กลับหน้าแรกพระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับคิงเจมส์

 

มาระโก 4

[1] [2] [3] [4] [5] [6] [7] [8] [9] [10] [11] [12] [13] [14] [15] [16]

คำอุปมาเกี่ยวกับผู้หว่านพืช (มธ 13:1-23; ลก 8:4-15)
4:1 และพระองค์ทรงตั้งต้นสั่งสอนที่ชายทะเลอีก และประชาชนเป็นอันมากพากันมาหาพระองค์ ดังนั้นพระองค์จึงได้เสด็จลงไปในเรือลำหนึ่ง และประทับนั่งในทะเล และประชาชนทั้งหมดนั้นอยู่ริมทะเลบนบก
4:2 และพระองค์ได้ตรัสสั่งสอนพวกเขาหลายประการเป็นคำอุปมา และตรัสแก่พวกเขาในหลักคำสอนของพระองค์ว่า
4:3 “จงฟัง ดูเถิด ผู้หว่านคนหนึ่งออกไปเพื่อหว่าน
4:4 และต่อมาขณะที่เขาหว่าน เมล็ดพืชก็ตกตามหนทางบ้าง และพวกนกแห่งฟ้าอากาศก็มากินเมล็ดพืชนั้นเสีย
4:5 และบ้างก็ตกบนดินที่มีหินเยอะ ซึ่งเป็นที่ ๆ เมล็ดพืชนั้นมีเนื้อดินไม่มาก และมันงอกขึ้นทันที เพราะมันมีดินไม่ลึก
4:6 แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว เมล็ดพืชนั้นก็ถูกแผดเผา และเพราะเหตุมันไม่มีราก มันจึงเหี่ยวไป
4:7 และบ้างก็ตกท่ามกลางต้นหนามทั้งหลาย และต้นหนามเหล่านั้นก็งอกขึ้น และปกคลุมเมล็ดพืชนั้นเสีย และมันจึงไม่เกิดผล
4:8 และเมล็ดพืชอื่น ๆ ก็ตกบนดินดี และเกิดผลที่งอกขึ้นและจำเริญขึ้น และออกผล สามสิบเท่าบ้าง และหกสิบเท่าบ้าง และหนึ่งร้อยเท่าบ้าง”
4:9 และพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ผู้ที่มีหูที่จะฟัง จงให้ผู้นั้นฟังเถิด”
4:10 และเมื่อพระองค์ทรงอยู่ตามลำพัง คนเหล่านั้นที่อยู่รอบพระองค์พร้อมกับสาวกสิบสองคนนั้น ได้ทูลถามพระองค์เรื่องคำอุปมานั้น
4:11 และพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ข้อความลึกลับแห่งอาณาจักรของพระเจ้าโปรดให้ท่านทั้งหลายทราบได้ แต่สำหรับคนเหล่านั้นที่อยู่ภายนอกนั้น สิ่งสารพัดเหล่านี้จะแจ้งให้เป็นคำอุปมาทั้งหลาย
4:12 เพื่อว่าพวกเขาจะเห็นได้ และไม่รับรู้ และพวกเขาจะได้ยิน และไม่เข้าใจ เกรงว่าในเวลาใดพวกเขาจะกลับใจเสียใหม่ และบาปทั้งหลายของพวกเขาจะถูกยกโทษให้พวกเขา”

พระเยซูทรงอธิบายคำอุปมานั้น (มธ 13:18-23; ลก 8:11-15)
4:13 และพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ท่านทั้งหลายยังไม่ทราบคำอุปมานี้หรือ และท่านทั้งหลายจึงจะทราบคำอุปมาทั้งปวงอย่างไรได้
4:14 ผู้หว่านนั้นหว่านพระวจนะ
4:15 และนี่เป็นคนเหล่านั้นซึ่งอยู่ริมหนทาง อันเป็นที่ซึ่งพระวจนะนั้นถูกหว่าน แต่เมื่อพวกเขาได้ยินแล้ว ซาตานก็มาทันที และเอาพระวจนะนั้นซึ่งถูกหว่านในใจของพวกเขาไปเสีย
4:16 และนี่เป็นคนเหล่านั้นซึ่งถูกหว่านบนที่ต่าง ๆ ที่มีหินเยอะเช่นกัน ผู้ซึ่ง เมื่อพวกเขาได้ยินพระวจนะนั้นแล้ว ก็รับพระวจนะนั้นทันทีด้วยความปีติยินดี
4:17 และไม่มีรากในตัวพวกเขาเอง และจึงทนอยู่เพียงชั่วคราว ภายหลังเมื่อเกิดความทุกข์ลำบากหรือการข่มเหงเพราะเห็นแก่พระวจนะนั้น พวกเขาก็สะดุดทันที
4:18 และนี่เป็นคนเหล่านั้นซึ่งถูกหว่านในท่ามกลางต้นหนามทั้งหลาย ซึ่งได้ยินพระวจนะนั้น
4:19 และความกังวลทั้งหลายแห่งโลกนี้ และการล่อลวงแห่งบรรดาทรัพย์สมบัติ และบรรดาความโลภในสิ่งอื่น ๆ ที่เข้ามา ก็รัดพระวจนะนั้นเสีย และพระวจนะนั้นก็กลายเป็นที่ไร้ผล
4:20 และนี่เป็นคนเหล่านั้นซึ่งถูกหว่านบนดินดี ซึ่งได้ยินพระวจนะ และรับพระวจนะนั้นไว้ และออกผล สามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง และหนึ่งร้อยเท่าบ้าง”

เทียนที่จุดแล้วต้องตั้งไว้ให้ส่องแสง (มธ 5:15-16; ลก 8:16; 11:33)
4:21 และพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เทียนถูกเอามาเพื่อวางไว้ใต้ถัง หรือใต้เตียงนอนหรือ และมิใช่เพื่อตั้งไว้บนเชิงเทียนหรือ
4:22 เพราะว่าไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนไว้ซึ่งจะไม่ปรากฏแจ้ง และไม่มีสิ่งใดที่ถูกเก็บเป็นความลับ แต่เพื่อสิ่งนั้นจะแพร่งพรายไป
4:23 ถ้าผู้ใดมีหูที่จะฟัง จงให้ผู้นั้นฟังเถิด”
4:24 และพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “จงระวังสิ่งที่พวกท่านได้ยินให้ดี พวกท่านจะตวงด้วยทะนานอันใด จะทรงตวงด้วยทะนานอันนั้นให้แก่พวกท่าน และจะทรงให้เพิ่มเติมแก่พวกท่านที่ได้ยิน
4:25 ด้วยว่าผู้ที่มีอยู่แล้ว จะทรงเพิ่มเติมให้คนนั้นอีก แต่ผู้ที่ไม่มี แม้ว่าซึ่งเขามีอยู่ก็จะทรงเอาไปเสียจากเขา”

อาณาจักรที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
4:26 และพระองค์ตรัสว่า “อาณาจักรของพระเจ้าก็เป็นเช่นนั้น ราวกับว่าชายคนหนึ่งหว่านเมล็ดพืชลงในดิน
4:27 และจะหลับไป และตื่นขึ้นตอนกลางคืนและกลางวัน และเมล็ดพืชนั้นจะงอกขึ้นและจำเริญขึ้น ชายคนนั้นไม่ทราบว่าทำได้อย่างไร
4:28 ด้วยว่าแผ่นดินเองทำให้ผลงอกขึ้น ตอนแรกเป็นลำต้น แล้วก็ออกรวง หลังจากนั้นก็มีธัญพืชเต็มรวง
4:29 แต่เมื่อผลนั้นสุกแล้ว ในทันใดนั้นเขาก็เอาเคียวเกี่ยวทีเดียว เพราะว่าถึงฤดูเกี่ยวแล้ว”

คำอุปมาเกี่ยวกับเมล็ดมัสตาร์ด (มธ 13:31-32; ลก 13:18-19)
4:30 และพระองค์ตรัสว่า “พวกเราจะเปรียบเทียบอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนสิ่งใด หรือพวกเราจะเปรียบเทียบอาณาจักรนั้นกับคำเปรียบใด
4:31 อาณาจักรของพระเจ้าก็เปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ดเมล็ดหนึ่ง ซึ่งเมื่อเมล็ดนั้นถูกหว่านในดิน ก็เล็กกว่าเมล็ดทั้งปวงที่อยู่ในแผ่นดิน
4:32 แต่เมื่อเมล็ดนั้นถูกหว่านแล้ว เมล็ดนั้นก็งอกขึ้น และเริ่มมีขนาดใหญ่โตกว่าบรรดาผักทั้งหลาย และแตกบรรดากิ่งก้านใหญ่ จนพวกนกแห่งฟ้าอากาศสามารถมาอาศัยอยู่ใต้ร่มของมันได้”
4:33 และด้วยคำอุปมาต่าง ๆ เช่นนี้พระองค์ได้ตรัสพระวจนะแก่พวกเขา ตามที่พวกเขาสามารถฟังได้
4:34 แต่นอกจากคำอุปมา พระองค์มิได้ตรัสกับพวกเขาเลย และเมื่อพระองค์กับพวกเขาอยู่ตามลำพัง พระองค์จึงทรงอธิบายสิ่งสารพัดนั้นอย่างละเอียดแก่พวกสาวกของพระองค์

พายุใหญ่ในทะเลกาลิลีสงบลง (มธ 8:23-27; ลก 8:22-25)
4:35 และวันนั้นเอง เมื่อมาถึงเวลาเย็น พระองค์ได้ตรัสกับพวกเขาว่า “ให้พวกเราข้ามไปฝั่งฟากข้างโน้นเถิด”
4:36 และเมื่อพระองค์กับพวกเขาได้ส่งประชาชนให้กลับไปแล้ว พวกเขาจึงเชิญพระองค์เสด็จไปในเรือที่พระองค์ประทับอยู่นั้น และมีเรือเล็กลำอื่นอีกหลายลำอยู่กับพระองค์ด้วย
4:37 และเกิดลมพายุใหญ่ และคลื่นก็ซัดเข้าไปในเรือ จนบัดนี้เรือนั้นเต็มอยู่แล้ว
4:38 และพระองค์ประทับอยู่ในท้ายเรือ บรรทมหนุนหมอนหลับอยู่ และพวกสาวกจึงมาปลุกพระองค์ และทูลพระองค์ว่า “อาจารย์เจ้าข้า ท่านไม่ทรงเป็นห่วงหรือว่า พวกเรากำลังจะพินาศแล้ว”
4:39 และพระองค์ทรงลุกขึ้น และห้ามลม และตรัสแก่ทะเลว่า “จงสงบเงียบซิ” และลมก็หยุด และมีความสงบเงียบใหญ่ยิ่ง
4:40 และพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ทำไมท่านทั้งหลายจึงหวาดกลัวขนาดนี้ เป็นอย่างไรหนอที่พวกท่านไม่มีความเชื่อ”
4:41 และพวกเขาก็เกรงกลัวยิ่งนัก และกล่าวแก่กันและกันว่า “ท่านผู้นี้เป็นคนลักษณะใดกันหนอ จนแม้แต่ลมและทะเลก็เชื่อฟังท่าน”

 

พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับคิงเจมส์ / Thai Bible King James Version

© 2006 Philip Pope