กลับหน้าแรกพระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับคิงเจมส์

 

ลูกา 9

[1] [2] [3] [4] [5] [6] [7] [8] [9] [10] [11] [12] [13] [14] [15] [16] [17] [18] [19] [20] [21] [22] [23] [24]

อัครทูตสิบสองคนถูกส่งออกไปประกาศ (มธ 10:1-42; มก 6:7-13)
9:1 แล้วพระองค์ทรงเรียกสาวกสิบสองคนของพระองค์มาพร้อมกัน และประทานให้พวกเขามีฤทธิ์เดชและสิทธิอำนาจเหนือบรรดาผีทั้งหลายและเพื่อรักษาโรคต่าง ๆ ให้หาย
9:2 และพระองค์ทรงส่งพวกเขาไปประกาศอาณาจักรของพระเจ้า และเพื่อรักษาคนเจ็บป่วยให้หาย
9:3 และพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “อย่าเอาอะไรไปสำหรับการเดินทางของพวกท่าน ทั้งบรรดาไม้ตะบอง หรือย่าม หรืออาหาร หรือเงิน หรือมีเสื้อคลุมคนละสองตัว
9:4 และบ้านใดก็ตามที่พวกท่านเข้าไป จงอาศัยในบ้านนั้น และไปจากที่นั่น
9:5 และผู้ใดก็ตามที่จะไม่ต้อนรับพวกท่าน เมื่อพวกท่านออกไปจากนครนั้น จงสะบัดผงคลีนั้นเองออกเสียจากใต้ฝ่าเท้าของพวกท่านเพื่อเป็นพยานต่อพวกเขา”
9:6 และพวกสาวกก็ออกไป และผ่านเข้าในเมืองต่าง ๆ โดยประกาศข่าวประเสริฐ และทำการรักษาให้หายทุกแห่งหน

ความตายของยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา (มธ 14:1-12; มก 6:14-29)
9:7 บัดนี้เฮโรดเจ้าเมืองได้ยินเรื่องสิ่งสารพัดที่พระองค์ได้ทรงกระทำนั้น และท่านก็สับสนงุนงง เพราะบางคนกล่าวว่า ยอห์นได้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว
9:8 และบางคนว่า เอลียาห์มาปรากฏแล้ว และคนอื่น ๆ ว่า คนหนึ่งในพวกศาสดาพยากรณ์โบราณได้เป็นขึ้นมาอีก
9:9 และเฮโรดกล่าวว่า “ยอห์นนั้นเราได้ตัดศีรษะแล้ว แต่คนนี้เป็นผู้ใดเล่า ผู้ซึ่งเราได้ยินถึงบรรดาเหตุการณ์เช่นนี้” และเฮโรดปรารถนาที่จะเห็นพระองค์

ทรงเลี้ยงอาหารคนห้าพันคน (มธ 14:13-21; มก 6:30-44; ยน 6:1-4)
9:10 และพวกอัครทูต เมื่อพวกเขากลับมาแล้ว ได้ทูลพระองค์ถึงสิ่งสารพัดที่พวกเขาได้กระทำนั้น และพระองค์ทรงพาพวกเขาไป และเสด็จเข้าไปในถิ่นทุรกันดารแต่ลำพัง ในที่ซึ่งเป็นของนครที่ถูกเรียกว่า เบธไซดา
9:11 และประชาชน เมื่อพวกเขาทราบเรื่องนี้แล้ว ก็ตามพระองค์ไป และพระองค์ทรงต้อนรับพวกเขา และตรัสแก่พวกเขาถึงอาณาจักรของพระเจ้า และทรงรักษาคนทั้งหลายที่ต้องการการรักษาให้หาย
9:12 และเมื่อวันนั้นล่วงไปมากแล้ว สิบสองคนจึงมา และทูลพระองค์ว่า “ขอทรงส่งประชาชนไปเสียเถิด เพื่อพวกเขาจะได้เข้าไปในเมืองต่าง ๆ และแถบชนบทที่อยู่โดยรอบ และพักอาศัย และได้อาหาร เพราะพวกเราอยู่ที่นี่ในถิ่นทุรกันดาร”
9:13 แต่พระองค์ตรัสแก่พวกสาวกว่า “พวกท่านจงเลี้ยงพวกเขาเถิด” และพวกเขาทูลว่า “พวกเรามีแต่ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวเท่านั้น นอกจากพวกเราจะไปและซื้ออาหารสำหรับประชาชนทุกคนนี้”
9:14 เพราะว่าคนเหล่านั้นมีผู้ชายได้ประมาณห้าพันคน และพระองค์ตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า “จงจัดพวกเขาให้นั่งลงเป็นหมู่ ๆ หมู่ละห้าสิบคน”
9:15 และพวกเขาก็กระทำตาม และจัดพวกเขาทุกคนให้นั่งลง
9:16 แล้วพระองค์ทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวนั้น และทรงเงยขึ้นดูฟ้าสวรรค์ พระองค์ทรงอวยพรอาหารเหล่านั้น และหักพวกมัน และส่งให้แก่พวกสาวก ให้พวกเขาวางตรงหน้าประชาชน
9:17 และเขาทั้งหลายได้รับประทาน และอิ่มทุกคน และพวกเขาเก็บเศษอาหารที่ยังเหลืออยู่นั้นได้สิบสองกระบุง

การยอมรับอันยิ่งใหญ่ของเปโตร (มธ 16:13-20; มก 8:27-30)
9:18 และต่อมา ขณะที่พระองค์ทรงกำลังอธิษฐานอยู่แต่ลำพัง พวกสาวกของพระองค์ก็อยู่กับพระองค์ และพระองค์ทรงถามพวกเขา โดยตรัสว่า “ประชาชนพูดกันว่า เราคือผู้ใด”
9:19 พวกเขาทูลตอบว่า “เป็นยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา แต่บางคนว่า เป็นเอลียาห์ และคนอื่น ๆ ว่า คนหนึ่งในพวกศาสดาพยากรณ์โบราณได้เป็นขึ้นมาอีก”
9:20 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “แต่พวกท่านว่าเราเป็นผู้ใด” เปโตรทูลตอบว่า “เป็นพระคริสต์ของพระเจ้า”
9:21 และพระองค์ทรงกำชับพวกเขาอย่างแข็งขัน และสั่งพวกเขาว่าไม่ให้บอกเรื่องนี้แก่ผู้ใดเลย

พระคริสต์ทรงพยากรณ์ถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ สิ่งที่สาวกต้องสละ
9:22 โดยตรัสว่า “บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายประการ และถูกปฏิเสธโดยพวกผู้อาวุโส และพวกปุโรหิตใหญ่ และพวกธรรมาจารย์ และจะถูกประหารชีวิต แต่จะทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาในวันที่สาม”
9:23 และพระองค์ตรัสแก่พวกเขาทุกคนว่า “ถ้าผู้ใดปรารถนาจะตามเรามา ให้ผู้นั้นปฏิเสธตัวเอง และรับกางเขนของตนทุกวัน และตามเรามา
9:24 เพราะว่าผู้ใดก็ตามที่ปรารถนาจะเอาชีวิตของตนรอด จะเสียชีวิตนั้น แต่ผู้ใดก็ตามที่ปรารถนาจะเสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เรา ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด
9:25 เพราะผู้ใดจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าเขาได้โลกทั้งสิ้น แต่ต้องสูญเสียตัวของตนเอง หรือถูกทิ้งเสีย
9:26 เพราะผู้ใดก็ตามที่จะมีความละอายเพราะเรา และเพราะบรรดาถ้อยคำของเรา บุตรมนุษย์ก็จะมีความละอายเพราะผู้นั้น เมื่อพระองค์จะเสด็จมาในสง่าราศีของพระองค์เอง และของพระบิดาของพระองค์ และของเหล่าทูตสวรรค์ที่บริสุทธิ์
9:27 แต่เรากล่าวความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า มีบางคนที่ยืนอยู่ที่นี่ ซึ่งจะไม่ลิ้มรสแห่งความตาย จนกว่าพวกเขาได้เห็นอาณาจักรของพระเจ้า”

การจำแลงพระกายของพระคริสต์ (มธ 17:1-8; มก 9:2-8)
9:28 และต่อมาประมาณแปดวันหลังจากบรรดาถ้อยคำเหล่านี้ พระองค์ทรงพาเปโตร และยอห์น และยากอบ และทรงขึ้นไปบนภูเขาลูกหนึ่งเพื่อจะอธิษฐาน
9:29 และขณะที่พระองค์ทรงอธิษฐานอยู่ วรรณพระพักตร์พระองค์ก็ถูกเปลี่ยนไป และเสื้อผ้าของพระองค์เป็นสีขาวและเปล่งประกาย
9:30 และดูเถิด มีชายสองคนเฝ้าสนทนากับพระองค์ ซึ่งก็คือโมเสส และเอลียาห์
9:31 ผู้ซึ่งมาปรากฏในสง่าราศี และกล่าวถึงการจากไปของพระองค์ ซึ่งพระองค์จะทำให้สำเร็จที่กรุงเยรูซาเล็ม
9:32 แต่เปโตรกับคนทั้งสองที่อยู่กับเขาก็ง่วงเหงาหาวนอน และเมื่อพวกเขาตื่นแล้ว พวกเขาก็ได้เห็นสง่าราศีของพระองค์ และชายสองคนนั้นที่ยืนอยู่กับพระองค์
9:33 และต่อมาขณะที่สองคนนั้นกำลังลาจากพระองค์ เปโตรจึงทูลพระเยซูว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ซึ่งพวกข้าพระองค์อยู่ที่นี่ก็ดี และให้พวกข้าพระองค์ทำพลับพลาสามหลัง สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง และสำหรับโมเสสหลังหนึ่ง และสำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง” โดยไม่ทราบว่าเขาพูดอะไร
9:34 ขณะที่เขากำลังพูดอย่างนั้น มีเมฆก้อนหนึ่งมา และปกคลุมพวกเขาไว้ และพวกเขากลัวขณะที่พวกเขาเข้าไปอยู่ในเมฆนั้น
9:35 และมีพระสุรเสียงหนึ่งออกมาจากเมฆนั้น โดยตรัสว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา จงฟังท่านเถิด”
9:36 และเมื่อพระสุรเสียงนั้นผ่านไปแล้ว พระเยซูทรงถูกพบอยู่เพียงลำพัง และเขาทั้งสามก็เก็บเรื่องนี้ไว้ และไม่ได้บอกผู้ใดในวันเหล่านั้นถึงบรรดาสิ่งเหล่านั้นซึ่งพวกเขาได้เห็นแล้ว

สาวกเก้าคนขาดฤทธิ์อำนาจ พระเยซูทรงขับผีออก (มธ 17:14-21; มก 9:14-29)
9:37 และต่อมาในวันถัดไปเมื่อพระองค์กับพวกสาวกลงมาจากภูเขาแล้ว คนมากมายมาพบพระองค์
9:38 และดูเถิด ชายคนหนึ่งในหมู่ประชาชนนั้นร้องออก โดยทูลว่า “อาจารย์เจ้าข้า ข้าพระองค์ขออ้อนวอนพระองค์ ขอโปรดทอดพระเนตรบุตรชายของข้าพระองค์ เพราะว่าเขาเป็นบุตรคนเดียวของข้าพระองค์
9:39 และดูเถิด มีผีตนหนึ่งเข้าสิงเขา และเขาก็ร้องขึ้นทันที และผีทำให้เขาชักกระตุก จนเขามีน้ำลายฟูมปากอีก และทำให้ตัวเขาฟกช้ำ แทบจะไม่ออกไปจากเขาเลย
9:40 และข้าพระองค์ได้อ้อนวอนพวกสาวกของพระองค์ให้ขับผีนั้นออกเสีย และพวกเขาทำไม่ได้”
9:41 และพระเยซูตรัสตอบว่า “โอ คนชั่วอายุที่ขาดความเชื่อและมีทิฐิชั่ว เราจะต้องอยู่กับท่านทั้งหลายและอดทนกับท่านทั้งหลายนานเท่าใด จงพาบุตรชายของท่านมาที่นี่เถิด”
9:42 และขณะที่เด็กคนนั้นกำลังมา ผีก็ทำให้เขาล้มลง และทำให้เขาชักด้วยอาการกระตุก และพระเยซูตรัสห้ามผีโสโครกนั้น และทรงรักษาเด็กคนนั้นให้หาย และส่งเขาคืนให้บิดาของเขาอีก
9:43 และพวกเขาทุกคนก็ประหลาดใจเพราะฤทธิ์เดชอันใหญ่ยิ่งของพระเจ้า แต่ขณะที่พวกเขาทุกคนยังพิศวงอยู่เพราะสิ่งสารพัดซึ่งพระเยซูได้ทรงกระทำนั้น พระองค์ตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า

พระคริสต์ทรงพยากรณ์ถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์อีก (มธ 17:22-23; มก 9:30-32)
9:44 “จงให้บรรดาถ้อยคำเหล่านี้เข้าไปในหูของพวกท่าน เพราะว่าบุตรมนุษย์จะถูกมอบไว้ในมือของคนทั้งหลาย”
9:45 แต่พวกเขาไม่เข้าใจถ้อยคำนี้ และความหมายของถ้อยคำนี้ก็ถูกซ่อนไว้จากพวกเขา เพื่อพวกเขาจะไม่รับรู้ความหมายนั้น และพวกเขากลัวที่จะทูลถามพระองค์ถึงถ้อยคำนั้น

เด็กเล็กเป็นแบบอย่าง (มธ 18:1-5; มก 9:33-37)
9:46 แล้วเกิดการยกเหตุผลในท่ามกลางพวกสาวกว่า คนไหนในพวกเขาจะเป็นใหญ่ที่สุด
9:47 และพระเยซู โดยทรงรับรู้ความคิดในใจของพวกเขา ทรงอุ้มเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งมา และวางเขาไว้ข้างพระองค์
9:48 และตรัสกับพวกเขาว่า “ผู้ใดก็ตามที่จะรับเด็กเล็ก ๆ คนนี้ในนามของเรา ก็รับเรา และผู้ใดก็ตามที่จะรับเรา ก็รับพระองค์ผู้ได้ทรงส่งเรามา ด้วยว่าผู้ใดเป็นผู้ต่ำต้อยที่สุดในท่ามกลางพวกท่านทุกคน ผู้นั้นก็จะเป็นใหญ่”
9:49 และยอห์นตอบและทูลว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์ได้เห็นคนหนึ่งขับพวกผีออกในพระนามของพระองค์ และพวกข้าพระองค์ได้ห้ามเขา เพราะเขาไม่ตามมากับพวกเรา”
9:50 และพระเยซูตรัสแก่เขาว่า “อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าผู้ใดที่ไม่เป็นฝ่ายต่อสู้พวกเรา ก็เป็นฝ่ายพวกเราแล้ว”

จากแคว้นกาลิลีผ่านเข้าแคว้นสะมาเรีย
9:51 และต่อมาเมื่อถึงเวลาที่พระองค์จะทรงถูกรับขึ้นไป พระองค์ทรงตั้งพระพักตร์ของพระองค์อย่างแน่วแน่ที่จะไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
9:52 และทรงส่งพวกผู้สื่อสารล่วงหน้าไปก่อนพระพักตร์พระองค์ และพวกเขาก็ไป และเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของชาวสะมาเรีย เพื่อจะจัดเตรียมไว้สำหรับพระองค์
9:53 และชาวบ้านนั้นไม่รับรองพระองค์ เพราะพระพักตร์พระองค์ดูเหมือนว่าพระองค์ประสงค์จะไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
9:54 และเมื่อพวกสาวกของพระองค์ คือยากอบและยอห์นได้เห็นสิ่งนี้ พวกเขาก็ทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์พอพระทัยจะให้พวกข้าพระองค์สั่งให้ไฟลงมาจากฟ้าสวรรค์ และเผาผลาญพวกเขาเสีย เหมือนอย่างที่เอลียาห์ได้กระทำนั้นไหม”
9:55 แต่พระองค์ทรงเหลียวมาและตำหนิพวกเขา และตรัสว่า “พวกท่านไม่ทราบว่าพวกท่านมีจิตวิญญาณทำนองใด
9:56 เพราะว่าบุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อจะทำลายชีวิตของมนุษย์ทั้งหลาย แต่เพื่อจะช่วยเขาทั้งหลายให้รอด” และพระองค์กับพวกสาวกก็ไปยังหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง

ทรงลองใจผู้ติดตามพระองค์ไป (มธ 8:19-22)
9:57 และต่อมาขณะที่พระองค์กับพวกสาวกกำลังไปตามทาง ชายคนหนึ่งทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์จะตามพระองค์ไปไม่ว่าพระองค์ไปทางไหน”
9:58 และพระเยซูตรัสกับเขาว่า “บรรดาสุนัขจิ้งจอกมีโพรงทั้งหลาย และนกเหล่านั้นแห่งฟ้าอากาศมีรังทั้งหลาย แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่ที่จะวางศีรษะของตน”
9:59 และพระองค์ตรัสกับอีกคนหนึ่งว่า “จงตามเรามาเถิด” แต่คนนั้นทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอโปรดอนุญาตให้ข้าพระองค์ไป และฝังบิดาของข้าพระองค์ก่อน”
9:60 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ให้คนตายฝังคนตายของพวกเขาเองเถิด แต่ท่านจงไปและประกาศอาณาจักรของพระเจ้า”
9:61 และอีกคนหนึ่งทูลด้วยว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์จะตามพระองค์ไป แต่ขออนุญาตให้ข้าพระองค์ไปลาพวกเขาก่อน ผู้ซึ่งอยู่ที่บ้านของข้าพระองค์”
9:62 และพระเยซูตรัสกับเขาว่า “ไม่มีผู้ใด เมื่อเอามือของตนจับคันไถแล้วและหันหน้ากลับเสีย เหมาะสมสำหรับอาณาจักรของพระเจ้า”

 

พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับคิงเจมส์ / Thai Bible King James Version

© 2006 Philip Pope