซลาห์
สดด 86.16 โอ ขอทรงหันมาเมตตาข้าพระองค์ ขอประทานกำลังแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ และขอทรงช่วยชีวิตบุตรชายของหญิงคนใช้ของพระองค์
สดด 102.13 พระองค์จะทรงลุกขึ้นเมตตาศิโยน เพราะถึงเวลาที่จะทรงพระกรุณาเธอ เออ เวลากำหนดมาถึงแล้ว
อสย 30.18 เพราะฉะนั้นพระเยโฮวาห์ทรงคอยที่จะทรงพระกรุณาเจ้าทั้งหลาย เพราะฉะนั้นพระองค์จึงทรงเป็นที่ยกย่องเพื่อจะเมตตาเจ้า เพราะพระเยโฮวาห์เป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม บรรดาผู้ที่คอยท่าพระองค์จะได้รับพระพร
อสย 30.19 เพราะประชาชนจะอาศัยในศิโยน ณ เยรูซาเล็ม เจ้าจะไม่ร้องไห้อีกต่อไป เมื่อได้ยินเสียงเจ้าร้องทูล พระองค์จะทรงเมตตาต่อเจ้า เมื่อพระองค์ทรงได้ยิน พระองค์จะทรงตอบเจ้า
อสย 49.10 เขาทั้งหลายจะไม่หิวหรือกระหาย ความร้อนหรือดวงอาทิตย์จะไม่ทำลายเขา เพราะพระองค์ซึ่งเมตตาเขาจะทรงนำเขาไป และจะนำเขาไปตามน้ำพุ
อสย 49.13 โอ ฟ้าสวรรค์เอ๋ย จงร้องเพลง โอ แผ่นดินโลกเอ๋ย จงลิงโลดเถิด โอ ภูเขาเอ๋ย จงเปรมปรีดิ์ร้องเพลง เพราะพระเยโฮวาห์ได้ทรงเล้าโลมชนชาติของพระองค์แล้ว และจะทรงเมตตาแก่คนของพระองค์ ผู้ที่ถูกข่มใจ
อสย 49.15 “ผู้หญิงจะลืมบุตรที่ยังกินนมของนาง และจะไม่เมตตาบุตรชายจากครรภ์ของนางได้หรือ แม้ว่าคนเหล่านี้ยังลืมได้ กระนั้นเราก็จะไม่ลืมเจ้า
อสย 55.7 ให้คนชั่วละทิ้งทางของเขา และคนไม่ชอบธรรมสละความคิดของเขา ให้เขากลับยังพระเยโฮวาห์ เพื่อพระองค์จะทรงเมตตาเขา และยังพระเจ้าของเรา เพราะพระองค์จะทรงอภัยอย่างล้นเหลือ
ยรม 13.14 และพระเยโฮวาห์ตรัสว่า เราจะเหวี่ยงเขาทั้งหลายให้ชนกันและกัน พวกพ่อก็ชนพวกลูก เราจะไม่สงสาร หรือไม่ไว้ชีวิต หรือไม่เมตตา แต่เราจะทำลายเขา”
ยรม 52.32 พระองค์ตรัสอย่างเมตตาต่อท่าน และให้นั่งบนที่นั่งเหนือกว่าบรรดากษัตริย์ทั้งหลายที่อยู่ในบาบิโลน
พคค 2.2 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลืนที่อยู่ทั้งสิ้นของยาโคบเสียแล้ว และไม่ทรงเมตตา พระองค์ได้ทรงพังป้อมปราการทั้งหลายของธิดาแห่งยูดาห์ให้ลงด้วยพระพิโรธของพระองค์ พระองค์ได้ทรงทลายป้อมปราการเหล่านั้นลงถึงดิน และทรงกระทำให้ราชอาณาจักรและเจ้านายทั้งหลายในนั้นเป็นมลทินไป
อสค 7.4 นัยน์ตาของเราจะไม่เมตตาเจ้า และเราจะไม่สงสาร แต่เราจะตอบสนองต่อวิถีทางทั้งหลายของเจ้าแก่เจ้าเอง และสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนของเจ้าจะอยู่ท่ามกลางเจ้า แล้วเจ้าจะทราบว่า เราคือพระเยโฮวาห์
อสค 7.9 นัยน์ตาของเราจะไม่เมตตา และเราจะไม่สงสาร เราจะตอบสนองเจ้าตามวิถีทางทั้งหลายของเจ้า และตามการกระทำอันน่าสะอิดสะเอียนของเจ้าซึ่งอยู่ท่ามกลางเจ้า แล้วเจ้าจะทราบว่า เราคือพระเยโฮวาห์ผู้โบยตี
อสค 16.5 ไม่มีตาสักดวงหนึ่งสงสารเจ้า ที่จะเมตตาเจ้าและกระทำสิ่งเหล่านี้ให้เจ้า เจ้าถูกทอดทิ้งในพื้นทุ่ง เพราะในวันที่เจ้าเกิดนั้นเจ้าเป็นที่รังเกียจ
ฮชย 1.6 ต่อมานางก็ตั้งครรภ์ขึ้นอีก และคลอดบุตรสาวคนหนึ่ง และพระเจ้าตรัสกับท่านว่า “จงตั้งชื่อบุตรสาวนั้นว่า โลรุหะมาห์ เพราะเราจะไม่เมตตาวงศ์วานอิสราเอลอีกต่อไป แต่เราจะเอาเขาออกไปอย่างสิ้นเชิง
ฮชย 1.7 แต่เราจะเมตตาวงศ์วานยูดาห์ และเราจะช่วยเขาให้รอดพ้นโดยพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขาทั้งหลาย เราจะไม่ช่วยเขาให้รอดพ้นด้วยคันธนู หรือด้วยดาบ หรือด้วยสงคราม หรือด้วยเหล่าม้า หรือด้วยเหล่าพลม้า”
ฮชย 2.23 เราจะหว่านเขาไว้ในแผ่นดินสำหรับเรา เราจะเมตตานางผู้ที่มิได้รับความเมตตา และเราจะพูดกับคนเหล่านั้นที่มิได้เป็นประชาชนของเราว่า ‘เจ้าเป็นประชาชนของเรา’ และเขาจะกล่าวว่า ‘พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์’”
มคา 7.19 พระองค์จะทรงหันกลับมาอีก พระองค์จะทรงเมตตาเราทั้งหลาย พระองค์จะทรงเหยียบความชั่วช้าของเราไว้ พระองค์จะทรงเหวี่ยงบาปทั้งหลายของเขาลงไปในที่ลึกของทะเล
ศคย 1.12 แล้วทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์กล่าวว่า ‘โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์จอมโยธา อีกนานเท่าใดพระองค์จะไม่ทรงเมตตากรุงเยรูซาเล็ม และหัวเมืองแห่งยูดาห์ ซึ่งพระองค์ก็ทรงกริ้วมาเจ็ดสิบปีแล้ว พระเจ้าข้า’
มธ 9.27 ครั้นพระเยซูเสด็จไปจากที่นั่น ก็มีชายตาบอดสองคนตามพระองค์มาร้องว่า “บุตรดาวิดเจ้าข้า ขอเมตตาข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด”
มธ 15.22 ดูเถิด มีหญิงชาวคานาอันคนหนึ่งมาจากเขตแดนนั้นร้องทูลพระองค์ว่า “โอ พระองค์ผู้ทรงเป็นบุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงโปรดเมตตาข้าพระองค์เถิด ลูกสาวของข้าพระองค์มีผีสิงอยู่เป็นทุกข์ลำบากยิ่งนัก”
มธ 18.27 เจ้านายของผู้รับใช้ผู้นั้นมีพระทัยเมตตา โปรดยกหนี้ปล่อยตัวเขาไป
มธ 18.33 เจ้าควรจะเมตตาเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกัน เหมือนเราได้เมตตาเจ้ามิใช่หรือ’
มธ 20.34 พระเยซูจึงมีพระทัยเมตตา ก็ทรงถูกต้องตาเขา ในทันใดนั้นตาของเขาก็เห็นได้และเขาทั้งสองได้ติดตามพระองค์ไป
มก 10.47 เมื่อคนนั้นได้ยินว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธเสด็จมา จึงเริ่มร้องเสียงดังว่า “ท่านเยซู บุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงเมตตาข้าพระองค์เถิด”
มก 10.48 มีหลายคนห้ามเขาให้เขานิ่งเสีย แต่เขายิ่งร้องเสียงดังขึ้นว่า “บุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงเมตตาข้าพระองค์เถิด”
ลก 17.13 และส่งเสียงร้องว่า “เยซูนายเจ้าข้า โปรดได้เมตตาข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด”
ลก 18.38 คนตาบอดนั้นจึงร้องว่า “ท่านเยซู บุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงเมตตาข้าพระองค์เถิด”
ลก 18.39 คนที่เดินไปข้างหน้านั้นจึงห้ามเขาให้นิ่ง แต่เขายิ่งร้องขึ้นว่า “บุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงเมตตาข้าพระองค์เถิด”
รม 9.15 เพราะพระองค์ตรัสกับโมเสสว่า ‘เราประสงค์จะกรุณาผู้ใด เราก็จะกรุณาผู้นั้น และเราประสงค์จะเมตตาผู้ใด เราก็จะเมตตาผู้นั้น’
อฟ 2.7 เพื่อว่าในยุคต่อๆไป พระองค์จะได้ทรงสำแดงพระคุณของพระองค์อันอุดมเหลือล้น ในการซึ่งพระองค์ได้ทรงเมตตาเราในพระเยซูคริสต์
อฟ 4.32 และท่านจงเมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน และอภัยโทษให้กันเหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้ท่าน เพราะเห็นแก่พระคริสต์
ฟป 1.8 เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นพยานของข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าเป็นห่วงท่านทั้งหลายเพียงไรตามพระทัยเมตตาของพระเยซูคริสต์

เมตตากรุณา ( 5 )
อพย 22.27 เพราะเขามีเสื้อคลุมตัวนั้นตัวเดียวเป็นเครื่องปกคลุมร่างกาย มิฉะนั้นเวลานอนเขาจะเอาอะไรห่มเล่า ต่อมาเมื่อเขาทูลร้องทุกข์ต่อเรา เราจะสดับฟังเพราะเราเป็นผู้มีเมตตากรุณา
ลก 1.78 โดยพระทัยเมตตากรุณาแห่งพระเจ้าของเรา แสงอรุณจากเบื้องสูงจึงมาเยี่ยมเยียนเรา
ลก 6.36 เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงมีความเมตตากรุณา เหมือนอย่างพระบิดาของท่านมีพระทัยเมตตากรุณา
ลก 7.13 เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นมารดานั้น พระองค์ทรงเมตตากรุณาเขาและตรัสแก่เขาว่า “อย่าร้องไห้”
ฮบ 5.2 ท่านนั้นมีใจเมตตากรุณาคนโง่และคนหลงผิดได้ เพราะท่านเองก็มีความอ่อนกำลังอยู่รอบตัวด้วย

เมตตาคุณ ( 1 )
คส 4.6 จงให้วาจาของท่านประกอบด้วยเมตตาคุณเสมอ ปรุงด้วยเกลือให้มีรส เพื่อท่านจะได้รู้ว่าควรตอบทุกคนอย่างไร

เมตร ( 4 )
ยน 21.8 แต่สาวกอื่นๆนั้นนั่งเรือเล็กๆมา ลากอวนที่ติดปลาเต็มนั้นมาด้วย (เพราะเขาอยู่ไม่ห่างจากฝั่งนัก ไกลประมาณหนึ่งร้อยเมตรเท่านั้น)
กจ 27.28 ครั้นหยั่งน้ำดูก็วัดได้ลึกสี่สิบเมตร เมื่อไปอีกหน่อยหนึ่งก็หยั่งน้ำวัดอีกได้สามสิบเมตร
วว 21.17 ท่านวัดกำแพงเมืองนั้น ได้เจ็ดสิบสองเมตร ตามมาตรวัดของมนุษย์ ซึ่งคือมาตรวัดของทูตสวรรค์องค์นั้น

เมธูซาเอล ( 2 )
ปฐก 4.18 เอโนคให้กำเนิดบุตรชื่ออิราด อิราดให้กำเนิดบุตรชื่อเมหุยาเอล เมหุยาเอลให้กำเนิดบุตรชื่อเมธูซาเอล เมธูซาเอลให้กำเนิดบุตรชื่อลาเมค

เมธูเสลาห์ ( 7 )
ปฐก 5.21 เอโนคอยู่มาได้หกสิบห้าปี และให้กำเนิดบุตรชื่อเมธูเสลาห์
ปฐก 5.22 ตั้งแต่เอโนคให้กำเนิดเมธูเสลาห์แล้ว ก็ดำเนินกับพระเจ้าสามร้อยปี และให้กำเนิดบุตรชายและบุตรสาวหลายคน
ปฐก 5.25 เมธูเสลาห์อยู่มาได้ร้อยแปดสิบเจ็ดปี และให้กำเนิดบุตรชื่อลาเมค
ปฐก 5.26 ตั้งแต่เมธูเสลาห์ให้กำเนิดลาเมคแล้ว ก็มีอายุต่อไปอีกเจ็ดร้อยแปดสิบสองปี และให้กำเนิดบุตรชายและบุตรสาวหลายคน
ปฐก 5.27 รวมอายุของเมธูเสลาห์ได้เก้าร้อยหกสิบเก้าปีและเขาได้สิ้นชีวิต
1พศด 1.3 เอโนค เมธูเสลาห์ ลาเมค
ลก 3.37 ซึ่งเป็นบุตรเมธูเสลาห์ ซึ่งเป็นบุตรเอโนค ซึ่งเป็นบุตรยาเรด ซึ่งเป็นบุตรมาหะลาเลล ซึ่งเป็นบุตรเคนัน

เมเธกฮัมมาห์ ( 1 )
2ซมอ 8.1 อยู่มาภายหลัง ดาวิดทรงโจมตีคนฟีลิสเตีย และปราบปรามได้ และดาวิดทรงยึดเมืองเมเธกฮัมมาห์ได้จากมือคนฟีลิสเตีย

เมนนัน ( 1 )
ลก 3.31 ซึ่งเป็นบุตรเมเลอา ซึ่งเป็นบุตรเมนนัน ซึ่งเป็นบุตรมัทตะธา ซึ่งเป็นบุตรนาธัน ซึ่งเป็นบุตรดาวิด

เมนาเฮม ( 8 )
2พกษ 15.14 แล้วเมนาเฮมบุตรชายกาดีได้ขึ้นมาจากเมืองทีรซาห์และมายังสะมาเรีย และท่านก็ล้มชัลลูมบุตรชายยาเบชเสียที่ในสะมาเรีย และประหารชีวิตท่านเสีย และได้ขึ้นครอบครองแทนท่าน
2พกษ 15.16 ในคราวนั้นเมนาเฮมเข้าปล้นทิฟสาห์และบรรดาผู้ที่อยู่ในเมืองนั้น และดินแดนของเมืองนั้นตั้งแต่ทีรซาห์ไป เพราะเขามิได้เปิดให้แก่ท่าน ท่านจึงโจมตีเมืองนั้น และท่านได้ผ่าท้องหญิงมีครรภ์ในเมืองนั้นเสียทุกคน
2พกษ 15.17 ในปีที่สามสิบเก้าแห่งรัชกาลอาซาริยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ เมนาเฮมบุตรชายกาดีได้เริ่มครอบครองเหนืออิสราเอล และพระองค์ทรงครอบครองในสะมาเรียสิบปี
2พกษ 15.19 ปูลกษัตริย์แห่งอัสซีเรียได้ยกขึ้นมาต่อสู้แผ่นดินนั้น และเมนาเฮมได้ถวายเงินหนึ่งพันตะลันต์แก่ปูล เพื่อจะให้ปูลช่วยให้พระองค์ยึดพระราชอาณาจักรไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ได้
2พกษ 15.20 เมนาเฮมได้เร่งรัดเอาเงินนั้นมาจากอิสราเอล คือจากคนมั่งมีทุกคน เงินคนละห้าสิบเชเขล เพื่อถวายแก่กษัตริย์แห่งอัสซีเรีย กษัตริย์แห่งอัสซีเรียจึงยกทัพกลับ และมิได้ทรงยับยั้งอยู่ในแผ่นดินนั้น
2พกษ 15.21 ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของเมนาเฮม และบรรดาสิ่งซึ่งพระองค์ทรงกระทำ มิได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารแห่งกษัตริย์ประเทศอิสราเอลหรือ
2พกษ 15.22 และเมนาเฮมก็ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเปคาหิยาห์โอรสก็ขึ้นครองแทนพระองค์
2พกษ 15.23 ในปีที่ห้าสิบแห่งรัชกาลอาซาริยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ เปคาหิยาห์โอรสของเมนาเฮมได้เริ่มครอบครองเหนืออิสราเอลในสะมาเรีย และพระองค์ทรงครอบครองสองปี

เมเน ( 3 )
ดนล 5.25 ต่อไปนี้เป็นข้อเขียนที่จารึกไว้ คือ เมเน เมเน เทเคล และ ฟารสิน
ดนล 5.26 ต่อไปนี้เป็นคำไขเรื่องราวนั้น เมเน พระเจ้าได้ทรงคำนวณวาระแห่งราชอาณาจักรของพระองค์ไว้แล้ว และทรงนำราชอาณาจักรนั้นมาถึงสิ้นสุด

เมบุนนัย ( 1 )
2ซมอ 23.27 อาบีเยเซอร์ชาวเมืองอานาโธท เมบุนนัยคนหุชาห์

เมฟาอัท ( 1 )
ยชว 21.37 เมืองเคเดโมทพร้อมทุ่งหญ้า เมืองเมฟาอัทพร้อมทุ่งหญ้า รวมสี่หัวเมือง

เมฟาอาท ( 3 )
ยชว 13.18 กับยาฮาส และเคเดโมท และเมฟาอาท
1พศด 6.79 เมืองเคเดโมทพร้อมกับทุ่งหญ้า และเมืองเมฟาอาทพร้อมกับทุ่งหญ้า
ยรม 48.21 การพิพากษาได้ตกเหนือที่ราบ เหนือโฮโลน และยาฮาส และเมฟาอาท

เมฟีโบเชท ( 16 )
2ซมอ 4.4 โยนาธานราชโอรสของซาอูล มีบุตรชายคนหนึ่งเป็นง่อย เมื่อมีข่าวเรื่องซาอูลกับโยนาธานมาจากยิสเรเอลนั้น เด็กคนนี้มีอายุห้าขวบ พี่เลี้ยงก็อุ้มลุกขึ้นหนีไป อยู่มาเมื่อเธอรีบหนีไปนั้นเด็กนั้นก็หล่นลงและเป็นง่อย ท่านชื่อเมฟีโบเชท
2ซมอ 9.6 เมฟีโบเชทโอรสของโยนาธานราชโอรสของซาอูลได้มาเฝ้าดาวิดและซบหน้าลงกราบถวายบังคม และดาวิดตรัสว่า “เมฟีโบเชทเอ๋ย” เขาทูลตอบว่า “ดูเถิด ผู้รับใช้ของพระองค์”
2ซมอ 9.10 ตัวเจ้าและพวกบุตรชายของเจ้าและเหล่าคนใช้ของเจ้า ต้องทำนาให้เขา และนำผลพืชที่ได้นั้นเข้ามา เพื่อโอรสแห่งเจ้านายของเจ้าจะได้มีอาหารรับประทาน แต่เมฟีโบเชทโอรสแห่งเจ้านายของเจ้านั้น จะรับประทานอาหารที่โต๊ะของเราเสมอไป” ฝ่ายศิบามีบุตรชายสิบห้าคนกับคนใช้ยี่สิบคน
2ซมอ 9.11 แล้วศิบาจึงกราบทูลกษัตริย์ว่า “ตามที่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์บัญชาผู้รับใช้ของพระองค์นั้น ผู้รับใช้ของพระองค์จะกระทำ” กษัตริย์ได้ตรัสว่า “เมฟีโบเชทจงรับประทานที่โต๊ะเสวยของเรา อย่างกับเป็นโอรสของกษัตริย์”
2ซมอ 9.12 เมฟีโบเชทมีบุตรชายเล็กคนหนึ่งชื่อมีคา ทุกคนที่อาศัยอยู่ในเรือนของศิบาก็ได้เป็นมหาดเล็กของเมฟีโบเชท
2ซมอ 9.13 ดังนั้นเมฟีโบเชทจึงอยู่ในเยรูซาเล็ม เพราะท่านรับประทานที่โต๊ะของกษัตริย์เสมอ เท้าของท่านเป็นง่อยทั้งสองข้าง
2ซมอ 16.1 เมื่อดาวิดเสด็จเลยยอดเขาไปหน่อยหนึ่ง ดูเถิด ศิบามหาดเล็กของเมฟีโบเชทก็เข้ามาเฝ้าพระองค์ มีลาคู่หนึ่งผูกอานพร้อม บรรทุกขนมปังสองร้อยก้อน องุ่นแห้งร้อยพวง และผลไม้ฤดูร้อนอีกร้อยหนึ่ง กับน้ำองุ่นหนึ่งถุงหนัง
2ซมอ 16.4 แล้วกษัตริย์ตรัสกับศิบาว่า “ดูเถิด ทรัพย์สมบัติของเมฟีโบเชทก็ตกเป็นของเจ้าทั้งหมด” และศิบากราบทูลว่า “โอ ข้าแต่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอทูลวิงวอนต่อพระองค์ด้วยความถ่อมใจ ขอทรงให้ข้าพระองค์ได้รับพระกรุณาในสายพระเนตรของพระองค์”
2ซมอ 19.24 เมฟีโบเชท โอรสซาอูลก็ลงมารับเสด็จกษัตริย์ โดยมิได้แต่งเท้าหรือขลิบเครา หรือซักเสื้อผ้าของตนตั้งแต่วันที่กษัตริย์เสด็จจากไปจนวันที่เสด็จกลับมาโดยสันติภาพ
2ซมอ 19.25 อยู่มาเมื่อเมฟีโบเชทมายังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อจะรับเสด็จกษัตริย์ กษัตริย์ตรัสถามว่า “เมฟีโบเชท ทำไมท่านมิได้ไปกับเรา”
2ซมอ 19.30 เมฟีโบเชทกราบทูลกษัตริย์ว่า “เมื่อกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ได้เสด็จกลับสู่พระราชสำนักโดยสันติภาพเช่นนี้แล้ว ก็ให้ศิบารับไปหมดเถิด พ่ะย่ะค่ะ”
2ซมอ 21.7 แต่กษัตริย์ทรงไว้ชีวิตเมฟีโบเชท บุตรชายของโยนาธาน ราชโอรสของซาอูล ด้วยเหตุคำปฏิญาณระหว่างทั้งสองที่กระทำในพระนามพระเยโฮวาห์ คือระหว่างดาวิดกับโยนาธานราชโอรสของซาอูล
2ซมอ 21.8 แต่กษัตริย์นำเอาบุตรชายสองคนของนางริสปาห์บุตรสาวของอัยยาห์ซึ่งบังเกิดกับซาอูล ชื่ออารโมนีกับเมฟีโบเชท กับบุตรชายห้าคนของมีคาลราชธิดาของซาอูล ซึ่งพระนางมีกับอาดรีเอลบุตรชายบารซิลลัยชาวเมโหลาห์

เม้ม ( 1 )
สภษ 16.30 เขาขยิบตากะแผนงานที่ตลบตะแลง เขาเม้มริมฝีปากของเขานำความชั่วร้ายให้เกิดขึ้น

เมมฟิส ( 1 )
ฮชย 9.6 เพราะ ดูเถิด เขาหนีไปหมดแล้วเพราะเหตุความพินาศ อียิปต์จะรวบรวมเขาไว้ เมืองเมมฟิสจะฝังเขา ต้นตำแยจะยึดสิ่งประเสริฐที่ทำด้วยเงินของเขาไว้เสีย ต้นหนามจะงอกขึ้นในเต็นท์ของเขา

เมมูคาน ( 3 )
อสธ 1.14 ผู้ที่รองพระองค์คือ คารเชนา เชธาร์ อัดมาธา ทารชิช เมเรส มารเสนา และเมมูคาน เจ้านายทั้งเจ็ดของเปอร์เซียและมีเดีย ผู้เคยเข้าเฝ้ากษัตริย์ และนั่งก่อนในราชอาณาจักร)
อสธ 1.16 เมมูคานจึงทูลต่อพระพักตร์กษัตริย์และเจ้านายทั้งปวงว่า “พระราชินีวัชทีได้ทรงกระทำผิดมิใช่ต่อกษัตริย์เท่านั้น แต่ต่อเจ้านายทั้งปวงและประชาชนทั้งปวงผู้อยู่ในมณฑลทั้งสิ้นของกษัตริย์อาหสุเอรัส
อสธ 1.21 คำทูลแนะนำนี้เป็นที่พอพระทัยกษัตริย์และเจ้านาย กษัตริย์จึงทรงกระทำตามที่เมมูคานทูลเสนอ

เมยารโคน ( 1 )
ยชว 19.46 เมยารโคน และรัคโคนและพรมแดนตรงเมืองยัฟฟา

เมรบาห์ ( 1 )
อพย 17.7 โมเสสเรียกชื่อตำบลนั้นว่า มัสสาห์ และเมรบาห์ ด้วยเหตุว่า คนอิสราเอลกล่าวหาตน ณ ที่นั้น และลองดีกับพระเยโฮวาห์ว่า “พระเยโฮวาห์ทรงสถิตอยู่ท่ามกลางพวกข้าพเจ้าจริงหรือ”

เมรัย ( 13 )
วนฉ 13.4 ฉะนั้นบัดนี้จงระวัง อย่าดื่มเหล้าองุ่น หรือเมรัย และอย่ารับประทานของมลทิน
วนฉ 13.7 แต่ท่านบอกดิฉันว่า ‘ดูเถิด เจ้าจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย ฉะนั้นอย่าดื่มเหล้าองุ่นหรือเมรัย อย่ารับประทานของมลทิน เพราะเด็กนั้นจะเป็นพวกนาศีร์แด่พระเจ้าตั้งแต่อยู่ในครรภ์จนวันตาย’”
วนฉ 13.14 อย่าให้รับประทานสิ่งใดที่ได้มาจากเถาองุ่น อย่าให้นางดื่มเหล้าองุ่นหรือเมรัย อย่ารับประทานของมลทิน สิ่งใดที่เราบัญชานางไว้ให้นางปฏิบัติตามทุกประการ”
1ซมอ 1.15 แต่ฮันนาห์ตอบว่า “มิใช่เช่นนั้นเจ้าค่ะ ดิฉันเป็นหญิงที่มีทุกข์หนัก ดิฉันมิได้ดื่มเหล้าองุ่นหรือเมรัย แต่ดิฉันระบายความในใจของดิฉันออกต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
อสย 5.11 วิบัติแก่คนเหล่านั้นที่ลุกขึ้นแต่เช้ามืด เพื่อวิ่งไปตามเมรัย ผู้เฉื่อยแฉะอยู่จนดึก จนเหล้าองุ่นทำให้เขาเมาหยำเป
อสย 5.22 วิบัติแก่คนเหล่านั้นที่เป็นวีรชนในการดื่มเหล้าองุ่น และเป็นคนแกล้วกล้าในการประสมเมรัย
อสย 24.9 เขาจะไม่ดื่มเหล้าองุ่นพร้อมกับการร้องเพลงอีก เมรัยก็จะเป็นของขมแก่ผู้ที่ดื่ม
อสย 28.7 เขาเหล่านี้ซมซานไปด้วยเหล้าองุ่นเหมือนกัน และโซเซไปด้วยเมรัย ปุโรหิตและผู้พยากรณ์ก็ซมซานไปด้วยเมรัย เขาทั้งหลายถูกกลืนไปหมดด้วยเหล้าองุ่น เขาโซเซไปด้วยเมรัย เขาเห็นผิดไป เขาสะดุดในการให้คำพิพากษา
อสย 29.9 จงรั้งรอและงงงวย จงร้องเรียกและร้องไห้ เขามึนเมา แต่ไม่ใช่ด้วยเหล้าองุ่น เขาโซเซ แต่ไม่ใช่ด้วยเมรัย
อสย 56.12 เขาทั้งหลายว่า “มาเถิด ให้เราเอาเหล้าองุ่น ให้เราเติมเมรัยให้เต็มตัวเรา และพรุ่งนี้ก็จะเหมือนวันนี้ใหญ่โตเกินขนาด”
มคา 2.11 หากคนใดจะเที่ยวไปโดยมีนิสัยหลอกลวงและมุสาว่า “เราจะพยากรณ์ให้ท่านฟังเรื่องเหล้าองุ่นและเมรัย” เขาจะเป็นผู้พยากรณ์ของชนชาตินี้ได้ละ

เมราธาอิม ( 1 )
ยรม 50.21 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า จงขึ้นไปสู้แผ่นดินเมราธาอิม และต่อสู้ชาวเมืองเปโขด จงฆ่าเขาและตามทำลายเสียให้สิ้นเชิง และจงกระทำทุกอย่างตามที่เราได้บัญชาเจ้าไว้

เมราบ ( 3 )
1ซมอ 14.49 ฝ่ายโอรสของซาอูล มีโยนาธาน อิชวี มัลคีชูวา และชื่อธิดาทั้งสองของพระองค์คือ คนหัวปีชื่อเมราบ และชื่อผู้น้องคือมีคาล
1ซมอ 18.17 ฝ่ายซาอูลจึงรับสั่งกับดาวิดว่า “ดูเถิด นี่คือบุตรสาวคนโตของเราชื่อเมราบ เราจะมอบแม่นางให้เป็นภรรยาของเธอ ขอแต่เธอจงเป็นคนกล้าหาญและสู้ศึกของพระเยโฮวาห์เท่านั้น” เพราะซาอูลทรงดำริว่า “อย่าให้มือของเราแตะต้องเขาเลย ให้มือคนฟีลิสเตียแตะต้องเขาดีกว่า”
1ซมอ 18.19 แต่อยู่มา เมื่อถึงเวลาที่จะทรงยกเมราบราชธิดาของซาอูลให้เป็นภรรยาของดาวิด แม่นางก็ถูกยกให้เป็นภรรยาของอาดรีเอลชาวเมโหลาห์

เมรายาห์ ( 1 )
นหม 12.12 และในรัชกาลโยยาคิม มีปุโรหิตผู้เป็นประมุขของบรรพบุรุษคือ ของคนเสไรอาห์มี เมรายาห์ ของคนเยเรมีย์มี ฮานานิยาห์

เมราโยท ( 7 )
1พศด 6.6 อุสซีให้กำเนิดบุตรชื่อเศ-ราหิยาห์ เศ-ราหิยาห์ให้กำเนิดบุตรชื่อเมราโยท
1พศด 6.7 เมราโยทให้กำเนิดบุตรชื่ออามาริยาห์ อามาริยาห์ให้กำเนิดบุตรชื่ออาหิทูบ
1พศด 6.52 บุตรชายของเศ-ราหิยาห์คือเมราโยท บุตรชายของเมราโยทคืออามาริยาห์ บุตรชายของอามาริยาห์คืออาหิทูบ
1พศด 9.11 และอาซาริยาห์ ผู้เป็นบุตรชายฮิลคียาห์ ผู้เป็นบุตรชายเมชุลลาม ผู้เป็นบุตรชายศาโดก ผู้เป็นบุตรชายเมราโยท ผู้เป็นบุตรชายอาหิทูบ เจ้าหน้าที่ปกครองของพระนิเวศแห่งพระเจ้า
อสร 7.3 ผู้เป็นบุตรชายอามาริยาห์ ผู้เป็นบุตรชายอาซาริยาห์ ผู้เป็นบุตรชายเมราโยท
นหม 11.11 เสไรยาห์บุตรชายฮิลคียาห์ ผู้เป็นบุตรชายเมชุลลาม ผู้เป็นบุตรชายศาโดก ผู้เป็นบุตรชายเมราโยท ผู้เป็นบุตรชายอาหิทูบ ผู้ปกครองพระนิเวศของพระเจ้า

เมรารี ( 31 )
ปฐก 46.11 บุตรชายของเลวี คือ เกอร์โชน โคฮาท และเมรารี
อพย 6.16 และคนเหล่านี้เป็นชื่อบุตรชายของเลวีตามพงศ์พันธุ์ของเขาคือ เกอร์โชน โคฮาทและเมรารี เลวีนั้นมีอายุได้ร้อยสามสิบเจ็ดปี
อพย 6.19 บุตรชายของเมรารีชื่อ มาฮาลี และมูชี คนเหล่านี้เป็นครอบครัวต่างๆของเลวีตามพงศ์พันธุ์ของเขา
กดว 3.17 ต่อไปนี้เป็นชื่อบุตรชายของเลวี คือเกอร์โชน โคฮาท และเมรารี
กดว 3.20 และบุตรชายของเมรารีตามครอบครัว คือมาลี และมูชี นี่เป็นครอบครัวคนเลวี ตามเรือนบรรพบุรุษของเขา
กดว 3.33 วงศ์เมรารีมีครอบครัวมาลี และครอบครัวมูชี เหล่านี้เป็นครอบครัวเมรารี
กดว 3.35 และศุรีเอลบุตรชายอาบีฮาอิลเป็นหัวหน้าเรือนบรรพบุรุษของครอบครัวเมรารี คนเหล่านี้จะตั้งค่ายอยู่ด้านเหนือของพลับพลา
กดว 3.36 งานที่กำหนดให้แก่ลูกหลานเมรารีคืองานดูแลไม้กรอบพลับพลา ไม้กลอน ไม้เสา ฐานรองและเครื่องประกอบสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ทั้งงานสารพัดที่เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้
กดว 7.8 ท่านมอบเกวียนสี่เล่มและวัวสี่คู่ให้แก่บุตรชายทั้งหลายของเมรารีตามงานปรนนิบัติของเขา ซึ่งเป็นตามคำชี้แจงของอิธามาร์บุตรชายอาโรนปุโรหิต
กดว 10.17 เมื่อรื้อพลับพลาลงแล้ว บรรดาบุตรชายของเกอร์โชนและบุตรชายของเมรารีผู้แบกหามพลับพลานั้นก็ยกเดินไป
กดว 26.57 ต่อไปนี้เป็นคนเลวีที่นับตามครอบครัวของเขา คือเกอร์โชน คนครอบครัวเกอร์โชน โคฮาท คนครอบครัวโคฮาท เมรารี คนครอบครัวเมรารี
1พศด 6.1 บุตรชายของเลวีคือ เกอร์โชม โคฮาท และเมรารี
1พศด 6.16 บุตรชายของเลวีคือ เกอร์โชม โคฮาท และเมรารี
1พศด 6.19 บุตรชายของเมรารีคือ มาห์ลี และมูชี เหล่านี้เป็นครอบครัวของคนเลวีตามพงศ์พันธุ์บิดาของเขา
1พศด 6.29 บุตรชายของเมรารีคือมาห์ลี บุตรชายของมาห์ลีคือลิบนี บุตรชายของลิบนีคือชิเมอี บุตรชายของชิเมอีคืออุสซาห์
1พศด 6.44 ที่ข้างซ้ายมือมีบุตรชายของเมรารี พี่น้องของเขาคือ เอธานผู้เป็นบุตรชายคีชี ผู้เป็นบุตรชายอับดี ผู้เป็นบุตรชายมัลลูค
1พศด 6.47 ผู้เป็นบุตรชายมาห์ลี ผู้เป็นบุตรชายมูชี ผู้เป็นบุตรชายเมรารี ผู้เป็นบุตรชายเลวี
1พศด 9.14 จากคนเลวีมี เชไมอาห์ ผู้เป็นบุตรชายหัสชูบ ผู้เป็นบุตรชายอัสรีคัม ผู้เป็นบุตรชายฮาซาบิยาห์ ลูกหลานของเมรารี
1พศด 15.6 จากลูกหลานของเมรารี ได้อาสายาห์เป็นหัวหน้า พร้อมกับพี่น้องของเขาสองร้อยยี่สิบคน
1พศด 15.17 คนเลวีจึงแต่งตั้งเฮมานบุตรชายโยเอล และพี่น้องของเขาคือ อาสาฟบุตรชายเบเรคิยาห์ และจากลูกหลานเมรารีพี่น้องของเขาคือ เอธานบุตรชายคูชายาห์
1พศด 23.6 และดาวิดทรงจัดแบ่งเป็นกองๆตามบุตรชายของเลวี คือ เกอร์โชม โคฮาท และเมรารี
1พศด 23.21 บุตรชายของเมรารีคือ มาห์ลีและมูชี บุตรชายของมาห์ลีคือ เอเลอาซาร์และคีช
1พศด 24.26 บุตรชายของเมรารีคือ มาห์ลีและมูชี บุตรชายของยาอาซียาห์คือ เบโน
1พศด 24.27 ฝ่ายลูกหลานของเมรารีคือ ของยาอาซียาห์มี เบโน โชฮัม ศักเกอร์ และอิบรี
1พศด 26.10 และโฮสาห์ผู้เป็นลูกหลานของเมรารีมีบุตรชายคือ ชิมรี ผู้เป็นหัวหน้า (เพราะถึงเขาจะไม่เป็นบุตรหัวปี บิดาของเขาก็ให้เขาเป็นหัวหน้า)
1พศด 26.19 คนเหล่านี้เป็นเวรเฝ้าประตูจากลูกหลานของโคราห์ และลูกหลานของเมรารี
2พศด 29.12 แล้วคนเลวีก็ลุกขึ้น คือมาฮาทบุตรชายอามาสัย และโยเอลบุตรชายอาซาริยาห์ ผู้เป็นลูกหลานของโคฮาท และลูกหลานของเมรารี มีคีชบุตรชายอับดี และอาซาริยาห์บุตรชายเยฮาลเลเลล และของคนเกอร์โชน มีโยอาห์บุตรชายศิมมาห์ และเอเดนบุตรชายโยอาห์
2พศด 34.12 และคนทั้งหลายก็ทำงานอย่างสัตย์ซื่อ ผู้คุมงานมียาหาทและโอบาดีห์คนเลวีลูกหลานของเมรารี และเศคาริยาห์กับเมชุลลัมลูกหลานของคนโคฮาทเป็นผู้ดูแล คนเลวีทุกคนที่ชำนาญเครื่องดนตรี
อสร 8.19 ทั้งฮาชาบิยาห์และเยชายาห์ ลูกหลานของเมรารีกับญาติพี่น้องและบุตรชายของเขารวมยี่สิบคน

เมริบบาอัล ( 4 )
1พศด 8.34 และบุตรชายของโยนาธานคือ เมริบบาอัล และเมริบบาอัลให้กำเนิดบุตรชื่อมีคาห์
1พศด 9.40 บุตรชายของโยนาธานชื่อเมริบบาอัล และเมริบบาอัลให้กำเนิดบุตรชื่อมีคาห์

เมรีบาห์ ( 6 )
กดว 20.13 น้ำนั้นคือน้ำเมรีบาห์ เพราะว่าคนอิสราเอลได้ต่อว่าพระเยโฮวาห์ และพระองค์ทรงสำแดงความบริสุทธิ์ท่ามกลางเขา
กดว 20.24 “อาโรนจะต้องถูกรวบไปอยู่กับพวกของเขา เพราะเขาจะไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินซึ่งเรายกให้แก่คนอิสราเอล เพราะเจ้าทั้งสองกบฏต่อคำสั่งของเราที่น้ำเมรีบาห์
กดว 27.14 เพราะว่าเจ้าทั้งสองกบฏต่อบัญชาของเราในถิ่นทุรกันดารศินระหว่างที่ชุมนุมชนได้โต้แย้งขึ้น เจ้ามิได้นับถือเราต่อหน้าต่อตาเขาทั้งหลายที่น้ำนั้น” นี่คือน้ำเมรีบาห์แห่งคาเดชในถิ่นทุรกันดารศิน
พบญ 32.51 เพราะเจ้าทั้งสองได้ละเมิดต่อเราท่ามกลางคนอิสราเอลที่น้ำเมรีบาห์แห่งคาเดชในถิ่นทุรกันดารศิน เพราะเจ้ามิได้เคารพเราว่าบริสุทธิ์ในหมู่คนอิสราเอล
พบญ 33.8 ท่านกล่าวถึงเลวีว่า “ขอให้ทูมมีมและอูรีมของพระองค์อยู่กับผู้บริสุทธิ์ของพระองค์ ผู้ที่พระองค์ทรงทดลองแล้วที่ตำบลมัสสาห์ ผู้ที่พระองค์ได้ต่อสู้แล้วที่น้ำเมรีบาห์
สดด 81.7 เมื่อทุกข์ใจเจ้าเรียก เราก็ช่วยเจ้าให้พ้น เราตอบเจ้าในที่ลับลี้ของฟ้าร้อง เราได้ทดลองเจ้าที่น้ำ ณ เมรีบาห์ เซลาห์

เมเรด ( 2 )
1พศด 4.17 บุตรชายของเอสราห์คือเยเธอร์ เมเรด เอเฟอร์ และยาโลน และนางก็คลอดบุตรชื่อมิเรียม ชัมมัย และอิชบาห์ ผู้เป็นบิดาของเอชเทโมอา
1พศด 4.18 และภรรยาของท่านชื่อเยฮูไดยาห์คลอดเยเรดบิดาของเกโดร์ เฮเบอร์บิดาของโสโค และเยคูธีเอลบิดาของศาโนอาห์ เหล่านี้เป็นบุตรชายของบิทิยาห์ธิดาของฟาโรห์ผู้ที่เมเรดได้แต่งงานด้วย

เมเรโมท ( 6 )
อสร 8.33 ในวันที่สี่ภายในพระนิเวศของพระเจ้าของเรา ก็ชั่งเงิน ทองคำและเครื่องใช้ใส่มือของเมเรโมทปุโรหิต บุตรชายอุรียอาห์ และคนที่อยู่กับเขาคือเอเลอาซาร์บุตรชายฟีเนหัส และคนที่อยู่กับเขาทั้งหลายคือ โยซาบาด บุตรชายเยชูอา และโนอัดยาห์บุตรชายบินนุย คนเลวี
อสร 10.36 วานิยาห์ เมเรโมท เอลียาชีบ
นหม 3.4 ถัดเขาไปเมเรโมทบุตรชายอุรีอาห์ ผู้เป็นบุตรชายฮักโขสได้ซ่อมแซม และถัดเขาไปเมชุลลามบุตรชายเบเรคิยาห์ ผู้เป็นบุตรชายเมเชซาเบลได้ซ่อมแซม และถัดเขาไปซาโดกบุตรชายบาอานาได้ซ่อมแซม
นหม 3.21 ถัดเขาไปคือ เมเรโมทบุตรชายอุรีอาห์ ผู้เป็นบุตรชายฮักโขส ได้ซ่อมแซมอีกส่วนหนึ่ง ตั้งแต่ประตูเรือนของเอลียาชีบถึงปลายเรือนของเอลียาชีบ
นหม 10.5 ฮาริม เมเรโมท โอบาดีห์
นหม 12.3 เชคานิยาห์ เรฮูม เมเรโมท

เมเรส ( 1 )
อสธ 1.14 ผู้ที่รองพระองค์คือ คารเชนา เชธาร์ อัดมาธา ทารชิช เมเรส มารเสนา และเมมูคาน เจ้านายทั้งเจ็ดของเปอร์เซียและมีเดีย ผู้เคยเข้าเฝ้ากษัตริย์ และนั่งก่อนในราชอาณาจักร)

เมโรดัคบาลาดัน ( 1 )
อสย 39.1 คราวนั้น เมโรดัคบาลาดัน โอรสของบาลาดัน กษัตริย์แห่งบาบิโลน ทรงส่งราชสารและเครื่องบรรณาการมายังเฮเซคียาห์ เพราะพระองค์ทรงได้ยินว่าเฮเซคียาห์ทรงประชวรและทรงหายประชวรแล้ว

เมโรม ( 2 )
ยชว 11.5 กษัตริย์เหล่านี้ได้ร่วมกำลังกันเข้าและมาตั้งค่ายอยู่ที่ลำห้วยเมโรม เพื่อจะสู้รบกับอิสราเอล
ยชว 11.7 ฝ่ายโยชูวาก็ยกพลทั้งหลายเข้าโจมตีเขาทันทีที่ห้วยน้ำเมโรม

เมโรส ( 1 )
วนฉ 5.23 ทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์กล่าวว่า ‘จงสาปแช่งเมโรสเถิด จงสาปแช่งชาวเมืองให้หนัก เพราะเขาไม่ได้ออกมาช่วยพระเยโฮวาห์ คือช่วยพระเยโฮวาห์สู้ผู้มีกำลังมาก’

เมลคี ( 2 )
ลก 3.24 ซึ่งเป็นบุตรมัทธัต ซึ่งเป็นบุตรเลวี ซึ่งเป็นบุตรเมลคี ซึ่งเป็นบุตรยันนาย ซึ่งเป็นบุตรโยเซฟ
ลก 3.28 ซึ่งเป็นบุตรเมลคี ซึ่งเป็นบุตรอัดดี ซึ่งเป็นบุตรโคสัม ซึ่งเป็นบุตรเอลมาดัม ซึ่งเป็นบุตรเอร์

เมลคีเซเดค ( 11 )
ปฐก 14.18 เมลคีเซเดคกษัตริย์เมืองซาเล็มได้นำขนมปังและน้ำองุ่นมาให้ และท่านก็เป็นปุโรหิตของพระเจ้าผู้สูงสุด
สดด 110.4 พระเยโฮวาห์ทรงปฏิญาณแล้วและจะไม่เปลี่ยนพระทัยของพระองค์ว่า “เจ้าเป็นปุโรหิตเป็นนิตย์ตามอย่างของเมลคีเซเดค”
ฮบ 5.6 เหมือนพระองค์ได้ตรัสอีกแห่งหนึ่งว่า ‘ท่านเป็นปุโรหิตเป็นนิตย์ตามอย่างของเมลคีเซเดค’
ฮบ 5.10 โดยพระเจ้าได้ทรงตั้งพระองค์ให้เป็นมหาปุโรหิตตามอย่างของเมลคีเซเดค
ฮบ 6.20 ที่ผู้นำหน้าได้เสด็จเข้าไปเผื่อเราแล้ว คือพระเยซูผู้ทรงได้รับการแต่งตั้งเป็นมหาปุโรหิตเป็นนิตย์ตามอย่างเมลคีเซเดค
ฮบ 7.1 เพราะเมลคีเซเดคผู้นี้คือกษัตริย์เมืองซาเลม เป็นปุโรหิตของพระเจ้าผู้สูงสุด ผู้ได้พบอับราฮัมขณะที่กำลังกลับมาจากการฆ่าฟันกษัตริย์ทั้งหลาย และได้อวยพรแก่อับราฮัม
ฮบ 7.10 เพราะว่าขณะนั้นเขายังอยู่ในเอวของบรรพบุรุษ ขณะที่เมลคีเซเดคได้พบกับอับราฮัม
ฮบ 7.11 เหตุฉะนั้นถ้าเมื่อจะถึงความสำเร็จได้ในทางตำแหน่งปุโรหิตที่สืบมาจากตระกูลเลวี (ด้วยว่าประชาชนได้รับพระราชบัญญัติโดยทางตำแหน่งนี้) ที่ไหนจะต้องการให้มีปุโรหิตอีกตามอย่างเมลคีเซเดคเล่า ซึ่งมิได้เรียกตามอย่างอาโรน
ฮบ 7.15 และข้อนี้ประจักษ์ชัดยิ่งขึ้นอีก เมื่อปรากฏว่ามีปุโรหิตอีกผู้หนึ่งเกิดขึ้นตามอย่างของเมลคีเซเดค
ฮบ 7.17 เพราะมีพยานกล่าวถึงท่านว่า ‘ท่านเป็นปุโรหิตเป็นนิตย์ตามอย่างของเมลคีเซเดค’
ฮบ 7.21 (บรรดาปุโรหิตเหล่านั้นไม่มีการกล่าวปฏิญาณเมื่อเขาเข้ารับตำแหน่ง แต่ส่วนปุโรหิตนี้มีคำกล่าวปฏิญาณจากพระองค์ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปฏิญาณแล้ว และจะไม่เปลี่ยนพระทัยของพระองค์ว่า “ท่านเป็นปุโรหิตเป็นนิตย์ตามอย่างของเมลคีเซเดค”’)

เมล็ด ( 62 )
ปฐก 1.11 พระเจ้าตรัสว่า “จงให้แผ่นดินเกิดต้นหญ้า ต้นผักที่มีเมล็ด และต้นไม้ที่ออกผลที่มีเมล็ดในผลตามชนิดของมันบนแผ่นดิน” ก็เป็นดังนั้น
ปฐก 1.12 แผ่นดินก็เกิดต้นหญ้า ต้นผักที่มีเมล็ดตามชนิดของมัน และต้นไม้ที่ออกผลที่มีเมล็ดในผลตามชนิดของมัน พระเจ้าทรงเห็นว่าดี
ปฐก 1.29 พระเจ้าตรัสว่า “ดูเถิด เราให้บรรดาต้นผักที่มีเมล็ดซึ่งอยู่ทั่วพื้นแผ่นดินโลก และบรรดาต้นไม้ซึ่งมีเมล็ดในผลแก่เจ้า ให้เป็นอาหารแก่เจ้า
ปฐก 41.5 พระองค์ก็บรรทมหลับไปและสุบินครั้งที่สอง และดูเถิด ต้นข้าวต้นเดียวมีรวงเจ็ดรวงเป็นข้าวเมล็ดเต่งงามดี
ปฐก 41.7 รวงข้าวลีบเจ็ดรวงนั้นได้กลืนกินรวงข้าวเมล็ดเต่งงามดีเจ็ดรวงนั้นเสีย แล้วฟาโรห์ก็ตื่นบรรทม และดูเถิด รู้ว่าเป็นพระสุบิน
ปฐก 41.22 เราเห็นในความฝันของเรา ดูเถิด ต้นข้าวต้นหนึ่ง มีรวงเจ็ดรวงงอกขึ้นมา เป็นข้าวเมล็ดเต่งและงามดี
อพย 16.31 เหล่าวงศ์วานของอิสราเอลเรียกชื่ออาหารนั้นว่า มานา เป็นเม็ดขาวเหมือนเมล็ดผักชี มีรสเหมือนขนมแผ่นประสมน้ำผึ้ง
ลนต 2.14 ถ้าเจ้าถวายธัญญบูชาเป็นผลรุ่นแรกแด่พระเยโฮวาห์ ธัญญบูชาอันเป็นผลรุ่นแรกนั้นเจ้าจงถวายรวงใหม่ๆย่างไฟให้แห้ง บดเมล็ดให้ละเอียด
ลนต 2.16 ปุโรหิตจะเอาส่วนหนึ่งของเมล็ดที่บด น้ำมันและเครื่องกำยานเผาถวายเป็นส่วนที่ระลึก เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่พระเยโฮวาห์”
ลนต 11.37 ถ้าส่วนใดของซากตกใส่เมล็ดพืชที่ใช้หว่าน พืชนั้นนับว่าสะอาด
ลนต 11.38 แต่ถ้าเอาเมล็ดพืชนั้นแช่น้ำไว้ และซากสัตว์ส่วนใดตกใส่น้ำนั้นก็เป็นมลทินแก่เจ้า
ลนต 27.16 ถ้าผู้ใดถวายที่ดินส่วนหนึ่งแด่พระเยโฮวาห์ซึ่งเป็นมรดกตกแก่เขา ให้เจ้ากำหนดราคาของที่ดินตามจำนวนเมล็ดพืชที่หว่านลงในดินนั้น ถ้าที่นาใช้เมล็ดข้าวบาร์เลย์หนึ่งโฮเมอร์ ให้กำหนดราคาเป็นเงินห้าสิบเชเขล
กดว 6.4 ตลอดเวลาที่เขาปลีกตัวออกมานั้น เขาต้องไม่รับประทานสิ่งใดที่ได้จากต้นองุ่น แม้เป็นเมล็ดหรือเปลือกองุ่นก็ดี
กดว 11.7 มานานั้นเหมือนเมล็ดผักชี สีเหมือนยางไม้หอม
กดว 18.12 น้ำมันที่ดีที่สุดทั้งหมด และน้ำองุ่นที่ดีที่สุด และเมล็ดพืชทั้งหมด และผลรุ่นแรกที่เขาถวายแด่พระเยโฮวาห์ เราให้แก่เจ้า
พบญ 22.9 อย่าเอาเมล็ดพืชสองชนิดหว่านลงในสวนองุ่นของท่าน เกรงว่าทั้งพืชผลที่ท่านหว่านและผลองุ่นของสวนนั้นเป็นมลทิน
1พกษ 18.32 และท่านได้สร้างแท่นบูชาด้วยศิลานั้นในพระนามของพระเยโฮวาห์ และท่านได้ขุดร่องรอบแท่นใหญ่พอจุเมล็ดพืชได้สองถัง
สดด 126.6 ผู้ที่ร้องไห้ออกไปหอบหิ้วเมล็ดพืชอันมีค่าจะกลับบ้านด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน นำฟ่อนข้าวของตนมาด้วย
อสย 5.10 เพราะว่าสวนองุ่นยี่สิบห้าไร่จะได้ผลแต่เพียงบัทเดียว และเมล็ดพืชหนึ่งโฮเมอร์จะให้ผลแต่เอฟาห์เดียว”
อสย 30.23 และพระองค์จะประทานฝนให้แก่เมล็ดพืชซึ่งเจ้าหว่านลงที่ดิน และประทานข้าวซึ่งเป็นผลิตผลของดิน และข้าวจะอุดมและสมบูรณ์ ในวันนั้นวัวของเจ้าจะกินอยู่ในลานหญ้าใหญ่
อสย 55.10 เพราะฝนและหิมะลงมาจากฟ้าสวรรค์ และไม่กลับที่นั่น เว้นแต่รดแผ่นดินโลก กระทำให้มันบังเกิดผลและแตกหน่อ อำนวยเมล็ดแก่ผู้หว่านและอาหารแก่ผู้กินฉันใด
อสค 17.5 แล้วมันก็เอาเมล็ดพืชแห่งแผ่นดินไปปลูกไว้ในที่ดินอุดม มันเอาเมล็ดไว้ข้างน้ำมากหลาย ตั้งไว้อย่างกับกิ่งต้นหลิว
อสค 17.6 เมล็ดก็งอกขึ้นมาและเติบโตขึ้นเป็นเถาองุ่นเตี้ย แผ่แขนงไพศาล แขนงทั้งหลายของต้นนี้ก็ทอดมายังตัวนกอินทรี และรากก็ยังคงอยู่ใต้มัน เมล็ดจึงบังเกิดเป็นเถา แตกแขนงสาขาและออกใบ
ยอล 1.17 เมล็ดพืชก็เน่าอยู่ในดิน ฉางก็รกร้าง ยุ้งก็หักพังลง เพราะว่าข้าวเหี่ยวแห้งไปเสียแล้ว
อมส 9.13 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “ดูเถิด วันเวลาก็มาถึง เมื่อคนที่ไถจะทันคนที่เกี่ยว และคนที่ย่ำผลองุ่นจะทันคนที่หว่านเมล็ดองุ่น จะมีน้ำองุ่นหยดจากภูเขา เนินเขาทั้งสิ้นจะละลายไป
ศคย 8.12 เพราะว่าเมล็ดพืชจะเกิดเจริญงอกงาม เถาองุ่นจะมีลูกและแผ่นดินจะให้ผล และท้องฟ้าจะให้น้ำค้าง และเราจะกระทำให้ประชาชนที่เหลืออยู่นี้ถือกรรมสิทธิ์สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด
มธ 13.4 และเมื่อเขาหว่าน เมล็ดพืชก็ตกตามหนทางบ้างแล้วนกก็มากินเสีย
มธ 13.19 เมื่อผู้ใดได้ยินพระวจนะแห่งอาณาจักรนั้นแต่ไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาฉวยเอาพืชซึ่งหว่านในใจเขานั้นไปเสีย นั่นแหละได้แก่ผู้ซึ่งรับเมล็ดริมหนทาง
มธ 13.20 และผู้ที่รับเมล็ดซึ่งตกในที่ดินซึ่งมีพื้นหินนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะ แล้วก็รับทันทีด้วยความปรีดี
มธ 13.22 ผู้ที่รับเมล็ดซึ่งตกกลางหนามนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ฟังพระวจนะ แล้วความกังวลตามธรรมดาโลก และการล่อลวงแห่งทรัพย์สมบัติก็รัดพระวจนะนั้นเสีย และเขาจึงไม่เกิดผล
มธ 13.23 ส่วนผู้ที่รับเมล็ดซึ่งตกในดินดีนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะและเข้าใจ คนนั้นก็เกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง”
มธ 13.31 พระองค์ยังตรัสคำอุปมาอีกข้อหนึ่งให้เขาฟังว่า “อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่ง ซึ่งชายคนหนึ่งเอาไปเพาะลงในไร่ของตน
มธ 13.32 เมล็ดนั้นที่จริงก็เล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้นแล้วก็ใหญ่ที่สุดท่ามกลางผักทั้งหลาย และจำเริญเป็นต้นไม้จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้นได้”
มธ 13.37 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “ผู้หว่านเมล็ดพืชดีนั้นได้แก่บุตรมนุษย์
มธ 13.38 นานั้นได้แก่โลก ส่วนเมล็ดพืชดีได้แก่ลูกหลานแห่งอาณาจักร แต่ข้าวละมานได้แก่ลูกหลานของมารร้าย
มธ 17.20 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เพราะเหตุพวกท่านไม่มีความเชื่อ ด้วยเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่ง ท่านจะสั่งภูเขานี้ว่า ‘จงเลื่อนจากที่นี่ไปที่โน่น’ มันก็จะเลื่อน และไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับท่านเลย
มก 4.4 และต่อมาเมื่อเขาหว่าน เมล็ดพืชก็ตกตามหนทางบ้าง แล้วนกในอากาศก็มากินเสีย
มก 4.31 ก็เปรียบเหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่ง เวลาเพาะลงในดินนั้นก็เล็กกว่าเมล็ดทั้งปวงทั่วทั้งแผ่นดิน
ลก 8.5 “มีผู้หว่านคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืชของตน และเมื่อเขาหว่าน เมล็ดพืชนั้นก็ตกตามหนทางบ้าง ถูกเหยียบย่ำ และนกในอากาศมากินเสีย
ลก 8.11 คำอุปมานั้นก็อย่างนี้ เมล็ดพืชนั้นได้แก่พระวจนะของพระเจ้า
ลก 13.19 ก็เปรียบเหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่ง ที่คนหนึ่งได้เอาไปปลูกในสวนของตน มันงอกขึ้นเป็นต้นใหญ่ และนกในอากาศมาอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้น”
ลก 17.6 องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสว่า “ถ้าพวกท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่ง ท่านก็จะสั่งต้นสุกะมินนี้ได้ว่า ‘จงถอนขึ้นออกไปปักในทะเล’ และมันจะเชื่อฟังท่าน
ยน 12.24 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงไปในดินและเปื่อยเน่าไป ก็จะอยู่เป็นเมล็ดเดียว แต่ถ้าเปื่อยเน่าไปแล้ว ก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก
1คร 15.36 ท่านคนเขลา เมล็ดที่ท่านหว่านลงนั้น ถ้าไม่ตายเสียก่อนแล้วจะงอกขึ้นใหม่ไม่ได้
1คร 15.37 เมล็ดข้าวที่ท่านหว่านนั้น จะเป็นข้าวสาลีหรือพืชอื่นๆก็ดี ท่านมิได้หว่านสิ่งที่เป็นรูปร่างของต้นที่จะงอกขึ้นมา แต่ได้หว่านเมล็ดเท่านั้น
1คร 15.38 แต่พระเจ้าทรงประทานรูปร่างต้นของเมล็ดนั้นตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบ และทรงประทานรูปร่างแก่เมล็ดพืชทุกพรรณตามชนิดของมัน
1ยน 3.9 ผู้ใดบังเกิดจากพระเจ้า ผู้นั้นไม่กระทำบาป เพราะเมล็ดของพระองค์ดำรงอยู่ในผู้นั้น และเขากระทำบาปไม่ได้ เพราะเขาบังเกิดจากพระเจ้า

เมล็ดข้าว ( 8 )
ปฐก 47.19 เหตุใดข้าพเจ้าทั้งหลายจะต้องอดตายต่อหน้าต่อตาท่านเล่า ทั้งตัวข้าพเจ้ากับที่ดินของข้าพเจ้าทั้งหลายด้วย ขอท่านโปรดซื้อพวกข้าพเจ้ากับที่ดินแลกกับอาหาร ข้าพเจ้าทั้งหลายกับที่ดินจะเป็นทาสของฟาโรห์ ขอท่านโปรดให้เมล็ดข้าวแก่พวกข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าทั้งหลายจะมีชีวิตอยู่ได้และไม่ตายเพื่อที่ดินนั้นจะไม่รกร้างไป”
ปฐก 47.23 โยเซฟชี้แจงแก่ประชาชนทั้งปวงว่า “ดูเถิด วันนี้เราซื้อตัวพวกเจ้ากับที่ดินของเจ้าให้เป็นของฟาโรห์แล้ว นี่เราจะให้เมล็ดข้าวแก่พวกเจ้าและพวกเจ้าจงเอาไปหว่านเถิด
ปฐก 47.24 และต่อมาเมื่อได้ผลแล้วจงถวายส่วนหนึ่งในห้าส่วนแก่ฟาโรห์ เก็บสี่ส่วนไว้เป็นของตน สำหรับใช้เป็นเมล็ดข้าวบ้าง เป็นอาหารสำหรับเจ้าและครอบครัวกับเด็กเล็กบ้าง”
ยรม 31.12 เขาทั้งหลายจึงจะมาร้องเพลงอยู่บนที่สูงแห่งศิโยน และเขาจะไปอย่างราบรื่นเพราะความดีของพระเยโฮวาห์ เพราะเมล็ดข้าว น้ำองุ่น และน้ำมัน และเพราะลูกของแกะและวัว ชีวิตของเขาทั้งหลายจะเหมือนกับสวนที่มีน้ำรด และเขาจะไม่โศกเศร้าอีกต่อไป
ศคย 9.17 ด้วยว่าความดีของพระองค์มากมายเพียงใด และความงดงามของพระองค์ยิ่งใหญ่แค่ไหน เมล็ดข้าวจะกระทำให้คนหนุ่มรื่นเริง และน้ำองุ่นใหม่จะทำให้หญิงสาวชื่นบาน
มก 4.28 เพราะแผ่นดินเองทำให้พืชงอกจำเริญขึ้นเป็นลำต้นก่อน ภายหลังก็ออกรวง แล้วก็มีเมล็ดข้าวเต็มรวง
ยน 12.24 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงไปในดินและเปื่อยเน่าไป ก็จะอยู่เป็นเมล็ดเดียว แต่ถ้าเปื่อยเน่าไปแล้ว ก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก
1คร 15.37 เมล็ดข้าวที่ท่านหว่านนั้น จะเป็นข้าวสาลีหรือพืชอื่นๆก็ดี ท่านมิได้หว่านสิ่งที่เป็นรูปร่างของต้นที่จะงอกขึ้นมา แต่ได้หว่านเมล็ดเท่านั้น

เมลาติยาห์ ( 1 )
นหม 3.7 และถัดเขาไป คือ เมลาติยาห์ชาวกิเบโอน และยาโดนชาวเมโรโนท คนเมืองกิเบโอนและเมืองมิสปาห์ได้ซ่อมแซม ซึ่งอยู่ใต้ปกครองของเจ้าเมืองฟากแม่น้ำข้างนี้

เมเลค ( 2 )
1พศด 8.35 บุตรชายของมีคาห์คือ ปีโธน เมเลค ทาเรีย และอาหัส
1พศด 9.41 บุตรชายของมีคาห์คือ ปีโธน เมเลค ทาเรีย และอาหัส

เมเลอา ( 1 )
ลก 3.31 ซึ่งเป็นบุตรเมเลอา ซึ่งเป็นบุตรเมนนัน ซึ่งเป็นบุตรมัทตะธา ซึ่งเป็นบุตรนาธัน ซึ่งเป็นบุตรดาวิด

เมษบาล ( 14 )
สดด 49.14 ดังแกะ เขาถูกกำหนดไว้ให้แก่แดนผู้ตาย มัจจุราชจะเป็นเมษบาลของเขา คนเที่ยงธรรมจะมีอำนาจเหนือเขาทั้งหลายในเวลาเช้า และความงามของเขาจะเปื่อยสิ้นไปในแดนผู้ตายซึ่งคือที่อาศัยของเขา
ปญจ 12.11 ถ้อยคำของนักปราชญ์เป็นประดุจปฏัก และประดุจตะปูซึ่งอาจารย์ผู้สอนแห่งการชุมนุมได้ตรึงแน่น ซึ่งท่านเมษบาลผู้หนึ่งได้ประทานให้
พซม 1.8 โอ แม่งามเลิศในท่ามกลางหญิงทั้งหลาย ถ้าเธอไม่รู้จงเดินไปตามรอยตีนฝูงแพะแกะ แล้วจงเลี้ยงฝูงแพะแกะของเธอไว้ที่ข้างเต็นท์ของเมษบาลเถิด
อสย 44.28 ผู้กล่าวถึงไซรัสว่า ‘เขาเป็นเมษบาลของเรา และเขาจะให้ความมุ่งหมายทั้งสิ้นของเราสำเร็จ’ กล่าวถึงเยรูซาเล็มว่า ‘จะมีคนมาสร้างเจ้าขึ้น’ และถึงพระวิหารว่า ‘จะวางรากฐานของเจ้า’”
ศคย 10.2 เพราะว่ารูปเคารพประจำบ้านพูดไม่ได้เรื่อง และพวกโหรก็เห็นสิ่งหลอกลวง และเล่าความฝันเท็จ และให้คำเล้าโลมที่เปล่าประโยชน์ เพราะฉะนั้นประชาชนจึงหลงไปอย่างฝูงสัตว์ เขาทุกข์ใจเพราะขาดเมษบาล
ศคย 10.3 “เราโกรธเมษบาลอย่างรุนแรง และเราลงโทษบรรดาแพะผู้ เพราะพระเยโฮวาห์จอมโยธาเอาพระทัยใส่ฝูงสัตว์ของพระองค์คือวงศ์วานยูดาห์ และทรงกระทำเขาให้เป็นเหมือนม้าศึกฮึกเหิมในสงคราม
ศคย 11.3 ฟังซิ เสียงร่ำไห้ของเมษบาล เพราะสง่าราศีของเขาทั้งหลายก็ถูกทำลายไปแล้ว ฟังซิ เสียงสิงโตหนุ่มคำราม เพราะว่าความภูมิใจแห่งแม่น้ำจอร์แดนก็ร้างเปล่า
ศคย 11.5 บรรดาผู้ที่ซื้อมันไปก็ฆ่ามันเสีย และไม่ต้องมีโทษ และบรรดาคนที่ขายมันกล่าวว่า ‘สาธุการแด่พระเยโฮวาห์ เพราะข้าพเจ้ามั่งมีแล้ว’ และเมษบาลของมันทั้งหลายไม่สงสารมันเลย
ศคย 11.8 ในเดือนเดียวข้าพเจ้าตัดเมษบาลสามคนนั้นออกเสีย แต่จิตใจข้าพเจ้าเกลียดชังแกะเหล่านั้น และจิตใจแกะก็เกลียดชังข้าพเจ้าด้วย
ศคย 11.15 แล้วพระเยโฮวาห์จึงตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงหยิบเครื่องใช้ของเมษบาลโง่เขลาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ศคย 11.16 เพราะดูเถิด เราจะตั้งเมษบาลผู้หนึ่งในแผ่นดินนี้ ผู้ไม่แวะไปหาตัวที่ถูกตัดออกไป หรือแสวงหาตัวที่ยังหนุ่ม หรือรักษาตัวที่หักเสียแล้ว หรือเลี้ยงดูตัวที่เป็นปกติ แต่กินเนื้อของแกะอ้วนทุกตัว ฉีกกินจนกระทั่งถึงกีบของมัน
ศคย 11.17 วิบัติแก่เมษบาลผู้ไร้ค่าของเรา ผู้ที่ทอดทิ้งฝูงแพะแกะเสีย ขอให้ดาบฟันแขนของเขาและฟันตาขวาของเขาเถิด ขอให้แขนของเขาลีบไปเสีย และให้ตาขวาของเขาบอดทีเดียว”
ศคย 13.7 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า “โอ ดาบเอ๋ย จงตื่นขึ้นต่อสู้เมษบาลของเรา จงต่อสู้ผู้ที่สนิทกับเรา จงตีเมษบาล และฝูงแกะนั้นจะกระจัดกระจายไป เราจะกลับมือของเราต่อสู้กับตัวเล็กตัวน้อย

เมษปิศาจ ( 3 )
2พศด 11.15 และพระองค์ทรงแต่งตั้งปุโรหิตของพระองค์ขึ้นสำหรับปูชนียสถานสูงทั้งหลาย และสำหรับเมษปิศาจ และสำหรับรูปลูกวัวซึ่งพระองค์ทรงสร้างขึ้น
อสย 13.21 แต่สัตว์ป่าจะนอนลงที่นั่น และบ้านเรือนในนั้นจะเต็มไปด้วยนกทึดทือ นกเค้าแมวจะอาศัยที่นั่น เมษปิศาจจะเต้นรำอยู่ที่นั่น
อสย 34.14 และสัตว์ป่าจะพบกับหมาจิ้งจอก เมษปิศาจจะร้องหาเพื่อนของมัน เออ ผีจะลงมาที่นั่นและหาที่ตัวพัก

เมโสโปเตเมีย ( 7 )
ปฐก 24.10 คนใช้นำอูฐสิบตัวของนายมาแล้วออกเดินทางไป ด้วยว่าข้าวของทั้งสิ้นของนายเขาอยู่ในอำนาจของเขา เขาลุกขึ้นไปยังเมโสโปเตเมีย ถึงเมืองของนาโฮร์
พบญ 23.4 เพราะว่าคนเหล่านี้มิได้มาต้อนรับท่านทั้งหลายตามทางด้วยขนมปังและน้ำเมื่อท่านออกจากอียิปต์ และเพราะว่าเขาได้จ้างบาลาอัมบุตรชายเบโอร์มาจากเปโธร์แห่งเมโสโปเตเมียให้สาปแช่งท่านทั้งหลาย
วนฉ 3.8 เพราะฉะนั้นพระพิโรธของพระเยโฮวาห์ก็พลุ่งขึ้นต่ออิสราเอล และพระองค์ทรงขายเขาไว้ในมือคูชันริชาธาอิมกษัตริย์เมืองเมโสโปเตเมีย และคนอิสราเอลได้ปฏิบัติคูชันริชาธาอิมแปดปี
วนฉ 3.10 พระวิญญาณของพระเยโฮวาห์ทรงสถิตกับโอทนีเอล และท่านจึงวินิจฉัยคนอิสราเอล และออกไปกระทำสงคราม และพระเยโฮวาห์ทรงมอบคูชันริชาธาอิมกษัตริย์เมืองเมโสโปเตเมียไว้ในมือของท่าน และมือของท่านชนะคูชันริชาธาอิม
1พศด 19.6 เมื่อคนอัมโมนเห็นว่าเขาทั้งหลายเป็นที่เกลียดชังแก่ดาวิด ฮานูนและคนอัมโมนจึงส่งเงินหนึ่งพันตะลันต์ไปจ้างรถรบและพลม้าจากเมโสโปเตเมีย จากซีเรียมาอาคาห์ และจากโศบาห์
กจ 2.9 เช่นชาวปารเธียและมีเดีย ชาวเอลามและคนที่อยู่ในเขตแดนเมโสโปเตเมีย และแคว้นยูเดียและแคว้นคัปปาโดเซีย ในแคว้นปอนทัสและเอเชีย
กจ 7.2 ฝ่ายสเทเฟนจึงตอบว่า “ท่านทั้งหลาย พี่น้องและบรรดาท่านผู้อาวุโส ขอฟังเถิด พระเจ้าแห่งสง่าราศีได้ปรากฏแก่อับราฮัมบิดาของเรา เมื่อท่านยังอยู่ในประเทศเมโสโปเตเมียก่อนที่ไปอาศัยอยู่ในเมืองฮาราน

เมหิร์ ( 1 )
1พศด 4.11 เคลูบพี่ชายของชูฮาห์ให้กำเนิดบุตรชื่อเมหิร์ ผู้เป็นบิดาของเอชโทน

เมหุมาน ( 1 )
อสธ 1.10 ณ วันที่เจ็ดเมื่อพระทัยของกษัตริย์รื่นเริงด้วยเหล้าองุ่น พระองค์ทรงบัญชาเมหุมาน บิสธา ฮารโบนา บิกธาและอาบักธา เศธาร์ และคารคาส ขันทีทั้งเจ็ดผู้ปรนนิบัติต่อพระพักตร์กษัตริย์อาหสุเอรัส

เมหุยาเอล ( 2 )
ปฐก 4.18 เอโนคให้กำเนิดบุตรชื่ออิราด อิราดให้กำเนิดบุตรชื่อเมหุยาเอล เมหุยาเอลให้กำเนิดบุตรชื่อเมธูซาเอล เมธูซาเอลให้กำเนิดบุตรชื่อลาเมค

เมเหทาเบล ( 3 )
ปฐก 36.39 เมื่อบาอัลฮานันบุตรชายอัคโบร์สิ้นพระชนม์แล้ว ฮาดาร์ขึ้นครอบครองแทน เมืองหลวงของท่านชื่อปาอู และมเหสีของท่านมีพระนามว่า เมเหทาเบล ธิดาของมัทเรด ธิดาของเมซาหับ
1พศด 1.50 เมื่อบาอัลฮานันสิ้นพระชนม์แล้ว ฮาดัดขึ้นครอบครองแทน เมืองหลวงของท่านชื่อปาอี และมเหสีของท่านมีพระนามว่า เมเหทาเบล ธิดาของมัทเรด ธิดาของเมซาหับ
นหม 6.10 และข้าพเจ้าเข้าไปในเรือนของเชไมอาห์ บุตรชายเดไลยาห์ ผู้เป็นบุตรชายเมเหทาเบล ผู้ที่เก็บตัวอยู่ เขาพูดว่า “ให้เราไปพบกันในพระนิเวศของพระเจ้าในพระวิหาร ให้เราปิดประตูพระวิหารเสีย เพราะเขาทั้งหลายจะมาฆ่าท่าน เวลากลางคืนเขาจะมาฆ่าท่านเสีย”

เมอาราห์ ( 1 )
ยชว 13.4 ซึ่งอยู่ทิศใต้คือแผ่นดินทั้งสิ้นของคนคานาอัน และเขตเมอาราห์ ซึ่งเป็นของชาวไซดอนถึงเมืองอาเฟก ถึงเขตแดนของคนอาโมไรต์

เมอาห์ ( 2 )
นหม 3.1 แล้วเอลียาชีบมหาปุโรหิตได้ลุกขึ้นพร้อมกับพี่น้องของท่าน บรรดาปุโรหิต และเขาทั้งหลายได้สร้างประตูแกะ เขาได้ทำพิธีชำระให้บริสุทธิ์และได้ตั้งบานประตู เขาทั้งหลายได้ทำพิธีชำระให้บริสุทธิ์จนถึงหอคอยเมอาห์ไกลไปจนถึงหอคอยฮานันเอล
นหม 12.39 และเหนือประตูเอฟราอิม และทางประตูเก่า และทางประตูปลา และหอคอยฮานันเอล และหอคอยเมอาห์ ถึงประตูแกะ และเขามาหยุดอยู่ที่ประตูยาม

เมโอเนนิม ( 1 )
วนฉ 9.37 กาอัลพูดขึ้นอีกว่า “ดูซิ กองทัพกำลังออกมาจากกลางแผ่นดินกองหนึ่ง และกองทัพอีกกองหนึ่งกำลังออกมาจากทางที่ราบเมโอเนนิม”

เมโอโนธัย ( 1 )
1พศด 4.14 เมโอโนธัยให้กำเนิดบุตรชื่อโอฟราห์ และเสไรอาร์ให้กำเนิดบุตรชื่อโยอาบ ผู้เป็นบิดาของชาวหุบเขาเกหะราชิม เพราะพวกเขาเป็นช่างฝีมือ

เมา ( 23 )
ปฐก 9.21 ท่านได้ดื่มเหล้าองุ่นจนเมา และท่านก็เปลือยกายอยู่ในเต็นท์ของท่าน
ปฐก 9.24 โนอาห์สร่างเมาแล้วจึงรู้ว่าบุตรชายสุดท้องของเขาได้ทำอะไรแก่ท่าน
พบญ 32.42 เราจะให้ลูกธนูของเราเมาโลหิต และดาบของเราจะกินเนื้อหนัง ด้วยโลหิตของผู้ที่ถูกฆ่าและของเชลย ตั้งแต่เริ่มแก้แค้นต่อศัตรู”’
1ซมอ 1.14 เอลีจึงพูดกับนางว่า “เธอจะเมาไปนานสักเท่าใด ทิ้งเหล้าองุ่นเสียเถิด”
1พกษ 16.9 แต่ศิมรีข้าราชการของพระองค์ ผู้บัญชาการกองรถรบของพระองค์ครึ่งหนึ่ง ได้คิดกบฏต่อพระองค์เมื่อพระองค์ประทับที่เมืองทีรซาห์ พระองค์ทรงดื่มจนเมาในเรือนของอารซาผู้ครอบครองราชสำนักในทีรซาห์
1พกษ 20.16 เขาทั้งหลายยกออกไปในเวลาเที่ยงวัน ฝ่ายเบนฮาดัดกำลังดื่มเมาอยู่ในทับอาศัย ทั้งท่านและกษัตริย์อีกสามสิบสององค์ที่ช่วยท่าน
อสย 5.11 วิบัติแก่คนเหล่านั้นที่ลุกขึ้นแต่เช้ามืด เพื่อวิ่งไปตามเมรัย ผู้เฉื่อยแฉะอยู่จนดึก จนเหล้าองุ่นทำให้เขาเมาหยำเป
อสย 49.26 เราจะให้ผู้บีบบังคับเจ้ากินเนื้อของตนเอง และเขาจะเมาโลหิตของเขาเองเหมือนเมาเหล้าองุ่น แล้วเนื้อหนังทั้งปวงจะทราบว่า เราคือพระเยโฮวาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเจ้า และพระผู้ไถ่ของเจ้า องค์อานุภาพของยาโคบ”
อสย 63.6 เราจะย่ำชนชาติทั้งหลายลงด้วยความโกรธของเรา เราทำให้เขาเมาด้วยความพิโรธของเรา และเราจะทำให้กำลังของเขาถดถอยลงบนแผ่นดินโลก”
ยรม 25.27 “แล้วเจ้าจงพูดกับเขาทั้งหลายว่า ‘พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า จงดื่มให้เมาแล้วก็อาเจียน จงล้มลงและอย่าลุกขึ้นอีกเลย เนื่องด้วยดาบซึ่งเราจะส่งมาท่ามกลางเจ้าทั้งหลาย’
พคค 3.15 พระองค์ทรงให้ข้าพเจ้าบริโภคผักรสขมจนช่ำ พระองค์ทรงให้ข้าพเจ้าเมาไปด้วยบอระเพ็ด
อสค 39.19 และเจ้าจะรับประทานไขมันจนเจ้าอิ่มหนำ และดื่มโลหิตจนเจ้าจะเมา ณ การเลี้ยงสักการบูชาซึ่งเราได้ถวายเพื่อเจ้า
นฮม 1.10 แม้ว่าเขาทั้งหลายเหมือนหนามไก่ไห้ที่เกี่ยวกันยุ่ง และเมาตามขนาดที่เขาดื่ม เขาจะถูกเผาผลาญสิ้นเหมือนตอข้าวที่แห้งผาก
ฮบก 2.15 วิบัติแก่ผู้นั้นที่ให้เพื่อนบ้านดื่ม ที่ยื่นขวดไปให้เขาและทำให้เขาเมาไป เพื่อจะเพ่งดูความเปลือยเปล่าของเพื่อนบ้าน
ลก 12.45 แต่ถ้าผู้รับใช้นั้นจะคิดในใจว่า ‘นายของข้าคงจะมาช้า’ แล้วจะตั้งต้นโบยตีผู้รับใช้ชายหญิงและกินดื่มเมาไป
กจ 2.13 แต่บางคนเยาะเย้ยว่า “คนเหล่านั้นเมาเหล้าองุ่นใหม่”
กจ 2.15 ด้วยว่าคนเหล่านี้มิได้เมาเหล้าองุ่นเหมือนอย่างที่ท่านคิดนั้น เพราะว่าเป็นเวลาสามโมงเช้า
1คร 11.21 เพราะว่าเมื่อท่านรับประทาน บ้างก็รับประทานอาหารของตนก่อนคนอื่น บ้างก็ยังหิวอยู่ และบ้างก็เมา
อฟ 5.18 และอย่าเมาเหล้าองุ่นซึ่งจะทำให้เสียคน แต่จงประกอบด้วยพระวิญญาณ
1ธส 5.7 เพราะว่าคนนอนหลับก็ย่อมหลับในเวลากลางคืน และคนเมาก็ย่อมเมาในเวลากลางคืน
1ปต 4.3 ด้วยว่าเวลาที่ผ่านไปในชีวิตของเราแล้วนั้น น่าจะเพียงพอสำหรับการกระทำสิ่งที่คนต่างชาติชอบกระทำ คราวเมื่อเราได้ดำเนินตามกิเลสตัณหา ตามใจปรารถนาอันชั่ว เมาเหล้าองุ่น เฮฮาเอะอะเอ็ดตะโรกัน เลี้ยงกันอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย และการไหว้รูปเคารพอันเป็นที่น่าเกลียด

เมามาย ( 5 )
พคค 4.21 โอ ธิดาแห่งเมืองเอโดม ที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินอูส จงเปรมปรีดิ์และยินดีเถิด ถ้วยนั้นจะผ่านมาถึงเจ้าด้วย เจ้าจะต้องเมามาย และจะกระทำให้ตัวเองเปลือยเปล่าไป
รม 13.13 เราจงดำเนินชีวิตให้เหมาะสมกับเวลากลางวัน มิใช่เลี้ยงเสพสุราเมามาย มิใช่หยาบโลนลามก มิใช่วิวาทริษยากัน
1ธส 5.6 เหตุฉะนั้นอย่าให้เราหลับเหมือนอย่างคนอื่น แต่ให้เราเฝ้าระวังและไม่เมามาย
1ธส 5.8 แต่เมื่อเราเป็นของกลางวันแล้ว ก็อย่าให้เราเมามาย จงสวมความเชื่อกับความรักเป็นเกราะป้องกันอก และสวมความหวังที่จะได้ความรอดเป็นหมวกเหล็ก
วว 17.6 และข้าพเจ้าเห็นหญิงนั้นเมามายด้วยโลหิตของพวกวิสุทธิชน และโลหิตของคนทั้งหลายที่พลีชีพเพื่อเป็นพยานของพระเยซู เมื่อข้าพเจ้าเห็นหญิงนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็อัศจรรย์ใจยิ่งนัก

เมิน ( 4 )
โยบ 13.24 ทำไมพระองค์ทรงเมินพระพักตร์เสีย และทรงนับว่าข้าพระองค์เป็นศัตรูของพระองค์
โยบ 34.10 เพราะฉะนั้น ท่านผู้มีความเข้าใจ ขอฟังข้าพเจ้า เมินเสียเถิดที่พระเจ้าจะทรงกระทำความชั่ว และที่องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จะทรงกระทำความชั่วช้า
สดด 39.13 โอ ขอทรงเมินพระพักตร์จากข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะเบิกบานขึ้น ก่อนที่ข้าพระองค์จะจากไปและไม่มีอยู่อีก”
สดด 132.10 เพราะเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ ขออย่าทรงเมินพระพักตร์หนีจากผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้นั้น

เมินเฉย ( 2 )
อพย 23.5 ถ้าเห็นลาของผู้ที่เกลียดชังเจ้าล้มลงเพราะบรรทุกของหนัก อย่าได้เมินเฉยเสีย จงช่วยเขายกมันขึ้น
สดด 22.1 พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย เหตุใดพระองค์ทรงเมินเฉยที่จะช่วยข้าพระองค์ และต่อถ้อยคำคร่ำครวญของข้าพระองค์

เมินหน้า ( 3 )
มธ 5.42 ถ้าเขาจะขอสิ่งใดจากท่านก็จงให้ อย่าเมินหน้าจากผู้ที่อยากขอยืมจากท่าน
รม 16.17 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าจึงขอวิงวอนท่าน ให้สังเกตดูคนเหล่านั้นที่ก่อเหตุทะเลาะวิวาทกันและทำให้คนอื่นหลงไป ซึ่งเป็นการผิดคำสอนที่ท่านทั้งหลายได้เรียนมา จงเมินหน้าจากคนเหล่านั้น
ฮบ 12.25 จงระวังให้ดี อย่าปฏิเสธไม่ยอมฟังพระองค์ผู้ตรัสนั้น เพราะว่าถ้าเขาเหล่านั้นที่ปฏิเสธไม่ยอมฟังคำเตือนของพระองค์ที่พื้นแผ่นดินโลกไม่ได้พ้นโทษ ถ้าเราเมินหน้าจากพระองค์ผู้ทรงเตือนจากสวรรค์ เราทั้งหลายก็จะไม่ได้พ้นโทษมากยิ่งกว่านั้นอีก

เมีย ( 5 )
อพย 21.5 ถ้าทาสนั้นมากล่าวเป็นที่เข้าใจชัดเจนว่า ‘ข้าพเจ้ารักนายและลูกเมียของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่อยากออกไปเป็นไทย’
กดว 14.3 พระเยโฮวาห์นำเราเข้ามาในประเทศนี้ให้ตายด้วยดาบทำไมเล่า ลูกเมียของเราต้องตกเป็นเหยื่อ ที่เราจะกลับไปอียิปต์ไม่ดีกว่าหรือ”
1พกษ 20.7 แล้วกษัตริย์แห่งอิสราเอลก็เรียกประชุมพวกผู้ใหญ่ทั้งปวงของแผ่นดินตรัสว่า “ขอตรองดูเถิด ดูว่าชายผู้นี้หาช่องก่อความลำบาก เพราะเขาให้คนมารับเมียและลูกของฉัน ทั้งเงินและทองคำของฉัน และฉันก็มิได้ปฏิเสธเขา”
2พศด 21.14 ดูเถิด พระเยโฮวาห์จะทรงนำภัยพิบัติอันยิ่งใหญ่มาเหนือชนชาติของเจ้า ลูกหลานของเจ้า เมียของเจ้า และข้าวของทั้งสิ้นของเจ้า
นฮม 2.12 สิงโตนั้นได้ฉีกอาหารให้ลูกของมันพอกิน และได้คาบคอเหยื่อมาให้เหล่าเมียของมัน มันสะสมเหยื่อเต็มถ้ำและสะสมเนื้อที่ฉีกแล้วเต็มรัง

เมียน้อย ( 2 )
วนฉ 8.31 เมียน้อยของกิเดโอนที่อยู่ ณ เมืองเชเคมก็คลอดบุตรชายให้ท่านคนหนึ่งด้วย ท่านตั้งชื่อว่าอาบีเมเลค
วนฉ 19.24 ดูเถิด นี่ มีลูกสาวพรหมจารีคนหนึ่งและเมียน้อยของเขา ข้าพเจ้าจะพาออกมาให้ท่านเดี๋ยวนี้ จงกระทำหยามเกียรติหรือทำอะไรแก่พวกเขาตามชอบใจเถิด แต่ขออย่าทำลามกกับชายคนนี้เลย”

เมื่อ ( 3556 )
ปฐก 2.4; ปฐก 3.6; ปฐก 4.8; ปฐก 4.12; ปฐก 6.1; ปฐก 6.4; ปฐก 7.6; ปฐก 7.11; ปฐก 9.14; ปฐก 11.2; ปฐก 12.4; ปฐก 12.11; ปฐก 12.12; ปฐก 12.14; ปฐก 14.14; ปฐก 15.11; ปฐก 15.12; ปฐก 15.17; ปฐก 16.4; ปฐก 16.5; ปฐก 16.6; ปฐก 16.16; ปฐก 17.1; ปฐก 17.24; ปฐก 17.25; ปฐก 18.2; ปฐก 18.14; ปฐก 18.33; ปฐก 19.1; ปฐก 19.15; ปฐก 19.17; ปฐก 19.23; ปฐก 19.29; ปฐก 20.13; ปฐก 21.2; ปฐก 21.4; ปฐก 21.5; ปฐก 21.7; ปฐก 21.8; ปฐก 24.15; ปฐก 24.19; ปฐก 24.22; ปฐก 24.30; ปฐก 24.36; ปฐก 24.41; ปฐก 24.43; ปฐก 24.45; ปฐก 24.52; ปฐก 24.64; ปฐก 25.6; ปฐก 25.8; ปฐก 25.20; ปฐก 25.24; ปฐก 25.26; ปฐก 26.8; ปฐก 26.27; ปฐก 26.34; ปฐก 27.1; ปฐก 27.5; ปฐก 27.30; ปฐก 27.34; ปฐก 27.40; ปฐก 28.6; ปฐก 28.8; ปฐก 29.9; ปฐก 29.31; ปฐก 30.1; ปฐก 30.9; ปฐก 30.25; ปฐก 30.33; ปฐก 30.38; ปฐก 30.41; ปฐก 30.42; ปฐก 31.42; ปฐก 31.49; ปฐก 32.2; ปฐก 32.10; ปฐก 32.17; ปฐก 32.19; ปฐก 32.25; ปฐก 32.31; ปฐก 33.18; ปฐก 34.2; ปฐก 34.7; ปฐก 34.25; ปฐก 35.1; ปฐก 35.7; ปฐก 35.9; ปฐก 35.18; ปฐก 35.22; ปฐก 35.29; ปฐก 36.24; ปฐก 36.33; ปฐก 36.34; ปฐก 36.35; ปฐก 36.36; ปฐก 36.37; ปฐก 36.38; ปฐก 36.39; ปฐก 37.2; ปฐก 37.3; ปฐก 37.4; ปฐก 37.10; ปฐก 37.18; ปฐก 37.29; ปฐก 38.5; ปฐก 38.9; ปฐก 38.12; ปฐก 38.15; ปฐก 38.25; ปฐก 38.27; ปฐก 38.28; ปฐก 38.29; ปฐก 39.13; ปฐก 39.15; ปฐก 39.18; ปฐก 40.13; ปฐก 40.14; ปฐก 40.16; ปฐก 41.21; ปฐก 41.46; ปฐก 41.55; ปฐก 42.1; ปฐก 42.21; ปฐก 42.35; ปฐก 43.2; ปฐก 43.16; ปฐก 43.26; ปฐก 44.4; ปฐก 44.20; ปฐก 44.30; ปฐก 44.31; ปฐก 45.27; ปฐก 46.33; ปฐก 47.15; ปฐก 47.18; ปฐก 47.24; ปฐก 48.7; ปฐก 48.17; ปฐก 49.33; ปฐก 50.4; ปฐก 50.11; ปฐก 50.14; ปฐก 50.15; ปฐก 50.17; ปฐก 50.26; อพย 1.10; อพย 1.16; อพย 2.2; อพย 2.5; อพย 2.6; อพย 2.12; อพย 2.13; อพย 2.15; อพย 2.18; อพย 3.4; อพย 3.12; อพย 3.13; อพย 3.21; อพย 4.6; อพย 4.14; อพย 4.21; อพย 4.31; อพย 5.13; อพย 7.5; อพย 7.7; อพย 7.9; อพย 8.15; อพย 9.34; อพย 11.1; อพย 12.13; อพย 12.23; อพย 12.26; อพย 12.27; อพย 12.44; อพย 12.48; อพย 13.8; อพย 13.11; อพย 13.14; อพย 13.17; อพย 14.5; อพย 14.10; อพย 14.18; อพย 15.19; อพย 15.25; อพย 16.3; อพย 16.5; อพย 16.14; อพย 16.15; อพย 16.18; อพย 16.22; อพย 16.24; อพย 16.27; อพย 16.32; อพย 18.1; อพย 18.9; อพย 18.14; อพย 18.16; อพย 19.2; อพย 19.13; อพย 19.19; อพย 20.18; อพย 22.12; อพย 22.27; อพย 23.16; อพย 28.29; อพย 28.30; อพย 28.35; อพย 28.43; อพย 29.29; อพย 30.7; อพย 30.8; อพย 30.12; อพย 30.15; อพย 30.20; อพย 31.18; อพย 32.1; อพย 32.4; อพย 32.5; อพย 32.17; อพย 32.25; อพย 32.34; อพย 33.4; อพย 33.16; อพย 33.22; อพย 33.23; อพย 34.15; อพย 34.24; อพย 34.30; อพย 34.33; ลนต 1.2; ลนต 2.1; ลนต 2.4; ลนต 2.8; ลนต 4.14; ลนต 4.23; ลนต 4.28; ลนต 5.3; ลนต 5.4; ลนต 5.5; ลนต 6.27; ลนต 8.20; ลนต 8.21; ลนต 9.23; ลนต 9.24; ลนต 10.9; ลนต 10.17; ลนต 10.20; ลนต 11.31; ลนต 11.32; ลนต 12.6; ลนต 13.3; ลนต 13.24; ลนต 13.38; ลนต 13.47; ลนต 13.55; ลนต 13.56; ลนต 13.58; ลนต 14.34; ลนต 14.43; ลนต 14.46; ลนต 14.48; ลนต 15.2; ลนต 15.13; ลนต 15.19; ลนต 15.23; ลนต 15.26; ลนต 15.31; ลนต 16.1; ลนต 16.17; ลนต 16.20; ลนต 18.18; ลนต 18.28; ลนต 19.5; ลนต 19.9; ลนต 19.23; ลนต 19.33; ลนต 20.4; ลนต 22.7; ลนต 22.9; ลนต 22.13; ลนต 22.18; ลนต 22.21; ลนต 22.27; ลนต 22.29; ลนต 23.10; ลนต 23.22; ลนต 23.39; ลนต 23.43; ลนต 24.16; ลนต 25.2; ลนต 25.22; ลนต 25.29; ลนต 25.48; ลนต 26.26; ลนต 26.35; ลนต 26.44; ลนต 27.2; ลนต 27.14; ลนต 27.21; กดว 1.51; กดว 2.9; กดว 2.16; กดว 2.24; กดว 2.31; กดว 3.1; กดว 3.4; กดว 3.8; กดว 4.5; กดว 4.15; กดว 4.19; กดว 5.19; กดว 5.21; กดว 5.27; กดว 5.29; กดว 5.30; กดว 6.2; กดว 6.13; กดว 6.19; กดว 7.1; กดว 7.88; กดว 7.89; กดว 8.2; กดว 8.10; กดว 8.15; กดว 8.19; กดว 8.26; กดว 9.19; กดว 9.20; กดว 9.21; กดว 9.22; กดว 10.3; กดว 10.5; กดว 10.6; กดว 10.7; กดว 10.9; กดว 10.17; กดว 10.28; กดว 10.35; กดว 10.36; กดว 11.1; กดว 11.2; กดว 11.9; กดว 11.18; กดว 11.25; กดว 11.33; กดว 12.10; กดว 15.2; กดว 15.8; กดว 15.13; กดว 15.18; กดว 15.19; กดว 15.28; กดว 15.32; กดว 16.22; กดว 16.31; กดว 16.42; กดว 16.50; กดว 18.26; กดว 18.30; กดว 18.32; กดว 20.3; กดว 20.16; กดว 20.29; กดว 21.1; กดว 21.8; กดว 22.8; กดว 22.23; กดว 22.25; กดว 22.27; กดว 22.36; กดว 24.1; กดว 24.23; กดว 25.1; กดว 26.9; กดว 26.10; กดว 26.61; กดว 26.63; กดว 26.64; กดว 27.13; กดว 28.26; กดว 30.2; กดว 30.3; กดว 30.16; กดว 32.8; กดว 32.9; กดว 33.1; กดว 33.39; กดว 33.51; กดว 34.2; กดว 35.10; กดว 35.21; กดว 35.28; กดว 36.4; พบญ 2.16; พบญ 2.19; พบญ 2.22; พบญ 4.7; พบญ 4.15; พบญ 4.19; พบญ 4.25; พบญ 4.30; พบญ 4.42; พบญ 4.45; พบญ 4.46; พบญ 5.23; พบญ 5.28; พบญ 6.7; พบญ 6.10; พบญ 6.11; พบญ 6.20; พบญ 7.1; พบญ 7.2; พบญ 8.10; พบญ 8.12; พบญ 8.13; พบญ 9.4; พบญ 9.9; พบญ 9.11; พบญ 9.16; พบญ 9.23; พบญ 11.4; พบญ 11.19; พบญ 11.29; พบญ 12.10; พบญ 12.20; พบญ 12.25; พบญ 12.28; พบญ 12.29; พบญ 13.18; พบญ 14.24; พบญ 15.4; พบญ 15.10; พบญ 15.12; พบญ 15.13; พบญ 15.18; พบญ 16.6; พบญ 16.13; พบญ 17.14; พบญ 17.18; พบญ 18.9; พบญ 18.16; พบญ 18.22; พบญ 19.1; พบญ 19.5; พบญ 20.1; พบญ 20.2; พบญ 20.9; พบญ 20.10; พบญ 20.13; พบญ 20.19; พบญ 21.9; พบญ 21.10; พบญ 21.16; พบญ 22.1; พบญ 22.8; พบญ 23.4; พบญ 23.9; พบญ 23.11; พบญ 23.13; พบญ 23.21; พบญ 23.24; พบญ 23.25; พบญ 24.1; พบญ 24.5; พบญ 24.9; พบญ 24.10; พบญ 24.13; พบญ 24.19; พบญ 24.20; พบญ 24.21; พบญ 25.1; พบญ 25.4; พบญ 25.18; พบญ 25.19; พบญ 26.1; พบญ 26.7; พบญ 26.12; พบญ 26.14; พบญ 27.3; พบญ 27.4; พบญ 27.12; พบญ 28.6; พบญ 28.19; พบญ 28.65; พบญ 29.7; พบญ 29.19; พบญ 29.22; พบญ 29.25; พบญ 30.1; พบญ 31.10; พบญ 31.11; พบญ 31.20; พบญ 31.21; พบญ 31.24; พบญ 31.27; พบญ 31.29; พบญ 32.8; พบญ 32.36; พบญ 32.45; พบญ 33.5; พบญ 33.18; พบญ 34.7; ยชว 1.1; ยชว 2.5; ยชว 2.8; ยชว 2.10; ยชว 2.12; ยชว 2.14; ยชว 2.18; ยชว 3.3; ยชว 3.8; ยชว 3.13; ยชว 3.14; ยชว 3.15; ยชว 4.1; ยชว 4.6; ยชว 4.7; ยชว 4.11; ยชว 4.18; ยชว 4.21; ยชว 5.1; ยชว 5.7; ยชว 5.8; ยชว 5.12; ยชว 5.13; ยชว 6.5; ยชว 6.8; ยชว 6.16; ยชว 6.18; ยชว 6.20; ยชว 7.8; ยชว 7.25; ยชว 8.5; ยชว 8.8; ยชว 8.14; ยชว 8.16; ยชว 8.20; ยชว 8.21; ยชว 8.24; ยชว 8.29; ยชว 9.1; ยชว 9.3; ยชว 9.12; ยชว 9.13; ยชว 9.16; ยชว 9.22; ยชว 10.1; ยชว 10.11; ยชว 10.20; ยชว 10.24; ยชว 10.27; ยชว 11.1; ยชว 13.1; ยชว 14.7; ยชว 14.10; ยชว 15.18; ยชว 15.19; ยชว 17.13; ยชว 19.47; ยชว 19.49; ยชว 21.43; ยชว 22.7; ยชว 22.10; ยชว 22.12; ยชว 22.15; ยชว 22.30; ยชว 23.1; ยชว 24.7; วนฉ 1.1; วนฉ 1.14; วนฉ 1.15; วนฉ 1.28; วนฉ 2.4; วนฉ 2.6; วนฉ 2.8; วนฉ 2.18; วนฉ 2.19; วนฉ 2.21; วนฉ 3.9; วนฉ 3.15; วนฉ 3.18; วนฉ 3.24; วนฉ 3.25; วนฉ 3.26; วนฉ 3.27; วนฉ 4.12; วนฉ 4.21; วนฉ 5.2; วนฉ 5.4; วนฉ 5.8; วนฉ 5.31; วนฉ 6.5; วนฉ 6.7; วนฉ 6.28; วนฉ 6.29; วนฉ 6.38; วนฉ 7.15; วนฉ 7.17; วนฉ 7.18; วนฉ 7.22; วนฉ 8.1; วนฉ 8.3; วนฉ 8.7; วนฉ 8.9; วนฉ 8.33; วนฉ 9.7; วนฉ 9.22; วนฉ 9.33; วนฉ 9.36; วนฉ 9.46; วนฉ 9.55; วนฉ 11.2; วนฉ 11.5; วนฉ 11.7; วนฉ 11.13; วนฉ 11.16; วนฉ 11.26; วนฉ 11.31; วนฉ 11.35; วนฉ 11.36; วนฉ 11.39; วนฉ 12.2; วนฉ 12.3; วนฉ 12.5; วนฉ 13.9; วนฉ 13.11; วนฉ 13.17; วนฉ 13.20; วนฉ 14.11; วนฉ 15.7; วนฉ 15.14; วนฉ 15.17; วนฉ 16.9; วนฉ 16.15; วนฉ 16.16; วนฉ 16.18; วนฉ 16.24; วนฉ 16.25; วนฉ 16.30; วนฉ 17.4; วนฉ 17.8; วนฉ 18.3; วนฉ 18.8; วนฉ 18.10; วนฉ 18.18; วนฉ 18.22; วนฉ 18.26; วนฉ 19.1; วนฉ 19.3; วนฉ 19.7; วนฉ 19.9; วนฉ 19.11; วนฉ 19.14; วนฉ 19.16; วนฉ 19.17; วนฉ 19.22; วนฉ 19.23; วนฉ 19.27; วนฉ 19.29; วนฉ 20.10; วนฉ 21.9; วนฉ 21.16; นรธ 1.1; นรธ 1.6; นรธ 1.18; นรธ 1.19; นรธ 1.21; นรธ 2.9; นรธ 2.10; นรธ 2.15; นรธ 2.18; นรธ 3.7; นรธ 3.16; นรธ 4.8; นรธ 4.15; 1ซมอ 1.7; 1ซมอ 1.12; 1ซมอ 1.20; 1ซมอ 1.24; 1ซมอ 2.13; 1ซมอ 2.19; 1ซมอ 2.27; 1ซมอ 4.2; 1ซมอ 4.3; 1ซมอ 4.5; 1ซมอ 4.6; 1ซมอ 4.13; 1ซมอ 4.14; 1ซมอ 4.18; 1ซมอ 4.19; 1ซมอ 4.20; 1ซมอ 5.2; 1ซมอ 5.3; 1ซมอ 5.4; 1ซมอ 5.7; 1ซมอ 5.9; 1ซมอ 5.10; 1ซมอ 6.6; 1ซมอ 6.13; 1ซมอ 6.16; 1ซมอ 7.7; 1ซมอ 8.1; 1ซมอ 8.6; 1ซมอ 8.21; 1ซมอ 9.5; 1ซมอ 9.9; 1ซมอ 9.11; 1ซมอ 9.14; 1ซมอ 9.17; 1ซมอ 9.25; 1ซมอ 9.26; 1ซมอ 9.27; 1ซมอ 10.2; 1ซมอ 10.5; 1ซมอ 10.7; 1ซมอ 10.9; 1ซมอ 10.10; 1ซมอ 10.11; 1ซมอ 10.13; 1ซมอ 10.14; 1ซมอ 10.21; 1ซมอ 10.23; 1ซมอ 11.4; 1ซมอ 11.6; 1ซมอ 11.8; 1ซมอ 11.9; 1ซมอ 12.8; 1ซมอ 12.12; 1ซมอ 13.1; 1ซมอ 13.6; 1ซมอ 13.11; 1ซมอ 13.22; 1ซมอ 14.17; 1ซมอ 14.19; 1ซมอ 14.22; 1ซมอ 14.26; 1ซมอ 14.47; 1ซมอ 14.52; 1ซมอ 15.2; 1ซมอ 15.6; 1ซมอ 16.1; 1ซมอ 16.6; 1ซมอ 16.16; 1ซมอ 16.23; 1ซมอ 17.11; 1ซมอ 17.20; 1ซมอ 17.23; 1ซมอ 17.24; 1ซมอ 17.31; 1ซมอ 17.34; 1ซมอ 17.42; 1ซมอ 17.48; 1ซมอ 17.51; 1ซมอ 17.55; 1ซมอ 17.57; 1ซมอ 18.1; 1ซมอ 18.6; 1ซมอ 18.7; 1ซมอ 18.15; 1ซมอ 18.19; 1ซมอ 18.26; 1ซมอ 18.30; 1ซมอ 19.9; 1ซมอ 19.14; 1ซมอ 19.16; 1ซมอ 19.20; 1ซมอ 19.21; 1ซมอ 20.12; 1ซมอ 20.15; 1ซมอ 20.19; 1ซมอ 20.24; 1ซมอ 20.36; 1ซมอ 20.37; 1ซมอ 20.41; 1ซมอ 21.1; 1ซมอ 22.1; 1ซมอ 22.8; 1ซมอ 22.22; 1ซมอ 23.6; 1ซมอ 23.13; 1ซมอ 23.25; 1ซมอ 24.1; 1ซมอ 24.8; 1ซมอ 24.16; 1ซมอ 24.17; 1ซมอ 24.18; 1ซมอ 25.9; 1ซมอ 25.15; 1ซมอ 25.20; 1ซมอ 25.23; 1ซมอ 25.30; 1ซมอ 25.31; 1ซมอ 25.34; 1ซมอ 25.37; 1ซมอ 25.39; 1ซมอ 25.40; 1ซมอ 27.4; 1ซมอ 28.5; 1ซมอ 28.6; 1ซมอ 28.12; 1ซมอ 28.16; 1ซมอ 28.21; 1ซมอ 28.22; 1ซมอ 29.4; 1ซมอ 29.10; 1ซมอ 30.1; 1ซมอ 30.3; 1ซมอ 30.12; 1ซมอ 30.13; 1ซมอ 30.16; 1ซมอ 30.21; 1ซมอ 30.26; 1ซมอ 31.5; 1ซมอ 31.7; 1ซมอ 31.8; 1ซมอ 31.11; 2ซมอ 1.1; 2ซมอ 1.2; 2ซมอ 1.7; 2ซมอ 1.10; 2ซมอ 1.23; 2ซมอ 2.4; 2ซมอ 2.10; 2ซมอ 2.19; 2ซมอ 2.24; 2ซมอ 2.30; 2ซมอ 3.6; 2ซมอ 3.13; 2ซมอ 3.23; 2ซมอ 3.26; 2ซมอ 3.27; 2ซมอ 3.28; 2ซมอ 3.30; 2ซมอ 3.35; 2ซมอ 4.1; 2ซมอ 4.4; 2ซมอ 4.5; 2ซมอ 4.7; 2ซมอ 4.10; 2ซมอ 4.11; 2ซมอ 5.2; 2ซมอ 5.4; 2ซมอ 5.17; 2ซมอ 5.23; 2ซมอ 5.24; 2ซมอ 6.6; 2ซมอ 6.13; 2ซมอ 6.16; 2ซมอ 6.18; 2ซมอ 7.1; 2ซมอ 7.11; 2ซมอ 7.12; 2ซมอ 8.3; 2ซมอ 8.5; 2ซมอ 8.9; 2ซมอ 8.13; 2ซมอ 10.5; 2ซมอ 10.6; 2ซมอ 10.7; 2ซมอ 10.9; 2ซมอ 10.14; 2ซมอ 10.17; 2ซมอ 10.19; 2ซมอ 11.1; 2ซมอ 11.2; 2ซมอ 11.7; 2ซมอ 11.10; 2ซมอ 11.16; 2ซมอ 11.19; 2ซมอ 11.26; 2ซมอ 11.27; 2ซมอ 12.18; 2ซมอ 12.19; 2ซมอ 12.21; 2ซมอ 12.22; 2ซมอ 12.23; 2ซมอ 13.5; 2ซมอ 13.6; 2ซมอ 13.11; 2ซมอ 13.21; 2ซมอ 13.28; 2ซมอ 13.30; 2ซมอ 13.36; 2ซมอ 14.4; 2ซมอ 14.26; 2ซมอ 15.2; 2ซมอ 15.4; 2ซมอ 15.5; 2ซมอ 15.8; 2ซมอ 15.12; 2ซมอ 15.23; 2ซมอ 15.32; 2ซมอ 15.36; 2ซมอ 16.1; 2ซมอ 16.5; 2ซมอ 16.16; 2ซมอ 16.21; 2ซมอ 17.2; 2ซมอ 17.3; 2ซมอ 17.6; 2ซมอ 17.9; 2ซมอ 17.20; 2ซมอ 17.21; 2ซมอ 17.23; 2ซมอ 17.27; 2ซมอ 18.9; 2ซมอ 18.18; 2ซมอ 18.24; 2ซมอ 18.29; 2ซมอ 18.33; 2ซมอ 19.11; 2ซมอ 19.25; 2ซมอ 19.27; 2ซมอ 19.30; 2ซมอ 19.39; 2ซมอ 20.8; 2ซมอ 20.12; 2ซมอ 20.13; 2ซมอ 21.12; 2ซมอ 21.21; 2ซมอ 22.5; 2ซมอ 23.4; 2ซมอ 23.9; 2ซมอ 24.8; 2ซมอ 24.10; 2ซมอ 24.11; 2ซมอ 24.16; 2ซมอ 24.17; 2ซมอ 24.20; 1พกษ 1.16; 1พกษ 1.21; 1พกษ 1.22; 1พกษ 1.23; 1พกษ 1.41; 1พกษ 2.1; 1พกษ 2.7; 1พกษ 2.28; 1พกษ 2.29; 1พกษ 2.39; 1พกษ 2.41; 1พกษ 3.18; 1พกษ 3.21; 1พกษ 5.1; 1พกษ 5.7; 1พกษ 6.7; 1พกษ 7.24; 1พกษ 8.9; 1พกษ 8.10; 1พกษ 8.21; 1พกษ 8.30; 1พกษ 8.31; 1พกษ 8.33; 1พกษ 8.35; 1พกษ 8.36; 1พกษ 8.41; 1พกษ 8.42; 1พกษ 8.53; 1พกษ 9.1; 1พกษ 9.10; 1พกษ 9.12; 1พกษ 10.1; 1พกษ 10.2; 1พกษ 10.4; 1พกษ 11.4; 1พกษ 11.15; 1พกษ 11.21; 1พกษ 11.24; 1พกษ 11.28; 1พกษ 11.29; 1พกษ 12.2; 1พกษ 12.6; 1พกษ 12.16; 1พกษ 12.20; 1พกษ 12.21; 1พกษ 13.4; 1พกษ 13.24; 1พกษ 13.26; 1พกษ 13.31; 1พกษ 14.5; 1พกษ 14.6; 1พกษ 14.12; 1พกษ 14.17; 1พกษ 14.21; 1พกษ 14.28; 1พกษ 15.21; 1พกษ 15.23; 1พกษ 16.2; 1พกษ 16.9; 1พกษ 16.11; 1พกษ 16.18; 1พกษ 17.10; 1พกษ 17.11; 1พกษ 18.4; 1พกษ 18.7; 1พกษ 18.10; 1พกษ 18.12; 1พกษ 18.13; 1พกษ 18.17; 1พกษ 18.29; 1พกษ 18.36; 1พกษ 18.39; 1พกษ 18.44; 1พกษ 19.3; 1พกษ 19.13; 1พกษ 19.15; 1พกษ 20.12; 1พกษ 20.40; 1พกษ 21.27; 1พกษ 22.15; 1พกษ 22.25; 1พกษ 22.32; 1พกษ 22.33; 1พกษ 22.42; 2พกษ 2.1; 2พกษ 2.9; 2พกษ 2.11; 2พกษ 2.14; 2พกษ 2.15; 2พกษ 2.17; 2พกษ 2.18; 2พกษ 2.23; 2พกษ 3.5; 2พกษ 3.9; 2พกษ 3.15; 2พกษ 3.21; 2พกษ 3.22; 2พกษ 3.24; 2พกษ 3.26; 2พกษ 4.4; 2พกษ 4.6; 2พกษ 4.8; 2พกษ 4.10; 2พกษ 4.12; 2พกษ 4.15; 2พกษ 4.16; 2พกษ 4.17; 2พกษ 4.18; 2พกษ 4.20; 2พกษ 4.25; 2พกษ 4.27; 2พกษ 4.32; 2พกษ 4.34; 2พกษ 4.36; 2พกษ 4.38; 2พกษ 5.6; 2พกษ 5.7; 2พกษ 5.8; 2พกษ 5.13; 2พกษ 5.18; 2พกษ 5.19; 2พกษ 5.21; 2พกษ 5.24; 2พกษ 5.26; 2พกษ 6.4; 2พกษ 6.6; 2พกษ 6.15; 2พกษ 6.18; 2พกษ 6.21; 2พกษ 6.23; 2พกษ 6.25; 2พกษ 6.30; 2พกษ 6.32; 2พกษ 7.5; 2พกษ 7.8; 2พกษ 7.12; 2พกษ 7.15; 2พกษ 7.17; 2พกษ 8.3; 2พกษ 8.5; 2พกษ 8.6; 2พกษ 8.7; 2พกษ 8.9; 2พกษ 8.16; 2พกษ 8.17; 2พกษ 8.26; 2พกษ 8.29; 2พกษ 9.2; 2พกษ 9.5; 2พกษ 9.11; 2พกษ 9.15; 2พกษ 9.22; 2พกษ 9.25; 2พกษ 9.27; 2พกษ 9.30; 2พกษ 9.31; 2พกษ 9.35; 2พกษ 9.36; 2พกษ 10.7; 2พกษ 10.8; 2พกษ 10.12; 2พกษ 10.15; 2พกษ 10.17; 2พกษ 10.25; 2พกษ 11.1; 2พกษ 11.8; 2พกษ 11.13; 2พกษ 11.14; 2พกษ 11.21; 2พกษ 12.6; 2พกษ 12.9; 2พกษ 12.10; 2พกษ 12.17; 2พกษ 13.14; 2พกษ 13.21; 2พกษ 13.24; 2พกษ 13.25; 2พกษ 14.2; 2พกษ 14.5; 2พกษ 15.2; 2พกษ 15.33; 2พกษ 16.2; 2พกษ 16.10; 2พกษ 16.12; 2พกษ 18.2; 2พกษ 18.10; 2พกษ 18.17; 2พกษ 18.18; 2พกษ 18.32; 2พกษ 19.1; 2พกษ 19.9; 2พกษ 19.35; 2พกษ 19.37; 2พกษ 20.17; 2พกษ 20.19; 2พกษ 21.1; 2พกษ 21.19; 2พกษ 22.1; 2พกษ 22.11; 2พกษ 22.19; 2พกษ 23.16; 2พกษ 23.29; 2พกษ 23.31; 2พกษ 23.36; 2พกษ 24.8; 2พกษ 24.11; 2พกษ 24.18; 2พกษ 25.1; 2พกษ 25.3; 2พกษ 25.8; 2พกษ 25.23; 2พกษ 25.27; 2พกษ 25.30; 1พศด 1.44; 1พศด 1.45; 1พศด 1.46; 1พศด 1.47; 1พศด 1.48; 1พศด 1.49; 1พศด 1.50; 1พศด 2.19; 1พศด 2.21; 1พศด 5.7; 1พศด 5.20; 1พศด 6.15; 1พศด 10.5; 1พศด 10.7; 1พศด 10.8; 1พศด 10.11; 1พศด 11.2; 1พศด 11.13; 1พศด 11.15; 1พศด 12.1; 1พศด 12.15; 1พศด 12.19; 1พศด 12.20; 1พศด 13.9; 1พศด 14.8; 1พศด 14.14; 1พศด 14.15; 1พศด 15.29; 1พศด 16.2; 1พศด 16.19; 1พศด 17.1; 1พศด 17.10; 1พศด 17.11; 1พศด 18.3; 1พศด 18.5; 1พศด 18.9; 1พศด 19.5; 1พศด 19.6; 1พศด 19.8; 1พศด 19.10; 1พศด 19.15; 1พศด 19.16; 1พศด 19.17; 1พศด 19.19; 1พศด 20.1; 1พศด 20.7; 1พศด 21.15; 1พศด 21.21; 1พศด 21.28; 1พศด 23.1; 1พศด 23.31; 1พศด 29.28; 2พศด 2.6; 2พศด 4.3; 2พศด 5.10; 2พศด 5.11; 2พศด 5.13; 2พศด 6.21; 2พศด 6.22; 2พศด 6.26; 2พศด 6.27; 2พศด 6.32; 2พศด 7.1; 2พศด 7.3; 2พศด 7.6; 2พศด 7.10; 2พศด 8.1; 2พศด 9.1; 2พศด 9.3; 2พศด 10.2; 2พศด 10.6; 2พศด 10.16; 2พศด 11.1; 2พศด 12.1; 2พศด 12.7; 2พศด 12.12; 2พศด 12.13; 2พศด 13.7; 2พศด 13.14; 2พศด 13.15; 2พศด 15.4; 2พศด 15.8; 2พศด 15.9; 2พศด 16.5; 2พศด 18.14; 2พศด 18.24; 2พศด 18.31; 2พศด 18.32; 2พศด 19.10; 2พศด 20.10; 2พศด 20.14; 2พศด 20.20; 2พศด 20.21; 2พศด 20.22; 2พศด 20.23; 2พศด 20.24; 2พศด 20.25; 2พศด 20.29; 2พศด 20.31; 2พศด 21.4; 2พศด 21.5; 2พศด 21.20; 2พศด 22.2; 2พศด 22.6; 2พศด 22.7; 2พศด 22.8; 2พศด 22.9; 2พศด 22.10; 2พศด 23.7; 2พศด 23.12; 2พศด 23.13; 2พศด 24.1; 2พศด 24.11; 2พศด 24.14; 2พศด 24.15; 2พศด 24.22; 2พศด 24.25; 2พศด 25.1; 2พศด 25.14; 2พศด 25.27; 2พศด 26.3; 2พศด 26.16; 2พศด 26.19; 2พศด 27.1; 2พศด 27.8; 2พศด 28.1; 2พศด 29.1; 2พศด 29.19; 2พศด 29.27; 2พศด 29.29; 2พศด 31.1; 2พศด 31.8; 2พศด 32.2; 2พศด 32.11; 2พศด 32.21; 2พศด 32.33; 2พศด 33.1; 2พศด 33.12; 2พศด 33.21; 2พศด 34.1; 2พศด 34.3; 2พศด 34.7; 2พศด 34.8; 2พศด 34.9; 2พศด 34.19; 2พศด 34.27; 2พศด 35.10; 2พศด 35.20; 2พศด 36.2; 2พศด 36.5; 2พศด 36.9; 2พศด 36.11; อสร 1.11; อสร 2.62; อสร 2.68; อสร 3.1; อสร 3.10; อสร 3.11; อสร 3.12; อสร 4.1; อสร 4.14; อสร 4.23; อสร 8.15; อสร 8.22; อสร 9.1; อสร 9.3; อสร 9.4; อสร 9.13; อสร 10.6; นหม 1.4; นหม 2.1; นหม 2.3; นหม 2.10; นหม 2.19; นหม 4.1; นหม 4.7; นหม 4.12; นหม 4.15; นหม 4.20; นหม 5.6; นหม 6.1; นหม 6.16; นหม 7.1; นหม 7.3; นหม 7.73; นหม 8.5; นหม 8.9; นหม 9.28; นหม 10.38; นหม 12.27; นหม 13.3; นหม 13.6; อสธ 1.5; อสธ 1.10; อสธ 1.12; อสธ 1.20; อสธ 2.1; อสธ 2.7; อสธ 2.8; อสธ 2.12; อสธ 2.13; อสธ 2.15; อสธ 2.16; อสธ 2.19; อสธ 2.20; อสธ 2.21; อสธ 2.23; อสธ 3.4; อสธ 3.5; อสธ 4.1; อสธ 4.4; อสธ 5.2; อสธ 5.9; อสธ 6.14; อสธ 7.2; อสธ 7.8; อสธ 8.15; อสธ 9.1; อสธ 9.25; โยบ 1.5; โยบ 1.6; โยบ 1.13; โยบ 2.1; โยบ 2.11; โยบ 2.12; โยบ 3.11; โยบ 3.22; โยบ 4.13; โยบ 5.21; โยบ 5.26; โยบ 6.5; โยบ 6.17; โยบ 6.26; โยบ 7.4; โยบ 7.13; โยบ 9.5; โยบ 9.23; โยบ 11.3; โยบ 11.11; โยบ 13.9; โยบ 13.26; โยบ 19.18; โยบ 19.28; โยบ 20.23; โยบ 21.3; โยบ 21.6; โยบ 21.21; โยบ 21.22; โยบ 21.23; โยบ 22.29; โยบ 23.10; โยบ 23.15; โยบ 24.1; โยบ 26.11; โยบ 27.8; โยบ 27.9; โยบ 28.25; โยบ 28.26; โยบ 29.2; โยบ 29.3; โยบ 29.4; โยบ 29.5; โยบ 29.6; โยบ 29.7; โยบ 29.11; โยบ 30.26; โยบ 31.13; โยบ 31.14; โยบ 31.26; โยบ 31.29; โยบ 32.5; โยบ 33.15; โยบ 33.25; โยบ 34.29; โยบ 36.13; โยบ 36.14; โยบ 36.20; โยบ 37.4; โยบ 37.17; โยบ 37.21; โยบ 38.4; โยบ 38.7; โยบ 38.8; โยบ 38.9; โยบ 38.38; โยบ 38.40; โยบ 38.41; โยบ 39.2; โยบ 39.3; โยบ 39.18; โยบ 39.25; โยบ 41.8; โยบ 41.9; โยบ 41.25; โยบ 42.7; โยบ 42.10; สดด 1.5; สดด 2.12; สดด 4.1; สดด 4.3; สดด 4.7; สดด 6.1; สดด 8.3; สดด 9.3; สดด 9.12; สดด 12.8; สดด 14.7; สดด 15.4; สดด 17.3; สดด 17.15; สดด 18.15; สดด 20.9; สดด 21.9; สดด 21.12; สดด 22.9; สดด 22.24; สดด 27.2; สดด 27.7; สดด 28.2; สดด 30.4; สดด 30.9; สดด 31.13; สดด 31.22; สดด 32.3; สดด 34.17; สดด 35.13; สดด 36.4; สดด 37.33; สดด 37.34; สดด 38.16; สดด 39.11; สดด 41.3; สดด 41.6; สดด 42.4; สดด 42.7; สดด 42.10; สดด 49.5; สดด 49.16; สดด 49.17; สดด 49.18; สดด 50.18; สดด 53.6; สดด 56.3; สดด 58.7; สดด 58.10; สดด 61.2; สดด 62.9; สดด 63.6; สดด 64.1; สดด 68.7; สดด 68.9; สดด 68.14; สดด 69.10; สดด 71.9; สดด 71.23; สดด 72.12; สดด 73.3; สดด 73.4; สดด 73.16; สดด 73.20; สดด 73.21; สดด 75.2; สดด 75.3; สดด 76.7; สดด 76.9; สดด 77.16; สดด 78.21; สดด 78.34; สดด 78.43; สดด 78.59; สดด 81.3; สดด 81.5; สดด 81.7; สดด 89.9; สดด 94.18; สดด 94.19; สดด 95.9; สดด 97.12; สดด 102.16; สดด 102.22; สดด 102.25; สดด 104.7; สดด 104.22; สดด 104.28; สดด 104.29; สดด 104.30; สดด 105.12; สดด 105.16; สดด 105.38; สดด 106.7; สดด 106.16; สดด 106.44; สดด 107.6; สดด 107.13; สดด 107.19; สดด 107.28; สดด 107.39; สดด 109.7; สดด 109.25; สดด 109.28; สดด 114.1; สดด 116.6; สดด 119.6; สดด 119.7; สดด 119.32; สดด 119.103; สดด 120.1; สดด 120.7; สดด 122.1; สดด 124.2; สดด 124.3; สดด 126.1; สดด 127.4; สดด 137.1; สดด 138.4; สดด 139.2; สดด 139.15; สดด 139.16; สดด 139.18; สดด 141.1; สดด 141.6; สดด 141.7; สดด 142.3; สดด 144.12; สดด 146.4; สภษ 1.26; สภษ 1.27; สภษ 2.10; สภษ 2.17; สภษ 3.24; สภษ 3.25; สภษ 3.27; สภษ 3.28; สภษ 3.30; สภษ 4.12; สภษ 5.11; สภษ 5.18; สภษ 6.3; สภษ 6.22; สภษ 6.30; สภษ 8.22; สภษ 8.24; สภษ 8.27; สภษ 8.28; สภษ 8.29; สภษ 11.2; สภษ 11.7; สภษ 11.10; สภษ 14.7; สภษ 16.7; สภษ 17.5; สภษ 17.14; สภษ 17.16; สภษ 18.3; สภษ 19.18; สภษ 20.4; สภษ 20.14; สภษ 20.16; สภษ 20.25; สภษ 21.11; สภษ 21.15; สภษ 21.27; สภษ 22.6; สภษ 23.1; สภษ 23.16; สภษ 23.22; สภษ 23.31; สภษ 24.14; สภษ 24.17; สภษ 25.8; สภษ 25.27; สภษ 26.25; สภษ 27.13; สภษ 28.1; สภษ 28.2; สภษ 28.12; สภษ 28.28; สภษ 29.2; สภษ 29.16; สภษ 30.22; สภษ 30.23; สภษ 30.33; สภษ 31.23; ปญจ 4.10; ปญจ 5.1; ปญจ 5.4; ปญจ 5.7; ปญจ 5.11; ปญจ 7.14; ปญจ 8.16; ปญจ 9.3; ปญจ 10.3; ปญจ 10.14; ปญจ 10.16; ปญจ 10.17; ปญจ 12.1; ปญจ 12.2; ปญจ 12.3; ปญจ 12.4; พซม 1.12; พซม 3.1; พซม 3.11; พซม 5.6; พซม 6.10; พซม 6.12; พซม 8.1; พซม 8.5; พซม 8.8; อสย 1.12; อสย 1.15; อสย 2.19; อสย 2.21; อสย 3.6; อสย 4.4; อสย 5.4; อสย 6.13; อสย 7.2; อสย 8.19; อสย 8.21; อสย 9.3; อสย 10.12; อสย 13.10; อสย 13.19; อสย 14.9; อสย 16.12; อสย 17.5; อสย 17.6; อสย 18.3; อสย 19.17; อสย 19.20; อสย 23.17; อสย 24.13; อสย 24.18; อสย 25.4; อสย 26.9; อสย 26.11; อสย 26.16; อสย 26.17; อสย 27.9; อสย 27.11; อสย 28.4; อสย 28.15; อสย 28.18; อสย 28.19; อสย 28.25; อสย 28.28; อสย 29.8; อสย 29.11; อสย 29.12; อสย 29.23; อสย 30.19; อสย 30.21; อสย 30.25; อสย 31.3; อสย 31.4; อสย 32.7; อสย 32.19; อสย 33.1; อสย 33.3; อสย 37.1; อสย 37.9; อสย 37.36; อสย 37.38; อสย 38.10; อสย 39.6; อสย 41.17; อสย 41.28; อสย 43.2; อสย 43.12; อสย 48.13; อสย 48.21; อสย 50.2; อสย 51.2; อสย 51.13; อสย 52.8; อสย 53.2; อสย 53.10; อสย 54.6; อสย 55.6; อสย 57.13; อสย 58.7; อสย 59.19; อสย 60.15; อสย 64.2; อสย 64.3; อสย 65.12; อสย 66.4; อสย 66.14; ยรม 2.2; ยรม 2.7; ยรม 2.17; ยรม 2.24; ยรม 2.26; ยรม 2.27; ยรม 2.28; ยรม 3.7; ยรม 3.16; ยรม 4.29; ยรม 5.7; ยรม 5.19; ยรม 5.31; ยรม 6.14; ยรม 6.15; ยรม 7.13; ยรม 7.32; ยรม 8.4; ยรม 8.11; ยรม 8.12; ยรม 8.18; ยรม 9.25; ยรม 10.13; ยรม 10.15; ยรม 11.14; ยรม 11.15; ยรม 12.1; ยรม 12.11; ยรม 13.16; ยรม 13.21; ยรม 15.9; ยรม 15.16; ยรม 16.7; ยรม 16.10; ยรม 16.14; ยรม 17.8; ยรม 18.22; ยรม 19.6; ยรม 20.3; ยรม 21.1; ยรม 22.21; ยรม 22.23; ยรม 23.5; ยรม 23.7; ยรม 23.32; ยรม 23.33; ยรม 23.38; ยรม 25.12; ยรม 26.8; ยรม 26.10; ยรม 26.21; ยรม 27.20; ยรม 28.1; ยรม 28.9; ยรม 29.10; ยรม 29.13; ยรม 29.31; ยรม 30.3; ยรม 31.2; ยรม 31.6; ยรม 31.19; ยรม 31.23; ยรม 31.27; ยรม 31.28; ยรม 33.1; ยรม 33.14; ยรม 34.1; ยรม 34.7; ยรม 34.10; ยรม 34.14; ยรม 34.16; ยรม 35.11; ยรม 36.11; ยรม 36.13; ยรม 36.16; ยรม 36.20; ยรม 36.23; ยรม 36.25; ยรม 37.5; ยรม 37.11; ยรม 37.13; ยรม 37.16; ยรม 38.7; ยรม 38.28; ยรม 39.2; ยรม 39.4; ยรม 39.5; ยรม 40.1; ยรม 40.5; ยรม 40.7; ยรม 40.11; ยรม 41.6; ยรม 41.7; ยรม 41.11; ยรม 41.13; ยรม 42.6; ยรม 42.18; ยรม 43.1; ยรม 43.11; ยรม 44.19; ยรม 45.1; ยรม 47.3; ยรม 47.7; ยรม 48.12; ยรม 48.27; ยรม 49.2; ยรม 49.8; ยรม 49.18; ยรม 50.40; ยรม 51.2; ยรม 51.16; ยรม 51.18; ยรม 51.47; ยรม 51.52; ยรม 51.55; ยรม 51.59; ยรม 51.61; ยรม 51.63; ยรม 52.1; ยรม 52.6; ยรม 52.12; ยรม 52.31; ยรม 52.34; พคค 1.3; พคค 1.7; พคค 1.17; พคค 1.19; พคค 2.12; พคค 2.21; พคค 3.8; พคค 3.37; พคค 4.10; พคค 4.15; อสค 1.1; อสค 1.2; อสค 1.4; อสค 1.12; อสค 1.17; อสค 1.19; อสค 1.21; อสค 1.24; อสค 1.25; อสค 1.28; อสค 2.2; อสค 2.6; อสค 2.9; อสค 3.3; อสค 3.9; อสค 3.27; อสค 4.6; อสค 5.2; อสค 5.13; อสค 5.15; อสค 5.16; อสค 6.8; อสค 6.13; อสค 7.13; อสค 7.25; อสค 8.1; อสค 8.7; อสค 8.8; อสค 10.3; อสค 10.5; อสค 10.6; อสค 10.11; อสค 10.16; อสค 10.17; อสค 10.19; อสค 11.13; อสค 12.15; อสค 13.6; อสค 13.7; อสค 13.10; อสค 13.12; อสค 13.14; อสค 13.16; อสค 14.13; อสค 14.21; อสค 14.22; อสค 14.23; อสค 15.4; อสค 15.5; อสค 15.7; อสค 16.6; อสค 16.8; อสค 16.22; อสค 16.30; อสค 16.34; อสค 16.43; อสค 16.53; อสค 16.55; อสค 16.60; อสค 16.61; อสค 16.63; อสค 17.10; อสค 17.17; อสค 18.19; อสค 18.24; อสค 18.26; อสค 18.27; อสค 19.5; อสค 19.7; อสค 20.5; อสค 20.28; อสค 20.31; อสค 20.41; อสค 20.42; อสค 20.44; อสค 21.7; อสค 21.29; อสค 22.28; อสค 23.5; อสค 23.8; อสค 23.10; อสค 23.11; อสค 23.14; อสค 23.16; อสค 23.18; อสค 23.19; อสค 23.21; อสค 23.39; อสค 24.1; อสค 24.24; อสค 25.3; อสค 25.17; อสค 26.10; อสค 26.15; อสค 26.19; อสค 27.28; อสค 27.33; อสค 27.34; อสค 28.22; อสค 28.25; อสค 28.26; อสค 29.1; อสค 29.7; อสค 29.13; อสค 29.16; อสค 29.17; อสค 30.4; อสค 30.8; อสค 30.18; อสค 30.20; อสค 30.25; อสค 31.1; อสค 31.5; อสค 31.16; อสค 32.1; อสค 32.7; อสค 32.9; อสค 32.10; อสค 32.15; อสค 32.17; อสค 32.31; อสค 33.4; อสค 33.17; อสค 33.18; อสค 33.21; อสค 33.29; อสค 33.33; อสค 34.5; อสค 34.27; อสค 35.11; อสค 35.14; อสค 36.17; อสค 36.20; อสค 36.23; อสค 37.7; อสค 37.8; อสค 37.13; อสค 37.18; อสค 37.28; อสค 38.8; อสค 38.14; อสค 38.16; อสค 38.18; อสค 39.13; อสค 39.14; อสค 39.15; อสค 39.26; อสค 39.27; อสค 39.29; อสค 40.1; อสค 40.3; อสค 42.14; อสค 42.15; อสค 43.3; อสค 43.23; อสค 43.27; อสค 44.7; อสค 44.10; อสค 44.15; อสค 44.17; อสค 44.19; อสค 44.21; อสค 45.1; อสค 46.8; อสค 46.9; อสค 46.10; อสค 46.12; อสค 47.7; อสค 47.8; อสค 48.11; ดนล 1.5; ดนล 1.13; ดนล 1.15; ดนล 2.29; ดนล 2.34; ดนล 3.5; ดนล 4.5; ดนล 4.10; ดนล 4.13; ดนล 4.31; ดนล 4.34; ดนล 5.2; ดนล 5.20; ดนล 6.10; ดนล 6.14; ดนล 6.20; ดนล 7.1; ดนล 7.4; ดนล 7.11; ดนล 7.21; ดนล 7.22; ดนล 8.5; ดนล 8.8; ดนล 8.15; ดนล 8.17; ดนล 8.18; ดนล 8.23; ดนล 9.21; ดนล 10.4; ดนล 10.9; ดนล 10.15; ดนล 10.19; ดนล 10.20; ดนล 11.2; ดนล 11.4; ดนล 11.12; ดนล 11.34; ดนล 12.7; ดนล 12.13; ฮชย 1.2; ฮชย 1.8; ฮชย 2.13; ฮชย 2.15; ฮชย 4.14; ฮชย 5.13; ฮชย 5.15; ฮชย 6.11; ฮชย 7.1; ฮชย 7.12; ฮชย 7.14; ฮชย 9.5; ฮชย 9.10; ฮชย 9.12; ฮชย 10.1; ฮชย 10.10; ฮชย 11.1; ฮชย 13.1; ฮชย 13.6; ยอล 1.8; ยอล 2.6; ยอล 2.8; ยอล 3.1; อมส 3.4; อมส 4.9; อมส 6.10; อมส 7.1; อมส 7.2; อมส 8.11; อมส 9.13; ยนา 2.7; ยนา 3.10; ยนา 4.2; ยนา 4.8; มคา 1.11; มคา 5.5; มคา 5.6; มคา 5.8; มคา 7.8; มคา 7.15; นฮม 1.12; นฮม 2.5; ฮบก 1.13; ฮบก 2.1; ฮบก 3.2; ฮบก 3.8; ฮบก 3.11; ฮบก 3.16; ศฟย 3.20; ฮกก 1.9; ฮกก 2.3; ฮกก 2.5; ฮกก 2.10; ฮกก 2.16; ฮกก 2.20; ศคย 1.7; ศคย 1.15; ศคย 2.8; ศคย 5.11; ศคย 7.2; ศคย 7.5; ศคย 7.6; ศคย 7.7; ศคย 7.13; ศคย 8.14; ศคย 9.1; ศคย 12.2; ศคย 13.3; ศคย 13.4; ศคย 14.1; ศคย 14.3; ศคย 14.12; มลค 1.4; มลค 1.8; มลค 1.12; มลค 2.14; มลค 2.15; มลค 2.17; มลค 3.2; มลค 3.15; มลค 4.1; มลค 4.3; มธ 1.11; มธ 1.20; มธ 2.8; มธ 2.10; มธ 2.22; มธ 3.16; มธ 4.2; มธ 4.3; มธ 4.13; มธ 5.1; มธ 5.11; มธ 6.2; มธ 6.3; มธ 6.5; มธ 6.6; มธ 6.7; มธ 6.16; มธ 6.17; มธ 6.29; มธ 7.9; มธ 7.10; มธ 7.22; มธ 8.1; มธ 8.5; มธ 8.23; มธ 8.34; มธ 9.2; มธ 9.8; มธ 9.10; มธ 9.11; มธ 9.12; มธ 9.15; มธ 9.16; มธ 9.18; มธ 9.25; มธ 9.28; มธ 9.31; มธ 9.32; มธ 9.33; มธ 9.36; มธ 10.1; มธ 10.11; มธ 10.12; มธ 10.14; มธ 10.19; มธ 10.23; มธ 11.1; มธ 11.2; มธ 12.2; มธ 12.3; มธ 12.9; มธ 12.15; มธ 12.24; มธ 12.43; มธ 12.44; มธ 13.4; มธ 13.6; มธ 13.19; มธ 13.21; มธ 13.25; มธ 13.29; มธ 13.32; มธ 13.44; มธ 13.46; มธ 13.48; มธ 13.53; มธ 13.54; มธ 14.6; มธ 14.13; มธ 14.19; มธ 14.23; มธ 14.26; มธ 14.29; มธ 14.30; มธ 14.32; มธ 14.35; มธ 15.2; มธ 15.12; มธ 15.31; มธ 15.32; มธ 16.5; มธ 17.6; มธ 17.8; มธ 17.24; มธ 17.25; มธ 17.27; มธ 18.24; มธ 18.31; มธ 19.1; มธ 19.8; มธ 19.15; มธ 19.22; มธ 19.25; มธ 19.28; มธ 20.11; มธ 20.15; มธ 20.17; มธ 20.24; มธ 20.29; มธ 20.30; มธ 21.10; มธ 21.15; มธ 21.19; มธ 21.23; มธ 21.38; มธ 21.40; มธ 21.46; มธ 22.11; มธ 22.25; มธ 22.30; มธ 22.33; มธ 22.34; มธ 22.41; มธ 23.13; มธ 23.15; มธ 24.3; มธ 24.15; มธ 24.32; มธ 24.33; มธ 24.37; มธ 24.39; มธ 24.46; มธ 25.1; มธ 25.5; มธ 25.10; มธ 25.27; มธ 25.31; มธ 25.35; มธ 25.36; มธ 25.42; มธ 26.1; มธ 26.7; มธ 26.8; มธ 26.10; มธ 26.21; มธ 26.26; มธ 26.30; มธ 26.32; มธ 26.36; มธ 26.71; มธ 27.3; มธ 27.11; มธ 27.12; มธ 27.17; มธ 27.19; มธ 27.24; มธ 27.26; มธ 27.29; มธ 27.31; มธ 27.33; มธ 27.34; มธ 27.47; มธ 27.50; มธ 27.54; มธ 27.59; มธ 27.63; มธ 28.12; มธ 28.13; มธ 28.17; มก 1.26; มก 1.37; มก 1.45; มก 2.4; มก 2.5; มก 2.8; มก 2.14; มก 2.15; มก 2.16; มก 2.19; มก 2.20; มก 2.21; มก 2.23; มก 2.25; มก 2.26; มก 3.8; มก 3.11; มก 3.21; มก 4.4; มก 4.6; มก 4.10; มก 4.15; มก 4.17; มก 4.32; มก 4.34; มก 4.36; มก 5.15; มก 5.18; มก 5.22; มก 5.35; มก 5.39; มก 5.40; มก 6.10; มก 6.11; มก 6.16; มก 6.20; มก 6.22; มก 6.29; มก 6.35; มก 6.38; มก 6.41; มก 6.46; มก 6.47; มก 6.49; มก 6.54; มก 7.2; มก 7.4; มก 7.14; มก 7.25; มก 7.30; มก 8.1; มก 8.3; มก 8.17; มก 8.19; มก 8.20; มก 8.23; มก 8.27; มก 8.34; มก 8.38; มก 9.8; มก 9.9; มก 9.14; มก 9.15; มก 9.20; มก 9.25; มก 9.28; มก 9.31; มก 9.33; มก 9.34; มก 10.10; มก 10.14; มก 10.17; มก 10.22; มก 10.32; มก 10.37; มก 10.41; มก 10.46; มก 10.47; มก 11.11; มก 11.12; มก 11.15; มก 11.18; มก 11.19; มก 11.20; มก 11.24; มก 11.25; มก 11.27; มก 12.23; มก 12.25; มก 12.28; มก 12.34; มก 12.35; มก 13.1; มก 13.3; มก 13.7; มก 13.11; มก 13.14; มก 13.24; มก 13.28; มก 13.29; มก 14.3; มก 14.12; มก 14.18; มก 14.26; มก 14.28; มก 14.32; มก 14.41; มก 14.67; มก 14.72; มก 15.15; มก 15.20; มก 15.25; มก 15.35; มก 15.39; มก 15.41; มก 15.45; มก 16.4; มก 16.9; มก 16.11; มก 16.12; มก 16.14; ลก 1.8; ลก 1.12; ลก 1.22; ลก 1.23; ลก 1.26; ลก 1.29; ลก 1.41; ลก 1.74; ลก 2.2; ลก 2.6; ลก 2.15; ลก 2.22; ลก 2.27; ลก 2.42; ลก 2.43; ลก 2.45; ลก 2.48; ลก 3.1; ลก 3.15; ลก 3.19; ลก 3.21; ลก 3.23; ลก 4.2; ลก 4.13; ลก 4.17; ลก 4.25; ลก 4.28; ลก 4.35; ลก 5.1; ลก 5.4; ลก 5.6; ลก 5.8; ลก 5.11; ลก 5.12; ลก 5.17; ลก 5.19; ลก 5.20; ลก 5.22; ลก 5.34; ลก 5.35; ลก 5.39; ลก 6.3; ลก 6.22; ลก 6.26; ลก 6.48; ลก 6.49; ลก 7.1; ลก 7.3; ลก 7.4; ลก 7.6; ลก 7.9; ลก 7.10; ลก 7.12; ลก 7.13; ลก 7.20; ลก 7.24; ลก 7.29; ลก 7.37; ลก 7.39; ลก 7.42; ลก 8.4; ลก 8.5; ลก 8.6; ลก 8.10; ลก 8.13; ลก 8.16; ลก 8.23; ลก 8.27; ลก 8.34; ลก 8.35; ลก 8.40; ลก 8.42; ลก 8.45; ลก 8.47; ลก 8.49; ลก 8.50; ลก 8.51; ลก 9.5; ลก 9.11; ลก 9.16; ลก 9.18; ลก 9.26; ลก 9.32; ลก 9.33; ลก 9.34; ลก 9.36; ลก 9.37; ลก 9.42; ลก 9.43; ลก 9.54; ลก 9.57; ลก 10.31; ลก 10.32; ลก 10.33; ลก 10.35; ลก 10.38; ลก 11.1; ลก 11.2; ลก 11.14; ลก 11.21; ลก 11.22; ลก 11.24; ลก 11.25; ลก 11.27; ลก 11.29; ลก 11.33; ลก 11.34; ลก 11.37; ลก 11.38; ลก 11.53; ลก 12.11; ลก 12.27; ลก 12.36; ลก 12.43; ลก 12.54; ลก 12.55; ลก 12.58; ลก 13.12; ลก 13.17; ลก 13.25; ลก 13.28; ลก 13.35; ลก 14.1; ลก 14.7; ลก 14.8; ลก 14.10; ลก 14.12; ลก 14.13; ลก 14.14; ลก 14.15; ลก 14.17; ลก 14.28; ลก 14.29; ลก 14.31; ลก 14.32; ลก 15.5; ลก 15.6; ลก 15.9; ลก 15.14; ลก 15.17; ลก 15.20; ลก 15.25; ลก 15.30; ลก 16.4; ลก 16.9; ลก 16.14; ลก 16.23; ลก 16.25; ลก 17.7; ลก 17.10; ลก 17.11; ลก 17.12; ลก 17.14; ลก 17.15; ลก 17.20; ลก 17.22; ลก 17.24; ลก 18.8; ลก 18.14; ลก 18.15; ลก 18.22; ลก 18.23; ลก 18.24; ลก 18.35; ลก 18.36; ลก 18.40; ลก 18.43; ลก 19.5; ลก 19.7; ลก 19.11; ลก 19.15; ลก 19.23; ลก 19.28; ลก 19.29; ลก 19.30; ลก 19.33; ลก 19.36; ลก 19.37; ลก 19.43; ลก 20.1; ลก 20.10; ลก 20.13; ลก 20.14; ลก 20.16; ลก 20.45; ลก 21.5; ลก 21.9; ลก 21.20; ลก 21.28; ลก 21.30; ลก 21.31; ลก 22.6; ลก 22.7; ลก 22.10; ลก 22.14; ลก 22.20; ลก 22.32; ลก 22.35; ลก 22.40; ลก 22.44; ลก 22.45; ลก 22.49; ลก 22.53; ลก 22.55; ลก 22.60; ลก 22.64; ลก 23.6; ลก 23.7; ลก 23.8; ลก 23.16; ลก 23.22; ลก 23.26; ลก 23.31; ลก 23.33; ลก 23.42; ลก 23.47; ลก 23.48; ลก 23.53; ลก 24.3; ลก 24.4; ลก 24.6; ลก 24.15; ลก 24.17; ลก 24.22; ลก 24.23; ลก 24.28; ลก 24.30; ลก 24.32; ลก 24.36; ลก 24.40; ลก 24.41; ลก 24.44; ลก 24.51; ยน 1.19; ยน 1.33; ยน 1.42; ยน 1.48; ยน 2.3; ยน 2.9; ยน 2.10; ยน 2.15; ยน 2.22; ยน 2.23; ยน 3.29; ยน 4.1; ยน 4.23; ยน 4.25; ยน 4.40; ยน 4.45; ยน 4.47; ยน 4.54; ยน 5.4; ยน 5.6; ยน 5.7; ยน 5.25; ยน 6.5; ยน 6.11; ยน 6.12; ยน 6.14; ยน 6.15; ยน 6.19; ยน 6.22; ยน 6.24; ยน 6.60; ยน 6.61; ยน 7.4; ยน 7.9; ยน 7.10; ยน 7.15; ยน 7.27; ยน 7.31; ยน 7.32; ยน 7.40; ยน 8.3; ยน 8.4; ยน 8.7; ยน 8.9; ยน 8.10; ยน 8.20; ยน 8.28; ยน 8.30; ยน 8.44; ยน 9.1; ยน 9.4; ยน 9.6; ยน 9.17; ยน 9.35; ยน 9.40; ยน 10.4; ยน 10.12; ยน 11.4; ยน 11.8; ยน 11.24; ยน 11.28; ยน 11.29; ยน 11.31; ยน 11.33; ยน 11.43; ยน 11.56; ยน 12.12; ยน 12.14; ยน 12.16; ยน 12.17; ยน 12.29; ยน 12.35; ยน 12.36; ยน 12.41; ยน 13.1; ยน 13.2; ยน 13.12; ยน 13.19; ยน 13.21; ยน 13.26; ยน 13.27; ยน 13.30; ยน 13.31; ยน 14.25; ยน 14.29; ยน 15.8; ยน 15.16; ยน 15.26; ยน 16.4; ยน 16.8; ยน 16.13; ยน 16.21; ยน 17.12; ยน 18.1; ยน 18.6; ยน 18.22; ยน 18.38; ยน 19.6; ยน 19.13; ยน 19.26; ยน 19.30; ยน 19.33; ยน 20.14; ยน 20.19; ยน 20.20; ยน 20.24; ยน 20.31; ยน 21.7; ยน 21.9; ยน 21.15; ยน 21.18; ยน 21.20; ยน 21.21; กจ 1.2; กจ 1.4; กจ 1.6; กจ 1.8; กจ 1.9; กจ 1.10; กจ 1.13; กจ 2.1; กจ 2.6; กจ 2.33; กจ 2.37; กจ 3.11; กจ 3.13; กจ 3.21; กจ 4.7; กจ 4.13; กจ 4.14; กจ 4.15; กจ 4.21; กจ 4.23; กจ 4.24; กจ 4.30; กจ 4.31; กจ 5.4; กจ 5.5; กจ 5.15; กจ 5.21; กจ 5.22; กจ 5.24; กจ 5.27; กจ 5.33; กจ 5.36; กจ 5.40; กจ 6.1; กจ 6.6; กจ 6.10; กจ 7.2; กจ 7.5; กจ 7.8; กจ 7.12; กจ 7.17; กจ 7.21; กจ 7.24; กจ 7.29; กจ 7.31; กจ 7.44; กจ 7.45; กจ 7.54; กจ 7.59; กจ 7.60; กจ 8.12; กจ 8.13; กจ 8.14; กจ 8.18; กจ 8.19; กจ 8.39; กจ 8.40; กจ 9.3; กจ 9.8; กจ 9.30; กจ 9.32; กจ 9.39; กจ 9.40; กจ 10.4; กจ 10.8; กจ 10.17; กจ 10.19; กจ 10.27; กจ 10.29; กจ 10.32; กจ 10.41; กจ 10.44; กจ 11.2; กจ 11.5; กจ 11.15; กจ 11.20; กจ 11.23; กจ 11.26; กจ 12.3; กจ 12.4; กจ 12.10; กจ 12.12; กจ 12.14; กจ 12.16; กจ 12.19; กจ 12.20; กจ 12.21; กจ 12.25; กจ 13.2; กจ 13.3; กจ 13.6; กจ 13.15; กจ 13.17; กจ 13.19; กจ 13.36; กจ 13.42; กจ 13.45; กจ 13.46; กจ 13.48; กจ 14.5; กจ 14.11; กจ 14.14; กจ 14.19; กจ 14.21; กจ 14.23; กจ 14.25; กจ 14.27; กจ 15.2; กจ 15.3; กจ 15.7; กจ 15.30; กจ 15.40; กจ 16.4; กจ 16.7; กจ 16.11; กจ 16.12; กจ 16.15; กจ 16.16; กจ 16.19; กจ 16.20; กจ 16.24; กจ 16.38; กจ 16.40; กจ 17.8; กจ 17.13; กจ 17.15; กจ 17.16; กจ 17.23; กจ 17.29; กจ 17.30; กจ 18.6; กจ 18.8; กจ 18.12; กจ 18.14; กจ 18.20; กจ 18.26; กจ 19.5; กจ 19.6; กจ 19.21; กจ 19.34; กจ 19.35; กจ 19.36; กจ 20.2; กจ 20.3; กจ 20.7; กจ 20.9; กจ 20.29; กจ 21.1; กจ 21.4; กจ 21.5; กจ 21.14; กจ 21.17; กจ 21.19; กจ 21.27; กจ 21.31; กจ 21.32; กจ 21.34; กจ 21.37; กจ 21.40; กจ 22.6; กจ 22.11; กจ 22.17; กจ 22.20; กจ 22.23; กจ 22.26; กจ 22.29; กจ 23.7; กจ 23.10; กจ 23.15; กจ 23.30; กจ 23.34; กจ 23.35; กจ 24.10; กจ 24.18; กจ 24.20; กจ 24.22; กจ 24.24; กจ 24.25; กจ 24.27; กจ 25.1; กจ 25.6; กจ 25.12; กจ 25.15; กจ 25.18; กจ 25.20; กจ 25.21; กจ 25.26; กจ 26.10; กจ 26.12; กจ 26.13; กจ 26.19; กจ 26.30; กจ 27.5; กจ 27.7; กจ 27.8; กจ 27.13; กจ 27.16; กจ 27.17; กจ 27.20; กจ 27.28; กจ 27.30; กจ 27.33; กจ 27.35; กจ 27.38; กจ 28.4; กจ 28.10; กจ 28.15; กจ 28.17; กจ 28.19; กจ 28.23; กจ 28.25; กจ 28.29; รม 1.9; รม 2.1; รม 2.14; รม 2.21; รม 3.4; รม 3.27; รม 4.10; รม 4.11; รม 4.12; รม 4.18; รม 5.1; รม 5.6; รม 5.9; รม 5.10; รม 5.20; รม 6.18; รม 6.20; รม 7.3; รม 7.5; รม 7.9; รม 8.17; รม 8.26; รม 10.14; รม 11.1; รม 11.26; รม 11.27; รม 12.13; รม 15.24; รม 15.28; รม 15.29; 1คร 2.1; 1คร 2.3; 1คร 3.3; 1คร 3.4; 1คร 4.7; 1คร 4.12; 1คร 4.13; 1คร 5.4; 1คร 6.15; 1คร 7.17; 1คร 7.18; 1คร 7.20; 1คร 7.21; 1คร 7.22; 1คร 7.24; 1คร 8.7; 1คร 8.12; 1คร 9.9; 1คร 9.18; 1คร 9.27; 1คร 10.13; 1คร 10.31; 1คร 11.13; 1คร 11.18; 1คร 11.20; 1คร 11.21; 1คร 11.25; 1คร 11.26; 1คร 11.32; 1คร 11.33; 1คร 11.34; 1คร 13.10; 1คร 13.11; 1คร 14.12; 1คร 14.16; 1คร 14.26; 1คร 15.23; 1คร 15.24; 1คร 15.27; 1คร 15.28; 1คร 15.35; 1คร 15.49; 1คร 15.52; 1คร 15.54; 1คร 16.2; 1คร 16.3; 1คร 16.5; 1คร 16.7; 1คร 16.12; 2คร 1.16; 2คร 1.17; 2คร 2.1; 2คร 2.3; 2คร 2.12; 2คร 3.12; 2คร 3.14; 2คร 3.16; 2คร 4.15; 2คร 7.1; 2คร 7.5; 2คร 7.13; 2คร 7.15; 2คร 8.2; 2คร 8.6; 2คร 8.7; 2คร 8.10; 2คร 8.11; 2คร 8.14; 2คร 10.1; 2คร 10.2; 2คร 10.6; 2คร 10.7; 2คร 10.11; 2คร 10.12; 2คร 10.15; 2คร 11.9; 2คร 11.12; 2คร 11.18; 2คร 12.20; 2คร 12.21; 2คร 13.2; 2คร 13.9; 2คร 13.10; กท 1.13; กท 1.14; กท 1.15; กท 2.7; กท 2.9; กท 2.11; กท 2.14; กท 3.3; กท 3.15; กท 4.3; กท 4.4; กท 4.8; กท 4.9; กท 4.18; กท 6.10; อฟ 1.10; อฟ 1.13; อฟ 1.20; อฟ 2.5; อฟ 3.4; อฟ 3.17; อฟ 6.13; ฟป 1.25; ฟป 1.28; ฟป 2.8; ฟป 2.12; ฟป 2.19; ฟป 2.28; ฟป 3.5; ฟป 4.15; ฟป 4.16; คส 2.22; คส 3.4; คส 3.7; คส 3.17; คส 4.16; 1ธส 1.2; 1ธส 2.8; 1ธส 2.9; 1ธส 2.13; 1ธส 2.17; 1ธส 2.19; 1ธส 3.1; 1ธส 3.4; 1ธส 3.5; 1ธส 3.6; 1ธส 3.13; 1ธส 5.3; 1ธส 5.8; 2ธส 1.7; 2ธส 1.10; 2ธส 2.5; 2ธส 3.7; 2ธส 3.10; 1ทธ 1.3; 1ทธ 3.10; 1ทธ 4.14; 1ทธ 4.16; 1ทธ 5.11; 1ทธ 5.18; 1ทธ 6.12; 2ทธ 1.17; 2ทธ 2.4; 2ทธ 4.1; 2ทธ 4.13; 2ทธ 4.20; 2ทธ 4.22; ทต 3.4; ทต 3.7; ทต 3.10; ทต 3.12; ฟม 1.4; ฟม 1.10; ฮบ 1.3; ฮบ 1.6; ฮบ 1.10; ฮบ 3.9; ฮบ 3.15; ฮบ 3.16; ฮบ 4.1; ฮบ 4.7; ฮบ 4.14; ฮบ 5.7; ฮบ 5.9; ฮบ 6.13; ฮบ 6.15; ฮบ 6.16; ฮบ 6.17; ฮบ 7.11; ฮบ 7.12; ฮบ 7.15; ฮบ 7.21; ฮบ 7.27; ฮบ 8.5; ฮบ 8.9; ฮบ 8.13; ฮบ 9.6; ฮบ 9.8; ฮบ 9.11; ฮบ 9.15; ฮบ 9.17; ฮบ 9.19; ฮบ 10.5; ฮบ 10.8; ฮบ 10.18; ฮบ 10.19; ฮบ 10.25; ฮบ 10.26; ฮบ 10.34; ฮบ 11.7; ฮบ 11.8; ฮบ 11.11; ฮบ 11.16; ฮบ 11.17; ฮบ 11.21; ฮบ 11.22; ฮบ 11.23; ฮบ 11.29; ฮบ 11.30; ฮบ 11.31; ฮบ 12.5; ฮบ 12.6; ฮบ 12.11; ฮบ 12.17; ยก 1.2; ยก 1.10; ยก 1.12; ยก 1.13; ยก 1.14; ยก 1.15; ยก 2.21; ยก 2.25; 1ปต 1.11; 1ปต 1.13; 1ปต 2.12; 1ปต 2.23; 1ปต 3.2; 1ปต 3.20; 1ปต 4.3; 1ปต 4.13; 1ปต 5.4; 1ปต 5.6; 1ปต 5.12; 2ปต 1.15; 2ปต 1.16; 2ปต 1.17; 2ปต 2.5; 2ปต 2.8; 2ปต 2.13; 2ปต 3.11; 2ปต 3.12; 2ปต 3.14; 2ปต 3.17; 1ยน 2.28; 1ยน 3.2; 1ยน 5.2; 1ยน 5.15; 3ยน 1.3; 3ยน 1.5; ยด 1.3; ยด 1.9; วว 1.17; วว 2.27; วว 4.9; วว 5.8; วว 6.1; วว 6.3; วว 6.5; วว 6.7; วว 6.9; วว 6.12; วว 8.1; วว 8.7; วว 8.8; วว 8.10; วว 8.12; วว 9.1; วว 9.2; วว 9.13; วว 10.3; วว 10.4; วว 10.7; วว 10.9; วว 10.10; วว 11.7; วว 11.11; วว 12.4; วว 12.13; วว 17.6; วว 17.8; วว 17.10; วว 18.9; วว 18.18

เมือก ( 1 )
สดด 58.8 ขอให้เขาเหมือนทากที่ละลายเป็นเมือกไป เหมือนทารกแท้งที่ไม่เคยเห็นดวงอาทิตย์

เมื่อก่อน ( 37 )
ปฐก 13.4 จนถึงสถานที่ตั้งแท่นบูชาซึ่งเมื่อก่อนท่านเคยสร้างไว้ที่นั่น และอับรามร้องออกพระนามของพระเยโฮวาห์ที่นั่น
ปฐก 50.16 พวกพี่ก็ใช้คนไปเรียนโยเซฟว่า “บิดาท่านเมื่อก่อนจะสิ้นใจนั้นสั่งไว้ว่า
พบญ 2.12 เมื่อก่อนพวกโฮรีได้อยู่ที่เสอีร์ด้วย แต่ลูกหลานเอซาวได้มาอยู่แทนเขา และได้ทำลายเขาเสียให้พ้นหน้า และได้อาศัยอยู่ในที่ของเขาเหมือนพวกอิสราเอลได้กระทำแก่เมืองที่พระเยโฮวาห์ประทานให้เขายึดครองนั้น
วนฉ 8.15 กิเดโอนจึงมาหาชาวเมืองสุคคทกล่าวว่า “จงมาดูเศบาห์และศัลมุนนา ซึ่งเมื่อก่อนเจ้าเยาะเย้ยเราว่า ‘มือของเศบาห์และของศัลมุนนาอยู่ในมือเจ้าแล้วหรือ เราจะได้เลี้ยงทหารที่เหน็ดเหนื่อยของเจ้าด้วยขนมปัง’”
2ซมอ 3.17 อับเนอร์จึงปรึกษากับพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลว่า “เมื่อก่อนนี้ท่านทั้งหลายใคร่ให้ดาวิดเป็นกษัตริย์เหนือท่าน
โยบ 30.3 เพราะเหตุความขาดแคลนและหิวโหยพวกเขาจึงอยู่อย่างโดดเดี่ยว เมื่อก่อนเขาหนีไปยังถิ่นทุรกันดารซึ่งรกร้างและถูกทิ้งไว้เสียเปล่า
สภษ 8.24 เราถือกำเนิดมาเมื่อก่อนมีมหาสมุทร เมื่อไม่มีน้ำพุที่มีน้ำมากมาย
อมส 4.7 “เราได้ยับยั้งฝนไว้เสียจากเจ้าด้วย เมื่อก่อนถึงฤดูเกี่ยวสามเดือน เราให้ฝนตกในเมืองหนึ่ง อีกเมืองหนึ่งไม่ให้ฝน นาแห่งหนึ่งมีฝนตก และนาที่ไม่มีฝนก็เหี่ยวแห้ง
มธ 24.38 เพราะว่าเมื่อก่อนวันน้ำท่วมนั้น คนทั้งหลายได้กินและดื่มกัน ทำการสมรสและยกให้เป็นสามีภรรยากัน จนถึงวันที่โนอาห์เข้าในนาวา
กจ 3.20 และเพื่อพระองค์จะได้ทรงใช้พระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งเมื่อก่อนนั้นได้แจ้งไว้แก่ท่านทั้งหลายแล้ว
รม 6.17 แต่จงขอบพระคุณพระเจ้าเพราะว่าเมื่อก่อนนั้นท่านเป็นทาสของบาป แต่บัดนี้ท่านมีใจเชื่อฟังหลักคำสอนนั้นซึ่งทรงมอบไว้แก่ท่าน
รม 9.25 ดังที่พระองค์ตรัสไว้ในพระคัมภีร์โฮเชยาว่า ‘เราจะเรียกเขาเหล่านั้นว่าเป็นชนชาติของเรา ซึ่งเมื่อก่อนเขาหาได้เป็นชนชาติของเราไม่ และจะเรียกเขาว่าเป็นที่รัก ซึ่งเมื่อก่อนเขาหาได้เป็นที่รักไม่
รม 11.30 ท่านทั้งหลายเมื่อก่อนมิได้เชื่อพระเจ้า แต่บัดนี้ได้รับพระกรุณาเพราะความไม่เชื่อของพวกเขาเหล่านั้นฉันใด
1คร 3.2 ข้าพเจ้าเลี้ยงท่านด้วยน้ำนมมิใช่ด้วยอาหารแข็ง เพราะว่าเมื่อก่อนนั้นท่านยังไม่สามารถรับและถึงแม้เดี๋ยวนี้ท่านก็ยังไม่สามารถ
2คร 5.16 เหตุฉะนั้นตั้งแต่นี้ไปเราจะไม่พิจารณาผู้ใดตามเนื้อหนัง แม้ว่าเมื่อก่อนเราเคยพิจารณาพระคริสต์ตามเนื้อหนังก็จริง แต่เดี๋ยวนี้เราจะไม่พิจารณาพระองค์เช่นนั้นอีก
2คร 7.8 เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้าได้ทำให้ท่านเสียใจเพราะจดหมายฉบับนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่เสียใจ ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนนั้นข้าพเจ้าจะเสียใจบ้าง เพราะข้าพเจ้าเห็นว่า จดหมายฉบับนั้นทำให้ท่านมีความเสียใจเพียงชั่วขณะเท่านั้น
2คร 7.14 เพราะถ้าข้าพเจ้าได้อวดเรื่องพวกท่านแก่ทิตัส ข้าพเจ้าก็ไม่ต้องละอายใจเลย ทุกสิ่งที่เราได้กล่าวแก่ท่านเป็นความจริงฉันใด สิ่งที่เราได้อวดเรื่องพวกท่านแก่ทิตัสเมื่อก่อนนั้น ก็ปรากฏเป็นจริงเหมือนกันฉันนั้น
กท 3.17 แต่ข้าพเจ้าว่าอย่างนี้ว่า พระราชบัญญัติซึ่งมาภายหลังถึงสี่ร้อยสามสิบปี จะทำลายพันธสัญญาซึ่งพระเจ้าได้ทรงตั้งไว้ในพระคริสต์เมื่อก่อนนั้น ให้พระสัญญานั้นขาดจากประโยชน์ไม่ได้
อฟ 2.2 ครั้งเมื่อก่อนท่านเคยดำเนินตามวิถีของโลกนี้ตามเจ้าแห่งอำนาจในย่านอากาศ คือวิญญาณที่ครอบครองอยู่ในบุตรแห่งการไม่เชื่อฟัง
อฟ 2.3 เมื่อก่อนเราทั้งปวงเคยประพฤติเป็นพรรคพวกกับคนเหล่านั้นที่ประพฤติตามตัณหาของเนื้อหนังเช่นกัน คือกระทำตามความปรารถนาของเนื้อหนังและความคิดในใจ ตามสันดานเราจึงเป็นบุตรแห่งพระอาชญาเหมือนอย่างคนอื่น
อฟ 2.11 เหตุฉะนั้นท่านจงระลึกว่า เมื่อก่อนท่านเคยเป็นคนต่างชาติตามเนื้อหนัง และพวกที่รับพิธีเข้าสุหนัตซึ่งกระทำแก่เนื้อหนังด้วยมือเคยเรียกท่านว่า เป็นพวกที่มิได้เข้าสุหนัต
อฟ 2.13 แต่บัดนี้ในพระเยซูคริสต์ ท่านทั้งหลายซึ่งเมื่อก่อนอยู่ไกลได้เข้ามาใกล้โดยพระโลหิตของพระคริสต์
อฟ 5.8 เพราะว่าเมื่อก่อนท่านเป็นความมืด แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างแล้วในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตอย่างลูกของความสว่าง
ฟป 1.20 เพราะว่าเป็นความมุ่งมาดปรารถนาและความหวังของข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าจะไม่ได้รับความละอายใดๆเลย แต่เมื่อก่อนทุกครั้งมีใจกล้าเสมอฉันใด บัดนี้ก็ขอให้เป็นเช่นเดียวกันฉันนั้น พระคริสต์จะได้ทรงรับเกียรติในร่างกายของข้าพเจ้าเสมอ แม้จะโดยชีวิตหรือโดยความตาย
คส 1.5 โดยเหตุซึ่งมีความหวังอันสะสมไว้สำหรับท่านในสวรรค์ซึ่งเมื่อก่อนท่านเคยได้ยินมาแล้วในพระวจนะแห่งความจริงของข่าวประเสริฐ
คส 1.21 และพวกท่านซึ่งเมื่อก่อนนี้ไม่ถูกกันและเป็นศัตรูในใจด้วยการชั่วต่างๆ บัดนี้ พระองค์ทรงโปรดให้คืนดีกับพระองค์
1ทธ 1.13 ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนนั้นข้าพเจ้าเป็นคนหมิ่นประมาท ข่มเหง และเป็นผู้ปฏิบัติอย่างหยาบช้า แต่ข้าพเจ้าได้รับพระกรุณา เพราะว่าที่ข้าพเจ้าได้กระทำอย่างนั้นก็ได้กระทำไปโดยความเขลาเพราะความไม่เชื่อ
2ทธ 1.5 ข้าพเจ้าระลึกถึงความเชื่ออันแท้นั้นซึ่งมีอยู่ในท่าน และซึ่งเมื่อก่อนได้มีอยู่ในโลอิสยายของท่าน และซึ่งได้มีอยู่ในยูนีสมารดาของท่าน และซึ่งข้าพเจ้าเชื่อมั่นคงว่ามีอยู่ในท่านด้วย
ทต 3.3 เพราะว่าเมื่อก่อนนั้นบางครั้งเราเองก็โง่เช่นกัน ไม่เชื่อฟัง หลงผิด เป็นทาสของกิเลสตัณหาและการเริงสำราญต่างๆ ใช้ชีวิตอย่างเลวร้าย ริษยา น่าชัง และเกลียดชังกันและกัน
ฟม 1.11 เมื่อก่อนนั้นเขาไม่เป็นประโยชน์แก่ท่าน แต่เดี๋ยวนี้เขาเป็นประโยชน์ทั้งแก่ท่านและแก่ข้าพเจ้า
1ปต 2.10 เมื่อก่อนท่านทั้งหลายหาเป็นชนชาติไม่ แต่บัดนี้ท่านเป็นชนชาติของพระเจ้าแล้ว เมื่อก่อนท่านทั้งหลายหาได้รับพระกรุณาไม่ แต่บัดนี้ท่านได้รับพระกรุณาแล้ว
2ปต 1.9 เพราะว่าผู้ใดที่ขาดสิ่งเหล่านี้ก็เป็นคนตาบอดตาสั้น และลืมไปว่าตนได้รับการชำระจากความผิดบาปเมื่อก่อนนั้นเสียแล้ว
2ปต 3.2 เพื่อท่านทั้งหลายจะได้ใส่ใจถ้อยคำทั้งหลายที่พวกศาสดาพยากรณ์อันบริสุทธิ์ได้กล่าวไว้เมื่อก่อน และคำบัญชาของเราทั้งหลายพวกอัครสาวกขององค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอด
ยด 1.17 แต่ว่าท่านที่รักทั้งหลาย ท่านจงระลึกถึงคำพยากรณ์เมื่อก่อนของเหล่าอัครสาวกของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราที่ได้กล่าวไว้
วว 17.11 สัตว์ร้ายที่เป็นแล้วเมื่อก่อน แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้เป็นนั้นก็เป็นที่แปด แต่ก็ยังเป็นองค์หนึ่งในเจ็ดองค์นั้น และจะไปสู่ความพินาศ

เมื่อกี้นี้ ( 2 )
1ซมอ 9.12 เธอทั้งหลายตอบว่า “อยู่นี่ ดูเถิด ท่านเพิ่งขึ้นหน้าท่านไป จงรีบเข้าเถิด ท่านเพิ่งมาในเมืองเมื่อกี้นี้ เพราะว่าวันนี้ประชาชนทำการถวายสัตวบูชา ณ ปูชนียสถานสูง
ยน 21.10 พระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “เอาปลาที่ได้เมื่อกี้นี้มาบ้าง”

เมื่อคืนนี้ ( 2 )
ปฐก 19.34 ต่อมาวันรุ่งขึ้นบุตรสาวหัวปีพูดกับน้องสาวว่า “ดูเถิด เมื่อคืนนี้เราได้นอนกับบิดาของเรา พวกเราจงให้ท่านดื่มเหล้าองุ่นในคืนนี้อีก และเจ้าจงเข้าไปนอนกับท่านเพื่อพวกเราจะสงวนเชื้อสายของบิดาพวกเรา”
กจ 27.23 เพราะว่า เมื่อคืนนี้เองทูตสวรรค์ของพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าได้ปรนนิบัตินั้นได้มายืนอยู่ใกล้ข้าพเจ้า

เมือง ( 2722 )
ปฐก 4.16; ปฐก 4.17; ปฐก 10.10; ปฐก 10.11; ปฐก 10.12; ปฐก 10.19; ปฐก 10.30; ปฐก 11.4; ปฐก 11.5; ปฐก 11.8; ปฐก 11.9; ปฐก 11.28; ปฐก 11.31; ปฐก 11.32; ปฐก 12.4; ปฐก 12.5; ปฐก 12.6; ปฐก 12.8; ปฐก 13.3; ปฐก 13.10; ปฐก 13.12; ปฐก 14.1; ปฐก 14.2; ปฐก 14.5; ปฐก 14.6; ปฐก 14.7; ปฐก 14.8; ปฐก 14.9; ปฐก 14.10; ปฐก 14.11; ปฐก 14.12; ปฐก 14.14; ปฐก 14.15; ปฐก 14.17; ปฐก 14.18; ปฐก 14.21; ปฐก 14.22; ปฐก 15.7; ปฐก 16.7; ปฐก 16.14; ปฐก 18.16; ปฐก 18.20; ปฐก 18.22; ปฐก 18.24; ปฐก 18.26; ปฐก 18.28; ปฐก 18.31; ปฐก 18.32; ปฐก 19.1; ปฐก 19.4; ปฐก 19.12; ปฐก 19.14; ปฐก 19.15; ปฐก 19.16; ปฐก 19.20; ปฐก 19.21; ปฐก 19.22; ปฐก 19.23; ปฐก 19.24; ปฐก 19.25; ปฐก 19.28; ปฐก 19.29; ปฐก 19.30; ปฐก 20.1; ปฐก 20.2; ปฐก 22.19; ปฐก 23.2; ปฐก 23.19; ปฐก 24.10; ปฐก 24.11; ปฐก 25.16; ปฐก 25.18; ปฐก 26.1; ปฐก 26.6; ปฐก 26.7; ปฐก 26.20; ปฐก 26.23; ปฐก 26.26; ปฐก 26.33; ปฐก 27.43; ปฐก 28.2; ปฐก 28.10; ปฐก 28.19; ปฐก 29.4; ปฐก 31.18; ปฐก 32.3; ปฐก 33.18; ปฐก 34.25; ปฐก 34.27; ปฐก 34.28; ปฐก 35.4; ปฐก 35.5; ปฐก 35.27; ปฐก 36.6; ปฐก 37.12; ปฐก 37.13; ปฐก 37.14; ปฐก 37.17; ปฐก 37.25; ปฐก 41.35; ปฐก 41.45; ปฐก 41.48; ปฐก 41.50; ปฐก 44.4; ปฐก 44.13; ปฐก 46.1; ปฐก 46.20; ปฐก 46.28; ปฐก 46.29; ปฐก 47.21; ปฐก 49.6; ปฐก 49.13; อพย 1.11; อพย 12.19; อพย 12.37; อพย 12.49; อพย 13.20; อพย 15.15; อพย 16.35; อพย 18.27; อพย 34.24; ลนต 14.40; ลนต 14.41; ลนต 14.45; ลนต 14.53; ลนต 25.29; ลนต 25.30; ลนต 25.32; ลนต 25.33; ลนต 26.25; ลนต 26.31; ลนต 26.33; กดว 10.30; กดว 13.20; กดว 13.21; กดว 13.22; กดว 13.27; กดว 13.28; กดว 13.30; กดว 14.24; กดว 20.16; กดว 21.1; กดว 21.15; กดว 21.16; กดว 21.22; กดว 21.25; กดว 21.27; กดว 21.28; กดว 21.32; กดว 21.33; กดว 22.1; กดว 22.4; กดว 22.7; กดว 22.10; กดว 22.36; กดว 24.24; กดว 25.1; กดว 26.3; กดว 26.63; กดว 31.10; กดว 31.12; กดว 32.16; กดว 32.17; กดว 32.24; กดว 32.26; กดว 32.34; กดว 32.36; กดว 32.37; กดว 32.38; กดว 32.39; กดว 32.40; กดว 32.41; กดว 32.42; กดว 33.7; กดว 33.40; กดว 33.48; กดว 33.50; กดว 34.8; กดว 34.11; กดว 34.15; กดว 35.1; กดว 35.2; กดว 35.3; กดว 35.4; กดว 35.5; กดว 35.6; กดว 35.7; กดว 35.8; กดว 35.11; กดว 35.12; กดว 35.13; กดว 35.14; กดว 35.15; กดว 35.25; กดว 35.32; กดว 36.13; พบญ 1.4; พบญ 1.25; พบญ 1.28; พบญ 2.4; พบญ 2.12; พบญ 2.24; พบญ 2.26; พบญ 2.30; พบญ 2.31; พบญ 2.34; พบญ 2.35; พบญ 2.36; พบญ 2.37; พบญ 3.1; พบญ 3.3; พบญ 3.4; พบญ 3.5; พบญ 3.6; พบญ 3.7; พบญ 3.10; พบญ 3.11; พบญ 3.13; พบญ 3.14; พบญ 3.15; พบญ 4.42; พบญ 4.43; พบญ 4.47; พบญ 9.1; พบญ 13.15; พบญ 13.16; พบญ 19.2; พบญ 19.3; พบญ 19.4; พบญ 19.5; พบญ 19.11; พบญ 19.12; พบญ 20.10; พบญ 20.11; พบญ 20.12; พบญ 20.13; พบญ 20.14; พบญ 20.19; พบญ 20.20; พบญ 21.2; พบญ 21.3; พบญ 21.4; พบญ 21.6; พบญ 21.19; พบญ 21.20; พบญ 21.21; พบญ 22.15; พบญ 22.17; พบญ 22.18; พบญ 22.21; พบญ 22.23; พบญ 22.24; พบญ 25.8; พบญ 28.3; พบญ 28.16; พบญ 29.7; พบญ 29.23; พบญ 32.32; พบญ 32.49; พบญ 33.22; พบญ 34.1; พบญ 34.3; ยชว 2.1; ยชว 2.2; ยชว 2.3; ยชว 2.15; ยชว 3.16; ยชว 5.10; ยชว 5.13; ยชว 6.1; ยชว 6.2; ยชว 6.3; ยชว 6.4; ยชว 6.5; ยชว 6.7; ยชว 6.11; ยชว 6.14; ยชว 6.15; ยชว 6.16; ยชว 6.17; ยชว 6.20; ยชว 6.21; ยชว 6.24; ยชว 6.25; ยชว 6.26; ยชว 7.2; ยชว 7.3; ยชว 7.21; ยชว 8.1; ยชว 8.2; ยชว 8.3; ยชว 8.4; ยชว 8.7; ยชว 8.8; ยชว 8.9; ยชว 8.10; ยชว 8.11; ยชว 8.12; ยชว 8.13; ยชว 8.14; ยชว 8.16; ยชว 8.17; ยชว 8.18; ยชว 8.19; ยชว 8.20; ยชว 8.21; ยชว 8.22; ยชว 8.23; ยชว 8.24; ยชว 8.27; ยชว 8.28; ยชว 8.29; ยชว 9.3; ยชว 9.6; ยชว 9.10; ยชว 9.11; ยชว 9.17; ยชว 10.1; ยชว 10.2; ยชว 10.3; ยชว 10.4; ยชว 10.5; ยชว 10.10; ยชว 10.11; ยชว 10.12; ยชว 10.19; ยชว 10.20; ยชว 10.23; ยชว 10.28; ยชว 10.29; ยชว 10.30; ยชว 10.31; ยชว 10.32; ยชว 10.33; ยชว 10.34; ยชว 10.35; ยชว 10.36; ยชว 10.37; ยชว 10.38; ยชว 10.39; ยชว 10.40; ยชว 10.41; ยชว 11.1; ยชว 11.2; ยชว 11.10; ยชว 11.11; ยชว 11.13; ยชว 11.14; ยชว 11.17; ยชว 11.19; ยชว 11.21; ยชว 12.4; ยชว 12.5; ยชว 12.9; ยชว 12.10; ยชว 12.11; ยชว 12.12; ยชว 12.13; ยชว 12.14; ยชว 12.15; ยชว 12.16; ยชว 12.17; ยชว 12.18; ยชว 12.19; ยชว 12.20; ยชว 12.21; ยชว 12.22; ยชว 12.23; ยชว 12.24; ยชว 13.3; ยชว 13.4; ยชว 13.5; ยชว 13.9; ยชว 13.11; ยชว 13.12; ยชว 13.16; ยชว 13.17; ยชว 13.20; ยชว 13.25; ยชว 13.26; ยชว 13.27; ยชว 13.30; ยชว 13.31; ยชว 13.32; ยชว 14.4; ยชว 14.6; ยชว 14.13; ยชว 14.15; ยชว 15.1; ยชว 15.3; ยชว 15.6; ยชว 15.7; ยชว 15.8; ยชว 15.9; ยชว 15.10; ยชว 15.11; ยชว 15.13; ยชว 15.15; ยชว 15.16; ยชว 15.17; ยชว 15.21; ยชว 15.25; ยชว 15.32; ยชว 15.33; ยชว 15.36; ยชว 15.37; ยชว 15.41; ยชว 15.44; ยชว 15.45; ยชว 15.46; ยชว 15.47; ยชว 15.49; ยชว 15.51; ยชว 15.54; ยชว 15.57; ยชว 15.59; ยชว 15.60; ยชว 15.61; ยชว 15.62; ยชว 15.63; ยชว 16.1; ยชว 16.2; ยชว 16.3; ยชว 16.5; ยชว 16.6; ยชว 16.7; ยชว 16.9; ยชว 16.10; ยชว 17.1; ยชว 17.7; ยชว 17.8; ยชว 17.11; ยชว 17.16; ยชว 18.9; ยชว 18.12; ยชว 18.13; ยชว 18.14; ยชว 18.16; ยชว 18.21; ยชว 18.24; ยชว 18.28; ยชว 19.2; ยชว 19.6; ยชว 19.7; ยชว 19.8; ยชว 19.11; ยชว 19.12; ยชว 19.13; ยชว 19.14; ยชว 19.15; ยชว 19.16; ยชว 19.18; ยชว 19.22; ยชว 19.23; ยชว 19.25; ยชว 19.26; ยชว 19.27; ยชว 19.29; ยชว 19.30; ยชว 19.31; ยชว 19.33; ยชว 19.34; ยชว 19.35; ยชว 19.38; ยชว 19.39; ยชว 19.41; ยชว 19.46; ยชว 19.47; ยชว 19.48; ยชว 19.50; ยชว 20.2; ยชว 20.3; ยชว 20.4; ยชว 20.6; ยชว 20.7; ยชว 20.8; ยชว 20.9; ยชว 21.2; ยชว 21.3; ยชว 21.10; ยชว 21.11; ยชว 21.12; ยชว 21.13; ยชว 21.14; ยชว 21.15; ยชว 21.16; ยชว 21.17; ยชว 21.18; ยชว 21.19; ยชว 21.21; ยชว 21.22; ยชว 21.23; ยชว 21.25; ยชว 21.26; ยชว 21.27; ยชว 21.28; ยชว 21.29; ยชว 21.30; ยชว 21.31; ยชว 21.32; ยชว 21.33; ยชว 21.34; ยชว 21.35; ยชว 21.36; ยชว 21.37; ยชว 21.38; ยชว 21.39; ยชว 21.40; ยชว 21.42; ยชว 22.7; ยชว 22.12; ยชว 22.17; ยชว 24.9; ยชว 24.11; ยชว 24.13; ยชว 24.25; ยชว 24.30; ยชว 24.32; วนฉ 1.4; วนฉ 1.5; วนฉ 1.8; วนฉ 1.10; วนฉ 1.11; วนฉ 1.12; วนฉ 1.13; วนฉ 1.16; วนฉ 1.17; วนฉ 1.18; วนฉ 1.20; วนฉ 1.22; วนฉ 1.23; วนฉ 1.24; วนฉ 1.25; วนฉ 1.26; วนฉ 1.27; วนฉ 1.29; วนฉ 1.35; วนฉ 2.9; วนฉ 3.3; วนฉ 3.8; วนฉ 3.10; วนฉ 3.12; วนฉ 3.13; วนฉ 3.14; วนฉ 3.15; วนฉ 3.17; วนฉ 4.2; วนฉ 4.9; วนฉ 4.11; วนฉ 4.13; วนฉ 4.17; วนฉ 4.24; วนฉ 6.4; วนฉ 7.22; วนฉ 8.6; วนฉ 8.8; วนฉ 8.11; วนฉ 8.14; วนฉ 8.16; วนฉ 8.17; วนฉ 8.27; วนฉ 8.31; วนฉ 8.32; วนฉ 9.1; วนฉ 9.5; วนฉ 9.6; วนฉ 9.26; วนฉ 9.29; วนฉ 9.31; วนฉ 9.33; วนฉ 9.34; วนฉ 9.43; วนฉ 9.45; วนฉ 9.50; วนฉ 9.51; วนฉ 10.1; วนฉ 10.2; วนฉ 10.4; วนฉ 10.5; วนฉ 10.6; วนฉ 11.5; วนฉ 11.11; วนฉ 11.17; วนฉ 11.25; วนฉ 11.26; วนฉ 11.33; วนฉ 14.1; วนฉ 14.2; วนฉ 14.5; วนฉ 15.9; วนฉ 16.1; วนฉ 16.3; วนฉ 16.4; วนฉ 18.7; วนฉ 18.12; วนฉ 18.14; วนฉ 18.27; วนฉ 18.28; วนฉ 18.29; วนฉ 19.10; วนฉ 19.11; วนฉ 19.12; วนฉ 19.15; วนฉ 19.16; วนฉ 19.17; วนฉ 20.1; วนฉ 20.4; วนฉ 20.5; วนฉ 20.10; วนฉ 20.11; วนฉ 20.13; วนฉ 20.19; วนฉ 20.20; วนฉ 20.21; วนฉ 20.29; วนฉ 20.30; วนฉ 20.32; วนฉ 20.33; วนฉ 20.34; วนฉ 20.36; วนฉ 20.37; วนฉ 20.38; วนฉ 20.40; วนฉ 20.42; วนฉ 20.43; วนฉ 20.48; วนฉ 21.23; นรธ 1.2; นรธ 1.19; นรธ 1.21; นรธ 1.22; นรธ 2.18; นรธ 3.11; นรธ 3.15; นรธ 4.2; 1ซมอ 1.3; 1ซมอ 1.9; 1ซมอ 1.24; 1ซมอ 2.14; 1ซมอ 4.3; 1ซมอ 4.4; 1ซมอ 4.13; 1ซมอ 5.1; 1ซมอ 5.5; 1ซมอ 5.8; 1ซมอ 5.9; 1ซมอ 5.10; 1ซมอ 5.11; 1ซมอ 6.9; 1ซมอ 6.12; 1ซมอ 6.16; 1ซมอ 6.17; 1ซมอ 6.18; 1ซมอ 7.5; 1ซมอ 7.6; 1ซมอ 7.7; 1ซมอ 7.11; 1ซมอ 7.14; 1ซมอ 7.16; 1ซมอ 7.17; 1ซมอ 8.2; 1ซมอ 8.4; 1ซมอ 8.22; 1ซมอ 9.6; 1ซมอ 9.10; 1ซมอ 9.11; 1ซมอ 9.12; 1ซมอ 9.13; 1ซมอ 9.14; 1ซมอ 9.25; 1ซมอ 10.5; 1ซมอ 11.1; 1ซมอ 11.3; 1ซมอ 11.4; 1ซมอ 12.9; 1ซมอ 13.2; 1ซมอ 13.23; 1ซมอ 14.3; 1ซมอ 14.23; 1ซมอ 15.5; 1ซมอ 15.7; 1ซมอ 15.21; 1ซมอ 16.4; 1ซมอ 17.12; 1ซมอ 17.52; 1ซมอ 19.18; 1ซมอ 19.19; 1ซมอ 19.22; 1ซมอ 19.23; 1ซมอ 20.1; 1ซมอ 20.6; 1ซมอ 20.29; 1ซมอ 20.40; 1ซมอ 20.42; 1ซมอ 21.1; 1ซมอ 21.10; 1ซมอ 21.12; 1ซมอ 22.3; 1ซมอ 22.6; 1ซมอ 22.9; 1ซมอ 22.11; 1ซมอ 22.19; 1ซมอ 23.1; 1ซมอ 23.2; 1ซมอ 23.6; 1ซมอ 23.7; 1ซมอ 23.10; 1ซมอ 24.1; 1ซมอ 26.1; 1ซมอ 27.2; 1ซมอ 27.3; 1ซมอ 27.4; 1ซมอ 27.6; 1ซมอ 27.8; 1ซมอ 27.11; 1ซมอ 28.3; 1ซมอ 29.1; 1ซมอ 30.1; 1ซมอ 30.3; 1ซมอ 30.14; 1ซมอ 30.26; 1ซมอ 31.10; 1ซมอ 31.12; 2ซมอ 1.20; 2ซมอ 2.1; 2ซมอ 2.8; 2ซมอ 2.9; 2ซมอ 2.12; 2ซมอ 2.13; 2ซมอ 2.24; 2ซมอ 2.32; 2ซมอ 3.2; 2ซมอ 3.3; 2ซมอ 3.5; 2ซมอ 3.19; 2ซมอ 3.20; 2ซมอ 4.3; 2ซมอ 4.8; 2ซมอ 4.12; 2ซมอ 5.1; 2ซมอ 5.3; 2ซมอ 5.7; 2ซมอ 5.9; 2ซมอ 5.11; 2ซมอ 6.3; 2ซมอ 6.4; 2ซมอ 6.10; 2ซมอ 6.12; 2ซมอ 6.16; 2ซมอ 8.1; 2ซมอ 8.3; 2ซมอ 8.5; 2ซมอ 8.8; 2ซมอ 8.9; 2ซมอ 8.12; 2ซมอ 8.14; 2ซมอ 9.4; 2ซมอ 10.3; 2ซมอ 10.5; 2ซมอ 10.6; 2ซมอ 10.8; 2ซมอ 10.14; 2ซมอ 11.1; 2ซมอ 11.16; 2ซมอ 11.17; 2ซมอ 11.20; 2ซมอ 11.21; 2ซมอ 11.25; 2ซมอ 12.1; 2ซมอ 12.26; 2ซมอ 12.27; 2ซมอ 12.28; 2ซมอ 12.29; 2ซมอ 12.30; 2ซมอ 12.31; 2ซมอ 13.37; 2ซมอ 13.38; 2ซมอ 14.2; 2ซมอ 14.23; 2ซมอ 15.2; 2ซมอ 15.7; 2ซมอ 15.8; 2ซมอ 15.9; 2ซมอ 15.18; 2ซมอ 15.24; 2ซมอ 15.25; 2ซมอ 15.27; 2ซมอ 15.34; 2ซมอ 15.37; 2ซมอ 17.13; 2ซมอ 17.23; 2ซมอ 17.24; 2ซมอ 17.27; 2ซมอ 18.3; 2ซมอ 18.24; 2ซมอ 19.3; 2ซมอ 19.37; 2ซมอ 20.6; 2ซมอ 20.8; 2ซมอ 20.14; 2ซมอ 20.15; 2ซมอ 20.16; 2ซมอ 20.19; 2ซมอ 20.21; 2ซมอ 21.12; 2ซมอ 21.14; 2ซมอ 21.18; 2ซมอ 21.19; 2ซมอ 21.20; 2ซมอ 21.22; 2ซมอ 23.20; 2ซมอ 24.2; 2ซมอ 24.5; 2ซมอ 24.6; 2ซมอ 24.7; 2ซมอ 24.15; 2ซมอ 24.16; 1พกษ 2.27; 1พกษ 2.39; 1พกษ 2.40; 1พกษ 2.41; 1พกษ 3.4; 1พกษ 3.5; 1พกษ 4.12; 1พกษ 4.13; 1พกษ 4.19; 1พกษ 4.25; 1พกษ 5.1; 1พกษ 7.13; 1พกษ 7.46; 1พกษ 8.1; 1พกษ 8.37; 1พกษ 8.41; 1พกษ 8.44; 1พกษ 8.48; 1พกษ 8.65; 1พกษ 9.11; 1พกษ 9.12; 1พกษ 9.13; 1พกษ 9.16; 1พกษ 9.17; 1พกษ 9.18; 1พกษ 9.28; 1พกษ 10.22; 1พกษ 11.24; 1พกษ 11.32; 1พกษ 11.36; 1พกษ 12.1; 1พกษ 12.25; 1พกษ 12.29; 1พกษ 12.30; 1พกษ 13.25; 1พกษ 13.29; 1พกษ 14.11; 1พกษ 14.12; 1พกษ 14.17; 1พกษ 15.17; 1พกษ 15.18; 1พกษ 15.20; 1พกษ 15.21; 1พกษ 15.22; 1พกษ 15.27; 1พกษ 15.33; 1พกษ 16.4; 1พกษ 16.6; 1พกษ 16.8; 1พกษ 16.9; 1พกษ 16.15; 1พกษ 16.17; 1พกษ 16.18; 1พกษ 16.23; 1พกษ 16.24; 1พกษ 16.29; 1พกษ 16.32; 1พกษ 16.34; 1พกษ 17.9; 1พกษ 17.10; 1พกษ 18.45; 1พกษ 18.46; 1พกษ 20.1; 1พกษ 20.2; 1พกษ 20.12; 1พกษ 20.19; 1พกษ 20.26; 1พกษ 20.30; 1พกษ 20.34; 1พกษ 21.8; 1พกษ 21.11; 1พกษ 21.13; 1พกษ 21.24; 1พกษ 22.12; 1พกษ 22.36; 2พกษ 1.1; 2พกษ 2.4; 2พกษ 2.5; 2พกษ 2.15; 2พกษ 2.18; 2พกษ 2.19; 2พกษ 2.23; 2พกษ 3.8; 2พกษ 3.19; 2พกษ 3.20; 2พกษ 3.25; 2พกษ 3.26; 2พกษ 4.8; 2พกษ 5.12; 2พกษ 6.14; 2พกษ 6.15; 2พกษ 6.19; 2พกษ 7.4; 2พกษ 7.12; 2พกษ 7.13; 2พกษ 8.9; 2พกษ 9.15; 2พกษ 9.27; 2พกษ 9.30; 2พกษ 10.1; 2พกษ 10.2; 2พกษ 10.6; 2พกษ 10.25; 2พกษ 10.29; 2พกษ 12.17; 2พกษ 14.7; 2พกษ 14.13; 2พกษ 14.22; 2พกษ 14.25; 2พกษ 15.14; 2พกษ 15.16; 2พกษ 15.29; 2พกษ 16.6; 2พกษ 16.9; 2พกษ 17.5; 2พกษ 17.6; 2พกษ 17.9; 2พกษ 17.31; 2พกษ 18.8; 2พกษ 18.9; 2พกษ 18.10; 2พกษ 18.11; 2พกษ 18.14; 2พกษ 18.17; 2พกษ 18.30; 2พกษ 18.34; 2พกษ 19.8; 2พกษ 19.13; 2พกษ 19.25; 2พกษ 20.6; 2พกษ 20.14; 2พกษ 23.8; 2พกษ 23.17; 2พกษ 23.27; 2พกษ 23.29; 2พกษ 23.30; 2พกษ 24.11; 2พกษ 25.4; 2พกษ 25.5; 2พกษ 25.11; 2พกษ 25.19; 1พศด 2.55; 1พศด 3.2; 1พศด 4.22; 1พศด 4.28; 1พศด 4.33; 1พศด 4.39; 1พศด 5.6; 1พศด 5.8; 1พศด 5.11; 1พศด 5.23; 1พศด 5.26; 1พศด 6.55; 1พศด 6.56; 1พศด 6.57; 1พศด 6.60; 1พศด 6.67; 1พศด 6.68; 1พศด 6.69; 1พศด 6.70; 1พศด 6.71; 1พศด 6.72; 1พศด 6.73; 1พศด 6.74; 1พศด 6.75; 1พศด 6.76; 1พศด 6.77; 1พศด 6.78; 1พศด 6.79; 1พศด 6.80; 1พศด 6.81; 1พศด 7.21; 1พศด 7.24; 1พศด 7.29; 1พศด 8.6; 1พศด 8.12; 1พศด 11.1; 1พศด 11.3; 1พศด 11.8; 1พศด 11.22; 1พศด 11.31; 1พศด 12.23; 1พศด 13.5; 1พศด 13.12; 1พศด 14.1; 1พศด 14.16; 1พศด 16.39; 1พศด 18.1; 1พศด 18.3; 1พศด 18.5; 1พศด 18.6; 1พศด 18.8; 1พศด 18.9; 1พศด 19.5; 1พศด 19.7; 1พศด 19.15; 1พศด 20.1; 1พศด 20.2; 1พศด 20.3; 1พศด 20.4; 1พศด 20.6; 1พศด 20.8; 1พศด 21.2; 1พศด 26.31; 1พศด 29.4; 2พศด 2.3; 2พศด 2.11; 2พศด 2.16; 2พศด 3.6; 2พศด 5.2; 2พศด 6.5; 2พศด 6.28; 2พศด 6.32; 2พศด 6.34; 2พศด 6.38; 2พศด 7.8; 2พศด 8.3; 2พศด 8.4; 2พศด 8.5; 2พศด 8.6; 2พศด 8.17; 2พศด 8.18; 2พศด 9.9; 2พศด 10.1; 2พศด 11.6; 2พศด 12.13; 2พศด 13.19; 2พศด 14.9; 2พศด 14.13; 2พศด 14.14; 2พศด 15.6; 2พศด 16.1; 2พศด 16.2; 2พศด 16.4; 2พศด 16.5; 2พศด 16.6; 2พศด 18.11; 2พศด 20.36; 2พศด 20.37; 2พศด 22.5; 2พศด 22.6; 2พศด 24.1; 2พศด 25.28; 2พศด 26.2; 2พศด 26.6; 2พศด 28.15; 2พศด 28.18; 2พศด 28.23; 2พศด 28.24; 2พศด 30.5; 2พศด 32.3; 2พศด 32.9; 2พศด 32.18; 2พศด 32.31; 2พศด 33.15; 2พศด 36.19; อสร 2.1; อสร 2.70; อสร 3.7; อสร 4.12; อสร 4.13; อสร 4.15; อสร 4.16; อสร 4.19; อสร 4.21; อสร 10.14; นหม 1.3; นหม 2.3; นหม 2.5; นหม 2.8; นหม 3.7; นหม 3.19; นหม 7.4; นหม 9.7; นหม 9.22; นหม 11.9; นหม 11.25; นหม 11.27; นหม 11.28; นหม 11.30; นหม 11.31; นหม 13.16; นหม 13.18; นหม 13.21; อสธ 8.11; อสธ 8.17; อสธ 9.28; โยบ 6.19; โยบ 22.24; โยบ 24.12; โยบ 28.19; โยบ 39.7; สดด 20.2; สดด 29.8; สดด 31.21; สดด 45.9; สดด 45.12; สดด 60.6; สดด 68.15; สดด 72.10; สดด 72.15; สดด 87.5; สดด 106.28; สดด 108.7; สดด 132.15; สดด 132.16; สดด 135.11; สดด 136.20; สภษ 1.21; สภษ 8.3; สภษ 9.3; สภษ 9.14; สภษ 10.15; สภษ 16.32; สภษ 18.11; สภษ 18.19; สภษ 21.22; สภษ 25.25; สภษ 25.28; ปญจ 2.8; ปญจ 5.8; ปญจ 7.19; ปญจ 8.10; ปญจ 9.14; ปญจ 9.15; พซม 3.2; พซม 3.3; พซม 5.7; พซม 6.4; พซม 7.4; พซม 8.11; อสย 1.8; อสย 1.9; อสย 1.10; อสย 1.21; อสย 4.4; อสย 4.5; อสย 7.1; อสย 7.6; อสย 10.9; อสย 10.32; อสย 13.19; อสย 13.22; อสย 14.4; อสย 15.4; อสย 15.5; อสย 15.9; อสย 16.7; อสย 16.8; อสย 16.9; อสย 17.1; อสย 17.2; อสย 17.9; อสย 19.2; อสย 19.18; อสย 20.1; อสย 22.2; อสย 22.10; อสย 23.1; อสย 23.2; อสย 23.3; อสย 23.5; อสย 23.7; อสย 23.8; อสย 23.11; อสย 23.15; อสย 23.16; อสย 23.17; อสย 24.10; อสย 24.12; อสย 25.2; อสย 25.12; อสย 26.1; อสย 26.5; อสย 27.10; อสย 29.2; อสย 32.14; อสย 32.19; อสย 33.8; อสย 33.20; อสย 34.6; อสย 34.9; อสย 36.2; อสย 36.15; อสย 36.19; อสย 37.8; อสย 37.13; อสย 37.26; อสย 38.6; อสย 39.3; อสย 40.2; อสย 46.11; อสย 49.12; อสย 49.16; อสย 62.12; อสย 63.1; อสย 65.18; อสย 65.19; อสย 66.6; ยรม 1.18; ยรม 2.10; ยรม 2.16; ยรม 3.14; ยรม 4.5; ยรม 4.15; ยรม 4.29; ยรม 5.1; ยรม 5.6; ยรม 6.1; ยรม 6.20; ยรม 7.12; ยรม 8.16; ยรม 8.19; ยรม 10.9; ยรม 17.25; ยรม 19.8; ยรม 19.11; ยรม 19.12; ยรม 19.15; ยรม 20.5; ยรม 20.16; ยรม 21.4; ยรม 21.7; ยรม 21.9; ยรม 21.10; ยรม 21.14; ยรม 22.6; ยรม 22.8; ยรม 22.20; ยรม 23.14; ยรม 23.39; ยรม 25.13; ยรม 25.18; ยรม 25.20; ยรม 25.22; ยรม 25.23; ยรม 25.26; ยรม 25.29; ยรม 26.6; ยรม 26.9; ยรม 26.11; ยรม 26.12; ยรม 26.15; ยรม 26.18; ยรม 26.20; ยรม 27.17; ยรม 27.19; ยรม 29.7; ยรม 29.16; ยรม 30.18; ยรม 31.38; ยรม 32.3; ยรม 32.24; ยรม 32.25; ยรม 32.28; ยรม 32.29; ยรม 32.31; ยรม 32.36; ยรม 32.44; ยรม 33.9; ยรม 33.16; ยรม 34.1; ยรม 34.7; ยรม 38.4; ยรม 39.5; ยรม 41.5; ยรม 41.7; ยรม 41.12; ยรม 43.13; ยรม 44.2; ยรม 44.6; ยรม 46.2; ยรม 46.19; ยรม 46.25; ยรม 47.1; ยรม 47.2; ยรม 47.4; ยรม 47.5; ยรม 48.2; ยรม 48.4; ยรม 48.5; ยรม 48.8; ยรม 48.15; ยรม 48.18; ยรม 48.34; ยรม 48.36; ยรม 48.38; ยรม 48.45; ยรม 49.2; ยรม 49.3; ยรม 49.7; ยรม 49.14; ยรม 49.18; ยรม 49.20; ยรม 49.23; ยรม 49.24; ยรม 49.25; ยรม 49.26; ยรม 49.27; ยรม 49.33; ยรม 49.34; ยรม 50.2; ยรม 50.3; ยรม 50.5; ยรม 50.13; ยรม 50.39; ยรม 50.40; ยรม 51.4; ยรม 51.14; ยรม 51.31; ยรม 52.4; ยรม 52.8; พคค 1.1; พคค 1.4; พคค 1.17; พคค 2.9; พคค 2.16; พคค 4.6; พคค 4.11; พคค 4.21; พคค 4.22; อสค 4.1; อสค 5.2; อสค 6.6; อสค 7.15; อสค 7.23; อสค 11.18; อสค 11.24; อสค 12.20; อสค 13.16; อสค 14.19; อสค 14.21; อสค 19.7; อสค 21.20; อสค 22.2; อสค 22.3; อสค 22.5; อสค 23.40; อสค 25.5; อสค 25.9; อสค 25.10; อสค 25.13; อสค 25.14; อสค 26.2; อสค 26.3; อสค 26.4; อสค 26.5; อสค 26.6; อสค 26.7; อสค 26.10; อสค 26.15; อสค 26.17; อสค 26.19; อสค 27.2; อสค 27.3; อสค 27.6; อสค 27.7; อสค 27.8; อสค 27.9; อสค 27.13; อสค 27.16; อสค 27.17; อสค 27.20; อสค 27.21; อสค 27.22; อสค 27.23; อสค 27.24; อสค 27.25; อสค 27.32; อสค 28.12; อสค 28.21; อสค 28.22; อสค 28.23; อสค 29.18; อสค 30.4; อสค 30.13; อสค 30.14; อสค 30.15; อสค 30.16; อสค 30.17; อสค 30.18; อสค 32.13; อสค 33.21; อสค 33.30; อสค 36.38; อสค 38.13; อสค 39.18; อสค 40.2; อสค 43.3; อสค 45.6; อสค 45.7; อสค 47.15; อสค 47.16; อสค 47.17; อสค 47.18; อสค 47.20; อสค 48.1; อสค 48.15; อสค 48.28; ดนล 1.1; ดนล 2.48; ดนล 2.49; ดนล 3.1; ดนล 3.12; ดนล 3.30; ดนล 7.1; ดนล 8.2; ดนล 9.25; ดนล 10.5; ดนล 11.15; ดนล 11.28; ดนล 11.30; ฮชย 4.15; ฮชย 5.1; ฮชย 6.8; ฮชย 8.14; ฮชย 9.6; ฮชย 9.9; ฮชย 9.13; ฮชย 10.8; ฮชย 10.14; ฮชย 10.15; ฮชย 11.8; ฮชย 11.9; ฮชย 13.10; ยอล 2.9; ยอล 3.6; ยอล 3.17; อมส 1.1; อมส 1.5; อมส 1.7; อมส 1.8; อมส 1.9; อมส 1.10; อมส 1.11; อมส 1.12; อมส 1.13; อมส 1.14; อมส 2.1; อมส 2.3; อมส 3.6; อมส 3.9; อมส 3.14; อมส 4.1; อมส 4.6; อมส 4.7; อมส 4.8; อมส 4.11; อมส 5.3; อมส 5.27; อมส 6.2; อมส 6.8; อมส 6.14; อมส 7.17; อมส 9.14; อบด 1.1; ยนา 1.3; ยนา 3.2; ยนา 3.3; ยนา 3.4; ยนา 4.2; ยนา 4.5; ยนา 4.11; มคา 1.6; มคา 1.7; มคา 1.9; มคา 1.10; มคา 2.12; มคา 3.11; มคา 5.11; มคา 5.14; มคา 7.11; มคา 7.12; นฮม 2.4; นฮม 2.5; นฮม 3.1; นฮม 3.7; นฮม 3.8; นฮม 3.9; นฮม 3.10; ฮบก 2.8; ฮบก 2.12; ฮบก 2.17; ศฟย 1.16; ศฟย 2.4; ศฟย 2.9; ศฟย 2.13; ศฟย 2.14; ศฟย 2.15; ศฟย 3.1; ศฟย 3.5; ศฟย 3.6; ศฟย 3.7; ศคย 1.17; ศคย 2.4; ศคย 2.5; ศคย 8.3; ศคย 8.5; ศคย 8.21; ศคย 9.1; ศคย 9.2; ศคย 9.4; ศคย 9.5; ศคย 9.6; ศคย 11.2; ศคย 14.2; ศคย 14.4; ศคย 14.10; มธ 2.23; มธ 4.13; มธ 8.5; มธ 9.1; มธ 10.5; มธ 10.11; มธ 10.14; มธ 10.15; มธ 10.23; มธ 11.1; มธ 11.20; มธ 11.21; มธ 11.22; มธ 11.23; มธ 11.24; มธ 12.25; มธ 14.13; มธ 15.21; มธ 17.24; มธ 20.29; มธ 21.33; มธ 22.7; มธ 23.34; มธ 25.14; มธ 27.7; มธ 28.11; มก 1.9; มก 1.21; มก 1.33; มก 1.45; มก 2.1; มก 3.8; มก 5.1; มก 5.10; มก 5.17; มก 6.11; มก 6.45; มก 6.56; มก 7.24; มก 7.31; มก 8.22; มก 8.23; มก 8.26; มก 8.27; มก 9.33; มก 10.46; มก 12.1; ลก 1.26; ลก 1.39; ลก 2.3; ลก 2.4; ลก 2.11; ลก 2.15; ลก 2.39; ลก 2.51; ลก 4.16; ลก 4.23; ลก 4.26; ลก 4.29; ลก 4.31; ลก 4.43; ลก 5.12; ลก 5.17; ลก 6.17; ลก 7.1; ลก 7.11; ลก 7.37; ลก 8.1; ลก 8.4; ลก 8.27; ลก 8.34; ลก 8.39; ลก 9.5; ลก 9.6; ลก 9.10; ลก 9.12; ลก 10.1; ลก 10.8; ลก 10.9; ลก 10.10; ลก 10.11; ลก 10.12; ลก 10.13; ลก 10.14; ลก 10.15; ลก 10.30; ลก 13.22; ลก 14.21; ลก 15.13; ลก 15.14; ลก 17.29; ลก 18.35; ลก 19.1; ลก 19.12; ลก 19.17; ลก 19.19; ลก 20.9; ลก 23.43; ยน 1.44; ยน 2.12; ยน 4.5; ยน 4.8; ยน 4.28; ยน 4.30; ยน 4.39; ยน 4.46; ยน 6.17; ยน 6.24; ยน 6.59; ยน 7.42; ยน 11.1; ยน 11.30; ยน 11.54; กจ 2.10; กจ 5.16; กจ 7.2; กจ 7.4; กจ 7.16; กจ 7.43; กจ 8.5; กจ 8.8; กจ 8.9; กจ 8.26; กจ 8.40; กจ 9.2; กจ 9.3; กจ 9.6; กจ 9.8; กจ 9.10; กจ 9.19; กจ 9.22; กจ 9.25; กจ 9.27; กจ 9.30; กจ 9.32; กจ 9.35; กจ 9.36; กจ 9.38; กจ 9.42; กจ 9.43; กจ 10.1; กจ 10.5; กจ 10.8; กจ 10.9; กจ 10.23; กจ 10.24; กจ 10.32; กจ 11.5; กจ 11.11; กจ 11.13; กจ 11.19; กจ 11.20; กจ 11.22; กจ 11.25; กจ 11.26; กจ 11.27; กจ 12.10; กจ 12.19; กจ 12.20; กจ 13.1; กจ 13.4; กจ 13.5; กจ 13.6; กจ 13.13; กจ 13.14; กจ 13.44; กจ 13.50; กจ 14.1; กจ 14.6; กจ 14.8; กจ 14.13; กจ 14.19; กจ 14.20; กจ 14.21; กจ 14.25; กจ 14.26; กจ 15.21; กจ 15.22; กจ 15.23; กจ 15.30; กจ 15.35; กจ 15.36; กจ 16.1; กจ 16.2; กจ 16.3; กจ 16.4; กจ 16.8; กจ 16.11; กจ 16.12; กจ 16.13; กจ 16.14; กจ 16.20; กจ 16.39; กจ 17.1; กจ 17.10; กจ 17.13; กจ 17.16; กจ 18.1; กจ 18.18; กจ 18.19; กจ 18.21; กจ 18.22; กจ 18.24; กจ 19.1; กจ 19.17; กจ 19.26; กจ 19.29; กจ 19.35; กจ 20.5; กจ 20.6; กจ 20.13; กจ 20.14; กจ 20.15; กจ 20.16; กจ 20.17; กจ 20.23; กจ 21.1; กจ 21.2; กจ 21.3; กจ 21.5; กจ 21.7; กจ 21.8; กจ 21.16; กจ 21.29; กจ 21.30; กจ 21.31; กจ 21.39; กจ 22.3; กจ 22.5; กจ 22.6; กจ 22.10; กจ 22.11; กจ 23.23; กจ 23.31; กจ 23.33; กจ 24.12; กจ 25.1; กจ 25.4; กจ 25.6; กจ 25.13; กจ 26.11; กจ 26.12; กจ 26.20; กจ 27.2; กจ 27.3; กจ 27.5; กจ 27.6; กจ 27.7; กจ 27.8; กจ 27.12; กจ 28.11; กจ 28.12; กจ 28.13; รม 9.29; รม 11.26; รม 15.19; รม 16.1; รม 16.23; รม 16.27; 1คร 1.2; 1คร 15.32; 1คร 16.8; 1คร 16.24; 2คร 1.1; 2คร 1.23; 2คร 2.12; 2คร 12.4; 2คร 13.14; กท 1.17; อฟ 1.1; ฟป 1.1; ฟป 4.16; คส 1.2; คส 4.13; คส 4.15; คส 4.16; 1ธส 2.2; 1ทธ 1.3; 1ทธ 6.21; 2ทธ 1.18; 2ทธ 3.11; 2ทธ 4.10; 2ทธ 4.12; 2ทธ 4.13; 2ทธ 4.20; ทต 1.5; ทต 3.12; ทต 3.15; ฮบ 7.1; ฮบ 7.2; ฮบ 11.10; ฮบ 11.14; ฮบ 11.16; ฮบ 11.30; ฮบ 12.22; ฮบ 13.14; ยก 4.13; 1ปต 5.13; 2ปต 2.6; ยด 1.7; วว 1.11; วว 2.1; วว 2.8; วว 2.12; วว 2.18; วว 2.24; วว 3.1; วว 3.4; วว 3.7; วว 3.12; วว 3.14; วว 11.2; วว 11.8; วว 11.13; วว 14.20; วว 18.20; วว 20.9; วว 21.2; วว 21.10; วว 21.11; วว 21.12; วว 21.14; วว 21.15; วว 21.16; วว 21.17; วว 21.18; วว 21.19; วว 21.21; วว 21.22; วว 21.23; วว 21.24; วว 21.25; วว 21.26; วว 21.27; วว 22.2; วว 22.3; วว 22.14; วว 22.19

เมืองขึ้น ( 2 )
พคค 1.1 กรุงที่คับคั่งด้วยพลเมืองมาอ้างว้างอยู่ได้หนอ กรุงที่รุ่งเรืองอยู่ท่ามกลางประชาชาติมากลายเป็นดั่งหญิงม่ายหนอ กรุงที่เป็นดั่งเจ้าหญิงท่ามกลางเมืองทั้งหลายก็กลับเป็นเมืองขึ้นเขาไป
กจ 16.12 เมื่อออกจากที่นั่นแล้ว ก็ได้ไปยังเมืองฟีลิปปีซึ่งเป็นเมืองเอกในเขตแคว้นมาซิโดเนีย และเป็นเมืองขึ้น เราจึงพักอยู่ในเมืองนั้นหลายวัน

เมืองใดเมืองหนึ่ง ( 1 )
พบญ 19.5 อาทิเช่น ชายคนหนึ่งเข้าไปในป่าพร้อมกับเพื่อนบ้านของเขาเพื่อจะตัดไม้ เมื่อเขาเหวี่ยงขวานเพื่อจะโค่นต้นไม้ลง หัวขวานหลุดจากด้ามถูกเพื่อนบ้านของเขาและคนนั้นก็ถึงตาย ก็ให้เขาหนีไปยังเมืองเหล่านี้เมืองใดเมืองหนึ่งและรอดตายได้

เมืองหนึ่งเมืองใด ( 1 )
1พกษ 8.16 ‘ตั้งแต่วันที่เราได้นำอิสราเอลชนชาติของเราออกจากอียิปต์ เรามิได้เลือกเมืองหนึ่งเมืองใดในตระกูลอิสราเอลทั้งสิ้นเพื่อจะสร้างพระนิเวศ เพื่อนามของเราจะอยู่ที่นั่น แต่เราได้เลือกดาวิดให้อยู่เหนืออิสราเอลชนชาติของเรา’

เมืองหลวง ( 8 )
ปฐก 36.32 เบลาบุตรชายเบโอร์ครอบครองในเอโดม เมืองหลวงของท่านชื่อดินฮาบาห์
ปฐก 36.35 เมื่อหุชามสิ้นพระชนม์แล้ว ฮาดัดบุตรชายของเบดัดผู้รบชนะคนมีเดียนในทุ่งแห่งโมอับขึ้นครอบครองแทน เมืองหลวงของท่านชื่ออาวีท
ปฐก 36.39 เมื่อบาอัลฮานันบุตรชายอัคโบร์สิ้นพระชนม์แล้ว ฮาดาร์ขึ้นครอบครองแทน เมืองหลวงของท่านชื่อปาอู และมเหสีของท่านมีพระนามว่า เมเหทาเบล ธิดาของมัทเรด ธิดาของเมซาหับ
กดว 21.26 เพราะว่าเฮชโบนเป็นเมืองหลวงของสิโหนกษัตริย์ของคนอาโมไรต์ ผู้ที่ต่อสู้กับกษัตริย์ชาวโมอับองค์ก่อน และยึดได้แผ่นดินของท่านทั้งสิ้นไกลไปถึงแม่น้ำอารโนน
ยชว 10.2 ท่านก็คร้ามกลัวเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่ากิเบโอนเป็นเมืองใหญ่เสมอเมืองหลวงและใหญ่กว่าเมืองอัย และบุรุษชาวเมืองนั้นก็ล้วนแต่ฉกรรจ์
1พศด 1.43 ต่อไปนี้เป็นกษัตริย์ผู้ทรงครอบครองอยู่ในแผ่นดินเอโดม ก่อนที่มีกษัตริย์ครอบครองอยู่เหนือคนอิสราเอล คือ เบลาบุตรชายเบโอร์ เมืองหลวงของท่านชื่อดินฮาบาห์
1พศด 1.46 เมื่อหุชามสิ้นพระชนม์แล้ว ฮาดัดบุตรชายของเบดัดผู้รบชนะคนมีเดียนในทุ่งแห่งโมอับขึ้นครอบครองแทน เมืองหลวงของท่านชื่ออาวีท
1พศด 1.50 เมื่อบาอัลฮานันสิ้นพระชนม์แล้ว ฮาดัดขึ้นครอบครองแทน เมืองหลวงของท่านชื่อปาอี และมเหสีของท่านมีพระนามว่า เมเหทาเบล ธิดาของมัทเรด ธิดาของเมซาหับ

เมื่อใด ( 8 )
อพย 40.36 ตลอดการเดินทางของเขา เมฆนั้นถูกยกขึ้นจากพลับพลาเมื่อใด ชนชาติอิสราเอลก็ยกเดินต่อไปทุกครั้ง
กดว 9.22 ไม่ว่าเมฆจะคงอยู่เหนือพลับพลาสองวัน หรือเดือนหนึ่งหรือปีหนึ่ง คนอิสราเอลก็อยู่ในค่ายนานเท่านั้น มิได้ยกออกไป แต่เมื่อเมฆลอยขึ้นเมื่อใด เขาก็ยกออกไปเมื่อนั้น
กดว 10.6 เมื่อเป่าแตรปลุกหนที่สองให้บรรดาค่ายที่อยู่ด้านใต้ยกออกเดิน เมื่อใดจะให้ยกออกเดินก็ให้เป่าแตรปลุก
กดว 35.19 ให้ผู้อาฆาตโลหิตเองเป็นผู้ประหารชีวิตฆาตกรนั้น ถ้าผู้อาฆาตพบเขาเมื่อใดก็ให้ประหารชีวิตเสีย
กดว 35.21 หรือเพราะเป็นศัตรูกันชกเขาล้มลง จนเขาตาย ให้ประหารชีวิตผู้ที่ชกเขานั้นเสียเป็นแน่ ด้วยว่าเขาเป็นฆาตกร เมื่อผู้อาฆาตโลหิตพบเขาเมื่อใด ก็ให้ประหารชีวิตฆาตกรนั้นเสีย
รม 7.21 ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเห็นว่าเป็นกฎอย่างหนึ่ง คือเมื่อใดข้าพเจ้าตั้งใจจะกระทำความดี ความชั่วก็ยังติดอยู่ในตัวข้าพเจ้า
2คร 12.10 เหตุฉะนั้นเพราะเห็นแก่พระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นใจในความอ่อนแอของข้าพเจ้า ในการถูกว่ากล่าวต่างๆ ในการขัดสน ในการถูกข่มเหง ในการยากลำบาก เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะแข็งแรงมากเมื่อนั้น
ฟป 1.3 ข้าพเจ้าระลึกถึงท่านเมื่อใด ข้าพเจ้าก็ขอบพระคุณพระเจ้าของข้าพเจ้าทุกครั้ง

เมื่อตะกี้ ( 1 )
กดว 22.33 ลาได้เห็นเราและหลีกไปต่อหน้าเราถึงสามครั้ง ถ้ามันมิได้หลีกไปจากเรา เราจะได้ฆ่าเจ้าเสียแล้วเมื่อตะกี้นี้แน่ และให้ลารอดตายไป”

เมื่อนั้น ( 24 )
อพย 17.11 ต่อมาโมเสสยกมือขึ้นเมื่อไร อิสราเอลก็ได้เปรียบเมื่อนั้น ท่านลดมือลงเมื่อไร พวกอามาเลขก็เป็นต่อเมื่อนั้น
ลนต 26.41 และเราจึงดำเนินการขัดแย้งเขาทั้งหลายด้วย และได้นำเขาเข้าแผ่นดินแห่งศัตรูของเขา ถ้าเมื่อนั้นจิตใจอันนอกรีตของเขาถ่อมลงแล้ว และเขายอมรับโทษเพราะความชั่วช้าของเขาแล้ว
กดว 9.22 ไม่ว่าเมฆจะคงอยู่เหนือพลับพลาสองวัน หรือเดือนหนึ่งหรือปีหนึ่ง คนอิสราเอลก็อยู่ในค่ายนานเท่านั้น มิได้ยกออกไป แต่เมื่อเมฆลอยขึ้นเมื่อใด เขาก็ยกออกไปเมื่อนั้น
กดว 10.34 เขาทั้งหลายยกค่ายไปเมื่อไร เมฆของพระเยโฮวาห์ก็อยู่เหนือเขาในกลางวันเมื่อนั้น
วนฉ 2.18 พระเยโฮวาห์ทรงตั้งผู้วินิจฉัยขึ้นเมื่อไร พระเยโฮวาห์ก็ทรงสถิตกับผู้วินิจฉัยนั้นเมื่อนั้น และพระองค์ทรงช่วยเขาทั้งหลายให้พ้นจากเงื้อมมือของศัตรูตลอดชีวิตของผู้วินิจฉัยนั้น เพราะพระเยโฮวาห์ทรงกลับพระทัยสงสารเขาทั้งหลาย เมื่อทรงฟังเสียงคร่ำครวญของเขาเนื่องด้วยผู้ข่มเหงและบีบบังคับ
ยรม 31.26 เมื่อนั้น ข้าพเจ้าตื่นขึ้นและมองดู และการหลับนอนของข้าพเจ้าก็เป็นที่ชื่นใจข้าพเจ้า
มธ 7.23 เมื่อนั้นเราจะแจ้งแก่เขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย เจ้าผู้กระทำความชั่วช้า จงไปเสียให้พ้นจากเรา’
มธ 9.15 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “สหายของเจ้าบ่าวเป็นทุกข์โศกเศร้าเมื่อเจ้าบ่าวยังอยู่กับเขาได้หรือ แต่วันนั้นจะมาถึงเมื่อเจ้าบ่าวจะต้องจากเขาไป เมื่อนั้นเขาจะถืออดอาหาร
มธ 16.27 เหตุว่าบุตรมนุษย์จะเสด็จมาด้วยสง่าราศีแห่งพระบิดา และพร้อมด้วยเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ เมื่อนั้นพระองค์จะประทานบำเหน็จแก่ทุกคนตามการกระทำของตน
มธ 24.30 เมื่อนั้นหมายสำคัญแห่งบุตรมนุษย์จะปรากฏขึ้นในท้องฟ้า ‘มนุษย์ทุกตระกูลทั่วโลกจะไว้ทุกข์’ แล้วเขาจะเห็น ‘บุตรมนุษย์เสด็จมาบนเมฆในท้องฟ้า’ พร้อมด้วยฤทธานุภาพและสง่าราศีเป็นอันมาก
มธ 24.40 เมื่อนั้นสองคนจะอยู่ที่ทุ่งนา จะทรงรับคนหนึ่ง ทรงละคนหนึ่ง
มธ 25.31 เมื่อบุตรมนุษย์จะเสด็จมาในสง่าราศีของพระองค์พร้อมกับเหล่าทูตสวรรค์อันบริสุทธิ์ทั้งปวง เมื่อนั้นพระองค์จะประทับบนพระที่นั่งอันรุ่งเรืองของพระองค์
มธ 25.45 เมื่อนั้นพระองค์จะตรัสตอบเขาว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านมิได้กระทำแก่ผู้ต่ำต้อยที่สุดสักคนหนึ่งในพวกนี้ ก็เหมือนท่านมิได้กระทำแก่เรา’
มก 13.26 เมื่อนั้นเขาจะเห็น ‘บุตรมนุษย์เสด็จมาบนเมฆ’ ทรงฤทธานุภาพและสง่าราศีเป็นอันมาก
มก 13.27 เมื่อนั้นพระองค์จะทรงใช้เหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ ให้รวบรวมคนทั้งปวงที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้แล้วจากลมทั้งสี่ทิศนั้น ตั้งแต่ที่สุดปลายแผ่นดินโลกจนถึงที่สุดขอบฟ้า
ลก 14.9 และเจ้าภาพที่ได้เชิญท่านทั้งสองนั้นจะมาพูดกับท่านว่า ‘จงให้ที่นั่งแก่ท่านผู้นี้เถิด’ แล้วเมื่อนั้นท่านจะต้องเลื่อนลงมาที่ต่ำได้รับความอดสู
ลก 21.20 เมื่อท่านเห็นกองทัพทั้งหลายมาตั้งล้อมรอบกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อนั้นจงรู้ว่าวิบัติของกรุงนั้นก็ใกล้เข้ามาแล้ว
ลก 21.27 เมื่อนั้นเขาจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในเมฆ ทรงฤทธานุภาพและสง่าราศีเป็นอันมาก
ยน 8.28 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “เมื่อท่านทั้งหลายจะได้ยกบุตรมนุษย์ขึ้นไว้แล้ว เมื่อนั้นท่านก็จะรู้ว่าเราคือผู้นั้น และรู้ว่าเรามิได้ทำสิ่งใดตามใจชอบ แต่พระบิดาของเราได้ทรงสอนเราอย่างไร เราจึงกล่าวอย่างนั้น
1คร 4.5 เหตุฉะนั้นท่านอย่าตัดสินสิ่งใดก่อนที่จะถึงเวลาจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา พระองค์จะทรงเปิดเผยความลับที่ซ่อนอยู่ในความมืดให้แจ่มกระจ่าง และจะทรงเผยความในใจของคนทั้งปวงด้วย เมื่อนั้นทุกคนจะได้รับคำชมเชยจากพระเจ้า
1คร 15.28 เมื่อสิ่งสารพัดถูกปราบให้อยู่ใต้พระองค์แล้ว เมื่อนั้นองค์พระบุตรก็จะอยู่ใต้พระเจ้าผู้ทรงปราบสิ่งสารพัดให้อยู่ใต้พระองค์ เพื่อพระเจ้าจะทรงเป็นเอกเป็นใหญ่ในสิ่งสารพัดทั้งปวง
1คร 15.54 เมื่อสิ่งซึ่งเปื่อยเน่านี้จะสวมซึ่งไม่เปื่อยเน่า และซึ่งจะตายนี้จะสวมซึ่งไม่รู้จักตาย เมื่อนั้นตามซึ่งเขียนไว้แล้วจะสำเร็จว่า ‘ความตายก็ถูกกลืนไปด้วยการมีชัย’
2คร 12.10 เหตุฉะนั้นเพราะเห็นแก่พระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นใจในความอ่อนแอของข้าพเจ้า ในการถูกว่ากล่าวต่างๆ ในการขัดสน ในการถูกข่มเหง ในการยากลำบาก เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะแข็งแรงมากเมื่อนั้น

เมื่อยล้า ( 4 )
อพย 17.12 แต่มือของโมเสสเมื่อยล้า เขาทั้งสองก็นำก้อนหินมาวางไว้ให้โมเสส ท่านนั่ง อาโรนกับเฮอร์ก็ช่วยยกมือท่านขึ้นคนละข้าง มือของท่านก็ชูอยู่จนตะวันตกดิน
พบญ 25.18 เขาได้ออกมาพบท่านตามทาง และโจมตีพวกที่อยู่รั้งท้าย คือบรรดาคนที่อ่อนกำลังที่อยู่รั้งท้าย เมื่อท่านอ่อนเพลียเมื่อยล้า เขามิได้ยำเกรงพระเจ้า
2ซมอ 23.10 ท่านได้ลุกขึ้นฆ่าฟันคนฟีลิสเตียจนมือของท่านเมื่อยล้า มือของท่านเป็นเหน็บแข็งติดดาบ ในวันนั้นพระเยโฮวาห์ทรงกระทำให้ได้ชัยชนะอย่างใหญ่หลวง ทหารก็กลับตามท่านมาเพื่อปล้นข้าวของเท่านั้น
กท 6.9 อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเกี่ยวเก็บในเวลาอันสมควร

เมื่อไร ( 59 )
ปฐก 19.33 ในคืนวันนั้นพวกเธอจึงให้บิดาของพวกเธอดื่มเหล้าองุ่น บุตรสาวหัวปีเข้าไปนอนกับบิดาของเธอ และเขาไม่สังเกตว่าเธอมานอนด้วยเมื่อไรและเธอลุกขึ้นไปเมื่อไร
ปฐก 19.35 พวกเธอจึงให้บิดาของพวกเธอดื่มเหล้าองุ่นในคืนวันนั้นด้วย น้องสาวก็ลุกขึ้นไปนอนกับเขา และเขาไม่สังเกตว่าเธอมานอนด้วยเมื่อไรและเธอลุกขึ้นไปเมื่อไร
ปฐก 27.2 ท่านว่า “ดูเถิด บัดนี้พ่อแก่แล้ว จะถึงวันตายเมื่อไรก็ไม่รู้
ปฐก 30.30 เพราะว่าก่อนข้าพเจ้ามานั้นลุงมีแต่น้อย แต่บัดนี้ก็มีทวีขึ้นเป็นอันมาก ตั้งแต่ข้าพเจ้ามาถึง พระเยโฮวาห์ได้ทรงอวยพระพรแก่ลุง และบัดนี้เมื่อไรข้าพเจ้าจะบำรุงครอบครัวของตนเองได้บ้างเล่า”
อพย 17.11 ต่อมาโมเสสยกมือขึ้นเมื่อไร อิสราเอลก็ได้เปรียบเมื่อนั้น ท่านลดมือลงเมื่อไร พวกอามาเลขก็เป็นต่อเมื่อนั้น
อพย 33.8 และต่อมาเมื่อไรที่โมเสสออกไปยังพลับพลานั้น พลไพร่ทั้งปวงก็จะลุกขึ้นยืนอยู่ที่ประตูเต็นท์ของตน มองดูโมเสสจนท่านเข้าไปในพลับพลา
อพย 33.10 เวลาพลไพร่ทั้งปวงเห็นเสาเมฆนั้นตั้งอยู่ที่ประตูพลับพลาเมื่อไร ทุกคนก็จะลุกขึ้นยืนนมัสการอยู่ที่ประตูเต็นท์ของตน
อพย 34.34 แต่เมื่อไรที่โมเสสเข้าเฝ้าทูลต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ท่านก็ปลดผ้านั้นออกเสีย จนกว่าจะกลับออกมา แล้วท่านออกมาเล่าให้คนอิสราเอลฟังตามที่ท่านรับพระบัญชามาแล้วนั้น
อพย 40.32 เวลาเขาทั้งหลายเข้าไปในเต็นท์แห่งชุมนุม หรือเข้าไปใกล้แท่นนั้นเมื่อไร เขาก็ชำระล้างเสียก่อน ตามที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาแก่โมเสส
ลนต 13.14 ถ้ามีเนื้อแผลสดปรากฏขึ้นมาเมื่อไร เขาก็เป็นมลทิน
ลนต 14.57 เพื่อจะแสดงว่าเมื่อไรจึงเรียกว่ามลทิน เมื่อไรเรียกว่าสะอาด นี่เป็นพระราชบัญญัติเรื่องโรคเรื้อน
กดว 9.17 เมื่อไรเมฆลอยขึ้นจากพลับพลา ภายหลังนั้นพวกอิสราเอลก็ยกเดินไป ครั้นเมฆนั้นลอยหยุดอยู่ที่ใด คนอิสราเอลก็ตั้งค่ายอยู่ที่นั่น
กดว 10.34 เขาทั้งหลายยกค่ายไปเมื่อไร เมฆของพระเยโฮวาห์ก็อยู่เหนือเขาในกลางวันเมื่อนั้น
กดว 10.35 ต่อมาเมื่อหีบยกออกเดินเมื่อไร โมเสสกราบทูลว่า “ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงลุกขึ้นเถิด ให้ศัตรูทั้งหลายของพระองค์กระจัดกระจายไป ให้ผู้ที่ชังพระองค์หลีกหนีพระองค์ไป”
วนฉ 2.15 เขาทั้งหลายออกไปรบเมื่อไร พระหัตถ์ของพระเยโฮวาห์ก็ต่อต้านเขา กระทำให้เขาพ่ายแพ้ ดังที่พระเยโฮวาห์ได้ตรัสไว้แล้ว และดังที่พระเยโฮวาห์ทรงปฏิญาณไว้กับเขา และเขาทั้งหลายก็มีความทุกข์ยิ่งนัก
วนฉ 2.18 พระเยโฮวาห์ทรงตั้งผู้วินิจฉัยขึ้นเมื่อไร พระเยโฮวาห์ก็ทรงสถิตกับผู้วินิจฉัยนั้นเมื่อนั้น และพระองค์ทรงช่วยเขาทั้งหลายให้พ้นจากเงื้อมมือของศัตรูตลอดชีวิตของผู้วินิจฉัยนั้น เพราะพระเยโฮวาห์ทรงกลับพระทัยสงสารเขาทั้งหลาย เมื่อทรงฟังเสียงคร่ำครวญของเขาเนื่องด้วยผู้ข่มเหงและบีบบังคับ
วนฉ 6.3 เพราะว่าคนอิสราเอลหว่านพืชเมื่อไร คนมีเดียนและคนอามาเลขและชาวตะวันออกก็ขึ้นมาสู้รบกับเขา
1ซมอ 16.23 อยู่มาเมื่อวิญญาณชั่วจากพระเจ้ามาสิงซาอูลเมื่อไร ดาวิดก็หยิบพิณเขาคู่ใช้มือดีดถวาย ซาอูลก็ทรงชุ่มชื่นขึ้นและหายดี และวิญญาณชั่วก็พรากจากพระองค์ไป
2ซมอ 13.28 แล้วอับซาโลมบัญชามหาดเล็กของท่านว่า “จงคอยดูว่าจิตใจของอัมโนนเพลิดเพลินด้วยเหล้าองุ่นเมื่อไร เมื่อเราสั่งเจ้าว่า ‘จงตีอัมโนน’ เจ้าทั้งหลายจงฆ่าเขาเสีย อย่ากลัวเลย เราบัญชาเจ้าแล้วมิใช่หรือ จงกล้าหาญและเป็นคนเก่งกล้าเถิด”
2ซมอ 15.10 แต่อับซาโลมได้ส่งผู้สื่อสารไปทั่วอิสราเอลทุกตระกูลว่า “ท่านทั้งหลายได้ยินเสียงแตรเมื่อไร จงกล่าวกันว่า ‘อับซาโลมเป็นกษัตริย์ที่กรุงเฮโบรน’”
2พกษ 4.8 วันหนึ่งเอลีชาเดินต่อไปถึงเมืองชูเนม เป็นที่ที่หญิงมั่งมีคนหนึ่งอาศัยอยู่ และนางได้ชวนท่านให้รับประทานอาหาร ฉะนั้นเมื่อท่านผ่านทางนั้นไปเมื่อไร ท่านก็แวะเข้าไปรับประทานอาหารที่นั่น
2พศด 12.11 และกษัตริย์เสด็จเข้าไปในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์เมื่อไร ทหารรักษาพระองค์ก็มาถือโล่นั้น แล้วนำกลับไปเก็บไว้ในห้องทหารรักษาพระองค์ตามเดิม
2พศด 24.11 และต่อมาเมื่อคนเลวีนำหีบเข้ามายังเจ้าพนักงานของกษัตริย์เมื่อไร และเมื่อเขาทั้งหลายเห็นว่ามีเงินมาก ราชเลขาและเจ้าหน้าที่ของมหาปุโรหิตจะเข้ามาเทหีบออกและนำหีบกลับไปยังที่เดิม เขาทั้งหลายทำอย่างนี้วันแล้ววันเล่า และเก็บเงินได้เป็นอันมาก
นหม 2.6 และกษัตริย์ตรัสกับข้าพเจ้า (มีพระราชินีประทับข้างพระองค์) ว่า “เจ้าจะไปนานสักเท่าใด เมื่อไรเจ้าจะกลับมา” จึงเป็นที่พอพระทัยกษัตริย์ที่จะให้ข้าพเจ้าไป และข้าพเจ้าก็กำหนดเวลาให้พระองค์ทรงทราบ
โยบ 7.4 เมื่อข้านอนลง ข้าว่า ‘เมื่อไรหนอข้าจะลุกขึ้น และกลางคืนจะผ่านพ้นไป’ และข้าก็พลิกไปพลิกมาจนรุ่งเช้า
โยบ 16.3 คำลมๆแล้งๆจะจบสิ้นเมื่อไรหนอ ท่านเป็นอะไรไป ท่านจึงตอบอย่างนี้
โยบ 39.1 “เจ้ารู้ไหมว่าเลียงผาตกลูกเมื่อไร เจ้าเคยเฝ้าดูกวางตัวเมียตกลูกหรือ
สดด 41.5 ศัตรูของข้าพเจ้ากล่าวใส่ร้ายข้าพเจ้าว่า “เมื่อไรเขาจะตายนะ และชื่อของเขาจะได้พินาศ”
สดด 42.2 จิตวิญญาณของข้าพเจ้ากระหายหาพระเจ้า หาพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ เมื่อไรข้าพเจ้าจะได้มาปรากฏต่อพระพักตร์พระเจ้า
สดด 94.8 คนเขลาที่สุดของประชาชนเอ๋ย จงเข้าใจเถิด คนโง่ทั้งหลาย เมื่อไรเจ้าจึงจะฉลาด
สดด 101.2 ข้าพระองค์จะประพฤติอย่างเฉลียวฉลาดตามมรรคาที่ดีรอบคอบ โอ เมื่อไรพระองค์จะเสด็จมาหาข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะดำเนินด้วยใจซื่อสัตย์ภายในเรือนของข้าพระองค์
สดด 119.82 นัยน์ตาของข้าพระองค์มัวมืดไปด้วยคอยพระดำรัสของพระองค์ ข้าพระองค์ทูลถามว่า “เมื่อไรพระองค์จะทรงเล้าโลมข้าพระองค์”
สดด 119.84 ผู้รับใช้ของพระองค์จะอยู่นานเท่าไร พระองค์จะทรงกระทำการพิพากษาบรรดาผู้ข่มเหงข้าพระองค์เมื่อไร
สภษ 6.9 โอ คนเกียจคร้านเอ๋ย เจ้าจะนอนนานเท่าใด เมื่อไรเจ้าจะลุกขึ้นจากหลับ
สภษ 23.35 เจ้าจะว่า “เขาตีข้า แต่ข้าไม่เจ็บ เขาทุบข้า แต่ข้าไม่รู้สึก ข้าจะตื่นเมื่อไรหนอ ข้าจะแสวงหาการดื่มอีก”
ยรม 20.8 เพราะว่าข้าพระองค์พูดเมื่อไร ข้าพระองค์ร้องให้ช่วย ข้าพระองค์ตะโกนว่า “ความทารุณและการปล้น” เพราะว่าพระวจนะของพระเยโฮวาห์ได้เป็นเหตุให้ข้าพระองค์เป็นที่ตำหนิและเยาะเย้ยตลอดวัน
อสค 3.17 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เราได้กระทำให้เจ้าเป็นยามเฝ้าวงศ์วานอิสราเอล เจ้าได้ยินถ้อยคำจากปากของเราเมื่อไร เจ้าจงกล่าวคำตักเตือนเขาจากเรา
อสค 33.7 ฉะนี้แหละ เจ้า โอ บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เราได้กระทำเจ้าให้เป็นคนยามสำหรับวงศ์วานอิสราเอล เจ้าได้ยินถ้อยคำจากปากของเราเมื่อไร เจ้าจงให้คำตักเตือนของเราแก่ประชาชน
อมส 8.5 โดยกล่าวว่า “เมื่อไรหนอวันขึ้นค่ำจะหมดไป เราจะได้ขายข้าวของเรา เมื่อไรหนอวันสะบาโตจะพ้นไป เราจะได้เอาข้าวสาลีออกขาย เราจะได้กระทำเอฟาห์ให้ย่อมลง และกระทำเชเขลให้โตขึ้น และหลอกค้าด้วยตาชั่งขี้ฉ้อ
มธ 24.3 เมื่อพระองค์ประทับบนภูเขามะกอกเทศ พวกสาวกมาเฝ้าพระองค์ส่วนตัวกราบทูลว่า “ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ทั้งหลายทราบว่า เหตุการณ์เหล่านี้จะบังเกิดขึ้นเมื่อไร สิ่งไรเป็นหมายสำคัญว่าพระองค์จะเสด็จมา และวาระสุดท้ายของโลกนี้”
มธ 25.37 เวลานั้นบรรดาผู้ชอบธรรมจะกราบทูลพระองค์ว่า ‘พระองค์เจ้าข้า ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงหิว และได้จัดมาถวายแด่พระองค์แต่เมื่อไร หรือทรงกระหายน้ำ และได้ถวายให้พระองค์ดื่มแต่เมื่อไร
มธ 25.38 ที่ข้าพระองค์ได้เห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลกหน้า และได้ต้อนรับพระองค์ไว้แต่เมื่อไร หรือเปลือยพระกาย และได้สวมฉลองพระองค์ให้แต่เมื่อไร
มธ 25.39 ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ประชวรหรือต้องจำอยู่ในคุก และได้มาเฝ้าพระองค์นั้นแต่เมื่อไร’
มธ 25.44 เขาทั้งหลายจะทูลพระองค์ด้วยว่า ‘พระองค์เจ้าข้า ที่ข้าพระองค์ได้เห็นพระองค์ทรงหิวหรือทรงกระหายน้ำ หรือทรงเป็นแขกแปลกหน้าหรือเปลือยพระกาย หรือประชวร หรือต้องจำอยู่ในคุก และข้าพระองค์มิได้ปรนนิบัติพระองค์นั้นแต่เมื่อไร’
มก 13.4 “ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ทั้งหลายทราบว่า เหตุการณ์เหล่านี้จะบังเกิดขึ้นเมื่อไร สิ่งไรจะเป็นหมายสำคัญว่าการณ์ทั้งปวงนี้จวนจะสำเร็จ”
มก 13.33 จงเฝ้าระวังและอธิษฐานอยู่ เพราะท่านไม่รู้ว่าเวลาวันนั้นจะมาถึงเมื่อไร
มก 13.35 เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังอยู่ เพราะท่านไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านจะมาเมื่อไร จะมาเวลาค่ำ หรือเที่ยงคืน หรือเวลาไก่ขัน หรือรุ่งเช้า
มก 14.7 ด้วยว่าคนยากจนมีอยู่กับท่านเสมอ และท่านจะทำการดีแก่เขาเมื่อไรก็ทำได้ แต่เราจะไม่อยู่กับท่านเสมอไป
ลก 17.20 เมื่อพวกฟาริสีทูลถามพระองค์ว่า อาณาจักรของพระเจ้าจะมาถึงเมื่อไร พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “อาณาจักรของพระเจ้าไม่มาโดยให้เป็นที่สังเกตได้
ลก 21.7 เขาทั้งหลายทูลถามพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า เหตุการณ์เหล่านี้จะบังเกิดขึ้นเมื่อไร สิ่งไรเป็นหมายสำคัญว่าการณ์ทั้งปวงนี้จวนจะบังเกิดขึ้น”
ยน 6.25 ครั้นเขาได้พบพระองค์ที่ฝั่งทะเลข้างโน้นแล้ว เขาทั้งหลายทูลพระองค์ว่า “รับบี ท่านมาที่นี่เมื่อไร”
วว 3.3 เหตุฉะนั้น เจ้าจงระลึกว่าเจ้าได้รับและได้ยินอะไร จงยึดไว้ให้มั่นและกลับใจเสียใหม่ ฉะนั้นถ้าเจ้าไม่เฝ้าระวัง เราจะมาหาเจ้าเหมือนอย่างขโมย และเจ้าจะไม่รู้ว่าเราจะมาหาเจ้าเมื่อไร

เมื่อวานนี้ ( 4 )
2ซมอ 15.20 เจ้าเพิ่งมาถึงเมื่อวานนี้ และวันนี้ควรที่เราจะให้เจ้าไปมากับเราหรือ ด้วยเราไม่ทราบว่าจะไปที่ไหน จงกลับไปเถิด พาพี่น้องของเจ้าไปด้วย ขอความเมตตาและความจริงจงมีกับเจ้าเถิด”
2พกษ 9.26 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า ‘เราได้เห็นโลหิตของนาโบทและโลหิตของลูกหลานของเขาเมื่อวานนี้’ พระเยโฮวาห์ตรัสว่า ‘แน่ทีเดียวเราจะสนองเจ้าบนที่ดินแปลงนี้แหละ’ ฉะนั้นบัดนี้จงยกเขาขึ้นทิ้งไว้บนที่ดินแปลงนี้แหละตามพระวจนะของพระเยโฮวาห์”
ยน 4.52 ท่านจึงถามถึงเวลาที่บุตรค่อยทุเลาขึ้นนั้น และพวกผู้รับใช้ก็เรียนท่านว่า “ไข้หายเมื่อวานนี้เวลาบ่ายโมง”
กจ 7.28 เจ้าจะฆ่าเราเสียเหมือนฆ่าชาวอียิปต์เมื่อวานนี้หรือ’

แม่ ( 124 )
ปฐก 27.6 นางเรเบคาห์จึงพูดกับยาโคบบุตรชายของนางว่า “ดูเถิด แม่ได้ยินบิดาของเจ้าพูดกับเอซาวพี่ชายของเจ้าว่า
ปฐก 27.8 เพราะฉะนั้น ลูกเอ๋ย บัดนี้จงฟังเสียงของแม่ตามที่แม่สั่งเจ้า
ปฐก 27.9 บัดนี้ไปที่ฝูงแพะแกะ นำลูกแพะดีๆสองตัวมาให้แม่ แม่จะเอามันปรุงอาหารอร่อยให้บิดาเจ้าอย่างที่ท่านชอบ
ปฐก 27.13 มารดาของเขาพูดกับเขาว่า “ลูกเอ๋ย ขอให้การสาปแช่งของเจ้าตกอยู่กับแม่เถิด ฟังเสียงของแม่เท่านั้น ไปเอาลูกแพะมาให้แม่เถิด”
ปฐก 27.43 เพราะฉะนั้น ลูกเอ๋ย บัดนี้ฟังเสียงของแม่เถิด จงลุกขึ้นหนีไปหาลาบันพี่ชายของแม่ที่เมืองฮาราน
ปฐก 27.45 จนกว่าความโกรธของพี่ชายเจ้าจะคลายลง และเขาลืมสิ่งที่เจ้าได้ทำแก่เขา แล้วแม่จะส่งให้คนไปพาเจ้ากลับมาจากที่นั่น แม่ต้องสูญเสียลูกทั้งสองคนในวันเดียวกันทำไมเล่า”
ปฐก 28.2 แต่ลุกขึ้นไปเมืองปัดดานอารัม ไปยังบ้านเบธูเอลบิดาของแม่เจ้า ที่นั่นเจ้าจงแต่งงานกับบุตรสาวคนหนึ่งของลาบันพี่ชายแม่ของเจ้า
ปฐก 32.15 อูฐแม่ลูกอ่อนสามสิบกับลูกวัวตัวเมียสี่สิบ วัวตัวผู้สิบ ลาตัวเมียยี่สิบ และลูกลาสิบ
อพย 22.30 สำหรับวัวและแพะแกะของเจ้า จงทำดังนั้นเหมือนกัน ให้ลูกมันอยู่กับแม่เจ็ดวัน ถึงวันที่แปดจงพามาถวายแก่เรา
อพย 23.19 พืชผลอันดีเลิศซึ่งได้เก็บครั้งแรกจากไร่นาของเจ้านั้นจงนำมาถวายในพระนิเวศพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า อย่าต้มเนื้อลูกแพะด้วยน้ำนมของแม่มันเลย
อพย 34.26 จงคัดพืชผลแรกจากผลรุ่นแรกในไร่นามาถวายในพระนิเวศพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า อย่าต้มเนื้อลูกแพะด้วยน้ำนมแม่ของมันเลย”
ลนต 22.27 “เมื่อวัวหรือแกะหรือแพะเกิดมา ให้อยู่กับแม่เจ็ดวัน ตั้งแต่วันที่แปดเป็นต้นไปจะใช้เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่พระเยโฮวาห์ก็เป็นที่โปรดปราน
ลนต 22.28 แม้ว่าแม่สัตว์นั้นจะเป็นวัวหรือแกะก็ดี เจ้าอย่าฆ่ามันพร้อมกับลูกของมันในวันเดียวกัน
พบญ 14.21 ท่านอย่ารับประทานสัตว์ชนิดใดที่ตายเอง ท่านจะให้แก่คนต่างด้าวที่อยู่ภายในประตูเมืองของท่านรับประทานก็ได้ หรือท่านจะขายให้แก่คนต่างประเทศก็ได้ เพราะว่าท่านเป็นชนชาติที่บริสุทธิ์แด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย ท่านอย่าต้มลูกแพะด้วยน้ำนมแม่ของมันเลย
พบญ 22.6 ถ้าท่านเผอิญไปพบรังนกอยู่ตามทาง บนต้นไม้หรือพื้นดิน มีลูกนกหรือไข่และแม่นกกกอยู่บนลูกนกหรือไข่นั้น ท่านอย่าเอาแม่นกกับลูกนกไป
พบญ 22.7 ท่านจงปล่อยแม่นกไปเสีย แต่ลูกนกนั้นท่านจะเอาไปเป็นของท่านก็ได้ เพื่อท่านจะไปดีมาดี และท่านจะมีอายุยืนนาน
วนฉ 17.2 เขาพูดกับมารดาของเขาว่า “เงินหนึ่งพันหนึ่งร้อยแผ่น ซึ่งมีคนลักไปจากแม่และแม่ก็ได้สาปแช่ง และพูดเข้าหูฉันนั้น ดูเถิด เงินนั้นอยู่ที่ฉัน ฉันเอาไปเอง” มารดาของเขาจึงพูดว่า “ขอพระเยโฮวาห์ทรงอำนวยพระพรให้ลูกของแม่เถิด”
วนฉ 17.3 เขาจึงนำเงินพันหนึ่งร้อยแผ่นนั้นมาคืนให้แก่มารดา และมารดาของเขาพูดว่า “เงินรายนี้แม่ได้ถวายแล้วแด่พระเยโฮวาห์จากมือแม่เพื่อลูกให้ทำเป็นรูปแกะสลักและรูปหล่อ บัดนี้แม่จึงคืนให้แก่เจ้า”
นรธ 1.8 แต่นาโอมีกล่าวแก่บุตรสะใภ้ทั้งสองของนางว่า “ไปเถิด ขอให้ต่างคนต่างกลับไปบ้านมารดาของตน ขอพระเยโฮวาห์ทรงพระเมตตาต่อเจ้าทั้งสอง ดังที่เจ้าได้เมตตาต่อผู้ที่ตายไปแล้วและต่อแม่
นรธ 1.10 นางทั้งสองจึงพูดกับแม่สามีว่า “อย่าเลย เราทั้งสองจะกลับไปกับแม่ไปถึงชนชาติของแม่”
นรธ 1.11 แต่นาโอมีตอบว่า “ลูกสาวของแม่เอ๋ย จงกลับไปเสียเถอะ จะไปกับแม่ทำไมเล่า แม่ยังจะมีบุตรชายในครรภ์ให้เป็นสามีของเจ้าหรือ
นรธ 1.12 ลูกสาวของแม่เอ๋ย กลับไปเสียเถอะ กลับไปตามทางของเจ้า แม่แก่เกินที่จะมีสามีแล้ว หากแม่จะว่าแม่ยังมีความหวังอยู่ ถ้าแม่จะมีสามีคืนวันนี้และให้กำเนิดบุตรชาย
นรธ 1.13 แล้วเจ้าจะรออยู่จนบุตรชายนั้นเติบโตได้หรือ เจ้าจะอดใจไม่แต่งงานหรือ อย่าเลยลูกสาวของแม่เอ๋ย แม่มีความขมขื่นมากเพราะเห็นแก่เจ้า ที่พระหัตถ์ของพระเยโฮวาห์ได้กระทำแก่แม่ถึงเพียงนี้”
นรธ 1.16 แต่รูธตอบว่า “ขอแม่อย่าวิงวอนให้ฉันจากแม่หรือเลิกติดตามแม่ไปเลย เพราะแม่จะไปไหนฉันจะไปด้วย และแม่จะอาศัยอยู่ที่ไหนฉันก็จะอยู่ที่นั่นด้วย ญาติของแม่จะเป็นญาติของฉัน และพระเจ้าของแม่ก็จะเป็นพระเจ้าของฉัน
นรธ 1.17 แม่ตายที่ไหนฉันจะตายที่นั่น และจะขอให้ฝังฉันไว้ที่นั่นด้วย ถ้ามีอะไรมาพรากฉันจากแม่นอกจากความตาย ก็ขอพระเยโฮวาห์ทรงลงโทษฉัน และให้หนักยิ่งกว่า”
นรธ 2.2 และรูธชาวโมอับจึงพูดกับนาโอมีว่า “บัดนี้ขอให้ฉันไปที่ทุ่งนา เพื่อจะเก็บรวงข้าวตกตามหลังผู้ที่มีสายตากรุณาต่อฉัน” นาโอมีตอบนางว่า “ลูกสาวของแม่เอ๋ย จงไปเถิด”
นรธ 2.22 นาโอมีพูดกับรูธบุตรสะใภ้ว่า “ดีแล้ว ลูกสาวของแม่เอ๋ย ที่เจ้าจะไปทำงานกับสาวใช้ของเขา เพื่อว่าเขาจะไม่พบเจ้าในนาอื่น”
นรธ 3.1 นาโอมีแม่สามีของนางพูดกับนางว่า “ลูกสาวของแม่เอ๋ย ถ้าแม่จะหาที่พึ่งพักให้เจ้า เพื่อเจ้าจะได้มีความสุขไม่ควรหรือ
นรธ 3.5 นางตอบว่า “แม่ว่าอย่างไร ฉันจะกระทำตามทุกอย่าง”
นรธ 3.16 เมื่อนางมาถึง แม่สามีจึงถามว่า “เป็นใครหนอ ลูกสาวของแม่เอ๋ย” แล้วนางก็เล่าตามที่ท่านได้กระทำต่อนางให้แม่สามีฟังทุกอย่าง
นรธ 3.18 แม่สามีจึงว่า “ลูกสาวของแม่เอ๋ย จงคอยอยู่ก่อน จนกว่าจะทราบว่าเรื่องจะลงเอยอย่างไร เพราะว่าท่านจะไม่หยุดเลยจนกว่าท่านจะจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จในวันนี้”
1ซมอ 20.30 แล้วความกริ้วของซาอูลก็พลุ่งขึ้นต่อโยนาธาน พระองค์ตรัสกับท่านว่า “เจ้า ลูกของหญิงกบฏและวิปลาส ข้าไม่รู้หรือว่าเจ้าเลือกบุตรเจสซีมาให้ความอับอายแก่เจ้าเองและให้ความอับอายแก่ความเปลือยเปล่าแห่งแม่ของเจ้า
2ซมอ 20.19 ฉันเป็นคนหนึ่งที่รักสงบและสัตย์ซื่อในอิสราเอล ท่านหาช่องที่จะทำลายเมือง อันเป็นเมืองแม่ในอิสราเอล ทำไมท่านจึงจะกลืนมรดกของพระเยโฮวาห์เสีย”
1พกษ 2.20 แล้วพระนางทูลว่า “แม่จะขอจากเธอสักประการหนึ่ง ขออย่าปฏิเสธแม่เลย” และกษัตริย์ทูลพระนางว่า “ขอมาเถิด ผมจะไม่ปฏิเสธเสด็จแม่”
2พกษ 4.6 และอยู่มาเมื่อภาชนะเต็มหมดแล้วนางจึงบอกบุตรชายว่า “เอาภาชนะมาให้แม่อีกลูกหนึ่ง” และเขาตอบนางว่า “ไม่มีอีกแล้ว” แล้วน้ำมันก็หยุดไหล
2พกษ 4.19 เขาบอกบิดาของเขาว่า “โอยหัวของฉัน หัวของฉัน” บิดาจึงสั่งคนใช้ของเขาว่า “อุ้มเขาไปหาแม่ไป๊”
โยบ 17.14 ข้าได้พูดกับความเปื่อยเน่าว่า ‘เจ้าเป็นพ่อของข้า’ และพูดกับหนอนว่า ‘เจ้าเป็นแม่ของข้าและเป็นพี่สาวของข้า’
สดด 22.9 ถึงกระนั้นพระองค์ก็ทรงเป็นผู้นำข้าพระองค์ออกมาจากครรภ์มารดา และทรงให้ข้าพระองค์มีความหวังใจเมื่ออยู่ที่อกแม่
สดด 78.71 พระองค์ทรงพาท่านมาจากการดูแลแม่แกะที่มีลูกอ่อนให้เป็นผู้เลี้ยงดูยาโคบประชาชนของพระองค์ และอิสราเอลมรดกของพระองค์อย่างเลี้ยงแกะ
สดด 113.9 พระองค์โปรดให้หญิงหมันมีบ้านอยู่ เป็นแม่ที่ชื่นบานมีบุตร จงสรรเสริญพระเยโฮวาห์เถิด
สภษ 1.8 บุตรชายของเราเอ๋ย จงฟังคำสั่งสอนของพ่อเจ้า และอย่าละทิ้งกฎเกณฑ์ของแม่เจ้า
สภษ 4.3 เพราะเราเป็นลูกชายของพ่อเรา ดูอ่อนโยนและเป็นที่รักยิ่งในสายตาของแม่เรา
สภษ 6.20 บุตรชายของเราเอ๋ย จงรักษาบัญญัติของพ่อเจ้า และอย่าละทิ้งกฎเกณฑ์ของแม่เจ้า
สภษ 17.12 ให้คนไปพบแม่หมีที่ลูกถูกขโมยไป ยังดีกว่าไปพบคนโง่ในความโง่ของเขา
สภษ 31.2 อะไรเล่า ลูกแม่เอ๋ย อะไรเล่า ลูกแห่งท้องแม่เอ๋ย อะไรเล่า ลูกแห่งคำปฏิญาณของแม่เอ๋ย
พซม 1.8 โอ แม่งามเลิศในท่ามกลางหญิงทั้งหลาย ถ้าเธอไม่รู้จงเดินไปตามรอยตีนฝูงแพะแกะ แล้วจงเลี้ยงฝูงแพะแกะของเธอไว้ที่ข้างเต็นท์ของเมษบาลเถิด
พซม 2.14 โอ แม่นกเขาของฉันเอ๋ย แม่นกเขาตัวที่อยู่ในซอกผาในช่องลับแห่งเขาชัน ขอให้ฉันได้ชมรูปโฉมของเธอหน่อยเถอะ ขอให้ฉันได้ยินสำเนียงของเธอหน่อย ด้วยว่าน้ำเสียงของเธอก็หวาน และรูปโฉมของเธอก็งามวิไล
พซม 5.2 ดิฉันหลับแล้ว แต่ใจของดิฉันยังตื่นอยู่ คือมีเสียงเคาะของที่รักของดิฉันพูดว่า “น้องสาวจ๋า ที่รักของฉันจ๋า เปิดประตูให้ฉันซิจ๊ะ แม่นกเขาของฉันจ๊ะ แม่คนงามหมดจดของฉันจ๋า เพราะศีรษะของฉันก็ถูกน้ำค้างชื้น และเส้นผมของฉันก็ชุ่มด้วยละอองน้ำฟ้าแห่งราตรีกาล”
พซม 5.9 โอ แม่สาวงามล้ำเลิศในท่ามกลางสาวอื่นๆ คู่รักของเธอนั้นวิเศษอะไรไปกว่าคู่รักของใครๆ คู่รักของเธอนั้นวิเศษอะไรไปกว่าคู่รักของใครอื่นหรือ เธอจึงได้มาให้พวกฉันปฏิญาณให้เช่นนั้น
พซม 6.1 โอ แม่สาวงามล้ำเลิศในท่ามกลางสาวอื่นๆคู่รักของเธอไปไหนเสีย คู่รักของเธอกลับไปไหนเสียแล้วเล่า เพื่อพวกเราจะไปสืบหากับเธอ
พซม 6.4 โอ ที่รักของฉันเอ๋ย แม่ช่างสวยงามประหนึ่งเมืองทีรซาห์และงามเย็นตาดังเยรูซาเล็ม แม่เป็นสง่าน่าคร้ามเกรงดังกองทัพมีธงประจำ
พซม 6.9 แม่นกเขาของฉัน แม่คนงามหมดจดของฉัน เป็นคนเดียว เธอเป็นคนเดียวของมารดา เป็นหัวรักหัวใคร่ของผู้ให้กำเนิด สาวๆทั้งหลายเห็นเธอ และเรียกเธอว่า ผาสุก ทั้งเหล่ามเหสีและเหล่านางห้ามก็สรรเสริญเยินยอเธอว่า
พซม 6.10 “แม่สาวคนนี้เป็นผู้ใดหนอ เมื่อมองลงก็ดังอรุโณทัย แจ่มจรัสดังดวงจันทร์ กระจ่างจ้าดังดวงสุริยัน สง่าน่าเกรงขามดังกองทัพมีธงประจำ”
พซม 6.13 กลับมาเถอะ กลับมาเถิด โอ แม่ชาวชูเลมจ๋า กลับมาเถิด กลับมาเถอะจ๊ะ เพื่อพวกดิฉันจะได้เธอไว้ชมเชย นี่กระไรนะ เธอทั้งหลายจงมองตัวแม่ชาวชูเลม ดังกองทัพสองพวก
พซม 7.1 โอ แม่ธิดาของจ้าว เท้าสวมรองเท้าผูกของเธอนั้นนวยนาดนี่กระไร ตะโพกของเธอกลมดิกราวกับเม็ดเพชรที่มือช่างผู้ชำนาญได้เจียระไนไว้
พซม 7.6 โอ แม่ช่างน่ารัก แม่ช่างชื่นชม เธอนี่ช่างสวยงามต้องตาจริง
พซม 8.5 แม่คนนี้ที่ขึ้นมาจากถิ่นทุรกันดารอิงแอบแนบมากับคู่รัก คือใครที่ไหนหนอ ดิฉันได้ปลุกเธอเมื่อเธออยู่ใต้ต้นแอบเปิ้ล ที่นั่นแหละที่มารดาของเธอได้ให้กำเนิดเธอ ที่ตรงนั้นแหละผู้ที่คลอดเธอได้ให้กำเนิดเธอ
อสย 8.4 เพราะก่อนที่เด็กจะรู้ที่จะร้องเรียก ‘พ่อ แม่’ ได้ ทรัพย์สมบัติของดามัสกัสและของที่ริบได้จากสะมาเรีย จะถูกขนเอาไปต่อพระพักตร์กษัตริย์อัสซีเรีย”
อสย 47.1 โอ ธิดาพรหมจารีแห่งบาบิโลนเอ๋ย จงลงมานั่งในผงคลี โอ ธิดาแห่งชาวเคลเดียเอ๋ย จงนั่งลงบนพื้นดิน ไม่มีบัลลังก์ เพราะเขาจะไม่เรียกเจ้าอีกว่า แม่เนื้ออ่อนแม่เนื้อละเอียด
อสย 50.1 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “หนังสือหย่าของแม่เจ้า ผู้ซึ่งเราได้ไล่ไปเสียนั้น อยู่ที่ไหนเล่า หรือเจ้าหนี้ของเราคนไหนเล่าที่เราได้ขายตัวเจ้าไป ดูเถิด เพราะความชั่วช้าของเจ้า เจ้าจึงถูกขาย และเพราะความละเมิดของเจ้า แม่ของเจ้าจึงถูกไล่ไป
ยรม 15.8 เรากระทำให้หญิงม่ายของเขามีมาก ยิ่งกว่าเม็ดทรายในทะเล ณ เวลาเที่ยงวัน เราได้นำผู้ทำลายมาสู่บรรดาแม่ของคนหนุ่มทั้งหลาย เราได้กระทำให้ความสยดสยองตกเหนือกรุงนั้นโดยฉับพลัน
ยรม 15.10 แม่จ๋า วิบัติแก่ฉัน ที่แม่คลอดฉันมาเป็นคนที่ให้เกิดการแก่งแย่งและการชิงดีแก่แผ่นดินทั้งสิ้น ฉันก็มิได้ให้ยืมโดยคิดดอกเบี้ย หรือฉันก็มิได้ยืมเขาโดยคิดดอกเบี้ย แต่เขาทุกคนแช่งฉัน
พคค 2.12 ลูกทั้งหลายถามแม่ของตัวว่า “แม่จ๋า ข้าวและน้ำองุ่นอยู่ที่ไหน” ขณะเมื่อเขาเป็นลมดุจคนที่ถูกบาดเจ็บตามถนนในกรุง เมื่อชีวิตของเขาต้องเทออกที่อกแม่ของเขาทั้งหลาย
อสค 16.3 และกล่าวว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสอย่างนี้แก่เยรูซาเล็มว่า ดั้งเดิมและกำเนิดของเจ้าเป็นแผ่นดินของคนคานาอัน พ่อของเจ้าเป็นคนอาโมไรต์ และแม่ของเจ้าเป็นคนฮิตไทต์
อสค 16.44 ดูเถิด ทุกคนที่ใช้สุภาษิตจะใช้สุภาษิตต่อไปนี้ในเรื่องเจ้า คือ ‘แม่เป็นอย่างไร ลูกสาวก็เป็นอย่างนั้น’
อสค 16.45 เจ้าเป็นลูกสาวของแม่ของเจ้า ผู้เกลียดสามีและบุตรของตน เจ้าเป็นสาวคนกลางของพี่และน้องสาวของเจ้า ผู้เกลียดชังสามีและบุตรของตน แม่ของเจ้าเป็นคนฮิตไทต์ พ่อของเจ้าเป็นคนอาโมไรต์
อสค 19.2 กล่าวว่า “มารดาของเจ้าเป็นอย่างไรหนอ ก็เป็นแม่สิงโต เธอนอนอยู่ท่ามกลางสิงโตทั้งหลาย เธอเลี้ยงดูลูกของเธอท่ามกลางสิงโตหนุ่ม
อสค 19.5 เมื่อแม่สิงโตเห็นว่าเธอคอยนานแล้ว และความหวังของเธอสูญไป เธอก็เอาลูกมาอีกตัวหนึ่งเลี้ยงให้เป็นสิงโตหนุ่ม
ฮชย 10.14 เหตุฉะนั้นเสียงสงครามจึงจะเกิดขึ้นท่ามกลางชนชาติของเจ้า ป้อมปราการทั้งสิ้นของเจ้าจะถูกทำลายอย่างกับกษัตริย์ชัลมันทำลายเมืองเบธาร์เบลในวันสงคราม พวกแม่ถูกฟาดลงอย่างยับเยินพร้อมกับลูกของนาง
ฮชย 13.8 เราจะตะครุบเขาอย่างกับแม่หมีที่ถูกพรากลูก เราจะฉีกอกของเขาและจะกินเขาเสียที่นั่นอย่างสิงโต สัตว์ป่าทุ่งจะฉีกเขา
มคา 7.6 เพราะว่าลูกชายดูหมิ่นพ่อ และลูกสาวลุกขึ้นต่อสู้แม่ของเธอ ลูกสะใภ้ต่อสู้แม่สามี ศัตรูของใครๆก็คือคนที่อยู่ร่วมเรือนของเขาเอง
มธ 23.37 โอ เยรูซาเล็มๆ ที่ได้ฆ่าบรรดาศาสดาพยากรณ์ และเอาหินขว้างผู้ที่ได้รับใช้มาหาเจ้าถึงตาย เราใคร่จะรวบรวมลูกของเจ้าไว้เนืองๆ เหมือนแม่ไก่กกลูกอยู่ใต้ปีกของมัน แต่เจ้าไม่ยอมเลยหนอ
ลก 2.48 ฝ่ายเขาทั้งสองเมื่อเห็นพระกุมารแล้วก็ประหลาดใจ มารดาจึงถามพระกุมารว่า “ลูกเอ๋ย ทำไมจึงทำแก่เราอย่างนี้ ดูเถิด พ่อกับแม่แสวงหาเป็นทุกข์นัก”
ลก 7.12 เมื่อพระองค์มาใกล้ประตูเมืองนั้น ดูเถิด มีคนหามศพชายหนุ่มคนหนึ่งมา เป็นบุตรชายคนเดียวของแม่ และนางก็เป็นหญิงม่าย ชาวเมืองเป็นอันมากมากับหญิงนั้น
ลก 12.53 พ่อจะแตกแยกจากลูกชาย และลูกชายจะแตกแยกจากพ่อ แม่จากลูกสาว และลูกสาวจากแม่ แม่สามีจากลูกสะใภ้ และลูกสะใภ้จากแม่สามี”
ลก 13.34 โอ เยรูซาเล็มๆ ที่ได้ฆ่าบรรดาศาสดาพยากรณ์และเอาหินขว้างผู้ที่ได้รับใช้มาหาเจ้าให้ถึงตาย เราใคร่จะรวบรวมลูกของเจ้าไว้เนืองๆ เหมือนแม่ไก่กกลูกอยู่ใต้ปีกของมัน แต่เจ้าไม่ยอมเลยหนอ
ลก 22.57 แต่เปโตรปฏิเสธพระองค์ว่า “แม่เอ๋ย คนนั้นข้าไม่รู้จัก”
วว 17.5 และที่หน้าผากของหญิงนั้นเขียนชื่อไว้ว่า “ความลึกลับ บาบิโลนมหานคร แม่ของหญิงแพศยาทั้งหลาย และแม่แห่งสิ่งทั้งปวงที่น่าสะอิดสะเอียนแห่งแผ่นดินโลก”

แม้ ( 183 )
ปฐก 32.10 ข้าพระองค์ไม่สมควรจะรับบรรดาพระกรุณาและความจริงแม้เล็กน้อยที่สุด ที่พระองค์ได้ทรงโปรดสำแดงแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ ด้วยว่าข้าพระองค์ข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้เมื่อมีแต่ไม้เท้า และบัดนี้ข้าพระองค์มีผู้คนเป็นสองพวก
ปฐก 39.10 ต่อมาแม้นางชวนโยเซฟวันแล้ววันเล่า โยเซฟก็ไม่ยอมฟังนาง ไม่ว่าจะนอนกับนางหรืออยู่ด้วยกัน
ปฐก 43.5 แต่ถ้าแม้พ่อไม่ให้น้องไป พวกลูกจะไม่ลงไป เพราะเจ้านายท่านบัญชาแก่พวกลูกว่า ‘ถ้าไม่ได้พาน้องชายมาด้วย พวกเจ้าจะไม่เห็นหน้าเราอีก’”
อพย 8.21 ถ้าแม้ไม่ปล่อยพลไพร่ของเราไป ดูเถิด เราจะใช้ให้ฝูงเหลือบมาตอมกายของเจ้า ตอมข้าราชการและพลเมืองของเจ้าด้วย ในราชสำนัก บ้านเรือนของชาวอียิปต์ และพื้นดินที่เขาอยู่นั้นจะเต็มไปด้วยฝูงเหลือบ
อพย 29.34 และถ้าแม้เนื้อที่ใช้ในพิธีสถาปนา และขนมปังนั้นยังเหลืออยู่จนรุ่งเช้าบ้าง ก็ให้เผาส่วนที่เหลือนั้นด้วยไฟเสีย อย่าให้รับประทานเพราะเป็นของบริสุทธิ์
อพย 33.13 ฉะนั้นบัดนี้ ข้าพระองค์ทูลวิงวอนต่อพระองค์ ถ้าแม้ข้าพระองค์ได้รับพระกรุณาในสายพระเนตรของพระองค์แล้ว ขอทรงโปรดสำแดงพระมรรคาของพระองค์ให้ข้าพระองค์เห็นในกาลบัดนี้ เพื่อข้าพระองค์จะรู้จักพระองค์ แล้วจะรับพระกรุณาในสายพระเนตรของพระองค์ และขอทรงถือว่าชนชาตินี้เป็นพลไพร่ของพระองค์”
อพย 34.9 แล้วทูลว่า “โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าแม้ข้าพระองค์ได้รับพระกรุณาในสายพระเนตรของพระองค์ ข้าพระองค์ทูลวิงวอนต่อพระองค์ ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์โปรดเสด็จไปท่ามกลางพวกข้าพระองค์เพราะเป็นชนชาติคอแข็งดื้อดึง และขอทรงโปรดยกโทษความชั่วช้าและความบาปของพวกข้าพระองค์ และโปรดรับพวกข้าพระองค์เป็นมรดกของพระองค์ด้วย”
อพย 34.20 ส่วนลูกลาหัวปีนั้นเจ้าจงนำลูกแกะมาไถ่ไว้ ถ้าแม้เจ้ามิได้ไถ่ก็จงหักคอมันเสีย บุตรชายหัวปีทั้งหลายของพวกเจ้านั้นจะต้องไถ่ไว้ด้วย อย่าให้ผู้ใดมาเฝ้าเรามือเปล่าเลย
กดว 5.13 มีชายอื่นมานอนร่วมกับนางพ้นตาสามีของนาง แม้นางได้กระทำตัวให้เป็นมลทินแล้ว แต่ไม่มีใครรู้เห็นและยังไม่มีพยาน เพราะจับไม่ได้คาที่
กดว 5.20 แต่ถ้าเจ้าได้หลงไปแม้เจ้าอยู่ในอำนาจของสามีและได้กระทำตัวเองให้เป็นมลทินและชายอื่นนอกจากสามีได้เข้านอนด้วยแล้ว’
กดว 5.29 นี่เป็นพระราชบัญญัติเรื่องความหึงหวงเมื่อภรรยาแม้จะอยู่ในอำนาจของสามีได้หลงไปกระทำตนให้มีมลทิน
กดว 6.4 ตลอดเวลาที่เขาปลีกตัวออกมานั้น เขาต้องไม่รับประทานสิ่งใดที่ได้จากต้นองุ่น แม้เป็นเมล็ดหรือเปลือกองุ่นก็ดี
กดว 9.19 แม้เมื่อเมฆอยู่เหนือพลับพลานานหลายวัน คนอิสราเอลก็ปฏิบัติตามพระบัญชาของพระเยโฮวาห์ ไม่ยกเดินไป
พบญ 2.5 อย่าต่อสู้เขา เพราะเราจะไม่ให้ที่ของเขาแก่เจ้าเลย จะไม่ให้ที่ดินแม้เพียงฝ่าเท้าเหยียบได้ ด้วยว่าภูเขาเสอีร์นั้นเราได้ให้เอซาวยึดครองแล้ว
พบญ 29.19 และต่อมาเมื่อคนนั้นได้ยินถ้อยคำแห่งคำสาปแช่งนี้ จะนึกอวยพรตัวเองในใจว่า ‘แม้ข้าจะเดินด้วยความดื้อดึงตามใจของข้า ข้าก็จะเป็นสุข ไม่ว่าจะเอาการเมาเหล้าซ้อนความกระหายน้ำ’
พบญ 32.31 เพราะศิลาของเขาไม่เหมือนศิลาของเรา แม้ศัตรูของเราก็ตัดสินอย่างนั้น
วนฉ 4.8 บาราคจึงตอบนางว่า “ถ้าแม้นางไปกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไป แต่ถ้าแม้นางไม่ไปกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ไม่ไป”
วนฉ 6.37 ดูเถิด ข้าพระองค์ได้วางกลุ่มขนแกะไว้ที่ลานนวดข้าว แม้มีน้ำค้างเฉพาะที่กลุ่มขนแกะเท่านั้น ส่วนที่พื้นดินโดยรอบนั้นแห้ง ข้าพระองค์ก็จะทราบว่า พระองค์จะทรงช่วยอิสราเอลให้พ้นด้วยมือของข้าพระองค์ ดังที่พระองค์ตรัสนั้น”
วนฉ 9.15 ต้นหนามจึงตอบต้นไม้เหล่านั้นว่า ‘ถ้าแม้ท่านทั้งหลายจะเจิมตั้งเราให้เป็นกษัตริย์ของเจ้าทั้งหลายจริงๆ จงมาอาศัยใต้ร่มของเราเถิด มิฉะนั้นก็ให้ไฟเกิดจากต้นหนามเผาผลาญต้นสนสีดาร์เลบานอนเสีย’
1ซมอ 14.39 เพราะว่าพระเยโฮวาห์ผู้ทรงช่วยอิสราเอล ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด แม้ความผิดนั้นอยู่ที่โยนาธานบุตรชายของข้า เขาก็จะต้องตายเป็นแน่ฉันนั้น” แต่ไม่มีชายสักคนหนึ่งที่อยู่ในหมู่ประชาชนทั้งหมดนั้นตอบพระองค์
1ซมอ 15.17 และซามูเอลเรียนว่า “แม้ท่านเป็นแต่ผู้เล็กน้อยในสายตาของท่านเอง ท่านก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประมุขของบรรดาตระกูลอิสราเอล และพระเยโฮวาห์ก็ทรงเจิมท่านไว้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลมิใช่หรือ
1ซมอ 25.29 แม้มีคนลุกขึ้นไล่ตามท่านและแสวงหาชีวิตของท่าน ชีวิตของเจ้านายของดิฉันจะผูกมัดอยู่กับกลุ่มชีวิตซึ่งอยู่ในพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน แต่ชีวิตศัตรูของท่านจะถูกเหวี่ยงออกไปดั่งออกไปจากรังสลิง
2ซมอ 3.39 แม้เราได้รับการเจิมเป็นกษัตริย์แล้ว เราก็อ่อนกำลังในวันนี้ ชายเหล่านี้ซึ่งเป็นบุตรของนางเศรุยาห์หนักแก่เราเกินไป ขอพระเยโฮวาห์ทรงสนองผู้กระทำผิดตามความผิดของเขาเถิด”
2ซมอ 17.10 แม้คนที่กล้าหาญ ที่จิตใจเหมือนอย่างสิงโตก็จะละลายไปอย่างเต็มที่ เพราะอิสราเอลทั้งสิ้นทราบว่า เสด็จพ่อของพระองค์เป็นวีรบุรุษ และคนที่อยู่ก็เป็นทหารที่แข็งกล้า
1พกษ 1.1 กษัตริย์ดาวิดมีพระชนมายุและทรงพระชรามากแล้ว แม้เขาจะห่มผ้าให้พระองค์มากก็ยังไม่อบอุ่น
1พกษ 1.52 และซาโลมอนตรัสว่า “ถ้าแม้เขาสำแดงตัวได้ว่าเป็นคนที่สมควร ผมสักเส้นเดียวของเขาจะไม่ตกลงยังพื้นดิน แต่ถ้าพบความชั่วอยู่ในตัวเขา เขาจะต้องถึงแก่ความตาย”
2พกษ 7.2 แล้วนายทหารคนสนิทของกษัตริย์ตอบคนแห่งพระเจ้าว่า “ดูเถิด ถ้าแม้พระเยโฮวาห์ทรงสร้างหน้าต่างในฟ้าสวรรค์ สิ่งนี้จะเป็นขึ้นได้หรือ” แต่ท่านบอกว่า “ดูเถิด ท่านจะเห็นกับตาของท่านเอง แต่จะไม่ได้กิน”
2พกษ 7.19 และนายทหารคนสนิทก็ได้ตอบคนแห่งพระเจ้าว่า “ดูเถิด ถ้าแม้พระเยโฮวาห์ทรงสร้างหน้าต่างในฟ้าสวรรค์ สิ่งนี้จะเป็นขึ้นได้หรือ” และท่านได้ตอบว่า “ดูเถิด ท่านจะเห็นกับตาของท่านเองแต่จะไม่ได้กิน”
1พศด 11.2 ในกาลก่อน แม้เมื่อซาอูลทรงเป็นกษัตริย์ พระองค์ทรงเป็นผู้นำอิสราเอลออกไปและเข้ามา และพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพระองค์ตรัสแก่พระองค์ว่า ‘เจ้าจะเลี้ยงดูอิสราเอลประชาชนของเรา และเจ้าจะเป็นเจ้าเหนืออิสราเอลประชาชนของเรา’”
2พศด 16.12 ในปีที่สามสิบเก้าแห่งรัชกาลของพระองค์ อาสาทรงเป็นโรคที่พระบาทของพระองค์ และโรคของพระองค์ก็ร้ายแรง แม้เป็นโรคอยู่พระองค์ก็มิได้ทรงแสวงหาพระเยโฮวาห์ แต่ได้แสวงหาความช่วยเหลือจากแพทย์
อสร 4.5 และได้จ้างที่ปรึกษาไว้ขัดขวางเขาเพื่อมิให้เขาสมหวังตามจุดประสงค์ของเขา ตลอดรัชสมัยของไซรัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย แม้ถึงรัชกาลของดาริอัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย
นหม 5.15 ผู้ว่าราชการคนที่อยู่ก่อนข้าพเจ้าได้เบียดเบียนประชาชน ได้เอาเงินเป็นค่าอาหารและน้ำองุ่นไปจากเขา นอกจากเงินวันละสี่สิบเชเขล แม้ข้าราชการของท่านก็ได้ใช้อำนาจเหนือประชาชน แต่ข้าพเจ้ามิได้กระทำเช่นนั้น เพราะความยำเกรงพระเจ้า
นหม 5.18 สิ่งที่เตรียมไว้ในวันหนึ่งๆมีวัวตัวหนึ่ง และแกะที่คัดเลือกแล้วหกตัว เป็ดไก่เขาก็จัดไว้ให้ข้าพเจ้าด้วย ในทุกๆสิบวันน้ำองุ่นมากมายหลายถุงหนัง แม้จะมากอย่างนี้ ข้าพเจ้ามิได้เรียกร้องเอาส่วนอาหารของตำแหน่งผู้ว่าราชการ เพราะว่าการปรนนิบัตินั้นหนักหน้าชนชาตินี้อยู่แล้ว
นหม 13.26 ซาโลมอนกษัตริย์แห่งอิสราเอล มิได้ทำบาปด้วยเรื่องหญิงอย่างนี้หรือ ท่ามกลางหลายประชาชาติไม่มีกษัตริย์ใดเหมือนพระองค์ และพระเจ้าของพระองค์ก็ทรงรักพระองค์ และพระเจ้าทรงกระทำให้พระองค์เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลทั้งปวง ถึงกระนั้นก็ดี แม้เป็นพระองค์หญิงต่างชาติก็เป็นเหตุให้พระองค์ทรงทำบาป
อสธ 5.6 ขณะอยู่ที่การเลี้ยงเหล้าองุ่นกษัตริย์ตรัสกับเอสเธอร์ว่า “คำร้องขอของพระนางว่ากระไร เราจะให้ แล้วคำทูลขอของพระนางว่ากระไร แม้จะถึงครึ่งราชอาณาจักรของเรา ก็จะสำเร็จ”
อสธ 5.12 แล้วฮามานเสริมว่า “แม้พระราชินีเอสเธอร์ก็มิได้ทรงให้ผู้ใดไปกับกษัตริย์ในการเลี้ยงซึ่งพระนางทรงจัดขึ้นนอกจากตัวข้า และพรุ่งนี้พระนางทรงเชิญข้ากับกษัตริย์อีก
อสธ 7.2 ในวันที่สองเมื่ออยู่ที่การเลี้ยงเหล้าองุ่นกษัตริย์ตรัสกับเอสเธอร์อีกว่า “พระราชินีเอสเธอร์ คำร้องขอของพระนางคืออะไร และคำทูลขอของพระนางคืออะไร เราจะประทานให้ แม้ถึงครึ่งราชอาณาจักรของเรา ก็จะสำเร็จ”
โยบ 4.18 ดูเถิด แม้ผู้รับใช้ของพระองค์พระองค์ก็ไม่ทรงวางพระทัย และทูตสวรรค์ของพระองค์พระองค์ทรงกล่าวโทษที่เขาโง่
โยบ 5.5 ผลการเกี่ยวของเขาคนหิวก็กินเสีย แม้ส่วนที่เอาหนามสะไว้ เขาก็เอาออกไป และคนกระหายก็หอบฮักๆติดตามความมั่งคั่งของเขา
โยบ 9.31 พระองค์ยังจะทรงจุ่มข้าพระองค์ลงไปในบ่อ แม้เสื้อผ้าของข้าพระองค์จะรังเกียจข้าพระองค์’
โยบ 10.7 แม้พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์มิได้เป็นคนชั่ว และไม่มีใครช่วยให้พ้นออกจากพระหัตถ์ของพระองค์ได้
โยบ 19.18 แม้เด็กๆดูหมิ่นข้า เมื่อข้าลุกขึ้นเขาก็ว่าข้า
โยบ 20.6 แม้ความสูงของเขาเด่นขึ้นไปถึงฟ้าสวรรค์ และศีรษะของเขาไปถึงหมู่เมฆ
โยบ 20.12 แม้ว่าความชั่วจะหวานอยู่ในปากของเขา แม้เขาซ่อนไว้ใต้ลิ้นของเขา
โยบ 20.13 แม้เขาไม่อยากจะปล่อยและไม่ละทิ้ง แต่อมไว้ในปากของเขา
โยบ 36.18 เหตุด้วยพระพิโรธ จงระวังเถิด เกรงว่าพระองค์จะเอาท่านไปเสียด้วยการลงโทษ แล้วแม้การไถ่อันยิ่งใหญ่ก็ไม่สามารถช่วยท่านให้พ้นได้
สดด 21.11 แม้เขาทั้งหลายได้ปองร้ายต่อพระองค์ แม้เขาประดิษฐ์เรื่องชั่วร้าย เขาก็จะกระทำไม่สำเร็จ
สดด 23.4 แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์ คทาและธารพระกรของพระองค์เล้าโลมข้าพระองค์
สดด 27.3 แม้กองทัพตั้งค่ายสู้ข้าพเจ้า จิตใจของข้าพเจ้าจะไม่กลัว แม้ข้าพเจ้าจะได้รับภัยสงคราม ข้าพเจ้ายังไว้ใจได้อยู่
สดด 27.10 แม้บิดาและมารดาของข้าพระองค์ทอดทิ้งข้าพระองค์ แต่พระเยโฮวาห์จะทรงยกข้าพระองค์ขึ้น
สดด 37.10 ยังอีกหน่อยหนึ่งคนชั่วจะไม่มีอีก แม้จะมองดูที่ที่ของเขาให้ดี เขาก็ไม่ได้อยู่ที่นั่น
สดด 37.24 แม้เขาล้ม เขาจะไม่ถูกเหวี่ยงลงเหยียดยาว เพราะว่าพระหัตถ์พระเยโฮวาห์พยุงเขาไว้
สดด 59.5 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าจอมโยธา พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของอิสราเอล ขอทรงตื่นขึ้นลงโทษบรรดาประชาชาติ ขออย่าทรงเมตตาผู้ละเมิดที่คิดร้ายแม้สักคนเดียว เซลาห์
สดด 71.18 แม้จะถึงวัยชราและผมหงอกก็ตาม โอ ข้าแต่พระเจ้า ขออย่าทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย จนกว่าข้าพระองค์จะประกาศถึงอานุภาพของพระองค์แก่ชั่วอายุถัดไป และฤทธิ์เดชของพระองค์แก่บรรดาผู้ที่จะเกิดมา
สดด 84.3 แม้นกกระจอกก็หาบ้านได้ แล้วและนกนางแอ่นหารังสำหรับตัวมันได้ ที่ที่มันจะตกฟองออกลูก คือที่แท่นบูชาของพระองค์ โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์จอมโยธา กษัตริย์และพระเจ้าของข้าพระองค์
สดด 105.30 กบแห่กันมาเป็นฝูงใหญ่ที่แผ่นดินของเขา แม้ห้องในของกษัตริย์ของเขาก็มี
สดด 119.23 แม้เจ้านายนั่งปรึกษากันต่อสู้ข้าพระองค์ แต่ผู้รับใช้ของพระองค์ได้รำพึงถึงกฎเกณฑ์ของพระองค์
สดด 119.61 แม้หมู่คนชั่วดักข้าพระองค์ แต่ข้าพระองค์ไม่ลืมพระราชบัญญัติของพระองค์
สดด 138.7 แม้ข้าพระองค์เดินอยู่กลางความลำบากยากเย็น พระองค์จะทรงสงวนชีวิตข้าพระองค์ไว้ พระองค์จะทรงเหยียดพระหัตถ์ของพระองค์ออกต่อต้านความพิโรธของศัตรูของข้าพระองค์ และพระหัตถ์ขวาของพระองค์จะทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอด
สดด 139.4 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ แม้ก่อนที่ลิ้นของข้าพระองค์จะพูด ดูเถิด พระองค์ก็ทรงทราบความเสียหมดแล้ว
สดด 139.10 แม้ถึงที่นั่น พระหัตถ์ของพระองค์จะนำข้าพระองค์ และพระหัตถ์ขวาของพระองค์จะยึดข้าพระองค์ไว้
สดด 139.12 สำหรับพระองค์ แม้ความมืดก็มิได้ซ่อนอะไรไว้จากพระองค์ กลางคืนก็แจ้งอย่างกลางวัน ความมืดเป็นอย่างความสว่าง
สภษ 4.7 ปัญญาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ฉะนั้นจงเอาปัญญา แม้เจ้าจะได้อะไรก็ตาม จงเอาความเข้าใจไว้
สภษ 8.19 ผลของเราดีกว่าทองคำ แม้ทองคำเนื้อดี และผลได้ของเราดีกว่าเงินเนื้อบริสุทธิ์
สภษ 11.31 ดูเถิด แม้คนชอบธรรมอาจจะถูกทำโทษในแผ่นดินโลก คนชั่วร้ายและคนบาปจะยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด
สภษ 14.13 แม้ใจของคนที่หัวเราะก็เศร้า และที่สุดของความชื่นบานนั้นคือความโศกสลด
สภษ 14.20 คนยากจนนั้นแม้เพื่อนบ้านของตนก็รังเกียจ แต่คนมั่งคั่งมีสหายมากมาย
สภษ 16.4 พระเยโฮวาห์ทรงสร้างทุกสิ่งไว้เพื่อพระองค์เอง แม้คนชั่วร้ายก็เพื่อวันชั่วร้าย
สภษ 16.7 เมื่อทางของมนุษย์เป็นที่โปรดปรานแด่พระเยโฮวาห์ แม้ศัตรูของเขานั้นพระองค์ก็ทรงกระทำให้คืนดีกับเขาได้
สภษ 20.11 แม้เด็กๆก็แสดงตัวโดยการประพฤติของเขาว่า สิ่งที่เขากระทำจะบริสุทธิ์ และถูกต้องหรือไม่
สภษ 22.19 เพื่อความไว้วางใจของเจ้าจะอยู่ในพระเยโฮวาห์ เราให้แจ้งประจักษ์แก่เจ้าในวันนี้แม้แก่ตัวเจ้าเอง
สภษ 28.9 ถ้าผู้ใดหันใบหูไปเสียจากการฟังพระราชบัญญัติ แม้คำอธิษฐานของเขาก็เป็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน
ปญจ 4.12 แม้คนหนึ่งสู้คนเดียวได้ สองคนจะสู้เขาได้แน่ เชือกสามเกลียวจะขาดง่ายก็หามิได้
ปญจ 10.3 แม้เมื่อคนเขลากำลังเดินไปตามทาง เขาก็ขาดสำนึก และตัวเขามักแสดงแก่ทุกคนว่าตนเป็นคนเขลา
อสย 8.8 และจะกวาดต่อไปเข้าในยูดาห์ และจะไหลท่วมและผ่านไปแม้จนถึงคอ และปีกอันแผ่กว้างของมันจะเต็มแผ่นดินของท่านนะ โอ ท่านอิมมานูเอล”
อสย 12.1 ในวันนั้น ท่านจะกล่าวว่า “โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ เพราะแม้พระองค์ทรงพระพิโรธต่อข้าพระองค์ ความกริ้วของพระองค์ก็หันกลับไป และพระองค์ทรงเล้าโลมข้าพระองค์”
อสย 16.14 แต่บัดนี้ พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “ภายในสามปี ตามปีจ้างลูกจ้าง สง่าราศีของโมอับจะถูกเหยียดหยาม แม้มวลชนมหึมาของเขาทั้งสิ้นก็ดี และคนที่เหลืออยู่นั้นก็จะน้อยและกะปลกกะเปลี้ย”
อสย 23.12 และพระองค์ตรัสว่า “โอ ธิดาพรหมจารีผู้ถูกบีบบังคับแห่งไซดอนเอ๋ย เจ้าจะไม่ลิงโลดต่อไปอีก จงลุกขึ้นข้ามไปคิทธิมเถิด แม้ที่นั่นเจ้าก็จะไม่มีความสงบ”
อสย 33.23 สายโยงของเจ้าห้อยหย่อน มันจะยึดเสาให้แน่นไม่ได้ หรือยึดใบให้กางไม่ได้ แล้วเขาจะแบ่งเหยื่อและของที่ริบได้เป็นอันมากนั้น แม้คนง่อยก็จะเอาเหยื่อได้
อสย 35.8 และจะมีทางหลวงที่นั่น และจะมีทางหนึ่ง และเขาจะเรียกทางนั้นว่า ทางแห่งความบริสุทธิ์ คนไม่สะอาดจะไม่ผ่านไปทางนั้น แต่จะเป็นทางเพื่อพวกเขา แล้วพวกที่เดินทางแม้คนโง่ก็จะไม่หลงในนั้น
อสย 40.30 แม้คนหนุ่มๆจะอ่อนเปลี้ยและเหน็ดเหนื่อย และชายฉกรรจ์จะล้มลงทีเดียว
อสย 45.5 เราเป็นพระเยโฮวาห์ และไม่มีอื่นใดอีก นอกจากเราไม่มีพระเจ้า เราคาดเอวเจ้า แม้เจ้าไม่รู้จักเรา
อสย 46.7 เขาทั้งหลายเอารูปนั้นใส่บ่า เขาหามไป เขาตั้งไว้ประจำที่ รูปนั้นก็อยู่ที่นั่น รูปนั้นไปจากที่ไม่ได้ แม้ผู้ใดจะมาร้องขอ รูปนั้นก็ไม่ตอบ หรือช่วยเขาให้รอดจากความยากลำบากของเขาได้
อสย 49.25 แน่นอนละ พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “แม้เชลยของผู้มีกำลังก็จะต้องเอาไป และเหยื่อของผู้น่ากลัวก็ต้องช่วยให้พ้น เพราะเราจะต่อสู้กับผู้ที่ต่อสู้เจ้า และจะช่วยบุตรของเจ้าให้รอด
อสย 57.9 เจ้าเดินทางไปหากษัตริย์พร้อมกับน้ำมัน และทวีน้ำหอมของเจ้า เจ้าได้ส่งทูตของเจ้าไปไกล แม้ให้ลงไปจนถึงนรก
อสย 59.5 เขาฟักไข่งูทับทาง เขาทอใยแมงมุม เขาผู้กินไข่นั้นก็ตาย แม้ไข่ลูกใดถูกทุบ งูร้ายก็เป็นตัวขึ้นมา
อสย 63.16 แน่นอนพระองค์ทรงเป็นพระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย แม้อับราฮัมมิได้รู้จักข้าพระองค์ และอิสราเอลหาจำข้าพระองค์ได้ไม่ โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระองค์ทรงเป็นพระบิดาและพระผู้ไถ่ของข้าพระองค์ทั้งหลาย พระนามของพระองค์ดำรงอยู่ตั้งแต่นิรันดร์กาล
ยรม 5.2 แม้เขาทั้งหลายกล่าวว่า ‘ตราบใดที่พระเยโฮวาห์ทรงพระชนม์อยู่’ เขาก็ยังปฏิญาณเท็จอย่างแน่นอน”
ยรม 5.22 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “เจ้าไม่ยำเกรงเราหรือ เจ้าไม่ตัวสั่นอยู่ต่อหน้าเราหรือ คือเราผู้วางกองทรายไว้เป็นเขตล้อมทะเล เป็นเครื่องกีดขวางเป็นนิตย์มิให้ผ่านไปได้ แม้ว่าคลื่นจะซัด ก็เอาชนะไม่ได้ แม้คลื่นจะคะนอง ก็ข้ามไปไม่ได้
ยรม 11.7 เพราะเราได้กล่าวตักเตือนอย่างแข็งแรงต่อบรรพบุรุษของเจ้า ในวันที่เรานำเขาขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์ แม้จนถึงทุกวันนี้อย่างไม่หยุดยั้งกล่าวตักเตือนว่า จงเชื่อฟังเสียงของเรา
ยรม 12.6 เพราะว่าแม้พี่น้องของเจ้าและวงศ์วานของบิดาเจ้า แม้ว่าเขาก็ได้กระทำการทรยศต่อเจ้า เขายังเรียกให้ฝูงชนไล่ตามเจ้าไป ถึงแม้ว่าเขาพูดถ้อยคำอย่างดีแก่เจ้า อย่าเชื่อเขาเลย
ยรม 14.5 แม้กวางตัวเมียที่อยู่ในท้องทุ่งก็ละทิ้งลูกที่ตกใหม่ของมันเสีย เพราะว่าไม่มีหญ้า
ยรม 14.12 แม้ว่าเขาอดอาหาร เราก็จะไม่ฟังเสียงร้องของเขา แม้เขาถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องธัญญบูชา เราก็จะไม่รับมัน แต่เราจะผลาญเขาเสียด้วยดาบ ด้วยการกันดารอาหาร และด้วยโรคระบาด”
ยรม 49.16 เพราะความหวาดเสียวของเจ้าได้หลอกลวงเจ้า ทั้งความเห่อเหิมแห่งใจของเจ้า โอ เจ้าผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในซอกหิน ผู้ยึดยอดภูเขาไว้เอ๋ย แม้เจ้าทำรังของเจ้าสูงเหมือนอย่างรังนกอินทรี เราจะฉุดเจ้าลงมาจากที่นั่น พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ยรม 50.11 โอ บรรดาผู้ปล้นมรดกของเราเอ๋ย แม้ว่าเจ้าเปรมปรีดิ์ แม้ว่าเจ้าลิงโลด แม้เจ้าอ้วนพีอย่างวัวสาวอยู่ที่หญ้า และร้องอย่างวัวตัวผู้
พคค 3.32 แม้พระองค์ทรงกระทำให้เกิดความเศร้าโศก พระองค์จะทรงพระกรุณาตามความเมตตาอันล้นเหลือของพระองค์
อสค 11.16 เพราะฉะนั้นจงกล่าวว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า แม้เราได้ย้ายเขาให้ห่างออกไปอยู่ท่ามกลางประชาชาติทั้งหลาย แม้เราได้กระจายเขาไปอยู่ท่ามกลางประเทศทั้งปวง เราก็จะเป็นสถานบริสุทธิ์อันเล็กสำหรับเขาในประเทศที่เขาจะได้ไปอยู่’
อสค 14.18 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า แม้บุรุษทั้งสามจะอยู่ในนั้น เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด เขาทั้งหลายจะช่วยบุตรทั้งชายหญิงให้รอดพ้นไม่ได้ เฉพาะตัวเขาเองจะรอดพ้นไปได้
อสค 14.22 ดูเถิด แม้จะมีคนรอดตายเหลืออยู่ในนครนั้น นำเอาบุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของเขาออกมา ดูเถิด เมื่อเขาทั้งหลายออกมาหาเจ้า เจ้าจะได้เห็นทางและการกระทำของเขา เจ้าจะเบาใจในเรื่องการร้าย ซึ่งเราได้นำมาเหนือเยรูซาเล็ม คือบรรดาสิ่งที่เราได้นำมาเหนือนครนั้น
อสค 28.2 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงกล่าวแก่เจ้าเมืองไทระว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เพราะใจของเจ้าผยองขึ้นและเจ้าได้กล่าวว่า ‘ข้าเป็นพระเจ้า ข้านั่งอยู่ในที่นั่งแห่งพระเจ้าในท้องทะเล’ แต่เจ้าเป็นเพียงมนุษย์ มิใช่พระเจ้า แม้เจ้าจะยึดถือใจของเจ้าว่าเป็นใจของพระเจ้า
อสค 33.13 แม้เราจะได้กล่าวแก่คนชอบธรรมว่า เขาจะมีชีวิตอยู่แน่ ถ้าเขายังวางใจในความชอบธรรมของเขา และกระทำความชั่วช้า การกระทำทั้งหลายที่ชอบธรรมของเขาย่อมไม่อยู่ในความทรงจำอีกเลย แต่เขาจะต้องตายเพราะความชั่วช้าซึ่งเขาได้กระทำไว้
อสค 33.14 อีกประการหนึ่ง แม้เราจะได้กล่าวแก่คนชั่วว่า ‘เจ้าจะต้องตายแน่’ ถ้าเขาหันกลับจากบาปของเขา มากระทำความยุติธรรมและความชอบธรรม
ดนล 5.22 โอ ข้าแต่เบลชัสซาร์ พระองค์เป็นราชโอรส แม้พระองค์ทรงทราบเช่นนี้ทั้งสิ้นแล้วก็มิได้ถ่อมพระทัย
นฮม 1.12 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “แม้พวกนั้นจะอยู่อย่างสงบและมีจำนวนมากมายด้วย เขาก็จะถูกตัดขาดและสิ้นไปเมื่อเขาผ่านไป แม้ว่าเราให้เจ้าทุกข์ใจบ้าง แต่เราจะไม่ให้เจ้าทุกข์ใจอีกต่อไป
ฮบก 3.17 แม้ต้นมะเดื่อจะไม่มีดอกบาน หรือจะไม่มีผลในเถาองุ่น การตรากตรำกับต้นมะกอกเทศก็สูญเปล่า ทุ่งนาจะมิได้เกิดอาหาร ฝูงสัตว์จะขาดไปจากคอก และจะไม่มีฝูงวัวที่ในโรงนา
ศคย 9.2 เมืองฮามัทซึ่งมีเขตแดนติดกันก็รวมอยู่ด้วย ไทระกับไซดอน แม้จะเป็นเมืองฉลาดก็ตาม
ศคย 10.9 แม้เราจะหว่านเขาไปท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย แต่เขาจะระลึกถึงเราในประเทศที่ห่างไกลนั้น เขาจะดำรงชีวิตอยู่กับลูกหลานของเขาและกลับมา
มธ 3.11 เราให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยน้ำ แสดงว่ากลับใจใหม่ก็จริง แต่พระองค์ผู้จะมาภายหลังเรา ทรงมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าเราอีก ซึ่งเราไม่คู่ควรแม้จะถือฉลองพระบาทของพระองค์ พระองค์จะทรงให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ
มธ 5.18 เพราะเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถึงฟ้าและดินจะล่วงไป แม้อักษรหนึ่งหรือจุดๆหนึ่งก็จะไม่สูญไปจากพระราชบัญญัติ จนกว่าจะสำเร็จทั้งสิ้น
มธ 8.10 ครั้นพระเยซูทรงได้ยินดังนั้นก็ประหลาดพระทัยนัก ตรัสกับบรรดาคนที่ตามพระองค์ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เราไม่เคยพบความเชื่อที่ไหนมากเท่านี้แม้ในอิสราเอล
มธ 10.29 นกกระจอกสองตัวเขาขายบาทหนึ่งมิใช่หรือ แต่ถ้าพระบิดาของท่านไม่ทรงเห็นชอบ นกนั้นแม้สักตัวเดียวจะตกลงถึงดินก็ไม่ได้
มธ 24.24 ด้วยว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จและผู้พยากรณ์เทียมเท็จเกิดขึ้นหลายคน และจะทำหมายสำคัญอันใหญ่และการมหัศจรรย์ ถ้าเป็นไปได้จะล่อลวงแม้ผู้ที่ทรงเลือกสรรให้หลง
มธ 26.33 ฝ่ายเปโตรทูลตอบพระองค์ว่า “แม้คนทั้งปวงจะสะดุดเพราะพระองค์ ข้าพระองค์จะสะดุดก็หามิได้เลย”
มก 1.7 ท่านประกาศว่า “ภายหลังเราจะมีพระองค์ผู้หนึ่งเสด็จมาทรงเป็นใหญ่กว่าเราอีก ซึ่งเราไม่คู่ควรแม้จะน้อมตัวลงแก้สายฉลองพระบาทให้พระองค์
มก 5.3 คนนั้นอาศัยอยู่ตามอุโมงค์ฝังศพ และไม่มีผู้ใดจะผูกมัดตัวเขาได้ แม้จะล่ามด้วยโซ่ตรวนก็ไม่อยู่
มก 14.29 เปโตรทูลพระองค์ว่า “แม้คนทั้งปวงจะสะดุดใจ ข้าพระองค์จะไม่สะดุดใจ”
ลก 3.16 ยอห์นจึงตอบเขาทั้งหลายว่า “เราให้เจ้ารับบัพติศมาด้วยน้ำก็จริง แต่จะมีพระองค์หนึ่งเสด็จมาทรงมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าเราอีก ซึ่งเราไม่คู่ควรแม้จะแก้สายฉลองพระบาทของพระองค์ พระองค์นั้นจะทรงให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ
ลก 7.9 เมื่อพระเยซูทรงได้ยินคำเหล่านั้นแล้ว ก็ประหลาดพระทัยด้วยคนนั้น จึงทรงเหลียวหลังตรัสกับประชาชนที่ตามพระองค์มาว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่า แม้ในพวกอิสราเอล เราไม่เคยพบความเชื่อมากเท่านี้”
ลก 7.49 ฝ่ายคนทั้งหลายที่เอนกายอยู่ด้วยกันกับพระองค์ เริ่มนึกในใจว่า “คนนี้เป็นใครแม้ความผิดบาปก็ยกให้ได้”
ลก 8.18 เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจะฟังอย่างไรก็จงเอาใจจดจ่อ เพราะว่าผู้ใดมีอยู่แล้วจะทรงเพิ่มเติมให้แก่ผู้นั้นอีก แต่ผู้ใดไม่มี แม้ซึ่งเขาคิดว่ามีอยู่นั้นจะทรงเอาไปจากเขา”
ลก 11.8 เราบอกท่านทั้งหลายว่า แม้เขาจะไม่ลุกขึ้นหยิบให้คนนั้นเพราะเป็นมิตรสหายกัน แต่ว่าเพราะวิงวอนมากเข้า เขาจึงจะลุกขึ้นหยิบให้ตามที่เขาต้องการ
ลก 12.6 นกกระจอกห้าตัวเขาขายสองบาทมิใช่หรือ และนกนั้นแม้สักตัวเดียว พระเจ้ามิได้ทรงลืมเลย
ลก 14.26 “ถ้าผู้ใดมาหาเรา และไม่ชังบิดามารดา บุตรภรรยา และพี่น้องชายหญิง แม้ทั้งชีวิตของตนเองด้วย ผู้นั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้
ลก 14.34 เกลือเป็นสิ่งดี แต่ถ้าแม้เกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้
ลก 16.21 และเขาใคร่จะกินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของเศรษฐีนั้น แม้สุนัขก็มาเลียแผลของเขา
ลก 16.31 อับราฮัมจึงตอบเขาว่า ‘ถ้าเขาไม่ฟังโมเสสและพวกศาสดาพยากรณ์ แม้คนหนึ่งจะเป็นขึ้นมาจากความตาย เขาก็จะยังไม่เชื่อ’”
ลก 17.4 แม้เขาจะทำการละเมิดต่อท่านวันหนึ่งเจ็ดหน และจะกลับมาหาท่านทั้งเจ็ดหนในวันเดียวนั้น แล้วว่า ‘ฉันกลับใจแล้ว’ จงยกโทษให้เขาเถิด”
ยน 1.27 พระองค์นั้นแหละ ผู้เสด็จมาภายหลังข้าพเจ้าทรงเป็นใหญ่กว่าข้าพเจ้า แม้สายรัดฉลองพระบาทของพระองค์ ข้าพเจ้าก็ไม่บังควรที่จะแก้”
ยน 7.5 แม้พวกน้องๆของพระองค์ก็มิได้เชื่อในพระองค์
ยน 8.14 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “แม้เราเป็นพยานให้แก่ตัวเราเอง คำพยานของเราก็เป็นความจริง เพราะเรารู้ว่าเรามาจากไหนและจะไปที่ไหน แต่พวกท่านไม่รู้ว่าเรามาจากไหนและจะไปที่ไหน
ยน 12.42 อย่างไรก็ดีแม้ในพวกขุนนางก็มีหลายคนเชื่อในพระองค์ด้วย แต่เขาไม่ยอมรับพระองค์อย่างเปิดเผยเพราะกลัวพวกฟาริสี เกรงว่าเขาจะถูกไล่ออกจากธรรมศาลา
ยน 16.24 แม้จนบัดนี้ท่านยังไม่ได้ขอสิ่งใดในนามของเรา จงขอเถิดแล้วจะได้ เพื่อความชื่นชมยินดีของท่านจะมีเต็มเปี่ยม
ยน 21.25 มีอีกหลายสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำ ถ้าจะเขียนไว้ให้หมดทุกสิ่ง ข้าพเจ้าคาดว่า แม้หมดทั้งโลกก็น่าจะไม่พอไว้หนังสือที่จะเขียนนั้น เอเมน
กจ 7.5 แต่พระองค์ไม่ทรงโปรดให้อับราฮัมมีมรดกในแผ่นดินนี้แม้เท่าฝ่าเท้าก็ไม่ได้ และขณะเมื่อท่านยังไม่มีบุตร พระองค์ทรงสัญญาไว้ว่าจะให้แผ่นดินนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของท่าน และเชื้อสายของท่านที่มาภายหลังท่าน
กจ 19.38 เหตุฉะนั้น ถ้าแม้เดเมตริอัสกับพวกช่างที่มีอาชีพอย่างเดียวกันเป็นความกับผู้ใด วันกำหนดที่จะว่าความก็มี ผู้พิพากษาก็มี ให้เขามาฟ้องกันเถิด
กจ 19.39 แต่ถ้าแม้ท่านมีข้อหาอะไรอีก ก็ให้ชำระกันในที่ประชุมตามกฎหมาย
รม 1.32 แม้เขาจะรู้การพิพากษาของพระเจ้าที่ว่าคนทั้งปวงที่ประพฤติเช่นนั้นสมควรจะตาย เขาก็ไม่เพียงประพฤติเท่านั้น แต่ยังเห็นดีกับคนอื่นที่ประพฤติเช่นนั้นด้วย
รม 2.14 เพราะเมื่อชนต่างชาติซึ่งไม่มีพระราชบัญญัติได้ประพฤติตามพระราชบัญญัติโดยปกติวิสัย คนเหล่านี้แม้ไม่มีพระราชบัญญัติก็เป็นพระราชบัญญัติแก่ตัวเอง
รม 5.14 อย่างไรก็ตามความตายก็ได้ครอบงำตลอดมาตั้งแต่อาดัมจนถึงโมเสส แม้คนที่มิได้ทำบาปอย่างเดียวกับการละเมิดของอาดัม ผู้ซึ่งเป็นแบบของผู้ที่จะเสด็จมาภายหลัง
รม 7.3 ฉะนั้น ถ้าผู้หญิงนั้นไปแต่งงานกับชายอื่นในเมื่อสามียังมีชีวิตอยู่ นางก็ได้ชื่อว่าเป็นหญิงล่วงประเวณี แต่ถ้าสามีตายแล้ว นางก็พ้นจากพระราชบัญญัตินั้น แม้นางไปแต่งงานกับชายอื่นก็หาผิดประเวณีไม่
รม 7.20 ถ้าแม้ข้าพเจ้ายังทำสิ่งซึ่งข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะทำ ก็ไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเป็นผู้กระทำ แต่บาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั่นเองเป็นผู้กระทำ
รม 8.38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า แม้ความตาย หรือชีวิต หรือทูตสวรรค์ หรือผู้มีบรรดาศักดิ์ หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า
รม 9.11 (แม้ก่อนบุตรนั้นบังเกิดมา และยังไม่ได้กระทำดีหรือชั่ว เพื่อพระดำริของพระเจ้าในการทรงเลือกนั้นจะตั้งมั่นคงอยู่ ไม่ใช่ตามการกระทำ แต่ตามซึ่งพระองค์ทรงเรียก)
รม 9.27 และท่านอิสยาห์ได้ร้องประกาศเรื่องพวกอิสราเอลด้วยว่า ‘แม้พวกลูกอิสราเอลจะมากเหมือนเม็ดทรายที่ทะเล แต่คนที่เหลืออยู่เท่านั้นจะรอด
1คร 2.10 พระเจ้าได้ทรงสำแดงสิ่งเหล่านั้นแก่เราทางพระวิญญาณของพระองค์ เพราะว่าพระวิญญาณทรงหยั่งรู้ทุกสิ่ง แม้เป็นความล้ำลึกของพระเจ้า
1คร 5.11 แต่บัดนี้ข้าพเจ้าเขียนบอกท่านว่าถ้าผู้ใดได้ชื่อว่าเป็นพี่น้องแล้ว แต่ยังล่วงประเวณี เป็นคนโลภ เป็นคนถือรูปเคารพ เป็นคนปากร้าย เป็นคนขี้เมา หรือเป็นคนฉ้อโกง อย่าคบกับคนอย่างนั้นแม้จะกินด้วยกันก็อย่าเลย
1คร 10.17 แม้เราซึ่งเป็นบุคคลหลายคน เราก็ยังเป็นขนมปังก้อนเดียวและเป็นร่างกายเดียว เพราะว่าเราทุกคนรับประทานขนมปังก้อนเดียวกัน
1คร 12.12 ถึงกายนั้นเป็นกายเดียว ก็ยังมีอวัยวะหลายส่วน และบรรดาอวัยวะต่างๆของกายเดียวนั้นแม้จะมีหลายส่วนก็ยังเป็นกายเดียวกันฉันใด พระคริสต์ก็ทรงเป็นฉันนั้น
1คร 13.1 แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาของมนุษย์ก็ดี และภาษาของทูตสวรรค์ก็ดี แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าเป็นเหมือนฆ้องหรือฉาบที่กำลังส่งเสียง
1คร 13.2 แม้ข้าพเจ้ามีของประทานแห่งการพยากรณ์ และเข้าใจในความลึกลับทั้งปวงและมีความรู้ทั้งสิ้น และแม้ข้าพเจ้ามีความเชื่อทั้งหมดพอจะยกภูเขาไปได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย
1คร 13.3 แม้ข้าพเจ้ามอบของสารพัดเพื่อเลี้ยงคนยากจน และแม้ข้าพเจ้ายอมให้เอาตัวข้าพเจ้าไปเผาไฟเสีย แต่ไม่มีความรัก จะหาเป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้าไม่
1คร 13.8 ความรักไม่มีวันสูญสิ้น แม้คำพยากรณ์ก็จะเสื่อมสูญไป แม้การพูดภาษาต่างๆนั้นก็จะมีเวลาเลิกไป แม้ความรู้ก็จะเสื่อมสูญไป
1คร 14.7 แม้เป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิตก็ยังกระทำเสียงได้ เช่นปี่หรือพิณเขาคู่ ถ้าเสียงนั้นไม่ต่างกัน ใครจะรู้ได้อย่างไรว่า เขาเป่าหรือดีดอะไร
1คร 14.17 แม้ท่านขอบพระคุณอย่างไพเราะก็ตาม แต่คนอื่นนั้นจะไม่จำเริญขึ้น
1คร 15.11 เหตุฉะนั้นแม้ตัวข้าพเจ้าก็ดี หรือพวกเขาก็ดี เราทั้งหลายก็ได้ประกาศอย่างที่กล่าวมานั้น และท่านทั้งหลายก็ได้เชื่ออย่างนั้น
2คร 8.9 เพราะท่านทั้งหลายรู้จักพระคุณของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราว่า แม้พระองค์มั่งคั่ง พระองค์ก็ยังทรงยอมเป็นคนยากจน เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลายเพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนมั่งมี เนื่องจากความยากจนของพระองค์
กท 2.5 แต่เราไม่ได้ยอมอ่อนข้อให้กับเขาแม้สักชั่วโมงเดียว เพื่อให้ความจริงของข่าวประเสริฐนั้นดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายต่อไป
อฟ 3.2 ถ้าแม้ท่านทั้งหลายได้ยินถึงพระคุณของพระเจ้าอันเป็นพันธกิจ ซึ่งทรงโปรดประทานแก่ข้าพเจ้าเพื่อท่านทั้งหลายแล้ว
อฟ 4.21 ถ้าแม้ท่านได้ฟังเรื่องพระองค์ และได้รับการสอนโดยพระองค์ตามความจริงซึ่งมีอยู่ในพระเยซูแล้ว
ฟป 1.18 ถ้าเช่นนั้นจะแปลกอะไร แม้เขาจะประกาศด้วยประการใดก็ตาม จะเป็นด้วยการแกล้งทำก็ดี หรือด้วยใจจริงก็ดี แต่เขาก็ได้ประกาศพระคริสต์ ในการนี้ทำให้ข้าพเจ้ามีความยินดี และจะมีความชื่นชมยินดีต่อไปด้วย
ฟป 1.20 เพราะว่าเป็นความมุ่งมาดปรารถนาและความหวังของข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าจะไม่ได้รับความละอายใดๆเลย แต่เมื่อก่อนทุกครั้งมีใจกล้าเสมอฉันใด บัดนี้ก็ขอให้เป็นเช่นเดียวกันฉันนั้น พระคริสต์จะได้ทรงรับเกียรติในร่างกายของข้าพเจ้าเสมอ แม้จะโดยชีวิตหรือโดยความตาย
ฟป 1.27 ขอแต่เพียงให้ท่านดำเนินชีวิตให้สมกับข่าวประเสริฐของพระคริสต์ เพื่อว่าแม้ข้าพเจ้าจะมาหาท่านหรือไม่ก็ตาม ข้าพเจ้าก็จะได้รู้ข่าวของท่านว่า ท่านตั้งมั่นคงอยู่ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ต่อสู้เหมือนอย่างเป็นคนเดียวเพื่อความเชื่อแห่งข่าวประเสริฐนั้น
ฟป 2.17 แท้จริงถ้าแม้ข้าพเจ้าต้องถวายตัวเป็นเครื่องบูชา และเป็นการปรนนิบัติเพราะความเชื่อของท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ายังจะมีความชื่นชมยินดีด้วยกันกับท่านทั้งหลาย
1ธส 2.6 และแม้ในฐานะเป็นอัครสาวกของพระคริสต์ เราจะเรียกร้องให้เป็นภาระก็ได้ แต่เราก็ไม่แสวงหาสง่าราศีจากมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นจากท่านหรือจากคนอื่น
2ธส 3.10 แม้เมื่อเราอยู่กับพวกท่าน เราก็ได้กำชับท่านอย่างนี้ว่า ถ้าผู้ใดไม่ยอมทำงาน ก็อย่าให้เขากิน
1ทธ 4.4 ด้วยว่าสิ่งสารพัดซึ่งพระเจ้าได้ทรงสร้างไว้นั้นเป็นของดี ถ้าแม้รับประทานด้วยขอบพระคุณ ก็ไม่ห้ามเลยสักสิ่งเดียว
1ทธ 5.8 แต่ถ้าแม้ผู้ใดไม่เลี้ยงดูวงศ์ญาติของตน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในบ้านเรือนของตน ผู้นั้นก็ได้ปฏิเสธความเชื่อเสียแล้ว และชั่วยิ่งกว่าคนที่ไม่ได้เชื่อเสียอีก
ฮบ 6.9 แต่ดูก่อนพวกที่รัก แม้เราพูดอย่างนั้น เราก็เชื่อแน่ว่าท่านทั้งหลายคงจะได้สิ่งที่ดีกว่านั้น และสิ่งซึ่งเกี่ยวกับความรอด
ยก 2.11 ด้วยว่าพระองค์ผู้ได้ตรัสว่า ‘อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา’ ก็ได้ตรัสไว้ด้วยว่า ‘อย่าฆ่าคน’ แม้ท่านไม่ได้ล่วงประเวณีผัวเมียเขาแต่ได้ฆ่าคน ท่านก็เป็นผู้ละเมิดพระราชบัญญัติ
ยก 2.14 พี่น้องของข้าพเจ้า แม้ผู้ใดจะว่าตนมีความเชื่อ แต่ไม่มีการกระทำ จะได้ประโยชน์อะไร ความเชื่อจะช่วยผู้นั้นให้รอดได้หรือ
ยก 2.19 ท่านเชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียว นั่นก็ดีอยู่แล้ว แม้พวกปิศาจก็เชื่อเช่นกัน และกลัวจนตัวสั่น
1ปต 2.20 ด้วยว่าถ้าท่านทำการชั่ว แล้วถูกเฆี่ยนเพราะการชั่วนั้น แม้ท่านทนถูกเฆี่ยนด้วยอดกลั้นใจ จะเป็นที่สรรเสริญอะไรแก่ท่าน แต่ว่าถ้าท่านทั้งหลายกระทำการดี และทนเอาการข่มเหงด้วยอดกลั้นใจเพราะการดีนั้น เช่นนี้แหละเป็นการชอบพระทัยพระเจ้า
1ปต 3.1 ฝ่ายท่านทั้งหลายที่เป็นภรรยาก็เช่นกัน จงเชื่อฟังสามีของท่าน เพื่อว่าแม้สามีบางคนจะไม่เชื่อฟังพระวจนะ แต่ความประพฤติของภรรยาก็อาจจะจูงใจเขาได้ด้วยโดยไม่ต้องใช้พระวจนะนั้น
1ปต 4.6 ด้วยเหตุนี้เอง ข่าวประเสริฐจึงได้ประกาศแม้แก่คนที่ตายไปแล้ว เพื่อเขาจะได้ถูกพิพากษาตามอย่างมนุษย์ในเนื้อหนัง แต่มีชีวิตอยู่ตามอย่างพระเจ้าฝ่ายจิตวิญญาณ
วว 2.13 เรารู้จักแนวการกระทำของเจ้า เรารู้จักที่อยู่ของเจ้าคือเป็นที่นั่งของซาตาน เจ้ายึดนามของเราไว้มั่น และไม่ปฏิเสธความเชื่อในเรา แม้ในเวลาที่อันทีพาผู้เป็นพยานที่สัตย์ซื่อของเรา ต้องถูกฆ่าในท่ามกลางพวกเจ้าในที่ซึ่งซาตานอยู่

แม้กระทั่ง ( 7 )
อพย 3.19 เรารู้แน่แล้วว่า กษัตริย์แห่งอียิปต์จะไม่ยอมให้พวกเจ้าไป แม้กระทั่งโดยหัตถ์อันทรงฤทธิ์
อสย 25.12 ป้อมสูงของกำแพงเมืองของเจ้านั้นพระองค์จะทรงให้ต่ำลง ทรงเหยียดลง และเหวี่ยงลงถึงดิน แม้กระทั่งถึงผงคลี
ยรม 44.10 แม้กระทั่งวันนี้แล้วเขาทั้งหลายก็ยังมิได้ถ่อมตัวลง หรือเกรงกลัว หรือดำเนินตามราชบัญญัติหรือตามกฎเกณฑ์ของเรา ซึ่งเราให้มีไว้หน้าเจ้าทั้งหลายและหน้าบรรพบุรุษของเจ้า
ดนล 8.10 มันงอกขึ้นใหญ่โต แม้กระทั่งถึงบริวารแห่งฟ้าสวรรค์ มันยังเหวี่ยงบริวารกับดวงดาวลงมายังพิภพเสียบ้าง แล้วเหยียบย่ำเสีย
ดนล 8.11 มันพองตัวขึ้นอีก แม้กระทั่งถึงจอมของบริวาร และเครื่องเผาบูชาประจำวันก็ถูกชิงไปเสีย และสถานบริสุทธิ์ของพระองค์ก็ถูกเหวี่ยงลง
ศคย 9.1 ภาระแห่งพระวจนะของพระเยโฮวาห์ที่มีในหัดราก และเมืองดามัสกัสจะเป็นที่พักสงบสำหรับที่นั่น เมื่อตาของมนุษย์จะแสวงหาพระเยโฮวาห์ แม้กระทั่งอิสราเอลทุกตระกูลด้วย
มลค 1.5 ตาของเจ้าเองจะเห็นสิ่งนี้และเจ้าจะกล่าวว่า “พระเยโฮวาห์นี้จะใหญ่ยิ่งนักแม้กระทั่งนอกเขตแดนของอิสราเอล”

แม้กระนั้น ( 11 )
อพย 33.12 โมเสสกราบทูลพระเยโฮวาห์ว่า “ดูเถิด พระองค์ได้ตรัสสั่งข้าพระองค์ว่า ‘จงนำพลไพร่นี้ขึ้นไป’ แต่พระองค์มิได้แจ้งให้ข้าพระองค์ทราบว่า จะใช้ผู้ใดขึ้นไปกับข้าพระองค์ แม้กระนั้นพระองค์ก็ยังตรัสกับข้าพระองค์ว่า ‘เรารู้จักเจ้าตามชื่อของเจ้า และเจ้าก็ได้รับความกรุณาในสายตาของเราด้วย’
วนฉ 10.13 แม้กระนั้นเจ้าทั้งหลายยังได้ละทิ้งเรา และปรนนิบัติพระอื่น ฉะนี้เราจึงจะไม่ช่วยเจ้าทั้งหลายให้พ้นอีกต่อไป
2พกษ 3.3 แม้กระนั้นพระองค์ยังทรงเกาะติดอยู่กับบาปทั้งหลายของเยโรโบอัมบุตรชายเนบัท ซึ่งพระองค์ทรงกระทำให้อิสราเอลทำบาปด้วย พระองค์หาได้ทรงพรากจากบาปนั้นไม่
โยบ 21.32 แม้กระนั้นเขาจะถูกหามไปยังหลุมศพ และจะยังอยู่ในอุโมงค์
ยรม 12.1 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ เมื่อข้าพระองค์สู้คดีกับพระองค์ พระองค์ก็ทรงเป็นฝ่ายถูก แม้กระนั้นข้าพระองค์ยังขอทูลเสนอมูลคดีของข้าพระองค์ต่อพระองค์ ไฉนทางของคนชั่วจึงจำเริญขึ้น ไฉนทุกคนที่ทรยศก็อยู่เย็นเป็นสุข
ยรม 14.9 ไฉนพระองค์จะทรงเป็นเหมือนชายที่งันงง หรือเหมือนคนที่มีกำลังมากแต่ช่วยใครให้รอดไม่ได้ โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ แม้กระนั้นก็ดีพระองค์ทรงสถิตท่ามกลางข้าพระองค์ทั้งหลาย คนเขาเรียกพวกข้าพระองค์โดยพระนามของพระองค์ ขออย่าทรงละข้าพระองค์ทั้งหลายไว้เสีย”
ยรม 18.23 แม้กระนั้น ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระองค์ทรงทราบการปองร้ายทั้งสิ้นของเขาที่จะฆ่าข้าพระองค์เสีย ขออย่าทรงลบความชั่วช้าของเขา หรือลบบาปของเขาเสียจากสายพระเนตรของพระองค์ ขอให้เขาถูกคว่ำลงต่อพระพักตร์พระองค์ ขอทรงจัดการเขาทั้งหลายในเวลาแห่งความกริ้วของพระองค์
ยรม 25.7 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า ‘แม้กระนั้นเจ้าทั้งหลายก็ไม่ฟังเรา เพื่อเจ้าจะได้ยั่วเย้าเราให้กริ้วด้วยผลงานแห่งมือของเจ้า ซึ่งเป็นผลร้ายแก่เจ้าเอง’
ดนล 11.45 และเขาจะปลูกพลับพลาทั้งหลายแห่งตำหนักของเขาระหว่างทะเลในภูเขาบริสุทธิ์อันรุ่งโรจน์ แม้กระนั้นเขาก็ยังพบจุดจบ และไม่มีใครช่วยเขาเลย”
นฮม 2.8 แต่ตั้งแต่เดิมมาแล้วนีนะเวห์ก็เหมือนสระน้ำ แม้กระนั้นพวกเขาจะหนีออกมา เขาทั้งหลายจะร้องว่า “หยุด หยุด” แต่ก็ไม่มีใครหันกลับ
ฮกก 2.4 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า โอ เศรุบบาเบลเอ๋ย แม้กระนั้นก็ดี จงกล้าหาญเถิด โอ โยชูวาบุตรชายเยโฮซาดัก มหาปุโรหิตเอ๋ย จงกล้าหาญเถิด ประชาชนทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินเอ๋ย จงกล้าหาญเถิด พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า จงทำงานเถิด เพราะเราอยู่กับเจ้า

แมงมุม ( 3 )
โยบ 8.14 ความหวังใจของเขาหักสะบั้น และความไว้วางใจของเขาจะเหมือนใยแมงมุม
สภษ 30.28 แมงมุมนั้น เจ้าเอามือจับได้ แต่มันยังอยู่ในพระราชวัง
อสย 59.5 เขาฟักไข่งูทับทาง เขาทอใยแมงมุม เขาผู้กินไข่นั้นก็ตาย แม้ไข่ลูกใดถูกทุบ งูร้ายก็เป็นตัวขึ้นมา

แม้แต่ ( 28 )
ปฐก 20.5 เขาบอกแก่ข้าพระองค์มิใช่หรือว่า ‘นางเป็นน้องสาวของข้าพเจ้า’ และแม้แต่นางเองก็ว่า ‘เขาเป็นพี่ชายของข้าพเจ้า’ ข้าพระองค์กระทำดังนี้ด้วยจิตใจอันซื่อตรงและด้วยมือที่บริสุทธิ์”
อพย 6.12 และโมเสสกราบทูลต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ว่า “ดูเถิด แม้แต่ชนชาติอิสราเอลก็มิได้เชื่อฟังข้าพระองค์ ฟาโรห์จะฟังข้าพระองค์อย่างไร ข้าพระองค์เป็นคนพูดไม่คล่อง”
อพย 11.7 ฝ่ายคนหรือสัตว์ของชนชาติอิสราเอลทั้งปวงจะไม่มีแม้แต่เสียงสุนัขขู่ เพื่อให้ทราบว่าพระเยโฮวาห์ทรงกระทำต่อชาวอียิปต์ต่างกับชนชาติอิสราเอล
กดว 4.20 แต่อย่าให้คนโคฮาทเข้าไปมองของบริสุทธิ์แม้แต่อึดใจเดียวเกลือกว่าเขาจะต้องตาย”
พบญ 12.31 ท่านอย่ากระทำอย่างนั้นแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย เพราะว่าสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนทุกอย่างซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงเกลียดชัง พวกเขากระทำสิ่งนั้นต่อพระทั้งหลายของเขา แม้แต่บุตรชายและบุตรสาวของเขา เขาก็เผาด้วยไฟบูชาแด่พระของเขา
พบญ 31.21 และต่อมาเมื่อสิ่งร้ายและความลำบากหลายอย่างมาถึงเขาแล้ว เพลงบทนี้จะเผชิญหน้าเป็นพยาน เพราะว่าเพลงนี้จะอยู่ที่ปากเชื้อสายของเขาไม่มีวันลืม เพราะแม้แต่เวลานี้เองเรารู้ถึงความมุ่งหมายที่เขากำลังจะก่อขึ้นมาแล้ว ก่อนที่เราจะนำเขาเข้าไปในแผ่นดินซึ่งเราปฏิญาณไว้นั้น”
โยบ 18.13 มันจะกินความแข็งแกร่งแห่งผิวหนังของเขาเสีย แม้แต่บุตรหัวปีแห่งความตายจะกินความแข็งแกร่งของเขาเสีย
สดด 39.2 ข้าพเจ้าก็เป็นใบ้เงียบไป ข้าพเจ้านิ่งเงียบแม้แต่จากสิ่งที่ดี ความทุกข์ใจของข้าพเจ้ารุนแรงขึ้น
ปญจ 10.20 อย่าแช่งด่ากษัตริย์ เออ แม้แต่คิดแช่งด่าในใจก็อย่าเลย และอย่าแช่งคนมั่งมีที่ในห้องนอนของเจ้า เพราะนกในอากาศจะคาบเสียงของเจ้าไป หรือตัวที่มีปีกจะเล่าเรื่องนั้น
อสย 1.13 อย่านำเครื่องบูชาอันเปล่าประโยชน์มาอีกเลย เครื่องหอมเป็นสิ่งน่าสะอิดสะเอียนต่อเรา วันข้างขึ้น และวันสะบาโต และการเรียกประชุม เราทนอีกไม่ได้มันเป็นความชั่วช้า แม้แต่การประชุมอันศักดิ์สิทธิ์นั้นด้วย
ยรม 7.11 นิเวศนี้ซึ่งเรียกตามนามของเรา ในสายตาของเจ้าได้กลายเป็นที่ซ่องสุมของพวกโจรไปแล้วหรือ พระเยโฮวาห์ตรัสว่า ดูเถิด แม้แต่เราก็ได้เห็นเองแล้ว
พคค 4.3 แม้แต่สัตว์ประหลาดทะเลยังได้เอานมออกให้ลูกของมันดูด แต่ธิดาแห่งชนชาติของข้าพเจ้าก็ใจร้าย ดุจนกกระจอกเทศในถิ่นทุรกันดาร
อสค 36.2 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เพราะศัตรูกล่าวขวัญถึงเจ้าว่า ‘อ้าฮา แม้แต่ที่สูงโบราณเหล่านั้นได้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเราแล้ว’
มธ 23.4 ด้วยเขาเอาภาระหนักและแบกยากวางบนบ่ามนุษย์ ส่วนเขาเองแม้แต่นิ้วเดียวก็ไม่จับต้องเลย
มธ 23.15 วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าเที่ยวไปตามทางทะเลและทางบกทั่วไปเพื่อจะได้แม้แต่คนเดียวเข้าจารีต เมื่อได้แล้วเจ้าก็ทำให้เขากลายเป็นลูกแห่งนรกยิ่งกว่าตัวเจ้าเองถึงสองเท่า
ลก 11.46 พระองค์ตรัสว่า “วิบัติแก่เจ้า พวกนักกฎหมายด้วย เพราะพวกเจ้าเอาของหนักที่แบกยากนักวางบนมนุษย์ แต่ส่วนพวกเจ้าเองก็ไม่จับต้องของหนักนั้นเลยแม้แต่นิ้วเดียว
ลก 15.29 แต่เขาบอกบิดาว่า ‘ดูเถิด ข้าพเจ้าได้ปรนนิบัติท่านกี่ปีมาแล้ว และมิได้ละเมิดคำบัญชาของท่านสักข้อหนึ่งเลย แม้แต่เพียงลูกแพะสักตัวหนึ่งท่านก็ยังไม่เคยให้ข้าพเจ้า เพื่อจะเลี้ยงกันเป็นที่รื่นเริงยินดีกับเพื่อนฝูงของข้าพเจ้า
ลก 21.16 แม้แต่บิดามารดาญาติพี่น้องและมิตรสหายจะทรยศท่าน และพวกเขาจะฆ่าบางคนในพวกท่านเสีย
ยน 18.38 ปีลาตทูลถามพระองค์ว่า “ความจริงคืออะไร” เมื่อถามดังนั้นแล้วท่านก็ออกไปหาพวกยิวอีก และบอกเขาว่า “เราไม่เห็นคนนั้นมีความผิดแม้แต่น้อย
กจ 13.41 ‘ดูก่อนให้เจ้าทั้งหลายผู้ประมาทหมิ่น ประหลาดใจและถึงพินาศ ด้วยว่าเรากระทำการในกาลสมัยของเจ้า เป็นการที่แม้แต่มีผู้มาบอกแล้ว เจ้าก็จะไม่เชื่อเลย’”
รม 1.26 เพราะเหตุนี้พระเจ้าจึงทรงปล่อยให้เขามีราคะตัณหาอันน่าอัปยศ แม้แต่พวกผู้หญิงของเขาก็เปลี่ยนจากการสัมพันธ์ตามธรรมชาติ ให้ผิดธรรมชาติไป
2คร 11.5 เพราะข้าพเจ้าคิดว่า ข้าพเจ้าไม่ด้อยกว่าอัครสาวกชั้นผู้ใหญ่เหล่านั้นแม้แต่น้อยเลย
กท 2.13 และพวกยิวคนอื่นๆก็ได้แสร้งทำตามท่านเช่นกัน แม้แต่บารนาบัสก็หลงแสร้งทำตามคนเหล่านั้นไปด้วย
อฟ 5.12 เพราะว่าแม้แต่จะพูดถึงการเหล่านั้น ซึ่งพวกเขากระทำในที่ลับก็ยังเป็นที่น่าละอาย
ฟม 1.19 ข้าพเจ้า เปาโล ได้เขียนไว้ด้วยมือของข้าพเจ้าเองว่า ข้าพเจ้าจะใช้ให้ ข้าพเจ้าจะไม่อ้างถึงเรื่องที่ท่านเป็นหนี้ข้าพเจ้า และแม้แต่ตัวของท่านเองด้วย
ฮบ 7.4 แล้วจงคิดดูเถิดว่า ท่านผู้นี้ยิ่งใหญ่เพียงไร ซึ่งแม้แต่อับราฮัมผู้เป็นต้นตระกูลของเรานั้นยังได้ชักหนึ่งในสิบจากของริบนั้นมาถวายแก่ท่าน
ฮบ 12.20 (เพราะว่าข้อความที่ทรงบัญญัติไว้นั้นเขาทนไม่ได้ คือที่ว่า “แม้แต่สัตว์ถ้าแตะต้องภูเขานั้นก็จะต้องถูกขว้างด้วยก้อนหินให้ตาย หรือแทงทะลุด้วยแหลนให้ตาย”
ยด 1.23 และจงช่วยคนอื่นๆให้รอดโดยความกลัวด้วยการฉุดเขาออกมาจากไฟ จงเกลียดชังแม้แต่เสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนด้วยเนื้อหนังเถิด

แม่ทัพ ( 15 )
วนฉ 4.2 พระเยโฮวาห์จึงทรงขายเขาไว้ในมือของยาบินกษัตริย์เมืองคานาอัน ผู้ครอบครองอยู่ ณ กรุงฮาโซร์ แม่ทัพของท่านชื่อสิเสรา ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ที่เมืองฮาโรเชธของคนต่างชาติ
วนฉ 4.7 และเราจะชักนำสิเสราแม่ทัพของยาบินให้มาพบกับเจ้าที่แม่น้ำคีโชน พร้อมกับรถรบและกองทหารของเขา และเราจะมอบเขาไว้ในมือของเจ้า’”
1ซมอ 12.9 แต่เขาทั้งหลายลืมพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขาเสีย พระองค์จึงทรงขายเขาไว้ในมือของสิเสรา แม่ทัพแห่งเมืองฮาโซร์ และมอบไว้ในมือของคนฟีลิสเตีย และไว้ในมือของกษัตริย์แห่งเมืองโมอับ และเขาเหล่านั้นก็ต่อสู้บรรพบุรุษของท่าน
1ซมอ 14.50 ชื่อมเหสีของซาอูลคืออาหิโนอัม บุตรสาวของอาหิมาอัส และชื่อแม่ทัพของพระองค์ คืออับเนอร์ บุตรชายเนอร์ ลุงของซาอูล
1ซมอ 17.55 เมื่อซาอูลทรงเห็นดาวิดออกไปต่อสู้กับคนฟีลิสเตีย จึงตรัสถามอับเนอร์แม่ทัพของพระองค์ว่า “อับเนอร์ ชายหนุ่มคนนี้เป็นลูกของใคร” และอับเนอร์ทูลว่า “โอ ข้าแต่กษัตริย์ พระองค์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ข้าพระองค์ไม่ทราบ”
1ซมอ 26.5 แล้วดาวิดก็ลุกขึ้นมายังที่ซึ่งซาอูลทรงตั้งค่ายอยู่ และดาวิดก็เห็นที่ที่ซาอูลบรรทมพร้อมกับอับเนอร์บุตรชายเนอร์แม่ทัพ ซาอูลบรรทมอยู่กลางเขตค่าย ฝ่ายกองทัพก็ตั้งค่ายอยู่รอบพระองค์
2ซมอ 2.8 ฝ่ายอับเนอร์บุตรชายเนอร์แม่ทัพของกองทัพซาอูลได้พาอิชโบเชทราชโอรสของซาอูลข้ามไปที่เมืองมาหะนาอิม
2ซมอ 8.16 และโยอาบบุตรชายนางเศรุยาห์เป็นแม่ทัพ และเยโฮชาฟัทบุตรชายอาหิลูดเป็นเจ้ากรมสารบรรณ
2ซมอ 10.16 ฝ่ายฮาดัดเอเซอร์ทรงใช้คนไปนำคนซีเรียผู้อยู่ฟากแม่น้ำข้างโน้นออกมา เขามายังตำบลเฮลาม มีโชบัคแม่ทัพของฮาดัดเอเซอร์เป็นผู้นำหน้า
2ซมอ 10.18 คนซีเรียก็หนีจากอิสราเอล และดาวิดทรงประหารคนซีเรียซึ่งเป็นทหารรถรบเจ็ดร้อยคนกับทหารม้าสี่หมื่นคนเสีย และประหารโชบัคแม่ทัพของเขาทั้งหลายให้สิ้นชีวิตเสียที่นั่น
2ซมอ 17.25 อับซาโลมทรงตั้งอามาสาเป็นแม่ทัพแทนโยอาบ อามาสาเป็นบุตรของชายคนหนึ่งชื่ออิธราคนอิสราเอล ได้แต่งงานกับอาบีกายิลบุตรสาวของนาหาช น้องสาวของนางเศรุยาห์มารดาของโยอาบ
2ซมอ 24.2 กษัตริย์จึงรับสั่งโยอาบ แม่ทัพซึ่งอยู่กับพระองค์ว่า “จงไปทั่วอิสราเอลทุกตระกูลตั้งแต่เมืองดานถึงเบเออร์เชบา และท่านจงนับจำนวนประชาชน เพื่อเราจะได้ทราบจำนวนรวมของประชาชน”
1พกษ 22.31 ฝ่ายกษัตริย์ประเทศซีเรียทรงบัญชาแม่ทัพรถรบทั้งสามสิบสองคนว่า “อย่ารบกับทหารน้อยหรือใหญ่ แต่มุ่งเฉพาะกษัตริย์แห่งอิสราเอล”
2พกษ 15.25 แต่เปคาห์บุตรชายเรมาลิยาห์ แม่ทัพของพระองค์ ได้ร่วมกันคิดกบฏต่อพระองค์ และได้ประหารพระองค์เสียในสะมาเรีย ในพระราชวังแห่งราชสำนัก กับอารโกบและอารีเอห์ และมีคนกิเลอาดห้าสิบคนร่วมกับท่าน ท่านได้สังหารพระองค์ และได้ขึ้นครอบครองแทนพระองค์
ดนล 11.18 ภายหลังท่านจะมุ่งหน้าไปตามเกาะต่างๆและจะยึดได้เป็นอันมาก แต่แม่ทัพคนหนึ่งจะได้กำจัดความอหังการของท่านนั้นเสีย ความจริงเขาจะเอาความอหังการนั้นมาสนองท่าน

แม้น ( 1 )
ปฐก 31.42 ถ้าแม้นพระเจ้าของบิดาข้าพเจ้า พระเจ้าของอับราฮัมและซึ่งอิสอัคยำเกรง ไม่ทรงสถิตอยู่กับข้าพเจ้าแล้ว ครั้งนี้ท่านจะให้ข้าพเจ้าไปตัวเปล่าเป็นแน่ พระเจ้าทรงเห็นความทุกข์ใจของข้าพเจ้าและการงานตรากตรำที่มือข้าพเจ้าทำ จึงทรงห้ามท่านเมื่อคืนวานนี้”

แม่นาง ( 4 )
1ซมอ 18.17 ฝ่ายซาอูลจึงรับสั่งกับดาวิดว่า “ดูเถิด นี่คือบุตรสาวคนโตของเราชื่อเมราบ เราจะมอบแม่นางให้เป็นภรรยาของเธอ ขอแต่เธอจงเป็นคนกล้าหาญและสู้ศึกของพระเยโฮวาห์เท่านั้น” เพราะซาอูลทรงดำริว่า “อย่าให้มือของเราแตะต้องเขาเลย ให้มือคนฟีลิสเตียแตะต้องเขาดีกว่า”
1ซมอ 18.19 แต่อยู่มา เมื่อถึงเวลาที่จะทรงยกเมราบราชธิดาของซาอูลให้เป็นภรรยาของดาวิด แม่นางก็ถูกยกให้เป็นภรรยาของอาดรีเอลชาวเมโหลาห์
1ซมอ 18.21 ซาอูลทรงดำริว่า “ให้เรายกแม่นางให้แก่เธอ แม่นางจะได้เป็นกับดักเธอ และมือของคนฟีลิสเตียจะได้ต่อสู้เธอ” ดังนั้นซาอูลจึงรับสั่งแก่ดาวิดว่า “วันนี้เธอจะเป็นบุตรเขยของเราเช่นเดียวกัน”

แม่น้ำ ( 457 )
ปฐก 2.10 มีแม่น้ำสายหนึ่งไหลออกจากเอเดนรดสวนนั้น จากที่นั่นได้แยกออกเป็นแม่น้ำสี่สาย
ปฐก 2.11 ชื่อของแม่น้ำสายที่หนึ่งคือปิโชน ซึ่งไหลรอบแผ่นดินฮาวิลาห์ ที่นั่นมีแร่ทองคำ
ปฐก 2.13 ชื่อแม่น้ำสายที่สองคือกิโฮน แม่น้ำสายนี้ได้ไหลรอบแผ่นดินเอธิโอเปีย
ปฐก 2.14 ชื่อแม่น้ำสายที่สามคือไทกริส ซึ่งได้ไหลไปทางทิศตะวันออกของแผ่นดินอัสซีเรีย และแม่น้ำสายที่สี่คือยูเฟรติส
ปฐก 13.10 โลทเงยหน้าขึ้นแลดูและเห็นว่าบรรดาที่ราบลุ่มของแม่น้ำจอร์แดนมีน้ำบริบูรณ์อยู่ทุกแห่ง เหมือนพระอุทยานของพระเยโฮวาห์ เหมือนกับแผ่นดินอียิปต์ไปทางเมืองโศอาร์ ก่อนที่พระเยโฮวาห์ทรงทำลายเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์
ปฐก 13.11 ดังนั้นโลทจึงเลือกบรรดาที่ราบลุ่มของแม่น้ำจอร์แดน โลทเดินทางไปทิศตะวันออกและเขาทั้งสองจึงแยกจากกันไป
ปฐก 15.18 ในวันเดียวกันนั้นพระเยโฮวาห์ทรงกระทำพันธสัญญากับอับรามว่า “เราได้ยกแผ่นดินนี้แก่เชื้อสายของเจ้าแล้ว ตั้งแต่แม่น้ำอียิปต์ไปจนถึงแม่น้ำใหญ่ คือแม่น้ำยูเฟรติส
ปฐก 31.21 ยาโคบเอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดลุกขึ้นหนีข้ามแม่น้ำบ่ายหน้าไปยังถิ่นเทือกเขากิเลอาด
ปฐก 32.10 ข้าพระองค์ไม่สมควรจะรับบรรดาพระกรุณาและความจริงแม้เล็กน้อยที่สุด ที่พระองค์ได้ทรงโปรดสำแดงแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ ด้วยว่าข้าพระองค์ข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้เมื่อมีแต่ไม้เท้า และบัดนี้ข้าพระองค์มีผู้คนเป็นสองพวก
ปฐก 36.37 เมื่อสัมลาห์สิ้นพระชนม์แล้ว ซาอูลชาวเมืองเรโหโบทอยู่ที่แม่น้ำขึ้นครอบครองแทน
ปฐก 41.1 ครั้นอยู่มาอีกสองปีเต็ม ฟาโรห์ก็สุบิน และดูเถิด พระองค์ทรงยืนอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ
ปฐก 41.2 ดูเถิด มีวัวเจ็ดตัวอ้วนพีงามน่าดูขึ้นมาจากแม่น้ำนั้น กินหญ้าอยู่ในทุ่งหญ้าแห่งหนึ่ง
ปฐก 41.3 แล้วดูเถิด มีวัวอีกเจ็ดตัวซูบผอมน่าเกลียดตามขึ้นมาจากแม่น้ำ มายืนอยู่กับวัวอื่นๆที่ริมฝั่งแม่น้ำ
ปฐก 41.17 ฟาโรห์จึงตรัสแก่โยเซฟว่า “ในความฝันของเรานั้น ดูเถิด เรายืนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำ
ปฐก 41.18 และดูเถิด มีวัวเจ็ดตัวอ้วนพีงามน่าดูขึ้นมาจากแม่น้ำ กินหญ้าอยู่ในทุ่งหญ้าแห่งหนึ่ง
ปฐก 50.10 เขาก็พากันมาถึงลานนวดข้าวแห่งอาทาด ซึ่งอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น ที่นั้นเขาร้องไห้คร่ำครวญเป็นอันมาก โยเซฟก็ไว้ทุกข์ให้บิดาเจ็ดวัน
ปฐก 50.11 เมื่อชาวแผ่นดินนั้นคือคนคานาอันได้เห็นการไว้ทุกข์ที่ลานอาทาด เขาจึงพูดกันว่า “นี่เป็นการไว้ทุกข์ใหญ่ของชาวอียิปต์” เหตุฉะนั้นเขาจึงเรียกชื่อตำบลนั้นว่า อาเบลมิสราอิม ตำบลนั้นอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น
อพย 1.22 ฝ่ายฟาโรห์จึงรับสั่งแก่บ่าวไพร่ทั้งปวงของพระองค์ว่า “บุตรชายทุกคนที่เกิดมาให้เอาไปทิ้งเสียในแม่น้ำ แต่บุตรสาวทุกคนให้รอดชีวิตอยู่ได้”
อพย 2.3 ครั้นนางจะซ่อนทารกต่อไปอีกไม่ได้แล้วก็เอาตะกร้าสานด้วยต้นกก ยาด้วยยางมะตอยและชัน เอาทารกใส่ลงในตะกร้า แล้วนางนำไปวางไว้ที่กอปรือริมแม่น้ำ
อพย 2.5 และพระราชธิดาของฟาโรห์ลงไปสรงที่แม่น้ำ และพวกสาวใช้เดินไปตามริมฝั่งแม่น้ำนั้น และเมื่อพระนางเห็นตะกร้าอยู่ระหว่างกอปรือ จึงสั่งให้สาวใช้ไปนำมา
อพย 4.9 และต่อมา ถ้าเขาไม่เชื่อหมายสำคัญทั้งสองครั้งนี้ ทั้งไม่ฟังเสียงของเจ้า เจ้าจงตักน้ำในแม่น้ำและเทลงที่ดินแห้ง แล้วน้ำที่เจ้าตักมาจากแม่น้ำนั้นจะกลายเป็นเลือดบนดินแห้งนั้น”
อพย 7.15 เจ้าจงถือไม้เท้าที่กลายเป็นงูไปเฝ้าฟาโรห์ในเวลาเช้า ดูเถิด เขาไปที่แม่น้ำ เจ้าจงยืนคอยเขาอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ
อพย 7.17 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “ท่านจะทราบว่า เราคือพระเยโฮวาห์ด้วยอาศัยการกระทำดังนี้ ดูเถิด เราจะเอาไม้เท้าที่ถือไว้นั้นฟาดน้ำในแม่น้ำ น้ำนั้นจะกลายเป็นเลือด
อพย 7.18 ปลาซึ่งอยู่ในแม่น้ำจะตาย และแม่น้ำจะเหม็น ชาวอียิปต์จะดื่มน้ำในแม่น้ำไม่ได้”’”
อพย 7.19 พระเยโฮวาห์ตรัสสั่งโมเสสว่า “จงบอกอาโรนว่า ‘เอาไม้เท้าของท่านชี้ไปเหนือน้ำทั้งหลายแห่งอียิปต์ คือเหนือลำคลอง แม่น้ำ บึง และสระทั้งหมดของเขา เพื่อน้ำจะกลายเป็นเลือดและจะมีเลือดทั่วแผ่นดินอียิปต์ ทั้งที่อยู่ในภาชนะไม้และภาชนะหิน’”
อพย 7.20 โมเสสกับอาโรนก็กระทำตามที่พระเยโฮวาห์บัญชา คือท่านได้ยกไม้เท้าขึ้นตีน้ำในแม่น้ำต่อสายพระเนตรของฟาโรห์ และท่ามกลางสายตาของพวกข้าราชการของฟาโรห์ แล้วน้ำในแม่น้ำก็กลายเป็นเลือดทั้งสิ้น
อพย 7.21 ปลาที่อยู่ในแม่น้ำก็ตาย แม่น้ำก็เหม็น และชาวอียิปต์ก็ดื่มน้ำในแม่น้ำนั้นไม่ได้ มีเลือดทั่วแผ่นดินอียิปต์
อพย 7.24 ชาวอียิปต์ทั้งปวงก็พากันขุดหลุมตามริมแม่น้ำหาน้ำดื่ม เพราะเขาดื่มน้ำในแม่น้ำไม่ได้
อพย 7.25 ครบกำหนดเจ็ดวันนับตั้งแต่พระเยโฮวาห์ทรงบันดาลให้แม่น้ำเป็นเลือด
อพย 8.3 ฝูงกบจะเต็มไปทั้งแม่น้ำ จะขึ้นมาอยู่ในวัง ในห้องบรรทม และบนแท่นบรรทมของท่าน ในเรือนข้าราชการ ตามตัวพลเมือง ในเตาปิ้งขนมและในอ่างขยำแป้งของท่านด้วย
อพย 8.5 แล้วพระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงบอกอาโรนว่า ‘ให้เหยียดมือที่ถือไม้เท้าออกเหนือลำคลอง เหนือแม่น้ำ และเหนือบึงให้ฝูงกบขึ้นมาบนแผ่นดินอียิปต์’”
อพย 8.9 โมเสสจึงทูลฟาโรห์ว่า “ข้าพระองค์ได้รับเกียรติมาก เวลาใดที่ข้าพระองค์ควรวิงวอนเพื่อพระองค์ ข้าราชบริพาร และพลเมืองของพระองค์ เพื่อให้ทรงทำลายฝูงกบไปเสียจากพระองค์และราชสำนักให้อยู่ในแม่น้ำเท่านั้น”
อพย 8.11 ฝูงกบจะไปจากพระองค์ จากราชสำนัก จากข้าราชการและพลเมืองของพระองค์ เหลืออยู่เฉพาะแต่ในแม่น้ำเท่านั้น”
อพย 8.20 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “ลุกขึ้นแต่เช้าไปคอยเฝ้าฟาโรห์ ดูเถิด ฟาโรห์จะมายังแม่น้ำ แล้วบอกฟาโรห์ว่า ‘พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “จงปล่อยพลไพร่ของเราเพื่อเขาจะไปปรนนิบัติเรา
อพย 17.5 พระเยโฮวาห์จึงตรัสกับโมเสสว่า “จงเดินล่วงหน้าพลไพร่ไปและนำพวกผู้ใหญ่บางคนของอิสราเอลไปด้วย ให้ถือไม้เท้าที่เจ้าใช้ตีแม่น้ำนั้นไปด้วย
อพย 23.31 เราจะกำหนดเขตแดนของพวกเจ้าไว้ตั้งแต่ทะเลแดงจนถึงทะเลของชาวฟีลิสเตีย ตั้งแต่ถิ่นทุรกันดารจนจดแม่น้ำ เพราะเราจะมอบชาวเมืองนั้นไว้ในมือของพวกเจ้าให้พวกเจ้าไล่เขาไปเสียให้พ้นหน้า
ลนต 11.9 สัตว์ที่อยู่ในน้ำทั้งหมดเหล่านี้เจ้ารับประทานได้ ของทุกอย่างซึ่งอยู่ในน้ำที่มีครีบและมีเกล็ด จะอยู่ในทะเลหรือในแม่น้ำก็ตาม เจ้ารับประทานได้
ลนต 11.10 แต่ทุกอย่างในทะเลและในแม่น้ำ ทุกอย่างที่เคลื่อนไหวในน้ำ และสิ่งมีชีวิตใดๆซึ่งอยู่ในน้ำ ไม่มีครีบและเกล็ด สัตว์เหล่านี้เป็นสิ่งที่พึงรังเกียจแก่เจ้า
กดว 13.29 คนอามาเลขอยู่ในแผ่นดินทางใต้ คนฮิตไทต์ คนเยบุส และคนอาโมไรต์อยู่บนภูเขา คนคานาอันอาศัยอยู่ที่ริมทะเล และตามฝั่งแม่น้ำจอร์แดน”
กดว 21.13 เขายกออกจากที่นั่นไปตั้งอยู่ฟากแม่น้ำอารโนนข้างโน้น ซึ่งอยู่ในถิ่นทุรกันดารที่ยืดมาจากพรมแดนของคนอาโมไรต์ เพราะว่าแม่น้ำอารโนนเป็นพรมแดนของโมอับ ระหว่างโมอับกับคนอาโมไรต์
กดว 21.24 และอิสราเอลได้ประหารท่านเสียด้วยคมดาบ ยึดเอาแผ่นดินของท่านจากแม่น้ำอารโนนจนถึงแถวยับบอก ไกลไปจนถึงแดนคนอัมโมนเพราะว่าพรมแดนของคนอัมโมนเข้มแข็ง
กดว 21.26 เพราะว่าเฮชโบนเป็นเมืองหลวงของสิโหนกษัตริย์ของคนอาโมไรต์ ผู้ที่ต่อสู้กับกษัตริย์ชาวโมอับองค์ก่อน และยึดได้แผ่นดินของท่านทั้งสิ้นไกลไปถึงแม่น้ำอารโนน
กดว 21.28 เพราะว่ามีไฟออกไปจากเฮชโบน มีเปลวไฟออกไปจากเมืองแห่งสิโหน ได้ทำลายเมืองอาร์ของโมอับ เจ้าของแห่งปูชนียสถานสูงของแม่น้ำอารโนน
กดว 22.1 แล้วคนอิสราเอลก็ยกออกไปตั้งค่ายอยู่ ณ ที่ราบโมอับซึ่งอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ใกล้เมืองเยรีโค
กดว 22.5 ท่านใช้ผู้สื่อสารไปยังบาลาอัมบุตรชายเบโอร์ที่เปโธร์ใกล้แม่น้ำในแผ่นดินอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของท่าน โดยกล่าวว่า “ดูเถิด ชนชาติหนึ่งออกมาจากอียิปต์ ดูเถิด เขาทั้งหลายเข้าแผ่คลุมพื้นแผ่นดินโลก กำลังพักอยู่ตรงข้ามข้าพเจ้า
กดว 22.36 เมื่อบาลาคได้ยินว่าบาลาอัมมาแล้ว ท่านจึงออกไปรับบาลาอัมที่เมืองโมอับที่สุดปลายพรมแดนซึ่งเกิดขึ้นด้วยแม่น้ำอารโนน
กดว 24.6 เหมือนหุบเขาที่ยืดไปไกล เหมือนสวนซึ่งอยู่ข้างแม่น้ำ เหมือนต้นกฤษณาซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงปลูกไว้ เหมือนต้นสนสีดาร์ที่อยู่ข้างลำน้ำ
กดว 26.3 โมเสสกับเอเลอาซาร์ปุโรหิต ปราศรัยกับเขาทั้งหลาย ณ ที่ราบโมอับ ริมแม่น้ำจอร์แดนใกล้เมืองเยรีโคว่า
กดว 26.63 จำนวนคนเหล่านี้โมเสสและเอเลอาซาร์ปุโรหิตได้นับไว้ ครั้งเมื่อนับคนอิสราเอล ณ ที่ราบโมอับ ริมแม่น้ำจอร์แดนใกล้เมืองเยรีโค
กดว 31.12 แล้วเขานำเชลยและทรัพย์สินที่ปล้นได้กับของที่ริบได้ทั้งหมดมายังโมเสส และเอเลอาซาร์ปุโรหิต และชุมนุมชนอิสราเอลที่ค่าย ณ ที่ราบโมอับ ริมแม่น้ำจอร์แดนใกล้เมืองเยรีโค
กดว 32.5 และเขาทั้งหลายกล่าวว่า “ถ้าข้าพเจ้าทั้งหลายได้รับความกรุณาในสายตาของท่าน ขอมอบแผ่นดินนี้เป็นกรรมสิทธิ์แก่คนใช้ของท่าน ขออย่าพาข้าพเจ้าทั้งหลายข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปเลย”
กดว 32.19 เพราะเราจะมิได้รับมรดกกับเขาซึ่งอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นและนอกออกไป เพราะว่ามรดกที่ตกทอดมาถึงเราอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างตะวันออกนี้”
กดว 32.21 และคนของท่านที่ถืออาวุธทุกคนจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ จนกว่าพระองค์จะทรงขับไล่ศัตรูให้พ้นพระองค์
กดว 32.29 และโมเสสกล่าวแก่เขาว่า “ถ้าคนกาดและคนรูเบน ทุกคนผู้มีอาวุธที่จะทำสงครามต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ จะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปพร้อมกับท่านทั้งหลาย และแผ่นดินนั้นจะพ่ายแพ้ต่อหน้าท่านแล้ว ท่านจงมอบแผ่นดินกิเลอาดให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่เขา
กดว 32.32 เราจะถืออาวุธข้ามไปต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์สู่แผ่นดินคานาอัน และที่ดินมรดกของเรานั้นจะคงอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้”
กดว 33.48 และเขายกเดินจากภูเขาอาบาริม และตั้งค่าย ณ ที่ราบโมอับ ริมแม่น้ำจอร์แดนใกล้เมืองเยรีโค
กดว 33.49 เขาตั้งค่ายอยู่ริมแม่น้ำจอร์แดนตั้งแต่เบธเยชิโมท ไกลไปจนถึงอาเบลชิทธิม ณ ที่ราบโมอับ
กดว 33.50 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสส ณ ที่ราบโมอับ ริมแม่น้ำจอร์แดนใกล้เมืองเยรีโคว่า
กดว 33.51 “จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า เมื่อเจ้าข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปในแผ่นดินคานาอัน
กดว 34.5 และอาณาเขตจะเลี้ยวจากอัสโมนถึงแม่น้ำอียิปต์ไปสิ้นสุดลงที่ทะเล
กดว 34.12 และอาณาเขตจะลงมาถึงแม่น้ำจอร์แดนสุดลงที่ทะเลเกลือ นี่เป็นแผ่นดินของเจ้าตามอาณาเขตโดยรอบ”
กดว 34.15 ทั้งสองตระกูลและครึ่งตระกูลนั้นได้รับมรดกของเขาที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ใกล้เมืองเยรีโคด้านตะวันออก ทางดวงอาทิตย์ขึ้น”
กดว 35.1 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสส ณ ที่ราบโมอับ ริมแม่น้ำจอร์แดนใกล้เมืองเยรีโคว่า
กดว 35.10 “จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า เมื่อเจ้าทั้งหลายข้ามแม่น้ำจอร์แดน เข้าในแผ่นดินคานาอัน
กดว 35.14 เจ้าจงให้ทางฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้สามเมือง และอีกสามเมืองในแผ่นดินคานาอัน ให้เป็นเมืองลี้ภัย
กดว 36.13 ข้อความเหล่านี้เป็นบทบัญญัติและคำตัดสินซึ่งพระเยโฮวาห์ได้ทรงบัญชาทางโมเสสแก่คนอิสราเอล ณ ที่ราบโมอับ ริมแม่น้ำจอร์แดนใกล้เมืองเยรีโค
พบญ 1.1 ข้อความต่อไปนี้เป็นคำที่โมเสสกล่าวแก่คนอิสราเอลทั้งปวงที่ในถิ่นทุรกันดารฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ คือในที่ราบข้างหน้าทะเลแดงระหว่างปารานและโทเฟล ลาบัน ฮาเซโรท และดีซาหับ
พบญ 1.5 โมเสสได้เริ่มอธิบายพระราชบัญญัตินี้ที่ในแผ่นดินโมอับฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ว่า
พบญ 1.7 เจ้าทั้งหลายจงหันไปเดินตามทางที่ไปยังแดนเทือกเขาของคนอาโมไรต์ และที่ใกล้เคียงกันในที่ราบ และในแดนเทือกเขา และในหุบเขา ในทางใต้ และที่ฝั่งทะเล แผ่นดินของคนคานาอัน และที่เลบานอน จนถึงแม่น้ำใหญ่ คือแม่น้ำยูเฟรติส
พบญ 2.29 (ดุจพวกลูกหลานเอซาวที่อยู่ตำบลเสอีร์ และพวกโมอับที่อยู่ตำบลอาร์ ได้กระทำแก่ข้าพเจ้านั้น) จนข้าพเจ้าข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปในแผ่นดินที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลายได้ทรงประทานแก่ข้าพเจ้า’
พบญ 2.37 แต่ท่านทั้งหลายมิได้เข้าใกล้แผ่นดินคนอัมโมน คือฝั่งแม่น้ำยับบอกและเมืองที่อยู่บนภูเขา และที่ใดๆซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราตรัสห้ามเรานั้น”
พบญ 3.8 ครั้งนั้นเราได้ยึดแผ่นดินเสียจากมือของกษัตริย์ทั้งสองของคนอาโมไรต์ ผู้อยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ ตั้งแต่ลุ่มแม่น้ำอารโนนถึงภูเขาเฮอร์โมน
พบญ 3.16 แก่คนรูเบนและคนกาดนั้นเราให้ตำบลตั้งแต่กิเลอาดถึงลุ่มแม่น้ำอารโนน ถือเอากลางลุ่มน้ำเป็นแดนเรื่อยมาถึงแม่น้ำยับบอกอันเป็นแดนของคนอัมโมน
พบญ 3.17 ทั้งแถบที่ราบด้วย มีแม่น้ำจอร์แดนเป็นพรมแดน ตั้งแต่ทะเลคินเนเรทจนถึงทะเลแห่งที่ราบ คือทะเลเค็ม ที่อัชโดดปิสกาห์ ซึ่งอยู่ทิศตะวันออก
พบญ 3.20 กว่าพระเยโฮวาห์จะโปรดให้พี่น้องของท่านได้หยุดพักเหมือนได้ประทานแก่ท่านแล้ว จนเขาทั้งหลายจะยึดครองแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่เขาที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นแล้ว ท่านทั้งหลายต่างจึงจะกลับมายังที่อยู่ของตน ซึ่งข้าพเจ้าได้ให้แก่ท่านทั้งหลาย’
พบญ 3.25 ขอพระองค์ทรงโปรดอนุญาตให้ข้าพระองค์ข้ามไปดูแผ่นดินอันดีที่อยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น ดูแดนเทือกเขางดงามและเลบานอนด้วย’
พบญ 3.27 เจ้าจงขึ้นไปถึงยอดเขาปิสกาห์ และเพ่งตาของเจ้าดูทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ และทิศตะวันออก และดูแผ่นดินนั้นด้วยนัยน์ตาของเจ้า เพราะเจ้าจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้ไปไม่ได้เลย
พบญ 4.21 ยิ่งกว่านั้น เพราะท่านทั้งหลายเป็นเหตุ พระเยโฮวาห์ทรงพระพิโรธต่อข้าพเจ้า และทรงปฏิญาณว่าข้าพเจ้าจะไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดน และข้าพเจ้าจะไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินดีซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายประทานแก่ท่านให้เป็นมรดก
พบญ 4.22 แต่ข้าพเจ้าจะตายเสียในแผ่นดินนี้ ข้าพเจ้าจะไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดน แต่ท่านทั้งหลายจะได้ข้ามไป และถือแผ่นดินดีนั้นเป็นกรรมสิทธิ์
พบญ 4.26 ข้าพเจ้าขออัญเชิญฟ้าและดินมาเป็นพยานกล่าวโทษท่านในวันนี้ว่า ท่านทั้งหลายจะพินาศอย่างสิ้นเชิงจากแผ่นดิน ซึ่งท่านทั้งหลายกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยึดครองนั้น ท่านจะไม่ได้อยู่ในแผ่นดินนั้นนาน แต่ท่านจะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง
พบญ 4.41 แล้วโมเสสกำหนดหัวเมืองทางดวงอาทิตย์ขึ้นฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้สามหัวเมือง
พบญ 4.46 ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ที่หุบเขาตรงข้ามเบธเปโอร์ ในแผ่นดินของสิโหนกษัตริย์คนอาโมไรต์ ผู้อยู่ที่เฮชโบนซึ่งโมเสสและคนอิสราเอลได้ตีพ่ายไปครั้งเมื่อออกมาจากอียิปต์แล้ว
พบญ 4.47 คนอิสราเอลได้เข้ายึดแผ่นดินของท่านและแผ่นดินของโอกกษัตริย์เมืองบาชาน เป็นกษัตริย์สององค์ของคนอาโมไรต์ ผู้อยู่ทางดวงอาทิตย์ขึ้นฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้
พบญ 4.49 รวมกับที่ราบทั้งหมด ซึ่งอยู่ฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ จนถึงทะเลแห่งที่ราบ ที่น้ำพุแห่งปิสกาห์
พบญ 9.1 “โอ คนอิสราเอล จงฟังเถิด ท่านกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปในวันนี้ เพื่อจะเข้าไปยึดครองประชาชาติที่ใหญ่กว่าและมีกำลังมากกว่าท่าน ทั้งเมืองที่ใหญ่มีกำแพงสูงเทียมฟ้า
พบญ 10.7 เขาทั้งหลายเดินทางออกจากที่นั่นมาถึงกุดโกดาห์ และจากกุดโกดาห์ถึงโยทบาธาห์เป็นแผ่นดินที่มีแม่น้ำลำธารมาก
พบญ 11.24 ฝ่าเท้าของท่านทั้งหลายจะเหยียบลงที่ใด ที่นั่นจะเป็นของท่าน อาณาเขตของท่านจะเริ่มจากถิ่นทุรกันดารไปจนถึงเลบานอน และจากแม่น้ำคือแม่น้ำยูเฟรติสไปจนถึงทะเลตะวันตก
พบญ 11.30 ภูเขาเหล่านี้อยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น ไปตามทางที่ดวงอาทิตย์ตกในแผ่นดินคนคานาอัน ผู้อาศัยอยู่ในที่ราบตรงหน้ากิลกาลข้างที่ราบโมเรห์มิใช่หรือ
พบญ 11.31 เพราะท่านทั้งหลายจะต้องข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยึดครองแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน และท่านจะยึดครองและอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น
พบญ 12.10 แต่เมื่อท่านข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปแล้ว และอาศัยอยู่ในแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายประทานเป็นมรดกแก่ท่าน และเมื่อพระองค์โปรดให้ท่านพักพ้นศัตรูรอบข้างของท่านทั้งสิ้น ท่านจึงอยู่อย่างปลอดภัย
พบญ 27.2 ในวันที่ท่านทั้งหลายจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าสู่แผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน ท่านจงตั้งศิลาก้อนใหญ่ๆขึ้น เอาปูนโบกเสีย
พบญ 27.4 ฉะนั้นเมื่อท่านข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปแล้ว บนภูเขาเอบาลท่านจงตั้งศิลาเหล่านี้ตามเรื่องที่ข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ แล้วจงโบกเสียด้วยปูน
พบญ 27.12 “เมื่อท่านทั้งหลายยกข้ามแม่น้ำจอร์แดนนั้นแล้ว ให้คนต่อไปนี้ยืนบนภูเขาเกริซิมกล่าวคำอวยพรแก่ประชาชน คือสิเมโอน เลวี ยูดาห์ อิสสาคาร์ โยเซฟและเบนยามิน
พบญ 30.18 ข้าพเจ้าขอประกาศแก่ท่านทั้งหลายในวันนี้ว่า ท่านทั้งหลายจะพินาศเป็นแน่ ท่านจะไม่มีชีวิตอยู่นานในแผ่นดินซึ่งท่านกำลังจะยกข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปยึดครองนั้น
พบญ 31.2 และท่านกล่าวแก่เขาว่า “วันนี้ข้าพเจ้ามีอายุหนึ่งร้อยยี่สิบปีแล้ว ข้าพเจ้าจะออกไปและเข้ามาอีกไม่ไหวแล้ว พระเยโฮวาห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เจ้าจะไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้’
พบญ 31.13 และเพื่อลูกหลานทั้งหลายของเขา ผู้ยังไม่ทราบจะได้ยินและเรียนรู้ที่จะยำเกรงพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ตราบเท่าเวลาซึ่งท่านอยู่ในแผ่นดิน ซึ่งท่านกำลังจะยกข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยึดครองนั้น”
พบญ 32.47 เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยสำหรับท่านทั้งหลาย แต่เป็นเรื่องชีวิตของท่านทั้งหลาย และเรื่องนี้จะกระทำให้ท่านทั้งหลายมีชีวิตยืนนานในแผ่นดิน ซึ่งท่านทั้งหลายกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยึดครองนั้น”
ยชว 1.2 “โมเสสผู้รับใช้ของเราสิ้นชีวิตแล้ว ฉะนั้นบัดนี้จงลุกขึ้น ยกข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้ ทั้งเจ้าและชนชาตินี้ทั้งหมดไปยังแผ่นดินซึ่งเรายกให้แก่เขาทั้งหลาย คือแก่คนอิสราเอล
ยชว 1.4 ตั้งแต่ถิ่นทุรกันดารและภูเขาเลบานอนนี้ไกลไปจนถึงแม่น้ำใหญ่ คือแม่น้ำยูเฟรติส แผ่นดินทั้งหมดของคนฮิตไทต์ ถึงทะเลใหญ่ทางทิศตะวันตก จะเป็นอาณาเขตของเจ้า
ยชว 1.11 “จงไปในค่ายสั่งประชาชนว่า จงเตรียมเสบียงอาหารไว้ เพราะว่าภายในสามวันท่านทั้งหลายจะต้องยกข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้ เพื่อเข้าไปยึดครองแผ่นดิน ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่านให้ยึดครอง”
ยชว 1.14 จงให้ภรรยาของท่านทั้งหลาย ลูกเล็กของท่าน และฝูงสัตว์ของท่านอยู่ในแผ่นดินซึ่งโมเสสยกให้ที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ แต่ผู้ชายที่ชำนาญศึกทั้งหลายในพวกท่านต้องถืออาวุธข้ามไปเป็นทัพหน้า เพื่อช่วยพี่น้องของตน
ยชว 1.15 จนกว่าพระเยโฮวาห์จะประทานที่พักให้แก่พี่น้องของท่าน ดังที่ประทานแก่ท่าน ทั้งให้เขาได้ยึดครองแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่เขา แล้วท่านจึงจะกลับไปยังแผ่นดินที่ท่านยึดครองและถือไว้เป็นกรรมสิทธิ์ คือแผ่นดินซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์ได้ให้แก่พวกท่านฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ทางดวงอาทิตย์ขึ้น”
ยชว 2.7 เขาทั้งหลายก็ไล่ตามคนทั้งสองไปทางแม่น้ำจอร์แดนจนถึงท่าข้าม พอคนที่ไล่ตามนั้นออกไปแล้วเขาก็ปิดประตูเมือง
ยชว 2.10 เพราะเราทั้งหลายได้ยินเรื่องที่พระเยโฮวาห์ทรงกระทำให้ทะเลแดงแห้งไปต่อหน้าท่านเมื่อท่านออกจากอียิปต์ และเรื่องการที่ท่านได้กระทำแก่กษัตริย์ทั้งสองของคนอาโมไรต์ ซึ่งอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น คือกษัตริย์สิโหนและโอก ผู้ซึ่งท่านทั้งหลายได้ทำลายเสียสิ้น
ยชว 3.1 ฝ่ายโยชูวาก็ตื่นแต่เช้า เขาทั้งหลายยกออกจากชิทธิมมาถึงแม่น้ำจอร์แดน ทั้งตัวท่านและคนอิสราเอลทั้งหมด เขาพักอยู่ที่นั่นก่อนจะข้ามไป
ยชว 3.8 และเจ้าจงสั่งปุโรหิตผู้หามหีบพันธสัญญาว่า ‘เมื่อท่านทั้งหลายมาริมแม่น้ำจอร์แดนจงหยุดยืนอยู่ในแม่น้ำจอร์แดน’”
ยชว 3.11 ดูเถิด หีบพันธสัญญาแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าปิ่นสากลพิภพจะข้ามไปข้างหน้าท่านลงไปในแม่น้ำจอร์แดน
ยชว 3.13 และต่อมาทันทีที่เมื่อฝ่าเท้าของปุโรหิตผู้หามหีบแห่งพระเยโฮวาห์องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งแผ่นดินโลกทั้งสิ้น จะลงไปยืนอยู่ในแม่น้ำจอร์แดน น้ำในแม่น้ำจอร์แดนจะถูกตัดขาดจากน้ำที่ไหลมาจากข้างบน น้ำนั้นจะหยุดตั้งขึ้นเป็นกองเดียว”
ยชว 3.14 ดังนั้นเมื่อประชาชนยกจากเต็นท์ของเขาทั้งหลาย เพื่อจะข้ามแม่น้ำจอร์แดน พร้อมกับปุโรหิตหามหีบพันธสัญญาไปข้างหน้าประชาชน
ยชว 3.15 เมื่อคนหามหีบมาถึงแม่น้ำจอร์แดนและเท้าของปุโรหิตผู้หามหีบก้าวลงในริมแม่น้ำแล้ว (แม่น้ำจอร์แดนขึ้นท่วมฝั่งตลอดฤดูเกี่ยวข้าวเสมอ)
ยชว 3.17 และปุโรหิตผู้หามหีบพันธสัญญาของพระเยโฮวาห์ยืนมั่นอยู่บนดินแดนแห้งกลางแม่น้ำจอร์แดน คนอิสราเอลทั้งหมดก็เดินข้ามไปบนดินแห้ง จนประชาชนข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปหมด
ยชว 4.1 ต่อมาเมื่อประชาชนนั้นได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนเสร็จหมดแล้ว พระเยโฮวาห์ตรัสสั่งโยชูวาว่า
ยชว 4.3 และบัญชาเขาว่า ‘จงไปเอาศิลาสิบสองก้อนจากที่นี่ที่กลางแม่น้ำจอร์แดน ตรงที่ซึ่งเท้าของปุโรหิตยืนมั่นอยู่นั้น ขนมาวางไว้ในที่ซึ่งท่านทั้งหลายจะนอนในคืนวันนี้’”
ยชว 4.5 โยชูวาจึงสั่งเขาว่า “จงผ่านไปข้างหน้าหีบของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านลงไปกลางแม่น้ำจอร์แดน แล้วแบกศิลามาคนละก้อนตามจำนวนตระกูลคนอิสราเอล
ยชว 4.7 แล้วท่านจงตอบพวกเขาว่า ‘น้ำที่จอร์แดนขาดจากกันต่อหน้าหีบพันธสัญญาแห่งพระเยโฮวาห์ เมื่อหีบนั้นข้ามแม่น้ำจอร์แดน น้ำในแม่น้ำจอร์แดนก็ขาดจากกัน ศิลาเหล่านี้จะเป็นที่รำลึกแก่ลูกหลานอิสราเอลเป็นนิตย์’”
ยชว 4.9 และโยชูวาได้ตั้งศิลาสิบสองก้อนไว้กลางแม่น้ำจอร์แดน ตรงที่ที่เท้าของปุโรหิตผู้หามหีบพันธสัญญายืนอยู่ และศิลาเหล่านั้นก็ยังอยู่จนทุกวันนี้
ยชว 4.23 เพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายกระทำให้แม่น้ำจอร์แดนแห้งไปเพื่อท่าน จนท่านข้ามไปได้หมด ดังที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านกระทำแก่ทะเลแดง ทรงกระทำให้แห้งเพื่อเราทั้งหลาย จนเราข้ามไปหมด
ยชว 7.7 โยชูวากราบทูลว่า “โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า อนิจจาเอ๋ย เป็นไฉนพระองค์จึงทรงนำชนชาตินี้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนมา เพื่อจะมอบเราทั้งหลายไว้ในมือของคนอาโมไรต์ให้ทำลายเสีย พวกข้าพระองค์มีความเสียดายที่ไม่พอใจอยู่เพียงฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น
ยชว 9.1 ต่อมาเมื่อกษัตริย์ทั้งหลายที่อยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ คือที่อยู่ในแดนเทือกเขา และในหุบเขา และตามฝั่งทะเลใหญ่ไปทั่วจนถึงภูเขาเลบานอน เป็นคนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนคานาอัน คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุสได้ยินข่าวนี้
ยชว 9.10 และได้ทราบถึงบรรดาสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำต่อกษัตริย์คนอาโมไรต์ทั้งสองพระองค์ผู้อยู่ทางฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น คือสิโหนกษัตริย์เมืองเฮชโบน และโอกกษัตริย์เมืองบาชานผู้อยู่ที่อัชทาโรท
ยชว 12.1 ต่อไปนี้เป็นกษัตริย์แห่งแผ่นดินนั้นซึ่งประชาชนอิสราเอลได้กระทำให้แพ้ไป และได้ยึดครองแผ่นดินฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นทางดวงอาทิตย์ขึ้น จากที่ลุ่มแม่น้ำอารโนนถึงภูเขาเฮอร์โมน และที่ราบซึ่งอยู่ด้านตะวันออกทั้งหมด
ยชว 12.2 คือสิโหนกษัตริย์คนอาโมไรต์ผู้อยู่ที่เฮชโบน และปกครองจากอาโรเออร์ ซึ่งอยู่ ณ ริมลุ่มแม่น้ำอารโนน และจากกลางที่ลุ่มไกลไปจนถึงแม่น้ำยับบอก เขตแดนคนอัมโมน คือครึ่งหนึ่งของกิเลอาด
ยชว 12.7 ต่อไปนี้เป็นกษัตริย์แห่งแผ่นดินซึ่งโยชูวากับคนอิสราเอลได้ทำให้พ่ายแพ้อยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ทางทิศตะวันตก ตั้งแต่บาอัลกาดในหุบเขาเลบานอน ถึงภูเขาฮาลัก ที่สูงเรื่อยขึ้นไปถึงเสอีร์ ซึ่งโยชูวามอบให้แก่ตระกูลคนอิสราเอลให้ถือเป็นกรรมสิทธิ์ตามส่วนแบ่งของเขา
ยชว 13.8 ส่วนมนัสเสห์อีกครึ่งตระกูล คนรูเบน และคนกาดได้รับส่วนมรดกของเขา ซึ่งโมเสสได้มอบให้ทางฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นด้านตะวันออก ส่วนที่โมเสสผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์มอบให้เขาคือ
ยชว 13.23 อาณาเขตของคนรูเบนคือแม่น้ำจอร์แดนเป็นพรมแดน นี่เป็นมรดกของคนรูเบนตามครอบครัว รวมทั้งหัวเมืองและชนบทด้วย
ยชว 13.27 ในหว่างเขา มีเมืองเบธฮารัม เบธนิมราห์ สุคคทและซาโฟน ราชอาณาจักรส่วนที่เหลือของสิโหนกษัตริย์เมืองเฮชโบนนั้น มีแม่น้ำจอร์แดนเป็นพรมแดน จดทะเลคินเนเรทตอนปลายข้างล่าง ด้านตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น
ยชว 13.32 เหล่านี้เป็นดินแดนต่างๆซึ่งโมเสสได้แบ่งปันให้เป็นมรดก ณ ที่ราบโมอับ ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นทิศตะวันออกของเมืองเยรีโค
ยชว 14.3 เพราะโมเสสได้ให้มรดกแก่คนสองตระกูลครึ่งทางฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นแล้ว แต่ท่านหาได้แบ่งส่วนมรดกให้แก่พวกเลวีไม่
ยชว 15.4 ผ่านเรื่อยไปถึงอัสโมนยื่นออกไปถึงแม่น้ำอียิปต์มาสิ้นสุดลงที่ทะเล ที่กล่าวนี้จะเป็นพรมแดนด้านใต้ของท่าน
ยชว 15.5 พรมแดนด้านตะวันออกคือทะเลเค็มขึ้นไปถึงปากแม่น้ำจอร์แดน และพรมแดนด้านเหนือตั้งแต่อ่าวที่ทะเลตรงปากแม่น้ำจอร์แดน
ยชว 15.7 และพรมแดนยื่นไปถึงเดบีร์จากหุบเขาอาโคร์ ตรงไปทางทิศเหนือเลี้ยวไปหาเมืองกิลกาล ซึ่งอยู่ตรงข้ามทางข้ามเขาที่ชื่ออาดุมมิม ซึ่งอยู่ทางด้านใต้ของแม่น้ำ และพรมแดนก็ผ่านไปถึงน้ำพุเอนเชเมช ไปสิ้นสุดลงที่เอนโรเกล
ยชว 15.47 อัชโดด กับหัวเมืองและชนบทของเมืองนั้น กาซา กับหัวเมืองและชนบทของเมืองนั้นจนถึงแม่น้ำอียิปต์ และทะเลใหญ่พร้อมกับฝั่งชายทะเล
ยชว 16.1 ที่ดินตามสลากของลูกหลานโยเซฟนั้นเริ่มจากแม่น้ำจอร์แดนใกล้ๆเมืองเยรีโค ทิศตะวันออกของน้ำแห่งเยรีโคเข้าไปในถิ่นทุรกันดารขึ้นไปจากเยรีโคเข้าไปในแดนเทือกเขาเบธเอล
ยชว 16.7 แล้วลงไปจากยาโนอาห์ ถึงเมืองอาทาโรทและเมืองนาอาราห์ ไปจดเมืองเยรีโคสิ้นสุดลงที่แม่น้ำจอร์แดน
ยชว 16.8 จากทัปปูวาห์พรมแดนลงไปทางทิศตะวันตกถึงแม่น้ำคานาห์ไปสิ้นสุดลงที่ทะเล นี่เป็นดินแดนมรดกของตระกูลคนเอฟราอิมตามครอบครัวของเขา
ยชว 17.5 ดังนี้แหละส่วนที่ตกแก่คนมนัสเสห์จึงมีสิบส่วน นอกเหนือดินแดนกิเลอาดและบาชานซึ่งอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น
ยชว 17.9 แล้วพรมแดนก็ลงไปถึงแม่น้ำคานาห์ หัวเมืองเหล่านี้ซึ่งอยู่ทางทิศใต้แม่น้ำในท่ามกลางหัวเมืองของมนัสเสห์นั้นเป็นของเอฟราอิม แล้วพรมแดนของมนัสเสห์ก็ขึ้นไปทางด้านเหนือของแม่น้ำไปสิ้นสุดลงที่ทะเล
ยชว 18.7 แต่คนเลวีไม่มีส่วนแบ่งในหมู่พวกท่านทั้งหลาย ด้วยตำแหน่งปุโรหิตของพระเยโฮวาห์เป็นมรดกของเขาแล้ว คนกาด และคนรูเบน กับตระกูลมนัสเสห์ครึ่งหนึ่งก็ได้รับมรดกของเขาทางฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นด้านตะวันออก ซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์ได้มอบให้แก่เขาทั้งหลายแล้ว”
ยชว 18.12 ทางด้านเหนือพรมแดนของเขาเริ่มต้นที่แม่น้ำจอร์แดน และพรมแดนก็ยื่นขึ้นไปถึงไหล่เขาตอนเหนือของเมืองเยรีโค แล้วขึ้นไปทางแดนเทือกเขาทางทิศตะวันตก และไปสิ้นสุดที่ถิ่นทุรกันดารเบธาเวน
ยชว 18.19 แล้วพรมแดนก็ผ่านไปทางทิศเหนือถึงไหล่เขาที่เบธฮกลาห์ และพรมแดนไปสิ้นสุดลงที่อ่าวด้านเหนือของทะเลเค็มที่ปลายใต้ของแม่น้ำจอร์แดน นี่เป็นพรมแดนด้านใต้
ยชว 18.20 แม่น้ำจอร์แดนกั้นเป็นพรมแดนทางตะวันออก นี่เป็นมรดกของคนเบนยามินตามครอบครัวของเขา มีพรมแดนดังนี้ล้อมรอบ
ยชว 19.11 แล้วพรมแดนของเขายื่นออกไปทางด้านทะเล เรื่อยไปจนถึงมาราลาห์ และมาจดเมืองดับเบเชท แล้วมาถึงแม่น้ำที่อยู่ตรงหน้าโยกเนอัม
ยชว 19.22 และพรมแดนยังจดเมืองทาโบร์ ชาหะซุมาห์ เบธเชเมช และพรมแดนนี้ไปสิ้นสุดลงที่แม่น้ำจอร์แดน รวมเป็นสิบหกหัวเมืองกับชนบทของเมืองนั้นๆด้วย
ยชว 19.33 อาณาเขตของเขาเริ่มจากเฮเลฟ จากอาโลนไปถึงศานันนิม และอาดามี เนเขบ และยับเนเอลไกลไปจนถึงเมืองลัคคูม และสิ้นสุดลงที่แม่น้ำจอร์แดน
ยชว 19.34 แล้วพรมแดนก็เลี้ยวไปทางด้านตะวันตกถึงเมืองอัสโนททาโบร์ จากที่นั่นไปถึงหุกกอกจดเขตเศบูลุนทางทิศใต้ และเขตอาเชอร์ทางทิศตะวันตก และเขตยูดาห์ทางดวงอาทิตย์ขึ้นที่แม่น้ำจอร์แดน
ยชว 20.8 และทางฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นตรงเมืองเยรีโคนั้น เขาได้กำหนดเมืองเบเซอร์ในถิ่นทุรกันดารบนที่ราบจากที่ดินคนตระกูลรูเบน และเมืองราโมทในกิเลอาดจากที่ดินคนตระกูลกาด และเมืองโกลานในบาชานจากที่ดินคนตระกูลมนัสเสห์
ยชว 22.4 บัดนี้พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านได้โปรดให้พี่น้องของท่านหยุดพักแล้ว ดังที่พระองค์ทรงสัญญาไว้กับเขา ฉะนั้นบัดนี้ท่านจงกลับไปสู่เต็นท์ของท่านเถิด ไปสู่แผ่นดินซึ่งท่านถือกรรมสิทธิ์ ซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์ยกให้ท่านที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นนั้น
ยชว 22.7 ส่วนคนมนัสเสห์ครึ่งตระกูลนั้นโมเสสได้มอบให้เขาถือกรรมสิทธิ์ในเมืองบาชาน แต่อีกครึ่งตระกูลนั้นโยชูวามอบให้เขามีกรรมสิทธิ์ข้างเคียงกับพี่น้องของเขาที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างด้านตะวันตกนี้ และเมื่อโยชูวาส่งเขากลับไปยังเต็นท์ของตน ท่านได้อวยพรเขา
ยชว 22.10 และเมื่อเขาทั้งหลายมาถึงท้องถิ่นที่ใกล้แม่น้ำจอร์แดนที่อยู่ในแผ่นดินคานาอัน คนรูเบน คนกาด และคนมนัสเสห์ครึ่งตระกูล ได้สร้างแท่นบูชาแท่นหนึ่งที่ใกล้แม่น้ำจอร์แดน เป็นแท่นขนาดมหึมา
ยชว 22.11 และคนอิสราเอลได้ยินคนพูดกัน “ดูเถิด คนรูเบน คนกาดและคนมนัสเสห์ครึ่งตระกูล ได้สร้างแท่นบูชาที่พรมแดนแผ่นดินคานาอันในท้องถิ่นใกล้แม่น้ำจอร์แดนในด้านที่เป็นของคนอิสราเอล”
ยชว 22.25 เพราะว่าพระเยโฮวาห์ทรงกำหนดแม่น้ำจอร์แดนเป็นพรมแดนระหว่างเรากับเจ้าทั้งหลายนะ คนรูเบนและคนกาดเอ๋ย พวกเจ้าไม่มีส่วนในพระเยโฮวาห์’ ดังนั้นแหละลูกหลานของท่านอาจกระทำให้ลูกหลานของเราทั้งหลายหยุดเกรงกลัวพระเยโฮวาห์
ยชว 23.4 ดูเถิด ประชาชาติที่เหลืออยู่นั้น ข้าพเจ้าได้จับสลากแบ่งให้เป็นมรดกแก่ตระกูลของท่าน รวมกับประชาชาติทั้งสิ้นซึ่งข้าพเจ้าได้ขจัดออกเสีย ตั้งแต่แม่น้ำจอร์แดนจนถึงทะเลใหญ่ทางทิศตะวันตก
ยชว 24.2 แล้วโยชูวากล่าวกับประชาชนทั้งสิ้นว่า “พระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘ในกาลดึกดำบรรพ์บรรพบุรุษของเจ้าอยู่ฟากแม่น้ำข้างโน้น คือเทราห์ บิดาของอับราฮัมและของนาโฮร์ และเขาปรนนิบัติพระอื่น
ยชว 24.3 แล้วเราได้นำบิดาของเจ้าคืออับราฮัมมาจากฟากแม่น้ำข้างโน้น และนำเขามาตลอดแผ่นดินคานาอัน กระทำให้เชื้อสายของเขามีมากมาย เราให้อิสอัคแก่เขา
ยชว 24.8 และเราก็นำเจ้าทั้งหลายมาที่แผ่นดินของคนอาโมไรต์ซึ่งอยู่ที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น เขาสู้รบกับเจ้าทั้งหลาย และเราได้มอบเขาไว้ในมือของเจ้า และเจ้าทั้งหลายยึดครองแผ่นดินของเขาและเราก็ทำลายเขาให้พ้นหน้าเจ้า
ยชว 24.11 และเจ้าทั้งหลายข้ามแม่น้ำจอร์แดน มาที่เมืองเยรีโค และชาวเมืองเยรีโคต่อสู้กับเจ้า และคนอาโมไรต์ คนเปริสซี คนคานาอัน คนฮิตไทต์ คนเกอร์กาชี คนฮีไวต์ และคนเยบุส และเราได้มอบเขาไว้ในมือของเจ้าทั้งหลาย
ยชว 24.14 เหตุฉะนั้น บัดนี้จงยำเกรงพระเยโฮวาห์และปรนนิบัติพระองค์ด้วยความจริงใจและด้วยความจริง จงทิ้งพระเหล่านั้นซึ่งบรรพบุรุษของท่านได้เคยปรนนิบัติที่ฟากแม่น้ำข้างโน้น และในอียิปต์เสีย และท่านทั้งหลายจงปรนนิบัติพระเยโฮวาห์
ยชว 24.15 และถ้าท่านไม่เต็มใจที่จะปรนนิบัติพระเยโฮวาห์ ท่านทั้งหลายจงเลือกเสียในวันนี้ว่าท่านจะปรนนิบัติผู้ใด จะปรนนิบัติพระซึ่งอยู่ฟากแม่น้ำข้างโน้นที่บรรพบุรุษของท่านได้เคยปรนนิบัติ หรือพระของคนอาโมไรต์ในแผ่นดินซึ่งท่านอาศัยอยู่ แต่ส่วนข้าพเจ้าและครอบครัวของข้าพเจ้า เราจะปรนนิบัติพระเยโฮวาห์”
วนฉ 3.28 ท่านจึงสั่งเขาว่า “จงตามเรามาเถิด เพราะพระเยโฮวาห์ทรงมอบศัตรูของท่าน คือชนโมอับไว้ในมือของท่านแล้ว” เขาทั้งหลายจึงลงตามท่านไป และยึดท่าข้ามแม่น้ำจอร์แดนสกัดคนโมอับไว้ไม่ยอมให้ใครข้ามไปได้สักคนเดียว
วนฉ 4.7 และเราจะชักนำสิเสราแม่ทัพของยาบินให้มาพบกับเจ้าที่แม่น้ำคีโชน พร้อมกับรถรบและกองทหารของเขา และเราจะมอบเขาไว้ในมือของเจ้า’”
วนฉ 4.13 สิเสราก็เรียกรถรบทั้งหมดของท่านออกมา เป็นรถเหล็กเก้าร้อยคัน รวมกับเหล่าทหารทั้งหมดที่ไปด้วย ยกไปจากเมืองฮาโรเชทของคนต่างชาติไปถึงแม่น้ำคีโชน
วนฉ 5.17 กิเลอาดอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น ส่วนดานอาศัยอยู่กับเรือกำปั่นทำไมเล่า อาเชอร์นั่งเฉยอยู่ที่ฝั่งทะเลตั้งบ้านเรือนอยู่ตามท่าจอดเรือของเขา
วนฉ 5.21 แม่น้ำคีโชนพัดกวาดเขาไปเสีย คือแม่น้ำคีโชน แม่น้ำโบราณนั้น โอ จิตของข้าพเจ้าเอ๋ย เจ้าได้เหยียบย่ำด้วยกำลังแข็งขัน
วนฉ 7.24 และกิเดโอนก็ใช้ผู้สื่อสารออกไปทั่วแดนเทือกเขาเอฟราอิม ประกาศว่า “จงลงมารบพวกมีเดียน และยึดแควทั้งหลาย ไกลไปถึงตำบลเบธบาราห์ และแม่น้ำจอร์แดนด้วย” เขาก็เรียกบรรดาทหารเอฟราอิมออกมา เขาทั้งหลายยึดแควถึงเบธบาราห์ และแม่น้ำจอร์แดนไว้
วนฉ 7.25 จับโอเรบและเศเอบเจ้านายสองคนของพวกมีเดียนได้ เขาฆ่าโอเรบเสียที่ศิลาโอเรบ และฆ่าเศเอบเสียที่บ่อย่ำองุ่นชื่อเศเอบ แล้วก็ไล่ติดตามพวกมีเดียนไป และเขานำเอาศีรษะโอเรบและเศเอบมาให้กิเดโอนที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น
วนฉ 8.4 กิเดโอนก็มาที่แม่น้ำจอร์แดนและข้ามไป ทั้งท่านและทหารสามร้อยคนที่อยู่ด้วย ถึงจะอ่อนเปลี้ยแต่ก็ยังติดตามไป
วนฉ 10.8 เขาได้ข่มเหงและบีบบังคับคนอิสราเอลในปีนั้น คือคนอิสราเอลทั้งปวงที่อยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นในแผ่นดินของคนอาโมไรต์ ซึ่งอยู่ในกิเลอาดสิบแปดปี
วนฉ 10.9 ทั้งคนอัมโมนได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปต่อสู้กับยูดาห์และต่อสู้กับเบนยามิน และต่อสู้กับวงศ์วานเอฟราอิม ดังนั้นอิสราเอลจึงเดือดร้อนอย่างยิ่ง
วนฉ 11.13 กษัตริย์คนอัมโมนตอบผู้สื่อสารของเยฟธาห์ว่า “เพราะว่าเมื่ออิสราเอลยกออกมาจากอียิปต์ได้ยึดแผ่นดินของเราไป ตั้งแต่แม่น้ำอารโนนถึงแม่น้ำยับบอกและถึงแม่น้ำจอร์แดน ฉะนั้นบัดนี้ขอคืนแผ่นดินเหล่านั้นเสียโดยดี”
วนฉ 11.18 แล้วเขาก็เดินไปในถิ่นทุรกันดารอ้อมแผ่นดินเอโดม และแผ่นดินโมอับ และมาทางด้านตะวันออกของแผ่นดินโมอับ และตั้งค่ายอยู่ที่ฟากแม่น้ำอารโนนข้างโน้น แต่เขามิได้เข้าไปในเขตแดนของโมอับ เพราะว่าแม่น้ำอารโนนเป็นพรมแดนของโมอับ
วนฉ 11.22 และเขายึดเขตแดนทั้งหมดของคนอาโมไรต์ตั้งแต่แม่น้ำอารโนนถึงแม่น้ำยับบอก และตั้งแต่ถิ่นทุรกันดารถึงแม่น้ำจอร์แดน
วนฉ 11.26 เมื่ออิสราเอลอาศัยอยู่ในกรุงเฮชโบนและชนบทของกรุงนั้น และในเมืองอาโรเออร์และชนบทของเมืองนั้น และอยู่ในบรรดาหัวเมืองที่ตั้งอยู่ตามฝั่งแม่น้ำอารโนนถึงสามร้อยปี ทำไมท่านไม่เรียกคืนเสียภายในเวลานั้นเล่า
วนฉ 12.5 ชาวกิเลอาดก็เข้ายึดท่าข้ามแม่น้ำจอร์แดนไว้ไม่ให้คนเอฟราอิมข้าม เมื่อคนเอฟราอิมที่หลบหนีคนใดมาบอกว่า “ขอให้ข้ามไปทีเถิด” คนกิเลอาดจะถามเขาว่า “เจ้าเป็นคนเอฟราอิมหรือ” เมื่อเขาตอบว่า “เปล่า”
วนฉ 12.6 เขาจะบอกว่า “จงว่าคำว่าชิบโบเลท” คนนั้นจะว่า “สิบโบเลท” เพราะคนเอฟราอิมออกเสียงคำนี้ไม่ชัด เขาจึงจับคนนั้นและฆ่าเสียที่ท่าข้ามแม่น้ำจอร์แดน คราวนั้นมีคนเอฟราอิมตายสี่หมื่นสองพันคน
1ซมอ 13.7 พวกฮีบรูบางคนได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยังดินแดนกาดและกิเลอาด แต่ฝ่ายซาอูลพระองค์ยังประทับอยู่ที่กิลกาล และประชาชนทั้งหมดติดตามพระองค์ไปด้วยตัวสั่น
1ซมอ 31.7 เมื่อคนอิสราเอลซึ่งอยู่ฟากหุบเขาข้างโน้น และผู้ที่อยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นเห็นคนอิสราเอลหนีไป และเห็นว่าซาอูลกับราชโอรสของพระองค์สิ้นชีพแล้ว เขาก็ทิ้งบ้านเมืองของเขาเสียหลบหนีไป คนฟีลิสเตียก็เข้ามาอาศัยอยู่ในนั้น
2ซมอ 2.29 อับเนอร์กับคนของท่านก็เดินทางตลอดคืนนั้นในที่ราบ เขาข้ามแม่น้ำจอร์แดนและเดินไปตามหุบเขาบิทโรน เขาก็มาถึงมาหะนาอิม
2ซมอ 8.3 ดาวิดทรงรบชนะฮาดัดเอเซอร์โอรสเรโหบ กษัตริย์เมืองโศบาห์ เมื่อเสด็จไปฟื้นอำนาจของพระองค์ที่แม่น้ำยูเฟรติส
2ซมอ 10.16 ฝ่ายฮาดัดเอเซอร์ทรงใช้คนไปนำคนซีเรียผู้อยู่ฟากแม่น้ำข้างโน้นออกมา เขามายังตำบลเฮลาม มีโชบัคแม่ทัพของฮาดัดเอเซอร์เป็นผู้นำหน้า
2ซมอ 10.17 เมื่อมีผู้กราบทูลดาวิดพระองค์ทรงรวบรวมอิสราเอลทั้งหมดข้ามแม่น้ำจอร์แดนมาถึงตำบลเฮลาน และคนซีเรียก็จัดทัพเข้าต่อสู้ดาวิดและได้รบกับพระองค์
2ซมอ 12.27 และโยอาบได้ส่งผู้สื่อสารไปเฝ้าดาวิด ทูลว่า “ข้าพระองค์ได้สู้รบกับกรุงรับบาห์ และข้าพระองค์ตีได้เมืองที่มีแม่น้ำมากหลายนั้นแล้ว
2ซมอ 17.21 อยู่มาเมื่อคนเหล่านั้นไปแล้ว ชายทั้งสองก็ขึ้นมาจากบ่อ ไปกราบทูลกษัตริย์ดาวิด เขาทูลดาวิดว่า “ขอทรงลุกขึ้น และรีบข้ามแม่น้ำไป เพราะอาหิโธเฟลได้ให้คำปรึกษาต่อสู้อย่างนั้นอย่างนี้”
2ซมอ 17.22 ดาวิดก็ทรงลุกขึ้นพร้อมกับพวกพลทั้งสิ้นที่อยู่กับพระองค์และข้ามแม่น้ำจอร์แดน พอรุ่งเช้าก็ไม่มีเหลือสักคนหนึ่งที่ยังไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดน
2ซมอ 17.24 ฝ่ายดาวิดก็เสด็จมายังเมืองมาหะนาอิม และอับซาโลมก็ข้ามแม่น้ำจอร์แดนพร้อมกับคนอิสราเอลทั้งปวง
2ซมอ 19.15 กษัตริย์ก็เสด็จกลับและมายังแม่น้ำจอร์แดน และยูดาห์ก็พากันมาที่กิลกาลเพื่อรับเสด็จกษัตริย์และนำกษัตริย์เสด็จข้ามแม่น้ำจอร์แดน
2ซมอ 19.17 มีคนจากตระกูลเบนยามินพร้อมกับท่านหนึ่งพันคน และศิบามหาดเล็กในราชวงศ์ของซาอูล พร้อมกับบุตรชายสิบห้าคนกับคนใช้อีกยี่สิบคน ก็รีบมายังแม่น้ำจอร์แดนต่อพระพักตร์กษัตริย์
2ซมอ 19.18 เขาทั้งหลายได้ข้ามท่าข้ามไปรับราชวงศ์ของกษัตริย์ และคอยปฏิบัติให้ชอบพระทัย ชิเมอี บุตรชายเก-รา ได้กราบลงต่อพระพักตร์กษัตริย์ขณะที่พระองค์เสด็จข้ามแม่น้ำจอร์แดน
2ซมอ 19.31 ฝ่ายบารซิลลัย ชาวกิเลอาด ได้ลงมาจากโรเกลิม และไปกับกษัตริย์ข้ามแม่น้ำจอร์แดน เพื่อส่งพระองค์ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไป
2ซมอ 19.36 ผู้รับใช้ของพระองค์จะตามเสด็จกษัตริย์ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปหน่อยเท่านั้น ไฉนกษัตริย์จะพระราชทานรางวัลเช่นนี้เล่า
2ซมอ 19.39 แล้วประชาชนทั้งสิ้นก็ข้ามแม่น้ำจอร์แดน เมื่อกษัตริย์เสด็จข้ามไปแล้วกษัตริย์ทรงจุบบารซิลลัย และทรงอวยพระพรแก่ท่าน ท่านก็กลับไปยังบ้านช่องของตน
2ซมอ 19.41 แล้วดูเถิด คนอิสราเอลทั้งหมดมาเฝ้ากษัตริย์ กราบทูลกษัตริย์ว่า “ไฉนคนยูดาห์พี่น้องของเราจึงได้ลักพาพระองค์ไปเสีย พากษัตริย์และราชวงศ์ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปพร้อมกับบรรดาคนของดาวิดด้วย”
2ซมอ 20.2 ดังนั้นพวกคนอิสราเอลทั้งหมดจึงถอนตัวจากดาวิด และไปตามเชบาบุตรชายบิครี แต่พวกคนยูดาห์ได้ติดตามกษัตริย์ของเขาอย่างมั่นคงจากแม่น้ำจอร์แดนไปถึงกรุงเยรูซาเล็ม
2ซมอ 24.5 เขาทั้งหลายข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปและตั้งค่ายในเมืองอาโรเออร์ ด้านขวาของเมืองที่ตั้งอยู่กลางแม่น้ำกาดไปทางยาเซอร์
1พกษ 2.8 และดูเถิด มีชิเมอีบุตรเก-ราคนเบนยามินจากบ้านบาฮูริมอยู่กับเจ้าด้วย เขาเป็นผู้ด่าเราอย่างน่าสลดใจในวันที่เราเดินไปยังมาหะนาอิม แต่เขามาต้อนรับเราที่แม่น้ำจอร์แดน และเราจึงได้ปฏิญาณต่อเขาในพระนามพระเยโฮวาห์ว่า ‘เราจะไม่ประหารชีวิตเจ้าด้วยดาบ’
1พกษ 4.21 และซาโลมอนทรงปกครองเหนือราชอาณาจักรทั้งสิ้น ตั้งแต่แม่น้ำไปจนถึงแผ่นดินฟีลิสเตียและถึงพรมแดนอียิปต์ เขาทั้งหลายถวายส่วยอากร และปรนนิบัติซาโลมอนตลอดวันเวลาแห่งพระชนม์ชีพของพระองค์
1พกษ 4.24 เพราะพระองค์ทรงครอบครองเหนือท้องถิ่นทั้งสิ้นฟากแม่น้ำข้างนี้ตั้งแต่ทิฟสาห์ถึงกาซา และทรงครอบครองเหนือบรรดากษัตริย์ที่อยู่ฟากแม่น้ำข้างนี้ และพระองค์ทรงมีสันติภาพอยู่ทุกด้านรอบพระองค์
1พกษ 7.46 กษัตริย์ทรงหล่อสิ่งเหล่านี้ในที่ราบลุ่มของแม่น้ำจอร์แดน และในที่ดินโคลนระหว่างเมืองสุคคทและศาเรธาน
1พกษ 8.65 ซาโลมอนจึงทรงฉลองเทศกาลในเวลานั้น พร้อมกับอิสราเอลทั้งปวง เป็นชุมนุมมโหฬาร มีคนมาตั้งแต่ทางเข้าเมืองฮามัทจนถึงแม่น้ำแห่งอียิปต์ ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา เป็นเจ็ดวันและเจ็ดวันคือสิบสี่วัน
1พกษ 14.15 เพราะพระเยโฮวาห์จะทรงตีอิสราเอล ดุจไม้อ้อสั่นอยู่ในน้ำ และจะทรงถอนรากอิสราเอลออกเสียจากแผ่นดินอันดีนี้ ซึ่งพระองค์ทรงยกให้แก่บรรพบุรุษของเขา และกระจายเขาไปฟากแม่น้ำข้างโน้น เพราะเขาทั้งหลายได้สร้างเสารูปเคารพของเขา เป็นเหตุให้พระเยโฮวาห์ทรงพระพิโรธ
1พกษ 17.3 “จงออกไปจากที่นี่และหันไปทางตะวันออก และซ่อนตัวอยู่ที่ข้างลำธารเครีท ซึ่งอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้
1พกษ 17.5 ท่านจึงไปและกระทำตามพระวจนะของพระเยโฮวาห์ ท่านไปอาศัยอยู่ที่ข้างลำธารเครีท ซึ่งอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้
2พกษ 2.6 แล้วเอลียาห์จึงพูดกับท่านว่า “ขอท่านจงคอยอยู่ที่นี่ เพราะพระเยโฮวาห์ทรงใช้ข้าพเจ้าไปถึงแม่น้ำจอร์แดน” แต่ท่านว่า “พระเยโฮวาห์ทรงพระชนม์อยู่และท่านเองมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ข้าพเจ้าจะไม่จากท่านไปฉันนั้น” แล้วท่านทั้งสองก็เดินต่อไป
2พกษ 2.7 คนห้าสิบคนของเหล่าศิษย์แห่งผู้พยากรณ์ก็ไปเหมือนกันและยืนอยู่ตรงหน้าห่างจากท่านทั้งสอง ฝ่ายท่านทั้งสองยืนอยู่ที่แม่น้ำจอร์แดน
2พกษ 2.13 แล้วท่านก็หยิบเสื้อคลุมของเอลียาห์ที่ตกลงมาจากเอลียาห์นั้น และกลับไปยืนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำจอร์แดน
2พกษ 5.10 เอลีชาก็ส่งผู้สื่อสารมาเรียนท่านว่า “ขอจงไปชำระตัวในแม่น้ำจอร์แดนเจ็ดครั้ง และเนื้อของท่านจะกลับคืนเป็นอย่างเดิม และท่านจะสะอาด”
2พกษ 5.12 อาบานาและฟารปาร์แม่น้ำเมืองดามัสกัสไม่ดีกว่าบรรดาลำน้ำแห่งอิสราเอลดอกหรือ ข้าจะชำระตัวในแม่น้ำเหล่านั้นและจะสะอาดไม่ได้หรือ” ท่านจึงหันตัวแล้วไปเสียด้วยความเดือดดาล
2พกษ 5.14 ท่านจึงลงไปจุ่มตัวเจ็ดครั้งในแม่น้ำจอร์แดนตามถ้อยคำของคนแห่งพระเจ้า และเนื้อของท่านก็กลับคืนเป็นอย่างเนื้อเด็กเล็กๆ และท่านก็สะอาด
2พกษ 6.2 ขอให้เราไปที่แม่น้ำจอร์แดน ต่างคนต่างเอาไม้ท่อนหนึ่งมาสร้างที่อาศัยของเราที่นั่น” และท่านตอบว่า “ไปเถอะ”
2พกษ 6.4 ท่านก็ไปกับเขาทั้งหลาย และเมื่อเขามาถึงแม่น้ำจอร์แดนเขาก็โค่นต้นไม้
2พกษ 7.15 เขาทั้งหลายจึงติดตามไปจนถึงแม่น้ำจอร์แดน และดูเถิด ตลอดทางมีเสื้อผ้าและเครื่องใช้ ซึ่งคนซีเรียทิ้งเมื่อเขารีบหนีไป ผู้สื่อสารก็กลับมาทูลกษัตริย์
2พกษ 10.33 ตั้งแต่แม่น้ำจอร์แดนฟากตะวันออก ทั่วแผ่นดินกิเลอาด คนกาด คนรูเบนและคนมนัสเสห์ ตั้งแต่อาโรเออร์ ซึ่งอยู่ข้างที่ลุ่มแม่น้ำอารโนน คือกิเลอาดและบาชาน
2พกษ 17.6 ในปีที่เก้าแห่งรัชกาลโฮเชยา กษัตริย์แห่งอัสซีเรียยึดได้เมืองสะมาเรีย และพระองค์ทรงนำชนอิสราเอลไปยังอัสซีเรีย ให้เขาอยู่ที่ฮาลาห์ และข้างแม่น้ำฮาโบร์ แม่น้ำเมืองโกซาน และในหัวเมืองแห่งชาวมีเดีย
2พกษ 18.11 กษัตริย์แห่งอัสซีเรียได้กวาดเอาคนอิสราเอลไปยังอัสซีเรีย ไปไว้ที่ฮาลาห์ และข้างแม่น้ำฮาโบร์แม่น้ำเมืองโกซาน และในหัวเมืองของคนมีเดีย
2พกษ 23.29 ในสมัยของพระองค์ ฟาโรห์เนโคกษัตริย์ของอียิปต์เสด็จขึ้นไปยังกษัตริย์แห่งอัสซีเรียถึงแม่น้ำยูเฟรติส กษัตริย์โยสิยาห์เสด็จไปปะทะพระองค์ และเมื่อฟาโรห์เนโคทรงเห็นพระองค์ก็ประหารพระองค์เสียที่เมืองเมกิดโด
2พกษ 24.7 และกษัตริย์แห่งอียิปต์มิได้ทรงยกออกมาจากแผ่นดินของพระองค์อีก เพราะกษัตริย์แห่งบาบิโลนได้ยึดแดนทั้งสิ้นซึ่งเป็นของกษัตริย์อียิปต์ตั้งแต่แม่น้ำอียิปต์ถึงแม่น้ำยูเฟรติส
1พศด 1.48 เมื่อสัมลาห์สิ้นพระชนม์แล้ว ชาอูลชาวเมืองเรโหโบทอยู่ที่แม่น้ำขึ้นครอบครองแทน
1พศด 5.9 ท่านอาศัยอยู่ทางทิศตะวันออกไกลออกไปถึงทางเข้าถิ่นทุรกันดาร ซึ่งอยู่ฟากข้างนี้ของแม่น้ำยูเฟรติสด้วย เพราะสัตว์เลี้ยงของเขาทวีมากขึ้นในแผ่นดินกิเลอาด
1พศด 5.26 พระเจ้าแห่งอิสราเอลจึงทรงเร้าจิตใจของปูลกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย และจิตใจของทิกลัทปิเลเสอร์กษัตริย์แห่งอัสซีเรีย และพระองค์ทรงกวาดเขาไปเสียคือ คนรูเบน คนกาด และคนตระกูลมนัสเสห์ครึ่งหนึ่ง และพาเขาทั้งหลายไปยังฮาลาห์ ฮาโบร์ ฮารา และแม่น้ำเมืองโกซาน จนถึงทุกวันนี้
1พศด 6.78 และฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นที่เยรีโค คือฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนนั้น จากตระกูลรูเบน คือเมืองเบเซอร์ในถิ่นทุรกันดารพร้อมกับทุ่งหญ้า เมืองยาฮาสพร้อมกับทุ่งหญ้า
1พศด 12.15 เหล่านี้เป็นคนที่ข้ามแม่น้ำจอร์แดนในเดือนแรก เมื่อน้ำท่วมฝั่งทั้งสิ้น และให้คนที่อยู่ ณ ลุ่มแม่น้ำแตกหนีไปทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก
1พศด 12.37 และจากฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น จากคนรูเบน และคนกาด และคนมนัสเสห์ครึ่งตระกูล มีหนึ่งแสนสองหมื่นคน ติดอาวุธทุกอย่างเพื่อทำสงคราม
1พศด 18.3 ดาวิดทรงโจมตีฮาดัดเอเซอร์กษัตริย์ของเมืองโศบาห์ด้วยตรงไปยังเมืองฮามัท ขณะเมื่อพระองค์เสด็จไปตั้งอำนาจการปกครองของพระองค์ที่แม่น้ำยูเฟรติส
1พศด 19.16 แต่เมื่อคนซีเรียเห็นว่าเขาพ่ายแพ้แก่อิสราเอล เขาจึงส่งผู้สื่อสารไปนำคนซีเรียซึ่งอยู่ฟากแม่น้ำข้างโน้นออกมา มีโชฟัคผู้บังคับบัญชากองทัพของฮาดัดเอเซอร์เป็นหัวหน้าของเขาทั้งหลาย
1พศด 19.17 และเมื่อมีคนกราบทูลดาวิด พระองค์ก็ทรงรวมอิสราเอลทั้งสิ้นเข้าด้วยกัน และข้ามแม่น้ำจอร์แดนมาหาเขา และจัดทัพต่อสู้กับเขา และเมื่อดาวิดทรงจัดทัพเข้าต่อสู้กับคนซีเรีย เขาทั้งหลายต่อสู้กับพระองค์
1พศด 26.30 จากคนเฮโบรน ฮาชาบิยาห์และพี่น้องของเขาเป็นคนมีความกล้าหาญ หนึ่งพันเจ็ดร้อยคน ได้เป็นผู้ดูแลอิสราเอลทางฟากตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น ในเรื่องกิจการทั้งสิ้นของพระเยโฮวาห์ และราชการของกษัตริย์
2พศด 4.17 กษัตริย์ทรงหล่อสิ่งเหล่านี้ในที่ราบแม่น้ำจอร์แดน ในที่ดินเหนียวระหว่างสุคคทกับเศเรดาห์
2พศด 7.8 ในครั้งนั้นซาโลมอนทรงถือเทศกาลอยู่เจ็ดวัน และอิสราเอลทั้งปวงอยู่กับพระองค์ด้วย เป็นชุมนุมชนใหญ่ยิ่งนัก ตั้งแต่ทางเข้าเมืองฮามัทจนถึงแม่น้ำอียิปต์
2พศด 9.26 และพระองค์ทรงครอบครองเหนือกษัตริย์ทั้งปวงตั้งแต่แม่น้ำถึงแผ่นดินของคนฟีลิสเตีย และถึงพรมแดนของอียิปต์
2พศด 35.20 หลังจากสิ่งทั้งปวงเหล่านี้เมื่อโยสิยาห์ได้เตรียมพระวิหารไว้ เนโคกษัตริย์แห่งอียิปต์ได้เสด็จขึ้นไปสู้รบที่คารคะมีชที่แม่น้ำยูเฟรติส และโยสิยาห์เสด็จออกไปสู้รบกับพระองค์
อสร 4.10 และคนประชาชาติอื่นๆ ผู้ซึ่งโอสนัปปาร์ เจ้านายผู้ใหญ่ได้ส่งมาให้ตั้งอยู่ในหัวเมืองสะมาเรีย และในส่วนที่เหลือของมณฑลทางฟากแม่น้ำข้างนี้ เป็นต้น
อสร 4.11 และนี่เป็นสำเนาจดหมายที่เขาส่งไปถึงพระองค์ คือถึงกษัตริย์อารทาเซอร์ซีสว่า “ขอกราบทูล ข้าราชการของพระองค์ คือคนของมณฑลฟากแม่น้ำข้างนี้ เป็นต้น
อสร 4.16 ข้าพระองค์ทั้งหลายขอกราบทูลให้กษัตริย์ทรงทราบว่า ถ้าเมืองนี้ได้สร้างใหม่เสร็จและกำแพงเมืองก็สำเร็จแล้ว พระองค์จะไม่มีกรรมสิทธิ์ในมณฑลฟากแม่น้ำข้างนี้”
อสร 4.17 กษัตริย์ทรงส่งพระราชสารตอบไปถึงเรฮูมผู้บังคับบัญชา และชิมชัยอาลักษณ์ และภาคีทั้งปวงของเขาผู้อาศัยในสะมาเรีย และในส่วนที่เหลือของมณฑลทางฟากแม่น้ำข้างโน้นว่า “ขอให้อยู่เย็นเป็นสุขเถิด เป็นต้น
อสร 4.20 เคยมีกษัตริย์ผู้ทรงอำนาจได้ครองเยรูซาเล็ม เป็นผู้ทรงปกครองมณฑลทั้งสิ้นฟากแม่น้ำข้างโน้น ซึ่งเขาถวายบรรณาการ ค่าธรรมเนียมและภาษีให้
อสร 5.3 ในเวลาเดียวกันนั้นทัทเธนัย ผู้ว่าราชการมณฑลฟากแม่น้ำข้างนี้ และเชธาร์โบเซนัย และคณะของเขาได้มาหาท่าน และพูดกับท่านดังนี้ว่า “ผู้ใดที่ให้กฤษฎีกาแก่ท่าน ให้สร้างพระนิเวศและกำแพงนี้จนสำเร็จ”
อสร 5.6 สำเนาจดหมายซึ่งทัทเธนัยผู้ว่าราชการมณฑลฟากแม่น้ำข้างนี้ และเชธาร์โบเซนัย และคณะของท่านคือคนอาฟอาร์เซคาซึ่งอยู่ในมณฑลฟากแม่น้ำข้างนี้ ส่งไปทูลกษัตริย์ดาริอัส
อสร 6.6 เพราะฉะนั้นบัดนี้ทัทเธนัยผู้ว่าราชการมณฑลฟากแม่น้ำข้างโน้น เชธาร์โบเซนัย และภาคีของท่าน คือคนอาฟอาร์เซคาซึ่งอยู่ในมณฑลฟากแม่น้ำข้างโน้น จงไปเสียให้ห่างเถิด
อสร 6.8 ยิ่งกว่านั้นอีก เราออกกฤษฎีกาเกี่ยวกับสิ่งที่ท่านพึงกระทำเพื่อพวกผู้ใหญ่ของพวกยิวในการสร้างพระนิเวศของพระเจ้า ให้ชำระเงินค่าก่อสร้างแก่คนเหล่านี้เต็ม เพื่อพวกเขาไม่ถูกหยุดยั้ง เอาเงินจากราชทรัพย์ คือบรรณาการของมณฑลฟากแม่น้ำข้างโน้น
อสร 6.13 แล้วทัทเธนัยผู้ว่าราชการมณฑลฟากแม่น้ำข้างนี้ เชธาร์โบเซนัย และภาคีของท่านทั้งสองก็ได้กระทำทุกอย่างด้วยความขยันขันแข็งตามพระดำรัสซึ่งกษัตริย์ดาริอัสได้ทรงบัญชามา
อสร 7.21 และเรา คือกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส ได้ออกกฤษฎีกาไปยังบรรดานายคลังในมณฑลฟากแม่น้ำข้างโน้นว่า สิ่งใดๆที่เอสราปุโรหิตธรรมาจารย์ของพระราชบัญญัติแห่งพระเจ้าของฟ้าสวรรค์ต้องการจากท่าน จงกระทำให้เขาด้วยความขยันขันแข็ง
อสร 7.25 ส่วนเจ้า เอสรา ตามพระสติปัญญาแห่งพระเจ้าของเจ้าอันอยู่ในมือของเจ้า จงแต่งตั้งพนักงานผู้ปกครองและผู้พิพากษา ให้พิพากษาประชาชนทั้งปวงในมณฑลฟากแม่น้ำข้างโน้น คือทุกคนที่รู้บรรดาพระราชบัญญัติของพระเจ้าของเจ้า และคนเหล่านั้นที่ไม่รู้ เจ้าทั้งหลายจะต้องสอน
อสร 8.15 ข้าพเจ้าได้รวบรวมเขาทั้งหลายเข้ามายังแม่น้ำที่ไหลไปสู่อาหะวา เราตั้งค่ายอยู่ที่นั่นสามวัน เมื่อข้าพเจ้าสำรวจดูประชาชนและปุโรหิต ข้าพเจ้าไม่เห็นลูกหลานของเลวีที่นั่นเลย
อสร 8.21 แล้วข้าพเจ้าก็ประกาศให้ถืออดอาหารที่นั่น คือที่แม่น้ำอาหะวา เพื่อเราทั้งหลายจะได้ถ่อมตัวลงต่อพระพักตร์พระเจ้าของเรา เพื่อจะทูลขอหนทางอันถูกต้องจากพระองค์ สำหรับเรา ลูกหลานของเรา และข้าวของทั้งสิ้นของเรา
อสร 8.31 และเราก็ออกจากแม่น้ำอาหะวาในวันที่สิบสองของเดือนต้น เพื่อไปยังเยรูซาเล็ม และพระหัตถ์ของพระเจ้าของเราอยู่กับเรา และพระองค์ทรงช่วยเราให้พ้นจากมือของศัตรูและจากพวกซุ่มคอยอยู่ตามทาง
อสร 8.36 เขาทั้งหลายได้มอบพระราชโองการให้แก่สมุหเทศาภิบาลของกษัตริย์ และแก่ผู้ว่าราชการมณฑลฟากแม่น้ำข้างนี้ และท่านเหล่านี้ได้ช่วยเหลือประชาชนและพระนิเวศของพระเจ้า
นหม 2.7 และข้าพเจ้ากราบทูลกษัตริย์ว่า “ถ้าเป็นที่พอพระทัยกษัตริย์ ขอทรงโปรดมีพระราชสารให้ข้าพระองค์นำไปถึงผู้ว่าราชการมณฑลฟากแม่น้ำข้างโน้น เพื่อเขาจะได้อนุญาตให้ข้าพระองค์ผ่านไปจนข้าพระองค์จะไปถึงยูดาห์
นหม 2.9 แล้วข้าพเจ้ามายังผู้ว่าราชการมณฑลฟากแม่น้ำข้างโน้น และมอบพระราชสารของกษัตริย์ให้แก่เขา อนึ่งกษัตริย์ทรงจัดให้นายทหารและพลม้าไปกับข้าพเจ้าด้วย
นหม 3.7 และถัดเขาไป คือ เมลาติยาห์ชาวกิเบโอน และยาโดนชาวเมโรโนท คนเมืองกิเบโอนและเมืองมิสปาห์ได้ซ่อมแซม ซึ่งอยู่ใต้ปกครองของเจ้าเมืองฟากแม่น้ำข้างนี้
โยบ 14.11 น้ำขาดจากทะเลไป และแม่น้ำก็เหือดและแห้งไปฉันใด
โยบ 20.17 เขาจะไม่ได้เห็นแม่น้ำลำธาร หรือน้ำเอ่อล้น คือลำธารที่มีน้ำผึ้งและนมข้นไหลอยู่
โยบ 40.23 ดูเถิด มันดื่มแม่น้ำจนหมดและไม่รีบหนีไป มันวางใจว่าจะดูดแม่น้ำจอร์แดนเข้าใส่ปากมัน
โยบ 40.24 มันจ้องตาดูแม่น้ำ จมูกมันทะลุผ่านบ่วงทั้งหลายได้”
สดด 36.8 เขาอิ่มด้วยความอุดมสมบูรณ์แห่งพระนิเวศของพระองค์ และพระองค์จะประทานให้เขาดื่มจากแม่น้ำแห่งความสุขเกษมของพระองค์
สดด 42.6 โอ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ จิตใจของข้าพระองค์ฝ่ออยู่ภายในข้าพระองค์ เพราะฉะนั้นข้าพระองค์จึงจะระลึกถึงพระองค์ ตั้งแต่แผ่นดินแห่งแม่น้ำจอร์แดนและแห่งภูเขาเฮอร์โมนตั้งแต่เนินมิซาร์
สดด 46.4 มีแม่น้ำสายหนึ่ง ที่คลองระบายจะกระทำให้พระมหานครของพระเจ้ายินดี คือพลับพลาบริสุทธิ์ขององค์ผู้สูงสุด
สดด 65.9 พระองค์ทรงเยี่ยมเยียนแผ่นดินโลก และทรงรดน้ำ พระองค์ทรงกระทำให้อุดมยิ่งด้วยแม่น้ำของพระเจ้าซึ่งมีน้ำเต็ม พระองค์ทรงจัดหาข้าวให้ เพราะทรงจัดเตรียมโลกไว้เช่นนั้นแหละ
สดด 66.6 พระองค์ทรงเปลี่ยนทะเลให้เป็นดินแห้ง คนเดินข้ามแม่น้ำไป ที่นั่นเราได้เปรมปรีดิ์ในพระองค์
สดด 72.8 ท่านจะครอบครองจากทะเลถึงทะเล และจากแม่น้ำนั้นถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก
สดด 74.15 พระองค์ทรงแยกเปิดน้ำพุและลำธาร พระองค์ทรงให้แม่น้ำที่ไหลอยู่เสมอแห้งไป
สดด 78.16 พระองค์ทรงกระทำให้ลำธารออกมาจากหิน ทรงกระทำให้น้ำไหลลงมาเหมือนแม่น้ำ
สดด 78.44 พระองค์ทรงเปลี่ยนแม่น้ำและลำธารของเขาให้เป็นเลือด เพื่อเขาดื่มอะไรไม่ได้
สดด 80.11 มันส่งกิ่งไปถึงทะเลและส่งแขนงไปถึงแม่น้ำ
สดด 89.25 เราจะเอามือของเขาวางไว้บนทะเล และมือขวาของเขาบนแม่น้ำทั้งหลาย
สดด 105.41 พระองค์ทรงเปิดหิน และน้ำก็ไหลออกมา มันไหลพุ่งไปเป็นแม่น้ำในที่แห้งแล้ง
สดด 107.33 พระองค์ทรงเปลี่ยนแม่น้ำให้เป็นถิ่นทุรกันดาร น้ำพุให้เป็นดินแห้งผาก
สดด 114.5 เป็นอะไรนะ โอ ทะเลเอ๋ย เจ้าจึงหนี แม่น้ำจอร์แดนเอ๋ย เจ้าจึงหันกลับ
สดด 137.1 ณ ริมฝั่งแม่น้ำแห่งบาบิโลนเรานั่งลง เมื่อได้ระลึกถึงศิโยนเราก็ร่ำไห้
ปญจ 1.7 แม่น้ำทั้งหลายไหลไปสู่ทะเล แต่ทะเลก็ไม่เต็ม แม่น้ำไหลไปสู่ที่ใดก็ไหลไปสู่ที่นั่นอีก
อสย 7.18 ต่อมาในวันนั้นพระเยโฮวาห์จะทรงผิวพระโอษฐ์เรียกเหลือบซึ่งอยู่ทางต้นกำเนิดแม่น้ำแห่งอียิปต์ และเรียกผึ้งซึ่งอยู่ในแผ่นดินอัสซีเรีย
อสย 7.20 ในวันนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงโกนทั้งศีรษะและขนที่เท้าเสียด้วยมีดโกนซึ่งเช่ามาจากฟากแม่น้ำข้างโน้น คือโดยกษัตริย์แห่งอัสซีเรียนั้นเอง และจะผลาญเคราด้วย
อสย 8.7 เพราะฉะนั้นบัดนี้ ดูเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำน้ำแห่งแม่น้ำมาสู้เขาทั้งหลาย ที่มีกำลังและมากหลาย คือกษัตริย์แห่งอัสซีเรียและสง่าราศีทั้งสิ้นของพระองค์ และน้ำนั้นจะไหลล้นห้วยทั้งสิ้นของมัน และท่วมฝั่งทั้งสิ้นของมัน
อสย 9.1 แต่กระนั้นแผ่นดินนั้นซึ่งอยู่ในความแสนระทมจะไม่กลัดกลุ้ม ในกาลก่อนพระองค์ทรงนำแคว้นเศบูลุนและแคว้นนัฟทาลีมาสู่ความดูหมิ่น แต่ในกาลภายหลังพระองค์จะทรงกระทำให้หนทางข้างทะเล แคว้นฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น คือ กาลิลีแห่งบรรดาประชาชาติ ให้เจ็บปวดทรมานอย่างมาก
อสย 11.15 และพระเยโฮวาห์จะทรงทำลายลิ้นของทะเลแห่งอียิปต์อย่างสิ้นเชิง และจะทรงโบกพระหัตถ์เหนือแม่น้ำนั้น ด้วยลมอันแรงกล้าของพระองค์ และจะตีมันให้แตกเป็นธารน้ำเจ็ดสาย และให้คนเดินข้ามไปได้โดยที่เท้าไม่เปียกน้ำ
อสย 16.2 เหมือนนกที่กำลังบินหนีอย่างลูกนกที่พลัดรัง ธิดาของโมอับจะเป็นอย่างนั้นตรงท่าลุยข้ามแม่น้ำอารโนน
อสย 18.1 วิบัติแก่แผ่นดินแห่งปีกที่กระหึ่ม ซึ่งอยู่เลยแม่น้ำทั้งหลายแห่งเอธิโอเปีย
อสย 18.2 ซึ่งส่งทูตไปโดยทางทะเล โดยเรือต้นกกบนน้ำ กล่าวว่า “เจ้าผู้สื่อสารที่รวดเร็วเอ๋ย จงไปยังประชาชาติที่ถูกกระจัดกระจายและถูกปอกเปลือก ยังชนชาติที่เขากลัวตั้งแต่แรก ยังประชาชาติที่เข้มแข็งและมักชนะ ซึ่งแผ่นดินของเขามีแม่น้ำแบ่ง”
อสย 18.7 ในครั้งนั้น เขาจะนำของกำนัลมาถวายแด่พระเยโฮวาห์จอมโยธาจากชนชาติที่ถูกกระจัดกระจายและถูกปอกเปลือก จากชนชาติที่เขากลัวตั้งแต่แรก จากประชาชาติที่เข้มแข็งและมักชนะ ซึ่งแผ่นดินของเขามีแม่น้ำแบ่ง ยังสถานที่แห่งพระนามของพระเยโฮวาห์จอมโยธา คือภูเขาศิโยน
อสย 19.5 และน้ำจะแห้งไปจากทะเลและแม่น้ำจะแห้งผาก
อสย 19.6 และแม่น้ำของมันจะเน่าเหม็น และแม่น้ำแห่งการป้องกันจะน้อยลงและแห้งไป ต้นอ้อและกอปรือจะเหี่ยวแห้ง
อสย 19.7 กอแขมที่แม่น้ำ ที่ริมฝั่งแม่น้ำ และทั้งสิ้นที่หว่านลงข้างแม่น้ำนั้นจะแห้งไป จะถูกไล่ไปเสียและไม่มีอีก
อสย 19.8 ชาวประมงจะร้องทุกข์ คือบรรดาผู้ที่ตกเบ็ดในแม่น้ำจะไว้ทุกข์ และผู้ที่ทอดแหลงในน้ำจะอ่อนระทวย
อสย 23.3 และข้ามน้ำมากหลายรายได้ของเมืองนั้นคือข้าวเมืองชิโหร์ เป็นผลเกี่ยวเก็บของแม่น้ำ เมืองนั้นเป็นพ่อค้าของบรรดาประชาชาติ
อสย 23.10 โอ ธิดาแห่งทารชิชเอ๋ย จงผ่านแผ่นดินของเจ้าข้ามไปเหมือนแม่น้ำ มันไม่มีกำลังอีกเลย
อสย 27.12 ต่อมาในวันนั้น พระเยโฮวาห์จะทรงนวดเอาข้าวตั้งแต่แม่น้ำไปจนถึงลำธารอียิปต์ โอ ประชาชนอิสราเอลเอ๋ย เจ้าจะถูกเก็บรวมเข้ามาทีละคนๆ
อสย 30.25 และบนภูเขาสูงทุกแห่ง และบนเนินสูงทุกแห่งจะมีแม่น้ำลำธารที่มีน้ำไหลในวันที่มีการประหัตประหารอย่างยิ่งใหญ่ เมื่อหอคอยพังลง
อสย 33.21 แต่นั่นพระเยโฮวาห์จะทรงอยู่กับเราด้วยความโอ่อ่าตระการ ในที่ที่มีแม่น้ำและลำธารกว้าง ที่จะไม่มีเรือกรรเชียงใหญ่แล่นไป ที่จะไม่มีเรืองามโอ่อ่าผ่านไป
อสย 41.18 เราจะเปิดแม่น้ำบนที่สูงทั้งหลาย และน้ำพุที่ท่ามกลางหุบเขา เราจะทำถิ่นทุรกันดารให้เป็นสระน้ำ และที่ดินแห้งเป็นน้ำพุ
อสย 42.15 เราจะทิ้งภูเขาและเนินให้ร้าง และให้บรรดาพืชผักบนนั้นแห้งไป เราจะให้แม่น้ำกลายเป็นเกาะ และจะให้สระแห้งไป
อสย 43.2 เมื่อเจ้าลุยข้ามน้ำ เราจะอยู่กับเจ้า เมื่อข้ามแม่น้ำ น้ำจะไม่ท่วมเจ้า เมื่อเจ้าลุยไฟ เจ้าจะไม่ไหม้และเปลวเพลิงจะไม่เผาผลาญเจ้า
อสย 43.19 ดูเถิด เราจะกระทำสิ่งใหม่ บัดนี้จะงอกขึ้นมาแล้ว เจ้าจะไม่เห็นหรือ เราจะทำทางในถิ่นทุรกันดารและแม่น้ำในที่แห้งแล้ง
อสย 43.20 สัตว์ป่าในทุ่งจะให้เกียรติเรา คือมังกรและนกเค้าแมว เพราะเราให้น้ำในถิ่นทุรกันดาร ให้แม่น้ำในที่แห้งแล้ง เพื่อให้น้ำดื่มแก่ชนชาติผู้เลือกสรรของเรา
อสย 44.27 ผู้กล่าวแก่ที่ลึกว่า ‘จงแห้งเสีย เราจะให้แม่น้ำของเจ้าแห้ง’
อสย 48.18 โอ ถ้าเจ้าได้เชื่อฟังบัญญัติของเราแล้ว ความสุขสมบูรณ์ของเจ้าจะเป็นเหมือนแม่น้ำ และความชอบธรรมของเจ้าจะเป็นเหมือนคลื่นทะเล
อสย 50.2 ทำไมนะ เมื่อเรามาจึงไม่มีใครเลย เมื่อเราร้องเรียกจึงไม่มีใครตอบ มือของเราสั้น ไถ่ไม่ได้หรือ และเราไม่มีกำลังที่จะช่วยให้พ้นหรือ ดูเถิด เราให้น้ำทะเลแห้งด้วยการขนาบของเรา เรากระทำให้แม่น้ำเป็นถิ่นทุรกันดาร ปลาของแม่น้ำนั้นก็เหม็นเพราะขาดน้ำ และตายเพราะกระหาย
อสย 59.19 เขาจึงจะยำเกรงพระนามพระเยโฮวาห์จากตะวันตก และสง่าราศีของพระองค์จากที่ตะวันขึ้น เมื่อศัตรูมาอย่างแม่น้ำเชี่ยว พระวิญญาณของพระเยโฮวาห์จะยกธงขึ้นสู้มัน
อสย 66.12 เพราะพระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “ดูเถิด เราจะนำสันติภาพมาถึงเธออย่างกับแม่น้ำ และสง่าราศีของบรรดาประชาชาติ เหมือนลำน้ำที่กำลังล้น และเจ้าทั้งหลายจะได้ดูด เธอจะอุ้มเจ้าไว้ที่บั้นเอวของเธอ และเขย่าขึ้นลงที่เข่าของเธอ
ยรม 2.18 บัดนี้เจ้าได้อะไรด้วยการลงไปยังอียิปต์ เพื่อดื่มน้ำในแม่น้ำชิโหร์ หรือเจ้าได้อะไรด้วยการที่ลงไปยังอัสซีเรีย เพื่อดื่มน้ำในแม่น้ำนั้น
ยรม 13.4 “จงเอาผ้าคาดเอวซึ่งเจ้าได้ซื้อมา ซึ่งอยู่ที่เอวของเจ้า และจงลุกขึ้นไปยังแม่น้ำยูเฟรติส แล้วซ่อนผ้านั้นไว้ในซอกหินแห่งหนึ่ง”
ยรม 13.5 ข้าพเจ้าก็ไปและซ่อนผ้านั้นไว้ข้างแม่น้ำยูเฟรติส ดังที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาข้าพเจ้า
ยรม 13.6 ต่อมาอีกหลายวันพระเยโฮวาห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงลุกขึ้นไปยังแม่น้ำยูเฟรติส และเอาผ้าคาดเอวซึ่งเราได้สั่งเจ้าให้ซ่อนไว้ที่นั่นนั้นมาเสียจากที่นั่น”
ยรม 13.7 แล้วข้าพเจ้าก็ไปที่แม่น้ำยูเฟรติส และขุดเอาผ้าคาดเอวมาจากที่ซึ่งข้าพเจ้าได้ซ่อนไว้ ดูเถิด ผ้าคาดเอวนั้นเสียหมด จะใช้การสิ่งใดก็ไม่ได้
ยรม 31.9 เขาจะมาด้วยการร้องไห้ และด้วยการทูลวิงวอนเราก็จะนำเขา เราจะให้เขาเดินตามแม่น้ำเป็นทางตรง ซึ่งเขาจะไม่สะดุด เพราะเราเป็นบิดาแก่อิสราเอล และเอฟราอิมเป็นบุตรหัวปีของเรา
ยรม 46.2 เรื่องอียิปต์ เกี่ยวด้วยกองทัพของฟาโรห์เนโค กษัตริย์แห่งอียิปต์ ซึ่งอยู่ที่ริมแม่น้ำยูเฟรติส ที่เมืองคารเคมิช และซึ่งเนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้โจมตีแตกในปีที่สี่แห่งรัชกาลเยโฮยาคิมราชบุตรของโยสิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ว่า
ยรม 46.6 คนเร็วก็หนีไปไม่ได้ นักรบก็หนีไปไม่รอด เขาทั้งหลายจะสะดุดและล้มลงในแดนเหนือข้างแม่น้ำยูเฟรติส
ยรม 46.7 นี่ใครนะ โผล่ขึ้นมาดั่งน้ำท่วม เหมือนแม่น้ำซึ่งน้ำของมันซัดขึ้น
ยรม 46.8 อียิปต์โผล่ขึ้นมาอย่างน้ำท่วม เหมือนแม่น้ำของมันซัดขึ้น เขาว่า ‘ข้าจะขึ้น ข้าจะคลุมโลก ข้าจะทำลายหัวเมืองและชาวเมืองนั้นเสีย’
ยรม 46.10 วันนี้เป็นวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจอมโยธา เป็นวันแห่งการแก้แค้นที่จะแก้แค้นศัตรูของพระองค์ ดาบจะกินจนอิ่ม และดื่มโลหิตของเขาจนเต็มคราบ เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจอมโยธาทำการบูชาในแดนเหนือข้างแม่น้ำยูเฟรติส
ยรม 48.20 โมอับถูกกระทำให้ได้อาย เพราะมันแตกเสียแล้ว คร่ำครวญและร้องร่ำไรอยู่ จงบอกแถวแม่น้ำอารโนนว่า ‘โมอับถูกทำลายเสียแล้ว’
ยรม 51.63 ต่อมาเมื่อท่านอ่านหนังสือนี้จบแล้ว จงเอาหินก้อนหนึ่งมัดติดมันไว้ และโยนมันทิ้งไปกลางแม่น้ำยูเฟรติส
พคค 3.48 น้ำตาของข้าพระองค์ไหลเป็นแม่น้ำเนื่องด้วยความพินาศแห่งธิดาของชนชาติของข้าพระองค์
อสค 1.1 อยู่มา ในวันที่ห้าเดือนที่สี่ปีที่สามสิบ ขณะเมื่อข้าพเจ้าอยู่ที่ริมแม่น้ำเคบาร์ในหมู่พวกเชลย ท้องฟ้าเบิกออก และข้าพเจ้าได้เห็นนิมิตจากพระเจ้า
อสค 1.3 พระวจนะของพระเยโฮวาห์มายังเอเสเคียลปุโรหิต บุตรชายบุซีในแผ่นดินของคนเคลเดียริมแม่น้ำเคบาร์ ณ ที่นั่นพระหัตถ์ของพระเยโฮวาห์มาอยู่เหนือท่าน
อสค 3.15 ข้าพเจ้าจึงมาถึงพวกที่เป็นเชลยที่เทลอาบิบ ผู้ที่อาศัยอยู่ที่ริมแม่น้ำเคบาร์ และที่ที่เขานั่งอยู่ข้าพเจ้าก็นั่งอยู่ และยังคงอยู่อย่างมึนซึมท่ามกลางเขาเจ็ดวัน
อสค 3.23 ดังนั้นข้าพเจ้าจึงลุกขึ้นออกไปยังที่ราบ และดูเถิด สง่าราศีของพระเยโฮวาห์ก็อยู่ที่นั่นอย่างเดียวกับสง่าราศีซึ่งข้าพเจ้าได้เห็นที่ริมแม่น้ำเคบาร์ และข้าพเจ้าก็ซบหน้าลงถึงดิน
อสค 10.15 และเหล่าเครูบก็เหาะขึ้น เป็นสิ่งที่มีชีวิตอยู่ที่ข้าพเจ้าเคยเห็นอยู่ริมแม่น้ำเคบาร์
อสค 10.20 เหล่านี้เป็นสิ่งที่มีชีวิตอยู่ซึ่งข้าพเจ้าได้เห็นภายใต้พระเจ้าแห่งอิสราเอลที่ริมแม่น้ำเคบาร์ และข้าพเจ้าทราบว่า เป็นเหล่าเครูบ
อสค 10.22 ส่วนสัณฐานของหน้าเหล่านั้น เป็นหน้าทั้งรูปทั้งตัว ซึ่งข้าพเจ้าได้เห็นที่ริมแม่น้ำเคบาร์ เครูบทุกตนออกตรงไปข้างหน้าของตน
อสค 29.3 พูดไปเถิดและกล่าวว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราเป็นปฏิปักษ์กับเจ้า ฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ ผู้เป็นพญานาคมหึมา นอนอยู่กลางแม่น้ำทั้งหลายของมัน ผู้กล่าวว่า ‘แม่น้ำของข้าก็เป็นของข้า ข้าสร้างมันขึ้นเพื่อตัวของข้าเอง’
อสค 29.4 เราจะเอาเบ็ดเกี่ยวขากรรไกรของเจ้า และจะกระทำให้ปลาในแม่น้ำทั้งหลายของเจ้าติดกับเกล็ดของเจ้า และเราจะลากเจ้าขึ้นมาจากกลางแม่น้ำทั้งหลายของเจ้า และบรรดาปลาในแม่น้ำทั้งหลายของเจ้าจะติดอยู่กับเกล็ดของเจ้า
อสค 29.5 เราจะเหวี่ยงเจ้าเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร ทั้งตัวเจ้าและบรรดาปลาในแม่น้ำทั้งหลายของเจ้า เจ้าจะตกลงที่พื้นทุ่ง จะไม่มีใครรวบรวมและฝังเจ้าไว้ เราได้มอบเจ้าไว้ให้เป็นอาหารของสัตว์ป่าดินและของนกในอากาศ
อสค 29.9 แผ่นดินอียิปต์จะเป็นที่รกร้างและถูกทิ้งไว้เสียเปล่า แล้วเขาทั้งหลายจะทราบว่า เราคือพระเยโฮวาห์ เพราะเขาได้กล่าวว่า ‘แม่น้ำเป็นของข้า และข้าสร้างมันขึ้นมา’
อสค 29.10 เหตุฉะนั้น ดูเถิด เราจะต่อสู้กับเจ้า และกับแม่น้ำทั้งหลายของเจ้า เราจะกระทำให้แผ่นดินอียิปต์ถูกทิ้งไว้เสียเปล่าและรกร้างอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่หอคอยแห่งสิเอเนไกลไปจนถึงพรมแดนเอธิโอเปีย
อสค 30.12 และเราจะกระทำให้แม่น้ำทั้งหลายแห้งไป เราจะขายแผ่นดินนั้นไว้ในมือของคนชั่ว เราจะกระทำให้แผ่นดินและสารพัดที่อยู่บนแผ่นดินนั้นร้างเปล่าโดยมือของคนต่างด้าว เราคือพระเยโฮวาห์ได้ลั่นวาจาแล้ว
อสค 31.4 สายน้ำทำให้มันใหญ่ขึ้น น้ำลึกทำให้มันงอกสูง พร้อมกับมีแม่น้ำของสายน้ำลึกนั้นไหลรอบที่ที่ปลูกมันไว้ และก่อให้เกิดสายน้ำเล็กๆ จากแม่น้ำลึกแยกออกไปทั่วต้นไม้ทั้งสิ้นในทุ่งนั้น
อสค 31.12 คนต่างด้าว คือชนชาติที่น่ากลัวในบรรดาประชาชาติ ได้โค่นมันลงและทิ้งไว้ กิ่งของมันตกลงบนภูเขาทั้งหลายและในหุบเขาทั้งสิ้น และก้านของมันก็หักอยู่ตามแม่น้ำลำธารทั้งสิ้นของแผ่นดินนั้น และบรรดาชนชาติทั้งหลายในแผ่นดินโลกก็ลงไปเสียจากร่มเงาของมันและทิ้งมันไว้
อสค 31.15 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ในวันที่มันลงไปยังแดนคนตาย เรากระทำให้บาดาลคลุมตัวไว้ทุกข์ให้มัน และยับยั้งแม่น้ำของมันไว้ และน้ำเป็นอันมากจะหยุดยั้ง เราคลุมเลบานอนไว้ให้กลุ้มอยู่เพื่อมัน และต้นไม้ในทุ่งนาทั้งสิ้นจะสลบเพราะมัน
อสค 32.2 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงเปล่งเสียงบทคร่ำครวญเรื่องฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ และกล่าวให้ท่านฟังดังนี้ว่า ท่านเหมือนสิงโตหนุ่มท่ามกลางประชาชาติ แต่ท่านเป็นเหมือนปลาวาฬในทะเลทั้งหลาย ท่านเผ่นออกมาในแม่น้ำทั้งหลายของท่าน เอาเท้าของท่านกวนน้ำและกระทำแม่น้ำของมันให้มลทินไป
อสค 32.14 แล้วเราจะทำให้น้ำของเขาทั้งหลายลึก และกระทำให้แม่น้ำทั้งหลายของเขาไหลไปเหมือนน้ำมันไหล องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
อสค 36.4 ภูเขาทั้งหลายแห่งอิสราเอลเอ๋ย เพราะฉะนั้นจงฟังพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้แก่ภูเขาและเนินเขา แม่น้ำและหุบเขา ที่ที่ถูกทิ้งไว้เสียเปล่าและรกร้าง และหัวเมืองที่ถูกละทิ้ง ซึ่งได้กลายเป็นเหยื่อและเป็นที่เย้ยหยันแก่ประชาชาติที่เหลืออยู่รอบๆนั้น
อสค 43.3 และนิมิตที่ข้าพเจ้าเห็นนั้นก็เหมือนกับนิมิตซึ่งข้าพเจ้าเห็นเมื่อพระองค์เสด็จมาทำลายเมืองนั้น และเหมือนกับนิมิตซึ่งข้าพเจ้าได้เห็นที่ริมแม่น้ำเคบาร์ และข้าพเจ้าก็ซบหน้าของข้าพเจ้าลงถึงดิน
อสค 47.5 ภายหลังท่านก็วัดได้อีกหนึ่งพัน และกลายเป็นแม่น้ำที่ข้าพเจ้าลุยข้ามไม่ได้ เพราะน้ำนั้นขึ้นแล้วลึกพอที่จะว่ายได้ เป็นแม่น้ำที่ลุยข้ามไม่ได้
อสค 47.6 และท่านพูดกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าเห็นสิ่งนี้หรือ” แล้วท่านก็พาข้าพเจ้ากลับมาตามฝั่งแม่น้ำ
อสค 47.7 ขณะเมื่อข้าพเจ้ากลับ ดูเถิด ข้าพเจ้าเห็นต้นไม้มากมายอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำทั้งสองฟาก
อสค 47.9 ต่อมาแม่น้ำนั้นไปถึงที่ไหน ทุกสิ่งที่มีชีวิตซึ่งแหวกว่ายไปมาก็จะมีชีวิตได้ และที่นั่นมีปลามากมายเพราะว่าน้ำนี้ไปถึงที่นั่นน้ำทะเลก็จืด เพราะฉะนั้นแม่น้ำไปถึงไหน ทุกสิ่งก็มีชีวิต
อสค 47.12 ตามฝั่งทั้งสองฟากแม่น้ำ จะมีต้นไม้ทุกชนิดที่ใช้เป็นอาหาร ใบของมันจะไม่เหี่ยวและผลของมันจะไม่วาย แต่จะเกิดผลใหม่ทุกเดือน เพราะว่าน้ำสำหรับต้นไม้นั้นไหลจากสถานบริสุทธิ์ ผลไม้นั้นใช้เป็นอาหารและใบก็ใช้เป็นยา”
อสค 47.18 ทางด้านตะวันออก เขตแดนจะยื่นจากเมืองเฮารานและดามัสกัส ระหว่างกิเลอาดกับแผ่นดินอิสราเอล เรื่อยไปตามแม่น้ำจอร์แดน ไปถึงทะเลด้านตะวันออก ท่านทั้งหลายจงวัด นี่เป็นเขตด้านตะวันออก
อสค 47.19 ทางด้านใต้เขตแดนจะยื่นจากทามาร์จนถึงน้ำแห่งการโต้เถียงในคาเดช แล้วเรื่อยไปตามแม่น้ำถึงทะเลใหญ่ นี่เป็นเขตด้านใต้
อสค 48.28 ประชิดกับเขตแดนของกาดทางทิศใต้เขตแดนนั้นจะยื่นจากเมืองทามาร์ ถึงน้ำแห่งการโต้เถียงในคาเดช แล้วเรื่อยไปตามแม่น้ำถึงทะเลใหญ่
ดนล 8.2 และข้าพเจ้าเห็นเป็นนิมิต ต่อมาขณะที่ข้าพเจ้าอยู่ที่สุสาปราสาท ซึ่งอยู่ในแขวงเมืองเอลาม และข้าพเจ้าก็เห็นเป็นนิมิต และข้าพเจ้าอยู่ริมแม่น้ำอุลัย
ดนล 8.3 ข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้นเห็น และดูเถิด แกะผู้ตัวหนึ่งยืนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำ มีเขาสองเขา เขาทั้งสองสูง แต่เขาหนึ่งสูงกว่าอีกเขาหนึ่ง และเขาที่สูงนั้นงอกมาทีหลัง
ดนล 8.6 มันมาหาแกะผู้ที่มีเขาสองเขาซึ่งข้าพเจ้าเห็นยืนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำ มันวิ่งเข้าใส่แกะผู้ตัวนั้นด้วยเต็มกำลังความโกรธของมัน
ดนล 8.16 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงของชายผู้หนึ่งระหว่างฝั่งแม่น้ำอุลัย และเสียงนั้นร้องเรียกและกล่าวว่า “กาเบรียลเอ๋ย จงทำให้ชายผู้นี้เข้าใจในนิมิตนั้นเถิด”
ดนล 10.4 เมื่อวันที่ยี่สิบสี่เดือนต้นข้าพเจ้าอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำใหญ่ คือแม่น้ำไทกริส
ดนล 12.5 แล้วข้าพเจ้าคือดาเนียลก็มองดู และดูเถิด มีอีกสองคนยืนอยู่ คนหนึ่งยืนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำข้างนี้ อีกคนหนึ่งยืนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำข้างโน้น
ดนล 12.6 และเขาก็พูดกับชายที่สวมเสื้อผ้าป่าน ผู้ซึ่งอยู่เหนือน้ำแห่งแม่น้ำนั้นว่า “ยังอีกนานเท่าใดจึงจะถึงที่สุดปลายของสิ่งมหัศจรรย์เหล่านี้”
ดนล 12.7 ชายที่สวมเสื้อผ้าป่านผู้ซึ่งอยู่เหนือน้ำทั้งหลายแห่งแม่น้ำนั้น ได้ยกมือขวาและมือซ้ายของท่านสู่ฟ้าสวรรค์ และข้าพเจ้าได้ยินท่านปฏิญาณอ้างพระผู้ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ว่า ยังอีกวาระหนึ่ง สองวาระ และครึ่งวาระ และเมื่อการหมดอำนาจของชนชาติบริสุทธิ์สิ้นสุดลงแล้ว บรรดาสิ่งเหล่านี้ก็จะสำเร็จไปด้วย
อมส 6.14 พระเยโฮวาห์พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้ว่า “เพราะ ดูเถิด โอ วงศ์วานอิสราเอลเอ๋ย เราจะยกประชาชาติหนึ่งให้ขึ้นต่อสู้เจ้า และเขาจะบีบบังคับเจ้าตั้งแต่ทางเข้าเมืองฮามัทถึงแม่น้ำแห่งถิ่นทุรกันดาร”
อมส 8.8 แผ่นดินจะไม่หวั่นไหวเพราะเรื่องนี้หรือ ทุกคนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้นจะไม่ไว้ทุกข์หรือ และแผ่นดินนั้นทั้งหมดก็เอ่อขึ้นมาอย่างแม่น้ำ ถูกซัดไปซัดมาและยุบลงอีก เหมือนแม่น้ำแห่งอียิปต์มิใช่หรือ”
อมส 9.5 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจอมโยธา พระองค์ผู้ทรงแตะต้องแผ่นดิน และแผ่นดินก็ละลายไป และบรรดาที่อาศัยอยู่ในนั้นก็ไว้ทุกข์ และแผ่นดินนั้นทั้งหมดก็เอ่อขึ้นมาอย่างแม่น้ำ และยุบลงอีกเหมือนแม่น้ำแห่งอียิปต์
มคา 7.12 ในวันนั้นเขาจะมาหาเจ้าคือมาจากอัสซีเรียและจากเมืองที่มีป้อมปราการ จากระหว่างป้อมปราการกับแม่น้ำ จากระหว่างทะเลนี้กับทะเลโน้น และจากระหว่างภูเขานี้กับภูเขาโน้น
นฮม 1.4 พระองค์ทรงห้ามทะเล ทรงกระทำให้มันแห้ง ทรงให้แม่น้ำทั้งหลายแห้งไป บาชานและคารเมลก็เหี่ยว และดอกไม้ของเลบานอนก็เหือดไป
นฮม 2.6 ประตูที่แม่น้ำจะเปิด แล้วที่พระราชวังก็จะมลายไป
นฮม 3.8 เจ้าวิเศษกว่าเมืองโนซึ่งมีพลเมืองมาก ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำหรือ ซึ่งมีน้ำรอบนคร มีทะเลเป็นที่กำบัง มีทะเลเป็นกำแพงเมือง
ฮบก 3.8 ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระองค์ทรงพระพิโรธต่อแม่น้ำหรือ พระองค์ทรงกริ้วต่อแม่น้ำหรือ หรือว่าพระองค์ทรงโกรธทะเลเมื่อพระองค์เสด็จทรงม้า เมื่อทรงรถรบแห่งความรอด
ฮบก 3.9 คันธนูของพระองค์ก็ถูกเปิดออกจนเปลือยเปล่าทีเดียว ตามคำสัตย์ปฏิญาณของเหล่าตระกูลคือพระดำรัสของพระองค์ เซเลห์ พระองค์ทรงแยกพิภพด้วยแม่น้ำทั้งหลาย
ศฟย 3.10 บุคคลที่ทูลขอต่อเรา คือบุตรสาวแห่งคนของเราที่ถูกกระจัดกระจายไป จะนำเอาเครื่องบูชาของเรามาจากฟากข้างโน้นของแม่น้ำแห่งเอธิโอเปีย
ศคย 9.10 เราจะขจัดรถรบเสียจากเอฟราอิม และม้าเสียจากเยรูซาเล็ม ธนูสงครามจะถูกขจัดเสียด้วย และท่านจะบัญชาสันติให้มีแก่ประชาชาติทั้งหลาย อาณาจักรของท่านจะมีจากทะเลนี้ไปถึงทะเลโน้น และจากแม่น้ำนั้นไปถึงสุดปลายพิภพ
ศคย 10.11 พระองค์จะเสด็จผ่านข้ามทะเลแห่งความระทม และจะทรงทุบคลื่นทะเล และที่ลึกทั้งสิ้นของแม่น้ำจะแห้งไป ความเห่อเหิมของอัสซีเรียจะตกต่ำ และคทาของอียิปต์จะพรากไปเสีย
ศคย 11.3 ฟังซิ เสียงร่ำไห้ของเมษบาล เพราะสง่าราศีของเขาทั้งหลายก็ถูกทำลายไปแล้ว ฟังซิ เสียงสิงโตหนุ่มคำราม เพราะว่าความภูมิใจแห่งแม่น้ำจอร์แดนก็ร้างเปล่า
มธ 3.5 ขณะนั้นชาวกรุงเยรูซาเล็ม และคนทั่วแคว้นยูเดีย และคนทั่วบริเวณรอบแม่น้ำจอร์แดน ก็ออกไปหายอห์น
มธ 3.6 สารภาพความผิดบาปของตน และได้รับบัพติศมาจากท่านในแม่น้ำจอร์แดน
มธ 3.13 แล้วพระเยซูเสด็จจากแคว้นกาลิลีมาหายอห์นที่แม่น้ำจอร์แดน เพื่อจะรับบัพติศมาจากท่าน
มธ 4.15 ‘แคว้นเศบูลุนและแคว้นนัฟทาลีทางข้างทะเลฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น คือกาลิลีแห่งบรรดาประชาชาติ
มธ 4.25 และมีคนหมู่ใหญ่มาจากแคว้นกาลิลี และแคว้นทศบุรี และกรุงเยรูซาเล็ม และแคว้นยูเดีย และแม่น้ำจอร์แดนฟากข้างโน้น ติดตามพระองค์ไป
มธ 19.1 ต่อมาเมื่อพระเยซูตรัสถ้อยคำเหล่านี้เสร็จแล้ว พระองค์ได้เสด็จจากแคว้นกาลิลี เข้าไปในเขตแดนแคว้นยูเดียฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น
มก 1.5 คนทั่วแคว้นยูเดียกับชาวกรุงเยรูซาเล็มได้พากันออกไปหายอห์น สารภาพความผิดบาปของตน และได้รับบัพติศมาจากท่านในแม่น้ำจอร์แดน
มก 1.9 ต่อมาในคราวนั้นพระเยซูเสด็จมาจากเมืองนาซาเร็ธแคว้นกาลิลี และได้ทรงรับบัพติศมาจากยอห์นในแม่น้ำจอร์แดน
มก 3.8 จากกรุงเยรูซาเล็ม และจากเมืองเอโดม และจากฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น และจากแคว้นเมืองไทระและไซดอน ฝูงชนเป็นอันมาก เมื่อเขาได้ยินถึงสิ่งยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงกระทำนั้นก็มาหาพระองค์
มก 10.1 ฝ่ายพระองค์ได้ทรงลุกขึ้นเสด็จจากที่นั่น เข้าในเขตแดนแคว้นยูเดีย ไปตามทางแม่น้ำจอร์แดนฟากข้างโน้น และประชาชนพากันมาหาพระองค์อีก พระองค์จึงตรัสสั่งสอนเขาอีกตามที่พระองค์ทรงเคยสอนนั้น
ลก 3.3 แล้วยอห์นจึงไปทั่วบริเวณรอบแม่น้ำจอร์แดน ประกาศเรื่องบัพติศมาอันสำแดงการกลับใจใหม่ เพื่อจะทรงยกความผิดบาปเสียได้
ลก 4.1 พระเยซูประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เสด็จกลับไปจากแม่น้ำจอร์แดน และพระวิญญาณได้ทรงนำพระองค์ไปในถิ่นทุรกันดาร
ยน 1.28 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่เบธาบาราฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น อันเป็นที่ซึ่งยอห์นกำลังให้บัพติศมาอยู่
ยน 3.26 สาวกของยอห์นจึงไปหายอห์นและพูดว่า “รับบี ท่านที่อยู่กับอาจารย์ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น ผู้ที่อาจารย์เป็นพยานถึงนั้น ดูเถิด ท่านผู้นั้นให้บัพติศมาและคนทั้งปวงก็พากันไปหาท่าน”
ยน 7.38 ผู้ที่เชื่อในเรา ตามที่พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้แล้วว่า ‘แม่น้ำที่มีน้ำประกอบด้วยชีวิตจะไหลออกมาจากภายในผู้นั้น’”
ยน 10.40 พระองค์เสด็จไปฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นอีก และไปถึงสถานที่ที่ยอห์นให้บัพติศมาเป็นครั้งแรก และพระองค์ทรงพักอยู่ที่นั่น
กจ 16.13 ในวันสะบาโตเราได้ออกจากเมืองไปยังฝั่งแม่น้ำ เข้าใจว่ามีที่สำหรับอธิษฐาน จึงได้นั่งสนทนากับพวกผู้หญิงที่ประชุมกันที่นั่น
2คร 11.26 ข้าพเจ้าต้องเดินทางบ่อยๆ เผชิญภัยอันน่ากลัวในแม่น้ำ เผชิญโจรภัย เผชิญภัยจากชนชาติของข้าพเจ้าเอง เผชิญภัยจากคนต่างชาติ เผชิญภัยในนคร เผชิญภัยในป่า เผชิญภัยในทะเล เผชิญภัยจากพี่น้องเทียม
วว 8.10 เมื่อทูตสวรรค์องค์ที่สามเป่าแตรขึ้น ก็มีดาวใหญ่ดวงหนึ่งเป็นเปลวไฟลุกโพลงดุจโคมไฟตกจากท้องฟ้า ดาวนั้นตกลงบนแม่น้ำหนึ่งในสามส่วน และตกที่บ่อน้ำพุทั้งหลาย
วว 9.14 เสียงนั้นสั่งทูตสวรรค์องค์ที่หกที่ถือแตรนั้นว่า “จงแก้มัดทูตสวรรค์ทั้งสี่ที่ถูกมัดไว้ที่แม่น้ำใหญ่นั้น คือแม่น้ำยูเฟรติส”
วว 16.4 ทูตสวรรค์องค์ที่สามเทขันของตนลงที่แม่น้ำและบ่อน้ำพุทั้งปวง และน้ำเหล่านั้นก็กลายเป็นเลือด
วว 16.12 ทูตสวรรค์องค์ที่หกเทขันของตนลงที่แม่น้ำใหญ่ คือแม่น้ำยูเฟรติส ทำให้น้ำในแม่น้ำนั้นแห้งไป เพื่อเตรียมมรรคาไว้สำหรับบรรดากษัตริย์ที่มาจากทิศตะวันออก
วว 22.1 ท่านได้ชี้ให้ข้าพเจ้าดูแม่น้ำบริสุทธิ์ที่มีน้ำแห่งชีวิต ใสเหมือนแก้วผลึก ไหลออกมาจากพระที่นั่งของพระเจ้า และของพระเมษโปดก
วว 22.2 ท่ามกลางถนนในเมืองนั้นและริมแม่น้ำทั้งสองฟากมีต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งออกผลสิบสองชนิด ออกผลทุกๆเดือน และใบของต้นไม้นั้นสำหรับรักษาบรรดาประชาชาติให้หาย

แม่บ้าน ( 1 )
2ซมอ 17.19 หญิงแม่บ้านก็เอาผ้ามาปูปิดปากบ่อ แล้วก็เกลี่ยปลายข้าวตกอยู่บนนั้น ไม่มีใครทราบเรื่องเลย

แม่มด ( 3 )
อพย 22.18 สำหรับหญิงแม่มด เจ้าอย่าให้รอดชีวิตอยู่เลย
2พกษ 23.24 ยิ่งกว่านั้นอีกโยสิยาห์ได้กำจัดคนทรง และแม่มด และเทราฟิม และรูปเคารพ และบรรดาสิ่งน่าสะอิดสะเอียนซึ่งเห็นกันอยู่ในแผ่นดินยูดาห์และในกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อพระองค์จะทรงสถาปนาถ้อยคำแห่งพระราชบัญญัติซึ่งเขียนอยู่ในหนังสือที่ฮิลคียาห์ปุโรหิตได้พบในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์
อสย 57.3 แต่เจ้าทั้งหลาย บรรดาบุตรชายของแม่มด เชื้อสายของคนล่วงประเวณีและหญิงแพศยา จงเข้ามาใกล้ที่นี่

แม่ม่าย ( 36 )
ลนต 22.13 แต่ถ้าบุตรสาวของปุโรหิตเป็นแม่ม่ายหรือแม่ร้างและไม่มีบุตร และกลับมาอยู่ที่เรือนของบิดาอย่างเมื่อเธอยังสาว เธอรับประทานอาหารของบิดาได้ แต่คนภายนอกรับประทานไม่ได้
กดว 30.9 แต่คำปฏิญาณที่แม่ม่ายหรือแม่ร้างกระทำไว้หรือคำใดที่นางพูดผูกมัดตนเอง คำพูดนั้นย่อมคงอยู่
พบญ 10.18 พระองค์ประทานความยุติธรรมแก่ลูกกำพร้าพ่อและแม่ม่าย และทรงรักคนต่างด้าวประทานอาหารและเครื่องนุ่งห่มแก่เขา
พบญ 14.29 คนเลวี (เพราะเขาไม่มีส่วนแบ่งหรือมรดกกับท่าน) และคนต่างด้าวและลูกกำพร้าพ่อและแม่ม่าย ผู้ซึ่งอยู่ภายในประตูเมืองของท่าน จะได้มารับประทานอย่างอิ่มหนำ เพื่อว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงอำนวยพระพรแก่บรรดากิจการซึ่งมือของท่านทั้งหลายได้กระทำนั้น”
พบญ 16.11 ท่านจงปีติร่าเริงต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ทั้งตัวท่านและบุตรชายหญิงของท่าน ทั้งทาสชายหญิงของท่าน ทั้งคนเลวีซึ่งอยู่ภายในประตูเมืองของท่าน ทั้งคนต่างด้าว เด็กกำพร้าพ่อและแม่ม่ายซึ่งอยู่ท่ามกลางท่าน ณ สถานที่ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงเลือกไว้ให้พระนามของพระองค์ประทับที่นั่น
พบญ 16.14 ในการเลี้ยงนั้นท่านจงปีติร่าเริง ทั้งท่านและบุตรชายหญิงของท่าน และทาสชายหญิงของท่าน ทั้งคนเลวีและคนต่างด้าว ทั้งเด็กกำพร้าพ่อและแม่ม่ายซึ่งอยู่ภายในประตูเมืองของท่าน
พบญ 24.17 ท่านทั้งหลายอย่าให้เสียความยุติธรรมซึ่งควรได้แก่คนต่างด้าว หรือควรได้แก่ลูกกำพร้าพ่อ และอย่ารับเสื้อผ้าของแม่ม่ายไว้เป็นประกัน
พบญ 24.19 เมื่อท่านเกี่ยวข้าวในนาของท่าน และลืมฟ่อนข้าวไว้ในนาฟ่อนหนึ่ง อย่ากลับไปเอามาเลย ให้เป็นของคนต่างด้าว ลูกกำพร้าพ่อและแม่ม่าย เพื่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะอวยพระพรแก่กิจการทั้งหลายแห่งมือของท่าน
พบญ 24.20 เมื่อท่านฟาดต้นมะกอกเทศ ท่านอย่าเก็บที่กิ่งเดิมซ้ำครั้งที่สอง ให้เหลือไว้สำหรับคนต่างด้าว ลูกกำพร้าพ่อและแม่ม่าย
พบญ 24.21 เมื่อท่านเก็บผลองุ่นจากสวนองุ่นของท่าน ท่านอย่าไปเก็บเล็มอีก จงเหลือไว้สำหรับคนต่างด้าว ทั้งลูกกำพร้าพ่อและแม่ม่าย
พบญ 26.12 เมื่อท่านถวายสิบชักหนึ่งทั้งหลายจากผลไม้ของท่านเสร็จแล้วในปีที่สามอันเป็นปีสิบชักหนึ่ง คือให้สิบชักหนึ่งนั้นแก่คนเลวีและคนต่างด้าว ลูกกำพร้าพ่อและแม่ม่าย เพื่อเขาจะได้รับประทานให้อิ่มหนำภายในประตูเมืองของท่าน
พบญ 26.13 แล้วท่านจงทูลต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านว่า ‘ข้าพระองค์ยกส่วนศักดิ์สิทธิ์ออกจากบ้านของข้าพระองค์แล้ว และยิ่งกว่านั้นข้าพระองค์ได้ให้แก่คนเลวีและคนต่างด้าว ลูกกำพร้าพ่อและแม่ม่าย ตามพระบัญญัติซึ่งพระองค์ทรงบัญชาไว้แก่ข้าพระองค์ทุกประการ ข้าพระองค์มิได้ละเมิดพระบัญญัติของพระองค์ในข้อใดเลย และข้าพระองค์มิได้ลืมเลย
พบญ 27.19 ‘ผู้ใดทำให้เสียความยุติธรรมอันควรได้แก่คนต่างด้าว ลูกกำพร้าพ่อและแม่ม่าย ให้ผู้นั้นถูกสาปแช่ง’ ให้ประชาชนทั้งปวงกล่าวว่า ‘เอเมน’
นรธ 4.5 แล้วโบอาสบอกว่า “ในวันที่ท่านซื้อที่นาจากมือนาโอมีนั้น ท่านก็จะได้รูธชาวโมอับแม่ม่ายของผู้ตายด้วย เพื่อจะจรรโลงนามของผู้ตายไว้กับมรดกของเขา”
นรธ 4.10 ยิ่งกว่านั้นรูธชาวโมอับแม่ม่ายของมาห์โลนข้าพเจ้าก็ได้มาเป็นภรรยาของข้าพเจ้า เพื่อจะจรรโลงนามของผู้ตายไว้กับมรดกของเขา เพื่อนามของผู้ตายจะไม่ต้องถูกตัดออกจากพวกพี่น้องของเขา และจากประตูบ้านเกิดเมืองนอนของเขา ท่านทั้งหลายเป็นพยานแล้วในวันนี้”
2ซมอ 20.3 ดาวิดเสด็จกลับพระราชวังที่กรุงเยรูซาเล็ม กษัตริย์ก็รับสั่งให้นำนางสนมทั้งสิบคนที่พระองค์ทรงละไว้ให้เฝ้าพระราชวังนั้นไปรวมกักอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง ทรงชุบเลี้ยงไว้แต่มิได้ทรงสมสู่อยู่ด้วย นางเหล่านั้นก็ต้องถูกกักให้มีชีวิตอยู่อย่างแม่ม่ายจนวันตาย
โยบ 22.9 ท่านไล่แม่ม่ายออกไปมือเปล่า และแขนของลูกกำพร้าพ่อก็หัก
สดด 94.6 เขาสังหารแม่ม่ายและคนต่างด้าว และกระทำฆาตกรรมลูกกำพร้าพ่อ
อสย 47.8 ฉะนั้น เจ้าผู้รักความเพลิดเพลิน จงฟังเรื่องนี้ คือผู้นั่งอย่างไร้กังวล ผู้คิดในใจของตนว่า “ข้านี่แหละ และไม่มีผู้ใดอื่นอีก ข้าจะไม่นั่งอยู่เป็นแม่ม่าย หรือรู้จักที่จะพรากจากลูก”
อสย 47.9 ทั้งสองเรื่องนี้จะมาถึงเจ้าในขณะเดียวกันในวันเดียว คือความที่ต้องพรากจากลูกและความที่เป็นแม่ม่าย จะมาถึงเจ้าอย่างเต็มขนาดทั้งที่มีวิทยาคมเป็นอันมาก และอานุภาพใหญ่ยิ่งในเวทมนตร์ของเจ้า
ยรม 7.6 ถ้าเจ้าไม่บีบบังคับคนต่างด้าว ลูกกำพร้าพ่อหรือแม่ม่าย และไม่หลั่งโลหิตที่ไร้ความผิดให้ถึงตายในที่นี้ และเจ้าทั้งหลายไม่ติดตามพระอื่นไปให้เจ็บตัวเอง
ยรม 49.11 จงทิ้งเด็กกำพร้าพ่อของเจ้าไว้เถิด เราจะให้เขามีชีวิตอยู่ และให้แม่ม่ายของเจ้าวางใจในเราเถิด”
มลค 3.5 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า แล้วเราจะมาใกล้เจ้าเพื่อการพิพากษา เราจะเป็นพยานที่รวดเร็วที่กล่าวโทษนักวิทยาคม พวกผิดประเวณี ผู้ที่ปฏิญาณเท็จ ผู้ที่บีบบังคับลูกจ้างในเรื่องค่าจ้าง และแม่ม่ายและลูกกำพร้าพ่อ ผู้ที่ผลักไสหันเหคนต่างด้าวจากสิทธิของเขา และผู้ที่ไม่ยำเกรงเรา
ลก 18.5 แต่เพราะแม่ม่ายคนนี้มากวนเราให้ลำบาก เราจะแก้แค้นให้เขา เพื่อมิให้นางมารบกวนบ่อยๆให้เรารำคาญใจ’”
กจ 6.1 ในคราวนั้น เมื่อศิษย์กำลังทวีมากขึ้น พวกกรีกบ่นติเตียนพวกฮีบรูเพราะในการแจกทานทุกๆวันนั้น เขาเว้นไม่ได้แจกให้พวกแม่ม่ายชาวกรีก
กจ 9.41 ฝ่ายเปโตรยื่นมือออกพยุงเธอขึ้น จึงเรียกวิสุทธิชนทั้งหลายกับพวกแม่ม่ายเข้ามา แล้วมอบหญิงที่เป็นขึ้นนั้นให้กับเขาทั้งหลาย
1คร 7.8 เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าขอกล่าวแก่คนที่ยังเป็นโสดและพวกแม่ม่ายว่า การที่เขาจะอยู่เหมือนข้าพเจ้าก็ดีแล้ว
1ทธ 5.3 จงให้เกียรติแก่แม่ม่ายไร้ที่พึ่ง
1ทธ 5.4 แต่ถ้าแม่ม่ายคนใดมีลูกหลานก็ให้ลูกหลานนั้นเรียนเพื่อให้รู้จักที่จะปฏิบัติกับครอบครัวของตนก่อน และให้ตอบแทนคุณบิดามารดาของตน เพราะว่าการกระทำเช่นนี้เป็นการดีและเป็นที่ชอบต่อพระพักตร์พระเจ้า
1ทธ 5.5 ฝ่ายผู้หญิงที่เป็นแม่ม่ายอย่างแท้จริง และอยู่ตามลำพังแต่ผู้เดียวนั้น จงวางใจในพระเจ้า และดำรงอยู่ในการวิงวอนและการอธิษฐานทั้งกลางคืนและกลางวัน
1ทธ 5.9 อย่าให้แม่ม่ายคนใดที่อายุต่ำกว่าหกสิบปี ลงชื่อในทะเบียนแม่ม่าย จะต้องเป็นภรรยาของชายคนเดียว
1ทธ 5.11 แต่แม่ม่ายสาวๆนั้นอย่ารับขึ้นทะเบียน เพราะว่าเมื่อเขาหลงระเริงห่างจากพระคริสต์ไปแล้ว ก็ใคร่จะสมรสอีก
1ทธ 5.14 เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าปรารถนาให้พวกแม่ม่ายสาวๆนั้นมีสามี มีบุตร และดูแลบ้านเรือน เพื่อมิให้ศัตรูมีช่องทางนินทาได้
1ทธ 5.16 ถ้าชายหรือหญิงผู้มีความเชื่อคนใดมีแม่ม่าย ก็ให้เขาช่วยเลี้ยงดู อย่าให้เป็นภาระของคริสตจักรเลย เพื่อคริสตจักรจะได้สงเคราะห์คนที่เป็นแม่ม่ายไร้ที่พึ่งจริงๆ

แม่ยาย ( 5 )
พบญ 27.23 ‘ผู้ใดสมสู่กับแม่ยายของตน ให้ผู้นั้นถูกสาปแช่ง’ ให้ประชาชนทั้งปวงกล่าวว่า ‘เอเมน’
มธ 8.14 ครั้นพระเยซูเสด็จเข้าไปในเรือนของเปโตร พระองค์ก็ทอดพระเนตรเห็นแม่ยายของเปโตรนอนป่วยจับไข้อยู่
มก 1.30 แม่ยายของซีโมนนอนป่วยจับไข้อยู่ ในทันใดนั้นเขาจึงมาทูลพระองค์ให้ทราบด้วยเรื่องของนาง
ลก 4.38 ฝ่ายพระองค์ทรงลุกขึ้นออกจากธรรมศาลา เสด็จเข้าไปในเรือนของซีโมน แม่ยายซีโมนป่วยเป็นไข้หนัก เขาทั้งหลายจึงอ้อนวอนพระองค์ให้ช่วยหญิงนั้น
ลก 4.39 พระองค์ทรงยืนอยู่ข้างคนเจ็บ ทรงห้ามไข้ ไข้ก็หาย และในทันใดนั้นแม่ยายของซีโมนก็ลุกขึ้นปรนนิบัติเขาทั้งหลาย

แม่ร้าง ( 3 )
ลนต 21.14 อย่าให้เขาแต่งงานกับหญิงม่าย แม่ร้าง หญิงที่มีมลทิน หรือหญิงโสเภณี เขาจะต้องหาหญิงพรหมจารีในชนชาติของเขามาเป็นภรรยา
ลนต 22.13 แต่ถ้าบุตรสาวของปุโรหิตเป็นแม่ม่ายหรือแม่ร้างและไม่มีบุตร และกลับมาอยู่ที่เรือนของบิดาอย่างเมื่อเธอยังสาว เธอรับประทานอาหารของบิดาได้ แต่คนภายนอกรับประทานไม่ได้
กดว 30.9 แต่คำปฏิญาณที่แม่ม่ายหรือแม่ร้างกระทำไว้หรือคำใดที่นางพูดผูกมัดตนเอง คำพูดนั้นย่อมคงอยู่

แมลง ( 5 )
ลนต 11.20 แมลงมีปีกซึ่งคลานสี่ขา เป็นสัตว์ที่พึงรังเกียจแก่เจ้า
ลนต 11.21 แต่ในบรรดาแมลงมีปีกที่คลานสี่ขานี้ เจ้าจะรับประทานจำพวกที่มีขาพับใช้กระโดดไปบนดินได้
ลนต 11.22 ในจำพวกแมลงต่อไปนี้เจ้ารับประทานได้ ตั๊กแตนวัยบินตามชนิดของมัน จิ้งหรีดโกร่งตามชนิดของมัน จักจั่นตามชนิดของมัน และตั๊กแตนตามชนิดของมัน
ลนต 11.23 แต่แมลงมีปีกอย่างอื่นซึ่งมีสี่ขา เป็นสัตว์ที่พึงรังเกียจแก่เจ้า
พบญ 14.19 แมลงมีปีกทุกชนิดเป็นสัตว์มลทินแก่ท่าน อย่ารับประทานเลย

แมลงป่อง ( 9 )
พบญ 8.15 ผู้ทรงนำท่านมาตลอดถิ่นทุรกันดารใหญ่น่ากลัว ซึ่งมีงูแมวเซาและแมลงป่อง และดินแห้งแล้งไม่มีน้ำ ผู้ทรงประทานน้ำจากหินแข็งให้แก่ท่าน
2พศด 10.11 ที่พระราชบิดาของเราวางแอกหนักบนท่านทั้งหลายก็ดีแล้ว เราจะเพิ่มแอกให้แก่ท่านทั้งหลายอีก พระราชบิดาของเราตีสอนท่านทั้งหลายด้วยไม้เรียว แต่เราจะตีสอนท่านทั้งหลายด้วยแส้แมลงป่อง’”
2พศด 10.14 และตรัสกับเขาทั้งหลายตามคำแนะนำของพวกคนหนุ่มว่า “พระราชบิดาของเราทำแอกของท่านทั้งหลายให้หนัก แต่เราจะเพิ่มให้แก่แอกนั้น พระราชบิดาของเราตีสอนท่านทั้งหลายด้วยไม้เรียว แต่เราจะตีสอนท่านทั้งหลายด้วยแส้แมลงป่อง”
อสค 2.6 เจ้า บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าอย่ากลัวเขา หรืออย่าเกรงคำพูดของเขา ถึงแม้ว่าหนามย่อยหนามใหญ่อยู่กับเจ้า และเจ้าอยู่ท่ามกลางแมลงป่อง อย่าเกรงคำพูดของเขาเลย อย่าท้อถอยเมื่อเห็นหน้าเขา เพราะเขาเป็นวงศ์วานที่มักกบฏ
ลก 10.19 ดูเถิด เราได้ให้พวกท่านมีอำนาจเหยียบงูร้ายและแมลงป่อง และมีอำนาจใหญ่ยิ่งกว่ากำลังศัตรู ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะทำอันตรายแก่ท่านได้เลย
ลก 11.12 หรือถ้าเขาขอไข่จะเอาแมลงป่องให้เขาหรือ
วว 9.3 มีฝูงตั๊กแตนบินออกจากควันนั้นมายังแผ่นดินโลก ได้ประทานอำนาจแก่ตั๊กแตนนั้น เหมือนกับอำนาจของแมลงป่องแห่งแผ่นดินโลก
วว 9.5 และไม่ให้ฆ่าคนเหล่านั้น แต่ให้ทรมานเขาห้าเดือน การทรมานนั้นเป็นการทรมานที่เหมือนกับถูกแมลงป่องต่อย
วว 9.10 มันมีหางเหมือนหางแมลงป่อง และหางมันนั้นมีเหล็กไน มันมีอำนาจที่จะทำร้ายมนุษย์ตลอดห้าเดือน

แมลงวัน ( 1 )
ปญจ 10.1 แมลงวันตายย่อมทำให้ขี้ผึ้งของคนปรุงยาบูดเหม็นไป ดังนั้นความโง่เขลานิดหน่อยก็ทำให้เขาเสียชื่อด้วยในเรื่องสติปัญญาและเกียรติยศ

แม่ลา ( 4 )
1ซมอ 9.3 ฝ่ายฝูงแม่ลาของคีชบิดาของซาอูลหายไป คีชจึงกล่าวแก่ซาอูลบุตรชายของตนว่า “ลุกขึ้นเอาคนใช้คนหนึ่งไปกับเจ้า เพื่อไปหาลา”
มธ 21.2 ตรัสสั่งเขาว่า “จงเข้าไปในหมู่บ้านที่อยู่ตรงหน้าท่าน ทันทีท่านจะพบแม่ลาตัวหนึ่งผูกอยู่กับลูกของมัน จงแก้จูงมาให้เรา
มธ 21.5 ‘จงบอกธิดาแห่งศิโยนว่า ดูเถิด กษัตริย์ของเธอเสด็จมาหาเธอ โดยพระทัยอ่อนสุภาพ ทรงแม่ลากับลูกของมัน’
มธ 21.7 จึงจูงแม่ลากับลูกของมันมา และเอาเสื้อผ้าของตนปูบนหลัง แล้วเขาให้พระองค์ทรงลานั้น

แม่เลี้ยง ( 1 )
อสย 49.23 บรรดากษัตริย์จะเป็นพ่อเลี้ยงของเจ้า และพระราชินีทั้งหลายจะเป็นแม่เลี้ยงของเจ้า เขาเหล่านั้นจะก้มหน้าลงถึงดินกราบเจ้า เขาจะเลียผงคลีที่เท้าของเจ้า แล้วเจ้าจะรู้ว่าเราคือพระเยโฮวาห์ ผู้ที่รอคอยเราจะไม่ประสบความอาย”

แม่วัว ( 10 )
วนฉ 14.18 พอวันที่เจ็ดก่อนดวงอาทิตย์ตกชาวเมืองจึงบอกแซมสันว่า “มีอะไรหวานกว่าน้ำผึ้ง มีอะไรแข็งแรงกว่าสิงโต” แซมสันจึงบอกเขาว่า “ถ้าเจ้าไม่เอาแม่วัวของเราช่วยไถ เจ้าคงจะแก้ปริศนาของเราไม่ได้”
1ซมอ 6.7 ฉะนั้นบัดนี้จงเตรียมเกวียนใหม่เล่มหนึ่งมาเทียมเข้ากับแม่วัวคู่หนึ่งซึ่งยังไม่เคยเข้าเทียมแอกเลย จงเอาแม่วัวมาเทียมเกวียนแล้วพรากลูกๆของมันกลับไปบ้านเสียให้พ้นจากมัน
1ซมอ 6.10 คนเหล่านั้นก็กระทำตาม นำเอาแม่วัวคู่หนึ่งเทียมเข้ากับเกวียน แล้วขังลูกๆของมันไว้ที่บ้าน
1ซมอ 6.12 แม่วัวก็เดินตรงไปตามทางที่ไปเมืองเบธเชเมช ไปตามทางหลวง เดินพลางร้องพลางไม่เลี้ยวขวาหรือเลี้ยวซ้าย และบรรดาเจ้านายแห่งคนฟีลิสเตียก็ตามมันไปจนถึงพรมแดนเมืองเบธเชเมช
1ซมอ 6.14 เกวียนนั้นได้เข้ามาในนาของโยชูวาชาวเบธเชเมชและหยุดอยู่ที่นั่น มีหินใหญ่ก้อนหนึ่งอยู่ที่นั่น เขาจึงผ่าไม้เกวียนเป็นฟืน และเอาแม่วัวเป็นเครื่องเผาบูชาถวายแด่พระเยโฮวาห์
อสย 7.21 ต่อมาในวันนั้นชายคนหนึ่งจะเลี้ยงแม่วัวสาวไว้ตัวหนึ่งและแกะสองตัว
อสย 11.7 แม่วัวกับหมีจะกินด้วยกัน ลูกของมันก็จะนอนอยู่ด้วยกัน และสิงโตจะกินฟางเหมือนวัวผู้
อมส 4.1 “แม่วัวทั้งหลายแห่งเมืองบาชานเอ๋ย จงฟังคำนี้เถิด คือผู้ที่อยู่ในภูเขาสะมาเรีย ผู้ที่บีบบังคับคนยากจน และขยี้คนขัดสน ผู้ที่กล่าวแก่นายของตนว่า ‘เอามาซิคะ เราจะได้ดื่มกัน’
อมส 4.3 และเจ้าจะออกไปตามช่องกำแพง แม่วัวทั้งหลายจะออกไปตามช่องตรงข้างหน้าตน และเจ้าจะทิ้งมันเข้าไปในวังนั้น” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ

แม้ว่า ( 126 )
ปฐก 31.30 บัดนี้ แม้ว่าเจ้าจะไปเพราะคิดถึงบ้านบิดามาก ทำไมจึงลักพระของเรามาด้วยเล่า”
อพย 13.17 ต่อมาเมื่อฟาโรห์ปล่อยพลไพร่ไปแล้ว พระเจ้ามิได้ทรงนำเขาไปทางแผ่นดินของชาวฟีลิสเตีย แม้ว่าจะเป็นทางใกล้ เพราะพระเจ้าตรัสว่า “เกรงว่าเมื่อพลไพร่ไปเผชิญสงครามเข้า เขาจะเปลี่ยนใจและกลับไปยังอียิปต์เสีย”
อพย 34.21 เจ้าจงทำการงานในกำหนดหกวัน แต่วันที่เจ็ดจงพัก แม้ว่าในฤดูไถนาและฤดูเกี่ยวข้าวก็จงพัก
ลนต 5.1 “ถ้าผู้ใดกระทำความผิดในข้อที่ได้ยินเสียงแห่งการปฏิญาณตัวและเป็นพยาน และแม้ว่าเขาเป็นพยานโดยที่เขาเห็นหรือรู้เรื่องก็ตาม แต่เขาไม่ยอมให้การเป็นพยาน เขาต้องรับโทษความชั่วช้าของเขา
ลนต 13.55 เมื่อซักแล้วก็ให้ปุโรหิตตรวจดูตัวที่เป็นโรคนั้นอีก ดูเถิด ถ้าบริเวณที่เป็นโรคไม่เปลี่ยนสี แม้ว่าโรคนั้นไม่ลามไป ก็เป็นมลทิน เจ้าจงเอาใส่ในไฟเผาเสีย ไม่ว่าบริเวณที่เป็นโรคเรื้อนนั้นจะอยู่ข้างในหรือข้างนอก
ลนต 21.11 อย่าให้เขาเข้าไปถูกต้องศพหรือกระทำตัวให้มลทิน แม้ว่าศพนั้นเป็นบิดาหรือมารดาของเขา
ลนต 22.28 แม้ว่าแม่สัตว์นั้นจะเป็นวัวหรือแกะก็ดี เจ้าอย่าฆ่ามันพร้อมกับลูกของมันในวันเดียวกัน
กดว 5.14 จิตหึงหวงก็มาสิงสามี เขาจึงหึงหวงภรรยาของเขา และภรรยาได้กระทำตัวให้มลทิน หรือจิตหึงหวงมาสิงสามี เขาจึงหึงหวงภรรยาของเขา แม้ว่าภรรยามิได้กระทำตัวให้มลทิน
กดว 14.11 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “ชนชาตินี้จะสบประมาทเรานานสักเท่าใด แม้ว่าเราได้กระทำหมายสำคัญต่างๆท่ามกลางเขามาแล้ว เขาทั้งหลายจะไม่เชื่อเรานานเท่าใด
กดว 22.18 แต่บาลาอัมได้ตอบคนใช้ของบาลาคว่า “แม้ว่าบาลาคจะให้เงินและทองเต็มบ้านเต็มเรือนของท่านแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะกระทำอะไรนอกเหนือพระบัญชาของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้าไม่ได้ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่
กดว 24.13 ‘แม้ว่าบาลาคจะให้เงินและทองเต็มบ้านเต็มเรือนของเขาแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะกระทำอะไรนอกเหนือพระบัญชาของพระเยโฮวาห์ไม่ได้ ที่จะทำตามใจข้าพเจ้าไม่ว่าดีหรือชั่ว พระเยโฮวาห์ตรัสประการใด ข้าพเจ้าจะพูดอย่างนั้น’
พบญ 9.8 แม้ว่าที่โฮเรบท่านก็กระทำให้พระเยโฮวาห์ทรงพิโรธ และพระเยโฮวาห์ก็ทรงกริ้วมากถึงกับจะทำลายท่านทั้งหลายเสีย
พบญ 19.6 ด้วยเกรงว่าผู้อาฆาตโลหิตกำลังโกรธจัดจะไล่ตามชายผู้ฆ่าคนคนนั้นทัน เพราะหนทางไกลแล้วฆ่าเขาเสีย แม้ว่าชายผู้นั้นไม่มีโทษถึงตาย เพราะเขามิได้เกลียดชังเพื่อนบ้านของเขาแต่ก่อน
พบญ 21.18 ถ้าชายคนใดมีบุตรชายที่ดื้อและไม่อยู่ในโอวาท ไม่เชื่อฟังเสียงของบิดาของตน หรือเสียงของมารดาของตน แม้ว่าบิดามารดาจะได้ตีสอน เขาก็ไม่ยอมฟัง
พบญ 22.24 ท่านจงพาเขาทั้งสองออกไปยังประตูเมืองนั้น และท่านจงขว้างเขาทั้งสองด้วยหินให้ตายเสีย หญิงสาวคนนั้นเพราะมิได้ร้องโวยวายขึ้นแม้ว่าจะอยู่ในเมือง ชายคนนั้นเพราะว่าเขาได้หยามเกียรติภรรยาของเพื่อนบ้าน ดังนี้แหละท่านทั้งหลายจะขจัดความชั่วเสียจากท่ามกลางท่าน
พบญ 22.27 เพราะชายนั้นพบเธอที่กลางทุ่ง แม้ว่าหญิงสาวที่เขาหมั้นไว้คนนั้นจะร้องขอความช่วยเหลือก็ไม่มีผู้ใดมาช่วยได้
ยชว 5.5 แม้ว่าประชาชนผู้ออกมาเหล่านั้นได้เข้าสุหนัตหมดทุกคนแล้ว แต่ประชาชนทุกคนที่เกิดมาใหม่ตามทางที่ในถิ่นทุรกันดารหลังจากที่ออกมาจากอียิปต์นั้น ยังไม่ได้เข้าสุหนัต
ยชว 17.14 คนโยเซฟได้พูดกับโยชูวาว่า “เหตุไฉนท่านจึงแบ่งให้ข้าพเจ้ามีแต่ส่วนเดียวเป็นมรดก แม้ว่าข้าพเจ้ามีคนมากมาย เพราะว่าพระเยโฮวาห์ได้ทรงอวยพระพรแก่พวกข้าพเจ้ามาจนบัดนี้แล้ว”
ยชว 17.18 แดนเทือกเขาเหล่านั้นจะเป็นของพวกท่าน ถึงแม้ว่าเป็นป่าดอนท่านจงแผ้วถางและยึดครองไปจนสุดเขตเถิด แม้ว่าคนคานาอันจะมีรถรบทำด้วยเหล็กและเป็นคนเข้มแข็ง ท่านทั้งหลายก็จะขับไล่เขาออกไปได้”
1ซมอ 24.11 ยิ่งกว่านั้นเสด็จพ่อของข้าพระองค์ได้ขอดูชายฉลองพระองค์ในมือของข้าพระองค์ โดยเหตุที่ว่าข้าพระองค์ได้ตัดชายฉลองพระองค์ออก และมิได้ประหารพระองค์เสีย ขอพระองค์ทรงทราบและทรงเห็นเถิดว่า ในมือของข้าพระองค์ไม่มีความชั่วร้ายหรือการละเมิด ข้าพระองค์มิได้กระทำบาปต่อพระองค์ แม้ว่าพระองค์จะล่าชีวิตของข้าพระองค์เพื่อจะเอาชีวิตข้าพระองค์
1พกษ 1.18 ดูเถิด บัดนี้อาโดนียาห์ทรงราชย์แล้ว แม้ว่าพระองค์คือกษัตริย์เจ้านายของหม่อมฉันก็หาทรงทราบไม่
1พกษ 2.28 เมื่อข่าวนี้ทราบไปถึงโยอาบ เพราะแม้ว่าโยอาบมิได้สนับสนุนอับซาโลม ท่านได้สนับสนุนอาโดนียาห์ โยอาบก็หนีไปที่พลับพลาของพระเยโฮวาห์และจับเชิงงอนแท่นบูชาไว้
1พศด 5.2 แม้ว่ายูดาห์มีกำลังมากในพวกพี่น้องของตน และเจ้านายองค์หนึ่งก็มาจากเขา แต่สิทธิบุตรหัวปีก็ยังเป็นของโยเซฟ)
1พศด 12.17 ดาวิดทรงออกไปต้อนรับเขา และตรัสกับเขาว่า “ถ้าท่านทั้งหลายมาฉันมิตรเพื่อช่วยข้าพเจ้า จิตใจของข้าพเจ้าจะพันผูกติดกับท่าน แต่ถ้ามาเพื่อขายข้าพเจ้าให้แก่ปฏิปักษ์ของข้าพเจ้า แม้ว่าในมือของข้าพเจ้าไม่มีความผิดใดๆ ก็ขอพระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเราทั้งหลายทอดพระเนตร และทรงกล่าวโทษท่านทั้งหลายเถิด”
2พศด 15.16 แม้ว่ามาอาคาห์พระมารดาของกษัตริย์อาสา พระองค์ก็ทรงถอดเสียจากเป็นพระราชชนนี เพราะพระนางได้กระทำรูปเคารพอันน่าเกลียดน่าชังในเสารูปเคารพ อาสาทรงโค่นรูปเคารพของพระนางลง และบดและเผาเสียที่ลำธารขิดโรน
2พศด 24.24 แม้ว่ากองทัพคนซีเรียมาแต่น้อยคน พระเยโฮวาห์ทรงมอบกองทัพใหญ่ไว้ในมือของเขา เพราะเขาทั้งหลายได้ทอดทิ้งพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเขา ดังนี้แหละคนซีเรียได้ทำโทษโยอาช
นหม 6.1 อยู่มาเมื่อมีรายงานให้สันบาลลัท โทบีอาห์และเกเชมชาวอาระเบียกับศัตรูอื่นๆของเราทั้งหลายได้ยินว่า ข้าพเจ้าได้ก่อกำแพง และไม่มีช่องโหว่เหลืออยู่ (แม้ว่าจนวันนั้นข้าพเจ้ายังไม่ได้ตั้งบานประตูที่ประตูเมือง)
นหม 9.18 แม้ว่าเขาทั้งหลายได้สร้างรูปวัวหล่อไว้สำหรับตัวและกล่าวว่า ‘นี่คือพระเจ้าของเจ้า ผู้ทรงนำเจ้าขึ้นมาจากอียิปต์’ และได้กระทำการหมิ่นประมาทอย่างใหญ่หลวง
อสธ 4.16 “ไปเถิด ให้รวบรวมพวกยิวทั้งสิ้นที่หาพบในสุสา และถืออดอาหารเพื่อฉัน อย่ารับประทาน อย่าดื่มสามวันกลางคืนหรือกลางวัน ฉันและสาวใช้ของฉันจะอดอาหารอย่างท่านด้วย แล้วฉันจะเข้าเฝ้ากษัตริย์แม้ว่าเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ถ้าฉันพินาศ ฉันก็พินาศ”
โยบ 9.15 แม้ว่าข้าชอบธรรม ข้าก็ตอบพระองค์ไม่ได้ ข้าจะต้องขอพระกรุณาต่อผู้พิพากษาของข้า
โยบ 16.17 แม้ว่าในมือของข้าไม่มีความอยุติธรรมเลย และคำอธิษฐานของข้าก็บริสุทธิ์
โยบ 19.4 ถ้าแม้ว่าข้าหลงทำผิดจริง ความผิดของข้าก็อยู่กับข้า
โยบ 19.27 ผู้ซึ่งข้าจะได้เห็นเอง และนัยน์ตาของข้าจะได้เห็น ไม่ใช่คนอื่น แม้ว่าจิตใจในตัวข้าก็อ่อนระโหย
โยบ 20.12 แม้ว่าความชั่วจะหวานอยู่ในปากของเขา แม้เขาซ่อนไว้ใต้ลิ้นของเขา
โยบ 27.8 เพราะอะไรจะเป็นความหวังของคนหน้าซื่อใจคด แม้ว่าเขาได้กำไรแล้ว เมื่อพระเจ้าทรงเอาชีวิตของเขาไป
โยบ 34.6 ข้าพเจ้าถูกนับเป็นคนมุสา ถึงแม้ข้าพเจ้าชอบธรรม แผลของข้าพเจ้ารักษาไม่หายแม้ว่าข้าพเจ้าไม่มีการละเมิดเลย
สดด 41.9 แม้ว่าเพื่อนในอกของข้าพระองค์ ผู้ซึ่งข้าพระองค์ไว้วางใจ ผู้ที่รับประทานอาหารของข้าพระองค์ได้ยกส้นเท้าต่อข้าพระองค์
สดด 44.17 สิ่งทั้งปวงนี้เกิดแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย แม้ว่าข้าพระองค์ไม่ลืมพระองค์ หรือทุจริตต่อพันธสัญญาของพระองค์
สดด 46.2 ฉะนั้นเราจะไม่กลัว แม้ว่าแผ่นดินโลกจะถูกยกออกไป แม้ว่าภูเขาทั้งหลายจะโคลงเคลงลงสู่สะดือทะเล
สดด 46.3 แม้ว่าน้ำทะเลคึกคะนองและฟองฟู แม้ว่าภูเขาสั่นสะเทือนเพราะทะเลอลวนนั้น เซลาห์
สดด 49.18 แม้ว่าเมื่อเขาเป็นอยู่ เขานับว่าตัวเขาสุขสบาย และคนอื่นจะยกย่องท่านเมื่อท่านเจริญ
ปญจ 6.3 แม้ว่ามนุษย์คนใดมีบุตรสักร้อยคน และมีอายุอยู่หลายปี จนปีเดือนของเขาก็มากมาย แต่จิตใจของเขาหาได้อิ่มด้วยของดีไม่ ยิ่งกว่านั้นอีก เขาไม่มีงานฝังศพของตนด้วย ข้าพเจ้าว่าบุตรที่เกิดมาแท้งเสียยังดีกว่าคนนั้น
ปญจ 6.6 เออ แม้ว่าเขามีชีวิตอยู่พันปีทวีอีกเท่าตัว แต่ไม่ได้เห็นของดีอะไร ทุกคนมิได้ลงไปที่เดียวกันหมดดอกหรือ
ปญจ 8.12 แม้ว่าคนบาปทำชั่วตั้งร้อยครั้ง และอายุเขายังยั่งยืนอยู่ได้ ถึงกระนั้นข้าพเจ้ายังรู้แน่ว่า ความดีจะมีแก่เขาทั้งหลายที่ยำเกรงพระเจ้า คือที่มีความยำเกรงต่อพระพักตร์พระองค์
ปญจ 8.17 แล้วข้าพเจ้าจึงเห็นบรรดาพระราชกิจของพระเจ้าว่า มนุษย์จะค้นหาความเข้าใจในพระราชกิจที่บังเกิดอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์หาได้ไม่ เพราะว่าถึงแม้มนุษย์จะออกแรงค้นหาสักปานใดก็ยังจะค้นหาให้พบไม่ได้ เออ ยิ่งกว่านั้นอีก แม้ว่านักปราชญ์คนใดนึกเอาว่าเขาจะเข้าใจแล้ว เขาก็ยังค้นหาไม่พบ
พซม 8.7 น้ำมากหลายไม่อาจดับความรักให้มอดเสียได้ หรืออุทกธารทั้งหลายไม่อาจท่วมความรักให้สำลักตายเสียได้ แม้ว่าคนใดจะเอาทรัพย์สมบัติในเหย้าเรือนของตนทั้งสิ้นมาแลกกับความรักนั้น คนนั้นจะได้รับความหมิ่นประมาทจากคนทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง
อสย 1.15 เมื่อเจ้ากางมือของเจ้าออกเราจะซ่อนตาของเราเสียจากเจ้า แม้ว่าเจ้าจะอธิษฐานมากมายเราจะไม่ฟัง มือของเจ้าเปรอะไปด้วยโลหิต
อสย 6.13 และแม้ว่ามีเหลืออยู่ในนั้นสักหนึ่งในสิบ ก็จะกลับมาและถูกเผาไฟ เหมือนต้นน้ำมันสนหรือต้นโอ๊กซึ่งเหลืออยู่แต่ตอเมื่อถูกโค่น” ตอของมันจะเป็นเชื้อสายบริสุทธิ์
อสย 10.22 อิสราเอลเอ๋ย เพราะแม้ว่าชนชาติของเจ้าจะเป็นดั่งเม็ดทรายในทะเล คนที่เหลืออยู่เท่านั้นจะกลับมา การเผาผลาญซึ่งกำหนดไว้แล้วจะล้นหลามไปด้วยความชอบธรรม
อสย 22.3 ผู้ครองเมืองของเจ้าทั้งหมดหนีกันไปแล้ว เขาถูกจับได้โดยนายธนู ชายฉกรรจ์ของเจ้าทุกคนถูกจับแม้ว่าเขาได้หนีไปไกลแล้ว
อสย 30.4 เพราะแม้ว่าข้าราชการของเขาอยู่ที่โศอัน และทูตของเขาไปถึงฮาเนส
อสย 32.7 อุบายของคนถ่อยก็ชั่วร้าย เขาคิดขึ้นแต่กิจการชั่วเพื่อทำลายคนยากจนด้วยถ้อยคำเท็จ แม้ว่าเมื่อคำร้องของคนขัดสนนั้นถูกต้อง
อสย 49.15 “ผู้หญิงจะลืมบุตรที่ยังกินนมของนาง และจะไม่เมตตาบุตรชายจากครรภ์ของนางได้หรือ แม้ว่าคนเหล่านี้ยังลืมได้ กระนั้นเราก็จะไม่ลืมเจ้า
อสย 53.9 และเขาจัดหลุมศพของท่านไว้กับคนชั่ว ในความตายของท่านเขาจัดไว้กับเศรษฐี แม้ว่าท่านมิได้กระทำการทารุณประการใดเลย และไม่มีการหลอกลวงในปากของท่าน
ยรม 3.10 แม้ว่าเธอกระทำไปสิ้นอย่างนี้แล้ว ยูดาห์น้องสาวที่ทรยศของเธอก็มิได้หันกลับมาหาเราด้วยสิ้นสุดใจ แต่แสร้งทำเป็นกลับมา” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ยรม 5.22 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “เจ้าไม่ยำเกรงเราหรือ เจ้าไม่ตัวสั่นอยู่ต่อหน้าเราหรือ คือเราผู้วางกองทรายไว้เป็นเขตล้อมทะเล เป็นเครื่องกีดขวางเป็นนิตย์มิให้ผ่านไปได้ แม้ว่าคลื่นจะซัด ก็เอาชนะไม่ได้ แม้คลื่นจะคะนอง ก็ข้ามไปไม่ได้
ยรม 8.7 แม้ว่านกกระสาดำบนฟ้ายังรู้จักเวลากำหนดของมัน และนกเขา นกนางแอ่น และนกกรอด ได้รักษาเวลามาของมัน แต่ประชาชนของเราไม่รู้จักคำตัดสินของพระเยโฮวาห์
ยรม 12.6 เพราะว่าแม้พี่น้องของเจ้าและวงศ์วานของบิดาเจ้า แม้ว่าเขาก็ได้กระทำการทรยศต่อเจ้า เขายังเรียกให้ฝูงชนไล่ตามเจ้าไป ถึงแม้ว่าเขาพูดถ้อยคำอย่างดีแก่เจ้า อย่าเชื่อเขาเลย
ยรม 14.7 “แม้ว่าความชั่วช้าของข้าพระองค์ทั้งหลายก็เป็นพยานปรักปรำข้าพระองค์ โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอพระองค์โปรดเถิดเพื่อเห็นแก่พระนามของพระองค์ ด้วยว่าบรรดาการกลับสัตย์ของข้าพระองค์ทั้งหลายก็มากยิ่ง ข้าพระองค์ทั้งหลายกระทำบาปต่อพระองค์
ยรม 14.12 แม้ว่าเขาอดอาหาร เราก็จะไม่ฟังเสียงร้องของเขา แม้เขาถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องธัญญบูชา เราก็จะไม่รับมัน แต่เราจะผลาญเขาเสียด้วยดาบ ด้วยการกันดารอาหาร และด้วยโรคระบาด”
ยรม 14.15 ฉะนั้น พระเยโฮวาห์จึงตรัสดังนี้เกี่ยวด้วยพวกผู้พยากรณ์ ผู้พยากรณ์ในนามของเรา แม้ว่าเราไม่ได้ใช้เขาทั้งหลาย และผู้กล่าวว่า ‘ดาบและการกันดารอาหารจะไม่มาถึงแผ่นดินนี้’ พวกผู้พยากรณ์เหล่านั้นจะถูกผลาญเสียด้วยดาบและการกันดารอาหาร
ยรม 15.1 ฝ่ายพระเยโฮวาห์ตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า “แม้ว่าโมเสส และซามูเอล จะมายืนอยู่ต่อหน้าเรา จิตใจของเราจะไม่หันไปหาชนชาตินี้ ไล่เขาทั้งหลายออกไปให้พ้นสายตาของเรา แล้วให้เขาไป
ยรม 22.24 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เรามีชีวิตอยู่ตราบใด แม้ว่าโคนิยาห์ ราชบุตรของเยโฮยาคิม กษัตริย์แห่งยูดาห์ เป็นแหวนตราอยู่ที่มือขวาของเรา ถึงกระนั้นเราจะถอดออกเสีย
ยรม 25.4 ท่านไม่ฟังหรือเอียงหูของท่านฟัง แม้ว่าพระเยโฮวาห์ทรงส่งบรรดาผู้พยากรณ์ผู้รับใช้ของพระองค์มาอย่างไม่หยุดยั้ง
ยรม 32.25 โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า พระองค์ยังตรัสแก่ข้าพระองค์ว่า “จงเอาเงินซื้อนาและหาพยานเสีย” แม้ว่าเมืองนั้นจะถูกมอบไว้ในมือของคนเคลเดีย’”
ยรม 32.33 เขาทั้งหลายได้หันหลังให้เรา มิใช่หันหน้า แม้ว่าเราได้สอนเขาอยู่อย่างไม่หยุดยั้ง เขาก็มิได้ฟังที่จะรับคำสั่งสอนของเรา
ยรม 36.25 แม้ว่าเมื่อเอลนาธันและเดลายาห์และเกมาริยาห์ ได้ทูลวิงวอนกษัตริย์มิให้พระองค์ทรงเผาหนังสือม้วน พระองค์หาทรงฟังไม่
ยรม 46.23 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เขาทั้งหลายจะโค่นป่าของเธอลง แม้ว่าป่านั้นใครจะเข้าไปค้นหาไม่ได้ เพราะว่าพวกเขาทั้งหลายมีจำนวนมากกว่าตั๊กแตน นับไม่ถ้วน
ยรม 50.11 โอ บรรดาผู้ปล้นมรดกของเราเอ๋ย แม้ว่าเจ้าเปรมปรีดิ์ แม้ว่าเจ้าลิงโลด แม้เจ้าอ้วนพีอย่างวัวสาวอยู่ที่หญ้า และร้องอย่างวัวตัวผู้
อสค 5.8 เพราะฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เรา แม้ว่าเรานี่แหละเป็นปฏิปักษ์กับเจ้า เราจะพิพากษาลงโทษท่ามกลางเจ้าท่ามกลางสายตาของประชาชาติทั้งหลาย
อสค 8.18 เพราะฉะนั้น เราจะกระทำด้วยความพิโรธ นัยน์ตาของเราจะไม่ปรานี และเราจะไม่สงสาร แม้ว่าเขาจะร้องด้วยเสียงอันดังใส่หูของเรา เราจะไม่ฟังเขา”
อสค 12.3 เพราะฉะนั้น บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงจัดเตรียมข้าวของสำหรับตนเพื่อการถูกกวาดไปเป็นเชลย และจงไปเป็นเชลยในเวลากลางวันท่ามกลางสายตาของเขา เจ้าจะต้องไปเป็นเชลยจากสถานที่ของเจ้าไปยังอีกที่หนึ่งในสายตาของเขา บางทีเขาอาจจะพินิจพิเคราะห์ดูได้ แม้ว่าเขาเป็นวงศ์วานที่มักกบฏ
อสค 14.16 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด แม้ว่าบุรุษทั้งสามอยู่ในแผ่นดินนั้น เขาทั้งหลายจะช่วยบุตรชายหญิงให้รอดพ้นไม่ได้ เฉพาะตัวเขาเองจะรอดพ้นไปได้ แต่แผ่นดินนั้นจะรกร้างเสีย
อสค 15.7 เราจะมุ่งหน้าของเราต่อสู้เขา แม้ว่าเขาจะหนีออกจากไฟอันหนึ่ง ไฟอีกอันหนึ่งก็ยังจะเผาผลาญเขา และเมื่อเรามุ่งหน้าของเราต่อสู้เขา เจ้าจะทราบว่า เราคือพระเยโฮวาห์
อสค 32.29 เอโดมก็อยู่ที่นั่น คือบรรดากษัตริย์และบรรดาเจ้านายทั้งหลายของเธอ แม้ว่าเขาทั้งหลายมีอานุภาพ เขายังถูกนำมาวางไว้กับบรรดาคนเหล่านั้นที่ถูกฆ่าด้วยดาบ เขาจะนอนอยู่กับผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัต กับบรรดาคนที่ได้ลงไปยังปากแดนคนตาย
ดนล 11.15 แล้วกษัตริย์แห่งถิ่นเหนือจะมาล้อมและก่อเชิงเทิน และยึดเมืองที่มีป้อมแข็งแรงได้ และกำลังกองทัพของถิ่นใต้จะสู้ไม่ไหว แม้ว่ากองทัพที่คัดเลือกแล้วก็ยังสู้ไม่ได้ เพราะไม่มีกำลังที่จะยืนหยัดอยู่ได้
ดนล 11.33 และในหมู่ประชาชนคนเหล่านั้นที่ฉลาดจะกระทำให้คนเป็นอันมากเข้าใจ แม้ว่าเขาจะล้มลงด้วยดาบหรือด้วยเปลวไฟ ด้วยการเป็นเชลย ด้วยถูกปล้นหลายวันเวลา
ฮชย 3.1 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงไปอีกครั้งหนึ่ง ไปสมานรักกับหญิงคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนรักของชู้และเป็นหญิงล่วงประเวณี เหมือนพระเยโฮวาห์ทรงรักวงศ์วานอิสราเอลอย่างนั้นแหละ แม้ว่าเขาจะหลงใหลไปตามพระอื่น และนิยมชมชอบกับขนมลูกองุ่นแห้ง”
ฮชย 5.2 พวกกบฏได้ฆ่าฟันให้ลึก แม้ว่าเราได้ตีสอนเขาเหล่านี้ทั้งหมด
ฮชย 7.13 วิบัติแก่เขา เพราะเขาได้หลงเจิ่นไปจากเรา ความพินาศจงมีแก่เขา เพราะเขาได้ละเมิดต่อเรา แม้ว่าเราได้ไถ่เขาไว้แล้ว เขาก็ยังพูดมุสาเรื่องเรา
ฮชย 7.15 แม้ว่าเราจะได้ฝึกและเพิ่มกำลังแขนให้เขา เขาก็ยังคิดทำร้ายต่อเรา
ฮชย 8.10 เออ แม้ว่าเขาจ้างประชาชาติอื่นมา ไม่ช้าเราจะต้อนเขาให้รวมกัน เขาจะเป็นทุกข์เล็กน้อยเรื่องภาระของกษัตริย์จอมเจ้านาย
ฮชย 9.16 เอฟราอิมถูกทำลายเสียแล้ว รากของเขาก็เหี่ยวแห้งไป เขาทั้งหลายจะไม่มีผลอีก เออ แม้ว่าเขาจะเกิดลูกหลาน เราก็จะฆ่าผู้บังเกิดจากครรภ์ซึ่งเป็นที่รักของเขาเสีย
ฮชย 13.15 แม้ว่าเขาจะงอกงามขึ้นท่ามกลางพี่น้อง ลมตะวันออก คือลมของพระเยโฮวาห์จะพัดมา ขึ้นมาจากถิ่นทุรกันดาร และตาน้ำของเขาจะแห้งไป และน้ำพุของเขาก็จะแห้งผาก ลมนั้นจะริบของมีค่าทั้งหมดเอาไปจากคลังของเขา
ยอล 2.16 จงรวบรวมบรรดาประชาชน จงชำระชุมนุมชนให้บริสุทธิ์ จงประชุมบรรดาผู้ใหญ่ จงรวบรวมเด็กๆ แม้ว่าเด็กที่ยังกินนม จงให้เจ้าบ่าวออกจากเรือนหอ และเจ้าสาวออกจากห้องของตน
อมส 5.22 แม้ว่าเจ้าถวายเครื่องเผาบูชาและธัญญบูชาแก่เรา เราจะไม่ยอมรับสิ่งเหล่านั้น และสันติบูชาด้วยสัตว์อ้วนพีของเจ้านั้น เราจะไม่มองดู
อมส 9.2 แม้ว่าเขาจะขุดไปถึงนรก มือของเราจะจับเขามาจากที่นั่น ถ้าเขาจะปีนไปฟ้าสวรรค์ เราจะนำเขาลงมาจากที่นั่น
อมส 9.3 แม้ว่าเขาจะซ่อนอยู่ที่ยอดเขาคารเมล เราจะหาเขาที่นั่นแล้วจับเขามา แม้ว่าเขาจะไปซ่อนอยู่ที่ก้นทะเลให้พ้นตาเรา เราจะบัญชางูที่นั่น และมันจะกัดเขา
อมส 9.4 แม้ว่าเขาจะตกไปเป็นเชลยต่อหน้าศัตรูของเขาทั้งหลาย เราจะบัญชาดาบที่นั่น และดาบจะฆ่าเขาเสีย เราจะจ้องมองดูเขาอยู่เป็นการมองร้าย ไม่ใช่มองดี”
อบด 1.4 แม้ว่าเจ้าเหินขึ้นไปสูงเหมือนนกอินทรี แม้ว่ารังของเจ้าอยู่ในหมู่ดวงดาวทั้งหลาย เราจะฉุดเจ้าลงมาจากที่นั่น พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
นฮม 1.10 แม้ว่าเขาทั้งหลายเหมือนหนามไก่ไห้ที่เกี่ยวกันยุ่ง และเมาตามขนาดที่เขาดื่ม เขาจะถูกเผาผลาญสิ้นเหมือนตอข้าวที่แห้งผาก
นฮม 1.12 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “แม้พวกนั้นจะอยู่อย่างสงบและมีจำนวนมากมายด้วย เขาก็จะถูกตัดขาดและสิ้นไปเมื่อเขาผ่านไป แม้ว่าเราให้เจ้าทุกข์ใจบ้าง แต่เราจะไม่ให้เจ้าทุกข์ใจอีกต่อไป
ศคย 14.14 แม้ว่ายูดาห์ก็จะต่อสู้กันที่เยรูซาเล็ม ทรัพย์สมบัติของประชาชาติทั้งสิ้นที่อยู่ล้อมรอบจะถูกเก็บ มีทองคำ เงิน และเสื้อผ้ามากมาย
มลค 2.14 เจ้าถามว่า “เหตุใดพระองค์จึงไม่รับ” เพราะว่าพระเยโฮวาห์ทรงเป็นพยานระหว่างเจ้ากับภรรยาคนที่เจ้าได้เมื่อหนุ่มนั้น แม้ว่านางเป็นคู่เคียงของเจ้าและเป็นภรรยาของเจ้าตามพันธสัญญา เจ้าก็ทรยศต่อนาง
มธ 5.46 แม้ว่าท่านรักผู้ที่รักท่าน ท่านจะได้บำเหน็จอะไร ถึงพวกเก็บภาษีก็กระทำอย่างนั้นมิใช่หรือ
มธ 10.21 แม้ว่าพี่ก็จะมอบน้องให้ถึงความตาย พ่อจะมอบลูก และลูกก็จะทรยศต่อพ่อแม่ให้ถึงแก่ความตาย
มธ 13.12 ด้วยว่าผู้ใดมีอยู่แล้ว จะเพิ่มเติมให้คนนั้นมีเหลือเฟือ แต่ผู้ใดที่ไม่มีนั้น แม้ว่าซึ่งเขามีอยู่จะต้องเอาไปจากเขา
มธ 25.29 ด้วยว่าทุกคนที่มีอยู่แล้ว จะเพิ่มเติมให้แก่ผู้นั้นจนมีเหลือเฟือ แต่ผู้ที่ไม่มี แม้ว่าซึ่งเขามีอยู่ก็จะต้องเอาไปจากเขา
มก 4.25 ด้วยว่าผู้ใดมีอยู่แล้วจะเพิ่มเติมให้ผู้นั้นอีก แต่ผู้ใดไม่มี แม้ว่าซึ่งเขามีอยู่นั้นจะเอาไปเสียจากเขา”
มก 13.12 แม้ว่าพี่ก็จะทรยศน้องให้ถึงความตาย พ่อก็จะมอบลูก และลูกก็จะทรยศต่อพ่อแม่ให้ถึงแก่ความตาย
ลก 6.32 แม้ว่าท่านทั้งหลายรักผู้ที่รักท่าน จะนับว่าเป็นคุณอะไรแก่ท่าน ถึงแม้คนบาปก็ยังรักผู้ที่รักเขาเหมือนกัน
ลก 12.28 แม้ว่าพระเจ้าทรงตกแต่งหญ้าที่ทุ่งนาอย่างนั้น ซึ่งเป็นอยู่วันนี้และรุ่งขึ้นต้องทิ้งในเตาไฟ โอ ผู้ที่มีความเชื่อน้อย พระองค์จะทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด
ลก 18.4 ฝ่ายผู้พิพากษานั้นไม่ยอมทำจนช้านาน แต่ภายหลังเขานึกในใจว่า ‘แม้ว่าเราไม่เกรงกลัวพระเจ้าและไม่เห็นแก่มนุษย์
ลก 19.26 ‘เราบอกเจ้าทั้งหลายว่า ทุกคนที่มีอยู่แล้วจะเพิ่มเติมให้เขาอีก แต่ผู้ที่ไม่มีแม้ว่าซึ่งเขามีอยู่นั้นจะต้องเอาไปจากเขา
ยน 4.2 (แม้ว่าพระเยซูไม่ได้ทรงให้บัพติศมาเอง แต่สาวกของพระองค์เป็นผู้ให้)
ยน 10.38 แต่ถ้าเราปฏิบัติพระราชกิจนั้น แม้ว่าท่านมิได้เชื่อในเรา ก็จงเชื่อเพราะพระราชกิจนั้นเถิด เพื่อท่านจะได้รู้และเชื่อว่าพระบิดาทรงอยู่ในเรา และเราอยู่ในพระบิดา”
กจ 15.24 ด้วยพวกข้าพเจ้าได้ยินว่า มีบางคนในพวกข้าพเจ้าได้พูดให้ท่านทั้งหลายเกิดความไม่สบายใจ และทำให้ใจของท่านปั่นป่วนไป ด้วยสอนว่า ‘ท่านต้องเข้าสุหนัตและรักษาพระราชบัญญัติ’ แม้ว่าเขามิได้รับคำสั่งจากพวกข้าพเจ้า
1คร 5.3 แม้ว่าตัวข้าพเจ้าไม่ได้อยู่กับพวกท่าน แต่ใจของข้าพเจ้าก็อยู่ด้วย ข้าพเจ้าได้ตัดสินลงโทษคนที่ได้กระทำผิดเช่นนั้นเสมือนว่าข้าพเจ้าได้อยู่ด้วย
2คร 5.16 เหตุฉะนั้นตั้งแต่นี้ไปเราจะไม่พิจารณาผู้ใดตามเนื้อหนัง แม้ว่าเมื่อก่อนเราเคยพิจารณาพระคริสต์ตามเนื้อหนังก็จริง แต่เดี๋ยวนี้เราจะไม่พิจารณาพระองค์เช่นนั้นอีก
2คร 7.5 เพราะแม้ว่าเมื่อเรามาถึงแคว้นมาซิโดเนียแล้ว เนื้อหนังของเราไม่ได้พักผ่อนเลย เรามีความลำบากอยู่รอบข้าง ภายนอกมีการต่อสู้ ภายในมีความกลัว
2คร 11.6 แม้ว่าข้าพเจ้าพูดไม่เก่ง แต่ข้าพเจ้าก็ยังมีความรู้ ที่จริงเราก็ได้แสดงข้อนี้ให้ประจักษ์แก่พวกท่านในกิจการทุกสิ่งแล้ว
2คร 12.15 และข้าพเจ้ามีความยินดีที่จะเสียและสละแรงหมดเพื่อท่านทั้งหลาย แม้ว่าข้าพเจ้ารักท่านมากขึ้นๆ ท่านกลับรักข้าพเจ้าน้อยลง
กท 1.8 แต่แม้ว่าเราเองหรือทูตสวรรค์ ถ้าประกาศข่าวประเสริฐอื่นแก่ท่าน ซึ่งขัดกับข่าวประเสริฐที่เราได้ประกาศแก่ท่านไปแล้วก็ให้ผู้นั้นถูกสาปแช่ง
อฟ 2.1 พระองค์ทรงกระทำให้ท่านทั้งหลายมีชีวิตอยู่ แม้ว่าท่านตายแล้วโดยการละเมิดและการบาป
คส 3.13 จงผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน และถ้าแม้ว่าผู้ใดมีเรื่องราวต่อกันก็จงยกโทษให้กันและกัน พระคริสต์ได้ทรงโปรดยกโทษให้ท่านฉันใด ท่านจงกระทำอย่างนั้นเหมือนกัน
1ทธ 1.7 และแม้ว่าเขาไม่เข้าใจคำที่เขากล่าวทั้งสิ่งที่เขายืนยัน เขาก็ยังปรารถนาเป็นอาจารย์ฝ่ายพระราชบัญญัติ
ฟม 1.8 เหตุฉะนั้น แม้ว่าโดยพระคริสต์ ข้าพเจ้ามีใจกล้าพอที่จะสั่งให้ท่านทำสิ่งที่ควรกระทำได้
ฮบ 4.3 เพราะว่าเราทั้งหลายที่เชื่อแล้วก็เข้าในที่สงบสุขนั้น เหมือนพระองค์ได้ตรัสไว้แล้วว่า ‘ตามที่เราได้ปฏิญาณด้วยความพิโรธของเราว่า “เขาจะไม่ได้เข้าสู่ที่สงบสุขของเรา”’ แม้ว่างานนั้นสำเร็จแล้วตั้งแต่วางรากสร้างโลก
ฮบ 11.4 โดยความเชื่อ อาแบลนั้นจึงได้นำเครื่องบูชาอันประเสริฐกว่าเครื่องบูชาของคาอินมาถวายแด่พระเจ้า เพราะเหตุเครื่องบูชานั้นจึงมีพยานว่าท่านเป็นคนชอบธรรม คือพระเจ้าทรงเป็นพยานแก่ของถวายของท่าน โดยความเชื่อนั้น แม้ว่าอาแบลตายแล้วท่านก็ยังพูดอยู่
1ปต 1.8 พระองค์ผู้ที่ท่านทั้งหลายยังไม่ได้เห็น แต่ท่านยังรักพระองค์อยู่ แม้ว่าขณะนี้ท่านไม่เห็นพระองค์ แต่ท่านยังเชื่อและชื่นชม ด้วยความปีติยินดีเป็นล้นพ้นเหลือที่จะกล่าวได้ และเต็มเปี่ยมด้วยสง่าราศี
2ปต 2.11 แต่ฝ่ายทูตสวรรค์แม้ว่ามีฤทธิ์และกำลังมากกว่า ก็หาได้กล่าวประณามคนเหล่านั้นหน้าพระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่

แม่สามี ( 19 )
นรธ 1.10 นางทั้งสองจึงพูดกับแม่สามีว่า “อย่าเลย เราทั้งสองจะกลับไปกับแม่ไปถึงชนชาติของแม่”
นรธ 1.14 แล้วต่างก็ส่งเสียงร้องไห้อีก โอรปาห์ก็จุบลาแม่สามี แต่รูธยังเกาะแม่สามีอยู่
นรธ 2.11 แต่โบอาสตอบนางว่า “ทุกอย่างที่เจ้าได้ปฏิบัติต่อแม่สามีของเจ้าตั้งแต่สามีของเจ้าสิ้นชีวิตแล้วนั้น มีคนมาเล่าให้ฉันฟังหมดแล้ว และเขาบอกด้วยว่า เจ้ายอมจากบิดามารดาและบ้านเกิดเมืองนอนของเจ้า มาอยู่กับชนชาติที่เจ้าไม่รู้จักมาก่อน
นรธ 2.18 นางยกข้าวนั้นขึ้นและเข้าไปในเมือง แม่สามีก็เห็นข้าวที่นางได้เก็บมานั้น และนางเอาอาหารที่เหลือเมื่อนางรับประทานอิ่มแล้วนั้นให้แก่แม่สามีด้วย
นรธ 2.19 แม่สามีจึงกล่าวแก่นางว่า “วันนี้ลูกไปเก็บข้าวตกที่ไหนมา ลูกไปทำงานที่ไหน ขอให้ชายที่เอาใจใส่ลูกได้รับพระพรเถิด” นางจึงบอกแก่แม่สามีให้ทราบว่านางไปทำงานกับผู้ใด นางว่า “ผู้ชายที่ฉันไปทำงานด้วยในวันนี้นั้นชื่อโบอาส”
นรธ 2.23 ดังนั้นนางจึงอยู่ใกล้ๆสาวใช้ของโบอาสเที่ยวเก็บข้าวตกจนสิ้นฤดูเกี่ยวข้าวบาร์เลย์และข้าวสาลี และนางก็อาศัยอยู่กับแม่สามี
นรธ 3.1 นาโอมีแม่สามีของนางพูดกับนางว่า “ลูกสาวของแม่เอ๋ย ถ้าแม่จะหาที่พึ่งพักให้เจ้า เพื่อเจ้าจะได้มีความสุขไม่ควรหรือ
นรธ 3.6 ดังนั้นนางจึงลงไปยังลานนวดข้าว และกระทำตามที่แม่สามีบอกทุกอย่าง
นรธ 3.16 เมื่อนางมาถึง แม่สามีจึงถามว่า “เป็นใครหนอ ลูกสาวของแม่เอ๋ย” แล้วนางก็เล่าตามที่ท่านได้กระทำต่อนางให้แม่สามีฟังทุกอย่าง
นรธ 3.17 และนางว่า “ท่านให้ข้าวบาร์เลย์หกทะนานนี้แก่ฉัน ท่านว่า ‘เจ้าอย่ากลับไปหาแม่สามีมือเปล่าเลย’”
นรธ 3.18 แม่สามีจึงว่า “ลูกสาวของแม่เอ๋ย จงคอยอยู่ก่อน จนกว่าจะทราบว่าเรื่องจะลงเอยอย่างไร เพราะว่าท่านจะไม่หยุดเลยจนกว่าท่านจะจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จในวันนี้”
มคา 7.6 เพราะว่าลูกชายดูหมิ่นพ่อ และลูกสาวลุกขึ้นต่อสู้แม่ของเธอ ลูกสะใภ้ต่อสู้แม่สามี ศัตรูของใครๆก็คือคนที่อยู่ร่วมเรือนของเขาเอง
มธ 10.35 ด้วยว่าเรามาเพื่อจะให้ลูกชายหมางใจกับบิดาของตน และลูกสาวหมางใจกับมารดาและลูกสะใภ้หมางใจกับแม่สามี
ลก 12.53 พ่อจะแตกแยกจากลูกชาย และลูกชายจะแตกแยกจากพ่อ แม่จากลูกสาว และลูกสาวจากแม่ แม่สามีจากลูกสะใภ้ และลูกสะใภ้จากแม่สามี”

โม่ ( 12 )
กดว 11.8 ประชาชนก็เที่ยวออกไปเก็บมาโม่หรือตำในครกและใส่หม้อต้มทำขนม รสของมานาเหมือนรสน้ำมันสด
พบญ 24.6 อย่าให้ผู้ใดยึดโม่หรือหินโม่ลูกปฏิญาณไว้เป็นประกัน เพราะสิ่งที่ยึดเป็นประกันนั้นเขาใช้เลี้ยงชีพของเขา
วนฉ 16.21 คนฟีลิสเตียก็มาจับท่านทะลวงตาของท่านเสีย นำท่านลงมาที่กาซา เอาตรวนทองสัมฤทธิ์ล่ามไว้ และให้ท่านโม่แป้งอยู่ที่ในเรือนจำ
โยบ 31.10 แล้วก็ขอให้ภรรยาของข้าโม่แป้งให้คนอื่น และให้คนอื่นโน้มทับนาง
ปญจ 12.3 ในกาลเมื่อคนยามเฝ้าเรือนจะตัวสั่น และคนแข็งแรงจะคุดคู้ไป และหญิงโม่จะเลิกโม่ เพราะจำนวนลดน้อยลง และบรรดาผู้ที่เยี่ยมหน้าต่างจะมืดมัว
ปญจ 12.4 และประตูคู่ที่เปิดออกถนนจะปิดเสีย เมื่อเสียงโม่อ่อยลง เมื่อมีเสียงนก เขาจะลุกขึ้น และบรรดานักร้องสตรีจะย่อตัวลง
อสย 47.2 จับโม่เข้า โม่แป้งซี เอาผ้าคลุมหน้าของเจ้าออกเสีย ถอดเสื้อคลุมของเจ้าเสีย ไม่ต้องคลุมขาของเจ้า ลุยน้ำไป
พคค 5.13 พวกคนหนุ่มถูกบังคับให้โม่แป้ง และพวกเด็กต้องแบกฟืนหนักล้มลุกคลุกคลาน
มธ 24.41 หญิงสองคนโม่แป้งอยู่ที่โรงโม่ จะทรงรับคนหนึ่ง ทรงละคนหนึ่ง
ลก 17.35 ผู้หญิงสองคนจะโม่แป้งด้วยกัน จะทรงรับคนหนึ่ง จะทรงละคนหนึ่ง
วว 18.22 และจะไม่มีใครได้ยินเสียงนักดีดพิณเขาคู่ นักเล่นมโหรี นักเป่าปี่ และนักเป่าแตร ในเจ้าอีกต่อไป และในเจ้าจะไม่มีช่างในวิชาช่างต่างๆอีกต่อไป และจะไม่มีใครได้ยินเสียงโม่แป้งในเจ้าอีกต่อไป

โมฆะ ( 7 )
กดว 30.8 แต่ถ้าในวันนั้นที่สามีมาได้ยินนางและเขาคัดค้าน ก็ทำให้คำที่นางปฏิญาณไว้นั้นเป็นโมฆะ ทั้งคำกล่าวด้วยริมฝีปากที่ไม่ทันคิดของนาง ซึ่งผูกมัดนางนั้นก็เป็นโมฆะด้วย และพระเยโฮวาห์จะทรงอภัยให้แก่นาง
กดว 30.12 แต่ถ้าสามีของนางได้กระทำให้ไม่คงอยู่หรือเป็นโมฆะในวันที่เขาได้ยินแล้ว สิ่งใดที่ออกจากริมฝีปากของนางเกี่ยวด้วยคำปฏิญาณหรือเกี่ยวด้วยคำสัญญาวิรัตของนางย่อมไม่คงอยู่ สามีของนางได้กระทำให้เป็นโมฆะ และพระเยโฮวาห์จะทรงอภัยให้แก่นาง
กดว 30.13 คำปฏิญาณหรือคำสัตย์ปฏิญาณทั้งสิ้นที่ทำให้นางถ่อมใจเอง สามีของนางย่อมให้คงอยู่หรือให้เป็นโมฆะได้
กดว 30.15 แต่ถ้าภายหลังที่เขาได้ยินแล้วมากระทำให้ไม่คงอยู่หรือเป็นโมฆะ เขาย่อมต้องรับโทษความชั่วช้าของนาง”
อสย 28.18 แล้วพันธสัญญาของเจ้ากับความตายจะเป็นโมฆะ และข้อตกลงของเจ้ากับนรกจะไม่ดำรง เมื่อภัยพิบัติอันท่วมท้นผ่านไป เจ้าจะถูกเหยียบย่ำลงด้วยโทษนั้น

โมง ( 26 )
มธ 20.3 พอเวลาประมาณสามโมงเช้า เจ้าของบ้านก็ออกไปอีก เห็นคนอื่นยืนอยู่เปล่าๆกลางตลาด
มธ 20.5 พอเวลาเที่ยงวันและเวลาบ่ายสามโมง เจ้าของบ้านก็ออกไปอีก ทำเหมือนก่อน
มธ 20.6 ประมาณบ่ายห้าโมงก็ออกไปอีกครั้งหนึ่ง พบอีกพวกหนึ่งยืนอยู่เปล่าๆจึงพูดกับเขาว่า ‘พวกท่านยืนอยู่ที่นี่เปล่าๆตลอดวันทำไม’
มธ 20.9 คนที่มาทำงานเวลาประมาณบ่ายห้าโมงนั้น ได้ค่าจ้างคนละหนึ่งเดนาริอัน
มธ 24.36 แต่วันนั้น โมงนั้น ไม่มีใครรู้ ถึงบรรดาทูตสวรรค์ในสวรรค์ก็ไม่รู้ รู้แต่พระบิดาของเราองค์เดียว
มธ 24.44 เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงเตรียมพร้อมไว้เช่นกัน เพราะในโมงที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้นบุตรมนุษย์จะเสด็จมา
มธ 24.50 นายของผู้รับใช้ผู้นั้นจะมาในวันที่เขาไม่คิด ในโมงที่เขาไม่รู้
มธ 25.13 เหตุฉะนั้นจงเฝ้าระวังอยู่ เพราะท่านทั้งหลายไม่รู้กำหนดวันหรือโมงที่บุตรมนุษย์จะเสด็จมา
มธ 27.45 แล้วก็บังเกิดความมืดทั่วทั้งแผ่นดิน ตั้งแต่เวลาเที่ยงวัน จนถึงบ่ายสามโมง
มธ 27.46 ครั้นประมาณบ่ายสามโมงพระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “เอลี เอลี ลามาสะบักธานี” แปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย”
มก 13.32 แต่วันนั้นโมงนั้นไม่มีใครรู้ ถึงบรรดาทูตสวรรค์ในสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้ รู้แต่พระบิดาองค์เดียว
มก 15.25 เมื่อเขาตรึงพระองค์ไว้นั้นเป็นเวลาเช้าสามโมง
มก 15.33 ครั้นเวลาเที่ยงก็บังเกิดความมืดทั่วทั้งแผ่นดินจนถึงบ่ายสามโมง
มก 15.34 พอบ่ายสามโมงแล้ว พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “เอโลอี เอโลอี ลามาสะบักธานี” แปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย”
ลก 10.21 ในโมงนั้นเอง พระเยซูทรงมีความเปรมปรีดิ์ในพระวิญญาณ จึงตรัสว่า “โอ ข้าแต่พระบิดา ผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์ได้ทรงปิดบังสิ่งเหล่านี้ไว้จากคนมีปัญญาและคนสุขุมรอบคอบ และได้ทรงเปิดเผยสิ่งเหล่านี้แก่ทารกน้อย ข้าแต่พระบิดา ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะเป็นที่ชอบพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์
ลก 12.12 เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงโปรดสอนท่านในเวลาโมงนั้นเองว่า ท่านควรจะพูดอะไรบ้าง”
ลก 12.40 เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมด้วย เพราะบุตรมนุษย์เสด็จมาในโมงที่ท่านไม่คิดไม่ฝัน”
ลก 12.46 นายของผู้รับใช้ผู้นั้นจะมาในวันที่เขาไม่คิด ในโมงที่เขาไม่รู้ และจะทำโทษเขาถึงสาหัส ทั้งจะขับไล่เขาให้ไปอยู่กับคนที่ไม่เชื่อ
ลก 23.44 เวลานั้นประมาณเวลาเที่ยง ก็บังเกิดความมืดทั่วทั้งแผ่นดินจนถึงบ่ายสามโมง
ลก 24.33 แล้วคนทั้งสองนั้นก็ลุกขึ้นในโมงนั้นเองกลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และพบพวกสาวกสิบเอ็ดคนชุมนุมกันอยู่พร้อมทั้งพรรคพวก
ยน 1.39 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “มาดูเถิด” เขาก็ไปและเห็นที่ซึ่งพระองค์ทรงอาศัยและวันนั้นเขาก็ได้พักอยู่กับพระองค์ เพราะขณะนั้นประมาณสี่โมงเย็นแล้ว
ยน 4.52 ท่านจึงถามถึงเวลาที่บุตรค่อยทุเลาขึ้นนั้น และพวกผู้รับใช้ก็เรียนท่านว่า “ไข้หายเมื่อวานนี้เวลาบ่ายโมง”
กจ 2.15 ด้วยว่าคนเหล่านี้มิได้เมาเหล้าองุ่นเหมือนอย่างที่ท่านคิดนั้น เพราะว่าเป็นเวลาสามโมงเช้า
กจ 3.1 ฝ่ายเปโตรกับยอห์นกำลังขึ้นไปจะเข้าพระวิหารในเวลาอธิษฐาน เป็นเวลาบ่ายสามโมง
กจ 10.3 เวลาประมาณบ่ายสามโมงนายร้อยนั้นเห็นนิมิตแจ่มกระจ่าง คือเห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเจ้า เข้ามาหาท่านและกล่าวแก่ท่านว่า “โครเนลิอัสเอ๋ย”
กจ 10.30 โครเนลิอัสจึงตอบว่า “สี่วันมาแล้ว ข้าพเจ้ากำลังถืออดอาหารอยู่จนถึงเวลานี้ และประมาณเวลาบ่ายสามโมงข้าพเจ้าได้อธิษฐานอยู่ในบ้านของข้าพเจ้า ดูเถิด มีชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าสวมเสื้อมันระยับ

โมซา ( 5 )
1พศด 2.46 เอฟาห์ภรรยาน้อยของคาเลบคลอดบุตรชื่อฮาราน โมซาและกาเซส และฮารานให้กำเนิดบุตรชื่อกาเซส
1พศด 8.36 และอาหัสให้กำเนิดบุตรชื่อเยโฮอัดดาห์ และเยโฮอัดดาห์ให้กำเนิดบุตรชื่ออาเลเมท อัสมาเวทและศิมรี ศิมรีให้กำเนิดบุตรชื่อโมซา
1พศด 8.37 โมซาให้กำเนิดบุตรชื่อบิเนอา บุตรชายของบิเนอาคือราฟาห์ บุตรชายของราฟาห์คือเอเลอาสาห์ บุตรชายของเอเลอาสาห์คืออาเซล
1พศด 9.42 และอาหัสให้กำเนิดบุตรชื่อยาราห์ และยาราห์ให้กำเนิดบุตรชื่ออาเลเมท อัสมาเวท และศิมรี และศิมรีให้กำเนิดบุตรชื่อโมซา
1พศด 9.43 โมซาให้กำเนิดบุตรชื่อบิเนอา และบุตรชายของบิเนอาคือเรไฟยาห์ บุตรชายของเรไฟยาห์คือเอเลอาสาห์ บุตรชายของเอเลอาสาห์คืออาเซล

โมซาห์ ( 1 )
ยชว 18.26 มิสเปห์ เคฟีราห์ โมซาห์

โมทนา ( 53 )
ลนต 7.15 ส่วนเนื้อสัตว์เครื่องสันติบูชาเพื่อโมทนาพระคุณนั้น เขาจะต้องรับประทานเสียในวันทำการถวายบูชา อย่าเหลือไว้จนวันรุ่งเช้าเลย
2ซมอ 14.22 โยอาบก็ซบหน้าลงถึงดินและน้อมตัวลง แล้วโมทนาพระคุณกษัตริย์ โยอาบกราบทูลว่า “โอ ข้าแต่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ วันนี้ผู้รับใช้ของพระองค์ทราบว่า ข้าพระองค์ได้รับพระกรุณาในสายพระเนตรของพระองค์ ในประการที่กษัตริย์ทรงทำให้บรรลุตามคำทูลขอของผู้รับใช้ของพระองค์”
1พศด 16.4 และพระองค์ทรงตั้งคนเลวีบางคนให้เป็นผู้ปรนนิบัติหน้าหีบของพระเยโฮวาห์ ให้ระลึกถึง ถวายโมทนาและสรรเสริญพระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอล
1พศด 16.7 แล้วในวันนั้นดาวิดทรงกำหนดเป็นครั้งแรกให้มีการร้องเพลงโมทนาถวายแด่พระเยโฮวาห์โดยอาสาฟและพี่น้องของท่าน
1พศด 16.8 “จงโมทนาขอบพระคุณพระเยโฮวาห์ จงร้องทูลออกพระนามพระองค์ จงให้บรรดาพระราชกิจของพระองค์แจ้งแก่ชนชาติทั้งหลาย
1พศด 16.34 โอ จงโมทนาขอบพระคุณพระเยโฮวาห์เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์
1พศด 16.35 และท่านจงกล่าวว่า ‘โอ ข้าแต่พระเจ้าแห่งความรอดของข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอจงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้รอด และขอทรงรวบรวมข้าพระองค์ทั้งหลาย และทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งปวงให้พ้นจากประชาชาติทั้งหลาย เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะโมทนาขอบพระคุณพระนามอันบริสุทธิ์ของพระองค์ และลิงโลดในการสรรเสริญพระองค์’
1พศด 16.41 เฮมานและเยดูธูนอยู่กับเขาทั้งหลายและบรรดาคนอื่นที่ถูกเลือก และบ่งชื่อไว้ให้ถวายโมทนาแด่พระเยโฮวาห์ เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์
1พศด 23.30 และทุกๆเช้าเขาจะต้องยืนโมทนาและสรรเสริญพระเยโฮวาห์ และเวลาเย็นก็เช่นเดียวกัน
1พศด 29.13 ฉะนั้นบัดนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายโมทนาพระคุณพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ และสรรเสริญพระนามอันรุ่งโรจน์ของพระองค์
2พศด 5.13 อยู่มาพวกคนเป่าแตรและพวกนักร้องจะทำให้คนได้ยินเขาทั้งหลายร้องเพลงสรรเสริญ และเพลงโมทนาพระคุณพระเยโฮวาห์เป็นเสียงเดียวกัน และเมื่อเขาร้องขึ้นพร้อมกับแตรและฉาบกับเครื่องดนตรีอย่างอื่น ในการถวายสรรเสริญแด่พระเยโฮวาห์ว่า “เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์” พระนิเวศคือพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ก็มีเมฆเต็มไปหมด
2พศด 20.21 และเมื่อพระองค์ได้ปรึกษากับประชาชนแล้ว พระองค์ได้ทรงแต่งตั้งบรรดาผู้ที่จะร้องเพลงถวายพระเยโฮวาห์ ให้สรรเสริญพระองค์ด้วยเครื่องประดับแห่งความบริสุทธิ์ ขณะเมื่อเขาเดินออกไปหน้าศัตรู และว่า “จงถวายโมทนาแด่พระเยโฮวาห์ เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์”
2พศด 31.2 เฮเซคียาห์ได้ทรงจัดการแบ่งบรรดาปุโรหิตและคนเลวีเป็นกองๆ แต่ละกองตามหน้าที่ปรนนิบัติของตน คือบรรดาปุโรหิตและคนเลวี ให้เป็นพนักงานฝ่ายเครื่องเผาบูชาและเครื่องสันติบูชาให้ปรนนิบัติ และให้ถวายโมทนาและสรรเสริญภายในประตูค่ายของพระเยโฮวาห์
อสร 3.11 และเขาร้องเพลงตอบกัน สรรเสริญและโมทนาแด่พระเยโฮวาห์ว่า “เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์ต่ออิสราเอล” และประชาชนทั้งปวงก็โห่ร้องด้วยเสียงดังเมื่อเขาสรรเสริญพระเยโฮวาห์ เพราะว่ารากฐานของพระนิเวศแห่งพระเยโฮวาห์วางเสร็จแล้ว
นหม 11.2 และประชาชนได้โมทนาแก่บรรดาผู้ที่สมัครใจไปอยู่ในเยรูซาเล็ม
นหม 12.8 คนเลวีคือ เยชูอา บินนุย ขัดมีเอล เชเรบิยาห์ ยูดาห์ และมัทธานิยาห์ ผู้ซึ่งดูแลการเพลงโมทนาพร้อมกับพี่น้องของเขา
นหม 12.24 และหัวหน้าของคนเลวีคือ ฮาชาบิยาห์ เชเรบิยาห์ และเยชูอาบุตรชายขัดมีเอล กับญาติพี่น้องของเขาอยู่ตรงกันข้าม ที่จะสรรเสริญและโมทนาพระคุณ ตามบัญญัติของดาวิดคนของพระเจ้า เป็นยามๆไป
นหม 12.31 แล้วข้าพเจ้าได้นำเจ้านายแห่งยูดาห์ขึ้นบนกำแพง และแต่งตั้งให้คณะใหญ่สองคณะ เป็นผู้กล่าวโมทนาและเดินเป็นกระบวนแห่ คณะหนึ่งไปทางขวาขึ้นไปบนกำแพงจนถึงประตูกองขยะ
นหม 12.46 เพราะในสมัยดาวิดและอาสาฟในดึกดำบรรพ์นั้นมีหัวหน้าพวกนักร้อง และมีบทเพลงสรรเสริญ และบทเพลงโมทนาพระคุณพระเจ้า
สดด 6.5 เพราะถ้าในความตาย ไม่มีการระลึกถึงพระองค์แล้ว ในแดนผู้ตายใครเล่าจะโมทนาพระคุณของพระองค์
สดด 28.7 พระเยโฮวาห์ทรงเป็นกำลังและเป็นโล่ของข้าพเจ้า จิตใจของข้าพเจ้าวางใจในพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้รับความอุปถัมภ์ ฉะนั้นจิตใจของข้าพเจ้าจึงปีติยินดียิ่ง ข้าพเจ้าจะถวายโมทนาแก่พระองค์ด้วยบทเพลงของข้าพเจ้า
สดด 30.4 โอ ท่านวิสุทธิชนของพระองค์เอ๋ย จงร้องสรรเสริญพระเยโฮวาห์ และถวายโมทนาเมื่อระลึกถึงความบริสุทธิ์ของพระองค์
สดด 30.12 เพื่อจิตวิญญาณของข้าพระองค์จะร้องเพลงสรรเสริญพระองค์และไม่นิ่งเงียบ โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะถวายโมทนาแด่พระองค์เป็นนิตย์
สดด 35.18 แล้วข้าพระองค์จะโมทนาพระคุณพระองค์ในที่ชุมนุมใหญ่ ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ท่ามกลางคนเป็นอันมาก
สดด 42.4 เมื่อข้าพเจ้าระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ ข้าพเจ้าก็ระบายความในใจออกมาได้ เพราะข้าพเจ้าไปกับประชาชน คือไปกับพวกเขาถึงพระนิเวศของพระเจ้า ด้วยเสียงโห่ร้องยินดีและเสียงเพลงโมทนา คือมวลชนกำลังมีเทศกาลฉลอง
สดด 69.30 ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระนามพระเจ้าด้วยบทเพลง ข้าพเจ้าจะยกย่องพระองค์โดยโมทนาพระคุณ
สดด 75.1 โอ ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ทั้งหลายขอโมทนาพระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายขอโมทนาพระองค์ เพราะบรรดาพระราชกิจมหัศจรรย์ของพระองค์ประกาศว่าพระนามของพระองค์อยู่ใกล้
สดด 79.13 แล้วข้าพระองค์ทั้งหลายประชาชนของพระองค์ ฝูงแพะแกะแห่งทุ่งหญ้าของพระองค์ จะโมทนาพระคุณพระองค์เป็นนิตย์ ข้าพระองค์ทั้งหลายจะกล่าวสรรเสริญพระองค์ตลอดทุกชั่วอายุ
สดด 92.1 เป็นการดีที่จะโมทนาพระคุณพระเยโฮวาห์ โอ ข้าแต่องค์ผู้สูงสุด ที่จะร้องเพลงสรรเสริญพระนามของพระองค์
สดด 95.2 ให้เราทั้งหลายเข้ามาอยู่เฉพาะเบื้องพระพักตร์พระองค์ด้วยโมทนา ให้เรากระทำเสียงชื่นบานถวายพระองค์ด้วยบทเพลงสดุดี
สดด 97.12 ท่านผู้ชอบธรรมเอ๋ย จงเปรมปรีดิ์ในพระเยโฮวาห์ และถวายโมทนาเมื่อระลึกถึงความบริสุทธิ์ของพระองค์
สดด 100.4 จงเข้าประตูของพระองค์ด้วยการโมทนา และเข้าบริเวณพระนิเวศของพระองค์ด้วยการสรรเสริญ จงถวายโมทนาขอบพระคุณพระองค์ จงถวายสาธุการแด่พระนามของพระองค์
สดด 105.1 โอ จงโมทนาขอบพระคุณพระเยโฮวาห์ จงร้องทูลออกพระนามพระองค์ จงให้บรรดาพระราชกิจของพระองค์แจ้งแก่ชนชาติทั้งหลาย
สดด 106.1 จงสรรเสริญพระเยโฮวาห์เถิด โอ จงโมทนาขอบพระคุณพระเยโฮวาห์ เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์
สดด 106.47 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้รอด และขอทรงรวบรวมข้าพระองค์ทั้งหลายจากท่ามกลางประชาชาติต่างๆ เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะโมทนาขอบพระคุณพระนามบริสุทธิ์ของพระองค์ และเริงโลดในการสรรเสริญพระองค์
สดด 107.1 โอ จงโมทนาขอบพระคุณพระเยโฮวาห์ เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์
สดด 107.22 และให้เขาถวายเครื่องสักการบูชาโมทนาพระคุณ และเล่าพระราชกิจของพระองค์ด้วยความชื่นบาน
สดด 116.17 ข้าพระองค์จะถวายเครื่องสักการบูชาโมทนาพระคุณแด่พระองค์ และจะร้องทูลออกพระนามของพระเยโฮวาห์
สดด 118.1 โอ จงโมทนาขอบพระคุณพระเยโฮวาห์ เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์
สดด 118.29 โอ จงโมทนาขอบพระคุณพระเยโฮวาห์ เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์
สดด 119.62 พอเที่ยงคืน ข้าพระองค์จะลุกขึ้นโมทนาพระคุณพระองค์เนื่องด้วยคำตัดสินอันชอบธรรมของพระองค์
สดด 122.4 เป็นที่ที่บรรดาตระกูลต่างๆขึ้นไป คือบรรดาตระกูลของพระเยโฮวาห์ ไปยังหีบพระโอวาทของอิสราเอล ให้ถวายโมทนาแก่พระนามของพระเยโฮวาห์
สดด 136.1 โอ จงโมทนาขอบพระคุณพระเยโฮวาห์ เพราะพระองค์ทรงประเสริฐ เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์
สดด 136.2 โอ จงโมทนาขอบพระคุณพระเจ้าผู้เหนือพระทั้งหลาย เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์
สดด 136.3 โอ จงโมทนาขอบพระคุณถวายแด่พระองค์ ผู้เป็นเจ้าเหนือเจ้าทั้งหลาย เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์
สดด 136.26 โอ จงโมทนาขอบพระคุณพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์
สดด 140.13 แน่นอนทีเดียว ที่คนชอบธรรมจะถวายโมทนาขอบพระคุณพระนามของพระองค์ คนเที่ยงธรรมจะอาศัยอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์
สดด 147.7 จงร้องเพลงโมทนาพระคุณถวายพระเยโฮวาห์ จงร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าของเราด้วยพิณเขาคู่
ยรม 30.19 จะมีเพลงโมทนาพระคุณออกมาจากที่เหล่านั้น และมีเสียงของผู้ที่รื่นเริง เราจะทวีเขาขึ้น และเขาจะไม่มีเพียงน้อยคน เราจะกระทำให้เขามีเกียรติ เขาจะไม่เป็นแต่ผู้เล็กน้อย
ดนล 2.23 โอ พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอโมทนาและสรรเสริญพระองค์ ผู้ทรงประทานปัญญาและกำลังแก่ข้าพระองค์ สิ่งนั้นที่พวกข้าพระองค์ทูลขอ พระองค์ก็ทรงให้ข้าพระองค์รู้แล้ว เพราะพระองค์ได้ทรงสำแดงเรื่องของกษัตริย์ให้แจ้งแก่พวกข้าพระองค์”
ดนล 6.10 เมื่อดาเนียลทราบว่าลงพระนามในหนังสือสำคัญนั้นแล้ว ท่านก็ไปยังเรือนของท่าน ที่มีหน้าต่างห้องชั้นบนของท่านเปิดตรงไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และท่านก็คุกเข่าลงวันละสามครั้ง อธิษฐานและโมทนาพระคุณต่อพระพักตร์พระเจ้าของท่าน ดังที่ท่านได้เคยกระทำมาแต่ก่อน
ยนา 2.9 แต่ข้าพระองค์จะถวายสัตวบูชาแด่พระองค์ พร้อมด้วยเสียงโมทนาพระคุณ ข้าพระองค์ปฏิญาณไว้อย่างไร ข้าพระองค์จะทำตามคำปฏิญาณอย่างนั้น การที่ช่วยให้รอดนั้นเป็นของพระเยโฮวาห์”

โม่แป้ง ( 1 )
อพย 11.5 และพวกลูกหัวปีทั้งหมดในแผ่นดินอียิปต์ ตั้งแต่ราชบุตรหัวปีของฟาโรห์ ผู้ประทับบนพระที่นั่ง จนถึงบุตรหัวปีของทาสหญิง ซึ่งอยู่หลังหินโม่แป้ง ทั้งลูกหัวปีของสัตว์เดียรัจฉานด้วยจะต้องตาย

โมรเดคัย ( 61 )
อสร 2.2 เขาทั้งหลายมากับเศรุบบาเบลคือ เยชูอา เนหะมีย์ เสไรอาห์ เรเอไลยาห์ โมรเดคัย บิลชาน มิสปาร์ บิกวัย เรฮูม และบาอานาห์ จำนวนผู้ชายของประชาชนอิสราเอลคือ
นหม 7.7 เขาทั้งหลายที่กลับมากับเศรุบบาเบล เยชูอา เนหะมีย์ อาซาริยาห์ ราอามิยาห์ นาหะมานี โมรเดคัย บิลชาน มิสเปเรท บิกวัย เนฮูม บาอานาห์ จำนวนผู้ชายของประชาชนอิสราเอลคือ
อสธ 2.5 ยังมียิวคนหนึ่งในสุสาปราสาทชื่อโมรเดคัย บุตรชายยาอีร์ ผู้เป็นบุตรชายชิเมอี ผู้เป็นบุตรชายคีช คนเบนยามิน
อสธ 2.7 ท่านได้เลี้ยงดูฮาดาชาห์คือเอสเธอร์บุตรสาวลุงของท่าน เพราะเธอไม่มีพ่อแม่ สาวคนนี้รูปงามและน่าดู เมื่อบิดามารดาของเธอสิ้นชีวิตแล้ว โมรเดคัยก็รับเธอมาเลี้ยงเป็นบุตรสาว
อสธ 2.10 เอสเธอร์มิได้บอกให้ทราบถึงชาติและญาติของเธอ เพราะโมรเดคัยกำชับเธอไม่ให้ใครรู้
อสธ 2.11 ทุกๆวันโมรเดคัยเดินมาหน้าลานของฮาเร็ม เพื่อฟังข่าวเอสเธอร์เป็นอย่างไร และมีอะไรเกิดขึ้นแก่เธอ
อสธ 2.15 บัดนี้เมื่อถึงเวรของเอสเธอร์ บุตรสาวของอาบีฮาอิล ลุงของโมรเดคัยผู้ซึ่งรับเธอไว้เป็นบุตรสาว จะเข้าเฝ้ากษัตริย์ เธอมิได้ขอสิ่งใด นอกจากสิ่งที่เฮกัยข้าราชสำนักของกษัตริย์ผู้ดูแลพวกสตรีแนะนำ ฝ่ายเอสเธอร์ได้รับความโปรดปรานในสายตาของทุกคนที่ได้พบเห็น
อสธ 2.19 เมื่อเขารวบรวมหญิงพรหมจารีมาครั้งที่สอง โมรเดคัยนั่งอยู่ที่ประตูของกษัตริย์
อสธ 2.20 ฝ่ายพระนางเอสเธอร์นั้นมิได้ทรงให้ใครทราบถึงพระญาติหรือชนชาติของพระนางดังที่โมรเดคัยกำชับพระนางไว้ เพราะพระนางเอสเธอร์ทรงทำตามคำสั่งของโมรเดคัย เช่นเดียวกับเมื่อเขาเลี้ยงดูพระนางมา
อสธ 2.21 ในครั้งนั้นเมื่อโมรเดคัยนั่งอยู่ที่ประตูของกษัตริย์ บิกธานและเทเรช ขันทีสองคนของกษัตริย์ ผู้เฝ้าธรณีประตู มีความโกรธและหาช่องที่จะประทุษร้ายกษัตริย์อาหสุเอรัส
อสธ 2.22 เรื่องนี้รู้ถึงโมรเดคัยและท่านก็ทูลพระราชินีเอสเธอร์ พระนางเอสเธอร์กราบทูลกษัตริย์ในนามของโมรเดคัย
อสธ 3.2 บรรดาข้าราชการของกษัตริย์ซึ่งอยู่ที่ประตูของกษัตริย์ก็กราบลงแสดงความเคารพต่อฮามาน เพราะกษัตริย์ทรงบัญชาให้แสดงความเคารพต่อท่านเช่นนั้น แต่โมรเดคัยมิได้กราบหรือแสดงความเคารพ
อสธ 3.3 ข้าราชการของกษัตริย์ซึ่งอยู่ที่ประตูของกษัตริย์จึงพูดกับโมรเดคัยว่า “ทำไมท่านละเมิดพระบัญชาของกษัตริย์”
อสธ 3.4 อยู่มาเมื่อเขาทั้งหลายพูดกับท่านวันแล้ววันเล่า และท่านไม่ฟังเขา เขาก็ไปเรียนฮามานเพื่อจะดูว่าถ้อยคำของโมรเดคัยจะชนะหรือไม่ เพราะท่านบอกเขาว่าท่านเป็นยิว
อสธ 3.5 เมื่อฮามานเห็นว่าโมรเดคัยไม่กราบลงหรือแสดงความเคารพต่อท่าน ฮามานก็เดือดดาล
อสธ 3.6 แต่ท่านเห็นว่าเป็นการเสียเกียรติที่จะจับกุมโมรเดคัยคนเดียว เพราะมีคนเรียนท่านให้ทราบถึงชนชาติของโมรเดคัย ฮามานจึงหาช่องที่จะทำลายยิวทั้งหมด คือชนชาติของโมรเดคัยทั่วราชอาณาจักรของอาหสุเอรัส
อสธ 4.1 เมื่อโมรเดคัยทราบทุกอย่างที่ได้กระทำไปแล้ว โมรเดคัยก็ฉีกเสื้อของตนสวมผ้ากระสอบและใส่ขี้เถ้า และออกไปกลางนคร คร่ำครวญด้วยเสียงดังอย่างขมขื่น
อสธ 4.4 เมื่อสาวใช้และขันทีของพระนางเอสเธอร์มาทูลพระนาง พระราชินีก็เป็นทุกข์ในพระทัยยิ่งนัก พระนางทรงส่งเสื้อผ้าไปให้แก่โมรเดคัย เพื่อท่านจะได้ถอดผ้ากระสอบของท่านออกเสีย แต่ท่านไม่ยอมรับผ้านั้น
อสธ 4.5 แล้วพระนางเอสเธอร์มีพระเสาวนีย์เรียกฮาธาคขันทีคนหนึ่งของกษัตริย์ ผู้ซึ่งพระองค์ทรงแต่งตั้งให้ปรนนิบัติ พระนางตรัสสั่งให้ไปหาโมรเดคัย เพื่อจะทรงทราบว่า เรื่องอะไร และทำอย่างนั้นทำไม
อสธ 4.6 ฮาธาคออกไปหาโมรเดคัยที่ถนนในนคร ข้างหน้าประตูของกษัตริย์
อสธ 4.7 โมรเดคัยก็เล่าเรื่องทั้งสิ้นที่เกิดแก่ท่าน และจำนวนเงินถูกต้องที่ฮามานสัญญาถวายแก่พระคลังของกษัตริย์เพื่อการทำลายพวกยิว
อสธ 4.8 โมรเดคัยยังได้ให้สำเนากฤษฎีกาเขียนที่ออกในสุสาสั่งให้ทำลายเขาทั้งหลายเพื่อนำไปแสดงแก่พระนางเอสเธอร์ อธิบายเรื่องให้พระนาง และกำชับให้พระนางเข้าเฝ้ากษัตริย์ เพื่อทูลอ้อนวอนพระองค์ และวิงวอนพระองค์เพื่อเห็นแก่ชนชาติของพระนาง
อสธ 4.9 ฮาธาคก็กลับไปทูลพระนางเอสเธอร์ถึงสิ่งที่โมรเดคัยได้บอกไว้
อสธ 4.10 แล้วพระนางเอสเธอร์ก็บอกฮาธาคให้ส่งข่าวไปให้โมรเดคัยว่า
อสธ 4.12 เขาทั้งหลายก็มาบอกโมรเดคัยถึงสิ่งที่พระนางเอสเธอร์ตรัสนั้น
อสธ 4.13 โมรเดคัยจึงบอกเขาให้กลับไปทูลตอบพระนางเอสเธอร์ว่า “อย่าคิดว่าเธออยู่ในราชสำนักจะรอดพ้นได้ดีกว่าพวกยิวทั้งปวง
อสธ 4.15 แล้วเอสเธอร์ตรัสบอกเขาให้ไปบอกโมรเดคัยว่า
อสธ 4.17 โมรเดคัยก็ไปกระทำทุกอย่างตามที่พระนางเอสเธอร์รับสั่งแก่ท่าน
อสธ 5.9 วันนั้นฮามานก็ออกไปด้วยใจชื่นบานและยินดี แต่เมื่อฮามานเห็นโมรเดคัยที่ประตูของกษัตริย์ ไม่ยืนขึ้นหรือตัวสั่นอยู่ต่อหน้าท่าน ท่านก็เดือดดาลต่อโมรเดคัย
อสธ 5.13 แต่สิ่งเหล่านี้หาเป็นประโยชน์แก่ข้าไม่ ตราบใดที่ข้าเห็นโมรเดคัยคนยิวนั่งอยู่ที่ประตูของกษัตริย์”
อสธ 5.14 เศเรชภรรยาของท่าน และสหายทั้งสิ้นของท่านจึงพูดกับท่านว่า “ขอทำตะแลงแกงสูงห้าสิบศอก รุ่งเช้าก็ทูลกษัตริย์ให้แขวนโมรเดคัยเสียที่นั่น แล้วก็ไปกินเลี้ยงอย่างร่าเริงกับกษัตริย์” คำแนะนำนี้เป็นที่พอใจฮามาน ท่านจึงสั่งให้ทำตะแลงแกง
อสธ 6.2 พระองค์ทรงเห็นเขียนไว้ว่า โมรเดคัยได้ทูลเรื่องบิกธานาและเทเรชอย่างไร คือเรื่องขันทีสองคนของกษัตริย์ผู้เฝ้าธรณีประตู หาช่องจะปลงพระชนม์กษัตริย์อาหสุเอรัส
อสธ 6.3 กษัตริย์ตรัสว่า “ได้ให้เกียรติและยศอะไรแก่โมรเดคัยเพราะเรื่องนี้บ้าง” ข้าราชการของกษัตริย์ผู้ปรนนิบัติพระองค์ทูลว่า “ยังไม่ได้ให้สิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ”
อสธ 6.4 กษัตริย์ตรัสว่า “ใครอยู่ในลานบ้าน” ฝ่ายฮามานพึ่งเข้ามาถึงพระลานชั้นนอกแห่งราชสำนัก เพื่อจะทูลกษัตริย์เรื่องเอาโมรเดคัยแขวนเสียที่ตะแลงแกงซึ่งท่านได้เตรียมไว้สำหรับท่าน
อสธ 6.10 กษัตริย์จึงตรัสกับฮามานว่า “รีบเข้าเถอะ เอาเสื้อและม้าอย่างที่ท่านว่า แล้วให้เกียรติแก่โมรเดคัยคนยิวซึ่งนั่งที่ประตูของกษัตริย์ อย่าเว้นสิ่งใดที่ท่านกล่าวมานั้นเลย”
อสธ 6.11 ฮามานจึงนำฉลองพระองค์กับม้าและตกแต่งโมรเดคัย และให้ท่านขึ้นม้าไปตามถนนในกรุง ป่าวร้องหน้าท่านว่า “ผู้ที่กษัตริย์พอพระทัยจะประทานเกียรติยศก็เป็นเช่นนี้แหละ”
อสธ 6.12 แล้วโมรเดคัยก็กลับมายังประตูของกษัตริย์ แต่ฮามานรีบกลับไปบ้านของท่าน คลุมศีรษะและคร่ำครวญ
อสธ 6.13 และฮามานเล่าทุกสิ่งที่อุบัติแก่ท่านให้เศเรชภรรยาของท่านและสหายทั้งหลายของท่านฟัง คนฉลาดของท่านและเศเรชภรรยาของท่านจึงว่า “ถ้าท่านเริ่มล้มลงต่อหน้าโมรเดคัยซึ่งเป็นเชื้อสายของยิว ท่านจะไม่ชนะเขา แต่จะล้มลงต่อหน้าเขาแน่”
อสธ 7.9 ฮารโบนาขันทีคนหนึ่งทูลต่อพระพักตร์กษัตริย์ว่า “ดูเถิด ตะแลงแกงซึ่งฮามานเตรียมไว้สำหรับโมรเดคัย ซึ่งรายงานช่วยพระชนม์กษัตริย์ ก็ยังตั้งอยู่ที่บ้านของฮามาน สูงห้าสิบศอกพ่ะย่ะค่ะ” กษัตริย์ตรัสว่า “แขวนมันบนนั้นแหละ”
อสธ 7.10 เขาก็แขวนฮามานบนตะแลงแกงซึ่งท่านได้เตรียมไว้สำหรับโมรเดคัย แล้วพระพิโรธของกษัตริย์ก็สงบลง
อสธ 8.1 ในวันนั้นกษัตริย์อาหสุเอรัสพระราชทานวงศ์วานของฮามานศัตรูของพวกยิวแก่พระราชินีเอสเธอร์ โมรเดคัยก็เข้าเฝ้ากษัตริย์ เพราะพระนางเอสเธอร์ได้ทูลว่าท่านเป็นอะไรกับพระนาง
อสธ 8.2 กษัตริย์จึงถอดพระธำมรงค์ตรา ซึ่งพระองค์ทรงเอามาจากฮามาน พระราชทานให้โมรเดคัย พระนางเอสเธอร์ก็ทรงตั้งโมรเดคัยเป็นใหญ่เหนือวงศ์วานของฮามาน
อสธ 8.7 กษัตริย์อาหสุเอรัสจึงตรัสกับพระราชินีเอสเธอร์และแก่โมรเดคัยคนยิวว่า “ดูเถิด เรามอบวงศ์วานของฮามานแก่พระนางเอสเธอร์แล้ว และเขาก็แขวนมันบนตะแลงแกง เพราะมันจะทำอันตรายแก่พวกยิว
อสธ 8.9 แล้วพระองค์ทรงเรียกราชอาลักษณ์เข้ามาในเวลานั้นในเดือนที่สามซึ่งเป็นเดือนสิวัน ณ วันที่ยี่สิบสาม และให้เขียนกฤษฎีกาตามที่โมรเดคัยบัญชาทุกอย่างเกี่ยวกับพวกยิว ถึงบรรดาสมุหเทศาภิบาล และผู้ว่าราชการ และเจ้าหน้าที่ของมณฑล ตั้งแต่อินเดียถึงเอธิโอเปีย ร้อยยี่สิบเจ็ดมณฑล ไปถึงทุกมณฑลเป็นอักขระของมณฑลนั้น และถึงชนทุกชาติเป็นภาษาของเขา และถึงพวกยิวเป็นอักขระและในภาษาของเขา
อสธ 8.15 เมื่อโมรเดคัยออกไปพ้นพระพักตร์กษัตริย์ สวมฉลองพระองค์สีฟ้าและสีขาว พร้อมกับมงกุฎทองคำใหญ่และเสื้อคลุมผ้าป่านเนื้อละเอียดสีม่วง ฝ่ายชาวนครสุสาก็โห่ร้องเปรมปรีดิ์
อสธ 9.3 บรรดาเจ้านายทั้งปวงของมณฑล และสมุหเทศาภิบาล และผู้ว่าราชการเมือง และเจ้าหน้าที่ราชการก็ช่วยพวกยิวด้วย เพราะความกลัวโมรเดคัยครอบงำเขา
อสธ 9.4 เหตุว่าโมรเดคัยเป็นใหญ่อยู่ในราชสำนักของกษัตริย์ และชื่อเสียงของท่านเลื่องลือไปทั่วทุกมณฑล เพราะชายที่ชื่อโมรเดคัยนั้นมีอำนาจมากยิ่งขึ้นทุกที
อสธ 9.20 และโมรเดคัยบันทึกเรื่องนี้และส่งจดหมายไปยังพวกยิวทั้งปวงผู้อยู่ในมณฑลทั้งปวงของกษัตริย์อาหสุเอรัส ทั้งใกล้และไกล
อสธ 9.23 พวกยิวจึงตกลงกระทำตามที่เขาตั้งต้นแล้ว และตามที่โมรเดคัยเขียนไปถึงเขา
อสธ 9.29 แล้วพระราชินีเอสเธอร์ ธิดาของอาบีฮาอิล กับโมรเดคัยคนยิว ก็เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรรับรองจดหมายฉบับที่สองนี้เรื่องเทศกาลเปอร์ริม
อสธ 9.31 และให้ถือวันเทศกาลเปอร์ริมเหล่านี้ตามกำหนดฤดูกาล ดังที่โมรเดคัยคนยิวและพระราชินีเอสเธอร์มีพระเสาวนีย์สั่งพวกยิว และตามที่เขาตั้งไว้สำหรับตนเองและสำหรับเชื้อสายของเขา เกี่ยวกับการอดอาหารและการร้องทุกข์ของเขา
อสธ 10.2 พระราชกิจอันกอปรด้วยพระราชอำนาจและอานุภาพ กับเรื่องราวละเอียดของยศศักดิ์อันสูงของโมรเดคัย ซึ่งกษัตริย์ทรงเลื่อนท่านขึ้น มิได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารของกษัตริย์แห่งมีเดียและเปอร์เซียหรือ
อสธ 10.3 เพราะโมรเดคัยคนยิวมีตำแหน่งรองกษัตริย์อาหสุเอรัส และท่านเป็นใหญ่ท่ามกลางพวกยิว และเป็นที่ชอบพอของมวลญาติพี่น้องของท่าน เพราะท่านแสวงหาความมั่งคั่งให้ชนชาติของท่าน และพูดให้เกิดสันติสุขแก่เชื้อสายทั้งปวงของท่าน

โมรา ( 4 )
อพย 28.19 แถวที่สามฝังนิล โมรา และพลอยสีม่วง
อพย 39.12 แถวที่สามฝังนิล โมราและพลอยสีม่วง
อสย 54.12 เราจะทำหน้าต่างของเจ้าด้วยโมรา และประตูเมืองของเจ้าด้วยพลอยสีแดงเข้ม และชายแดนทั้งสิ้นของเจ้าด้วยเพชรนิลจินดา
อสค 27.16 เมืองซีเรียไปมาค้าขายกับเจ้าเพราะเจ้ามีสินค้าอุดม เขาเอามรกต ผ้าสีม่วง ผ้าปัก ป่านเนื้อละเอียด หินปะการังและโมรามาแลกกับสิ้นค้าของเจ้า

โมริยาห์ ( 2 )
ปฐก 22.2 พระองค์ตรัสว่า “จงพาบุตรชายของเจ้าคืออิสอัค บุตรชายคนเดียวของเจ้าผู้ที่เจ้ารักไปยังแผ่นดินโมริยาห์ และถวายเขาที่นั่นเป็นเครื่องเผาบูชา บนภูเขาลูกหนึ่งซึ่งเราจะบอกแก่เจ้า”
2พศด 3.1 แล้วซาโลมอนทรงเริ่มสร้างพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ที่กรุงเยรูซาเล็มบนภูเขาโมริยาห์ ที่ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงปรากฏแก่ดาวิดราชบิดาของพระองค์ ตรงที่ซึ่งดาวิดทรงกำหนดไว้ที่ลานนวดข้าวของโอรนันคนเยบุส

โมเรเชท ( 2 )
ยรม 26.18 “มีคาห์ชาวเมืองโมเรเชทได้พยากรณ์ในสมัยเฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ และกล่าวแก่ประชาชนทั้งสิ้นของยูดาห์ว่า ‘พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า เมืองศิโยนจะถูกไถเหมือนกับไถนา กรุงเยรูซาเล็มจะกลายเป็นกองสิ่งปรักหักพัง และภูเขาที่ตั้งของพระนิเวศนั้นจะเป็นเหมือนที่สูงในป่าไม้’
มคา 1.1 พระวจนะของพระเยโฮวาห์ที่มาถึงมีคาห์ชาวเมืองโมเรเชท ในรัชกาลโยธาม อาหัส และเฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งประเทศยูดาห์ ซึ่งท่านได้เห็นเกี่ยวกับสะมาเรียและเยรูซาเล็ม

โมเรเชท-กัท ( 1 )
มคา 1.14 เพราะฉะนั้น เจ้าจะต้องมอบของไว้อาลัยให้แก่โมเรเชท-กัท บรรดาเรือนของอัคซีบจะเป็นสิ่งอสัตย์แก่บรรดากษัตริย์อิสราเอล

โมเรห์ ( 3 )
ปฐก 12.6 อับรามเดินผ่านแผ่นดินนั้นจนถึงสถานที่เมืองเชเคม คือที่ราบโมเรห์ คราวนั้นชาวคานาอันยังอยู่ในแผ่นดินนั้น
พบญ 11.30 ภูเขาเหล่านี้อยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น ไปตามทางที่ดวงอาทิตย์ตกในแผ่นดินคนคานาอัน ผู้อาศัยอยู่ในที่ราบตรงหน้ากิลกาลข้างที่ราบโมเรห์มิใช่หรือ
วนฉ 7.1 เยรุบบาอัล คือกิเดโอน และบรรดาคนที่อยู่กับท่านก็ลุกขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ไปตั้งค่ายอยู่ที่ริมน้ำพุฮาโรด ฝ่ายค่ายของพวกมีเดียนอยู่ทางเหนือของเขา อยู่ในหุบเขาที่ภูเขาโมเรห์

โมลาดาห์ ( 4 )
ยชว 15.26 อามัม เชมา โมลาดาห์
ยชว 19.2 มีเมืองเหล่านี้เป็นมรดก คือเบเออร์เชบา เชบา โมลาดาห์
1พศด 4.28 เขาทั้งหลายอาศัยอยู่ในเมืองเบเออร์เชบา โมลาดาห์ ฮาซารชูอาล
นหม 11.26 และในเยชูอากับในโมลาดาห์ และเบธเปเลต

โมลิด ( 1 )
1พศด 2.29 ภรรยาของอาบีชูร์ชื่ออาบีฮาอิล และนางคลอดอัคบานและโมลิดให้ท่าน

โมเสราห์ ( 1 )
พบญ 10.6 คนอิสราเอลเดินทางจากเบเอโรทของคนยาอาคัน มาถึงโมเสราห์ อาโรนก็สิ้นชีวิตและฝังไว้ที่นั่น และเอเลอาซาร์บุตรชายของเขาจึงปฏิบัติหน้าที่ปุโรหิตแทนเขา

โมเสโรท ( 2 )
กดว 33.30 และเขายกเดินจากฮัชโมเนาห์ และตั้งค่ายที่โมเสโรท
กดว 33.31 และเขายกเดินจากโมเสโรท และตั้งค่ายที่เบเนยาอะคัน

โมเสส ( 907 )
อพย 2.10; อพย 2.11; อพย 2.13; อพย 2.14; อพย 2.15; อพย 2.17; อพย 2.21; อพย 2.22; อพย 3.1; อพย 3.2; อพย 3.3; อพย 3.4; อพย 3.6; อพย 3.11; อพย 3.13; อพย 3.14; อพย 3.15; อพย 4.1; อพย 4.2; อพย 4.3; อพย 4.4; อพย 4.6; อพย 4.7; อพย 4.10; อพย 4.14; อพย 4.18; อพย 4.19; อพย 4.20; อพย 4.21; อพย 4.24; อพย 4.25; อพย 4.27; อพย 4.28; อพย 4.29; อพย 4.30; อพย 5.1; อพย 5.4; อพย 5.20; อพย 5.22; อพย 6.1; อพย 6.2; อพย 6.9; อพย 6.10; อพย 6.12; อพย 6.13; อพย 6.20; อพย 6.26; อพย 6.27; อพย 6.28; อพย 6.29; อพย 6.30; อพย 7.1; อพย 7.6; อพย 7.7; อพย 7.8; อพย 7.10; อพย 7.14; อพย 7.19; อพย 7.20; อพย 8.1; อพย 8.5; อพย 8.8; อพย 8.9; อพย 8.10; อพย 8.12; อพย 8.13; อพย 8.15; อพย 8.16; อพย 8.20; อพย 8.25; อพย 8.26; อพย 8.29; อพย 8.30; อพย 8.31; อพย 9.1; อพย 9.8; อพย 9.10; อพย 9.11; อพย 9.12; อพย 9.13; อพย 9.22; อพย 9.23; อพย 9.27; อพย 9.29; อพย 9.33; อพย 9.35; อพย 10.1; อพย 10.3; อพย 10.6; อพย 10.8; อพย 10.9; อพย 10.11; อพย 10.12; อพย 10.13; อพย 10.16; อพย 10.18; อพย 10.21; อพย 10.22; อพย 10.24; อพย 10.25; อพย 10.28; อพย 10.29; อพย 11.1; อพย 11.3; อพย 11.4; อพย 11.8; อพย 11.9; อพย 11.10; อพย 12.1; อพย 12.21; อพย 12.28; อพย 12.31; อพย 12.35; อพย 12.43; อพย 12.50; อพย 13.1; อพย 13.3; อพย 13.19; อพย 14.1; อพย 14.11; อพย 14.13; อพย 14.15; อพย 14.21; อพย 14.26; อพย 14.27; อพย 14.31; อพย 15.1; อพย 15.22; อพย 15.24; อพย 15.25; อพย 16.2; อพย 16.4; อพย 16.6; อพย 16.8; อพย 16.9; อพย 16.11; อพย 16.15; อพย 16.19; อพย 16.20; อพย 16.22; อพย 16.23; อพย 16.24; อพย 16.25; อพย 16.28; อพย 16.32; อพย 16.33; อพย 16.34; อพย 17.2; อพย 17.3; อพย 17.4; อพย 17.5; อพย 17.6; อพย 17.7; อพย 17.9; อพย 17.10; อพย 17.11; อพย 17.12; อพย 17.14; อพย 17.15; อพย 18.1; อพย 18.2; อพย 18.3; อพย 18.5; อพย 18.6; อพย 18.7; อพย 18.8; อพย 18.12; อพย 18.13; อพย 18.14; อพย 18.15; อพย 18.17; อพย 18.24; อพย 18.25; อพย 18.26; อพย 18.27; อพย 19.3; อพย 19.7; อพย 19.8; อพย 19.9; อพย 19.10; อพย 19.14; อพย 19.17; อพย 19.19; อพย 19.20; อพย 19.21; อพย 19.23; อพย 19.24; อพย 19.25; อพย 20.19; อพย 20.20; อพย 20.21; อพย 20.22; อพย 24.1; อพย 24.2; อพย 24.3; อพย 24.4; อพย 24.6; อพย 24.8; อพย 24.9; อพย 24.12; อพย 24.13; อพย 24.15; อพย 24.16; อพย 24.18; อพย 25.1; อพย 30.11; อพย 30.17; อพย 30.22; อพย 30.34; อพย 31.1; อพย 31.12; อพย 31.18; อพย 32.1; อพย 32.7; อพย 32.9; อพย 32.11; อพย 32.15; อพย 32.17; อพย 32.18; อพย 32.19; อพย 32.21; อพย 32.23; อพย 32.25; อพย 32.26; อพย 32.27; อพย 32.28; อพย 32.29; อพย 32.30; อพย 32.31; อพย 32.33; อพย 33.1; อพย 33.5; อพย 33.7; อพย 33.8; อพย 33.9; อพย 33.11; อพย 33.12; อพย 33.15; อพย 33.17; อพย 33.18; อพย 34.1; อพย 34.4; อพย 34.5; อพย 34.8; อพย 34.27; อพย 34.28; อพย 34.29; อพย 34.30; อพย 34.31; อพย 34.32; อพย 34.34; อพย 34.35; อพย 35.1; อพย 35.4; อพย 35.20; อพย 35.29; อพย 35.30; อพย 36.2; อพย 36.3; อพย 36.5; อพย 36.6; อพย 38.21; อพย 38.22; อพย 39.1; อพย 39.5; อพย 39.7; อพย 39.21; อพย 39.26; อพย 39.29; อพย 39.31; อพย 39.32; อพย 39.33; อพย 39.42; อพย 39.43; อพย 40.1; อพย 40.16; อพย 40.18; อพย 40.19; อพย 40.21; อพย 40.23; อพย 40.25; อพย 40.27; อพย 40.29; อพย 40.31; อพย 40.32; อพย 40.33; อพย 40.35; ลนต 1.1; ลนต 4.1; ลนต 5.14; ลนต 6.1; ลนต 6.8; ลนต 6.19; ลนต 6.24; ลนต 7.22; ลนต 7.28; ลนต 7.38; ลนต 8.1; ลนต 8.4; ลนต 8.5; ลนต 8.6; ลนต 8.8; ลนต 8.9; ลนต 8.10; ลนต 8.13; ลนต 8.15; ลนต 8.16; ลนต 8.17; ลนต 8.19; ลนต 8.20; ลนต 8.21; ลนต 8.23; ลนต 8.24; ลนต 8.28; ลนต 8.29; ลนต 8.30; ลนต 8.31; ลนต 8.36; ลนต 9.1; ลนต 9.5; ลนต 9.6; ลนต 9.7; ลนต 9.10; ลนต 9.21; ลนต 9.23; ลนต 10.3; ลนต 10.4; ลนต 10.5; ลนต 10.6; ลนต 10.7; ลนต 10.11; ลนต 10.12; ลนต 10.16; ลนต 10.19; ลนต 10.20; ลนต 11.1; ลนต 12.1; ลนต 13.1; ลนต 14.1; ลนต 14.33; ลนต 15.1; ลนต 16.1; ลนต 16.2; ลนต 16.34; ลนต 17.1; ลนต 18.1; ลนต 19.1; ลนต 20.1; ลนต 21.1; ลนต 21.16; ลนต 21.24; ลนต 22.1; ลนต 22.17; ลนต 22.26; ลนต 23.1; ลนต 23.9; ลนต 23.23; ลนต 23.26; ลนต 23.33; ลนต 23.44; ลนต 24.1; ลนต 24.11; ลนต 24.13; ลนต 24.23; ลนต 25.1; ลนต 26.46; ลนต 27.1; ลนต 27.34; กดว 1.1; กดว 1.17; กดว 1.19; กดว 1.44; กดว 1.48; กดว 1.54; กดว 2.1; กดว 2.33; กดว 2.34; กดว 3.1; กดว 3.5; กดว 3.11; กดว 3.14; กดว 3.16; กดว 3.38; กดว 3.39; กดว 3.40; กดว 3.42; กดว 3.44; กดว 3.49; กดว 3.51; กดว 4.1; กดว 4.17; กดว 4.21; กดว 4.34; กดว 4.37; กดว 4.41; กดว 4.45; กดว 4.46; กดว 4.49; กดว 5.1; กดว 5.4; กดว 5.5; กดว 5.11; กดว 6.1; กดว 6.22; กดว 7.1; กดว 7.4; กดว 7.6; กดว 7.11; กดว 7.89; กดว 8.1; กดว 8.3; กดว 8.4; กดว 8.5; กดว 8.20; กดว 8.22; กดว 8.23; กดว 9.1; กดว 9.4; กดว 9.5; กดว 9.6; กดว 9.8; กดว 9.9; กดว 9.23; กดว 10.1; กดว 10.13; กดว 10.29; กดว 10.30; กดว 10.31; กดว 10.35; กดว 11.2; กดว 11.10; กดว 11.11; กดว 11.16; กดว 11.21; กดว 11.23; กดว 11.24; กดว 11.25; กดว 11.27; กดว 11.28; กดว 11.29; กดว 11.30; กดว 12.1; กดว 12.2; กดว 12.3; กดว 12.4; กดว 12.7; กดว 12.8; กดว 12.11; กดว 12.13; กดว 12.14; กดว 13.1; กดว 13.3; กดว 13.16; กดว 13.17; กดว 13.26; กดว 13.27; กดว 13.30; กดว 14.2; กดว 14.5; กดว 14.11; กดว 14.13; กดว 14.26; กดว 14.36; กดว 14.39; กดว 14.41; กดว 14.44; กดว 15.1; กดว 15.17; กดว 15.22; กดว 15.23; กดว 15.33; กดว 15.35; กดว 15.36; กดว 15.37; กดว 16.2; กดว 16.3; กดว 16.4; กดว 16.8; กดว 16.12; กดว 16.15; กดว 16.16; กดว 16.18; กดว 16.20; กดว 16.23; กดว 16.25; กดว 16.26; กดว 16.28; กดว 16.36; กดว 16.40; กดว 16.41; กดว 16.42; กดว 16.43; กดว 16.44; กดว 16.46; กดว 16.47; กดว 16.50; กดว 17.1; กดว 17.6; กดว 17.7; กดว 17.8; กดว 17.9; กดว 17.10; กดว 17.11; กดว 17.12; กดว 18.25; กดว 19.1; กดว 20.2; กดว 20.3; กดว 20.6; กดว 20.7; กดว 20.9; กดว 20.10; กดว 20.11; กดว 20.12; กดว 20.14; กดว 20.23; กดว 20.27; กดว 20.28; กดว 21.5; กดว 21.7; กดว 21.8; กดว 21.9; กดว 21.16; กดว 21.32; กดว 21.34; กดว 25.4; กดว 25.5; กดว 25.6; กดว 25.10; กดว 25.16; กดว 26.1; กดว 26.3; กดว 26.4; กดว 26.9; กดว 26.52; กดว 26.59; กดว 26.63; กดว 26.64; กดว 27.2; กดว 27.5; กดว 27.6; กดว 27.11; กดว 27.12; กดว 27.15; กดว 27.18; กดว 27.22; กดว 27.23; กดว 28.1; กดว 29.40; กดว 30.1; กดว 30.16; กดว 31.1; กดว 31.3; กดว 31.6; กดว 31.7; กดว 31.12; กดว 31.13; กดว 31.14; กดว 31.15; กดว 31.21; กดว 31.25; กดว 31.31; กดว 31.41; กดว 31.42; กดว 31.47; กดว 31.48; กดว 31.49; กดว 31.51; กดว 31.54; กดว 32.2; กดว 32.6; กดว 32.20; กดว 32.25; กดว 32.28; กดว 32.29; กดว 32.33; กดว 32.40; กดว 33.1; กดว 33.2; กดว 33.50; กดว 34.1; กดว 34.13; กดว 34.16; กดว 35.1; กดว 35.9; กดว 36.1; กดว 36.5; กดว 36.10; กดว 36.13; พบญ 1.1; พบญ 1.3; พบญ 1.5; พบญ 4.41; พบญ 4.44; พบญ 4.45; พบญ 4.46; พบญ 5.1; พบญ 27.1; พบญ 27.9; พบญ 27.11; พบญ 29.1; พบญ 29.2; พบญ 31.1; พบญ 31.7; พบญ 31.9; พบญ 31.10; พบญ 31.14; พบญ 31.16; พบญ 31.22; พบญ 31.24; พบญ 31.25; พบญ 31.30; พบญ 32.44; พบญ 32.45; พบญ 32.48; พบญ 33.1; พบญ 33.4; พบญ 34.1; พบญ 34.5; พบญ 34.7; พบญ 34.8; พบญ 34.9; พบญ 34.10; พบญ 34.12; ยชว 1.1; ยชว 1.2; ยชว 1.3; ยชว 1.5; ยชว 1.7; ยชว 1.13; ยชว 1.14; ยชว 1.15; ยชว 1.17; ยชว 3.7; ยชว 4.10; ยชว 4.12; ยชว 4.14; ยชว 8.31; ยชว 8.32; ยชว 8.33; ยชว 8.35; ยชว 9.24; ยชว 11.12; ยชว 11.15; ยชว 11.20; ยชว 11.23; ยชว 12.6; ยชว 13.8; ยชว 13.12; ยชว 13.14; ยชว 13.15; ยชว 13.21; ยชว 13.24; ยชว 13.29; ยชว 13.32; ยชว 13.33; ยชว 14.2; ยชว 14.3; ยชว 14.5; ยชว 14.6; ยชว 14.7; ยชว 14.9; ยชว 14.10; ยชว 14.11; ยชว 17.4; ยชว 18.7; ยชว 20.2; ยชว 21.2; ยชว 21.8; ยชว 22.2; ยชว 22.4; ยชว 22.5; ยชว 22.7; ยชว 22.9; ยชว 23.6; ยชว 24.5; วนฉ 1.16; วนฉ 1.20; วนฉ 3.4; วนฉ 4.11; 1ซมอ 12.6; 1ซมอ 12.8; 1พกษ 2.3; 1พกษ 8.9; 1พกษ 8.53; 1พกษ 8.56; 2พกษ 14.6; 2พกษ 18.4; 2พกษ 18.6; 2พกษ 18.12; 2พกษ 21.8; 2พกษ 23.25; 1พศด 6.3; 1พศด 6.49; 1พศด 15.15; 1พศด 21.29; 1พศด 22.13; 1พศด 23.13; 1พศด 23.14; 1พศด 23.15; 1พศด 26.24; 2พศด 1.3; 2พศด 5.10; 2พศด 8.13; 2พศด 23.18; 2พศด 24.6; 2พศด 24.9; 2พศด 25.4; 2พศด 30.16; 2พศด 33.8; 2พศด 34.14; 2พศด 35.6; 2พศด 35.12; อสร 3.2; อสร 6.18; อสร 7.6; นหม 1.7; นหม 1.8; นหม 8.1; นหม 8.14; นหม 9.14; นหม 10.29; นหม 13.1; สดด 77.20; สดด 99.6; สดด 103.7; สดด 105.26; สดด 106.16; สดด 106.23; สดด 106.32; สดด 106.33; อสย 63.11; อสย 63.12; ยรม 15.1; ดนล 9.11; ดนล 9.13; มคา 6.4; มลค 4.4; มธ 8.4; มธ 17.3; มธ 17.4; มธ 19.7; มธ 19.8; มธ 22.24; มธ 23.2; มก 1.44; มก 7.10; มก 9.4; มก 9.5; มก 10.3; มก 10.4; มก 10.5; มก 12.19; มก 12.26; ลก 2.22; ลก 5.14; ลก 9.30; ลก 9.33; ลก 16.29; ลก 16.31; ลก 20.28; ลก 20.37; ลก 24.27; ลก 24.44; ยน 1.17; ยน 1.45; ยน 3.14; ยน 5.45; ยน 5.46; ยน 5.47; ยน 6.32; ยน 7.19; ยน 7.22; ยน 7.23; ยน 8.5; ยน 9.28; ยน 9.29; กจ 3.22; กจ 6.11; กจ 6.14; กจ 7.20; กจ 7.22; กจ 7.23; กจ 7.26; กจ 7.27; กจ 7.29; กจ 7.30; กจ 7.31; กจ 7.32; กจ 7.33; กจ 7.35; กจ 7.37; กจ 7.38; กจ 7.39; กจ 7.40; กจ 7.44; กจ 13.39; กจ 15.1; กจ 15.5; กจ 15.21; กจ 21.21; กจ 26.22; กจ 28.23; รม 5.14; รม 9.15; รม 10.5; รม 10.19; 1คร 9.9; 1คร 10.2; 2คร 3.7; 2คร 3.13; 2คร 3.15; 2ทธ 3.8; ฮบ 3.2; ฮบ 3.3; ฮบ 3.5; ฮบ 3.16; ฮบ 7.14; ฮบ 8.5; ฮบ 9.19; ฮบ 10.28; ฮบ 11.23; ฮบ 11.24; ฮบ 12.21; ยด 1.9; วว 15.3

โมหะ ( 1 )
อฟ 6.12 เพราะว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือดแต่ต่อสู้กับเทพผู้ครอง ศักดิเทพ เทพผู้ครองพิภพในโมหะความมืดแห่งโลกนี้ ต่อสู้กับเหล่าวิญญาณที่ชั่วในสถานฟ้าอากาศ

โมโห ( 5 )
สภษ 14.17 คนโมโหฉับพลันประพฤติโง่เขลา และคนวางแผนชั่วร้ายเป็นที่เกลียดชัง
สภษ 14.29 บุคคลที่โกรธช้าก็มีความเข้าใจมาก แต่บุคคลที่โมโหเร็วก็ยกย่องความโง่
สภษ 19.19 คนที่โมโหฉุนเฉียวจะต้องได้รับโทษ เพราะถ้าเจ้าช่วยเขาให้พ้นแล้ว ก็ต้องช่วยเขาให้พ้นอีก
สภษ 29.22 คนเจ้าโมโหย่อมเร้าการวิวาท และคนที่มักโกรธก็เป็นเหตุให้มีการละเมิดมากขึ้น
ปญจ 10.4 ถ้าใจของเจ้านายเกิดโมโหขึ้นต่อท่าน อย่าออกเสียจากที่ของท่าน เพราะว่าอารมณ์เย็นย่อมระงับความผิดใหญ่หลวงไว้ได้

โมอับ ( 167 )
ปฐก 19.37 บุตรสาวหัวปีคลอดบุตรชายคนหนึ่งและเรียกชื่อของเขาว่า โมอับ เขาเป็นบรรพบุรุษของคนโมอับมาจนถึงทุกวันนี้
ปฐก 36.35 เมื่อหุชามสิ้นพระชนม์แล้ว ฮาดัดบุตรชายของเบดัดผู้รบชนะคนมีเดียนในทุ่งแห่งโมอับขึ้นครอบครองแทน เมืองหลวงของท่านชื่ออาวีท
อพย 15.15 ครั้งนั้นพวกเจ้านายในเมืองเอโดมก็จะพากันหวาดกลัว และพวกหัวหน้าในเมืองโมอับก็จะสะทกสะท้าน ชาวเมืองคานาอันทั้งปวงก็จะระส่ำระสายไป
กดว 21.11 และเขาออกเดินจากโอโบทไปตั้งค่ายอยู่ที่อิเยอาบาริม อยู่ในถิ่นทุรกันดาร ตรงข้ามโมอับ ทางทิศตะวันขึ้น
กดว 21.13 เขายกออกจากที่นั่นไปตั้งอยู่ฟากแม่น้ำอารโนนข้างโน้น ซึ่งอยู่ในถิ่นทุรกันดารที่ยืดมาจากพรมแดนของคนอาโมไรต์ เพราะว่าแม่น้ำอารโนนเป็นพรมแดนของโมอับ ระหว่างโมอับกับคนอาโมไรต์
กดว 21.15 และที่เชิงลาดของที่ลุ่มเหล่านั้นซึ่งยืดไปจนถึงที่ตั้งเมืองอาร์ และพาดพิงไปถึงพรมแดนโมอับ”
กดว 21.20 และจากบาโมทถึงหุบเขาซึ่งอยู่ในท้องถิ่นโมอับข้างยอดเขาปิสกาห์ซึ่งมองลงมาเห็นเยชิโมน
กดว 21.28 เพราะว่ามีไฟออกไปจากเฮชโบน มีเปลวไฟออกไปจากเมืองแห่งสิโหน ได้ทำลายเมืองอาร์ของโมอับ เจ้าของแห่งปูชนียสถานสูงของแม่น้ำอารโนน
กดว 21.29 โมอับเอ๋ย วิบัติแก่เจ้า โอ ชนชาติแห่งพระเคโมชเอ๋ย เจ้าต้องพินาศ พระเคโมชได้มอบทั้งบุตรชายของตนที่หลบภัยแล้วกับบุตรสาวของตน ให้เป็นเชลยของสิโหนกษัตริย์คนอาโมไรต์
กดว 22.1 แล้วคนอิสราเอลก็ยกออกไปตั้งค่ายอยู่ ณ ที่ราบโมอับซึ่งอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ใกล้เมืองเยรีโค
กดว 22.3 ทั้งโมอับก็ครั่นคร้ามต่อชนชาตินั้นนักหนา เพราะเขามีคนมากด้วยกัน โมอับกลัวคนอิสราเอลลานทีเดียว
กดว 22.4 โมอับจึงพูดกับพวกผู้ใหญ่ของเมืองมีเดียนว่า “คนเหล่านี้จะมาเลียกินสารพัดที่ล้อมรอบเราอยู่หมด เหมือนวัวเลียกินหญ้าในนา” บาลาคบุตรชายศิปโปร์เป็นกษัตริย์เมืองโมอับในเวลานั้น
กดว 22.7 ดังนั้นพวกผู้ใหญ่ของเมืองโมอับกับพวกผู้ใหญ่ของเมืองมีเดียนก็ถือค่าการทำอาถรรพ์นั้นออกไป ครั้นเขาทั้งหลายมาถึงบาลาอัม ก็บอกคำของบาลาคแก่เขา
กดว 22.8 บาลาอัมกล่าวแก่คนเหล่านั้นว่า “คืนนี้จงค้างที่นี่ก่อน เมื่อพระเยโฮวาห์ตรัสอย่างไรแก่ข้าแล้ว ข้าจึงจะนำคำนั้นมาแจ้งแก่ท่านทั้งหลาย” ดังนั้นเจ้าเมืองแห่งโมอับจึงยับยั้งอยู่กับบาลาอัม
กดว 22.10 บาลาอัมทูลพระเจ้าว่า “บาลาคบุตรชายศิปโปร์กษัตริย์เมืองโมอับได้ใช้เขาทั้งหลายมาแจ้งแก่ข้าพระองค์ว่า
กดว 22.14 เพราะฉะนั้นเจ้านายแห่งโมอับก็ลุกขึ้นกลับไปหาบาลาคกล่าวว่า “บาลาอัมปฏิเสธไม่ยอมมากับเรา”
กดว 22.21 ดังนั้นรุ่งเช้าบาลาอัมก็ลุกขึ้นผูกอานลา ไปกับเจ้านายแห่งโมอับ
กดว 22.36 เมื่อบาลาคได้ยินว่าบาลาอัมมาแล้ว ท่านจึงออกไปรับบาลาอัมที่เมืองโมอับที่สุดปลายพรมแดนซึ่งเกิดขึ้นด้วยแม่น้ำอารโนน
กดว 23.6 บาลาอัมจึงกลับไปหาบาลาค และดูเถิด บาลาคกับบรรดาเจ้านายแห่งโมอับยืนอยู่ที่ข้างเครื่องเผาบูชาของท่าน
กดว 23.7 บาลาอัมได้กล่าวกลอนภาษิตของเขาว่า “บาลาคได้พาข้าพเจ้ามาจากอารัม ท่านกษัตริย์ของโมอับได้พาข้าพเจ้ามาจากภูเขาทางตะวันออก กล่าวว่า ‘มาเถิด มาแช่งยาโคบเพื่อข้าพเจ้า มาเถิด มาประณามอิสราเอล’
กดว 23.17 บาลาอัมก็กลับมาหาบาลาค ดูเถิด เขายืนอยู่ข้างเครื่องเผาบูชาของท่าน มีเจ้านายแห่งโมอับยืนอยู่กับท่าน บาลาคจึงถามเขาว่า “พระเยโฮวาห์ตรัสว่ากระไร”
กดว 24.17 ข้าพเจ้าจะเห็นเขา แต่ไม่ใช่อย่างเดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้าจะดูเขา แต่ไม่ใช่อย่างใกล้ๆนี้ ดาวดวงหนึ่งจะเดินออกมาจากยาโคบ และธารพระกรอันหนึ่งจะขึ้นมาจากอิสราเอล จะตีเขตแดนของโมอับและทำลายบรรดาลูกหลานของเชท
กดว 26.3 โมเสสกับเอเลอาซาร์ปุโรหิต ปราศรัยกับเขาทั้งหลาย ณ ที่ราบโมอับ ริมแม่น้ำจอร์แดนใกล้เมืองเยรีโคว่า
กดว 26.63 จำนวนคนเหล่านี้โมเสสและเอเลอาซาร์ปุโรหิตได้นับไว้ ครั้งเมื่อนับคนอิสราเอล ณ ที่ราบโมอับ ริมแม่น้ำจอร์แดนใกล้เมืองเยรีโค
กดว 31.12 แล้วเขานำเชลยและทรัพย์สินที่ปล้นได้กับของที่ริบได้ทั้งหมดมายังโมเสส และเอเลอาซาร์ปุโรหิต และชุมนุมชนอิสราเอลที่ค่าย ณ ที่ราบโมอับ ริมแม่น้ำจอร์แดนใกล้เมืองเยรีโค
กดว 33.44 และเขายกเดินจากโอโบท มาตั้งค่ายที่อิเยอาบาริม ในดินแดนโมอับ
กดว 33.48 และเขายกเดินจากภูเขาอาบาริม และตั้งค่าย ณ ที่ราบโมอับ ริมแม่น้ำจอร์แดนใกล้เมืองเยรีโค
กดว 33.49 เขาตั้งค่ายอยู่ริมแม่น้ำจอร์แดนตั้งแต่เบธเยชิโมท ไกลไปจนถึงอาเบลชิทธิม ณ ที่ราบโมอับ
กดว 33.50 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสส ณ ที่ราบโมอับ ริมแม่น้ำจอร์แดนใกล้เมืองเยรีโคว่า
กดว 35.1 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสส ณ ที่ราบโมอับ ริมแม่น้ำจอร์แดนใกล้เมืองเยรีโคว่า
กดว 36.13 ข้อความเหล่านี้เป็นบทบัญญัติและคำตัดสินซึ่งพระเยโฮวาห์ได้ทรงบัญชาทางโมเสสแก่คนอิสราเอล ณ ที่ราบโมอับ ริมแม่น้ำจอร์แดนใกล้เมืองเยรีโค
พบญ 1.5 โมเสสได้เริ่มอธิบายพระราชบัญญัตินี้ที่ในแผ่นดินโมอับฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ว่า
พบญ 2.8 แล้วเราทั้งหลายได้เดินเลยไปจากพี่น้องของเราพวกลูกหลานเอซาวผู้อยู่ที่เสอีร์ ไปจากทางที่ราบจากเอลัทและจากเอซีโอนเกเบอร์ และเราได้เลี้ยวไปเดินตามทางถิ่นทุรกันดารโมอับ
พบญ 2.9 และพระเยโฮวาห์ได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เจ้าทั้งหลายอย่าราวีพวกโมอับหรือสู้รบกับเขาเลย เพราะเราจะไม่ให้ที่ของเขาแก่เจ้าเพื่อยึดครอง ด้วยเราได้ให้ที่ตำบลอาร์นั้นแก่ลูกหลานของโลทให้ปกครองแล้ว’
พบญ 2.29 (ดุจพวกลูกหลานเอซาวที่อยู่ตำบลเสอีร์ และพวกโมอับที่อยู่ตำบลอาร์ ได้กระทำแก่ข้าพเจ้านั้น) จนข้าพเจ้าข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปในแผ่นดินที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลายได้ทรงประทานแก่ข้าพเจ้า’
พบญ 29.1 ต่อไปนี้เป็นถ้อยคำในพันธสัญญาซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงบัญชาโมเสสให้กระทำกับคนอิสราเอลในแผ่นดินโมอับ นอกเหนือพันธสัญญาซึ่งพระองค์ทรงกระทำกับพวกเขาที่โฮเรบ
พบญ 32.49 “จงขึ้นไปบนภูเขาอาบาริม ถึงยอดเขาเนโบ ซึ่งอยู่ในแผ่นดินโมอับ ตรงข้ามเมืองเยรีโค และดูแผ่นดินคานาอัน ซึ่งเราให้แก่ประชาชนอิสราเอลเป็นกรรมสิทธิ์
พบญ 34.1 และโมเสสก็ขึ้นไปจากราบโมอับถึงภูเขาเนโบ ถึงยอดเขาปิสกาห์ ซึ่งอยู่ตรงข้ามเมืองเยรีโค และพระเยโฮวาห์ทรงสำแดงให้ท่านเห็นแผ่นดินนั้นทั้งหมด คือกิเลอาดจนถึงดาน
พบญ 34.5 เหตุฉะนั้นโมเสสผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์จึงสิ้นชีวิตที่นั่นในแผ่นดินโมอับ ตามพระดำรัสของพระเยโฮวาห์
พบญ 34.6 และพระองค์ทรงฝังท่านไว้ในหุบเขาในแผ่นดินโมอับ ตรงข้ามเบธเปโอร์ จนถึงทุกวันนี้หามีผู้ใดรู้จักที่ฝังศพของท่านไม่
พบญ 34.8 และคนอิสราเอลร้องไห้ถึงโมเสสที่ราบโมอับสามสิบวัน แล้ววันที่ร้องไห้ไว้ทุกข์ถึงโมเสสก็สิ้นลง
ยชว 13.32 เหล่านี้เป็นดินแดนต่างๆซึ่งโมเสสได้แบ่งปันให้เป็นมรดก ณ ที่ราบโมอับ ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นทิศตะวันออกของเมืองเยรีโค
ยชว 24.9 คราวนั้นบาลาคบุตรชายศิปโปร์กษัตริย์เมืองโมอับได้ลุกขึ้นต่อสู้กับอิสราเอล เขาใช้ให้ไปตามบาลาอัมบุตรชายเบโอร์มาให้แช่งเจ้าทั้งหลาย
วนฉ 3.12 และคนอิสราเอลกระทำชั่วในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์อีก พระเยโฮวาห์จึงทรงเสริมกำลังเอกโลนกษัตริย์เมืองโมอับเพื่อต่อสู้อิสราเอล เพราะว่าเขาทั้งหลายได้ประพฤติชั่วในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์
วนฉ 3.14 และคนอิสราเอลจึงปฏิบัติเอกโลนกษัตริย์เมืองโมอับอยู่ถึงสิบแปดปี
วนฉ 3.15 แต่เมื่อคนอิสราเอลร้องทูลพระเยโฮวาห์ พระเยโฮวาห์ทรงให้เกิดผู้ช่วยคนหนึ่งแก่เขาทั้งหลาย ชื่อเอฮูด บุตรชายเก-รา คนเบนยามิน คนถนัดมือซ้าย คนอิสราเอลให้ท่านเป็นผู้นำส่วยไปมอบแก่เอกโลนกษัตริย์เมืองโมอับ
วนฉ 3.17 เขาก็นำส่วยไปมอบแก่เอกโลนกษัตริย์เมืองโมอับ ฝ่ายเอกโลนเป็นคนอ้วนมาก
วนฉ 3.30 โมอับจึงพ่ายแพ้อยู่ใต้มือของอิสราเอลในวันนั้น และแผ่นดินนั้นก็ได้หยุดพักสงบอยู่แปดสิบปี
วนฉ 10.6 คนอิสราเอลก็กระทำชั่วในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์อีก ไปปรนนิบัติพระบาอัล พระอัชทาโรท พวกพระของเมืองซีเรีย พวกพระของเมืองไซดอน พวกพระของเมืองโมอับ พวกพระของคนอัมโมน พวกพระของคนฟีลิสเตีย และละทิ้งพระเยโฮวาห์เสีย หาได้ปรนนิบัติพระองค์ไม่
วนฉ 11.15 ให้กล่าวว่า “เยฟธาห์กล่าวดังนี้ว่า อิสราเอลมิได้ยึดแผ่นดินของโมอับ หรือแผ่นดินของคนอัมโมน
วนฉ 11.17 อิสราเอลจึงส่งผู้สื่อสารไปยังกษัตริย์เอโดมกล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าขออนุญาตยกผ่านแผ่นดินของท่านไป’ แต่กษัตริย์เอโดมไม่ฟัง และก็ได้ส่งคำขอเช่นเดียวกันไปยังกษัตริย์เมืองโมอับด้วย แต่ท่านก็ไม่ตกลง ดังนั้นอิสราเอลจึงยับยั้งอยู่ที่คาเดช
วนฉ 11.18 แล้วเขาก็เดินไปในถิ่นทุรกันดารอ้อมแผ่นดินเอโดม และแผ่นดินโมอับ และมาทางด้านตะวันออกของแผ่นดินโมอับ และตั้งค่ายอยู่ที่ฟากแม่น้ำอารโนนข้างโน้น แต่เขามิได้เข้าไปในเขตแดนของโมอับ เพราะว่าแม่น้ำอารโนนเป็นพรมแดนของโมอับ
วนฉ 11.25 ฝ่ายท่านจะดีกว่าบาลาคบุตรชายสิปโปร์กษัตริย์เมืองโมอับหรือ ท่านเคยแข่งขันกับอิสราเอลหรือ ท่านเคยต่อสู้กับเขาทั้งหลายหรือ
นรธ 1.1 อยู่มาในสมัยเมื่อผู้วินิจฉัยครอบครองอยู่นั้นเกิดกันดารอาหารขึ้นในแผ่นดิน มีชายคนหนึ่งเป็นชาวเมืองเบธเลเฮมในยูดาห์ไปอาศัยอยู่ในแผ่นดินโมอับ คือตัวเขาพร้อมกับภรรยาและบุตรชายสองคน
นรธ 1.2 ชายคนนั้นชื่อเอลีเมเลค ภรรยาชื่อนาโอมี บุตรชายสองคนชื่อมารห์โลนและคิลิโอน เป็นชาวเอฟราธาห์ มาจากเมืองเบธเลเฮมในยูดาห์ เขาทั้งหลายเดินทางเข้าไปในแผ่นดินโมอับและอาศัยอยู่ที่นั่น
นรธ 1.6 แล้วนางนั้นพร้อมกับลูกสะใภ้ทั้งสองก็ลุกขึ้นออกเดินทางจากแผ่นดินโมอับ เพราะว่าเมื่ออยู่ในแผ่นดินโมอับนั้น นางได้ยินข่าวว่า พระเยโฮวาห์ได้ทรงเยี่ยมเยียนชนชาติของพระองค์และประทานอาหารแก่เขาทั้งหลาย
นรธ 1.22 ดังนั้นนาโอมีจึงกลับมา และรูธลูกสะใภ้ชาวโมอับก็กลับมาด้วย ผู้กลับมาจากแผ่นดินโมอับ และเขาทั้งสองมายังเมืองเบธเลเฮมในต้นฤดูเกี่ยวข้าวบาร์เลย์
นรธ 2.6 คนใช้ซึ่งเป็นผู้ควบคุมคนเกี่ยวข้าวจึงตอบว่า “นางเป็นหญิงชาวโมอับ กลับมาจากแผ่นดินโมอับพร้อมกับนาโอมี
นรธ 4.3 ท่านจึงพูดกับญาติสนิทที่ถัดมานั้นว่า “นาซึ่งเป็นส่วนของเอลีเมเลคญาติของเรานั้น นาโอมีผู้ที่กลับมาจากแผ่นดินโมอับอยากจะขายเสีย
1ซมอ 12.9 แต่เขาทั้งหลายลืมพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขาเสีย พระองค์จึงทรงขายเขาไว้ในมือของสิเสรา แม่ทัพแห่งเมืองฮาโซร์ และมอบไว้ในมือของคนฟีลิสเตีย และไว้ในมือของกษัตริย์แห่งเมืองโมอับ และเขาเหล่านั้นก็ต่อสู้บรรพบุรุษของท่าน
1ซมอ 14.47 เมื่อซาอูลได้รับตำแหน่งกษัตริย์เหนืออิสราเอลนั้น พระองค์ได้ทรงต่อสู้บรรดาศัตรูทุกด้าน ต่อสู้กับโมอับ กับชนอัมโมน กับเอโดม กับบรรดากษัตริย์แห่งโศบาห์ และกับคนฟีลิสเตีย ไม่ว่าพระองค์จะหันไปทางไหน พระองค์ก็ทรงกระทำให้เขาพ่ายแพ้ไป
1ซมอ 22.3 ดาวิดก็ออกจากที่นั่นไปยังเมืองมิสปาห์ในแผ่นดินโมอับ และท่านทูลกษัตริย์เมืองโมอับว่า “ขอโปรดให้บิดามารดาของข้าพเจ้ามาอยู่กับพระองค์เถิด จนกว่าข้าพเจ้าจะทราบว่าพระเจ้าจะทรงกระทำประการใดเพื่อข้าพเจ้า”
1ซมอ 22.4 และท่านก็นำบิดามารดามาเฝ้ากษัตริย์แห่งโมอับ และท่านทั้งสองก็อาศัยอยู่กับกษัตริย์ตลอดเวลาที่ดาวิดอยู่ในที่กำบังเข้มแข็ง
2ซมอ 8.2 พระองค์ทรงชนะโมอับ ทรงวัดเขาด้วยเชือกวัด คือบังคับให้เรียงตัวเข้าแถวนอนลงที่พื้นดิน ทรงวัดดูแล้วให้ประหารเสียสองแถว และไว้ชีวิตเต็มหนึ่งแถว คนโมอับก็เป็นไพร่ของดาวิด และได้นำเครื่องบรรณาการมาถวาย
2ซมอ 8.12 คือได้มาจากซีเรีย โมอับ คนอัมโมน คนฟีลิสเตีย อามาเลข และจากของที่ริบมาจากฮาดัดเอเซอร์โอรสของเรโหบ กษัตริย์เมืองโศบาห์
2ซมอ 23.20 เบไนยาห์บุตรชายเยโฮยาดา เป็นบุตรชายของคนแข็งกล้าแห่งเมืองขับเซเอล เป็นคนประกอบมหกิจ ท่านได้ฆ่าคนดุจสิงโตของโมอับเสียสองคน ท่านได้ลงไปฆ่าสิงโตที่ในบ่อในวันที่หิมะตกด้วย
1พกษ 11.7 แล้วซาโลมอนได้ทรงสร้างปูชนียสถานสูงสำหรับพระเคโมช สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนของโมอับ ในภูเขาที่อยู่หน้ากรุงเยรูซาเล็ม และสำหรับพระโมเลค สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนของคนอัมโมน
1พกษ 11.33 เพราะเขาทั้งหลายได้ทอดทิ้งเรา และได้นมัสการพระอัชโทเรท พระแม่เจ้าของชาวไซดอน เคโมชพระของโมอับ และมิลโคมพระของคนอัมโมน และมิได้ดำเนินในทางของเรา เพื่อจะกระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของเรา และรักษากฎเกณฑ์ของเรา และคำตัดสินของเรา อย่างกับดาวิดบิดาของเขาได้กระทำนั้น
2พกษ 1.1 หลังจากอาหับสิ้นพระชนม์แล้ว เมืองโมอับก็กบฏต่อคนอิสราเอล
2พกษ 3.4 ฝ่ายเมชากษัตริย์แห่งโมอับทรงเป็นผู้ดำเนินกิจการเลี้ยงแกะ และพระองค์ต้องถวายลูกแกะหนึ่งแสนตัว และแกะผู้หนึ่งแสนตัวพร้อมกับขนของมันให้แก่กษัตริย์อิสราเอล
2พกษ 3.5 แต่อยู่มาเมื่ออาหับสิ้นพระชนม์แล้ว กษัตริย์แห่งโมอับก็กบฏต่อกษัตริย์แห่งอิสราเอล
2พกษ 3.7 พระองค์ทรงส่งสารไปยังเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ว่า “กษัตริย์แห่งโมอับได้กบฏต่อข้าพเจ้า ท่านจะไปรบกับโมอับพร้อมกับข้าพเจ้าได้หรือไม่” และท่านว่า “เราจะไป เราก็เป็นดังที่ท่านเป็น และประชาชนของเราก็เป็นดังประชาชนของท่าน บรรดาม้าของเราก็เป็นดังม้าของท่าน”
2พกษ 3.10 แล้วกษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงตรัสว่า “อนิจจาเอ๋ย พระเยโฮวาห์ทรงเรียกสามกษัตริย์นี้มาเพื่อจะมอบไว้ในมือของโมอับ”
2พกษ 3.13 และเอลีชาทูลกษัตริย์แห่งอิสราเอลว่า “ข้าพระองค์มีเรื่องอะไรเกี่ยวข้องกับพระองค์ เสด็จไปหาผู้พยากรณ์ของเสด็จพ่อและผู้พยากรณ์ของเสด็จแม่ของพระองค์เถิด” แต่กษัตริย์แห่งอิสราเอลตรัสกับท่านว่า “หามิได้ ด้วยพระเยโฮวาห์ทรงเป็นผู้เรียกกษัตริย์ทั้งสามนี้มาเพื่อมอบไว้ในมือของโมอับ”
2พกษ 3.23 เขาทั้งหลายกล่าวว่า “นี่เป็นโลหิต บรรดากษัตริย์ได้สู้รบกันเอง และฆ่ากันเอง เพราะฉะนั้นบัดนี้ โมอับเอ๋ย มาริบเอาข้าวของของเขา”
2พกษ 3.26 เมื่อกษัตริย์แห่งโมอับทรงเห็นว่าจะสู้ไม่ได้ พระองค์ก็ทรงพาพลดาบเจ็ดร้อยคนจะตีฝ่าออกมาทางด้านกษัตริย์เมืองเอโดม แต่ออกมาไม่ได้
1พศด 1.46 เมื่อหุชามสิ้นพระชนม์แล้ว ฮาดัดบุตรชายของเบดัดผู้รบชนะคนมีเดียนในทุ่งแห่งโมอับขึ้นครอบครองแทน เมืองหลวงของท่านชื่ออาวีท
1พศด 4.22 และโยคิม และคนเมืองโคเซบา และโยอาช และสาราฟผู้ปกครองในเมืองโมอับ และยาชูบิเลเฮม เป็นเรื่องแต่โบราณกาล
1พศด 8.8 และชาหะราอิมให้กำเนิดบุตรในดินแดนโมอับ ภายหลังจากที่เขาได้ไล่หุชิมและบาอาราภรรยาของเขาไปแล้ว
1พศด 11.22 และเบไนยาห์บุตรชายเยโฮยาดา เป็นบุตรชายของคนเก่งกล้าแห่งเมืองขับเซเอล เป็นคนประกอบมหกิจ เขาได้ฆ่าคนดุจสิงโตของโมอับเสียสองคน เขาลงไปฆ่าสิงโตที่ในบ่อในวันที่หิมะตกด้วย
1พศด 18.2 และพระองค์ทรงโจมตีโมอับ และคนโมอับก็เป็นผู้รับใช้ของดาวิดและนำบรรณาการมาถวาย
1พศด 18.11 และกษัตริย์ดาวิดทูลถวายสิ่งเหล่านี้แด่พระเยโฮวาห์ พร้อมกับเงินและทองคำซึ่งพระองค์ทรงนำมาจากประชาชาติทั้งปวง จากเอโดม โมอับ คนอัมโมน คนฟีลิสเตีย และอามาเลข
2พศด 20.10 ดูเถิด บัดนี้คนอัมโมนและโมอับ และภูเขาเสอีร์ ผู้ซึ่งพระองค์ไม่ทรงยอมให้คนอิสราเอลบุกรุก เมื่อเขามาจากแผ่นดินอียิปต์ และผู้ซึ่งเขาได้หลีกไปมิได้ทำลายเสีย
2พศด 20.22 และเมื่อเขาทั้งหลายตั้งต้นร้องเพลงสรรเสริญ พระเยโฮวาห์ทรงจัดกองซุ่มคอยต่อสู้กับคนอัมโมน โมอับ และชาวภูเขาเสอีร์ ผู้ได้เข้ามาต่อสู้กับยูดาห์ ดังนั้นเขาทั้งหลายจึงแตกพ่ายไป
2พศด 20.23 เพราะว่าคนของอัมโมนและของโมอับได้ลุกขึ้นต่อสู้กับชาวภูเขาเสอีร์ ทำลายเขาเสียอย่างสิ้นเชิง และเมื่อเขาทั้งหลายทำลายชาวเสอีร์หมดแล้ว เขาทั้งสิ้นช่วยกันทำลายซึ่งกันและกัน
นหม 13.23 ในสมัยนั้นข้าพเจ้าได้เห็นพวกยิวผู้ได้แต่งงานกับหญิงชาวอัชโดด อัมโมนและโมอับ
สดด 60.8 โมอับเป็นอ่างล้างชำระของเรา เราเหวี่ยงรองเท้าของเราลงบนเอโดม เราโห่ร้องด้วยความมีชัยเหนือฟีลิสเตีย”
สดด 83.6 คือ เต็นท์ของเอโดม และคนอิชมาเอล โมอับ และคนฮาการ์
สดด 108.9 โมอับเป็นอ่างล้างชำระของเรา เราเหวี่ยงรองเท้าของเราลงบนเอโดม เราโห่ร้องด้วยความมีชัยเหนือฟีลิสเตีย”
อสย 11.14 แต่เขาทั้งหลายจะโฉบลงเหนือไหล่เขาของคนฟีลิสเตียทางตะวันตก และเขาจะร่วมกันปล้นประชาชนทางตะวันออก เขาจะยื่นมือออกต่อสู้เอโดมและโมอับ และคนอัมโมนจะเชื่อฟังเขาทั้งหลาย
อสย 15.1 ภาระเกี่ยวกับโมอับ เพราะนครอาร์แห่งโมอับถูกทำลายร้างในคืนเดียวและได้ถึงหายนะ เพราะนครคีร์แห่งโมอับถูกทำลายร้างในคืนเดียวและได้ถึงหายนะ
อสย 15.2 เขาได้ขึ้นไปยังบายิทและดีโบน ไปยังปูชนียสถานสูงเพื่อจะร่ำไห้ โมอับจะคร่ำครวญถึงเนโบและถึงเมเดบา ศีรษะทุกศีรษะจะโล้น และหนวดเคราทุกคนก็ถูกโกนออกเสีย
อสย 15.4 เมืองเฮชโบนและเอเลอาเลห์จะส่งเสียงร้อง เสียงของเขาจะได้ยินไปถึงเมืองยาฮาส เพราะฉะนั้นทหารที่ถืออาวุธของโมอับจึงจะร้องเสียงดัง ชีวิตของเขาจะเป็นที่เศร้าโศกแก่เขา
อสย 15.5 จิตใจของข้าพเจ้าจะร้องออกมาเพื่อโมอับ ผู้หลบภัยของโมอับนั้นจะหนีไปยังโศอาร์ เหมือนยังวัวสาวที่มีอายุสามปี เพราะตามทางขึ้นไปเมืองลูฮีท เขาจะขึ้นไปคร่ำครวญ ตามถนนสู่เมืองโฮโรนาอิม เขาจะเปล่งเสียงร้องถึงการทำลาย
อสย 15.8 เพราะเสียงร้องได้กระจายไปทั่วชายแดนโมอับ เสียงคร่ำครวญไปถึงเอกลาอิม เสียงคร่ำครวญไปถึงเบเออร์เอลิม
อสย 16.2 เหมือนนกที่กำลังบินหนีอย่างลูกนกที่พลัดรัง ธิดาของโมอับจะเป็นอย่างนั้นตรงท่าลุยข้ามแม่น้ำอารโนน
อสย 16.4 โมอับเอ๋ย จงให้ผู้ถูกขับไล่ของเราอาศัยอยู่ท่ามกลางท่าน จงเป็นที่กำบังภัยแก่เขาให้พ้นจากหน้าผู้ทำลาย เพราะผู้บีบบังคับได้สิ้นสุดแล้ว ผู้ทำลายได้หยุดยั้งแล้ว และผู้เหยียบย่ำได้ถูกเผาผลาญไปเสียจากแผ่นดินแล้ว
อสย 16.6 เราได้ยินถึงความเย่อหยิ่งของโมอับ ว่าเขาหยิ่งเสียจริงๆ ถึงความจองหองของเขา ความเย่อหยิ่งของเขา และความโกรธของเขา แต่คำโกหกของเขาจะไม่สำเร็จ
อสย 16.7 เพราะฉะนั้นโมอับจะคร่ำครวญเพื่อโมอับ ทุกคนจะคร่ำครวญ เจ้าทั้งหลายจะโอดครวญเนื่องด้วยรากฐานของเมืองคีร์หะเรเชท เพราะมันจะถูกทุบแน่นอน
อสย 16.11 ฉะนั้นจิตของข้าพเจ้าจึงจะร่ำไห้เหมือนพิณเขาคู่เพื่อโมอับ และใจของข้าพเจ้าร่ำไห้เพื่อคีร์เฮเรส
อสย 16.12 และต่อมาเมื่อเห็นว่าโมอับเหน็ดเหนื่อยอยู่ที่ปูชนียสถานสูงนั้น และเมื่อเขาจะเข้ามาในสถานบริสุทธิ์ของเขาเพื่อจะอธิษฐาน เขาก็จะไม่ได้รับผล
อสย 16.13 นี่เป็นพระวจนะซึ่งพระเยโฮวาห์ตรัสเกี่ยวกับโมอับในอดีต
อสย 16.14 แต่บัดนี้ พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “ภายในสามปี ตามปีจ้างลูกจ้าง สง่าราศีของโมอับจะถูกเหยียดหยาม แม้มวลชนมหึมาของเขาทั้งสิ้นก็ดี และคนที่เหลืออยู่นั้นก็จะน้อยและกะปลกกะเปลี้ย”
อสย 25.10 เพราะพระหัตถ์ของพระเยโฮวาห์จะพักอยู่บนภูเขานี้ และโมอับจะถูกเหยียบย่ำลงภายใต้พระองค์ เหมือนเหยียบฟางลงในหลุมมูลสัตว์
ยรม 9.26 อียิปต์ ยูดาห์ เอโดม และคนอัมโมน โมอับและบรรดาคนที่อยู่ในมุมที่ไกลที่สุด ทุกคนที่อาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร เพราะบรรดาประชาชาติเหล่านี้มิได้รับพิธีเข้าสุหนัต และบรรดาวงศ์วานอิสราเอลก็มิได้รับพิธีเข้าสุหนัตทางใจ”
ยรม 25.21 เอโดม โมอับและคนอัมโมน
ยรม 27.3 และส่งมันไปยังกษัตริย์แห่งเอโดม กษัตริย์แห่งโมอับและกษัตริย์แห่งคนอัมโมน กษัตริย์แห่งไทระ และกษัตริย์แห่งไซดอน ด้วยมือของทูตที่มาเข้าเฝ้าเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ที่กรุงเยรูซาเล็ม
ยรม 40.11 ในทำนองเดียวกัน เมื่อพวกยิวทั้งหลาย ซึ่งอยู่ที่โมอับและท่ามกลางคนอัมโมน และในเอโดมและในแผ่นดินอื่นๆทั้งสิ้น ได้ยินว่ากษัตริย์แห่งบาบิโลนได้ทิ้งคนให้เหลือไว้ส่วนหนึ่งในยูดาห์และได้แต่งตั้งให้เกดาลิยาห์บุตรชายอาหิคัม ผู้เป็นบุตรชายชาฟานให้เป็นผู้ว่าราชการเหนือเขาทั้งหลาย
ยรม 48.1 เกี่ยวด้วยเรื่องโมอับ พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า “วิบัติแก่เนโบ เพราะเป็นที่ถูกทิ้งร้าง คีริยาธาอิมได้อาย มันถูกยึดแล้ว มิสกาบก็ได้อายและคร้ามกลัว
ยรม 48.2 จะไม่มีการสรรเสริญโมอับอีกต่อไป ในเมืองเฮชโบนคนเหล่านั้นได้วางแผนปองร้ายต่อโมอับว่า ‘มาเถอะ ให้เราตัดมันออกเสียจากการเป็นประชาชาติ’ โอ เมืองมัดเมนเอ๋ย เจ้าจะถูกตัดลงมาเหมือนกัน ดาบจะไล่ตามเจ้าไป
ยรม 48.4 เมืองโมอับถูกทำลายเสียแล้ว ได้ยินเสียงร้องไห้จากพวกเด็กเล็กๆของเธอ
ยรม 48.9 จงให้ปีกแก่โมอับ เพื่อว่ามันจะหนีรอดไปได้ เพราะหัวเมืองของมันจะกลายเป็นที่รกร้าง ปราศจากสิ่งใดอาศัยอยู่ในนั้น
ยรม 48.11 โมอับสบายตั้งแต่หนุ่มๆมา และได้ตกตะกอน มันไม่ได้ถูกถ่ายออกจากภาชนะนี้ไปภาชนะนั้น หรือต้องถูกกวาดไปเป็นเชลย ดังนั้น รสจึงยังอยู่ในนั้นและกลิ่นก็ไม่เปลี่ยนแปลง”
ยรม 48.13 แล้วโมอับก็จะได้อายเพราะพระเคโมช อย่างที่วงศ์วานอิสราเอลได้อายเพราะเบธเอล อันเป็นที่วางใจของเขา
ยรม 48.15 เมืองโมอับถูกทำลายและขึ้นไปจากหัวเมืองของมันแล้ว และคนหนุ่มๆที่คัดเลือกแล้วของเมืองก็ลงไปสู่การถูกฆ่า พระบรมมหากษัตริย์ผู้ทรงพระนามว่า พระเยโฮวาห์จอมโยธา ตรัสดังนี้แหละ
ยรม 48.16 ภัยพิบัติของโมอับอยู่ใกล้แค่คืบแล้ว และความทุกข์ใจของเขาก็เร่งก้าวเข้ามา
ยรม 48.18 ธิดาผู้อาศัยเมืองดีโบนเอ๋ย จงลงมาจากสง่าราศีของเจ้าและนั่งด้วยความกระหาย เพราะผู้ทำลายโมอับจะมาสู้กับเจ้า เขาจะทำลายที่กำบังเข้มแข็งของเจ้า
ยรม 48.20 โมอับถูกกระทำให้ได้อาย เพราะมันแตกเสียแล้ว คร่ำครวญและร้องร่ำไรอยู่ จงบอกแถวแม่น้ำอารโนนว่า ‘โมอับถูกทำลายเสียแล้ว’
ยรม 48.24 และเคริโอท และโบสราห์ และหัวเมืองทั้งสิ้นของแผ่นดินโมอับ ทั้งไกลและใกล้
ยรม 48.25 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เขาของโมอับถูกตัดออกแล้ว และแขนของมันก็หักไป
ยรม 48.26 จงทำให้เขามึนเมา เพราะว่าเขาได้พองตัวขึ้นต่อพระเยโฮวาห์ เพราะฉะนั้นโมอับจะต้องกลิ้งเกลือกอยู่ในอาเจียนของตัว และเขาจะถูกเยาะเย้ยด้วย
ยรม 48.28 โอ ชาวเมืองโมอับเอ๋ย จงออกเสียจากหัวเมืองไปอาศัยอยู่ในหิน จงเป็นเหมือนนกเขาซึ่งทำรังอยู่ที่ข้างปากซอก
ยรม 48.29 เราได้ยินถึงความเห่อเหิมของโมอับ (เขาเห่อเหิมมาก) ได้ยินถึงความยโส ความจองหองของเขา และความเห่อเหิมของเขา และถึงความยกตนข่มท่านในใจของเขา
ยรม 48.31 เพราะฉะนั้น เราจะคร่ำครวญเพื่อโมอับ เราจะร้องร่ำไรเพื่อโมอับทั้งมวล ใจของเราจะโอดครวญเพื่อคนของคีร์เฮเรส
ยรม 48.33 ความยินดีและความชื่นบานได้ถูกกวาดออกไปเสียจากเรือกสวนไร่นาและแผ่นดินของโมอับ เราได้กระทำให้เหล้าองุ่นหยุดไหลจากบ่อย่ำองุ่น ไม่มีคนย่ำด้วยเสียงโห่ร้อง เสียงโห่ร้องนั้นไม่ใช่เสียงโห่ร้องเลย
ยรม 48.35 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เราจะนำอวสานมาสู่ผู้ที่ถวายเครื่องบูชาในปูชนียสถานสูงและเผาเครื่องหอมถวายพระของเขาในโมอับ
ยรม 48.36 เพราะฉะนั้นใจของเราจะโอดครวญเพื่อโมอับเหมือนอย่างปี่ และใจของเราจะโอดครวญเหมือนปี่เพื่อคนเมืองคีร์เฮเรส เพราะทรัพย์สมบัติที่เขาได้มาก็ได้พินาศ
ยรม 48.38 บนหลังคาเรือนทั้งสิ้นของโมอับและตามถนนทั้งหลายในเมืองนั้นจะมีแต่เสียงโอดครวญทั่วไป เพราะเราทุบโมอับเหมือนเราทุบภาชนะที่เราไม่พอใจ พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ยรม 48.39 เขาทั้งหลายจะคร่ำครวญว่า ‘โมอับแตกแล้วหนอ โมอับหันหลังกลับด้วยความอับอายแล้วหนอ’ ดังนั้นแหละโมอับได้กลายเป็นที่เยาะเย้ย และเป็นที่หวาดเสียวแก่บรรดาผู้ที่อยู่ล้อมรอบเขา”
ยรม 48.40 เพราะพระเยโฮวาห์ตรัสว่า “ดูเถิด ผู้หนึ่งจะโฉบลงเหมือนนกอินทรี และกางปีกออกสู้โมอับ
ยรม 48.41 เคริโอทถูกจับไปและที่กำบังเข้มแข็งถูกยึด จิตใจของบรรดานักรบแห่งโมอับในวันนั้นจะเหมือนจิตใจของผู้หญิงซึ่งกำลังเจ็บครรภ์คลอดบุตร
ยรม 48.42 โมอับจะถูกทำลายและไม่เป็นชนชาติหนึ่งอีกต่อไป เพราะว่าเขาพองตัวขึ้นต่อพระเยโฮวาห์
ยรม 48.43 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า โอ ชาวเมืองโมอับเอ๋ย ความสยดสยอง หลุมพรางและกับดัก จะอยู่เหนือเจ้า
ยรม 48.44 ผู้ใดที่หนีจากความสยดสยองจะตกหลุมพราง และผู้ที่ปีนออกมาจากหลุมพรางก็จะติดกับ เพราะเราจะนำสิ่งเหล่านี้มาเหนือโมอับ ในปีแห่งการลงโทษเขา พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ยรม 48.45 ผู้ลี้ภัยได้ไปยืนอยู่อย่างหมดแรงที่ในเงาเมืองเฮชโบน เพราะว่าไฟจะออกมาจากเฮชโบน เปลวไฟจะออกมาจากท่ามกลางสิโหน มันจะทำลายดินแดนของโมอับและกระหม่อมของบรรดาคนแห่งความอลเวง
ยรม 48.46 โอ โมอับเอ๋ย วิบัติแก่เจ้า ชนชาติแห่งพระเคโมชกำลังวอดวายอยู่แล้ว เพราะบรรดาบุตรชายของเจ้าถูกจับไปเป็นเชลย และบุตรสาวของเจ้าก็เข้าในความเป็นเชลย
ยรม 48.47 แต่เรายังจะให้โมอับกลับสู่สภาพเดิมในกาลต่อไป พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ” เท่านี้เป็นข้อพิพากษาโมอับ
อสค 25.8 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เพราะโมอับและเสอีร์กล่าวว่า ‘ดูเถิด วงศ์วานยูดาห์ก็เหมือนประชาชาติอื่นๆทั้งสิ้น’
อสค 25.9 เพราะฉะนั้น ดูเถิด เราจะเปิดไหล่เขาโมอับจนไม่มีเมืองเหลือ คือเมืองของเขาจากด้านนั้น สง่าราศีของประเทศนั้น คือเมืองเบธเยชิโมท เมืองบาอัลเมโอนและเมืองคีริยาธาอิม
อสค 25.11 และเราจะพิพากษาลงโทษโมอับ แล้วเขาทั้งหลายจะทราบว่าเราคือพระเยโฮวาห์
ดนล 11.41 เขาจะเข้ามาในแผ่นดินที่รุ่งโรจน์ และประเทศหลายแห่งจะถูกคว่ำไป แต่คนเหล่านี้จะได้รับการช่วยให้พ้นมือของเขา คือเอโดมและโมอับ และส่วนใหญ่ของคนอัมโมน
อมส 2.1 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “เพราะเหตุการละเมิดของเมืองโมอับ สามครั้งและสี่ครั้ง เราจะไม่ยอมกลับการลงทัณฑ์ เพราะเขาได้เผากระดูกของกษัตริย์เอโดมให้เป็นปูน
อมส 2.2 แต่ เราจะส่งไฟมาบนโมอับ และไฟนั้นจะเผาผลาญปราสาททั้งหลายของเคริโอทเสีย และโมอับจะตายท่ามกลางเสียงสับสนอลหม่าน ท่ามกลางเสียงโห่ร้องและเสียงแตร
มคา 6.5 โอ ประชาชนของเราเอ๋ย จงระลึกว่า บาลาคกษัตริย์โมอับคิดอุบายประการใด และบาลาอัมบุตรชายเบโอร์ได้ตอบเขาอย่างไรจากชิทธิมถึงกิลกาล มีอะไรเกิดขึ้น เพื่อเจ้าจะได้ทราบความชอบธรรมของพระเยโฮวาห์”
ศฟย 2.8 “เราได้ยินคำด่าของโมอับ และคำครหาของคนอัมโมนแล้ว ซึ่งเขาด่าประชาชนของเรา และอวดอ้างเรื่องเขตแดนของเขาทั้งหลาย”
ศฟย 2.9 พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลตรัสว่า “เหตุฉะนี้ เรามีชีวิตอยู่ฉันใด แน่ทีเดียว โมอับจะกลายเป็นเหมือนเมืองโสโดม และคนอัมโมนจะเหมือนเมืองโกโมราห์ คือเป็นที่ขยายพันธุ์ต้นตำแยและบ่อเกลือ และเป็นที่รกร้างอยู่เนืองนิตย์ ชนชาติของเราส่วนที่เหลือจะปล้นเขา และชนชาติของเราที่เหลืออยู่จะยึดเขาเป็นกรรมสิทธิ์”

ไม่ ( 6786 )
ปฐก 2.5; ปฐก 2.18; ปฐก 2.20; ปฐก 2.25; ปฐก 3.4; ปฐก 4.5; ปฐก 4.7; ปฐก 4.9; ปฐก 4.12; ปฐก 6.3; ปฐก 7.2; ปฐก 7.8; ปฐก 8.9; ปฐก 8.12; ปฐก 8.21; ปฐก 9.11; ปฐก 9.15; ปฐก 11.4; ปฐก 11.6; ปฐก 11.7; ปฐก 11.30; ปฐก 12.18; ปฐก 13.6; ปฐก 14.23; ปฐก 15.2; ปฐก 15.4; ปฐก 15.10; ปฐก 15.16; ปฐก 16.1; ปฐก 16.2; ปฐก 17.5; ปฐก 17.15; ปฐก 18.21; ปฐก 18.24; ปฐก 18.25; ปฐก 18.28; ปฐก 18.29; ปฐก 18.30; ปฐก 18.31; ปฐก 18.32; ปฐก 19.8; ปฐก 19.19; ปฐก 19.21; ปฐก 19.22; ปฐก 19.31; ปฐก 19.33; ปฐก 19.35; ปฐก 20.4; ปฐก 20.6; ปฐก 20.7; ปฐก 20.9; ปฐก 20.11; ปฐก 21.10; ปฐก 21.23; ปฐก 21.26; ปฐก 23.6; ปฐก 23.15; ปฐก 24.3; ปฐก 24.5; ปฐก 24.8; ปฐก 24.16; ปฐก 24.21; ปฐก 24.33; ปฐก 24.39; ปฐก 24.41; ปฐก 24.50; ปฐก 24.58; ปฐก 26.29; ปฐก 27.1; ปฐก 27.2; ปฐก 27.12; ปฐก 27.21; ปฐก 27.23; ปฐก 28.8; ปฐก 28.15; ปฐก 28.16; ปฐก 29.5; ปฐก 29.7; ปฐก 29.8; ปฐก 29.15; ปฐก 29.26; ปฐก 30.1; ปฐก 30.2; ปฐก 30.31; ปฐก 30.33; ปฐก 30.40; ปฐก 30.42; ปฐก 31.2; ปฐก 31.5; ปฐก 31.14; ปฐก 31.26; ปฐก 31.27; ปฐก 31.28; ปฐก 31.32; ปฐก 31.33; ปฐก 31.34; ปฐก 31.35; ปฐก 31.40; ปฐก 31.42; ปฐก 31.50; ปฐก 31.52; ปฐก 32.10; ปฐก 32.25; ปฐก 32.26; ปฐก 32.28; ปฐก 32.32; ปฐก 34.14; ปฐก 34.17; ปฐก 34.19; ปฐก 35.10; ปฐก 36.7; ปฐก 37.4; ปฐก 37.14; ปฐก 37.18; ปฐก 37.24; ปฐก 37.27; ปฐก 37.32; ปฐก 37.35; ปฐก 38.9; ปฐก 38.10; ปฐก 38.16; ปฐก 38.20; ปฐก 38.21; ปฐก 38.22; ปฐก 38.23; ปฐก 39.8; ปฐก 39.9; ปฐก 39.10; ปฐก 39.11; ปฐก 39.23; ปฐก 40.8; ปฐก 40.15; ปฐก 41.8; ปฐก 41.15; ปฐก 41.19; ปฐก 41.20; ปฐก 41.21; ปฐก 41.24; ปฐก 41.31; ปฐก 41.36; ปฐก 41.39; ปฐก 41.44; ปฐก 42.2; ปฐก 42.4; ปฐก 42.7; ปฐก 42.8; ปฐก 42.15; ปฐก 42.16; ปฐก 42.20; ปฐก 42.22; ปฐก 42.23; ปฐก 42.31; ปฐก 42.37; ปฐก 42.38; ปฐก 43.3; ปฐก 43.5; ปฐก 43.8; ปฐก 43.9; ปฐก 43.10; ปฐก 43.22; ปฐก 43.30; ปฐก 43.32; ปฐก 44.4; ปฐก 44.7; ปฐก 44.10; ปฐก 44.15; ปฐก 44.17; ปฐก 44.22; ปฐก 44.23; ปฐก 44.26; ปฐก 44.28; ปฐก 44.31; ปฐก 44.32; ปฐก 45.1; ปฐก 45.3; ปฐก 45.6; ปฐก 45.26; ปฐก 46.26; ปฐก 47.4; ปฐก 47.9; ปฐก 47.18; ปฐก 47.19; ปฐก 47.22; ปฐก 47.26; ปฐก 48.10; ปฐก 48.11; ปฐก 48.17; ปฐก 48.18; ปฐก 48.19; ปฐก 49.4; ปฐก 49.10; อพย 1.19; อพย 2.3; อพย 2.12; อพย 3.3; อพย 3.6; อพย 3.19; อพย 3.21; อพย 4.1; อพย 4.8; อพย 4.9; อพย 4.10; อพย 4.18; อพย 4.21; อพย 4.23; อพย 5.2; อพย 5.9; อพย 5.10; อพย 5.11; อพย 5.14; อพย 5.18; อพย 5.19; อพย 6.12; อพย 6.30; อพย 7.4; อพย 7.13; อพย 7.14; อพย 7.16; อพย 7.18; อพย 7.21; อพย 7.22; อพย 7.24; อพย 8.2; อพย 8.10; อพย 8.15; อพย 8.18; อพย 8.19; อพย 8.21; อพย 8.26; อพย 8.29; อพย 9.2; อพย 9.4; อพย 9.6; อพย 9.7; อพย 9.11; อพย 9.12; อพย 9.14; อพย 9.17; อพย 9.18; อพย 9.21; อพย 9.24; อพย 9.26; อพย 9.28; อพย 9.29; อพย 9.30; อพย 9.32; อพย 9.35; อพย 10.3; อพย 10.4; อพย 10.5; อพย 10.6; อพย 10.7; อพย 10.11; อพย 10.14; อพย 10.15; อพย 10.19; อพย 10.20; อพย 10.23; อพย 10.26; อพย 10.27; อพย 10.29; อพย 11.6; อพย 11.7; อพย 11.9; อพย 11.10; อพย 12.4; อพย 12.5; อพย 12.13; อพย 12.23; อพย 12.30; อพย 13.13; อพย 13.15; อพย 14.11; อพย 14.13; อพย 14.25; อพย 14.28; อพย 15.23; อพย 15.26; อพย 16.4; อพย 16.15; อพย 16.18; อพย 16.25; อพย 16.26; อพย 16.27; อพย 17.1; อพย 17.14; อพย 18.17; อพย 18.18; อพย 19.23; อพย 20.7; อพย 20.20; อพย 20.26; อพย 21.2; อพย 21.5; อพย 21.6; อพย 21.8; อพย 21.11; อพย 21.18; อพย 21.21; อพย 21.22; อพย 21.28; อพย 22.2; อพย 22.3; อพย 22.8; อพย 22.10; อพย 22.11; อพย 22.13; อพย 22.14; อพย 22.15; อพย 22.16; อพย 22.17; อพย 23.7; อพย 23.21; อพย 23.26; อพย 23.29; อพย 23.33; อพย 30.20; อพย 32.1; อพย 32.23; อพย 32.32; อพย 33.3; อพย 33.4; อพย 33.20; อพย 34.7; อพย 34.10; อพย 34.24; อพย 34.29; อพย 34.30; อพย 36.6; อพย 40.35; อพย 40.37; ลนต 1.3; ลนต 1.10; ลนต 3.1; ลนต 4.3; ลนต 4.13; ลนต 4.22; ลนต 4.23; ลนต 4.28; ลนต 4.32; ลนต 5.1; ลนต 5.3; ลนต 5.7; ลนต 5.11; ลนต 5.15; ลนต 5.17; ลนต 6.3; ลนต 6.6; ลนต 7.10; ลนต 7.18; ลนต 10.12; ลนต 11.4; ลนต 11.5; ลนต 11.6; ลนต 11.7; ลนต 11.10; ลนต 11.12; ลนต 11.13; ลนต 11.26; ลนต 11.47; ลนต 12.8; ลนต 13.4; ลนต 13.5; ลนต 13.21; ลนต 13.23; ลนต 13.26; ลนต 13.28; ลนต 13.31; ลนต 13.32; ลนต 13.34; ลนต 13.36; ลนต 13.55; ลนต 14.21; ลนต 14.32; ลนต 16.2; ลนต 16.13; ลนต 16.29; ลนต 17.7; ลนต 17.16; ลนต 19.7; ลนต 19.17; ลนต 19.20; ลนต 20.4; ลนต 20.14; ลนต 20.20; ลนต 20.21; ลนต 21.3; ลนต 21.6; ลนต 21.7; ลนต 21.18; ลนต 21.23; ลนต 22.6; ลนต 22.12; ลนต 22.13; ลนต 22.20; ลนต 22.21; ลนต 22.23; ลนต 22.25; ลนต 23.12; ลนต 23.29; ลนต 25.20; ลนต 25.23; ลนต 25.26; ลนต 25.28; ลนต 25.30; ลนต 25.31; ลนต 25.34; ลนต 25.35; ลนต 25.42; ลนต 25.54; ลนต 26.6; ลนต 26.11; ลนต 26.14; ลนต 26.15; ลนต 26.17; ลนต 26.18; ลนต 26.20; ลนต 26.21; ลนต 26.23; ลนต 26.26; ลนต 26.27; ลนต 26.31; ลนต 26.36; ลนต 26.37; ลนต 26.43; ลนต 26.44; ลนต 27.10; ลนต 27.11; ลนต 27.12; ลนต 27.14; ลนต 27.20; ลนต 27.27; ลนต 27.28; ลนต 27.33; กดว 3.4; กดว 4.15; กดว 4.19; กดว 5.8; กดว 5.13; กดว 5.19; กดว 6.3; กดว 6.4; กดว 6.6; กดว 6.12; กดว 8.19; กดว 8.25; กดว 8.26; กดว 9.6; กดว 9.12; กดว 9.13; กดว 9.19; กดว 10.30; กดว 11.1; กดว 11.5; กดว 11.6; กดว 11.10; กดว 11.11; กดว 11.14; กดว 11.23; กดว 11.25; กดว 11.26; กดว 12.2; กดว 12.7; กดว 12.8; กดว 13.31; กดว 14.3; กดว 14.11; กดว 14.16; กดว 14.18; กดว 14.23; กดว 14.30; กดว 14.41; กดว 14.43; กดว 15.24; กดว 15.25; กดว 15.26; กดว 15.27; กดว 15.28; กดว 15.29; กดว 15.34; กดว 15.39; กดว 16.12; กดว 16.14; กดว 16.49; กดว 17.10; กดว 18.5; กดว 18.9; กดว 18.17; กดว 18.20; กดว 18.23; กดว 18.24; กดว 18.32; กดว 19.2; กดว 19.12; กดว 19.13; กดว 19.15; กดว 19.20; กดว 20.2; กดว 20.5; กดว 20.17; กดว 20.18; กดว 20.19; กดว 20.20; กดว 20.21; กดว 20.24; กดว 21.5; กดว 21.22; กดว 21.23; กดว 21.35; กดว 22.14; กดว 22.18; กดว 22.26; กดว 22.30; กดว 22.34; กดว 22.37; กดว 23.8; กดว 23.11; กดว 23.12; กดว 23.13; กดว 23.19; กดว 23.20; กดว 23.21; กดว 23.23; กดว 23.24; กดว 23.26; กดว 24.1; กดว 24.4; กดว 24.13; กดว 24.16; กดว 26.11; กดว 26.33; กดว 26.62; กดว 26.64; กดว 26.65; กดว 27.3; กดว 27.4; กดว 27.8; กดว 27.9; กดว 27.10; กดว 27.11; กดว 27.17; กดว 28.3; กดว 28.9; กดว 28.11; กดว 28.19; กดว 29.2; กดว 29.17; กดว 29.20; กดว 29.23; กดว 29.26; กดว 29.29; กดว 29.32; กดว 29.36; กดว 30.5; กดว 30.11; กดว 30.12; กดว 30.14; กดว 30.15; กดว 31.18; กดว 31.23; กดว 31.35; กดว 31.49; กดว 32.18; กดว 32.30; กดว 33.14; กดว 35.27; กดว 35.33; กดว 36.7; กดว 36.9; พบญ 1.9; พบญ 1.26; พบญ 1.35; พบญ 1.37; พบญ 1.39; พบญ 1.43; พบญ 2.5; พบญ 2.9; พบญ 2.19; พบญ 2.27; พบญ 2.30; พบญ 2.34; พบญ 2.36; พบญ 3.3; พบญ 3.4; พบญ 3.5; พบญ 3.11; พบญ 3.27; พบญ 4.12; พบญ 4.15; พบญ 4.21; พบญ 4.22; พบญ 4.26; พบญ 4.28; พบญ 4.31; พบญ 4.35; พบญ 4.39; พบญ 5.11; พบญ 6.10; พบญ 7.10; พบญ 7.14; พบญ 7.15; พบญ 7.24; พบญ 8.2; พบญ 8.3; พบญ 8.4; พบญ 8.9; พบญ 8.11; พบญ 8.15; พบญ 8.16; พบญ 8.20; พบญ 9.9; พบญ 9.23; พบญ 9.28; พบญ 10.9; พบญ 10.10; พบญ 11.2; พบญ 11.10; พบญ 11.17; พบญ 11.25; พบญ 11.28; พบญ 12.9; พบญ 12.12; พบญ 12.23; พบญ 12.30; พบญ 13.2; พบญ 13.3; พบญ 13.6; พบญ 13.11; พบญ 13.13; พบญ 14.7; พบญ 14.8; พบญ 14.10; พบญ 14.24; พบญ 14.27; พบญ 14.29; พบญ 15.4; พบญ 15.6; พบญ 15.9; พบญ 15.11; พบญ 15.16; พบญ 17.8; พบญ 17.12; พบญ 17.16; พบญ 18.1; พบญ 18.2; พบญ 18.14; พบญ 18.19; พบญ 19.6; พบญ 19.20; พบญ 20.5; พบญ 20.7; พบญ 20.12; พบญ 20.20; พบญ 21.1; พบญ 21.3; พบญ 21.4; พบญ 21.14; พบญ 21.18; พบญ 21.20; พบญ 22.2; พบญ 22.17; พบญ 22.19; พบญ 22.20; พบญ 22.26; พบญ 22.27; พบญ 22.28; พบญ 22.29; พบญ 23.10; พบญ 23.14; พบญ 23.21; พบญ 23.22; พบญ 23.25; พบญ 24.1; พบญ 24.4; พบญ 25.5; พบญ 25.7; พบญ 25.8; พบญ 25.9; พบญ 25.16; พบญ 27.6; พบญ 27.26; พบญ 28.12; พบญ 28.14; พบญ 28.15; พบญ 28.26; พบญ 28.27; พบญ 28.29; พบญ 28.30; พบญ 28.31; พบญ 28.32; พบญ 28.33; พบญ 28.35; พบญ 28.36; พบญ 28.39; พบญ 28.40; พบญ 28.41; พบญ 28.44; พบญ 28.45; พบญ 28.49; พบญ 28.50; พบญ 28.51; พบญ 28.55; พบญ 28.56; พบญ 28.58; พบญ 28.62; พบญ 28.64; พบญ 28.65; พบญ 28.66; พบญ 28.68; พบญ 29.15; พบญ 29.23; พบญ 29.26; พบญ 30.11; พบญ 30.18; พบญ 31.2; พบญ 31.6; พบญ 31.8; พบญ 31.13; พบญ 31.17; พบญ 31.21; พบญ 32.12; พบญ 32.17; พบญ 32.20; พบญ 32.27; พบญ 32.28; พบญ 32.31; พบญ 32.36; พบญ 32.39; พบญ 32.52; พบญ 33.9; พบญ 33.26; พบญ 34.4; พบญ 34.6; พบญ 34.7; พบญ 34.10; พบญ 34.11; ยชว 1.5; ยชว 1.18; ยชว 2.4; ยชว 2.5; ยชว 2.8; ยชว 2.11; ยชว 2.14; ยชว 2.17; ยชว 2.19; ยชว 2.22; ยชว 3.4; ยชว 5.1; ยชว 5.5; ยชว 5.6; ยชว 5.7; ยชว 5.12; ยชว 6.1; ยชว 7.3; ยชว 7.7; ยชว 7.12; ยชว 7.13; ยชว 8.14; ยชว 8.17; ยชว 8.22; ยชว 8.31; ยชว 8.35; ยชว 9.14; ยชว 9.18; ยชว 9.19; ยชว 9.23; ยชว 9.26; ยชว 10.8; ยชว 10.13; ยชว 10.14; ยชว 10.21; ยชว 10.28; ยชว 10.30; ยชว 10.33; ยชว 10.37; ยชว 10.39; ยชว 10.40; ยชว 11.8; ยชว 11.11; ยชว 11.14; ยชว 11.15; ยชว 11.19; ยชว 11.20; ยชว 11.22; ยชว 13.13; ยชว 13.14; ยชว 14.3; ยชว 14.4; ยชว 15.63; ยชว 16.10; ยชว 17.3; ยชว 17.12; ยชว 17.16; ยชว 18.7; ยชว 20.3; ยชว 20.5; ยชว 20.9; ยชว 21.44; ยชว 21.45; ยชว 22.17; ยชว 22.19; ยชว 22.25; ยชว 22.27; ยชว 22.33; ยชว 23.6; ยชว 23.9; ยชว 23.13; ยชว 23.14; ยชว 24.10; ยชว 24.13; ยชว 24.15; ยชว 24.19; วนฉ 1.19; วนฉ 1.34; วนฉ 2.1; วนฉ 2.3; วนฉ 2.10; วนฉ 2.14; วนฉ 2.17; วนฉ 2.20; วนฉ 2.21; วนฉ 2.22; วนฉ 2.23; วนฉ 3.1; วนฉ 3.2; วนฉ 3.4; วนฉ 3.22; วนฉ 3.25; วนฉ 3.28; วนฉ 3.29; วนฉ 4.8; วนฉ 4.9; วนฉ 4.16; วนฉ 4.20; วนฉ 5.23; วนฉ 5.30; วนฉ 6.4; วนฉ 6.10; วนฉ 6.23; วนฉ 6.27; วนฉ 7.4; วนฉ 7.10; วนฉ 8.1; วนฉ 8.19; วนฉ 8.20; วนฉ 8.23; วนฉ 8.28; วนฉ 9.20; วนฉ 9.41; วนฉ 9.54; วนฉ 10.6; วนฉ 10.13; วนฉ 11.2; วนฉ 11.7; วนฉ 11.17; วนฉ 11.20; วนฉ 11.24; วนฉ 11.26; วนฉ 11.34; วนฉ 11.35; วนฉ 11.39; วนฉ 12.1; วนฉ 12.2; วนฉ 12.3; วนฉ 12.5; วนฉ 12.6; วนฉ 13.2; วนฉ 13.3; วนฉ 13.6; วนฉ 13.9; วนฉ 13.16; วนฉ 13.21; วนฉ 13.23; วนฉ 14.3; วนฉ 14.4; วนฉ 14.6; วนฉ 14.13; วนฉ 14.14; วนฉ 14.16; วนฉ 14.18; วนฉ 15.1; วนฉ 15.11; วนฉ 15.12; วนฉ 15.13; วนฉ 15.18; วนฉ 16.7; วนฉ 16.8; วนฉ 16.9; วนฉ 16.11; วนฉ 16.15; วนฉ 16.17; วนฉ 16.20; วนฉ 17.6; วนฉ 18.1; วนฉ 18.5; วนฉ 18.7; วนฉ 18.9; วนฉ 18.10; วนฉ 18.27; วนฉ 18.28; วนฉ 19.1; วนฉ 19.10; วนฉ 19.12; วนฉ 19.15; วนฉ 19.18; วนฉ 19.19; วนฉ 19.25; วนฉ 19.28; วนฉ 19.30; วนฉ 20.8; วนฉ 20.13; วนฉ 20.16; วนฉ 20.17; วนฉ 20.23; วนฉ 20.34; วนฉ 21.1; วนฉ 21.7; วนฉ 21.8; วนฉ 21.9; วนฉ 21.12; วนฉ 21.14; วนฉ 21.18; วนฉ 21.22; วนฉ 21.25; นรธ 1.13; นรธ 1.18; นรธ 2.11; นรธ 2.13; นรธ 2.20; นรธ 2.22; นรธ 3.1; นรธ 3.13; นรธ 3.18; นรธ 4.4; นรธ 4.6; นรธ 4.10; 1ซมอ 1.2; 1ซมอ 1.7; 1ซมอ 1.8; 1ซมอ 1.11; 1ซมอ 1.13; 1ซมอ 1.18; 1ซมอ 1.22; 1ซมอ 2.2; 1ซมอ 2.9; 1ซมอ 2.15; 1ซมอ 2.16; 1ซมอ 2.24; 1ซมอ 2.25; 1ซมอ 2.31; 1ซมอ 2.32; 1ซมอ 3.1; 1ซมอ 3.2; 1ซมอ 3.3; 1ซมอ 3.5; 1ซมอ 3.7; 1ซมอ 3.14; 1ซมอ 3.15; 1ซมอ 3.18; 1ซมอ 4.7; 1ซมอ 4.9; 1ซมอ 4.15; 1ซมอ 4.20; 1ซมอ 5.5; 1ซมอ 5.11; 1ซมอ 5.12; 1ซมอ 6.3; 1ซมอ 6.7; 1ซมอ 6.12; 1ซมอ 6.18; 1ซมอ 7.13; 1ซมอ 8.6; 1ซมอ 8.7; 1ซมอ 8.18; 1ซมอ 8.19; 1ซมอ 9.2; 1ซมอ 9.4; 1ซมอ 9.7; 1ซมอ 9.13; 1ซมอ 10.14; 1ซมอ 10.16; 1ซมอ 10.19; 1ซมอ 10.21; 1ซมอ 10.24; 1ซมอ 10.27; 1ซมอ 11.3; 1ซมอ 11.7; 1ซมอ 11.11; 1ซมอ 12.5; 1ซมอ 12.12; 1ซมอ 12.14; 1ซมอ 12.15; 1ซมอ 12.19; 1ซมอ 12.21; 1ซมอ 12.22; 1ซมอ 13.14; 1ซมอ 13.19; 1ซมอ 13.22; 1ซมอ 14.1; 1ซมอ 14.3; 1ซมอ 14.6; 1ซมอ 14.9; 1ซมอ 14.17; 1ซมอ 14.24; 1ซมอ 14.26; 1ซมอ 14.27; 1ซมอ 14.37; 1ซมอ 14.39; 1ซมอ 14.45; 1ซมอ 14.46; 1ซมอ 15.9; 1ซมอ 15.11; 1ซมอ 15.19; 1ซมอ 15.26; 1ซมอ 15.29; 1ซมอ 15.35; 1ซมอ 16.7; 1ซมอ 16.11; 1ซมอ 17.28; 1ซมอ 17.29; 1ซมอ 17.33; 1ซมอ 17.39; 1ซมอ 17.50; 1ซมอ 17.55; 1ซมอ 18.2; 1ซมอ 18.8; 1ซมอ 18.23; 1ซมอ 18.25; 1ซมอ 18.26; 1ซมอ 19.4; 1ซมอ 19.6; 1ซมอ 19.11; 1ซมอ 19.14; 1ซมอ 20.2; 1ซมอ 20.5; 1ซมอ 20.9; 1ซมอ 20.12; 1ซมอ 20.14; 1ซมอ 20.21; 1ซมอ 20.30; 1ซมอ 20.31; 1ซมอ 20.39; 1ซมอ 21.1; 1ซมอ 21.4; 1ซมอ 21.6; 1ซมอ 21.8; 1ซมอ 21.9; 1ซมอ 22.2; 1ซมอ 22.8; 1ซมอ 22.15; 1ซมอ 22.17; 1ซมอ 23.2; 1ซมอ 23.17; 1ซมอ 24.7; 1ซมอ 24.10; 1ซมอ 24.11; 1ซมอ 24.12; 1ซมอ 24.13; 1ซมอ 24.21; 1ซมอ 25.11; 1ซมอ 25.15; 1ซมอ 25.17; 1ซมอ 25.21; 1ซมอ 25.25; 1ซมอ 25.28; 1ซมอ 25.31; 1ซมอ 25.34; 1ซมอ 25.39; 1ซมอ 26.8; 1ซมอ 26.9; 1ซมอ 26.11; 1ซมอ 26.12; 1ซมอ 26.14; 1ซมอ 26.15; 1ซมอ 26.16; 1ซมอ 26.21; 1ซมอ 27.1; 1ซมอ 27.9; 1ซมอ 28.10; 1ซมอ 28.20; 1ซมอ 28.23; 1ซมอ 29.3; 1ซมอ 29.6; 1ซมอ 29.7; 1ซมอ 29.8; 1ซมอ 30.2; 1ซมอ 30.4; 1ซมอ 30.12; 1ซมอ 30.15; 1ซมอ 30.17; 1ซมอ 30.19; 1ซมอ 30.22; 1ซมอ 31.4; 2ซมอ 1.10; 2ซมอ 1.23; 2ซมอ 2.1; 2ซมอ 2.21; 2ซมอ 2.23; 2ซมอ 2.26; 2ซมอ 2.27; 2ซมอ 2.28; 2ซมอ 2.30; 2ซมอ 3.11; 2ซมอ 3.26; 2ซมอ 3.37; 2ซมอ 3.38; 2ซมอ 4.11; 2ซมอ 5.6; 2ซมอ 5.19; 2ซมอ 6.8; 2ซมอ 6.10; 2ซมอ 6.20; 2ซมอ 6.23; 2ซมอ 7.6; 2ซมอ 7.10; 2ซมอ 7.15; 2ซมอ 7.22; 2ซมอ 9.3; 2ซมอ 10.19; 2ซมอ 11.10; 2ซมอ 11.11; 2ซมอ 11.20; 2ซมอ 11.25; 2ซมอ 11.27; 2ซมอ 12.3; 2ซมอ 12.6; 2ซมอ 12.10; 2ซมอ 12.13; 2ซมอ 12.17; 2ซมอ 12.18; 2ซมอ 12.22; 2ซมอ 13.4; 2ซมอ 13.9; 2ซมอ 13.12; 2ซมอ 13.13; 2ซมอ 13.14; 2ซมอ 13.16; 2ซมอ 13.26; 2ซมอ 13.30; 2ซมอ 14.6; 2ซมอ 14.7; 2ซมอ 14.10; 2ซมอ 14.11; 2ซมอ 14.14; 2ซมอ 14.19; 2ซมอ 14.25; 2ซมอ 14.29; 2ซมอ 15.11; 2ซมอ 15.14; 2ซมอ 15.20; 2ซมอ 15.26; 2ซมอ 16.11; 2ซมอ 16.17; 2ซมอ 17.6; 2ซมอ 17.7; 2ซมอ 17.8; 2ซมอ 17.12; 2ซมอ 17.13; 2ซมอ 17.17; 2ซมอ 17.19; 2ซมอ 17.20; 2ซมอ 17.22; 2ซมอ 17.23; 2ซมอ 18.3; 2ซมอ 18.11; 2ซมอ 18.12; 2ซมอ 18.13; 2ซมอ 18.14; 2ซมอ 18.18; 2ซมอ 18.22; 2ซมอ 18.29; 2ซมอ 19.6; 2ซมอ 19.7; 2ซมอ 19.10; 2ซมอ 19.21; 2ซมอ 19.22; 2ซมอ 19.23; 2ซมอ 19.35; 2ซมอ 19.43; 2ซมอ 20.1; 2ซมอ 20.10; 2ซมอ 20.21; 2ซมอ 21.4; 2ซมอ 21.10; 2ซมอ 22.22; 2ซมอ 22.37; 2ซมอ 22.38; 2ซมอ 22.39; 2ซมอ 22.42; 2ซมอ 22.44; 2ซมอ 23.4; 2ซมอ 23.5; 2ซมอ 23.16; 2ซมอ 23.17; 2ซมอ 23.19; 2ซมอ 23.23; 2ซมอ 24.24; 1พกษ 1.1; 1พกษ 1.4; 1พกษ 1.6; 1พกษ 1.11; 1พกษ 1.18; 1พกษ 1.19; 1พกษ 1.26; 1พกษ 1.51; 1พกษ 1.52; 1พกษ 2.4; 1พกษ 2.8; 1พกษ 2.9; 1พกษ 2.17; 1พกษ 2.20; 1พกษ 2.23; 1พกษ 2.26; 1พกษ 2.30; 1พกษ 2.32; 1พกษ 2.43; 1พกษ 3.2; 1พกษ 3.7; 1พกษ 3.8; 1พกษ 3.12; 1พกษ 3.13; 1พกษ 3.18; 1พกษ 4.27; 1พกษ 5.3; 1พกษ 5.4; 1พกษ 5.6; 1พกษ 6.6; 1พกษ 6.7; 1พกษ 6.13; 1พกษ 6.18; 1พกษ 7.31; 1พกษ 7.47; 1พกษ 8.5; 1พกษ 8.8; 1พกษ 8.9; 1พกษ 8.11; 1พกษ 8.19; 1พกษ 8.23; 1พกษ 8.25; 1พกษ 8.27; 1พกษ 8.35; 1พกษ 8.46; 1พกษ 8.56; 1พกษ 8.60; 1พกษ 8.64; 1พกษ 9.5; 1พกษ 9.12; 1พกษ 9.21; 1พกษ 9.22; 1พกษ 10.3; 1พกษ 10.7; 1พกษ 10.10; 1พกษ 10.12; 1พกษ 10.20; 1พกษ 10.21; 1พกษ 11.4; 1พกษ 11.10; 1พกษ 11.12; 1พกษ 11.13; 1พกษ 11.22; 1พกษ 11.34; 1พกษ 11.39; 1พกษ 12.16; 1พกษ 12.20; 1พกษ 13.4; 1พกษ 13.8; 1พกษ 13.10; 1พกษ 13.16; 1พกษ 13.21; 1พกษ 13.26; 1พกษ 14.4; 1พกษ 14.8; 1พกษ 15.3; 1พกษ 15.22; 1พกษ 15.29; 1พกษ 17.1; 1พกษ 17.7; 1พกษ 17.12; 1พกษ 17.14; 1พกษ 17.16; 1พกษ 17.17; 1พกษ 18.5; 1พกษ 18.10; 1พกษ 18.12; 1พกษ 18.13; 1พกษ 18.21; 1พกษ 18.23; 1พกษ 18.26; 1พกษ 18.29; 1พกษ 18.43; 1พกษ 18.44; 1พกษ 19.4; 1พกษ 19.11; 1พกษ 19.12; 1พกษ 20.9; 1พกษ 20.35; 1พกษ 20.36; 1พกษ 20.43; 1พกษ 21.4; 1พกษ 21.5; 1พกษ 21.6; 1พกษ 21.15; 1พกษ 21.25; 1พกษ 21.29; 1พกษ 22.1; 1พกษ 22.3; 1พกษ 22.6; 1พกษ 22.7; 1พกษ 22.8; 1พกษ 22.15; 1พกษ 22.17; 1พกษ 22.18; 1พกษ 22.47; 1พกษ 22.48; 1พกษ 22.49; 2พกษ 1.2; 2พกษ 1.3; 2พกษ 1.6; 2พกษ 1.16; 2พกษ 1.17; 2พกษ 2.2; 2พกษ 2.4; 2พกษ 2.6; 2พกษ 2.10; 2พกษ 2.12; 2พกษ 2.17; 2พกษ 2.19; 2พกษ 2.21; 2พกษ 3.2; 2พกษ 3.3; 2พกษ 3.7; 2พกษ 3.9; 2พกษ 3.11; 2พกษ 3.14; 2พกษ 3.17; 2พกษ 3.26; 2พกษ 4.2; 2พกษ 4.6; 2พกษ 4.14; 2พกษ 4.27; 2พกษ 4.28; 2พกษ 4.30; 2พกษ 4.31; 2พกษ 4.39; 2พกษ 4.40; 2พกษ 4.41; 2พกษ 5.12; 2พกษ 5.13; 2พกษ 5.15; 2พกษ 5.16; 2พกษ 5.17; 2พกษ 5.19; 2พกษ 5.20; 2พกษ 5.25; 2พกษ 6.1; 2พกษ 6.11; 2พกษ 6.12; 2พกษ 6.32; 2พกษ 7.2; 2พกษ 7.5; 2พกษ 7.9; 2พกษ 7.10; 2พกษ 7.19; 2พกษ 8.19; 2พกษ 9.10; 2พกษ 9.12; 2พกษ 9.18; 2พกษ 9.20; 2พกษ 9.37; 2พกษ 10.4; 2พกษ 10.5; 2พกษ 10.10; 2พกษ 10.11; 2พกษ 10.14; 2พกษ 10.19; 2พกษ 10.21; 2พกษ 10.23; 2พกษ 12.8; 2พกษ 13.2; 2พกษ 13.23; 2พกษ 14.3; 2พกษ 14.11; 2พกษ 14.26; 2พกษ 16.5; 2พกษ 17.2; 2พกษ 17.4; 2พกษ 17.9; 2พกษ 17.14; 2พกษ 17.18; 2พกษ 17.20; 2พกษ 17.22; 2พกษ 17.26; 2พกษ 17.34; 2พกษ 18.5; 2พกษ 18.7; 2พกษ 18.12; 2พกษ 18.27; 2พกษ 18.29; 2พกษ 18.30; 2พกษ 18.32; 2พกษ 18.36; 2พกษ 19.3; 2พกษ 19.25; 2พกษ 19.32; 2พกษ 19.33; 2พกษ 20.1; 2พกษ 20.13; 2พกษ 20.15; 2พกษ 20.17; 2พกษ 21.8; 2พกษ 22.7; 2พกษ 22.17; 2พกษ 22.20; 2พกษ 23.10; 2พกษ 23.25; 2พกษ 24.4; 2พกษ 24.14; 2พกษ 25.3; 1พศด 2.30; 1พศด 2.32; 1พศด 2.34; 1พศด 4.27; 1พศด 9.33; 1พศด 10.4; 1พศด 11.5; 1พศด 11.18; 1พศด 11.19; 1พศด 11.21; 1พศด 11.25; 1พศด 12.1; 1พศด 12.17; 1พศด 13.11; 1พศด 15.2; 1พศด 16.30; 1พศด 17.5; 1พศด 17.9; 1พศด 17.13; 1พศด 17.20; 1พศด 19.19; 1พศด 21.7; 1พศด 21.24; 1พศด 21.30; 1พศด 22.5; 1พศด 23.11; 1พศด 23.17; 1พศด 23.22; 1พศด 23.26; 1พศด 24.2; 1พศด 24.28; 1พศด 26.10; 1พศด 27.24; 1พศด 28.20; 1พศด 29.1; 1พศด 29.15; 1พศด 29.25; 2พศด 1.12; 2พศด 2.6; 2พศด 5.6; 2พศด 5.9; 2พศด 5.10; 2พศด 5.11; 2พศด 5.14; 2พศด 6.9; 2พศด 6.14; 2พศด 6.16; 2พศด 6.18; 2พศด 6.26; 2พศด 6.36; 2พศด 7.2; 2พศด 7.7; 2พศด 7.18; 2พศด 8.9; 2พศด 8.11; 2พศด 9.2; 2พศด 9.6; 2พศด 9.9; 2พศด 9.11; 2พศด 9.19; 2พศด 9.20; 2พศด 10.16; 2พศด 11.4; 2พศด 12.7; 2พศด 12.14; 2พศด 13.5; 2พศด 13.7; 2พศด 13.12; 2พศด 14.11; 2พศด 14.13; 2พศด 15.3; 2พศด 15.5; 2พศด 15.13; 2พศด 15.19; 2พศด 16.8; 2พศด 18.5; 2พศด 18.6; 2พศด 18.7; 2พศด 18.14; 2พศด 18.16; 2พศด 18.17; 2พศด 19.7; 2พศด 19.10; 2พศด 20.6; 2พศด 20.10; 2พศด 20.12; 2พศด 20.17; 2พศด 20.24; 2พศด 20.25; 2พศด 20.33; 2พศด 20.37; 2พศด 21.7; 2พศด 21.17; 2พศด 21.18; 2พศด 21.20; 2พศด 22.9; 2พศด 24.5; 2พศด 24.6; 2พศด 24.19; 2พศด 24.20; 2พศด 25.13; 2พศด 25.15; 2พศด 25.20; 2พศด 26.18; 2พศด 28.10; 2พศด 28.21; 2พศด 29.34; 2พศด 30.3; 2พศด 30.9; 2พศด 30.18; 2พศด 30.19; 2พศด 30.26; 2พศด 32.13; 2พศด 32.15; 2พศด 32.17; 2พศด 33.8; 2พศด 33.10; 2พศด 34.21; 2พศด 34.25; 2พศด 34.28; 2พศด 35.3; 2พศด 35.15; 2พศด 35.18; 2พศด 36.13; 2พศด 36.15; 2พศด 36.16; 2พศด 36.17; อสร 2.59; อสร 2.62; อสร 3.13; อสร 4.3; อสร 4.13; อสร 4.14; อสร 4.16; อสร 4.21; อสร 5.5; อสร 5.16; อสร 5.17; อสร 6.8; อสร 7.22; อสร 7.24; อสร 7.25; อสร 7.26; อสร 8.15; อสร 9.14; อสร 9.15; อสร 10.6; อสร 10.8; อสร 10.13; นหม 2.2; นหม 2.3; นหม 2.10; นหม 2.12; นหม 2.14; นหม 2.16; นหม 2.17; นหม 2.20; นหม 3.5; นหม 4.10; นหม 4.11; นหม 4.23; นหม 5.5; นหม 5.8; นหม 5.9; นหม 5.12; นหม 6.1; นหม 6.3; นหม 6.8; นหม 6.9; นหม 6.11; นหม 7.4; นหม 7.61; นหม 7.64; นหม 8.10; นหม 8.17; นหม 9.17; นหม 9.21; นหม 9.26; นหม 9.29; นหม 9.30; นหม 10.30; นหม 10.31; นหม 10.39; นหม 13.1; นหม 13.6; นหม 13.10; นหม 13.19; นหม 13.21; นหม 13.24; นหม 13.26; อสธ 1.8; อสธ 1.12; อสธ 1.17; อสธ 1.19; อสธ 2.7; อสธ 2.10; อสธ 2.14; อสธ 3.4; อสธ 3.5; อสธ 3.8; อสธ 4.2; อสธ 4.4; อสธ 5.9; อสธ 5.13; อสธ 6.1; อสธ 6.3; อสธ 6.13; อสธ 7.4; อสธ 8.8; อสธ 9.2; อสธ 9.19; อสธ 9.28; โยบ 1.8; โยบ 2.3; โยบ 2.10; โยบ 2.12; โยบ 2.13; โยบ 3.9; โยบ 3.11; โยบ 3.13; โยบ 3.16; โยบ 3.18; โยบ 3.21; โยบ 3.26; โยบ 4.16; โยบ 4.18; โยบ 4.20; โยบ 5.4; โยบ 5.12; โยบ 5.19; โยบ 5.21; โยบ 5.22; โยบ 5.24; โยบ 6.6; โยบ 6.7; โยบ 6.13; โยบ 6.30; โยบ 7.1; โยบ 7.7; โยบ 7.8; โยบ 7.10; โยบ 7.11; โยบ 7.16; โยบ 7.19; โยบ 7.21; โยบ 8.9; โยบ 8.10; โยบ 8.11; โยบ 8.12; โยบ 8.15; โยบ 8.18; โยบ 8.20; โยบ 8.22; โยบ 9.3; โยบ 9.5; โยบ 9.7; โยบ 9.11; โยบ 9.13; โยบ 9.15; โยบ 9.16; โยบ 9.17; โยบ 9.18; โยบ 9.21; โยบ 9.25; โยบ 9.28; โยบ 9.33; โยบ 9.35; โยบ 10.1; โยบ 10.7; โยบ 10.14; โยบ 10.15; โยบ 10.20; โยบ 10.21; โยบ 10.22; โยบ 11.2; โยบ 11.3; โยบ 11.11; โยบ 11.15; โยบ 11.19; โยบ 11.20; โยบ 12.2; โยบ 12.3; โยบ 12.9; โยบ 12.14; โยบ 12.24; โยบ 13.2; โยบ 13.4; โยบ 13.11; โยบ 13.16; โยบ 13.20; โยบ 14.2; โยบ 14.4; โยบ 14.5; โยบ 14.7; โยบ 14.12; โยบ 14.21; โยบ 15.3; โยบ 15.9; โยบ 15.15; โยบ 15.19; โยบ 15.22; โยบ 15.28; โยบ 15.29; โยบ 15.30; โยบ 15.32; โยบ 16.6; โยบ 16.13; โยบ 16.17; โยบ 16.22; โยบ 17.4; โยบ 17.10; โยบ 18.5; โยบ 18.17; โยบ 18.19; โยบ 18.21; โยบ 19.3; โยบ 19.7; โยบ 19.8; โยบ 19.16; โยบ 19.22; โยบ 20.4; โยบ 20.8; โยบ 20.9; โยบ 20.13; โยบ 20.18; โยบ 20.19; โยบ 20.20; โยบ 20.21; โยบ 20.26; โยบ 21.4; โยบ 21.9; โยบ 21.10; โยบ 21.14; โยบ 21.16; โยบ 21.25; โยบ 21.29; โยบ 21.34; โยบ 22.5; โยบ 22.11; โยบ 22.14; โยบ 22.20; โยบ 23.8; โยบ 23.9; โยบ 24.1; โยบ 24.7; โยบ 24.10; โยบ 24.13; โยบ 24.15; โยบ 24.16; โยบ 24.18; โยบ 24.20; โยบ 24.21; โยบ 24.22; โยบ 24.25; โยบ 25.5; โยบ 26.2; โยบ 26.3; โยบ 26.6; โยบ 26.8; โยบ 27.4; โยบ 27.5; โยบ 27.6; โยบ 27.11; โยบ 27.14; โยบ 27.15; โยบ 27.19; โยบ 27.22; โยบ 28.7; โยบ 28.8; โยบ 28.13; โยบ 28.14; โยบ 28.15; โยบ 28.16; โยบ 28.17; โยบ 28.19; โยบ 29.12; โยบ 29.22; โยบ 29.24; โยบ 30.1; โยบ 30.10; โยบ 30.13; โยบ 30.17; โยบ 30.20; โยบ 30.24; โยบ 30.27; โยบ 31.17; โยบ 31.19; โยบ 31.23; โยบ 31.30; โยบ 31.31; โยบ 31.34; โยบ 32.2; โยบ 32.3; โยบ 32.5; โยบ 32.12; โยบ 32.14; โยบ 32.15; โยบ 32.16; โยบ 32.19; โยบ 32.21; โยบ 32.22; โยบ 33.7; โยบ 33.9; โยบ 33.12; โยบ 33.13; โยบ 33.14; โยบ 33.21; โยบ 33.33; โยบ 34.6; โยบ 34.9; โยบ 34.12; โยบ 34.18; โยบ 34.19; โยบ 34.22; โยบ 34.23; โยบ 34.24; โยบ 34.27; โยบ 34.30; โยบ 34.31; โยบ 34.32; โยบ 34.33; โยบ 34.35; โยบ 35.10; โยบ 35.12; โยบ 35.14; โยบ 35.15; โยบ 36.12; โยบ 36.13; โยบ 36.16; โยบ 36.18; โยบ 36.26; โยบ 37.5; โยบ 37.19; โยบ 37.21; โยบ 37.23; โยบ 37.24; โยบ 38.26; โยบ 39.4; โยบ 39.7; โยบ 39.16; โยบ 39.22; โยบ 39.24; โยบ 40.5; โยบ 40.23; โยบ 41.8; โยบ 41.9; โยบ 41.10; โยบ 41.12; โยบ 41.16; โยบ 41.17; โยบ 41.23; โยบ 41.26; โยบ 41.28; โยบ 41.33; โยบ 42.2; โยบ 42.3; โยบ 42.15; สดด 1.1; สดด 1.3; สดด 1.4; สดด 1.5; สดด 3.2; สดด 3.6; สดด 5.4; สดด 5.5; สดด 5.9; สดด 6.5; สดด 7.2; สดด 7.12; สดด 9.18; สดด 10.4; สดด 10.6; สดด 10.11; สดด 10.13; สดด 10.18; สดด 12.1; สดด 14.1; สดด 14.3; สดด 14.4; สดด 15.3; สดด 15.4; สดด 15.5; สดด 16.2; สดด 16.4; สดด 16.8; สดด 16.10; สดด 17.1; สดด 17.3; สดด 18.21; สดด 18.23; สดด 18.36; สดด 18.37; สดด 18.38; สดด 18.41; สดด 18.43; สดด 19.3; สดด 19.6; สดด 21.7; สดด 21.11; สดด 22.2; สดด 22.11; สดด 22.29; สดด 23.1; สดด 23.4; สดด 25.3; สดด 26.1; สดด 26.5; สดด 27.3; สดด 28.5; สดด 30.3; สดด 30.6; สดด 30.12; สดด 32.2; สดด 32.6; สดด 33.16; สดด 33.17; สดด 34.5; สดด 34.9; สดด 34.10; สดด 34.20; สดด 34.22; สดด 35.7; สดด 35.8; สดด 35.11; สดด 35.15; สดด 35.19; สดด 35.20; สดด 36.1; สดด 36.4; สดด 36.12; สดด 37.2; สดด 37.10; สดด 37.19; สดด 37.21; สดด 37.24; สดด 37.25; สดด 37.28; สดด 37.31; สดด 37.33; สดด 37.36; สดด 38.3; สดด 38.7; สดด 38.8; สดด 38.9; สดด 38.13; สดด 38.14; สดด 39.1; สดด 39.5; สดด 39.6; สดด 39.9; สดด 39.13; สดด 40.5; สดด 40.6; สดด 40.12; สดด 41.2; สดด 41.8; สดด 41.11; สดด 44.3; สดด 44.6; สดด 44.12; สดด 44.17; สดด 44.21; สดด 46.2; สดด 46.5; สดด 49.7; สดด 49.8; สดด 49.9; สดด 49.12; สดด 49.17; สดด 49.19; สดด 50.9; สดด 50.12; สดด 50.22; สดด 52.7; สดด 53.1; สดด 53.3; สดด 53.4; สดด 53.5; สดด 55.11; สดด 55.19; สดด 55.22; สดด 55.23; สดด 56.4; สดด 56.8; สดด 56.11; สดด 58.5; สดด 58.8; สดด 59.13; สดด 59.15; สดด 60.1; สดด 60.10; สดด 62.2; สดด 62.6; สดด 63.1; สดด 64.4; สดด 66.18; สดด 66.20; สดด 69.2; สดด 69.4; สดด 69.20; สดด 69.23; สดด 71.11; สดด 72.7; สดด 73.4; สดด 73.5; สดด 73.22; สดด 73.25; สดด 73.27; สดด 74.9; สดด 76.5; สดด 77.2; สดด 77.4; สดด 77.7; สดด 77.19; สดด 78.4; สดด 78.7; สดด 78.8; สดด 78.22; สดด 78.37; สดด 78.44; สดด 78.53; สดด 78.57; สดด 78.63; สดด 78.64; สดด 79.3; สดด 79.6; สดด 80.18; สดด 81.5; สดด 81.9; สดด 81.11; สดด 81.14; สดด 82.5; สดด 83.4; สดด 85.6; สดด 86.8; สดด 88.4; สดด 88.8; สดด 89.22; สดด 89.30; สดด 89.33; สดด 89.34; สดด 89.35; สดด 89.48; สดด 90.10; สดด 91.5; สดด 91.7; สดด 91.10; สดด 92.6; สดด 92.15; สดด 93.1; สดด 94.7; สดด 94.9; สดด 94.10; สดด 94.14; สดด 95.10; สดด 95.11; สดด 96.10; สดด 101.3; สดด 101.4; สดด 101.5; สดด 101.7; สดด 102.17; สดด 102.27; สดด 103.9; สดด 103.16; สดด 105.37; สดด 106.11; สดด 106.13; สดด 106.24; สดด 106.25; สดด 106.39; สดด 107.4; สดด 107.12; สดด 107.40; สดด 108.11; สดด 109.16; สดด 109.17; สดด 110.4; สดด 112.6; สดด 112.7; สดด 112.8; สดด 113.5; สดด 115.5; สดด 115.6; สดด 115.7; สดด 115.17; สดด 118.6; สดด 118.17; สดด 118.18; สดด 119.3; สดด 119.6; สดด 119.11; สดด 119.16; สดด 119.46; สดด 119.51; สดด 119.60; สดด 119.61; สดด 119.78; สดด 119.80; สดด 119.83; สดด 119.85; สดด 119.87; สดด 119.92; สดด 119.93; สดด 119.109; สดด 119.110; สดด 119.136; สดด 119.141; สดด 119.155; สดด 119.157; สดด 119.158; สดด 119.165; สดด 119.176; สดด 121.3; สดด 121.4; สดด 121.6; สดด 125.1; สดด 125.3; สดด 127.5; สดด 129.2; สดด 129.7; สดด 129.8; สดด 132.3; สดด 132.4; สดด 132.11; สดด 135.16; สดด 135.17; สดด 137.6; สดด 139.6; สดด 139.15; สดด 139.16; สดด 139.24; สดด 140.10; สดด 141.5; สดด 142.4; สดด 143.2; สดด 144.14; สดด 146.3; สดด 147.5; สดด 147.20; สดด 148.6; สภษ 1.24; สภษ 1.25; สภษ 1.28; สภษ 1.29; สภษ 1.30; สภษ 2.19; สภษ 3.15; สภษ 3.23; สภษ 3.24; สภษ 4.12; สภษ 4.16; สภษ 4.19; สภษ 5.6; สภษ 5.13; สภษ 6.15; สภษ 6.27; สภษ 6.28; สภษ 6.29; สภษ 6.30; สภษ 6.33; สภษ 6.34; สภษ 6.35; สภษ 7.11; สภษ 7.13; สภษ 7.19; สภษ 7.23; สภษ 8.8; สภษ 8.11; สภษ 8.24; สภษ 8.29; สภษ 9.13; สภษ 9.18; สภษ 10.2; สภษ 10.19; สภษ 10.25; สภษ 10.30; สภษ 11.4; สภษ 11.14; สภษ 11.21; สภษ 12.3; สภษ 12.7; สภษ 12.21; สภษ 12.27; สภษ 12.28; สภษ 13.1; สภษ 13.4; สภษ 13.7; สภษ 13.8; สภษ 14.4; สภษ 14.5; สภษ 14.7; สภษ 14.10; สภษ 14.22; สภษ 15.7; สภษ 15.12; สภษ 15.21; สภษ 16.10; สภษ 16.29; สภษ 17.5; สภษ 17.7; สภษ 17.13; สภษ 17.16; สภษ 17.18; สภษ 17.20; สภษ 17.21; สภษ 17.26; สภษ 18.2; สภษ 18.5; สภษ 19.2; สภษ 19.5; สภษ 19.7; สภษ 19.9; สภษ 19.10; สภษ 19.13; สภษ 19.23; สภษ 19.24; สภษ 20.1; สภษ 20.4; สภษ 20.11; สภษ 20.21; สภษ 20.23; สภษ 21.7; สภษ 21.10; สภษ 21.13; สภษ 21.17; สภษ 21.25; สภษ 21.26; สภษ 21.30; สภษ 22.6; สภษ 22.27; สภษ 22.29; สภษ 23.13; สภษ 23.35; สภษ 24.7; สภษ 24.11; สภษ 24.12; สภษ 24.14; สภษ 24.18; สภษ 24.20; สภษ 24.23; สภษ 24.28; สภษ 25.14; สภษ 25.19; สภษ 25.27; สภษ 25.28; สภษ 26.1; สภษ 26.2; สภษ 26.7; สภษ 26.20; สภษ 27.1; สภษ 27.15; สภษ 27.20; สภษ 27.22; สภษ 27.24; สภษ 28.1; สภษ 28.3; สภษ 28.5; สภษ 28.13; สภษ 28.20; สภษ 28.21; สภษ 28.22; สภษ 28.24; สภษ 28.27; สภษ 29.7; สภษ 29.9; สภษ 29.18; สภษ 29.19; สภษ 29.24; สภษ 30.2; สภษ 30.3; สภษ 30.11; สภษ 30.15; สภษ 30.16; สภษ 30.17; สภษ 30.18; สภษ 30.20; สภษ 30.21; สภษ 30.25; สภษ 30.26; สภษ 30.27; สภษ 30.30; สภษ 30.31; สภษ 31.4; สภษ 31.7; สภษ 31.11; สภษ 31.12; สภษ 31.18; สภษ 31.21; สภษ 31.27; ปญจ 1.7; ปญจ 1.8; ปญจ 1.9; ปญจ 1.11; ปญจ 1.15; ปญจ 2.10; ปญจ 2.11; ปญจ 2.16; ปญจ 2.21; ปญจ 2.23; ปญจ 2.24; ปญจ 3.11; ปญจ 3.12; ปญจ 3.14; ปญจ 3.19; ปญจ 3.22; ปญจ 4.1; ปญจ 4.3; ปญจ 4.8; ปญจ 4.10; ปญจ 4.13; ปญจ 4.16; ปญจ 5.1; ปญจ 5.4; ปญจ 5.5; ปญจ 5.10; ปญจ 5.12; ปญจ 5.14; ปญจ 5.15; ปญจ 5.20; ปญจ 6.2; ปญจ 6.3; ปญจ 6.6; ปญจ 6.7; ปญจ 6.10; ปญจ 7.10; ปญจ 7.14; ปญจ 7.20; ปญจ 7.28; ปญจ 8.5; ปญจ 8.7; ปญจ 8.8; ปญจ 8.11; ปญจ 8.13; ปญจ 8.15; ปญจ 8.17; ปญจ 9.1; ปญจ 9.2; ปญจ 9.5; ปญจ 9.6; ปญจ 9.10; ปญจ 9.11; ปญจ 9.12; ปญจ 9.15; ปญจ 9.16; ปญจ 10.10; ปญจ 10.11; ปญจ 10.14; ปญจ 10.15; ปญจ 11.2; ปญจ 11.4; ปญจ 11.5; ปญจ 11.6; ปญจ 12.1; ปญจ 12.12; พซม 1.6; พซม 1.8; พซม 2.7; พซม 3.1; พซม 3.2; พซม 3.4; พซม 3.5; พซม 4.2; พซม 4.7; พซม 5.6; พซม 6.6; พซม 8.1; พซม 8.4; พซม 8.7; พซม 8.8; อสย 1.3; อสย 1.6; อสย 1.15; อสย 1.23; อสย 1.31; อสย 2.4; อสย 2.7; อสย 3.7; อสย 5.4; อสย 5.6; อสย 5.8; อสย 5.9; อสย 5.14; อสย 5.27; อสย 5.29; อสย 6.5; อสย 6.11; อสย 7.1; อสย 7.7; อสย 7.8; อสย 7.9; อสย 7.12; อสย 7.17; อสย 7.25; อสย 8.10; อสย 8.19; อสย 8.20; อสย 9.1; อสย 9.7; อสย 9.17; อสย 9.19; อสย 9.20; อสย 10.11; อสย 10.14; อสย 10.15; อสย 10.20; อสย 11.3; อสย 11.9; อสย 11.13; อสย 11.15; อสย 12.2; อสย 13.10; อสย 13.14; อสย 13.17; อสย 13.18; อสย 13.20; อสย 13.22; อสย 14.6; อสย 14.8; อสย 14.17; อสย 14.20; อสย 14.31; อสย 15.6; อสย 16.6; อสย 16.10; อสย 16.12; อสย 17.1; อสย 17.2; อสย 17.8; อสย 17.14; อสย 19.7; อสย 19.15; อสย 22.14; อสย 22.22; อสย 23.1; อสย 23.10; อสย 23.12; อสย 23.13; อสย 23.18; อสย 24.9; อสย 24.10; อสย 24.20; อสย 25.2; อสย 26.10; อสย 26.11; อสย 26.14; อสย 26.21; อสย 27.4; อสย 27.9; อสย 27.11; อสย 28.8; อสย 28.12; อสย 28.15; อสย 28.16; อสย 28.18; อสย 28.20; อสย 28.25; อสย 28.27; อสย 28.28; อสย 29.8; อสย 29.11; อสย 29.12; อสย 29.16; อสย 29.21; อสย 29.22; อสย 30.2; อสย 30.5; อสย 30.6; อสย 30.9; อสย 30.14; อสย 30.15; อสย 30.19; อสย 30.20; อสย 31.4; อสย 32.5; อสย 32.6; อสย 32.9; อสย 32.10; อสย 32.11; อสย 33.1; อสย 33.8; อสย 33.19; อสย 33.20; อสย 33.21; อสย 33.23; อสย 33.24; อสย 34.10; อสย 34.12; อสย 34.16; อสย 35.8; อสย 35.9; อสย 36.12; อสย 36.14; อสย 36.15; อสย 36.21; อสย 37.3; อสย 37.26; อสย 37.33; อสย 37.34; อสย 38.1; อสย 38.11; อสย 38.18; อสย 39.2; อสย 39.4; อสย 39.6; อสย 40.16; อสย 40.17; อสย 40.20; อสย 40.21; อสย 40.26; อสย 40.28; อสย 40.29; อสย 40.31; อสย 41.3; อสย 41.7; อสย 41.9; อสย 41.12; อสย 41.17; อสย 41.24; อสย 41.26; อสย 41.28; อสย 42.2; อสย 42.3; อสย 42.4; อสย 42.16; อสย 42.22; อสย 42.24; อสย 42.25; อสย 43.2; อสย 43.10; อสย 43.11; อสย 43.12; อสย 43.13; อสย 43.17; อสย 43.19; อสย 43.25; อสย 44.6; อสย 44.8; อสย 44.9; อสย 44.10; อสย 44.12; อสย 44.18; อสย 44.19; อสย 44.20; อสย 44.21; อสย 44.25; อสย 45.4; อสย 45.5; อสย 45.6; อสย 45.14; อสย 45.17; อสย 45.18; อสย 45.20; อสย 45.21; อสย 45.22; อสย 45.23; อสย 46.2; อสย 46.7; อสย 46.9; อสย 46.10; อสย 46.13; อสย 47.1; อสย 47.2; อสย 47.3; อสย 47.5; อสย 47.8; อสย 47.10; อสย 47.11; อสย 47.14; อสย 47.15; อสย 48.6; อสย 48.7; อสย 48.8; อสย 48.11; อสย 48.19; อสย 48.22; อสย 49.5; อสย 49.10; อสย 49.15; อสย 49.23; อสย 50.2; อสย 50.5; อสย 50.6; อสย 50.7; อสย 50.10; อสย 51.6; อสย 51.14; อสย 51.18; อสย 51.22; อสย 52.1; อสย 52.3; อสย 52.11; อสย 52.12; อสย 52.15; อสย 53.2; อสย 53.3; อสย 53.7; อสย 53.8; อสย 53.9; อสย 54.1; อสย 54.4; อสย 54.9; อสย 54.10; อสย 54.14; อสย 54.17; อสย 55.1; อสย 55.5; อสย 55.8; อสย 55.10; อสย 55.11; อสย 55.13; อสย 56.2; อสย 56.5; อสย 56.10; อสย 56.11; อสย 57.1; อสย 57.11; อสย 57.12; อสย 57.16; อสย 57.20; อสย 57.21; อสย 58.4; อสย 58.7; อสย 58.11; อสย 58.13; อสย 59.1; อสย 59.4; อสย 59.6; อสย 59.8; อสย 59.10; อสย 59.11; อสย 59.14; อสย 59.15; อสย 59.16; อสย 59.21; อสย 60.11; อสย 60.12; อสย 60.15; อสย 60.18; อสย 60.19; อสย 60.20; อสย 62.1; อสย 62.4; อสย 62.6; อสย 62.8; อสย 63.3; อสย 63.5; อสย 63.8; อสย 63.16; อสย 63.17; อสย 63.19; อสย 64.4; อสย 64.6; อสย 64.7; อสย 65.1; อสย 65.2; อสย 65.6; อสย 65.8; อสย 65.12; อสย 65.17; อสย 65.19; อสย 65.20; อสย 65.22; อสย 65.23; อสย 65.25; อสย 66.4; อสย 66.9; อสย 66.19; อสย 66.24; ยรม 1.6; ยรม 1.19; ยรม 2.2; ยรม 2.6; ยรม 2.8; ยรม 2.11; ยรม 2.15; ยรม 2.20; ยรม 2.23; ยรม 2.24; ยรม 2.30; ยรม 2.31; ยรม 2.32; ยรม 2.35; ยรม 2.37; ยรม 3.1; ยรม 3.2; ยรม 3.3; ยรม 3.7; ยรม 3.8; ยรม 3.12; ยรม 3.16; ยรม 3.17; ยรม 3.19; ยรม 3.25; ยรม 4.1; ยรม 4.4; ยรม 4.19; ยรม 4.22; ยรม 4.23; ยรม 4.25; ยรม 4.28; ยรม 4.29; ยรม 5.1; ยรม 5.3; ยรม 5.4; ยรม 5.9; ยรม 5.12; ยรม 5.13; ยรม 5.15; ยรม 5.18; ยรม 5.21; ยรม 5.22; ยรม 5.24; ยรม 5.29; ยรม 6.6; ยรม 6.10; ยรม 6.11; ยรม 6.14; ยรม 6.15; ยรม 6.16; ยรม 6.17; ยรม 6.20; ยรม 6.23; ยรม 6.29; ยรม 7.6; ยรม 7.8; ยรม 7.13; ยรม 7.16; ยรม 7.20; ยรม 7.25; ยรม 7.26; ยรม 7.27; ยรม 7.28; ยรม 7.31; ยรม 7.32; ยรม 7.33; ยรม 8.2; ยรม 8.4; ยรม 8.5; ยรม 8.6; ยรม 8.7; ยรม 8.11; ยรม 8.12; ยรม 8.13; ยรม 8.15; ยรม 8.19; ยรม 8.20; ยรม 8.22; ยรม 9.3; ยรม 9.5; ยรม 9.9; ยรม 9.10; ยรม 9.11; ยรม 9.12; ยรม 9.13; ยรม 9.16; ยรม 9.22; ยรม 10.4; ยรม 10.5; ยรม 10.6; ยรม 10.7; ยรม 10.10; ยรม 10.14; ยรม 10.16; ยรม 10.20; ยรม 10.21; ยรม 10.23; ยรม 10.25; ยรม 11.3; ยรม 11.7; ยรม 11.8; ยรม 11.10; ยรม 11.11; ยรม 11.12; ยรม 11.14; ยรม 11.19; ยรม 11.23; ยรม 12.4; ยรม 12.11; ยรม 12.12; ยรม 12.13; ยรม 12.17; ยรม 13.7; ยรม 13.10; ยรม 13.11; ยรม 13.12; ยรม 13.14; ยรม 13.17; ยรม 13.19; ยรม 13.21; ยรม 13.22; ยรม 14.3; ยรม 14.4; ยรม 14.5; ยรม 14.6; ยรม 14.10; ยรม 14.12; ยรม 14.13; ยรม 14.15; ยรม 14.16; ยรม 14.18; ยรม 14.19; ยรม 15.1; ยรม 15.13; ยรม 15.14; ยรม 15.18; ยรม 15.20; ยรม 16.4; ยรม 16.6; ยรม 16.7; ยรม 16.12; ยรม 16.13; ยรม 16.14; ยรม 16.17; ยรม 16.19; ยรม 17.4; ยรม 17.6; ยรม 17.8; ยรม 17.11; ยรม 17.16; ยรม 17.23; ยรม 17.24; ยรม 17.27; ยรม 18.6; ยรม 18.10; ยรม 18.15; ยรม 18.18; ยรม 19.4; ยรม 19.6; ยรม 19.11; ยรม 19.15; ยรม 20.9; ยรม 20.11; ยรม 21.7; ยรม 21.12; ยรม 22.5; ยรม 22.6; ยรม 22.10; ยรม 22.11; ยรม 22.12; ยรม 22.13; ยรม 22.18; ยรม 22.21; ยรม 22.28; ยรม 22.30; ยรม 23.4; ยรม 23.7; ยรม 23.10; ยรม 23.14; ยรม 23.17; ยรม 23.20; ยรม 23.21; ยรม 23.29; ยรม 23.32; ยรม 23.40; ยรม 24.2; ยรม 24.3; ยรม 24.6; ยรม 24.8; ยรม 25.3; ยรม 25.4; ยรม 25.6; ยรม 25.7; ยรม 25.8; ยรม 25.28; ยรม 25.29; ยรม 25.33; ยรม 25.35; ยรม 26.3; ยรม 26.4; ยรม 26.5; ยรม 26.16; ยรม 27.8; ยรม 27.9; ยรม 27.13; ยรม 27.14; ยรม 27.15; ยรม 27.16; ยรม 29.6; ยรม 29.17; ยรม 29.19; ยรม 29.32; ยรม 30.7; ยรม 30.8; ยรม 30.10; ยรม 30.11; ยรม 30.12; ยรม 30.13; ยรม 30.14; ยรม 30.15; ยรม 30.17; ยรม 30.19; ยรม 30.24; ยรม 31.9; ยรม 31.12; ยรม 31.15; ยรม 31.18; ยรม 31.29; ยรม 31.32; ยรม 31.34; ยรม 31.40; ยรม 32.4; ยรม 32.5; ยรม 32.17; ยรม 32.30; ยรม 32.33; ยรม 32.35; ยรม 32.40; ยรม 33.3; ยรม 33.17; ยรม 33.18; ยรม 33.20; ยรม 33.21; ยรม 33.22; ยรม 33.24; ยรม 33.26; ยรม 34.3; ยรม 34.4; ยรม 34.9; ยรม 34.10; ยรม 34.14; ยรม 35.6; ยรม 35.8; ยรม 35.9; ยรม 35.13; ยรม 35.14; ยรม 35.15; ยรม 35.17; ยรม 35.19; ยรม 36.5; ยรม 36.24; ยรม 36.25; ยรม 36.30; ยรม 36.31; ยรม 37.2; ยรม 37.9; ยรม 37.14; ยรม 37.19; ยรม 38.6; ยรม 38.9; ยรม 38.15; ยรม 38.16; ยรม 38.17; ยรม 38.18; ยรม 38.20; ยรม 38.21; ยรม 38.23; ยรม 38.24; ยรม 38.25; ยรม 38.27; ยรม 39.10; ยรม 39.17; ยรม 39.18; ยรม 40.3; ยรม 40.4; ยรม 40.5; ยรม 40.14; ยรม 40.15; ยรม 41.8; ยรม 42.4; ยรม 42.10; ยรม 42.13; ยรม 42.14; ยรม 42.17; ยรม 42.18; ยรม 43.4; ยรม 43.7; ยรม 44.2; ยรม 44.3; ยรม 44.5; ยรม 44.7; ยรม 44.14; ยรม 44.16; ยรม 44.17; ยรม 44.21; ยรม 44.22; ยรม 44.23; ยรม 44.26; ยรม 45.3; ยรม 46.5; ยรม 46.6; ยรม 46.11; ยรม 46.15; ยรม 46.21; ยรม 46.23; ยรม 46.27; ยรม 46.28; ยรม 48.2; ยรม 48.8; ยรม 48.10; ยรม 48.11; ยรม 48.27; ยรม 48.30; ยรม 48.33; ยรม 48.38; ยรม 48.42; ยรม 49.1; ยรม 49.5; ยรม 49.7; ยรม 49.9; ยรม 49.10; ยรม 49.12; ยรม 49.18; ยรม 49.23; ยรม 49.31; ยรม 49.33; ยรม 49.36; ยรม 50.3; ยรม 50.5; ยรม 50.7; ยรม 50.9; ยรม 50.13; ยรม 50.20; ยรม 50.24; ยรม 50.32; ยรม 50.33; ยรม 50.39; ยรม 50.40; ยรม 50.42; ยรม 51.9; ยรม 51.17; ยรม 51.19; ยรม 51.26; ยรม 51.39; ยรม 51.43; ยรม 51.44; ยรม 51.57; ยรม 51.62; ยรม 51.64; ยรม 52.6; ยรม 52.20; พคค 1.2; พคค 1.3; พคค 1.4; พคค 1.6; พคค 1.7; พคค 1.9; พคค 1.10; พคค 1.12; พคค 1.14; พคค 1.17; พคค 1.21; พคค 2.2; พคค 2.9; พคค 2.17; พคค 2.22; พคค 3.7; พคค 3.22; พคค 3.31; พคค 3.36; พคค 3.42; พคค 3.43; พคค 3.44; พคค 3.49; พคค 3.52; พคค 3.57; พคค 4.4; พคค 4.6; พคค 4.8; พคค 4.12; พคค 4.14; พคค 4.15; พคค 4.16; พคค 4.17; พคค 4.18; พคค 4.22; พคค 5.5; พคค 5.8; พคค 5.12; อสค 1.9; อสค 1.12; อสค 1.17; อสค 2.5; อสค 2.7; อสค 3.6; อสค 3.7; อสค 3.11; อสค 3.18; อสค 3.20; อสค 3.21; อสค 3.25; อสค 3.26; อสค 3.27; อสค 4.8; อสค 4.14; อสค 5.6; อสค 5.9; อสค 5.11; อสค 7.4; อสค 7.8; อสค 7.9; อสค 7.11; อสค 7.13; อสค 7.14; อสค 7.19; อสค 7.25; อสค 8.6; อสค 8.12; อสค 8.18; อสค 9.9; อสค 9.10; อสค 10.11; อสค 10.16; อสค 11.3; อสค 12.2; อสค 12.12; อสค 12.13; อสค 12.23; อสค 12.24; อสค 12.25; อสค 12.28; อสค 13.3; อสค 13.5; อสค 13.9; อสค 13.10; อสค 13.12; อสค 13.15; อสค 13.16; อสค 13.19; อสค 13.21; อสค 13.22; อสค 13.23; อสค 14.11; อสค 14.15; อสค 14.16; อสค 14.18; อสค 14.20; อสค 16.5; อสค 16.16; อสค 16.28; อสค 16.29; อสค 16.31; อสค 16.34; อสค 16.41; อสค 16.42; อสค 16.47; อสค 16.49; อสค 16.51; อสค 16.56; อสค 16.63; อสค 17.9; อสค 17.10; อสค 17.12; อสค 17.14; อสค 17.17; อสค 18.3; อสค 18.7; อสค 18.12; อสค 18.13; อสค 18.16; อสค 18.17; อสค 18.19; อสค 18.20; อสค 18.21; อสค 18.25; อสค 18.28; อสค 18.29; อสค 18.32; อสค 19.9; อสค 19.14; อสค 20.3; อสค 20.8; อสค 20.9; อสค 20.14; อสค 20.15; อสค 20.16; อสค 20.21; อสค 20.22; อสค 20.25; อสค 20.31; อสค 20.32; อสค 20.38; อสค 20.39; อสค 20.47; อสค 20.48; อสค 21.5; อสค 21.13; อสค 21.26; อสค 21.27; อสค 21.32; อสค 22.24; อสค 22.30; อสค 23.48; อสค 24.12; อสค 24.13; อสค 24.14; อสค 24.17; อสค 24.19; อสค 24.22; อสค 24.23; อสค 24.27; อสค 25.9; อสค 25.10; อสค 26.13; อสค 26.14; อสค 26.19; อสค 26.20; อสค 26.21; อสค 27.36; อสค 28.3; อสค 28.19; อสค 28.24; อสค 29.5; อสค 29.11; อสค 29.15; อสค 29.16; อสค 29.18; อสค 30.13; อสค 30.21; อสค 31.8; อสค 31.14; อสค 32.7; อสค 32.9; อสค 32.13; อสค 32.19; อสค 32.21; อสค 32.24; อสค 32.25; อสค 32.26; อสค 32.27; อสค 32.28; อสค 32.29; อสค 32.30; อสค 32.32; อสค 33.4; อสค 33.5; อสค 33.6; อสค 33.9; อสค 33.11; อสค 33.12; อสค 33.13; อสค 33.15; อสค 33.16; อสค 33.17; อสค 33.20; อสค 33.28; อสค 33.31; อสค 33.32; อสค 34.3; อสค 34.4; อสค 34.5; อสค 34.6; อสค 34.8; อสค 34.18; อสค 34.22; อสค 34.28; อสค 34.29; อสค 35.9; อสค 36.8; อสค 36.12; อสค 36.14; อสค 36.15; อสค 36.29; อสค 36.30; อสค 36.31; อสค 37.8; อสค 37.18; อสค 37.22; อสค 37.23; อสค 38.11; อสค 39.7; อสค 39.10; อสค 39.26; อสค 39.28; อสค 39.29; อสค 41.6; อสค 42.6; อสค 42.14; อสค 43.7; อสค 44.2; อสค 44.21; อสค 44.25; อสค 44.28; อสค 44.31; อสค 45.8; อสค 45.20; อสค 46.18; อสค 46.20; อสค 47.5; อสค 47.11; อสค 47.12; ดนล 1.8; ดนล 1.19; ดนล 2.1; ดนล 2.5; ดนล 2.8; ดนล 2.9; ดนล 2.10; ดนล 2.11; ดนล 2.18; ดนล 2.27; ดนล 2.35; ดนล 2.43; ดนล 2.44; ดนล 3.11; ดนล 3.12; ดนล 3.14; ดนล 3.15; ดนล 3.16; ดนล 3.18; ดนล 3.19; ดนล 3.25; ดนล 3.27; ดนล 3.29; ดนล 4.7; ดนล 4.9; ดนล 4.18; ดนล 4.35; ดนล 5.8; ดนล 5.15; ดนล 6.4; ดนล 6.5; ดนล 6.8; ดนล 6.12; ดนล 6.13; ดนล 6.15; ดนล 6.17; ดนล 6.18; ดนล 6.23; ดนล 6.26; ดนล 7.14; ดนล 8.4; ดนล 8.5; ดนล 8.7; ดนล 8.22; ดนล 8.27; ดนล 9.11; ดนล 9.12; ดนล 10.3; ดนล 10.17; ดนล 10.20; ดนล 10.21; ดนล 11.4; ดนล 11.6; ดนล 11.12; ดนล 11.15; ดนล 11.16; ดนล 11.17; ดนล 11.19; ดนล 11.20; ดนล 11.21; ดนล 11.24; ดนล 11.25; ดนล 11.27; ดนล 11.29; ดนล 11.37; ดนล 11.38; ดนล 11.45; ดนล 12.8; ดนล 12.10; ฮชย 1.4; ฮชย 1.6; ฮชย 1.7; ฮชย 2.4; ฮชย 2.7; ฮชย 2.8; ฮชย 2.10; ฮชย 2.16; ฮชย 2.17; ฮชย 3.3; ฮชย 3.4; ฮชย 4.1; ฮชย 4.6; ฮชย 4.10; ฮชย 4.14; ฮชย 5.4; ฮชย 5.6; ฮชย 5.13; ฮชย 5.14; ฮชย 6.6; ฮชย 7.7; ฮชย 7.9; ฮชย 7.10; ฮชย 7.16; ฮชย 8.4; ฮชย 8.7; ฮชย 8.10; ฮชย 9.2; ฮชย 9.3; ฮชย 9.4; ฮชย 9.11; ฮชย 9.12; ฮชย 9.15; ฮชย 9.16; ฮชย 10.3; ฮชย 10.9; ฮชย 11.3; ฮชย 11.5; ฮชย 11.7; ฮชย 11.9; ฮชย 12.8; ฮชย 13.4; ฮชย 13.13; ฮชย 14.3; ยอล 1.18; ยอล 2.2; ยอล 2.3; ยอล 2.7; ยอล 2.8; ยอล 2.13; ยอล 2.19; ยอล 2.26; ยอล 2.27; ยอล 3.17; อมส 1.3; อมส 1.6; อมส 1.9; อมส 1.11; อมส 1.13; อมส 2.1; อมส 2.4; อมส 2.6; อมส 2.11; อมส 2.14; อมส 2.15; อมส 3.4; อมส 3.5; อมส 3.6; อมส 3.8; อมส 3.10; อมส 4.6; อมส 4.7; อมส 4.8; อมส 4.9; อมส 4.10; อมส 4.11; อมส 5.2; อมส 5.6; อมส 5.11; อมส 5.20; อมส 5.21; อมส 5.22; อมส 5.23; อมส 6.10; อมส 7.3; อมส 7.6; อมส 7.8; อมส 7.17; อมส 8.2; อมส 8.7; อมส 8.8; อมส 8.12; อมส 8.14; อมส 9.1; อมส 9.7; อมส 9.8; อมส 9.9; อมส 9.10; อมส 9.15; อบด 1.5; อบด 1.7; อบด 1.8; อบด 1.12; อบด 1.13; อบด 1.14; อบด 1.16; อบด 1.18; ยนา 1.6; ยนา 1.13; ยนา 3.10; ยนา 4.1; ยนา 4.2; ยนา 4.11; มคา 1.9; มคา 1.11; มคา 2.3; มคา 2.5; มคา 2.6; มคา 2.7; มคา 2.8; มคา 3.4; มคา 3.5; มคา 3.7; มคา 3.11; มคา 4.3; มคา 4.4; มคา 4.9; มคา 4.12; มคา 5.7; มคา 5.8; มคา 5.12; มคา 5.15; มคา 6.11; มคา 6.14; มคา 6.15; มคา 7.1; มคา 7.2; นฮม 1.3; นฮม 1.9; นฮม 1.12; นฮม 1.14; นฮม 1.15; นฮม 2.8; นฮม 2.9; นฮม 2.11; นฮม 2.13; นฮม 3.1; นฮม 3.3; นฮม 3.9; นฮม 3.17; นฮม 3.18; นฮม 3.19; ฮบก 1.2; ฮบก 1.5; ฮบก 1.12; ฮบก 1.13; ฮบก 1.14; ฮบก 1.17; ฮบก 2.3; ฮบก 2.4; ฮบก 2.5; ฮบก 2.6; ฮบก 2.7; ฮบก 2.19; ฮบก 3.17; ศฟย 1.12; ศฟย 1.13; ศฟย 1.18; ศฟย 2.1; ศฟย 2.5; ศฟย 2.15; ศฟย 3.2; ศฟย 3.3; ศฟย 3.5; ศฟย 3.6; ศฟย 3.7; ศฟย 3.11; ศฟย 3.13; ศฟย 3.15; ฮกก 1.2; ฮกก 1.6; ฮกก 2.3; ฮกก 2.12; ฮกก 2.13; ฮกก 2.17; ฮกก 2.19; ศคย 1.4; ศคย 1.12; ศคย 1.21; ศคย 2.4; ศคย 4.5; ศคย 4.13; ศคย 7.3; ศคย 7.11; ศคย 7.13; ศคย 7.14; ศคย 8.10; ศคย 8.11; ศคย 9.5; ศคย 9.8; ศคย 10.10; ศคย 11.5; ศคย 11.6; ศคย 11.9; ศคย 11.12; ศคย 11.16; ศคย 12.7; ศคย 13.2; ศคย 13.4; ศคย 14.2; ศคย 14.6; ศคย 14.11; ศคย 14.17; ศคย 14.18; ศคย 14.19; ศคย 14.21; มลค 1.8; มลค 1.10; มลค 2.2; มลค 2.6; มลค 2.13; มลค 2.14; มลค 3.5; มลค 3.6; มลค 3.10; มลค 3.11; มลค 3.18; มลค 4.1; มลค 4.6; มธ 1.19; มธ 2.18; มธ 3.10; มธ 3.11; มธ 3.12; มธ 5.13; มธ 5.14; มธ 5.15; มธ 5.18; มธ 5.20; มธ 5.22; มธ 5.26; มธ 5.29; มธ 5.30; มธ 5.37; มธ 6.1; มธ 6.15; มธ 6.18; มธ 6.20; มธ 6.24; มธ 6.28; มธ 6.30; มธ 7.1; มธ 7.3; มธ 7.18; มธ 7.19; มธ 7.23; มธ 7.26; มธ 7.29; มธ 8.8; มธ 8.10; มธ 8.20; มธ 8.28; มธ 9.12; มธ 9.13; มธ 9.14; มธ 9.16; มธ 9.17; มธ 9.24; มธ 9.33; มธ 9.36; มธ 10.13; มธ 10.14; มธ 10.16; มธ 10.24; มธ 10.26; มธ 10.28; มธ 10.29; มธ 10.37; มธ 10.38; มธ 11.6; มธ 11.11; มธ 11.18; มธ 11.27; มธ 12.3; มธ 12.4; มธ 12.5; มธ 12.7; มธ 12.10; มธ 12.11; มธ 12.19; มธ 12.20; มธ 12.25; มธ 12.30; มธ 12.31; มธ 12.32; มธ 12.39; มธ 12.43; มธ 13.5; มธ 13.6; มธ 13.11; มธ 13.12; มธ 13.13; มธ 13.14; มธ 13.19; มธ 13.21; มธ 13.22; มธ 13.48; มธ 13.57; มธ 13.58; มธ 14.16; มธ 15.6; มธ 15.16; มธ 15.17; มธ 15.20; มธ 15.23; มธ 15.26; มธ 15.32; มธ 16.3; มธ 16.4; มธ 16.8; มธ 16.9; มธ 16.11; มธ 16.28; มธ 17.8; มธ 17.12; มธ 17.16; มธ 17.19; มธ 17.20; มธ 17.21; มธ 17.24; มธ 17.26; มธ 18.3; มธ 18.12; มธ 18.14; มธ 18.16; มธ 18.17; มธ 18.25; มธ 18.30; มธ 18.35; มธ 19.3; มธ 19.4; มธ 19.6; มธ 19.10; มธ 19.17; มธ 19.26; มธ 20.7; มธ 20.15; มธ 20.22; มธ 20.26; มธ 21.16; มธ 21.19; มธ 21.25; มธ 21.27; มธ 21.29; มธ 21.30; มธ 21.32; มธ 21.42; มธ 22.8; มธ 22.12; มธ 22.17; มธ 22.23; มธ 22.24; มธ 22.25; มธ 22.29; มธ 22.30; มธ 22.31; มธ 22.46; มธ 23.3; มธ 23.4; มธ 23.13; มธ 23.16; มธ 23.18; มธ 23.23; มธ 23.37; มธ 23.39; มธ 24.2; มธ 24.6; มธ 24.20; มธ 24.21; มธ 24.22; มธ 24.29; มธ 24.34; มธ 24.36; มธ 24.42; มธ 24.43; มธ 24.44; มธ 24.50; มธ 25.3; มธ 25.9; มธ 25.12; มธ 25.13; มธ 25.29; มธ 25.43; มธ 26.8; มธ 26.11; มธ 26.29; มธ 26.35; มธ 26.40; มธ 26.41; มธ 26.42; มธ 26.43; มธ 26.53; มธ 26.55; มธ 26.60; มธ 26.62; มธ 26.63; มธ 26.70; มธ 26.72; มธ 26.74; มธ 27.13; มธ 27.24; มธ 27.34; มธ 27.42; มธ 27.49; มธ 28.6; มก 1.7; มก 1.22; มก 1.45; มก 2.2; มก 2.4; มก 2.12; มก 2.17; มก 2.18; มก 2.19; มก 2.21; มก 2.22; มก 2.25; มก 2.26; มก 3.2; มก 3.20; มก 3.24; มก 3.25; มก 3.26; มก 3.27; มก 3.29; มก 4.5; มก 4.6; มก 4.7; มก 4.12; มก 4.13; มก 4.17; มก 4.19; มก 4.22; มก 4.25; มก 4.27; มก 4.38; มก 4.40; มก 5.3; มก 5.4; มก 5.7; มก 5.19; มก 5.23; มก 5.37; มก 5.39; มก 5.43; มก 6.4; มก 6.5; มก 6.6; มก 6.8; มก 6.9; มก 6.11; มก 6.19; มก 6.26; มก 6.31; มก 6.34; มก 6.36; มก 6.52; มก 7.2; มก 7.3; มก 7.4; มก 7.5; มก 7.12; มก 7.15; มก 7.18; มก 7.27; มก 8.1; มก 8.2; มก 8.12; มก 8.16; มก 8.17; มก 8.18; มก 8.21; มก 8.23; มก 8.30; มก 9.1; มก 9.3; มก 9.6; มก 9.8; มก 9.9; มก 9.18; มก 9.28; มก 9.29; มก 9.30; มก 9.32; มก 9.39; มก 9.40; มก 9.43; มก 9.44; มก 9.45; มก 9.46; มก 9.48; มก 10.2; มก 10.8; มก 10.14; มก 10.15; มก 10.18; มก 10.27; มก 10.38; มก 10.43; มก 11.2; มก 11.13; มก 11.14; มก 11.26; มก 11.31; มก 11.33; มก 12.14; มก 12.15; มก 12.18; มก 12.19; มก 12.20; มก 12.21; มก 12.22; มก 12.24; มก 12.25; มก 12.26; มก 12.31; มก 12.32; มก 12.34; มก 13.2; มก 13.7; มก 13.14; มก 13.18; มก 13.19; มก 13.20; มก 13.24; มก 13.30; มก 13.32; มก 13.33; มก 13.35; มก 14.4; มก 14.7; มก 14.25; มก 14.29; มก 14.31; มก 14.37; มก 14.38; มก 14.40; มก 14.49; มก 14.55; มก 14.58; มก 14.59; มก 14.60; มก 14.68; มก 14.71; มก 15.3; มก 15.4; มก 15.23; มก 15.31; มก 15.36; มก 16.6; มก 16.11; มก 16.14; มก 16.16; มก 16.18; ลก 1.6; ลก 1.7; ลก 1.15; ลก 1.17; ลก 1.20; ลก 1.22; ลก 1.33; ลก 1.34; ลก 1.37; ลก 1.61; ลก 2.7; ลก 2.26; ลก 2.43; ลก 2.45; ลก 2.49; ลก 2.50; ลก 3.9; ลก 3.11; ลก 3.16; ลก 3.17; ลก 4.24; ลก 4.27; ลก 4.42; ลก 5.5; ลก 5.14; ลก 5.19; ลก 5.31; ลก 5.36; ลก 5.37; ลก 5.39; ลก 6.3; ลก 6.4; ลก 6.7; ลก 6.35; ลก 6.37; ลก 6.39; ลก 6.40; ลก 6.41; ลก 6.42; ลก 6.43; ลก 6.44; ลก 6.46; ลก 6.48; ลก 6.49; ลก 7.6; ลก 7.7; ลก 7.9; ลก 7.23; ลก 7.28; ลก 7.33; ลก 7.42; ลก 8.6; ลก 8.10; ลก 8.12; ลก 8.13; ลก 8.14; ลก 8.16; ลก 8.17; ลก 8.18; ลก 8.19; ลก 8.43; ลก 8.47; ลก 8.49; ลก 8.51; ลก 8.52; ลก 8.56; ลก 9.5; ลก 9.13; ลก 9.27; ลก 9.33; ลก 9.40; ลก 9.45; ลก 9.49; ลก 9.50; ลก 9.53; ลก 9.55; ลก 9.58; ลก 9.62; ลก 10.6; ลก 10.10; ลก 10.11; ลก 10.19; ลก 10.22; ลก 10.40; ลก 10.42; ลก 11.6; ลก 11.8; ลก 11.23; ลก 11.24; ลก 11.29; ลก 11.33; ลก 11.35; ลก 11.36; ลก 11.42; ลก 11.44; ลก 11.46; ลก 11.52; ลก 12.2; ลก 12.4; ลก 12.10; ลก 12.17; ลก 12.26; ลก 12.27; ลก 12.33; ลก 12.39; ลก 12.40; ลก 12.46; ลก 12.56; ลก 12.57; ลก 12.59; ลก 13.6; ลก 13.7; ลก 13.9; ลก 13.11; ลก 13.16; ลก 13.24; ลก 13.25; ลก 13.27; ลก 13.34; ลก 13.35; ลก 14.3; ลก 14.5; ลก 14.6; ลก 14.14; ลก 14.20; ลก 14.24; ลก 14.26; ลก 14.27; ลก 14.28; ลก 14.29; ลก 14.30; ลก 14.31; ลก 14.32; ลก 14.33; ลก 15.4; ลก 15.7; ลก 15.8; ลก 15.13; ลก 15.16; ลก 15.19; ลก 15.21; ลก 15.28; ลก 15.29; ลก 16.2; ลก 16.3; ลก 16.11; ลก 16.13; ลก 16.26; ลก 16.31; ลก 17.8; ลก 17.9; ลก 17.10; ลก 17.18; ลก 17.20; ลก 17.21; ลก 17.22; ลก 18.1; ลก 18.4; ลก 18.7; ลก 18.11; ลก 18.13; ลก 18.17; ลก 18.19; ลก 18.27; ลก 18.34; ลก 19.3; ลก 19.14; ลก 19.26; ลก 19.27; ลก 19.30; ลก 19.44; ลก 19.48; ลก 20.5; ลก 20.7; ลก 20.8; ลก 20.22; ลก 20.26; ลก 20.27; ลก 20.28; ลก 20.29; ลก 20.30; ลก 20.31; ลก 20.35; ลก 20.36; ลก 20.40; ลก 21.6; ลก 21.9; ลก 21.14; ลก 21.15; ลก 21.32; ลก 22.16; ลก 22.18; ลก 22.26; ลก 22.32; ลก 22.34; ลก 22.35; ลก 22.36; ลก 22.46; ลก 22.57; ลก 22.60; ลก 22.67; ลก 22.68; ลก 23.4; ลก 23.9; ลก 23.14; ลก 23.15; ลก 23.22; ลก 23.34; ลก 23.40; ลก 23.41; ลก 24.6; ลก 24.11; ลก 24.16; ลก 24.18; ลก 24.23; ลก 24.24; ลก 24.39; ลก 24.41; ยน 1.3; ยน 1.5; ยน 1.10; ยน 1.11; ยน 1.18; ยน 1.26; ยน 1.27; ยน 1.31; ยน 1.33; ยน 1.47; ยน 2.3; ยน 2.4; ยน 2.9; ยน 2.10; ยน 2.12; ยน 2.25; ยน 3.2; ยน 3.3; ยน 3.5; ยน 3.8; ยน 3.10; ยน 3.11; ยน 3.12; ยน 3.13; ยน 3.15; ยน 3.16; ยน 3.17; ยน 3.18; ยน 3.20; ยน 3.24; ยน 3.27; ยน 3.32; ยน 3.36; ยน 4.2; ยน 4.9; ยน 4.11; ยน 4.14; ยน 4.15; ยน 4.17; ยน 4.22; ยน 4.27; ยน 4.32; ยน 4.44; ยน 4.48; ยน 4.50; ยน 4.53; ยน 5.7; ยน 5.13; ยน 5.19; ยน 5.23; ยน 5.24; ยน 5.30; ยน 5.31; ยน 5.37; ยน 5.38; ยน 5.40; ยน 5.41; ยน 5.42; ยน 5.47; ยน 6.7; ยน 6.12; ยน 6.22; ยน 6.24; ยน 6.35; ยน 6.36; ยน 6.37; ยน 6.44; ยน 6.46; ยน 6.50; ยน 6.53; ยน 6.58; ยน 6.63; ยน 6.64; ยน 6.65; ยน 6.66; ยน 7.1; ยน 7.4; ยน 7.6; ยน 7.7; ยน 7.8; ยน 7.10; ยน 7.13; ยน 7.15; ยน 7.18; ยน 7.19; ยน 7.26; ยน 7.27; ยน 7.28; ยน 7.30; ยน 7.34; ยน 7.35; ยน 7.36; ยน 7.39; ยน 7.44; ยน 7.45; ยน 7.46; ยน 7.49; ยน 7.51; ยน 7.52; ยน 8.6; ยน 8.7; ยน 8.10; ยน 8.11; ยน 8.12; ยน 8.13; ยน 8.14; ยน 8.19; ยน 8.20; ยน 8.21; ยน 8.22; ยน 8.23; ยน 8.27; ยน 8.33; ยน 8.37; ยน 8.43; ยน 8.46; ยน 8.47; ยน 8.48; ยน 8.49; ยน 8.51; ยน 8.52; ยน 8.54; ยน 8.55; ยน 8.57; ยน 9.4; ยน 9.12; ยน 9.16; ยน 9.18; ยน 9.21; ยน 9.25; ยน 9.27; ยน 9.29; ยน 9.30; ยน 9.32; ยน 9.33; ยน 9.39; ยน 9.41; ยน 10.5; ยน 10.6; ยน 10.12; ยน 10.13; ยน 10.18; ยน 10.21; ยน 10.25; ยน 10.26; ยน 10.28; ยน 10.29; ยน 10.35; ยน 10.37; ยน 11.4; ยน 11.9; ยน 11.10; ยน 11.21; ยน 11.26; ยน 11.30; ยน 11.32; ยน 11.37; ยน 11.49; ยน 11.50; ยน 11.54; ยน 11.56; ยน 12.5; ยน 12.8; ยน 12.16; ยน 12.19; ยน 12.24; ยน 12.35; ยน 12.37; ยน 12.39; ยน 12.42; ยน 12.44; ยน 12.47; ยน 12.48; ยน 13.7; ยน 13.8; ยน 13.10; ยน 13.11; ยน 13.16; ยน 13.28; ยน 13.33; ยน 13.36; ยน 13.37; ยน 14.2; ยน 14.5; ยน 14.6; ยน 14.9; ยน 14.10; ยน 14.17; ยน 14.18; ยน 14.19; ยน 14.22; ยน 14.24; ยน 14.27; ยน 14.30; ยน 15.2; ยน 15.4; ยน 15.5; ยน 15.13; ยน 15.15; ยน 15.16; ยน 15.21; ยน 15.22; ยน 15.24; ยน 16.1; ยน 16.3; ยน 16.5; ยน 16.7; ยน 16.9; ยน 16.10; ยน 16.12; ยน 16.13; ยน 16.16; ยน 16.17; ยน 16.18; ยน 16.19; ยน 16.21; ยน 16.22; ยน 16.23; ยน 16.24; ยน 16.25; ยน 16.26; ยน 16.30; ยน 16.32; ยน 17.11; ยน 17.12; ยน 17.15; ยน 17.25; ยน 18.9; ยน 18.11; ยน 18.17; ยน 18.20; ยน 18.25; ยน 18.28; ยน 18.30; ยน 18.36; ยน 18.38; ยน 19.4; ยน 19.6; ยน 19.10; ยน 19.11; ยน 19.15; ยน 19.23; ยน 19.31; ยน 19.36; ยน 19.41; ยน 20.2; ยน 20.5; ยน 20.7; ยน 20.9; ยน 20.13; ยน 20.14; ยน 20.24; ยน 20.25; ยน 20.29; ยน 21.3; ยน 21.4; ยน 21.5; ยน 21.6; ยน 21.8; ยน 21.11; ยน 21.12; ยน 21.18; ยน 21.23; ยน 21.25; กจ 2.24; กจ 2.27; กจ 2.31; กจ 2.34; กจ 3.6; กจ 3.17; กจ 3.23; กจ 4.12; กจ 4.14; กจ 4.17; กจ 4.18; กจ 4.20; กจ 4.21; กจ 4.32; กจ 4.34; กจ 5.7; กจ 5.13; กจ 5.22; กจ 5.23; กจ 5.39; กจ 5.40; กจ 6.1; กจ 6.2; กจ 6.10; กจ 6.13; กจ 7.5; กจ 7.11; กจ 7.18; กจ 7.19; กจ 7.25; กจ 7.32; กจ 7.39; กจ 7.40; กจ 7.48; กจ 7.53; กจ 8.16; กจ 8.21; กจ 8.24; กจ 8.31; กจ 8.32; กจ 8.33; กจ 8.36; กจ 8.39; กจ 9.7; กจ 9.8; กจ 9.26; กจ 10.14; กจ 10.18; กจ 10.28; กจ 10.29; กจ 10.34; กจ 11.3; กจ 11.8; กจ 11.12; กจ 11.19; กจ 12.5; กจ 12.9; กจ 12.14; กจ 12.19; กจ 13.8; กจ 13.10; กจ 13.11; กจ 13.25; กจ 13.35; กจ 13.39; กจ 13.41; กจ 13.46; กจ 14.2; กจ 14.8; กจ 15.1; กจ 15.9; กจ 15.10; กจ 15.28; กจ 15.38; กจ 16.7; กจ 16.15; กจ 16.21; กจ 16.37; กจ 17.4; กจ 17.5; กจ 17.6; กจ 17.11; กจ 17.12; กจ 17.19; กจ 17.21; กจ 17.23; กจ 17.29; กจ 18.10; กจ 18.15; กจ 18.17; กจ 18.20; กจ 19.2; กจ 19.9; กจ 19.30; กจ 19.32; กจ 19.35; กจ 19.36; กจ 19.40; กจ 20.12; กจ 20.16; กจ 20.22; กจ 20.25; กจ 20.29; กจ 20.38; กจ 21.14; กจ 21.21; กจ 21.25; กจ 21.34; กจ 22.9; กจ 22.11; กจ 22.18; กจ 22.22; กจ 23.5; กจ 23.8; กจ 23.9; กจ 23.12; กจ 23.14; กจ 23.21; กจ 23.29; กจ 24.8; กจ 24.11; กจ 24.12; กจ 24.13; กจ 24.15; กจ 24.23; กจ 25.7; กจ 25.8; กจ 25.10; กจ 25.11; กจ 25.20; กจ 25.24; กจ 25.25; กจ 25.26; กจ 25.27; กจ 26.8; กจ 26.22; กจ 26.25; กจ 26.26; กจ 26.27; กจ 27.7; กจ 27.12; กจ 27.14; กจ 27.15; กจ 27.20; กจ 27.21; กจ 27.22; กจ 27.31; กจ 27.34; กจ 27.39; กจ 27.41; กจ 28.4; กจ 28.5; กจ 28.18; กจ 28.21; กจ 28.24; กจ 28.25; กจ 28.26; กจ 28.31; รม 1.9; รม 1.16; รม 1.20; รม 1.21; รม 1.28; รม 1.30; รม 1.31; รม 1.32; รม 2.1; รม 2.4; รม 2.5; รม 2.8; รม 2.11; รม 2.12; รม 2.13; รม 2.14; รม 2.21; รม 2.22; รม 2.27; รม 2.29; รม 3.3; รม 3.5; รม 3.6; รม 3.8; รม 3.10; รม 3.11; รม 3.12; รม 3.17; รม 3.18; รม 3.20; รม 3.22; รม 3.24; รม 3.29; รม 3.30; รม 4.4; รม 4.10; รม 4.11; รม 4.12; รม 4.13; รม 4.14; รม 4.15; รม 4.18; รม 5.13; รม 5.15; รม 5.16; รม 6.3; รม 6.6; รม 6.9; รม 6.16; รม 6.20; รม 7.1; รม 7.3; รม 7.6; รม 7.7; รม 7.8; รม 7.15; รม 7.16; รม 7.18; รม 7.19; รม 7.20; รม 8.1; รม 8.3; รม 8.4; รม 8.7; รม 8.9; รม 8.15; รม 8.18; รม 8.24; รม 8.25; รม 8.26; รม 8.32; รม 8.39; รม 9.1; รม 9.6; รม 9.8; รม 9.14; รม 9.16; รม 9.21; รม 9.25; รม 9.30; รม 9.31; รม 10.2; รม 10.3; รม 10.11; รม 10.12; รม 10.14; รม 10.15; รม 10.18; รม 10.19; รม 10.21; รม 11.2; รม 11.6; รม 11.7; รม 11.8; รม 11.10; รม 11.18; รม 11.20; รม 11.21; รม 11.23; รม 11.25; รม 11.32; รม 13.1; รม 13.3; รม 13.4; รม 13.10; รม 14.3; รม 14.6; รม 14.7; รม 14.14; รม 14.15; รม 14.21; รม 14.22; รม 15.1; รม 15.18; รม 15.20; รม 15.21; รม 15.22; รม 15.23; รม 15.31; รม 16.18; รม 16.20; 1คร 1.10; 1คร 1.15; 1คร 1.16; 1คร 1.21; 1คร 2.2; 1คร 2.5; 1คร 2.8; 1คร 2.9; 1คร 2.11; 1คร 2.14; 1คร 2.15; 1คร 3.1; 1คร 3.2; 1คร 3.7; 1คร 3.11; 1คร 3.16; 1คร 4.4; 1คร 4.8; 1คร 4.11; 1คร 4.18; 1คร 4.19; 1คร 5.1; 1คร 5.3; 1คร 5.6; 1คร 6.1; 1คร 6.2; 1คร 6.3; 1คร 6.5; 1คร 6.6; 1คร 6.7; 1คร 6.9; 1คร 6.10; 1คร 6.12; 1คร 6.13; 1คร 6.15; 1คร 6.16; 1คร 6.19; 1คร 7.1; 1คร 7.4; 1คร 7.5; 1คร 7.9; 1คร 7.11; 1คร 7.12; 1คร 7.13; 1คร 7.14; 1คร 7.15; 1คร 7.16; 1คร 7.19; 1คร 7.25; 1คร 7.28; 1คร 7.29; 1คร 7.30; 1คร 7.32; 1คร 7.34; 1คร 7.36; 1คร 7.37; 1คร 7.38; 1คร 8.2; 1คร 8.4; 1คร 8.8; 1คร 8.10; 1คร 8.13; 1คร 9.2; 1คร 9.4; 1คร 9.5; 1คร 9.6; 1คร 9.12; 1คร 9.13; 1คร 9.15; 1คร 9.16; 1คร 9.18; 1คร 9.24; 1คร 9.25; 1คร 9.27; 1คร 10.5; 1คร 10.6; 1คร 10.13; 1คร 10.20; 1คร 10.25; 1คร 10.27; 1คร 11.5; 1คร 11.6; 1คร 11.7; 1คร 11.8; 1คร 11.9; 1คร 11.13; 1คร 11.14; 1คร 11.16; 1คร 11.17; 1คร 11.20; 1คร 11.22; 1คร 11.27; 1คร 11.29; 1คร 11.31; 1คร 11.34; 1คร 12.2; 1คร 12.3; 1คร 12.15; 1คร 12.16; 1คร 12.21; 1คร 12.22; 1คร 12.23; 1คร 12.24; 1คร 12.25; 1คร 13.1; 1คร 13.2; 1คร 13.3; 1คร 13.4; 1คร 13.5; 1คร 13.6; 1คร 13.7; 1คร 13.8; 1คร 14.2; 1คร 14.7; 1คร 14.8; 1คร 14.9; 1คร 14.10; 1คร 14.11; 1คร 14.14; 1คร 14.16; 1คร 14.17; 1คร 14.21; 1คร 14.22; 1คร 14.23; 1คร 14.24; 1คร 14.28; 1คร 14.34; 1คร 15.9; 1คร 15.12; 1คร 15.13; 1คร 15.15; 1คร 15.16; 1คร 15.17; 1คร 15.29; 1คร 15.32; 1คร 15.34; 1คร 15.36; 1คร 15.39; 1คร 15.42; 1คร 15.46; 1คร 15.50; 1คร 15.51; 1คร 15.53; 1คร 15.54; 1คร 16.2; 1คร 16.7; 1คร 16.12; 1คร 16.22; 2คร 1.13; 2คร 1.17; 2คร 1.19; 2คร 1.23; 2คร 2.1; 2คร 2.3; 2คร 2.5; 2คร 2.9; 2คร 2.11; 2คร 2.13; 2คร 2.17; 2คร 3.7; 2คร 3.8; 2คร 3.13; 2คร 3.18; 2คร 4.1; 2คร 4.2; 2คร 4.4; 2คร 4.5; 2คร 4.7; 2คร 4.8; 2คร 4.9; 2คร 4.16; 2คร 4.18; 2คร 5.9; 2คร 5.12; 2คร 5.16; 2คร 5.21; 2คร 6.9; 2คร 6.10; 2คร 6.11; 2คร 6.12; 2คร 6.14; 2คร 6.15; 2คร 6.17; 2คร 7.5; 2คร 7.8; 2คร 7.9; 2คร 7.10; 2คร 7.14; 2คร 8.5; 2คร 8.8; 2คร 8.12; 2คร 8.13; 2คร 8.15; 2คร 8.17; 2คร 8.20; 2คร 9.1; 2คร 10.3; 2คร 10.4; 2คร 10.8; 2คร 10.9; 2คร 10.10; 2คร 10.11; 2คร 10.12; 2คร 10.13; 2คร 10.15; 2คร 10.16; 2คร 10.18; 2คร 11.5; 2คร 11.6; 2คร 11.7; 2คร 11.9; 2คร 11.10; 2คร 11.11; 2คร 11.14; 2คร 11.15; 2คร 11.29; 2คร 11.31; 2คร 12.1; 2คร 12.2; 2คร 12.3; 2คร 12.4; 2คร 12.5; 2คร 12.7; 2คร 12.11; 2คร 12.13; 2คร 12.14; 2คร 12.20; 2คร 13.2; 2คร 13.5; 2คร 13.7; 2คร 13.8; 2คร 13.10; กท 1.12; กท 1.16; กท 1.17; กท 1.19; กท 1.20; กท 1.22; กท 2.3; กท 2.5; กท 2.6; กท 2.7; กท 2.10; กท 2.14; กท 2.16; กท 2.21; กท 3.1; กท 3.11; กท 3.12; กท 3.15; กท 3.17; กท 3.20; กท 3.21; กท 3.28; กท 4.1; กท 4.8; กท 4.12; กท 4.14; กท 4.21; กท 4.27; กท 4.30; กท 5.4; กท 5.6; กท 5.7; กท 5.8; กท 5.10; กท 5.16; กท 5.17; กท 5.18; กท 5.21; กท 5.23; กท 6.3; กท 6.7; กท 6.9; กท 6.12; กท 6.14; กท 6.15; อฟ 1.16; อฟ 2.12; อฟ 3.5; อฟ 4.14; อฟ 4.17; อฟ 4.20; อฟ 5.4; อฟ 5.6; อฟ 5.27; อฟ 5.29; อฟ 6.6; อฟ 6.9; ฟป 1.10; ฟป 1.20; ฟป 1.22; ฟป 1.27; ฟป 1.28; ฟป 2.7; ฟป 2.12; ฟป 2.15; ฟป 2.19; ฟป 2.20; ฟป 2.21; ฟป 2.24; ฟป 2.27; ฟป 3.1; ฟป 3.3; ฟป 3.6; ฟป 3.9; ฟป 3.13; ฟป 4.10; ฟป 4.11; ฟป 4.15; คส 1.9; คส 1.15; คส 1.16; คส 1.21; คส 1.23; คส 2.1; คส 2.5; คส 2.8; คส 2.18; คส 2.19; คส 2.23; คส 3.11; คส 3.25; 1ธส 1.3; 1ธส 1.8; 1ธส 2.1; 1ธส 2.5; 1ธส 2.6; 1ธส 2.9; 1ธส 2.13; 1ธส 2.16; 1ธส 3.1; 1ธส 3.3; 1ธส 3.5; 1ธส 4.5; 1ธส 4.6; 1ธส 4.9; 1ธส 4.12; 1ธส 4.13; 1ธส 5.1; 1ธส 5.3; 1ธส 5.4; 1ธส 5.5; 1ธส 5.6; 2ธส 1.8; 2ธส 2.3; 2ธส 2.5; 2ธส 2.10; 2ธส 2.12; 2ธส 3.6; 2ธส 3.8; 2ธส 3.9; 2ธส 3.10; 2ธส 3.11; 2ธส 3.14; 1ทธ 1.3; 1ทธ 1.4; 1ทธ 1.7; 1ทธ 1.20; 1ทธ 2.7; 1ทธ 2.12; 1ทธ 2.14; 1ทธ 3.2; 1ทธ 3.3; 1ทธ 3.5; 1ทธ 3.8; 1ทธ 3.10; 1ทธ 3.11; 1ทธ 3.16; 1ทธ 4.3; 1ทธ 4.4; 1ทธ 5.7; 1ทธ 5.8; 1ทธ 5.13; 1ทธ 5.21; 1ทธ 5.25; 1ทธ 6.3; 1ทธ 6.4; 1ทธ 6.16; 2ทธ 1.12; 2ทธ 1.16; 2ทธ 2.4; 2ทธ 2.9; 2ทธ 2.13; 2ทธ 2.14; 2ทธ 2.15; 2ทธ 2.24; 2ทธ 3.7; 2ทธ 3.8; 2ทธ 3.9; 2ทธ 4.2; 2ทธ 4.3; 2ทธ 4.16; ทต 1.2; ทต 1.6; ทต 1.7; ทต 1.11; ทต 1.15; ทต 1.16; ทต 2.3; ทต 2.5; ทต 2.8; ทต 3.3; ทต 3.9; ทต 3.14; ฟม 1.11; ฟม 1.14; ฟม 1.19; ฮบ 1.12; ฮบ 2.5; ฮบ 2.8; ฮบ 2.11; ฮบ 3.10; ฮบ 3.11; ฮบ 3.12; ฮบ 3.13; ฮบ 3.18; ฮบ 3.19; ฮบ 4.1; ฮบ 4.2; ฮบ 4.6; ฮบ 4.13; ฮบ 4.15; ฮบ 5.4; ฮบ 5.5; ฮบ 5.13; ฮบ 6.10; ฮบ 6.12; ฮบ 6.13; ฮบ 6.17; ฮบ 6.18; ฮบ 7.3; ฮบ 7.7; ฮบ 7.13; ฮบ 7.14; ฮบ 7.16; ฮบ 7.19; ฮบ 7.21; ฮบ 7.23; ฮบ 7.24; ฮบ 7.27; ฮบ 8.4; ฮบ 8.7; ฮบ 8.9; ฮบ 8.11; ฮบ 8.12; ฮบ 9.8; ฮบ 9.9; ฮบ 9.11; ฮบ 9.12; ฮบ 9.17; ฮบ 9.18; ฮบ 9.22; ฮบ 9.24; ฮบ 9.25; ฮบ 10.1; ฮบ 10.2; ฮบ 10.4; ฮบ 10.5; ฮบ 10.6; ฮบ 10.8; ฮบ 10.11; ฮบ 10.17; ฮบ 10.18; ฮบ 10.23; ฮบ 10.26; ฮบ 10.37; ฮบ 10.38; ฮบ 10.39; ฮบ 11.3; ฮบ 11.5; ฮบ 11.6; ฮบ 11.7; ฮบ 11.8; ฮบ 11.12; ฮบ 11.13; ฮบ 11.23; ฮบ 11.24; ฮบ 11.27; ฮบ 11.32; ฮบ 11.35; ฮบ 11.38; ฮบ 11.40; ฮบ 12.2; ฮบ 12.3; ฮบ 12.7; ฮบ 12.8; ฮบ 12.11; ฮบ 12.14; ฮบ 12.17; ฮบ 12.18; ฮบ 12.19; ฮบ 12.20; ฮบ 12.25; ฮบ 12.27; ฮบ 12.28; ฮบ 13.2; ฮบ 13.5; ฮบ 13.6; ฮบ 13.9; ฮบ 13.10; ฮบ 13.14; ฮบ 13.17; ฮบ 13.22; ยก 1.4; ยก 1.8; ยก 1.13; ยก 1.17; ยก 1.20; ยก 1.23; ยก 2.11; ยก 2.13; ยก 2.14; ยก 2.16; ยก 3.8; ยก 3.10; ยก 3.12; ยก 3.17; ยก 4.2; ยก 4.3; ยก 4.4; ยก 4.14; ยก 4.17; ยก 5.6; ยก 5.12; ยก 5.17; 1ปต 1.4; 1ปต 1.8; 1ปต 1.17; 1ปต 1.23; 1ปต 2.4; 1ปต 2.6; 1ปต 2.7; 1ปต 2.8; 1ปต 2.10; 1ปต 2.22; 1ปต 3.1; 1ปต 3.4; 1ปต 3.6; 1ปต 3.7; 1ปต 3.10; 1ปต 3.20; 1ปต 4.1; 1ปต 4.2; 1ปต 4.4; 1ปต 4.9; 1ปต 4.17; 1ปต 5.4; 2ปต 1.8; 2ปต 1.10; 2ปต 1.12; 2ปต 1.14; 2ปต 1.16; 2ปต 1.20; 2ปต 1.21; 2ปต 2.3; 2ปต 2.5; 2ปต 2.10; 2ปต 2.11; 2ปต 2.12; 2ปต 2.14; 2ปต 2.21; 2ปต 3.9; 2ปต 3.16; 1ยน 1.5; 1ยน 1.6; 1ยน 1.8; 1ยน 1.10; 1ยน 2.1; 1ยน 2.10; 1ยน 2.11; 1ยน 2.16; 1ยน 2.19; 1ยน 2.21; 1ยน 2.23; 1ยน 2.27; 1ยน 2.28; 1ยน 3.1; 1ยน 3.2; 1ยน 3.5; 1ยน 3.6; 1ยน 3.9; 1ยน 3.10; 1ยน 3.14; 1ยน 3.15; 1ยน 3.17; 1ยน 3.21; 1ยน 4.1; 1ยน 4.3; 1ยน 4.6; 1ยน 4.8; 1ยน 4.12; 1ยน 4.18; 1ยน 4.20; 1ยน 5.3; 1ยน 5.10; 1ยน 5.12; 1ยน 5.16; 1ยน 5.17; 1ยน 5.18; 2ยน 1.7; 2ยน 1.8; 2ยน 1.9; 2ยน 1.10; 2ยน 1.12; 3ยน 1.4; 3ยน 1.7; 3ยน 1.9; 3ยน 1.10; 3ยน 1.11; 3ยน 1.13; ยด 1.4; ยด 1.5; ยด 1.6; ยด 1.9; ยด 1.10; ยด 1.12; วว 1.1; วว 2.2; วว 2.9; วว 2.11; วว 2.13; วว 2.17; วว 2.21; วว 2.24; วว 3.2; วว 3.3; วว 3.5; วว 3.7; วว 3.8; วว 3.9; วว 3.11; วว 3.12; วว 3.15; วว 3.16; วว 3.17; วว 3.18; วว 5.3; วว 5.4; วว 7.1; วว 7.16; วว 8.12; วว 9.1; วว 9.2; วว 9.4; วว 9.5; วว 9.6; วว 9.11; วว 10.6; วว 11.2; วว 11.6; วว 11.7; วว 11.9; วว 11.14; วว 12.8; วว 12.11; วว 13.8; วว 13.15; วว 13.17; วว 14.3; วว 14.5; วว 14.10; วว 14.11; วว 15.4; วว 15.8; วว 16.9; วว 16.11; วว 16.18; วว 16.20; วว 17.8; วว 17.10; วว 17.11; วว 17.12; วว 18.2; วว 18.4; วว 18.7; วว 18.11; วว 18.14; วว 18.21; วว 18.22; วว 18.23; วว 19.12; วว 20.1; วว 20.3; วว 20.4; วว 20.5; วว 20.6; วว 20.11; วว 20.15; วว 21.1; วว 21.4; วว 21.6; วว 21.22; วว 21.23; วว 21.25; วว 21.27; วว 22.3; วว 22.5; วว 22.6; วว 22.17

ไม้ ( 128 )
ปฐก 30.37 ยาโคบเอากิ่งไม้สดจากต้นไค้ ต้นเสลา และต้นเกาลัด มาปอกเปลือกออกเป็นรอยขาวๆให้เห็นไม้สีขาว
ปฐก 30.38 เขาวางไม้ที่ปอกเปลือกไว้ในร่องตรงหน้าฝูงสัตว์คือในรางน้ำที่ฝูงสัตว์มากินน้ำ เพื่อเมื่อมันมากินน้ำ มันจะตั้งท้อง
ปฐก 30.39 ฝูงสัตว์ก็ตั้งท้องตรงหน้าไม้นั้น ดังนั้นฝูงสัตว์จึงมีลูกที่มีลายมีจุดและด่าง
ปฐก 30.41 อยู่มาเมื่อสัตว์ที่แข็งแรงในฝูงจะตั้งท้อง ยาโคบก็จัดไม้วางไว้ที่รางน้ำให้ฝูงสัตว์เห็นเพื่อให้มันตั้งท้องกลางไม้นั้น
ปฐก 30.42 และเมื่อสัตว์อ่อนแอ ยาโคบก็ไม่ใส่ไม้นั้นไว้ เหตุฉะนั้นสัตว์ที่อ่อนแอจึงตกเป็นของลาบัน แต่สัตว์ที่แข็งแรงเป็นของยาโคบ
อพย 7.19 พระเยโฮวาห์ตรัสสั่งโมเสสว่า “จงบอกอาโรนว่า ‘เอาไม้เท้าของท่านชี้ไปเหนือน้ำทั้งหลายแห่งอียิปต์ คือเหนือลำคลอง แม่น้ำ บึง และสระทั้งหมดของเขา เพื่อน้ำจะกลายเป็นเลือดและจะมีเลือดทั่วแผ่นดินอียิปต์ ทั้งที่อยู่ในภาชนะไม้และภาชนะหิน’”
อพย 12.23 เพราะพระเยโฮวาห์จะเสด็จผ่านไปเพื่อจะได้ประหารคนอียิปต์ เมื่อพระองค์ทรงเห็นเลือดที่ไม้ประตูข้างบนและที่ไม้วงกบประตูทั้งสองข้าง พระเยโฮวาห์จะทรงผ่านเว้นประตูนั้น ไม่ทรงยอมให้ผู้สังหารเข้าไปในบ้านท่าน เพื่อจะประหารท่าน
อพย 21.20 ถ้าผู้ใดทุบตีทาสชายหญิงของตนด้วยไม้จนตายคามือ ผู้นั้นต้องถูกปรับโทษเป็นแน่
อพย 25.28 เจ้าจงทำคานหามด้วยไม้กระถินเทศ หุ้มด้วยทองคำ ให้หามโต๊ะด้วยไม้นี้
อพย 26.17 ให้มีเดือยกรอบละสองเดือย เดือยกรอบหนึ่งมีไม้ประกับติดกับเดือยอีกกรอบหนึ่ง ไม้กรอบพลับพลาทั้งหมดให้ทำอย่างนี้
อพย 26.25 คือรวมเป็นไม้กรอบแปดแผ่นด้วยกัน และฐานเงินสิบหกอัน ใต้กรอบไม้ให้มีฐานรองรับแผ่นละสองฐาน
อพย 30.2 ให้ยาวศอกหนึ่ง กว้างศอกหนึ่ง เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส และสูงสองศอก เชิงงอนมุมแท่นนั้นให้เป็นไม้ท่อนเดียวกับแท่น
อพย 31.5 เจียระไนพลอยต่างๆสำหรับฝังในกระเปาะและแกะสลักไม้ได้ คือประกอบวิชาการทุกอย่าง
อพย 35.24 ทุกคนที่มีเงินหรือทองสัมฤทธิ์จะถวายก็นำมาถวายพระเยโฮวาห์ และทุกคนที่มีไม้กระถินเทศใช้การได้ก็นำไม้นั้นมาถวาย
อพย 35.33 และเจียระไนพลอยต่างๆสำหรับฝังในกระเปาะ และการแกะสลักไม้ คือให้มีฝีมือดีเลิศทุกอย่าง
อพย 36.22 มีเดือยกรอบละสองเดือย เดือยกรอบหนึ่งมีไม้ประกับติดกับเดือยอีกกรอบหนึ่ง เขาได้ทำไม้กรอบพลับพลาทั้งหมดอย่างนี้
อพย 37.25 เขาสร้างแท่นบูชาสำหรับเผาเครื่องหอมด้วยไม้กระถินเทศ ยาวศอกหนึ่ง กว้างศอกหนึ่ง เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส และสูงสองศอก เชิงงอนที่มุมแท่นนั้นก็เป็นไม้ท่อนเดียวกันกับแท่น
อพย 38.2 เขาทำเชิงงอนติดไว้ทั้งสี่มุมของแท่นนั้น เชิงงอนนั้นเป็นไม้ชิ้นเดียวกันกับแท่นบูชา เขาหุ้มแท่นด้วยทองสัมฤทธิ์
ลนต 11.32 และเมื่อมันตายตกทับสิ่งใด สิ่งนั้นก็เป็นมลทิน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เป็นไม้ หรือเสื้อผ้า หรือหนังสัตว์ หรือกระสอบ หรือภาชนะใดๆที่ใช้เพื่อประโยชน์อย่างใด จะต้องแช่น้ำ และจะมลทินไปจนถึงเวลาเย็น ต่อไปก็นับว่าสะอาดได้
ลนต 14.45 ให้เขาพังเรือนนั้นลง หิน ไม้และปูนที่ทำเรือนนั้นให้ขนไปทิ้งเสียในที่ที่มลทินภายนอกเมือง
ลนต 15.12 ภาชนะดินซึ่งผู้มีสิ่งไหลออกแตะต้องให้ทุบเสีย และภาชนะไม้ทุกอย่างก็ให้ชำระเสียด้วยน้ำ
กดว 17.2 “จงพูดกับคนอิสราเอลและเอาไม้เท้ามาจากเขา เรือนบรรพบุรุษละอันจากประมุขทุกคนตามเรือนบรรพบุรุษ เป็นไม้เท้าสิบสองอัน เขียนชื่อชายเจ้าของไม้ไว้บนไม้เท้าทุกอัน
กดว 31.20 ท่านต้องชำระเครื่องแต่งกายทุกชิ้น เครื่องหนังสัตว์ทุกชิ้น และเครื่องขนแพะทั้งหมดและเครื่องที่ทำด้วยไม้ทุกชิ้น”
กดว 35.18 หรือผู้ใดใช้อาวุธไม้ที่อยู่ในมือขนาดฆ่าคนได้ตีเขาล้มลงและคนนั้นถึงตาย ผู้นั้นเป็นฆาตกร ให้ประหารชีวิตฆาตกรนั้นเสียเป็นแน่
พบญ 4.28 ณ ที่นั่นท่านทั้งหลายจะปรนนิบัติพระที่ทำด้วยไม้และศิลา เป็นงานที่มือคนทำไว้ ซึ่งไม่ดู ไม่ฟัง ไม่รับประทาน ไม่ดมกลิ่น
พบญ 10.1 “ครั้งนั้นพระเยโฮวาห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘จงสกัดศิลาสองแผ่นให้เหมือนอย่างเดิม และขึ้นมาหาเราที่บนภูเขาและทำหีบไม้ไว้ด้วย
พบญ 10.2 และเราจะจารึกถ้อยคำที่อยู่ในแผ่นศิลาแผ่นเดิมที่เจ้าทำแตกเสียนั้น จงเก็บศิลานั้นไว้ในหีบไม้’
พบญ 19.5 อาทิเช่น ชายคนหนึ่งเข้าไปในป่าพร้อมกับเพื่อนบ้านของเขาเพื่อจะตัดไม้ เมื่อเขาเหวี่ยงขวานเพื่อจะโค่นต้นไม้ลง หัวขวานหลุดจากด้ามถูกเพื่อนบ้านของเขาและคนนั้นก็ถึงตาย ก็ให้เขาหนีไปยังเมืองเหล่านี้เมืองใดเมืองหนึ่งและรอดตายได้
พบญ 23.13 และท่านต้องมีไม้เสี้ยมรวมไว้กับเครื่องอาวุธ และเมื่อท่านนั่งลงในที่ข้างนอกนั้น ท่านจงใช้ไม้ขุดหลุมไว้ และหันไปกลบสิ่งปฏิกูลของท่านเสีย
พบญ 28.36 พระเยโฮวาห์จะทรงนำท่าน และกษัตริย์ผู้ที่ท่านแต่งตั้งไว้เหนือท่านนั้น ไปยังประชาชาติซึ่งท่านและบรรพบุรุษของท่านไม่รู้จักมาก่อน ณ ที่นั้นท่านจะปรนนิบัติพระอื่นที่ทำด้วยไม้และด้วยหิน
พบญ 28.64 และพระเยโฮวาห์จะทรงกระทำให้ท่านทั้งหลายกระจัดกระจายไปท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย ตั้งแต่ที่สุดปลายโลกข้างนี้ไปถึงข้างโน้น ณ ที่นั้นท่านจะปรนนิบัติพระอื่นๆ ซึ่งท่านและบรรพบุรุษของท่านไม่รู้จักคือ พระซึ่งทำด้วยไม้และศิลา
พบญ 29.17 ท่านทั้งหลายได้เห็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนของเขาทั้งหลายแล้ว คือเห็นรูปเคารพที่ทำด้วยไม้ ด้วยหิน และด้วยเงินและทอง ซึ่งอยู่ท่ามกลางเขาทั้งหลาย)
วนฉ 6.21 แล้วทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ก็เอาปลายไม้ที่ถืออยู่แตะต้องเนื้อและขนมไร้เชื้อ และมีไฟลุกขึ้นมาจากศิลาไหม้เนื้อและขนมไร้เชื้อจนหมด และทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ก็หายไปพ้นสายตาของเขา
วนฉ 6.26 และสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าที่บนป้อมนี้ ใช้ก้อนหินก่อให้เป็นระเบียบ แล้วนำวัวตัวที่สองนั้นฆ่าเสียถวายเป็นเครื่องเผาบูชา เผาด้วยไม้เสารูปเคารพซึ่งเจ้าโค่นมานั้น”
1ซมอ 6.14 เกวียนนั้นได้เข้ามาในนาของโยชูวาชาวเบธเชเมชและหยุดอยู่ที่นั่น มีหินใหญ่ก้อนหนึ่งอยู่ที่นั่น เขาจึงผ่าไม้เกวียนเป็นฟืน และเอาแม่วัวเป็นเครื่องเผาบูชาถวายแด่พระเยโฮวาห์
1ซมอ 14.27 แต่โยนาธานไม่ได้ยินคำปฏิญาณของพระราชบิดาที่ทรงให้ประชาชนปฏิญาณ จึงเอาปลายไม้ที่ถืออยู่แหย่ที่รังผึ้ง แล้วก็เอามือของท่านใส่ปาก ตาก็แจ่มใสขึ้น
1พกษ 5.6 เพราะฉะนั้นบัดนี้ขอท่านสั่งให้ตัดไม้สนสีดาร์แห่งเลบานอนเพื่อข้าพเจ้า และข้าราชการของข้าพเจ้าจะสมทบกับพวกข้าราชการของท่าน ข้าพเจ้าจะมอบเงินค่าจ้างข้าราชการของท่านแก่ท่านตามที่ท่านตั้งไว้ เพราะท่านคงทราบแล้วว่า ท่ามกลางเรานี้ไม่มีผู้ใดรู้จักตัดไม้เหมือนชาวซีโดน”
1พกษ 5.18 ดังนั้นพนักงานก่อสร้างของซาโลมอน และพนักงานก่อสร้างของฮีราม และช่างสลักหินก็แต่งหินเหล่านั้น และเตรียมตัวไม้และหินเพื่อสร้างพระนิเวศ
1พกษ 6.6 ห้องชั้นล่างที่สุดกว้างห้าศอก ชั้นกลางกว้างหกศอก และชั้นที่สามกว้างเจ็ดศอก เพราะรอบด้านนอกของพระนิเวศพระองค์ทรงสร้างหยักบ่าไว้ที่ผนัง เพื่อว่าไม้รอดจะไม่ได้ทะลวงเข้าไปในผนังพระนิเวศ
1พกษ 6.15 พระองค์ทรงกรุผนังข้างในพระนิเวศด้วยกระดานไม้สนสีดาร์ ตั้งแต่พื้นพระนิเวศจนถึงไม้เพดาน พระองค์ทรงกรุข้างในด้วยไม้ และพระองค์ทรงปูปิดพื้นพระนิเวศด้วยไม้สนสามใบ
1พกษ 15.22 แล้วกษัตริย์อาสาทรงประกาศไปทั่วยูดาห์ไม่เว้นผู้ใดเลย เขาทั้งหลายก็มารื้อเอาหินของเมืองรามาห์ และตัวไม้ของเมืองนั้นซึ่งบาอาชาทรงสร้างค้างอยู่ กษัตริย์อาสาก็ทรงเอามาสร้างเมืองเกบาแห่งเบนยามินและเมืองมิสปาห์
2พกษ 6.2 ขอให้เราไปที่แม่น้ำจอร์แดน ต่างคนต่างเอาไม้ท่อนหนึ่งมาสร้างที่อาศัยของเราที่นั่น” และท่านตอบว่า “ไปเถอะ”
2พกษ 6.5 ขณะที่คนหนึ่งฟันไม้อยู่ หัวขวานของเขาตกลงไปในน้ำ และเขาร้องขึ้นว่า “อนิจจา นายครับ ขวานนั้นผมขอยืมเขามา”
2พกษ 6.6 แล้วคนแห่งพระเจ้าถามว่า “ขวานนั้นตกที่ไหน” เมื่อเขาชี้ที่ให้ท่านแล้ว ท่านก็ตัดไม้อันหนึ่งทิ้งลงไปที่นั่น ทำให้ขวานเหล็กนั้นลอยขึ้นมา
2พกษ 12.12 และให้แก่ช่างก่อ และช่างสกัดหิน ทั้งจ่ายซื้อตัวไม้ และหินสกัด ที่ใช้ในการซ่อมแซมพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และเพื่อค่าใช้จ่ายทั้งหมดในงานซ่อมแซมพระนิเวศนั้น
2พกษ 19.18 และได้เหวี่ยงพระของประชาชาตินั้นเข้าไฟ เพราะเขามิใช่พระ เป็นแต่ผลงานของมือมนุษย์ เป็นไม้และหิน เพราะฉะนั้นเขาจึงถูกทำลายเสีย
2พกษ 22.6 คือให้แก่ช่างไม้ และแก่ช่างก่อสร้าง และแก่ช่างปูน ทั้งสำหรับซื้อตัวไม้และหินสกัดเพื่อซ่อมแซมพระนิเวศ”
1พศด 22.14 และดูเถิด เราได้จัดเตรียมไว้เพื่อพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ด้วยความยากเหนื่อยอย่างยิ่ง เป็นทองคำหนักหนึ่งแสนตะลันต์ เงินหนักหนึ่งล้านตะลันต์ ทองสัมฤทธิ์และเหล็กเหลือที่จะชั่ง เพราะมีมากมายเหลือเกิน เราได้จัดเตรียมตัวไม้และหินด้วย เจ้าจะเพิ่มเติมเข้าอีกก็ได้
1พศด 29.2 เพราะฉะนั้นเราจึงจัดเตรียมไว้สำหรับพระนิเวศของพระเจ้าของเรา เต็มความสามารถของเรา คือทองคำสำหรับสิ่งที่ทำด้วยทองคำ และเงินสำหรับสิ่งที่ทำด้วยเงิน และทองสัมฤทธิ์สำหรับสิ่งที่ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ และเหล็กสำหรับสิ่งที่ทำด้วยเหล็ก และไม้สำหรับสิ่งที่ทำด้วยไม้ มีพลอยสีน้ำข้าว และพลอยสำหรับฝัง พลวง หินลาย เพชรพลอยทุกชนิดและหินอ่อนมายมาย
2พศด 2.8 ขอท่านส่งไม้สนสีดาร์ ไม้สนสามใบและไม้ประดู่จากเลบานอนให้ข้าพเจ้าด้วย เพราะข้าพเจ้าทราบว่า ข้าราชการของท่านรู้จักการตัดไม้ในเลบานอน และดูเถิด ข้าราชการของข้าพเจ้าจะอยู่กับข้าราชการของท่าน
2พศด 2.9 เพื่อจัดเตรียมตัวไม้ให้แก่ข้าพเจ้าให้มากมาย เพราะว่าพระนิเวศที่ข้าพเจ้าจะสร้างนี้จะใหญ่โตและแปลกประหลาด
2พศด 2.10 และดูเถิด ส่วนข้าราชการของท่าน คือผู้ที่โค่นตัดไม้นั้น ข้าพเจ้าจะให้ข้าวสาลีนวดแล้วสองหมื่นโคระ ข้าวบาร์เลย์สองหมื่นโคระ น้ำองุ่นสองหมื่นบัท และน้ำมันสองหมื่นบัทแก่เขาทั้งหลาย”
2พศด 2.14 บุตรชายของหญิงคนดาน บิดาของเขาเป็นชาวเมืองไทระ เขาชำนาญงานช่างทองคำ เงิน ทองสัมฤทธิ์ เหล็ก หินและไม้ และทำงานช่างผ้าสีม่วง สีฟ้า ผ้าป่านเนื้อละเอียดและผ้าสีแดงเข้ม และทำการแกะสลักทุกชนิด และสร้างตามแบบลวดลายใดๆที่จะกำหนดให้แก่เขา พร้อมกับช่างฝีมือของท่าน คือช่างฝีมือของดาวิดราชบิดาของท่านผู้เป็นเจ้านายของข้าพเจ้า
2พศด 2.16 และพวกเราจะตัดตัวไม้เท่าที่ท่านต้องการจากเลบานอน และนำมาให้ท่านโดยแพทางทะเลถึงเมืองยัฟฟา เพื่อว่าท่านจะได้นำขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม”
2พศด 3.10 ในที่บริสุทธิ์ที่สุดนั้น พระองค์ทรงสร้างเครูบไว้สองรูปด้วยไม้บุทองคำ
อสร 5.8 ขอกษัตริย์ทรงทราบว่าข้าพระองค์ทั้งหลายไปยังมณฑลยูดาห์ ถึงพระนิเวศของพระเจ้าใหญ่ยิ่ง ซึ่งกำลังสร้างขึ้นด้วยหินใหญ่ และวางไม้ไว้บนผนัง งานนี้ได้ดำเนินไปอย่างขยันขันแข็งและเจริญขึ้นในมือของเขา
อสร 6.4 ให้ก่อด้วยหินใหญ่สามชั้นและไม้ใหม่ชั้นหนึ่ง และให้เสียเงินค่าก่อสร้างจากพระคลังหลวง
อสร 6.11 และเราออกกฤษฎีกาว่า ถ้าผู้ใดเปลี่ยนแปลงประกาศิตนี้ ก็ให้ดึงไม้ใหญ่อันหนึ่งออกเสียจากเรือนของเขา และให้เขาถูกตรึงไว้บนไม้นั้น และให้เรือนของเขาเป็นกองขยะเพราะเรื่องนี้
นหม 2.8 และพระราชสารถึงอาสาฟเจ้าพนักงานผู้ดูแลป่าไม้หลวง เพื่อเขาจะได้ให้ไม้แก่ข้าพระองค์ เพื่อทำคานประตูพระราชวังของพระนิเวศ และทำกำแพงเมือง และเพื่อทำบ้านที่ข้าพระองค์จะได้เข้าอาศัย” กษัตริย์ก็ทรงพระราชทานให้ตามพระหัตถ์อันประเสริฐของพระเจ้าของข้าพเจ้าที่อยู่เหนือข้าพเจ้า
นหม 8.4 เอสราธรรมาจารย์ยืนอยู่บนแท่นไม้ ซึ่งเขาทำไว้เพื่อการนี้ ข้างๆท่านมีมัททีธิยาห์ เชมา อานายาห์ อุรีอาห์ ฮิลคียาห์และมาอาสอาห์ยืนอยู่ข้างขวามือของท่าน กับมีเปดายาห์ มิชาเอล มัลคิยาห์ ฮาชูม ฮัชบัดดานาห์ เศคาริยาห์และเมชุลลามอยู่ข้างซ้ายมือของท่าน
โยบ 29.16 ข้าเป็นบิดาให้คนขัดสน และข้าสอบสวนเรื่องของผู้ที่ข้าไม้รู้จัก
โยบ 41.27 มันนับเหล็กว่าเป็นฟาง และทองสัมฤทธิ์ว่าเป็นไม้ผุ
สดด 74.6 แต่บัดนี้บรรดาไม้ที่แกะสลักทั้งสิ้นเขาก็พังลงมาเสียด้วยขวานและค้อน
สดด 141.7 กระดูกของเราทั้งหลายกระจายที่ปากแดนผู้ตายฉันใด เหมือนเมื่อคนหนึ่งตัดและผ่าไม้อยู่บนแผ่นดินฉันนั้น
สภษ 22.8 บุคคลผู้หว่านความชั่วช้าจะเกี่ยวความหายนะ และไม้ถือแห่งความดุเดือดของเขาจะล้มเหลว
ปญจ 2.6 ข้าพเจ้าสร้างสระน้ำหลายสระสำหรับตัวเอง เพื่อจะใช้น้ำในสระนั้นรดหมู่ไม้ที่กำลังงอกงาม
พซม 3.9 กษัตริย์ซาโลมอนสร้างพระวอสำหรับพระองค์ ด้วยไม้มาจากเลบานอน
พซม 5.13 แก้มของเขาเหมือนอย่างลานปลูกไม้สีเสียด ส่งกลิ่นหอมหวน ริมฝีปากของเขาเหมือนดอกบัวหยดน้ำมดยอบ
พซม 6.2 ที่รักของดิฉันลงไปยังสวนของเขาเพื่อจะไปที่ลานปลูกไม้สีเสียด และเพื่อจะไปเลี้ยงฝูงสัตว์ในสวนกับเพื่อจะเก็บดอกบัว
พซม 6.11 ดิฉันลงไปในสวนผลนัท เพื่อจะดูหมู่ไม้เขียวตามหุบเขาว่าเถาองุ่นมีดอกตูมออกหรือเปล่า และเพื่อจะดูว่าผลทับทิมมีดอกแล้วหรือยัง
อสย 5.7 เพราะว่าสวนองุ่นของพระเยโฮวาห์จอมโยธาคือวงศ์วานอิสราเอล และคนยูดาห์เป็นหมู่ไม้ที่พระองค์ทรงชื่นพระทัย และพระองค์ทรงมุ่งหวังความยุติธรรม แต่ดูเถิด มีแต่การนองเลือด หวังความชอบธรรม แต่ ดูเถิด เสียงร้องให้ช่วย
อสย 10.15 ขวานจะคุยข่มคนที่ใช้มันสกัดนั้นหรือ หรือเลื่อยจะทะนงตัวเหนือผู้ที่ใช้มันเลื่อยนั้นหรือ เหมือนกับว่าตะบองจะยกผู้ซึ่งถือมันขึ้นตี หรืออย่างไม้พลองจะยกตัวขึ้นเหมือนกับว่ามันไม่ทำด้วยไม้
อสย 37.19 และได้เหวี่ยงพระของประชาชาตินั้นเข้าไฟ เพราะเขามิใช่พระ เป็นแต่ผลงานของมือมนุษย์ เป็นไม้และหิน เพราะฉะนั้นเขาจึงถูกทำลายเสีย
อสย 44.19 ไม่มีใครพินิจพิเคราะห์ในใจของตนเลย และไม่มีความรู้หรือความเข้าใจ ที่จะกล่าวว่า “ข้าได้เผามันเสียส่วนหนึ่งในกองไฟ และข้าก็เอาถ่านมันมาปิ้งขนมปัง ข้าย่างเนื้อกินแล้ว และควรหรือที่ข้าจะทำส่วนที่เหลือให้เป็นสิ่งน่าเกลียดน่าชัง ควรหรือที่ข้าจะกราบลงต่อท่อนไม้ท่อนหนึ่ง”
อสย 45.20 จงชุมนุม และมา มาให้ใกล้กันเข้า คือเจ้าทั้งหลายผู้รอดพ้นแห่งบรรดาประชาชาติ เขาทั้งหลายไม่มีความรู้ คือผู้ที่ยกรูปเคารพสลักไม้ของเขาไป และอธิษฐานต่อพระซึ่งช่วยเขาให้รอดไม่ได้
อสย 60.17 แทนทองสัมฤทธิ์ เราจะนำมาซึ่งทองคำ และแทนเหล็ก เราจะนำมาซึ่งเงิน แทนไม้ ทองสัมฤทธิ์ แทนหิน เหล็ก เราจะกระทำให้สันติภาพเป็นผู้ครอบครองของเจ้า และความชอบธรรมเป็นนายงานของเจ้า
ยรม 1.11 ยิ่งกว่านี้พระวจนะของพระเยโฮวาห์มายังข้าพเจ้าว่า “เยเรมีย์เอ๋ย เจ้าเห็นอะไร” ข้าพเจ้ากราบทูลว่า “ข้าพระองค์เห็นไม้ตะพดอัลมันด์อันหนึ่ง”
ยรม 10.8 เขาทั้งหลายทั้งโฉดและโง่เขลา ไม้อันนั้นเป็นแต่คำสอนไร้สาระ
ยรม 28.13 “จงไปบอกฮานันยาห์ว่า ‘พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า เจ้าได้หักแอกไม้’ แต่เจ้าจะทำแอกเหล็กไว้ให้พวกเขาแทน
อสค 15.2 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ต้นเถาองุ่นวิเศษกว่าต้นไม้อื่น และวิเศษกว่าไม้กิ่งหนึ่งซึ่งอยู่ท่ามกลางต้นไม้ในป่าหรือ
อสค 15.3 เขาเอาไม้ต้นเถาองุ่นไปทำอะไรบ้างหรือ คนเอาไปทำขอสำหรับแขวนภาชนะอันใดหรือ
อสค 20.32 อะไรอยู่ในใจของเจ้าจะไม่เกิดขึ้นได้เลย คือความคิดที่ว่า ‘ให้เราเป็นเหมือนประชาชาติทั้งหลาย ให้เป็นเหมือนครอบครัวต่างๆในประเทศทั่วไป คือให้เราปรนนิบัติไม้และศิลา’
อสค 26.12 ทรัพย์สมบัติของเจ้าเขาทั้งหลายจะเอาเป็นของริบ และสินค้าของเจ้าเขาจะเอามาเป็นของปล้น เขาจะพังกำแพงของเจ้าลง และจะทำลายบ้านอันพึงใจของเจ้าเสีย หิน ไม้ และดินของเจ้านั้นเขาจะโยนทิ้งเสียกลางน้ำ
อสค 31.8 ต้นสนสีดาร์ที่อยู่ในอุทยานของพระเจ้าก็ซ่อนมันไว้ไม่ได้ ต้นสนสามใบก็ยังไม่เปรียบปานกิ่งใหญ่ของมัน ต้นเกาลัดก็ไม่เปรียบปานกิ่งของมัน ไม่มีไม้ต้นใดในอุทยานของพระเจ้าที่มีความงามเหมือนมัน
อสค 37.16 “เจ้า บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงเอาไม้มาอันหนึ่งเขียนลงว่า ‘สำหรับยูดาห์ และสำหรับชนอิสราเอลที่สังคมกับยูดาห์’ จงเอาไม้มาอีกอันหนึ่งเขียนลงว่า ‘สำหรับโยเซฟ ไม้ของเอฟราอิม และวงศ์วานอิสราเอลทั้งสิ้นที่สังคมกับโยเซฟ’
อสค 37.17 เอาไม้ทั้งสองมารวมกันเข้าเป็นอันเดียว เพื่อเป็นไม้อันเดียวในมือของเจ้า
อสค 37.18 และเมื่อชนชาติของเจ้ากล่าวแก่เจ้าว่า ‘ท่านจะไม่สำแดงให้เราทราบหรือว่า ไม้นี้หมายความว่ากระไร’
อสค 37.19 จงกล่าวแก่เขาว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะเอาไม้ของโยเซฟ ซึ่งอยู่ในมือของเอฟราอิม และตระกูลอิสราเอลที่สังคมกับเขา และเราจะเอาไม้ของยูดาห์มารวมเข้าด้วย และกระทำให้เป็นไม้อันเดียวกัน เพื่อให้เป็นไม้อันเดียวในมือของเรา
อสค 37.20 และไม้ซึ่งเจ้าเขียนไว้นั้นจะอยู่ในมือของเจ้าต่อหน้าต่อตาเขา
อสค 41.16 ทั้งธรณีประตู หน้าต่างและผนังรอบทั้งสามชั้นซึ่งอยู่ตรงข้ามประตู บุไม้โดยรอบตั้งแต่พื้นถึงหน้าต่าง และหน้าต่างนี้ก็คลุมไว้
อสค 41.22 แท่นบูชาทำด้วยไม้สูงสามศอกยาวสองศอก ทั้งมุม ความยาว และที่ผนังทำด้วยไม้ ท่านบอกข้าพเจ้าว่า “นี่เป็นโต๊ะซึ่งอยู่ต่อพระพักตร์ของพระเยโฮวาห์”
อสค 41.25 และบนประตูของพระวิหาร มีเครูบและต้นอินทผลัมแกะไว้ เช่นเดียวกับที่แกะไว้บนผนัง มีพลับพลาไม้อยู่ที่หน้ามุขข้างนอก
ดนล 5.4 เขาทั้งหลายดื่มเหล้าองุ่นและสรรเสริญพระที่ทำด้วยทองคำ เงิน ทองสัมฤทธิ์ เหล็ก ไม้และหิน
ดนล 5.23 แต่ทรงยกองค์พระองค์ขึ้นสู้กับองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ และทรงให้นำภาชนะแห่งพระนิเวศของพระองค์มาต่อพระพักตร์พระองค์ แล้วพระองค์ พวกเจ้านายของพระองค์ พระสนม และนางห้ามของพระองค์ก็ดื่มเหล้าองุ่นจากภาชนะเหล่านั้น และพระองค์ทรงสรรเสริญพระที่ทำด้วยเงิน ทองคำ ทองสัมฤทธิ์ เหล็ก ไม้ และหิน ซึ่งจะดูหรือฟัง หรือรู้เรื่องก็ไม่ได้ แต่พระองค์มิได้ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าซึ่งลมปราณของพระองค์อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และทางทั้งสิ้นของพระองค์ก็ขึ้นอยู่กับพระองค์
ฮชย 4.12 ประชาชนของเราไปขอความเห็นจากสิ่งที่ทำด้วยไม้ และไม้ติ้วก็แจ้งแก่เขาอย่างเปิดเผย เพราะจิตใจที่ชอบเล่นชู้นำให้เขาหลงไป และเขาทั้งหลายได้ละทิ้งพระเจ้าของเขาเสียเพื่อไปเล่นชู้
ฮชย 4.13 เขาถวายสัตวบูชาอยู่ที่ยอดภูเขาและทำสักการบูชาเผาอยู่ที่เนินเขา ใต้ต้นโอ๊ก ต้นไค้และต้นเอ็ลม์ เพราะว่าร่มไม้เหล่านี้เย็นดี เพราะฉะนั้นธิดาทั้งหลายของเจ้าจึงจะเล่นชู้และเจ้าสาวทั้งหลายจึงจะล่วงประเวณี
มคา 5.1 โอ บุตรสาวแห่งกองทัพทหารเอ๋ย บัดนี้เจ้าจงรวมกันเป็นกองทัพ ศัตรูมาล้อมเราทั้งหลายไว้ เขาจะเอาไม้ตีแก้มของผู้ปกครองอิสราเอล
ฮบก 2.11 เพราะว่าศิลาจะตะโกนออกมาจากผนัง และขื่อก็จะตอบสนองมาจากหมู่ตัวไม้ในเรือน
ฮบก 2.19 วิบัติแก่ผู้ที่กล่าวแก่สิ่งที่ทำด้วยไม้ว่า ‘จงตื่นเถิด’ แก่หินใบ้ว่า ‘จงลุกขึ้นเถิด’ สิ่งนี้สั่งสอนอะไรได้หรือ ดูเถิด สิ่งนั้นกะไหล่ทองคำหรือเงิน แต่ไม่มีลมหายใจในสิ่งนั้นเลย
ฮกก 1.4 “โอ เจ้าทั้งหลาย ถึงเวลาแล้วหรือที่ตัวเจ้าเองอาศัยอยู่ในบ้านที่มีไม้บุ แต่ส่วนพระนิเวศนี้ทิ้งให้พังทลาย
ฮกก 1.8 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า จงขึ้นไปที่เนินเขาและนำไม้มาสร้างพระนิเวศ เราจะมีความพอใจในพระนิเวศนั้น และเราจะได้รับเกียรติ
ศคย 5.4 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า เราส่งคำสาปนั้นออกไป และคำนั้นจะเข้าไปในเรือนของโจร และในเรือนของคนที่ปฏิญาณเท็จโดยออกนามของเรา และคำนี้จะค้างคืนอยู่ในเรือน ผลาญเรือนนั้นเสียทั้งตัวไม้และศิลา”
ศคย 11.2 ต้นสนสามใบเอ๋ย จงร่ำไห้เถิด เพราะไม้สนสีดาร์ล้มเสียแล้ว เพราะบรรดาไม้ที่สง่างามพินาศลงไปแล้ว โอ ต้นโอ๊กเมืองบาชานเอ๋ย จงร่ำไห้เถิด เพราะป่าทึบถูกโค่นเสียแล้ว
มธ 7.3 เหตุไฉนท่านมองดูผงที่อยู่ในตาพี่น้องของท่าน แต่ไม่ยอมพิจารณาไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่านเอง
มธ 7.4 หรือเหตุไฉนท่านจะกล่าวแก่พี่น้องของท่านว่า ‘ให้เราเขี่ยผงออกจากตาของท่าน’ แต่ดูเถิด ไม้ทั้งท่อนก็อยู่ในตาของท่านเอง
มธ 7.5 ท่านคนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน แล้วท่านจะเห็นได้ถนัด จึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้
ลก 6.41 เหตุไฉนท่านมองดูผงที่ในตาพี่น้องของท่าน แต่ไม่ยอมพิจารณาไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่านเอง
ลก 6.42 เหตุไฉนท่านจึงจะพูดกับพี่น้องของท่านว่า ‘พี่น้องเอ๋ย ให้เราเขี่ยผงออกจากตาของเธอ’ แต่ที่จริงท่านเองยังไม่เห็นไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่าน ท่านคนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน แล้วท่านจะเห็นได้ถนัดจึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้
ลก 23.31 เพราะว่าถ้าเขาทำอย่างนี้เมื่อไม้สด อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อไม้แห้งแล้วเล่า”
กจ 27.44 ฝ่ายคนทั้งหลายที่เหลือนั้นก็เกาะกระดานไปบ้าง เกาะไม้กำปั่นที่หักไปบ้าง ดังนั้นเขาทั้งหลายก็ถึงฝั่งรอดตายหมดทุกคน
1คร 3.12 แล้วบนรากนั้นถ้าผู้ใดจะก่อขึ้นด้วยทองคำ เงิน เพชรพลอย ไม้ หญ้าแห้งหรือฟาง
2ทธ 2.20 แต่ว่าในบ้านใหญ่หลังหนึ่งๆมิได้มีแต่ภาชนะทองและเงินเท่านั้น แต่มีภาชนะไม้และภาชนะดินด้วย บ้างก็มีเกียรติ และบ้างก็ไร้เกียรติ
วว 9.20 มนุษย์ทั้งหลายที่เหลืออยู่ ที่มิได้ถูกฆ่าด้วยภัยพิบัติเหล่านี้ ยังไม่ได้กลับใจเสียใหม่จากงานที่มือเขาได้กระทำ ไม่ได้เลิกบูชาผี บูชา ‘รูปเคารพที่ทำด้วยทองคำ เงิน ทองสัมฤทธิ์ หินและไม้ รูปเคารพเหล่านั้นจะดูหรือฟังหรือเดินก็ไม่ได้’
วว 18.12 สินค้าเหล่านั้นคือ ทองคำ เงิน เพชรพลอยต่างๆ ไข่มุก ผ้าป่านเนื้อละเอียด ผ้าสีม่วง ผ้าไหม ผ้าสีแดงเข้ม ไม้หอมทุกชนิด บรรดาภาชนะที่ทำด้วยงา บรรดาภาชนะไม้ที่มีราคามาก ภาชนะทองสัมฤทธิ์ ภาชนะเหล็ก ภาชนะหินอ่อน
วว 21.16 เมืองนั้นเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างยาวเท่ากันและท่านเอาไม้วัดเมืองนั้น ได้สองพันสี่ร้อยกิโลเมตร กว้างยาวและสูงเท่ากัน

ไม้กรอบ ( 39 )
อพย 26.15 ไม้กรอบสำหรับทำฝาพลับพลานั้น ให้ใช้ไม้กระถินเทศตั้งตรงขึ้น
อพย 26.16 ไม้กรอบนั้นให้ยาวแผ่นละสิบศอก กว้างศอกคืบ
อพย 26.17 ให้มีเดือยกรอบละสองเดือย เดือยกรอบหนึ่งมีไม้ประกับติดกับเดือยอีกกรอบหนึ่ง ไม้กรอบพลับพลาทั้งหมดให้ทำอย่างนี้
อพย 26.18 เจ้าจงทำไม้กรอบพลับพลาดังนี้ ด้านใต้ให้ทำยี่สิบแผ่น
อพย 26.19 จงทำฐานรองรับด้วยเงินสี่สิบฐานสำหรับไม้กรอบยี่สิบแผ่น ใต้ไม้กรอบแผ่นหนึ่งให้มีฐานรองรับแผ่นละสองฐาน สำหรับสวมเดือยสองอัน
อพย 26.20 ด้านที่สองของพลับพลาข้างทิศเหนือนั้น ให้ใช้ไม้กรอบยี่สิบแผ่น
อพย 26.22 ส่วนด้านหลังทิศตะวันตกของพลับพลา ให้ทำไม้กรอบหกแผ่น
อพย 26.24 ไม้กรอบนั้นข้างล่างให้แยกกัน แต่ตอนบนยอดให้ติดกันที่ห่วงแรกทั้งสองแห่ง ให้กระทำดังนี้ก็จะทำให้เกิดมุมสองมุม
อพย 26.25 คือรวมเป็นไม้กรอบแปดแผ่นด้วยกัน และฐานเงินสิบหกอัน ใต้กรอบไม้ให้มีฐานรองรับแผ่นละสองฐาน
อพย 26.26 เจ้าจงทำกลอนด้วยไม้กระถินเทศห้าอัน สำหรับไม้กรอบฝาพลับพลาด้านหนึ่ง
อพย 26.27 และกลอนอีกห้าอันสำหรับขัดไม้กรอบฝาพลับพลาอีกด้านหนึ่ง และกลอนอีกห้าอันสำหรับขัดไม้กรอบฝาพลับพลาด้านหลัง คือด้านตะวันตก
อพย 26.28 กลอนตัวกลางคืออยู่ตอนกลางของไม้กรอบสำหรับขัดฝาร้อยให้ติดกัน
อพย 26.29 จงหุ้มไม้กรอบเหล่านั้นด้วยทองคำ และทำห่วงไม้กรอบด้วยทองคำสำหรับร้อยกลอน และกลอนนั้นให้หุ้มด้วยทองคำ
อพย 35.11 คือพลับพลา เต็นท์ และผ้าคลุมพลับพลา ขอเกี่ยวและไม้กรอบ กลอน เสา และฐานรองรับเสาของพลับพลานั้น
อพย 36.20 เขาทำไม้กรอบสำหรับพลับพลาด้วยไม้กระถินเทศยกตั้งขึ้นตรงๆ
อพย 36.21 ไม้กรอบนั้นยาวแผ่นละสิบศอก กว้างศอกคืบ
อพย 36.22 มีเดือยกรอบละสองเดือย เดือยกรอบหนึ่งมีไม้ประกับติดกับเดือยอีกกรอบหนึ่ง เขาได้ทำไม้กรอบพลับพลาทั้งหมดอย่างนี้
อพย 36.23 เขาทำไม้กรอบพลับพลาดังนี้ ด้านใต้เขาใช้ยี่สิบแผ่น
อพย 36.24 เขาทำฐานด้วยเงินสี่สิบฐานสำหรับไม้กรอบยี่สิบแผ่น ใต้ไม้กรอบแผ่นหนึ่งมีฐานรองรับแผ่นละสองฐานสำหรับสวมเดือยสองอัน
อพย 36.25 ด้านที่สองของพลับพลาข้างทิศเหนือนั้นเขาทำไม้กรอบยี่สิบแผ่น
อพย 36.26 เขาทำฐานเงินรองรับสี่สิบฐาน ใต้ไม้กรอบมีฐานแผ่นละสองฐาน
อพย 36.27 ส่วนด้านหลังทิศตะวันตกของพลับพลาเขาทำไม้กรอบหกแผ่น
อพย 36.28 เขาทำไม้กรอบอีกสองแผ่นสำหรับมุมพลับพลาด้านหลัง
อพย 36.29 ไม้กรอบนั้นข้างล่างให้แยกกัน แต่ตอนบนยอดติดต่อกันที่ห่วงแรก เขาทำอย่างนี้ทำให้เกิดมุมสองมุม
อพย 36.30 คือรวมเป็นไม้กรอบแปดแผ่นด้วยกันและฐานเงินสิบหกอัน ใต้ไม้กรอบมีฐานแผ่นละสองฐาน
อพย 36.31 เขาทำกลอนด้วยไม้กระถินเทศห้าอันสำหรับขัดไม้กรอบฝาพลับพลาด้านหนึ่ง
อพย 36.32 และกลอนอีกห้าอันสำหรับขัดไม้กรอบฝาพลับพลาอีกด้านหนึ่ง และกลอนอีกห้าอันสำหรับขัดไม้กรอบฝาพลับพลาด้านตะวันตก
อพย 36.33 เขาทำกลอนตัวกลางให้ร้อยตอนกลางของไม้กรอบสำหรับขัดฝาตั้งแต่มุมหนึ่งไปจดอีกมุมหนึ่ง
อพย 36.34 เขาหุ้มไม้กรอบเหล่านั้นด้วยทองคำ และทำห่วงกรอบด้วยทองคำสำหรับร้อยกลอน และกลอนนั้นเขาหุ้มด้วยทองคำเช่นกัน
อพย 39.33 เขาจึงได้นำพลับพลามามอบไว้กับโมเสส ทั้งเต็นท์และเครื่องใช้ทั้งปวงคือ ขอ ไม้กรอบ กลอน เสา และฐานรองรับเสา
อพย 40.18 โมเสสติดตั้งพลับพลาขึ้น คือวางฐานและตั้งไม้กรอบขึ้นไว้ สอดไม้กลอนและตั้งเสาขึ้น
กดว 3.36 งานที่กำหนดให้แก่ลูกหลานเมรารีคืองานดูแลไม้กรอบพลับพลา ไม้กลอน ไม้เสา ฐานรองและเครื่องประกอบสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ทั้งงานสารพัดที่เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้
กดว 4.31 และต่อไปนี้เป็นสิ่งที่กำหนดให้เขาขน งานทั้งหมดของเขาในการปรนนิบัติพลับพลาแห่งชุมนุม คือไม้กรอบพลับพลา ไม้กลอน ไม้เสาและฐานรอง

ไม้กระดาน ( 3 )
อพย 27.8 แท่นนั้นทำด้วยไม้กระดาน แต่ข้างในแท่นกลวงตามแบบที่แจ้งแก่เจ้าแล้วที่ภูเขา จงให้เขาทำอย่างนั้น
อพย 38.7 เขาสอดไม้คานนั้นไว้ในห่วงที่ข้างแท่นสำหรับหาม เขาทำแท่นนั้นด้วยไม้กระดานให้ข้างในกลวง
2พศด 34.11 เขาทั้งหลายมอบให้แก่ช่างไม้และช่างก่อสร้างเพื่อจะซื้อหินสลักและไม้กระดาน เพื่อประกับและเป็นคานสำหรับอาคาร ซึ่งกษัตริย์แห่งยูดาห์ได้ปล่อยให้ทรุดโทรมพังทลายไป

ไม้กระถินเทศ ( 27 )
อพย 25.5 หนังแกะตัวผู้ย้อมสีแดง หนังของตัวแบดเจอร์ และไม้กระถินเทศ
อพย 25.10 ให้เขาทำหีบใบหนึ่งด้วยไม้กระถินเทศ ยาวสองศอกคืบ กว้างศอกคืบ และสูงศอกคืบ
อพย 25.13 ให้ทำคานหามด้วยไม้กระถินเทศหุ้มด้วยทองคำ
อพย 25.23 แล้วจงเอาไม้กระถินเทศมาทำโต๊ะตัวหนึ่ง ยาวสองศอก กว้างหนึ่งศอก และสูงศอกคืบ
อพย 25.28 เจ้าจงทำคานหามด้วยไม้กระถินเทศ หุ้มด้วยทองคำ ให้หามโต๊ะด้วยไม้นี้
อพย 26.15 ไม้กรอบสำหรับทำฝาพลับพลานั้น ให้ใช้ไม้กระถินเทศตั้งตรงขึ้น
อพย 26.26 เจ้าจงทำกลอนด้วยไม้กระถินเทศห้าอัน สำหรับไม้กรอบฝาพลับพลาด้านหนึ่ง
อพย 26.32 ม่านนั้นให้แขวนไว้ด้วยขอทองคำที่เสาไม้กระถินเทศสี่เสาที่หุ้มด้วยทองคำ และซึ่งตั้งอยู่บนฐานเงินสี่อัน
อพย 26.37 จงทำเสาห้าต้นด้วยไม้กระถินเทศสำหรับติดบังตาที่ประตูแล้วหุ้มเสานั้นด้วยทองคำ ขอแขวนเสาจงทำด้วยทองคำ แล้วหล่อฐานทองสัมฤทธิ์ห้าฐานสำหรับรองรับเสานั้น”
อพย 27.1 “เจ้าจงทำแท่นบูชาด้วยไม้กระถินเทศให้ยาวห้าศอก กว้างห้าศอก ให้เป็นแท่นสี่เหลี่ยมจัตุรัส สูงสามศอก
อพย 27.6 ไม้คานหามแท่นให้ทำด้วยไม้กระถินเทศและหุ้มด้วยทองสัมฤทธิ์
อพย 30.1 “เจ้าจงสร้างแท่นสำหรับเผาเครื่องหอม จงทำแท่นนั้นด้วยไม้กระถินเทศ
อพย 30.5 ไม้คานหามนั้นจงทำด้วยไม้กระถินเทศหุ้มด้วยทองคำ
อพย 35.7 หนังแกะตัวผู้ย้อมสีแดง หนังของตัวแบดเจอร์และไม้กระถินเทศ
อพย 35.24 ทุกคนที่มีเงินหรือทองสัมฤทธิ์จะถวายก็นำมาถวายพระเยโฮวาห์ และทุกคนที่มีไม้กระถินเทศใช้การได้ก็นำไม้นั้นมาถวาย
อพย 36.20 เขาทำไม้กรอบสำหรับพลับพลาด้วยไม้กระถินเทศยกตั้งขึ้นตรงๆ
อพย 36.31 เขาทำกลอนด้วยไม้กระถินเทศห้าอันสำหรับขัดไม้กรอบฝาพลับพลาด้านหนึ่ง
อพย 36.36 เขาทำเสาไม้กระถินเทศสี่เสาหุ้มด้วยทองคำ ขอติดเสานั้นก็เป็นทองคำ เขาหล่อฐานเงินสี่อันสำหรับรองรับเสานั้น
อพย 37.1 เบซาเลลทำหีบด้วยไม้กระถินเทศ ยาวสองศอกคืบ กว้างศอกคืบ และสูงศอกคืบ
อพย 37.4 เขาทำคานหามด้วยไม้กระถินเทศหุ้มด้วยทองคำ
อพย 37.10 เขาเอาไม้กระถินเทศทำโต๊ะตัวหนึ่ง ยาวสองศอก กว้างหนึ่งศอก และสูงศอกคืบ
อพย 37.15 เขาทำคานหามด้วยไม้กระถินเทศหุ้มด้วยทองคำสำหรับหามโต๊ะนั้น
อพย 37.25 เขาสร้างแท่นบูชาสำหรับเผาเครื่องหอมด้วยไม้กระถินเทศ ยาวศอกหนึ่ง กว้างศอกหนึ่ง เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส และสูงสองศอก เชิงงอนที่มุมแท่นนั้นก็เป็นไม้ท่อนเดียวกันกับแท่น
อพย 37.28 เขาทำไม้คานหามนั้นด้วยไม้กระถินเทศหุ้มด้วยทองคำ
อพย 38.1 เขาทำแท่นเครื่องเผาบูชาด้วยไม้กระถินเทศ ยาวห้าศอก กว้างห้าศอก เป็นแท่นสี่เหลี่ยมจัตุรัส สูงสามศอก
อพย 38.6 เขาทำไม้คานหามด้วยไม้กระถินเทศและหุ้มด้วยทองสัมฤทธิ์
พบญ 10.3 ข้าพเจ้าจึงทำหีบด้วยไม้กระถินเทศ และสกัดศิลาสองแผ่นเหมือนอย่างเดิม ขึ้นไปบนภูเขา มีศิลาสองแผ่นอยู่ในมือของข้าพเจ้า

ไม้กระบอง ( 1 )
โยบ 41.29 ไม้กระบองก็นับเป็นตอข้าวด้วย มันหัวเราะเยาะการซัดหอก

ไม้กระพั่นทอผ้า ( 4 )
1ซมอ 17.7 ด้ามหอกนั้นเหมือนไม้กระพั่นทอผ้า ตัวหอกหนักหกร้อยเชเขลเป็นเหล็ก ทหารถือโล่ของเขาเดินออกหน้า
2ซมอ 21.19 และมีการรบกับคนฟีลิสเตียที่เมืองโกบอีก เอลฮานันบุตรชายยาอาเรโอเรกิมชาวเบธเลเฮมได้ฆ่าน้องชายโกลิอัทชาวกัท ผู้มีหอกที่มีด้ามโตเท่าไม้กระพั่นทอผ้า
1พศด 11.23 เขาได้ฆ่าคนอียิปต์คนหนึ่ง เป็นชายรูปร่างใหญ่โต สูงห้าศอก คนอียิปต์นั้นถือหอกเหมือนไม้กระพั่นทอผ้า แต่เบไนยาห์ถือไม้เท้าลงไปหาเขา และแย่งเอาหอกมาจากมือของคนอียิปต์ และฆ่าเขาเสียด้วยหอกของเขาเอง
1พศด 20.5 และมีสงครามกับคนฟีลิสเตียอีก และเอลฮานันบุตรชายยาอีร์ได้ฆ่าลามีน้องชายของโกลิอัทชาวกัทเสีย ผู้มีหอกที่มีด้ามโตเท่าไม้กระพั่นทอผ้า

ไม้กลอน ( 3 )
อพย 40.18 โมเสสติดตั้งพลับพลาขึ้น คือวางฐานและตั้งไม้กรอบขึ้นไว้ สอดไม้กลอนและตั้งเสาขึ้น
กดว 3.36 งานที่กำหนดให้แก่ลูกหลานเมรารีคืองานดูแลไม้กรอบพลับพลา ไม้กลอน ไม้เสา ฐานรองและเครื่องประกอบสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ทั้งงานสารพัดที่เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้
กดว 4.31 และต่อไปนี้เป็นสิ่งที่กำหนดให้เขาขน งานทั้งหมดของเขาในการปรนนิบัติพลับพลาแห่งชุมนุม คือไม้กรอบพลับพลา ไม้กลอน ไม้เสาและฐานรอง

ไม้กวาด ( 1 )
อสย 14.23 “และเราจะกระทำให้เป็นกรรมสิทธิ์ของอีกาบ้าน และเป็นสระน้ำ และจะกวาดด้วยไม้กวาดแห่งการทำลาย” พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้แหละ

ไม้ข้างบน ( 2 )
อพย 12.7 แล้วเอาเลือดทาที่ไม้วงกบประตูทั้งสองข้าง และไม้ข้างบน ณ เรือนที่เขาเลี้ยงกันนั้นด้วย
อพย 12.22 เอาต้นหุสบกำหนึ่งจุ่มลงในเลือดที่อยู่ในอ่าง แล้วป้ายเลือดนั้นไว้ที่ไม้ข้างบน และไม้วงกบประตูทั้งสองข้างด้วยเลือดที่อยู่ในอ่าง อย่าให้ผู้ใดออกไปพ้นประตูบ้านของตนจนถึงรุ่งเช้า

ไม่ขาดสาย ( 1 )
สดด 58.7 ให้พวกเขาละลายไปเหมือนน้ำที่ไหลไม่ขาดสาย เมื่อเขาเล็งธนูเพื่อยิงลูกศร ให้ลูกศรนั้นถูกตัดเป็นชิ้นๆ

ไม้คร่าว ( 1 )
1พกษ 6.9 พระองค์ทรงสร้างพระนิเวศดังนี้และทรงให้สำเร็จ และพระองค์ทรงสร้างเพดานของพระนิเวศ มีไม้คร่าวและกระดานเป็นไม้สนสีดาร์

ไม้คาน ( 5 )
อพย 27.7 ไม้คานนั้นให้สอดไว้ในห่วง ในเวลาหามไม้คานจะอยู่ข้างแท่นข้างละอัน
อพย 38.7 เขาสอดไม้คานนั้นไว้ในห่วงที่ข้างแท่นสำหรับหาม เขาทำแท่นนั้นด้วยไม้กระดานให้ข้างในกลวง
1พกษ 8.7 เพราะว่าเครูบนั้นกางปีกออกเหนือที่ของหีบ เครูบจึงเป็นเครื่องคลุมเหนือหีบ และไม้คานของหีบ
2พศด 5.8 เพราะว่าเครูบนั้นกางปีกออกเหนือที่ของหีบ เครูบจึงเป็นเครื่องคลุมเหนือหีบและไม้คานของหีบ

ไม้คานหาม ( 16 )
อพย 25.15 ไม้คานหามให้สอดไว้ในห่วงของหีบ อย่าถอดออกเลย
อพย 27.6 ไม้คานหามแท่นให้ทำด้วยไม้กระถินเทศและหุ้มด้วยทองสัมฤทธิ์
อพย 30.4 จงทำห่วงทองคำสองห่วง ติดไว้ใต้กระจังด้านละห่วงตรงกันข้าม ห่วงนั้นสำหรับสอดใส่ไม้คานหาม
อพย 30.5 ไม้คานหามนั้นจงทำด้วยไม้กระถินเทศหุ้มด้วยทองคำ
อพย 35.12 หีบและไม้คานหามหีบ พระที่นั่งกรุณากับม่านบังตา
อพย 35.13 โต๊ะกับไม้คานหามโต๊ะ เครื่องใช้ทั้งปวงสำหรับโต๊ะ และขนมปังหน้าพระพักตร์
อพย 35.15 แท่นเผาเครื่องหอมกับไม้คานหามแท่นนั้น น้ำมันเจิม และเครื่องหอมสำหรับเผาถวาย และม่านบังตาสำหรับประตูที่ประตูพลับพลา
อพย 35.16 แท่นเครื่องเผาบูชากับตาข่ายทองสัมฤทธิ์ ไม้คานหามและเครื่องใช้ทั้งปวงของแท่น ขันกับพานรองขันนั้น
อพย 37.27 เขาทำห่วงทองคำสองห่วงติดไว้ใต้กระจังทั้งสองด้าน ตรงข้ามกัน เป็นที่สำหรับสอดใส่ไม้คานหาม
อพย 37.28 เขาทำไม้คานหามนั้นด้วยไม้กระถินเทศหุ้มด้วยทองคำ
อพย 38.5 เขาหล่อห่วงสี่ห่วงติดที่มุมทั้งสี่ของตาข่ายทองสัมฤทธิ์สำหรับสอดไม้คานหาม
อพย 38.6 เขาทำไม้คานหามด้วยไม้กระถินเทศและหุ้มด้วยทองสัมฤทธิ์
อพย 39.35 หีบพระโอวาทกับไม้คานหามของหีบนั้น และพระที่นั่งกรุณา
อพย 39.39 แท่นบูชาทองสัมฤทธิ์ กับตาข่ายทองสัมฤทธิ์สำหรับแท่นนั้น ไม้คานหามและเครื่องใช้ทั้งหมดของแท่น ขันกับพานรองขัน
อพย 40.20 ท่านเก็บพระโอวาทไว้ในหีบนั้นและสอดไม้คานหามไว้ในหีบนั้น และตั้งพระที่นั่งกรุณาไว้บนหีบ
กดว 13.23 เขาทั้งหลายมาถึงลำธารเอชโคล์ ที่นั่นเขาตัดองุ่นกิ่งหนึ่งมีองุ่นพวงหนึ่ง สองคนใช้ไม้คานหามมา เขาเก็บผลทับทิมและมะเดื่อมาบ้าง

ไม่เคย ( 3 )
ดนล 12.1 “ในครั้งนั้น มีคาเอล เจ้าผู้พิทักษ์ยิ่งใหญ่ ผู้คุ้มกันชนชาติของท่านจะลุกขึ้น และจะมีเวลายากลำบากอย่างไม่เคยมีมาตั้งแต่ครั้งมีประชาชาติจนถึงสมัยนั้น แต่ในครั้งนั้นชนชาติของท่านจะรับการช่วยให้พ้น คือทุกคนที่มีชื่อบันทึกไว้ในหนังสือ
อบด 1.16 เจ้าดื่มอยู่บนภูเขาบริสุทธิ์ของเราฉันใด ประชาชาติทั้งสิ้นก็จะดื่มไม่หยุดฉันนั้น เออ เขาจะดื่มแล้วก็โอนเอนไป เขาจะเป็นเหมือนอย่างที่ไม่เคยเกิดมา
ฮบก 2.5 ยิ่งกว่านั้น เพราะเขาละเมิดโดยเหล้าองุ่น เขาจึงเป็นคนจองหอง เขาไม่ยอมอยู่บ้าน ความตะกละของเขากว้างเหมือนอย่างนรก อย่างมัจจุราชไม่เคยรู้จักอิ่ม เขากอบโกยประชาชาติทั้งหลายมาเพื่อตัวเขาเอง แล้วรวบรวมชนชาติทั้งหลายเข้ามาเป็นคนของตน”

ไม่ใคร่ ( 3 )
มธ 22.3 แล้วใช้พวกผู้รับใช้ไปตามผู้ที่ได้รับเชิญมาในงานอภิเษกสมรสนั้น แต่เขาไม่ใคร่จะมา
ลก 9.39 และ ดูเถิด ผีมักจะเข้าสิงเขา เด็กก็โห่ร้องขึ้นทันที ผีทำให้เด็กนั้นชักดิ้น น้ำลายฟูมปาก ทำให้ตัวฟกช้ำ ไม่ใคร่ออกจากเขาเลย
รม 5.7 ไม่ใคร่จะมีใครตายเพื่อคนชอบธรรม แต่บางทีจะมีคนอาจตายเพื่อคนดีก็ได้

ไม้จันทน์แดง ( 3 )
1พกษ 10.11 ยิ่งกว่านั้นอีก กองกำปั่นของฮีรามซึ่งได้นำทองคำมาจากโอฟีร์ ได้นำไม้จันทน์แดงและเพชรพลอยต่างๆจำนวนมากหลายมาจากโอฟีร์
1พกษ 10.12 และกษัตริย์ทรงใช้ไม้จันทน์แดงทำเสาพระนิเวศแห่งพระเยโฮวาห์ และสำหรับพระราชวังของกษัตริย์ และทำพิณเขาคู่และพิณใหญ่สำหรับนักร้อง จนทุกวันนี้ก็ไม่เคยมีไม้จันทน์แดงมาหรือเห็นอย่างนี้อีก

ไม่ช้าไม่นาน ( 2 )
กจ 1.5 เพราะว่ายอห์นให้รับบัพติศมาด้วยน้ำก็จริง แต่ไม่ช้าไม่นานท่านทั้งหลายจะรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์”
1ทธ 3.14 ข้อความเหล่านี้ข้าพเจ้าเขียนฝากมายังท่าน หวังใจว่าไม่ช้าไม่นานข้าพเจ้าจะมาหาท่าน

ไม่เช่นนั้น ( 1 )
1ซมอ 6.9 และคอยดู ถ้าไปตามทางถึงแผ่นดินของมันเอง คือทางไปเมืองเบธเชเมช พระองค์ก็เป็นผู้ทรงให้เกิดความชั่วร้ายอย่างใหญ่หลวงนี้แก่เรา แต่ถ้าไม่เช่นนั้น เราจะได้ทราบว่าไม่ใช่พระหัตถ์ของพระองค์ที่กระทำต่อเรา เป็นโอกาสที่บังเอิญเกิดขึ้นแก่เราเอง”

ไม่ใช่ ( 218 )
ปฐก 15.13 พระองค์ตรัสแก่อับรามว่า “จงรู้แน่เถิดว่าเชื้อสายของเจ้าจะเป็นคนต่างด้าวในแผ่นดินที่ไม่ใช่ของพวกเขาและจะรับใช้พวกนั้น พวกนั้นจะกดขี่ข่มเหงพวกเขาสี่ร้อยปี
ปฐก 18.15 ดังนั้นนางซาราห์ปฏิเสธว่า “ข้าพระองค์มิได้หัวเราะ” เพราะนางกลัว และพระองค์ตรัสว่า “ไม่ใช่ แต่เจ้าหัวเราะ”
ปฐก 20.12 ยิ่งกว่านั้นนางเป็นน้องสาวของข้าพระองค์จริงๆ นางเป็นบุตรสาวของบิดาข้าพระองค์ แต่ไม่ใช่บุตรสาวของมารดาข้าพระองค์ และนางได้มาเป็นภรรยาของข้าพระองค์
อพย 4.11 พระเยโฮวาห์จึงตรัสกับท่านว่า “ผู้ใดเล่าที่สร้างปากมนุษย์ หรือทำให้เป็นใบ้ หูหนวก ตาดี หรือตาบอด เราพระเยโฮวาห์เป็นผู้ทำไม่ใช่หรือ
อพย 4.14 ฝ่ายพระเยโฮวาห์ทรงกริ้วต่อโมเสส พระองค์จึงตรัสว่า “เจ้ามีพี่ชายคืออาโรนคนเลวีไม่ใช่หรือ เรารู้แล้วว่าเขาเป็นคนพูดเก่ง และดูเถิด เขากำลังเดินทางมาพบเจ้าด้วย เมื่อเขาเห็นเจ้าเขาก็จะดีใจ
ลนต 15.25 ถ้าสตรีใดมีโลหิตไหลออกหลายวัน ไม่ใช่เป็นเวลาที่เธอต้องอยู่ต่างหากนั้น หรือถ้าเธอมีโลหิตไหลออกเลยกำหนดที่เธอต้องอยู่ต่างหากนั้น ทุกวันที่มีโลหิตไหลออกเธอจะเป็นมลทิน เธอจะเป็นมลทินอย่างเดียวกับเวลาที่เธอต้องอยู่ต่างหากนั้น
ลนต 27.22 ถ้าคนใดซื้อนามาถวายแด่พระเยโฮวาห์ ซึ่งไม่ใช่ส่วนมรดกที่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเขา
กดว 22.30 ลาก็พูดกับบาลาอัมว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่ลาของท่านที่ท่านขับขี่อยู่ทุกวันตลอดชีวิตจนบัดนี้ดอกหรือ ข้าพเจ้าได้เคยกระทำเช่นนี้แก่ท่านหรือ” บาลาอัมก็บอกว่า “ไม่เคย”
กดว 24.17 ข้าพเจ้าจะเห็นเขา แต่ไม่ใช่อย่างเดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้าจะดูเขา แต่ไม่ใช่อย่างใกล้ๆนี้ ดาวดวงหนึ่งจะเดินออกมาจากยาโคบ และธารพระกรอันหนึ่งจะขึ้นมาจากอิสราเอล จะตีเขตแดนของโมอับและทำลายบรรดาลูกหลานของเชท
พบญ 20.15 ท่านทั้งหลายจงกระทำเช่นนี้แก่ทุกหัวเมืองที่อยู่ไกลจากท่าน ซึ่งไม่ใช่หัวเมืองของประชาชาติใกล้ๆนี้
พบญ 28.13 ถ้าท่านเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ และระวังที่จะกระทำตาม พระเยโฮวาห์จะทรงกระทำให้ท่านเป็นหัว ไม่ใช่เป็นหาง กระทำให้สูงขึ้นทางเดียว มิใช่ให้ต่ำลง
พบญ 31.17 แล้วในวันนั้นเราจะกริ้วต่อเขา และเราจะทอดทิ้งเขาเสียและซ่อนหน้าของเราเสียจากเขา เขาทั้งหลายจะถูกกลืน และสิ่งร้ายกับความลำบากเป็นอันมากจะมาถึงเขา ในวันนั้นเขาจึงจะกล่าวว่า ‘สิ่งร้ายเหล่านี้ตกแก่เรา เพราะพระเจ้าไม่ทรงสถิตท่ามกลางเราไม่ใช่หรือ’
พบญ 32.21 เขาทำให้เราอิจฉาด้วยสิ่งที่ไม่ใช่พระเจ้า เขาได้ยั่วโทสะเราด้วยความไร้ประโยชน์ของเขา ดังนั้นเราจึงทำให้เขาอิจฉาผู้ที่ไม่ใช่ชนชาติ และจะยั่วโทสะเขาด้วยประชาชาติที่เขลาชาติหนึ่ง
พบญ 32.47 เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยสำหรับท่านทั้งหลาย แต่เป็นเรื่องชีวิตของท่านทั้งหลาย และเรื่องนี้จะกระทำให้ท่านทั้งหลายมีชีวิตยืนนานในแผ่นดิน ซึ่งท่านทั้งหลายกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยึดครองนั้น”
ยชว 22.20 อาคานบุตรชายเศ-ราห์ได้กระทำการละเมิดในเรื่องของที่ถูกสาปแช่งนั้นไม่ใช่หรือ พระพิโรธก็ตกเหนือชุมนุมชนอิสราเอลทั้งสิ้น เขามิได้พินาศแต่คนเดียวในเรื่องความชั่วช้าของเขา’”
ยชว 24.12 และเราได้ใช้ตัวต่อไปข้างหน้าเจ้าทั้งหลาย ซึ่งขับไล่กษัตริย์ทั้งสองของชาวอาโมไรต์ไปเสียให้พ้นหน้าเจ้า ไม่ใช่ด้วยดาบหรือด้วยธนูของเจ้า
วนฉ 7.14 เพื่อนของเขาจึงตอบว่า “นี่ไม่ใช่อื่นไกลเลย นอกจากดาบของกิเดโอนบุตรชายโยอาชบุรุษของอิสราเอล พระเจ้าได้ทรงมอบพวกมีเดียน และกองทัพทั้งสิ้นไว้ในมือของเขาแล้ว”
วนฉ 19.12 นายของเขาตอบว่า “เราจะไม่แวะเข้าไปในเมืองของคนต่างด้าว ผู้ที่ไม่ใช่คนอิสราเอล เราจะผ่านไปถึงเมืองกิเบอาห์”
1ซมอ 6.9 และคอยดู ถ้าไปตามทางถึงแผ่นดินของมันเอง คือทางไปเมืองเบธเชเมช พระองค์ก็เป็นผู้ทรงให้เกิดความชั่วร้ายอย่างใหญ่หลวงนี้แก่เรา แต่ถ้าไม่เช่นนั้น เราจะได้ทราบว่าไม่ใช่พระหัตถ์ของพระองค์ที่กระทำต่อเรา เป็นโอกาสที่บังเอิญเกิดขึ้นแก่เราเอง”
1ซมอ 9.20 ส่วนเรื่องลาของท่านที่หายไปสามวันแล้วนั้น อย่าเอาใจใส่เลย เพราะเขาพบแล้ว ความปรารถนาของคนอิสราเอลนั้นมุ่งหมายเอาใครเล่า ไม่ใช่ตัวท่านและวงศ์วานทั้งสิ้นของบิดาท่านดอกหรือ”
1ซมอ 9.21 ซาอูลตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่คนเบนยามินดอกหรือ เป็นตระกูลเล็กน้อยที่สุดในอิสราเอล และครอบครัวของข้าพเจ้าไม่ใช่ครอบครัวที่ด้อยที่สุดในตระกูลเบนยามินดอกหรือ ทำไมท่านจึงพูดกับข้าพเจ้าอย่างนี้เล่า”
1ซมอ 12.17 วันนี้เป็นฤดูเกี่ยวข้าวสาลีไม่ใช่หรือ ข้าพเจ้าจะร้องทูลต่อพระเยโฮวาห์ และพระองค์จะทรงส่งฟ้าร้องและฝน เพื่อท่านทั้งหลายจะรับรู้และเห็นเองว่า ความชั่วของท่านนั้นใหญ่โตเพียงใด ซึ่งท่านได้กระทำในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์ ในการที่ได้ขอให้มีกษัตริย์สำหรับท่าน”
1ซมอ 17.8 เขาออกมายืนตะโกนไปทางแนวอิสราเอลว่า “เจ้าทั้งหลายออกมาทำศึกทำไมเล่า ข้าเป็นคนฟีลิสเตียไม่ใช่หรือ เจ้าก็เป็นข้าของซาอูลไม่ใช่หรือ จงเลือกคนแทนพวกเจ้า ให้เขาลงมาหาข้านี่
1ซมอ 20.37 และเมื่อเด็กนั้นมาถึงที่ที่ลูกธนูซึ่งโยนาธานยิงไปนั้น โยนาธานก็ร้องสั่งเด็กนั้นว่า “ลูกธนูอยู่ข้างหน้าโน้นไม่ใช่หรือ”
1ซมอ 21.11 และมหาดเล็กของอาคีชทูลว่า “ดาวิดคนนี้ไม่ใช่หรือที่เป็นกษัตริย์ของแผ่นดินนั้น เขามิได้เต้นรำและขับเพลงรับกันหรือว่า ‘ซาอูลฆ่าคนเป็นพันๆ และดาวิดฆ่าคนเป็นหมื่นๆ’”
1ซมอ 26.15 และดาวิดตอบอับเนอร์ว่า “ท่านไม่ใช่ผู้ชายแกล้วกล้าดอกหรือ ในอิสราเอลมีใครเหมือนท่านบ้าง ทำไมท่านไม่เฝ้ากษัตริย์เจ้านายของท่านไว้ให้ดี เพราะมีคนหนึ่งเข้าไปจะทำลายกษัตริย์เจ้านายของท่าน
1ซมอ 29.3 แล้วเจ้านายของคนฟีลิสเตียกล่าวว่า “พวกฮีบรูเหล่านี้มาทำอะไรที่นี่” และอาคีชก็รับสั่งแก่เจ้านายคนฟีลิสเตียว่า “นี่คือดาวิดมหาดเล็กซาอูลกษัตริย์อิสราเอลไม่ใช่หรือ เขาอยู่กับเรามาเป็นวันเป็นปีแล้ว ตั้งแต่วันที่เขาหนีมาหาข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายังไม่พบความผิดในตัวเขาเลย”
2ซมอ 11.21 ใครฆ่าอาบีเมเลคบุตรเยรุบเบเชท ไม่ใช่ผู้หญิงคนหนึ่งเอาหินโม่ท่อนบนทุ่มเขาจากกำแพงเมืองจนเขาตายเสียที่เมืองเธเบศดอกหรือ ทำไมเจ้าทั้งหลายจึงเข้าไปใกล้กำแพง’ แล้วเจ้าจงกราบทูลว่า ‘อุรีอาห์คนฮิตไทต์ผู้รับใช้ของพระองค์ก็ตายด้วย’”
2ซมอ 21.2 กษัตริย์จึงทรงเรียกคนกิเบโอนมาตรัสแก่เขา (ฝ่ายคนกิเบโอนนั้นไม่ใช่ประชาชนอิสราเอล แต่เป็นคนอาโมไรต์ที่ยังเหลืออยู่ ประชาชนอิสราเอลได้ปฏิญาณไว้แก่เขาทั้งหลายแล้ว แต่ซาอูลก็ทรงหาช่องที่จะสังหารเขาทั้งหลายเสีย เพราะความร้อนใจที่เห็นแก่คนอิสราเอลและคนยูดาห์)
1พกษ 3.21 เมื่อข้าพระองค์ตื่นขึ้นในตอนเช้าเพื่อให้บุตรของข้าพระองค์กินนม ดูเถิด เขาตายเสียแล้ว แต่เมื่อข้าพระองค์พินิจดูในตอนเช้า ดูเถิด เด็กนั้นไม่ใช่บุตรชายที่ข้าพระองค์คลอดมา”
1พกษ 3.22 แต่หญิงอีกคนหนึ่งพูดว่า “ไม่ใช่ เด็กที่เป็น เป็นบุตรชายของฉัน เด็กที่ตายเป็นบุตรชายของเจ้า” หญิงคนที่หนึ่งพูดว่า “ไม่ใช่ เด็กที่ตายเป็นบุตรชายของเจ้า และเด็กที่เป็น เป็นบุตรชายของฉัน” เขาทั้งสองพูดกันดังนี้ต่อพระพักตร์กษัตริย์
1พกษ 3.23 แล้วกษัตริย์ตรัสว่า “คนหนึ่งพูดว่า ‘คนนี้เป็นบุตรชายของฉัน คือเด็กที่เป็นอยู่ และบุตรชายของเจ้าตายเสียแล้ว’ และอีกคนหนึ่งพูดว่า ‘ไม่ใช่ แต่บุตรชายของเจ้าตายเสียแล้ว และบุตรชายของฉันเป็นคนที่มีชีวิต’”
1พกษ 8.41 ยิ่งกว่านั้นอีกเกี่ยวกับชนต่างด้าว ผู้ซึ่งไม่ใช่อิสราเอลประชาชนของพระองค์ เมื่อเขามาจากประเทศเมืองไกล เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์
1พกษ 9.20 ประชาชนทั้งปวงซึ่งเหลืออยู่จากคนอาโมไรต์ คนฮิตไทต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส ผู้ซึ่งไม่ใช่คนอิสราเอล
1พกษ 22.33 และอยู่มาเมื่อผู้บัญชาการรถรบเห็นว่าไม่ใช่กษัตริย์แห่งอิสราเอล ก็หันกลับจากไล่ตามพระองค์
2พกษ 4.23 และเขาถามว่า “จะไปหาท่านทำไมในวันนี้ ไม่ใช่วันขึ้นค่ำหรือวันสะบาโต” นางตอบว่า “ก็ดีอยู่แล้ว”
2พกษ 6.19 และเอลีชาบอกคนเหล่านั้นว่า “ไม่ใช่ทางนี้ และไม่ใช่เมืองนี้ จงตามข้ามา และข้าจะพาไปยังคนนั้นซึ่งเจ้าแสวงหา” และท่านก็พาเขาไปกรุงสะมาเรีย
2พศด 6.32 ยิ่งกว่านั้นอีก เกี่ยวกับชนต่างด้าว ผู้ซึ่งไม่ใช่อิสราเอลประชาชนของพระองค์ เมื่อเขามาจากประเทศเมืองไกล เพราะเห็นแก่พระนามใหญ่ยิ่งของพระองค์ พระหัตถ์อันมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์ และพระกรที่เหยียดออกของพระองค์ เมื่อเขามาอธิษฐานตรงต่อพระนิเวศนี้
2พศด 8.7 ประชาชนทั้งปวงที่เหลืออยู่ในเหล่าคนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส ผู้ซึ่งไม่ใช่อิสราเอล
2พศด 13.9 ท่านทั้งหลายมิได้ขับไล่ปุโรหิตของพระเยโฮวาห์ ลูกหลานของอาโรน และคนเลวีออกไป และตั้งปุโรหิตสำหรับตนเองอย่างชนชาติทั้งหลายหรือ ผู้ใดที่นำวัวหนุ่มและแกะผู้เจ็ดตัวมาชำระตัวให้บริสุทธิ์ไว้ จะได้เป็นปุโรหิตของสิ่งที่ไม่ใช่พระ
2พศด 18.32 และอยู่มาเมื่อผู้บัญชาการรถรบเห็นว่าไม่ใช่กษัตริย์อิสราเอล ก็หันรถกลับจากไล่ตามพระองค์
2พศด 20.15 และเขาได้พูดว่า “ยูดาห์ทั้งปวง และชาวเยรูซาเล็มทั้งหลาย กับกษัตริย์เยโฮชาฟัทขอจงฟัง พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แก่ท่านทั้งหลายว่า ‘อย่ากลัวเลย และอย่าท้อถอยด้วยคนหมู่มหึมานี้เลย เพราะว่าการสงครามนั้นไม่ใช่ของท่าน แต่เป็นของพระเจ้า
2พศด 21.20 เมื่อพระองค์ทรงเริ่มครอบครองนั้น พระองค์มีพระชนมายุสามสิบสองพรรษา และทรงครอบครองในเยรูซาเล็มแปดปี และพระองค์ได้ทรงจากไปโดยไม่มีใครอาลัย เขาก็ฝังพระศพไว้ในนครดาวิด แต่ไม่ใช่ในอุโมงค์ของบรรดากษัตริย์
โยบ 9.24 แผ่นดินโลกนี้ทรงมอบไว้ในมือของคนชั่ว พระองค์ทรงปิดหน้าบรรดาผู้วินิจฉัยโลก ถ้าไม่ใช่พระองค์ แล้วใครเล่า
โยบ 15.6 ปากของท่านกล่าวโทษท่านเอง ไม่ใช่ข้าพเจ้า และริมฝีปากของท่านปรักปรำท่านเอง
โยบ 18.15 สิ่งที่ไม่ใช่ของเขาจะอาศัยอยู่ในเต็นท์ของเขา จะมีกำมะถันเกลื่อนกลาดอยู่เหนือที่อยู่ของเขา
โยบ 19.27 ผู้ซึ่งข้าจะได้เห็นเอง และนัยน์ตาของข้าจะได้เห็น ไม่ใช่คนอื่น แม้ว่าจิตใจในตัวข้าก็อ่อนระโหย
โยบ 32.9 ไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้นที่เป็นคนฉลาด หรือคนสูงอายุเข้าใจความยุติธรรม
โยบ 34.33 การตอบสนองของพระองค์จะต้องเป็นอย่างที่ท่านต้องการหรือ ท่านจึงไม่รับ ท่านเองต้องเลือก และไม่ใช่ข้าพเจ้า เหตุฉะนั้นท่านมีความคิดเห็นอย่างไร ก็พูดไปเถิด
โยบ 39.16 มันรุนแรงต่อลูกอ่อนของมันอย่างกับว่าไม่ใช่ลูกของมัน ถึงมันจะเหนื่อยเปล่า มันก็ไม่กลัว
สภษ 26.17 บุคคลที่กำลังผ่านไปและเข้ายุ่งในการทะเลาะวิวาทซึ่งไม่ใช่เรื่องของเขาเองก็เหมือนคนจับหูสุนัข
สภษ 27.2 จงให้คนอื่นสรรเสริญเจ้า และไม่ใช่ปากของเจ้าเอง ให้คนต่างถิ่นสรรเสริญ ไม่ใช่ริมฝีปากของเจ้าเอง
อสย 29.9 จงรั้งรอและงงงวย จงร้องเรียกและร้องไห้ เขามึนเมา แต่ไม่ใช่ด้วยเหล้าองุ่น เขาโซเซ แต่ไม่ใช่ด้วยเมรัย
อสย 29.17 ไม่ใช่อีกนิดหน่อยเท่านั้นหรือ ที่เลบานอนจะถูกเปลี่ยนให้เป็นสวนผลไม้ และสวนผลไม้จะถือว่าเป็นป่า
อสย 30.1 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “วิบัติแก่ลูกหลานที่ดื้อดึง ผู้กระทำแผนงาน แต่ไม่ใช่ของเรา ผู้ปกคลุมด้วยเครื่องปกปิด แต่ไม่ใช่ตามน้ำใจเรา เขาจะเพิ่มบาปซ้อนบาป
อสย 31.3 คนอียิปต์เป็นคน และไม่ใช่พระเจ้า และม้าทั้งหลายของเขาเป็นเนื้อหนัง และไม่ใช่วิญญาณ เมื่อพระเยโฮวาห์จะทรงเหยียดพระหัตถ์ของพระองค์ออก ทั้งผู้ช่วยเหลือก็จะสะดุด และผู้ที่รับการช่วยเหลือก็จะล้ม และเขาทั้งหลายจะล้มเหลวด้วยกัน
อสย 31.8 และคนอัสซีเรียจะล้มลงด้วยดาบซึ่งไม่ใช่ของชายฉกรรจ์ และดาบซึ่งไม่ใช่ของคนต่ำต้อยจะกินเขาเสีย และเขาจะหนีจากดาบและคนหนุ่มของเขาจะพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง
อสย 42.24 ใครมอบยาโคบให้แก่ผู้ริบ และอิสราเอลให้แก่ผู้ปล้น ไม่ใช่พระเยโฮวาห์หรือ ผู้ซึ่งเราได้ทำบาปต่อ ซึ่งเขาไม่ยอมดำเนินในทางของพระองค์ และซึ่งเขามิได้เชื่อฟังพระราชบัญญัติของพระองค์
อสย 43.22 โอ ยาโคบเอ๋ย ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่เราที่เจ้าเรียกหา โอ อิสราเอลเอ๋ย เจ้าเหน็ดเหนื่อยเราแล้ว
อสย 45.13 ด้วยความชอบธรรมเราได้เร้าท่าน และเราจะกระทำทางทั้งสิ้นของท่านให้ตรง ท่านจะสร้างนครของเรา และให้พวกเชลยของเราเป็นอิสระ ไม่ใช่เพื่อสินจ้างหรือเพื่อสินบน” พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้แหละ
อสย 45.21 จงแจ้งเรื่องและนำเข้ามาใกล้ เออ ให้เขาทั้งหลายปรึกษาหารือกัน ใครเล่าสิ่งนี้ให้ฟังนมนานแล้ว ใครแจ้งให้ทราบมาตั้งแต่เก่าก่อน ไม่ใช่เราหรือ คือพระเยโฮวาห์ นอกจากเราไม่มีพระเจ้าอื่นเลย พระเจ้าผู้ชอบธรรมและพระผู้ช่วยให้รอด ไม่มีอื่นใดนอกเหนือเรา
อสย 47.14 ดูเถิด เขาจะเป็นเหมือนตอข้าว ไฟจะเผาผลาญเขา เขาจะช่วยตัวเขาเองให้พ้นจากกำลังของเปลวเพลิงไม่ได้ นี่ไม่ใช่ถ่านที่จะให้ใครอุ่น ไม่ใช่ไฟที่จะให้ใครผิง
อสย 48.7 เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นใหม่ ไม่ใช่ตั้งแต่เก่าก่อน ก่อนวันนี้เจ้าไม่เคยได้ยินถึง เกรงเจ้าจะพูดว่า ‘ดูเถิด เรารู้แล้ว’
อสย 48.10 ดูเถิด เราได้ถลุงเจ้าแล้ว แต่ไม่ใช่ด้วยเงิน เราได้เลือกสรรเจ้าในเตาของความทุกข์ใจ
อสย 51.9 โอ ข้าแต่พระกรของพระเยโฮวาห์ จงตื่นเถิด ตื่นเถิด จงสวมกำลัง จงตื่นอย่างสมัยโบราณในชั่วอายุนานมาแล้ว ท่านไม่ใช่หรือที่ฟันราหับ และทำให้พญานาคได้รับบาดเจ็บ
อสย 51.10 ท่านไม่ใช่หรือที่ทำให้ทะเลแห้งไป คือน้ำของมหาสมุทรใหญ่ด้วย ซึ่งทำที่ลึกของทะเลให้เป็นหนทาง เพื่อให้ผู้ที่ได้ไถ่ไว้แล้วเดินผ่านไป
อสย 55.2 ทำไมเจ้าจึงใช้เงินของเจ้าเพื่อของซึ่งไม่ใช่อาหาร และใช้ผลแรงงานซื้อสิ่งซึ่งมิให้อิ่มใจ จงเอาใจใส่ฟังเรา และรับประทานของดี และให้จิตใจปีติยินดีในไขมัน
อสย 58.6 การอดอาหารอย่างนี้ไม่ใช่หรือที่เราต้องการ คือการแก้พันธนะของความชั่ว การปลดเปลื้องภาระหนัก และการปล่อยให้ผู้ถูกบีบบังคับเป็นอิสระ และการหักแอกเสียทุกอัน
อสย 58.7 ไม่ใช่การที่จะปันอาหารของเจ้าให้กับผู้หิว และนำคนยากจนไร้บ้านเข้ามาในบ้านของเจ้า เมื่อเจ้าเห็นคนเปลือยกายก็คลุมกายเขาไว้ และไม่ซ่อนตัวของเจ้าจากญาติของเจ้าเอง ดอกหรือ
ยรม 4.11 “ในครั้งนั้น เขาจะกล่าวแก่ชนชาตินี้ และแก่กรุงเยรูซาเล็มว่า ‘ลมร้อนจากที่สูงในถิ่นทุรกันดารพัดมาสู่บุตรสาวประชาชนของเรา ไม่ใช่จะมาฝัดหรือมาชำระ
ยรม 5.7 “เราจะให้อภัยเจ้าได้อย่างไร ลูกหลานของเจ้าได้ละทิ้งเราแล้ว และได้อ้างผู้ที่ไม่ใช่พระในการทำสัตย์ปฏิญาณ เมื่อเราเลี้ยงเขาให้อิ่ม เขาก็ทำการล่วงประเวณี แล้วก็ยกขบวนกันไปที่เรือนของหญิงแพศยา
ยรม 5.10 ขึ้นไปตามกำแพงของมันและทำลายเสีย แต่อย่าไปถึงอวสานทีเดียว เอาเชิงเทินของมันออก เพราะนั่นไม่ใช่เป็นของพระเยโฮวาห์
ยรม 5.19 และต่อมาเมื่อเจ้าทั้งหลายจะกล่าวว่า ‘ทำไมพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราทั้งหลายจึงกระทำบรรดาสิ่งเหล่านี้แก่เรา’ เจ้าจะกล่าวแก่เขาว่า ‘เจ้าได้ละทิ้งเราไปปรนนิบัติพระต่างด้าวในแผ่นดินของเจ้าฉันใด เจ้าจะต้องไปปรนนิบัติคนต่างชาติในแผ่นดินซึ่งไม่ใช่ของเจ้าฉันนั้น’
ยรม 16.20 มนุษย์จะสร้างพระไว้สำหรับตนเองได้หรือ สิ่งอย่างนั้นไม่ใช่พระ”
ยรม 18.17 เราจะให้เขากระจัดกระจายออกไปดุจถูกพัดด้วยลมตะวันออกต่อหน้าศัตรู เราจะหันหลังให้เขา ไม่ใช่หันหน้าให้ ในวันแห่งความหายนะของเขานั้น”
ยรม 21.10 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เพราะเราได้มุ่งหน้าต่อสู้เมืองนี้ด้วยความร้ายไม่ใช่ด้วยความดี คือเมืองนี้จะถูกมอบไว้ในมือของกษัตริย์แห่งบาบิโลน และท่านจะเผามันเสียด้วยไฟ’
ยรม 29.11 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสันติภาพ ไม่ใช่เพื่อความทุกข์ยาก เพื่อจะให้อนาคตตามที่คาดหมายไว้แก่เจ้า
ยรม 39.16 “จงไปบอกเอเบดเมเลคคนเอธิโอเปียว่า พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะให้ถ้อยคำของเราที่มีอยู่ต่อกรุงนี้สำเร็จในทางร้ายไม่ใช่ทางดี และจะสำเร็จต่อหน้าเจ้าในวันนั้น
ยรม 48.33 ความยินดีและความชื่นบานได้ถูกกวาดออกไปเสียจากเรือกสวนไร่นาและแผ่นดินของโมอับ เราได้กระทำให้เหล้าองุ่นหยุดไหลจากบ่อย่ำองุ่น ไม่มีคนย่ำด้วยเสียงโห่ร้อง เสียงโห่ร้องนั้นไม่ใช่เสียงโห่ร้องเลย
พคค 3.2 พระองค์ทรงนำและพาข้าพเจ้ามาในความมืดและไม่ใช่ในความสว่าง
พคค 3.38 จากพระโอษฐ์ของพระผู้สูงสุดนั้นไม่ใช่มีมาทั้งร้ายและดีหรือ
อสค 7.7 โอ ชาวแผ่นดินเอ๋ย เวลาเช้ามาถึงแล้ว เวลามาถึงแล้ว วันแห่งความโกลาหลใกล้เข้ามาแล้ว และไม่ใช่เสียงโห่ร้องยินดีที่บนภูเขา
อสค 11.11 นครนี้จะไม่ใช่หม้อขนาดใหญ่ของเจ้า ที่เจ้าจะเป็นเนื้อในท่ามกลางนั้น เราจะพิพากษาเจ้าที่พรมแดนอิสราเอล
อสค 16.61 แล้วเจ้าจะระลึกถึงทางทั้งหลายของเจ้า และมีความละอาย เมื่อเจ้ารับทั้งพี่และน้องสาวของเจ้า และเรามอบให้แก่เจ้าเป็นบุตรสาว แต่ไม่ใช่ตามพันธสัญญาซึ่งทำไว้กับเจ้า
อสค 17.10 ดูเถิด เมื่อมันย้ายไปปลูก เถานั้นก็งอกงามดีหรือ เมื่อลมทิศตะวันออกพัดถูกมันเข้า มันจะไม่เหี่ยวแห้งไปหรือ มันจะเหี่ยวแห้งไปถึงร่องที่มันเกิดมานั้นไม่ใช่หรือ”
อสค 20.49 แล้วข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า เจ้าข้า เขาทั้งหลายกำลังกล่าวถึงข้าพระองค์ว่า เขาไม่ใช่เป็นคนสร้างคำอุปมาดอกหรือ”
อสค 36.22 เพราะฉะนั้นจงกล่าวแก่วงศ์วานอิสราเอล องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า โอ วงศ์วานอิสราเอลเอ๋ย เรากำลังจะกระทำอยู่แล้ว ไม่ใช่เพื่อเห็นแก่เจ้า แต่เพราะเห็นแก่นามบริสุทธิ์ของเรา ซึ่งเจ้าได้ลบหลู่ท่ามกลางประชาชาติซึ่งเจ้าเข้าไปอยู่นั้น
ดนล 8.25 ด้วยความฉลาดของท่าน ท่านจะกระทำให้การล่อลวงแพร่หลายขึ้นด้วยน้ำมือของท่าน ท่านจะพองตัวของท่านในใจของท่านเอง ท่านจะทำลายคนมากหลายโดยความสงบ แล้วจะลุกขึ้นต่อสู้กับจอมเจ้านาย แต่ท่านจะต้องถูกหักทำลาย ไม่ใช่ด้วยมือเลย
ฮชย 1.10 แต่จำนวนประชาชนอิสราเอลจะมากมายเหมือนเม็ดทรายในทะเล ซึ่งจะตวงหรือนับไม่ถ้วน และต่อมาในสถานที่ซึ่งทรงกล่าวแก่เขาว่า “เจ้าทั้งหลายไม่ใช่ประชาชนของเรา” ก็จะกล่าวแก่เขาว่า “เจ้าทั้งหลายเป็นบุตรชายของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่”
ฮชย 2.2 จงว่ากล่าวมารดาของเจ้า จงว่ากล่าวเถิด เพราะว่านางไม่ใช่ภรรยาของเรา และเราไม่ใช่สามีของนาง ฉะนั้นให้เธอทิ้งการเล่นชู้เสียจากสายตาของเธอ และทิ้งการล่วงประเวณีเสียจากระหว่างถันของนาง
ฮชย 8.4 เขาทั้งหลายได้แต่งตั้งกษัตริย์ แต่ไม่ใช่โดยเรา เขาทั้งหลายตั้งเจ้านาย แต่เราไม่รู้เรื่องเลย พวกเขาได้สร้างรูปเคารพทั้งหลายด้วยเงินและทองคำของเขา เพื่อพวกเขาจะถูกตัดขาดออกเสีย
ฮชย 11.9 เราจะไม่ลงอาชญาตามที่เรากริ้วจัด เราจะไม่กลับไปทำลายเอฟราอิมอีก เพราะเราเป็นพระเจ้าไม่ใช่มนุษย์ เราเป็นผู้บริสุทธิ์ท่ามกลางพวกเจ้า เราจะไม่เข้าในเมือง
อมส 5.18 วิบัติแก่เจ้า ผู้ปรารถนาวันแห่งพระเยโฮวาห์ วันนั้นจะเป็นประโยชน์อะไรแก่เจ้าเล่า วันแห่งพระเยโฮวาห์เป็นความมืด ไม่ใช่เป็นความสว่าง
อมส 5.20 วันแห่งพระเยโฮวาห์จะเป็นความมืด ไม่ใช่ความสว่าง เป็นความมืดคลุ้ม ไม่มีความแจ่มใสเลย
อมส 7.14 อาโมสจึงตอบอามาซิยาห์ว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้พยากรณ์ หรือลูกชายของผู้พยากรณ์ ข้าพเจ้าเป็นคนเลี้ยงสัตว์ และเป็นคนเก็บผลมะเดื่อ
อมส 8.11 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า “ดูเถิด วันเวลาก็มาถึง เมื่อเราจะส่งทุพภิกขภัยมาที่แผ่นดิน ไม่ใช่การอดอาหาร หรือการกระหายน้ำ แต่จะอดฟังพระวจนะของพระเยโฮวาห์
อมส 9.4 แม้ว่าเขาจะตกไปเป็นเชลยต่อหน้าศัตรูของเขาทั้งหลาย เราจะบัญชาดาบที่นั่น และดาบจะฆ่าเขาเสีย เราจะจ้องมองดูเขาอยู่เป็นการมองร้าย ไม่ใช่มองดี”
มคา 2.10 จงลุกขึ้นและจากไป เพราะที่นี่ไม่ใช่ที่พักของเจ้า เพราะความไม่สะอาดซึ่งจะทำลายเจ้า ด้วยความพินาศอย่างทุกข์ระทม
มคา 3.1 และข้าพเจ้ากล่าวว่า โอ ท่านทั้งหลายผู้เป็นประมุขของยาโคบ คือบรรดาผู้ครอบครองวงศ์วานอิสราเอลเอ๋ย จงฟัง ท่านทั้งหลายต้องทราบความยุติธรรมไม่ใช่หรือ
ฮบก 2.16 เจ้าจะอิ่มไปด้วยความอับอาย ไม่ใช่อิ่มด้วยสง่าราศี เจ้าดื่มเองซิ แล้วให้เหมือนผู้ชายที่มิได้เข้าสุหนัต ถ้วยซึ่งอยู่ในพระหัตถ์ขวาของพระเยโฮวาห์จะเวียนมาถึงเจ้า แล้วความอับอายจะพ่นเหนือสง่าราศีของเจ้า
ศคย 3.2 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับซาตานว่า “โอ ซาตาน พระเยโฮวาห์ตรัสห้ามเจ้าเถอะ พระเยโฮวาห์ผู้ทรงเลือกสรรกรุงเยรูซาเล็มทรงห้ามเจ้าเถิด นี่ไม่ใช่ดุ้นฟืนที่ฉวยออกมาจากไฟดอกหรือ”
ศคย 13.5 แต่เขาจะกล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้พยากรณ์ ข้าพเจ้าเป็นชาวนา เพราะว่ามีคนสอนข้าพเจ้าให้เลี้ยงสัตว์ตั้งแต่ข้าพเจ้ายังหนุ่มๆ’
ศคย 14.7 แต่จะเป็นวันหนึ่งที่พระเยโฮวาห์ทรงทราบแล้ว ไม่ใช่วันหรือคืน แต่ต่อมาเวลาเย็นจะมีแสงสว่าง
มธ 20.23 พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านจะดื่มจากถ้วยของเรา และรับบัพติศมาด้วยบัพติศมาที่เราจะรับก็จริง แต่ซึ่งจะนั่งข้างขวาและข้างซ้ายของเรานั้น ไม่ใช่พนักงานของเราที่จะมอบให้ แต่พระบิดาของเราได้ทรงเตรียมไว้สำหรับผู้ใด ก็จะให้แก่ผู้นั้น”
มก 10.40 แต่ที่จะนั่งข้างขวาและข้างซ้ายของเรานั้น ไม่ใช่พนักงานของเราที่จะจัดให้ แต่ได้ทรงเตรียมไว้สำหรับผู้ใดก็จะให้แก่ผู้นั้น”
ลก 1.60 ฝ่ายมารดาจึงตอบว่า “ไม่ใช่ แต่ต้องให้ชื่อว่ายอห์น”
ยน 1.8 ท่านไม่ใช่ความสว่างนั้น แต่ทรงใช้มาเพื่อเป็นพยานถึงความสว่างนั้น
ยน 1.20 ท่านได้ยอมรับ และมิได้ปฏิเสธ แต่ได้ยอมรับว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่พระคริสต์”
ยน 1.21 เขาทั้งหลายจึงถามท่านว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านเป็นใครเล่า ท่านเป็นเอลียาห์หรือ” ท่านตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่เอลียาห์” “ท่านเป็นศาสดาพยากรณ์ผู้นั้นหรือ” และท่านตอบว่า “มิได้”
ยน 1.25 เขาเหล่านั้นก็ได้ถามท่านว่า “ถ้าท่านไม่ใช่พระคริสต์ หรือเอลียาห์ หรือศาสดาพยากรณ์ผู้นั้นแล้ว ทำไมท่านจึงทำพิธีบัพติศมา”
ยน 4.18 เพราะเจ้าได้มีสามีห้าคนแล้ว และคนที่เจ้ามีอยู่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่สามีของเจ้า เรื่องนี้เจ้าพูดจริง”
ยน 7.16 พระเยซูจึงตรัสตอบเขาว่า “คำสอนของเราไม่ใช่ของเราเอง แต่เป็นของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา
ยน 12.9 ฝ่ายพวกยิวเป็นอันมากรู้ว่าพระองค์ประทับอยู่ที่นั่นจึงมาเฝ้าพระองค์ ไม่ใช่เพราะเห็นแก่พระเยซูเท่านั้น แต่อยากเห็นลาซารัสผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงให้ฟื้นขึ้นมาจากตายด้วย
ยน 12.30 พระเยซูตรัสตอบว่า “เสียงนั้นเกิดขึ้นเพื่อท่านทั้งหลาย ไม่ใช่เพื่อเรา
ยน 13.10 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ผู้ที่อาบน้ำแล้วไม่จำเป็นต้องชำระกายอีก ล้างแต่เท้าเท่านั้น เพราะสะอาดหมดทั้งตัวแล้ว พวกท่านก็สะอาดแล้ว แต่ไม่ใช่ทุกคน”
ยน 14.24 ผู้ที่ไม่รักเรา ก็ไม่รักษาคำของเรา และคำซึ่งท่านได้ยินนี้ไม่ใช่คำของเรา แต่เป็นของพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา
ยน 15.19 ถ้าท่านทั้งหลายเป็นของโลก โลกก็จะรักท่านซึ่งเป็นของโลก แต่เพราะท่านไม่ใช่ของโลก แต่เราได้เลือกท่านออกจากโลก เหตุฉะนั้นโลกจึงเกลียดชังท่าน
ยน 17.14 ข้าพระองค์ได้มอบพระดำรัสของพระองค์ให้แก่เขาแล้ว และโลกนี้ได้เกลียดชังเขา เพราะเขาไม่ใช่ของโลก เหมือนดังที่ข้าพระองค์ไม่ใช่ของโลก
ยน 17.16 เขาไม่ใช่ของโลก เหมือนดังที่ข้าพระองค์ไม่ใช่ของโลก
ยน 18.26 ผู้รับใช้คนหนึ่งของมหาปุโรหิตซึ่งเป็นญาติกับคนที่เปโตรฟันหูขาดก็กล่าวขึ้นว่า “ข้าเห็นเจ้ากับท่านผู้นั้นในสวนไม่ใช่หรือ”
ยน 18.30 เขาตอบท่านว่า “ถ้าเขาไม่ใช่ผู้ร้าย พวกข้าพเจ้าก็จะไม่มอบเขาไว้กับท่าน”
ยน 19.12 ตั้งแต่นั้นไปปีลาตก็หาโอกาสที่จะปล่อยพระองค์ แต่พวกยิวร้องอึงว่า “ถ้าท่านปล่อยชายคนนี้ ท่านก็ไม่ใช่มิตรของซีซาร์ ผู้ใดที่ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ก็พูดต่อสู้ซีซาร์”
กจ 1.7 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “ไม่ใช่ธุระของท่านที่จะรู้เวลาและวาระซึ่งพระบิดาได้ทรงกำหนดไว้โดยสิทธิอำนาจของพระองค์
กจ 2.7 คนทั้งปวงจึงประหลาดและอัศจรรย์ใจพูดกันว่า “ดูเถิด คนทั้งหลายที่พูดกันนั้นเป็นชาวกาลิลีทุกคนไม่ใช่หรือ
กจ 19.26 และท่านทั้งหลายได้ยินและได้เห็นอยู่ว่า ไม่ใช่เฉพาะในเมืองเอเฟซัสเมืองเดียว แต่เกือบทั่วแคว้นเอเชีย เปาโลคนนี้ได้ชักชวนคนเป็นอันมากให้เลิกทางเก่าเสีย โดยได้กล่าวว่าสิ่งที่มือมนุษย์ทำนั้นไม่ใช่พระ
กจ 19.27 น่ากลัวว่าไม่ใช่แต่อาชีพของเราจะเสียไปอย่างเดียว แต่พระวิหารของพระแม่เจ้าอารเทมิสซึ่งเป็นใหญ่จะเป็นที่หมิ่นประมาทด้วย และสง่าราศีแห่งรูปของพระแม่เจ้านั้นซึ่งเป็นที่นับถือของบรรดาชาวแคว้นเอเชียกับสิ้นทั้งโลก จะเสื่อมลงไป”
กจ 21.39 แต่เปาโลตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนยิวซึ่งเกิดในเมืองทาร์ซัสแคว้นซีลีเซีย ไม่ใช่พลเมืองของเมืองย่อมๆ ข้าพเจ้าขอท่านอนุญาตให้พูดกับคนทั้งปวงสักหน่อย”
กจ 25.16 ข้าพเจ้าจึงตอบพวกเขาว่า ไม่ใช่ธรรมเนียมของชาวโรมที่จะมอบตัวจำเลยให้ตายก่อนที่โจทก์กับจำเลยมาพร้อมหน้ากัน และให้จำเลยมีโอกาสแก้คดีในข้อหานั้น
รม 2.26 เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตยังรักษาความชอบธรรมแห่งพระราชบัญญัติแล้ว การที่เขาไม่ได้เข้าสุหนัตนั้นจะถือเหมือนกับว่าเขาได้เข้าสุหนัตแล้วไม่ใช่หรือ
รม 2.28 เพราะว่ายิวแท้ มิใช่คนที่เป็นยิวแต่ภายนอกเท่านั้น และการเข้าสุหนัตแท้ก็ไม่ใช่การเข้าสุหนัตซึ่งปรากฏที่เนื้อหนังเท่านั้น
รม 3.27 เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเราจะเอาอะไรมาอวด ก็หมดหนทาง จะอ้างหลักอะไรว่าหมดหนทาง อ้างหลักการประพฤติหรือ ไม่ใช่ แต่ต้องอ้างหลักของความเชื่อ
รม 7.20 ถ้าแม้ข้าพเจ้ายังทำสิ่งซึ่งข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะทำ ก็ไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเป็นผู้กระทำ แต่บาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั่นเองเป็นผู้กระทำ
รม 8.20 เพราะว่าสรรพสิ่งเหล่านั้นต้องเข้าอยู่ในอำนาจของอนิจจัง ไม่ใช่ตามใจชอบของตนเอง แต่เป็นไปตามพระองค์ผู้ทรงบันดาลให้เข้าอยู่นั้นด้วยมีความหวังใจ
รม 8.23 และไม่ใช่สรรพสิ่งทั้งปวงเท่านั้น แต่เราทั้งหลายเองด้วย ผู้ได้รับผลแรกของพระวิญญาณ ตัวเราเองก็ยังคร่ำครวญคอยจะเป็นอย่างบุตร คือที่จะทรงไถ่กายของเราทั้งหลายไว้
รม 9.11 (แม้ก่อนบุตรนั้นบังเกิดมา และยังไม่ได้กระทำดีหรือชั่ว เพื่อพระดำริของพระเจ้าในการทรงเลือกนั้นจะตั้งมั่นคงอยู่ ไม่ใช่ตามการกระทำ แต่ตามซึ่งพระองค์ทรงเรียก)
รม 9.26 และต่อมาในสถานที่ซึ่งทรงกล่าวแก่เขาว่า “เจ้าทั้งหลายไม่ใช่ชนชาติของเรา” ในที่นั้นเองเขาจะได้ชื่อว่า เป็นบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่’
รม 10.19 ข้าพเจ้าจึงถามว่า “พลอิสราเอลไม่เข้าใจหรือ” ตอนแรกโมเสสกล่าวว่า ‘เราจะให้เจ้าทั้งหลายอิจฉาผู้ที่ไม่ใช่ชนชาติ เราจะยั่วโทสะเจ้าด้วยประชาชาติที่เขลาชาติหนึ่ง’
รม 14.17 เพราะว่าอาณาจักรของพระเจ้านั้นไม่ใช่การกินและการดื่ม แต่เป็นความชอบธรรมและสันติสุขและความชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์
1คร 2.4 คำพูดและคำเทศนาของข้าพเจ้า ไม่ใช่คำที่เกลี้ยกล่อมด้วยสติปัญญาของมนุษย์ แต่เป็นคำซึ่งได้แสดงพระวิญญาณและพระเดชานุภาพ
1คร 5.12 ไม่ใช่หน้าที่ของข้าพเจ้าที่จะไปตัดสินลงโทษคนภายนอก ท่านจะต้องตัดสินลงโทษคนภายในมิใช่หรือ
1คร 6.12 ข้าพเจ้าทำสิ่งสารพัดได้ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะทำได้นั้นเป็นประโยชน์ ข้าพเจ้าทำสิ่งสารพัดได้ แต่ข้าพเจ้าไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของสิ่งใดเลย
1คร 6.19 ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง
1คร 9.26 ดังนั้นส่วนข้าพเจ้าวิ่งแข่งอย่างนี้โดยมีเป้าหมาย ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างนี้ ไม่ใช่อย่างนักมวยที่ชกลม
1คร 10.23 ข้าพเจ้าทำสิ่งสารพัดได้ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะทำได้นั้นเป็นประโยชน์ ข้าพเจ้าทำสิ่งสารพัดได้ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งจะทำให้เจริญขึ้น
1คร 14.22 เหตุฉะนั้นการพูดภาษาต่างๆจึงไม่เป็นหมายสำคัญแก่คนที่เชื่อ แต่เป็นหมายสำคัญแก่คนที่ไม่เชื่อ แต่การพยากรณ์นั้นไม่ใช่สำหรับคนที่ไม่เชื่อ แต่สำหรับคนที่เชื่อแล้ว
1คร 14.33 เพราะว่าพระเจ้าไม่ใช่ผู้ก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวาย แต่ทรงเป็นผู้ก่อให้เกิดสันติสุข เหมือนที่ได้เกิดขึ้นในบรรดาคริสตจักรแห่งวิสุทธิชนนั้น
2คร 1.19 เพราะว่าพระบุตรของพระเจ้าคือพระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งพวกเรา คือข้าพเจ้ากับสิลวานัสและทิโมธี ได้ประกาศแก่พวกท่านนั้น ไม่ใช่ จริง ไม่จริง ส่งๆไป แต่โดยพระองค์นั้นล้วนแต่จริงทั้งสิ้น
2คร 1.24 เราไม่ใช่เป็นนายบังคับความเชื่อของพวกท่าน แต่ว่าเราเป็นผู้อุปการะความยินดีของท่าน เพราะท่านตั้งมั่นอยู่โดยความเชื่อ
2คร 12.6 เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้าอยากจะอวด ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่คนเขลา เพราะข้าพเจ้าพูดตามความจริง แต่ข้าพเจ้าระงับไว้ ก็เพราะเกรงว่า บางคนจะยกข้าพเจ้าเกินกว่าที่เขาได้เห็นและได้ฟังเกี่ยวกับข้าพเจ้า
กท 1.10 บัดนี้ข้าพเจ้ากำลังพูดเอาใจมนุษย์หรือ หรือให้เป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้า ข้าพเจ้าอุตส่าห์ประจบประแจงมนุษย์หรือ เพราะถ้าข้าพเจ้ากำลังประจบประแจงมนุษย์อยู่ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่ผู้รับใช้ของพระคริสต์
กท 1.11 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทราบว่า ข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าได้ประกาศไปแล้วนั้นไม่ใช่ของมนุษย์
กท 2.15 เราผู้มีสัญชาติเป็นยิว และไม่ใช่คนบาปในพวกชนต่างชาติ
กท 2.16 ก็ยังรู้ว่าไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมได้โดยการกระทำตามพระราชบัญญัติ แต่โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ถึงเราเองก็มีความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อในพระคริสต์ ไม่ใช่โดยการกระทำตามพระราชบัญญัติ เพราะว่าโดยการกระทำตามพระราชบัญญัตินั้น ‘ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเป็นคนชอบธรรมได้เลย’
กท 2.20 ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว แต่ข้าพเจ้าก็ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ข้าพเจ้าเองมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า และชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า
กท 3.18 เพราะว่าถ้าได้รับมรดกโดยพระราชบัญญัติ ก็ไม่ใช่ได้โดยพระสัญญาอีกต่อไป แต่พระเจ้าทรงโปรดประทานมรดกนั้นให้แก่อับราฮัมโดยพระสัญญา
กท 4.7 เหตุฉะนั้นท่านจึงไม่ใช่ทาสอีกต่อไป แต่เป็นบุตร และถ้าเป็นบุตรแล้วท่านก็เป็นทายาทของพระเจ้าโดยทางพระคริสต์
กท 4.8 แต่ก่อนนี้เมื่อท่านทั้งหลายยังไม่รู้จักพระเจ้า ท่านเป็นทาสของสิ่งซึ่งโดยสภาพแล้วไม่ใช่พระเลย
กท 4.17 คนเหล่านั้นเอาอกเอาใจท่าน แต่ไม่ใช่ด้วยความหวังดีเลย เขาอยากจะกีดกันพวกท่านเพื่อท่านจะได้เอาอกเอาใจพวกเขา
กท 4.18 การเอาอกเอาใจด้วยความหวังดีก็เป็นการดีตลอดไป ไม่ใช่เฉพาะแต่เมื่อข้าพเจ้าอยู่กับพวกท่านเท่านั้น
กท 4.31 เหตุฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย เราไม่ใช่บุตรของหญิงทาสี แต่เป็นบุตรของหญิงที่เป็นไทย
กท 5.11 พี่น้องทั้งหลาย ถ้าข้าพเจ้ายังเทศนาชักชวนให้รับพิธีเข้าสุหนัต เหตุใดข้าพเจ้าจึงยังถูกข่มเหงอยู่อีกเล่า ถ้าเช่นนั้นกางเขนก็ไม่ใช่สิ่งที่ให้สะดุดแล้ว
กท 6.4 แต่ให้ทุกคนสำรวจกิจการของตนเองจึงจะมีอะไรๆที่จะอวดได้ในตนเองผู้เดียว ไม่ใช่เปรียบกับผู้อื่น
อฟ 2.19 เหตุฉะนั้นบัดนี้ท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าวต่างแดนอีกต่อไป แต่ว่าเป็นพลเมืองเดียวกันกับวิสุทธิชนและเป็นครอบครัวของพระเจ้า
อฟ 6.7 จงปรนนิบัตินายด้วยจิตใจชื่นบาน เหมือนกับปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่ปรนนิบัติมนุษย์
ฟป 1.16 ฝ่ายหนึ่งประกาศพระคริสต์ด้วยการชิงดีชิงเด่นกัน ไม่ใช่ด้วยความจริงใจ จงใจจะเพิ่มความทุกข์ยากให้แก่เครื่องพันธนาการของข้าพเจ้า
ฟป 2.12 เหตุฉะนี้พวกที่รักของข้าพเจ้า เหมือนท่านทั้งหลายได้ยอมเชื่อฟังทุกเวลา และไม่ใช่เมื่อข้าพเจ้าอยู่ด้วยเท่านั้น แต่เดี๋ยวนี้เมื่อข้าพเจ้าไม่อยู่ด้วย ท่านทั้งหลายจงให้ความรอดของตนเกิดผลด้วยความเกรงกลัวตัวสั่น
ฟป 2.27 เขาป่วยจริงๆ ป่วยจนเกือบจะตาย แต่พระเจ้าทรงพระกรุณาโปรดเขา และไม่ใช่ทรงโปรดเขาคนเดียว แต่ทรงโปรดข้าพเจ้าด้วย เพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ามีความทุกข์ซ้อนทุกข์
คส 2.8 จงระวังให้ดี เกรงว่าจะมีผู้ใดทำให้ท่านตกเป็นเหยื่อด้วยหลักปรัชญาและด้วยคำล่อลวงอันไม่มีสาระ ตามธรรมเนียมของมนุษย์ ตามหลักการต่างๆที่เป็นของโลก ไม่ใช่ตามพระคริสต์
คส 3.2 จงฝังความคิดของท่านไว้กับสิ่งทั้งหลายที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่กับสิ่งทั้งหลายซึ่งอยู่ที่แผ่นดินโลก
คส 3.22 ฝ่ายพวกทาสจงเชื่อฟังผู้ที่เป็นนายของตนตามเนื้อหนังทุกอย่าง ไม่ใช่ตามอย่างคนที่ทำแต่ต่อหน้า อย่างคนประจบสอพลอ แต่ทำด้วยน้ำใสใจจริงด้วยความเกรงกลัวพระเจ้า
คส 3.23 ไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใดก็จงทำด้วยความเต็มใจ เหมือนกระทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เหมือนกระทำแก่มนุษย์
1ธส 1.8 เพราะว่าพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้เลื่องลือออกไปจากพวกท่าน ไม่ใช่แต่ในแคว้นมาซิโดเนียและแคว้นอาคายาเท่านั้น แต่ความเชื่อของท่านในพระเจ้าได้เลื่องลือไปทุกแห่งหน จนเราไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก
1ธส 2.4 แต่ว่าพระเจ้าทรงเห็นชอบที่จะมอบข่าวประเสริฐไว้กับเรา เราจึงประกาศไป ไม่ใช่เพื่อให้เป็นที่พอใจของมนุษย์ แต่ให้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า ผู้ทรงชันสูตรใจเรา
1ธส 2.17 พี่น้องทั้งหลาย แต่เมื่อเราถูกพรากไปจากท่านชั่วระยะเวลาหนึ่ง พรากไปแต่กายเท่านั้น ไม่ใช่จิตใจ เราจึงขวนขวายปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเห็นหน้าท่านอีก
2ธส 3.2 และเพื่อเราจะได้พ้นจากคนพาลชั่วร้าย เพราะว่าไม่ใช่ทุกคนเชื่อ
1ทธ 2.9 ฝ่ายพวกผู้หญิงก็เหมือนกันให้แต่งตัวสุภาพเรียบร้อยพร้อมด้วยความรู้จักละอาย และความมีสติสัมปชัญญะ ไม่ใช่ถักผมหรือประดับกายด้วยเครื่องทองและไข่มุกหรือเสื้อผ้าราคาแพง
2ทธ 1.9 ผู้ทรงช่วยเราให้รอด และได้ทรงเรียกเราด้วยคำทรงเรียกอันบริสุทธิ์ ไม่ใช่เพราะเห็นแก่การกระทำของเรา แต่เพราะเห็นแก่พระประสงค์ของพระองค์เองและพระคุณซึ่งทรงประทานแก่เราในพระเยซูคริสต์ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกมานั้น
ฮบ 5.12 ถึงแม้ว่าขณะนี้ท่านทั้งหลายควรจะเป็นครูได้แล้ว แต่ท่านก็ต้องให้คนอื่นสอนท่านอีกในเรื่องหลักเบื้องต้นแห่งพระวจนะของพระเจ้า และท่านทั้งหลายกลายเป็นคนที่ยังต้องกินน้ำนม ไม่ใช่อาหารแข็ง
ฮบ 7.6 แต่ท่านผู้นี้ไม่ใช่เชื้อสายพวกเขา แต่ก็ยังได้รับสิบชักหนึ่งจากอับราฮัม และได้อวยพรให้อับราฮัมผู้ที่ได้รับพระสัญญาทั้งหลาย
ฮบ 8.2 เป็นผู้ปฏิบัติกิจในสถานบริสุทธิ์ และในพลับพลาแท้ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตั้งไว้ ไม่ใช่มนุษย์ตั้ง
ฮบ 9.25 พระองค์ไม่ต้องทรงถวายพระองค์เองซ้ำอีก เหมือนอย่างมหาปุโรหิตที่เข้าไปในที่บริสุทธิ์ทุกปีๆ นำเอาเลือดซึ่งไม่ใช่โลหิตของตัวเองเข้าไปด้วย
ฮบ 13.9 อย่าหลงไปตามคำสอนต่างๆที่แปลกๆ เพราะว่าเป็นการดีอยู่แล้วที่จะให้กำลังใจเข้มแข็งขึ้นด้วยพระคุณ ไม่ใช่ด้วยอาหารการกิน ซึ่งไม่เคยเป็นประโยชน์แก่คนที่หลงติดอยู่เลย
ฮบ 13.17 ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังและยอมอยู่ในโอวาทของคนเหล่านั้นที่ปกครองท่าน ด้วยว่าท่านเหล่านั้นคอยระวังดูจิตวิญญาณของท่าน เหมือนกับผู้ที่จะต้องรายงาน เพื่อเขาจะได้ทำการนี้ด้วยความชื่นใจ ไม่ใช่ด้วยความเศร้าใจ เพราะที่ทำดังนั้นก็จะไม่เป็นประโยชน์อะไรแก่ท่านทั้งหลาย
ยก 1.22 แต่ท่านทั้งหลายจงเป็นคนที่ประพฤติตามพระวจนะนั้น ไม่ใช่เป็นแต่เพียงผู้ฟังเท่านั้น ซึ่งเป็นการล่อลวงตนเอง
ยก 2.6 แต่ท่านทั้งหลายได้ดูถูกคนจน ไม่ใช่คนมั่งมีหรือที่กดขี่ท่านและลากตัวท่านไปขึ้นศาล
ยก 2.7 ไม่ใช่เขาเหล่านั้นหรือที่สบประมาทพระนามอันประเสริฐซึ่งใช้เรียกท่าน
ยก 2.21 เมื่ออับราฮัมบิดาของเราได้ถวายอิสอัคบุตรชายของท่านบนแท่นบูชา จึงได้ความชอบธรรมโดยการกระทำไม่ใช่หรือ
ยก 4.11 พี่น้องทั้งหลาย อย่าใส่ร้ายซึ่งกันและกัน ผู้ใดที่พูดใส่ร้ายพี่น้องและตัดสินพี่น้องของตน ผู้นั้นก็กล่าวร้ายต่อพระราชบัญญัติ และตัดสินพระราชบัญญัติ แต่ถ้าท่านตัดสินพระราชบัญญัติ ท่านก็ไม่ใช่ผู้ที่ประพฤติตามพระราชบัญญัติ แต่เป็นผู้ตัดสิน
1ปต 1.12 ก็ทรงโปรดเผยให้พวกศาสดาพยากรณ์เหล่านั้นทราบว่า ที่เขาเหล่านั้นได้ปรนนิบัติในเหตุการณ์ทั้งปวงนั้น ไม่ใช่สำหรับเขาเอง แต่สำหรับเราทั้งหลาย บัดนี้คนเหล่านั้นที่ประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านทั้งหลาย ก็ได้กล่าวสิ่งเหล่านั้นแก่ท่านแล้วโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ทรงโปรดประทานจากสวรรค์ เป็นสิ่งซึ่งพวกทูตสวรรค์ปรารถนาจะได้ดู
1ปต 1.23 ด้วยว่าท่านทั้งหลายได้บังเกิดใหม่ ไม่ใช่จากพืชที่จะเปื่อยเน่าเสีย แต่จากพืชอันไม่รู้เปื่อยเน่า คือด้วยพระวจนะของพระเจ้าอันทรงชีวิตและดำรงอยู่เป็นนิตย์
1ปต 2.18 ท่านทั้งหลายที่เป็นผู้รับใช้ จงเชื่อฟังนายของท่านด้วยความยำเกรงทุกอย่าง ไม่ใช่เฉพาะนายที่เป็นคนใจดีและสุภาพเท่านั้น แต่ทั้งนายที่ร้ายด้วย
1ปต 3.21 เช่นเดียวกัน บัดนี้พิธีบัพติศมาก็เป็นภาพที่รอดแก่เราทั้งหลาย (ไม่ใช่ด้วยชำระราคีแห่งเนื้อหนัง แต่โดยให้มีใจวินิจฉัยผิดและชอบอันดีจำเพาะพระเจ้า) โดยซึ่งพระเยซูคริสต์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากตาย
1ปต 5.2 จงเลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้าที่อยู่กับท่าน จงเอาใจใส่ดูแล ไม่ใช่ด้วยความฝืนใจ แต่ด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่ด้วยการเห็นแก่ทรัพย์สิ่งของอันเป็นมลทิน แต่ด้วยใจพร้อม
1ปต 5.3 และไม่ใช่เหมือนเป็นเจ้านายที่ข่มขี่ผู้สืบทอดของพระเจ้า แต่เป็นแบบอย่างแก่ฝูงแกะนั้น
1ยน 2.2 และพระองค์ทรงเป็นผู้ลบล้างพระอาชญาที่ตกกับเราทั้งหลายเพราะบาปของเรา และไม่ใช่แต่บาปของเราพวกเดียว แต่บาปของมนุษย์ทั้งปวงในโลกด้วย
1ยน 2.19 เขาเหล่านั้นได้ออกไปจากพวกเรา แต่เขาเหล่านั้นก็ไม่ใช่พวกเรา เพราะว่าถ้าเขาเป็นพวกของเรา เขาจะอยู่กับเราต่อไป แต่เขาได้ออกไปแล้ว ซึ่งก็เป็นที่ปรากฏชัดแล้วว่า เขาเหล่านั้นหาใช่พวกของเราทุกคนไม่
1ยน 2.22 ใครเล่าเป็นผู้ที่พูดมุสา ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นผู้ที่ปฏิเสธว่าพระเยซูมิใช่พระคริสต์ ผู้ใดที่ปฏิเสธพระบิดาและพระบุตร ผู้นั้นแหละเป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์
1ยน 2.27 แต่การเจิมซึ่งท่านทั้งหลายได้รับจากพระองค์นั้นดำรงอยู่กับท่าน และท่านไม่จำเป็นต้องให้ใครมาสอนท่านทั้งหลาย เพราะว่าการเจิมนั้นสอนท่านให้รู้ทุกสิ่ง และเป็นความจริง ไม่ใช่ความเท็จ การเจิมนั้นได้สอนท่านทั้งหลายมาแล้วอย่างไร ท่านก็จงตั้งมั่นคงอยู่ในพระองค์อย่างนั้น
1ยน 5.6 นี่แหละคือผู้ที่ได้เสด็จมาด้วยน้ำและพระโลหิต คือพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่ด้วยน้ำอย่างเดียว แต่ด้วยน้ำและพระโลหิต และพระวิญญาณทรงเป็นพยานเพราะพระวิญญาณทรงเป็นความจริง
วว 18.7 นครนั้นได้เย่อหยิ่งจองหองและมีชีวิตอย่างหรูหรามากเท่าใด ก็จงให้นครนั้นได้รับการทรมานและความระทมทุกข์มากเท่านั้น เพราะว่านครนั้นทะนงใจว่า ‘เราดำรงอยู่ในตำแหน่งราชินี ไม่ใช่หญิงม่าย เราจะไม่ประสบความระทมทุกข์เลย’

ไม่ได้ ( 83 )
2ซมอ 14.14 คนเราจะต้องตายหมดด้วยกันทุกคน เป็นเหมือนน้ำที่หกบนแผ่นดิน จะเก็บรวมกลับคืนมาอีกไม่ได้ พระเจ้าไม่ทรงเลือกหน้าผู้ใด แต่ทรงดำริหาหนทางไม่ให้ผู้ที่ถูกเนรเทศต้องถูกทรงทอดทิ้ง
2ซมอ 23.6 แต่คนอันธพาลก็เป็นเหมือนหนามที่ต้องผลักไสไป เพราะว่าจะเอามือหยิบก็ไม่ได้
2ซมอ 24.24 แต่กษัตริย์ตรัสกับอาราวนาห์ว่า “หามิได้ แต่เราจะขอเสียเงินซื้อจากท่าน เราจะถวายเครื่องเผาบูชาแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราโดยที่เราไม่เสียค่าอะไรเลยนั้นไม่ได้” ดาวิดจึงทรงซื้อลานนวดข้าวกับวัวเป็นเงินห้าสิบเชเขล
2พกษ 1.4 เพราะฉะนั้นบัดนี้พระเยโฮวาห์ตรัสดั่งนี้ว่า ‘เจ้าจะไม่ได้ลงมาจากที่นอนซึ่งเจ้าขึ้นไปนั้น แต่เจ้าจะต้องตายแน่’” แล้วเอลียาห์ก็ไป
โยบ 20.17 เขาจะไม่ได้เห็นแม่น้ำลำธาร หรือน้ำเอ่อล้น คือลำธารที่มีน้ำผึ้งและนมข้นไหลอยู่
สดด 100.3 จงรู้เถิดว่า พระเยโฮวาห์ทรงเป็นพระเจ้า คือพระองค์เองที่ทรงสร้างเราทั้งหลาย เราไม่ได้สร้างตัวเองขึ้น เราเป็นประชาชนของพระองค์ เป็นแกะแห่งทุ่งหญ้าของพระองค์
สภษ 29.1 บุคคลที่ถูกตักเตือนบ่อยๆ แต่ยังแข็งคอ ประเดี๋ยวจะถูกทำลาย จึงรักษาไม่ได้
ปญจ 8.17 แล้วข้าพเจ้าจึงเห็นบรรดาพระราชกิจของพระเจ้าว่า มนุษย์จะค้นหาความเข้าใจในพระราชกิจที่บังเกิดอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์หาได้ไม่ เพราะว่าถึงแม้มนุษย์จะออกแรงค้นหาสักปานใดก็ยังจะค้นหาให้พบไม่ได้ เออ ยิ่งกว่านั้นอีก แม้ว่านักปราชญ์คนใดนึกเอาว่าเขาจะเข้าใจแล้ว เขาก็ยังค้นหาไม่พบ
อสย 1.13 อย่านำเครื่องบูชาอันเปล่าประโยชน์มาอีกเลย เครื่องหอมเป็นสิ่งน่าสะอิดสะเอียนต่อเรา วันข้างขึ้น และวันสะบาโต และการเรียกประชุม เราทนอีกไม่ได้มันเป็นความชั่วช้า แม้แต่การประชุมอันศักดิ์สิทธิ์นั้นด้วย
ยรม 2.13 เพราะว่าประชาชนของเราได้กระทำความชั่วถึงสองประการ เขาได้ทอดทิ้งเราเสียซึ่งเป็นแหล่งน้ำเป็น แล้วสกัดหินขังน้ำไว้สำหรับตนเอง เป็นถังน้ำแตก ซึ่งขังน้ำไม่ได้
ยรม 6.10 ข้าพเจ้าควรจะพูดและให้คำตักเตือนแก่ผู้ใดดีนะ เพื่อเขาจะได้ยิน ดูเถิด หูของเขาตันเสียแล้ว เขาฟังไม่ได้ ดูเถิด พระวจนะของพระเยโฮวาห์เป็นสิ่งที่เขาดูหมิ่น เขาไม่พอใจฟัง
ยรม 6.24 พวกเราได้ยินกิตติศัพท์พวกนั้น มือของเราก็อ่อนลง อย่างช่วยไม่ได้ความแสนระทมได้จับเราไว้เป็นความเจ็บเหมือนสตรีกำลังคลอดบุตร
ยรม 8.17 เพราะ ดูเถิด เราจะส่งงูเข้ามาท่ามกลางเจ้า คืองูทับทางซึ่งจะผูกด้วยมนตร์ไม่ได้ และมันจะกัดเจ้าทั้งหลาย” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ยรม 9.25 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “ดูเถิด วันเวลากำลังมาถึงแล้ว เมื่อเราจะลงโทษบรรดาผู้ที่รับพิธีเข้าสุหนัตพร้อมด้วยผู้ที่ไม่ได้รับพิธีเข้าสุหนัต คือ
ยรม 14.9 ไฉนพระองค์จะทรงเป็นเหมือนชายที่งันงง หรือเหมือนคนที่มีกำลังมากแต่ช่วยใครให้รอดไม่ได้ โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ แม้กระนั้นก็ดีพระองค์ทรงสถิตท่ามกลางข้าพระองค์ทั้งหลาย คนเขาเรียกพวกข้าพระองค์โดยพระนามของพระองค์ ขออย่าทรงละข้าพระองค์ทั้งหลายไว้เสีย”
ยรม 19.11 และจงกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า ‘พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า เราจะให้ชนชาตินี้และเมืองนี้แตก เช่นเดียวกับที่คนทำให้ภาชนะของช่างหม้อแตก จนซ่อมแซมไม่ได้อีก เขาจะฝังคนไว้ในโทเฟท จนไม่มีที่อื่นให้ฝังอีก
ยรม 22.27 แต่แผ่นดินซึ่งเขาอาลัยอยากจะกลับนั้น เขาจะไม่ได้กลับไปสู่ได้”
ยรม 35.16 บุตรชายทั้งหลายของโยนาดับบุตรชายของเรคาบได้กระทำตามคำบัญชาซึ่งบิดาของเขาได้สั่งไว้ แต่ชนชาตินี้ไม่ได้เชื่อฟังเรา
อสค 17.18 เพราะเหตุท่านดูหมิ่นคำปฏิญาณและหักพันธสัญญา และดูเถิด เพราะท่านปฏิญาณตัวและยังกระทำสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ ท่านจึงจะหนีไปให้พ้นไม่ได้
อสค 33.22 ในเวลาเย็นก่อนที่ผู้ลี้ภัยมา พระหัตถ์ของพระเยโฮวาห์ได้มาอยู่เหนือข้าพเจ้า และพระองค์ทรงเปิดปากของข้าพเจ้าทันเวลาที่ชายคนนั้นมาถึงในตอนเช้า ดังนั้นปากของข้าพเจ้าจึงเปิดออก ข้าพเจ้าก็ไม่ได้เป็นใบ้ต่อไป
อสค 34.8 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด เพราะแกะของเรากลายเป็นเหยื่อ และแกะของเรากลายเป็นอาหารของสัตว์ป่าทุ่งทั้งสิ้น เพราะไม่มีผู้เลี้ยงแกะ และเพราะผู้เลี้ยงแกะของเราไม่เที่ยวค้นหาแกะของเรา แต่ผู้เลี้ยงแกะนั้นเลี้ยงตัวเอง และไม่ได้เลี้ยงแกะของเรา
อสค 34.10 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราเป็นปฏิปักษ์กับผู้เลี้ยงแกะ และเราจะเรียกร้องเอาแกะของเราจากมือของเขา และให้เขายับยั้งการเลี้ยงแกะของเขา ผู้เลี้ยงแกะจะไม่ได้เลี้ยงตัวเองอีกต่อไป เราจะช่วยแกะของเราให้พ้นจากปากของเขา เพื่อมิให้แกะเป็นอาหารของเขา
ดนล 5.23 แต่ทรงยกองค์พระองค์ขึ้นสู้กับองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ และทรงให้นำภาชนะแห่งพระนิเวศของพระองค์มาต่อพระพักตร์พระองค์ แล้วพระองค์ พวกเจ้านายของพระองค์ พระสนม และนางห้ามของพระองค์ก็ดื่มเหล้าองุ่นจากภาชนะเหล่านั้น และพระองค์ทรงสรรเสริญพระที่ทำด้วยเงิน ทองคำ ทองสัมฤทธิ์ เหล็ก ไม้ และหิน ซึ่งจะดูหรือฟัง หรือรู้เรื่องก็ไม่ได้ แต่พระองค์มิได้ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าซึ่งลมปราณของพระองค์อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และทางทั้งสิ้นของพระองค์ก็ขึ้นอยู่กับพระองค์
ดนล 11.42 เขาจะยืดมือของเขาออกต่อประเทศต่างๆ และแผ่นดินอียิปต์ก็จะพ้นไปไม่ได้
อมส 2.14 ฉะนั้นการหนีจะประลาตไปจากผู้มีฝีเท้ารวดเร็ว คนที่แข็งแรงจะไม่สามารถเสริมกำลังของเขา คนที่มีกำลังมากจะช่วยชีวิตของตนก็ไม่ได้
ศคย 10.2 เพราะว่ารูปเคารพประจำบ้านพูดไม่ได้เรื่อง และพวกโหรก็เห็นสิ่งหลอกลวง และเล่าความฝันเท็จ และให้คำเล้าโลมที่เปล่าประโยชน์ เพราะฉะนั้นประชาชนจึงหลงไปอย่างฝูงสัตว์ เขาทุกข์ใจเพราะขาดเมษบาล
มธ 5.36 อย่าปฏิญาณโดยอ้างถึงศีรษะของตน เพราะท่านจะกระทำให้ผมขาวหรือดำไปสักเส้นหนึ่งก็ไม่ได้
มธ 17.20 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เพราะเหตุพวกท่านไม่มีความเชื่อ ด้วยเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่ง ท่านจะสั่งภูเขานี้ว่า ‘จงเลื่อนจากที่นี่ไปที่โน่น’ มันก็จะเลื่อน และไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับท่านเลย
มก 2.2 และในเวลานั้นคนเป็นอันมากมาชุมนุมกันจนไม่มีที่จะรับ จะเข้าใกล้ประตูก็ไม่ได้ พระองค์จึงเทศนาพระวจนะนั้นให้เขาฟัง
ลก 11.7 ฝ่ายมิตรสหายที่อยู่ข้างในจะตอบว่า ‘อย่ารบกวนฉันเลย ประตูก็ปิดเสียแล้ว ทั้งพวกลูกก็นอนร่วมเตียงกับฉันแล้ว ฉันจะลุกขึ้นหยิบให้ท่านไม่ได้’
ลก 14.35 จะใช้เป็นปุ๋ยใส่ดินก็ไม่ได้ จะหมักไว้กับกองมูลสัตว์ทำปุ๋ยก็ไม่ได้ แต่เขาก็ทิ้งเสียเท่านั้น ใครมีหู จงฟังเถิด”
ยน 20.30 พระเยซูได้ทรงกระทำหมายสำคัญอื่นๆอีกหลายประการต่อหน้าเหล่าสาวกของพระองค์ ซึ่งไม่ได้จดไว้ในหนังสือม้วนนี้
กจ 4.16 ว่า “เราจะทำอย่างไรกับคนทั้งสองนี้ เพราะการที่เขาได้กระทำการอัศจรรย์อันเด่น ก็ได้ปรากฏแก่คนทั้งปวงที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มแล้ว และเราปฏิเสธไม่ได้
กจ 9.20 ท่านไม่ได้รีรอท่านประกาศตามธรรมศาลา กล่าวเรื่องพระคริสต์ว่า พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า
กจ 20.24 แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้ามิได้ถือว่าชีวิตของข้าพเจ้าเป็นสิ่งประเสริฐแก่ข้าพเจ้า แต่ในชีวิตของข้าพเจ้าขอทำหน้าที่ให้สำเร็จด้วยความปีติยินดี และทำการปรนนิบัติที่ได้รับมอบหมายจากพระเยซูเจ้า คือที่จะเป็นพยานถึงข่าวประเสริฐแห่งพระคุณของพระเจ้านั้น
รม 2.25 ถ้าท่านรักษาพระราชบัญญัติ พิธีเข้าสุหนัตก็เป็นประโยชน์จริง แต่ถ้าท่านละเมิดพระราชบัญญัติ การที่ท่านเข้าสุหนัตนั้นก็เหมือนกับว่าไม่ได้เข้าเลย
รม 2.26 เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตยังรักษาความชอบธรรมแห่งพระราชบัญญัติแล้ว การที่เขาไม่ได้เข้าสุหนัตนั้นจะถือเหมือนกับว่าเขาได้เข้าสุหนัตแล้วไม่ใช่หรือ
รม 9.11 (แม้ก่อนบุตรนั้นบังเกิดมา และยังไม่ได้กระทำดีหรือชั่ว เพื่อพระดำริของพระเจ้าในการทรงเลือกนั้นจะตั้งมั่นคงอยู่ ไม่ใช่ตามการกระทำ แต่ตามซึ่งพระองค์ทรงเรียก)
รม 9.33 ดังที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘จงดูเถิด เราได้วางศิลาก้อนหนึ่งไว้ในศิโยนซึ่งจะทำให้สะดุด และหินก้อนหนึ่งซึ่งจะทำให้ล้ม แต่ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์นั้นก็จะไม่ได้รับความอับอาย’
รม 14.15 แต่ถ้าพี่น้องของท่านไม่สบายใจเพราะอาหารที่ท่านกิน ท่านก็ไม่ได้ดำเนินตามทางแห่งความรักเสียแล้ว พระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อผู้ใด ก็อย่าให้คนนั้นพินาศเพราะอาหารที่ท่านกินเลย
1คร 2.12 เราทั้งหลายจึงไม่ได้รับวิญญาณของโลก แต่ได้รับพระวิญญาณซึ่งมาจากพระเจ้า เพื่อเราทั้งหลายจะได้รู้ถึงสิ่งต่างๆที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานแก่เรา
1คร 3.3 ด้วยว่าท่านยังอยู่ฝ่ายเนื้อหนัง เพราะว่าเมื่อท่านยังอิจฉากัน โต้เถียงกัน และแตกแยกกัน ท่านไม่ได้อยู่ฝ่ายเนื้อหนังหรือ และไม่ได้ดำเนินตามมนุษย์สามัญดอกหรือ
1คร 7.18 มีชายคนใดที่พระเจ้าทรงเรียกเมื่อเขาได้รับพิธีเข้าสุหนัตแล้วหรือ อย่าให้เขากลับเป็นเหมือนคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัต หรือมีชายคนใดที่พระเจ้าทรงเรียกเมื่อเขามิได้เข้าสุหนัตหรือ อย่าให้เขาเข้าสุหนัตเลย
1คร 10.20 แต่ข้าพเจ้าว่า เครื่องบูชาที่พวกต่างชาติถวายนั้น เขาถวายบูชาแก่พวกปิศาจ และไม่ได้ถวายแด่พระเจ้า ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาให้ท่านมีส่วนร่วมกับพวกปิศาจ
1คร 10.21 ท่านจะดื่มจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าและจากถ้วยของพวกปิศาจด้วยไม่ได้ ท่านจะรับประทานที่โต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้าและที่โต๊ะของพวกปิศาจด้วยก็ไม่ได้
กท 5.2 ดูเถิด ข้าพเจ้าเปาโลขอบอกท่านว่า ถ้าท่านรับพิธีเข้าสุหนัตพระคริสต์จะทรงทำประโยชน์อะไรให้แก่ท่านไม่ได้เลย
อฟ 6.12 เพราะว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือดแต่ต่อสู้กับเทพผู้ครอง ศักดิเทพ เทพผู้ครองพิภพในโมหะความมืดแห่งโลกนี้ ต่อสู้กับเหล่าวิญญาณที่ชั่วในสถานฟ้าอากาศ
ฟป 2.16 โดยการป่าวประกาศยกพระวจนะอันมีชีวิตไว้อยู่เสมอ เพื่อข้าพเจ้าจะได้ชื่นชมยินดีในวันของพระคริสต์ว่า ข้าพเจ้าไม่ได้วิ่งเปล่าๆ และไม่ได้ทำงานโดยเปล่าประโยชน์
1ทธ 6.7 เพราะว่าเราไม่ได้เอาอะไรเข้ามาในโลกฉันใด เราก็เอาอะไรออกไปจากโลกไม่ได้ฉันนั้น
ฮบ 4.2 เพราะว่าเราได้มีผู้ประกาศข่าวประเสริฐให้แก่เราแล้ว เหมือนแก่เขาเหล่านั้นด้วย แต่ว่าถ้อยคำซึ่งเขาได้ยินนั้นไม่ได้เป็นประโยชน์แก่เขา เพราะว่าเขาไม่มีความเชื่อพ้องกับผู้ที่ได้ยิน
ฮบ 4.3 เพราะว่าเราทั้งหลายที่เชื่อแล้วก็เข้าในที่สงบสุขนั้น เหมือนพระองค์ได้ตรัสไว้แล้วว่า ‘ตามที่เราได้ปฏิญาณด้วยความพิโรธของเราว่า “เขาจะไม่ได้เข้าสู่ที่สงบสุขของเรา”’ แม้ว่างานนั้นสำเร็จแล้วตั้งแต่วางรากสร้างโลก
ฮบ 4.5 และแห่งเดียวกันนั้นได้ตรัสอีกว่า ‘เขาจะไม่ได้เข้าสู่ที่สงบสุขของเรา’
ฮบ 8.9 ไม่เหมือนกับพันธสัญญาซึ่งเราได้กระทำกับบรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย เมื่อเราจูงมือเขาเพื่อนำเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ เพราะว่าเขาเหล่านั้นไม่ได้มั่นอยู่ในพันธสัญญาของเราอีกต่อไปแล้ว เราจึงได้ละเขาไว้” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้แหละ
ฮบ 9.5 และเหนือหีบนั้นมีรูปเครูบแห่งสง่าราศีคลุมพระที่นั่งพระกรุณานั้น สิ่งเหล่านี้เราจะพรรณนาให้ละเอียดในที่นี้ไม่ได้
ฮบ 11.1 บัดนี้ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นหลักฐานมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง
ฮบ 11.6 แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่พอพระทัยของพระองค์ก็ไม่ได้เลย เพราะว่าผู้ที่จะมาหาพระเจ้าได้นั้นต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่ปลงใจแสวงหาพระองค์
ฮบ 11.39 คนเหล่านั้นทุกคนมีชื่อเสียงดีโดยความเชื่อของเขา แต่เขาก็ยังไม่ได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้
ฮบ 12.4 ท่านทั้งหลายยังไม่ได้รบสู้กับความบาปจนถึงโลหิตตก
ยก 1.25 ฝ่ายผู้ใดที่พิจารณาดูในพระราชบัญญัติแห่งเสรีภาพอันดีเลิศ และดำรงอยู่ในพระราชบัญญัตินั้น ผู้นั้นไม่ได้เป็นผู้ฟังแล้วหลงลืม แต่เป็นผู้ประพฤติตามกิจการนั้น คนนั้นจะได้ความสุขในการของตน
ยก 3.15 ปัญญาเช่นนี้ไม่ได้มาจากเบื้องบน แต่เป็นปัญญาอย่างโลก และเป็นเดียรัจฉานตัณหา และเป็นเช่นปิศาจ
ยก 4.2 ท่านทั้งหลายอยากได้ แต่ไม่ได้ ท่านก็ฆ่ากัน ท่านโลภแต่ไม่ได้ ท่านก็ทะเลาะและทำสงครามกัน ที่ท่านไม่มีเพราะท่านไม่ได้ขอ
1ปต 2.23 เมื่อเขากล่าวคำหยาบคายต่อพระองค์ พระองค์ไม่ได้ทรงกล่าวตอบเขาด้วยคำหยาบคายเลย เมื่อพระองค์ทรงทนทุกข์ พระองค์ไม่ได้ทรงมาดร้าย แต่ทรงมอบเรื่องของพระองค์ไว้แก่พระเจ้าผู้ทรงพิพากษาอย่างชอบธรรม
2ปต 2.4 เพราะว่า ถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงยกเว้นพวกทูตสวรรค์ที่ได้ทำบาปนั้น แต่ได้ทรงผลักเขาลงไปสู่นรก และได้มัดเขาไว้ด้วยเครื่องจองจำแห่งความมืด คุมไว้จนกว่าจะถึงเวลาทรงพิพากษา
2ปต 3.9 องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเฉื่อยช้าในเรื่องพระสัญญาของพระองค์ ตามที่บางคนคิดนั้น แต่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัยไว้ เพราะเห็นแก่เราทั้งหลายมาช้านาน ไม่ทรงประสงค์ที่จะให้ผู้หนึ่งผู้ใดพินาศเลย แต่ทรงปรารถนาที่จะให้คนทั้งปวงกลับใจเสียใหม่
1ยน 2.4 คนใดที่กล่าวว่า “ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์” แต่มิได้รักษาพระบัญญัติของพระองค์ คนนั้นก็เป็นคนพูดมุสา และความจริงไม่ได้อยู่ในคนนั้นเลย
1ยน 2.7 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนพระบัญญัติใหม่ถึงท่านทั้งหลาย แต่เป็นพระบัญญัติเก่าซึ่งท่านทั้งหลายได้มีอยู่ตั้งแต่เริ่มแรก พระบัญญัติเก่านั้นคือพระดำรัสซึ่งท่านทั้งหลายได้ยินตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว
1ยน 2.15 อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น
1ยน 2.21 ข้าพเจ้าเขียนมายังท่านทั้งหลายมิใช่เพราะท่านไม่รู้ความจริง แต่เพราะท่านทั้งหลายรู้แล้ว และรู้ว่าคำมุสาไม่ได้มาจากความจริงเลย
วว 3.4 แต่ก็มีพวกเจ้าสองสามชื่อที่เมืองซาร์ดิสที่ไม่ได้กระทำให้เสื้อผ้าของตนมีมลทิน และเขาเหล่านั้นจะแต่งตัวสีขาวเดินไปกับเรา เพราะว่าเขาเป็นคนที่สมควรแล้ว
วว 3.8 เรารู้จักแนวการกระทำของเจ้า ดูเถิด เราได้ตั้งประตูซึ่งเปิดไว้ตรงหน้าพวกเจ้า ประตูนี้ไม่มีใครปิดได้ เพราะว่าเจ้ามีกำลังเพียงเล็กน้อย แต่กระนั้นเจ้าก็ได้รักษาคำของเราและไม่ได้ปฏิเสธนามของเรา
วว 4.8 สัตว์ทั้งสี่นั้นแต่ละตัวมีปีกหกปีกอยู่รอบตัว และมีตาเต็มข้างใน และสัตว์เหล่านั้นร้องตลอดวันตลอดคืนไม่ได้หยุดเลยว่า “บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้า ผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ผู้ได้ทรงสภาพอยู่ในกาลก่อน ผู้ทรงสภาพอยู่ในปัจจุบัน และผู้ซึ่งจะเสด็จมา”
วว 9.20 มนุษย์ทั้งหลายที่เหลืออยู่ ที่มิได้ถูกฆ่าด้วยภัยพิบัติเหล่านี้ ยังไม่ได้กลับใจเสียใหม่จากงานที่มือเขาได้กระทำ ไม่ได้เลิกบูชาผี บูชา ‘รูปเคารพที่ทำด้วยทองคำ เงิน ทองสัมฤทธิ์ หินและไม้ รูปเคารพเหล่านั้นจะดูหรือฟังหรือเดินก็ไม่ได้’

ไมตรี ( 5 )
วนฉ 4.17 ฝ่ายสิเสราวิ่งหนีไปถึงเต็นท์ของยาเอล ภรรยาของเฮเบอร์คนเคไนต์ เพราะว่ายาบินกษัตริย์เมืองฮาโซร์เป็นไมตรีกันกับวงศ์วานเฮเบอร์คนเคไนต์
1พกษ 22.44 เยโฮชาฟัททรงกระทำไมตรีกับกษัตริย์แห่งอิสราเอลด้วย
ลก 14.32 ถ้าสู้ไม่ได้ เมื่อยังอยู่ห่างกันก็จะใช้พวกทูตไปขอเป็นไมตรีกัน
กจ 12.20 ฝ่ายเฮโรดกริ้วชาวเมืองไทระและเมืองไซดอน แต่ชาวเมืองนั้นได้พากันมาหาท่าน เมื่อได้เอาใจบลัสทัสกรมวังของกษัตริย์แล้ว จึงได้ขอกลับเป็นไมตรีกันอีก เพราะว่าเมืองของเขาต้องอาศัยอาหารเลี้ยงชีพจากแผ่นดินของกษัตริย์นั้น
รม 12.13 จงช่วยวิสุทธิชนเมื่อเขาขัดสน จงมีน้ำใจอัธยาศัยไมตรี

ไม้ตะบอง ( 3 )
อสย 9.4 เพราะว่าแอกอันเป็นภาระของเขาก็ดี ไม้พลองที่ตีบ่าเขาก็ดี ไม้ตะบองของผู้บีบบังคับเขาก็ดี พระองค์จะทรงหักเสียอย่างในวันของคนมีเดียน
มธ 26.47 พระองค์ตรัสยังไม่ทันขาดคำ ดูเถิด ยูดาส คนหนึ่งในเหล่าสาวกสิบสองคนนั้น ได้เข้ามา และมีประชาชนเป็นอันมากถือดาบ ถือไม้ตะบอง มาจากพวกปุโรหิตใหญ่และพวกผู้ใหญ่แห่งประชาชน
มก 14.43 พระองค์ตรัสยังไม่ทันขาดคำ ในทันใดนั้นยูดาสซึ่งเป็นคนหนึ่งในเหล่าสาวกสิบสองคนนั้น กับหมู่ชนเป็นอันมาก ถือดาบถือไม้ตะบอง ได้มาจากพวกปุโรหิตใหญ่ พวกธรรมาจารย์ และพวกผู้ใหญ่

ไม้ติ้ว ( 1 )
ฮชย 4.12 ประชาชนของเราไปขอความเห็นจากสิ่งที่ทำด้วยไม้ และไม้ติ้วก็แจ้งแก่เขาอย่างเปิดเผย เพราะจิตใจที่ชอบเล่นชู้นำให้เขาหลงไป และเขาทั้งหลายได้ละทิ้งพระเจ้าของเขาเสียเพื่อไปเล่นชู้

ไม้เถาป่า ( 1 )
2พกษ 4.39 คนหนึ่งในพรรคออกไปเก็บผักที่ในทุ่งนา และพบไม้เถาป่าเถาหนึ่ง เขาเก็บได้น้ำเต้าป่าจนเต็มตัก กลับมาหั่นใส่ในหม้อข้าวต้มโดยไม่ทราบว่าเป็นผลอะไร

ไม่ทัน ( 26 )
ปฐก 24.15 และต่อมาเมื่อเขาอธิษฐานยังไม่ทันเสร็จ ดูเถิด เรเบคาห์ ผู้ที่เกิดแก่เบธูเอลบุตรชายของนางมิลคาห์ภรรยาของนาโฮร์น้องชายของอับราฮัม ก็แบกไหน้ำของนางเดินออกมา
ปฐก 24.45 เมื่อข้าพเจ้าอธิษฐานในใจไม่ทันขาดคำ ดูเถิด นางเรเบคาห์แบกไหน้ำของนางเดินออกมา นางลงไปตักน้ำที่บ่อน้ำ ข้าพเจ้าพูดกับนางว่า ‘ขอน้ำให้ข้าพเจ้าดื่มหน่อย’
อพย 1.19 นางผดุงครรภ์จึงกราบทูลฟาโรห์ว่า “เพราะหญิงฮีบรูไม่เหมือนหญิงอียิปต์ เพราะเขามีกำลังมากจึงคลอดบุตรโดยเร็ว และนางผดุงครรภ์มาหาเขาไม่ทัน”
อพย 12.39 เขาเอาก้อนแป้งไร้เชื้อซึ่งนำมาจากอียิปต์นั้น ปิ้งเป็นขนมไร้เชื้อ เพราะเขาถูกเร่งรัดให้ออกจากอียิปต์ จึงไม่ทันเตรียมเสบียง
ลนต 5.2 หรือผู้หนึ่งผู้ใดแตะต้องสิ่งที่เป็นมลทิน จะเป็นซากสัตว์ป่าที่มลทิน หรือซากสัตว์เลี้ยงที่มลทิน หรือซากสัตว์เลื้อยคลานที่เป็นมลทิน โดยไม่ทันรู้ตัว เขาจึงเป็นคนมีมลทิน เขาก็มีความผิด
ลนต 5.4 หรือถ้าคนหนึ่งคนใดเผลอตัวกล่าวคำปฏิญาณด้วยริมฝีปากว่าจะกระทำชั่วหรือดี หรือเผลอตัวกล่าวคำปฏิญาณใดๆ และเขากระทำโดยไม่ทันรู้ตัว เมื่อเขารู้สึกตัวแล้วในประการใดก็ตาม เขาก็มีความผิด
กดว 11.33 เมื่อเนื้อยังติดฟันเขาทั้งหลายอยู่ ยังรับประทานไม่ทันหมด พระเยโฮวาห์ทรงกริ้วประชาชนยิ่งนัก พระเยโฮวาห์ก็ทรงประหารประชาชนเสียด้วยภัยพิบัติอย่างร้ายแรง
กดว 30.6 และถ้านางแต่งงานมีสามีแล้ว สิ่งที่นางปฏิญาณไว้หรือกล่าวด้วยริมฝีปากที่ไม่ทันคิดซึ่งผูกมัดนาง
กดว 30.8 แต่ถ้าในวันนั้นที่สามีมาได้ยินนางและเขาคัดค้าน ก็ทำให้คำที่นางปฏิญาณไว้นั้นเป็นโมฆะ ทั้งคำกล่าวด้วยริมฝีปากที่ไม่ทันคิดของนาง ซึ่งผูกมัดนางนั้นก็เป็นโมฆะด้วย และพระเยโฮวาห์จะทรงอภัยให้แก่นาง
ปญจ 6.5 ยิ่งกว่านั้นอีก ยังไม่ทันเห็นตะวันหรือยังไม่ทันรู้เรื่องราวอะไร เด็กคนนี้มีความสงบสุขยิ่งกว่าผู้ใหญ่นั้นเสียอีก
พซม 6.12 เมื่อดิฉันยังไม่ทันรู้ตัว จิตใจของดิฉันได้กระทำให้ดิฉันเหมือนรถม้าแห่งอามินาดิบ
อสย 59.9 เพราะฉะนั้นความยุติธรรมจึงอยู่ห่างจากเราทั้งหลาย และความเที่ยงธรรมตามเราไม่ทัน เราทั้งหลายคอยท่าความสว่างและ ดูเถิด ความมืด คอยท่าความสุกใส แต่เราดำเนินในความมืดคลุ้ม
ดนล 4.31 เมื่อกษัตริย์ตรัสยังไม่ทันขาดพระวาทะ ก็มีเสียงตกลงมาจากฟ้าสวรรค์ว่า “โอ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เราลั่นวาจาไว้กับเจ้าแล้วว่า ราชอาณาจักรได้พรากไปเสียจากเจ้าแล้ว
ฮชย 2.7 นางจะไปตามบรรดาคนรักของนาง แต่ก็จะตามไม่ทัน นางจะเที่ยวเสาะหาเขาทั้งหลาย แต่นางก็จะไม่พบเขา แล้วนางจะว่า ‘ฉันจะไปหาผัวคนแรกของฉัน เพราะแต่ก่อนนั้นฐานะฉันยังดีกว่าเดี๋ยวนี้’
อมส 9.10 คนบาปทั้งปวงในประชาชนของเราจะตายด้วยดาบ คือผู้ที่กล่าวว่า ‘ความชั่วจะตามไม่ทันและจะไม่พบเรา’
มธ 17.5 เปโตรทูลยังไม่ทันขาดคำ ดูเถิด ก็บังเกิดมีเมฆสุกใสมาปกคลุมเขาไว้ แล้วดูเถิด มีพระสุรเสียงออกมาจากเมฆนั้นว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านผู้นี้มาก จงฟังท่านเถิด”
มธ 24.39 และน้ำท่วมได้มากวาดเอาพวกเขาไปสิ้น โดยไม่ทันรู้ตัวฉันใด เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นฉันนั้นด้วย
มธ 26.47 พระองค์ตรัสยังไม่ทันขาดคำ ดูเถิด ยูดาส คนหนึ่งในเหล่าสาวกสิบสองคนนั้น ได้เข้ามา และมีประชาชนเป็นอันมากถือดาบ ถือไม้ตะบอง มาจากพวกปุโรหิตใหญ่และพวกผู้ใหญ่แห่งประชาชน
มก 5.35 เมื่อพระองค์ตรัสยังไม่ทันขาดคำ มีบางคนได้มาจากบ้านนายธรรมศาลาบอกว่า “ลูกสาวของท่านตายเสียแล้ว ยังจะรบกวนอาจารย์ทำไมอีกเล่า”
มก 14.43 พระองค์ตรัสยังไม่ทันขาดคำ ในทันใดนั้นยูดาสซึ่งเป็นคนหนึ่งในเหล่าสาวกสิบสองคนนั้น กับหมู่ชนเป็นอันมาก ถือดาบถือไม้ตะบอง ได้มาจากพวกปุโรหิตใหญ่ พวกธรรมาจารย์ และพวกผู้ใหญ่
ลก 21.34 แต่จงระวังตัวให้ดี เกลือกว่าในเวลาหนึ่งเวลาใดใจของท่านจะล้นไปด้วยอาการกินและดื่ม และด้วยการเมา และด้วยคิดกังวลถึงชีวิตนี้ แล้วเวลานั้นจะมาถึงท่านโดยไม่ทันรู้ตัว
ลก 22.47 พระองค์ตรัสยังไม่ทันขาดคำ ดูเถิด มีคนเป็นอันมาก และผู้ที่ชื่อว่า ยูดาส เป็นคนหนึ่งในสาวกสิบสองคนนำหน้าเขามา ยูดาสเข้ามาใกล้พระเยซูเพื่อจุบพระองค์
ลก 22.60 แต่เปโตรพูดว่า “พ่อเอ๋ย ที่ท่านว่านั้นข้าไม่รู้เรื่อง” เมื่อเปโตรกำลังพูดยังไม่ทันขาดคำ ในทันใดนั้นไก่ก็ขัน
กจ 23.15 ฉะนั้น บัดนี้ท่านทั้งหลายกับพวกสมาชิกสภาจงพูดให้นายพันเข้าใจว่า พวกท่านต้องการให้พาเปาโลลงมาหาท่านทั้งหลายพรุ่งนี้ เพื่อจะได้ซักถามความให้ถ้วนถี่ยิ่งกว่าแต่ก่อน ฝ่ายพวกข้าพเจ้าจะได้เตรียมตัวไว้พร้อมที่จะฆ่าเปาโลเสียเมื่อยังไม่ทันจะมาถึง”
วว 6.13 และดวงดาวทั้งหลายในท้องฟ้าก็ตกลงบนแผ่นดิน เหมือนต้นมะเดื่ออันหวั่นไหวด้วยลมกล้าจนทำให้ผลหล่นลงไม่ทันสุก

ไม้เท้า ( 74 )
ปฐก 32.10 ข้าพระองค์ไม่สมควรจะรับบรรดาพระกรุณาและความจริงแม้เล็กน้อยที่สุด ที่พระองค์ได้ทรงโปรดสำแดงแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ ด้วยว่าข้าพระองค์ข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้เมื่อมีแต่ไม้เท้า และบัดนี้ข้าพระองค์มีผู้คนเป็นสองพวก
อพย 4.2 พระเยโฮวาห์จึงตรัสกับโมเสสว่า “อะไรอยู่ในมือของเจ้า” และท่านทูลว่า “ไม้เท้า”
อพย 4.3 และพระองค์ตรัสว่า “โยนลงที่พื้นดินเถิด” ท่านจึงโยนไม้เท้าลงบนพื้นดิน ไม้เท้านั้นก็กลายเป็นงู โมเสสก็หลบหนีจากงูไป
อพย 4.4 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “เอื้อมมือของเจ้าและจับหางงูไว้” ท่านก็เอื้อมมือของท่านและจับหางงู มันก็กลายเป็นไม้เท้าอยู่ในมือของท่าน
อพย 4.17 เจ้าจงถือไม้เท้านี้ไว้ในมือของเจ้า สำหรับทำหมายสำคัญ”
อพย 4.20 โมเสสจึงให้ภรรยาและบุตรชายของตนขี่ลากลับไปยังแผ่นดินอียิปต์ ส่วนโมเสสก็ถือไม้เท้าของพระเจ้าในมือของท่านไปด้วย
อพย 7.9 “เมื่อฟาโรห์สั่งเจ้าว่า ‘จงแสดงอัศจรรย์พิสูจน์งานของเจ้า’ เจ้าจงพูดกับอาโรนว่า ‘เอาไม้เท้าของท่านโยนลงต่อหน้าฟาโรห์’ และไม้เท้านั้นจะกลายเป็นงู”
อพย 7.10 โมเสสกับอาโรนจึงเข้าไปเฝ้าฟาโรห์ เขากระทำตามที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชา อาโรนโยนไม้เท้าของท่านลงต่อหน้าฟาโรห์และต่อหน้าข้าราชการทั้งปวง ไม้เท้านั้นก็กลายเป็นงู
อพย 7.12 ด้วยว่าเขาต่างคนต่างโยนไม้เท้าลง ไม้เท้าเหล่านั้นก็กลายเป็นงู แต่ไม้เท้าของอาโรนกลืนไม้เท้าของพวกเขาเสียทั้งหมด
อพย 7.15 เจ้าจงถือไม้เท้าที่กลายเป็นงูไปเฝ้าฟาโรห์ในเวลาเช้า ดูเถิด เขาไปที่แม่น้ำ เจ้าจงยืนคอยเขาอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ
อพย 7.17 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “ท่านจะทราบว่า เราคือพระเยโฮวาห์ด้วยอาศัยการกระทำดังนี้ ดูเถิด เราจะเอาไม้เท้าที่ถือไว้นั้นฟาดน้ำในแม่น้ำ น้ำนั้นจะกลายเป็นเลือด
อพย 7.19 พระเยโฮวาห์ตรัสสั่งโมเสสว่า “จงบอกอาโรนว่า ‘เอาไม้เท้าของท่านชี้ไปเหนือน้ำทั้งหลายแห่งอียิปต์ คือเหนือลำคลอง แม่น้ำ บึง และสระทั้งหมดของเขา เพื่อน้ำจะกลายเป็นเลือดและจะมีเลือดทั่วแผ่นดินอียิปต์ ทั้งที่อยู่ในภาชนะไม้และภาชนะหิน’”
อพย 7.20 โมเสสกับอาโรนก็กระทำตามที่พระเยโฮวาห์บัญชา คือท่านได้ยกไม้เท้าขึ้นตีน้ำในแม่น้ำต่อสายพระเนตรของฟาโรห์ และท่ามกลางสายตาของพวกข้าราชการของฟาโรห์ แล้วน้ำในแม่น้ำก็กลายเป็นเลือดทั้งสิ้น
อพย 8.5 แล้วพระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงบอกอาโรนว่า ‘ให้เหยียดมือที่ถือไม้เท้าออกเหนือลำคลอง เหนือแม่น้ำ และเหนือบึงให้ฝูงกบขึ้นมาบนแผ่นดินอียิปต์’”
อพย 8.16 พระเยโฮวาห์จึงตรัสกับโมเสสว่า “บอกอาโรนว่า ‘จงเหยียดไม้เท้าออกและตีฝุ่นดินให้กลายเป็นริ้นทั่วประเทศอียิปต์’”
อพย 8.17 เขาทั้งสองก็กระทำตาม ด้วยว่าอาโรนเหยียดมือออกยกไม้เท้าและตีฝุ่นดิน ก็กลายเป็นริ้นมาตอมมนุษย์และสัตว์ ฝุ่นดินทั้งหมดกลายเป็นริ้นทั่วประเทศอียิปต์
อพย 9.23 โมเสสก็ชูไม้เท้าของตนขึ้นยังท้องฟ้าแล้วพระเยโฮวาห์ทรงบันดาลให้มีเสียงฟ้าร้อง มีลูกเห็บ และไฟตกลงมาบนแผ่นดิน และพระเยโฮวาห์ทรงบันดาลให้ลูกเห็บตกบนแผ่นดินอียิปต์
อพย 10.13 โมเสสจึงยื่นไม้เท้าออกเหนือแผ่นดินอียิปต์ พระเยโฮวาห์ก็ทรงบันดาลให้ลมตะวันออกพัดมาเหนือพื้นแผ่นดินทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดวันนั้น ครั้นเวลารุ่งเช้า ลมตะวันออกก็พัดหอบฝูงตั๊กแตนมา
อพย 12.11 เจ้าทั้งหลายจงเลี้ยงกันดังนี้ คือให้คาดเอว สวมรองเท้า และถือไม้เท้าไว้ และรีบกินโดยเร็ว การเลี้ยงนี้เป็นปัสกาของพระเยโฮวาห์
อพย 14.16 ฝ่ายเจ้าจงยกไม้เท้าของเจ้า แล้วยื่นมือของเจ้าออกไปเหนือทะเล ทำให้ทะเลนั้นแยกออก เพื่อคนอิสราเอลจะได้เดินบนดินแห้งกลางทะเลแล้วข้ามไปได้
อพย 17.5 พระเยโฮวาห์จึงตรัสกับโมเสสว่า “จงเดินล่วงหน้าพลไพร่ไปและนำพวกผู้ใหญ่บางคนของอิสราเอลไปด้วย ให้ถือไม้เท้าที่เจ้าใช้ตีแม่น้ำนั้นไปด้วย
อพย 17.9 โมเสสสั่งโยชูวาว่า “จงเลือกชายฉกรรจ์ฝ่ายเราออกไปสู้รบกับพวกอามาเลข พรุ่งนี้เราจะยืนถือไม้เท้าของพระเจ้าอยู่บนยอดภูเขา”
อพย 21.19 ถ้าผู้ที่ถูกเจ็บนั้นลุกขึ้น ถือไม้เท้าเดินออกไปได้อีก ผู้ตีนั้นก็พ้นโทษ แต่เขาจะต้องเสียค่าป่วยการ และค่ารักษาบาดแผลจนหายเป็นปกติ
ลนต 27.32 และสิบชักหนึ่งที่ได้มาจากฝูงวัว หรือฝูงแพะแกะ คือสัตว์หนึ่งในสิบตัวที่ลอดใต้ไม้เท้าของผู้เลี้ยง จะเป็นสิ่งบริสุทธิ์แด่พระเยโฮวาห์
กดว 17.2 “จงพูดกับคนอิสราเอลและเอาไม้เท้ามาจากเขา เรือนบรรพบุรุษละอันจากประมุขทุกคนตามเรือนบรรพบุรุษ เป็นไม้เท้าสิบสองอัน เขียนชื่อชายเจ้าของไม้ไว้บนไม้เท้าทุกอัน
กดว 17.3 เขียนชื่อของอาโรนไว้บนไม้เท้าของคนเลวี เพราะจะมีไม้เท้าอันเดียวสำหรับหัวหน้าเรือนบรรพบุรุษหนึ่ง
กดว 17.4 จงวางไม้เท้าเหล่านั้นไว้ในพลับพลาแห่งชุมนุม ต่อหน้าพระโอวาทที่ที่เราพบกับเจ้าทั้งหลาย
กดว 17.5 และต่อมาไม้เท้าของชายผู้ที่เราโปรดเลือกนั้นจะงอก เช่นนี้เราจะกระทำให้เสียงบ่นของคนอิสราเอล ซึ่งเขาบ่นต่อเจ้าสงบลงเสียจากเรา”
กดว 17.6 โมเสสจึงสั่งคนอิสราเอล และประมุขของท่านทุกคนก็มอบไม้เท้าแก่ท่านคนละอันตามเรือนบรรพบุรุษ เป็นไม้เท้าสิบสองอัน และไม้เท้าของอาโรนก็อยู่ในไม้เท้าเหล่านั้นด้วย
กดว 17.7 และโมเสสวางไม้เท้าเหล่านั้นต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ที่ในพลับพลาพระโอวาท
กดว 17.8 อยู่มาวันรุ่งขึ้นโมเสสได้เข้าไปในพลับพลาพระโอวาท ดูเถิด ไม้เท้าของอาโรนสำหรับวงศ์วานเลวีได้งอก มีดอกตูมและดอกบาน และเกิดผลอัลมันด์สุกบ้าง
กดว 17.9 แล้วโมเสสนำไม้เท้าทั้งหมดจากที่ตรงพระพักตร์พระเยโฮวาห์มายังคนอิสราเอลทั้งหมด เขาได้ตรวจดู และทุกคนก็นำไม้เท้าของตนไป
กดว 17.10 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงนำไม้เท้าของอาโรนกลับไปวางไว้ต่อหน้าพระโอวาท เก็บไว้เป็นหมายสำคัญสำหรับเตือนพวกกบฏ เพื่อเจ้าจะให้เขาทั้งหลายยุติการบ่นว่าเรา เพื่อเขาจะไม่ต้องตาย”
กดว 20.8 “จงเอาไม้เท้าและเรียกประชุมชุมนุมชน ทั้งเจ้าและอาโรนพี่ชายของเจ้า และบอกหินต่อหน้าต่อตาประชาชนให้หินหลั่งน้ำ ดังนั้นเจ้าจะเอาน้ำออกจากหินให้เขา ดังนั้นแหละเจ้าจะให้น้ำแก่ชุมนุมชนและสัตว์ดื่ม”
กดว 20.9 โมเสสก็นำไม้เท้าไปจากหน้าพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ดังที่พระองค์ทรงบัญชา
กดว 20.11 และโมเสสก็ยกมือขึ้นตีหินนั้นสองครั้งด้วยไม้เท้า และน้ำก็ไหลออกมามากมาย ชุมนุมชนและสัตว์ของเขาก็ได้ดื่มน้ำ
กดว 21.18 เป็นบ่อน้ำที่เจ้านายได้ขุดไว้ เป็นบ่อที่ขุนนางของประชาชนเจาะไว้ ด้วยคทาและไม้เท้าของผู้ทรงตั้งพระราชบัญญัติ” และจากถิ่นทุรกันดารนั้นไป เขาก็มาถึงมัทธานาห์
กดว 22.27 เมื่อลาเห็นทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์มันก็หมอบลง บาลาอัมยังคงนั่งอยู่บนหลัง บาลาอัมก็โกรธ จึงเอาไม้เท้าของเขาตีลา
1ซมอ 14.43 แล้วซาอูลจึงตรัสกับโยนาธานว่า “เจ้าได้กระทำอะไร จงบอกเรามา” โยนาธานก็ทูลว่า “ข้าพระองค์ได้ชิมน้ำผึ้งที่ติดปลายไม้เท้าซึ่งอยู่ในมือของข้าพระองค์เล็กน้อยเท่านั้น และดูเถิด ข้าพระองค์ต้องตาย”
1ซมอ 17.40 แล้วจึงถือไม้เท้าไว้ และเลือกก้อนหินเกลี้ยงจากลำธารได้ห้าก้อน จึงใส่ในย่ามผู้เลี้ยงแกะของเขาในถุงของเขาและมือถือสลิงอยู่ เขาก็เข้าไปใกล้คนฟีลิสเตียคนนั้น
1ซมอ 17.43 คนฟีลิสเตียจึงพูดกับดาวิดว่า “ข้าเป็นหมาหรือเจ้าจึงถือไม้เท้ามาหาข้า” และคนฟีลิสเตียคนนั้นก็แช่งด่าดาวิดออกนามพระของตน
2ซมอ 3.29 ขอให้โทษนั้นตกเหนือศีรษะของโยอาบ และเหนือวงศ์วานบิดาของเขาทั้งสิ้น ขออย่าให้คนที่มีสิ่งไหลออก คนที่เป็นโรคเรื้อน คนที่ถือไม้เท้า คนที่ถูกประหารด้วยดาบ หรือคนขาดขนมปัง ขาดจากวงศ์วานของโยอาบ”
2ซมอ 23.21 ท่านได้ฆ่าคนอียิปต์คนหนึ่งเป็นชายรูปร่างงาม คนอียิปต์นั้นถือหอกอยู่ แต่เบไนยาห์ถือไม้เท้าลงไปหาเขาและแย่งเอาหอกมาจากมือของคนอียิปต์คนนั้น และฆ่าเขาตายด้วยหอกของเขาเอง
2พกษ 4.29 ท่านจึงสั่งเกหะซีว่า “คาดเอวของเจ้าเข้า และถือไม้เท้าของเรา และไปเถอะ ถ้าเจ้าพบใคร อย่าสวัสดีกับเขา และถ้าใครสวัสดีกับเจ้าก็อย่าตอบ และจงวางไม้เท้าของเราบนหน้าของเด็กนั้น”
2พกษ 4.31 เกหะซีได้ล่วงหน้าไปก่อนและวางไม้เท้าบนหน้าของเด็กนั้น แต่ไม่มีเสียงหรืออาการเป็น เขาจึงกลับมาพบท่านและเรียนท่านว่า “เด็กนั้นยังไม่ตื่น”
2พกษ 18.21 ดูเถิด เดี๋ยวนี้ท่านวางใจในไม้เท้าอ้อช้ำ คืออียิปต์ ซึ่งจะตำมือของคนใดๆที่ใช้ไม้เท้านั้นยัน ฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์เป็นเช่นนั้นต่อทุกคนที่วางใจในเขา
1พศด 11.23 เขาได้ฆ่าคนอียิปต์คนหนึ่ง เป็นชายรูปร่างใหญ่โต สูงห้าศอก คนอียิปต์นั้นถือหอกเหมือนไม้กระพั่นทอผ้า แต่เบไนยาห์ถือไม้เท้าลงไปหาเขา และแย่งเอาหอกมาจากมือของคนอียิปต์ และฆ่าเขาเสียด้วยหอกของเขาเอง
อสย 36.6 ดูเถิด ท่านวางใจในไม้เท้าอ้อที่เดาะ คืออียิปต์ ซึ่งจะตำมือของคนใดๆที่ใช้ไม้เท้านั้นยัน ฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์เป็นเช่นนั้นต่อทุกคนที่วางใจในเขา
อสค 29.6 แล้วคนที่อยู่ในอียิปต์ทั้งสิ้นจะทราบว่า เราคือพระเยโฮวาห์ เพราะเจ้าเป็นไม้เท้าอ้อของวงศ์วานอิสราเอล
ศคย 8.4 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า ชายชราและหญิงชราจะอาศัยอยู่ตามถนนในกรุงเยรูซาเล็มอีก ต่างก็มีไม้เท้าอยู่ในมือเพราะอายุมากทีเดียว
ศคย 11.7 ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงจะได้เลี้ยงดูฝูงแพะแกะที่ถูกฆ่า คือตัวเจ้าเอง โอ พวกที่น่าสงสารแห่งฝูงแกะเอ๋ย ข้าพเจ้าจึงเอาไม้เท้าสองอัน อันหนึ่งให้ชื่อว่า พระคุณ อีกอันหนึ่งข้าพเจ้าให้ชื่อว่า สหภาพ และข้าพเจ้าก็เลี้ยงดูฝูงแกะ
ศคย 11.10 ข้าพเจ้าก็เอาไม้เท้าที่ชื่อ พระคุณ นั้นมาหัก เพื่อล้มเลิกพันธสัญญาซึ่งข้าพเจ้าได้ทำไว้กับชนชาติทั้งหลายเสีย
ศคย 11.14 แล้วข้าพเจ้าก็หักไม้เท้าอันที่สองที่ชื่อ สหภาพ นั้นเสีย ล้มเลิกภราดรภาพระหว่างยูดาห์และอิสราเอล
มธ 10.10 หรือย่ามใช้ตามทาง หรือเสื้อคลุมสองตัว หรือรองเท้า หรือไม้เท้า เพราะว่าผู้ทำงานสมควรจะได้อาหารกิน
มก 6.8 และตรัสกำชับเขาไม่ให้เอาอะไรไปใช้ตามทางเว้นแต่ไม้เท้าสิ่งเดียว ห้ามมิให้เอาอาหาร หรือย่าม หรือหาสตางค์ใส่ไถ้ไป
ลก 9.3 พระองค์จึงตรัสสั่งเขาว่า “อย่าเอาอะไรไปใช้ตามทาง เช่น ไม้เท้า หรือย่าม หรืออาหาร หรือเงิน หรือเสื้อคลุมสองตัว
ฮบ 9.4 ห้องนั้นมีแท่นทองคำสำหรับถวายเครื่องหอม และมีหีบพันธสัญญาหุ้มด้วยทองคำทุกด้าน ในหีบนั้นมีโถทองคำใส่มานา และมีไม้เท้าของอาโรนที่ออกช่อ และมีแผ่นศิลาพันธสัญญา
ฮบ 11.21 โดยความเชื่อ ยาโคบเมื่อจะตายได้อวยพรแก่บุตรชายทั้งสองของโยเซฟ และได้นมัสการขณะที่ค้ำอยู่บนหัวไม้เท้าของท่าน

ไม้ธารพระกร ( 2 )
ยรม 48.17 บรรดาท่านที่อยู่รอบเขา จงเสียใจด้วยเขาเถิด และบรรดาท่านที่รู้จักชื่อเขาด้วย จงกล่าวว่า ‘ไม้ธารพระกรอันทรงฤทธิ์หักเสียแล้ว คือคทาอันรุ่งโรจน์นั้น’
อสค 19.11 เธอมีแขนงที่แข็งแรงซึ่งกลายเป็นไม้ธารพระกรของผู้ครอบครอง ความสูงของเธอชูขึ้นท่ามกลางแขนงที่หนาทึบ เธอปรากฏในที่สูงของเธอพร้อมกับแขนงมากมายของเธอ

ไม้ประดู่ ( 3 )
2พศด 2.8 ขอท่านส่งไม้สนสีดาร์ ไม้สนสามใบและไม้ประดู่จากเลบานอนให้ข้าพเจ้าด้วย เพราะข้าพเจ้าทราบว่า ข้าราชการของท่านรู้จักการตัดไม้ในเลบานอน และดูเถิด ข้าราชการของข้าพเจ้าจะอยู่กับข้าราชการของท่าน
2พศด 9.10 ยิ่งกว่านั้นอีก ข้าราชการของหุรามและข้าราชการของซาโลมอนผู้นำทองคำมาจากโอฟีร์ ได้นำไม้ประดู่และเพชรพลอยต่างๆมา
2พศด 9.11 แล้วกษัตริย์ทรงใช้ไม้ประดู่ทำขั้นบันไดพระนิเวศของพระเยโฮวาห์และพระราชวัง ทั้งทำพิณเขาคู่ และพิณใหญ่ให้แก่นักร้อง ซึ่งไม่เคยเห็นมีอย่างนั้นแต่ก่อนในแผ่นดินยูดาห์

ไม่เป็นสาระ ( 5 )
อสย 59.4 ไม่มีผู้ใดฟ้องอย่างยุติธรรม ไม่มีผู้ใดขึ้นศาลอย่างสัตย์จริง เขาทั้งหลายวางใจอยู่กับสิ่งที่ไม่เป็นสาระ เขาพูดเท็จ เขาตั้งครรภ์ความชั่วและคลอดความชั่วช้า
มธ 12.36 ฝ่ายเราบอกเจ้าทั้งหลายว่า คำที่ไม่เป็นสาระทุกคำซึ่งมนุษย์พูดนั้น มนุษย์จะต้องให้การสำหรับถ้อยคำเหล่านั้นในวันพิพากษา
รม 1.21 เพราะถึงแม้ว่าเขาทั้งหลายได้รู้จักพระเจ้าแล้ว เขาก็มิได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ให้สมกับที่ทรงเป็นพระเจ้า หรือหาได้ขอบพระคุณไม่ แต่เขากลับคิดในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ และจิตใจโง่เขลาของเขาก็มืดมัวไป
2ทธ 2.23 จงหลีกเลี่ยงจากปัญหาอันโง่เขลาและไม่เป็นสาระ ด้วยรู้แล้วว่าปัญหาเหล่านั้นก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาทกัน
ทต 1.10 เพราะว่ามีคนเป็นอันมากที่ดื้อกระด้าง พูดมากไม่เป็นสาระ และหลอกลวง โดยเฉพาะบรรดาผู้ที่เข้าสุหนัต

ไม้พลอง ( 9 )
ปฐก 38.18 ยูดาห์ถามว่า “เจ้าจะเอาอะไรเป็นของมัดจำ” นางจึงตอบว่า “จะขอแหวนตรากับเชือก ทั้งไม้พลองที่มือท่านด้วย” ยูดาห์ก็ให้ และเข้าไปหานาง นางก็ตั้งครรภ์กับเขา
ปฐก 38.25 เมื่อเขากำลังพานางออกมา นางก็ส่งคนไปหาพ่อสามีบอกว่า “ข้าพเจ้ามีครรภ์กับคนที่เป็นเจ้าของสิ่งนี้” และนางว่า “ขอท่านพิจารณาดูแหวนตรา เชือก และไม้พลองเหล่านี้ว่าเป็นของผู้ใด”
อสย 9.4 เพราะว่าแอกอันเป็นภาระของเขาก็ดี ไม้พลองที่ตีบ่าเขาก็ดี ไม้ตะบองของผู้บีบบังคับเขาก็ดี พระองค์จะทรงหักเสียอย่างในวันของคนมีเดียน
อสย 10.5 โอ ชาวอัสซีเรียเอ๋ย ผู้เป็นตะบองแห่งความกริ้วของเรา และไม้พลองในมือของเขาคือความเกรี้ยวกราดของเรา
อสย 10.15 ขวานจะคุยข่มคนที่ใช้มันสกัดนั้นหรือ หรือเลื่อยจะทะนงตัวเหนือผู้ที่ใช้มันเลื่อยนั้นหรือ เหมือนกับว่าตะบองจะยกผู้ซึ่งถือมันขึ้นตี หรืออย่างไม้พลองจะยกตัวขึ้นเหมือนกับว่ามันไม่ทำด้วยไม้
อสย 10.24 ฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้ว่า “โอ ชนชาติของเราเอ๋ย ผู้อยู่ในศิโยน อย่ากลัวคนอัสซีเรีย เขาจะตีเจ้าด้วยตะบองและจะยกไม้พลองของเขาขึ้นสู้เจ้าอย่างที่ในอียิปต์
อสย 10.26 และพระเยโฮวาห์จอมโยธาจะทรงเหวี่ยงแส้มาสู้เขา ดังที่พระองค์ทรงโจมตีคนมีเดียน ณ ศิลาโอเรบ และไม้พลองของพระองค์ที่เคยอยู่เหนือทะเล พระองค์จะทรงยกขึ้นอย่างที่ในอียิปต์
อสย 14.5 พระเยโฮวาห์ทรงหักไม้พลองของคนชั่ว คทาของผู้ครอบครอง
อสย 28.27 เขาไม่นวดเทียนแดงด้วยเลื่อนนวดข้าว และเขาไม่เอาล้อเกวียนกลิ้งทับยี่หร่า แต่เขาเอาไม้พลองตีเทียนแดงให้หลุดออก และเอาตะบองตียี่หร่า

ไม้เพดาน ( 2 )
1พกษ 6.15 พระองค์ทรงกรุผนังข้างในพระนิเวศด้วยกระดานไม้สนสีดาร์ ตั้งแต่พื้นพระนิเวศจนถึงไม้เพดาน พระองค์ทรงกรุข้างในด้วยไม้ และพระองค์ทรงปูปิดพื้นพระนิเวศด้วยไม้สนสามใบ
1พกษ 6.16 พระองค์ทรงสร้างอีกข้างหนึ่งของพระนิเวศยี่สิบศอกด้วยกระดานไม้สนสีดาร์จากพื้นถึงไม้เพดาน และพระองค์ทรงสร้างห้องนี้ภายใน ให้เป็นห้องหลัง คือที่บริสุทธิ์ที่สุด

ไม้มะกอกเทศ ( 4 )
1พกษ 6.23 ในห้องหลังพระองค์ทรงสร้างเครูบสองรูปด้วยไม้มะกอกเทศ สูงรูปละสิบศอก
1พกษ 6.31 สำหรับทางเข้าสู่ห้องหลัง พระองค์ทรงสร้างประตูด้วยไม้มะกอกเทศ กรอบประตูชิ้นบนและวงกบประตูรวมเข้าเป็นหนึ่งในห้าของขนาดของผนัง
1พกษ 6.32 พระองค์ทรงสร้างบานประตูทั้งสองด้วยไม้มะกอกเทศ แกะรูปเครูบ ต้นอินทผลัม และดอกไม้บาน ทรงบุด้วยทองคำ พระองค์ทรงแผ่ทองคำหุ้มเครูบและห้อมต้นอินทผลัม
1พกษ 6.33 พระองค์ทรงสร้างวงกบประตูทางเข้าห้องโถงด้วยไม้มะกอกเทศ เป็นหนึ่งในสี่ของขนาดของผนัง

ไม้มะเกลือ ( 1 )
อสค 27.15 ชาวเดดานทำการค้าขายกับเจ้า เกาะต่างๆเป็นอันมากเป็นตลาดประจำของเจ้า เขานำงาช้างและไม้มะเกลือมาเป็นค่าของสินค้า

ไม้มะเดื่อ ( 3 )
1พกษ 10.27 และกษัตริย์ทรงกระทำให้เงินนั้นเป็นของสามัญในกรุงเยรูซาเล็มเหมือนก้อนหิน และทรงกระทำให้มีสนสีดาร์มากมายเหมือนไม้มะเดื่อแห่งหุบเขา
2พศด 1.15 และกษัตริย์ทรงกระทำให้เงินและทองคำเป็นของสามัญในกรุงเยรูซาเล็มเหมือนก้อนหิน และทรงกระทำให้มีไม้สนสีดาร์มากมายเหมือนไม้มะเดื่อแห่งหุบเขา
2พศด 9.27 และกษัตริย์ทรงกระทำให้เงินนั้นเป็นของสามัญในกรุงเยรูซาเล็มเหมือนก้อนหิน และกระทำให้มีไม้สนสีดาร์มากมายเหมือนไม้มะเดื่อแห่งหุบเขา

ไม้เรียว ( 24 )
2ซมอ 7.14 เราจะเป็นบิดาของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา ถ้าเขากระทำความชั่วช้า เราจะตีสอนเขาด้วยไม้เรียวของมนุษย์ ด้วยการเฆี่ยนแห่งบุตรทั้งหลายของมนุษย์
1พกษ 12.11 ที่พระราชบิดาของเราวางแอกหนักบนท่านทั้งหลายก็ดีแล้ว เราจะเพิ่มให้แก่แอกของท่านทั้งหลายอีก พระราชบิดาของเราตีสอนท่านทั้งหลายด้วยไม้เรียว แต่เราจะตีสอนท่านทั้งหลายด้วยแส้แมลงป่อง’”
1พกษ 12.14 และตรัสกับเขาทั้งหลายตามคำปรึกษาของพวกคนหนุ่มว่า “พระราชบิดาของเราทำแอกของท่านทั้งหลายให้หนัก แต่เราจะเพิ่มให้แก่แอกของท่านทั้งหลายอีก พระราชบิดาของเราตีสอนท่านทั้งหลายด้วยไม้เรียว แต่เราจะตีสอนท่านทั้งหลายด้วยแส้แมลงป่อง”
2พศด 10.11 ที่พระราชบิดาของเราวางแอกหนักบนท่านทั้งหลายก็ดีแล้ว เราจะเพิ่มแอกให้แก่ท่านทั้งหลายอีก พระราชบิดาของเราตีสอนท่านทั้งหลายด้วยไม้เรียว แต่เราจะตีสอนท่านทั้งหลายด้วยแส้แมลงป่อง’”
2พศด 10.14 และตรัสกับเขาทั้งหลายตามคำแนะนำของพวกคนหนุ่มว่า “พระราชบิดาของเราทำแอกของท่านทั้งหลายให้หนัก แต่เราจะเพิ่มให้แก่แอกนั้น พระราชบิดาของเราตีสอนท่านทั้งหลายด้วยไม้เรียว แต่เราจะตีสอนท่านทั้งหลายด้วยแส้แมลงป่อง”
โยบ 9.34 ขอให้พระองค์ทรงนำไม้เรียวไปจากข้าเสียที และขออย่าให้ความครั่นคร้ามจากพระองค์กระทำให้ข้ากลัวมาก
โยบ 21.9 เรือนของเขาทั้งหลายก็ปลอดภัยปราศจากความกลัว และไม้เรียวของพระเจ้าก็ไม่อยู่บนเขา
สดด 89.32 แล้วเราจะลงโทษการละเมิดของเขาด้วยไม้เรียว และความชั่วช้าของเขาด้วยการเฆี่ยน
สภษ 10.13 ที่ริมฝีปากของผู้ที่มีความเข้าใจจะพบปัญญา แต่ไม้เรียวก็เหมาะสำหรับหลังของผู้ที่ขาดความเข้าใจ
สภษ 13.24 บุคคลที่สงวนไม้เรียวก็เกลียดบุตรชายของตน แต่ผู้ที่รักเขาพยายามตีสอนเขาทันเวลา
สภษ 14.3 ในปากของคนโง่มีไม้เรียวแห่งความโอหัง แต่ริมฝีปากของปราชญ์จะสงวนเขาไว้
สภษ 22.15 ความโง่ถูกผูกมัดอยู่ในใจของเด็ก แต่ไม้เรียวที่ตีสอนก็ขับมันให้ห่างไปจากเขา
สภษ 23.13 อย่ายับยั้งการตีสอนเสียจากเด็ก เพราะถ้าเจ้าตีเขาด้วยไม้เรียว เขาจะไม่ตาย
สภษ 23.14 เจ้าจะตีเขาด้วยไม้เรียว แล้วเจ้าจะช่วยชีวิตของเขาให้รอดจากนรก
สภษ 26.3 แส้สำหรับม้า บังเหียนสำหรับลา และไม้เรียวสำหรับหลังคนโง่
สภษ 29.15 ไม้เรียวและคำตักเตือนให้เกิดปัญญา แต่ถ้าปล่อยเด็กไว้แต่ลำพังจะนำความอับอายมาสู่มารดาของตน
อสย 30.32 และจังหวะไม้เรียวลงโทษทุกจังหวะซึ่งพระเยโฮวาห์โบยลงเหนือเขาจะเข้ากับเสียงรำมะนาและพิณเขาคู่ พระองค์จะทรงต่อสู้เขาด้วยสงครามฟาดฟัน
พคค 3.1 ข้าพเจ้าเป็นคนที่ได้เห็นความทุกข์ใจ โดยไม้เรียวแห่งพระพิโรธของพระองค์
อสค 21.10 ลับให้คมเพื่อจะเข่นฆ่า ขัดมันไว้เพื่อจะให้วาววับ เราจะร่าเริงหรือ ดาบนั้นได้ประมาทไม้เรียวแห่งบุตรชายของเรา เหมือนต้นไม้ทุกอย่าง
อสค 21.13 เพราะมีการทดลอง และอะไรเล่าถ้าดาบได้ดูหมิ่นไม้เรียวนั้น ก็จะไม่มีอีก องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้
กจ 16.22 ประชาชนก็ได้ฮือกันขึ้นต่อสู้เปาโลและสิลาส เจ้าเมืองได้กระชากเสื้อของท่านทั้งสองออก แล้วสั่งให้โบยด้วยไม้เรียว
1คร 4.21 ท่านจะเอาอย่างไร จะให้ข้าพเจ้าถือไม้เรียวมาหาท่าน หรือจะให้ข้าพเจ้ามาด้วยความรักและด้วยใจอ่อนสุภาพ
2คร 11.25 เขาตีข้าพเจ้าด้วยไม้เรียวสามครั้ง เขาเอาก้อนหินขว้างข้าพเจ้าครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าเผชิญภัยเรือแตกสามครั้ง ข้าพเจ้าลอยอยู่ในทะเลคืนหนึ่งกับวันหนึ่ง
วว 11.1 ท่านผู้หนึ่งจึงเอาไม้อ้อท่อนหนึ่งให้ข้าพเจ้ารูปร่างเหมือนไม้เรียว และทูตสวรรค์องค์นั้นยืนอยู่กล่าวว่า “จงลุกขึ้นไปวัดพระวิหารของพระเจ้า และแท่นบูชา และคำนวณคนทั้งหลายซึ่งนมัสการในนั้น

ไม้วงกบ ( 4 )
อพย 12.7 แล้วเอาเลือดทาที่ไม้วงกบประตูทั้งสองข้าง และไม้ข้างบน ณ เรือนที่เขาเลี้ยงกันนั้นด้วย
อพย 12.22 เอาต้นหุสบกำหนึ่งจุ่มลงในเลือดที่อยู่ในอ่าง แล้วป้ายเลือดนั้นไว้ที่ไม้ข้างบน และไม้วงกบประตูทั้งสองข้างด้วยเลือดที่อยู่ในอ่าง อย่าให้ผู้ใดออกไปพ้นประตูบ้านของตนจนถึงรุ่งเช้า
อพย 12.23 เพราะพระเยโฮวาห์จะเสด็จผ่านไปเพื่อจะได้ประหารคนอียิปต์ เมื่อพระองค์ทรงเห็นเลือดที่ไม้ประตูข้างบนและที่ไม้วงกบประตูทั้งสองข้าง พระเยโฮวาห์จะทรงผ่านเว้นประตูนั้น ไม่ทรงยอมให้ผู้สังหารเข้าไปในบ้านท่าน เพื่อจะประหารท่าน
อพย 21.6 ให้นายพาทาสนั้นไปถึงพวกผู้พิพากษา พาเขาไปที่ประตูหรือไม้วงกบประตู แล้วให้นายเจาะหูเขาด้วยเหล็กหมาด เขาก็จะอยู่ปรนนิบัตินายต่อไปจนชีวิตหาไม่

ไม้วัด ( 17 )
อสค 40.3 เมื่อพระองค์ทรงนำข้าพเจ้ามา ณ ที่นั่น ดูเถิด มีชายคนหนึ่ง ปรากฏการณ์ของเขาคล้ายทองสัมฤทธิ์ มีเชือกป่านเส้นหนึ่งและไม้วัดอันหนึ่งอยู่ในมือ และท่านยืนอยู่ที่หอประตู
อสค 40.5 และดูเถิด มีกำแพงล้อมอยู่รอบบริเวณนอกของพระนิเวศ และในมือของชายผู้นั้นมีไม้วัดยาวหกศอก แต่ละศอกยาวเท่ากับศอกคืบ ดังนั้นท่านจึงวัดความหนาของกำแพงได้หนึ่งไม้วัด และความสูงได้หนึ่งไม้วัด
อสค 40.6 แล้วท่านเข้าไปตามหอประตูซึ่งหันหน้าไปทิศตะวันออกขึ้นไปตามบันได และวัดธรณีหอประตูได้ลึกหนึ่งไม้วัดและอีกธรณีหนึ่งได้ลึกหนึ่งไม้วัด
อสค 40.7 และห้องยามยาวหนึ่งไม้วัด และกว้างหนึ่งไม้วัด และที่ว่างระหว่างห้องยามเหล่านั้นยาวห้าศอก และธรณีหอประตูที่อยู่ริมมุขที่หอประตูตอนปลายชั้นในได้หนึ่งไม้วัด
อสค 40.8 แล้วท่านก็วัดมุขของหอประตูตอนปลายชั้นในได้หนึ่งไม้วัด
อสค 41.8 ข้าพเจ้ายังเห็นอีกว่า พระนิเวศนั้นมียกพื้นอยู่โดยรอบ ฐานของห้องระเบียงวัดได้หนึ่งไม้วัดเต็ม ยาวหกศอก
อสค 42.16 ท่านวัดด้านตะวันออกด้วยไม้วัดได้ห้าร้อยศอกตามไม้วัดโดยรอบ
อสค 42.17 แล้วท่านก็หันมาวัดทางด้านเหนือได้ห้าร้อยศอกตามไม้วัดโดยรอบ
อสค 42.18 แล้วท่านก็หันมาวัดด้านใต้ได้ห้าร้อยศอกตามไม้วัด
อสค 42.19 แล้วท่านก็หันมาด้านตะวันตกแล้ววัดได้ห้าร้อยศอกตามไม้วัด
วว 21.15 ทูตสวรรค์องค์ที่พูดกับข้าพเจ้านั้น ถือไม้วัดทองคำเพื่อจะวัดเมือง และวัดประตูและกำแพงของเมืองนั้น

ไม่ว่า ( 109 )
ปฐก 39.10 ต่อมาแม้นางชวนโยเซฟวันแล้ววันเล่า โยเซฟก็ไม่ยอมฟังนาง ไม่ว่าจะนอนกับนางหรืออยู่ด้วยกัน
อพย 10.15 เพราะมันปกคลุมพื้นแผ่นดินจนแลมืดไป มันกินผักในแผ่นดินทุกอย่าง และผลไม้ทุกอย่างซึ่งเหลือจากลูกเห็บทำลาย ไม่มีพืชใบเขียวเหลือเลย ไม่ว่าต้นไม้หรือผักในทุ่ง ทั่วแผ่นดินอียิปต์
อพย 20.10 แต่วันที่เจ็ดนั้นเป็นสะบาโตของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ในวันนั้นอย่ากระทำการงานใดๆ ไม่ว่าเจ้าเอง หรือบุตรชาย บุตรสาวของเจ้า หรือทาสทาสีของเจ้า หรือสัตว์ใช้งานของเจ้า หรือแขกที่อาศัยอยู่ในประตูเมืองของเจ้า
ลนต 7.21 ยิ่งกว่านั้นอีกถ้าผู้ใดแตะต้องสิ่งมลทินใดๆ ไม่ว่าจะเป็นมลทินของคน หรือสัตว์มลทินใดๆ หรือสิ่งมลทินที่น่าสะอิดสะเอียนใดๆ และผู้นั้นมารับประทานเนื้อสัตวบูชาอันเป็นเครื่องสันติบูชาแด่พระเยโฮวาห์ ผู้นั้นจะต้องถูกตัดขาดจากพลไพร่ของตน”
ลนต 7.26 ยิ่งกว่านั้นอีกเจ้าอย่ารับประทานเลือดเลยทีเดียว ไม่ว่าเลือดของสัตว์ปีกหรือเลือดสัตว์ในที่ใดๆที่เจ้าอาศัยอยู่
ลนต 11.32 และเมื่อมันตายตกทับสิ่งใด สิ่งนั้นก็เป็นมลทิน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เป็นไม้ หรือเสื้อผ้า หรือหนังสัตว์ หรือกระสอบ หรือภาชนะใดๆที่ใช้เพื่อประโยชน์อย่างใด จะต้องแช่น้ำ และจะมลทินไปจนถึงเวลาเย็น ต่อไปก็นับว่าสะอาดได้
ลนต 11.35 ถ้าส่วนใดของซากสัตว์ตกใส่สิ่งใดๆ สิ่งนั้นๆก็มลทิน ไม่ว่าเป็นเตาอบหรือเตา ต้องทุบเสีย เป็นมลทิน และเป็นของมลทินแก่เจ้า
ลนต 12.6 และเมื่อวันชำระของนางครบแล้ว ไม่ว่าเป็นกำหนดของบุตรชายหรือบุตรสาว ให้นางไปหาปุโรหิตที่ประตูพลับพลาแห่งชุมนุม นำลูกแกะอายุหนึ่งขวบตัวหนึ่งไปเป็นเครื่องเผาบูชาและนกพิราบหนุ่มตัวหนึ่งหรือนกเขาตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
ลนต 12.7 ให้ปุโรหิตนำถวายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ และทำการลบมลทินให้นาง แล้วนางจะสะอาดในเรื่องโลหิตของนางตก นี่เป็นพระราชบัญญัติกล่าวด้วยเรื่องการคลอดบุตร ไม่ว่าเป็นชายหรือหญิง
ลนต 13.47 เมื่อในเครื่องแต่งกายมีโรคเรื้อน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกายขนสัตว์หรือผ้าป่าน
ลนต 13.51 พอถึงวันที่เจ็ดก็ให้ตรวจดูโรคนั้นอีก ถ้าโรคนั้นลามไปในเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ไม่ว่าที่ด้ายเส้นยืนหรือเส้นพุ่ง เป็นที่หนังสัตว์ หรือสิ่งใดที่ทำด้วยหนังสัตว์ โรคนั้นเป็นโรคเรื้อนอย่างร้าย นับว่าเป็นมลทิน
ลนต 13.52 ให้ปุโรหิตเผาเครื่องแต่งกายนั้นเสีย ไม่ว่าเป็นโรคที่ด้ายเส้นยืนหรือเส้นพุ่ง เป็นที่ผ้าขนสัตว์หรือผ้าป่าน หรือสิ่งใดๆที่ทำด้วยหนังสัตว์ เพราะเป็นโรคเรื้อนที่ร้าย จึงให้เผาเสียในไฟ
ลนต 13.55 เมื่อซักแล้วก็ให้ปุโรหิตตรวจดูตัวที่เป็นโรคนั้นอีก ดูเถิด ถ้าบริเวณที่เป็นโรคไม่เปลี่ยนสี แม้ว่าโรคนั้นไม่ลามไป ก็เป็นมลทิน เจ้าจงเอาใส่ในไฟเผาเสีย ไม่ว่าบริเวณที่เป็นโรคเรื้อนนั้นจะอยู่ข้างในหรือข้างนอก
ลนต 13.57 ถ้าปรากฏขึ้นอีกในเครื่องแต่งกายไม่ว่าที่ด้ายเส้นยืนหรือเส้นพุ่ง หรือในสิ่งใดๆที่ทำด้วยหนังสัตว์ โรคนั้นลามไปแล้ว เจ้าจงเผาสิ่งที่เป็นโรคนั้นด้วยไฟ
ลนต 13.59 นี่เป็นพระราชบัญญัติว่าด้วยโรคเรื้อนในเสื้อที่ทำด้วยขนสัตว์หรือผ้าป่าน ไม่ว่าเป็นที่ด้ายเส้นยืนหรือเส้นพุ่ง หรือเป็นที่สิ่งใดๆที่ทำด้วยหนังสัตว์ เพื่อให้พิจารณาว่าอย่างใดสะอาด อย่างใดเป็นมลทิน
ลนต 15.33 และเกี่ยวกับสตรีที่ป่วยด้วยมลทินของเธอ คือทั้งนี้เกี่ยวกับผู้ที่มีสิ่งไหลออกไม่ว่าชายหรือหญิง และเกี่ยวกับชายผู้สมสู่กับหญิงผู้มีมลทิน
ลนต 17.15 และทุกคนไม่ว่าชาวเมืองหรือคนต่างด้าว ผู้รับประทานสัตว์ที่ตายเองหรือสัตว์ที่ถูกสัตว์อื่นกัดตาย ต้องซักเสื้อผ้าและอาบน้ำ และเป็นมลทินอยู่จนถึงเวลาเย็น แล้วจึงจะสะอาดได้
ลนต 18.9 เจ้าอย่าเปิดกายที่เปลือยเปล่าของพี่สาวหรือน้องสาวของเจ้า คือบุตรสาวของบิดาเจ้า หรือบุตรสาวของมารดาเจ้า ไม่ว่าเธอจะเกิดที่บ้านหรือเกิดต่างแดนก็ตาม
ลนต 18.26 เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจะต้องรักษากฎเกณฑ์ของเราและคำตัดสินของเรา และอย่ากระทำสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดในชาติของเจ้าเองหรือคนต่างด้าวใดๆที่อาศัยอยู่ในหมู่พวกเจ้า
ลนต 21.18 เพราะว่าผู้ใดที่มีตำหนิจะเข้าใกล้ไม่ได้ ไม่ว่าเป็นคนตาบอดหรือเป็นคนง่อย หรือที่หน้ามีแผลเป็น หรือแขนขายาวเกิน
ลนต 22.5 หรือผู้ใดที่แตะต้องสิ่งเลื้อยคลาน ซึ่งกระทำให้เขามลทิน หรือแตะต้องคนซึ่งอาจทำให้เขามลทิน ไม่ว่าจะเป็นมลทินชนิดใด
ลนต 27.28 แต่สิ่งใดที่ถวายแด่พระเยโฮวาห์ เป็นสิ่งที่เขามีอยู่ ไม่ว่าเป็นคนหรือสัตว์ หรือที่นาอันเป็นมรดกตกแก่เขาจะขายหรือไถ่ไม่ได้เลย เพราะสิ่งที่ถวายแล้วเป็นสิ่งบริสุทธิ์ที่สุดแด่พระเยโฮวาห์
กดว 6.3 ก็ให้ผู้นั้นปลีกตัวออกจากเหล้าองุ่นและสุรา เขาต้องไม่ดื่มน้ำส้มที่ได้จากเหล้าองุ่นหรือสุรา ไม่ดื่มน้ำองุ่นหรือรับประทานองุ่น ไม่ว่าสดหรือแห้ง
กดว 9.21 เมื่อเมฆคงอยู่ตั้งแต่เย็นจนเช้า ครั้นเมฆลอยขึ้นในตอนเช้าเขาก็ยกออกเดิน ไม่ว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืนก็ตาม เมื่อเมฆลอยขึ้นเขาก็ยกออกเดิน
กดว 9.22 ไม่ว่าเมฆจะคงอยู่เหนือพลับพลาสองวัน หรือเดือนหนึ่งหรือปีหนึ่ง คนอิสราเอลก็อยู่ในค่ายนานเท่านั้น มิได้ยกออกไป แต่เมื่อเมฆลอยขึ้นเมื่อใด เขาก็ยกออกไปเมื่อนั้น
กดว 15.30 แต่บุคคลที่บังอาจกระทำการใดๆโดยพลการ ไม่ว่าเขาจะเกิดในแผ่นดินนั้นหรือเป็นคนต่างด้าวก็ดี ผู้นั้นเหยียดหยามพระเยโฮวาห์ ผู้นั้นจะต้องถูกตัดขาดจากชนชาติของตน
กดว 18.15 บรรดาเนื้อหนังที่เบิกครรภ์ ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ ซึ่งเขาถวายแด่พระเยโฮวาห์จะเป็นของเจ้า แต่อย่างไรก็ตาม บุตรหัวปีของมนุษย์เจ้าจะต้องไถ่ไว้ เจ้าต้องไถ่ลูกหัวปีของบรรดาสัตว์ทั้งปวงที่มลทินด้วย
กดว 20.19 และคนอิสราเอลพูดกับกษัตริย์แห่งเอโดมว่า “เราจะขึ้นไปตามทางหลวง ถ้าเราดื่มน้ำของท่านไม่ว่าตัวเราหรือสัตว์ เราจะชำระเงินให้ ขอให้เราเดินผ่านไป เราไม่ต้องการอะไรอีก”
กดว 22.18 แต่บาลาอัมได้ตอบคนใช้ของบาลาคว่า “แม้ว่าบาลาคจะให้เงินและทองเต็มบ้านเต็มเรือนของท่านแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะกระทำอะไรนอกเหนือพระบัญชาของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้าไม่ได้ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่
กดว 24.13 ‘แม้ว่าบาลาคจะให้เงินและทองเต็มบ้านเต็มเรือนของเขาแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะกระทำอะไรนอกเหนือพระบัญชาของพระเยโฮวาห์ไม่ได้ ที่จะทำตามใจข้าพเจ้าไม่ว่าดีหรือชั่ว พระเยโฮวาห์ตรัสประการใด ข้าพเจ้าจะพูดอย่างนั้น’
พบญ 5.14 แต่วันที่เจ็ดนั้นเป็นสะบาโตของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ในวันนั้นอย่ากระทำการงานใดๆ ไม่ว่าเจ้าเอง หรือบุตรชาย บุตรสาวของเจ้า หรือทาสทาสีของเจ้า หรือวัวของเจ้า หรือลาของเจ้า หรือสัตว์ใช้งานของเจ้า หรือแขกที่อาศัยอยู่ในประตูเมืองของเจ้า เพื่อทาสทาสีของเจ้าจะได้หยุดพักอย่างเจ้า
พบญ 13.7 เป็นพระบางองค์ของชนชาติทั้งหลายซึ่งอยู่รอบท่าน ไม่ว่าใกล้หรือไกล จากสุดปลายแผ่นดินโลกข้างนี้ถึงที่สุดปลายโลกข้างโน้น
พบญ 15.8 แต่ท่านทั้งหลายจงยื่นมือของท่านอย่างใจกว้างให้เขา และให้เขายืมข้าวของพอแก่ความต้องการของเขา ไม่ว่าเป็นข้าวของสิ่งใดๆ
พบญ 15.10 ท่านจงให้เขา และเมื่อให้เขาแล้วอย่ามีจิตคิดเสียดาย เพราะเหตุนี้พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงอำนวยพระพรแก่ท่านในบรรดากิจการทั้งสิ้นของท่าน ไม่ว่าท่านจะลงมือกระทำสิ่งใด
พบญ 15.12 ถ้าพี่น้องของท่านซึ่งเป็นคนฮีบรูไม่ว่าชายหรือหญิง ที่เขาขายไว้แก่ท่าน จงให้ปรนนิบัติท่านหกปี เมื่อถึงปีที่เจ็ดก็ให้ปล่อยเขาเป็นอิสระพ้นไปจากท่าน
พบญ 18.3 ให้ส่วนต่อไปนี้เป็นส่วนที่ปุโรหิตได้อันตกจากประชาชน คือส่วนที่ได้จากผู้ที่ถวายสัตวบูชา ไม่ว่าจะเป็นวัวผู้หรือแกะ ก็ให้เขามอบเนื้อสันขาหน้า เนื้อแก้มทั้งสองข้าง และเนื้อท้องให้แก่ปุโรหิต
พบญ 19.15 อย่าให้พยานปากเดียวยืนยันกล่าวโทษผู้หนึ่งผู้ใด ไม่ว่าในเรื่องความชั่วช้า หรือในเรื่องความผิดใดๆ ซึ่งเขาได้กระทำผิดไป แต่ต้องมีพยานสองหรือสามปาก คำพยานนั้นจึงจะเป็นที่เชื่อถือได้
พบญ 23.19 ท่านอย่าให้พี่น้องของท่านยืมเงินเพื่อเอาดอกเบี้ย ไม่ว่าดอกเบี้ยเงินกู้ หรือดอกเบี้ยเครื่องบริโภค หรือดอกเบี้ยของสิ่งใดๆที่ให้ยืมเพื่อเอาดอกเบี้ย
พบญ 24.14 ท่านอย่าข่มขี่ลูกจ้างที่เป็นคนยากจนและขัดสน ไม่ว่าเขาจะเป็นพี่น้องของท่าน หรือคนต่างด้าวอยู่ในแผ่นดินภายในประตูเมืองของท่าน
พบญ 29.19 และต่อมาเมื่อคนนั้นได้ยินถ้อยคำแห่งคำสาปแช่งนี้ จะนึกอวยพรตัวเองในใจว่า ‘แม้ข้าจะเดินด้วยความดื้อดึงตามใจของข้า ข้าก็จะเป็นสุข ไม่ว่าจะเอาการเมาเหล้าซ้อนความกระหายน้ำ’
ยชว 1.18 ผู้ใดที่ขัดขืนคำบัญชาของท่าน และไม่เชื่อฟังถ้อยคำของท่าน ไม่ว่าท่านจะบัญชาเขาอย่างไร ผู้นั้นจะต้องถึงตาย ขอเพียงให้เข้มแข็งและกล้าหาญเถิด”
วนฉ 6.4 เขามาตั้งค่ายไว้แล้วทำลายพืชผลแห่งแผ่นดินเสีย ไกลไปถึงเมืองกาซา ไม่ให้มีเครื่องบริโภคเหลือในอิสราเอลเลย ไม่ว่าแกะ หรือวัว หรือลา
นรธ 3.10 ท่านจึงว่า “ลูกสาวเอ๋ย ขอพระเยโฮวาห์ทรงอำนวยพระพรแก่เจ้าเถิด คุณของเจ้าครั้งหลังนี้ก็ใหญ่ยิ่งกว่าครั้งก่อน ด้วยว่าเจ้ามิได้ไปหาคนหนุ่ม ไม่ว่าจนหรือมั่งมี
1ซมอ 14.6 โยนาธานกล่าวกับคนหนุ่มที่ถือเครื่องอาวุธของท่านว่า “มาเถิด ให้เราข้ามไปยังกองทหารรักษาการของคนเหล่านั้นที่มิได้เข้าสุหนัต บางทีพระเยโฮวาห์จะทรงประกอบกิจเพื่อเรา เพราะว่าไม่มีสิ่งใดที่ขัดขวางพระเยโฮวาห์ได้ในการที่พระองค์จะทรงช่วยให้พ้นไม่ว่าโดยคนมากหรือน้อย”
1ซมอ 14.47 เมื่อซาอูลได้รับตำแหน่งกษัตริย์เหนืออิสราเอลนั้น พระองค์ได้ทรงต่อสู้บรรดาศัตรูทุกด้าน ต่อสู้กับโมอับ กับชนอัมโมน กับเอโดม กับบรรดากษัตริย์แห่งโศบาห์ และกับคนฟีลิสเตีย ไม่ว่าพระองค์จะหันไปทางไหน พระองค์ก็ทรงกระทำให้เขาพ่ายแพ้ไป
1ซมอ 18.5 และดาวิดก็ออกไปประพฤติตัวอย่างเฉลียวฉลาดไม่ว่าซาอูลจะใช้เธอไป ณ ที่ใด ดังนั้นซาอูลจึงทรงตั้งเธอให้อยู่เหนือนักรบทั้งหลาย เธอก็เป็นที่ยอมรับในสายตาประชาชน และในสายตาข้าราชการทั้งปวงของซาอูลด้วย
1ซมอ 22.15 แล้วข้าพระองค์ได้ทูลขอพระเจ้าเพื่อเขาจริงหรือ เปล่าเลย ขอกษัตริย์อย่าทรงกล่าวโทษสิ่งใดต่อผู้รับใช้ของพระองค์ หรือวงศ์วานของบิดาของข้าพระองค์ทั้งสิ้น เพราะผู้รับใช้ของพระองค์ไม่ทราบเรื่องนี้เลย ไม่ว่ามากหรือน้อย”
1ซมอ 25.36 และอาบีกายิลก็กลับไปหานาบาล และดูเถิด ท่านกำลังมีการเลี้ยงใหญ่ในบ้านของท่านอย่างการเลี้ยงของกษัตริย์ และจิตใจของนาบาลก็ร่าเริงอยู่ เพราะท่านมึนเมามาก นางจึงมิได้บอกอะไรให้ท่านทราบ ไม่ว่ามากหรือน้อย จนเวลารุ่งเช้า
1ซมอ 28.6 และเมื่อซาอูลทูลถามพระเยโฮวาห์ พระเยโฮวาห์มิได้ทรงตอบพระองค์ ไม่ว่าด้วยความฝัน หรือด้วยอูริม หรือด้วยผู้พยากรณ์
1ซมอ 28.15 แล้วซามูเอลพูดกับซาอูลว่า “ท่านรบกวนเราด้วยเรียกเราขึ้นมาทำไม” ซาอูลทรงตอบว่า “ข้าพเจ้ามีความทุกข์หนัก เพราะคนฟีลิสเตียกำลังมาทำสงครามกับข้าพเจ้า และพระเจ้าทรงหันจากข้าพเจ้าเสียแล้ว มิได้ทรงตอบข้าพเจ้าอีกเลย ไม่ว่าโดยผู้พยากรณ์ หรือโดยความฝัน เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงขอเรียกท่านขึ้นมาเพื่อท่านจะได้แจ้งว่า ข้าพเจ้าจะกระทำประการใดดี”
1ซมอ 30.19 ไม่มีอะไรขาดจากท่านไปเลย ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ บุตรชายหรือบุตรสาว ในสิ่งที่ริบไปหรือสิ่งที่เขาเหล่านั้นเอาไป ดาวิดได้คืนมาหมด
2ซมอ 7.9 เราได้อยู่กับเจ้าไม่ว่าเจ้าไปที่ไหน และได้ขจัดบรรดาศัตรูของเจ้าให้พ้นหน้าเจ้า และเรากระทำให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โต อย่างกับชื่อเสียงของผู้ใหญ่ในโลก
2ซมอ 8.6 แล้วดาวิดทรงตั้งทหารประจำป้อมไว้เหนือคนซีเรียชาวเมืองดามัสกัสหลายกอง และคนซีเรียก็เป็นพลไพร่ของดาวิด และนำเครื่องบรรณาการไปถวาย พระเยโฮวาห์ทรงประทานชัยชนะแก่ดาวิดไม่ว่าจะไปรบ ณ ที่ใดๆ
2ซมอ 8.14 และพระองค์ทรงตั้งทหารประจำป้อมขึ้นเหนือเมืองเอโดม พระองค์ทรงตั้งทหารประจำป้อมในเอโดมทั่วไปหมด และคนเอโดมทั้งสิ้นจึงเป็นพลไพร่ของดาวิด และพระเยโฮวาห์ทรงประทานชัยชนะแก่ดาวิดไม่ว่าจะเสด็จไปรบ ณ ที่ใด
2ซมอ 13.22 แต่อับซาโลมมิได้ตรัสประการใดกับอัมโนนเลยไม่ว่าดีหรือร้าย เพราะอับซาโลมเกลียดชังอัมโนน เหตุที่ท่านได้ข่มขืนทามาร์น้องหญิงของท่าน
1พกษ 2.42 กษัตริย์ก็ทรงใช้ให้เรียกชิเมอีมาเฝ้าและตรัสกับเขาว่า “เราได้ให้ท่านปฏิญาณในพระนามของพระเยโฮวาห์มิใช่หรือ และได้ตักเตือนท่านแล้วว่า ‘ท่านจงรู้เป็นแน่ว่า ในวันที่ท่านออกไป ไม่ว่าไปที่ใดๆ ท่านจะต้องตายแน่’ และท่านก็ได้ตอบเราว่า ‘คำตรัสที่ข้าพระองค์ได้ยินนั้นก็ดีแล้ว’
1พกษ 8.38 ไม่ว่าคำอธิษฐานอย่างใด หรือคำวิงวอนประการใดซึ่งประชาชนคนใด หรืออิสราเอลประชาชนของพระองค์ทั้งสิ้นทูล ต่างก็สำนึกถึงเรื่องภัยพิบัติแห่งจิตใจของเขาเอง และได้กางมือของเขาสู่พระนิเวศนี้
1พกษ 8.46 ถ้าเขาทั้งหลายกระทำบาปต่อพระองค์ (เพราะไม่มีมนุษย์สักคนหนึ่งซึ่งมิได้กระทำบาป) และพระองค์ทรงกริ้วต่อเขา และทรงมอบเขาไว้กับศัตรู เขาจึงถูกจับไปเป็นเชลยยังแผ่นดินของศัตรูนั้น ไม่ว่าไกลหรือใกล้
1พกษ 16.11 และอยู่มาเมื่อพระองค์ทรงเริ่มครองราชย์ ทันทีที่พระองค์เสด็จประทับบนราชบัลลังก์ พระองค์ทรงสังหารราชวงศ์ของบาอาชาเสียสิ้น พระองค์มิได้ทรงเหลือไว้สักคนหนึ่งที่ปัสสาวะรดกำแพงได้ ไม่ว่าจะเป็นญาติหรือมิตรสหายของบาอาชา
1พศด 17.8 และเราได้อยู่กับเจ้าไม่ว่าเจ้าไปที่ไหน และได้ขจัดบรรดาศัตรูของเจ้าให้พ้นหน้าเจ้า และเราได้กระทำให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โตอย่างกับชื่อเสียงของผู้ยิ่งใหญ่ในโลก
1พศด 18.13 และท่านตั้งทหารประจำป้อมในเอโดม และคนเอโดมทั้งสิ้นได้เป็นคนรับใช้ของดาวิด และพระเยโฮวาห์ทรงประทานชัยชนะแก่ดาวิดไม่ว่าพระองค์เสด็จไป ณ ที่ใดๆ
2พศด 6.29 ไม่ว่าคำอธิษฐานอย่างใด หรือคำวิงวอนประการใด ซึ่งประชาชนคนใด หรืออิสราเอลประชาชนของพระองค์ทั้งสิ้นทูล ต่างก็ประจักษ์ในภัยพิบัติและความทุกข์ใจของเขา และได้กางมือของเขาสู่พระนิเวศนี้
2พศด 6.36 ถ้าเขาทั้งหลายกระทำบาปต่อพระองค์ (เพราะไม่มีมนุษย์สักคนหนึ่งซึ่งมิได้กระทำบาป) และพระองค์ทรงกริ้วต่อเขา และพระองค์ทรงมอบเขาไว้ต่อหน้าศัตรู เขาจึงถูกจับไปเป็นเชลยยังแผ่นดินหนึ่งไม่ว่าไกลหรือใกล้
2พศด 9.12 กษัตริย์ซาโลมอนพระราชทานทุกอย่างแก่พระราชินีแห่งเชบาตามที่พระนางทรงมีพระประสงค์ ไม่ว่าพระนางจะทูลขอสิ่งใด นอกเหนือไปจากสิ่งที่พระนางนำมาถวายกษัตริย์ ดังนั้นพระนางก็เสด็จกลับไปยังแผ่นดินของพระนาง พร้อมกับข้าราชการของพระนาง
2พศด 15.13 และว่าผู้ใดที่ไม่แสวงหาพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลควรจะมีโทษถึงตาย ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ชายหรือหญิง
อสร 1.4 และคนใดก็ตามที่เหลืออยู่ ไม่ว่าเขาจะอาศัยอยู่ ณ ที่ใด ขอให้คนซึ่งอยู่ในที่ของเขาช่วยเขาด้วยเงินและด้วยทองคำ ด้วยข้าวของและสัตว์ นอกเหนือจากเครื่องบูชาตามใจสมัครสำหรับพระนิเวศของพระเจ้าซึ่งอยู่ในเยรูซาเล็ม’”
อสธ 1.20 ดังนั้นเมื่อกษัตริย์ทรงประกาศกฤษฎีกา ตลอดพระราชอาณาจักรของพระองค์ (อันกว้างใหญ่อย่างยิ่งนั้น) สตรีทั้งปวงจะต้องให้เกียรติสามีของตน ไม่ว่าสูงหรือต่ำ”
อสธ 8.17 ทุกมณฑลทุกเมือง ไม่ว่าที่ใดที่พระบัญชาของกษัตริย์และกฤษฎีกาของพระองค์มาถึง ก็มีความยินดีและความชื่นบานท่ามกลางพวกยิว มีการเลี้ยงและวันรื่นเริง คนเป็นอันมากมาจากชนชาติของประเทศก็ประกาศตัวเป็นพวกยิว เพราะความกลัวพวกยิวมาครอบงำเขา
โยบ 27.6 ข้ายึดความชอบธรรมของข้าไว้มั่นไม่ยอมปล่อยไป จิตใจของข้าไม่ตำหนิข้า ไม่ว่าวันใดในชีวิตของข้า
โยบ 34.29 เมื่อพระองค์ทรงประทานความสงบให้ ใครจะสร้างความยุ่งยากได้ เมื่อพระองค์ทรงซ่อนพระพักตร์ของพระองค์ ใครจะเห็นพระองค์ได้ ไม่ว่าจะทำแก่ประชาชาติหรือแก่บุคคลก็เหมือนกัน
โยบ 37.13 ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการตีสอน หรือเพื่อแผ่นดินของพระองค์หรือเพื่อความเมตตา พระองค์ทรงกระทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น
โยบ 41.26 ถึงคนใดเอาดาบลองแทงมัน ก็ต่อต้านมันไม่ได้ ไม่ว่าหอก หรือแหลน หรือหอกซัด
สภษ 17.8 ของกำนัลก็เป็นเหมือนเพชรพลอยในสายตาของเจ้าของ ไม่ว่ามันจะหันไปทางไหนก็เจริญรุ่งเรืองทางนั้น
สภษ 29.9 ถ้าปราชญ์มีเรื่องโต้เถียงกับคนโง่ ไม่ว่าเขาดุเดือดหรือหัวเราะ ก็ไม่มีวันสงบลงได้
ปญจ 5.12 การหลับของกรรมกรก็ผาสุก ไม่ว่าเขาจะได้กินน้อยหรือได้กินมาก แต่ความอิ่มท้องของคนมั่งมีก็ไม่ช่วยเขาให้หลับ
ปญจ 8.6 ด้วยว่าไม่ว่าอะไรทั้งนั้นย่อมมีวาระและคำตัดสิน ฉะนั้นความลำบากของมนุษย์จึงเป็นภาระหนักแก่ตัวเขา
ปญจ 12.14 ด้วยว่าพระเจ้าจะทรงเอาการงานทุกประการเข้าสู่การพิพากษา พร้อมด้วยสิ่งเร้นลับทุกอย่าง ไม่ว่าดีหรือชั่ว
อสย 17.8 เขาจะไม่มองแท่นบูชา ผลงานแห่งมือของเขา และเขาจะไม่เอาใจใส่สิ่งที่นิ้วของเขาเองได้กระทำขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเสารูปเคารพ หรือรูปเคารพทั้งหลาย
ยรม 42.6 ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ข้าพเจ้าทั้งหลายจะเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา ผู้ซึ่งข้าพเจ้าทั้งหลายส่งท่านให้ไปหานั้น เพื่อเราจะอยู่เย็นเป็นสุข เมื่อเราเชื่อฟังพระสุรเสียงแห่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา”
ยรม 44.3 เพราะความชั่วซึ่งเขาทั้งหลายได้กระทำได้ยั่วเย้าเราให้มีความโกรธ ด้วยการที่เขาทั้งหลายไปเผาเครื่องหอม และปรนนิบัติพระอื่นซึ่งเขาไม่รู้จัก ไม่ว่าเขาเอง หรือเจ้าทั้งหลาย หรือบรรพบุรุษของเจ้า
ยรม 51.62 และท่านจงกล่าวว่า ‘โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระองค์ได้ตรัสต่อสู้กับสถานที่นี้ว่า จะทรงตัดออกเสีย เพื่อว่าจะไม่มีอะไรเหลืออยู่ในนั้นเลย ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ แต่จะเป็นที่รกร้างเป็นนิตย์’
พคค 3.63 ดูเถิด ไม่ว่าเขาจะนั่งหรือลุก ตัวข้าพระองค์ก็เป็นเนื้อเพลงให้เขาร้องเล่น
อสค 1.12 สิ่งที่มีชีวิตอยู่ทุกตัวบินตรงไปข้างหน้า ไม่ว่าวิญญาณจะไปทางไหน มันก็ไปทางนั้น เมื่อไปก็ไม่หันเลย
อสค 6.13 และเจ้าจะทราบว่าเราคือพระเยโฮวาห์ เมื่อคนที่ถูกฆ่านอนอยู่ท่ามกลางรูปเคารพของเขารอบแท่นบูชาของเขา บนเนินเขาสูงทุกแห่ง บนยอดเขาทั้งสิ้น ที่ใต้ต้นไม้เขียวทุกต้น และใต้ต้นโอ๊กใบดกทุกต้น ไม่ว่าที่ใดๆที่เขาถวายกลิ่นที่พึงใจแก่รูปเคารพทั้งสิ้นของเขา
อสค 16.15 แต่เจ้าวางใจในความงามของเจ้า และได้เล่นชู้เพราะชื่อเสียงของเจ้า ไม่ว่าผู้ใดจะผ่านมา เจ้าก็ให้หลงระเริงไปด้วยการเล่นชู้ของเจ้า
อสค 16.25 หัวถนนทุกแห่งเจ้าสร้างที่สูงของเจ้า และเอาความงามของเจ้ามาทำลามก อ้าเท้าของเจ้าให้ผู้ที่ผ่านไปมาไม่ว่าใคร และทวีการเล่นชู้ของเจ้า
อสค 21.16 รวมกันเข้ามา ไปทางขวาเรียงแถว แล้วไปทางซ้าย ไม่ว่าหน้าของเจ้ามุ่งไปทางไหน
อสค 44.31 ปุโรหิตจะต้องไม่รับประทานสิ่งใดๆ ไม่ว่าจะเป็นนกหรือสัตว์ที่ตายเองหรือถูกฉีกกัดตาย”
ดนล 2.38 และได้ทรงมอบไว้ในหัตถ์พระองค์ท่าน ซึ่งบุตรทั้งหลายของมนุษย์ สัตว์ในทุ่งนาและนกในอากาศ ไม่ว่ามันจะอาศัยอยู่ ณ ที่ใดๆให้แก่พระองค์ กระทำให้พระองค์ปกครองมันได้ทั้งหมด เศียรทองคำนั้นคือพระองค์เอง
ยนา 3.7 พระองค์ทรงออกพระราชกฤษฎีกา ประกาศไปทั่วนครนีนะเวห์ โดยอำนาจกษัตริย์และบรรดาขุนนางทั้งหลายว่า “คนหรือสัตว์ ไม่ว่าฝูงสัตว์ใหญ่หรือฝูงสัตว์เล็ก ห้ามลิ้มรสสิ่งใดๆ อย่าให้กินอาหาร อย่าให้ดื่มน้ำ
ศคย 14.15 และภัยพิบัติอย่างหนึ่งที่เหมือนภัยพิบัติอย่างนี้จะบังเกิดแก่ม้า ล่อ อูฐ ลา และไม่ว่าสัตว์ชนิดใดซึ่งมีอยู่ในเต็นท์เหล่านั้น
มก 6.56 แล้วพระองค์เสด็จไปที่ไหนๆ ไม่ว่าในหมู่บ้าน ในตำบล หรือในเมือง เขาก็เอาคนเจ็บป่วยมาวางตามถนน ทูลอ้อนวอนขอพระองค์โปรดให้คนเจ็บป่วยแตะต้องแต่ชายฉลองพระองค์ และผู้ใดได้แตะต้องพระองค์แล้วก็หายป่วยทุกคน
กจ 9.2 ขอหนังสือไปยังธรรมศาลาในเมืองดามัสกัส เพื่อว่าถ้าพบผู้ใดถือทางนั้นไม่ว่าชายหรือหญิง จะได้จับมัดพามายังกรุงเยรูซาเล็ม
กจ 24.12 เขาไม่ได้เห็นข้าพเจ้าเถียงกันกับผู้หนึ่งผู้ใด หรือยุยงประชาชนให้วุ่นวาย ไม่ว่าในพระวิหาร ในธรรมศาลาหรือในเมือง
รม 2.1 เหตุฉะนั้น โอ มนุษย์เอ๋ย ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร เมื่อท่านกล่าวโทษผู้อื่นนั้น ท่านไม่มีข้อแก้ตัวเลย เพราะเมื่อท่านกล่าวโทษผู้อื่น ท่านก็ได้กล่าวโทษตัวเองด้วย เพราะว่าท่านที่กล่าวโทษเขาก็ยังประพฤติอยู่อย่างเดียวกับเขา
รม 14.8 ถ้าเรามีชีวิตอยู่ก็มีชีวิตอยู่เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และถ้าเราตายก็ตายเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า เหตุฉะนั้นไม่ว่าเรามีชีวิตอยู่หรือตายไปก็ตาม เราก็เป็นคนขององค์พระผู้เป็นเจ้า
2คร 11.21 ข้าพเจ้าต้องพูดด้วยความละอายว่า ดูเหมือนเราอ่อนแอเกินไปในเรื่องนี้ ไม่ว่าใครกล้าอวดในเรื่องใด (ข้าพเจ้าพูดอย่างคนเขลา) ข้าพเจ้าก็กล้าอวดเรื่องนั้นเหมือนกัน
อฟ 6.8 เพราะท่านรู้อยู่แล้วว่าผู้ใดกระทำความดีประการใด ผู้นั้นก็จะได้รับบำเหน็จอย่างนั้นจากองค์พระผู้เป็นเจ้าอีก ไม่ว่าเขาจะเป็นทาสหรือเป็นไทย
ฟป 4.12 ข้าพเจ้ารู้จักที่จะเผชิญกับความตกต่ำ และรู้จักที่จะเผชิญกับความอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าที่ไหนหรือในกรณีใดๆ ข้าพเจ้าได้รับการสั่งสอนให้เผชิญกับความอิ่มท้องและความอดอยาก ทั้งความสมบูรณ์พูนสุขและความขัดสน
คส 1.16 เพราะว่าโดยพระองค์สรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้น ทั้งในท้องฟ้าและที่แผ่นดินโลก สิ่งซึ่งประจักษ์แก่ตาและซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา ไม่ว่าจะเป็นเทวบัลลังก์ หรือเป็นเทพอาณาจักร หรือเป็นเทพผู้ครอง หรือศักดิเทพ สรรพสิ่งทั้งสิ้นถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์และเพื่อพระองค์
คส 1.20 และโดยพระองค์นั้นให้สิ่งสารพัดกลับคืนดีกับพระองค์เอง โดยพระองค์นั้นข้าพเจ้าพูดได้ว่า ไม่ว่าสิ่งนั้นจะอยู่ในแผ่นดินโลกหรือในท้องฟ้า พระองค์ทรงทำให้มีสันติภาพโดยพระโลหิตแห่งกางเขนของพระองค์
คส 3.23 ไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใดก็จงทำด้วยความเต็มใจ เหมือนกระทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เหมือนกระทำแก่มนุษย์
1ธส 2.6 และแม้ในฐานะเป็นอัครสาวกของพระคริสต์ เราจะเรียกร้องให้เป็นภาระก็ได้ แต่เราก็ไม่แสวงหาสง่าราศีจากมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นจากท่านหรือจากคนอื่น
2ธส 2.2 อย่าให้ใจของท่านหวั่นไหวง่าย หรือเป็นทุกข์ร้อนไป ไม่ว่าจะเป็นโดยทางวิญญาณ หรือโดยทางคำพูด หรือโดยทางจดหมายเป็นเชิงว่ามาจากเรา อ้างว่าวันของพระคริสต์มาถึงแล้ว
2ธส 2.15 เหตุฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย จงมั่นคงไว้ และยึดถือโอวาทที่ท่านได้เรียนแล้ว ไม่ว่าจะด้วยคำพูด หรือด้วยจดหมายของเรา
ยก 5.12 พี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้า ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมดก็คือ จงอย่าปฏิญาณ ไม่ว่าจะโดยอ้างฟ้าสวรรค์หรือแผ่นดินโลก และไม่ว่าจะโดยคำปฏิญาณอื่นใดก็ตาม แต่ที่ควรว่าใช่ก็จงว่าใช่ ที่ควรว่าไม่ก็จงว่าไม่ เกรงว่าท่านจะต้องถูกลงโทษ
1ปต 2.13 ท่านทั้งหลายจงยอมฟังการบังคับบัญชาที่มนุษย์ตั้งไว้ทุกอย่าง เพราะเห็นแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าผู้นั้นเป็นกษัตริย์ผู้มีอำนาจยิ่ง
1ยน 4.12 ไม่มีผู้ใดเคยเห็นพระเจ้าไม่ว่าเวลาใด ถ้าเราทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน พระเจ้าก็ทรงสถิตอยู่ในเราทั้งหลาย และความรักของพระองค์ก็สมบูรณ์อยู่ในเรา

ไม้สน ( 1 )
นหม 8.15 และเขาควรจะประกาศและป่าวร้องในหัวเมืองทั้งปวง และในเยรูซาเล็มว่า “จงออกไปที่ภูเขา และนำกิ่งมะกอกเทศ กิ่งไม้สน กิ่งต้นน้ำมันเขียว ใบอินทผลัม และกิ่งไม้ใบดกอื่นๆ เพื่อทำเพิง ดังที่ได้เขียนไว้”

ไม้สนโกเฟอร์ ( 1 )
ปฐก 6.14 เจ้าจงต่อนาวาด้วยไม้สนโกเฟอร์ เจ้าจงทำเป็นห้องๆในนาวา และยาทั้งข้างในข้างนอกด้วยชัน

ไม้สนสามใบ ( 11 )
2ซมอ 6.5 ดาวิดกับวงศ์วานอิสราเอลทั้งสิ้นก็ร่าเริงกันอยู่ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ด้วยใช้เครื่องดนตรีทุกชนิดซึ่งทำด้วยไม้สนสามใบ คือพิณเขาคู่และพิณใหญ่ รำมะนา กรับ และฉาบ
1พกษ 5.8 และฮีรามก็ใช้คนให้มายังซาโลมอนทูลว่า “ข้าพเจ้าได้พิจารณาสิ่งต่างๆซึ่งท่านส่งไปยังข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าพร้อมที่จะกระทำสิ่งสารพัดตามที่ท่านปรารถนาในเรื่องไม้สนสีดาร์ และไม้สนสามใบ
1พกษ 5.10 ฮีรามจึงได้จัดส่งไม้สนสีดาร์และไม้สนสามใบให้แก่ซาโลมอนตามที่พระองค์มีพระประสงค์ทุกประการ
1พกษ 6.15 พระองค์ทรงกรุผนังข้างในพระนิเวศด้วยกระดานไม้สนสีดาร์ ตั้งแต่พื้นพระนิเวศจนถึงไม้เพดาน พระองค์ทรงกรุข้างในด้วยไม้ และพระองค์ทรงปูปิดพื้นพระนิเวศด้วยไม้สนสามใบ
1พกษ 6.34 และประตูสองบานด้วยไม้สนสามใบ บานสองบานของบานประตูหนึ่งหมุนได้ และบานอีกสองบานของบานประตูหนึ่งก็หมุนได้
1พกษ 9.11 (ฮีรามกษัตริย์เมืองไทระได้ส่งไม้สนสีดาร์ ไม้สนสามใบและทองคำให้แก่ซาโลมอนตามที่พระองค์มีพระประสงค์แล้ว) กษัตริย์ซาโลมอนจึงทรงประทานหัวเมืองในแผ่นดินกาลิลีให้แก่ฮีรามยี่สิบหัวเมือง
2พศด 2.8 ขอท่านส่งไม้สนสีดาร์ ไม้สนสามใบและไม้ประดู่จากเลบานอนให้ข้าพเจ้าด้วย เพราะข้าพเจ้าทราบว่า ข้าราชการของท่านรู้จักการตัดไม้ในเลบานอน และดูเถิด ข้าราชการของข้าพเจ้าจะอยู่กับข้าราชการของท่าน
2พศด 3.5 ห้องโถงพระองค์ทรงบุด้วยไม้สนสามใบ และบุด้วยทองคำเนื้อดี และทำต้นอินทผลัมและลูกโซ่ประดับไว้บนนั้น
พซม 1.17 ขื่อเรือนของเราทำด้วยไม้สนสีดาร์ และแปของเรานั้นทำด้วยไม้สนสามใบ
อสค 27.5 กระดานเรือของเจ้าทั้งสิ้นเขาทำด้วยไม้สนสามใบมาจากเสนีร์ เขาเอาไม้สนสีดาร์มาจากเลบานอนทำเป็นเสากระโดงให้เจ้า
นฮม 2.3 โล่ของทหารหาญนั้นสีแดง และทหารของเขาก็แต่งกายสีแดงเข้ม ในวันเตรียมพร้อมรถรบก็จะแวบวาบดังคบเพลิง และไม้สนสามใบก็จะสั่นสะท้านอย่างรุนแรง

ไม้สนสีดาร์ ( 50 )
ลนต 14.4 ก็ให้ปุโรหิตบัญชาเขาให้จัดของสำหรับผู้จะรับการชำระ คือนกสะอาดที่มีชีวิตสองตัว ไม้สนสีดาร์ กับด้ายสีแดง และต้นหุสบ
ลนต 14.6 สำหรับนกตัวที่ยังเป็นอยู่นั้น ให้ปุโรหิตเอานกตัวที่ยังเป็นอยู่กับไม้สนสีดาร์ ด้ายสีแดง ต้นหุสบ จุ่มเข้าไปในเลือดของนกที่ถูกฆ่าข้างบนน้ำไหล
ลนต 14.49 และเพื่อจะชำระเรือนนั้นให้เขานำนกสองตัวกับไม้สนสีดาร์ ด้ายสีแดง และต้นหุสบ
ลนต 14.51 เอาไม้สนสีดาร์ ต้นหุสบและด้ายสีแดง พร้อมกับนกตัวที่ยังมีชีวิตอยู่จุ่มลงในเลือดนกที่ได้ฆ่าและในน้ำที่ไหลนั้น แล้วประพรมเรือนนั้นเจ็ดครั้ง
ลนต 14.52 ดังนี้เขาจะได้ชำระเรือนด้วยเลือดนก ด้วยน้ำไหลและด้วยนกที่มีชีวิต ด้วยไม้สนสีดาร์ ต้นหุสบ และด้ายสีแดง
กดว 19.6 และปุโรหิตจะเอาไม้สนสีดาร์ ไม้หุสบกับด้ายสีแดงโยนเข้าไปในไฟที่เผาวัวตัวเมียนั้น
2ซมอ 5.11 ฮีรามกษัตริย์เมืองไทระได้ส่งผู้สื่อสารมาหาดาวิด และได้ส่งไม้สนสีดาร์ พวกช่างไม้และพวกช่างก่อมาสร้างพระราชวังของดาวิด
2ซมอ 7.2 กษัตริย์ตรัสกับนาธันผู้พยากรณ์ว่า “ดูซิ เราอยู่ในบ้านทำด้วยไม้สนสีดาร์ แต่หีบของพระเจ้าอยู่ในผ้าม่าน”
2ซมอ 7.7 ในที่ต่างๆที่เราได้ดำเนินกับชนชาติอิสราเอลทั้งหมด เราได้เคยพูดสักคำกับตระกูลของอิสราเอลตระกูลใด ผู้ที่เราบัญชาให้เขาเลี้ยงดูอิสราเอลประชาชนของเราหรือว่า “ทำไมเจ้ามิได้สร้างนิเวศด้วยไม้สนสีดาร์ให้แก่เรา”’
1พกษ 5.6 เพราะฉะนั้นบัดนี้ขอท่านสั่งให้ตัดไม้สนสีดาร์แห่งเลบานอนเพื่อข้าพเจ้า และข้าราชการของข้าพเจ้าจะสมทบกับพวกข้าราชการของท่าน ข้าพเจ้าจะมอบเงินค่าจ้างข้าราชการของท่านแก่ท่านตามที่ท่านตั้งไว้ เพราะท่านคงทราบแล้วว่า ท่ามกลางเรานี้ไม่มีผู้ใดรู้จักตัดไม้เหมือนชาวซีโดน”
1พกษ 5.8 และฮีรามก็ใช้คนให้มายังซาโลมอนทูลว่า “ข้าพเจ้าได้พิจารณาสิ่งต่างๆซึ่งท่านส่งไปยังข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าพร้อมที่จะกระทำสิ่งสารพัดตามที่ท่านปรารถนาในเรื่องไม้สนสีดาร์ และไม้สนสามใบ
1พกษ 5.10 ฮีรามจึงได้จัดส่งไม้สนสีดาร์และไม้สนสามใบให้แก่ซาโลมอนตามที่พระองค์มีพระประสงค์ทุกประการ
1พกษ 6.9 พระองค์ทรงสร้างพระนิเวศดังนี้และทรงให้สำเร็จ และพระองค์ทรงสร้างเพดานของพระนิเวศ มีไม้คร่าวและกระดานเป็นไม้สนสีดาร์
1พกษ 6.10 พระองค์ทรงสร้างห้องรอบพระนิเวศสูงห้าศอก และติดกับตัวพระนิเวศด้วยกระดานไม้สนสีดาร์
1พกษ 6.15 พระองค์ทรงกรุผนังข้างในพระนิเวศด้วยกระดานไม้สนสีดาร์ ตั้งแต่พื้นพระนิเวศจนถึงไม้เพดาน พระองค์ทรงกรุข้างในด้วยไม้ และพระองค์ทรงปูปิดพื้นพระนิเวศด้วยไม้สนสามใบ
1พกษ 6.16 พระองค์ทรงสร้างอีกข้างหนึ่งของพระนิเวศยี่สิบศอกด้วยกระดานไม้สนสีดาร์จากพื้นถึงไม้เพดาน และพระองค์ทรงสร้างห้องนี้ภายใน ให้เป็นห้องหลัง คือที่บริสุทธิ์ที่สุด
1พกษ 6.18 มีไม้สนสีดาร์ที่อยู่ข้างในพระนิเวศแกะเป็นรูปดอกตูมและดอกไม้บาน เป็นไม้สนสีดาร์ทั้งสิ้น ในที่นั่นแลไม่เห็นหินเลย
1พกษ 6.20 ส่วนข้างในห้องหลังนั้นยาวยี่สิบศอก กว้างยี่สิบศอก และสูงยี่สิบศอก และพระองค์ทรงบุด้วยทองคำบริสุทธิ์ พระองค์ทรงกรุแท่นบูชาด้วยไม้สนสีดาร์ด้วย
1พกษ 6.36 พระองค์ทรงสร้างลานภายในด้วยกำแพงหินสกัดสามชั้น และด้วยไม้สนสีดาร์ชั้นหนึ่ง
1พกษ 7.2 พระองค์ทรงสร้างพระตำหนักพนาเลบานอน ยาวหนึ่งร้อยศอก กว้างห้าสิบศอกและสูงสามสิบศอก อยู่บนเสาไม้สนสีดาร์สี่แถว มีคานไม้สนสีดาร์อยู่บนเสา
1พกษ 7.3 ชั้นบนมุงด้วยไม้สนสีดาร์บนห้อง ซึ่งอยู่บนเสาสี่สิบห้าห้อง แถวละสิบห้าห้อง
1พกษ 7.7 และพระองค์ทรงสร้างท้องพระโรงพระที่นั่ง เป็นที่ซึ่งพระองค์ทรงให้คำพิพากษา คือท้องพระโรงพินิศจัย ก็ทำทั้งห้องสำเร็จด้วยไม้สนสีดาร์ด้วย
1พกษ 7.11 ข้างบนก็เป็นหินมีค่า สกัดออกมาตามขนาด และไม้สนสีดาร์
1พกษ 7.12 กำแพงลานใหญ่มีหินสกัดสามชั้นโดยรอบ และไม้สนสีดาร์ชั้นหนึ่ง ลานชั้นในของพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ก็มีเหมือนกัน ทั้งมุขพระนิเวศด้วย
1พกษ 9.11 (ฮีรามกษัตริย์เมืองไทระได้ส่งไม้สนสีดาร์ ไม้สนสามใบและทองคำให้แก่ซาโลมอนตามที่พระองค์มีพระประสงค์แล้ว) กษัตริย์ซาโลมอนจึงทรงประทานหัวเมืองในแผ่นดินกาลิลีให้แก่ฮีรามยี่สิบหัวเมือง
1พศด 14.1 ฮีรามกษัตริย์เมืองไทระได้ทรงส่งผู้สื่อสารมาเฝ้าดาวิด และทรงส่งไม้สนสีดาร์ ทั้งช่างก่อและช่างไม้เพื่อจะสร้างวังถวายพระองค์
1พศด 17.1 อยู่มาเมื่อดาวิดประทับในพระราชวังของพระองค์ ดาวิดตรัสกับนาธันผู้พยากรณ์ว่า “ดูเถิด เราอยู่ในบ้านทำด้วยไม้สนสีดาร์ แต่หีบพันธสัญญาแห่งพระเยโฮวาห์อยู่ภายใต้ม่าน”
1พศด 17.6 ในที่ต่างๆที่เราเคลื่อนไปมากับอิสราเอลทั้งหมด เราได้เคยพูดสักคำกับผู้วินิจฉัยของอิสราเอลคนใด ผู้ที่เราได้บัญชาให้เขาเลี้ยงดูประชาชนของเราหรือว่า “ทำไมเจ้ามิได้สร้างนิเวศด้วยไม้สนสีดาร์ให้แก่เรา”’
1พศด 22.4 และไม้สนสีดาร์นับไม่ถ้วน เพราะว่าชาวไซดอน และชาวไทระ ได้นำไม้สนสีดาร์จำนวนมากมายมาถวายดาวิด
2พศด 1.15 และกษัตริย์ทรงกระทำให้เงินและทองคำเป็นของสามัญในกรุงเยรูซาเล็มเหมือนก้อนหิน และทรงกระทำให้มีไม้สนสีดาร์มากมายเหมือนไม้มะเดื่อแห่งหุบเขา
2พศด 2.3 และซาโลมอนทรงส่งราชสารไปยังหุรามกษัตริย์เมืองไทระว่า “ท่านได้กระทำกิจกับดาวิดราชบิดาของข้าพเจ้า คือ ได้ส่งไม้สนสีดาร์ให้พระองค์ท่าน เพื่อสร้างวังให้พระองค์ท่านอาศัยอย่างไร ขอท่านได้กระทำแก่ข้าพเจ้าอย่างนั้น
2พศด 2.8 ขอท่านส่งไม้สนสีดาร์ ไม้สนสามใบและไม้ประดู่จากเลบานอนให้ข้าพเจ้าด้วย เพราะข้าพเจ้าทราบว่า ข้าราชการของท่านรู้จักการตัดไม้ในเลบานอน และดูเถิด ข้าราชการของข้าพเจ้าจะอยู่กับข้าราชการของท่าน
2พศด 9.27 และกษัตริย์ทรงกระทำให้เงินนั้นเป็นของสามัญในกรุงเยรูซาเล็มเหมือนก้อนหิน และกระทำให้มีไม้สนสีดาร์มากมายเหมือนไม้มะเดื่อแห่งหุบเขา
อสร 3.7 เขาทั้งหลายจึงให้เงินแก่ช่างสกัดหิน และช่างไม้ และมอบอาหาร เครื่องดื่มและน้ำมันแก่คนไซดอนและคนไทระ เพื่อให้นำไม้สนสีดาร์มาจากเลบานอนไปถึงทะเลถึงเมืองยัฟฟา ตามที่เขาได้รับอนุญาตมาจากไซรัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย
โยบ 40.17 มันขยับหางของมันให้แข็งเหมือนไม้สนสีดาร์ เอ็นโคนขาของมันก็สานเข้าด้วยกัน
สดด 148.9 บรรดาภูเขาและเนินเขาทั้งปวง ต้นไม้มีผลและไม้สนสีดาร์ทั้งปวง
พซม 1.17 ขื่อเรือนของเราทำด้วยไม้สนสีดาร์ และแปของเรานั้นทำด้วยไม้สนสามใบ
พซม 5.15 ขาของเขาดุจเสาหินอ่อนตั้งบนฐานเสียบทองคำเนื้อดี สีหน้าของเขาดุจเลบานอนประเสริฐอย่างไม้สนสีดาร์
พซม 8.9 ถ้าหากน้องสาวนั้นเป็นกำแพง พวกเราก็จะสร้างปราสาทเงินไว้หลังหนึ่ง และถ้าหากน้องเป็นประตู พวกเราจะโอบล้อมเธอด้วยแผ่นไม้สนสีดาร์
ยรม 22.14 ผู้กล่าวว่า ‘เราจะสร้างวังใหญ่อยู่เอง กับมีห้องชั้นบนกว้างขวาง และเจาะหน้าต่างให้ห้องนั้น และบุฝาผนังด้วยไม้สนสีดาร์และทาด้วยสีแดงเข้ม’
ยรม 22.15 เจ้าคิดว่าเจ้าจะครองราชสมบัติ เพราะเจ้าแข่งไม้สนสีดาร์กันหรือ ราชบิดาของเจ้ามิได้กินและดื่ม และกระทำความยุติธรรมและความเที่ยงธรรมดอกหรือ ฝ่ายราชบิดาก็อยู่เย็นเป็นสุข
ยรม 22.23 โอ ชาวเมืองเลบานอนเอ๋ย ที่สร้างรังอยู่ท่ามกลางไม้สนสีดาร์ เจ้าจะได้รับความกรุณาสักเท่าใดเมื่อความเจ็บปวดมาเหนือเจ้า อย่างความเจ็บปวดของหญิงที่คลอดบุตร”
อสค 27.5 กระดานเรือของเจ้าทั้งสิ้นเขาทำด้วยไม้สนสามใบมาจากเสนีร์ เขาเอาไม้สนสีดาร์มาจากเลบานอนทำเป็นเสากระโดงให้เจ้า
อสค 31.3 ดูเถิด คนอัสซีเรียเปรียบได้กับไม้สนสีดาร์ในเลบานอน มีกิ่งงามและมีใบร่มและสูงมาก ยอดอยู่ที่ท่ามกลางกิ่งไม้หนาทึบ
ศฟย 2.14 ฝูงสัตว์ทั้งหลายจะนอนอยู่ท่ามกลางที่นั้น สัตว์ป่าในประชาชาติทั้งสิ้น ทั้งนกกระทุงและอีกาบ้านจะอาศัยอยู่ที่หัวเสาทั้งหลายของเมืองนั้น เสียงของพวกมันจะร้องอยู่ที่หน้าต่าง ความรกร้างจะอยู่ที่ธรณีประตู เพราะพระองค์จะทรงกระทำให้งานที่ทำด้วยไม้สนสีดาร์เปิดโล่งออก
ศคย 11.1 โอ เลบานอนเอ๋ย จงเปิดบรรดาประตูของเจ้า เพื่อไฟจะได้เผาผลาญไม้สนสีดาร์ของเจ้าเสีย
ศคย 11.2 ต้นสนสามใบเอ๋ย จงร่ำไห้เถิด เพราะไม้สนสีดาร์ล้มเสียแล้ว เพราะบรรดาไม้ที่สง่างามพินาศลงไปแล้ว โอ ต้นโอ๊กเมืองบาชานเอ๋ย จงร่ำไห้เถิด เพราะป่าทึบถูกโค่นเสียแล้ว

ไม้สีเสียด ( 1 )
พซม 5.1 น้องสาวของฉันจ๊ะ เจ้าสาวของฉันจ๋า ฉันเข้ามาในสวนของฉันแล้วนะ ฉันมาเก็บเอามดยอบของฉันพร้อมกับไม้สีเสียดของฉันแล้ว ฉันรับประทานรวงผึ้งกับน้ำผึ้งของฉันแล้ว ฉันดื่มน้ำองุ่นกับน้ำนมของฉันแล้ว โอ สหายทั้งหลาย จงรับประทานและจงดื่มเถิด โอ ท่านผู้เป็นที่รักเอ๋ย จงดื่มให้อิ่มหนำเถิด

ไม้เสา ( 2 )
กดว 3.36 งานที่กำหนดให้แก่ลูกหลานเมรารีคืองานดูแลไม้กรอบพลับพลา ไม้กลอน ไม้เสา ฐานรองและเครื่องประกอบสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ทั้งงานสารพัดที่เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้
กดว 4.31 และต่อไปนี้เป็นสิ่งที่กำหนดให้เขาขน งานทั้งหมดของเขาในการปรนนิบัติพลับพลาแห่งชุมนุม คือไม้กรอบพลับพลา ไม้กลอน ไม้เสาและฐานรอง

ไม้เสียบ ( 1 )
พคค 4.8 บัดนี้ผิวพรรณของเขาก็ดำยิ่งกว่าถ่านหิน ใครๆตามถนนก็จำเขาไม่ได้ หนังของเขาเหี่ยวหุ้มกระดูกและซูบราวกับไม้เสียบ

ไม้เสี้ยม ( 1 )
พบญ 23.13 และท่านต้องมีไม้เสี้ยมรวมไว้กับเครื่องอาวุธ และเมื่อท่านนั่งลงในที่ข้างนอกนั้น ท่านจงใช้ไม้ขุดหลุมไว้ และหันไปกลบสิ่งปฏิกูลของท่านเสีย

ไม้หุสบ ( 2 )
กดว 19.6 และปุโรหิตจะเอาไม้สนสีดาร์ ไม้หุสบกับด้ายสีแดงโยนเข้าไปในไฟที่เผาวัวตัวเมียนั้น
ยน 19.29 มีภาชนะใส่น้ำองุ่นเปรี้ยววางอยู่ที่นั่น เขาจึงเอาฟองน้ำ ชุบน้ำองุ่นเปรี้ยวใส่ปลายไม้หุสบชูขึ้นให้ถึงพระโอษฐ์ของพระองค์

ไม้อ้อ ( 9 )
1พกษ 14.15 เพราะพระเยโฮวาห์จะทรงตีอิสราเอล ดุจไม้อ้อสั่นอยู่ในน้ำ และจะทรงถอนรากอิสราเอลออกเสียจากแผ่นดินอันดีนี้ ซึ่งพระองค์ทรงยกให้แก่บรรพบุรุษของเขา และกระจายเขาไปฟากแม่น้ำข้างโน้น เพราะเขาทั้งหลายได้สร้างเสารูปเคารพของเขา เป็นเหตุให้พระเยโฮวาห์ทรงพระพิโรธ
อสย 42.3 ไม้อ้อช้ำแล้วท่านจะไม่หัก และไส้ตะเกียงที่ลุกริบหรี่อยู่ท่านจะไม่ดับ ท่านจะส่งความยุติธรรมออกไปด้วยความจริง
มธ 12.20 ไม้อ้อช้ำแล้วท่านจะไม่หัก ไส้ตะเกียงเป็นควันแล้วท่านจะไม่ดับ กว่าท่านจะทำให้การพิพากษามีชัยชนะ
มธ 27.29 เมื่อพวกเขาเอาหนามสานเป็นมงกุฎ เขาก็สวมพระเศียรของพระองค์ แล้วเอาไม้อ้อให้ถือไว้ในพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ และเขาได้คุกเข่าลงต่อพระพักตร์พระองค์ เยาะเย้ยพระองค์ว่า “กษัตริย์ของพวกยิวเจ้าข้า ขอทรงพระเจริญ”
มธ 27.30 แล้วเขาก็ถ่มน้ำลายรดพระองค์ และเอาไม้อ้อนั้นตีพระเศียรพระองค์
มธ 27.48 ในทันใดนั้น คนหนึ่งในพวกเขาวิ่งไปเอาฟองน้ำชุบน้ำองุ่นเปรี้ยวเสียบปลายไม้อ้อ ส่งให้พระองค์เสวย
มก 15.19 แล้วเขาได้เอาไม้อ้อตีพระเศียรพระองค์ และได้ถ่มน้ำลายรดพระองค์ แล้วคุกเข่าลงนมัสการพระองค์
มก 15.36 มีคนหนึ่งวิ่งไปเอาฟองน้ำชุบน้ำองุ่นเปรี้ยว เสียบปลายไม้อ้อ ส่งให้พระองค์เสวย แล้วว่า “อย่าเพิ่ง ให้เราคอยดูว่า เอลียาห์จะมาปลดเขาลงหรือไม่”
วว 11.1 ท่านผู้หนึ่งจึงเอาไม้อ้อท่อนหนึ่งให้ข้าพเจ้ารูปร่างเหมือนไม้เรียว และทูตสวรรค์องค์นั้นยืนอยู่กล่าวว่า “จงลุกขึ้นไปวัดพระวิหารของพระเจ้า และแท่นบูชา และคำนวณคนทั้งหลายซึ่งนมัสการในนั้น

ไม้โอ๊ก ( 1 )
อสค 27.6 เอาไม้โอ๊กแห่งเมืองบาชานมาทำเป็นกรรเชียงของเจ้า หมู่คนอาเชอร์ทำแท่นฝังด้วยงาช้างซึ่งมาจากเกาะคิทธิม

 

พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ KJV / Thai Bible King James Version

© 2003 Philip Pope