กลับหน้าแรกพระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับคิงเจมส์

 

ยอห์น 12

[1] [2] [3] [4] [5] [6] [7] [8] [9] [10] [11] [12] [13] [14] [15] [16] [17] [18] [19] [20] [21]

ทรงพระกระยาหารเย็นที่บ้านเบธานี (มธ 26:6-13; มก 14:3-9; ลก 7:37-38)
12:1 จากนั้นหกวันก่อนเทศกาลปัสกา พระเยซูเสด็จมายังหมู่บ้านเบธานี ที่ซึ่งลาซารัสซึ่งเคยตายนั้นอยู่ ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงให้เป็นขึ้นมาจากตายแล้ว
12:2 ที่นั่นเขาทั้งหลายได้จัดอาหารเย็นแก่พระองค์ และมารธาก็ปรนนิบัติอยู่ แต่ลาซารัสก็เป็นคนหนึ่งในพวกเขาที่เอนกายลงที่โต๊ะกับพระองค์
12:3 แล้วมารีย์จึงเอาน้ำมันหอมนาระดาบริสุทธิ์หนักประมาณครึ่งกิโลกรัม มีราคาแพงมาก และชโลมพระบาทของพระเยซู และเช็ดพระบาทของพระองค์ด้วยผมของเธอ และบ้านก็อบอวลไปด้วยกลิ่นของน้ำมันนั้น
12:4 แล้วคนหนึ่งในพวกสาวกของพระองค์ คือยูดาสอิสคาริโอท บุตรชายของซีโมน ผู้ซึ่งจะทรยศพระองค์ กล่าวว่า
12:5 “ทำไมไม่เอาน้ำมันหอมนี้ไปขายเป็นเงินสามร้อยเดนาริอัน และแจกให้แก่คนยากจนเล่า”
12:6 เขากล่าวอย่างนี้ มิใช่เพราะเขาเอาใจใส่คนยากจน แต่เพราะเขาเป็นขโมย และมีย่ามนั้น และได้ถือสิ่งที่ถูกใส่ไว้ในย่ามนั้น
12:7 แล้วพระเยซูจึงตรัสว่า “ปล่อยเธอไปเถิด เธอรักษาสิ่งนี้ไว้เพื่อแสดงถึงวันแห่งการฝังศพของเรา
12:8 เพราะว่าท่านทั้งหลายมีคนยากจนอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอ แต่ท่านทั้งหลายไม่มีเราเสมอไป”
12:9 ฉะนั้นหลายคนในพวกยิวจึงทราบว่าพระองค์ประทับอยู่ที่นั่น และพวกเขามา ไม่ใช่เพราะเห็นแก่พระเยซูเท่านั้น แต่เพื่อพวกเขาจะได้เห็นลาซารัสด้วย ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงให้เป็นขึ้นมาจากตาย
12:10 แต่พวกปุโรหิตใหญ่ได้ปรึกษากันว่าพวกเขาอาจจะฆ่าลาซารัสเสียด้วย
12:11 ด้วยว่าเพราะเหตุลาซารัส หลายคนในพวกยิวได้ออกไป และเชื่อในพระเยซู

การเสด็จเข้ามาอย่างผู้มีชัย (มธ 21:4-9; มก 11:7-10; ลก 19:35-38)
12:12 วันต่อมาคนเป็นอันมากที่ได้มายังเทศกาลเลี้ยงนั้น เมื่อพวกเขาได้ยินว่า พระเยซูกำลังเสด็จมายังกรุงเยรูซาเล็ม
12:13 ได้ถือใบทั้งหลายของบรรดาต้นอินทผลัม และออกไปเพื่อต้อนรับพระองค์ และร้องว่า “โฮซันนา ขอให้พระมหากษัตริย์แห่งอิสราเอล ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงรับพระพร”
12:14 และพระเยซู เมื่อพระองค์ได้ทรงพบลูกลาตัวหนึ่ง จึงทรงนั่งบนลูกลานั้น ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า
12:15 ‘อย่ากลัวเลย ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย ดูเถิด กษัตริย์ของเธอกำลังเสด็จมา โดยทรงนั่งบนลูกลาตัวหนึ่ง’
12:16 ทีแรกพวกสาวกของพระองค์ไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ แต่เมื่อพระเยซูทรงรับสง่าราศีแล้ว พวกเขาก็ระลึกได้ว่า สิ่งเหล่านี้ได้ถูกเขียนไว้เกี่ยวกับพระองค์ และว่าคนทั้งหลายได้กระทำสิ่งเหล่านี้ถวายพระองค์
12:17 เหตุฉะนั้นประชาชนที่ได้อยู่กับพระองค์ เมื่อพระองค์ได้ทรงเรียกลาซารัสให้ออกมาจากอุโมงค์ฝังศพของเขา และทรงให้เขาเป็นขึ้นมาจากความตาย จึงเป็นพยานในสิ่งเหล่านี้
12:18 เพราะเหตุนี้ประชาชนจึงมาพบพระองค์ด้วย เพราะพวกเขาได้ยินว่าพระองค์ได้ทรงกระทำการอัศจรรย์นี้
12:19 ฉะนั้นพวกฟาริสีจึงกล่าวในท่ามกลางพวกเขาเองว่า “พวกท่านรับรู้ไหมว่า พวกท่านไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้นมาเลย ดูเถิด โลกตามเขาไปแล้ว”

พวกกรีกใคร่จะเห็นพระเยซู
12:20 และมีพวกกรีกบางคนในท่ามกลางคนเหล่านั้นที่ขึ้นมาเพื่อนมัสการที่เทศกาลเลี้ยงนี้
12:21 ฉะนั้นพวกเดียวกันนั้นจึงมาหาฟีลิป ซึ่งมาจากหมู่บ้านเบธไซดาแห่งแคว้นกาลิลี และอ้อนวอนท่านว่า “ท่านเจ้าข้า พวกข้าพเจ้าอยากเห็นพระเยซู”
12:22 ฟีลิปมาและบอกอันดรูว์ และอันดรูว์กับฟีลิปไปทูลพระเยซูอีกที

พระเจ้าตรัสตอบจากฟ้าสวรรค์ พระเยซูทรงประกาศ
12:23 และพระเยซูทรงตอบพวกเขา โดยตรัสว่า “ถึงเวลาแล้วที่บุตรมนุษย์จะได้รับสง่าราศี
12:24 แท้จริงแล้วเรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าเมล็ดข้าวสาลีเมล็ดหนึ่งไม่ตกลงไปในดินและตายไป มันก็จะอยู่เป็นเมล็ดเดียว แต่ถ้าเมล็ดข้าวสาลีนั้นตาย มันก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก
12:25 ผู้ใดที่รักชีวิตของตนจะเสียชีวิตนั้น และผู้ที่ชังชีวิตของตนในโลกนี้ ก็จะรักษาชีวิตนั้นไว้ถึงชีวิตนิรันดร์
12:26 ถ้าผู้ใดรับใช้เรา ให้ผู้นั้นตามเรามา และเราอยู่ที่ไหน ผู้รับใช้ของเราก็จะอยู่ที่นั่นด้วย ถ้าผู้ใดรับใช้เรา พระบิดาของเราก็จะทรงให้เกียรติผู้นั้น
12:27 บัดนี้จิตใจของเราเป็นทุกข์ และเราจะกล่าวว่าอะไรดี ‘ข้าแต่พระบิดา ขอโปรดช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากเวลานี้’ อย่างนั้นหรือ แต่เพราะความประสงค์นี้เองเราจึงได้มาถึงเวลานี้
12:28 ข้าแต่พระบิดา ขอให้พระนามของพระองค์ได้รับสง่าราศี” แล้วมีพระสุรเสียงมาจากฟ้าสวรรค์ โดยตรัสว่า “เราได้ให้นามนั้นรับสง่าราศีแล้ว และจะให้นามนั้นรับสง่าราศีอีก”
12:29 ฉะนั้นประชาชนที่ยืนอยู่ที่นั่น และได้ยินเสียงนั้น จึงกล่าวว่าเป็นฟ้าร้อง คนอื่น ๆ กล่าวว่า “ทูตสวรรค์องค์หนึ่งได้กล่าวกับพระองค์”
12:30 พระเยซูทรงตอบและตรัสว่า “เสียงนี้ไม่ได้มาเพราะเหตุเรา แต่เพื่อเห็นแก่ท่านทั้งหลาย
12:31 บัดนี้เป็นเวลาแห่งการพิพากษาโลกนี้ บัดนี้ผู้ครองแห่งโลกนี้จะถูกโยนทิ้งออกไปเสีย
12:32 และเรา ถ้าเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว ก็จะชักชวนทุกคนให้มาหาเรา”
12:33 พระองค์ตรัสเช่นนี้เพื่อสำแดงว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์อย่างไร
12:34 ประชาชนได้ตอบพระองค์ว่า “พวกเราได้ยินจากพระราชบัญญัติว่า พระคริสต์จะอยู่เป็นนิตย์ และท่านกล่าวได้อย่างไรว่า ‘บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้น’ ผู้ใดเล่าเป็นบุตรมนุษย์นี้”
12:35 แล้วพระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า “อีกหน่อยหนึ่งความสว่างนั้นจะอยู่กับท่านทั้งหลาย จงเดินไปเถิด ขณะที่ความสว่างนั้นยังอยู่กับพวกท่าน เกรงว่าความมืดจะตามมาทันพวกท่าน ด้วยว่าผู้ที่เดินอยู่ในความมืดก็ไม่รู้ว่าตนไปทางไหน
12:36 ขณะที่ท่านทั้งหลายมีความสว่าง จงเชื่อในความสว่างนั้น เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นบรรดาลูกแห่งความสว่าง” พระเยซูตรัสสิ่งเหล่านี้ และเสด็จจากไป และได้ซ่อนพระองค์เองให้พ้นจากพวกเขา
12:37 แต่ถึงแม้ว่าพระองค์ได้ทรงกระทำการอัศจรรย์หลายประการต่อหน้าเขาทั้งหลาย เขาทั้งหลายก็ยังไม่เชื่อในพระองค์
12:38 เพื่อถ้อยคำของอิสยาห์ศาสดาพยากรณ์จะถูกทำให้สำเร็จจริง ซึ่งท่านได้กล่าวว่า ‘พระองค์เจ้าข้า ใครเล่าได้เชื่อรายงานของเราทั้งหลาย และพระกรขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ถูกสำแดงแก่ผู้ใด’
12:39 ฉะนั้นพวกเขาจึงเชื่อไม่ได้ เพราะอิสยาห์ได้กล่าวอีกว่า
12:40 ‘พระองค์ได้ทรงปิดตาของพวกเขา และทำใจของพวกเขาให้แข็งกระด้างไป เพื่อพวกเขาจะได้มองไม่เห็นด้วยตาของพวกเขา หรือเข้าใจด้วยใจของพวกเขา และหันกลับมา และเราจะรักษาพวกเขาให้หาย’
12:41 อิสยาห์ได้กล่าวสิ่งเหล่านี้ เมื่อท่านได้เห็นสง่าราศีของพระองค์ และได้กล่าวถึงพระองค์
12:42 แต่อย่างไรก็ตาม ในท่ามกลางพวกขุนนางก็มีหลายคนเชื่อในพระองค์ด้วย แต่เพราะเหตุพวกฟาริสี พวกเขาจึงไม่กล่าวยอมรับพระองค์ เกรงว่าพวกเขาจะถูกไล่ออกจากธรรมศาลา
12:43 เพราะว่าเขาทั้งหลายรักการสรรเสริญของมนุษย์มากกว่าการสรรเสริญของพระเจ้า
12:44 พระเยซูทรงร้องและตรัสว่า “ผู้ที่เชื่อในเรานั้น ไม่ได้เชื่อในเรา แต่เชื่อในพระองค์ผู้ได้ทรงส่งเรามา
12:45 และผู้ที่เห็นเราก็เห็นพระองค์ผู้ได้ทรงส่งเรามา
12:46 เราเข้ามาเป็นความสว่างในโลกแล้ว เพื่อผู้ใดก็ตามที่เชื่อในเราจะมิได้อาศัยอยู่ในความมืด
12:47 และถ้าผู้ใดได้ยินบรรดาถ้อยคำของเราและไม่เชื่อ เราก็ไม่พิพากษาผู้นั้น เพราะว่าเราได้มามิใช่เพื่อจะพิพากษาโลก แต่เพื่อจะช่วยโลกให้รอด
12:48 ผู้ใดที่ปฏิเสธเราและไม่รับคำทั้งหลายของเรา ก็มีสิ่งหนึ่งที่พิพากษาเขา คือคำที่เราได้กล่าวไว้แล้ว คำนั้นเองจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย
12:49 เพราะเรามิได้กล่าวตามใจเราเอง แต่พระบิดาผู้ซึ่งได้ทรงส่งเรามา พระองค์นั้นได้ทรงให้คำบัญชาแก่เราว่า เราควรจะกล่าวอะไร และว่าเราควรจะพูดอะไร
12:50 และเราทราบว่าพระบัญชาของพระองค์นั้นเป็นชีวิตนิรันดร์ เหตุฉะนั้นสิ่งใดก็ตามที่เราพูดนั้น พระบิดาได้ตรัสกับเราอย่างไร เราก็พูดอย่างนั้น”

 

พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับคิงเจมส์ / Thai Bible King James Version

© 2006 Philip Pope