ศัพท์สัมพันธ์
พระคริสตธรรมคัมภีร์
ภาษาไทยฉบับคิง เจมส์

Thai KJV Bible Concordance


กลับหน้าแรก / Main Menu

 

ขจัด ( 35 )
พบญ 12.29 เมื่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะขจัดประชาชาติซึ่งท่านเข้าไปยึดครองนั้นออกไปให้พ้นหน้าท่าน และท่านก็ยึดครองเข้าอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น
พบญ 19.1 “เมื่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายทรงขจัดบรรดาประชาชาติ ผู้ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแผ่นดินของเขาแก่ท่าน และท่านทั้งหลายยึดครองและเข้าไปอาศัยอยู่ในหัวเมืองและในบ้านเรือนของเขาเหล่านั้น
พบญ 22.24 ท่านจงพาเขาทั้งสองออกไปยังประตูเมืองนั้น และท่านจงขว้างเขาทั้งสองด้วยหินให้ตายเสีย หญิงสาวคนนั้นเพราะมิได้ร้องโวยวายขึ้นแม้ว่าจะอยู่ในเมือง ชายคนนั้นเพราะว่าเขาได้หยามเกียรติภรรยาของเพื่อนบ้าน ดังนี้แหละท่านทั้งหลายจะขจัดความชั่วเสียจากท่ามกลางท่าน
ยชว 11.21 คราวนั้นโยชูวาได้มาขจัดคนอานาคออกจากแดนเทือกเขา จากเฮโบรน จากเดบีร์ จากอานาบ และจากทั่วแดนเทือกเขาแห่งยูดาห์ และจากทั่วแดนเทือกเขาแห่งอิสราเอล โยชูวาได้ทำลายคนเหล่านี้เสียสิ้นพร้อมทั้งเมืองทั้งหลายของพวกเขาด้วย
ยชว 23.4 ดูเถิด ประชาชาติที่เหลืออยู่นั้น ข้าพเจ้าได้จับสลากแบ่งให้เป็นมรดกแก่ตระกูลของท่าน รวมกับประชาชาติทั้งสิ้นซึ่งข้าพเจ้าได้ขจัดออกเสีย ตั้งแต่แม่น้ำจอร์แดนจนถึงทะเลใหญ่ทางทิศตะวันตก
1ซมอ 28.9 หญิงคนนั้นจึงทูลตอบพระองค์ว่า “ดูเถิด ท่านทราบแล้วว่าซาอูลทรงกระทำอะไร ที่ได้ขจัดคนทรงและพ่อมดแม่มดเสียจากแผ่นดิน ทำไมท่านจึงมาวางกับดักชีวิตของข้าพเจ้าเล่า เพื่อทำให้ข้าพเจ้าถูกประหาร”
2ซมอ 7.9 เราได้อยู่กับเจ้าไม่ว่าเจ้าไปที่ไหน และได้ขจัดบรรดาศัตรูของเจ้าให้พ้นหน้าเจ้า และเรากระทำให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โต อย่างกับชื่อเสียงของผู้ใหญ่ในโลก
1พกษ 18.4 และเมื่อเยเซเบลขจัดผู้พยากรณ์ของพระเยโฮวาห์ออกไป โอบาดีห์ได้นำผู้พยากรณ์หนึ่งร้อยคนซ่อนไว้ตามถ้ำแห่งละห้าสิบคน และเลี้ยงเขาทั้งหลายด้วยขนมปังและน้ำ)
1พกษ 21.21 ดูเถิด เราจะนำเหตุร้ายมาเหนือเจ้า เราจะเอาคนชั่วอายุต่อจากเจ้าออกไปเสีย และจะขจัดคนที่ปัสสาวะรดกำแพงได้เสียจากอาหับ ทั้งคนที่ยังอยู่และเหลืออยู่ในอิสราเอล
1พศด 17.8 และเราได้อยู่กับเจ้าไม่ว่าเจ้าไปที่ไหน และได้ขจัดบรรดาศัตรูของเจ้าให้พ้นหน้าเจ้า และเราได้กระทำให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โตอย่างกับชื่อเสียงของผู้ยิ่งใหญ่ในโลก
โยบ 15.4 แต่ท่านกำลังขจัดความยำเกรงเสีย และขัดขวางการอธิษฐานต่อพระพักตร์พระเจ้า
สดด 2.3 “ให้เราระเบิดสายแอกของเขาให้ขาดสะบั้น และขจัดบังเหียนของเขาให้พ้นจากเรา”
สดด 54.5 พระองค์จะทรงตอบสนองการร้ายต่อพวกศัตรูของข้าพเจ้าและทรงขจัดเขาเสียด้วยความจริงของพระองค์
สดด 101.5 บุคคลใดก็ตามใส่ร้ายเพื่อนบ้านของเขาอย่างลับๆ ข้าพระองค์จะขจัดเขาออกเสีย คนที่มีตายโสและใจที่จองหองข้าพระองค์จะไม่ยอมทนด้วย
อสย 22.25 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า ในวันนั้นหมุดที่ปักแน่นอยู่ในที่มั่นจะหลุด มันจะถูกโค่นลงและตกลงมา และภาระที่อยู่บนนั้นจะถูกขจัดออก เพราะพระเยโฮวาห์ได้ตรัสไว้แล้ว”
อสค 17.17 ฟาโรห์ประกอบด้วยกองทัพอันใหญ่โตและผู้คนมากมายจะไม่ช่วยท่านผู้นั้น ในการสงคราม ในเมื่อเขาก่อเชิงเทินและก่อกำแพงล้อมเพื่อจะขจัดคนเป็นอันมากเสีย
อสค 21.3 และกล่าวแก่แผ่นดินอิสราเอลว่า พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราเป็นปฏิปักษ์กับเจ้า และเราจะชักดาบของเราออกจากฝัก และเราจะขจัดทั้งคนชอบธรรมและคนชั่วออกจากเจ้าเสีย
มคา 5.10 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า ต่อมาในวันนั้นเราจะขจัดม้าของเจ้าให้หมดไปจากท่ามกลางเจ้า และจะทำลายรถรบของเจ้า
มคา 5.11 และเราจะขจัดเมืองให้หมดไปจากแผ่นดินของเจ้า และจะโค่นที่กำบังเข้มแข็งของเจ้าทั้งสิ้น
มคา 5.12 เราจะขจัดวิทยาคมให้หมดไปจากมือของเจ้า เจ้าจะไม่มีหมอผีอีกต่อไป
มคา 5.13 เราจะขจัดรูปเคารพสลักของเจ้าออกเสียด้วย และทำลายเสาศักดิ์สิทธิ์จากท่ามกลางเจ้า เจ้าจะมิได้กราบลงไหว้ผลงานของมือของเจ้าอีกต่อไป
นฮม 1.14 พระเยโฮวาห์ตรัสบัญชาด้วยเรื่องเจ้าว่า “เขาจะไม่หว่านชื่อของเจ้าให้แพร่หลายอีกต่อไป เราจะขจัดรูปเคารพที่สลักและรูปเคารพที่หล่อออกเสียจากนิเวศแห่งพระของเจ้า เราจะขุดหลุมศพให้เจ้า เพราะเจ้าชั่วนัก”
นฮม 1.15 ดูเถิด เท้าของผู้นำข่าวดีมาที่บนภูเขา ผู้โฆษณาสันติภาพ โอ ยูดาห์เอ๋ย จงรักษาประเพณีการเลี้ยงตามกำหนดของเจ้าไว้ จงทำตามคำปฏิญาณของเจ้าเถิด เพราะว่าคนชั่วจะไม่ผ่านเจ้าไปอีก เขาถูกขจัดเสียสิ้นแล้ว
ศฟย 1.3 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เราจะกวาดมนุษย์และสัตว์เดียรัจฉานไปเสีย เราจะกวาดนกในอากาศไปเสียทั้งปลาในทะเลด้วย เราจะกวาดล้างสิ่งที่ทำให้สะดุดพร้อมกับคนชั่ว เราจะขจัดมนุษยชาติออกจากพื้นแผ่นดิน
ศฟย 1.4 เราจะเหยียดมือของเราออกต่อสู้ยูดาห์ และต่อชาวเยรูซาเล็มทั้งมวล เราจะขจัดกากเดนของพระบาอัลเสียจากสถานที่นี้ และกำจัดชื่อบรรดาเคมาริมพร้อมกับพวกปุโรหิตเสีย
ศฟย 1.11 ชาวตำบลมักเทชเอ๋ย จงร่ำไห้เถิด เพราะพ่อค้าทั้งปวงก็ถูกโค่นลงเสียแล้ว บรรดาผู้ที่ค้าขายกับเงินก็ถูกขจัดเสียแล้ว
ศฟย 3.6 “เราได้ขจัดประชาชาติทั้งหลายออกเสียแล้ว หอคอยของเขาก็รกร้าง เรากระทำให้ถนนของเมืองนั้นเสียไปเปล่าๆ ไม่มีใครผ่านไปมา หัวเมืองของเขาถูกทำลาย เพื่อจะไม่มีคน ไม่มีชาวเมืองอยู่เลย
ศคย 5.3 แล้วท่านจึงบอกข้าพเจ้าว่า “นี่แหละเป็นคำสาปที่แผ่ออกไปทั่วพื้นแผ่นดินทั้งสิ้น ผู้ที่ทำการโจรกรรมทุกคนจะต้องถูกขจัดออก ตั้งแต่นี้ไปตามความในหนังสือม้วนนั้น และทุกคนที่ปฏิญาณจะต้องถูกขจัดออกตั้งแต่นี้ไปตามที่กำหนดไว้
ศคย 9.10 เราจะขจัดรถรบเสียจากเอฟราอิม และม้าเสียจากเยรูซาเล็ม ธนูสงครามจะถูกขจัดเสียด้วย และท่านจะบัญชาสันติให้มีแก่ประชาชาติทั้งหลาย อาณาจักรของท่านจะมีจากทะเลนี้ไปถึงทะเลโน้น และจากแม่น้ำนั้นไปถึงสุดปลายพิภพ
ศคย 13.2 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า ต่อมาในวันนั้น เราจะขจัดชื่อของรูปเคารพเสียจากแผ่นดิน เพื่อว่าเขาจะระลึกถึงอีกไม่ได้เลย และเราจะไล่ผู้พยากรณ์และวิญญาณที่ไม่สะอาดไปเสียจากแผ่นดินด้วย
ศคย 13.8 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า ต่อมาทั่วทั้งแผ่นดินจะต้องขจัดเสียให้พินาศสองในสาม และเหลือไว้หนึ่งในสาม
มลค 2.12 พระเยโฮวาห์จะทรงขจัดชายคนใดๆที่กระทำเช่นนี้ ทั้งผู้สอนและนักศึกษา เสียจากเต็นท์ของยาโคบ ถึงแม้ว่าเขาจะนำเครื่องบูชาถวายแด่พระเยโฮวาห์จอมโยธาก็ตามเถิด
1ยน 4.18 ในความรักนั้นไม่มีความกลัว แต่ความรักที่สมบูรณ์นั้นก็ได้ขจัดความกลัวเสีย ด้วยว่าความกลัวทำให้ทุกข์ทรมาน และผู้ที่มีความกลัวก็ยังไม่มีความรักที่สมบูรณ์

ขณะ ( 95 )
ปฐก 12.4 ดังนั้นอับรามจึงออกไปตามที่พระเยโฮวาห์ได้ตรัสแก่ท่านและโลทก็ไปกับท่าน อับรามมีอายุได้เจ็ดสิบห้าปีขณะเมื่อท่านออกจากเมืองฮาราน
ปฐก 48.7 และสำหรับพ่อเมื่อพ่อจากปัดดานมา นางราเชลซึ่งอยู่กับพ่อก็ได้สิ้นชีวิตในแผ่นดินคานาอันขณะอยู่ตามทางยังห่างจากเอฟราธาห์ แล้วพ่อได้ฝังศพเธอไว้ริมทางไปเอฟราธาห์คือเบธเลเฮม”
อพย 13.8 ในวันนั้นจงบอกบุตรของท่านว่า ‘ที่ได้ทำดังนี้ก็เพราะเหตุการณ์ซึ่งพระเยโฮวาห์ได้ทรงกระทำสำหรับเรา ขณะเมื่อเราออกจากอียิปต์’
อพย 16.3 คนอิสราเอลกล่าวแก่ท่านทั้งสองว่า “พวกข้าพเจ้าตายเสียด้วยพระหัตถ์ของพระเยโฮวาห์ตั้งแต่อยู่ในประเทศอียิปต์ ขณะเมื่อนั่งอยู่ใกล้หม้อเนื้อและรับประทานอาหารอิ่มหนำจะดีกว่า นี่ท่านกลับนำพวกข้าพเจ้าออกมาในถิ่นทุรกันดารอย่างนี้ เพื่อจะให้ชุมนุมชนทั้งหมดหิวตายเท่านั้น”
อพย 22.12 แต่ถ้าสัตว์นั้นถูกลักไป ขณะเมื่อผู้รับฝากอยู่ด้วย ผู้รับฝากต้องให้ค่าชดใช้แก่เจ้าของ
อพย 33.22 แล้วขณะเมื่อสง่าราศีของเรากำลังผ่านไป เราจะซ่อนเจ้าไว้ในช่องศิลาและจะบังเจ้าไว้ด้วยมือเราจนกว่าเราจะผ่านไป
ลนต 18.18 และเจ้าอย่าพาภรรยาไปหาพี่สาวหรือน้องสาวของนางเพื่อจะก่อกวนและเปิดกายที่เปลือยเปล่าของเธอ ขณะเมื่อภรรยายังมีชีวิตอยู่
ลนต 26.35 ตราบเท่าที่แผ่นดินยังว่างเปล่าอยู่ มันก็จะได้หยุดพัก เพราะมิได้หยุดพักในสะบาโตของพวกเจ้าขณะเมื่อเจ้าอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น
กดว 3.7 เขาจะปฏิบัติหน้าที่แทนอาโรนและแทนชุมนุมชนทั้งหมดหน้าพลับพลาแห่งชุมนุม ขณะเขาปฏิบัติงานที่พลับพลา
กดว 15.32 ขณะเมื่อคนอิสราเอลอยู่ในถิ่นทุรกันดาร เขาพบคนหนึ่งไปเก็บฟืนในวันสะบาโต
กดว 30.16 ข้อความเหล่านี้เป็นกฎเกณฑ์ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงบัญชาโมเสสไว้ เป็นเรื่องระหว่างชายกับภรรยาของเขา เรื่องระหว่างบิดากับบุตรสาว ขณะเมื่อเธอยังสาวอยู่ ยังอยู่ในเรือนบิดาของเธอ
พบญ 5.23 ต่อมาเมื่อท่านทั้งหลายได้ยินพระสุรเสียงออกมาจากท่ามกลางความมืดนั้น (ขณะเมื่อภูเขานั้นมีเพลิงลุกอยู่) ท่านทั้งหลายเข้ามาใกล้ข้าพเจ้า คือหัวหน้าตระกูลของท่านทั้งหมด และพวกผู้ใหญ่ของท่าน
ยชว 10.11 ต่อมาขณะเมื่อเขาหนีไปข้างหน้าพวกอิสราเอลลงไปตามทางเบธโฮโรนนั้น พระเยโฮวาห์ทรงโยนลูกเห็บใหญ่ๆลงมาจากฟ้า ตลอดถึงเมืองอาเซคาห์ เขาทั้งหลายก็ตาย ผู้ที่ตายด้วยลูกเห็บนั้นก็มากกว่าผู้ที่คนอิสราเอลฆ่าเสียด้วยดาบ
วนฉ 4.21 แต่ยาเอลภรรยาของเฮเบอร์หยิบหลักขึงเต็นท์ ถือค้อนเดินย่องเข้ามา ตอกหลักเข้าที่ขมับของสิเสราทะลุติดดิน ขณะเมื่อสิเสรากำลังหลับสนิทอยู่เพราะความเหน็ดเหนื่อย แล้วสิเสราก็สิ้นชีวิต
วนฉ 7.18 ขณะเมื่อเราเป่าแตร คือตัวเรากับบรรดาคนที่อยู่กับเรา เจ้าจงเป่าแตรรับให้รอบค่ายทั้งหมดแล้วร้องว่า ‘ดาบของพระเยโฮวาห์และของกิเดโอน’”
วนฉ 13.20 และอยู่มาเมื่อเปลวไฟจากแท่นบูชาพลุ่งขึ้นไปสวรรค์ ทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ก็ขึ้นไปตามเปลวไฟแห่งแท่นบูชา ขณะเมื่อมาโนอาห์และภรรยาคอยดูอยู่ และเขาทั้งสองก็ซบหน้าลงถึงดิน
1ซมอ 2.13 ธรรมเนียมของปุโรหิตที่มีต่อประชาชนเป็นอย่างนี้ เมื่อมีประชาชนคนใดถวายเครื่องสัตวบูชา คนใช้ของปุโรหิตจะเข้ามา มือถือขอเกี่ยวเนื้อสามง่าม ขณะเมื่อเนื้อกำลังต้มอยู่
1ซมอ 9.11 ขณะเมื่อเขาขึ้นภูเขาไปยังเมืองนั้น เขาพบพวกผู้หญิงสาวออกมาตักน้ำ จึงถามว่า “ผู้ทำนายอยู่ที่นี่หรือ”
1ซมอ 9.14 เขาทั้งสองก็ขึ้นไปยังเมืองนั้น ขณะเมื่อเขาเข้าไปในเมือง ดูเถิด ซามูเอลกำลังเดินออกมาตรงหน้าเขาทั้งสอง จะขึ้นไปยังปูชนียสถานสูงนั้น
1ซมอ 17.20 ดาวิดจึงลุกขึ้นแต่เช้ามืด และทิ้งแกะไว้กับผู้ดูแลนำเสบียงอาหารเดินทางไปตามที่เจสซีได้บัญชาแก่เขา และเขาก็มาถึงเขตค่ายขณะเมื่อกองทัพกำลังยกออกไปสู่แนวรบพลางร้องกราวศึก
2ซมอ 4.5 ฝ่ายบุตรชายทั้งสองของริมโมน ชาวเบเอโรท ที่ชื่อเรคาบและบาอานาห์นั้นได้ออกเดินทาง พอแดดออกจัดก็มาถึงตำหนักของอิชโบเชท ขณะเมื่อพระองค์กำลังบรรทมพักเที่ยง
2ซมอ 6.16 และขณะเมื่อหีบของพระเยโฮวาห์เข้ามาถึงเมืองดาวิด มีคาลราชธิดาของซาอูลก็มองออกที่ช่องหน้าต่าง เห็นกษัตริย์ดาวิดกระโดดโลดเต้นรำถวายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ และนางก็มีใจหมิ่นประมาท
2ซมอ 13.30 ต่อมาขณะเมื่อราชโอรสได้ดำเนินอยู่ตามทาง มีข่าวไปถึงดาวิดว่า “อับซาโลมได้ประหารราชโอรสของกษัตริย์หมดแล้ว ไม่เหลืออยู่สักองค์เดียว”
2ซมอ 15.12 ขณะเมื่ออับซาโลมถวายสัตวบูชาอยู่ ท่านส่งคนไปเชิญอาหิโธเฟลชาวกิโลห์ที่ปรึกษาของดาวิดมาจากนครของเขาคือกิโลห์ การที่คบคิดกันนั้นก็เพิ่มกำลังขึ้น คนที่มาฝักใฝ่อยู่กับอับซาโลมก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
2ซมอ 19.32 บารซิลลัยเป็นคนชรามากแล้ว อายุแปดสิบปี ท่านได้นำเสบียงอาหารมาถวายกษัตริย์ ขณะพระองค์ประทับที่มาหะนาอิม เพราะท่านเป็นคนมั่งมีมาก
1พกษ 1.22 ดูเถิด ขณะเมื่อพระนางกำลังกราบทูลกษัตริย์อยู่ นาธันผู้พยากรณ์ก็เข้ามา
1พกษ 6.7 เมื่อกำลังสร้าง พระนิเวศนั้นก็สร้างด้วยศิลา ซึ่งเตรียมมาจากบ่อศิลา เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้ยินเสียงค้อนหรือขวานหรือเครื่องมือเหล็กใดๆในพระนิเวศ ขณะเมื่อทำการก่อสร้าง
1พกษ 12.6 แล้วกษัตริย์เรโหโบอัมก็ทรงปรึกษากับบรรดาผู้เฒ่า ผู้อยู่งานประจำซาโลมอนราชบิดาของพระองค์ขณะเมื่อพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ว่า “ท่านทั้งหลายจะแนะนำเราให้ตอบประชาชนนี้อย่างไร”
1พกษ 17.11 และขณะเมื่อนางจะไปเอาน้ำมา ท่านก็เรียกนางแล้วบอกว่า “ขอนำอาหารใส่มือมาให้ฉันสักหน่อยหนึ่ง”
2พกษ 2.18 เขาทั้งหลายก็กลับมาหาเอลีชา (ขณะเมื่อท่านพักอยู่ที่เมืองเยรีโค) และท่านพูดกับเขาว่า “ข้ามิได้บอกท่านทั้งหลายแล้วหรือว่า ‘อย่าไปเลย’”
2พกษ 2.23 ท่านได้ขึ้นไปจากที่นั่นถึงเมืองเบธเอล และขณะเมื่อท่านขึ้นไปตามทางมีเด็กชายเล็กๆบางคนออกมาจากเมืองล้อเลียนท่านว่า “อ้ายหัวล้าน จงขึ้นไปเถิด อ้ายหัวล้าน จงขึ้นไปเถิด”
2พกษ 6.25 มีการกันดารอาหารอย่างหนักในสะมาเรีย และดูเถิด ขณะเมื่อเขาล้อมอยู่จนหัวลาตัวหนึ่งเขาขายกันเป็นเงินแปดสิบเชเขล และมูลนกเขาครึ่งลิตรเป็นเงินห้าเชเขล
2พกษ 24.11 และเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนเสด็จมาที่เมืองนั้น ขณะเมื่อข้าราชการของพระองค์ยังล้อมเมืองอยู่
1พศด 12.1 ต่อไปนี้เป็นคนที่มาหาดาวิดที่ศิกลาก ขณะเมื่อท่านไปไหนไม่ได้สะดวกเพราะเหตุซาอูลบุตรชายคีช เขาทั้งหลายเป็นคนในพวกทแกล้วทหาร ผู้ช่วยท่านในการรบ
1พศด 12.20 ขณะเมื่อพระองค์ไปยังศิกลาก คนมนัสเสห์เหล่านี้หลบหนีไปสมทบพระองค์ คือ อัดนาห์ โยซาบาด เยดียาเอล มีคาเอล โยซาบาด เอลีฮู และศิลเลธัย หัวหน้าบรรดากองพันในคนมนัสเสห์
1พศด 18.3 ดาวิดทรงโจมตีฮาดัดเอเซอร์กษัตริย์ของเมืองโศบาห์ด้วยตรงไปยังเมืองฮามัท ขณะเมื่อพระองค์เสด็จไปตั้งอำนาจการปกครองของพระองค์ที่แม่น้ำยูเฟรติส
2พศด 10.6 แล้วกษัตริย์เรโหโบอัมก็ทรงปรึกษากับบรรดาผู้เฒ่า ผู้อยู่งานประจำซาโลมอนราชบิดาของพระองค์ขณะเมื่อพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ว่า “ท่านทั้งหลายจะแนะนำเราให้ตอบประชาชนนี้อย่างไร”
2พศด 20.21 และเมื่อพระองค์ได้ปรึกษากับประชาชนแล้ว พระองค์ได้ทรงแต่งตั้งบรรดาผู้ที่จะร้องเพลงถวายพระเยโฮวาห์ ให้สรรเสริญพระองค์ด้วยเครื่องประดับแห่งความบริสุทธิ์ ขณะเมื่อเขาเดินออกไปหน้าศัตรู และว่า “จงถวายโมทนาแด่พระเยโฮวาห์ เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์”
อสธ 5.6 ขณะอยู่ที่การเลี้ยงเหล้าองุ่นกษัตริย์ตรัสกับเอสเธอร์ว่า “คำร้องขอของพระนางว่ากระไร เราจะให้ แล้วคำทูลขอของพระนางว่ากระไร แม้จะถึงครึ่งราชอาณาจักรของเรา ก็จะสำเร็จ”
อสธ 6.14 ขณะเมื่อเขาทั้งหลายกำลังพูดกับท่านอยู่ ขันทีของกษัตริย์ก็มาถึงรีบนำฮามานไปยังการเลี้ยงซึ่งพระนางเอสเธอร์ทรงจัดนั้น
สดด 12.8 คนชั่วก็เพ่นพ่านไปมาอยู่รอบด้าน ขณะเมื่อมีการยกย่องคนชั่วช้าที่สุด
สดด 22.13 มันอ้าปากกว้างเข้าใส่ข้าพระองค์ดั่งสิงโตขณะกัดฉีกและคำรามร้อง
สดด 28.2 ขอทรงสดับเสียงวิงวอนของข้าพระองค์ ขณะเมื่อข้าพระองค์ร้องทูลขอความอุปถัมภ์จากพระองค์ ขณะเมื่อข้าพระองค์ยกมือของข้าพระองค์ขึ้นตรงต่อที่บริสุทธิ์ที่สุดของพระองค์
สดด 31.13 พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ได้ยินเสียงซุบซิบของคนเป็นอันมาก มีความสยดสยองอยู่ทุกด้าน ขณะเมื่อเขาร่วมกันคิดแผนการต่อสู้ข้าพระองค์ ขณะที่เขาปองร้ายชีวิตของข้าพระองค์
สดด 63.6 เมื่อข้าพระองค์คิดถึงพระองค์ขณะอยู่บนที่นอน และตรึกตรองถึงพระองค์ทุกๆยาม
สดด 88.15 ตั้งแต่เป็นอนุชนมา ข้าพระองค์ทุกข์ยากและพร้อมที่จะตาย ขณะข้าพระองค์ทนต่อความสยดสยองของพระองค์ ข้าพระองค์มีจิตใจไขว้เขวไป
สดด 102.22 ขณะเมื่อชนชาติทั้งหลายรวบรวมกัน ทั้งบรรดาราชอาณาจักร เพื่อปรนนิบัติพระเยโฮวาห์
สดด 104.33 ข้ามีชีวิตอยู่ตราบใด ข้าจะร้องเพลงถวายพระเยโฮวาห์ ขณะข้ายังเป็นอยู่ ข้าจะร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าของข้า
พซม 1.12 ขณะเมื่อกษัตริย์กำลังประทับที่โต๊ะอยู่ น้ำมันแฝกหอมของดิฉันก็ส่งกลิ่นฟุ้งไป
อสย 27.3 เราคือพระเยโฮวาห์ เป็นผู้รักษาดูแลมัน เราจะรดน้ำมันอยู่ทุกขณะ เกรงว่าผู้หนึ่งผู้ใดจะทำอันตรายมัน เราจะรักษามันไว้ทั้งกลางวันกลางคืน
อสย 37.38 ต่อมาขณะเมื่อท่านนมัสการในนิเวศของพระนิสโรกพระของท่าน อัดรัมเมเลคและชาเรเซอร์ โอรสของท่าน ก็ประหารท่านเสียด้วยดาบ และหนีไปยังแผ่นดินอาร์มีเนีย และเอสารฮัดโดนโอรสของท่านขึ้นครอบครองแทนท่าน
อสย 47.9 ทั้งสองเรื่องนี้จะมาถึงเจ้าในขณะเดียวกันในวันเดียว คือความที่ต้องพรากจากลูกและความที่เป็นแม่ม่าย จะมาถึงเจ้าอย่างเต็มขนาดทั้งที่มีวิทยาคมเป็นอันมาก และอานุภาพใหญ่ยิ่งในเวทมนตร์ของเจ้า
อสย 55.6 จงแสวงหาพระเยโฮวาห์ เมื่อจะพบพระองค์ได้ จงทูลพระองค์ ขณะพระองค์ทรงอยู่ใกล้
ยรม 13.16 จงถวายสง่าราศีแด่พระเยโฮวาห์ พระเจ้าของเจ้าทั้งหลาย ก่อนที่พระองค์จะทรงนำความมืดมา ก่อนที่เท้าของเจ้าจะสะดุดบนภูเขาที่มีแสงโพล้เพล้ และขณะเมื่อเจ้าทั้งหลายมองหาความสว่าง พระองค์ทรงกลับให้เป็นเงามัจจุราช และทรงกระทำให้เป็นความมืดทึบ
ยรม 34.7 ขณะเมื่อกองทัพของกษัตริย์แห่งบาบิโลนกำลังสู้รบกรุงเยรูซาเล็มและหัวเมืองแห่งยูดาห์ทั้งสิ้นที่ยังเหลืออยู่ คือ เมืองลาคีชและเมืองอาเซคาห์ เพราะยังเหลืออยู่สองเมืองนี้เท่านั้นที่เป็นหัวเมืองยูดาห์ที่มีกำแพงป้อม
ยรม 40.5 ขณะเมื่อท่านยังไม่กลับไป เขากล่าวว่า “ท่านจงกลับไปหาเกดาลิยาห์บุตรชายอาหิคัม ผู้เป็นบุตรชายชาฟาน ผู้ซึ่งกษัตริย์แห่งบาบิโลนได้แต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าราชการบรรดาหัวเมืองยูดาห์ และอยู่กับเขาท่ามกลางประชาชน หรือจะไปที่ใดที่ท่านเห็นชอบจะไปก็ได้” ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์จึงสั่งอนุมัติเสบียงและให้ของขวัญแก่เยเรมีย์ แล้วก็ปล่อยท่านไป
พคค 1.19 ข้าพเจ้าได้ร้องเรียกบรรดาคนรักของข้าพเจ้า แต่เขาทั้งหลายได้หลอกลวงข้าพเจ้า พวกปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ของข้าพเจ้าก็ตายที่กลางเมือง ขณะเมื่อเขาออกหาอาหารเพื่อประทังชีวิตของตน
พคค 2.12 ลูกทั้งหลายถามแม่ของตัวว่า “แม่จ๋า ข้าวและน้ำองุ่นอยู่ที่ไหน” ขณะเมื่อเขาเป็นลมดุจคนที่ถูกบาดเจ็บตามถนนในกรุง เมื่อชีวิตของเขาต้องเทออกที่อกแม่ของเขาทั้งหลาย
อสค 1.1 อยู่มา ในวันที่ห้าเดือนที่สี่ปีที่สามสิบ ขณะเมื่อข้าพเจ้าอยู่ที่ริมแม่น้ำเคบาร์ในหมู่พวกเชลย ท้องฟ้าเบิกออก และข้าพเจ้าได้เห็นนิมิตจากพระเจ้า
อสค 7.13 เพราะว่าผู้ขายจะไม่ได้กลับไปยังสิ่งที่เขาได้ขายไป ขณะเมื่อเขายังมีชีวิตอยู่ เพราะว่านิมิตนั้นก็เกี่ยวข้องกับประชาชนทั้งมวล และจะไม่หันกลับ และเพราะความชั่วช้าของเขา จึงจะไม่มีผู้ใดรักษาชีวิตไว้ได้
อสค 10.3 ฝ่ายเหล่าเครูบนั้นยืนที่ด้านขวาของพระนิเวศ ขณะเมื่อชายคนนั้นเข้าไป และเมฆก็คลุมอยู่เต็มลานชั้นใน
อสค 16.34 ฉะนั้น เจ้าจึงผิดกับหญิงอื่นในเรื่องการเล่นชู้ของเจ้า ไม่มีใครมาวิงวอนให้เล่นชู้และเจ้ากลับให้สินจ้าง ขณะเมื่อไม่มีผู้ใดให้สินจ้างแก่เจ้า เพราะฉะนั้นเจ้าจึงแตกต่างกัน
อสค 21.29 ขณะเมื่อเขาเห็นนิมิตเท็จมาบอกท่าน ขณะเมื่อเขาให้คำทำนายมุสาแก่ท่าน เพื่อจะวางท่านไว้บนคอของผู้ชั่วที่ถูกฆ่า เวลากำหนดของเขามาถึงแล้ว คือเวลาแห่งการลงโทษความชั่วช้าครั้งสุดท้าย
อสค 23.39 คือขณะเมื่อเธอฆ่าลูกของเธอเป็นเครื่องบูชารูปเคารพ ในวันนั้นเธอก็เข้ามาในสถานบริสุทธิ์ของเรา และกระทำสถานที่นั้นให้เป็นมลทิน ดูเถิด เธอกระทำสิ่งเหล่านี้ในนิเวศของเรา
อสค 26.16 แล้วเจ้านายทั้งสิ้นที่ทะเลจะก้าวลงมาจากบัลลังก์และเปลื้องเครื่องทรงออก และปลดเครื่องแต่งตัวที่ปักออกเสีย และจะเอาความสั่นกลัวมาเป็นเครื่องทรง จะประทับอยู่บนพื้นดินและสั่นอยู่ทุกขณะและหวาดกลัวเพราะเจ้า
อสค 44.17 ต่อมาเมื่อเขาเข้าประตูลานชั้นในนั้น ให้เขาสวมเสื้อผ้าป่าน อย่าให้เขามีสิ่งใดที่ทำด้วยขนแกะเลยขณะเมื่อเขาทำการปรนนิบัติอยู่ที่ประตูลานชั้นใน และอยู่ข้างใน
อสค 47.7 ขณะเมื่อข้าพเจ้ากลับ ดูเถิด ข้าพเจ้าเห็นต้นไม้มากมายอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำทั้งสองฟาก
ดนล 2.29 โอ ข้าแต่กษัตริย์ ขณะเมื่อพระองค์บรรทมอยู่บนพระแท่น พระดำริในเรื่องซึ่งจะบังเกิดมาภายหลังได้ผุดขึ้น และพระองค์นั้นผู้ทรงเผยความลึกลับก็ทรงให้พระองค์รู้ถึงสิ่งที่จะบังเกิดมา
ดนล 2.34 ขณะเมื่อพระองค์ทอดพระเนตร มีหินก้อนหนึ่งถูกตัดออกมามิใช่ด้วยมือ กระทบปฏิมากรที่เท้าอันเป็นเหล็กปนดิน กระทำให้แตกเป็นชิ้นๆ
ดนล 4.5 เราฝันเห็นเรื่องซึ่งกระทำให้เรากลัว ขณะเมื่อเรานอนอยู่บนที่นอนความคิดและนิมิตอันผุดขึ้นในศีรษะของเราเป็นเหตุให้เราตกใจ
ดนล 9.21 เออ ขณะเมื่อข้าพเจ้ากล่าวคำอธิษฐานอยู่ ชายชื่อกาเบรียล ซึ่งข้าพเจ้าได้เห็นในนิมิตครั้งแรกนั้น ได้บินอย่างเร็วมาใกล้ข้าพเจ้า แตะต้องข้าพเจ้าในเวลาถวายเครื่องบูชาตอนเย็น
มธ 9.32 ขณะเมื่อพระเยซูและเหล่าสาวกกำลังเสด็จออกไปจากที่นั่น ดูเถิด มีผู้พาคนใบ้คนหนึ่งที่มีผีสิงอยู่มาหาพระองค์
มธ 10.12 ขณะเมื่อท่านขึ้นเรือน จงให้พรแก่ครัวเรือนนั้น
มธ 20.17 เมื่อพระเยซูจะเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ขณะอยู่ตามหนทางได้พาเหล่าสาวกสิบสองคนไปแต่ลำพัง และตรัสกับเขาว่า
มธ 26.7 ขณะเมื่อพระองค์ทรงเอนพระกายลงเสวยอยู่ มีหญิงผู้หนึ่งถือผอบน้ำมันหอมราคาแพงมากมาเฝ้าพระองค์ แล้วเทน้ำมันนั้นบนพระเศียรของพระองค์
มธ 26.36 แล้วพระเยซูทรงพาสาวกมายังที่แห่งหนึ่งเรียกว่า เกทเสมนี แล้วตรัสกับสาวกว่า “จงนั่งอยู่ที่นี่ขณะเมื่อเราจะไปอธิษฐานที่โน่น”
มธ 27.19 ขณะเมื่อปีลาตนั่งบัลลังก์พิพากษาอยู่นั้น ภรรยาของท่านได้ใช้คนมาเรียนท่านว่า “ท่านอย่าพัวพันกับเรื่องของคนชอบธรรมนั้นเลย ด้วยว่าวันนี้ดิฉันทุกข์ใจหลายประการกับความฝันเกี่ยวกับท่านผู้นั้น”
มก 11.24 เหตุฉะนั้นเราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น
มก 14.3 ในเวลาที่พระองค์ประทับอยู่ที่หมู่บ้านเบธานี ในเรือนของซีโมนคนโรคเรื้อน ขณะเมื่อทรงเอนพระกายลงเสวยอยู่ มีหญิงผู้หนึ่งถือผอบน้ำมันหอมนาระดาที่มีราคามากมาเฝ้าพระองค์ และนางทำให้ผอบนั้นแตกแล้วก็เทน้ำมันนั้นลงบนพระเศียรของพระองค์
มก 14.32 พระเยซูกับเหล่าสาวกมายังที่แห่งหนึ่งชื่อเกทเสมนี และพระองค์ตรัสแก่สาวกของพระองค์ว่า “จงนั่งอยู่ที่นี่ขณะเมื่อเราอธิษฐาน”
ลก 2.43 เมื่อครบกำหนดวันเลี้ยงกันแล้ว ขณะเขากำลังกลับไป พระกุมารเยซูก็ยังค้างอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม ฝ่ายโยเซฟกับมารดาของพระองค์ก็ไม่รู้
ลก 3.21 อยู่มาเมื่อคนทั้งปวงรับบัพติศมา และพระเยซูทรงรับบัพติศมาด้วย ขณะเมื่อทรงอธิษฐานอยู่ ท้องฟ้าก็แหวกออก
ลก 4.5 แล้วพญามารจึงนำพระองค์ขึ้นไปยังภูเขาที่สูง สำแดงบรรดาราชอาณาจักรทั่วพิภพในขณะเดียวให้พระองค์ทอดพระเนตร
ยน 13.2 ขณะเมื่อรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว พญามารได้ดลใจยูดาสอิสคาริโอท บุตรชายของซีโมน ให้ทรยศพระองค์
กจ 7.5 แต่พระองค์ไม่ทรงโปรดให้อับราฮัมมีมรดกในแผ่นดินนี้แม้เท่าฝ่าเท้าก็ไม่ได้ และขณะเมื่อท่านยังไม่มีบุตร พระองค์ทรงสัญญาไว้ว่าจะให้แผ่นดินนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของท่าน และเชื้อสายของท่านที่มาภายหลังท่าน
กจ 7.26 วันรุ่งขึ้นโมเสสได้เข้ามาพบเขาขณะวิวาทกัน ก็อยากจะให้เขากลับดีกันอีก จึงกล่าวว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ท่านเป็นพี่น้องกัน ไฉนจึงทำร้ายกันเล่า’
กจ 8.28 ขณะนั่งรถม้ากลับไป ท่านอ่านหนังสืออิสยาห์ศาสดาพยากรณ์อยู่
กจ 15.3 คริสตจักรได้จัดส่งท่านเหล่านั้นไป และขณะเมื่อท่านกำลังข้ามแคว้นฟีนิเซียกับแคว้นสะมาเรีย ท่านได้กล่าวถึงเรื่องที่คนต่างชาติได้กลับใจใหม่ ทำให้พวกพี่น้องมีความยินดีอย่างยิ่ง
กจ 24.25 ขณะเมื่อเปาโลอ้างถึงความชอบธรรม ความอดกลั้นใจทางกาม และการพิพากษาซึ่งจะมาเบื้องหน้านั้น เฟลิกส์ก็กลัวจนตัวสั่น จึงพูดว่า “คราวนี้จงไปก่อนเถอะ เมื่อเรามีโอกาส เราจะเรียกท่านมาอีก”
รม 5.6 ขณะเมื่อเรายังขาดกำลัง พระคริสต์ก็ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อช่วยคนอธรรมในเวลาที่เหมาะสม
2ทธ 1.17 แต่ขณะเมื่อเขาอยู่ในกรุงโรม เขาได้อุตส่าห์สืบหาข้าพเจ้าจนพบข้าพเจ้า
ฮบ 5.7 ฝ่ายพระเยซู ขณะเมื่อพระองค์ดำรงอยู่ในเนื้อหนังนั้น พระองค์ได้ถวายคำอธิษฐาน และทูลวิงวอนด้วยทรงกันแสงมากมายและน้ำพระเนตรไหล ต่อพระเจ้าผู้ทรงสามารถช่วยพระองค์ให้พ้นจากความตายได้ และพระเจ้าได้ทรงสดับเพราะพระองค์นั้นได้ยำเกรง
ยด 1.12 คนเหล่านี้เป็นรอยด่างในการประชุมเลี้ยงผูกรักของท่านทั้งหลาย ขณะเขาร่วมการเลี้ยงกับท่าน เขาเลี้ยงแต่ตนเองโดยไม่เกรงกลัวเลย เขาเป็นเมฆที่ปราศจากน้ำที่ถูกพัดลอยไปตามลม เป็นต้นไม้ที่ผลของมันเหี่ยวแห้งไปจึงไม่มีผลอยู่เลย และตายมาสองหนแล้ว เพราะถูกถอนออกทั้งราก

ขณะใด ( 1 )
2คร 3.15 แต่ว่าตลอดมาถึงทุกวันนี้ ขณะใดที่เขาอ่านคำของโมเสส ผ้าคลุมนั้นก็ยังปิดบังใจของเขาไว้

ขณะที่ ( 93 )
ปฐก 19.16 ขณะที่เขายังรีรออยู่ ทูตเหล่านั้นจึงคว้าจับมือเขา มือภรรยาของเขาและมือบุตรสาวทั้งสองของเขา พระเยโฮวาห์ทรงมีความเมตตาต่อเขา ทูตเหล่านั้นจึงนำเขาออกมาและให้เขาอยู่ที่นอกเมือง
ปฐก 35.17 ต่อมาขณะที่นางเจ็บครรภ์นัก หญิงผดุงครรภ์บอกนางว่า “อย่ากลัว ท่านจะได้บุตรชายคนนี้ด้วย”
ปฐก 37.25 ขณะที่นั่งรับประทานอยู่เขาเงยหน้าขึ้น ดูเถิด เห็นหมู่คนอิชมาเอลมาจากเมืองกิเลอาด มีฝูงอูฐบรรทุกยางไม้ พิมเสนและมดยอบ เอาเดินทางลงไปยังอียิปต์
ปฐก 45.1 โยเซฟอดกลั้นต่อหน้าบรรดาผู้ที่ยืนอยู่ต่อไปอีกมิได้ ท่านก็ร้องสั่งว่า “ให้ทุกคนออกไปเสียเถิด” จึงไม่มีผู้ใดยืนอยู่กับท่านด้วย ขณะที่โยเซฟแจ้งให้พี่น้องรู้จักตัวท่าน
อพย 12.13 แต่เลือดที่บ้านที่เจ้าทั้งหลายอยู่นั้น จะเป็นหมายสำคัญสำหรับเจ้า เมื่อเราเห็นเลือดนั้นเราจะผ่านเว้นเจ้าทั้งหลายไป จะไม่มีภัยพิบัติทำลายเจ้า ขณะที่เราประหารประเทศอียิปต์
อพย 16.10 ต่อมาขณะที่อาโรนกล่าวแก่บรรดาชุมนุมชนอิสราเอลอยู่นั้น เขาทั้งหลายมองไปทางถิ่นทุรกันดาร แล้วดูเถิด สง่าราศีของพระเยโฮวาห์ปรากฏอยู่ในเมฆ
อพย 19.9 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “ดูเถิด เราจะมาหาเจ้าในเมฆหนาทึบ เพื่อพลไพร่จะได้ยินขณะที่เราพูดกับเจ้า แล้วจะได้เชื่อเจ้าตลอดไป” โมเสสนำคำของพลไพร่นั้นกราบทูลพระเยโฮวาห์
อพย 29.30 จงให้บุตรชายซึ่งจะเป็นปุโรหิตแทนเขานั้นสวมเครื่องยศเหล่านั้นครบเจ็ดวัน ขณะที่เขามายังพลับพลาแห่งชุมนุมเพื่อปรนนิบัติในที่บริสุทธิ์
ลนต 22.3 จงกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า ‘คนใดก็ตามในเชื้อสายของเจ้าตลอดชั่วอายุเข้าใกล้ของบริสุทธิ์ ซึ่งคนอิสราเอลถวายแด่พระเยโฮวาห์ ขณะที่เขามีมลทินอยู่ คนนั้นจะต้องถูกตัดขาดให้พ้นหน้าเรา เราคือพระเยโฮวาห์
ลนต 26.43 แต่แผ่นดินจะต้องถูกละไว้จากเขาและจะได้ชื่นชมกับสะบาโตเหล่านั้นของมันขณะที่มันยังว่างเปล่าอยู่โดยไม่มีพวกเขาทั้งหลาย เขาทั้งหลายจะยอมรับการลงโทษในความชั่วช้าของเขา เพราะเขาได้รังเกียจคำตัดสินของเรา และเพราะจิตใจของเขาเกลียดชังกฎเกณฑ์ของเรา
กดว 18.2 และจงนำพี่น้องของเจ้ามาใกล้เจ้า ซึ่งเป็นตระกูลเลวี ตระกูลบิดาของเจ้า เพื่อเขาจะสมทบกับเจ้า และปรนนิบัติเจ้า ขณะที่เจ้าและบุตรชายปรนนิบัติอยู่ต่อหน้าพลับพลาพระโอวาท
กดว 23.15 บาลาอัมพูดกับบาลาคว่า “จงยืนอยู่ข้างเครื่องเผาบูชาของท่านเถิด ขณะที่ข้าพเจ้าไปพบพระเยโฮวาห์ตรงโน้น”
1ซมอ 7.10 ขณะที่ซามูเอลถวายเครื่องเผาบูชาอยู่นั้น คนฟีลิสเตียก็เข้ามาใกล้จะสู้รบกับอิสราเอล แต่พระเยโฮวาห์ทรงให้ฟ้าร้องเสียงดังยิ่งนักในวันนั้นสู้กับคนฟีลิสเตีย กระทำให้คนฟีลิสเตียสับสนอลหม่าน จึงพ่ายแพ้แก่อิสราเอล
1ซมอ 27.11 ดาวิดมิได้ไว้ชีวิตผู้ชายหรือผู้หญิง ที่จะนำข่าวมาที่เมืองกัทโดยคิดว่า “เกรงว่าเขาจะบอกเรื่องของเราและกล่าวว่า ‘ดาวิดได้ทำอย่างนั้นๆ และนี่จะเป็นวิธีการขณะที่ท่านอาศัยอยู่ในแผ่นดินฟีลิสเตีย’”
2ซมอ 18.14 โยอาบจึงว่า “เราไม่ควรเสียเวลากับเจ้าเช่นนี้” ท่านก็หยิบหลาวสามอันแทงเข้าไปที่หัวใจของอับซาโลมขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ที่ในต้นโอ๊ก
2ซมอ 19.18 เขาทั้งหลายได้ข้ามท่าข้ามไปรับราชวงศ์ของกษัตริย์ และคอยปฏิบัติให้ชอบพระทัย ชิเมอี บุตรชายเก-รา ได้กราบลงต่อพระพักตร์กษัตริย์ขณะที่พระองค์เสด็จข้ามแม่น้ำจอร์แดน
1พกษ 1.14 ดูเถิด ขณะที่พระองค์กราบทูลกษัตริย์อยู่ ข้าพระองค์จะตามเข้าไปเฝ้า และสนับสนุนพระเสาวนีย์ของพระองค์”
1พกษ 1.42 ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ ดูเถิด โยนาธานบุตรชายอาบียาธาร์ปุโรหิตก็มาถึง และอาโดนียาห์ก็กล่าวว่า “เข้ามาเถิด เพราะเจ้าเป็นคนมีกำลังมากจึงนำข่าวดีมา”
1พกษ 3.17 หญิงคนหนึ่งทูลว่า “โอ ข้าแต่เจ้านายของข้าพระองค์ ข้าพระองค์และผู้หญิงคนนี้อาศัยอยู่ในเรือนเดียวกัน และข้าพระองค์ก็คลอดบุตรคนหนึ่งขณะที่นางนั้นอยู่ในเรือน
1พกษ 3.20 พอเที่ยงคืนนางก็ลุกขึ้น และเอาบุตรชายของข้าพระองค์ไปเสียจากข้างข้าพระองค์ ขณะที่สาวใช้ของพระองค์หลับอยู่ และวางเขาไว้ในอกของเธอ และเธอเอาบุตรของเธอที่ตายแล้วนั้นไว้ในอกของข้าพระองค์
1พกษ 8.14 แล้วกษัตริย์ก็หันมาและทรงให้พรแก่ชุมนุมชนอิสราเอลทั้งปวง (ขณะที่ชุมนุมชนอิสราเอลทั้งปวงยืนอยู่)
1พกษ 13.20 และต่อมาขณะที่พวกเขานั่งอยู่ที่โต๊ะ พระวจนะของพระเยโฮวาห์มายังผู้พยากรณ์ผู้ที่ได้นำท่านกลับ
1พกษ 20.12 ต่อมาเมื่อเบนฮาดัดได้ยินข่าวนี้ขณะที่ดื่มอยู่กับบรรดากษัตริย์ทั้งหลายที่ในทับอาศัย ท่านก็สั่งข้าราชการของท่านว่า “จงเข้าประจำที่” และเขาทั้งหลายก็เข้าประจำที่เพื่อต่อสู้กับเมืองนั้น
2พกษ 4.40 เขาก็เทออกให้คนเหล่านั้นรับประทาน ต่อมาขณะที่เขากำลังรับประทานข้าวต้มอยู่นั้น เขาร้องขึ้นว่า “โอ ข้าแต่คนแห่งพระเจ้า มีความตายอยู่ในหม้อนี้” และเขาก็รับประทานกันไม่ได้
2พกษ 6.5 ขณะที่คนหนึ่งฟันไม้อยู่ หัวขวานของเขาตกลงไปในน้ำ และเขาร้องขึ้นว่า “อนิจจา นายครับ ขวานนั้นผมขอยืมเขามา”
2พกษ 6.26 ขณะที่กษัตริย์แห่งอิสราเอลทรงผ่านไปบนกำแพง มีผู้หญิงคนหนึ่งร้องทูลพระองค์ว่า “โอ ข้าแต่กษัตริย์ เจ้านายของข้าพระองค์ ขอทรงช่วย”
2พกษ 6.33 ขณะที่ท่านยังพูดกับเขาทั้งหลายอยู่ ดูเถิด ผู้สื่อสารลงมาหาท่าน และบอกว่า “ดูเถิด เหตุร้ายนี้มาจากพระเยโฮวาห์ ข้าพเจ้าจะรอคอยพระเยโฮวาห์อีกทำไม”
1พศด 21.12 คือ กันดารอาหารสามปี หรือการล้างผลาญโดยศัตรูของเจ้าสามเดือนขณะที่ดาบของศัตรูจะขับเจ้าทัน หรือดาบของพระเยโฮวาห์สามวันคือโรคระบาดบนแผ่นดิน และทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ทำลายทั่วไปในดินแดนทั้งสิ้นของอิสราเอล ฉะนั้นบัดนี้ขอทรงพิจารณาดูว่าจะให้ข้าพระองค์กราบทูลพระองค์ผู้ทรงใช้ข้าพระองค์มาว่าประการใด”
2พศด 6.3 แล้วกษัตริย์ก็ทรงหันพระพักตร์มา และทรงให้พรแก่ชุมนุมชนอิสราเอลทั้งปวง ขณะที่ชุมนุมชนอิสราเอลทั้งปวงยืนอยู่
2พศด 25.16 อยู่มาขณะที่เขากำลังทูลอยู่ กษัตริย์ตรัสกับเขาว่า “เราได้แต่งตั้งเจ้าให้เป็นที่ปรึกษาของกษัตริย์หรือ หยุด ทำไมเจ้าจะต้องตายเล่า” ผู้พยากรณ์นั้นจึงหยุด แต่ทูลว่า “ข้าพระองค์ทราบว่าพระเจ้าทรงตั้งพระทัยจะทำลายพระองค์ เพราะพระองค์ทรงกระทำเช่นนี้ และมิได้ทรงฟังคำปรึกษาของข้าพระองค์”
2พศด 34.14 ขณะที่เขาทั้งหลายนำเงินที่ได้ถวายในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ออกมา ฮิลคียาห์ปุโรหิตได้พบหนังสือพระราชบัญญัติของพระเยโฮวาห์ซึ่งทรงประทานทางโมเสส
อสร 10.1 ขณะที่เอสราอธิษฐานและทำการสารภาพร้องไห้ทิ้งตัวลงต่อหน้าพระนิเวศของพระเจ้า มีชุมนุมชนหมู่ใหญ่โตมากทั้งชายหญิงและเด็กจากอิสราเอลประชุมต่อหน้าท่าน เพราะประชาชนได้ร้องไห้อย่างขมขื่น
นหม 1.1 ถ้อยคำของเนหะมีย์ บุตรชายฮาคาลิยาห์ ต่อมาในเดือนคิสลิว ในปีที่ยี่สิบขณะที่ข้าพเจ้าอยู่ในสุสาปราสาท
นหม 4.18 ผู้ก่อสร้างทุกคนมีดาบคาดอยู่ที่สีข้างขณะที่เขาสร้าง ชายที่เป่าแตรอยู่ข้างข้าพเจ้า
อสธ 1.4 ขณะที่พระองค์ทรงแสดงราชสมบัติแห่งราชอาณาจักรอันรุ่งเรืองของพระองค์ ทั้งความโอ่อ่าตระการอันรุ่งโรจน์ของพระองค์อยู่เป็นเวลาหลายวัน ถึงหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
โยบ 1.16 ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ ก็มีอีกคนหนึ่งมาเรียนว่า “เพลิงของพระเจ้าตกลงมาจากฟ้าสวรรค์ไหม้แกะและคนใช้และเผาผลาญเสียหมด และข้าพเจ้าแต่ผู้เดียวได้หนีรอดมาเรียนท่าน”
โยบ 1.17 ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ มีอีกคนหนึ่งมาเรียนว่า “ชาวเคลเดียจัดเป็นสามกองทำการปล้นเอาอูฐไป และฆ่าคนใช้เสียด้วยคมดาบ และข้าพเจ้าผู้เดียวได้หนีรอดมาเรียนท่าน”
โยบ 1.18 ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ มีอีกคนหนึ่งมาเรียนว่า “บุตรชายหญิงของท่านกำลังรับประทานและดื่มน้ำองุ่นอยู่ในเรือนของพี่ชายหัวปีของเขา
โยบ 8.12 ขณะที่มีดอกยังไม่ได้ตัดลง มันก็เหี่ยวแห้งไปก่อนต้นไม้อื่นๆ
โยบ 32.11 ดูเถิด ข้าพเจ้าได้คอยฟังคำของท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าเงี่ยหูฟังเหตุผลของท่านขณะที่ท่านค้นหาว่าจะพูดว่ากระไร
สดด 31.13 พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ได้ยินเสียงซุบซิบของคนเป็นอันมาก มีความสยดสยองอยู่ทุกด้าน ขณะเมื่อเขาร่วมกันคิดแผนการต่อสู้ข้าพระองค์ ขณะที่เขาปองร้ายชีวิตของข้าพระองค์
สดด 39.3 จิตใจข้าพเจ้าร้อนอยู่ภายในข้าพเจ้า ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังรำพึงอยู่นั้นไฟก็ลุก ข้าพเจ้าจึงพูดด้วยลิ้นของข้าพเจ้าว่า
สดด 41.6 ถ้าคนหนึ่งคนใดมาเห็นข้าพระองค์ เขาจะพูดเรื่องไร้สาระ ขณะที่ใจของเขาเก็บเรื่องความชั่วช้า เมื่อเขาออกไปเขาก็ป่าวร้องไป
สดด 42.3 ข้าพเจ้ากินน้ำตาต่างอาหารทั้งวันคืน ขณะที่คนพูดกับข้าพเจ้าวันแล้ววันเล่าว่า “พระเจ้าของเจ้าอยู่ที่ไหน”
สดด 78.30 แต่ก่อนที่เขาจะหายอยาก ขณะที่อาหารยังอยู่ในปากของเขา
สดด 84.6 ขณะที่เขาผ่านไปตามหว่างเขาบาคา เขากระทำให้เป็นที่น้ำพุ ฝนต้นฤดูกระทำให้สระน้ำเต็ม
สดด 87.6 ขณะที่พระเยโฮวาห์ทรงจดชนชาติทั้งหลาย พระองค์จะทรงบันทึกว่า “ผู้นี้เกิดที่นั่น” เซลาห์
สดด 146.2 ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระเยโฮวาห์ตราบเท่าที่ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าของข้าพเจ้าขณะที่ข้าพเจ้ายังเป็นอยู่
อสย 65.24 และต่อมา ก่อนที่เขาร้องเรียก เราจะตอบ ขณะที่เขายังพูดอยู่ เราจะฟัง
ยรม 2.2 “จงไปประกาศกรอกหูของกรุงเยรูซาเล็มว่า พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า เรายังจำเจ้าได้ คือความเมตตาในวัยสาวของเจ้า ความรักขณะที่เจ้าเข้าพิธีสมรส เมื่อเจ้าตามเรามาในถิ่นทุรกันดาร ในดินแดนที่ไม่ได้หว่านพืชอะไร
ยรม 20.4 เพราะพระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะกระทำเจ้าให้เป็นที่น่าหวาดเสียวต่อตัวเจ้าเอง และต่อมิตรสหายทั้งสิ้นของเจ้า เขาทั้งหลายจะล้มลงด้วยดาบของศัตรูของเขา ขณะที่ตาเจ้ามองดูอยู่ และเราจะมอบยูดาห์ทั้งสิ้นไว้ในมือของกษัตริย์บาบิโลน เขาจะกวาดเอาไปเป็นเชลยยังบาบิโลน และจะฆ่าเสียด้วยดาบ
ยรม 33.11 ที่นั่นจะได้ยินเสียงบันเทิงและเสียงรื่นเริง และเสียงเจ้าบ่าวและเสียงเจ้าสาว และเสียงบรรดาคนเหล่านั้นที่ร้องเพลงอีก ขณะที่เขานำเครื่องบูชาแห่งการสรรเสริญมายังพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ ว่า ‘จงสรรเสริญพระเยโฮวาห์จอมโยธา เพราะพระเยโฮวาห์ประเสริฐ เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์’ เพราะเราจะให้พวกเชลยแห่งแผ่นดินนั้นกลับสู่สภาพเดิม พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ยรม 39.15 พระวจนะของพระเยโฮวาห์มายังเยเรมีย์ ขณะที่ท่านถูกขังอยู่ในบริเวณทหารรักษาพระองค์นั้นว่า
ยรม 51.39 ขณะที่เขาทั้งหลายผ่าวร้อน เราจะเตรียมการเลี้ยงให้ และกระทำให้เขาทั้งหลายมึนเมา เพื่อเขาทั้งหลายจะปลาบปลื้มยินดี จนเขาทั้งหลายจะนอนหลับอยู่ชั่วกาลนาน ไม่ตื่นเลย พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
อสค 1.9 คือปีกของมันต่างก็จดปีกของกันและกัน มันบินตรงไปข้างหน้า ขณะที่ไปก็ไม่หันเลย
อสค 8.1 ต่อมาเมื่อวันที่ห้า เดือนที่หก ในปีที่หก ขณะที่ข้าพเจ้านั่งอยู่ในเรือนของข้าพเจ้า และพวกผู้ใหญ่ของพวกยูดาห์นั่งอยู่หน้าข้าพเจ้า พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าลงมาบนข้าพเจ้า ณ ที่นั้น
อสค 9.8 ต่อมาขณะที่เขากำลังฆ่าฟันอยู่นั้นเหลือข้าพเจ้าแต่ลำพัง ข้าพเจ้าก็ซบหน้าลงถึงดินร้องว่า “อนิจจา องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า พระองค์จะทรงทำลายคนอิสราเอลที่เหลืออยู่นั้นทั้งสิ้นในการที่พระองค์ทรงระบายความกริ้วของพระองค์เหนือเยรูซาเล็มหรือ”
อสค 43.6 ขณะที่ชายคนนั้นยังยืนอยู่ที่ข้างข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ยินพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าดังออกมาจากพระนิเวศ
ดนล 7.9 ขณะที่ข้าพเจ้าดูอยู่มีหลายบัลลังก์ถูกล้มลง และผู้หนึ่งผู้เจริญด้วยวัยวุฒิมาประทับ ฉลองพระองค์ขาวอย่างหิมะ พระเกศาที่พระเศียรของพระองค์เหมือนขนแกะบริสุทธิ์ พระบัลลังก์ของพระองค์เป็นเปลวเพลิง กงจักรของบัลลังก์นั้นเป็นไฟลุก
ดนล 8.2 และข้าพเจ้าเห็นเป็นนิมิต ต่อมาขณะที่ข้าพเจ้าอยู่ที่สุสาปราสาท ซึ่งอยู่ในแขวงเมืองเอลาม และข้าพเจ้าก็เห็นเป็นนิมิต และข้าพเจ้าอยู่ริมแม่น้ำอุลัย
ดนล 9.20 ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังพูด กำลังอธิษฐานและสารภาพบาปของข้าพเจ้าและบาปของอิสราเอลประชาชนของข้าพเจ้า และเสนอคำวิงวอนของข้าพเจ้าต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้า เพื่อภูเขาบริสุทธิ์แห่งพระเจ้าของข้าพเจ้าอยู่นั้น
ดนล 10.11 ท่านกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า “โอ ดาเนียล บุรุษผู้เป็นที่รักอย่างยิ่ง จงเข้าใจถ้อยคำที่เราพูดกับท่าน และยืนตรง เพราะบัดนี้ข้าพเจ้าได้รับใช้ให้มาหาท่าน” ขณะที่ท่านกล่าวคำนี้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ยืนสั่นสะท้านอยู่
มธ 4.18 ขณะที่พระเยซูทรงดำเนินอยู่ตามชายทะเลกาลิลี ก็ทอดพระเนตรเห็นพี่น้องสองคน คือซีโมนที่เรียกว่าเปโตร กับอันดรูว์น้องชายของเขา กำลังทอดอวนอยู่ที่ทะเล เพราะเขาเป็นชาวประมง
มธ 5.25 จงปรองดองกับคู่ความโดยเร็วขณะที่พากันไป เกลือกว่าในเวลาหนึ่งเวลาใดคู่ความนั้นจะมอบท่านไว้กับผู้พิพากษา แล้วผู้พิพากษาจะมอบท่านไว้กับผู้คุม และท่านจะต้องถูกขังไว้ในเรือนจำ
มธ 12.46 ขณะที่พระองค์ยังตรัสกับประชาชนอยู่นั้น ดูเถิด มารดาและพวกน้องชายของพระองค์พากันมายืนอยู่ภายนอกประสงค์จะสนทนากับพระองค์
มธ 17.9 ขณะที่ลงมาจากภูเขา พระเยซูตรัสกำชับเหล่าสาวกว่า “นิมิตซึ่งพวกท่านได้เห็นนั้น อย่าบอกเล่าแก่ผู้ใดจนกว่าบุตรมนุษย์จะฟื้นขึ้นมาจากความตาย”
มธ 21.18 ครั้นเวลาเช้าขณะที่พระองค์เสด็จกลับไปยังกรุงอีก พระองค์ก็ทรงหิวพระกระยาหาร
มธ 27.32 ขณะที่พวกเขาออกไปนั้น เขาได้พบชาวไซรีนคนหนึ่งชื่อซีโมน เขาจึงเกณฑ์คนนั้นให้แบกกางเขนของพระองค์ไป
มธ 28.9 ขณะที่หญิงเหล่านั้นไปบอกสาวกของพระองค์ ดูเถิด พระเยซูได้เสด็จพบเขาและตรัสว่า “จงจำเริญเถิด” หญิงเหล่านั้นก็มากอดพระบาทของพระองค์ และนมัสการพระองค์
มธ 28.11 ขณะที่พวกผู้หญิงกำลังไปอยู่นั้น ดูเถิด มีบางคนในพวกที่เฝ้ายามได้เข้าไปในเมือง เล่าเหตุการณ์ทั้งปวงที่บังเกิดขึ้นนั้นให้พวกปุโรหิตใหญ่ฟัง
มก 1.16 ขณะที่พระองค์เสด็จไปตามชายทะเลกาลิลี พระองค์ก็ทรงทอดพระเนตรเห็นซีโมนและอันดรูว์น้องชายของซีโมน กำลังทอดอวนอยู่ที่ทะเล ด้วยว่าเขาเป็นชาวประมง
มก 10.32 เมื่อกำลังเดินทางจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม พระเยซูก็เสด็จนำหน้าเขา ฝ่ายเหล่าสาวกก็พากันคิดประหลาดใจ และขณะที่เขาตามมาก็หวาดกลัว พระองค์จึงทรงเรียกสาวกสิบสองคนอีก แล้วเริ่มตรัสสำแดงให้เขาทราบถึงเหตุการณ์ซึ่งจะเกิดแก่พระองค์นั้น
มก 14.66 และขณะที่เปโตรอยู่ใต้คฤหาสน์ข้างล่างนั้น มีหญิงคนหนึ่งในพวกสาวใช้ของท่านมหาปุโรหิตเดินมา
ลก 1.8 ต่อมาขณะที่เศคาริยาห์ทำหน้าที่ปุโรหิตเข้าเฝ้าพระเจ้า เมื่อท่านอยู่เวรประจำการของท่าน
ลก 9.29 ขณะที่พระองค์กำลังอธิษฐานอยู่ วรรณพระพักตร์ของพระองค์ก็เปลี่ยนไป และฉลองพระองค์ก็ขาวเป็นมันระยับ
ยน 1.36 และท่านมองดูพระเยซูขณะที่พระองค์ทรงดำเนินและกล่าวว่า “จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า”
ยน 4.51 ขณะที่ท่านกลับไปนั้น พวกผู้รับใช้ของท่านได้มาพบและเรียนท่านว่า “บุตรชายของท่านหายแล้ว”
ยน 6.59 คำเหล่านี้พระองค์ได้ตรัสในธรรมศาลา ขณะที่พระองค์ทรงสั่งสอนอยู่ที่เมืองคาเปอรนาอุม
ยน 7.28 ดังนั้นพระเยซูจึงทรงประกาศขณะที่ทรงสั่งสอนอยู่ในพระวิหารว่า “ท่านทั้งหลายรู้จักเรา และรู้ว่าเรามาจากไหน แต่เรามิได้มาตามลำพังเราเอง แต่พระองค์ผู้ทรงใช้เรามานั้นทรงสัตย์จริง แต่ท่านทั้งหลายไม่รู้จักพระองค์
ยน 13.25 ขณะที่ยังเอนกายอยู่ที่พระทรวงของพระเยซู สาวกคนนั้นก็ทูลถามพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า คนนั้นคือใคร”
ยน 20.11 แต่ฝ่ายมารีย์ยืนร้องไห้อยู่นอกอุโมงค์ ขณะที่ร้องไห้อยู่เธอก้มลงมองดูที่อุโมงค์
กจ 4.1 ขณะที่เปโตรกับยอห์นยังกล่าวแก่คนทั้งปวงอยู่ ปุโรหิตทั้งหลายกับนายทหารรักษาพระวิหารและพวกสะดูสีมาหาท่านทั้งสอง
กจ 19.1 ต่อมาขณะที่อปอลโลยังอยู่ในเมืองโครินธ์นั้น เปาโลได้ไปตามแว่นแคว้นฝ่ายเหนือ แล้วมายังเมืองเอเฟซัส และพบสาวกบางคน
กจ 25.14 ขณะที่ท่านค้างอยู่ที่นั่นหลายวัน เฟสทัสก็เล่าเรื่องคดีของเปาโลให้กษัตริย์ฟังว่า “มีชายคนหนึ่งซึ่งเฟลิกซ์ได้ขังทิ้งไว้
รม 5.8 แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา
รม 5.10 เพราะว่าถ้าขณะที่เรายังเป็นศัตรู เราได้กลับคืนดีกับพระเจ้าโดยที่พระบุตรของพระองค์สิ้นพระชนม์ ยิ่งกว่านั้นอีกเมื่อเรากลับคืนดีแล้ว เราก็จะรอดโดยพระชนม์ชีพของพระองค์แน่
รม 15.24 เมื่อข้าพเจ้าจะไปประเทศสเปน ข้าพเจ้าจะแวะมาหาท่านทั้งหลาย เพราะข้าพเจ้าหวังว่าจะได้พบท่านขณะที่ไปตามทางนั้น และเมื่อได้รับความบันเทิงใจกับท่านทั้งหลายบ้างแล้ว ข้าพเจ้าจะได้ลาท่านไปตามทาง
2คร 5.6 เหตุฉะนั้นเรามั่นใจอยู่เสมอรู้อยู่แล้วว่า ขณะที่เราอยู่ในร่างกายนี้ เราอยู่ปราศจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
1ทธ 6.10 ด้วยว่าการรักเงินนั้นเป็นรากเหง้าแห่งความชั่วทั้งสิ้น ขณะที่บางคนโลภสิ่งเหล่านี้จึงได้หลงไปจากความเชื่อนั้น และทิ่มแทงตัวของเขาเองให้ทะลุด้วยความทุกข์ใจเป็นอันมาก
ฮบ 7.1 เพราะเมลคีเซเดคผู้นี้คือกษัตริย์เมืองซาเลม เป็นปุโรหิตของพระเจ้าผู้สูงสุด ผู้ได้พบอับราฮัมขณะที่กำลังกลับมาจากการฆ่าฟันกษัตริย์ทั้งหลาย และได้อวยพรแก่อับราฮัม
ฮบ 7.10 เพราะว่าขณะนั้นเขายังอยู่ในเอวของบรรพบุรุษ ขณะที่เมลคีเซเดคได้พบกับอับราฮัม
ฮบ 11.21 โดยความเชื่อ ยาโคบเมื่อจะตายได้อวยพรแก่บุตรชายทั้งสองของโยเซฟ และได้นมัสการขณะที่ค้ำอยู่บนหัวไม้เท้าของท่าน
วว 10.10 ข้าพเจ้ารับหนังสือม้วนเล็กนั้นจากมือทูตสวรรค์แล้วก็กินเข้าไป ขณะที่มันอยู่ในปากของข้าพเจ้านั้นมันก็หวานเหมือนน้ำผึ้ง แต่เมื่อข้าพเจ้ากินมันเข้าไปแล้วท้องข้าพเจ้าก็ขม

ขณะนั้น ( 56 )
ปฐก 13.7 เกิดมีการวิวาทกันระหว่างคนเลี้ยงสัตว์ของอับรามกับคนเลี้ยงสัตว์ของโลท ขณะนั้นคนคานาอันและคนเปรีสซียังอาศัยอยู่ที่แผ่นดินนั่น
ปฐก 37.28 ขณะนั้นพวกพ่อค้าชาวมีเดียนกำลังผ่านมา พวกพี่ชายก็ฉุดโยเซฟขึ้นจากบ่อ ขายให้แก่คนอิชมาเอลเป็นเงินยี่สิบเหรียญ คนอิชมาเอลก็พาโยเซฟไปยังอียิปต์
อพย 9.1 ขณะนั้นพระเยโฮวาห์จึงตรัสกับโมเสสว่า “ไปเข้าเฝ้าฟาโรห์บอกฟาโรห์ว่า ‘พระเยโฮวาห์พระเจ้าของคนฮีบรูตรัสดังนี้ว่า “จงปล่อยให้พลไพร่ของเราไป เพื่อเขาจะได้ปรนนิบัติเรา
อพย 14.26 ขณะนั้นพระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงยื่นมือออกไปเหนือทะเล เพื่อให้น้ำทะเลไหลกลับคืนมาท่วมคนอียิปต์ ทั้งรถรบและพลม้าของเขา”
อพย 15.1 ขณะนั้นโมเสสกับชนชาติอิสราเอลร้องเพลงบทนี้ ถวายพระเยโฮวาห์ว่า “ข้าพเจ้าจะร้องเพลงถวายพระเยโฮวาห์ เพราะพระองค์ทรงได้ชัยชนะอย่างใหญ่หลวง พระองค์ทรงกวาดม้าและพลม้าลงในทะเล
ลนต 26.34 แผ่นดินจะชื่นชมกับสะบาโตเหล่านั้นของมันตราบเท่าที่แผ่นดินนั้นยังว่างเปล่าอยู่ และเจ้าต้องไปอยู่ในแผ่นดินของศัตรู ซึ่งขณะนั้นแผ่นดินก็จะได้หยุดพัก และชื่นชมกับสะบาโตเหล่านั้นของมัน
กดว 14.10 แต่ชุมนุมชนทั้งหมดนั้นพูดกันว่าให้เอาก้อนหินขว้างเขาเสีย ขณะนั้นสง่าราศีของพระเยโฮวาห์ปรากฏที่พลับพลาแห่งชุมนุมต่อหน้าบรรดาคนอิสราเอล
กดว 33.4 ขณะนั้นชาวอียิปต์กำลังฝังศพลูกหัวปีทั้งหลายของตน เป็นผู้ที่พระเยโฮวาห์ทรงประหารชีวิตท่ามกลางพวกเขา พระเยโฮวาห์ทรงลงโทษพระทั้งหลายของเขาด้วย
ยชว 11.10 ขณะนั้นโยชูวากลับมายึดเมืองฮาโซร์ และประหารกษัตริย์เมืองนั้นเสียด้วยดาบ เพราะว่าแต่ก่อนนี้ฮาโซร์เป็นหัวหน้าแห่งราชอาณาจักรเหล่านั้นทั้งหมด
ยชว 14.6 ขณะนั้นคนยูดาห์มาหาโยชูวา ณ เมืองกิลกาล และคาเลบบุตรชายเยฟุนเนห์ชาวเคนัสได้กล่าวแก่ท่านว่า “ท่านทราบเรื่องซึ่งพระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสบุรุษของพระเจ้าที่คาเดชบารเนียเกี่ยวกับท่านและข้าพเจ้าแล้ว
ยชว 21.1 ขณะนั้นหัวหน้าบรรพบุรุษของคนเลวีมาหาเอเลอาซาร์ปุโรหิตและโยชูวาบุตรชายนูน และหัวหน้าบรรพบุรุษของตระกูลต่างๆของคนอิสราเอล
ยชว 22.21 ขณะนั้นคนรูเบน คนกาดและคนมนัสเสห์ครึ่งตระกูลได้ตอบผู้หัวหน้าของคนอิสราเอลที่นับเป็นพันๆว่า
วนฉ 3.20 และเอฮูดก็เข้าไปเฝ้าท่าน ขณะนั้นท่านประทับอยู่ลำพังในห้องเย็นชั้นบนของท่าน และเอฮูดทูลว่า “ข้าพระองค์มีพระดำรัสจากพระเจ้าถวายพระองค์” ท่านจึงลุกขึ้นจากพระที่นั่ง
2ซมอ 3.22 ดูเถิด ขณะนั้นข้าราชการทหารของดาวิดกับโยอาบกลับมาจากการไปปล้นและนำสิ่งของที่ริบได้มากมายนั้นมาด้วย แต่อับเนอร์มิได้อยู่กับดาวิดที่เฮโบรนแล้ว เพราะพระองค์ทรงส่งท่านกลับไป และท่านก็ไปโดยสันติภาพ
นหม 1.11 โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ทูลวิงวอนต่อพระองค์ ขอทรงเงี่ยพระกรรณตั้งพระทัยสดับฟังคำอธิษฐานของผู้รับใช้ของพระองค์ และคำอธิษฐานของบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ ผู้ปรารถนาจะยำเกรงพระนามของพระองค์ ข้าพระองค์ทูลวิงวอนต่อพระองค์ ขอทรงให้ผู้รับใช้ของพระองค์จำเริญขึ้นในวันนี้ และขอทรงโปรดให้เขาได้รับความเมตตาในสายตาของชายคนนี้” ขณะนั้น ข้าพเจ้าเป็นพนักงานเชิญถ้วยเสวยของกษัตริย์
ดนล 3.24 ขณะนั้นกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ประหลาดพระทัยทรงลุกขึ้นโดยฉับพลัน พระองค์ตรัสกับองคมนตรีของพระองค์ว่า “เรามัดสามคนโยนเข้าไปกลางไฟมิใช่หรือ” เขาทูลตอบกษัตริย์ว่า “โอ ข้าแต่กษัตริย์ จริงพระเจ้าข้า”
มธ 3.5 ขณะนั้นชาวกรุงเยรูซาเล็ม และคนทั่วแคว้นยูเดีย และคนทั่วบริเวณรอบแม่น้ำจอร์แดน ก็ออกไปหายอห์น
มธ 8.19 ขณะนั้นมีธรรมาจารย์คนหนึ่งมาหาพระองค์ทูลว่า “อาจารย์เจ้าข้า ท่านไปทางไหน ข้าพเจ้าจะตามท่านไปทางนั้น”
มธ 11.25 ขณะนั้นพระเยซูทูลตอบว่า “โอ ข้าแต่พระบิดา ผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดิน ข้าพระองค์ขอขอบพระคุณพระองค์ ที่พระองค์ได้ทรงปิดบังสิ่งเหล่านี้ไว้จากผู้มีปัญญาและผู้ฉลาด และได้สำแดงให้ผู้น้อยรู้
มธ 12.22 ขณะนั้นเขาพาคนหนึ่งมีผีเข้าสิงอยู่ ทั้งตาบอดและเป็นใบ้มาหาพระองค์ พระองค์ทรงรักษาให้หาย คนตาบอดและใบ้นั้นจึงพูดจึงเห็นได้
มธ 14.24 แต่ขณะนั้นเรืออยู่กลางทะเลแล้ว และถูกคลื่นโคลงเพราะทวนลมอยู่
มธ 15.12 ขณะนั้นพวกสาวกมาทูลพระองค์ว่า “พระองค์ทรงทราบแล้วหรือว่า เมื่อพวกฟาริสีได้ยินคำตรัสนั้น เขาแค้นเคืองใจนัก”
มธ 15.28 แล้วพระเยซูตรัสตอบเขาว่า “โอ หญิงเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าก็มาก ให้เป็นไปตามความปรารถนาของเจ้าเถิด” และลูกสาวของเขาก็หายเป็นปกติตั้งแต่ขณะนั้น
มธ 16.24 ขณะนั้นพระเยซูจึงตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกและตามเรามา
มธ 18.21 ขณะนั้นเปโตรมาทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า หากพี่น้องของข้าพระองค์จะกระทำผิดต่อข้าพระองค์เรื่อยไป ข้าพระองค์ควรจะยกความผิดของเขาสักกี่ครั้ง ถึงเจ็ดครั้งหรือ”
มธ 19.13 ขณะนั้นเขาพาเด็กเล็กๆมาหาพระองค์ เพื่อจะให้พระองค์ทรงวางพระหัตถ์และอธิษฐาน แต่เหล่าสาวกก็ห้ามปรามไว้
มธ 20.20 ขณะนั้นมารดาของบุตรแห่งเศเบดีพาบุตรชายทั้งสองมาเฝ้าพระองค์ นมัสการทูลขอสิ่งหนึ่งจากพระองค์
มธ 22.15 ขณะนั้นพวกฟาริสีไปปรึกษากันว่า พวกเขาจะจับผิดในถ้อยคำของพระองค์ได้อย่างไร
มธ 25.34 ขณะนั้น พระมหากษัตริย์จะตรัสแก่บรรดาผู้ที่อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ว่า ‘ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา จงมารับเอาราชอาณาจักรซึ่งได้ตระเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลกเป็นมรดก
มธ 26.49 ขณะนั้น ยูดาสตรงมาหาพระเยซูทูลว่า “สวัสดี พระอาจารย์” แล้วจุบพระองค์
มธ 26.55 ขณะนั้นพระเยซูตรัสกับหมู่ชนว่า “ท่านทั้งหลายเห็นเราเป็นโจรหรือจึงถือดาบ ถือตะบองออกมาจับเรา เราได้นั่งกับท่านทั้งหลายสั่งสอนในพระวิหารทุกวัน ท่านก็หาได้จับเราไม่
มธ 26.65 ขณะนั้นมหาปุโรหิตจึงฉีกเสื้อของตน แล้วว่า “เขาได้พูดหมิ่นประมาทแล้ว เราต้องการพยานอะไรอีกเล่า ดูเถิด บัดนี้ ท่านทั้งหลายก็ได้ยินเขาพูดหมิ่นประมาทแล้ว
มธ 26.69 ขณะนั้นเปโตรนั่งอยู่ภายนอกบริเวณคฤหาสน์นั้น มีสาวใช้คนหนึ่งมาพูดกับเขาว่า “เจ้าได้อยู่กับเยซูชาวกาลิลีด้วย”
มก 10.13 ขณะนั้นเขาพาเด็กเล็กๆมาหาพระองค์ เพื่อจะให้พระองค์ทรงถูกต้องตัวเด็กนั้น แต่เหล่าสาวกก็ห้ามปรามคนที่พาเด็กมานั้น
มก 15.38 ขณะนั้นม่านในพระวิหารก็ขาดออกเป็นสองท่อน ตั้งแต่บนตลอดล่าง
ลก 13.1 ขณะนั้น มีบางคนอยู่ที่นั่นเล่าเรื่องชาวกาลิลี ซึ่งปีลาตเอาโลหิตของเขาระคนกับเครื่องบูชาของเขา ให้พระองค์ฟัง
ลก 13.26 ขณะนั้นท่านทั้งหลายเริ่มจะว่า ‘ข้าพเจ้าได้กินได้ดื่มกับท่าน และท่านได้สั่งสอนที่ถนนของพวกข้าพเจ้า’
ยน 1.39 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “มาดูเถิด” เขาก็ไปและเห็นที่ซึ่งพระองค์ทรงอาศัยและวันนั้นเขาก็ได้พักอยู่กับพระองค์ เพราะขณะนั้นประมาณสี่โมงเย็นแล้ว
ยน 4.8 (ขณะนั้นสาวกของพระองค์เข้าไปซื้ออาหารในเมือง)
ยน 4.27 ขณะนั้นสาวกของพระองค์ก็มาถึง และเขาประหลาดใจที่พระองค์ทรงสนทนากับผู้หญิง แต่ไม่มีใครถามว่า “พระองค์ทรงประสงค์อะไร” หรือ “ทำไมพระองค์จึงทรงสนทนากับนาง”
ยน 5.13 คนที่ได้รับการรักษาให้หายโรคนั้นไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด เพราะพระเยซูเสด็จหลบไปแล้ว เนื่องจากขณะนั้นมีคนอยู่ที่นั่นเป็นอันมาก
ยน 6.4 ขณะนั้นใกล้จะถึงปัสกาซึ่งเป็นเทศกาลเลี้ยงของพวกยิวแล้ว
ยน 7.2 ขณะนั้นใกล้จะถึงเทศกาลอยู่เพิงของพวกยิวแล้ว
ยน 10.22 ขณะนั้นเป็นเทศกาลเลี้ยงฉลองพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม และเป็นฤดูหนาว
ยน 11.55 ขณะนั้นใกล้จะถึงเทศกาลปัสกาของพวกยิวแล้ว และคนเป็นอันมากได้ออกจากหัวเมืองนั้นขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มก่อนเทศกาลปัสกาเพื่อจะชำระตัว
ยน 13.30 ดังนั้นเมื่อยูดาสรับประทานอาหารชิ้นนั้นแล้วเขาก็ออกไปทันที ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน
ยน 19.1 ขณะนั้นปีลาตจึงให้เอาพระเยซูไปโบยตี
ยน 20.9 เพราะว่าขณะนั้นเขายังไม่เข้าใจข้อพระคัมภีร์ที่ว่า พระองค์จะต้องฟื้นขึ้นมาจากความตาย
กจ 4.8 ขณะนั้นเปโตรประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์กล่าวแก่เขาว่า “ท่านผู้ครอบครองพลเมืองและพวกผู้ใหญ่ทั้งหลายของอิสราเอล
กจ 15.22 ขณะนั้น อัครสาวกและผู้ปกครองทั้งหลายกับทุกคนในคริสตจักร เห็นชอบที่จะเลือกบางคนในพวกเขาให้ไปยังเมืองอันทิโอก ด้วยกันกับเปาโลและบารนาบัส คือ ยูดาส ผู้ที่มีชื่ออีกว่า บารซับบาส และสิลาส ทั้งสองคนนี้เป็นคนสำคัญในพวกพี่น้อง
กจ 17.14 ขณะนั้นพวกพี่น้องจึงส่งเปาโลออกไปตามทางที่จะไปทะเล แต่สิลาสกับทิโมธียังอยู่ที่นั่น
กจ 22.29 ขณะนั้นคนทั้งหลายที่จะไต่สวนเปาโลก็ได้ละท่านไปทันที และนายพันเมื่อทราบว่า เปาโลเป็นคนสัญชาติโรมก็ตกใจกลัวเพราะได้มัดท่านไว้
รม 6.21 ขณะนั้นท่านได้ผลประโยชน์อะไรในการเหล่านั้น ซึ่งบัดนี้ท่านทั้งหลายก็ละอาย ด้วยว่าที่สุดท้ายของการเหล่านั้นก็คือความตาย
คส 3.4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของเราจะทรงปรากฏ ขณะนั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในสง่าราศีด้วย
2ธส 2.8 ขณะนั้นคนนอกกฎหมายนั้นจะปรากฏตัวขึ้น และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงประหารมันด้วยลมพระโอษฐ์ของพระองค์ และจะทรงผลาญให้สูญไปด้วยการปรากฏแห่งการเสด็จมาของพระองค์
ฮบ 7.10 เพราะว่าขณะนั้นเขายังอยู่ในเอวของบรรพบุรุษ ขณะที่เมลคีเซเดคได้พบกับอับราฮัม

ขณะนี้ ( 10 )
1ซมอ 14.30 ถ้าวันนี้พวกพลได้กินของที่ริบมาจากศัตรูซึ่งเขาหามาได้อย่างอิ่มหนำจะดีกว่านี้สักเท่าใด เพราะขณะนี้การฆ่าฟันคนฟีลิสเตียก็จะมากกว่ามิใช่หรือ”
2ซมอ 17.9 ดูเถิด ถึงขณะนี้ท่านก็ซ่อนอยู่ในบ่อแห่งหนึ่ง หรือในที่หนึ่งที่ใด แล้วต่อมาเมื่อมีคนล้มตายในการสู้รบครั้งแรก ใครที่ได้ยินเรื่องก็จะกล่าวว่า ‘ทหารที่ติดตามอับซาโลมถูกฆ่าฟัน’
อสค 38.12 เพื่อชิงข้าวของปล้นเอาไปและเพื่อชิงเหยื่อ คือเพื่อจะหันมือของเจ้ากลับมายังที่รกร้างซึ่งขณะนี้มีคนอาศัยอยู่ และมายังประชาชนซึ่งรวบรวมจากบรรดาประชาชาติที่ได้สัตว์ใช้งานและข้าวของ คือผู้อาศัยอยู่ท่ามกลางแผ่นดินนั้น
ยน 16.22 ฉันใดก็ดีขณะนี้ท่านทั้งหลายมีความทุกข์โศก แต่เราจะเห็นท่านอีก และใจท่านจะชื่นชมยินดี และไม่มีผู้ใดช่วงชิงความชื่นชมยินดีไปจากท่านได้
รม 15.25 ขณะนี้ข้าพเจ้าจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อช่วยสงเคราะห์วิสุทธิชน
กท 2.20 ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว แต่ข้าพเจ้าก็ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ข้าพเจ้าเองมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า และชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า
ฮบ 2.8 พระองค์ทรงมอบสิ่งทั้งปวงให้อยู่ภายใต้เท้าของเขา’ ในการซึ่งพระองค์ทรงมอบสิ่งทั้งปวงให้อยู่ใต้อำนาจของเขานั้น ไม่มีสิ่งใดเลยที่ไม่อยู่ใต้อำนาจของเขา แต่ขณะนี้ เรายังไม่เห็นว่าทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจของเขา
ฮบ 5.12 ถึงแม้ว่าขณะนี้ท่านทั้งหลายควรจะเป็นครูได้แล้ว แต่ท่านก็ต้องให้คนอื่นสอนท่านอีกในเรื่องหลักเบื้องต้นแห่งพระวจนะของพระเจ้า และท่านทั้งหลายกลายเป็นคนที่ยังต้องกินน้ำนม ไม่ใช่อาหารแข็ง
1ปต 1.8 พระองค์ผู้ที่ท่านทั้งหลายยังไม่ได้เห็น แต่ท่านยังรักพระองค์อยู่ แม้ว่าขณะนี้ท่านไม่เห็นพระองค์ แต่ท่านยังเชื่อและชื่นชม ด้วยความปีติยินดีเป็นล้นพ้นเหลือที่จะกล่าวได้ และเต็มเปี่ยมด้วยสง่าราศี
วว 1.19 จงเขียนเหตุการณ์ซึ่งเจ้าได้เห็น และเหตุการณ์ที่กำลังเป็นอยู่ขณะนี้ กับทั้งเหตุการณ์ซึ่งจะเกิดขึ้นในภายหน้าด้วย

ขณะเมื่อ ( 1 )
อสค 1.15 ขณะเมื่อข้าพเจ้ามองดูสิ่งที่มีชีวิตอยู่นั้น ดูเถิด วงล้ออันหนึ่งอยู่บนพิภพข้างสิ่งมีชีวิตอยู่ที่มีหน้าสี่หน้านั้น

ขณะหนึ่ง ( 1 )
ยน 13.33 ลูกเล็กๆเอ๋ย เรายังจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายอีกขณะหนึ่ง เจ้าจะเสาะหาเรา และดังที่เราได้พูดกับพวกยิวแล้ว บัดนี้เราจะพูดกับเจ้าคือ ‘ที่เราไปนั้นเจ้าทั้งหลายไปไม่ได้’

ขด ( 2 )
โยบ 26.13 พระองค์ทรงตกแต่งฟ้าสวรรค์ด้วยพระวิญญาณของพระองค์ พระหัตถ์ของพระองค์ทรงสร้างพญานาคที่ขด
อสย 27.1 ในวันนั้น พระเยโฮวาห์จะทรงลงโทษด้วยพระแสงอันร้ายกาจ ยิ่งใหญ่ และแข็งแกร่งของพระองค์ต่อเลวีอาธาน ซึ่งเป็นพญานาคที่ฉกกัด คือเลวีอาธานพญานาคที่ขด และพระองค์จะทรงประหารมังกรที่อยู่ในทะเล

ขน ( 83 )
ปฐก 25.25 คนแรกคลอดออกมาตัวแดงมีขนอยู่ทั่วตัวหมด เขาจึงตั้งชื่อว่า เอซาว
ปฐก 31.18 แล้วเขาต้อนสัตว์เลี้ยงทั้งหมดของเขาไป ขนข้าวของทั้งสิ้นที่เขาได้กำไรมา สัตว์เลี้ยงที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเขา ที่เขาหามาได้ในเมืองปัดดานอารัม เพื่อเดินทางกลับไปหาอิสอัคบิดาของเขาในแผ่นดินคานาอัน
ปฐก 44.1 โยเซฟสั่งคนต้นเรือนของท่านว่า “จัดอาหารใส่กระสอบของคนเหล่านี้ให้เต็มตามที่จะขนไปได้ และเอาเงินของเขาใส่ไว้ในปากกระสอบของทุกคน
ลนต 1.16 และให้ฉีกกระเพาะข้าวและถอนขนนกออกเสีย ทิ้งลงริมแท่นด้านตะวันออกในที่ที่ทิ้งมูลเถ้า
ลนต 13.3 ให้ปุโรหิตตรวจผิวหนังตรงที่เป็นโรค ถ้าขนในที่นั้นเปลี่ยนเป็นสีขาวและเห็นว่าโรคนั้นอยู่ลึกกว่าผิวหนังลงไป นับว่าเป็นโรคเรื้อน เมื่อปุโรหิตตรวจเขาเสร็จแล้วให้ประกาศว่าเขาเป็นมลทิน
ลนต 13.4 ถ้าผิวหนังตรงที่ด่างขึ้นนั้นขาว และปรากฏว่ากินไม่ลึกไปกว่าผิวหนัง และขนในบริเวณนั้นก็ไม่เปลี่ยนเป็นสีขาว ให้ปุโรหิตกักตัวผู้ป่วยไว้เจ็ดวัน
ลนต 13.10 และให้ปุโรหิตตรวจดูตัวเขา ดูเถิด ถ้ามีบริเวณบวมสีขาวเกิดขึ้นที่ผิวหนัง ซึ่งทำให้ขนที่นั่นเปลี่ยนเป็นสีขาว และมีเนื้อแผลสดในที่ที่บวมนั้น
ลนต 13.20 และปุโรหิตจะตรวจดู ดูเถิด ถ้าที่เป็นนั้นลึกกว่าผิวหนัง และขนที่บริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นสีขาว ให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาเป็นมลทิน โรคนั้นเป็นโรคเรื้อน มันพุขึ้นมาที่แผลฝี
ลนต 13.21 แต่ถ้าปุโรหิตตรวจดูแล้ว และดูเถิด ขนที่นั่นก็ไม่เปลี่ยนเป็นสีขาว และเป็นไม่ลึกกว่าผิวหนังแต่จาง ให้ปุโรหิตกักตัวเขาไว้เจ็ดวัน
ลนต 13.25 ให้ปุโรหิตตรวจดู และดูเถิด ถ้าขนในบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นสีขาวและปรากฏว่าเป็นลึกกว่าผิวหนังก็เป็นโรคเรื้อน มันพุขึ้นมาที่แผลไฟลวก และให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เขาเป็นโรคเรื้อน
ลนต 13.26 แต่ถ้าปุโรหิตตรวจดู และดูเถิด ขนในที่ด่างขึ้นนั้นไม่เปลี่ยนเป็นสีขาว และเป็นไม่ลึกกว่าผิวหนัง แต่จาง ให้ปุโรหิตกักตัวเขาไว้เจ็ดวัน
ลนต 13.32 พอถึงวันที่เจ็ดก็ให้ปุโรหิตตรวจโรคนั้น ดูเถิด ถ้าอาการคันนั้นไม่ลามออกไป และไม่มีขนเหลืองในบริเวณนั้น และปรากฏว่าอาการคันไม่ลึกกว่าผิวหนัง
ลนต 13.36 ก็ให้ปุโรหิตตรวจเขา และดูเถิด ถ้าโรคคันนั้นลามออกไปในผิวหนังแล้ว ปุโรหิตไม่จำเป็นต้องมองหาขนสีเหลือง เขาเป็นมลทินแล้ว
ลนต 14.8 และให้ผู้ที่รับการชำระนั้นซักเสื้อผ้าของตน และให้โกนผมกับขนทั้งหมดเสีย และอาบน้ำ เขาก็จะสะอาด ต่อจากนั้นก็ให้เขาเข้าค่ายได้ แต่ให้นอนอยู่นอกเต็นท์ของเขาเจ็ดวัน
ลนต 14.9 พอวันที่เจ็ดให้เขาโกนผมจากศีรษะของเขาให้หมด ให้เขาโกนเคราและโกนขนคิ้ว คือโกนให้หมด แล้วให้ซักเสื้อผ้า และอาบน้ำ เขาก็จะสะอาด
ลนต 14.36 แล้วปุโรหิตจะบัญชาให้เขาขนของออกจากเรือนให้หมด ก่อนที่ปุโรหิตจะเข้าไปตรวจโรค เกรงว่าของทุกอย่างที่อยู่ในเรือนนั้นจะถูกประกาศว่า มลทิน ต่อจากนั้นปุโรหิตจึงจะเข้าไปตรวจดูเรือน
ลนต 14.45 ให้เขาพังเรือนนั้นลง หิน ไม้และปูนที่ทำเรือนนั้นให้ขนไปทิ้งเสียในที่ที่มลทินภายนอกเมือง
กดว 1.50 แต่เจ้าจงตั้งคนเลวีไว้สำหรับพลับพลาพระโอวาท สำหรับบรรดาเครื่องใช้กับทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพลับพลา ให้เขาขนพลับพลาและบรรดาเครื่องใช้ กับปฏิบัติงานพลับพลานั้นและตั้งเต็นท์อยู่รอบพลับพลา
กดว 4.25 ให้เขาทั้งหลายขนม่านพลับพลา และขนพลับพลาแห่งชุมนุมพร้อมกับผ้าคลุมและหนังของตัวแบดเจอร์ที่คลุมอยู่ข้างบน และผ้าม่านสำหรับบังประตูพลับพลาแห่งชุมนุม
กดว 4.27 ให้อาโรนและบุตรชายทั้งหลายของอาโรนบังคับบัญชาบุตรชายทั้งหลายของเกอร์โชนเรื่องทุกสิ่งที่เขาจะต้องขน และงานทุกอย่างที่เขาจะต้องกระทำ และเจ้าจะต้องกำหนดทุกสิ่งที่เขาจะต้องขน
กดว 4.31 และต่อไปนี้เป็นสิ่งที่กำหนดให้เขาขน งานทั้งหมดของเขาในการปรนนิบัติพลับพลาแห่งชุมนุม คือไม้กรอบพลับพลา ไม้กลอน ไม้เสาและฐานรอง
กดว 4.47 ทุกคนที่มีอายุตั้งแต่สามสิบปีถึงห้าสิบปีที่เข้าปฏิบัติงานและทำงานขนภาระได้ในพลับพลาแห่งชุมนุม
กดว 4.49 เขาทั้งหลายได้ถูกนับตามที่พระเยโฮวาห์ตรัสสั่งทางโมเสส ให้ทุกคนทำงานปรนนิบัติหรืองานขนของเขา ดังนี้แหละโมเสสได้นับเขาไว้ตามที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาโมเสส
พบญ 15.19 สัตว์ตัวผู้หัวปีซึ่งเกิดในฝูงวัวหรือฝูงแพะแกะนั้น ท่านทั้งหลายจงถวายไว้แด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ท่านอย่าใช้วัวหัวปีทำงาน หรือตัดขนจากแกะหัวปี
ยชว 4.3 และบัญชาเขาว่า ‘จงไปเอาศิลาสิบสองก้อนจากที่นี่ที่กลางแม่น้ำจอร์แดน ตรงที่ซึ่งเท้าของปุโรหิตยืนมั่นอยู่นั้น ขนมาวางไว้ในที่ซึ่งท่านทั้งหลายจะนอนในคืนวันนี้’”
ยชว 4.8 คนอิสราเอลเหล่านั้นก็กระทำตามที่โยชูวาบัญชา และขนหินสิบสองก้อนมาจากกลางจอร์แดน ตามจำนวนตระกูลคนอิสราเอล ดังที่พระเยโฮวาห์ตรัสสั่งโยชูวา และเขาก็แบกมายังที่ซึ่งเขาพักอยู่ วางไว้ที่นั่น
2ซมอ 4.6 และเขาเข้าไปกลางตำหนัก ทำเหมือนจะขนข้าวสาลีและเขาก็แทงพระอุทรพระองค์ เรคาบและบาอานาห์พี่ชายก็หนีไป
2ซมอ 17.28 ได้ขนที่นอน อ่างน้ำและเครื่องภาชนะดิน ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และแป้ง ข้าวคั่ว ถั่ว ถั่วยาง และถั่วแดง
1พกษ 14.10 เพราะฉะนั้น ดูเถิด เราจะนำเหตุร้ายมาเหนือราชวงศ์ของเยโรโบอัม และจะตัดคนที่ปัสสาวะรดกำแพงได้เสียจากเยโรโบอัม ทั้งคนที่ยังอยู่และเหลืออยู่ในอิสราเอล และจะผลาญคนที่เหลือในราชวงศ์เยโรโบอัมเสียอย่างสิ้นเชิง อย่างคนที่ขนมูลสัตว์ไปทิ้งจนหมด
1พกษ 22.48 เยโฮชาฟัททรงต่อกำปั่นทารชิช เพื่อจะไปขนทองคำจากโอฟีร์ แต่กำปั่นนั้นไปไม่ถึงเพราะไปแตกเสียที่เอซีโอนเกเบอร์
2พกษ 1.8 เขาทั้งหลายทูลตอบพระองค์ว่า “ท่านมีขนมากและมีหนังคาดเอวของท่านไว้” และพระองค์ตรัสว่า “เป็นเอลียาห์ชาวทิชบี”
2พกษ 3.4 ฝ่ายเมชากษัตริย์แห่งโมอับทรงเป็นผู้ดำเนินกิจการเลี้ยงแกะ และพระองค์ต้องถวายลูกแกะหนึ่งแสนตัว และแกะผู้หนึ่งแสนตัวพร้อมกับขนของมันให้แก่กษัตริย์อิสราเอล
2พกษ 7.8 และเมื่อคนโรคเรื้อนเหล่านี้มาถึงที่ริมค่าย เขาก็เข้าไปในเต็นท์หนึ่งกินและดื่ม และขนเงิน ทองคำและเสื้อผ้าเอาไปซ่อนไว้ แล้วเขาก็กลับมาเข้าไปในอีกเต็นท์หนึ่งขนเอาข้าวของออกไปจากที่นั่นด้วยเอาไปซ่อนไว้
2พกษ 23.4 และกษัตริย์ทรงบัญชาฮิลคียาห์มหาปุโรหิต และพวกปุโรหิตรอง และผู้รักษาธรณีประตู ให้นำเครื่องใช้ทั้งสิ้นที่ทำขึ้นสำหรับพระบาอัล สำหรับเสารูปเคารพ และสำหรับบรรดาบริวารของฟ้าสวรรค์ออกมาจากพระวิหารของพระเยโฮวาห์ พระองค์ทรงเผาเสียที่ภายนอกกรุงเยรูซาเล็มในทุ่งนาแห่งขิดโรน และขนมูลเถ้าของมันไปยังเบธเอล
2พกษ 24.13 ได้ขนเอาบรรดาทรัพย์สินในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และทรัพย์สินในสำนักพระราชวัง และตัดบรรดาเครื่องใช้ทองคำเป็นชิ้นๆ ซึ่งซาโลมอนกษัตริย์แห่งอิสราเอลทรงสร้างไว้ในพระวิหารของพระเยโฮวาห์ ดังที่พระเยโฮวาห์ตรัสไว้ก่อนแล้ว
2พกษ 25.13 และเสาทองสัมฤทธิ์ซึ่งอยู่ในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และเชิงกับขันสาครทองสัมฤทธิ์ซึ่งอยู่ในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์นั้น คนเคลเดียได้ทุบเป็นชิ้นๆ และขนเอาทองสัมฤทธิ์ไปยังบาบิโลน
2พกษ 25.14 เขาขนหม้อ พลั่ว และตะไกรตัดไส้ตะเกียง และช้อน และบรรดาเครื่องใช้ทองสัมฤทธิ์ซึ่งใช้ในงานปรนนิบัติเอาไปเสีย
2พกษ 25.15 ทั้งถาดรองไฟด้วย กับชาม สิ่งใดที่ทำด้วยทองคำ ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ก็ขนเอาไปเป็นทองคำ และสิ่งใดที่ทำด้วยเงินก็ขนเอาไปเป็นเงิน
2พศด 16.6 แล้วกษัตริย์อาสาทรงนำยูดาห์ทั้งสิ้น และเขาทั้งหลายขนหินของเมืองรามาห์และเครื่องไม้ของเมืองนั้น ซึ่งบาอาชาใช้สร้างอยู่นั้น และเอามาสร้างเมืองเกบาและเมืองมิสปาห์
2พศด 20.25 เมื่อเยโฮชาฟัทและประชาชนของพระองค์มาเก็บของที่ริบจากเขาทั้งหลาย พร้อมกับศพทั้งหลายนั้นเขาพบสิ่งของเป็นจำนวนมาก ทั้งทรัพย์สมบัติและเพชรพลอยต่างๆ ซึ่งเขาเก็บมามากสำหรับตัวจนขนไปไม่ไหว เขาเก็บของที่ริบได้เหล่านั้นสามวัน เพราะมากเหลือเกิน
2พศด 21.17 และเขาทั้งหลายยกมาต่อสู้กับยูดาห์ และบุกรุกเข้าไปในนั้น และขนข้าวของทั้งสิ้นซึ่งมีในราชสำนัก ทั้งบรรดาโอรสและมเหสีของพระองค์ จึงไม่มีโอรสเหลือไว้ให้แก่พระองค์นอกจากเยโฮอาหาสโอรสองค์สุดท้องของพระองค์
2พศด 29.5 และตรัสกับเขาว่า “คนเลวีเอ๋ย ขอฟังเรา จงชำระตัวให้บริสุทธิ์ และชำระพระนิเวศของพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่านให้บริสุทธิ์ และขนสิ่งสกปรกออกเสียจากสถานบริสุทธิ์
2พศด 29.16 ปุโรหิตได้เข้าไปในส่วนข้างในของพระนิเวศของพระเยโฮวาห์เพื่อชำระให้บริสุทธิ์ และเขานำสิ่งสกปรกที่เขาพบในพระวิหารของพระเยโฮวาห์ออกมาที่ลานพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และคนเลวีก็ขนเอาของนั้นออกไปยังลำธารขิดโรน
2พศด 30.14 พวกเขาลุกขึ้นและได้กำจัดแท่นบูชาที่อยู่ในเยรูซาเล็มและแท่นสำหรับเผาเครื่องหอมทั้งปวงนั้น เขาขนไปทิ้งเสียในลำธารขิดโรน
นหม 4.10 แต่ยูดาห์กล่าวว่า “เรี่ยวแรงของคนที่ขนของก็กำลังทรุดลง และมีสิ่งปรักหักพังมาก เราไม่สามารถสร้างกำแพงได้”
นหม 4.17 ผู้ที่ก่อสร้างกำแพง และบรรดาผู้ที่ขนของกับผู้ที่ยกของขึ้น ทุกคนมือหนึ่งทำงาน อีกมือหนึ่งถืออาวุธไว้
โยบ 4.15 มีวิญญาณองค์หนึ่งผ่านหน้าของข้า ขนที่เนื้อของข้าลุกชัน
โยบ 39.13 เจ้าให้ปีกอันสวยงามแก่นกยูงหรือ และให้ปีกและขนแก่นกกระจอกเทศหรือ
สดด 68.13 ถึงแม้ท่านนอนอยู่ท่ามกลางคอกแกะ ท่านก็จะเหมือนปีกนกเขาที่บุด้วยเงิน และขนของมันที่บุด้วยทองคำ
พซม 4.2 ซี่ฟันของเธอดังฝูงแกะตัวเมียที่กำลังจะตัดขน เพิ่งขึ้นมาจากการชำระล้าง มีลูกแฝดติดมาทุกตัว และหามีตัวใดเป็นหมันไม่
อสย 5.29 เสียงคำรามของเขาจะเหมือนสิงโต เหมือนสิงโตหนุ่ม เขาเหล่านั้นจะคำราม เขาจะคำรนและตะครุบเหยื่อของเขา และเขาจะขนเอาไปเสีย และไม่มีผู้ใดช่วยเหยื่อนั้นให้พ้นไปได้
อสย 7.20 ในวันนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงโกนทั้งศีรษะและขนที่เท้าเสียด้วยมีดโกนซึ่งเช่ามาจากฟากแม่น้ำข้างโน้น คือโดยกษัตริย์แห่งอัสซีเรียนั้นเอง และจะผลาญเคราด้วย
อสย 8.4 เพราะก่อนที่เด็กจะรู้ที่จะร้องเรียก ‘พ่อ แม่’ ได้ ทรัพย์สมบัติของดามัสกัสและของที่ริบได้จากสะมาเรีย จะถูกขนเอาไปต่อพระพักตร์กษัตริย์อัสซีเรีย”
อสย 15.7 เพราะฉะนั้นทรัพย์สินซึ่งเขาเก็บได้ และที่เขาสะสมไว้ เขาจะขนเอาไปข้ามลำธารต้นหลิว
อสย 33.20 จงมองศิโยน เมืองแห่งเทศกาลของเรา ตาของท่านจะเห็นเยรูซาเล็ม เป็นที่อยู่ที่สงบ เป็นพลับพลาที่ไม่ต้องขนย้าย หลักหมุดพลับพลาจะไม่รู้จักถอนขึ้น เชือกผูกก็จะไม่รู้จักขาด
ยรม 10.5 มันตั้งขึ้นเหมือนต้นอินทผลัม มันพูดไม่ได้ คนต้องขนมันไป เพราะมันเดินไม่ได้ อย่ากลัวมันเลย เพราะมันทำร้ายไม่ได้ มันก็ทำดีไม่ได้ด้วย”
ยรม 20.5 ยิ่งกว่านั้นอีกเราจะยกความมั่งคั่งของเมืองนี้ ผลแรงงานทั้งสิ้นและของมีค่าทั้งสิ้นของเมืองนี้ และทรัพย์สมบัติทั้งสิ้นของบรรดากษัตริย์ของยูดาห์ไว้ในมือของศัตรูของเขาทั้งหลาย ผู้ซึ่งจะปล้นและฉุดคร่าและขนเอาเขาเหล่านั้นไปบาบิโลน
ยรม 27.22 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เครื่องใช้เหล่านี้จะถูกขนไปยังบาบิโลน และจะค้างอยู่ที่นั่นจนถึงวันที่เราเอาใจใส่มัน แล้วเราจึงจะนำมันกลับขึ้นมา และให้กลับสู่สถานที่นี้”
ยรม 28.3 ภายในสองปี เราจะนำเครื่องใช้ทั้งสิ้นของพระนิเวศแห่งพระเยโฮวาห์กลับมายังที่นี้ ซึ่งเป็นภาชนะที่เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนริบไปจากที่นี้และขนไปยังบาบิโลน
ยรม 52.17 บรรดาเสาทองสัมฤทธิ์ซึ่งอยู่ในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และเชิงและขันสาครทองสัมฤทธิ์ ซึ่งอยู่ในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์นั้น คนเคลเดียได้ทุบเสียเป็นชิ้นๆ และขนเอาทองสัมฤทธิ์ทั้งหมดไปยังบาบิโลน
ยรม 52.18 และเขาได้ขนเอาหม้อขนาดใหญ่ด้วย อีกทั้งพลั่ว ตะไกรตัดไส้ตะเกียง และชามและช้อน และภาชนะทองสัมฤทธิ์ทั้งสิ้น ซึ่งใช้ในการปรนนิบัติ
ยรม 52.29 ในปีที่สิบแปดแห่งรัชกาลเนบูคัดเนสซาร์ ท่านขนเชลยจากกรุงเยรูซาเล็มแปดร้อยสามสิบสองคน
อสค 16.7 เราได้กระทำให้เจ้าทวีคูณเหมือนอย่างพืชในท้องนา เจ้าก็เติบโตและสูงขึ้นจนเป็นสาวเต็มตัว ถันของเจ้าก็ก่อรูปขึ้นมา และขนของเจ้าก็งอก ทั้งๆที่เจ้าเคยเปลือยเปล่าและล่อนจ้อน
อสค 17.3 ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า มีนกอินทรีมหึมาตัวหนึ่ง ปีกใหญ่และขนปีกก็ยาว มีขนมากมายหลายสี มายังเลบานอนและจิกยอดต้นสนสีดาร์
อสค 17.7 แต่มีนกอินทรีตัวมหึมาอีกตัวหนึ่ง มีปีกใหญ่และมีขนมาก ดูเถิด องุ่นเถานั้นชอนรากมาหานกอินทรีตัวนี้ และแตกแขนงตรงมาที่มัน เพื่อให้มันรดน้ำให้จากร่องที่ปลูกอยู่นั้น
อสค 38.13 เชบาและเดดานและบรรดาพ่อค้าแห่งทารชิช และสิงโตหนุ่มทั้งหลายในเมืองนั้นจะกล่าวแก่เจ้าว่า ‘ท่านมาเพื่อจะชิงข้าวของหรือ ท่านชุมนุมกองทัพเพื่อจะปล้น เพื่อจะขนเอาเงินและทองไป ขนเอาสัตว์และข้าวของไป เพื่อจะชิงของมากมายหรือ’
ดนล 4.33 ในทันใดนั้นเองพระวาทะก็สำเร็จในเรื่องเนบูคัดเนสซาร์ พระองค์ถูกขับไล่ไปจากท่ามกลางมนุษย์ และเสวยหญ้าอย่างกับวัว และพระกายก็เปียกน้ำค้างจากฟ้าสวรรค์ จนพระเกศางอกยาวอย่างกับขนนกอินทรี และพระนขาก็เหมือนเล็บนก
ดนล 7.4 ตัวแรกเหมือนสิงโต มีปีกนกอินทรี เมื่อข้าพเจ้ามองดูนั้น ขนปีกก็ถูกถอนออกไป และมันถูกยกขึ้นจากแผ่นดิน และให้ยืนสองเท้าเหมือนคน และมอบใจของมนุษย์ให้แก่มัน
ดนล 11.8 ท่านจะขนเอาบรรดาพระพร้อมทั้งพวกเจ้านายของเขา และเครื่องใช้วิเศษที่ทำด้วยเงินและทองคำไปยังอียิปต์ และท่านจะคงอยู่นานกว่ากษัตริย์แห่งถิ่นเหนืออีกหลายปี
ฮชย 12.1 เอฟราอิมเลี้ยงตนด้วยลม และตามหาลมตะวันออกอยู่ วันยังค่ำเขาทวีความมุสาและการรกร้าง เขาทำพันธสัญญากับอัสซีเรียและขนเอาน้ำมันไปให้อียิปต์
ศคย 13.4 ต่อมาในวันนั้น ผู้พยากรณ์ทุกคนจะมีความละอายเพราะนิมิตของเขาเมื่อพยากรณ์ เขาจะไม่สวมผ้ามีขนเพื่อล่อลวงอีกต่อไป
มธ 3.4 เสื้อผ้าของยอห์นผู้นี้ทำด้วยขนอูฐ และท่านใช้หนังสัตว์คาดเอว อาหารของท่านคือตั๊กแตนและน้ำผึ้งป่า
มก 1.6 ยอห์นแต่งกายด้วยผ้าขนอูฐ และใช้หนังสัตว์คาดเอว รับประทานตั๊กแตนและน้ำผึ้งป่า
มก 11.16 และทรงห้ามมิให้ผู้ใดขนสิ่งใดๆเดินลัดพระวิหาร
กจ 7.45 ฝ่ายบรรพบุรุษของเราที่มาภายหลัง เมื่อได้รับพลับพลานั้นจึงขนตามเยซูไป เมื่อได้เข้ายึดแผ่นดินของบรรดาประชาชาติ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงขับไล่ไปให้พ้นหน้าบรรพบุรุษของเรา พลับพลานั้นก็มีสืบมาจนถึงสมัยดาวิด
กจ 27.18 ครั้นรุ่งขึ้นเราก็ขนของบรรทุกทิ้งเสีย เพราะถูกพายุใหญ่
กจ 27.38 เมื่อรับประทานอาหารอิ่มแล้ว จึงขนข้าวสาลีในกำปั่นทิ้งเสียในทะเลเพื่อให้กำปั่นเบาขึ้น

ขนแกะ ( 28 )
ปฐก 31.19 และลาบันออกไปตัดขนแกะ ฝ่ายนางราเชลก็ลักรูปเคารพของบิดาไปด้วย
ปฐก 38.13 มีคนมาบอกนางทามาร์ว่า “ดูเถิด พ่อสามีของเจ้าไปบ้านทิมนาทจะตัดขนแกะ”
พบญ 18.4 ผลรุ่นแรกของท่านคือ ผลข้าว ผลน้ำองุ่น ผลน้ำมัน และขนแกะรุ่นแรกที่ได้จากแกะของท่าน จงมอบให้แก่ปุโรหิต
วนฉ 6.37 ดูเถิด ข้าพระองค์ได้วางกลุ่มขนแกะไว้ที่ลานนวดข้าว แม้มีน้ำค้างเฉพาะที่กลุ่มขนแกะเท่านั้น ส่วนที่พื้นดินโดยรอบนั้นแห้ง ข้าพระองค์ก็จะทราบว่า พระองค์จะทรงช่วยอิสราเอลให้พ้นด้วยมือของข้าพระองค์ ดังที่พระองค์ตรัสนั้น”
วนฉ 6.38 ก็เป็นไปดังนั้น เมื่อกิเดโอนตื่นขึ้นในวันรุ่งเช้าก็บีบกลุ่มขนแกะ เขาบีบได้น้ำค้างจากกลุ่มขนแกะจนเต็มชาม
วนฉ 6.39 แล้วกิเดโอนจึงทูลพระเจ้าว่า “ขออย่าให้พระพิโรธพลุ่งขึ้นต่อข้าพระองค์ ขอข้าพระองค์ทูลอีกสักครั้งเดียว ขอข้าพระองค์ทดลองด้วยกลุ่มขนแกะนี้อีกครั้งหนึ่งเถิด คราวนี้ขอให้แห้งเฉพาะที่กลุ่มขนแกะ ส่วนที่พื้นดินนั้นให้มีน้ำค้างโดยทั่วไป”
วนฉ 6.40 ในคืนวันนั้นพระเจ้าก็ทรงกระทำตามที่ขอ คือกลุ่มขนแกะนั้นแห้งอยู่ แต่มีน้ำค้างอยู่ทั่วพื้นดิน
1ซมอ 25.2 มีชายคนหนึ่งในมาโอน มีการงานอยู่ในคารเมล ชายผู้นั้นมั่งมีมาก มีแกะสามพันและแพะหนึ่งพัน ท่านตัดขนแกะของท่านอยู่ที่คารเมล
1ซมอ 25.4 ดาวิดอยู่ในถิ่นทุรกันดารได้ยินว่านาบาลกำลังตัดขนแกะของเขาอยู่
2ซมอ 13.23 ต่อมาอีกสองปีเต็ม อับซาโลมมีงานตัดขนแกะที่ตำบลบาอัลฮาโซร์ ซึ่งอยู่ใกล้เอฟราอิม และอับซาโลมได้เชิญโอรสทั้งสิ้นของกษัตริย์ไปในงานนั้น
2ซมอ 13.24 อับซาโลมไปเฝ้ากษัตริย์ทูลว่า “ดูเถิด ข้าพระองค์มีงานตัดขนแกะ ขอเชิญกษัตริย์และมหาดเล็กของพระองค์ไปในงานนั้นกับข้าพระองค์”
อสธ 1.6 มีผ้าม่านฝ้ายสีขาวและสีม่วงคล้ำ มีสายป่านและเชือกขนแกะสีม่วงคล้องห่วงเงินและเสาหินอ่อน ทั้งเตียงทองคำและเงินบนพื้นลาดปูนฝังหินแดง หินอ่อน มุกดา และหินอ่อนสีดำ
โยบ 31.20 ถ้าบั้นเอวของเขามิได้อวยพรแก่ข้า และถ้าเขามิได้อบอุ่นด้วยขนแกะของข้า
สดด 147.16 พระองค์ประทานหิมะอย่างปุยขนแกะ พระองค์ทรงหว่านน้ำค้างแข็งขาวอย่างขี้เถ้า
สภษ 31.13 เธอแสวงหาขนแกะและป่าน และทำงานด้วยมืออย่างเต็มใจ
อสย 1.18 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “มาเถิด ให้เราสู้ความกัน ถึงบาปของเจ้าเหมือนสีแดงเข้มก็จะขาวอย่างหิมะ ถึงมันจะแดงอย่างผ้าแดงก็จะกลายเป็นอย่างขนแกะ
อสย 51.8 เพราะว่าตัวมอดจะกินเขาเหมือนกินเสื้อผ้า และตัวหนอนจะกินเขาเหมือนกินขนแกะ แต่ความชอบธรรมของเราจะอยู่เป็นนิตย์ และความรอดของเราจะอยู่ตลอดทุกชั่วอายุ
อสค 27.18 ดามัสกัสไปมาค้าขายกับเจ้าเพราะเจ้ามีสินค้าอุดม เพราะทรัพยากรมากมายหลายชนิดของเจ้า มีเหล้าองุ่นเฮลโบน และขนแกะขาว
อสค 34.3 เจ้ารับประทานไขมัน เจ้าคลุมกายของเจ้าด้วยขนแกะ เจ้าฆ่าแกะตัวอ้วนๆ แต่เจ้าหาได้เลี้ยงแกะไม่
อสค 44.17 ต่อมาเมื่อเขาเข้าประตูลานชั้นในนั้น ให้เขาสวมเสื้อผ้าป่าน อย่าให้เขามีสิ่งใดที่ทำด้วยขนแกะเลยขณะเมื่อเขาทำการปรนนิบัติอยู่ที่ประตูลานชั้นใน และอยู่ข้างใน
ดนล 7.9 ขณะที่ข้าพเจ้าดูอยู่มีหลายบัลลังก์ถูกล้มลง และผู้หนึ่งผู้เจริญด้วยวัยวุฒิมาประทับ ฉลองพระองค์ขาวอย่างหิมะ พระเกศาที่พระเศียรของพระองค์เหมือนขนแกะบริสุทธิ์ พระบัลลังก์ของพระองค์เป็นเปลวเพลิง กงจักรของบัลลังก์นั้นเป็นไฟลุก
ฮชย 2.5 เพราะว่ามารดาของเขาเล่นชู้ เธอผู้ที่ให้กำเนิดเขาทั้งหลายได้ประพฤติความอับอาย เพราะนางกล่าวว่า ‘ฉันจะตามคนรักของฉันไป ผู้ให้อาหารและน้ำแก่ฉัน เขาให้ขนแกะและป่านแก่ฉัน ทั้งน้ำมันและของดื่ม’
ฮชย 2.9 เพราะฉะนั้น เราจะกลับมาและจะเรียกข้าวคืนตามกำหนดฤดูกาล และเรียกน้ำองุ่นคืนตามฤดู และเราจะเรียกขนแกะและป่านของเรา ซึ่งให้เพื่อใช้ปกปิดกายเปลือยเปล่าของนางนั้นคืนเสีย
ฮบ 9.19 เพราะว่าเมื่อโมเสสประกาศข้อบังคับทุกข้อแก่บรรดาพลไพร่ตามพระราชบัญญัติแล้ว ท่านจึงได้เอาเลือดลูกวัวและเลือดลูกแพะกับน้ำ และเอาขนแกะสีแดงและต้นหุสบมาประพรมหนังสือม้วนนั้นกับทั้งบรรดาคนทั้งปวง
วว 1.14 พระเศียรและพระเกศาของพระองค์ขาวดุจขนแกะสีขาว และขาวดุจหิมะ และพระเนตรของพระองค์ดุจเปลวเพลิง

ขนดก ( 2 )
ปฐก 27.11 ยาโคบพูดกับนางเรเบคาห์มารดาของตนว่า “ดูเถิด เอซาวพี่ชายของข้าพเจ้าเป็นคนมีขนดก และข้าพเจ้าเป็นคนเกลี้ยงเกลา
ปฐก 27.23 ท่านก็ไม่ได้สังเกต เพราะมือของเขามีขนดกเหมือนมือเอซาวพี่ชายของเขา ท่านจึงอวยพรแก่เขา

ขนบธรรมเนียม ( 2 )
กจ 26.3 โดยเฉพาะเพราะพระองค์มีความรู้ชำนาญยิ่งในบรรดาขนบธรรมเนียมและปัญหาต่างๆของพวกยิวแล้ว เหตุฉะนั้นขอพระองค์ได้โปรดทนฟังข้าพระองค์
กท 1.14 และเมื่อข้าพเจ้าอยู่ในลัทธิยิวนั้น ข้าพเจ้าได้ก้าวหน้าเกินกว่าเพื่อนหลายคนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน และที่เป็นชนชาติเดียวกัน เพราะเหตุที่ข้าพเจ้ามีใจร้อนรนมากกว่าเขาในเรื่องขนบธรรมเนียมของบรรพบุรุษของข้าพเจ้า

ขนแพะ ( 8 )
อพย 25.4 ด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม ผ้าป่านเนื้อละเอียดและขนแพะ
อพย 26.7 จงทำม่านด้วยขนแพะ สำหรับเป็นเต็นท์คลุมพลับพลาชั้นนอกอีกสิบเอ็ดผืน
อพย 35.6 ผ้าสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม ผ้าป่านเนื้อละเอียด และขนแพะ
อพย 35.23 ส่วนทุกคนที่มีด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม หรือที่มีผ้าป่านเนื้อละเอียด ขนแพะ หนังแกะตัวผู้ย้อมสีแดง และหนังของตัวแบดเจอร์ก็เอาของเหล่านั้นมาถวาย
อพย 35.26 ฝ่ายบรรดาผู้หญิงที่มีใจปรารถนาก็ปั่นขนแพะด้วยความชำนาญ
อพย 36.14 เขาทำม่านด้วยขนแพะสำหรับเป็นเต็นท์คลุมพลับพลาอีกสิบเอ็ดผืน
1ซมอ 19.13 มีคาลได้นำรูปเคารพมาวางไว้บนเตียงนอน และวางหมอนขนแพะไว้ที่ศีรษะ เอาผ้าห่มคลุมไว้
1ซมอ 19.16 เมื่อผู้สื่อสารเข้ามา ดูเถิด รูปเคารพก็อยู่ในเตียง พร้อมกับหมอนขนแพะอยู่ที่ศีรษะ

ขนม ( 56 )
ปฐก 18.6 อับราฮัมรีบเข้าไปในเต็นท์หานางซาราห์และพูดว่า “จงรีบเอาแป้งละเอียดสามถังมานวดแล้วทำขนมบนเตา”
ปฐก 40.1 ต่อมาภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้พนักงานน้ำองุ่นของกษัตริย์แห่งอียิปต์ และพนักงานขนมของพระองค์ทำผิดต่อเจ้านาย คือกษัตริย์แห่งอียิปต์
ปฐก 40.2 ฟาโรห์ทรงกริ้วข้าราชการทั้งสองนั้น คือหัวหน้าพนักงานน้ำองุ่น และหัวหน้าพนักงานขนม
ปฐก 40.5 คืนหนึ่งข้าราชการทั้งสองนั้นฝันไป คือพนักงานน้ำองุ่นและพนักงานขนมของกษัตริย์อียิปต์ที่ต้องจำอยู่ในคุกนั้น ต่างคนต่างฝันคนละเรื่อง ความฝันของต่างคนก็มีความหมายต่างกัน
ปฐก 40.16 เมื่อหัวหน้าพนักงานขนมเห็นว่า คำแก้ความฝันนั้นดี จึงเล่าให้โยเซฟฟังว่า “เราฝันด้วย ดูเถิด เห็นมีกระจาดขนมขาวสามใบ ตั้งอยู่บนศีรษะเรา
ปฐก 40.17 ในกระจาดใบบนนั้นมีขนมสารพัดสำหรับฟาโรห์ แล้วมีนกมากินของในกระจาดที่ตั้งอยู่บนศีรษะเรา”
ปฐก 40.20 ครั้นถึงวันที่สามเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของฟาโรห์ พระองค์จึงทรงจัดการเลี้ยงข้าราชการทั้งปวงของพระองค์ แล้วทรงยกศีรษะหัวหน้าพนักงานน้ำองุ่น และหัวหน้าพนักงานขนมเข้ามาอยู่ท่ามกลางพวกข้าราชการ
ปฐก 40.22 ส่วนหัวหน้าพนักงานขนมนั้นให้แขวนคอเสีย สมจริงดังที่โยเซฟแก้ฝันไว้
ปฐก 41.10 คือฟาโรห์ทรงพระพิโรธแก่ข้าราชการของพระองค์ และทรงจำข้าพระองค์ไว้ในคุกที่บ้านผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ ทั้งข้าพระองค์กับหัวหน้าพนักงานขนม
อพย 8.3 ฝูงกบจะเต็มไปทั้งแม่น้ำ จะขึ้นมาอยู่ในวัง ในห้องบรรทม และบนแท่นบรรทมของท่าน ในเรือนข้าราชการ ตามตัวพลเมือง ในเตาปิ้งขนมและในอ่างขยำแป้งของท่านด้วย
อพย 16.31 เหล่าวงศ์วานของอิสราเอลเรียกชื่ออาหารนั้นว่า มานา เป็นเม็ดขาวเหมือนเมล็ดผักชี มีรสเหมือนขนมแผ่นประสมน้ำผึ้ง
อพย 29.2 ขนมปังไร้เชื้อ ขนมไร้เชื้อคลุกน้ำมันและขนมแผ่นบางไร้เชื้อทาน้ำมัน ขนมเหล่านี้จงทำด้วยยอดแป้งข้าวสาลี
ลนต 2.4 เมื่อท่านนำธัญญบูชาเป็นขนมอบในเตาอบมาถวายเป็นเครื่องบูชา ให้เป็นขนมไร้เชื้อทำด้วยยอดแป้งคลุกน้ำมัน หรือขนมแผ่นไร้เชื้อทาน้ำมัน
ลนต 2.5 และถ้าท่านนำธัญญบูชาเป็นขนมปิ้งบนกระทะ ก็ให้เป็นขนมทำด้วยยอดแป้งไร้เชื้อคลุกน้ำมัน
ลนต 2.6 ท่านจงหักขนมนั้นเป็นชิ้นๆเทน้ำมันราด เป็นธัญญบูชา
ลนต 6.17 อย่าใส่เชื้อในขนมนั้นแล้วปิ้ง เราได้ให้ส่วนนี้เป็นส่วนเครื่องบูชาด้วยไฟของเราอันตกแก่เขาเป็นสิ่งบริสุทธิ์ที่สุด เช่นเดียวกับเครื่องบูชาไถ่บาป และเครื่องบูชาไถ่การละเมิด
ลนต 7.12 ถ้าเขาถวายเป็นเครื่องโมทนาพระคุณ ก็ให้เขาถวายขนมไร้เชื้อคลุกน้ำมัน ขนมแผ่นไร้เชื้อทาน้ำมัน ขนมยอดแป้งคลุกน้ำมันให้ดีพร้อมกับเครื่องบูชาโมทนา
ลนต 7.13 นอกจากขนมเหล่านี้ให้เขานำขนมปังใส่เชื้อมาถวายเป็นส่วนของเครื่องบูชา พร้อมกับเครื่องสันติบูชาที่ถวายเป็นการโมทนาพระคุณ
ลนต 8.26 และท่านหยิบขนมไร้เชื้อหนึ่งก้อนจากกระบุงขนมปังไร้เชื้อ ซึ่งอยู่ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ และหยิบขนมคลุกน้ำมันก้อนหนึ่ง และขนมแผ่นแผ่นหนึ่ง วางของเหล่านี้ไว้บนไขมัน และบนโคนขาข้างขวา
ลนต 26.26 เมื่อเราทำลายเสบียงอาหารของเจ้า ผู้หญิงสิบคนจะปิ้งขนมของเจ้าด้วยเตาอบอันเดียว แล้วเอาขนมมาชั่งให้เจ้า เจ้าจะรับประทานแต่จะไม่อิ่ม
กดว 6.15 และขนมปังไร้เชื้อกระจาดหนึ่ง ขนมทำด้วยยอดแป้งคลุกน้ำมัน ขนมแผ่นไร้เชื้อทาน้ำมันพร้อมกับเครื่องธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาที่คู่กัน
กดว 11.8 ประชาชนก็เที่ยวออกไปเก็บมาโม่หรือตำในครกและใส่หม้อต้มทำขนม รสของมานาเหมือนรสน้ำมันสด
กดว 14.9 ขอแต่อย่าให้พวกเรากบฏต่อพระเยโฮวาห์เท่านั้น อย่ากลัวชาวแผ่นดินนั้น เพราะเขาทั้งหลายเป็นขนมของเราแล้ว ร่มฤทธิ์ของเขาก็สูญไปแล้ว พระเยโฮวาห์สถิตฝ่ายเรา อย่ากลัวเขาเลย”
กดว 15.20 จงเอาแป้งเปียกผลแรกทำขนมก้อนหนึ่งถวายเป็นเครื่องบูชา เป็นเครื่องบูชาที่ได้จากลานนวดข้าว เจ้าจงถวายเช่นว่านี้
พบญ 16.4 ตลอดเจ็ดวันนั้นอย่าให้เห็นเชื้อขนมภายในอาณาเขตประเทศของท่าน หรือเนื้อสัตว์ซึ่งท่านได้บูชาในเวลาเย็นวันแรกเหลืออยู่ตลอดคืนจนเช้าวันรุ่งขึ้น
วนฉ 7.13 ครั้นกิเดโอนแอบมา ดูเถิด มีชายคนหนึ่งเล่าความฝันให้เพื่อนฟังว่า “ดูเถิด เราฝันเรื่องหนึ่ง ดูเถิด มีขนมข้าวบาร์เลย์ก้อนหนึ่งกลิ้งเข้ามาในค่ายของพวกมีเดียน มาถึงเต็นท์โดนเต็นท์ทำให้เต็นท์ล้มลง พลิกขึ้น แล้วก็ราบไป”
1ซมอ 8.13 พระองค์จะนำบุตรสาวของเจ้าไปเป็นผู้ปรุงเครื่องหอม ทำครัวและปิ้งขนม
1ซมอ 25.18 แล้วนางอาบีกายิลก็รีบจัดขนมปังสองร้อยก้อน และน้ำองุ่นสองถุงหนัง และแกะที่ทำเสร็จแล้วห้าตัว และข้าวคั่วห้าถัง และองุ่นแห้งร้อยช่อ และขนมมะเดื่อสองร้อยแผ่นบรรทุกหลังลา
1ซมอ 30.12 และให้ขนมมะเดื่อแผ่นหนึ่งกับช่อองุ่นแห้งสองช่อ เมื่อเขารับประทานแล้ว จิตใจของเขาก็ฟื้นขึ้น เพราะเขาไม่ได้รับประทานขนมปังหรือดื่มน้ำมาสามวันสามคืนแล้ว
2ซมอ 6.19 และทรงแจกขนมปังคนละแผ่น เนื้อคนละก้อน และขนมองุ่นแห้งคนละแผ่นแก่ประชาชนทั้งปวง คือประชาชนอิสราเอลทั้งหมดทั้งผู้หญิงผู้ชาย แล้วประชาชนทั้งหลายต่างก็กลับไปยังบ้านของตน
2ซมอ 13.6 อัมโนนจึงบรรทมแสร้งทำเป็นประชวร เมื่อกษัตริย์เสด็จมาเยี่ยม อัมโนนก็ทูลกษัตริย์ว่า “ขอโปรดให้ทามาร์น้องหญิงมาทำขนมสักสองอันต่อสายตาข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะได้รับประทานจากมือของเธอ”
2ซมอ 13.8 ทามาร์ก็ไปยังวังของอัมโนนเชษฐาของเธอที่ที่เขาบรรทมอยู่ เธอก็หยิบแป้งมานวดทำขนมต่อสายตาของเชษฐาแล้วปิ้งขนมนั้น
2ซมอ 13.10 อัมโนนก็รับสั่งกับทามาร์ว่า “จงเอาอาหารเข้ามาในห้องใน เพื่อพี่จะได้รับประทานจากมือของน้อง” ทามาร์ก็นำขนมที่เธอทำนั้นเข้าไปในห้องเพื่อให้แก่อัมโนนเชษฐา
2ซมอ 13.11 แต่เมื่อเธอนำขนมมาใกล้เพื่อให้ท่านรับประทาน ท่านก็จับมือเธอไว้รับสั่งว่า “น้องของพี่เข้ามานอนกับพี่เถิด”
1พกษ 17.13 และเอลียาห์บอกนางว่า “อย่ากลัวเลย จงไปทำตามที่เจ้าพูด แต่จงทำขนมก้อนเล็กให้ฉันก่อน แล้วเอามาให้ฉัน ภายหลังจึงทำสำหรับตัวเจ้าและบุตรชายของเจ้า
2พกษ 4.42 มีชายคนหนึ่งมาจากบ้านบาอัลชาลิชาห์นำของมาให้คนแห่งพระเจ้า มีขนมปังเป็นผลแรกคือ ขนมข้าวบาร์เลย์ยี่สิบก้อน และรวงข้าวใหม่ใส่กระสอบของเขามาและเอลีชาว่า “จงให้แก่คนเหล่านั้นรับประทาน”
2พกษ 20.7 และอิสยาห์บอกว่า “เอาขนมมะเดื่อมาอันหนึ่ง” เขาก็เอามาวางไว้บนพระยอดนั้น พระองค์จึงทรงหายเป็นปกติ
1พศด 12.40 ยิ่งกว่านั้นผู้ที่อยู่ใกล้เขาทั้งหลายด้วยคือไกลออกไปถึงอิสสาคาร์ และเศบูลุน และนัฟทาลีได้จัดอาหารบรรทุกลา อูฐ ล่อ และวัว กับเสบียงอาหารมากมายเป็นแป้ง ขนมมะเดื่อ ช่อองุ่นแห้ง น้ำองุ่น น้ำมัน วัวและแกะ เพราะว่ามีความชื่นบานในอิสราเอล
1พศด 16.3 และทรงแจกขนมปังคนละก้อน เนื้อคนละส่วน และขนมองุ่นแห้งคนละอัน แก่บรรดาประชาชนอิสราเอลทั้งชายและหญิง
สภษ 9.17 “น้ำที่ขโมยมาหวานดี และขนมที่รับประทานในที่ลับก็อร่อย”
พซม 2.5 จงชูกำลังของดิฉันด้วยขนมองุ่นแห้ง ขอทำให้ดิฉันชื่นใจด้วยผลแอบเปิ้ล เพราะดิฉันป่วยเป็นโรครัก
อสย 38.21 ฝ่ายอิสยาห์ได้กล่าวว่า “ให้เขาเอาขนมมะเดื่อมาแผ่นหนึ่ง และแปะไว้ที่พระยอดเพื่อพระองค์จะฟื้น”
ยรม 7.18 พวกเด็กๆก็เก็บฟืน พวกพ่อก็ก่อไฟ พวกผู้หญิงก็นวดแป้ง เพื่อทำขนมถวายแด่เจ้าแม่แห่งฟ้าสวรรค์ และเขาเทเครื่องดื่มบูชาถวายแด่พระอื่นๆ เพื่อยั่วยุให้เราโกรธ”
ยรม 44.19 เมื่อเราเผาเครื่องหอมถวายเจ้าแม่แห่งฟ้าสวรรค์ และเทเครื่องดื่มถวายแก่พระนางเจ้า ที่เราได้ทำขนมถวายเพื่อนมัสการพระนางเจ้า และที่ได้เทเครื่องดื่มถวายแก่พระนางเจ้านั้น เรากระทำนอกเหนือความเห็นชอบของสามีของเราหรือ”
ฮชย 3.1 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงไปอีกครั้งหนึ่ง ไปสมานรักกับหญิงคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนรักของชู้และเป็นหญิงล่วงประเวณี เหมือนพระเยโฮวาห์ทรงรักวงศ์วานอิสราเอลอย่างนั้นแหละ แม้ว่าเขาจะหลงใหลไปตามพระอื่น และนิยมชมชอบกับขนมลูกองุ่นแห้ง”
ฮชย 7.8 เอฟราอิมเอาตัวเข้าปนกับชนชาติทั้งหลาย เอฟราอิมเป็นขนมปิ้งที่มิได้พลิกกลับ
ยน 6.9 “ที่นี่มีเด็กชายคนหนึ่งมีขนมข้าวบาร์เลย์ห้าก้อนกับปลาเล็กๆสองตัว แต่เท่านั้นจะพออะไรกับคนมากอย่างนี้”
ยน 6.13 เขาจึงเก็บเศษขนมข้าวบาร์เลย์ห้าก้อนซึ่งเหลือจากที่คนทั้งหลายได้กินแล้วนั้น ใส่กระบุงได้สิบสองกระบุงเต็ม
1คร 5.6 การที่ท่านอวดอ้างนั้นไม่ดีเลย ท่านไม่รู้หรือว่าเชื้อขนมเพียงนิดเดียวย่อมทำให้แป้งดิบฟูทั้งก้อน
กท 5.9 เชื้อขนมเพียงนิดหน่อยย่อมทำให้แป้งดิบฟูขึ้นได้ทั้งก้อน

ขนมปัง ( 160 )
ปฐก 14.18 เมลคีเซเดคกษัตริย์เมืองซาเล็มได้นำขนมปังและน้ำองุ่นมาให้ และท่านก็เป็นปุโรหิตของพระเจ้าผู้สูงสุด
ปฐก 21.14 อับราฮัมจึงลุกขึ้นแต่เช้ามืด ให้ขนมปังและน้ำหนึ่งถุงหนังแก่ฮาการ์ ใส่บ่าให้นางพร้อมกับเด็กนั้นแล้วส่งนางออกไป นางก็จากไปและพเนจรไปในถิ่นทุรกันดารแห่งเบเออร์เชบา
ปฐก 25.34 ยาโคบจึงให้ขนมปังและถั่วแดงต้มแก่เอซาว เขาก็กินและดื่ม แล้วลุกไป ดังนี้เอซาวก็ดูหมิ่นสิทธิบุตรหัวปีของตน
ปฐก 27.17 แล้วนางก็มอบอาหารอร่อยและขนมปัง ซึ่งนางจัดทำนั้นไว้ในมือของยาโคบบุตรชายของนาง
ปฐก 31.54 แล้วยาโคบถวายเครื่องบูชาบนถิ่นเทือกเขา และเรียกญาติพี่น้องของตนมารับประทานขนมปัง พวกเขารับประทานขนมปังและอยู่บนถิ่นเทือกเขาตลอดคืนวันนั้น
ปฐก 45.23 โยเซฟฝากของต่อไปนี้ให้บิดา คือลาสิบตัวบรรทุกของดีที่สุดในประเทศอียิปต์ และลาตัวเมียอีกสิบตัวบรรทุกข้าว ขนมปัง และเสบียงอาหารสำหรับให้บิดารับประทานตามทาง
อพย 12.15 เจ้าทั้งหลายจงกินขนมปังไร้เชื้อให้ครบเจ็ดวัน วันแรกจงชำระบ้านเจ้าให้ปราศจากเชื้อ ถ้าผู้ใดขืนกินขนมปังที่มีเชื้อตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่เจ็ด ผู้นั้นจะต้องถูกตัดขาดจากอิสราเอล
อพย 13.3 โมเสสจึงกล่าวแก่ประชาชนว่า “จงระลึกถึงวันนี้ที่ท่านทั้งหลายออกมาจากอียิปต์ จากเรือนทาส เพราะพระเยโฮวาห์ทรงนำท่านทั้งหลายออกจากที่นั่นด้วยฤทธิ์พระหัตถ์ อย่ากินขนมปังที่มีเชื้อเลย
อพย 13.7 จงกินขนมปังไร้เชื้อให้ครบกำหนดเจ็ดวัน อย่าให้เห็นขนมปังซึ่งมีเชื้อ หรือให้เห็นเชื้อขนมปังในเขตของพวกท่าน
อพย 23.18 อย่าถวายเลือดจากเครื่องบูชาของเรา พร้อมกับขนมปังมีเชื้อ หรือปล่อยให้มีไขมันในเครื่องบูชาของเราเหลืออยู่จนถึงรุ่งเช้า
อพย 29.3 แล้วจงใส่ขนมปังต่างๆเหล่านั้นไว้ในกระบุงเดียวกัน จงนำมาในกระบุงพร้อมกับวัวตัวผู้ และลูกแกะตัวผู้สองตัว
อพย 29.23 กับขนมปังก้อนหนึ่งและขนมปังคลุกน้ำมันแผ่นหนึ่ง และขนมปังบางแผ่นหนึ่งจากกระบุงขนมปังไร้เชื้อ ซึ่งอยู่ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
อพย 29.32 แล้วให้อาโรนกับบุตรชายของเขากินเนื้อแกะตัวผู้นั้น และขนมปังซึ่งอยู่ในกระบุงที่ประตูพลับพลาแห่งชุมนุม
อพย 29.34 และถ้าแม้เนื้อที่ใช้ในพิธีสถาปนา และขนมปังนั้นยังเหลืออยู่จนรุ่งเช้าบ้าง ก็ให้เผาส่วนที่เหลือนั้นด้วยไฟเสีย อย่าให้รับประทานเพราะเป็นของบริสุทธิ์
อพย 34.25 อย่าถวายเลือดบูชาพร้อมกับขนมปังมีเชื้อ และเครื่องบูชาอันเกี่ยวกับเทศกาลเลี้ยงปัสกานั้น อย่าให้เหลือไว้จนถึงวันรุ่งขึ้น
อพย 40.23 แล้วจัดขนมปังไว้บนโต๊ะเป็นระเบียบต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ตามที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาโมเสสไว้
ลนต 7.13 นอกจากขนมเหล่านี้ให้เขานำขนมปังใส่เชื้อมาถวายเป็นส่วนของเครื่องบูชา พร้อมกับเครื่องสันติบูชาที่ถวายเป็นการโมทนาพระคุณ
ลนต 8.31 โมเสสสั่งอาโรนและบุตรชายทั้งหลายของเขาว่า “จงต้มเนื้อเสียที่ประตูพลับพลาแห่งชุมนุม และรับประทานเสียที่นั่นกับขนมปังซึ่งอยู่ในกระบุงเครื่องสถาปนาบูชา ดังที่ข้าพเจ้าบัญชาท่านว่า อาโรนและบุตรชายทั้งหลายของเขาจะรับประทาน
ลนต 8.32 เนื้อและขนมปังที่เหลือนั้นท่านจงเผาเสียด้วยไฟ
ลนต 23.14 เจ้าอย่ารับประทานขนมปังหรือข้าวคั่วข้าวสดจนกว่าจะถึงวันเดียวกันนี้ คือกว่าเจ้าจะนำเครื่องบูชาถวายแด่พระเจ้าของเจ้า ทั้งนี้เป็นกฎเกณฑ์ถาวรตลอดชั่วอายุของเจ้าในที่อยู่ของเจ้าทั่วไป
ลนต 23.17 จงนำขนมปังสองก้อนทำด้วยแป้งสองในสิบเอฟาห์จากที่อาศัยของเจ้ามาแกว่งถวาย ให้ทำด้วยยอดแป้งใส่เชื้อปิ้ง เป็นผลรุ่นแรกถวายแด่พระเยโฮวาห์
ลนต 23.18 พร้อมกับขนมปังนั้นเจ้าจงนำลูกแกะเจ็ดตัวอายุหนึ่งขวบปราศจากตำหนิ วัวหนุ่มตัวหนึ่ง แกะผู้สองตัว มาเป็นเครื่องเผาบูชาถวายแด่พระเยโฮวาห์ พร้อมกับธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาอันเป็นคู่กัน ให้เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นพอพระทัยถวายแด่พระเยโฮวาห์
ลนต 23.20 ให้ปุโรหิตแกว่งไปแกว่งมาถวายพร้อมกับขนมปังซึ่งเป็นผลรุ่นแรกเป็นเครื่องแกว่งถวายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ พร้อมกับลูกแกะสองตัว จะเป็นสิ่งบริสุทธิ์แด่พระเยโฮวาห์สำหรับปุโรหิต
ลนต 24.5 และเจ้าจงเอายอดแป้ง ปิ้งขนมปังสิบสองก้อน แต่ละก้อนใช้แป้งสองในสิบเอฟาห์
ลนต 24.6 เจ้าจงจัดขนมปังนั้นวางบนโต๊ะบริสุทธิ์ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ เป็นสองแถวๆละหกก้อน
ลนต 24.7 และเจ้าจงเอาเครื่องกำยานบริสุทธิ์ใส่ไว้แต่ละแถว เพื่อจะคู่กับขนมปังเป็นส่วนที่ระลึก เป็นเครื่องบูชากระทำด้วยไฟถวายแด่พระเยโฮวาห์
ลนต 24.9 ขนมปังนี้ตกเป็นของอาโรนและบุตรชายของเขา ให้เขารับประทานได้ในที่บริสุทธิ์ เพราะเป็นส่วนบริสุทธิ์ที่สุดที่ได้จากเครื่องบูชากระทำด้วยไฟถวายแด่พระเยโฮวาห์เป็นกฎเกณฑ์เนืองนิตย์”
พบญ 16.3 อย่ารับประทานขนมปังมีเชื้อกับปัสกา ตลอดเจ็ดวันท่านจงรับประทานขนมปังไร้เชื้อ เป็นขนมปังแห่งความทุกข์ใจ เพราะท่านรีบหนีออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ เพื่อท่านจะระลึกถึงวันที่ท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์นั้นตลอดชีวิตของท่าน
พบญ 23.4 เพราะว่าคนเหล่านี้มิได้มาต้อนรับท่านทั้งหลายตามทางด้วยขนมปังและน้ำเมื่อท่านออกจากอียิปต์ และเพราะว่าเขาได้จ้างบาลาอัมบุตรชายเบโอร์มาจากเปโธร์แห่งเมโสโปเตเมียให้สาปแช่งท่านทั้งหลาย
พบญ 29.6 เจ้าทั้งหลายมิได้รับประทานขนมปัง เจ้ามิได้ดื่มน้ำองุ่นหรือสุรา เพื่อเจ้าจะได้รู้ว่า เราเป็นพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า’
ยชว 9.12 ขนมปังของพวกข้าพเจ้านี้ในวันที่ข้าพเจ้าออกมาหาท่าน ข้าพเจ้าเอาออกจากบ้านเมื่อยังร้อนๆ อยู่เพื่อใช้เป็นอาหารรับประทานตามทาง แต่บัดนี้ ดูเถิด แห้งและราขึ้นแล้ว
วนฉ 8.5 ท่านจึงพูดกับชาวเมืองสุคคทว่า “ขอขนมปังให้คนที่ติดตามเรามาบ้าง เพราะเขาอ่อนเปลี้ย เรากำลังไล่ติดตามเศบาห์และศัลมุนนากษัตริย์แห่งมีเดียน”
วนฉ 8.6 เจ้านายของเมืองสุคคทจึงตอบว่า “มือของเศบาห์และของศัลมุนนาอยู่ในมือเจ้าแล้วหรือ เราจึงจะเอาขนมปังมาเลี้ยงกองทัพของเจ้า”
วนฉ 8.15 กิเดโอนจึงมาหาชาวเมืองสุคคทกล่าวว่า “จงมาดูเศบาห์และศัลมุนนา ซึ่งเมื่อก่อนเจ้าเยาะเย้ยเราว่า ‘มือของเศบาห์และของศัลมุนนาอยู่ในมือเจ้าแล้วหรือ เราจะได้เลี้ยงทหารที่เหน็ดเหนื่อยของเจ้าด้วยขนมปัง’”
นรธ 2.14 โบอาสก็บอกนางว่า “พอถึงเวลารับประทานอาหารเชิญมานี่เถิด มารับประทานขนมปังบ้าง และเอาอาหารมาจิ้มน้ำส้มเถิด” นางจึงนั่งลงข้างๆพวกคนเกี่ยวข้าว โบอาสจึงส่งข้าวคั่วให้ และนางก็รับประทานจนอิ่ม และยังเหลือไว้บ้าง
1ซมอ 2.36 และต่อมาทุกคนที่ยังเหลืออยู่ในวงศ์วานของเจ้าจะมากราบไหว้เขาขอเงินเหรียญหนึ่งและขนมปังก้อนหนึ่ง และจะกล่าวว่า “ขอท่านกรุณาตั้งข้าพเจ้าไว้ในตำแหน่งปุโรหิตสักทีหนึ่งเถิด เพื่อข้าพเจ้าจะได้รับประทานอาหารสักหน่อยหนึ่ง”’”
1ซมอ 9.7 แล้วซาอูลพูดกับคนใช้ของท่านว่า “แต่ดูเถิด ถ้าเราไปเราจะเอาอะไรไปให้ชายผู้นั้น เพราะขนมปังในย่ามของเราก็หมดแล้ว เราไม่มีของขวัญที่จะนำไปให้แก่คนของพระเจ้า เรามีอะไรบ้าง”
1ซมอ 10.3 และท่านจะเดินเลยที่นั่นไปถึงที่ราบตำบลทาโบร์ ที่นั่นชายสามคนซึ่งกำลังขึ้นไปเฝ้าพระเจ้าที่เบธเอลจะพบท่าน คนหนึ่งอุ้มลูกแพะสามตัว อีกคนหนึ่งถือขนมปังสามก้อน และอีกคนหนึ่งถือถุงหนังน้ำองุ่นถุงหนึ่ง
1ซมอ 10.4 เขาทั้งหลายจะคำนับท่านและมอบขนมปังให้ท่านสองก้อน ซึ่งท่านจะรับจากมือของเขา
1ซมอ 16.20 และเจสซีก็จัดลาตัวหนึ่งบรรทุกขนมปัง และถุงหนังใส่น้ำองุ่นถุงหนึ่ง กับลูกแพะตัวหนึ่ง ฝากไปกับดาวิดบุตรชายของท่านให้ถวายซาอูล
1ซมอ 17.17 เจสซีสั่งดาวิดบุตรชายของตนว่า “ข้าวคั่วนี้เอฟาห์หนึ่ง และขนมปังสิบก้อนนี้ อันจัดไว้ให้พวกพี่ชายของเจ้า จงเอาไปให้พี่ชายของเจ้าที่ค่ายเร็วๆ
1ซมอ 21.3 ฉะนั้นบัดนี้ท่านมีอะไรติดมืออยู่บ้างเล่า ขอมอบขนมปังไว้ในมือข้าพเจ้าสักห้าก้อน หรืออะไรๆที่มีที่นี่ก็ได้”
1ซมอ 21.4 ปุโรหิตนั้นตอบดาวิดว่า “ข้าพเจ้าไม่มีขนมปังธรรมดาติดมือเลย แต่มีขนมปังบริสุทธิ์ ขอแต่คนหนุ่มได้อยู่ห่างจากผู้หญิงมาแล้วก็แล้วกัน”
1ซมอ 21.5 และดาวิดก็ตอบท่านปุโรหิตว่า “ที่จริง ตั้งแต่เราออกไปปฏิบัติงาน ผู้หญิงก็ถูกกันไว้ให้ห่างจากเราทั้งหลายประมาณสามวัน และภาชนะของคนหนุ่มก็บริสุทธิ์ และขนมปังนั้นเป็นอย่างธรรมดาอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าขนมปังนั้นถูกชำระให้บริสุทธิ์ในภาชนะแล้ว”
1ซมอ 21.6 ดังนั้นปุโรหิตจึงมอบขนมปังบริสุทธิ์ให้แก่ดาวิด เพราะที่นั่นไม่มีขนมปังอื่นนอกจากขนมปังหน้าพระพักตร์ ซึ่งเก็บมาจากหน้าพระพักตร์พระเยโฮวาห์ เพื่อวางขนมปังใหม่ในวันที่เก็บเอาขนมปังเก่านั้นออกไป
1ซมอ 22.13 และซาอูลตรัสแก่เขาว่า “ทำไมเจ้าจึงร่วมกันกบฏต่อเรา ทั้งเจ้าและบุตรของเจสซี ในการที่เจ้าได้ให้ขนมปังและดาบแก่เขา และได้ทูลถามพระเจ้าให้เขา เขาจึงลุกขึ้นต่อสู้เรา และคอยซุ่มดักเราอยู่อย่างทุกวันนี้”
1ซมอ 25.11 ควรหรือที่ข้าจะนำขนมปังของข้า และน้ำของข้า และเนื้อของข้า ซึ่งข้าได้ฆ่าเสียสำหรับคนตัดขนแกะของข้า มอบให้แก่คนซึ่งมาจากที่ไหนข้าก็ไม่รู้”
1ซมอ 25.18 แล้วนางอาบีกายิลก็รีบจัดขนมปังสองร้อยก้อน และน้ำองุ่นสองถุงหนัง และแกะที่ทำเสร็จแล้วห้าตัว และข้าวคั่วห้าถัง และองุ่นแห้งร้อยช่อ และขนมมะเดื่อสองร้อยแผ่นบรรทุกหลังลา
1ซมอ 30.11 เขาทั้งหลายพบชาวอียิปต์คนหนึ่งอยู่ที่กลางแจ้ง จึงนำเขามาหาดาวิด ให้ขนมปังและเขาก็รับประทานและให้น้ำเขาดื่ม
1ซมอ 30.12 และให้ขนมมะเดื่อแผ่นหนึ่งกับช่อองุ่นแห้งสองช่อ เมื่อเขารับประทานแล้ว จิตใจของเขาก็ฟื้นขึ้น เพราะเขาไม่ได้รับประทานขนมปังหรือดื่มน้ำมาสามวันสามคืนแล้ว
2ซมอ 3.29 ขอให้โทษนั้นตกเหนือศีรษะของโยอาบ และเหนือวงศ์วานบิดาของเขาทั้งสิ้น ขออย่าให้คนที่มีสิ่งไหลออก คนที่เป็นโรคเรื้อน คนที่ถือไม้เท้า คนที่ถูกประหารด้วยดาบ หรือคนขาดขนมปัง ขาดจากวงศ์วานของโยอาบ”
2ซมอ 3.35 แล้วประชาชนทั้งปวงก็มาทูลชวนเชิญให้ดาวิดเสวยพระกระยาหารเมื่อเวลายังวันอยู่ แต่ดาวิดทรงปฏิญาณว่า “ถ้าเราลิ้มรสขนมปังหรือสิ่งใดๆก่อนดวงอาทิตย์ตก ขอพระเจ้าทรงทำโทษเราและให้หนักยิ่งกว่า”
2ซมอ 6.19 และทรงแจกขนมปังคนละแผ่น เนื้อคนละก้อน และขนมองุ่นแห้งคนละแผ่นแก่ประชาชนทั้งปวง คือประชาชนอิสราเอลทั้งหมดทั้งผู้หญิงผู้ชาย แล้วประชาชนทั้งหลายต่างก็กลับไปยังบ้านของตน
2ซมอ 16.1 เมื่อดาวิดเสด็จเลยยอดเขาไปหน่อยหนึ่ง ดูเถิด ศิบามหาดเล็กของเมฟีโบเชทก็เข้ามาเฝ้าพระองค์ มีลาคู่หนึ่งผูกอานพร้อม บรรทุกขนมปังสองร้อยก้อน องุ่นแห้งร้อยพวง และผลไม้ฤดูร้อนอีกร้อยหนึ่ง กับน้ำองุ่นหนึ่งถุงหนัง
2ซมอ 16.2 กษัตริย์ตรัสกับศิบาว่า “เจ้านำสิ่งเหล่านี้มาทำไม” ศิบาทูลตอบว่า “ลาคู่นั้นเพื่อราชวงศ์จะได้ทรง ขนมปังและผลไม้ฤดูร้อนสำหรับชายหนุ่มรับประทาน และน้ำองุ่นเพื่อผู้ที่อ่อนเปลี้ยอยู่กลางถิ่นทุรกันดารจะได้ดื่ม”
1พกษ 13.8 และคนของพระเจ้าทูลกษัตริย์ว่า “ถ้าท่านจะให้สักครึ่งราชสมบัติของท่าน ข้าพเจ้าจะไม่ไปกับท่าน และข้าพเจ้าจะไม่รับประทานขนมปังหรือดื่มน้ำในที่นี้
1พกษ 13.9 เพราะว่าพระวจนะของพระเยโฮวาห์บัญชาข้าพเจ้าไว้อย่างนั้นว่า ‘เจ้าอย่ากินขนมปังหรือดื่มน้ำ หรือกลับไปตามทางที่เจ้ามานั้น’”
1พกษ 14.3 เธอจงเอาขนมปังสิบก้อน และขนมหวานบ้างและน้ำผึ้งไหหนึ่ง ไปหาท่าน ท่านจะบอกเธอว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเด็กนั้น”
1พกษ 17.6 และกาก็นำขนมปังและเนื้อมาให้ท่านในเวลาเช้า และนำขนมปังและเนื้อมาในเวลาเย็น และท่านก็ดื่มน้ำจากลำธาร
1พกษ 18.4 และเมื่อเยเซเบลขจัดผู้พยากรณ์ของพระเยโฮวาห์ออกไป โอบาดีห์ได้นำผู้พยากรณ์หนึ่งร้อยคนซ่อนไว้ตามถ้ำแห่งละห้าสิบคน และเลี้ยงเขาทั้งหลายด้วยขนมปังและน้ำ)
1พกษ 18.13 ไม่มีผู้ใดเรียนเจ้านายของข้าพเจ้าดอกหรือว่า ข้าพเจ้าได้กระทำสิ่งใดเมื่อเยเซเบลประหารผู้พยากรณ์ของพระเยโฮวาห์เสีย และข้าพเจ้าได้ซ่อนผู้พยากรณ์หนึ่งร้อยคนของพระเยโฮวาห์ไว้ตามถ้ำแห่งละห้าสิบคน และเลี้ยงเขาด้วยขนมปังและน้ำ
1พกษ 19.6 และท่านก็มองดู ดูเถิด ตรงที่ศีรษะของท่านมีขนมปังที่ปิ้งบนก้อนหินร้อนและมีไหน้ำลูกหนึ่ง ท่านก็รับประทานและดื่ม และนอนลงอีก
2พกษ 4.42 มีชายคนหนึ่งมาจากบ้านบาอัลชาลิชาห์นำของมาให้คนแห่งพระเจ้า มีขนมปังเป็นผลแรกคือ ขนมข้าวบาร์เลย์ยี่สิบก้อน และรวงข้าวใหม่ใส่กระสอบของเขามาและเอลีชาว่า “จงให้แก่คนเหล่านั้นรับประทาน”
2พกษ 18.32 จนเราจะมานำเจ้าไปยังแผ่นดินที่เหมือนแผ่นดินของเจ้าเอง เป็นแผ่นดินที่มีข้าวและน้ำองุ่น เป็นแผ่นดินที่มีขนมปังและสวนองุ่น เป็นแผ่นดินที่มีน้ำมันมะกอกเทศและน้ำผึ้ง เพื่อเจ้าทั้งหลายจะมีชีวิตอยู่และไม่ตาย และอย่าฟังเฮเซคียาห์เมื่อเขานำเจ้าผิดไปโดยกล่าวว่า “พระเยโฮวาห์จะทรงช่วยเราทั้งหลายให้พ้น”
1พศด 16.3 และทรงแจกขนมปังคนละก้อน เนื้อคนละส่วน และขนมองุ่นแห้งคนละอัน แก่บรรดาประชาชนอิสราเอลทั้งชายและหญิง
อสร 10.6 แล้วเอสราก็ถอยไปจากต่อหน้าพระนิเวศของพระเจ้า เข้าไปในห้องของโยฮานันบุตรชายเอลียาชีบ เมื่อมาถึงที่นั่นแล้วก็ไม่รับประทานขนมปังหรือดื่มน้ำ เพราะท่านโศกเศร้าด้วยเรื่องการละเมิดของพวกที่ถูกกวาดไปเป็นเชลยนั้น
โยบ 22.7 ท่านมิได้ให้น้ำแก่คนอิดโรยดื่ม และท่านหน่วงเหนี่ยวขนมปังไว้มิให้คนที่หิว
สดด 14.4 บรรดาผู้ที่กระทำความชั่วช้าไม่มีความรู้หรือ คือผู้ที่กินประชาชนของเราอย่างกินขนมปัง และไม่ร้องทูลพระเยโฮวาห์
สดด 53.4 บรรดาผู้ที่กระทำความชั่วช้าไม่มีความรู้หรือ คือผู้ที่กินประชาชนของเราอย่างกินขนมปัง และไม่ร้องทูลพระเจ้า
สดด 78.20 ดูเถิด พระองค์ทรงตีหินให้น้ำพุออกมา และลำธารก็ไหลล้น พระองค์จะประทานขนมปังด้วยได้หรือ หรือทรงจัดเนื้อให้ประชาชนของพระองค์ได้หรือ
สดด 104.15 และน้ำองุ่นซึ่งให้ใจมนุษย์ยินดี น้ำมันเพื่อทำให้หน้าของเขาทอแสง และขนมปังซึ่งเสริมกำลังใจมนุษย์
สดด 132.15 เราจะอำนวยพรอย่างมากมายแก่เสบียงของเมืองนี้ เราจะให้คนจนของเมืองนี้อิ่มด้วยขนมปัง
สภษ 6.26 เพราะโดยวิธีการของหญิงแพศยา ชายคนใดอาจเหลือแค่ขนมปังก้อนเดียวได้ และหญิงเล่นชู้ล่าชีวิตประเสริฐของชายทีเดียว
สภษ 9.5 “มาเถอะ มารับประทานขนมปังของเรา และดื่มน้ำองุ่นที่เราได้ประสม
ปญจ 11.1 จงโยนขนมปังของเจ้าลงบนน้ำ เพราะอีกหลายวันเจ้าจะพบมันได้
อสย 21.14 ชาวแผ่นดินเทมาได้เอาน้ำมาให้คนกระหาย เขาเอาขนมปังมาต้อนรับคนลี้ภัย
อสย 28.28 คนใดบดข้าวที่ทำขนมปังหรือ เปล่าเลย เขาไม่นวดมันเป็นนิตย์ เมื่อเขาขับล้อเกวียนเทียมม้าทับมันแล้ว เขามิได้บดมันด้วยคนขี่ม้า
อสย 36.17 จนเราจะมานำเจ้าไปยังแผ่นดินที่เหมือนแผ่นดินของเจ้าเอง เป็นแผ่นดินที่มีข้าวและน้ำองุ่น แผ่นดินที่มีขนมปังและสวนองุ่น
อสย 44.15 แล้วมนุษย์จะเอาไปเผาเสีย เขาเอามันมาส่วนหนึ่งและให้อบอุ่นตัวเขา เออ เขาก่อไฟและปิ้งขนมปัง และเขาเอามาทำพระองค์หนึ่งและนมัสการมันด้วย เออ เขาทำเป็นรูปแกะสลักและกราบรูปนั้น
อสย 44.19 ไม่มีใครพินิจพิเคราะห์ในใจของตนเลย และไม่มีความรู้หรือความเข้าใจ ที่จะกล่าวว่า “ข้าได้เผามันเสียส่วนหนึ่งในกองไฟ และข้าก็เอาถ่านมันมาปิ้งขนมปัง ข้าย่างเนื้อกินแล้ว และควรหรือที่ข้าจะทำส่วนที่เหลือให้เป็นสิ่งน่าเกลียดน่าชัง ควรหรือที่ข้าจะกราบลงต่อท่อนไม้ท่อนหนึ่ง”
ยรม 37.21 กษัตริย์เศเดคียาห์จึงมีรับสั่งให้เขามอบเยเรมีย์ไว้ที่บริเวณทหารรักษาพระองค์ และเขาให้ขนมปังแก่ท่านวันละก้อนจากถนนช่างทำขนมจนขนมปังในกรุงนั้นหมด เยเรมีย์จึงค้างอยู่ในบริเวณทหารรักษาพระองค์อย่างนั้น
ยรม 38.9 “ข้าแต่กษัตริย์ผู้เป็นเจ้านายของข้าพระองค์ คนเหล่านี้ได้กระทำความชั่วร้ายในบรรดาการที่เขาได้กระทำต่อเยเรมีย์ผู้พยากรณ์ โดยที่ได้ทิ้งท่านลงไปในคุกใต้ดิน ท่านคงหิวตายที่นั่น เพราะในกรุงนี้ไม่มีขนมปังเหลืออยู่เลย”
ยรม 42.14 และกล่าวว่า ‘ไม่เอา เราจะเข้าไปในแผ่นดินอียิปต์ ที่ซึ่งเราจะไม่เห็นสงคราม จะไม่ได้ยินเสียงแตร จะไม่หิวขนมปัง และเราทั้งหลายจะอาศัยอยู่ที่นั่น’
อสค 4.9 เจ้าจงเอาข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ถั่วยาง และถั่วแดง ข้าวฟ่าง และเทียนแดง มาใส่ในภาชนะลูกเดียวใช้ทำเป็นขนมปังให้เจ้า ระหว่างที่เจ้านอนตะแคงตามกำหนดวันสามร้อยเก้าสิบวันนั้น เจ้าจะรับประทานอาหารนี้
อสค 4.12 และเจ้าจะต้องรับประทานต่างขนมปังข้าวบาร์เลย์ ใช้ไฟอุจจาระมนุษย์ปิ้งท่ามกลางสายตาของเขาทั้งหลาย”
อสค 4.13 และพระเยโฮวาห์ตรัสว่า “ประชาชนอิสราเอลจะต้องรับประทานขนมปังของเขาอย่างมลทินอย่างนี้แหละ ณ ท่ามกลางประชาชาติ ซึ่งเราจะขับไล่เขาไปอยู่”
อสค 4.15 แล้วพระองค์จึงตรัสกับข้าพเจ้าว่า “ดูเถิด เราจะยอมให้เจ้าใช้มูลวัวแทนอุจจาระของมนุษย์ ซึ่งเจ้าจะใช้เตรียมขนมปังของเจ้า”
อสค 4.16 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าอีกว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ดูเถิด เราจะทำลายอาหารหลักในเยรูซาเล็มเสีย เขาจะต้องชั่งขนมปังรับประทาน ทั้งรับประทานด้วยความหวาดกลัว และเขาจะตวงน้ำดื่ม ทั้งดื่มด้วยอาการอกสั่นขวัญหาย
อสค 4.17 เพื่อให้ขาดขนมปังและน้ำ ให้ต่างคนต่างอกสั่นขวัญหาย และซูบผอมไปเพราะความชั่วช้าของเขาทั้งหลาย”
อสค 13.19 เจ้าจะกระทำให้เรามัวหมองท่ามกลางประชาชนของเรา ด้วยเห็นแก่ข้าวบาร์เลย์เพียงหลายกำมือ และขนมปังเพียงหลายชิ้น เพื่อสังหารคนที่ไม่สมควรจะตาย และไว้ชีวิตคนที่ไม่ควรจะมีชีวิตอยู่ โดยการมุสาของเจ้าต่อประชาชนของเราที่ฟังคำมุสานั้น
ฮชย 9.4 เขาจะไม่ทำพิธีเทน้ำองุ่นถวายพระเยโฮวาห์ เขาจะไม่กระทำให้พระองค์พอพระทัย เครื่องสัตวบูชาของเขาจะเป็นเหมือนขนมปังสำหรับไว้ทุกข์แก่เขา ผู้ใดรับประทานก็จะมีมลทิน เพราะว่าขนมปังสำหรับจิตวิญญาณของเขาจะไม่เข้าไปในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์
ฮกก 2.12 ‘ถ้าผู้ใดยกชายเสื้อคลุมทำพกห่อเนื้อบริสุทธิ์ไป หากว่าชายเสื้อตัวนั้นไปถูกขนมปังหรือแกง หรือน้ำองุ่น หรือน้ำมัน หรืออาหารใดๆ สิ่งนั้นจะพลอยบริสุทธิ์ไปด้วยหรือไม่’” พวกปุโรหิตตอบว่า “ไม่บริสุทธิ์”
มธ 7.9 ในพวกท่านมีใครบ้างที่จะเอาก้อนหินให้บุตร เมื่อเขาขอขนมปัง
มธ 14.17 พวกสาวกจึงทูลพระองค์ว่า “ที่นี่พวกข้าพระองค์มีแต่ขนมปังเพียงห้าก้อนกับปลาสองตัวเท่านั้น”
มธ 14.19 แล้วพระองค์ทรงสั่งให้คนเหล่านั้นนั่งลงที่หญ้า เมื่อทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวนั้นแล้ว ก็ทรงแหงนพระพักตร์ดูฟ้าสวรรค์ ทรงขอบพระคุณ และหักขนมปังส่งให้เหล่าสาวก เหล่าสาวกก็แจกให้คนทั้งปวง
มธ 15.34 พระเยซูจึงตรัสถามเขาว่า “ท่านมีขนมปังกี่ก้อน” เขาทูลว่า “มีเจ็ดก้อนกับปลาเล็กๆสองสามตัว”
มธ 15.36 แล้วพระองค์ทรงรับขนมปังเจ็ดก้อนและปลาเหล่านั้นมาขอบพระคุณ แล้วจึงทรงหักส่งให้เหล่าสาวกของพระองค์ เหล่าสาวกก็แจกให้ประชาชน
มธ 16.5 ฝ่ายพวกสาวกของพระองค์ เมื่อข้ามฟากนั้นได้ลืมเอาขนมปังไปด้วย
มธ 16.7 เหล่าสาวกจึงปรึกษากันว่า “เพราะเหตุที่เรามิได้เอาขนมปังมา”
มธ 16.8 ฝ่ายพระเยซูทรงทราบจึงตรัสกับเขาว่า “โอ ผู้มีความเชื่อน้อย เหตุไฉนพวกท่านจึงปรึกษากันและกันถึงเรื่องไม่ได้เอาขนมปังมา
มธ 16.9 ท่านยังไม่เข้าใจและจำไม่ได้หรือ เรื่องขนมปังห้าก้อนกับคนห้าพันคนนั้น ท่านเก็บที่เหลือได้กี่กระบุง
มธ 16.10 หรือขนมปังเจ็ดก้อนกับคนสี่พันคนนั้น ท่านเก็บที่เหลือได้กี่กระบุง
มธ 16.11 เป็นไฉนพวกท่านถึงไม่เข้าใจว่า เรามิได้พูดกับท่านด้วยเรื่องขนมปัง แต่ได้ว่าให้ท่านระวังเชื้อแห่งพวกฟาริสีและพวกสะดูสีให้ดี”
มธ 16.12 แล้วพวกสาวกก็เข้าใจว่า พระองค์มิได้ตรัสสั่งเขาให้ระวังเชื้อขนมปัง แต่ให้ระวังคำสอนของพวกฟาริสีและพวกสะดูสี
มธ 26.26 ระหว่างอาหารมื้อนั้น พระเยซูทรงหยิบขนมปังมา และเมื่อขอบพระคุณแล้ว ทรงหักส่งให้แก่เหล่าสาวกตรัสว่า “จงรับกินเถิด นี่เป็นกายของเรา”
มก 6.38 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “พวกท่านมีขนมปังอยู่กี่ก้อน ไปดูซิ” เมื่อรู้แล้วเขาจึงทูลว่า “มีขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว”
มก 6.41 เมื่อพระองค์ทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวนั้นแล้ว ก็แหงนพระพักตร์ดูฟ้าสวรรค์ขอบพระคุณ แล้วหักขนมปังนั้นให้เหล่าสาวกให้เขาแจกแก่คนทั้งปวง และปลาสองตัวนั้นพระองค์ทรงแบ่งให้ทั่วกันด้วย
มก 6.43 ส่วนเศษขนมปังและปลาที่เหลือนั้นเขาเก็บไว้ได้ถึงสิบสองกระบุงเต็ม
มก 6.44 และในจำนวนคนที่ได้รับประทานขนมปังนั้น มีผู้ชายประมาณห้าพันคน
มก 6.52 ด้วยว่าการอัศจรรย์เรื่องขนมปังนั้นเขายังไม่เข้าใจ เพราะใจเขายังแข็งกระด้าง
มก 8.5 พระองค์ตรัสถามเขาว่า “พวกท่านมีขนมปังกี่ก้อน” เขาทูลว่า “มีเจ็ดก้อน”
มก 8.6 พระองค์จึงตรัสสั่งประชาชนให้นั่งลงที่พื้นดิน แล้วทรงรับขนมปังเจ็ดก้อนนั้น ทรงขอบพระคุณ แล้วจึงทรงหักส่งให้เหล่าสาวกให้เขาแจก เหล่าสาวกจึงแจกให้ประชาชน
มก 8.14 ฝ่ายเหล่าสาวกลืมเอาขนมปังไป และในเรือเขามีขนมปังอยู่ก้อนเดียวเท่านั้น
มก 8.16 เหล่าสาวกจึงปรึกษากันว่า “เพราะเหตุที่เราไม่มีขนมปัง”
มก 8.17 เมื่อพระเยซูทรงทราบจึงตรัสแก่เขาว่า “เหตุไฉนพวกท่านจึงปรึกษากันและกันถึงเรื่องไม่มีขนมปัง ท่านยังไม่รู้และไม่เข้าใจหรือ ใจของท่านยังแข็งกระด้างหรือ
มก 8.19 เมื่อเราหักขนมปังห้าก้อนให้แก่คนห้าพันคนนั้น ท่านทั้งหลายเก็บเศษที่เหลือนั้นได้กี่กระบุง” เขาทูลตอบพระองค์ว่า “ได้สิบสองกระบุง”
มก 8.20 “เมื่อแจกขนมปังเจ็ดก้อนให้แก่คนสี่พันคนนั้น ท่านทั้งหลายเก็บเศษที่เหลือได้กี่กระบุง” เขาทูลตอบว่า “ได้เจ็ดกระบุง”
มก 14.22 ระหว่างอาหารมื้อนั้น พระเยซูทรงหยิบขนมปังมา ทรงขอบพระคุณ แล้วหักส่งให้แก่เหล่าสาวกตรัสว่า “จงรับกินเถิด นี่เป็นกายของเรา”
ลก 4.3 พญามารจึงทูลพระองค์ว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินนี้ให้กลายเป็นขนมปัง”
ลก 7.33 ด้วยว่ายอห์นผู้ให้รับบัพติศมาก็ไม่ได้รับประทานขนมปังหรือดื่มน้ำองุ่น และท่านทั้งหลายว่า ‘เขามีผีเข้าสิงอยู่’
ลก 9.13 แต่พระองค์ตรัสแก่เขาว่า “พวกท่านจงเลี้ยงเขาเถิด” เขาทูลว่า “เราไม่มีอะไรมาก มีแต่ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว เว้นเสียแต่เราจะไปซื้ออาหารสำหรับคนทั้งปวงนี้”
ลก 9.16 เมื่อพระองค์ทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวนั้นแล้ว ก็แหงนพระพักตร์ดูฟ้าสวรรค์ขอบพระคุณ แล้วหักส่งให้แก่เหล่าสาวก ให้เขาแจกแก่ประชาชน
ลก 11.5 พระองค์ตรัสแก่เขาว่า “ผู้ใดในพวกท่านมีมิตรสหายคนหนึ่ง และจะไปหามิตรสหายนั้นในเวลาเที่ยงคืนพูดกับเขาว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ขอให้ฉันยืมขนมปังสามก้อนเถิด
ลก 11.11 มีผู้ใดในพวกท่านที่เป็นบิดา ถ้าบุตรขอขนมปังจะเอาก้อนหินให้เขาหรือ หรือถ้าขอปลาจะเอางูให้เขาแทนปลาหรือ
ลก 22.19 พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ขอบพระคุณแล้วหักส่งให้แก่เขาทั้งหลายตรัสว่า “นี่เป็นกายของเรา ซึ่งได้ให้สำหรับท่านทั้งหลาย จงกระทำอย่างนี้ให้เป็นที่ระลึกถึงเรา”
ลก 24.30 ต่อมาเมื่อพระองค์ทรงเอนพระกายลงเสวยกับเขา พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ขอบพระคุณ แล้วหักส่งให้เขา
ลก 24.35 ฝ่ายสองคนนั้นจึงเล่าความซึ่งเกิดขึ้นที่กลางทาง และที่เขาได้รู้จักพระองค์โดยการหักขนมปังนั้น
ยน 6.11 แล้วพระเยซูก็ทรงหยิบขนมปังนั้น และเมื่อขอบพระคุณแล้ว ก็ทรงแจกแก่พวกสาวก และพวกสาวกแจกแก่บรรดาคนที่นั่งอยู่นั้น และให้ปลาด้วยตามที่เขาปรารถนา
ยน 6.23 (แต่มีเรือลำอื่นมาจากทิเบเรียส ใกล้สถานที่ที่เขาได้กินขนมปัง หลังจากที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงขอบพระคุณแล้ว)
ยน 6.26 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายตามหาเรามิใช่เพราะได้เห็นการอัศจรรย์นั้น แต่เพราะได้กินขนมปังอิ่ม
ยน 21.9 เมื่อเขาขึ้นมาบนฝั่ง เขาก็เห็นถ่านติดไฟอยู่ และมีปลาวางอยู่ข้างบนและมีขนมปัง
ยน 21.13 พระเยซูทรงเข้ามาหยิบขนมปังแจกให้เขาและทรงหยิบปลาแจกด้วย
กจ 2.46 เขาได้ร่วมใจกันไปในพระวิหาร และหักขนมปังตามบ้านของเขาร่วมรับประทานอาหารด้วยความชื่นชมยินดีและด้วยจริงใจ ทุกวันเรื่อยไป
กจ 20.7 ในวันต้นสัปดาห์เมื่อพวกสาวกประชุมกันทำพิธีหักขนมปัง เปาโลก็กล่าวสั่งสอนเขา เพราะว่าวันรุ่งขึ้นจะลาไปจากเขาแล้ว ท่านได้กล่าวยืดยาวไปจนเที่ยงคืน
กจ 20.11 ครั้นเปาโลขึ้นไปห้องชั้นบนหักขนมปังและรับประทานแล้ว ก็สนทนาต่อไปอีกช้านานจนสว่าง ท่านก็ลาเขาไป
กจ 27.35 ครั้นกล่าวอย่างนั้นแล้ว ท่านจึงหยิบขนมปังขอบพระเดชพระคุณพระเจ้าต่อหน้าคนทั้งปวง เมื่อหักแล้วก็เริ่มรับประทาน
1คร 10.16 ถ้วยแห่งพระพรซึ่งเราได้ขอพระพรนั้นเป็นที่ทำให้เรามีส่วนร่วมในพระโลหิตของพระคริสต์มิใช่หรือ ขนมปังซึ่งเราหักนั้นเป็นที่ทำให้เรามีส่วนร่วมในพระกายของพระคริสต์มิใช่หรือ
1คร 10.17 แม้เราซึ่งเป็นบุคคลหลายคน เราก็ยังเป็นขนมปังก้อนเดียวและเป็นร่างกายเดียว เพราะว่าเราทุกคนรับประทานขนมปังก้อนเดียวกัน
1คร 11.23 เพราะว่าเรื่องซึ่งข้าพเจ้าได้มอบไว้กับท่านแล้วนั้น ข้าพเจ้าได้รับจากองค์พระผู้เป็นเจ้า คือในคืนที่เขาทรยศพระเยซูเจ้านั้น พระองค์ทรงหยิบขนมปัง
1คร 11.26 เพราะว่าเมื่อท่านทั้งหลายกินขนมปังนี้และดื่มจากถ้วยนี้เวลาใด ท่านก็ประกาศการวายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจนกว่าพระองค์จะเสด็จมา
1คร 11.27 เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดกินขนมปังนี้และดื่มจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไม่สมควร ผู้นั้นก็ทำผิดต่อพระกายและพระโลหิตขององค์พระผู้เป็นเจ้า
1คร 11.28 ขอให้ทุกคนพิจารณาตนเอง แล้วจึงกินขนมปังและดื่มจากถ้วยนี้

ขนมปังไร้เชื้อ ( 43 )
ปฐก 19.3 เขาได้รบเร้าทูตเหล่านั้นอย่างมาก ทูตเหล่านั้นจึงแวะเข้าไปในบ้านของเขา และเขาจึงจัดการเลี้ยงทูตเหล่านั้น ทำขนมปังไร้เชื้อและทูตเหล่านั้นจึงรับประทาน
อพย 12.8 ในคืนวันนั้นให้เขากินเนื้อปิ้ง กับขนมปังไร้เชื้อและผักรสขม
อพย 12.15 เจ้าทั้งหลายจงกินขนมปังไร้เชื้อให้ครบเจ็ดวัน วันแรกจงชำระบ้านเจ้าให้ปราศจากเชื้อ ถ้าผู้ใดขืนกินขนมปังที่มีเชื้อตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่เจ็ด ผู้นั้นจะต้องถูกตัดขาดจากอิสราเอล
อพย 12.17 เจ้าทั้งหลายจงถือเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ เพราะในวันนั้นเราได้นำพลโยธาของเจ้าทั้งหลายออกไปจากแผ่นดินอียิปต์ เหตุฉะนี้ เจ้าจงฉลองวันนั้นและถือเป็นกฎถาวรตลอดชั่วอายุของเจ้า
อพย 12.18 ในตอนเย็นวันที่สิบสี่เดือนแรก เจ้าทั้งหลายจงกินขนมปังไร้เชื้อจนถึงเวลาเย็นวันที่ยี่สิบเอ็ดของเดือนนั้น
อพย 12.20 อย่ากินสิ่งใดที่มีเชื้อ ในที่อาศัยของเจ้า เจ้าจงกินแต่ขนมปังไร้เชื้อเท่านั้น”
อพย 13.6 จงกินขนมปังไร้เชื้อเป็นเวลาเจ็ดวัน และวันที่เจ็ดจงมีเทศกาลเลี้ยงถวายพระเยโฮวาห์
อพย 13.7 จงกินขนมปังไร้เชื้อให้ครบกำหนดเจ็ดวัน อย่าให้เห็นขนมปังซึ่งมีเชื้อ หรือให้เห็นเชื้อขนมปังในเขตของพวกท่าน
อพย 23.15 จงถือเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อตามเวลาที่กำหนดไว้ (ในเดือนอาบีบ อันเป็นเดือนซึ่งเราบัญชาไว้ เจ้าจงกินขนมปังไร้เชื้อเจ็ดวันตามที่เราสั่งเจ้าไว้แล้ว เพราะในเดือนนั้นเจ้าออกจากอียิปต์ อย่าให้ผู้ใดมาเฝ้าเรามือเปล่าเลย)
อพย 29.2 ขนมปังไร้เชื้อ ขนมไร้เชื้อคลุกน้ำมันและขนมแผ่นบางไร้เชื้อทาน้ำมัน ขนมเหล่านี้จงทำด้วยยอดแป้งข้าวสาลี
อพย 29.23 กับขนมปังก้อนหนึ่งและขนมปังคลุกน้ำมันแผ่นหนึ่ง และขนมปังบางแผ่นหนึ่งจากกระบุงขนมปังไร้เชื้อ ซึ่งอยู่ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
อพย 34.18 เจ้าทั้งหลายจงถือเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ จงกินขนมปังไร้เชื้อให้ครบเจ็ดวันตามกำหนดในเดือนอาบีบตามที่เราบัญชาเจ้า เพราะเจ้าออกจากอียิปต์ในเดือนอาบีบ
ลนต 6.16 ส่วนที่เหลืออยู่ให้อาโรนและบุตรชายของเขารับประทาน ให้รับประทานกับขนมปังไร้เชื้อในที่บริสุทธิ์ ให้รับประทานในลานของพลับพลาแห่งชุมนุม
ลนต 8.2 “จงนำอาโรนและบุตรชายของเขามาพร้อมกับเสื้อยศ น้ำมันเจิม วัวอันเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป แกะผู้สองตัว กระบุงขนมปังไร้เชื้อ
ลนต 8.26 และท่านหยิบขนมไร้เชื้อหนึ่งก้อนจากกระบุงขนมปังไร้เชื้อ ซึ่งอยู่ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ และหยิบขนมคลุกน้ำมันก้อนหนึ่ง และขนมแผ่นแผ่นหนึ่ง วางของเหล่านี้ไว้บนไขมัน และบนโคนขาข้างขวา
ลนต 23.6 และในวันที่สิบห้าเดือนเดียวกัน เป็นเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อถวายแด่พระเยโฮวาห์ ให้เจ้ารับประทานขนมปังไร้เชื้อเจ็ดวัน
กดว 6.15 และขนมปังไร้เชื้อกระจาดหนึ่ง ขนมทำด้วยยอดแป้งคลุกน้ำมัน ขนมแผ่นไร้เชื้อทาน้ำมันพร้อมกับเครื่องธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาที่คู่กัน
กดว 6.17 และปุโรหิตจะถวายแกะผู้เป็นเครื่องสันติบูชาแด่พระเยโฮวาห์ พร้อมกับขนมปังไร้เชื้อกระจาดหนึ่ง ปุโรหิตจะถวายธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาที่คู่กันด้วย
กดว 9.11 ให้ถือปัสกาในเดือนที่สองวันขึ้นสิบสี่ค่ำเวลาเย็น ให้เขากินขนมปังไร้เชื้อและผักรสขม
กดว 28.17 และวันที่สิบห้าของเดือนนี้เป็นวันการเลี้ยง จงรับประทานขนมปังไร้เชื้อเจ็ดวัน
พบญ 16.3 อย่ารับประทานขนมปังมีเชื้อกับปัสกา ตลอดเจ็ดวันท่านจงรับประทานขนมปังไร้เชื้อ เป็นขนมปังแห่งความทุกข์ใจ เพราะท่านรีบหนีออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ เพื่อท่านจะระลึกถึงวันที่ท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์นั้นตลอดชีวิตของท่าน
พบญ 16.8 ท่านจงรับประทานขนมปังไร้เชื้อหกวัน แต่ในวันที่เจ็ดเป็นประชุมอันศักดิ์สิทธิ์ถวายแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ในวันนั้นอย่ากระทำการงานใดๆ
พบญ 16.16 บรรดาผู้ชายทั้งสิ้นจะต้องเข้ามาเฝ้าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านปีละสามครั้ง ณ สถานที่ซึ่งพระองค์จะทรงเลือกไว้ คือ ณ เทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ เทศกาลสัปดาห์ และเทศกาลอยู่เพิง อย่าให้เขาไปเฝ้าพระเยโฮวาห์มือเปล่าๆ
1ซมอ 28.24 หญิงนั้นมีลูกวัวอ้วนอยู่ในบ้านตัวหนึ่ง ก็รีบฆ่าเสีย เอาแป้งมานวดปิ้งทำขนมปังไร้เชื้อ
2พกษ 23.9 ถึงอย่างไรก็ดีปุโรหิตแห่งปูชนียสถานสูงมิได้ขึ้นไปยังแท่นบูชาแห่งพระเยโฮวาห์ในกรุงเยรูซาเล็ม แต่เขาทั้งหลายกินขนมปังไร้เชื้อท่ามกลางพวกพี่น้องของเขาเอง
2พศด 8.13 ตามหน้าที่ประจำวันที่ต้องทำเป็นการถวายบูชาตามบัญญัติของโมเสส ในวันสะบาโต ในวันขึ้นค่ำหนึ่ง และในวันเทศกาลตามกำหนด ประจำปีสามเทศกาล คือเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ เทศกาลสัปดาห์ และเทศกาลอยู่เพิง
2พศด 30.13 ประชาชนเป็นอันมากมาประชุมกันในเยรูซาเล็มเพื่อถือเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อในเดือนที่สอง เป็นการชุมนุมใหญ่ยิ่งนัก
2พศด 30.21 และประชาชนอิสราเอลที่อยู่ ณ เยรูซาเล็มได้ถือเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อเจ็ดวันด้วยความยินดียิ่ง และคนเลวีกับปุโรหิตได้สรรเสริญพระเยโฮวาห์ทุกวันๆ ร้องเพลงทำเสียงดังด้วยเครื่องดนตรีของเขาถวายแด่พระเยโฮวาห์
2พศด 35.17 และประชาชนอิสราเอลผู้อยู่ที่นั่นได้ถือเทศกาลปัสกาเวลานั้น และเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อเจ็ดวัน
อสร 6.22 และเขาได้ถือเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อเจ็ดวันด้วยความชื่นบาน เพราะว่าพระเยโฮวาห์ได้ทรงกระทำให้เขาชื่นบาน และทรงหันพระทัยของกษัตริย์อัสซีเรียมาหาเขา เพื่อเสริมกำลังมือของเขาในการสร้างพระนิเวศของพระเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอล
อสค 45.21 ในวันที่สิบสี่ของเดือนต้น เจ้าจงฉลองเทศกาลปัสกา จงรับประทานขนมปังไร้เชื้อตลอดเทศกาลเจ็ดวัน
มธ 26.17 ในวันต้นเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ พวกสาวกมาทูลถามพระเยซูว่า “พระองค์ทรงปรารถนาจะให้ข้าพระองค์ทั้งหลายจัดเตรียมปัสกาให้พระองค์เสวยที่ไหน”
มก 14.1 ยังอีกสองวันจะถึงเทศกาลปัสกาและเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ พวกปุโรหิตใหญ่และพวกธรรมาจารย์ก็หาช่องที่จะจับพระองค์ด้วยอุบายและจะฆ่าเสีย
มก 14.12 เมื่อวันต้นเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ ถึงเวลาเขาเคยฆ่าลูกแกะสำหรับปัสกานั้น พวกสาวกของพระองค์มาทูลถามพระองค์ว่า “พระองค์ทรงปรารถนาจะให้ข้าพระองค์ทั้งหลายไปจัดเตรียมปัสกาให้พระองค์เสวยที่ไหน”
ลก 22.1 เทศกาลเลี้ยงขนมปังไร้เชื้อที่เรียกว่าปัสกามาใกล้แล้ว
ลก 22.7 พอถึงวันกินขนมปังไร้เชื้อ เมื่อเขาต้องฆ่าลูกแกะสำหรับปัสกา
กจ 12.3 เมื่อท่านเห็นว่าการนั้นเป็นที่ชอบใจพวกยิว ท่านก็จับเปโตรด้วย (นี่เป็นระหว่างเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ)
กจ 20.6 ครั้นวันเทศกาลขนมปังไร้เชื้อล่วงไปแล้ว เราทั้งหลายจึงลงเรือออกจากเมืองฟีลิปปี และต่อมาห้าวันก็มาถึงพวกนั้นที่เมืองโตรอัส และยับยั้งอยู่ที่นั่นเจ็ดวัน
1คร 5.7 ดังนั้นจงชำระเชื้อเก่าเสียเพื่อท่านจะได้เป็นแป้งดิบก้อนใหม่เหมือนขนมปังไร้เชื้อ เพราะพระคริสต์ผู้ทรงเป็นปัสกาของเรา ได้ถูกฆ่าบูชาเพื่อเราเสียแล้ว
1คร 5.8 เหตุฉะนั้นให้เราถือปัสกานั้น มิใช่ด้วยเชื้อเก่าหรือด้วยเชื้อของความชั่วช้าเลวทราม แต่ด้วยขนมปังไร้เชื้อคือความจริงใจและความจริง

ขนมปังหน้าพระพักตร์ ( 19 )
อพย 25.30 และเจ้าจงวางขนมปังหน้าพระพักตร์ไว้บนโต๊ะนั้นต่อหน้าเราเป็นนิตย์
อพย 35.13 โต๊ะกับไม้คานหามโต๊ะ เครื่องใช้ทั้งปวงสำหรับโต๊ะ และขนมปังหน้าพระพักตร์
อพย 39.36 โต๊ะกับเครื่องใช้ทั้งหมดบนโต๊ะนั้น และขนมปังหน้าพระพักตร์
กดว 4.7 และเอาผ้าสีฟ้าปูลงบนโต๊ะสำหรับขนมปังหน้าพระพักตร์แล้ววางจานและช้อน อ่างน้ำและคนโทที่รินเครื่องดื่มบูชา และขนมปังหน้าพระพักตร์เป็นนิตย์ก็ให้วางอยู่บนผ้าสีฟ้านั้นด้วย
1ซมอ 21.6 ดังนั้นปุโรหิตจึงมอบขนมปังบริสุทธิ์ให้แก่ดาวิด เพราะที่นั่นไม่มีขนมปังอื่นนอกจากขนมปังหน้าพระพักตร์ ซึ่งเก็บมาจากหน้าพระพักตร์พระเยโฮวาห์ เพื่อวางขนมปังใหม่ในวันที่เก็บเอาขนมปังเก่านั้นออกไป
1พกษ 7.48 ซาโลมอนได้ทรงกระทำเครื่องใช้ทั้งสิ้นซึ่งอยู่ในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ คือแท่นบูชาทองคำ และทรงทำโต๊ะขนมปังหน้าพระพักตร์ด้วยทองคำ
1พศด 9.32 และญาติของเขาบางคน ซึ่งเป็นคนโคฮาท เป็นผู้ดูแลขนมปังหน้าพระพักตร์ มีหน้าที่จัดเตรียมทุกวันสะบาโต
1พศด 23.29 และช่วยเกี่ยวกับเรื่องขนมปังหน้าพระพักตร์ด้วย เรื่องยอดแป้งสำหรับธัญญบูชา ขนมไร้เชื้อแผ่นของปิ้งบูชา ของบูชาคลุกน้ำมัน และเครื่องตวง เครื่องวัดทุกขนาด
1พศด 28.16 น้ำหนักทองคำสำหรับโต๊ะขนมปังหน้าพระพักตร์แต่ละโต๊ะ เงินสำหรับโต๊ะเงิน
2พศด 2.4 ดูเถิด ข้าพเจ้ากำลังจะสร้างพระนิเวศเพื่อพระนามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้า และมอบถวายแด่พระองค์ เพื่อเผาเครื่องหอมต่อพระพักตร์พระองค์ และเพื่อขนมปังหน้าพระพักตร์เนืองนิตย์ และเพื่อเครื่องเผาบูชาทั้งเช้าและเย็น ในวันสะบาโต และในวันข้างขึ้น และวันเทศกาลตามกำหนดของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา ซึ่งเป็นกฎตั้งไว้เป็นนิตย์สำหรับอิสราเอล
2พศด 4.19 และซาโลมอนจึงทรงกระทำเครื่องใช้ทั้งสิ้นซึ่งอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า คือแท่นบูชาทองคำ โต๊ะขนมปังหน้าพระพักตร์
2พศด 13.11 เขาถวายเครื่องเผาบูชาแด่พระเยโฮวาห์ทุกเช้าทุกเย็น ทั้งเครื่องหอม ตั้งขนมปังหน้าพระพักตร์บนโต๊ะบริสุทธิ์ และดูแลคันประทีปทองคำพร้อมทั้งตะเกียง เพื่อให้ประทีปลุกอยู่ทุกเย็น เพราะเราได้รักษาพระบัญชากำชับของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา แต่ท่านได้ทอดทิ้งพระองค์เสีย
2พศด 29.18 แล้วเขาเข้าไปหากษัตริย์เฮเซคียาห์และทูลว่า “ข้าพระองค์ทั้งหลายได้กระทำความสะอาดพระนิเวศของพระเยโฮวาห์สิ้นเสร็จแล้ว ทั้งแท่นเครื่องเผาบูชา และเครื่องใช้ของแท่นนั้นทั้งสิ้น และโต๊ะขนมปังหน้าพระพักตร์ และเครื่องใช้ของโต๊ะนั้นทั้งสิ้น
นหม 10.33 คือให้เป็นราคาขนมปังหน้าพระพักตร์ ธัญญบูชาเนืองนิตย์ เครื่องเผาบูชาเนืองนิตย์ สำหรับสะบาโตต่างๆ วันขึ้นหนึ่งค่ำ เทศกาลกำหนดต่างๆ สิ่งของบริสุทธิ์ และเครื่องบูชาไถ่บาปเพื่อทำการลบมลทินบาปของพวกอิสราเอล สำหรับงานทุกอย่างในพระนิเวศของพระเจ้าของเราทั้งหลาย
มธ 12.4 ท่านได้เข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้า รับประทานขนมปังหน้าพระพักตร์ ซึ่งพระราชบัญญัติห้ามไว้ไม่ให้ท่านและพรรคพวกรับประทาน ควรแต่ปุโรหิตพวกเดียว
มก 2.26 คือคราวเมื่ออาบียาธาร์เป็นมหาปุโรหิต ท่านได้เข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้า และรับประทานขนมปังหน้าพระพักตร์ ซึ่งพระราชบัญญัติห้ามไม่ให้ใครรับประทาน เว้นแต่พวกปุโรหิตเท่านั้น และซ้ำยังส่งให้คนที่มากับท่านรับประทานด้วย”
ลก 6.4 คือท่านได้เข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้า และรับประทานขนมปังหน้าพระพักตร์ทั้งให้พรรคพวกด้วย ซึ่งพระราชบัญญัติห้ามไม่ให้ใครรับประทานเว้นแต่พวกปุโรหิตเท่านั้น”
ฮบ 9.2 เพราะว่าได้มีพลับพลาสร้างขึ้นตกแต่งเสร็จแล้ว คือห้องชั้นนอก ซึ่งมีคันประทีป โต๊ะ และขนมปังหน้าพระพักตร์ ห้องนี้เรียกว่าที่บริสุทธิ์

ขนมแผ่นไร้เชื้อ ( 4 )
ลนต 2.4 เมื่อท่านนำธัญญบูชาเป็นขนมอบในเตาอบมาถวายเป็นเครื่องบูชา ให้เป็นขนมไร้เชื้อทำด้วยยอดแป้งคลุกน้ำมัน หรือขนมแผ่นไร้เชื้อทาน้ำมัน
ลนต 7.12 ถ้าเขาถวายเป็นเครื่องโมทนาพระคุณ ก็ให้เขาถวายขนมไร้เชื้อคลุกน้ำมัน ขนมแผ่นไร้เชื้อทาน้ำมัน ขนมยอดแป้งคลุกน้ำมันให้ดีพร้อมกับเครื่องบูชาโมทนา
กดว 6.15 และขนมปังไร้เชื้อกระจาดหนึ่ง ขนมทำด้วยยอดแป้งคลุกน้ำมัน ขนมแผ่นไร้เชื้อทาน้ำมันพร้อมกับเครื่องธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาที่คู่กัน
กดว 6.19 เมื่อผู้เป็นนาศีร์โกนผมแห่งการปลีกตัวเสร็จแล้ว ปุโรหิตจะนำเนื้อสันขาหน้าของแกะตัวผู้ที่ต้มแล้ว กับขนมไร้เชื้อก้อนหนึ่งจากกระจาด และขนมแผ่นไร้เชื้อแผ่นหนึ่งวางไว้ในมือทั้งสองของผู้เป็นนาศีร์นั้น

ขนมไร้เชื้อ ( 12 )
อพย 12.39 เขาเอาก้อนแป้งไร้เชื้อซึ่งนำมาจากอียิปต์นั้น ปิ้งเป็นขนมไร้เชื้อ เพราะเขาถูกเร่งรัดให้ออกจากอียิปต์ จึงไม่ทันเตรียมเสบียง
อพย 29.2 ขนมปังไร้เชื้อ ขนมไร้เชื้อคลุกน้ำมันและขนมแผ่นบางไร้เชื้อทาน้ำมัน ขนมเหล่านี้จงทำด้วยยอดแป้งข้าวสาลี
ลนต 2.4 เมื่อท่านนำธัญญบูชาเป็นขนมอบในเตาอบมาถวายเป็นเครื่องบูชา ให้เป็นขนมไร้เชื้อทำด้วยยอดแป้งคลุกน้ำมัน หรือขนมแผ่นไร้เชื้อทาน้ำมัน
ลนต 7.12 ถ้าเขาถวายเป็นเครื่องโมทนาพระคุณ ก็ให้เขาถวายขนมไร้เชื้อคลุกน้ำมัน ขนมแผ่นไร้เชื้อทาน้ำมัน ขนมยอดแป้งคลุกน้ำมันให้ดีพร้อมกับเครื่องบูชาโมทนา
ลนต 8.26 และท่านหยิบขนมไร้เชื้อหนึ่งก้อนจากกระบุงขนมปังไร้เชื้อ ซึ่งอยู่ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ และหยิบขนมคลุกน้ำมันก้อนหนึ่ง และขนมแผ่นแผ่นหนึ่ง วางของเหล่านี้ไว้บนไขมัน และบนโคนขาข้างขวา
กดว 6.19 เมื่อผู้เป็นนาศีร์โกนผมแห่งการปลีกตัวเสร็จแล้ว ปุโรหิตจะนำเนื้อสันขาหน้าของแกะตัวผู้ที่ต้มแล้ว กับขนมไร้เชื้อก้อนหนึ่งจากกระจาด และขนมแผ่นไร้เชื้อแผ่นหนึ่งวางไว้ในมือทั้งสองของผู้เป็นนาศีร์นั้น
ยชว 5.11 วันรุ่งขึ้นหลังวันเทศกาลปัสกา วันนั้นเองเขาก็รับประทานผลอันเกิดจากแผ่นดิน คือขนมไร้เชื้อและข้าวคั่ว
วนฉ 6.19 กิเดโอนก็กลับเข้าบ้าน จัดลูกแพะตัวหนึ่งกับแป้งเอฟาห์หนึ่งทำขนมไร้เชื้อ เขาเอาเนื้อใส่กระจาด ส่วนน้ำแกงใส่ในหม้อ นำสิ่งเหล่านี้มาถวายพระองค์ที่ใต้ต้นโอ๊ก
วนฉ 6.20 และทูตสวรรค์ของพระเจ้าบอกเขาว่า “จงเอาเนื้อและขนมไร้เชื้อวางไว้บนศิลานี้ เทน้ำแกงราดของเหล่านั้น” กิเดโอนก็กระทำตาม
วนฉ 6.21 แล้วทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ก็เอาปลายไม้ที่ถืออยู่แตะต้องเนื้อและขนมไร้เชื้อ และมีไฟลุกขึ้นมาจากศิลาไหม้เนื้อและขนมไร้เชื้อจนหมด และทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ก็หายไปพ้นสายตาของเขา
1พศด 23.29 และช่วยเกี่ยวกับเรื่องขนมปังหน้าพระพักตร์ด้วย เรื่องยอดแป้งสำหรับธัญญบูชา ขนมไร้เชื้อแผ่นของปิ้งบูชา ของบูชาคลุกน้ำมัน และเครื่องตวง เครื่องวัดทุกขนาด

ขนมหวาน ( 1 )
1พกษ 14.3 เธอจงเอาขนมปังสิบก้อน และขนมหวานบ้างและน้ำผึ้งไหหนึ่ง ไปหาท่าน ท่านจะบอกเธอว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเด็กนั้น”

ขนสัตว์ ( 5 )
ลนต 13.47 เมื่อในเครื่องแต่งกายมีโรคเรื้อน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกายขนสัตว์หรือผ้าป่าน
ลนต 13.59 นี่เป็นพระราชบัญญัติว่าด้วยโรคเรื้อนในเสื้อที่ทำด้วยขนสัตว์หรือผ้าป่าน ไม่ว่าเป็นที่ด้ายเส้นยืนหรือเส้นพุ่ง หรือเป็นที่สิ่งใดๆที่ทำด้วยหนังสัตว์ เพื่อให้พิจารณาว่าอย่างใดสะอาด อย่างใดเป็นมลทิน
ลนต 19.19 เจ้าจงรักษากฎเกณฑ์ของเรา เจ้าอย่าประสมสัตว์ของเจ้ากับสัตว์ประเภทอื่น เจ้าอย่าหว่านพืชปนกันสองชนิดในนาของเจ้า อย่าใช้เครื่องแต่งกายที่ทำด้วยขนสัตว์ปนด้วยป่าน
พบญ 22.11 ท่านอย่าสวมเครื่องแต่งกายที่ทอด้วยขนสัตว์ปนด้วยป่าน
วว 6.12 เมื่อพระองค์ทรงแกะตราดวงที่หกนั้นแล้ว ดูเถิด ข้าพเจ้าก็ได้เห็นแผ่นดินไหวใหญ่โต ดวงอาทิตย์ก็กลายเป็นมืดดำดุจผ้ากระสอบขนสัตว์ และดวงจันทร์ก็กลายเป็นสีเลือด

ขนาด ( 77 )
ปฐก 6.16 เจ้าจงทำช่องในนาวา และให้อยู่ข้างบนขนาดศอกหนึ่ง และเจ้าจงตั้งประตูที่ด้านข้างนาวา เจ้าจงทำเป็นชั้นล่าง ชั้นที่สองและชั้นที่สาม
กดว 35.17 ผู้ใดทุบเขาให้ล้มลงด้วยก้อนหินในมือขนาดฆ่าคนได้ และเขาถึงตาย ผู้นั้นเป็นฆาตกร ให้ประหารชีวิตฆาตกรนั้นเสียเป็นแน่
กดว 35.18 หรือผู้ใดใช้อาวุธไม้ที่อยู่ในมือขนาดฆ่าคนได้ตีเขาล้มลงและคนนั้นถึงตาย ผู้นั้นเป็นฆาตกร ให้ประหารชีวิตฆาตกรนั้นเสียเป็นแน่
กดว 35.23 หรือใช้ก้อนหินขนาดฆ่าคนได้ขว้างถูกเขาเข้าโดยมิได้เห็น และเขาถึงตาย และเขามิได้เป็นศัตรู และมิได้มุ่งทำร้ายเขา
พบญ 3.11 ด้วยยังเหลืออยู่แต่โอกกษัตริย์เมืองบาชานซึ่งเป็นพวกมนุษย์ยักษ์ ดูเถิด เตียงนอนของท่านทำด้วยเหล็ก เตียงนอนนั้นไม่อยู่ที่เมืองรับบาห์แห่งคนอัมโมนดอกหรือ ยาวตั้งเก้าศอก กว้างสี่ศอกขนาดศอกคนเรา
ยชว 22.10 และเมื่อเขาทั้งหลายมาถึงท้องถิ่นที่ใกล้แม่น้ำจอร์แดนที่อยู่ในแผ่นดินคานาอัน คนรูเบน คนกาด และคนมนัสเสห์ครึ่งตระกูล ได้สร้างแท่นบูชาแท่นหนึ่งที่ใกล้แม่น้ำจอร์แดน เป็นแท่นขนาดมหึมา
1ซมอ 2.14 เขาจะเอาขอเกี่ยวเนื้อแทงเข้าไปในกระทะ หรือหม้อหู หรือหม้อขนาดใหญ่ หรือหม้อธรรมดา ขอเกี่ยวเนื้อติดอะไรขึ้นมา ปุโรหิตก็เอาสิ่งนั้นไปเป็นของตน ที่เมืองชีโลห์เขาก็กระทำเช่นนั้นแก่คนอิสราเอลทุกคนที่มาที่นั่น
1พกษ 6.25 เครูบอีกรูปหนึ่งก็วัดได้สิบศอกด้วย เครูบทั้งสองมีขนาดเท่ากัน และรูปอย่างเดียวกัน
1พกษ 6.31 สำหรับทางเข้าสู่ห้องหลัง พระองค์ทรงสร้างประตูด้วยไม้มะกอกเทศ กรอบประตูชิ้นบนและวงกบประตูรวมเข้าเป็นหนึ่งในห้าของขนาดของผนัง
1พกษ 6.33 พระองค์ทรงสร้างวงกบประตูทางเข้าห้องโถงด้วยไม้มะกอกเทศ เป็นหนึ่งในสี่ของขนาดของผนัง
1พกษ 7.9 ทั้งสิ้นเหล่านี้สร้างด้วยหินอันมีค่า สกัดออกมาตามขนาด ใช้เลื่อย เลื่อยทั้งด้านหลังและด้านหน้า ตั้งแต่ฐานถึงยอดผนัง และมีตั้งแต่ข้างนอกถึงลานใหญ่
1พกษ 7.10 ฐานนั้นทำด้วยหินมีค่า หินก้อนมหึมา หินขนาดแปดและสิบศอก
1พกษ 7.11 ข้างบนก็เป็นหินมีค่า สกัดออกมาตามขนาด และไม้สนสีดาร์
1พกษ 7.15 ท่านได้ทำเสาทองสัมฤทธิ์สองเสา แต่ละเสาสูงสิบแปดศอก วัดขนาดเส้นรอบแต่ละเสาได้สิบสองศอก
1พกษ 7.19 ฝ่ายบัวคว่ำซึ่งอยู่บนยอดเสาที่อยู่ในมุขนั้นเป็นดอกบัว ขนาดสี่ศอก
1พกษ 7.37 ท่านได้ทำแท่นสิบแท่นตามอย่างนี้ หล่อเหมือนกันหมดทุกอัน ขนาดเดียวกันและรูปเดียวกัน
1พกษ 7.38 ท่านทำขันทองสัมฤทธิ์สิบลูก ขันลูกหนึ่งจุสี่สิบบัท ขนาดขันลูกหนึ่งสี่ศอก มีขันแท่นละลูกทั้งสิบแท่น
1พกษ 10.18 กษัตริย์ทรงกระทำพระที่นั่งงาช้างขนาดใหญ่ด้วย และทรงบุด้วยทองคำอย่างงามที่สุด
1พศด 15.28 ดังนี้แหละคนอิสราเอลทั้งปวงได้นำหีบพันธสัญญาของพระเยโฮวาห์ขึ้นมาด้วยเสียงโห่ร้อง เสียงแตรทองเหลืองขนาดเล็ก เสียงแตร และฉาบ และทำเพลงเสียงดังด้วยพิณใหญ่และพิณเขาคู่
1พศด 23.29 และช่วยเกี่ยวกับเรื่องขนมปังหน้าพระพักตร์ด้วย เรื่องยอดแป้งสำหรับธัญญบูชา ขนมไร้เชื้อแผ่นของปิ้งบูชา ของบูชาคลุกน้ำมัน และเครื่องตวง เครื่องวัดทุกขนาด
2พศด 9.17 กษัตริย์ทรงกระทำพระที่นั่งงาช้างขนาดใหญ่ด้วย และทรงบุด้วยทองคำบริสุทธิ์
2พศด 15.14 เขาทั้งหลายได้กระทำสัตย์ปฏิญาณต่อพระเยโฮวาห์ด้วยเสียงอันดัง และด้วยเสียงโห่ร้อง และด้วยเสียงแตรและแตรทองเหลืองขนาดเล็ก
2พศด 24.13 บรรดาคนที่รับจ้างทำงานจึงได้ทำงาน และงานซ่อมแซมก็ดำเนินก้าวหน้าในมือของเขา และเขาได้ซ่อมแซมพระนิเวศของพระเจ้าตามขนาดเดิมและเสริมให้แข็งแรงขึ้น
2พศด 35.13 และเขาก็ปิ้งแกะปัสกาด้วยไฟตามกฎ และเขาทั้งหลายต้มเครื่องบูชาบริสุทธิ์อื่นๆในหม้อ ในหม้อขนาดใหญ่ และในกระทะ และนำไปให้ประชาชนทั้งปวงโดยเร็ว
อสร 7.23 สิ่งใดที่พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ทรงบัญชา ก็จงกระทำให้อย่างเต็มขนาดสำหรับพระนิเวศของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ เกลือกว่าพระพิโรธของพระองค์จะมีต่อดินแดนของกษัตริย์และโอรสของพระองค์
โยบ 38.5 ผู้ใดได้กำหนดขนาดให้โลก แน่นอนละ เจ้าต้องรู้ซี หรือใครขึงเชือกวัดบนนั้น
โยบ 41.20 ควันออกมาทางรูจมูกของมันอย่างกับมาจากหม้อหรือหม้อขนาดใหญ่ที่เดือดพล่าน
สดด 31.23 โอ ท่านบรรดาวิสุทธิชนทั้งสิ้นของพระองค์เอ๋ย จงรักพระเยโฮวาห์ เพราะพระเยโฮวาห์ทรงพิทักษ์รักษาคนสัตย์ซื่อไว้ แต่ทรงสนองผู้กระทำอหังการอย่างเต็มขนาด
สดด 80.5 พระองค์ได้ทรงเลี้ยงเขาด้วยน้ำตาต่างอาหาร และทรงให้เขาดื่มน้ำตาอย่างเต็มขนาด
สดด 98.6 ด้วยเสียงแตรและเสียงแตรทองเหลืองขนาดเล็กจงกระทำเสียงชื่นบานต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ คือพระมหากษัตริย์
สดด 144.12 เพื่อบรรดาบุตรชายของข้าพระองค์ทั้งหลายเมื่อเขายังหนุ่มๆอยู่จะเป็นเหมือนต้นไม้โตเต็มขนาด เพื่อบรรดาบุตรสาวของข้าพระองค์ทั้งหลายจะเป็นเหมือนเสาหัวมุม สลักออกมาตามแบบพระราชวัง
อสย 27.9 เพราะฉะนั้นจะลบความชั่วช้าของยาโคบอย่างนี้แหละ และนี่เป็นผลเต็มขนาดในการปลดบาปของเขา คือเมื่อเขาทำศิลาทั้งสิ้นของแท่นบูชาให้เป็นเหมือนหินดินสอพองที่ถูกบดเป็นชิ้นๆ จะไม่มีเสารูปเคารพ หรือรูปเคารพตั้งอยู่ได้
อสย 34.6 พระแสงของพระเยโฮวาห์เต็มไปด้วยโลหิต เกรอะกรังไปด้วยไขมัน กับเลือดของลูกแกะและแพะ กับไขมันของไตแกะผู้ เพราะพระเยโฮวาห์มีการฆ่าบูชาในเมืองโบสราห์ การฆ่าขนาดใหญ่ในแผ่นดินเอโดม
อสย 47.9 ทั้งสองเรื่องนี้จะมาถึงเจ้าในขณะเดียวกันในวันเดียว คือความที่ต้องพรากจากลูกและความที่เป็นแม่ม่าย จะมาถึงเจ้าอย่างเต็มขนาดทั้งที่มีวิทยาคมเป็นอันมาก และอานุภาพใหญ่ยิ่งในเวทมนตร์ของเจ้า
อสย 56.12 เขาทั้งหลายว่า “มาเถิด ให้เราเอาเหล้าองุ่น ให้เราเติมเมรัยให้เต็มตัวเรา และพรุ่งนี้ก็จะเหมือนวันนี้ใหญ่โตเกินขนาด”
ยรม 21.6 และเราจะโจมตีชาวกรุงนี้ ทั้งคนและสัตว์ แล้วก็จะตายลงด้วยโรคระบาดขนาดหนัก
ยรม 30.11 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เพราะเราอยู่กับเจ้าเพื่อช่วยเจ้าให้รอด เราจะกระทำให้บรรดาประชาชาติทั้งสิ้นถึงอวสาน คือผู้ซึ่งเราได้กระจายเจ้าให้ไปอยู่ท่ามกลางเขานั้น แต่ส่วนเจ้าเราจะไม่กระทำให้ถึงอวสาน เราจะตีสอนเจ้าตามขนาด และด้วยประการใดก็ตามเราจะไม่ปล่อยเจ้าโดยไม่ลงโทษ
ยรม 46.28 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า โอ ยาโคบผู้รับใช้ของเราเอ๋ย อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า เราจะกระทำให้บรรดาประชาชาติทั้งสิ้นมาถึงซึ่งอวสาน คือประชาชาติที่เราได้ขับเจ้าให้ไปอยู่นั้น แต่ส่วนเจ้าเราจะไม่กระทำให้ถึงอวสานทีเดียว เราจะตีสอนเจ้าตามขนาด เราจะไม่ปล่อยให้เจ้าไม่ถูกทำโทษเป็นอันขาด”
ยรม 52.18 และเขาได้ขนเอาหม้อขนาดใหญ่ด้วย อีกทั้งพลั่ว ตะไกรตัดไส้ตะเกียง และชามและช้อน และภาชนะทองสัมฤทธิ์ทั้งสิ้น ซึ่งใช้ในการปรนนิบัติ
ยรม 52.19 ทั้งอ่าง ถาดรองไฟ และชาม และหม้อขนาดใหญ่ และเชิงเทียน และช้อน และอ่างน้ำ อะไรที่ทำด้วยทองคำ ผู้บังคับบัญชาทหารรักษาพระองค์ก็เอาไปเป็นทองคำ อะไรที่ทำด้วยเงินก็เอาไปเป็นเงิน
อสค 11.3 ผู้กล่าวว่า ‘เวลายังไม่มาใกล้เลย ให้เราปลูกบ้านเถิด นครนี้เป็นหม้อขนาดใหญ่และเราเป็นเนื้อ’
อสค 11.7 เพราะฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจึงตรัสดังนี้ว่า คนทั้งหลายที่เจ้าได้ฆ่าซึ่งเจ้าได้ทิ้งไว้ท่ามกลางนครนี้ เขาทั้งหลายเป็นเนื้อ และนครนี้เป็นหม้อขนาดใหญ่ แต่เราจะนำเจ้าออกมาจากท่ามกลางนั้น
อสค 11.11 นครนี้จะไม่ใช่หม้อขนาดใหญ่ของเจ้า ที่เจ้าจะเป็นเนื้อในท่ามกลางนั้น เราจะพิพากษาเจ้าที่พรมแดนอิสราเอล
อสค 13.18 และกล่าวว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า วิบัติแห่งหญิงที่เย็บปลอกไสยศาสตร์สำหรับใส่ช่องแขนเสื้อทั้งสิ้น และทำผ้าคลุมศีรษะให้คนทุกขนาดเพื่อล่าวิญญาณ เจ้าจะล่าวิญญาณซึ่งเป็นของประชาชนของเรา และจะรักษาวิญญาณอื่นๆให้คงชีวิตอยู่เพื่อผลกำไรของเจ้าหรือ
อสค 40.10 แต่ละด้านของหอประตูตะวันออกมีห้องยามอยู่สามห้อง ห้องทั้งสามมีขนาดเดียวกัน และเสาที่อยู่ทั้งสองข้างก็มีขนาดเดียวกัน
อสค 40.21 ห้องยามด้านละสามห้อง กับเสาและมุขมีขนาดเดียวกับหอประตูแรก ยาวห้าสิบศอก กว้างยี่สิบห้าศอก
อสค 40.22 หน้าต่าง มุข ต้นอินทผลัมของหอประตูนี้มีขนาดเดียวกับของหอประตูซึ่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก และมีบันไดเจ็ดขั้นนำขึ้นไปถึง และมุขนั้นอยู่ข้างใน
อสค 40.24 และท่านได้นำข้าพเจ้าตรงไปยังทิศใต้ และดูเถิด มีหอประตูทางทิศใต้หนึ่งหอประตู ท่านก็วัดเสาและวัดมุข ก็มีขนาดเดียวกับที่อื่น
อสค 40.28 แล้วท่านนำข้าพเจ้ามายังลานชั้นในโดยประตูทิศใต้ และท่านก็วัดประตูทิศใต้ มีขนาดอย่างเดียวกับประตูอื่นๆ
อสค 40.29 ห้องยาม เสา และมุขของหอประตูนี้มีขนาดเดียวกับที่อื่น มีหน้าต่างที่หอประตูและที่มุขโดยรอบ ยาวห้าสิบศอกและกว้างยี่สิบห้าศอก
อสค 40.32 แล้วท่านก็พาข้าพเจ้ามาที่ลานชั้นในด้านตะวันออก และท่านก็วัดหอประตูขนาดเดียวกับหอประตูอื่น
อสค 40.33 ห้องยาม เสา และมุขของหอประตูนี้มีขนาดเดียวกันกับที่อื่น มีหน้าต่างที่หอประตูและที่มุขโดยรอบ ยาวห้าสิบศอกและกว้างยี่สิบห้าศอก
อสค 40.35 แล้วท่านก็นำข้าพเจ้ามายังประตูเหนือ แล้วท่านก็วัดหอประตูนั้นมีขนาดเดียวกับหอประตูอื่น
อสค 40.36 ห้องยาม เสา และมุขของหอประตูนี้มีขนาดเดียวกันกับที่อื่น มีหน้าต่างโดยรอบ ยาวห้าสิบศอกและกว้างยี่สิบห้าศอก
อสค 42.11 ทางเดินอยู่หน้าห้องคล้ายกับห้องทางทิศเหนือ ยาวและกว้างขนาดเดียวกัน มีทางออก แผนผังและประตูอย่างเดียวกัน
อสค 43.13 ต่อไปนี้เป็นขนาดของแท่นบูชาวัดเป็นศอก ศอกหนึ่งคือความยาวหนึ่งศอกกับหนึ่งคืบ ตอนฐานสูงหนึ่งศอก และกว้างหนึ่งศอก ที่ขอบมีริมคืบหนึ่ง และความสูงของแท่นบูชาเป็นดังนี้
อสค 45.11 เอฟาห์และบัทนั้นให้เป็นขนาดเดียวกัน บัทหนึ่งจุหนึ่งในสิบของโฮเมอร์ และเอฟาห์ก็จุหนึ่งในสิบของโฮเมอร์ ให้โฮเมอร์เป็นเครื่องวัดมาตรฐาน
อสค 46.22 คือที่มุมทั้งสี่ของลาน มีลานเล็กๆยาวสี่สิบศอก กว้างสามสิบศอก ลานทั้งสี่ขนาดเดียวกัน
อสค 48.16 ต่อไปนี้เป็นขนาดของด้านต่างๆ ด้านเหนือสี่พันห้าร้อยศอก ด้านใต้สี่พันห้าร้อยศอก ด้านตะวันออกสี่พันห้าร้อย และด้านตะวันตกสี่พันห้าร้อย
ดนล 2.31 โอ ข้าแต่กษัตริย์ พระองค์ทอดพระเนตร และดูเถิด มีปฏิมากรขนาดใหญ่ ปฏิมากรนี้ใหญ่และสุกใสยิ่งนัก ตั้งอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ และรูปร่างก็น่ากลัว
ดนล 3.5 เมื่อท่านได้ยินเสียงแตรทองเหลืองขนาดเล็ก ปี่ พิณเขาคู่ พิณสี่สาย พิณใหญ่ ปี่ถุง และเครื่องดนตรีทุกชนิด ให้ท่านทั้งหลายกราบลงนมัสการปฏิมากรทองคำ ซึ่งกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้ทรงตั้งไว้
ดนล 3.7 เพราะฉะนั้นพอประชาชนได้ยินเสียงแตรทองเหลืองขนาดเล็ก ปี่ พิณเขาคู่ พิณสี่สาย พิณใหญ่และเครื่องดนตรีทุกชนิด บรรดาชนชาติ ประชาชาติทั้งปวงและภาษาทั้งหลาย ก็กราบลงนมัสการปฏิมากรทองคำซึ่งกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้ทรงตั้งไว้
ดนล 3.10 โอ ข้าแต่กษัตริย์ พระองค์ทรงออกกฤษฎีกาแล้วว่า ทุกคนผู้ได้ยินเสียงแตรทองเหลืองขนาดเล็ก ปี่ พิณเขาคู่ พิณสี่สาย พิณใหญ่ ปี่ถุง และเครื่องดนตรีทุกชนิด ก็ให้กราบลงนมัสการปฏิมากรทองคำ
ดนล 3.15 บัดนี้ถ้าเจ้าพร้อมใจแล้ว พอเจ้าได้ยินเสียงแตรทองเหลืองขนาดเล็ก ปี่ พิณเขาคู่ พิณสี่สาย พิณใหญ่ ปี่ถุง และเครื่องดนตรีทุกชนิด เจ้าจงกราบลงนมัสการปฏิมากรซึ่งเราได้สร้างไว้ แต่ถ้าเจ้าไม่นมัสการ จะต้องโยนเจ้าทันทีเข้าไปในเตาที่ไฟลุกอยู่ และผู้ใดเล่าจะเป็นพระเจ้าที่จะช่วยให้เจ้าพ้นจากมือของเราได้”
ดนล 8.23 และในตอนปลายแห่งรัชสมัยของพวกเขา เมื่อผู้ละเมิดทั้งหลายได้กระทำเต็มขนาดแล้ว จะมีกษัตริย์องค์หนึ่งพระพักตร์ดุร้าย และมีความเข้าใจในเรื่องปริศนาเกิดขึ้น
ฮชย 5.8 จงเป่าแตรทองเหลืองขนาดเล็กที่ในกิเบอาห์ จงเป่าแตรที่ในรามาห์ จงร้องตะโกนที่เบธาเวน โอ เบนยามินเอ๋ย มีคนตามหาเจ้า
มคา 3.3 ผู้ที่กินเนื้อชนชาติของเรา และถลกหนังออกจากตัวเขาทั้งหลาย และหักกระดูกของเขา และสับเขาเป็นชิ้นๆ เหมือนกับทำไว้ใส่หม้อ และเหมือนเนื้อที่อยู่ในหม้อขนาดใหญ่
นฮม 1.10 แม้ว่าเขาทั้งหลายเหมือนหนามไก่ไห้ที่เกี่ยวกันยุ่ง และเมาตามขนาดที่เขาดื่ม เขาจะถูกเผาผลาญสิ้นเหมือนตอข้าวที่แห้งผาก
ศคย 1.15 เราโกรธประชาชาติมากที่อยู่อย่างสบายๆ เพราะเมื่อเราโกรธแต่น้อย เขาก็ก่อภัยพิบัติเกินขนาด
มลค 3.10 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า จงนำสิบชักหนึ่งเต็มขนาดมาไว้ในคลัง เพื่อว่าจะมีอาหารในนิเวศของเรา จงลองดูเราในเรื่องนี้ดูทีหรือว่า เราจะเปิดหน้าต่างในฟ้าสวรรค์ให้เจ้า และเทพรอย่างล้นไหลมาให้เจ้าหรือไม่
รม 12.3 ข้าพเจ้าขอกล่าวแก่ท่านทั้งหลายทุกคน โดยพระคุณซึ่งทรงประทานแก่ข้าพเจ้าแล้วว่า อย่าคิดถือตัวเกินที่ตนควรจะคิดนั้น แต่จงคิดให้ถ่อมสุขุมสมกับขนาดความเชื่อที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานแก่มนุษย์ทุกคน
2คร 10.15 เรามิได้โอ้อวดเกินขอบเขต ไม่ได้อวดในการงานที่คนอื่นได้กระทำ แต่เราหวังใจว่า เมื่อความเชื่อของท่านจำเริญมากขึ้นแล้ว ท่านจะช่วยเราให้ขยายเขตกว้างขวางออกไปอีกเป็นอันมากตามขนาดของเรา
2คร 11.23 เขาเป็นผู้รับใช้ของพระคริสต์หรือ ข้าพเจ้าเป็นดีกว่าเขาเสียอีก (ข้าพเจ้าพูดอย่างคนโง่) ข้าพเจ้าทำงานมากยิ่งกว่าเขาอีก ข้าพเจ้าถูกโบยตีเกินขนาด ข้าพเจ้าติดคุกมากกว่าเขา ข้าพเจ้าหวิดตายบ่อยๆ
2คร 12.9 แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “พระคุณของเราก็มีพอสำหรับเจ้าแล้ว เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น” เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงยินดีโอ้อวดในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า เพื่อฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า
อฟ 4.7 แต่ว่าพระคุณนั้นทรงโปรดประทานแก่เราทุกๆคนตามขนาดที่พระคริสต์ทรงประทานให้
อฟ 4.16 คือเนื่องจากพระองค์นั้น ร่างกายทั้งสิ้นที่ติดต่อสนิทและผูกพันกันโดยที่ทุกๆข้อต่อได้ช่วยชูกำลังตามขนาดแห่งอวัยวะทุกส่วน ร่างกายนั้นจึงได้จำเริญเติบโตขึ้นเองด้วยความรัก

ขนาน ( 2 )
อสย 44.5 ผู้นี้จะว่า ‘ข้าเป็นของพระเยโฮวาห์’ และอีกผู้หนึ่งจะเรียกชื่อตนเองด้วยนามของยาโคบ และอีกผู้หนึ่งจะเขียนไว้บนมือของตนว่า ‘ของพระเยโฮวาห์’ และขนานนามสกุลของตนด้วยนามของอิสราเอล”
อสค 42.7 และมีผนังข้างนอกขนานกับห้อง ตรงไปยังลานข้างนอก ตรงข้ามกับห้อง ยาวห้าสิบศอก

ขนานนาม ( 5 )
1พกษ 16.24 พระองค์ทรงซื้อภูเขาสะมาเรียจากเชเมอร์เงินสองตะลันต์ และพระองค์ทรงเสริมภูเขานั้นให้เป็นป้อม และทรงขนานนามเมืองที่พระองค์ทรงสร้างนั้นว่าสะมาเรีย ตามชื่อของเชเมอร์ผู้เป็นเจ้าของภูเขานั้น
2พศด 3.17 พระองค์ทรงตั้งเสาไว้หน้าพระวิหาร ข้างขวาต้นหนึ่ง อีกต้นหนึ่งข้างซ้าย ต้นข้างขวานั้นพระองค์ทรงขนานนามว่า ยาคีน และต้นข้างซ้ายว่า โบอาส
อสย 48.2 เพราะเขาขนานนามของเขาเองตามนครบริสุทธิ์ และพึ่งอาศัยพระเจ้าของอิสราเอล พระนามของพระองค์ว่าพระเยโฮวาห์จอมโยธา
อสย 62.4 เขาจะไม่ขนานนามเจ้าอีกว่า “ถูกทอดทิ้ง” และเขาจะไม่เรียกแผ่นดินของเจ้าอีกว่า “ซึ่งร้างเปล่า” แต่เขาจะเรียกเจ้าว่า “เฮฟซีบาห์” และเรียกแผ่นดินของเจ้าว่า “บิวลาห์” เพราะพระเยโฮวาห์ทรงปีติยินดีในเจ้า และแผ่นดินของเจ้าจะแต่งงาน
พคค 2.15 บรรดาคนที่ได้ผ่านไปมาก็ตบมือเยาะเย้ยเจ้า เขาทั้งหลายได้เย้ยหยันและได้สั่นศีรษะใส่ธิดาแห่งเยรูซาเล็มแล้วว่า “นี่หรือคือกรุงที่คนทั้งหลายได้ขนานนามว่า งามหมดจด ว่า เป็นความชื่นชมยินดีของคนทั่วทั้งโลก”

ขนาบ ( 26 )
2ซมอ 10.9 เมื่อโยอาบเห็นว่าการศึกนี้ขนาบอยู่ทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ท่านจึงคัดเอาบรรดาคนอิสราเอลที่สรรไว้แล้วจัดทัพเข้าสู้คนซีเรีย
2พกษ 19.4 ชะรอยพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านคงจะสดับบรรดาถ้อยคำของรับชาเคห์ ผู้ซึ่งกษัตริย์แห่งอัสซีเรียนายของเขาได้สั่งมาให้เย้ยพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ และจะทรงขนาบถ้อยคำซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านได้ทรงสดับ เพราะฉะนั้นขอท่านถวายคำอธิษฐานเพื่อส่วนชนที่เหลืออยู่นี้’”
1พศด 16.21 พระองค์มิได้ทรงยอมให้ผู้ใดบีบบังคับเขา พระองค์ทรงขนาบกษัตริย์หลายองค์ด้วยเห็นแก่เขา
1พศด 19.10 เมื่อโยอาบเห็นว่าการศึกนั้นขนาบอยู่ข้างหน้าและข้างหลัง ท่านจึงคัดเอาจากบรรดาคนอิสราเอลที่สรรไว้แล้วและจัดทัพเข้าไปต่อสู้คนซีเรีย
โยบ 26.11 เสาฟ้าก็หวั่นไหวและประหลาดใจเมื่อพระองค์ทรงขนาบ
สดด 6.1 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขออย่าทรงขนาบข้าพระองค์เมื่อทรงโกรธ และขออย่าทรงลงทัณฑ์ข้าพระองค์ด้วยพระพิโรธของพระองค์
สดด 9.5 พระองค์ได้ทรงขนาบบรรดาประชาชาติ และทรงทำลายคนชั่ว แล้วทรงลบชื่อของเขาออกเสียเป็นนิตย์
สดด 18.15 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ แล้วก็เห็นก้นทะเลตลอดจนรากฐานของพิภพก็ปรากฏแจ้ง เมื่อพระองค์ทรงขนาบทะเลด้วยลมที่พวยพุ่งจากช่องพระนาสิกของพระองค์
สดด 38.1 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขออย่าทรงขนาบข้าพระองค์ด้วยความกริ้วของพระองค์ หรือตีสอนข้าพระองค์ด้วยพระพิโรธของพระองค์
สดด 50.21 เจ้าได้กระทำสิ่งเหล่านี้แล้ว เราก็นิ่งเงียบ เจ้าคิดว่าเราเป็นเหมือนเจ้า แต่เราจะขนาบเจ้า และเราจะรายงานสิ่งเหล่านั้นต่อหน้าต่อตาเจ้า
สดด 68.30 ขอทรงขนาบหมู่คนที่แทงด้วยหอก ฝูงวัวกับลูกวัวแห่งชนชาติทั้งหลาย จนเขาทุกคนยินยอมด้วยถวายเงินแผ่น ขอให้ชนชาติทั้งหลายผู้ปีติยินดีในสงครามได้กระจัดพลัดพรากไป
สดด 73.14 เพราะข้าพเจ้ารับภัยอยู่วันยังค่ำและถูกขนาบอยู่ทุกเช้า
สดด 76.6 โอ ข้าแต่พระเจ้าของยาโคบ พอพระองค์ทรงขนาบทั้งรถม้าและม้าก็ล่วงลับไป
สดด 94.10 พระองค์ผู้ทรงตีสอนบรรดาประชาชาติ พระองค์จะไม่ทรงขนาบหรือ พระองค์ผู้ทรงสอนความรู้ให้มนุษย์ พระองค์จะไม่ทรงทราบหรือ
สดด 104.7 เมื่อพระองค์ทรงขนาบ น้ำนั้นก็หนีไป พอได้ยินเสียงฟ้าร้องของพระองค์ มันก็วิ่งไป
สดด 105.14 พระองค์มิได้ทรงยอมให้ผู้ใดบีบบังคับเขา พระองค์ทรงขนาบกษัตริย์หลายองค์ด้วยเห็นแก่เขา
สดด 106.9 พระองค์ทรงขนาบทะเลแดง มันก็แห้งไป และพระองค์ทรงนำท่านข้ามที่ลึกอย่างกับเดินข้ามถิ่นทุรกันดาร
สดด 119.21 พระองค์ทรงขนาบคนยโสที่ถูกสาปแช่ง ผู้หลงไปจากพระบัญญัติของพระองค์
สภษ 24.25 แต่บรรดาผู้ขนาบเขาจะมีความปีติยินดี และพรอันดีจะมีอยู่กับเขา
สภษ 28.23 บุคคลที่ขนาบคนหนึ่งคนใด ทีหลังเขาจะได้รับความชอบมากกว่าคนที่ป้อยอด้วยลิ้นของตัว
สภษ 30.6 อย่าเพิ่มอะไรเข้ากับพระวจนะของพระองค์ เกรงว่าพระองค์จะทรงขนาบเจ้า และเขาจะเห็นว่าเจ้าเป็นคนมุสา
อสย 17.13 ชนชาติทั้งหลายครืนๆเหมือนเสียงครืนๆของน้ำเป็นอันมาก แต่พระเจ้าจะทรงขนาบไว้ และมันจะหนีไปไกลเสีย จะถูกไล่ไปเหมือนแกลบต้องลมบนภูเขา เหมือนพืชแห้งปลิวไปต่อหน้าลมหมุน
อสย 37.4 ชะรอยพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านคงจะสดับถ้อยคำของรับชาเคห์ ผู้ซึ่งกษัตริย์แห่งอัสซีเรียนายของเขาได้สั่งมาให้เย้ยพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ และจะทรงขนาบถ้อยคำซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านได้ทรงสดับ เพราะฉะนั้นขอท่านถวายคำอธิษฐานเพื่อส่วนชนที่เหลืออยู่นี้’”
อสย 54.9 “สำหรับเราเรื่องนี้เหมือนน้ำของโนอาห์ เพราะเราได้ปฏิญาณว่าน้ำของโนอาห์จะไม่ท่วมแผ่นดินโลกอีกเลยฉันใด เราจึงได้ปฏิญาณว่า เราจะไม่โกรธเจ้า และจะไม่ขนาบเจ้าฉันนั้น
มลค 3.11 เราจะขนาบตัวที่ทำลายให้แก่เจ้า เพื่อว่ามันจะไม่ทำลายผลแห่งพื้นดินของเจ้า และผลองุ่นในไร่นาของเจ้าจะไม่ร่วง พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้แหละ
2คร 4.8 เราถูกขนาบรอบข้าง แต่ก็ไม่ถึงกับกระดิกไม่ไหว เราจนปัญญา แต่ก็ไม่ถึงกับหมดหวัง

ขนิษฐา ( 4 )
2ซมอ 13.1 ต่อมาภายหลังฝ่ายอับซาโลมราชโอรสของดาวิดมีขนิษฐาองค์หนึ่งรูปโฉมสะคราญชื่อทามาร์ และอัมโนนราชโอรสของดาวิดก็รักเธอ
1พกษ 11.19 และฮาดัดเป็นที่โปรดปรานยิ่งในสายตาของฟาโรห์ ฟาโรห์จึงประทานน้องสาวของมเหสีของท่านเอง คือขนิษฐาของพระราชินีทาเปเนสให้เป็นภรรยาเขา
1พกษ 11.20 และขนิษฐาของทาเปเนสก็ประสูติเกนูบัทให้ท่านเป็นบุตรชาย ผู้ซึ่งทาเปเนสให้หย่านมในวังของฟาโรห์ และเกนูบัทอยู่ในวังของฟาโรห์ในหมู่ราชโอรสของฟาโรห์
1พศด 3.9 ทั้งสิ้นนี้เป็นโอรสของดาวิด นอกเหนือจากบุตรชายของนางสนม และทามาร์เป็นขนิษฐาของโอรส

ขบ ( 3 )
พบญ 32.24 เขาจะซูบผอมไปเพราะความหิว ความร้อนอันแรงกล้าและการทำลายอันขมขื่นจะเผาผลาญเขาเสีย เราจะส่งฟันสัตว์ร้ายให้มาขบกับพิษของสัตว์เลื้อยคลานในผงคลี
ปญจ 10.8 ผู้ใดขุดบ่อไว้ ผู้นั้นจะตกลงในบ่อนั้น ผู้ใดพังรั้วต้นไม้ทะลุเข้าไป งูจะขบกัดผู้นั้น
ปญจ 10.11 ถ้างูขบเสียก่อนที่ทำให้มันเชื่อง หมองูก็ไม่เป็นประโยชน์อะไรแล้ว

ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ( 14 )
โยบ 16.9 พระองค์ทรงฉีกข้าด้วยพระพิโรธของพระองค์และทรงเกลียดชังข้า พระองค์ทรงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่ข้า ปรปักษ์ของข้าถลึงตาสู้ข้า
สดด 35.16 เขาเยาะเย้ยอย่างคนหน้าซื่อใจคดในการเลี้ยงต่างๆ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่ข้าพระองค์
สดด 37.12 คนชั่วปองร้ายคนชอบธรรม และขบเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่เขา
สดด 112.10 คนชั่วจะเห็นแล้วเป็นทุกข์ใจ เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วละลายไป ความปรารถนาของคนชั่วนั้นจะสูญเปล่า
พคค 2.16 บรรดาศัตรูของเจ้าได้อ้าปากตะโกนโพนทะนาเจ้า เขาทั้งหลายเย้ยหยันและขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เขาพากันร้องว่า “พวกเราได้กลืนเมืองนี้แล้ว วันนี้แหละคือวันที่พวกเราได้จ้องมองหา พวกเราได้พบแล้ว พวกเราเห็นแล้ว”
มธ 8.12 แต่บรรดาลูกของอาณาจักรจะต้องถูกขับไล่ไสส่งออกไปในที่มืดภายนอก ที่นั่นจะมีเสียงร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน”
มธ 13.42 และจะทิ้งลงในเตาไฟอันลุกโพลง ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
มธ 13.50 แล้วจะทิ้งลงในเตาไฟอันลุกโพลง ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน”
มธ 22.13 กษัตริย์จึงรับสั่งแก่พวกผู้รับใช้ว่า ‘จงมัดมือมัดเท้าคนนี้เอาไปทิ้งเสียที่มืดภายนอก ที่นั่นจะมีการร้องไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน’
มธ 24.51 และจะทำโทษเขาถึงสาหัส ทั้งจะขับไล่ให้เขาไปเข้าส่วนกับพวกคนหน้าซื่อใจคด ซึ่งที่นั่นจะมีแต่การร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน”
มธ 25.30 จงเอาเจ้าผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์นี้ไปทิ้งเสียที่มืดภายนอก ซึ่งที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน’
มก 9.18 ผีพาเขาไปที่ไหนๆก็ทำให้ล้มชักดิ้นไป มีอาการน้ำลายฟูมปากและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วก็อ่อนระโหย ข้าพระองค์ได้ขอเหล่าสาวกของพระองค์ให้ขับผีนั้นออกเสีย แต่เขาขับให้ออกไม่ได้”
ลก 13.28 เมื่อท่านทั้งหลายจะเห็นอับราฮัม อิสอัค ยาโคบ และบรรดาศาสดาพยากรณ์ในอาณาจักรของพระเจ้า แต่ตัวท่านเองถูกขับไล่ไสส่งออกไปภายนอก ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
กจ 7.54 เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกบาดใจ และขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเข้าใส่สเทเฟน

ขบวน ( 6 )
ปฐก 33.8 เอซาวถามว่า “ขบวนผู้คนและฝูงสัตว์ทั้งหมดที่เราพบนี้มีความหมายอย่างไร” ยาโคบตอบว่า “เพื่อข้าพเจ้าจะได้รับความกรุณาในสายตาของนายข้าพเจ้า”
ปฐก 50.9 มีขบวนราชรถ ขบวนม้าไปกับท่าน เป็นขบวนใหญ่มาก
ยรม 5.7 “เราจะให้อภัยเจ้าได้อย่างไร ลูกหลานของเจ้าได้ละทิ้งเราแล้ว และได้อ้างผู้ที่ไม่ใช่พระในการทำสัตย์ปฏิญาณ เมื่อเราเลี้ยงเขาให้อิ่ม เขาก็ทำการล่วงประเวณี แล้วก็ยกขบวนกันไปที่เรือนของหญิงแพศยา
วว 20.9 และคนเหล่านั้นยกขบวนออกไปทั่วแผ่นดินโลก และล้อมกองทัพของพวกวิสุทธิชน และเมืองอันเป็นที่รักนั้นไว้ แต่ไฟได้ตกลงมาจากพระเจ้าออกจากสวรรค์ เผาผลาญคนเหล่านั้น

ขม ( 13 )
อพย 12.8 ในคืนวันนั้นให้เขากินเนื้อปิ้ง กับขนมปังไร้เชื้อและผักรสขม
อพย 15.23 ครั้นมาถึงตำบลมาราห์ เขาก็กินน้ำที่ตำบลมาราห์นั้นไม่ได้ เพราะน้ำขม เหตุฉะนั้นจึงตั้งชื่อว่ามาราห์
กดว 9.11 ให้ถือปัสกาในเดือนที่สองวันขึ้นสิบสี่ค่ำเวลาเย็น ให้เขากินขนมปังไร้เชื้อและผักรสขม
2ซมอ 2.26 แล้วอับเนอร์ร้องถามโยอาบว่า “จะให้ดาบกินเรื่อยไปหรือ ท่านไม่ทราบหรือว่าตอนปลายมือก็ขม อีกนานสักเท่าใดท่านจึงจะสั่งคนของท่านให้หยุดไล่ตามพี่น้องของเขา”
สภษ 27.7 บุคคลที่อิ่มแล้ว รวงผึ้งก็น่าเบื่อ แต่สำหรับผู้ที่หิว ทุกสิ่งที่ขมก็กลับหวาน
พคค 3.15 พระองค์ทรงให้ข้าพเจ้าบริโภคผักรสขมจนช่ำ พระองค์ทรงให้ข้าพเจ้าเมาไปด้วยบอระเพ็ด
อมส 5.7 เจ้าทั้งหลายผู้เปลี่ยนความยุติธรรมให้ขมอย่างบอระเพ็ด และเหวี่ยงความชอบธรรมลงสู่พื้นดิน
อมส 6.12 ม้าจะวิ่งบนศิลาหรือ มีคนหนึ่งคนใดใช้วัวไถที่นั่นหรือ แต่เจ้าทั้งหลายได้กลับความยุติธรรมให้ขมอย่างดีหมี และเปลี่ยนผลของความชอบธรรมให้ขมอย่างบอระเพ็ด
วว 8.11 ดาวดวงนี้มีชื่อว่าบอระเพ็ด รสของน้ำกลายเป็นรสขมเสียหนึ่งในสามส่วน และคนเป็นอันมากก็ได้ตายไปเพราะน้ำนั้นกลายเป็นน้ำรสขมไป
วว 10.9 ข้าพเจ้าจึงไปหาทูตสวรรค์องค์นั้นและกล่าวแก่ท่านว่า “ขอหนังสือม้วนเล็กนั้นเถิด” ท่านจึงตอบข้าพเจ้าว่า “เอาไปเถิด และกินมันเสีย มันจะทำให้ท้องเจ้าขม แต่เมื่ออยู่ในปากของเจ้า มันจะหวานเหมือนน้ำผึ้ง”
วว 10.10 ข้าพเจ้ารับหนังสือม้วนเล็กนั้นจากมือทูตสวรรค์แล้วก็กินเข้าไป ขณะที่มันอยู่ในปากของข้าพเจ้านั้นมันก็หวานเหมือนน้ำผึ้ง แต่เมื่อข้าพเจ้ากินมันเข้าไปแล้วท้องข้าพเจ้าก็ขม

ข่ม ( 7 )
1ซมอ 13.12 ข้าพเจ้าจึงว่า ‘บัดนี้ คนฟีลิสเตียจะยกมารบกับข้าพเจ้าที่กิลกาล และข้าพเจ้ายังมิได้ทูลขอพระกรุณาแห่งพระเยโฮวาห์’ ข้าพเจ้าจึงข่มตัวเอง และได้ถวายเครื่องเผาบูชา”
อสย 10.15 ขวานจะคุยข่มคนที่ใช้มันสกัดนั้นหรือ หรือเลื่อยจะทะนงตัวเหนือผู้ที่ใช้มันเลื่อยนั้นหรือ เหมือนกับว่าตะบองจะยกผู้ซึ่งถือมันขึ้นตี หรืออย่างไม้พลองจะยกตัวขึ้นเหมือนกับว่ามันไม่ทำด้วยไม้
อสย 58.5 อย่างนี้หรือเป็นการอดอาหารที่เราเลือก คือวันที่คนข่มตัว การก้มศีรษะของเขาลงเหมือนอ้อเล็ก และปูผ้ากระสอบและขี้เถ้ารองใต้เขา อย่างนี้หรือเจ้าจะเรียกการอย่างนี้ว่าการอดอาหาร และเป็นวันที่พระเยโฮวาห์โปรดปรานอย่างนั้นหรือ
ยรม 48.29 เราได้ยินถึงความเห่อเหิมของโมอับ (เขาเห่อเหิมมาก) ได้ยินถึงความยโส ความจองหองของเขา และความเห่อเหิมของเขา และถึงความยกตนข่มท่านในใจของเขา
รม 2.8 แต่พระองค์จะทรงพระพิโรธ และลงพระอาชญาแก่คนที่มักยกตนข่มท่านและไม่เชื่อฟังความจริง แต่เชื่อฟังความอธรรม
1คร 4.6 พี่น้องทั้งหลาย สิ่งเหล่านั้นที่ข้าพเจ้าได้นำมากล่าวเปรียบเทียบถึงตัวข้าพเจ้าและอปอลโล ก็เพื่อประโยชน์ของท่านทั้งหลาย เพื่อให้ท่านทั้งหลายเรียนแบบของเรา มิให้ยกย่องคนหนึ่งคนใดเกินกว่าที่เขียนบอกไว้แล้ว มิให้ยกคนหนึ่งคนใดข่มผู้อื่น
2คร 3.10 อันที่จริงรัศมีซึ่งได้ทรงประทานให้นั้นก็อับแสงไปแล้ว เพราะถูกรัศมีอันเลิศประเสริฐนั้นได้ส่องข่มเสียหมด

ข่มขี่ ( 4 )
ลนต 25.43 เจ้าอย่าข่มขี่เขาให้ลำบาก แต่จงยำเกรงพระเจ้าของเจ้า
พบญ 24.14 ท่านอย่าข่มขี่ลูกจ้างที่เป็นคนยากจนและขัดสน ไม่ว่าเขาจะเป็นพี่น้องของท่าน หรือคนต่างด้าวอยู่ในแผ่นดินภายในประตูเมืองของท่าน
2พศด 28.10 และบัดนี้ท่านทั้งหลายเจตนาจะข่มขี่ประชาชนแห่งยูดาห์และเยรูซาเล็มให้เป็นทาสชายและทาสหญิงของท่าน ตัวท่านเองไม่มีบาปต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านหรือ
1ปต 5.3 และไม่ใช่เหมือนเป็นเจ้านายที่ข่มขี่ผู้สืบทอดของพระเจ้า แต่เป็นแบบอย่างแก่ฝูงแกะนั้น

ขมขื่น ( 31 )
อพย 1.14 และทำให้ชีวิตของเขาขมขื่นเพราะงานหนักที่เขากระทำนั้น เช่นทำปูนสอ ทำอิฐและทำงานต่างๆที่ทุ่งนา เขาถูกบังคับให้ทำงานหนักทุกชนิด
พบญ 32.24 เขาจะซูบผอมไปเพราะความหิว ความร้อนอันแรงกล้าและการทำลายอันขมขื่นจะเผาผลาญเขาเสีย เราจะส่งฟันสัตว์ร้ายให้มาขบกับพิษของสัตว์เลื้อยคลานในผงคลี
พบญ 32.32 เพราะว่าเถาองุ่นของเขามาจากเถาเมืองโสโดม มาจากไร่เมืองโกโมราห์ ผลองุ่นของเขาเป็นดีหมี และองุ่นที่เป็นพวงๆก็ขมขื่น
นรธ 1.20 นาโอมีตอบเขาว่า “ขออย่าเรียกฉันว่านาโอมีเลย ขอเรียกฉันว่ามาราเถอะ เพราะว่าองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงกระทำแก่ฉันอย่างขมขื่น
1ซมอ 30.6 และดาวิดก็เป็นทุกข์หนักเพราะประชาชนพูดกันว่าจะขว้างท่านเสียด้วยก้อนหินด้วยจิตใจของประชาชนต่างก็ขมขื่นมาก เพราะบุตรชายและบุตรสาวของเขา แต่ดาวิดก็มีกำลังขึ้นในพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน
2พกษ 14.26 เพราะพระเยโฮวาห์ทอดพระเนตรเห็นว่า ความทุกข์ใจของอิสราเอลนั้นขมขื่นนัก เพราะไม่มีใครยังอยู่หรือเหลืออยู่ และไม่มีผู้ใดช่วยอิสราเอล
อสร 10.1 ขณะที่เอสราอธิษฐานและทำการสารภาพร้องไห้ทิ้งตัวลงต่อหน้าพระนิเวศของพระเจ้า มีชุมนุมชนหมู่ใหญ่โตมากทั้งชายหญิงและเด็กจากอิสราเอลประชุมต่อหน้าท่าน เพราะประชาชนได้ร้องไห้อย่างขมขื่น
อสธ 4.1 เมื่อโมรเดคัยทราบทุกอย่างที่ได้กระทำไปแล้ว โมรเดคัยก็ฉีกเสื้อของตนสวมผ้ากระสอบและใส่ขี้เถ้า และออกไปกลางนคร คร่ำครวญด้วยเสียงดังอย่างขมขื่น
โยบ 10.1 “จิตใจข้าเบื่อชีวิตของข้า ข้าจะร้องทุกข์อย่างไม่ยับยั้ง ข้าจะพูดด้วยจิตใจขมขื่นของข้า
โยบ 13.26 เพราะพระองค์ทรงจารึกสิ่งขมขื่นต่อสู้ข้าพระองค์ และทรงกระทำให้ข้าพระองค์รับโทษความชั่วช้าที่ข้าพระองค์กระทำเมื่อยังรุ่นๆอยู่
โยบ 23.2 “คำร้องทุกข์ของข้าก็ขมขื่นในวันนี้ด้วย การที่ข้าถูกทุบตีก็หนักกว่าการร้องครางของข้า
โยบ 27.2 “พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด คือพระองค์ผู้ทรงนำความยุติธรรมอันควรตกแก่ข้าไปเสีย และองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด คือผู้ทรงทำใจข้าให้ขมขื่น
สดด 73.21 เมื่อจิตใจของข้าพระองค์ขมขื่น เมื่อข้าพระองค์เสียวแปลบถึงหัวใจ
สดด 106.33 เพราะท่านทำให้จิตใจโมเสสขมขื่น ดังนั้นริมฝีปากของเขาจึงพูดถ้อยคำหุนหัน
สภษ 5.4 แต่ในที่สุด นางขมขื่นอย่างบอระเพ็ด และคมอย่างดาบสองคม
สภษ 31.6 จงให้สุราแก่ผู้ที่กำลังจะพินาศ และน้ำองุ่นแก่ผู้ที่ทุกข์ใจอย่างขมขื่น
ปญจ 7.26 ข้าพเจ้าได้พบอีกสิ่งหนึ่งซึ่งขมขื่นยิ่งกว่าความตาย คือผู้หญิงที่มีใจเป็นบ่วงแร้วและข่าย มือของนางเป็นโซ่ตรวน คนใดเป็นคนที่พอพระทัยพระเจ้า คนนั้นจะหนีพ้นนาง แต่คนบาปจะถูกผู้หญิงคนนั้นจับเอาไป
อสย 22.4 เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงว่า “อย่ามองข้าพเจ้า ให้ข้าพเจ้าหลั่งน้ำตาอย่างขมขื่น อย่าอุตส่าห์เล้าโลมข้าพเจ้าเลย เหตุด้วยการทำลายธิดาแห่งชนชาติของข้าพเจ้า”
อสย 33.7 ดูเถิด ผู้แกล้วกล้าของเขาจะร้องทูลอยู่ภายนอก คณะทูตสันติภาพจะร่ำไห้อย่างขมขื่น
ยรม 4.18 “วิถีและการกระทำทั้งหลายของเจ้าได้นำเรื่องนี้มาเหนือเจ้า นี่แหละเป็นผลแห่งความชั่วร้ายของเจ้า เพราะมันขมขื่น เพราะมันมาถึงจิตใจของเจ้าทีเดียว”
ยรม 6.26 โอ บุตรสาวแห่งประชาชนของเราเอ๋ย จงเอาผ้ากระสอบคาดเอวไว้ และกลิ้งเกลือกอยู่ในกองเถ้า จงไว้ทุกข์เหมือนเพื่อบุตรชายคนเดียว เป็นการคร่ำครวญอย่างแสนขมขื่นที่สุด เพราะว่าผู้ทำลายมาสู้เราในทันทีทันใด
อสค 27.31 เขาจะโกนผมเพราะเจ้าและเอาผ้ากระสอบคาดเอวไว้ เขาจะร้องไห้เพราะเจ้าด้วยจิตใจอันขมขื่นกับไว้ทุกข์หนัก
ฮชย 12.14 เอฟราอิมกระทำให้พระองค์ทรงพิโรธอย่างขมขื่น ดังนั้นพระองค์ทรงปล่อยให้เลือดของเขาติดอยู่กับเขา และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสนองเขาด้วยความอัปยศซึ่งเขาให้ตกกับพระองค์
อมส 8.10 เราจะให้การเลี้ยงของเจ้าทั้งหลายกลับเป็นการไว้ทุกข์ และให้เสียงเพลงทั้งสิ้นของเจ้าเป็นคำคร่ำครวญ เราจะนำผ้ากระสอบมาที่เอวของคนทั้งหลาย และศีรษะทั่วไปก็จะล้าน และเราจะกระทำให้เป็นเหมือนการไว้ทุกข์ให้บุตรชายคนเดียวของเขา และวาระสุดท้ายก็จะให้เหมือนวันที่ขมขื่น”
มคา 2.4 ในวันนั้น จะมีคนเล่าคำอุปมาต่อสู้เจ้า และจะร่ำไห้ด้วยการโอดครวญอย่างขมขื่นว่า “พวกเราพินาศอย่างสิ้นเชิงแล้ว พระองค์ทรงเปลี่ยนที่ดินกรรมสิทธิ์แห่งชนชาติของข้า พระองค์ทรงถอนไปจากข้าเสียแล้วหนอ พระองค์ทรงแบ่งไร่นาของพวกเราให้แก่บรรดาคนที่จับกุมพวกเรา”
ฮบก 1.6 เพราะดูเถิด เรากำลังเร้าคนเคลเดีย ประชาชาติที่ขมขื่นและรีบร้อนนั้น ผู้กรีธาทัพไปทั่วแผ่นดิน เพื่อยึดเอาบ้านเรือนที่มิใช่ของตน
ศคย 12.10 และเราจะเทวิญญาณแห่งพระคุณและการวิงวอนบนราชวงศ์ดาวิดและชาวเยรูซาเล็ม เขาทั้งหลายจะมองดูเราผู้ซึ่งเขาเองได้แทง เขาจึงจะไว้ทุกข์เพื่อท่านเหมือนคนไว้ทุกข์เพื่อบุตรชายคนเดียวของตน และจะร้องไห้อย่างขมขื่นเพื่อท่าน เหมือนอย่างคนร้องไห้อย่างขมขื่นเพื่อบุตรหัวปีของตน
มธ 26.75 เปโตรจึงระลึกถึงคำของพระเยซูที่ตรัสแก่เขาว่า “ก่อนไก่ขัน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง” แล้วเปโตรก็ออกไปข้างนอกร้องไห้อย่างขมขื่นยิ่งนัก
ฮบ 12.15 และจงระวังให้ดีเกรงว่าจะมีบางคนกำลังเสื่อมจากพระกรุณาคุณของพระเจ้า และเกรงว่าจะมีรากขมขื่นแซมขึ้นมาทำให้เกิดความยุ่งยากแก่ท่าน และเป็นเหตุให้คนเป็นอันมากมลทินไป
ยก 3.14 แต่ถ้าท่านทั้งหลายมีใจอิจฉาอันขมขื่นและอาการแก่งแย่งกันในใจของท่าน อย่าอวดเลยและอย่าพูดมุสาต่อความจริง

ข่มขืน ( 7 )
ปฐก 34.7 เมื่อพวกบุตรชายของยาโคบได้ยินข่าวนั้นก็กลับมาจากนา ต่างก็โศกเศร้าและโกรธยิ่งนักเพราะเชเคมได้กระทำความโง่เขลาในพวกอิสราเอล โดยข่มขืนบุตรสาวของยาโคบ ซึ่งเป็นการไม่สมควร
วนฉ 20.5 เวลากลางคืนผู้ชายในเมืองกิเบอาห์ก็ลุกขึ้นล้อมบ้านที่ข้าพเจ้าพักอยู่ เขาหมายจะฆ่าข้าพเจ้าเสีย เขาข่มขืนภรรยาน้อยของข้าพเจ้าจนตาย
2ซมอ 13.14 แต่ท่านก็หาฟังเสียงเธอไม่ ด้วยท่านมีกำลังมากกว่าจึงข่มขืน และนอนร่วมกับเธอ
2ซมอ 13.22 แต่อับซาโลมมิได้ตรัสประการใดกับอัมโนนเลยไม่ว่าดีหรือร้าย เพราะอับซาโลมเกลียดชังอัมโนน เหตุที่ท่านได้ข่มขืนทามาร์น้องหญิงของท่าน
2ซมอ 13.32 แต่โยนาดับบุตรชายชิเมอาห์เชษฐาของดาวิดกราบทูลว่า “ขออย่าให้เจ้านายของข้าพระองค์สำคัญผิดไปว่า เขาได้ประหารราชโอรสหนุ่มแน่นเหล่านั้นหมดแล้ว เพราะว่าอัมโนนสิ้นชีวิตแต่ผู้เดียว เพราะตามบัญชาของอับซาโลมเรื่องนี้ท่านตั้งใจไว้แต่ครั้งที่อัมโนนข่มขืนทามาร์น้องหญิงของท่านแล้ว
อสธ 7.8 เมื่อกษัตริย์เสด็จกลับจากราชอุทยานมายังที่ซึ่งมีการเลี้ยงเหล้าองุ่น ฝ่ายฮามานยังกราบอยู่ที่พระแท่นซึ่งพระนางเอสเธอร์ประทับอยู่นั้น กษัตริย์ตรัสว่า “เขายังจะข่มขืนพระราชินีต่อหน้าต่อตาเราในบ้านของเราหรือ” พอพระวาทะหลุดจากพระโอษฐ์กษัตริย์เขาก็มาคลุมหน้าฮามาน
ศคย 14.2 เพราะเราจะรวบรวมประชาชาติทั้งสิ้นให้ทำศึกกับเยรูซาเล็ม เมืองนั้นจะถูกยึด บ้านเรือนจะถูกปล้นสะดมและผู้หญิงจะถูกข่มขืน พลเมืองครึ่งหนึ่งจะตกไปเป็นเชลย ประชาชนส่วนที่เหลืออยู่จะไม่ถูกตัดออกเสียจากเมือง

ข่มใจ ( 11 )
พบญ 26.6 และชาวอียิปต์ทำแก่เราอย่างเลวทราม และข่มใจเรา และทำให้เราทำงานหนัก
สดด 34.19 คนชอบธรรมนั้นถูกข่มใจหลายอย่าง แต่พระเยโฮวาห์ทรงช่วยเขาออกมาให้พ้นหมด
สดด 35.13 ส่วนข้าพระองค์ เมื่อเขาป่วยข้าพระองค์สวมผ้ากระสอบ ข้าพระองค์ข่มใจตนเองด้วยการอดอาหาร ข้าพระองค์ซบหน้าลงที่อกอธิษฐาน
อสย 49.13 โอ ฟ้าสวรรค์เอ๋ย จงร้องเพลง โอ แผ่นดินโลกเอ๋ย จงลิงโลดเถิด โอ ภูเขาเอ๋ย จงเปรมปรีดิ์ร้องเพลง เพราะพระเยโฮวาห์ได้ทรงเล้าโลมชนชาติของพระองค์แล้ว และจะทรงเมตตาแก่คนของพระองค์ ผู้ที่ถูกข่มใจ
อสย 53.4 แน่ทีเดียวท่านได้แบกความระทมทุกข์ของเราทั้งหลาย และหอบความเศร้าโศกของเราไป กระนั้นเราทั้งหลายก็ยังถือว่าท่านถูกตี คือพระเจ้าทรงโบยตีและข่มใจ
อสย 53.7 ท่านถูกบีบบังคับและท่านถูกข่มใจ ถึงกระนั้นท่านก็ไม่ปริปาก เหมือนลูกแกะที่ถูกนำไปฆ่า และเหมือนแกะที่เป็นใบ้อยู่หน้าผู้ตัดขนของมันฉันใด ท่านก็ไม่ปริปากของท่านเลยฉันนั้น
อสย 64.12 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ เป็นอย่างนี้แล้ว พระองค์ยังจะทรงยับยั้งพระองค์ไว้หรือ พระองค์จะทรงเงียบอยู่และข่มใจพวกข้าพระองค์อย่างถึงขนาดหรือ
ยรม 19.9 และเราจะกระทำให้เขาทั้งหลายกินเนื้อของบุตรชายและเนื้อของบุตรสาวของเขา และทุกคนจะกินเนื้อของเพื่อนของเขาในการที่ถูกล้อมและทุกข์ใจ คือที่ซึ่งศัตรูของเขาและผู้ที่แสวงหาชีวิตของเขา ได้ข่มใจเขาทั้งหลาย’
พคค 5.11 เขาทั้งหลายขืนใจพวกผู้หญิงในกรุงศิโยน และข่มใจสาวพรหมจารีในหัวเมืองแห่งยูดาห์
อมส 5.12 เพราะเรารู้ว่าการละเมิดของเจ้ามีเท่าใด และบาปของเจ้ามากมายสักเท่าใด เจ้าทั้งหลายผู้ข่มใจคนชอบธรรม ผู้รับสินบน และขับไล่คนขัดสนออกไปเสียจากประตูเมือง
1ปต 1.13 เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงเตรียมตัวเตรียมใจของท่านไว้ให้ดี และจงข่มใจ ตั้งความหวังให้เต็มเปี่ยมในพระคุณซึ่งจะทรงโปรดประทานแก่ท่านเมื่อพระเยซูคริสต์จะทรงสำแดงพระองค์

ข่มเหง ( 71 )
ปฐก 31.50 ถ้าเจ้าข่มเหงบุตรสาวของเรา หรือถ้าเจ้าได้ภรรยาอื่นนอกจากบุตรสาวของเรา ถึงไม่มีใครอยู่กับเราด้วย จงรู้เถิดว่า พระเจ้าทรงเป็นพยานระหว่างเรากับเจ้า”
อพย 22.21 เจ้าอย่าบีบบังคับหรือข่มเหงคนต่างด้าวเลย เพราะเจ้าทั้งหลายเคยเป็นคนต่างด้าวอยู่ในประเทศอียิปต์
อพย 22.22 อย่าข่มเหงหญิงม่ายหรือลูกกำพร้าพ่อเลย
อพย 22.23 ถ้าเจ้าข่มเหงเขาโดยวิธีใดก็ตาม และเขาร้องทุกข์ถึงเรา เราจะฟังคำร้องทุกข์ของเขาแน่ๆ
อพย 23.9 เจ้าอย่าข่มเหงคนต่างด้าวเพราะเจ้ารู้จักใจคนต่างด้าวแล้ว เพราะว่าเจ้าทั้งหลายก็เคยเป็นคนต่างด้าวในประเทศอียิปต์มาก่อน
ลนต 19.33 เมื่อคนต่างด้าวอาศัยอยู่กับเจ้าในแผ่นดินของเจ้า อย่าข่มเหงเขา
กดว 20.15 ว่าบรรพบุรุษของเราลงไปยังอียิปต์ และเราอยู่ในอียิปต์ช้านาน และชาวอียิปต์ได้ข่มเหงเราและบรรพบุรุษของเรา
วนฉ 2.18 พระเยโฮวาห์ทรงตั้งผู้วินิจฉัยขึ้นเมื่อไร พระเยโฮวาห์ก็ทรงสถิตกับผู้วินิจฉัยนั้นเมื่อนั้น และพระองค์ทรงช่วยเขาทั้งหลายให้พ้นจากเงื้อมมือของศัตรูตลอดชีวิตของผู้วินิจฉัยนั้น เพราะพระเยโฮวาห์ทรงกลับพระทัยสงสารเขาทั้งหลาย เมื่อทรงฟังเสียงคร่ำครวญของเขาเนื่องด้วยผู้ข่มเหงและบีบบังคับ
วนฉ 10.8 เขาได้ข่มเหงและบีบบังคับคนอิสราเอลในปีนั้น คือคนอิสราเอลทั้งปวงที่อยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นในแผ่นดินของคนอาโมไรต์ ซึ่งอยู่ในกิเลอาดสิบแปดปี
2ซมอ 7.10 และเราจะกำหนดที่หนึ่งให้อิสราเอลประชาชนของเรา และเราจะปลูกฝังเขาไว้ เพื่อเขาทั้งหลายจะได้อยู่ในที่ของเขาเอง และไม่ต้องถูกกวนใจอีก และคนชั่วจะไม่ข่มเหงเขาอีกดังแต่ก่อนมา
2พศด 16.10 และอาสาก็ทรงกริ้วต่อผู้ทำนายนั้น และจับเขาจำไว้ในคุก เพราะพระองค์ทรงเกรี้ยวกราดแก่เขาในเรื่องนี้ และอาสาทรงข่มเหงประชาชนบางคนในเวลาเดียวกันนั้นด้วย
โยบ 19.22 ทำไมท่านทั้งหลายจึงข่มเหงข้าอย่างกับเป็นพระเจ้า ทำไมท่านไม่พอใจกับเนื้อของข้า
โยบ 19.28 แต่ท่านทั้งหลายควรว่า ‘ทำไมพวกเราข่มเหงท่าน เมื่อรากของเรื่องนั้นพบอยู่ในตัวเรา’
สดด 7.5 ก็ขอให้ศัตรูข่มเหงจิตวิญญาณข้าพระองค์ทัน และให้เขาเหยียบย่ำชีวิตข้าพระองค์ลงถึงดิน และวางเกียรติยศของข้าพระองค์ไว้ในผงคลี เซลาห์
สดด 10.2 คนชั่วข่มเหงคนยากจนอย่างทะนงองอาจ ขอให้เขาติดกับบ่วงแร้วแห่งอุบายที่เขาคิดขึ้นนั้น
สดด 35.6 ขอให้ทางของเขามืดและลื่น และขอให้ทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ข่มเหงพวกเขา
สดด 69.26 เพราะเขาได้ข่มเหงผู้ที่พระองค์ทรงเฆี่ยนตี เขาเล่าถึงความเจ็บปวดของผู้ที่พระองค์ให้บาดเจ็บแล้ว
สดด 71.11 และกล่าวว่า “พระเจ้าทรงทอดทิ้งเขาแล้ว จงข่มเหงและฉวยเขาไว้ เพราะไม่มีผู้ใดช่วยเขาให้พ้น”
สดด 83.15 ขอทรงข่มเหงเขาด้วยพายุแรงกล้าของพระองค์ และทรงทำให้เขาคร้ามกลัวด้วยพายุจัดของพระองค์
สดด 109.16 เพราะเขาไม่จดจำที่จะแสดงความเอ็นดู แต่ข่มเหงคนจนและคนขัดสน เพื่อจะฆ่าคนที่เศร้าใจเสีย
สดด 119.86 พระบัญญัติของพระองค์ทั้งสิ้นสัตย์ซื่อ เขาข่มเหงข้าพระองค์ด้วยความเท็จ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ด้วย
สดด 119.161 เจ้านายได้ข่มเหงข้าพระองค์โดยปราศจากเหตุ แต่จิตใจของข้าพระองค์ตะลึงพรึงเพริดเพราะพระวจนะของพระองค์
สดด 143.3 เพราะศัตรูข่มเหงจิตใจข้าพระองค์ มันขยี้ชีวิตข้าพระองค์ลงถึงดิน มันได้กระทำให้ข้าพระองค์อาศัยในที่มืด เหมือนคนที่ตายนานแล้ว
ปญจ 4.1 ข้าพเจ้าพิจารณาบรรดาการข่มเหงที่เกิดขึ้นภายใต้ดวงอาทิตย์อีก และดูเถิด น้ำตาของผู้ที่ถูกข่มเหง ไม่มีคนเล้าโลมเขา ฝ่ายผู้ข่มเหงเขานั้นกุมอำนาจ แต่หามีผู้ใดเล้าโลมเขาไม่
ปญจ 5.8 ถ้าเจ้าเห็นคนจนในเมืองถูกข่มเหงก็ดี เห็นความยุติธรรมและความเที่ยงธรรมเอาไปเสียก็ดี เจ้าอย่าประหลาดใจในเรื่องนั้น ด้วยว่ามีเจ้าหน้าที่คอยจับตาเจ้าหน้าที่อยู่ แล้วยังมีผู้สูงกว่าอีกชั้นหนึ่งจับตาอยู่เหนือพวกเขาทั้งสิ้น
อสย 14.6 ผู้ซึ่งตีชนชาติทั้งหลายด้วยความพิโรธ ด้วยการตีอย่างไม่หยุดยั้ง ผู้ซึ่งได้ครอบครองประชาชาติด้วยความโกรธ ได้ถูกข่มเหงโดยไม่มีผู้ใดยับยั้ง
ยรม 17.18 ผู้ใดข่มเหงข้าพระองค์ ขอให้เขาได้รับความละอาย แต่ขออย่าให้ข้าพระองค์ได้รับความละอาย ขอให้เขาครั่นคร้าม แต่อย่าให้ข้าพระองค์ครั่นคร้าม ขอทรงนำวันร้ายมาตกเหนือเขา ขอทรงทำลายเขาด้วยการทำลายซับซ้อน
ยรม 29.18 เราจะข่มเหงเขาด้วยดาบ การกันดารอาหาร และโรคระบาด และจะกระทำเขาให้ย้ายไปอยู่ในราชอาณาจักรทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินโลก ให้เป็นคำสาป ให้เป็นที่น่าตกตะลึง ให้เป็นที่เย้ยหยัน เป็นที่นินทาท่ามกลางบรรดาประชาชาติซึ่งเราได้ขับไล่ให้เขาไปอยู่นั้น
พคค 3.43 พระองค์ทรงห่มความกริ้วและข่มเหงพวกข้าพระองค์ ได้ทรงประหารอย่างไม่สงสาร
พคค 4.19 พวกที่ข่มเหงเราก็เร็วกว่านกอินทรีในท้องฟ้า เขาทั้งหลายวิ่งไล่กวดพวกเราบนภูเขา เขาทั้งหลายซุ่มคอยจับเราในถิ่นทุรกันดาร
อสค 22.7 บิดามารดาถูกเหยียดหยามอยู่ในเจ้า คนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ก็ถูกเบียดเบียนอยู่ท่ามกลางเจ้า ลูกกำพร้าพ่อและหญิงม่ายก็ถูกข่มเหงอยู่ในเจ้า
มธ 5.10 บุคคลผู้ใดต้องถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าอาณาจักรแห่งสวรรค์เป็นของเขา
มธ 5.11 เมื่อเขาจะติเตียนข่มเหงและนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลายเป็นความเท็จเพราะเรา ท่านก็เป็นสุข
มธ 5.12 จงชื่นชมยินดีอย่างเหลือล้น เพราะว่าบำเหน็จของท่านมีบริบูรณ์ในสวรรค์ เพราะเขาได้ข่มเหงศาสดาพยากรณ์ทั้งหลายที่อยู่ก่อนท่านเหมือนกัน
มธ 5.44 ฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน จงอวยพรแก่ผู้ที่สาปแช่งท่าน จงทำดีแก่ผู้ที่เกลียดชังท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ปฏิบัติต่อท่านอย่างเหยียดหยามและข่มเหงท่าน
มธ 10.23 แต่เมื่อเขาข่มเหงท่านในเมืองนี้ จงหนีไปยังอีกเมืองหนึ่ง เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ก่อนที่ท่านจะไปทั่วเมืองต่างๆในอิสราเอล บุตรมนุษย์จะเสด็จมา
มธ 23.34 เหตุฉะนั้น ดูเถิด เราใช้พวกศาสดาพยากรณ์ พวกนักปราชญ์ และพวกธรรมาจารย์ต่างๆไปหาพวกเจ้า เจ้าก็ฆ่าเสียบ้าง ตรึงเสียที่กางเขนบ้าง เฆี่ยนตีในธรรมศาลาของเจ้าบ้าง ข่มเหงไล่ออกจากเมืองนี้ไปเมืองโน้นบ้าง
ลก 11.49 เหตุฉะนั้น พระปัญญาของพระเจ้าก็ตรัสด้วยว่า ‘เราจะใช้พวกศาสดาพยากรณ์และอัครสาวกไปหาเขา และเขาจะฆ่าเสียบ้าง และข่มเหงบ้าง’
ลก 21.12 แต่ก่อนเหตุการณ์เหล่านั้นเขาจะจับท่านไว้ และจะข่มเหงท่านและมอบท่านไว้ในธรรมศาลาและในคุก และพาท่านไปต่อหน้ากษัตริย์และเจ้าเมืองเพราะเหตุนามของเรา
ยน 5.16 เหตุฉะนั้นพวกยิวจึงข่มเหงพระเยซู และแสวงหาโอกาสที่จะฆ่าพระองค์ เพราะพระองค์ทรงกระทำเช่นนั้นในวันสะบาโต
ยน 15.20 จงระลึกถึงคำที่เราได้กล่าวแก่ท่านทั้งหลายแล้วว่า ‘ทาสมิได้เป็นใหญ่กว่านายของเขา’ ถ้าเขาข่มเหงเรา เขาก็จะข่มเหงท่านทั้งหลายด้วย ถ้าเขารักษาคำของเรา เขาก็จะรักษาคำของท่านทั้งหลายด้วย
กจ 7.6 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เชื้อสายของท่านจะไปอาศัยอยู่ในต่างประเทศ และชาวประเทศนั้นจะเอาเขาเป็นทาส และจะข่มเหงเขาเป็นเวลาสี่ร้อยปี
กจ 7.19 กษัตริย์องค์นั้นได้ทรงออกอุบายทำกับญาติของเรา ข่มเหงบรรพบุรุษของเรา บังคับให้ทิ้งลูกอ่อนของเขาเสียไม่ให้มีชีวิตรอดอยู่ได้
กจ 7.24 เมื่อท่านได้เห็นคนหนึ่งถูกข่มเหงจึงเข้าไปช่วย โดยฆ่าชาวอียิปต์ซึ่งเป็นผู้กดขี่นั้นเป็นการแก้แค้น
กจ 7.27 ฝ่ายคนที่ข่มเหงเพื่อนนั้นจึงผลักโมเสสออกไปและกล่าวว่า ‘ใครแต่งตั้งเจ้าให้เป็นผู้ครอบครองและผู้พิพากษาพวกเรา
กจ 7.52 มีใครบ้างในพวกศาสดาพยากรณ์ซึ่งบรรพบุรุษของท่านมิได้ข่มเหง และเขาได้ฆ่าบรรดาคนที่พยากรณ์ถึงการเสด็จมาขององค์ผู้ชอบธรรม ซึ่งท่านทั้งหลายเป็นผู้ทรยศและผู้ฆาตกรรมพระองค์นั้นเสีย
กจ 9.4 เซาโลจึงล้มลงถึงดินและได้ยินพระสุรเสียงตรัสแก่เขาว่า “เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม”
กจ 9.5 เซาโลจึงทูลถามว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราคือเยซู ที่เจ้าข่มเหง ซึ่งเจ้าถีบประตักก็ยากนัก”
กจ 22.4 ข้าพเจ้าได้ข่มเหงคนทั้งหลายที่ถือในทางนี้จนถึงตาย และได้ผูกมัดเขาจำไว้ในคุกทั้งชายและหญิง
กจ 22.7 ข้าพเจ้าจึงล้มลงที่ดินและได้ยินพระสุรเสียงตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม’
กจ 22.8 ข้าพเจ้าจึงทูลตอบว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด’ พระองค์จึงตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เราคือเยซูชาวนาซาเร็ธซึ่งเจ้าข่มเหงนั้น’
กจ 26.11 ข้าพระองค์ได้ทำโทษเขาบ่อยๆในธรรมศาลาทุกแห่ง และบังคับเขาให้กล่าวคำหมิ่นประมาท และเพราะข้าพระองค์โกรธเขายิ่งนัก ข้าพระองค์ได้ตามไปข่มเหงถึงเมืองในต่างประเทศ
กจ 26.14 ครั้นข้าพระองค์กับคนทั้งหลายล้มคะมำลงที่ดิน ข้าพระองค์ได้ยินพระสุรเสียงตรัสแก่ข้าพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า ‘เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม ซึ่งเจ้าถีบประตักก็ยากนัก’
กจ 26.15 ข้าพระองค์ทูลถามว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด’ พระองค์จึงตรัสว่า ‘เราคือเยซูซึ่งเจ้าข่มเหง
รม 12.14 จงอวยพรแก่คนที่ข่มเหงท่าน จงอวยพร อย่าแช่งด่าเลย
1คร 4.12 เราทำการหนักด้วยมือของเราเอง เมื่อถูกด่าเราก็อวยพร เมื่อถูกข่มเหงเราก็ทนเอา
1คร 15.9 เพราะว่าข้าพเจ้าเป็นผู้น้อยที่สุดในพวกอัครสาวก และไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นอัครสาวก เพราะว่าข้าพเจ้าได้ข่มเหงคริสตจักรของพระเจ้า
2คร 4.9 เราถูกข่มเหง แต่ก็ไม่ถูกทอดทิ้ง เราถูกตีลงแล้ว แต่ก็ไม่ถึงตาย
กท 1.13 เพราะท่านก็ได้ยินถึงชีวิตในหนหลังของข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้ายังอยู่ในลัทธิยิวแล้วว่า ข้าพเจ้าได้ข่มเหงคริสตจักรของพระเจ้าอย่างร้ายแรงเหลือเกิน และพยายามที่จะทำลายเสีย
กท 1.23 เขาเพียงแต่ได้ยินว่า “ผู้ที่แต่ก่อนเคยข่มเหงเรา บัดนี้ได้ประกาศความเชื่อซึ่งเขาได้เคยพยายามทำลาย”
กท 4.29 แต่ในครั้งนั้นผู้ที่เกิดตามเนื้อหนังได้ข่มเหงผู้ที่เกิดตามพระวิญญาณฉันใด ปัจจุบันนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น
กท 5.11 พี่น้องทั้งหลาย ถ้าข้าพเจ้ายังเทศนาชักชวนให้รับพิธีเข้าสุหนัต เหตุใดข้าพเจ้าจึงยังถูกข่มเหงอยู่อีกเล่า ถ้าเช่นนั้นกางเขนก็ไม่ใช่สิ่งที่ให้สะดุดแล้ว
กท 6.12 คนที่ปรารถนาได้หน้าตามเนื้อหนัง เขาบังคับให้ท่านรับพิธีเข้าสุหนัต เพื่อเขาจะได้ไม่ถูกข่มเหงเพราะเรื่องกางเขนของพระคริสต์เท่านั้น
ฟป 3.6 ในด้านความกระตือรือร้นก็ได้ข่มเหงคริสตจักร ในด้านความชอบธรรมซึ่งมีอยู่โดยพระราชบัญญัติ ข้าพเจ้าก็ไม่มีที่ติได้
1ธส 2.15 พวกยิวได้ปลงพระชนม์พระเยซูเจ้า และได้ประหารชีวิตพวกศาสดาพยากรณ์ของเขาเอง และได้ข่มเหงพวกเรา และขัดพระทัยพระเจ้า และเป็นปฏิปักษ์ต่อคนทั้งปวง
2ธส 1.4 ฉะนั้นเราเองจึงอวดท่านทั้งหลายต่อบรรดาคริสตจักรของพระเจ้าในเรื่องความเพียรและความเชื่อของท่าน ในการที่ท่านถูกข่มเหงทุกอย่างและการยากลำบากที่ท่านอดทนอยู่นั้น
1ทธ 1.13 ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนนั้นข้าพเจ้าเป็นคนหมิ่นประมาท ข่มเหง และเป็นผู้ปฏิบัติอย่างหยาบช้า แต่ข้าพเจ้าได้รับพระกรุณา เพราะว่าที่ข้าพเจ้าได้กระทำอย่างนั้นก็ได้กระทำไปโดยความเขลาเพราะความไม่เชื่อ
ฮบ 10.33 บางทีท่านก็ถูกประจานให้อับอายขายหน้าและถูกข่มเหง บางทีท่านก็ร่วมทุกข์กับคนที่ถูกข่มเหงนั้น
วว 12.13 เมื่อพญานาคนั้นเห็นว่ามันถูกผลักทิ้งลงมาในแผ่นดินโลกแล้ว มันก็ข่มเหงหญิงที่คลอดบุตรชายนั้น

ขมับ ( 6 )
ลนต 13.41 ถ้าชายคนใดมีผมที่หน้าผากและที่ขมับร่วง หน้าผากของเขาล้าน แต่เขาสะอาด
วนฉ 4.21 แต่ยาเอลภรรยาของเฮเบอร์หยิบหลักขึงเต็นท์ ถือค้อนเดินย่องเข้ามา ตอกหลักเข้าที่ขมับของสิเสราทะลุติดดิน ขณะเมื่อสิเสรากำลังหลับสนิทอยู่เพราะความเหน็ดเหนื่อย แล้วสิเสราก็สิ้นชีวิต
วนฉ 4.22 และดูเถิด บาราคไล่ติดตามสิเสรามาถึง ยาเอลก็ออกไปต้อนรับเรียนท่านว่า “เชิญเข้ามาเถิด ดิฉันจะชี้ให้ท่านเห็นคนที่ท่านค้นหาอยู่นั้น” พอบาราคก็เข้าไปในเต็นท์แล้ว ดูเถิด สิเสรานอนสิ้นชีวิตอยู่ มีหลักเต็นท์ในขมับ
วนฉ 5.26 นางเอื้อมมือหยิบหลักเต็นท์ ข้างมือขวาของนางฉวยตะลุมพุก นางตอกสิเสราเข้าทีหนึ่ง นางบี้ศีรษะของสิเสรา นางตีทะลุขมับของเขา
พซม 4.3 ริมฝีปากของเธอแดงดุจด้ายสีครั่ง และคำพูดของเธอก็งดงาม ขมับของเธอเหมือนผลทับทิมผ่าซีกอยู่ในผ้าคลุม
พซม 6.7 ขมับของเธอเหมือนผลทับทิมผ่าซีกอยู่ในผ้าคลุม

ขมิ้น ( 2 )
มธ 23.23 วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าถวายสิบชักหนึ่งของสะระแหน่ ยี่หร่าและขมิ้น ส่วนข้อสำคัญแห่งพระราชบัญญัติ คือการพิพากษา ความเมตตาและความเชื่อนั้นได้ละเว้นเสีย สิ่งเหล่านั้นพวกเจ้าควรได้กระทำอยู่แล้ว แต่สิ่งอื่นนั้นไม่ควรละเว้นด้วย
ลก 11.42 แต่วิบัติแก่เจ้า พวกฟาริสี ด้วยว่าพวกเจ้าถวายสิบชักหนึ่งของสะระแหน่และขมิ้นและผักทุกอย่าง และได้ละเว้นการพิพากษาและความรักของพระเจ้าเสีย สิ่งเหล่านั้นพวกเจ้าควรได้กระทำอยู่แล้ว แต่สิ่งอื่นนั้นก็ไม่ควรละเว้นด้วย

ขมีขมัน ( 1 )
สดด 64.6 เขาทั้งหลายค้นหาความชั่วช้า เขาทั้งหลายค้นหาอย่างขมีขมันจนสำเร็จ เพราะความคิดภายในและจิตใจของมนุษย์นั้นลึกล้ำนัก

ขมึงทึง ( 1 )
อสค 3.8 ดูเถิด เราได้กระทำให้หน้าของเจ้าขมึงทึงต่อหน้าของเขา และให้หน้าผากของเจ้าขึงขังต่อหน้าผากของเขา

ขโมย ( 43 )
ปฐก 31.39 ที่สัตว์ร้ายกัดฉีกกินเสีย ข้าพเจ้าก็มิได้นำมาให้ท่าน ข้าพเจ้าเองสู้ใช้ให้ ที่ถูกขโมยไปในเวลากลางวันหรือกลางคืน ท่านก็หักจากข้าพเจ้าทั้งนั้น
อพย 22.2 ถ้าผู้ใดเห็นขโมยกำลังขุดช่องเข้าไปแล้วตีขโมยนั้นตาย ไม่ต้องทำให้โลหิตตกเพราะการตีคนนั้น
อพย 22.4 ถ้าจับของที่ลักไปนั้นได้อยู่ในมือของเขาจะเป็นวัวก็ดี หรือลาก็ดี หรือแกะก็ดี ซึ่งยังเป็นอยู่ ขโมยนั้นต้องให้ค่าชดใช้เป็นสองเท่า
อพย 22.7 ถ้าผู้ใดฝากเงินหรือสิ่งของไว้กับเพื่อนบ้านแล้วของนั้นถูกขโมยลักไปจากเรือนผู้นั้น ถ้าจับขโมยได้ ขโมยต้องใช้แทนเป็นสองเท่า
อพย 22.8 ถ้าจับขโมยไม่ได้ จงนำเจ้าของเรือนมาถึงพวกผู้พิพากษาเพื่อจะดูว่ามือของตนเองได้ลักสิ่งของของเพื่อนบ้านนั้นหรือไม่
พบญ 24.7 ถ้าชายคนใดถูกเขาจับได้ว่าได้ลักพี่น้องคนอิสราเอลคนหนึ่งคนใดไปใช้เป็นทาสหรือขายเสีย ขโมยคนนั้นจะต้องมีโทษถึงตาย ดังนี้แหละท่านจะกำจัดความชั่วเสียจากท่ามกลางท่าน
ยชว 7.11 คนอิสราเอลได้กระทำบาป เขาได้ละเมิดพันธสัญญาซึ่งเราได้บัญชาเขาไว้ เขาได้ยักยอกของที่ถูกสาปแช่ง เขาได้ขโมยและปิดบัง และได้เอาของรวมไว้กับข้าวของของตน
โยบ 24.14 ฆาตกรลุกขึ้นมาแต่เช้าตรู่ เขาฆ่าคนยากจนและคนขัดสน และในกลางคืนเขาเป็นเหมือนขโมย
สดด 69.4 บรรดาคนที่เกลียดชังข้าพระองค์โดยไร้เหตุ มีมากยิ่งกว่าเส้นผมบนศีรษะข้าพระองค์ คนที่จะทำลายข้าพระองค์ก็มีอิทธิพล คือผู้ที่เป็นพวกศัตรูของข้าพระองค์อย่างไม่มีเหตุ แล้วข้าพระองค์ได้ส่งคืนสิ่งที่ข้าพระองค์มิได้ขโมยไป
สภษ 6.30 ถ้าขโมยเข้าลักเพื่อบรรเทาความอยากเมื่อเขาหิว คนไม่ดูหมิ่นขโมยนั้นมิใช่หรือ
สภษ 9.17 “น้ำที่ขโมยมาหวานดี และขนมที่รับประทานในที่ลับก็อร่อย”
สภษ 17.12 ให้คนไปพบแม่หมีที่ลูกถูกขโมยไป ยังดีกว่าไปพบคนโง่ในความโง่ของเขา
สภษ 28.24 บุคคลที่ขโมยของของบิดาหรือมารดาของตน และกล่าวว่า “อย่างนี้ไม่ละเมิด” เขาก็เป็นเพื่อนของคนทำลาย
สภษ 29.24 ผู้เข้าส่วนกับขโมยก็เกลียดชังชีวิตของตน เขาได้ยินคำสาปแช่ง แต่ไม่เปิดเผยอะไรเลย
สภษ 30.9 เกรงว่าข้าพระองค์จะอิ่ม และปฏิเสธพระองค์ แล้วพูดว่า “พระเยโฮวาห์เป็นผู้ใดเล่า” หรือเกรงว่าข้าพระองค์จะยากจนและขโมย และออกพระนามพระเจ้าของข้าพระองค์อย่างไร้ค่า
อสย 42.22 แต่นี่เป็นชนชาติที่ถูกขโมยและถูกปล้น เขาทุกคนติดอยู่ในรูและซ่อนอยู่ในคุก เขาตกเป็นเหยื่อซึ่งไม่มีผู้ใดช่วยให้พ้น เป็นของริบซึ่งไม่มีผู้ใดพูดว่า “คืนซิ”
ยรม 23.30 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เพราะฉะนั้น ดูเถิด เราต่อสู้กับบรรดาผู้พยากรณ์ ผู้ขโมยถ้อยคำของเราจากกันและกัน”
ยรม 49.9 ถ้าคนเก็บองุ่นมาหาเจ้า เขาจะไม่ทิ้งองุ่นตกค้างไว้บ้างหรือ ถ้าขโมยมาเวลากลางคืน เขาจะไม่ทำลายเพียงพอแก่ตัวเขาเท่านั้นหรือ
อสค 33.15 ถ้าคนชั่วได้คืนของประกัน ขโมยอะไรของเขามาก็คืนเสีย และดำเนินตามกฎเกณฑ์แห่งชีวิต ไม่กระทำความชั่วช้าเลย เขาจะดำรงชีวิตอยู่แน่ เขาไม่ต้องตาย
ฮชย 7.1 เมื่อเราจะรักษาอิสราเอลให้หาย ความชั่วช้าของเอฟราอิมก็เผยออก ทั้งการกระทำที่ชั่วร้ายของสะมาเรียก็แดงขึ้น เพราะว่าเขาทุจริต ขโมยก็หักเข้ามาข้างใน และกองโจรก็ปล้นอยู่ข้างนอก
อบด 1.5 ถ้าขโมยเข้ามาหาเจ้า ถ้าพวกปล้นเข้ามาในเวลากลางคืน (เจ้าจะถูกทำลายสักเท่าใด) เขาจะไม่ขโมยเพียงพอแก่ตัวของเขาเท่านั้นหรือ ถ้าคนเก็บองุ่นมาหาเจ้า เขาจะไม่ทิ้งองุ่นตกค้างไว้บ้างหรือ
มธ 6.19 อย่าสะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัวในโลก ที่ตัวมอดและสนิมอาจทำลายเสียได้ และที่ขโมยอาจขุดช่องลักเอาไปได้
มธ 6.20 แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัวในสวรรค์ ที่ตัวมอดและสนิมทำลายเสียไม่ได้ และที่ไม่มีขโมยขุดช่องลักเอาไปได้
มธ 24.43 จงจำไว้อย่างนี้เถิดว่า ถ้าเจ้าของบ้านล่วงรู้ได้ว่าขโมยจะมายามใด เขาก็จะเฝ้าระวัง และไม่ยอมให้ทะลวงเรือนของเขาได้
ลก 12.33 จงขายของที่ท่านมีอยู่และทำทาน จงกระทำถุงใส่เงินสำหรับตนซึ่งไม่รู้เก่า คือให้มีทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ซึ่งไม่เสื่อมสูญไป ที่ขโมยมิได้เข้ามาใกล้ และที่ตัวมอดมิได้ทำลายเสีย
ลก 12.39 ให้เข้าใจอย่างนี้เถอะว่า ถ้าเจ้าของบ้านล่วงรู้ได้ว่าขโมยจะมาเวลาไหน เขาจะตื่นอยู่และระวังไม่ให้ทะลวงเรือนของเขาได้
ยน 10.1 “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ผู้ที่มิได้เข้าไปในคอกแกะทางประตู แต่ปีนเข้าไปทางอื่นนั้นเป็นขโมยและโจร
ยน 10.8 บรรดาผู้ที่มาก่อนเรานั้นเป็นขโมยและโจร แต่ฝูงแกะก็มิได้ฟังเขา
ยน 10.10 ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลักและฆ่าและทำลายเสีย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์
ยน 12.6 เขาพูดอย่างนั้นมิใช่เพราะเขาเอาใจใส่คนจน แต่เพราะเขาเป็นขโมย และได้ถือย่าม และได้ยักยอกเงินที่ใส่ไว้ในย่ามนั้น
อฟ 4.28 คนที่เคยขโมยก็อย่าขโมยอีก แต่จงใช้มือทำงานที่ดีๆกว่า เพื่อจะได้มีอะไรๆแจกให้แก่คนที่ขัดสน
1ธส 5.2 เพราะท่านเองก็รู้ดีแล้วว่า วันขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาเหมือนอย่างขโมยที่มาในเวลากลางคืน
1ธส 5.4 แต่พี่น้องทั้งหลาย ท่านไม่ได้อยู่ในความมืดแล้ว เพื่อวันนั้นจะไม่มาถึงท่านอย่างขโมยมา
1ปต 4.15 แต่ว่าอย่าให้มีผู้ใดในพวกท่านได้รับโทษฐานเป็นฆาตกร หรือเป็นขโมย หรือเป็นคนทำร้าย หรือเป็นคนที่เที่ยวยุ่งกับธุระของคนอื่น
2ปต 3.10 แต่ว่าวันขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นจะมาถึงเหมือนอย่างขโมยแอบย่องมาในเวลากลางคืน และในวันนั้นท้องฟ้าจะล่วงเสียไปด้วยเสียงที่ดังกึกก้อง และโลกธาตุจะสลายไปด้วยความร้อนอันแรงกล้า และแผ่นดินโลกกับการงานทั้งปวงที่มีอยู่ในนั้นจะต้องไหม้เสียสิ้นด้วย
วว 3.3 เหตุฉะนั้น เจ้าจงระลึกว่าเจ้าได้รับและได้ยินอะไร จงยึดไว้ให้มั่นและกลับใจเสียใหม่ ฉะนั้นถ้าเจ้าไม่เฝ้าระวัง เราจะมาหาเจ้าเหมือนอย่างขโมย และเจ้าจะไม่รู้ว่าเราจะมาหาเจ้าเมื่อไร
วว 16.15 “จงดูเถิด เราจะมาเหมือนขโมย ผู้ที่เฝ้าระวังให้ดีและรักษาเสื้อผ้าของตนจะเป็นสุข เกลือกว่าผู้นั้นจะเดินเปลือยกาย และคนทั้งหลายจะได้เห็นความน่าละอายของเขา”

ขยะแขยง ( 1 )
โยบ 19.17 ลมหายใจข้าเป็นที่ขยะแขยงแก่ภรรยาของข้า ถึงแม้ข้าได้อ้อนวอนเพื่อลูกๆที่บังเกิดแก่ข้าเอง

ขยักขย่อน ( 1 )
1พกษ 18.21 และเอลียาห์ก็เข้ามาใกล้ประชาชนทั้งปวงกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายจะขยักขย่อนอยู่ระหว่างสองฝ่ายนี้นานสักเท่าใด ถ้าพระเยโฮวาห์ทรงเป็นพระเจ้าจงติดตามพระองค์ แต่ถ้าพระบาอัลเป็น ก็จงตามท่านไปเถิด” และประชาชนไม่ตอบท่านสักคำเดียว

ขยัน ( 1 )
สภษ 22.29 เจ้าเห็นคนที่ขยันในงานของเขาหรือ เขาจะได้เข้าเฝ้ากษัตริย์ เขาจะไม่ยืนอยู่ต่อหน้าคนต่ำต้อย

ขยันขันแข็ง ( 7 )
อสร 5.8 ขอกษัตริย์ทรงทราบว่าข้าพระองค์ทั้งหลายไปยังมณฑลยูดาห์ ถึงพระนิเวศของพระเจ้าใหญ่ยิ่ง ซึ่งกำลังสร้างขึ้นด้วยหินใหญ่ และวางไม้ไว้บนผนัง งานนี้ได้ดำเนินไปอย่างขยันขันแข็งและเจริญขึ้นในมือของเขา
อสร 7.17 แล้วด้วยเงินนี้เจ้าจงขยันขันแข็งซื้อวัวผู้ แกะผู้และลูกแกะ กับธัญญบูชาคู่กัน และเครื่องดื่มบูชาคู่กัน และเจ้าจงถวายสิ่งเหล่านี้บนแท่นบูชาของพระนิเวศแห่งพระเจ้าของเจ้าซึ่งอยู่ในเยรูซาเล็ม
สภษ 1.28 แล้วเขาจะทูลเรา แต่เราจะไม่ตอบ เขาจะแสวงหาเราอย่างขยันขันแข็ง แต่จะไม่พบเรา
สภษ 8.17 เรารักบรรดาผู้ที่รักเรา และบรรดาผู้ที่แสวงหาเราอย่างขยันขันแข็งก็พบเรา
สภษ 10.4 มือที่หย่อนเป็นเหตุให้เกิดความยากจน แต่มือที่ขยันขันแข็งกระทำให้มั่งคั่ง
สภษ 12.24 มือของคนที่ขยันขันแข็งจะครอบครอง ฝ่ายคนเกียจคร้านจะถูกบังคับให้ทำงานโยธา
ฮชย 5.15 เราจะกลับมายังสถานที่ของเราอีกจนกว่าเขาจะยอมรับความผิดของเขาและแสวงหาหน้าของเรา เมื่อเขารับความทุกข์ร้อน เขาจะแสวงหาเราอย่างขยันขันแข็ง

ขยับ ( 4 )
โยบ 40.17 มันขยับหางของมันให้แข็งเหมือนไม้สนสีดาร์ เอ็นโคนขาของมันก็สานเข้าด้วยกัน
สภษ 6.13 ตาของเขาก็ขยิบ เท้าของเขาก็ขยับ นิ้วของเขาก็ชี้ไป
อสย 3.16 พระเยโฮวาห์ตรัสอีกว่า “เพราะธิดาทั้งหลายของศิโยนนั้นก็ผยอง และเดินคอยืดคอยาว ตาของเขาชม้อยชม้าย เดินกระตุ้งกระติ้ง ขยับเท้าให้เสียงกรุ๋งกริ๋ง
ดนล 7.5 และดูเถิด มีสัตว์อีกตัวหนึ่งเป็นตัวที่สองเหมือนหมี มันขยับตัวข้างหนึ่งขึ้น มีกระดูกซี่โครงสามซี่อยู่ในปากของมันระหว่างซี่ฟัน มีเสียงบอกมันว่า ‘จงลุกขึ้นกินเนื้อให้มากๆ’

ขยับปีก ( 1 )
อสย 10.14 มือของข้าได้ฉวยทรัพย์สมบัติของชนชาติทั้งหลายเหมือนฉวยรังนก และอย่างคนเก็บไข่ซึ่งละทิ้งไว้ ข้าก็รวบรวมแผ่นดินโลกทั้งสิ้นดังนั้นแหละ และไม่มีผู้ใดขยับปีกมาปก หรืออ้าปากหรือร้องเสียงจ๊อกแจ๊ก”

ขยาด ( 7 )
พบญ 31.8 ผู้ที่ไปข้างหน้าคือพระเยโฮวาห์ พระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วย พระองค์จะไม่ทรงปล่อยท่านให้ล้มเหลวหรือทอดทิ้งท่านเสีย อย่ากลัวและอย่าขยาดเลย”
ยชว 8.1 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโยชูวาว่า “อย่ากลัวหรือขยาดเลย จงนำทหารทั้งหมดไปกับเจ้า ลุกขึ้นไปยังเมืองอัยเถิด ดูเถิด เราได้มอบกษัตริย์เมืองอัยไว้ในมือเจ้าแล้ว พร้อมทั้งประชาชนของเขา เมืองของเขาและแผ่นดินของเขาด้วย
ยชว 10.25 และโยชูวากล่าวแก่เขาว่า “อย่ากลัวหรือขยาดเลย จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด เพราะว่าพระเยโฮวาห์จะทรงกระทำแก่บรรดาศัตรูของท่านซึ่งท่านสู้รบอย่างนี้แหละ”
1พศด 28.20 แล้วดาวิดตรัสกับซาโลมอนโอรสของพระองค์ว่า “จงเข้มแข็งและกล้าหาญ และทำให้สำเร็จเถิด อย่ากลัวเลย อย่าขยาด เพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้า คือพระเจ้าของข้าจะทรงสถิตกับเจ้า พระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้เจ้าล้มเหลวหรือทอดทิ้งเจ้า จนกว่างานทั้งสิ้นสำหรับงานปรนนิบัติแห่งพระนิเวศของพระเยโฮวาห์จะสำเร็จ
อสย 41.10 อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า อย่าขยาด เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะหนุนกำลังเจ้า เออ เราจะช่วยเจ้า เออ เราจะชูเจ้าด้วยมือขวาแห่งความชอบธรรมของเรา
อสย 41.23 จงแจ้งแก่เราว่าต่อไปนี้อะไรจะเกิดขึ้น เพื่อเราจะรู้ว่าเจ้าเป็นพระ เออ จงทำดีหรือจงทำร้าย เพื่อเราจะได้ขยาดและดูกัน
อบด 1.9 โอ เทมานเอ๋ย ชายผู้มีกำลังทั้งหลายของเจ้าจะขยาด จนในที่สุดทุกคนที่มาจากภูเขาเอซาวจะถูกตัดขาดเสียด้วยการสังหาร

ขยาย ( 22 )
อพย 34.24 เพราะเราจะขับไล่ชนชาติทั้งหลายออกไปให้พ้นหน้าพวกเจ้าและจะขยายเขตแดนเมืองของเจ้าให้กว้างออกไป เมื่อพวกเจ้าจะขึ้นไปเฝ้าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าปีละสามครั้งนั้น จะไม่มีใครอยากได้แผ่นดินของเจ้าเลย
พบญ 12.20 เมื่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงขยายอาณาเขตของท่าน ดังที่พระองค์ทรงสัญญาไว้กับท่านแล้วนั้น และท่านกล่าวว่า ‘เราจะกินเนื้อสัตว์’ เพราะพวกท่านอยากรับประทานเนื้อสัตว์ ท่านจะรับประทานเนื้อตามใจปรารถนาของท่านได้
พบญ 19.8 และถ้าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านขยายอาณาเขตของท่าน ดังที่พระองค์ได้ทรงปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของท่าน และประทานแผ่นดินทั้งสิ้นซึ่งพระองค์ทรงสัญญาจะประทานแก่บรรพบุรุษของท่านให้แก่ท่าน
พบญ 33.20 ท่านกล่าวถึงกาดว่า “สาธุการแด่พระองค์ผู้ทรงขยายกาด กาดหมอบอยู่เหมือนกับสิงโต เขาทึ้งแขนและกระหม่อมบนศีรษะ
1ซมอ 4.2 คนฟีลิสเตียได้จัดพลเป็นแนวเข้าต่อสู้กับอิสราเอล และเมื่อสงครามได้ขยายวงออกไป อิสราเอลก็พ่ายแพ้ต่อหน้าคนฟีลิสเตีย ผู้ได้ฆ่าคนเสียประมาณสี่พันคนในสนามรบ
2ซมอ 5.18 ฝ่ายคนฟีลิสเตียยกขึ้นมาและขยายแนวออกที่หุบเขาเรฟาอิม
2ซมอ 5.22 คนฟีลิสเตียยกขึ้นมาอีกและขยายแนวอยู่ในหุบเขาเรฟาอิม
1พศด 4.10 ยาเบสทูลพระเจ้าของอิสราเอลว่า “โอ ขอพระองค์ทรงอวยพระพรแก่ข้าพระองค์ และขยายเขตแดนของข้าพระองค์ และขอพระหัตถ์ของพระองค์อยู่กับข้าพระองค์ และขอพระองค์ทรงรักษาข้าพระองค์ให้พ้นจากเหตุร้าย เพื่อมิให้ข้าพระองค์เจ็บใจปวดกาย” และพระเจ้าทรงประสาทตามที่เขาทูลขอ
โยบ 6.4 เพราะธนูขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็อยู่ในตัวข้า จิตใจของข้าดื่มพิษของมัน ความน่าหวาดเสียวจากพระเจ้าขยายแนวเข้าใส่ข้า
โยบ 12.23 พระองค์ทรงกระทำประชาชาติให้ใหญ่โต และทรงทำลายเสีย พระองค์ทรงขยายบรรดาประชาชาติ และทรงนำเขาทั้งหลายให้แคบลงอีก
สดด 25.17 ความยากลำบากในใจของข้าพระองค์ก็ขยายกว้างออกไป โอ ขอทรงนำข้าพระองค์ออกจากความทุกข์ใจของข้าพระองค์
อสย 5.14 เพราะฉะนั้นนรกก็ขยายที่ของมันออก และอ้าปากเสียโดยไม่จำกัด และสง่าราศีของเขา และมวลชนของเขา และเสียงอึงคะนึงของเขา และผู้ลิงโลดอยู่ ก็จะลงไป
อสย 26.15 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ แต่พระองค์ทรงเพิ่มประชาชนขึ้น พระองค์ทรงเพิ่มประชาชนขึ้น พระองค์ได้ทรงรับสง่าราศี พระองค์ทรงขยายเขตแดนของแผ่นดินไกลไปถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก
อสย 54.2 “จงขยายสถานที่แห่งเต็นท์ของเจ้า และให้เขาขึงม่านของที่อาศัยของเจ้าออก อย่าหน่วงไว้ ต่อเชือกของเจ้าให้ยาว และเสริมกำลังหลักหมุดของเจ้า
ยรม 4.30 เจ้าผู้ที่ถูกทิ้งร้างเอ๋ย ที่เจ้าแต่งตัวสีแดงนั้นเจ้าทำอะไรกัน และที่เจ้าประดับตัวด้วยอาภรณ์ทองคำ ที่เจ้าขยายดวงตาให้กว้างด้วยแต้มสี เออ เจ้าแต่งตัวให้งามเสียเปล่า คนรักของเจ้าจะดูหมิ่นเจ้า เขาทั้งหลายจะแสวงหาชีวิตของเจ้า
อสค 16.8 และเมื่อเราผ่านเจ้าไปอีกครั้งหนึ่งและมองดูเจ้า ดูเถิด เจ้ามีอายุรู้จักรักแล้ว เราก็ขยายชายเสื้อคลุมเจ้าและปกคลุมความเปลือยเปล่าของเจ้าไว้ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า เออ เราก็ปฏิญาณและกระทำพันธสัญญากับเจ้า และเจ้าก็เป็นของเรา
อสค 41.7 ห้องระเบียงนั้นยิ่งสูงขึ้นไปก็ยิ่งกว้างออก ตามส่วนขยายของหยักบ่าจากห้องหนึ่งซ้อนอยู่บนอีกห้องหนึ่งโดยรอบ ที่ข้างพระนิเวศมีบันไดนำขึ้นข้างบน ดังนี้แหละผู้ใดที่ขึ้นไปจากห้องต่ำที่สุดถึงห้องบนก็ต้องลอดผ่านห้องกลาง
ฮชย 14.6 กิ่งก้านของเขาจะขยายออก เขาจะงามเหมือนต้นมะกอกเทศ และจะมีกลิ่นหอมเหมือนเลบานอน
อมส 1.13 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “เพราะเหตุการละเมิดของคนอัมโมน สามครั้งและสี่ครั้ง เราจะไม่ยอมกลับการลงทัณฑ์ เพราะว่าเขาได้ผ่าท้องหญิงมีครรภ์ในเมืองกิเลอาด เพื่อจะขยายอาณาเขตของตน
ศฟย 2.9 พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลตรัสว่า “เหตุฉะนี้ เรามีชีวิตอยู่ฉันใด แน่ทีเดียว โมอับจะกลายเป็นเหมือนเมืองโสโดม และคนอัมโมนจะเหมือนเมืองโกโมราห์ คือเป็นที่ขยายพันธุ์ต้นตำแยและบ่อเกลือ และเป็นที่รกร้างอยู่เนืองนิตย์ ชนชาติของเราส่วนที่เหลือจะปล้นเขา และชนชาติของเราที่เหลืออยู่จะยึดเขาเป็นกรรมสิทธิ์”
มธ 24.12 ความรักของคนเป็นอันมากจะเยือกเย็นลง เพราะความชั่วช้าจะแผ่ขยายออกไป
2คร 10.15 เรามิได้โอ้อวดเกินขอบเขต ไม่ได้อวดในการงานที่คนอื่นได้กระทำ แต่เราหวังใจว่า เมื่อความเชื่อของท่านจำเริญมากขึ้นแล้ว ท่านจะช่วยเราให้ขยายเขตกว้างขวางออกไปอีกเป็นอันมากตามขนาดของเรา

ขยำ ( 2 )
อพย 8.3 ฝูงกบจะเต็มไปทั้งแม่น้ำ จะขึ้นมาอยู่ในวัง ในห้องบรรทม และบนแท่นบรรทมของท่าน ในเรือนข้าราชการ ตามตัวพลเมือง ในเตาปิ้งขนมและในอ่างขยำแป้งของท่านด้วย
อพย 12.34 พลไพร่นั้นเอาก้อนแป้งดิบที่ยังมิได้ใส่เชื้อกับอ่างขยำแป้ง ห่อผ้าใส่บ่าแบกไป

ขย้ำ ( 1 )
ยรม 51.34 ให้ชาวเมืองศิโยนพูดว่า “เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้กินข้าพเจ้าเสียแล้ว ท่านได้ขย้ำข้าพเจ้า ท่านได้ทำให้ข้าพเจ้าเป็นภาชนะว่างเปล่า ท่านได้กลืนข้าพเจ้าดั่งมังกร ท่านได้อิ่มท้องด้วยของอร่อยของข้าพเจ้า แล้วท่านก็คายข้าพเจ้าทิ้งเสีย

ขยิบ ( 3 )
สภษ 6.13 ตาของเขาก็ขยิบ เท้าของเขาก็ขยับ นิ้วของเขาก็ชี้ไป
สภษ 10.10 ผู้ที่ขยิบตาก็ก่อความเศร้าโศก แต่คนที่พูดโง่ๆจะล้มลง
สภษ 16.30 เขาขยิบตากะแผนงานที่ตลบตะแลง เขาเม้มริมฝีปากของเขานำความชั่วร้ายให้เกิดขึ้น

ขยี้ ( 11 )
โยบ 4.19 ผู้ที่อาศัยในเรือนดินจะยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด รากฐานของเขาอยู่ในผงคลีดิน ผู้ถูกขยี้เหมือนอย่างตัวมอด
โยบ 6.9 ว่าพระเจ้าพอพระทัยที่จะขยี้ข้าว่า พระองค์จะใช้พระหัตถ์ของพระองค์อย่างเต็มที่ และตัดข้าออกเสีย
โยบ 9.17 เพราะพระองค์ทรงขยี้ข้าด้วยพายุ และทวีบาดแผลของข้าโดยไม่มีเหตุ
โยบ 20.19 เพราะเขาได้ขยี้และทอดทิ้งคนยากจน เขาได้ชิงบ้านซึ่งเขาไม่ได้สร้าง
สดด 89.23 เราจะขยี้คู่อริของเขาต่อหน้าเขา และตีผู้ที่เกลียดเขาให้ล้มลง
สดด 143.3 เพราะศัตรูข่มเหงจิตใจข้าพระองค์ มันขยี้ชีวิตข้าพระองค์ลงถึงดิน มันได้กระทำให้ข้าพระองค์อาศัยในที่มืด เหมือนคนที่ตายนานแล้ว
ยรม 14.17 เจ้าจงกล่าวถ้อยคำนี้แก่เขาว่า ‘ขอให้ตาของเรามีน้ำตาไหลทั้งกลางคืนและกลางวัน อย่าให้หยุดยั้ง เพราะบุตรสาวพรหมจารีแห่งประชาชนของเรา ถูกขยี้ด้วยความหายนะยิ่งใหญ่ ถูกตีอย่างหนักมาก
พคค 1.15 องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงเหยียบบรรดาผู้มีกำลังแข็งแกร่งของข้าพเจ้าไว้ใต้พระบาทท่ามกลางข้าพเจ้า พระองค์ได้ทรงเกณฑ์ชุมนุมชนเข้ามาต่อสู้ข้าพเจ้า เพื่อจะขยี้ชายฉกรรจ์ของข้าพเจ้าให้แหลกไป องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงย่ำบุตรสาวพรหมจารีแห่งยูดาห์ ดั่งเหยียบผลองุ่นลงในบ่อย่ำองุ่น
ฮชย 5.11 เอฟราอิมถูกบีบบังคับ และถูกขยี้ด้วยการทำโทษ เพราะเขาได้ตั้งจิตตั้งใจติดตามบัญญัตินั้น
อมส 4.1 “แม่วัวทั้งหลายแห่งเมืองบาชานเอ๋ย จงฟังคำนี้เถิด คือผู้ที่อยู่ในภูเขาสะมาเรีย ผู้ที่บีบบังคับคนยากจน และขยี้คนขัดสน ผู้ที่กล่าวแก่นายของตนว่า ‘เอามาซิคะ เราจะได้ดื่มกัน’
ลก 6.1 ต่อมาในวันสะบาโตที่สอง หลังจากวันแรกนั้น พระองค์กำลังเสด็จไปที่ในนา และพวกสาวกของพระองค์ก็เด็ดรวงข้าวขยี้กิน

ขยุ้ม ( 1 )
ลนต 11.27 ในบรรดาสัตว์สี่เท้าทุกอย่างซึ่งเดินด้วยขยุ้มเท้าเป็นสัตว์มลทินแก่เจ้า ผู้ใดแตะต้องซากสัตว์นี้จะต้องมลทินไปถึงเวลาเย็น

ขรุขระ ( 2 )
อสย 40.4 หุบเขาทุกแห่งจะถูกยกขึ้น ภูเขาและเนินทุกแห่งจะให้ต่ำลง ทางคดจะกลายเป็นทางตรง และที่ขรุขระจะกลายเป็นที่ราบ
ลก 3.5 หุบเขาทุกแห่งจะถมให้เต็ม ภูเขาและเนินทุกแห่งจะให้ต่ำลง ทางคดจะกลายเป็นทางตรง และทางที่ขรุขระจะกลายเป็นทางราบ

ขลัง ( 2 )
สดด 58.5 มันจึงไม่ฟังเสียงของหมองู ผู้ซึ่งมีมนต์ขลัง
อสย 44.25 ผู้กระทำให้ลางของคนมุสาไม่ขลัง และกระทำพวกโหรให้บ้าๆบอๆ ผู้หันคนฉลาดให้กลับหลัง และกระทำให้ความรู้ของเขาเขลาไป

ขลาด ( 1 )
อสย 7.4 และจงกล่าวแก่เขาว่า ‘จงระวังและสงบใจ อย่ากลัว อย่าให้พระทัยของพระองค์ขลาดด้วยเหตุเศษดุ้นฟืนที่จวนมอดทั้งสองนี้ เพราะความกริ้วอันร้ายแรงของเรซีน และซีเรีย และโอรสของเรมาลิยาห์

ขลาดกลัว ( 1 )
2ทธ 1.7 เพราะว่าพระเจ้ามิได้ทรงประทานจิตที่ขลาดกลัวให้เรา แต่ได้ทรงประทานจิตที่กอปรด้วยฤทธิ์ ความรัก และการบังคับตนเองให้แก่เรา

ขลิบ ( 4 )
อพย 28.32 ให้ทำช่องคอกลางผืนเสื้อ แล้วขลิบรอบคอด้วยผ้าทอ เช่นเดียวกับคอเสื้อทหาร เพื่อจะมิให้ขาด
อพย 39.23 และช่องกลางผืนเสื้อนั้น เขาทำเป็นคอเสื้อเช่นเดียวกับคอเสื้อทหารและมีขลิบรอบคอเพื่อมิให้ขาด
2ซมอ 19.24 เมฟีโบเชท โอรสซาอูลก็ลงมารับเสด็จกษัตริย์ โดยมิได้แต่งเท้าหรือขลิบเครา หรือซักเสื้อผ้าของตนตั้งแต่วันที่กษัตริย์เสด็จจากไปจนวันที่เสด็จกลับมาโดยสันติภาพ
อสค 44.20 อย่าให้เขาโกนศีรษะหรือปล่อยให้มวยผมยาว ให้เขาเพียงแต่ขลิบผมบนศีรษะของเขาเท่านั้น

ขลุ่ย ( 4 )
ปฐก 4.21 น้องชายของเขามีชื่อว่ายูบาล เขาเป็นต้นตระกูลของบรรดาคนที่ดีดพิณเขาคู่และเป่าขลุ่ย
โยบ 21.12 เขาหยิบเอารำมะนาและพิณเขาคู่ และเปรมปรีดิ์ตามเสียงขลุ่ย
โยบ 30.31 เพราะฉะนั้นเสียงพิณเขาคู่ของข้ากลายเป็นเสียงโหยไห้ และเสียงขลุ่ยของข้ากลายเป็นเสียงของผู้ที่ร้องไห้”
สดด 150.4 จงสรรเสริญพระองค์ด้วยรำมะนาและการเต้นรำ จงสรรเสริญพระองค์ด้วยเครื่องสายและขลุ่ย

ขวด ( 7 )
1ซมอ 10.1 แล้วซามูเอลก็หยิบขวดน้ำมันเทลงบนศีรษะของซาอูล และจุบท่านแล้วกล่าวว่า “พระเยโฮวาห์ทรงเจิมท่านไว้ให้เป็นเจ้านายเหนือมรดกของพระองค์แล้วมิใช่หรือ
1ซมอ 16.13 ซามูเอลจึงนำขวดเขาน้ำมันและเจิมตั้งเขาไว้ท่ามกลางพี่ชายของเขา และพระวิญญาณของพระเยโฮวาห์ก็สวมทับดาวิดตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป และซามูเอลก็ลุกขึ้นกลับไปยังรามาห์
2พกษ 9.1 แล้วเอลีชาผู้พยากรณ์ได้เรียกเหล่าศิษย์แห่งผู้พยากรณ์มาคนหนึ่ง และพูดกับเขาว่า “จงคาดเอวของเจ้าไว้ ถือน้ำมันขวดนี้ไปที่ราโมทกิเลอาด
2พกษ 9.3 แล้วจงเอาน้ำมันในขวดเทลงบนศีรษะของเขา และกล่าวว่า ‘พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า เราเจิมตั้งเจ้าให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล’ แล้วจงเปิดประตูออกหนีไป อย่ารอช้าอยู่”
สดด 56.8 พระองค์ทรงนับการระหกระเหินของข้าพระองค์ ทรงเก็บน้ำตาของข้าพระองค์ใส่ขวดของพระองค์ไว้ น้ำตานั้นไม่อยู่ในบัญชีของพระองค์หรือ พระเจ้าค่ะ
ฮชย 7.5 ในวันฉลองกษัตริย์ของเรา พวกเจ้านายทำให้พระองค์ป่วยด้วยขวดเหล้าองุ่น กษัตริย์ทรงเหยียดพระหัตถ์ออกพร้อมกับคนขี้เยาะเย้ย
ฮบก 2.15 วิบัติแก่ผู้นั้นที่ให้เพื่อนบ้านดื่ม ที่ยื่นขวดไปให้เขาและทำให้เขาเมาไป เพื่อจะเพ่งดูความเปลือยเปล่าของเพื่อนบ้าน

ขวดหนัง ( 1 )
1ซมอ 1.24 และเมื่อนางให้เขาหย่านมแล้ว นางก็พาเขาขึ้นไปพร้อมกับวัวผู้สามตัว แป้งหนึ่งเอฟาห์ และน้ำองุ่นหนึ่งขวดหนัง และนางก็นำเขามาที่พระนิเวศของพระเยโฮวาห์ที่เมืองชีโลห์ และเด็กนั้นก็ยังเล็กอยู่

ขวนขวาย ( 4 )
ยน 6.27 อย่าขวนขวายหาอาหารที่ย่อมเสื่อมสูญไป แต่จงหาอาหารที่ดำรงอยู่ถึงชีวิตนิรันดร์ซึ่งบุตรมนุษย์จะให้แก่ท่าน เพราะพระเจ้าคือพระบิดาได้ทรงประทับตรามอบอำนาจแก่พระบุตรแล้ว”
กท 2.17 แต่ถ้าในขณะที่เรากำลังขวนขวายจะเป็นคนชอบธรรมโดยพระคริสต์นั้น เราเองยังปรากฏเป็นคนบาปอยู่ พระคริสต์จึงทรงเป็นผู้ส่งเสริมบาปหรือ ขอพระเจ้าอย่ายอมให้เป็นเช่นนั้นเลย
1ธส 2.17 พี่น้องทั้งหลาย แต่เมื่อเราถูกพรากไปจากท่านชั่วระยะเวลาหนึ่ง พรากไปแต่กายเท่านั้น ไม่ใช่จิตใจ เราจึงขวนขวายปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเห็นหน้าท่านอีก
ทต 2.14 ผู้ได้ทรงโปรดประทานพระองค์เองให้เรา เพื่อไถ่เราให้พ้นจากความชั่วช้าทุกอย่าง และทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ เพื่อให้เป็นหมู่ชนพิเศษเฉพาะของพระองค์ และเป็นคนที่ขวนขวายกระทำการดี

ขวบ ( 60 )
อพย 12.5 ลูกแกะของเจ้าต้องปราศจากตำหนิเป็นตัวผู้อายุไม่เกินหนึ่งขวบ เจ้าจงเอามาจากฝูงแกะ หรือฝูงแพะ
อพย 29.38 ต่อไปนี้เป็นสิ่งซึ่งเจ้าต้องถวายบนแท่นนั้นทุกวันเสมอไป คือลูกแกะสองตัว อายุหนึ่งขวบ
ลนต 9.3 และกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า ‘จงเอาลูกแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และลูกวัวตัวหนึ่งกับลูกแกะตัวหนึ่ง ทั้งสองให้มีอายุหนึ่งขวบ ปราศจากตำหนิเป็นเครื่องเผาบูชา
ลนต 12.6 และเมื่อวันชำระของนางครบแล้ว ไม่ว่าเป็นกำหนดของบุตรชายหรือบุตรสาว ให้นางไปหาปุโรหิตที่ประตูพลับพลาแห่งชุมนุม นำลูกแกะอายุหนึ่งขวบตัวหนึ่งไปเป็นเครื่องเผาบูชาและนกพิราบหนุ่มตัวหนึ่งหรือนกเขาตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
ลนต 14.10 ในวันที่แปดให้เขาเอาลูกแกะผู้สองตัวปราศจากตำหนิ และลูกแกะเมียอายุหนึ่งขวบตัวหนึ่งปราศจากตำหนิ และยอดแป้งคลุกน้ำมันสามในสิบเอฟาห์เป็นธัญญบูชา กับน้ำมันลกหนึ่ง
ลนต 23.12 ในวันที่เจ้าแกว่งถวายฟ่อนข้าว เจ้าจงถวายลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบไม่มีตำหนิเป็นเครื่องเผาบูชาถวายแด่พระเยโฮวาห์
ลนต 23.18 พร้อมกับขนมปังนั้นเจ้าจงนำลูกแกะเจ็ดตัวอายุหนึ่งขวบปราศจากตำหนิ วัวหนุ่มตัวหนึ่ง แกะผู้สองตัว มาเป็นเครื่องเผาบูชาถวายแด่พระเยโฮวาห์ พร้อมกับธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาอันเป็นคู่กัน ให้เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นพอพระทัยถวายแด่พระเยโฮวาห์
ลนต 23.19 เจ้าจงถวายลูกแพะตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และลูกแกะอายุหนึ่งขวบสองตัวเป็นเครื่องสันติบูชา
ลนต 27.5 ถ้าผู้นั้นอายุห้าขวบถึงยี่สิบปี ให้เจ้ากำหนดราคาผู้ชายเป็นค่าเงินยี่สิบเชเขล และผู้หญิงสิบเชเขล
ลนต 27.6 ถ้าผู้นั้นอายุหนึ่งเดือนถึงห้าขวบ ให้เจ้ากำหนดราคาผู้ชายเป็นค่าเงินห้าเชเขล ให้เจ้ากำหนดราคาผู้หญิงเป็นเงินสามเชเขล
กดว 6.12 และให้เขาปลีกตัวออกถวายแด่พระเยโฮวาห์ตลอดเวลาการปลีกตัวของเขา และนำลูกแกะอายุหนึ่งขวบมาเป็นเครื่องบูชาไถ่การละเมิด แต่เวลาก่อนนั้นนับไม่ได้ เพราะการปฏิญาณปลีกตัวของเขานั้นมีมลทินเสียแล้ว
กดว 6.14 ให้เขาถวายเครื่องบูชาแด่พระเยโฮวาห์ คือลูกแกะผู้อายุขวบหนึ่งที่ปราศจากตำหนิเป็นเครื่องเผาบูชา และลูกแกะเมียอายุขวบหนึ่งที่ปราศจากตำหนิเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และแกะผู้ตัวหนึ่งที่ปราศจากตำหนิเป็นเครื่องสันติบูชา
กดว 7.15 วัวหนุ่มตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะอายุหนึ่งขวบตัวหนึ่ง เป็นเครื่องเผาบูชา
กดว 7.17 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะอายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องสันติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของนาโชนบุตรชายของอัมมีนาดับ
กดว 7.21 วัวหนุ่มตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะอายุหนึ่งขวบตัวหนึ่ง เป็นเครื่องเผาบูชา
กดว 7.23 และวัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะอายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องสันติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของเนธันเอลบุตรชายของศุอาร์
กดว 7.27 วัวหนุ่มตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะอายุหนึ่งขวบตัวหนึ่ง เป็นเครื่องเผาบูชา
กดว 7.29 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะอายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องสันติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของเอลีอับบุตรชายของเฮโลน
กดว 7.33 วัวหนุ่มตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะอายุหนึ่งขวบตัวหนึ่ง เป็นเครื่องเผาบูชา
กดว 7.35 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะอายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องสันติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของเอลีซูร์บุตรชายของเชเดเออร์
กดว 7.39 วัวหนุ่มตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะอายุหนึ่งขวบตัวหนึ่ง เป็นเครื่องเผาบูชา
กดว 7.41 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะอายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องสันติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของเชลูมิเอลบุตรชายของซูริชัดดัย
กดว 7.45 วัวหนุ่มตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะอายุหนึ่งขวบตัวหนึ่ง เป็นเครื่องเผาบูชา
กดว 7.47 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะอายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องสันติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของเอลียาสาฟบุตรชายของเดอูเอล
กดว 7.51 วัวหนุ่มตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะอายุหนึ่งขวบตัวหนึ่ง เป็นเครื่องเผาบูชา
กดว 7.53 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะอายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องสันติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของเอลีชามาบุตรชายของอัมมีฮูด
กดว 7.57 วัวหนุ่มตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะอายุหนึ่งขวบตัวหนึ่ง เป็นเครื่องเผาบูชา
กดว 7.59 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะอายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องสันติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของกามาลิเอลบุตรชายของเปดาซูร์
กดว 7.63 วัวหนุ่มตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะอายุหนึ่งขวบตัวหนึ่ง เป็นเครื่องเผาบูชา
กดว 7.65 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะอายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องสันติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของอาบีดันบุตรชายของกิเดโอนี
กดว 7.69 วัวหนุ่มตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะอายุหนึ่งขวบตัวหนึ่ง เป็นเครื่องเผาบูชา
กดว 7.71 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะอายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องสันติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของอาหิเยเซอร์บุตรชายของอัมมีชัดดัย
กดว 7.75 วัวหนุ่มตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะอายุหนึ่งขวบตัวหนึ่ง เป็นเครื่องเผาบูชา
กดว 7.77 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะอายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องสันติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของปากีเอลบุตรชายของโอคราน
กดว 7.81 วัวหนุ่มตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะอายุหนึ่งขวบตัวหนึ่ง เป็นเครื่องเผาบูชา
กดว 7.83 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะอายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องสันติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของอาหิราบุตรชายของเอนัน
กดว 7.87 สัตว์สำหรับเครื่องเผาบูชา มีวัวผู้สิบสองตัว แกะผู้สิบสอง ลูกแกะอายุหนึ่งขวบสิบสอง พร้อมกับเครื่องธัญญบูชาคู่กัน และแพะผู้สิบสองตัวสำหรับเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
กดว 7.88 สัตว์ทั้งหมดที่ถวายเป็นเครื่องสันติบูชา มีวัวผู้ยี่สิบสี่ แกะผู้หกสิบ แพะผู้หกสิบ และลูกแกะอายุหนึ่งขวบหกสิบ นี่แหละเป็นของถวายในงานมอบถวายแท่นบูชาเมื่อได้กระทำการเจิมแล้ว
กดว 15.27 ถ้าบุคคลคนหนึ่งคนใดกระทำผิดโดยไม่รู้ตัว ก็ให้ผู้นั้นเอาแพะเมียอายุขวบหนึ่งไปเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
กดว 28.3 และเจ้าจงกล่าวแก่เขาว่า นี่เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟซึ่งเจ้าทั้งหลายควรถวายแด่พระเยโฮวาห์ คือลูกแกะอายุหนึ่งขวบไม่มีตำหนิสองตัว เป็นเครื่องบูชาเนืองนิตย์ทุกวัน
กดว 28.9 ในวันสะบาโตลูกแกะอายุหนึ่งขวบสองตัวที่ไม่มีตำหนิ และยอดแป้งสองในสิบเอฟาห์คลุกกับน้ำมันให้เป็นธัญญบูชา และเครื่องดื่มบูชาคู่กัน
กดว 28.11 เวลาต้นเดือนทุกเดือน เจ้าทั้งหลายจงถวายเครื่องเผาบูชาแด่พระเยโฮวาห์ คือวัวหนุ่มสองตัว แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะหนึ่งขวบไม่มีตำหนิเจ็ดตัว
กดว 28.19 แต่จงถวายบูชาด้วยไฟ เป็นเครื่องเผาบูชาแด่พระเยโฮวาห์ คือเอาวัวหนุ่มสองตัว แกะผู้ตัวหนึ่ง และลูกแกะอายุหนึ่งขวบเจ็ดตัว ดูให้ดีว่าไม่มีตำหนิ
กดว 28.27 แต่จงถวายเครื่องเผาบูชาให้เป็นกลิ่นพอพระทัยแด่พระเยโฮวาห์ คือถวายวัวหนุ่มสองตัว แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะอายุหนึ่งขวบเจ็ดตัว
กดว 29.2 เจ้าจงถวายเครื่องเผาบูชา เป็นกลิ่นที่พอพระทัยพระเยโฮวาห์ คือถวายวัวหนุ่มตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะอายุหนึ่งขวบไม่มีตำหนิเจ็ดตัว
กดว 29.8 แต่เจ้าจงถวายเครื่องเผาบูชาแด่พระเยโฮวาห์ ให้เป็นกลิ่นที่พอพระทัย คือถวายวัวหนุ่มตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะอายุหนึ่งขวบเจ็ดตัว เจ้าอย่าให้มีตำหนิ
กดว 29.13 เจ้าจงถวายเครื่องเผาบูชา เครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นที่พอพระทัยพระเยโฮวาห์ คือวัวหนุ่มสิบสามตัว แกะผู้สองตัว ลูกแกะอายุหนึ่งขวบสิบสี่ตัว สัตว์เหล่านี้อย่าให้มีตำหนิ
กดว 29.17 ในวันที่สองจงถวายวัวหนุ่มสิบสองตัว แกะผู้สองตัว ลูกแกะอายุหนึ่งขวบไม่มีตำหนิสิบสี่ตัว
กดว 29.20 ในวันที่สามจงถวายวัวสิบเอ็ดตัว แกะผู้สองตัว ลูกแกะอายุหนึ่งขวบไม่มีตำหนิสิบสี่ตัว
กดว 29.23 ในวันที่สี่จงถวายวัวสิบตัว แกะผู้สองตัว ลูกแกะอายุหนึ่งขวบไม่มีตำหนิสิบสี่ตัว
กดว 29.26 ในวันที่ห้าจงถวายวัวเก้าตัว แกะผู้สองตัว ลูกแกะอายุหนึ่งขวบไม่มีตำหนิสิบสี่ตัว
กดว 29.29 ในวันที่หกจงถวายวัวแปดตัว แกะผู้สองตัว ลูกแกะอายุหนึ่งขวบไม่มีตำหนิสิบสี่ตัว
กดว 29.32 ในวันที่เจ็ดเจ้าจงถวายวัวเจ็ดตัว แกะผู้สองตัว ลูกแกะอายุหนึ่งขวบไม่มีตำหนิสิบสี่ตัว
กดว 29.36 แต่เจ้าจงถวายเครื่องเผาบูชา เครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นที่พอพระทัยพระเยโฮวาห์ คือวัวผู้ตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะอายุหนึ่งขวบไม่มีตำหนิเจ็ดตัว
2ซมอ 4.4 โยนาธานราชโอรสของซาอูล มีบุตรชายคนหนึ่งเป็นง่อย เมื่อมีข่าวเรื่องซาอูลกับโยนาธานมาจากยิสเรเอลนั้น เด็กคนนี้มีอายุห้าขวบ พี่เลี้ยงก็อุ้มลุกขึ้นหนีไป อยู่มาเมื่อเธอรีบหนีไปนั้นเด็กนั้นก็หล่นลงและเป็นง่อย ท่านชื่อเมฟีโบเชท
2พศด 31.16 เว้นแต่คนเหล่านั้นที่ขึ้นทะเบียนไว้ตามผู้ชาย ตั้งแต่สามขวบขึ้นไป ทุกคนที่เข้าไปในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ เป็นเวรตามหน้าที่ประจำวันที่ต้องทำ เพื่อทำการปรนนิบัติตามหน้าที่โดยกองของเขา
อสค 46.13 เจ้าจะจัดการหาลูกแกะตัวหนึ่งอายุหนึ่งขวบปราศจากตำหนิถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแด่พระเยโฮวาห์เป็นประจำวัน เจ้าจะจัดหาทุกๆเช้า
มคา 6.6 “ข้าพเจ้าจะนำอะไรเข้ามาเฝ้าพระเยโฮวาห์ และกราบไหว้ต่อพระพักตร์พระเจ้าเบื้องสูง ควรข้าพเจ้าเข้าเฝ้าพระองค์ด้วยเครื่องเผาบูชาหรือ ด้วยลูกวัวอายุหนึ่งขวบหลายตัวหรือ
มธ 2.16 ครั้นเฮโรดเห็นว่าพวกนักปราชญ์หลอกท่าน ก็กริ้วโกรธยิ่งนัก จึงใช้คนไปฆ่าเด็กทั้งหมดในบ้านเบธเลเฮมและที่ใกล้เคียงทั้งสิ้น ตั้งแต่อายุสองขวบลงมา ซึ่งพอดีกับเวลาที่ท่านได้ถามพวกนักปราชญ์อย่างถ้วนถี่นั้น

ขวยเขิน ( 1 )
อสร 9.6 และข้าพเจ้าทูลว่า “โอ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ละอายขวยเขินที่จะเงยหน้าหาพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ เพราะว่าความชั่วช้าของข้าพระองค์ทั้งหลายขึ้นสูงกว่าศีรษะของข้าพระองค์ และการละเมิดของข้าพระองค์ทั้งหลายกองขึ้นไปถึงฟ้าสวรรค์

ขวัญตา ( 1 )
ปญจ 5.11 เมื่อของดีเพิ่มพูนขึ้น คนกินก็มีคับคั่งขึ้น คนที่เป็นเจ้าของทรัพย์จะได้ประโยชน์อะไร นอกจากจะได้ชมเล่นเป็นขวัญตาเท่านั้น

ขวัญหนีดีฝ่อ ( 2 )
โยบ 37.1 “เรื่องนี้กระทำให้หัวใจของข้าพเจ้าสั่นรัว สะทกสะท้านขวัญหนีดีฝ่อ
กจ 12.18 แล้วครั้นรุ่งเช้า พวกทหารก็ขวัญหนีดีฝ่อมิใช่น้อย เปโตรหายไปไหนหนอ

ขวัญหาย ( 3 )
อสค 4.16 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าอีกว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ดูเถิด เราจะทำลายอาหารหลักในเยรูซาเล็มเสีย เขาจะต้องชั่งขนมปังรับประทาน ทั้งรับประทานด้วยความหวาดกลัว และเขาจะตวงน้ำดื่ม ทั้งดื่มด้วยอาการอกสั่นขวัญหาย
อสค 4.17 เพื่อให้ขาดขนมปังและน้ำ ให้ต่างคนต่างอกสั่นขวัญหาย และซูบผอมไปเพราะความชั่วช้าของเขาทั้งหลาย”
อสค 12.19 และกล่าวแก่ประชาชนของแผ่นดินนั้นว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้เกี่ยวกับพลเมืองแห่งกรุงเยรูซาเล็มและเกี่ยวกับแผ่นดินอิสราเอลว่า เขาจะรับประทานอาหารของเขาด้วยความระมัดระวัง และดื่มน้ำด้วยอกสั่นขวัญหาย เพราะว่าสารพัดที่มีอยู่ในแผ่นดินของเขาจะสูญหายไปหมด เนื่องด้วยความรุนแรงของคนทั้งปวงที่อยู่ในแผ่นดินนั้น

ขวับ ( 1 )
นฮม 3.2 เสียงขวับของแส้ และเสียงกระหึ่มของล้อ ม้าควบ และรถรบห้อไป

ขวา ( 154 )
ปฐก 24.49 บัดนี้ถ้าท่านยอมแสดงความเมตตาและจริงใจต่อนายข้าพเจ้าแล้ว ขอกรุณาบอกข้าพเจ้า ถ้ามิฉะนั้นก็ขอบอกข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะหันไปทางขวาหรือซ้าย”
ปฐก 48.13 โยเซฟจูงบุตรทั้งสองเข้าไปใกล้บิดา มือขวาจับเอฟราอิมให้อยู่ข้างซ้ายอิสราเอล และมือซ้ายจับมนัสเสห์ให้อยู่ข้างขวาอิสราเอล
ปฐก 48.17 ฝ่ายโยเซฟเมื่อเห็นบิดาวางมือข้างขวาบนศีรษะของเอฟราอิมก็ไม่พอใจ จึงจับมือบิดาจะยกจากศีรษะเอฟราอิมวางบนศีรษะมนัสเสห์
อพย 2.12 ท่านก็มองดูซ้ายขวาและเมื่อท่านเห็นว่าไม่มีผู้ใดอยู่ที่นั่น ท่านจึงฆ่าคนอียิปต์นั้นเสีย แล้วซ่อนศพไว้ในทราย
อพย 14.22 ชนชาติอิสราเอลก็พากันเดินบนดินแห้งกลางทะเล ส่วนน้ำนั้นตั้งเป็นเหมือนกำแพงสำหรับเขา ทั้งทางขวาและทางซ้าย
อพย 14.29 ฝ่ายชนชาติอิสราเอลเดินไปตามดินแห้งกลางท้องทะเล น้ำตั้งขึ้นเหมือนกำแพงสำหรับเขาทั้งทางขวาและทางซ้าย
อพย 15.6 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระหัตถ์ขวาของพระองค์ทรงอานุภาพยิ่ง โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระหัตถ์ขวาของพระองค์ฟาดศัตรูแหลกเป็นชิ้นๆ
อพย 15.12 พระองค์ทรงเหยียดพระหัตถ์ขวาออก แผ่นดินก็กลืนพวกเขาเสีย
อพย 29.20 แล้วท่านจงฆ่าแกะตัวนั้นเสีย เอาเลือดส่วนหนึ่งเจิมที่ปลายใบหูข้างขวาของอาโรน และที่ปลายใบหูข้างขวาของบุตรชายของเขาทุกคน และที่หัวแม่มือข้างขวา และที่หัวแม่เท้าข้างขวาของเขาบ้าง แล้วจงเอาเลือดที่เหลือพรมรอบๆแท่นบูชา
อพย 29.22 เจ้าจงเอาไขมันแกะตัวผู้และหางที่เป็นไขมัน กับไขมันที่ติดเครื่องใน และพังผืดที่ติดอยู่กับตับ กับไตทั้งสองและไขมันที่ติดอยู่กับไต กับโคนขาข้างขวาด้วย เพราะเป็นแกะใช้สำหรับการสถาปนา
ลนต 7.32 แต่โคนขาข้างขวาของสัตว์นั้นเจ้าจงให้ปุโรหิตเป็นส่วนถวายจากเครื่องบูชาแห่งสันติบูชา
ลนต 7.33 บุตรชายอาโรนผู้ถวายเลือดแห่งสันติบูชาและไขมันจะได้รับโคนขาข้างขวาเป็นส่วนของเขา
ลนต 8.23 โมเสสก็ฆ่าแกะนั้นเสีย เอาเลือดเจิมที่ปลายหูข้างขวาของอาโรน และที่นิ้วหัวแม่มือขวาของเขา และที่นิ้วหัวแม่เท้าขวาของเขา
ลนต 8.24 แล้วนำบุตรชายทั้งหลายของอาโรนเข้ามา และโมเสสเอาเลือดเจิมที่ปลายหูข้างขวา ที่นิ้วหัวแม่มือข้างขวา ที่นิ้วหัวแม่เท้าข้างขวาของเขา และโมเสสเอาเลือดประพรมที่แท่นและรอบแท่น
ลนต 8.25 แล้วท่านจึงนำไขมันและหางที่เป็นไขมัน และไขมันทั้งหมดที่อยู่กับเครื่องใน และพังผืดเหนือตับและไตสองลูกกับไขมันที่ติดอยู่ และโคนขาข้างขวา
ลนต 8.26 และท่านหยิบขนมไร้เชื้อหนึ่งก้อนจากกระบุงขนมปังไร้เชื้อ ซึ่งอยู่ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ และหยิบขนมคลุกน้ำมันก้อนหนึ่ง และขนมแผ่นแผ่นหนึ่ง วางของเหล่านี้ไว้บนไขมัน และบนโคนขาข้างขวา
ลนต 9.21 ส่วนเนื้ออกและเนื้อโคนขาข้างขวานั้น อาโรนแกว่งไปแกว่งมาเป็นเครื่องบูชาแกว่งถวายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ดังที่โมเสสบัญชาไว้
ลนต 14.14 ปุโรหิตจะนำเลือดของเครื่องบูชาไถ่การละเมิดมาบ้าง และปุโรหิตจะเจิมที่ปลายหูข้างขวาของผู้ที่รับการชำระ และเจิมที่นิ้วหัวแม่มือขวาและที่นิ้วหัวแม่เท้าขวาของเขา
ลนต 14.17 ส่วนน้ำมันที่เหลืออยู่ในมือนั้น ปุโรหิตจะเอามาบ้าง เจิมที่ปลายหูขวาของผู้ที่รับการชำระ และที่นิ้วหัวแม่มือขวาและที่นิ้วหัวแม่เท้าขวา ทับบนเลือดเครื่องบูชาไถ่การละเมิด
ลนต 14.25 และเขาจะฆ่าลูกแกะเครื่องบูชาไถ่การละเมิด และปุโรหิตจะเอาเลือดของเครื่องบูชาไถ่การละเมิดมาบ้าง เจิมที่ปลายหูข้างขวาของผู้รับการชำระ และที่นิ้วหัวแม่มือขวา กับที่นิ้วหัวแม่เท้าขวาของเขา
ลนต 14.28 และปุโรหิตจะเอาน้ำมันที่อยู่ในมือเจิมที่ปลายหูข้างขวาของผู้รับการชำระ และที่หัวแม่มือขวากับหัวแม่เท้าขวาของเขา ตรงที่ที่เจิมด้วยเลือดของเครื่องบูชาไถ่การละเมิด
กดว 18.18 แต่เนื้อของมันจะเป็นของเจ้า เช่นเดียวกับเนื้ออกที่แกว่งถวายหรือเนื้อโคนขาขวาเป็นของเจ้า
กดว 22.26 แล้วทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ก็เดินไปข้างหน้ายืนอยู่ในที่แคบ ไม่มีทางที่จะหลีกไปข้างขวาหรือข้างซ้าย
พบญ 33.2 ท่านกล่าวว่า “พระเยโฮวาห์เสด็จจากซีนาย และทรงรุ่งแจ้งจากเสอีร์มายังเขาทั้งหลาย พระองค์ทรงฉายรังสีจากภูเขาปาราน พระองค์เสด็จพร้อมกับวิสุทธิชนนับหมื่นๆ ที่พระหัตถ์เบื้องขวามีไฟเป็นพระราชบัญญัติแก่เขา
วนฉ 3.16 เอฮูดได้ทำดาบสองคมไว้ประจำตัวเล่มหนึ่งยาวศอกหนึ่ง เหน็บไว้ใต้ผ้าที่ต้นขาขวา
วนฉ 3.21 เอฮูดก็ยื่นมือซ้ายชักดาบนั้นออกจากต้นขาขวาแทงเข้าไปในท้องของเอกโลน
1ซมอ 6.12 แม่วัวก็เดินตรงไปตามทางที่ไปเมืองเบธเชเมช ไปตามทางหลวง เดินพลางร้องพลางไม่เลี้ยวขวาหรือเลี้ยวซ้าย และบรรดาเจ้านายแห่งคนฟีลิสเตียก็ตามมันไปจนถึงพรมแดนเมืองเบธเชเมช
1ซมอ 11.2 แต่นาหาชคนอัมโมนกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า “เราจะกระทำพันธสัญญากับเจ้าทั้งหลายตามเงื่อนไขต่อไปนี้ คือเราจะทะลวงตาขวาของเจ้าเสียทุกคนให้เป็นที่อัปยศแก่คนอิสราเอลทั้งปวง”
2ซมอ 2.21 อับเนอร์จึงบอกเขาว่า “จงเลี้ยวไปทางขวาหรือทางซ้าย และจับเอาคนหนุ่มคนใดคนหนึ่ง แล้วก็ริบเอาอาวุธของเขาไป” แต่อาสาเฮลไม่เลี้ยวจากไล่ตามอับเนอร์
2ซมอ 14.19 กษัตริย์จึงตรัสถามว่า “ในเรื่องทั้งสิ้นนี้มือของโยอาบเกี่ยวข้องกับเจ้าด้วยหรือเปล่า” หญิงนั้นทูลตอบว่า “ข้าแต่กษัตริย์เจ้านายของหม่อมฉัน พระองค์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ไม่มีใครหลบหลีกพระดำรัสของกษัตริย์เจ้านายของหม่อมฉัน ไปทางขวาหรือทางซ้ายได้ โยอาบผู้รับใช้ของพระองค์นั่นแหละให้หม่อมฉันกราบทูล เขาเป็นผู้สอนคำกราบทูลแก่หม่อมฉันสาวใช้ของพระองค์
2ซมอ 16.6 และเอาหินขว้างดาวิดและขว้างบรรดาข้าราชการของกษัตริย์ดาวิด พวกพลและชายฉกรรจ์ทั้งสิ้นก็อยู่ข้างขวาและข้างซ้ายของพระองค์
2ซมอ 24.5 เขาทั้งหลายข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปและตั้งค่ายในเมืองอาโรเออร์ ด้านขวาของเมืองที่ตั้งอยู่กลางแม่น้ำกาดไปทางยาเซอร์
1พกษ 2.19 พระนางบัทเชบาจึงเข้าเฝ้ากษัตริย์ซาโลมอน เพื่อทูลพระองค์ให้อาโดนียาห์ และกษัตริย์ทรงลุกขึ้นต้อนรับพระนาง และทรงคำนับพระนาง แล้วก็เสด็จประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ รับสั่งให้นำพระเก้าอี้มาถวายพระชนนี พระนางก็เสด็จประทับที่เบื้องขวาของพระองค์
1พกษ 6.8 ทางเข้าห้องชั้นล่างอยู่ทางด้านขวาของตัวพระนิเวศ และคนขึ้นไปยังห้องชั้นกลางทางบันไดเวียน และขึ้นจากห้องชั้นกลางไปห้องชั้นที่สาม
1พกษ 7.21 ท่านตั้งเสาไว้ที่มุขพระวิหาร ท่านตั้งเสาข้างขวาไว้ และเรียกชื่อว่ายาคีน และท่านตั้งเสาข้างซ้ายไว้ เรียกชื่อว่าโบอัส
1พกษ 7.39 ท่านวางแท่นขันนั้นไว้ทางด้านขวาของพระนิเวศห้าแท่น และทางด้านซ้ายของพระนิเวศห้าแท่น และท่านวางขันสาครไว้ที่ด้านขวาพระนิเวศทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
1พกษ 7.49 เชิงประทีปทำด้วยทองคำบริสุทธิ์อยู่ทางด้านขวาห้าอัน อยู่ทางด้านซ้ายห้าอัน ข้างหน้าห้องหลัง ดอกไม้ ตะเกียง และตะไกรตัดไส้ตะเกียงทำด้วยทองคำ
1พกษ 22.19 และมีคายาห์ทูลว่า “ฉะนั้นขอสดับพระวจนะของพระเยโฮวาห์ ข้าพระองค์ได้เห็นพระเยโฮวาห์ประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ และบรรดาบริวารแห่งฟ้าสวรรค์ยืนข้างๆพระองค์ ข้างขวาพระหัตถ์และข้างซ้าย
2พกษ 11.11 และทหารรักษาพระองค์ถืออาวุธทุกคนยืนประจำอยู่ตั้งแต่พระวิหารด้านขวาไปถึงพระวิหารด้านซ้าย รอบแท่นบูชาและพระวิหารอยู่รอบกษัตริย์
2พกษ 12.9 แล้วเยโฮยาดาปุโรหิตนำหีบมาใบหนึ่ง เจาะรูๆหนึ่งที่ฝาหีบนั้น และตั้งไว้ที่ข้างๆแท่นบูชาด้านขวาเมื่อเข้าไปในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และพวกปุโรหิตผู้ที่เฝ้าอยู่ที่ธรณีประตูก็นำเงินทั้งหมดซึ่งเขานำมาในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ใส่ไว้ในหีบนั้น
2พศด 3.17 พระองค์ทรงตั้งเสาไว้หน้าพระวิหาร ข้างขวาต้นหนึ่ง อีกต้นหนึ่งข้างซ้าย ต้นข้างขวานั้นพระองค์ทรงขนานนามว่า ยาคีน และต้นข้างซ้ายว่า โบอาส
2พศด 4.6 พระองค์ทรงทำขันสิบลูก วางอยู่ด้านขวาห้าลูก ด้านซ้ายห้าลูก เพื่อใช้ล้างของในนั้น เขาจะล้างของซึ่งใช้เป็นเครื่องเผาบูชาในนี้ ขันสาครนั้นสำหรับให้ปุโรหิตล้างในนั้น
2พศด 4.7 แล้วพระองค์ทรงสร้างคันประทีปทองคำสิบคันตามที่กำหนดเกี่ยวกับคันประทีปนั้น และพระองค์ทรงตั้งไว้ในพระวิหาร อยู่ด้านขวาห้าคัน และด้านซ้ายห้าคัน
2พศด 4.8 พระองค์ทรงสร้างโต๊ะสิบตัวด้วย และตั้งไว้ในพระวิหาร อยู่ด้านขวาห้าตัวด้านซ้ายห้าตัว และพระองค์ทรงทำชามทองคำหนึ่งร้อยลูก
2พศด 4.10 และพระองค์ทรงวางขันสาครไว้ที่ด้านขวาพระนิเวศทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
2พศด 18.18 และมีคายาห์ทูลว่า “ฉะนั้นขอสดับพระวจนะของพระเยโฮวาห์ ข้าพระองค์ได้เห็นพระเยโฮวาห์ประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ และบรรดาบริวารแห่งฟ้าสวรรค์ยืนข้างๆพระองค์ข้างขวาพระหัตถ์และข้างซ้าย
2พศด 23.10 และท่านได้ตั้งประชาชนทั้งสิ้นให้ล้อมกษัตริย์ไว้ ทุกคนถืออาวุธตั้งแต่ด้านขวาของพระวิหารถึงด้านซ้ายของพระวิหาร รอบแท่นบูชาและพระวิหาร
นหม 12.31 แล้วข้าพเจ้าได้นำเจ้านายแห่งยูดาห์ขึ้นบนกำแพง และแต่งตั้งให้คณะใหญ่สองคณะ เป็นผู้กล่าวโมทนาและเดินเป็นกระบวนแห่ คณะหนึ่งไปทางขวาขึ้นไปบนกำแพงจนถึงประตูกองขยะ
สดด 16.11 พระองค์จะทรงสำแดงวิถีแห่งชีวิตแก่ข้าพระองค์ ต่อพระพักตร์พระองค์มีความชื่นบานอย่างเปี่ยมล้น ในพระหัตถ์ขวาของพระองค์มีความเพลิดเพลินอยู่เป็นนิตย์
สดด 17.7 โอ ข้าแต่พระผู้ช่วยของบรรดาผู้แสวงหาที่ลี้ภัยจากปฏิปักษ์ของเขา ณ พระหัตถ์ขวาของพระองค์ ขอทรงสำแดงความเมตตาอย่างมหัศจรรย์ของพระองค์
สดด 18.35 พระองค์ประทานโล่แห่งความรอดของพระองค์ให้ข้าพระองค์ และพระหัตถ์ขวาของพระองค์ทรงค้ำจุนข้าพระองค์ และซึ่งพระองค์ทรงน้อมพระทัยลง ก็กระทำให้ข้าพระองค์เป็นใหญ่ขึ้น
สดด 20.6 บัดนี้ ข้าพเจ้าทราบว่าพระเยโฮวาห์จะทรงช่วยผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้ พระองค์จะทรงฟังเขาจากฟ้าสวรรค์อันบริสุทธิ์ของพระองค์ และโดยชัยชนะอันทรงอานุภาพด้วยพระหัตถ์ขวาของพระองค์
สดด 21.8 พระหัตถ์ของพระองค์จะค้นพบเหล่าศัตรูทั้งหลาย พระหัตถ์ขวาจะพบบรรดาผู้ที่เกลียดชังพระองค์
สดด 44.3 เพราะเขาทั้งหลายไม่ได้แผ่นดินนั้นมาครอบครองด้วยดาบของเขาเอง มิใช่แขนของเขาที่ช่วยให้เขารอด แต่โดยพระหัตถ์ขวา และพระกรของพระองค์ และโดยความสว่างจากสีพระพักตร์พระองค์ เพราะพระองค์ทรงโปรดปรานเขาทั้งหลาย
สดด 45.4 ขอทรงม้าอย่างโอ่อ่าตระการเสด็จไปอย่างมีชัย เพื่อเห็นแก่ความจริง ความอ่อนสุภาพและความชอบธรรม ให้พระหัตถ์ขวาของพระองค์ท่านสอนกิจอันน่าครั่นคร้ามแก่พระองค์ท่าน
สดด 45.9 ในหมู่สตรีผู้มีเกียรติของพระองค์ท่านมีราชธิดาของบรรดากษัตริย์ พระราชินีประดับทองคำเมืองโอฟีร์ประทับอยู่ข้างขวาพระหัตถ์พระองค์ท่าน
สดด 48.10 โอ ข้าแต่พระเจ้า พระนามของพระองค์ไปถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลกอย่างไร คำสรรเสริญพระองค์ก็ไปถึงอย่างนั้น พระหัตถ์ขวาของพระองค์เต็มไปด้วยความชอบธรรม
สดด 60.5 ขอทรงช่วยให้รอดโดยพระหัตถ์ขวาของพระองค์ และทรงฟังข้าพระองค์ เพื่อว่าผู้ที่พระองค์ทรงรักจะได้รับการช่วยให้พ้น
สดด 63.8 จิตวิญญาณของข้าพระองค์เกาะติดอยู่ที่พระองค์ พระหัตถ์ขวาของพระองค์ชูข้าพระองค์ไว้
สดด 74.11 ไฉนพระองค์จึงหดพระหัตถ์ของพระองค์เสีย คือพระหัตถ์ขวาของพระองค์ ขอทรงเหยียดพระหัตถ์จากพระทรวงของพระองค์
สดด 77.10 และข้าพเจ้าว่า “นั่นแหละเป็นความทุกข์ของข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าจะระลึกถึงปีทั้งหลายแห่งพระหัตถ์ขวาของพระองค์ผู้สูงสุด”
สดด 78.54 และพระองค์ทรงพาเขามายังเขตแดนแห่งสถานบริสุทธิ์ของพระองค์ ยังภูเขานี้ ซึ่งพระหัตถ์ขวาของพระองค์ได้ทรงไถ่ไว้
สดด 80.15 คือสวนองุ่นซึ่งพระหัตถ์ขวาของพระองค์ทรงปลูกไว้ และกิ่งที่พระองค์ทรงให้เจริญแข็งแรงเพื่อพระองค์เอง
สดด 80.17 ขอพระหัตถ์ของพระองค์จงอยู่เหนือผู้ที่อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ คือบุตรของมนุษย์ที่พระองค์ทรงกระทำให้แข็งแรงเพื่อพระองค์เอง
สดด 89.13 พระองค์มีพระกรอันทรงฤทธิ์ พระหัตถ์ของพระองค์ก็แข็งแรง พระหัตถ์ขวาของพระองค์ก็สูง
สดด 98.1 โอ จงร้องเพลงบทใหม่ถวายพระเยโฮวาห์เพราะพระองค์ได้ทรงกระทำการมหัศจรรย์ พระหัตถ์ขวาและพระกรบริสุทธิ์ของพระองค์ได้นำความมีชัยมา
สดด 108.6 ขอทรงช่วยให้รอดโดยพระหัตถ์ขวาของพระองค์และทรงตอบข้าพระองค์ เพื่อว่าผู้ที่พระองค์ทรงรักจะได้รับการช่วยให้พ้น
สดด 118.15 เสียงแห่งความยินดีและความรอดอยู่ในพลับพลาของผู้ชอบธรรมว่า “พระหัตถ์ขวาของพระเยโฮวาห์ห้าวหาญนัก
สดด 118.16 พระหัตถ์ขวาของพระเยโฮวาห์เป็นที่เชิดชู พระหัตถ์ขวาของพระเยโฮวาห์ห้าวหาญนัก”
สดด 138.7 แม้ข้าพระองค์เดินอยู่กลางความลำบากยากเย็น พระองค์จะทรงสงวนชีวิตข้าพระองค์ไว้ พระองค์จะทรงเหยียดพระหัตถ์ของพระองค์ออกต่อต้านความพิโรธของศัตรูของข้าพระองค์ และพระหัตถ์ขวาของพระองค์จะทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอด
สดด 139.10 แม้ถึงที่นั่น พระหัตถ์ของพระองค์จะนำข้าพระองค์ และพระหัตถ์ขวาของพระองค์จะยึดข้าพระองค์ไว้
สภษ 4.27 อย่าเหไปข้างขวาหรือหันมาข้างซ้าย จงกลับเท้าของเจ้าเสียจากความชั่วร้าย
อสย 9.20 เขาจะฉวยได้ทางขวา แต่ยังหิวอยู่ เขาจะกินทางซ้าย แต่ก็ยังไม่อิ่ม ต่างก็จะกินเนื้อแขนของตนเอง
อสย 30.21 และเมื่อเจ้าหันไปทางขวาหรือหันไปทางซ้าย หูของเจ้าจะได้ยินวจนะข้างหลังเจ้าว่า “นี่เป็นหนทาง จงเดินในทางนี้”
อสย 44.20 เขากินขี้เถ้า ใจที่หลอกลวงนำเขาให้เจิ่น เขาช่วยจิตใจตัวเขาเองให้พ้นหรือพูดว่า “ไม่มีความมุสาอยู่ในมือข้างขวาของข้าหรือ” ก็ไม่ได้
อสย 54.3 เพราะเจ้าจะกระจายออกไปทางขวาและทางซ้าย และเชื้อสายของเจ้าจะได้พวกต่างชาติเป็นมรดก และจะกระทำให้หัวเมืองที่รกร้างมีคนอาศัยอยู่
อสย 62.8 พระเยโฮวาห์ทรงปฏิญาณด้วยพระหัตถ์ขวาของพระองค์ และด้วยพระกรอานุภาพของพระองค์ว่า “แน่นอนเราจะไม่ให้ข้าวของเจ้าเป็นอาหารของศัตรูของเจ้าอีก และบรรดาบุตรชายของคนต่างด้าวจะไม่ดื่มน้ำองุ่นของเจ้า ซึ่งเจ้าตรากตรำได้มานั้น
พคค 2.3 พระองค์ได้ทรงตัดบรรดาเขาแห่งอิสราเอลให้ขาดสิ้นไปด้วยพระพิโรธอันรุนแรงของพระองค์ พระองค์ทรงดึงพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์กลับมาเสียจากเขาต่อหน้าศัตรู และพระองค์ทรงเผาผลาญคนยาโคบดุจเพลิงลุกโพลงไหม้ไปรอบๆ
พคค 2.4 พระองค์ทรงโก่งธนูของพระองค์อย่างศัตรู ทรงยกพระหัตถ์เบื้องขวาทีท่าปัจจามิตร และได้ทรงประหารบรรดาคนที่ตาของเราจะอวดได้นั้นเสียในกระโจมของธิดาแห่งศิโยน พระองค์ได้ทรงระบายพระพิโรธของพระองค์ออกมาดุจเพลิง
อสค 1.10 สัณฐานหน้าของสิ่งที่มีชีวิตอยู่ทั้งสี่มีหน้าเหมือนหน้าคน ทั้งสี่มีหน้าสิงโตอยู่ด้านขวา ทั้งสี่มีหน้าวัวอยู่ด้านซ้าย ทั้งสี่มีหน้านกอินทรีด้วย
อสค 4.6 และเมื่อเจ้ากระทำเช่นนี้ครบวันแล้ว เจ้าจะต้องนอนลงเป็นครั้งที่สอง แต่นอนตะแคงข้างขวา และเจ้าจะแบกความชั่วช้าของวงศ์วานยูดาห์ เรากำหนดให้เจ้าสี่สิบวันวันแทนปี
อสค 10.3 ฝ่ายเหล่าเครูบนั้นยืนที่ด้านขวาของพระนิเวศ ขณะเมื่อชายคนนั้นเข้าไป และเมฆก็คลุมอยู่เต็มลานชั้นใน
อสค 16.46 และพี่สาวของเจ้าคือสะมาเรีย ผู้อยู่กับบุตรสาวเหนือเจ้าทางด้านซ้าย และน้องสาวของเจ้า ผู้อยู่ทางด้านขวาของเจ้า คือโสโดมกับลูกสาวของเธอ
อสค 21.16 รวมกันเข้ามา ไปทางขวาเรียงแถว แล้วไปทางซ้าย ไม่ว่าหน้าของเจ้ามุ่งไปทางไหน
อสค 21.22 ในมือข้างขวา ท่านมีสลากเยรูซาเล็ม เพื่อตั้งเครื่องทะลวง เพื่อจะให้อ้าปากในการฆ่า เพื่อส่งเสียงตะโกน เพื่อวางเครื่องทะลวงกำแพงเข้าที่ประตูเมือง เพื่อก่อเชิงเทินและก่อกำแพงล้อม
อสค 47.1 ภายหลังท่านก็นำข้าพเจ้ากลับมาที่ประตูพระนิเวศ และดูเถิด มีน้ำไหลออกมาจากใต้ธรณีประตูพระนิเวศตรงไปทางทิศตะวันออก เพราะพระนิเวศหันหน้าไปทางทิศตะวันออก และน้ำไหลลงมาจากข้างล่าง ทางด้านขวาของพระนิเวศ ทิศใต้ของแท่นบูชา
อสค 47.2 แล้วท่านจึงนำข้าพเจ้าออกมาทางประตูเหนือ และนำข้าพเจ้าอ้อมไปภายนอกถึงประตูชั้นนอก ซึ่งหันหน้าไปทางตะวันออก และดูเถิด น้ำนั้นออกมาทางด้านขวา
ฮบก 2.16 เจ้าจะอิ่มไปด้วยความอับอาย ไม่ใช่อิ่มด้วยสง่าราศี เจ้าดื่มเองซิ แล้วให้เหมือนผู้ชายที่มิได้เข้าสุหนัต ถ้วยซึ่งอยู่ในพระหัตถ์ขวาของพระเยโฮวาห์จะเวียนมาถึงเจ้า แล้วความอับอายจะพ่นเหนือสง่าราศีของเจ้า
ศคย 4.3 และมีต้นมะกอกเทศสองต้นอยู่ข้างๆ อยู่ข้างขวาชามนั้นต้นหนึ่ง อยู่ข้างซ้ายต้นหนึ่ง”
ศคย 4.11 แล้วข้าพเจ้าจึงถามท่านว่า “ต้นมะกอกเทศสองต้นที่อยู่ข้างขวาและข้างซ้ายของเชิงเทียนนั้นคืออะไร”
ศคย 11.17 วิบัติแก่เมษบาลผู้ไร้ค่าของเรา ผู้ที่ทอดทิ้งฝูงแพะแกะเสีย ขอให้ดาบฟันแขนของเขาและฟันตาขวาของเขาเถิด ขอให้แขนของเขาลีบไปเสีย และให้ตาขวาของเขาบอดทีเดียว”
ศคย 12.6 ในวันนั้นเราจะกระทำให้หัวหน้าคนยูดาห์ทั้งหลายเหมือนหม้อร้อนแดงอยู่ท่ามกลางกองฟืน เหมือนคบเพลิงสว่างอยู่ท่ามกลางฟ่อนข้าว และเขาจะเผาผลาญบรรดาชนชาติทั้งหลายที่อยู่ล้อมรอบไปทางขวาและไปทางซ้ายเสีย ฝ่ายเยรูซาเล็มจะมีคนอาศัยอยู่ในที่เดิมนั้นเอง คือเยรูซาเล็ม
มธ 5.29 ถ้าตาข้างขวาของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงควักออกและโยนมันทิ้งเสียจากท่าน เพราะว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านมากกว่าที่จะเสียอวัยวะไปอย่างหนึ่ง แต่ทั้งตัวของท่านไม่ต้องถูกทิ้งลงในนรก
มธ 5.30 และถ้ามือข้างขวาของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงตัดออกและโยนมันทิ้งเสียจากท่าน เพราะว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านมากกว่าที่จะเสียอวัยวะไปอย่างหนึ่ง แต่ทั้งตัวของท่านไม่ต้องถูกทิ้งลงในนรก
มธ 5.39 ฝ่ายเราบอกท่านว่า อย่าต่อสู้คนชั่ว ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน ก็จงหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาด้วย
มธ 20.21 พระองค์จึงทรงถามนางนั้นว่า “ท่านปรารถนาอะไร” นางทูลพระองค์ว่า “ขอทรงโปรดอนุญาตให้บุตรชายของข้าพระองค์สองคนนี้นั่งในราชอาณาจักรของพระองค์ เบื้องขวาพระหัตถ์คนหนึ่ง เบื้องซ้ายคนหนึ่ง”
มธ 20.23 พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านจะดื่มจากถ้วยของเรา และรับบัพติศมาด้วยบัพติศมาที่เราจะรับก็จริง แต่ซึ่งจะนั่งข้างขวาและข้างซ้ายของเรานั้น ไม่ใช่พนักงานของเราที่จะมอบให้ แต่พระบิดาของเราได้ทรงเตรียมไว้สำหรับผู้ใด ก็จะให้แก่ผู้นั้น”
มธ 25.33 และพระองค์จะทรงจัดฝูงแกะให้อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ แต่ฝูงแพะนั้นจะทรงจัดให้อยู่เบื้องซ้าย
มธ 25.34 ขณะนั้น พระมหากษัตริย์จะตรัสแก่บรรดาผู้ที่อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ว่า ‘ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา จงมารับเอาราชอาณาจักรซึ่งได้ตระเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลกเป็นมรดก
มธ 26.64 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ท่านว่าถูกแล้ว และยิ่งกว่านั้นอีก เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในเวลาเบื้องหน้านั้น ท่านทั้งหลายจะได้เห็นบุตรมนุษย์นั่งข้างขวาพระหัตถ์ของผู้ทรงฤทธานุภาพ และเสด็จมาบนเมฆแห่งฟ้าสวรรค์”
มธ 27.29 เมื่อพวกเขาเอาหนามสานเป็นมงกุฎ เขาก็สวมพระเศียรของพระองค์ แล้วเอาไม้อ้อให้ถือไว้ในพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ และเขาได้คุกเข่าลงต่อพระพักตร์พระองค์ เยาะเย้ยพระองค์ว่า “กษัตริย์ของพวกยิวเจ้าข้า ขอทรงพระเจริญ”
มธ 27.38 คราวนั้นมีโจรสองคนถูกตรึงไว้พร้อมกับพระองค์ ข้างขวาพระหัตถ์คนหนึ่ง ข้างซ้ายอีกคนหนึ่ง
มก 10.37 เขาจึงทูลตอบพระองค์ว่า “เมื่อพระองค์จะทรงสง่าราศีนั้น ขอให้ข้าพระองค์นั่งที่เบื้องขวาพระหัตถ์คนหนึ่ง เบื้องซ้ายพระหัตถ์คนหนึ่ง”
มก 10.40 แต่ที่จะนั่งข้างขวาและข้างซ้ายของเรานั้น ไม่ใช่พนักงานของเราที่จะจัดให้ แต่ได้ทรงเตรียมไว้สำหรับผู้ใดก็จะให้แก่ผู้นั้น”
มก 14.62 พระเยซูทรงตอบว่า “เราเป็น และท่านทั้งหลายจะได้เห็นบุตรมนุษย์นั่งข้างขวาของผู้ทรงฤทธานุภาพ และเสด็จมาในเมฆแห่งฟ้าสวรรค์”
มก 15.27 เขาเอาโจรสองคนตรึงไว้พร้อมกับพระองค์ ข้างขวาพระหัตถ์คนหนึ่ง และข้างซ้ายอีกคนหนึ่ง
มก 16.5 ครั้นเขาเข้าไปในอุโมงค์แล้ว ได้เห็นหนุ่มคนหนึ่งนุ่งห่มผ้ายาวสีขาวนั่งอยู่ข้างขวา ผู้หญิงนั้นก็ตกตะลึง
มก 16.19 ครั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งเขาแล้ว พระองค์ทรงถูกรับขึ้นไปในสวรรค์ ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า
ลก 1.11 ทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏแก่เศคาริยาห์ ยืนอยู่ที่ข้างขวาแท่นเผาเครื่องหอมบูชา
ลก 22.50 และมีคนหนึ่งในเหล่าสาวก ได้ฟันผู้รับใช้คนหนึ่งของมหาปุโรหิต ถูกหูข้างขวาของเขาขาด
ลก 22.69 แต่ตั้งแต่นี้ไปบุตรมนุษย์จะนั่งข้างขวาของพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ”
ลก 23.33 เมื่อมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่า กะโหลกศีรษะ เขาก็ตรึงพระองค์ไว้ที่กางเขนที่นั่น พร้อมกับผู้ร้ายสองคนนั้น ข้างขวาพระหัตถ์คนหนึ่ง และข้างซ้ายอีกคนหนึ่ง
ยน 18.10 ซีโมนเปโตรมีดาบ จึงชักออกและฟันผู้รับใช้คนหนึ่งของมหาปุโรหิต ถูกหูข้างขวาขาดไป ชื่อของผู้รับใช้คนนั้นคือมัลคัส
ยน 21.6 พระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “จงทอดอวนลงทางด้านขวาเรือเถิด แล้วจะได้ปลาบ้าง” เขาจึงทอดอวนลงและได้ปลาเป็นอันมากจนลากอวนขึ้นไม่ได้
กจ 2.33 เหตุฉะนั้นเมื่อพระหัตถ์เบื้องขวาของพระเจ้าได้ทรงตั้งพระองค์ขึ้น และครั้นพระองค์ได้ทรงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์จากพระบิดาตามพระสัญญา พระองค์ได้ทรงเทฤทธิ์เดชนี้ลงมา ดังที่ท่านทั้งหลายได้ยินและเห็นแล้ว
กจ 5.31 พระเจ้าได้ทรงตั้งพระองค์ไว้ด้วยพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ให้เป็นเจ้าชาย และองค์พระผู้ช่วยให้รอด เพื่อจะให้ชนอิสราเอลกลับใจใหม่ แล้วจะทรงโปรดยกความผิดบาปของเขา
กจ 7.55 ฝ่ายสเทเฟนประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้เขม้นดูสวรรค์เห็นสง่าราศีของพระเจ้า และพระเยซูทรงยืนอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า
กจ 7.56 แล้วท่านได้กล่าวว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าเห็นท้องฟ้าแหวกเป็นช่อง และบุตรมนุษย์ยืนอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า”
กจ 21.3 ครั้นแลเห็นเกาะไซปรัสแล้ว เราก็ผ่านเกาะนั้นไปข้างขวา แล่นไปยังแคว้นซีเรีย จอดเรือที่ท่าเมืองไทระ เพราะจะเอาของบรรทุกขึ้นท่าที่นั่น
รม 8.34 ใครเล่าจะเป็นผู้ปรับโทษอีก ก็คือพระคริสต์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว และยิ่งกว่านั้นอีกได้ทรงคืนพระชนม์ ทรงสถิต ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า และทรงอธิษฐานขอเพื่อเราทั้งหลายด้วย
อฟ 1.20 ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำในพระคริสต์ เมื่อทรงบันดาลให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย และให้สถิตเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์เองในสวรรคสถาน
คส 3.1 ถ้าท่านรับการทรงชุบให้เป็นขึ้นมาด้วยกันกับพระคริสต์แล้ว ก็จงแสวงหาสิ่งซึ่งอยู่เบื้องบนในที่ซึ่งพระคริสต์ทรงประทับข้างขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า
ฮบ 1.3 พระบุตรทรงเป็นแสงสะท้อนสง่าราศีของพระเจ้า และทรงมีสภาวะเป็นพิมพ์เดียวกันกับพระองค์ และทรงผดุงสรรพสิ่งไว้โดยพระดำรัสอันทรงฤทธิ์ของพระองค์ เมื่อพระบุตรได้ทรงชำระบาปของเราด้วยพระองค์เองแล้ว ก็ได้ทรงประทับนั่ง ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของผู้ทรงเดชานุภาพเบื้องบน
ฮบ 8.1 บัดนี้ ในเรื่องที่เราพูดมาแล้วนั้น ข้อสรุปนั้นคือว่า เรามีมหาปุโรหิตอย่างนี้เอง ผู้ได้ประทับเบื้องขวาพระที่นั่งแห่งผู้ทรงเดชานุภาพในฟ้าสวรรค์
ฮบ 10.12 ฝ่ายพระองค์นี้ ครั้นทรงถวายเครื่องบูชาเพราะความบาปเพียงหนเดียวซึ่งใช้ได้เป็นนิตย์ ก็เสด็จประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า
ฮบ 12.2 หมายเอาพระเยซูเป็นผู้ริเริ่มความเชื่อ และผู้ทรงทำให้ความเชื่อของเราสำเร็จ เพราะเห็นแก่ความยินดีที่มีอยู่ตรงหน้านั้น พระองค์ได้ทรงทนเอากางเขน ทรงถือว่าความละอายไม่เป็นสิ่งสำคัญอะไร และได้เสด็จประทับเบื้องขวาพระที่นั่งของพระเจ้าแล้ว
1ปต 3.22 พระองค์ได้เสด็จเข้าในสวรรค์แล้ว และสถิตอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า พวกทูตสวรรค์และผู้มีอำนาจและผู้มีฤทธิ์เดชทั้งหลาย ทรงมอบไว้ให้อยู่ใต้อำนาจของพระองค์แล้ว
วว 1.16 พระองค์ทรงถือดวงดาวเจ็ดดวงไว้ในพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ และมีพระแสงสองคมที่คมกริบออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ และสีพระพักตร์ของพระองค์ดุจดังดวงอาทิตย์ที่ฉายแสงด้วยฤทธานุภาพของพระองค์
วว 1.17 เมื่อข้าพเจ้าได้เห็นพระองค์ ข้าพเจ้าก็ล้มลงแทบพระบาทของพระองค์เหมือนกับคนที่ตายแล้ว แต่พระองค์ทรงแตะตัวข้าพเจ้าด้วยพระหัตถ์เบื้องขวา แล้วตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า “อย่ากลัวเลย เราเป็นเบื้องต้นและเป็นเบื้องปลาย
วว 1.20 ส่วนความลึกลับของดาวทั้งเจ็ดดวงซึ่งเจ้าได้เห็นในมือข้างขวาของเรา และแห่งคันประทีปทองคำทั้งเจ็ดนั้น ก็คือ ดาวทั้งเจ็ดดวงได้แก่ทูตสวรรค์ของคริสตจักรทั้งเจ็ด และคันประทีปเจ็ดคันซึ่งเจ้าได้เห็นแล้วนั้นได้แก่คริสตจักรทั้งเจ็ด”
วว 2.1 “จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองเอเฟซัสว่า ‘พระองค์ผู้ทรงถือดาวทั้งเจ็ดไว้ในพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ และดำเนินอยู่ท่ามกลางคันประทีปทองคำทั้งเจ็ดนั้นตรัสดังนี้ว่า
วว 5.1 และในพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ผู้ทรงประทับบนพระที่นั่งนั้น ข้าพเจ้าได้เห็นหนังสือม้วนหนึ่งเขียนไว้ทั้งข้างในและข้างนอก มีตราประทับอยู่เจ็ดดวง
วว 5.7 และพระเมษโปดกนั้นได้เข้ามารับม้วนหนังสือจากพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ ผู้ทรงประทับบนพระที่นั่งนั้น
วว 10.2 ท่านถือหนังสือเล็กๆม้วนหนึ่งซึ่งคลี่อยู่ในมือของท่าน ท่านวางเท้าขวาของท่านบนทะเล และเท้าซ้ายของท่านบนบก

ขวาง ( 2 )
สดด 32.9 อย่าเป็นเหมือนม้าหรือล่อที่ปราศจากความเข้าใจ ซึ่งต้องติดเหล็กขวางปากและบังเหียน มิฉะนั้นมันก็จะเข้ามาหาเจ้า
ลก 16.26 นอกจากนั้น ระหว่างพวกเรากับพวกเจ้ามีเหวใหญ่ตั้งขวางอยู่ เพื่อว่าถ้าผู้ใดปรารถนาจะข้ามไปจากที่นี่ถึงเจ้าก็ไม่ได้ หรือถ้าจะข้ามจากที่นั่นมาถึงเราก็ไม่ได้’

ขว้าง ( 60 )
อพย 8.26 โมเสสทูลว่า “การกระทำเช่นนั้นหาควรไม่ เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายจะต้องถวายเครื่องบูชาซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเกลียดสำหรับชาวอียิปต์แด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ ดูเถิด ข้าพระองค์ทั้งหลายจะถวายเครื่องบูชาซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเกลียดสำหรับชาวอียิปต์ต่อหน้าต่อตาเขา แล้วเขาจะไม่เอาก้อนหินขว้างข้าพระองค์ทั้งหลายหรอกหรือ
อพย 17.4 โมเสสจึงร้องทูลพระเยโฮวาห์ว่า “ข้าพระองค์จะทำอย่างไรกับชนชาตินี้ดี เขาเกือบจะเอาหินขว้างข้าพระองค์ให้ตายอยู่แล้ว”
อพย 19.13 อย่าใช้มือฆ่าผู้นั้นเลย ให้เอาหินขว้างหรือยิงเสีย จะเป็นสัตว์ก็ดีหรือเป็นมนุษย์ก็ดี อย่าไว้ชีวิต’ เมื่อได้ยินเสียงแตรเป่ายาว ให้เขาทั้งหลายมายังภูเขานั้น”
อพย 21.18 ถ้ามีผู้วิวาทกัน และฝ่ายหนึ่งเอาหินขว้างหรือชก แต่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ถึงแก่ความตาย เพียงแต่เจ็บป่วยต้องนอนพัก
อพย 21.28 ถ้าวัวขวิดชายหรือหญิงถึงตายจงเอาหินขว้างวัวนั้นให้ตายเป็นแน่ และอย่ากินเนื้อของมันเลย แต่เจ้าของวัวตัวนั้นไม่มีโทษ
อพย 21.29 แต่ถ้าวัวนั้นเคยขวิดคนมาก่อน และมีผู้มาเตือนให้เจ้าของทราบ แต่เจ้าของมิได้กักขังมันไว้ มันจึงได้ขวิดชายหรือหญิงถึงตาย ให้เอาหินขว้างวัวนั้นเสียให้ตายและให้ลงโทษเจ้าของถึงตายด้วย
อพย 21.32 ถ้าวัวนั้นขวิดทาสชายหญิงของผู้ใด เจ้าของวัวต้องให้เงินแก่นายของทาสนั้นสามสิบเชเขล แล้วต้องเอาหินขว้างวัวนั้นให้ตายเสียด้วย
ลนต 20.2 “จงกล่าวแก่คนอิสราเอลซ้ำอีกว่า คนอิสราเอลคนใดหรือคนต่างด้าวคนใดที่อาศัยอยู่ในอิสราเอล ผู้ที่มอบเชื้อสายของตนให้แก่พระโมเลค ผู้นั้นต้องมีโทษถึงตายเป็นแน่ ให้ประชาชนแห่งแผ่นดินเอาหินขว้างเขาเสียให้ตาย
ลนต 20.27 ชายหรือหญิงคนใดที่เป็นคนทรงหรือพ่อมดแม่มด จะต้องมีโทษถึงตายเป็นแน่ จงเอาหินขว้างให้ตาย ให้โลหิตของผู้นั้นตกอยู่บนผู้นั้นเอง”
ลนต 24.14 “จงนำผู้ที่แช่งด่านั้นออกมาจากค่าย ให้บรรดาผู้ที่ได้ยินคำแช่งด่าเอามือของตนวางไว้บนศีรษะของเขา และให้บรรดาชุมนุมชนเอาหินขว้างเขาให้ตาย
ลนต 24.16 ผู้ใดที่เหยียดหยามพระนามของพระเยโฮวาห์จะต้องถูกโทษถึงตายเป็นแน่ และให้ชุมนุมชนทั้งหมดเอาหินขว้างเขา คนต่างด้าวหรือชาวเมืองก็ดี เมื่อเขาเหยียดหยามพระนามของพระเยโฮวาห์ จะต้องถูกโทษถึงตาย
ลนต 24.23 โมเสสก็บอกแก่คนอิสราเอลให้เขาพาคนที่แช่งด่านั้นออกมาจากค่าย และเอาหินขว้างเขา คนอิสราเอลกระทำดังนี้ตามที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาโมเสสไว้
กดว 14.10 แต่ชุมนุมชนทั้งหมดนั้นพูดกันว่าให้เอาก้อนหินขว้างเขาเสีย ขณะนั้นสง่าราศีของพระเยโฮวาห์ปรากฏที่พลับพลาแห่งชุมนุมต่อหน้าบรรดาคนอิสราเอล
กดว 15.35 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “ชายผู้นั้นต้องถูกโทษถึงตายเป็นแน่ ชุมนุมชนทั้งหมดต้องเอาหินขว้างเขาที่นอกค่าย”
กดว 15.36 และชุมนุมชนทั้งหมดจึงพาเขามานอกค่าย และเอาหินขว้างเขาจนตาย ตามที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาโมเสส
กดว 35.20 แต่ถ้าผู้ใดแทงเขาด้วยความเกลียดชัง หรือซุ่มคอยขว้างเขาจนเขาตาย
กดว 35.22 แต่ถ้าผู้ใดโดยมิได้เป็นศัตรูกันแทงเขาทันที หรือเอาอะไรขว้างเขาโดยมิได้คอยซุ่มดักอยู่
กดว 35.23 หรือใช้ก้อนหินขนาดฆ่าคนได้ขว้างถูกเขาเข้าโดยมิได้เห็น และเขาถึงตาย และเขามิได้เป็นศัตรู และมิได้มุ่งทำร้ายเขา
พบญ 13.10 ท่านจงเอาหินขว้างเขาให้ตาย เพราะเขาแสวงหาช่องที่จะพาท่านไปจากพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ผู้ทรงพาท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ออกจากเรือนทาส
พบญ 17.5 ท่านจงนำชายหรือหญิงผู้กระทำสิ่งที่ชั่วร้ายนั้นมาที่ประตูเมือง และท่านจงเอาหินขว้างชายหรือหญิงนั้นเสียให้ตาย
พบญ 21.21 แล้วบรรดาผู้ชายในเมืองนั้นจะเอาหินขว้างเขาให้ตาย ดังนั้นท่านจะได้กำจัดความชั่วเสียจากท่ามกลางท่าน คนอิสราเอลทั้งปวงจะได้ยินและยำเกรง
พบญ 22.21 เขาจะพาหญิงสาวนั้นออกมานอกประตูเรือนบิดาของเธอ แล้วพวกผู้ชายในเมืองของเธอจะเอาหินขว้างเธอให้ตาย เพราะเธอได้กระทำความโง่เขลาในอิสราเอล คือเป็นหญิงโสเภณีในเรือนของบิดา ดังนี้แหละท่านจะกำจัดความชั่วออกจากท่ามกลางท่าน
พบญ 22.24 ท่านจงพาเขาทั้งสองออกไปยังประตูเมืองนั้น และท่านจงขว้างเขาทั้งสองด้วยหินให้ตายเสีย หญิงสาวคนนั้นเพราะมิได้ร้องโวยวายขึ้นแม้ว่าจะอยู่ในเมือง ชายคนนั้นเพราะว่าเขาได้หยามเกียรติภรรยาของเพื่อนบ้าน ดังนี้แหละท่านทั้งหลายจะขจัดความชั่วเสียจากท่ามกลางท่าน
ยชว 7.25 และโยชูวากล่าวว่า “ทำไมเจ้าจึงนำความยากร้ายมาให้เรา พระเยโฮวาห์จะทรงนำความยากร้ายมาถึงเจ้าในวันนี้” และบรรดาคนอิสราเอลก็เอาหินขว้างเขาให้ตาย เผาเขาทั้งหลายด้วยไฟ เมื่อขว้างเขาด้วยก้อนหินแล้ว
1ซมอ 30.6 และดาวิดก็เป็นทุกข์หนักเพราะประชาชนพูดกันว่าจะขว้างท่านเสียด้วยก้อนหินด้วยจิตใจของประชาชนต่างก็ขมขื่นมาก เพราะบุตรชายและบุตรสาวของเขา แต่ดาวิดก็มีกำลังขึ้นในพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน
2ซมอ 16.6 และเอาหินขว้างดาวิดและขว้างบรรดาข้าราชการของกษัตริย์ดาวิด พวกพลและชายฉกรรจ์ทั้งสิ้นก็อยู่ข้างขวาและข้างซ้ายของพระองค์
1พกษ 12.18 แล้วกษัตริย์เรโหโบอัมทรงใช้อาโดรัมนายงานเหนือแรงงานเกณฑ์ไป และอิสราเอลทั้งปวงก็เอาหินขว้างท่านถึงตาย แล้วกษัตริย์เรโหโบอัมก็ทรงรีบขึ้นรถรบของพระองค์ ทรงหนีไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
1พกษ 21.10 และตั้งคนอันธพาลสองคนให้นั่งตรงข้ามกับเขา ให้ฟ้องเขาว่า ‘เจ้าได้แช่งพระเจ้าและกษัตริย์’ แล้วพาเขาออกไปและเอาหินขว้างเสียให้ตาย”
1พกษ 21.13 และคนอันธพาลสองคนนั้นก็เข้ามา นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา และคนอันธพาลนั้นได้ฟ้องนาโบทต่อหน้าประชาชนกล่าวว่า “นาโบทได้แช่งพระเจ้าและกษัตริย์” เขาทั้งหลายจึงพานาโบทออกไปนอกเมือง และขว้างเขาถึงตายด้วยก้อนหิน
1พกษ 21.14 แล้วเขาก็ส่งข่าวไปทูลเยเซเบลว่า “นาโบทถูกขว้างด้วยหิน เขาตายแล้ว”
1พกษ 21.15 อยู่มาพอเยเซเบลทรงได้ยินว่านาโบทถูกขว้างด้วยหินตายแล้ว เยเซเบลจึงทูลอาหับว่า “ขอเชิญเสด็จลุกขึ้น ไปยึดสวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอล ซึ่งเขาได้ปฏิเสธไม่ขายให้แก่พระองค์ เพราะว่านาโบทไม่อยู่ เขาตายเสียแล้ว”
2พศด 10.18 แล้วกษัตริย์เรโหโบอัมทรงใช้ฮาโดรัมนายงานเหนือแรงงานเกณฑ์ไป และประชาชนอิสราเอลก็เอาหินขว้างท่านถึงตาย แล้วกษัตริย์เรโหโบอัมก็ทรงรีบขึ้นรถรบของพระองค์ ทรงหนีไปกรุงเยรูซาเล็ม
2พศด 24.21 แต่เขาทั้งหลายคิดร้ายต่อท่าน และโดยบัญชาของกษัตริย์เขาทั้งหลายจึงขว้างท่านด้วยหินในลานพระนิเวศของพระเยโฮวาห์
อสย 22.18 และม้วนเจ้า และขว้างเจ้าไปอย่างลูกบอลล์ยังแผ่นดินกว้างเจ้าจะตายที่นั่น และที่นั่นจะมีรถรบอันตระการของเจ้า เจ้าผู้เป็นที่อดสูแก่เรือนนายของเจ้า
อสค 16.40 เขาทั้งหลายจะนำฝูงคนมาต่อสู้เจ้า และเขาจะขว้างเจ้าด้วยก้อนหินและฟันเจ้าด้วยดาบของเขา
อสค 23.47 และกองทัพจะเอาหินขว้างเธอ และฆ่าเธอเสียด้วยดาบ เขาจะฆ่าบุตรชายหญิงของเธอ และเผาเรือนทั้งหลายของเธอเสียด้วยไฟ
มธ 21.35 และคนเช่าสวนนั้นจับพวกผู้รับใช้ของเขา เฆี่ยนตีเสียคนหนึ่ง ฆ่าเสียคนหนึ่ง เอาหินขว้างเสียให้ตายคนหนึ่ง
มธ 23.37 โอ เยรูซาเล็มๆ ที่ได้ฆ่าบรรดาศาสดาพยากรณ์ และเอาหินขว้างผู้ที่ได้รับใช้มาหาเจ้าถึงตาย เราใคร่จะรวบรวมลูกของเจ้าไว้เนืองๆ เหมือนแม่ไก่กกลูกอยู่ใต้ปีกของมัน แต่เจ้าไม่ยอมเลยหนอ
มก 12.4 อีกครั้งหนึ่งเจ้าของสวนใช้ผู้รับใช้อีกคนหนึ่งไปหาคนเช่าสวน คนเช่าสวนนั้นก็เอาหินขว้างผู้รับใช้นั้นศีรษะแตก และไล่ให้กลับไปอย่างน่าอัปยศ
ลก 13.34 โอ เยรูซาเล็มๆ ที่ได้ฆ่าบรรดาศาสดาพยากรณ์และเอาหินขว้างผู้ที่ได้รับใช้มาหาเจ้าให้ถึงตาย เราใคร่จะรวบรวมลูกของเจ้าไว้เนืองๆ เหมือนแม่ไก่กกลูกอยู่ใต้ปีกของมัน แต่เจ้าไม่ยอมเลยหนอ
ลก 20.6 แต่ถ้าเราจะว่า ‘มาจากมนุษย์’ คนทั้งปวงก็จะเอาหินขว้างเรา เพราะเขาทั้งหลายถือกันว่ายอห์นเป็นศาสดาพยากรณ์”
ลก 22.41 แล้วพระองค์ดำเนินไปจากเขาไกลประมาณขว้างหินตกและทรงคุกเข่าลงอธิษฐาน
ยน 8.5 ในพระราชบัญญัตินั้นโมเสสสั่งให้เราเอาหินขว้างคนเช่นนี้ให้ตาย ส่วนท่านจะว่าอย่างไรในเรื่องนี้”
ยน 8.7 และเมื่อพวกเขายังทูลถามพระองค์อยู่เรื่อยๆ พระองค์ก็ทรงลุกขึ้นและตรัสกับเขาว่า “ผู้ใดในพวกท่านที่ไม่มีบาป ก็ให้ผู้นั้นเอาหินขว้างเขาก่อน”
ยน 8.59 คนเหล่านั้นจึงหยิบก้อนหินจะขว้างพระองค์ แต่พระเยซูทรงหลบและเสด็จออกไปจากพระวิหาร เสด็จผ่านท่ามกลางเขาเหล่านั้น
ยน 10.31 พวกยิวจึงหยิบก้อนหินขึ้นมาอีกจะขว้างพระองค์ให้ตาย
ยน 10.32 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “เราได้สำแดงให้ท่านเห็นการดีหลายประการซึ่งมาจากพระบิดาของเรา ท่านทั้งหลายหยิบก้อนหินจะขว้างเราให้ตายเพราะการกระทำข้อใดเล่า”
ยน 10.33 พวกยิวทูลตอบพระองค์ว่า “เราจะขว้างท่านมิใช่เพราะการกระทำดี แต่เพราะการพูดหมิ่นประมาท เพราะท่านเป็นเพียงมนุษย์แต่ตั้งตัวเป็นพระเจ้า”
ยน 11.8 พวกสาวกทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า เมื่อเร็วๆนี้พวกยิวหาโอกาสเอาหินขว้างพระองค์ให้ตาย แล้วพระองค์ยังจะเสด็จไปที่นั่นอีกหรือ”
กจ 5.26 แล้วนายทหารรักษาพระวิหารกับพวกเจ้าพนักงานจึงได้ไปพาพวกอัครสาวกมาโดยดี เพราะกลัวว่าคนทั้งปวงจะเอาหินขว้าง
กจ 7.58 แล้วขับไล่ท่านออกจากกรุงและเอาหินขว้าง ฝ่ายคนที่เป็นพยานปรักปรำสเทเฟนได้ฝากเสื้อผ้าของตนวางไว้ที่เท้าของชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อเซาโล
กจ 7.59 เขาจึงเอาหินขว้างสเทเฟนเมื่อกำลังอ้อนวอนพระเจ้าอยู่ว่า “ข้าแต่พระเยซูเจ้า ขอทรงโปรดรับจิตวิญญาณของข้าพระองค์ด้วย”
กจ 14.5 เมื่อทั้งคนต่างชาติและพวกยิวพร้อมกับพวกผู้ปกครอง ได้ร่วมคิดกันจะทำการอัปยศ และเอาก้อนหินขว้างเปาโลกับบารนาบัส
กจ 14.19 แต่มีพวกยิวบางคนมาจากเมืองอันทิโอกและเมืองอิโคนียูม เมื่อได้ชักชวนประชาชนแล้ว เขาก็ได้เอาหินขว้างเปาโลและลากท่านออกไปจากเมืองคิดว่าท่านตายแล้ว
2คร 11.25 เขาตีข้าพเจ้าด้วยไม้เรียวสามครั้ง เขาเอาก้อนหินขว้างข้าพเจ้าครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าเผชิญภัยเรือแตกสามครั้ง ข้าพเจ้าลอยอยู่ในทะเลคืนหนึ่งกับวันหนึ่ง
ฮบ 11.37 บางคนถูกหินขว้าง บางคนก็ถูกเลื่อยเป็นท่อนๆ บางคนถูกทดลอง บางคนก็ถูกฆ่าด้วยดาบ บางคนเที่ยวสัญจรไปนุ่งห่มหนังแกะและหนังแพะ อดอยาก ทนทุกข์เวทนาและทนการเคี่ยวเข็ญ
ฮบ 12.20 (เพราะว่าข้อความที่ทรงบัญญัติไว้นั้นเขาทนไม่ได้ คือที่ว่า “แม้แต่สัตว์ถ้าแตะต้องภูเขานั้นก็จะต้องถูกขว้างด้วยก้อนหินให้ตาย หรือแทงทะลุด้วยแหลนให้ตาย”
วว 14.19 ทูตสวรรค์นั้นก็ตวัดเคียวบนแผ่นดินโลก และเก็บเกี่ยวผลองุ่นแห่งแผ่นดินโลก และขว้างลงไปในบ่อย่ำองุ่นอันใหญ่แห่งพระพิโรธของพระเจ้า

ขวาน ( 22 )
พบญ 19.5 อาทิเช่น ชายคนหนึ่งเข้าไปในป่าพร้อมกับเพื่อนบ้านของเขาเพื่อจะตัดไม้ เมื่อเขาเหวี่ยงขวานเพื่อจะโค่นต้นไม้ลง หัวขวานหลุดจากด้ามถูกเพื่อนบ้านของเขาและคนนั้นก็ถึงตาย ก็ให้เขาหนีไปยังเมืองเหล่านี้เมืองใดเมืองหนึ่งและรอดตายได้
พบญ 20.19 เมื่อท่านล้อมหัวเมืองหนึ่งอยู่ช้านาน เพื่อจะสู้รบเอาหัวเมืองนั้น อย่าใช้ขวานฟันทำลายต้นไม้ของเมืองนั้นเสีย เพราะท่านทั้งหลายจะรับประทานผลจากต้นไม้นั้น อย่าโค่นลงเพื่อใช้ในการล้อมเมืองนั้นเลย (เพราะต้นไม้ในทุ่งนาเป็นชีวิตมนุษย์)
วนฉ 9.48 อาบีเมเลคก็ขึ้นไปบนภูเขาศัลโมน ทั้งท่านกับบรรดาคนที่อยู่ด้วย อาบีเมเลคถือขวานตัดกิ่งไม้ใส่บ่าแบกมา ท่านจึงบอกคนที่อยู่ด้วยว่า “เจ้าเห็นข้าทำอะไร จงรีบไปทำอย่างข้าเถิด”
1ซมอ 13.20 แต่คนอิสราเอลทุกคนลงไปยังฟีลิสเตียเพื่อลับเหล็กไถ ผาล ขวานและจอบของเขา
1ซมอ 13.21 แต่พวกเขาคิดค่าลับสำหรับลับจอบ ผาล สามง่าม ขวาน และติดประตัก
2ซมอ 12.31 ทรงควบคุมประชาชนที่อยู่ในเมืองนั้นให้ทำงานด้วยเลื่อย คราดเหล็กและขวานเหล็กและบังคับให้ทำงานที่เตาเผาอิฐ ได้ทรงกระทำเช่นนี้แก่บรรดาหัวเมืองของคนอัมโมนทั่วไป แล้วดาวิดก็เสด็จกลับไปกรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับพลทั้งสิ้น
1พกษ 6.7 เมื่อกำลังสร้าง พระนิเวศนั้นก็สร้างด้วยศิลา ซึ่งเตรียมมาจากบ่อศิลา เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้ยินเสียงค้อนหรือขวานหรือเครื่องมือเหล็กใดๆในพระนิเวศ ขณะเมื่อทำการก่อสร้าง
2พกษ 6.5 ขณะที่คนหนึ่งฟันไม้อยู่ หัวขวานของเขาตกลงไปในน้ำ และเขาร้องขึ้นว่า “อนิจจา นายครับ ขวานนั้นผมขอยืมเขามา”
2พกษ 6.6 แล้วคนแห่งพระเจ้าถามว่า “ขวานนั้นตกที่ไหน” เมื่อเขาชี้ที่ให้ท่านแล้ว ท่านก็ตัดไม้อันหนึ่งทิ้งลงไปที่นั่น ทำให้ขวานเหล็กนั้นลอยขึ้นมา
1พศด 20.3 พระองค์ทรงนำประชาชนที่อยู่ในเมืองนั้นออกมา ตั้งเขาให้ทำงานหนักอยู่กับเลื่อยและเหล็กขุดและขวาน และดาวิดทรงกระทำเช่นนั้นแก่หัวเมืองทั้งสิ้นของคนอัมโมน แล้วดาวิดกับประชาชนทั้งปวงก็กลับสู่เยรูซาเล็ม
สดด 35.3 ขอทรงเตรียมหอกและขวานศึกสู้ผู้ข่มเหงข้าพระองค์ ขอตรัสกับจิตใจของข้าพระองค์ว่า “เราเป็นผู้ช่วยให้รอดของเจ้า”
สดด 74.5 คนหนึ่งคนใดจะมีชื่อเสียงเหมือนคนยกขวานขึ้นเหนือพุ่มต้นไม้
สดด 74.6 แต่บัดนี้บรรดาไม้ที่แกะสลักทั้งสิ้นเขาก็พังลงมาเสียด้วยขวานและค้อน
ปญจ 10.10 ถ้าขวานทื่อแล้ว และเขาไม่ลับให้คม เขาก็ต้องออกแรงมากกว่า แต่สติปัญญาจะช่วยให้บรรลุความสำเร็จ
อสย 10.15 ขวานจะคุยข่มคนที่ใช้มันสกัดนั้นหรือ หรือเลื่อยจะทะนงตัวเหนือผู้ที่ใช้มันเลื่อยนั้นหรือ เหมือนกับว่าตะบองจะยกผู้ซึ่งถือมันขึ้นตี หรืออย่างไม้พลองจะยกตัวขึ้นเหมือนกับว่ามันไม่ทำด้วยไม้
อสย 10.34 พระองค์จะทรงใช้ขวานเหล็กฟันป่าทึบ และเลบานอนจะล้มลงโดยคนมีอำนาจใหญ่โต
ยรม 10.3 เพราะธรรมเนียมของชนชาติทั้งหลายก็ไร้สาระ เขาตัดต้นไม้มาจากป่าต้นหนึ่ง เป็นสิ่งที่มือช่างได้กระทำด้วยขวาน
ยรม 46.22 เธอทำเสียงเหมือนงูที่กำลังเลื้อยออกไป เพราะศัตรูของเธอจะเดินกระบวนเข้ามาด้วยกำลังทัพ และมาสู้กับเธอด้วยขวาน เหมือนอย่างคนเหล่านั้นที่โค่นต้นไม้
อสค 26.9 ท่านจะตั้งเครื่องทะลวงต่อสู้กับกำแพงของเจ้า และท่านจะเอาขวานของท่านฟันหอคอยของเจ้าลง
มธ 3.10 บัดนี้ขวานวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้ว ดังนั้นทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีจะต้องตัดแล้วโยนทิ้งในกองไฟ
ลก 3.9 บัดนี้ขวานวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้ว และทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีจะต้องตัดเสียแล้วโยนทิ้งในกองไฟ”

ขวามือ ( 28 )
ปฐก 13.9 แผ่นดินทั้งหมดอยู่ตรงหน้าเจ้ามิใช่หรือ โปรดจงแยกไปจากเราเถิด ถ้าเจ้าไปทางซ้ายมือเราจะไปทางขวามือ หรือถ้าเจ้าไปทางขวามือเราจะไปทางซ้ายมือ”
กดว 20.17 ขอให้เรายกผ่านเขตแดนของท่าน เราจะไม่ผ่านไร่นาหรือสวนองุ่นของท่าน เราจะไม่ดื่มน้ำจากบ่อ เราจะเดินไปตามทางหลวง เราจะไม่หันไปทางขวามือหรือทางซ้ายมือ จนกว่าเราจะผ่านพ้นเขตแดนของท่าน”
พบญ 2.27 ‘ขอให้ข้าพเจ้าเดินข้ามแผ่นดินของท่าน ข้าพเจ้าจะเดินไปตามทางหลวง จะไม่เลี้ยวไปทางขวามือหรือซ้ายมือเลย
พบญ 5.32 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงระวังที่จะกระทำดังที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายได้ทรงบัญชาไว้นั้น ท่านทั้งหลายอย่าหันไปทางขวามือหรือทางซ้ายเลย
พบญ 17.11 ท่านจงกระทำตามคำแนะนำจากพระราชบัญญัติซึ่งเขาให้แก่ท่าน และกระทำตามคำตัดสินซึ่งเขาได้สั่งท่าน ท่านทั้งหลายอย่าหันเหไปจากคำตัดสินซึ่งเขาชี้แจงแก่ท่าน อย่าหันไปทางขวามือหรือซ้ายมือ
พบญ 17.20 เพื่อว่าจิตใจของเขาจะมิได้พองขึ้นสูงกว่าพี่น้องของตน และเพื่อเขาเองจะมิได้หันเหจากพระบัญญัติไปทางขวามือหรือทางซ้ายมือ เพื่อเขาจะได้ปกครองราชอาณาจักรของเขาอยู่ได้นาน ทั้งตนเองและลูกหลานของตนในอิสราเอล”
พบญ 28.14 และท่านจะไม่หันเหไปจากถ้อยคำซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ โดยหันไปทางขวามือหรือทางซ้าย ไปติดตามปรนนิบัติพระอื่น
ยชว 1.7 เพียงแต่จงเข้มแข็งและกล้าหาญยิ่งเถิด ระวังที่จะกระทำตามพระราชบัญญัติทั้งหมดซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของเราได้บัญชาเจ้าไว้นั้น อย่าหลีกเลี่ยงจากพระราชบัญญัตินั้นไปทางขวามือหรือทางซ้าย เพื่อว่าเจ้าจะไปในถิ่นฐานใด เจ้าจะได้รับความสำเร็จอย่างดี
ยชว 23.6 เพราะฉะนั้นจงมีความกล้าในการที่จะรักษาและกระทำตามสิ่งสารพัดซึ่งเขียนไว้ในหนังสือพระราชบัญญัติของโมเสส เพื่อจะไม่ได้หันไปทางขวามือหรือทางซ้ายมือ
2ซมอ 2.19 และอาสาเฮลก็ไล่ตามอับเนอร์ไป เมื่อตามไปนั้นก็มิได้เลี้ยวทางขวามือหรือทางซ้ายมือจากการไล่ตามอับเนอร์
2พกษ 22.2 และพระองค์ได้ทรงกระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์ และทรงดำเนินในมรรคาทั้งสิ้นของดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ และมิได้ทรงหันไปทางขวามือหรือซ้ายมือ
1พศด 6.39 กับอาสาฟพี่น้องของเขา ผู้ซึ่งยืนอยู่ข้างขวามือของเขา คืออาสาฟบุตรชายเบเรคิยาห์ ผู้เป็นบุตรชายชิเมอา
2พศด 34.2 พระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์ และดำเนินในมรรคาของดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ และพระองค์มิได้ทรงเอนเอียงไปทางขวามือหรือทางซ้าย
นหม 8.4 เอสราธรรมาจารย์ยืนอยู่บนแท่นไม้ ซึ่งเขาทำไว้เพื่อการนี้ ข้างๆท่านมีมัททีธิยาห์ เชมา อานายาห์ อุรีอาห์ ฮิลคียาห์และมาอาสอาห์ยืนอยู่ข้างขวามือของท่าน กับมีเปดายาห์ มิชาเอล มัลคิยาห์ ฮาชูม ฮัชบัดดานาห์ เศคาริยาห์และเมชุลลามอยู่ข้างซ้ายมือของท่าน
โยบ 23.9 ข้างซ้ายมือที่พระองค์ทรงกระทำกิจ ข้าก็ไม่เห็นพระองค์ ข้างขวามือพระองค์ทรงซ่อนอยู่ ข้าหาพระองค์ไม่พบ
โยบ 30.12 คนหนุ่มลุกขึ้นข้างขวามือของข้า เขาผลักดันเท้าของข้าออกไป เขาเหวี่ยงทางแห่งความพินาศไว้ต่อสู้ข้า
สดด 109.31 เพราะพระองค์จะทรงประทับขวามือของคนขัดสน เพื่อทรงช่วยเขาให้พ้นจากคนที่ปรับโทษจิตใจเขานั้น
สดด 110.1 พระเยโฮวาห์ตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า “จงนั่งที่ขวามือของเรา จนกว่าเราจะกระทำให้ศัตรูของเจ้าเป็นแท่นรองเท้าของเจ้า”
สดด 121.5 พระเยโฮวาห์ทรงเป็นผู้อารักขาท่าน พระเยโฮวาห์ทรงเป็นที่กำบังที่ข้างขวามือของท่าน
สดด 142.4 ข้าพระองค์มองทางขวามือและมองดู แต่ไม่มีใครยอมรู้จักข้าพระองค์ ข้าพระองค์ไม่มีที่หลบภัย ไม่มีใครเอาใจใส่จิตใจข้าพระองค์
ปญจ 10.2 จิตใจของคนที่มีสติปัญญาย่อมอยู่ที่ข้างขวามือของตน แต่จิตใจของคนเขลาย่อมอยู่ที่ข้างมือซ้ายของตัว
ศคย 3.1 แล้วท่านได้แสดงให้ข้าพเจ้าเห็นโยชูวามหาปุโรหิต ซึ่งยืนอยู่หน้าทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ และซาตานยืนอยู่ข้างขวามือของท่าน จะขัดขวางท่าน
มธ 22.44 ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า จงนั่งที่ขวามือของเรา จนกว่าเราจะกระทำให้ศัตรูของท่านเป็นแท่นรองเท้าของท่าน’
มก 12.36 ด้วยว่าดาวิดเองทรงกล่าวโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า จงนั่งที่ขวามือของเรา จนกว่าเราจะกระทำให้ศัตรูของท่านเป็นแท่นรองเท้าของท่าน’
ลก 20.42 ด้วยว่าท่านดาวิดเองได้กล่าวไว้ในหนังสือสดุดีว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า จงนั่งที่ขวามือของเรา
กจ 2.34 เหตุว่าท่านดาวิดไม่ได้ขึ้นไปยังสวรรค์ แต่ท่านได้กล่าวว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า จงนั่งที่ขวามือของเรา
ฮบ 1.13 แต่แก่ทูตสวรรค์องค์ใดเล่าที่พระองค์ได้ตรัสในเวลาใดว่า ‘จงนั่งที่ขวามือของเรา จนกว่าเราจะกระทำให้ศัตรูของท่านเป็นแท่นรองเท้าของท่าน’

ขวิด ( 11 )
อพย 21.28 ถ้าวัวขวิดชายหรือหญิงถึงตายจงเอาหินขว้างวัวนั้นให้ตายเป็นแน่ และอย่ากินเนื้อของมันเลย แต่เจ้าของวัวตัวนั้นไม่มีโทษ
อพย 21.29 แต่ถ้าวัวนั้นเคยขวิดคนมาก่อน และมีผู้มาเตือนให้เจ้าของทราบ แต่เจ้าของมิได้กักขังมันไว้ มันจึงได้ขวิดชายหรือหญิงถึงตาย ให้เอาหินขว้างวัวนั้นเสียให้ตายและให้ลงโทษเจ้าของถึงตายด้วย
อพย 21.31 หากวัวนั้นขวิดบุตรชายและบุตรสาว ก็จงปรับโทษตามคำตัดสินข้อนี้ดุจกัน
อพย 21.32 ถ้าวัวนั้นขวิดทาสชายหญิงของผู้ใด เจ้าของวัวต้องให้เงินแก่นายของทาสนั้นสามสิบเชเขล แล้วต้องเอาหินขว้างวัวนั้นให้ตายเสียด้วย
อพย 21.35 ถ้าวัวของผู้ใดขวิดวัวของผู้อื่นให้ตาย เขาต้องขายวัวที่เป็นอยู่แล้วมาแบ่งเงินกัน และวัวที่ตายนั้นให้แบ่งกันด้วย
อพย 21.36 หรือถ้ารู้แล้วว่าวัวนั้นเคยขวิดมาก่อน แต่เจ้าของมิได้กักขังไว้ เจ้าของต้องใช้วัวแทนวัว และวัวที่ตายนั้นก็ตกเป็นของตัว”
ดนล 8.4 ข้าพเจ้าเห็นแกะผู้นั้นขวิดไปทางตะวันตก และทางเหนือและทางใต้ ไม่มีสัตว์ตัวใดต้านทานมันได้ และไม่มีใครที่จะช่วยให้พ้นจากมือของมันได้ มันทำตามชอบใจของมันและก็พองตัวขึ้น
ศคย 1.19 ข้าพเจ้าจึงถามทูตสวรรค์ที่สนทนาอยู่กับข้าพเจ้าว่า “เหล่านี้คืออะไร” ท่านจึงตอบข้าพเจ้าว่า “เหล่านี้คือเขาที่ขวิดยูดาห์ อิสราเอลและเยรูซาเล็ม ให้กระจัดกระจายไป”
ศคย 1.21 และข้าพเจ้าจึงถามว่า “คนเหล่านี้มาทำอะไรกัน” พระองค์ทรงตอบว่า “เขาเหล่านี้มาขวิดยูดาห์ให้กระจัดกระจายไป จนไม่มีผู้ใดยกศีรษะขึ้นได้อีก และช่างเหล่านี้มากระทำให้เขาหวาดกลัว เพื่อจะเหวี่ยงลงซึ่งเขาแห่งประชาชาติ ที่ยกเขาของตนมาขวิดแผ่นดินยูดาห์กระทำให้กระจัดกระจายไป”

ขอ ( 2351 )
ปฐก 14.19; ปฐก 14.21; ปฐก 16.2; ปฐก 16.5; ปฐก 17.18; ปฐก 18.3; ปฐก 18.4; ปฐก 18.5; ปฐก 18.25; ปฐก 18.30; ปฐก 18.32; ปฐก 19.2; ปฐก 19.7; ปฐก 19.8; ปฐก 20.13; ปฐก 21.30; ปฐก 23.4; ปฐก 23.6; ปฐก 23.8; ปฐก 23.9; ปฐก 23.11; ปฐก 23.13; ปฐก 23.15; ปฐก 24.12; ปฐก 24.14; ปฐก 24.17; ปฐก 24.23; ปฐก 24.43; ปฐก 24.45; ปฐก 24.49; ปฐก 24.54; ปฐก 24.55; ปฐก 24.56; ปฐก 24.60; ปฐก 25.30; ปฐก 26.28; ปฐก 27.13; ปฐก 27.28; ปฐก 27.29; ปฐก 27.31; ปฐก 27.34; ปฐก 27.38; ปฐก 28.3; ปฐก 28.4; ปฐก 29.21; ปฐก 29.27; ปฐก 30.1; ปฐก 30.14; ปฐก 30.25; ปฐก 30.26; ปฐก 31.16; ปฐก 31.35; ปฐก 32.11; ปฐก 32.29; ปฐก 33.10; ปฐก 33.11; ปฐก 33.14; ปฐก 33.15; ปฐก 34.4; ปฐก 34.8; ปฐก 34.12; ปฐก 34.23; ปฐก 37.32; ปฐก 38.18; ปฐก 38.25; ปฐก 40.8; ปฐก 40.12; ปฐก 40.14; ปฐก 40.18; ปฐก 41.33; ปฐก 41.34; ปฐก 41.55; ปฐก 43.8; ปฐก 43.9; ปฐก 43.14; ปฐก 43.29; ปฐก 44.18; ปฐก 44.33; ปฐก 45.9; ปฐก 47.4; ปฐก 47.15; ปฐก 47.19; ปฐก 47.25; ปฐก 47.29; ปฐก 48.9; ปฐก 48.15; ปฐก 48.16; ปฐก 48.18; ปฐก 48.20; ปฐก 49.26; ปฐก 50.4; ปฐก 50.5; ปฐก 50.17; อพย 3.18; อพย 3.22; อพย 4.13; อพย 4.18; อพย 5.3; อพย 5.8; อพย 5.17; อพย 5.21; อพย 8.8; อพย 8.29; อพย 9.28; อพย 10.7; อพย 10.17; อพย 11.2; อพย 11.8; อพย 12.35; อพย 12.36; อพย 18.15; อพย 18.19; อพย 26.6; อพย 26.11; อพย 26.32; อพย 26.33; อพย 26.37; อพย 27.10; อพย 27.11; อพย 27.17; อพย 32.1; อพย 32.12; อพย 32.13; อพย 32.23; อพย 32.32; อพย 33.13; อพย 33.15; อพย 33.18; อพย 34.9; อพย 36.13; อพย 36.18; อพย 36.36; อพย 38.10; อพย 38.11; อพย 38.12; อพย 38.17; อพย 38.19; อพย 38.28; อพย 39.33; กดว 5.21; กดว 5.22; กดว 6.24; กดว 6.25; กดว 6.26; กดว 10.31; กดว 10.35; กดว 10.36; กดว 11.13; กดว 11.15; กดว 11.28; กดว 12.11; กดว 12.12; กดว 12.13; กดว 14.9; กดว 14.17; กดว 14.19; กดว 16.15; กดว 20.17; กดว 20.19; กดว 21.7; กดว 21.22; กดว 22.6; กดว 22.11; กดว 22.16; กดว 22.17; กดว 22.19; กดว 23.10; กดว 24.9; กดว 27.4; กดว 27.16; กดว 32.5; พบญ 1.11; พบญ 2.27; พบญ 2.28; พบญ 3.25; พบญ 4.26; พบญ 6.3; พบญ 8.19; พบญ 9.14; พบญ 9.26; พบญ 9.27; พบญ 21.8; พบญ 26.15; พบญ 30.18; พบญ 30.19; พบญ 32.1; พบญ 32.2; พบญ 33.6; พบญ 33.7; พบญ 33.8; พบญ 33.11; พบญ 33.13; พบญ 33.16; พบญ 33.24; พบญ 33.25; ยชว 1.17; ยชว 1.18; ยชว 2.12; ยชว 2.13; ยชว 9.6; ยชว 9.11; ยชว 9.14; ยชว 10.4; ยชว 10.6; ยชว 14.12; ยชว 15.18; ยชว 15.19; ยชว 19.50; ยชว 22.19; ยชว 22.22; ยชว 22.23; ยชว 22.29; ยชว 24.16; วนฉ 1.14; วนฉ 1.15; วนฉ 1.24; วนฉ 4.19; วนฉ 4.20; วนฉ 5.3; วนฉ 5.25; วนฉ 5.31; วนฉ 6.17; วนฉ 6.18; วนฉ 6.39; วนฉ 6.40; วนฉ 8.5; วนฉ 8.22; วนฉ 8.24; วนฉ 8.26; วนฉ 9.2; วนฉ 9.7; วนฉ 9.20; วนฉ 9.32; วนฉ 10.15; วนฉ 11.13; วนฉ 11.17; วนฉ 11.19; วนฉ 11.27; วนฉ 11.36; วนฉ 11.37; วนฉ 12.5; วนฉ 13.8; วนฉ 13.12; วนฉ 13.15; วนฉ 14.2; วนฉ 14.3; วนฉ 15.2; วนฉ 15.12; วนฉ 16.6; วนฉ 16.10; วนฉ 16.18; วนฉ 16.26; วนฉ 16.28; วนฉ 16.30; วนฉ 17.2; วนฉ 18.14; วนฉ 19.8; วนฉ 19.9; วนฉ 19.20; วนฉ 19.23; วนฉ 19.24; วนฉ 20.3; วนฉ 21.18; วนฉ 21.22; นรธ 1.8; นรธ 1.9; นรธ 1.16; นรธ 1.17; นรธ 1.20; นรธ 2.2; นรธ 2.4; นรธ 2.7; นรธ 2.8; นรธ 2.12; นรธ 2.13; นรธ 2.19; นรธ 2.20; นรธ 3.9; นรธ 3.10; นรธ 4.4; นรธ 4.11; นรธ 4.12; นรธ 4.14; 1ซมอ 1.16; 1ซมอ 1.17; 1ซมอ 1.18; 1ซมอ 1.20; 1ซมอ 1.23; 1ซมอ 1.27; 1ซมอ 2.15; 1ซมอ 2.16; 1ซมอ 2.20; 1ซมอ 2.25; 1ซมอ 2.30; 1ซมอ 2.36; 1ซมอ 3.9; 1ซมอ 3.10; 1ซมอ 3.17; 1ซมอ 3.18; 1ซมอ 4.3; 1ซมอ 6.2; 1ซมอ 6.3; 1ซมอ 6.21; 1ซมอ 7.8; 1ซมอ 8.5; 1ซมอ 8.6; 1ซมอ 8.7; 1ซมอ 8.9; 1ซมอ 9.6; 1ซมอ 9.18; 1ซมอ 10.15; 1ซมอ 10.19; 1ซมอ 10.24; 1ซมอ 11.1; 1ซมอ 11.3; 1ซมอ 12.3; 1ซมอ 12.7; 1ซมอ 12.10; 1ซมอ 12.17; 1ซมอ 12.19; 1ซมอ 12.23; 1ซมอ 13.3; 1ซมอ 13.12; 1ซมอ 14.40; 1ซมอ 14.41; 1ซมอ 14.44; 1ซมอ 14.45; 1ซมอ 15.1; 1ซมอ 15.13; 1ซมอ 15.16; 1ซมอ 15.25; 1ซมอ 15.30; 1ซมอ 16.5; 1ซมอ 16.16; 1ซมอ 17.10; 1ซมอ 18.17; 1ซมอ 19.2; 1ซมอ 19.4; 1ซมอ 20.2; 1ซมอ 20.5; 1ซมอ 20.6; 1ซมอ 20.7; 1ซมอ 20.8; 1ซมอ 20.13; 1ซมอ 20.14; 1ซมอ 20.15; 1ซมอ 20.16; 1ซมอ 20.21; 1ซมอ 20.28; 1ซมอ 20.42; 1ซมอ 21.3; 1ซมอ 21.4; 1ซมอ 21.9; 1ซมอ 22.3; 1ซมอ 22.15; 1ซมอ 23.11; 1ซมอ 23.20; 1ซมอ 23.21; 1ซมอ 23.27; 1ซมอ 24.6; 1ซมอ 24.10; 1ซมอ 24.11; 1ซมอ 24.12; 1ซมอ 24.15; 1ซมอ 24.19; 1ซมอ 25.8; 1ซมอ 25.17; 1ซมอ 25.22; 1ซมอ 25.24; 1ซมอ 25.25; 1ซมอ 25.26; 1ซมอ 25.27; 1ซมอ 25.31; 1ซมอ 25.33; 1ซมอ 26.8; 1ซมอ 26.9; 1ซมอ 26.11; 1ซมอ 26.19; 1ซมอ 26.20; 1ซมอ 26.22; 1ซมอ 26.24; 1ซมอ 26.25; 1ซมอ 27.5; 1ซมอ 28.8; 1ซมอ 28.15; 1ซมอ 28.22; 1ซมอ 29.4; 1ซมอ 29.7; 1ซมอ 29.10; 1ซมอ 30.7; 1ซมอ 30.15; 2ซมอ 1.4; 2ซมอ 1.21; 2ซมอ 2.5; 2ซมอ 2.6; 2ซมอ 2.7; 2ซมอ 2.14; 2ซมอ 3.9; 2ซมอ 3.12; 2ซมอ 3.13; 2ซมอ 3.14; 2ซมอ 3.29; 2ซมอ 3.35; 2ซมอ 3.39; 2ซมอ 7.3; 2ซมอ 7.25; 2ซมอ 7.26; 2ซมอ 7.29; 2ซมอ 10.12; 2ซมอ 12.28; 2ซมอ 13.5; 2ซมอ 13.6; 2ซมอ 13.7; 2ซมอ 13.12; 2ซมอ 13.13; 2ซมอ 13.24; 2ซมอ 13.26; 2ซมอ 13.32; 2ซมอ 13.33; 2ซมอ 14.2; 2ซมอ 14.4; 2ซมอ 14.9; 2ซมอ 14.11; 2ซมอ 14.12; 2ซมอ 14.17; 2ซมอ 14.18; 2ซมอ 14.32; 2ซมอ 15.6; 2ซมอ 15.7; 2ซมอ 15.20; 2ซมอ 15.21; 2ซมอ 15.26; 2ซมอ 15.31; 2ซมอ 15.34; 2ซมอ 16.4; 2ซมอ 16.9; 2ซมอ 16.16; 2ซมอ 16.18; 2ซมอ 16.19; 2ซมอ 17.1; 2ซมอ 17.11; 2ซมอ 17.21; 2ซมอ 18.3; 2ซมอ 18.12; 2ซมอ 18.19; 2ซมอ 18.22; 2ซมอ 18.23; 2ซมอ 18.32; 2ซมอ 19.7; 2ซมอ 19.11; 2ซมอ 19.13; 2ซมอ 19.14; 2ซมอ 19.19; 2ซมอ 19.27; 2ซมอ 19.37; 2ซมอ 20.16; 2ซมอ 20.17; 2ซมอ 20.18; 2ซมอ 20.20; 2ซมอ 21.6; 2ซมอ 21.17; 2ซมอ 22.50; 2ซมอ 23.17; 2ซมอ 24.3; 2ซมอ 24.10; 2ซมอ 24.13; 2ซมอ 24.14; 2ซมอ 24.17; 2ซมอ 24.18; 2ซมอ 24.22; 2ซมอ 24.23; 2ซมอ 24.24; 1พกษ 1.2; 1พกษ 1.12; 1พกษ 1.13; 1พกษ 1.25; 1พกษ 1.31; 1พกษ 1.34; 1พกษ 1.36; 1พกษ 1.37; 1พกษ 1.39; 1พกษ 1.47; 1พกษ 1.51; 1พกษ 2.16; 1พกษ 2.17; 1พกษ 2.20; 1พกษ 2.21; 1พกษ 2.22; 1พกษ 2.23; 1พกษ 3.5; 1พกษ 3.9; 1พกษ 3.10; 1พกษ 3.11; 1พกษ 3.13; 1พกษ 3.26; 1พกษ 5.6; 1พกษ 5.9; 1พกษ 8.25; 1พกษ 8.26; 1พกษ 8.28; 1พกษ 8.30; 1พกษ 8.32; 1พกษ 8.34; 1พกษ 8.36; 1พกษ 8.39; 1พกษ 8.43; 1พกษ 8.45; 1พกษ 8.49; 1พกษ 8.50; 1พกษ 8.52; 1พกษ 8.57; 1พกษ 8.59; 1พกษ 8.61; 1พกษ 10.13; 1พกษ 11.21; 1พกษ 11.22; 1พกษ 12.4; 1พกษ 12.9; 1พกษ 12.10; 1พกษ 13.6; 1พกษ 14.6; 1พกษ 14.7; 1พกษ 14.12; 1พกษ 15.19; 1พกษ 17.10; 1พกษ 17.11; 1พกษ 17.21; 1พกษ 18.19; 1พกษ 18.23; 1พกษ 18.26; 1พกษ 18.36; 1พกษ 18.37; 1พกษ 18.41; 1พกษ 18.44; 1พกษ 19.4; 1พกษ 19.20; 1พกษ 20.7; 1พกษ 20.8; 1พกษ 20.10; 1พกษ 20.11; 1พกษ 20.22; 1พกษ 20.23; 1พกษ 20.24; 1พกษ 20.31; 1พกษ 20.32; 1พกษ 20.34; 1พกษ 20.35; 1พกษ 20.37; 1พกษ 21.3; 1พกษ 21.15; 1พกษ 22.5; 1พกษ 22.6; 1พกษ 22.8; 1พกษ 22.12; 1พกษ 22.13; 1พกษ 22.15; 1พกษ 22.19; 1พกษ 22.28; 1พกษ 22.49; 2พกษ 1.10; 2พกษ 1.12; 2พกษ 1.13; 2พกษ 1.14; 2พกษ 2.2; 2พกษ 2.4; 2พกษ 2.6; 2พกษ 2.9; 2พกษ 2.10; 2พกษ 2.16; 2พกษ 3.15; 2พกษ 4.10; 2พกษ 4.22; 2พกษ 4.28; 2พกษ 5.6; 2พกษ 5.7; 2พกษ 5.8; 2พกษ 5.10; 2พกษ 5.15; 2พกษ 5.17; 2พกษ 5.18; 2พกษ 5.22; 2พกษ 5.23; 2พกษ 6.2; 2พกษ 6.3; 2พกษ 6.9; 2พกษ 6.17; 2พกษ 6.18; 2พกษ 6.20; 2พกษ 6.22; 2พกษ 6.26; 2พกษ 6.31; 2พกษ 7.1; 2พกษ 7.13; 2พกษ 8.3; 2พกษ 8.5; 2พกษ 9.12; 2พกษ 9.15; 2พกษ 10.5; 2พกษ 11.12; 2พกษ 12.15; 2พกษ 13.15; 2พกษ 13.16; 2พกษ 13.17; 2พกษ 13.18; 2พกษ 14.8; 2พกษ 16.7; 2พกษ 18.14; 2พกษ 18.26; 2พกษ 19.4; 2พกษ 19.16; 2พกษ 19.19; 2พกษ 19.28; 2พกษ 20.3; 2พกษ 20.16; 2พกษ 22.7; 1พศด 4.10; 1พศด 11.19; 1พศด 12.17; 1พศด 16.35; 1พศด 17.2; 1พศด 17.23; 1พศด 17.24; 1พศด 17.27; 1พศด 19.13; 1พศด 21.3; 1พศด 21.8; 1พศด 21.12; 1พศด 21.13; 1พศด 21.17; 1พศด 21.23; 1พศด 22.11; 1พศด 22.12; 1พศด 22.16; 1พศด 28.2; 1พศด 29.18; 1พศด 29.19; 2พศด 1.7; 2พศด 1.9; 2พศด 1.10; 2พศด 1.11; 2พศด 2.3; 2พศด 2.7; 2พศด 2.8; 2พศด 2.15; 2พศด 6.16; 2พศด 6.17; 2พศด 6.19; 2พศด 6.21; 2พศด 6.23; 2พศด 6.25; 2พศด 6.27; 2พศด 6.30; 2พศด 6.33; 2พศด 6.35; 2พศด 6.39; 2พศด 6.40; 2พศด 6.41; 2พศด 6.42; 2พศด 9.12; 2พศด 10.4; 2พศด 10.9; 2พศด 10.10; 2พศด 13.4; 2พศด 13.12; 2พศด 14.11; 2พศด 15.2; 2พศด 16.3; 2พศด 18.4; 2พศด 18.5; 2พศด 18.7; 2พศด 18.11; 2พศด 18.12; 2พศด 18.14; 2พศด 18.18; 2พศด 18.27; 2พศด 19.11; 2พศด 20.15; 2พศด 23.11; 2พศด 24.22; 2พศด 25.7; 2พศด 26.18; 2พศด 28.11; 2พศด 28.16; 2พศด 29.5; 2พศด 30.18; 2พศด 33.12; 2พศด 35.21; 2พศด 36.23; อสร 1.3; อสร 1.4; อสร 4.11; อสร 4.12; อสร 4.13; อสร 4.16; อสร 4.17; อสร 4.22; อสร 5.7; อสร 5.8; อสร 5.17; อสร 6.12; อสร 7.6; อสร 7.12; อสร 7.24; อสร 8.17; อสร 8.21; อสร 10.3; อสร 10.4; อสร 10.14; นหม 1.6; นหม 1.8; นหม 1.11; นหม 2.3; นหม 2.4; นหม 2.5; นหม 2.7; นหม 4.4; นหม 4.5; นหม 4.22; นหม 5.2; นหม 5.11; นหม 5.13; นหม 5.19; นหม 6.2; นหม 6.7; นหม 6.9; นหม 6.14; นหม 9.32; นหม 13.14; นหม 13.22; นหม 13.29; นหม 13.31; อสธ 1.19; อสธ 2.2; อสธ 2.3; อสธ 2.4; อสธ 2.15; อสธ 3.9; อสธ 5.4; อสธ 5.8; อสธ 5.14; อสธ 6.8; อสธ 6.9; อสธ 7.3; อสธ 7.7; อสธ 8.3; อสธ 8.5; อสธ 9.13; โยบ 1.11; โยบ 2.5; โยบ 3.3; โยบ 3.4; โยบ 3.5; โยบ 3.6; โยบ 3.7; โยบ 3.8; โยบ 3.9; โยบ 6.8; โยบ 6.10; โยบ 6.22; โยบ 6.23; โยบ 6.24; โยบ 6.28; โยบ 6.29; โยบ 7.7; โยบ 9.15; โยบ 9.34; โยบ 10.2; โยบ 10.9; โยบ 10.15; โยบ 10.20; โยบ 12.7; โยบ 13.6; โยบ 13.13; โยบ 13.17; โยบ 13.20; โยบ 13.21; โยบ 13.22; โยบ 13.23; โยบ 14.6; โยบ 16.21; โยบ 21.2; โยบ 21.3; โยบ 21.14; โยบ 22.17; โยบ 22.22; โยบ 27.5; โยบ 27.7; โยบ 31.6; โยบ 31.8; โยบ 31.10; โยบ 31.30; โยบ 31.35; โยบ 31.40; โยบ 32.7; โยบ 32.10; โยบ 33.1; โยบ 33.24; โยบ 33.25; โยบ 33.31; โยบ 33.33; โยบ 34.2; โยบ 34.4; โยบ 34.10; โยบ 34.16; โยบ 34.32; โยบ 36.2; โยบ 37.14; โยบ 38.3; โยบ 40.2; โยบ 40.7; โยบ 42.4; สดด 2.8; สดด 3.8; สดด 4.1; สดด 4.6; สดด 5.1; สดด 5.2; สดด 5.8; สดด 5.10; สดด 6.1; สดด 6.2; สดด 6.4; สดด 6.10; สดด 7.1; สดด 7.5; สดด 7.6; สดด 7.7; สดด 7.8; สดด 7.9; สดด 9.13; สดด 9.19; สดด 9.20; สดด 10.2; สดด 10.12; สดด 10.15; สดด 12.1; สดด 13.3; สดด 14.7; สดด 16.1; สดด 17.1; สดด 17.2; สดด 17.5; สดด 17.6; สดด 17.7; สดด 17.8; สดด 17.13; สดด 17.14; สดด 18.6; สดด 18.49; สดด 19.12; สดด 19.13; สดด 19.14; สดด 20.1; สดด 20.2; สดด 20.3; สดด 20.4; สดด 20.5; สดด 20.9; สดด 21.2; สดด 21.4; สดด 21.13; สดด 22.11; สดด 22.19; สดด 22.20; สดด 22.21; สดด 22.26; สดด 25.2; สดด 25.3; สดด 25.4; สดด 25.5; สดด 25.6; สดด 25.7; สดด 25.11; สดด 25.16; สดด 25.17; สดด 25.18; สดด 25.19; สดด 25.20; สดด 25.21; สดด 25.22; สดด 26.1; สดด 26.2; สดด 26.9; สดด 26.11; สดด 27.4; สดด 27.7; สดด 27.9; สดด 27.11; สดด 27.12; สดด 28.1; สดด 28.2; สดด 28.3; สดด 28.4; สดด 28.9; สดด 30.2; สดด 30.10; สดด 31.1; สดด 31.2; สดด 31.3; สดด 31.4; สดด 31.9; สดด 31.15; สดด 31.16; สดด 31.17; สดด 31.18; สดด 31.22; สดด 33.22; สดด 34.8; สดด 34.17; สดด 35.1; สดด 35.2; สดด 35.3; สดด 35.4; สดด 35.5; สดด 35.6; สดด 35.8; สดด 35.17; สดด 35.19; สดด 35.22; สดด 35.23; สดด 35.24; สดด 35.26; สดด 35.27; สดด 36.10; สดด 36.11; สดด 38.1; สดด 38.21; สดด 38.22; สดด 39.4; สดด 39.8; สดด 39.10; สดด 39.12; สดด 39.13; สดด 40.11; สดด 40.13; สดด 40.14; สดด 40.15; สดด 40.16; สดด 40.17; สดด 41.4; สดด 41.10; สดด 43.1; สดด 43.3; สดด 44.4; สดด 44.23; สดด 44.26; สดด 45.3; สดด 45.4; สดด 45.12; สดด 48.11; สดด 51.1; สดด 51.2; สดด 51.7; สดด 51.8; สดด 51.9; สดด 51.10; สดด 51.11; สดด 51.12; สดด 51.14; สดด 51.15; สดด 51.18; สดด 53.6; สดด 54.1; สดด 54.2; สดด 55.1; สดด 55.2; สดด 55.9; สดด 55.15; สดด 56.1; สดด 56.7; สดด 57.1; สดด 57.5; สดด 57.11; สดด 58.6; สดด 58.8; สดด 59.1; สดด 59.2; สดด 59.4; สดด 59.5; สดด 59.11; สดด 59.12; สดด 59.13; สดด 60.1; สดด 60.2; สดด 60.5; สดด 60.11; สดด 61.1; สดด 61.2; สดด 61.7; สดด 64.1; สดด 64.2; สดด 66.16; สดด 67.1; สดด 67.3; สดด 67.4; สดด 67.5; สดด 68.1; สดด 68.2; สดด 68.3; สดด 68.28; สดด 68.30; สดด 69.1; สดด 69.6; สดด 69.13; สดด 69.14; สดด 69.15; สดด 69.16; สดด 69.17; สดด 69.18; สดด 69.22; สดด 69.23; สดด 69.24; สดด 69.25; สดด 69.27; สดด 69.28; สดด 69.29; สดด 69.32; สดด 69.34; สดด 70.1; สดด 70.2; สดด 70.3; สดด 70.4; สดด 70.5; สดด 71.2; สดด 71.3; สดด 71.4; สดด 71.8; สดด 71.9; สดด 71.12; สดด 71.13; สดด 71.18; สดด 72.1; สดด 72.19; สดด 74.2; สดด 74.3; สดด 74.11; สดด 74.18; สดด 74.19; สดด 74.20; สดด 74.21; สดด 74.22; สดด 74.23; สดด 75.1; สดด 79.6; สดด 79.8; สดด 79.9; สดด 79.10; สดด 79.11; สดด 79.12; สดด 80.1; สดด 80.2; สดด 80.3; สดด 80.7; สดด 80.14; สดด 80.17; สดด 80.18; สดด 80.19; สดด 82.8; สดด 83.1; สดด 83.9; สดด 83.11; สดด 83.13; สดด 83.15; สดด 83.17; สดด 84.8; สดด 84.9; สดด 85.4; สดด 85.7; สดด 86.1; สดด 86.2; สดด 86.3; สดด 86.4; สดด 86.6; สดด 86.11; สดด 86.16; สดด 86.17; สดด 88.2; สดด 89.47; สดด 89.50; สดด 90.12; สดด 90.13; สดด 90.14; สดด 90.15; สดด 90.16; สดด 90.17; สดด 94.1; สดด 94.2; สดด 102.1; สดด 102.2; สดด 102.24; สดด 104.35; สดด 106.4; สดด 106.15; สดด 106.47; สดด 106.48; สดด 108.5; สดด 108.6; สดด 108.12; สดด 109.1; สดด 109.6; สดด 109.8; สดด 109.9; สดด 109.10; สดด 109.11; สดด 109.12; สดด 109.13; สดด 109.14; สดด 109.15; สดด 109.17; สดด 109.18; สดด 109.20; สดด 109.21; สดด 109.26; สดด 109.28; สดด 109.29; สดด 115.1; สดด 116.4; สดด 118.19; สดด 118.25; สดด 118.26; สดด 119.5; สดด 119.8; สดด 119.10; สดด 119.12; สดด 119.17; สดด 119.18; สดด 119.19; สดด 119.22; สดด 119.25; สดด 119.26; สดด 119.27; สดด 119.28; สดด 119.29; สดด 119.31; สดด 119.33; สดด 119.34; สดด 119.35; สดด 119.36; สดด 119.37; สดด 119.38; สดด 119.39; สดด 119.40; สดด 119.41; สดด 119.43; สดด 119.49; สดด 119.58; สดด 119.64; สดด 119.66; สดด 119.68; สดด 119.73; สดด 119.76; สดด 119.77; สดด 119.78; สดด 119.79; สดด 119.80; สดด 119.86; สดด 119.88; สดด 119.94; สดด 119.107; สดด 119.108; สดด 119.116; สดด 119.117; สดด 119.121; สดด 119.122; สดด 119.124; สดด 119.125; สดด 119.132; สดด 119.133; สดด 119.134; สดด 119.135; สดด 119.144; สดด 119.145; สดด 119.146; สดด 119.147; สดด 119.149; สดด 119.153; สดด 119.154; สดด 119.156; สดด 119.159; สดด 119.169; สดด 119.170; สดด 119.173; สดด 119.175; สดด 119.176; สดด 120.2; สดด 122.6; สดด 122.7; สดด 123.3; สดด 124.1; สดด 125.4; สดด 126.4; สดด 129.5; สดด 129.8; สดด 130.2; สดด 132.1; สดด 132.8; สดด 132.9; สดด 132.10; สดด 134.3; สดด 137.5; สดด 137.6; สดด 137.7; สดด 138.8; สดด 139.23; สดด 139.24; สดด 140.1; สดด 140.4; สดด 140.6; สดด 140.8; สดด 140.9; สดด 140.10; สดด 140.11; สดด 141.1; สดด 141.2; สดด 141.3; สดด 141.4; สดด 141.5; สดด 141.8; สดด 141.9; สดด 141.10; สดด 142.6; สดด 142.7; สดด 143.1; สดด 143.2; สดด 143.7; สดด 143.8; สดด 143.9; สดด 143.10; สดด 143.11; สดด 143.12; สดด 144.5; สดด 144.6; สดด 144.7; สดด 144.11; สภษ 23.26; สภษ 30.7; สภษ 30.8; พซม 1.2; พซม 1.4; พซม 1.7; พซม 1.9; พซม 2.5; พซม 2.7; พซม 2.14; พซม 2.17; พซม 3.5; พซม 4.16; พซม 5.8; พซม 6.5; พซม 7.8; พซม 7.9; พซม 8.4; พซม 8.13; พซม 8.14; อสย 1.12; อสย 4.1; อสย 5.3; อสย 5.19; อสย 6.8; อสย 7.11; อสย 7.12; อสย 7.13; อสย 14.20; อสย 30.2; อสย 31.1; อสย 33.2; อสย 34.1; อสย 36.11; อสย 37.4; อสย 37.17; อสย 37.20; อสย 37.29; อสย 38.3; อสย 38.14; อสย 39.5; อสย 44.17; อสย 58.2; อสย 63.15; อสย 63.17; อสย 64.9; อสย 65.1; อสย 65.16; อสย 66.5; ยรม 2.27; ยรม 5.13; ยรม 7.16; ยรม 9.4; ยรม 10.24; ยรม 10.25; ยรม 11.5; ยรม 11.20; ยรม 12.1; ยรม 12.3; ยรม 13.18; ยรม 14.7; ยรม 14.9; ยรม 14.17; ยรม 14.20; ยรม 14.21; ยรม 15.15; ยรม 17.14; ยรม 17.17; ยรม 17.18; ยรม 18.19; ยรม 18.20; ยรม 18.21; ยรม 18.22; ยรม 18.23; ยรม 19.3; ยรม 20.12; ยรม 20.14; ยรม 20.15; ยรม 20.16; ยรม 21.2; ยรม 26.15; ยรม 26.19; ยรม 27.18; ยรม 28.6; ยรม 28.7; ยรม 28.15; ยรม 29.12; ยรม 29.22; ยรม 31.7; ยรม 31.18; ยรม 31.23; ยรม 34.4; ยรม 37.3; ยรม 37.20; ยรม 38.4; ยรม 38.14; ยรม 38.20; ยรม 38.26; ยรม 41.8; ยรม 42.2; ยรม 42.3; ยรม 42.5; ยรม 42.15; ยรม 42.20; พคค 1.9; พคค 1.11; พคค 1.18; พคค 1.22; พคค 2.19; พคค 2.20; พคค 3.19; พคค 3.56; พคค 3.59; พคค 3.64; พคค 3.65; พคค 3.66; พคค 4.4; พคค 5.1; พคค 5.21; อสค 14.7; อสค 14.10; อสค 15.3; อสค 36.32; อสค 36.37; อสค 38.19; อสค 44.6; ดนล 1.8; ดนล 1.12; ดนล 2.4; ดนล 2.7; ดนล 2.16; ดนล 2.18; ดนล 2.23; ดนล 2.24; ดนล 2.36; ดนล 2.49; ดนล 3.9; ดนล 3.18; ดนล 4.1; ดนล 4.19; ดนล 4.27; ดนล 4.37; ดนล 5.10; ดนล 5.17; ดนล 6.6; ดนล 6.7; ดนล 6.8; ดนล 6.12; ดนล 6.13; ดนล 6.15; ดนล 6.21; ดนล 9.16; ดนล 9.17; ดนล 9.18; ดนล 9.19; ดนล 10.19; ฮชย 4.12; ฮชย 7.14; ฮชย 9.14; ฮชย 13.10; ฮชย 14.2; ยอล 1.2; ยอล 2.17; ยอล 3.11; อมส 7.2; อมส 7.5; ยนา 1.14; ยนา 4.3; ยนา 4.8; มคา 7.3; มคา 7.14; ฮบก 3.2; ศฟย 3.10; ศคย 7.2; ศคย 8.21; ศคย 8.22; ศคย 8.23; ศคย 10.1; ศคย 11.12; ศคย 11.17; มลค 1.9; มธ 5.42; มธ 6.8; มธ 6.9; มธ 6.10; มธ 6.11; มธ 6.12; มธ 6.13; มธ 7.7; มธ 7.8; มธ 7.9; มธ 7.10; มธ 7.11; มธ 8.8; มธ 8.21; มธ 8.25; มธ 8.31; มธ 8.34; มธ 9.18; มธ 9.27; มธ 11.25; มธ 13.36; มธ 14.7; มธ 14.8; มธ 14.15; มธ 14.28; มธ 14.36; มธ 15.15; มธ 15.22; มธ 15.25; มธ 17.15; มธ 18.19; มธ 18.26; มธ 18.29; มธ 20.20; มธ 20.21; มธ 20.22; มธ 20.30; มธ 20.31; มธ 20.33; มธ 21.9; มธ 21.22; มธ 22.17; มธ 23.39; มธ 24.3; มธ 24.20; มธ 25.8; มธ 25.11; มธ 26.39; มธ 26.53; มธ 27.20; มธ 27.29; มธ 27.58; มธ 27.64; มก 5.7; มก 5.12; มก 5.18; มก 5.23; มก 6.22; มก 6.23; มก 6.24; มก 6.25; มก 6.36; มก 6.56; มก 7.26; มก 7.32; มก 8.11; มก 8.22; มก 9.18; มก 9.22; มก 9.24; มก 10.35; มก 10.37; มก 10.38; มก 10.47; มก 10.48; มก 10.51; มก 11.9; มก 11.24; มก 13.4; มก 13.18; มก 14.36; มก 15.6; มก 15.8; มก 15.11; มก 15.18; มก 15.43; ลก 1.38; ลก 1.63; ลก 3.12; ลก 5.3; ลก 5.8; ลก 6.30; ลก 7.7; ลก 8.28; ลก 8.31; ลก 8.32; ลก 8.38; ลก 9.12; ลก 9.38; ลก 9.40; ลก 9.54; ลก 9.59; ลก 9.61; ลก 10.40; ลก 11.1; ลก 11.2; ลก 11.3; ลก 11.4; ลก 11.5; ลก 11.9; ลก 11.10; ลก 11.11; ลก 11.12; ลก 11.13; ลก 11.16; ลก 12.13; ลก 13.8; ลก 13.25; ลก 13.35; ลก 14.32; ลก 15.12; ลก 15.19; ลก 16.24; ลก 16.27; ลก 17.5; ลก 18.3; ลก 18.13; ลก 18.38; ลก 18.39; ลก 19.38; ลก 20.16; ลก 22.31; ลก 22.42; ลก 23.25; ลก 23.34; ลก 23.42; ลก 23.52; ยน 4.7; ยน 4.9; ยน 4.10; ยน 4.15; ยน 4.49; ยน 11.22; ยน 12.13; ยน 12.27; ยน 12.28; ยน 13.9; ยน 14.8; ยน 14.9; ยน 14.13; ยน 14.14; ยน 14.16; ยน 15.7; ยน 15.16; ยน 16.23; ยน 16.24; ยน 16.26; ยน 17.1; ยน 17.5; ยน 17.11; ยน 17.15; ยน 17.17; ยน 19.3; ยน 19.21; ยน 19.31; ยน 19.38; ยน 20.15; กจ 1.20; กจ 1.24; กจ 2.22; กจ 3.14; กจ 4.19; กจ 4.29; กจ 7.2; กจ 7.40; กจ 7.59; กจ 7.60; กจ 8.19; กจ 8.22; กจ 8.24; กจ 9.2; กจ 10.29; กจ 10.48; กจ 12.20; กจ 13.21; กจ 13.28; กจ 15.29; กจ 16.9; กจ 16.39; กจ 17.19; กจ 18.20; กจ 19.31; กจ 20.24; กจ 21.14; กจ 21.39; กจ 22.1; กจ 23.17; กจ 23.18; กจ 23.20; กจ 24.4; กจ 24.10; กจ 24.14; กจ 24.20; กจ 25.3; กจ 25.11; กจ 25.12; กจ 25.15; กจ 25.21; กจ 26.3; กจ 27.22; กจ 27.34; รม 1.7; รม 1.8; รม 1.10; รม 3.4; รม 3.31; รม 6.2; รม 6.15; รม 7.7; รม 7.13; รม 8.26; รม 8.27; รม 8.34; รม 9.14; รม 10.1; รม 10.12; รม 10.14; รม 11.1; รม 11.9; รม 11.10; รม 11.11; รม 11.36; รม 12.3; รม 14.5; รม 15.5; รม 15.8; รม 15.9; รม 15.13; รม 15.30; รม 15.33; รม 16.1; รม 16.2; รม 16.3; รม 16.4; รม 16.5; รม 16.6; รม 16.7; รม 16.8; รม 16.9; รม 16.10; รม 16.11; รม 16.12; รม 16.13; รม 16.14; รม 16.15; รม 16.16; รม 16.17; รม 16.20; รม 16.22; รม 16.24; รม 16.27; 1คร 1.3; 1คร 1.10; 1คร 3.10; 1คร 4.16; 1คร 6.15; 1คร 7.1; 1คร 7.8; 1คร 7.10; 1คร 7.11; 1คร 7.12; 1คร 7.17; 1คร 7.25; 1คร 10.16; 1คร 11.2; 1คร 11.22; 1คร 11.28; 1คร 15.1; 1คร 15.31; 1คร 16.1; 1คร 16.16; 1คร 16.22; 1คร 16.23; 2คร 1.2; 2คร 1.23; 2คร 2.8; 2คร 6.1; 2คร 6.13; 2คร 7.2; 2คร 8.4; 2คร 8.16; 2คร 9.14; 2คร 10.1; 2คร 11.1; 2คร 11.16; 2คร 12.8; 2คร 12.13; 2คร 12.18; 2คร 13.9; 2คร 13.11; 2คร 13.14; กท 1.3; กท 1.5; กท 2.10; กท 2.17; กท 3.15; กท 4.1; กท 5.2; กท 5.16; กท 5.21; กท 6.17; กท 6.18; อฟ 1.2; อฟ 1.18; อฟ 3.16; อฟ 3.20; อฟ 3.21; อฟ 4.1; อฟ 4.17; อฟ 6.10; อฟ 6.18; อฟ 6.23; อฟ 6.24; ฟป 1.2; ฟป 1.4; ฟป 1.9; ฟป 1.20; ฟป 1.27; ฟป 2.2; ฟป 4.2; ฟป 4.4; ฟป 4.8; ฟป 4.20; ฟป 4.21; ฟป 4.23; คส 1.2; คส 1.9; คส 4.15; คส 4.18; 1ธส 1.1; 1ธส 3.11; 1ธส 3.12; 1ธส 4.1; 1ธส 4.10; 1ธส 4.15; 1ธส 5.12; 1ธส 5.14; 1ธส 5.23; 1ธส 5.28; 2ธส 1.2; 2ธส 2.1; 2ธส 2.16; 2ธส 3.5; 2ธส 3.6; 2ธส 3.16; 2ธส 3.18; 1ทธ 1.2; 1ทธ 2.1; 1ทธ 6.21; 2ทธ 1.2; 2ทธ 1.16; 2ทธ 1.18; 2ทธ 4.16; 2ทธ 4.19; 2ทธ 4.22; ทต 1.4; ทต 3.15; ฟม 1.3; ฟม 1.9; ฟม 1.10; ฟม 1.21; ฟม 1.22; ฟม 1.25; ฮบ 4.14; ฮบ 4.16; ฮบ 10.35; ฮบ 12.19; ฮบ 13.20; ฮบ 13.21; ฮบ 13.22; ฮบ 13.24; ฮบ 13.25; ยก 1.5; ยก 1.6; ยก 2.16; ยก 4.2; ยก 4.3; 1ปต 1.2; 1ปต 1.14; 1ปต 1.17; 1ปต 5.11; 1ปต 5.14; 2ปต 1.2; 2ปต 3.18; 1ยน 3.22; 1ยน 4.7; 1ยน 5.14; 1ยน 5.15; 1ยน 5.16; 2ยน 1.3; 2ยน 1.5; 2ยน 1.10; 2ยน 1.11; 3ยน 1.14; ยด 1.2; ยด 1.9; วว 1.3; วว 1.4; วว 2.24; วว 5.13; วว 10.9; วว 19.7; วว 22.20; วว 22.21

ข้อ ( 108 )
อพย 21.31 หากวัวนั้นขวิดบุตรชายและบุตรสาว ก็จงปรับโทษตามคำตัดสินข้อนี้ดุจกัน
อพย 34.32 แล้วภายหลังคนอิสราเอลทั้งหลายเข้ามาใกล้ โมเสสจึงให้บัญญัติแก่เขาตามที่พระเยโฮวาห์ตรัสแก่ท่านทุกข้อบนภูเขาซีนาย
ลนต 5.1 “ถ้าผู้ใดกระทำความผิดในข้อที่ได้ยินเสียงแห่งการปฏิญาณตัวและเป็นพยาน และแม้ว่าเขาเป็นพยานโดยที่เขาเห็นหรือรู้เรื่องก็ตาม แต่เขาไม่ยอมให้การเป็นพยาน เขาต้องรับโทษความชั่วช้าของเขา
ลนต 6.3 หรือพบสิ่งที่หายไปแล้วแต่ไม่ยอมรับ ปฏิญาณตนเป็นความเท็จ ในข้อเหล่านี้ถ้าผู้ใดกระทำก็เป็นความผิด
พบญ 26.13 แล้วท่านจงทูลต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านว่า ‘ข้าพระองค์ยกส่วนศักดิ์สิทธิ์ออกจากบ้านของข้าพระองค์แล้ว และยิ่งกว่านั้นข้าพระองค์ได้ให้แก่คนเลวีและคนต่างด้าว ลูกกำพร้าพ่อและแม่ม่าย ตามพระบัญญัติซึ่งพระองค์ทรงบัญชาไว้แก่ข้าพระองค์ทุกประการ ข้าพระองค์มิได้ละเมิดพระบัญญัติของพระองค์ในข้อใดเลย และข้าพระองค์มิได้ลืมเลย
วนฉ 14.12 แซมสันกล่าวแก่เขาว่า “ให้ข้าพเจ้าทายปริศนาท่านสักข้อหนึ่งเถิด ถ้าทายได้ก่อนจบการเลี้ยงเจ็ดวันนี้ เราจะให้เสื้อป่านสามสิบชุด และเสื้อสามสิบชุดด้วย
1ซมอ 30.25 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นไป ดาวิดก็ตั้งข้อนี้ให้เป็นกฎเกณฑ์และกฎแก่อิสราเอลจนทุกวันนี้
1พกษ 4.32 พระองค์ตรัสสุภาษิตสามพันข้อด้วย และบทเพลงของพระองค์มีหนึ่งพันห้าบท
2พกษ 17.13 พระเยโฮวาห์ยังทรงตักเตือนอิสราเอลและยูดาห์โดยผู้พยากรณ์ทุกคนและโดยผู้ทำนายทุกคนว่า “จงหันกลับจากทางชั่วร้ายทั้งหลายของเจ้า และรักษาบัญญัติของเราและกฎเกณฑ์ของเรา ตามราชบัญญัติทุกข้อซึ่งเราได้บัญชาแก่บรรพบุรุษของเจ้า และซึ่งเราได้ส่งมายังเจ้าโดยผู้พยากรณ์ผู้รับใช้ของเรา”
2พศด 30.18 เพราะว่ามวลชนนั้น คนเป็นอันมากที่มาจากเอฟราอิม มนัสเสห์ อิสสาคาร์ และเศบูลุนยังไม่ได้ชำระตน ถึงกระนั้นเขาก็ยังรับประทานปัสกาผิดต่อข้อที่กำหนดไว้ แต่เฮเซคียาห์ทรงอธิษฐานเผื่อเขาว่า “ขอพระเยโฮวาห์ผู้ประเสริฐทรงให้อภัยแก่ทุกๆคน
อสร 6.12 และขอพระเจ้าผู้ทรงกระทำให้พระนามของพระองค์สถิตที่นั่นทรงคว่ำกษัตริย์ทั้งหมดหรือประชาชาติใดๆ ที่ยื่นมือออกเปลี่ยนแปลงข้อนี้ คือเพื่อทำลายพระนิเวศของพระเจ้าซึ่งอยู่ในเยรูซาเล็ม ข้าพเจ้าดาริอัสออกกฤษฎีกานี้ ขอให้กระทำกันด้วยความขยันขันแข็ง”
อสร 9.2 เพราะเขารับบุตรสาวของชนเหล่านี้เป็นภรรยาของเขาเอง และของบุตรชายของเขา ดังนั้นเชื้อสายบริสุทธิ์ได้ปะปนกับชนชาติทั้งหลายของแผ่นดินเหล่านั้น นี่แหละในการละเมิดข้อนี้ มือของเจ้าหน้าที่ชั้นหัวหน้าและผู้ครองเมืองได้เด่นที่สุด”
อสธ 2.4 และขอให้หญิงสาวคนที่กษัตริย์พอพระทัยได้เป็นพระราชินีแทนวัชที” ข้อนี้พอพระทัยกษัตริย์ พระองค์จึงทรงกระทำตามนั้น
อสธ 4.11 “ข้าราชการของกษัตริย์ทั้งสิ้นและประชาชนในบรรดามณฑลของกษัตริย์ทราบอยู่ว่า ถ้าชายหรือหญิงคนใดเข้าเฝ้ากษัตริย์ภายในพระลานชั้นในโดยมิได้ทรงเรียก ก็มีกฎหมายอยู่ข้อเดียวเหมือนกันหมด ให้ลงโทษถึงตาย เว้นเสียแต่ผู้ซึ่งกษัตริย์ยื่นธารพระกรทองคำออกรับคนนั้นจึงจะมีชีวิตอยู่ได้ ส่วนฉันกษัตริย์ก็มิได้ตรัสเรียกให้เข้าเฝ้ามาสามสิบวันแล้ว”
โยบ 5.27 ดูเถิด นี่แหละ เป็นข้อที่เราตรองออกมาเป็นความจริง จงฟังและทราบ เพื่อประโยชน์ของตนเถิด”
โยบ 34.16 ถ้าท่านมีความเข้าใจ ขอฟังข้อนี้ ขอฟังเสียงถ้อยคำของข้าพเจ้า
โยบ 37.14 โอ ท่านโยบเจ้าข้า ขอฟังข้อนี้ จงนิ่งพิจารณาการกระทำอันมหัศจรรย์ของพระเจ้า
สดด 41.11 โดยข้อนี้ ข้าพระองค์ทราบว่า พระองค์ทรงพอพระทัยในข้าพระองค์ คือศัตรูของข้าพระองค์ไม่ได้ชนะข้าพระองค์
สดด 74.18 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงระลึกข้อนี้ว่า ศัตรูเยาะเย้ยอย่างไร และชนชาติโง่ได้หมิ่นประมาทพระนามของพระองค์อย่างไร
สดด 119.160 ตั้งแต่แรกพระวจนะของพระองค์คือความจริง และคำตัดสินอันชอบธรรมของพระองค์ทุกข้อดำรงอยู่เป็นนิตย์
ปญจ 12.9 ยิ่งกว่านั้น เพราะปัญญาจารย์เป็นคนฉลาดแล้ว ท่านยังสอนความรู้ให้ประชาชนอีกด้วย เออ ท่านพิเคราะห์ ท่านค้นคว้า และท่านเรียบเรียงสุภาษิตหลายข้อ
อสย 46.8 จำข้อนี้ไว้และจงเป็นลูกผู้ชายแท้ โอ เจ้าผู้ละเมิดทั้งหลาย จงนึกไว้ในใจ
อสย 48.1 ฟังข้อนี้ซิ โอ วงศ์วานของยาโคบเอ๋ย ผู้ซึ่งเขาเรียกด้วยนามของอิสราเอล และผู้ซึ่งออกมาจากน้ำทั้งหลายของยูดาห์ ผู้ซึ่งปฏิญาณในพระนามของพระเยโฮวาห์ และกล่าวถึงพระเจ้าของอิสราเอล แต่มิใช่ด้วยสัจจะและความชอบธรรม
อสย 48.20 จงไปเสียจากบาบิโลน จงหนีออกจากคนเคลเดีย จงประกาศข้อนี้ด้วยเสียงร้องเพลง จงเล่าให้ฟัง จงส่งออกไปถึงสุดปลายแผ่นดินโลกว่า “พระเยโฮวาห์ทรงไถ่ยาโคบผู้รับใช้ของพระองค์แล้ว”
อสย 51.21 ฉะนั้นเจ้าผู้ถูกข่มใจ ผู้ซึ่งมึนเมาแต่มิใช่ด้วยเหล้าองุ่น จงฟังข้อนี้เถิด
อสย 58.2 แต่เขายังแสวงหาเราทุกวันและปีติยินดีที่จะรู้จักทางของเรา เหมือนกับว่าเขาเป็นประชาชาติที่ได้ทำความชอบธรรม และมิได้ละทิ้งกฎแห่งพระเจ้าของเขา เขาก็ขอข้อกฎอันเที่ยงธรรมจากเรา เขาทั้งหลายก็ปีติยินดีที่จะเข้ามาใกล้พระเจ้า
ยรม 38.14 กษัตริย์เศเดคียาห์ทรงใช้คนไปนำเยเรมีย์ผู้พยากรณ์มาที่ทางเข้าพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ช่องที่สาม กษัตริย์ตรัสกับเยเรมีย์ว่า “เราจะถามท่านสักข้อหนึ่ง ขออย่าปิดบังไว้จากเราเลย”
อสค 18.2 “เจ้าทั้งหลายมีเจตนาอย่างไรในการกล่าวสุภาษิตข้อนี้อันเกี่ยวกับแผ่นดินอิสราเอลว่า ‘บิดารับประทานองุ่นเปรี้ยวและบุตรก็เข็ดฟัน’
ดนล 2.9 แต่ถ้าเจ้าไม่ให้เรารู้ความฝัน ก็มีคำตัดสินเจ้าอยู่ข้อเดียว เพราะเจ้าทั้งหลายตกลงที่จะพูดเท็จและพูดทุจริตต่อหน้าเรา จนจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไป เพราะฉะนั้นเจ้าจงบอกความฝันให้แก่เรา แล้วเราจึงจะรู้ว่าเจ้าจะถวายคำแก้ความฝันให้เราได้”
ฮชย 5.1 โอ ปุโรหิตทั้งหลาย จงฟังข้อนี้ วงศ์วานอิสราเอลเอ๋ย จงสดับ โอ ราชวงศ์กษัตริย์ จงเงี่ยหูฟัง เพราะเจ้าทั้งหลายจะต้องถูกพิพากษา เพราะเจ้าเป็นกับอยู่ที่เมืองมิสปาห์ และเป็นข่ายกางอยู่ที่เมืองทาโบร์
ฮชย 8.12 ถึงเราได้เขียนราชบัญญัติไว้ให้สักหมื่นข้อ เขาก็ถือว่าเป็นเพียงของแปลก
มธ 5.19 เหตุฉะนั้น ผู้ใดได้ทำให้ข้อเล็กน้อยสักข้อหนึ่งในพระบัญญัตินี้เบาลง ทั้งสอนคนอื่นให้ทำอย่างนั้นด้วย ผู้นั้นจะได้ชื่อว่า เป็นผู้น้อยที่สุดในอาณาจักรแห่งสวรรค์ แต่ผู้ใดที่ประพฤติและสอนตามพระบัญญัติ ผู้นั้นจะได้ชื่อว่า เป็นใหญ่ในอาณาจักรแห่งสวรรค์
มธ 12.7 แต่ถ้าท่านทั้งหลายได้เข้าใจความหมายของข้อที่ว่า ‘เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา’ ท่านก็คงจะไม่กล่าวโทษคนที่ไม่มีความผิด
มธ 13.24 พระองค์ตรัสคำอุปมาอีกข้อหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังว่า “อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนชายคนหนึ่งได้หว่านพืชดีในนาของตน
มธ 13.31 พระองค์ยังตรัสคำอุปมาอีกข้อหนึ่งให้เขาฟังว่า “อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่ง ซึ่งชายคนหนึ่งเอาไปเพาะลงในไร่ของตน
มธ 13.33 พระองค์ยังตรัสคำอุปมาให้เขาฟังอีกข้อหนึ่งว่า “อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนเชื้อ ซึ่งผู้หญิงคนหนึ่งเอามาเจือลงในแป้งสามถัง จนแป้งนั้นฟูขึ้นทั้งหมด”
มธ 19.11 พระองค์ทรงตอบเขาว่า “มิใช่ทุกคนจะรับประพฤติตามข้อนี้ได้ เว้นแต่ผู้ที่ทรงให้ประพฤติได้
มธ 19.18 คนนั้นทูลถามพระองค์ว่า “คือพระบัญญัติข้อใดบ้าง” พระเยซูตรัสว่า “อย่ากระทำการฆาตกรรม อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา อย่าลักทรัพย์ อย่าเป็นพยานเท็จ
มธ 19.20 คนหนุ่มนั้นทูลพระองค์ว่า “ข้อเหล่านี้ข้าพเจ้าได้ถือรักษาไว้ทุกประการตั้งแต่เป็นเด็กหนุ่มมา ข้าพเจ้ายังขาดอะไรอีกบ้าง”
มธ 21.24 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราจะถามท่านทั้งหลายสักข้อหนึ่งด้วย ซึ่งถ้าท่านบอกเราได้ เราจะบอกท่านเหมือนกันว่าเรากระทำการนี้โดยสิทธิอันใด
มธ 22.36 “อาจารย์เจ้าข้า ในพระราชบัญญัตินั้น พระบัญญัติข้อใดสำคัญที่สุด”
มธ 22.38 นี่แหละเป็นพระบัญญัติข้อต้นและข้อใหญ่
มธ 22.39 ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’
มธ 22.40 พระราชบัญญัติและคำพยากรณ์ทั้งสิ้นก็ขึ้นอยู่กับพระบัญญัติสองข้อนี้”
มธ 23.23 วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าถวายสิบชักหนึ่งของสะระแหน่ ยี่หร่าและขมิ้น ส่วนข้อสำคัญแห่งพระราชบัญญัติ คือการพิพากษา ความเมตตาและความเชื่อนั้นได้ละเว้นเสีย สิ่งเหล่านั้นพวกเจ้าควรได้กระทำอยู่แล้ว แต่สิ่งอื่นนั้นไม่ควรละเว้นด้วย
มก 6.34 ครั้นพระเยซูเสด็จขึ้นจากเรือแล้ว ก็ทอดพระเนตรเห็นประชาชนหมู่ใหญ่ และพระองค์ทรงสงสารเขา เพราะว่าเขาเป็นเหมือนฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง พระองค์จึงเริ่มสั่งสอนเขาเป็นหลายข้อหลายประการ
มก 10.20 คนนั้นจึงทูลตอบพระองค์ว่า “อาจารย์เจ้าข้า ข้อเหล่านี้ข้าพเจ้าได้ถือรักษาไว้ตั้งแต่เป็นเด็กมา”
มก 11.29 พระเยซูจึงตรัสตอบเขาว่า “เราจะถามท่านทั้งหลายสักข้อหนึ่งเหมือนกัน จงตอบเรา แล้วเราจะบอกท่านว่า เรากระทำการนี้โดยสิทธิอันใด
มก 12.28 มีธรรมาจารย์คนหนึ่ง เมื่อมาถึงได้ยินเขาไล่เลียงกันและเห็นว่าพระองค์ทรงตอบเขาได้ดี จึงทูลถามพระองค์ว่า “พระบัญญัติข้อใดเป็นเอกเป็นใหญ่กว่าบัญญัติทั้งปวง”
ลก 4.17 เขาจึงส่งพระคัมภีร์อิสยาห์ศาสดาพยากรณ์ให้แก่พระองค์ เมื่อพระองค์ทรงคลี่หนังสือนั้นออก ก็ค้นพบข้อที่เขียนไว้ว่า
ลก 4.23 พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า “ท่านทั้งหลายจะกล่าวคำสุภาษิตข้อนี้แก่เราเป็นแน่ คือว่า ‘หมอจงรักษาตัวเองเถิด คือบรรดาการซึ่งเราได้ยินว่า ท่านได้กระทำในเมืองคาเปอรนาอุม จงกระทำในเมืองของตนที่นี่ด้วย’”
ลก 5.36 พระองค์ยังตรัสคำอุปมาข้อหนึ่งแก่เขาด้วยว่า “ไม่มีผู้ใดฉีกท่อนผ้าจากเสื้อใหม่มาปะเสื้อเก่า ถ้าทำอย่างนั้นเสื้อใหม่นั้นจะขาดเสียไป ทั้งท่อนผ้าที่เอามาจากเสื้อใหม่นั้นก็จะไม่สมกับเสื้อเก่าด้วย
ลก 14.6 เขาทั้งหลายตอบข้อนี้ไม่ได้
ลก 15.29 แต่เขาบอกบิดาว่า ‘ดูเถิด ข้าพเจ้าได้ปรนนิบัติท่านกี่ปีมาแล้ว และมิได้ละเมิดคำบัญชาของท่านสักข้อหนึ่งเลย แม้แต่เพียงลูกแพะสักตัวหนึ่งท่านก็ยังไม่เคยให้ข้าพเจ้า เพื่อจะเลี้ยงกันเป็นที่รื่นเริงยินดีกับเพื่อนฝูงของข้าพเจ้า
ลก 18.21 คนนั้นจึงทูลว่า “ข้อเหล่านี้ข้าพเจ้าได้ถือรักษาไว้ตั้งแต่เป็นเด็กๆมา”
ลก 20.3 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “เราจะถามท่านทั้งหลายสักข้อหนึ่งด้วย จงตอบเราเถิด
ลก 23.9 ท่านจึงซักถามพระองค์เป็นหลายข้อ แต่พระองค์หาทรงตอบประการใดไม่
ลก 23.14 จึงกล่าวแก่เขาว่า “ท่านทั้งหลายได้พาคนนี้มาหาเราฟ้องว่าเขาได้ยุยงประชาชน ดูเถิด เราได้สืบถามต่อหน้าท่านทั้งหลาย และไม่เห็นว่าคนนี้มีความผิดในข้อที่ท่านทั้งหลายฟ้องเขานั้น
ลก 24.27 พระองค์จึงทรงเริ่มอธิบายพระคัมภีร์ที่เล็งถึงพระองค์ทุกข้อให้เขาฟัง เริ่มต้นตั้งแต่โมเสสและบรรดาศาสดาพยากรณ์
ยน 5.28 อย่าประหลาดใจในข้อนี้เลย เพราะใกล้จะถึงเวลาที่บรรดาผู้ที่อยู่ในอุโมงค์ฝังศพจะได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์
ยน 10.32 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “เราได้สำแดงให้ท่านเห็นการดีหลายประการซึ่งมาจากพระบิดาของเรา ท่านทั้งหลายหยิบก้อนหินจะขว้างเราให้ตายเพราะการกระทำข้อใดเล่า”
ยน 19.37 และมีข้อพระคัมภีร์อีกข้อหนึ่งว่า ‘เขาทั้งหลายจะมองดูพระองค์ผู้ซึ่งเขาเองได้แทง’
กจ 2.32 พระเยซูนี้พระเจ้าได้ทรงบันดาลให้คืนพระชนม์แล้ว ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นพยานในข้อนี้
กจ 8.32 พระคัมภีร์ตอนที่ท่านอ่านอยู่นั้นคือข้อเหล่านี้ ‘เขาได้นำท่านเหมือนแกะที่ถูกนำไปฆ่า และเหมือนลูกแกะที่เป็นใบ้อยู่หน้าผู้ตัดขนของมันฉันใด ท่านก็ไม่ปริปากของท่านเลยฉันนั้น
กจ 8.35 ฝ่ายฟีลิปจึงเริ่มเล่าจับต้นกล่าวตามพระคัมภีร์ข้อนั้น ชี้แจงถึงเรื่องพระเยซู
กจ 13.34 ส่วนข้อที่พระเจ้าได้ทรงให้พระองค์คืนพระชนม์ มิให้กลับเปื่อยเน่าอีกเลย พระองค์จึงตรัสอย่างนี้ว่า ‘เราจะให้ความเมตตาอันแน่นอนของเราซึ่งได้สัญญาไว้กับดาวิดให้แก่ท่าน’
กจ 19.36 เมื่อข้อนั้นกล่าวโต้แย้งไม่ได้แล้ว ท่านทั้งหลายควรจะนิ่งสงบสติอารมณ์ อย่าทำอะไรวู่วามไป
กจ 19.40 ด้วยว่าน่ากลัวเราจะต้องถูกฟ้องว่าเป็นผู้ก่อการจลาจลวันนี้ เพราะเราทั้งหลายไม่อาจยกข้อใดขึ้นอ้างเป็นมูลเหตุพอแก่การจลาจลคราวนี้ได้”
กจ 24.16 ในข้อนี้ ข้าพเจ้าอุตส่าห์ประพฤติตามใจวินิจฉัยผิดชอบที่ปราศจากผิดต่อพระเจ้าและต่อมนุษย์
กจ 24.21 เว้นไว้แต่ข้อเดียวซึ่งข้าพเจ้าได้ร้องขึ้นในท่ามกลางเขาว่า ‘วันนี้ข้าพเจ้าถูกพิจารณาพิพากษาต่อหน้าท่านทั้งหลาย เพราะเหตุเรื่องการเป็นขึ้นมาจากความตาย’”
กจ 25.7 ครั้นเปาโลเข้ามาแล้ว พวกยิวที่ลงมาจากกรุงเยรูซาเล็มก็ยืนล้อมไว้รอบ และกล่าวความอุกฉกรรจ์ใส่เปาโลหลายข้อ แต่พิสูจน์ไม่ได้
รม 3.19 บัดนี้ เรารู้แล้วว่าพระราชบัญญัติทุกข้อที่ได้กล่าวนั้น ก็ได้กล่าวแก่คนเหล่านั้นที่อยู่ใต้พระราชบัญญัติเพื่อปิดปากทุกคน และเพื่อให้มนุษย์ทุกคนในโลกมีความผิดจำเพาะพระพักตร์พระเจ้า
รม 13.9 พระบัญญัติกล่าวว่า ‘อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา อย่าฆ่าคน อย่าลักทรัพย์ อย่าเป็นพยานเท็จ อย่าโลภ’ ทั้งพระบัญญัติอื่นๆก็รวมอยู่ในข้อนี้คือ ‘ท่านจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’
2คร 9.3 แต่ข้าพเจ้าได้ให้พี่น้องเหล่านั้นไป เพื่อมิให้การอวดของเราเรื่องท่านในข้อนั้นเป็นการเปล่าประโยชน์ และเพื่อให้ท่านจัดเตรียมไว้ให้พร้อมตามที่ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้วนั้น
2คร 11.6 แม้ว่าข้าพเจ้าพูดไม่เก่ง แต่ข้าพเจ้าก็ยังมีความรู้ ที่จริงเราก็ได้แสดงข้อนี้ให้ประจักษ์แก่พวกท่านในกิจการทุกสิ่งแล้ว
2คร 12.13 เพราะว่าพวกท่านเสียเปรียบคริสตจักรอื่นๆในข้อใดเล่า เว้นไว้ในข้อนี้ คือที่ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นภาระแก่พวกท่าน การผิดนั้นขอท่านให้อภัยแก่ข้าพเจ้าเถิด
กท 3.2 ข้าพเจ้าใคร่รู้ข้อเดียวจากท่านว่า ท่านได้รับพระวิญญาณโดยการกระทำตามพระราชบัญญัติหรือ หรือได้รับโดยการฟังด้วยความเชื่อ
อฟ 5.32 ข้อนี้เป็นข้อลึกลับที่สำคัญมาก แต่ว่าข้าพเจ้าพูดถึงพระคริสต์กับคริสตจักร
อฟ 6.2 ‘จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า’ (นี่เป็นพระบัญญัติข้อแรกที่มีพระสัญญาไว้ด้วย)
คส 2.19 และไม่ได้ยึดมั่นในพระองค์ผู้ทรงเป็นศีรษะ ศีรษะนั้นเป็นเหตุให้กายทั้งหมดได้รับการบำรุงเลี้ยงและติดต่อกันด้วยข้อและเอ็นต่างๆ จึงได้เจริญขึ้นตามที่พระเจ้าทรงโปรดให้เจริญขึ้นนั้น
1ธส 4.15 ในข้อนี้เราขอบอกให้ท่านทราบตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า เราผู้ยังเป็นอยู่และเหลืออยู่จนถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จะล่วงหน้าไปก่อนคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปแล้วก็หามิได้
1ทธ 1.19 จงยึดความเชื่อไว้และมีจิตสำนึกอันดี ซึ่งข้อนี้บางคนได้ละทิ้งเสีย ความเชื่อของเขาจึงอับปางลง
1ทธ 4.16 จงระวังตัวท่านและคำสอนของท่าน จงยึดข้อที่กล่าวนี้ให้มั่น เพราะเมื่อกระทำดังนั้น ท่านจะช่วยทั้งตัวท่านเองและคนทั้งปวงที่ฟังท่านให้รอดได้
2ทธ 3.1 แต่จงเข้าใจข้อนี้ด้วย คือว่าในวันสุดท้ายนั้น จะเกิดเหตุการณ์กลียุค
ฮบ 4.4 และมีข้อหนึ่งที่พระองค์ได้ตรัสถึงวันที่เจ็ดดังนี้ว่า ‘ในวันที่เจ็ดพระเจ้าทรงพักการงานทั้งสิ้นของพระองค์’
ฮบ 4.12 เพราะว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นมีชีวิต และทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย
ฮบ 7.15 และข้อนี้ประจักษ์ชัดยิ่งขึ้นอีก เมื่อปรากฏว่ามีปุโรหิตอีกผู้หนึ่งเกิดขึ้นตามอย่างของเมลคีเซเดค
ฮบ 9.19 เพราะว่าเมื่อโมเสสประกาศข้อบังคับทุกข้อแก่บรรดาพลไพร่ตามพระราชบัญญัติแล้ว ท่านจึงได้เอาเลือดลูกวัวและเลือดลูกแพะกับน้ำ และเอาขนแกะสีแดงและต้นหุสบมาประพรมหนังสือม้วนนั้นกับทั้งบรรดาคนทั้งปวง
ยก 2.10 เพราะว่าผู้ใดรักษาพระราชบัญญัติได้ทั้งหมด แต่ผิดอยู่ข้อเดียว ผู้นั้นก็เป็นผู้ผิดพระราชบัญญัติทั้งหมด
1ปต 2.12 จงให้การประพฤติของท่านทั้งหลายเป็นที่น่านับถือท่ามกลางคนต่างชาตินั้น เพื่อว่าในข้อที่เขาติเตียนท่านว่าเป็นคนทำชั่วนั้น เมื่อเขาเห็นการดีของท่านแล้ว เขาจะได้สรรเสริญพระเจ้าในวันซึ่งพระองค์จะทรงเยี่ยมเยียนเขา
2ปต 1.20 จงรู้ข้อนี้ก่อน คือว่าคำพยากรณ์ทุกคำที่จารึกไว้ในพระคัมภีร์แล้ว ไม่มีใครตีความได้ตามลำพังใจของตนเอง
2ปต 3.3 จงรู้ข้อนี้ก่อน คือในวันสุดท้ายคนที่ชอบเยาะเย้ยจะเกิดขึ้นและดำเนินตามใจปรารถนาชั่วของตน
2ปต 3.5 เพราะว่าเขาแกล้งลืมข้อนี้เสีย คือโดยคำตรัสของพระเจ้า ฟ้าสวรรค์ได้อุบัติขึ้นตั้งแต่โบราณ และแผ่นดินโลกจึงได้บังเกิดขึ้นแยกออกจากน้ำและท่ามกลางน้ำ
2ปต 3.8 แต่พวกที่รัก อย่าลืมข้อนี้เสีย คือวันเดียวขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเหมือนกับพันปี และพันปีก็เป็นเหมือนกับวันเดียว
2ปต 3.16 เหมือนในจดหมายของท่านทุกฉบับ ท่านได้กล่าวถึงเหตุการณ์เหล่านั้น และในจดหมายนั้นมีบางข้อที่เข้าใจยาก ซึ่งคนทั้งหลายที่ไม่ได้เรียนรู้และไม่แน่นอนมั่นคงนั้นได้เปลี่ยนแปลงเสีย เหมือนเขาได้เปลี่ยนแปลงข้ออื่นๆในพระคัมภีร์ จึงเป็นเหตุกระทำให้ตัวพินาศ
1ยน 2.3 เราจะมั่นใจได้ว่าเรารู้จักพระองค์โดยข้อนี้ คือถ้าเรารักษาพระบัญญัติของพระองค์
1ยน 4.2 โดยข้อนี้ท่านทั้งหลายก็จะรู้จักพระวิญญาณของพระเจ้า คือวิญญาณทั้งปวงที่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมนุษย์ วิญญาณนั้นก็มาจากพระเจ้า
1ยน 4.9 โดยข้อนี้ความรักของพระเจ้าที่มีต่อเราทั้งหลายก็เป็นที่ประจักษ์แล้ว เพราะว่าพระเจ้าทรงใช้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ที่บังเกิดมาให้เสด็จเข้ามาในโลก เพื่อเราทั้งหลายจะได้ดำรงชีวิตโดยพระบุตรนั้น
1ยน 4.10 ในข้อนี้แหละเป็นความรัก มิใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระองค์ทรงรักเรา และทรงใช้พระบุตรของพระองค์ให้เป็นผู้ลบล้างพระอาชญาที่ตกกับเราทั้งหลาย เพราะบาปของเรา
1ยน 4.17 ในข้อนี้แหละความรักของเราจึงสมบูรณ์ เพื่อเราทั้งหลายจะได้มีความกล้าในวันพิพากษา เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นอย่างไร เราทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้นในโลกนี้
2ยน 1.12 ข้าพเจ้ายังมีข้อความอีกหลายข้อที่จะเขียนมาถึงท่าน แต่ก็ไม่อยากจะเขียนด้วยกระดาษและน้ำหมึก ข้าพเจ้าหวังใจว่าจะมาหาท่าน และสนทนากันต่อหน้า เพื่อความปีติยินดีของเราจะได้เต็มเปี่ยม
วว 2.4 แต่เรามีข้อที่จะต่อว่าเจ้าบ้าง คือว่าเจ้าละทิ้งความรักดั้งเดิมของเจ้า
วว 2.14 แต่เรามีข้อที่จะต่อว่าเจ้าบ้างเล็กน้อย คือพวกเจ้าบางคนถือตามคำสอนของบาลาอัม ซึ่งสอนบาลาคให้ก่อเหตุเพื่อให้ชนชาติอิสราเอลสะดุด คือให้เขากินของที่ได้บูชาแก่รูปเคารพแล้วและให้เขาล่วงประเวณี
วว 2.20 แต่เรามีข้อที่จะต่อว่าเจ้าบ้างเล็กน้อย คือพวกเจ้ายอมให้ผู้หญิงชื่อเยเซเบล ที่ยกตัวขึ้นเป็นผู้พยากรณ์หญิง หญิงนั้นสอนและล่อลวงพวกผู้รับใช้ของเรา ให้ล่วงประเวณีและให้กินของที่บูชาแก่รูปเคารพแล้ว

ข้อกล่าวหา ( 3 )
กจ 24.8 และสั่งให้โจทก์มาฟ้องเขาต่อหน้าท่าน ถ้าท่านเองจะไต่ถามเขา ท่านจะทราบได้ว่า ข้อกล่าวหาของพวกข้าพเจ้าจริงหรือไม่”
คส 1.22 โดยความตายแห่งพระกายเนื้อหนังของพระองค์เพื่อจะได้ถวายท่านให้เป็นผู้บริสุทธิ์ ไร้ตำหนิและไร้ข้อกล่าวหาในสายพระเนตรของพระองค์
ยด 1.9 ฝ่ายอัครเทวทูตาธิบดีมีคาเอล ครั้นเมื่อท่านโต้เถียงกับพญามารเรื่องศพของโมเสส ท่านเองก็ยังไม่บังอาจตั้งข้อกล่าวหาอย่างเย้ยหยันต่อมารเลย ได้แต่เพียงกล่าวว่า “ขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงห้ามเจ้าเถิด”

ข้อกำหนด ( 1 )
ฮบ 9.27 มีข้อกำหนดสำหรับมนุษย์ไว้แล้วว่าจะต้องตายหนหนึ่ง และหลังจากนั้นก็จะมีการพิพากษาฉันใด

ขอเกี่ยว ( 3 )
อพย 35.11 คือพลับพลา เต็นท์ และผ้าคลุมพลับพลา ขอเกี่ยวและไม้กรอบ กลอน เสา และฐานรองรับเสาของพลับพลานั้น
อพย 36.38 และทำเสาห้าต้นสำหรับม่านนั้นพร้อมด้วยขอเกี่ยว บัวคว่ำและราวยึดเสานั้นหุ้มด้วยทองคำ แต่ฐานห้าฐานสำหรับรองรับเสานั้นทำด้วยทองสัมฤทธิ์
อมส 4.2 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงปฏิญาณไว้ด้วยความบริสุทธิ์ของพระองค์ว่า ดูเถิด วันทั้งหลายจะมาถึงเจ้า เขาจะเอาขอเกี่ยวเจ้าไป จนถึงคนที่สุดท้ายของเจ้า เขาก็จะเกี่ยวไปด้วยเบ็ด

ขอเกี่ยวเนื้อ ( 8 )
อพย 27.3 เจ้าจงทำหม้อสำหรับใส่ขี้เถ้า พลั่ว ชาม ขอเกี่ยวเนื้อและถาดรองไฟ คือเครื่องใช้สำหรับแท่นทั้งหมด เจ้าจงทำด้วยทองสัมฤทธิ์
อพย 38.3 เขาทำเครื่องใช้บนแท่นนั้นทุกอย่าง คือหม้อ พลั่ว ชาม ขอเกี่ยวเนื้อ และถาดรองไฟ เครื่องใช้สำหรับแท่นทั้งหมดนั้นเขาทำด้วยทองสัมฤทธิ์
กดว 4.14 เอาภาชนะประจำแท่นทั้งหมดซึ่งเป็นเครื่องใช้ประจำแท่น มีกระถางไฟ ขอเกี่ยวเนื้อ พลั่ว ชาม และภาชนะประจำแท่นทั้งสิ้นวางไว้ข้างบน แล้วเอาหนังของตัวแบดเจอร์คลุม และสอดคานหาม
1ซมอ 2.13 ธรรมเนียมของปุโรหิตที่มีต่อประชาชนเป็นอย่างนี้ เมื่อมีประชาชนคนใดถวายเครื่องสัตวบูชา คนใช้ของปุโรหิตจะเข้ามา มือถือขอเกี่ยวเนื้อสามง่าม ขณะเมื่อเนื้อกำลังต้มอยู่
1ซมอ 2.14 เขาจะเอาขอเกี่ยวเนื้อแทงเข้าไปในกระทะ หรือหม้อหู หรือหม้อขนาดใหญ่ หรือหม้อธรรมดา ขอเกี่ยวเนื้อติดอะไรขึ้นมา ปุโรหิตก็เอาสิ่งนั้นไปเป็นของตน ที่เมืองชีโลห์เขาก็กระทำเช่นนั้นแก่คนอิสราเอลทุกคนที่มาที่นั่น
1พศด 28.17 และขอเกี่ยวเนื้อ ชาม กับคนโทเป็นทองคำบริสุทธิ์ ชามทองคำและน้ำหนักทองคำของแต่ละลูก ชามเงินและน้ำหนักเงินของแต่ละลูก
2พศด 4.16 หม้อ พลั่ว และขอเกี่ยวเนื้อ และเครื่องประกอบทั้งสิ้นนี้ หุรามที่ปรึกษาอาวุโสได้ทำขึ้นด้วยทองสัมฤทธิ์สุกถวายกษัตริย์ซาโลมอนสำหรับพระนิเวศของพระเยโฮวาห์

ข้อแก้ตัว ( 3 )
ยน 15.22 ถ้าเราไม่ได้มาประกาศแก่พวกเขา เขาก็คงจะไม่มีบาป แต่บัดนี้เขาไม่มีข้อแก้ตัวในเรื่องบาปของเขา
รม 1.20 ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระองค์นั้น คือฤทธานุภาพอันนิรันดร์และเทวสภาพของพระเจ้า ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย
รม 2.1 เหตุฉะนั้น โอ มนุษย์เอ๋ย ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร เมื่อท่านกล่าวโทษผู้อื่นนั้น ท่านไม่มีข้อแก้ตัวเลย เพราะเมื่อท่านกล่าวโทษผู้อื่น ท่านก็ได้กล่าวโทษตัวเองด้วย เพราะว่าท่านที่กล่าวโทษเขาก็ยังประพฤติอยู่อย่างเดียวกับเขา

ข้อเขียน ( 5 )
ดนล 5.7 กษัตริย์รับสั่งเสียงดัง ให้นำหมอดูและคนเคลเดีย และหมอดูฤกษ์ยามเข้ามาเฝ้า และกษัตริย์ตรัสกับพวกนักปราชญ์กรุงบาบิโลนว่า “ผู้ใดที่อ่านข้อเขียนนี้และแปลความให้เราได้ เราจะให้ผู้นั้นสวมเสื้อสีม่วง และสวมสร้อยคอทองคำ และเราจะตั้งให้เป็นอุปราชตรีในราชอาณาจักรของเรา”
ดนล 5.8 แล้วพวกนักปราชญ์ของกษัตริย์ก็เข้ามาทั้งหมด แต่เขาทั้งหลายอ่านข้อเขียน หรือแปลความหมายให้กษัตริย์ทรงทราบหาได้ไม่
ดนล 5.17 แล้วดาเนียลกราบทูลต่อพระพักตร์กษัตริย์ว่า “ขอทรงเก็บของพระราชทานไว้กับพระองค์เถิด และขอทรงพระราชทานรางวัลแก่ผู้อื่น ฝ่ายข้าพระองค์จะขออ่านข้อเขียนถวายกษัตริย์ และถวายคำแปลความหมายให้พระองค์ทรงทราบ
ดนล 5.24 จึงมีมือซึ่งรับใช้มาจากพระพักตร์ได้จารึกข้อเขียนนี้ลงไว้
ดนล 5.25 ต่อไปนี้เป็นข้อเขียนที่จารึกไว้ คือ เมเน เมเน เทเคล และ ฟารสิน

ข้อคดี ( 2 )
อสย 41.21 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “จงนำข้อคดีของเจ้าขึ้นมา” กษัตริย์ของยาโคบตรัสว่า “จงนำข้อพิสูจน์ของเจ้ามา”
กจ 26.2 “ท่านกษัตริย์อากริปปาเจ้าข้า ข้าพระองค์ถือว่าเป็นโอกาสดีที่ได้แก้คดีต่อพระพักตร์พระองค์วันนี้ ในเรื่องข้อคดีทั้งปวงซึ่งพวกยิวกล่าวหาข้าพระองค์นั้น

ข้อความ ( 97 )
อพย 6.29 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “เราคือพระเยโฮวาห์ เจ้าจงบอกฟาโรห์กษัตริย์ของอียิปต์ตามข้อความทั้งสิ้นซึ่งเราได้บอกแก่เจ้า”
อพย 7.2 เจ้าจงบอกข้อความทั้งหมดที่เราสั่งเจ้า แล้วอาโรนพี่ชายของเจ้าจะบอกแก่ฟาโรห์ให้ปล่อยชนชาติอิสราเอลออกไปจากแผ่นดินของเขา
อพย 17.14 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงเขียนข้อความต่อไปนี้ลงไว้ในหนังสือเพื่อเป็นที่ระลึก ทั้งเล่าให้โยชูวาฟังคือว่าเราจะลบล้างชื่อชนชาติอามาเลขไม่ให้ปรากฏในความทรงจำของพลไพร่ภายใต้ฟ้านี้เลย”
อพย 19.7 โมเสสจึงมาเรียกประชุมพวกผู้ใหญ่ของพลไพร่ แล้วเล่าข้อความเหล่านี้ที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาท่านให้เขาฟังทุกประการ
อพย 34.27 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “คำเหล่านี้จงเขียนไว้ เพราะเราทำพันธสัญญาไว้กับเจ้าและพวกอิสราเอลตามข้อความเหล่านี้แล้ว”
กดว 14.39 และโมเสสเล่าข้อความนี้ให้คนอิสราเอลทั้งหมดฟัง ประชาชนก็ร้องไห้โศกเศร้ายิ่งนัก
กดว 30.16 ข้อความเหล่านี้เป็นกฎเกณฑ์ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงบัญชาโมเสสไว้ เป็นเรื่องระหว่างชายกับภรรยาของเขา เรื่องระหว่างบิดากับบุตรสาว ขณะเมื่อเธอยังสาวอยู่ ยังอยู่ในเรือนบิดาของเธอ
กดว 36.13 ข้อความเหล่านี้เป็นบทบัญญัติและคำตัดสินซึ่งพระเยโฮวาห์ได้ทรงบัญชาทางโมเสสแก่คนอิสราเอล ณ ที่ราบโมอับ ริมแม่น้ำจอร์แดนใกล้เมืองเยรีโค
พบญ 1.1 ข้อความต่อไปนี้เป็นคำที่โมเสสกล่าวแก่คนอิสราเอลทั้งปวงที่ในถิ่นทุรกันดารฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ คือในที่ราบข้างหน้าทะเลแดงระหว่างปารานและโทเฟล ลาบัน ฮาเซโรท และดีซาหับ
ยชว 1.8 อย่าให้หนังสือพระราชบัญญัตินี้ห่างเหินไปจากปากของเจ้า แต่เจ้าจงตรึกตรองตามนั้นทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อเจ้าจะได้ระวังที่จะกระทำตามข้อความที่เขียนไว้นั้นทุกประการ แล้วเจ้าจะมีความจำเริญ และเจ้าจะสำเร็จผลเป็นอย่างดี
2ซมอ 14.3 จงเข้าไปเฝ้ากษัตริย์ กราบทูลข้อความนี้แก่พระองค์” แล้วโยอาบก็สอนคำกราบทูลให้หญิงนั้น
อสร 5.7 ท่านทั้งหลายได้ส่งหนังสือซึ่งมีข้อความต่อไปนี้ “กราบทูลกษัตริย์ดาริอัส ขอทรงพระเจริญ
อสร 6.2 และได้มีการพบหนังสือม้วนหนึ่งที่อาคเมตาห์ในพระราชวังซึ่งอยู่ในมณฑลมีเดีย และมีข้อความเขียนอยู่ในหนังสือม้วนนั้นดังต่อไปนี้
นหม 8.8 และเขาทั้งหลายอ่านจากหนังสือ จากพระราชบัญญัติของพระเจ้าเป็นตอนๆ และเขาก็แปลความ ประชาชนจึงเข้าใจข้อความที่อ่านนั้น
สดด 19.11 อนึ่ง สิ่งเหล่านี้เป็นที่ตักเตือนผู้รับใช้ของพระองค์ การที่จะรักษาข้อความเหล่านั้นก็ได้บำเหน็จอันใหญ่ยิ่ง
สดด 49.1 ดูก่อนชาติทั้งหลาย จงฟังข้อความนี้ ชาวพิภพทั้งปวงเอ๋ย จงเงี่ยหูฟัง
สภษ 24.23 ข้อความเหล่านี้เป็นคำกล่าวของปราชญ์ด้วย การเห็นแก่หน้าคนใดในการตัดสินนั้นไม่ดีเลย
ปญจ 7.23 บรรดาข้อความเหล่านี้ข้าพเจ้าได้ชันสูตรดูด้วยใช้สติปัญญาแล้ว ข้าพเจ้าว่า “ข้าพเจ้าจะได้ปัญญา” แต่ปัญญานั้นกลับอยู่ห่างไกลจากข้าพเจ้า
ยรม 5.20 จงประกาศข้อความต่อไปนี้ในวงศ์วานของยาโคบ และจงโฆษณาเรื่องนี้ในยูดาห์ ว่า
ยรม 5.21 โอ ชนชาติที่โง่เขลาและไร้ความเข้าใจเอ๋ย ผู้มีตา แต่มองไม่เห็น ผู้มีหู แต่ฟังไม่ได้ยิน จงฟังข้อความนี้”
ยรม 5.24 ข้อความนี้เขาไม่มุ่งอยู่ในใจของเขาทั้งหลายว่า ‘บัดนี้ให้เรายำเกรงพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา ผู้ทรงประทานฝนตามฤดูของมันคือฝนต้นฤดูและฝนชุกปลายฤดู และทรงรักษาสัปดาห์ที่กำหนดการเกี่ยวข้าวไว้ให้แก่เรา’
ยรม 30.24 ความกริ้วอันแรงกล้าของพระเยโฮวาห์จะไม่หยุดยั้ง จนกว่าพระองค์จะทรงกระทำ และให้สำเร็จตามพระทัยพระองค์ประสงค์ ในวาระสุดท้าย เจ้าทั้งหลายจะพิจารณาถึงข้อความนี้
ดนล 5.15 บัดนี้ เราให้พวกนักปราชญ์ พวกหมอดูมาเข้าเฝ้า เพื่อให้อ่านข้อความนี้ และแปลความหมายให้เรา แต่เขาแปลความหมายของเรื่องราวนี้ไม่ได้
ดนล 5.16 แต่เราได้ยินว่าท่านให้คำแปลและแก้ปัญหาได้ บัดนี้ถ้าท่านอ่านข้อความและแปลความหมายให้ได้ จะให้ท่านสวมเสื้อสีม่วง และสวมสร้อยคอทองคำ และจะตั้งท่านให้เป็นอุปราชตรีในราชอาณาจักร”
ยอล 3.9 จงประกาศข้อความต่อไปนี้ให้นานาประชาชาติทราบว่า จงเตรียมทำการรบ จงปลุกใจชายฉกรรจ์ทั้งหลาย ให้พลรบทั้งสิ้นเข้ามาใกล้ ให้เขาขึ้นมาเถิด
มคา 3.9 ท่านทั้งหลายผู้เป็นประมุขแห่งวงศ์วานของยาโคบ คือผู้ครอบครองวงศ์วานอิสราเอล จงฟังข้อความนี้ คือท่านผู้ชังความยุติธรรมและผู้แปรความเที่ยงตรงทั้งสิ้นให้ปรวนไป
มธ 9.13 ท่านทั้งหลายจงไปเรียนรู้ความหมายของข้อความที่ว่า ‘เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา’ ด้วยว่าเรามิได้มาเพื่อจะเรียกคนชอบธรรม แต่มาเรียกคนบาปให้กลับใจเสียใหม่”
มธ 13.11 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “เพราะว่าข้อความลึกลับของอาณาจักรแห่งสวรรค์ทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่คนเหล่านั้นไม่โปรดให้รู้
มธ 13.34 ข้อความเหล่านี้ทั้งสิ้น พระเยซูตรัสกับหมู่ชนเป็นคำอุปมา และนอกจากคำอุปมา พระองค์มิได้ตรัสกับเขาเลย
มธ 13.35 ทั้งนี้เพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะที่ตรัสโดยศาสดาพยากรณ์ว่า ‘เราจะอ้าปากกล่าวคำอุปมา เราจะกล่าวข้อความซึ่งปิดซ่อนไว้ตั้งแต่เดิมสร้างโลก’
มธ 13.51 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ข้อความเหล่านี้ท่านทั้งหลายเข้าใจแล้วหรือ” เขาทูลตอบพระองค์ว่า “เข้าใจ พระเจ้าข้า”
มก 4.11 พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า “ข้อความลึกลับแห่งอาณาจักรของพระเจ้าทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่ฝ่ายคนนอกนั้นบรรดาข้อความเหล่านี้จะแจ้งให้เป็นคำอุปมาทุกอย่าง
มก 9.16 พระองค์จึงตรัสถามพวกธรรมาจารย์ว่า “ท่านซักไซ้ไล่เลียงกับเขาด้วยข้อความอันใด”
มก 9.33 พระองค์จึงเสด็จมายังเมืองคาเปอรนาอุม และเมื่อเข้าไปในเรือนแล้ว พระองค์ตรัสถามเหล่าสาวกว่า “เมื่อมาตามทางนั้น ท่านทั้งหลายได้โต้แย้งกันด้วยข้อความอันใด”
ลก 8.10 พระองค์จึงตรัสว่า “ข้อความลึกลับแห่งอาณาจักรของพระเจ้าทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่สำหรับคนอื่นนั้นได้ให้เป็นคำอุปมา เพื่อเมื่อเขาดูก็ไม่เห็น และเมื่อเขาได้ยินก็ไม่เข้าใจ
ลก 24.48 ท่านทั้งหลายเป็นพยานด้วยข้อความเหล่านั้น
ยน 7.15 พวกยิวคิดประหลาดใจและพูดว่า “คนนี้จะรู้ข้อความเหล่านี้ได้อย่างไร ในเมื่อไม่เคยเรียนเลย”
กจ 5.20 “จงไปยืนในพระวิหาร ประกาศบรรดาข้อความแห่งชีวิตนี้ให้ประชาชนฟัง”
กจ 11.15 เมื่อข้าพเจ้าตั้งต้นกล่าวข้อความนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จมาสถิตกับเขาทั้งหลาย เหมือนได้เสด็จลงมาบนพวกเราในตอนต้นนั้น
กจ 15.27 เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าทั้งหลายจึงใช้ยูดาสกับสิลาสมาเป็นผู้ซึ่งจะเล่าข้อความนี้แก่ท่านทั้งหลายด้วยปากของเขาเอง
กจ 17.2 เปาโลจึงเข้าไปร่วมกับพวกเขาตามอย่างเคย และท่านได้อ้างข้อความในพระคัมภีร์โต้ตอบกับเขาทั้งสามวันสะบาโต
กจ 17.3 และไขข้อความชี้แจงให้เห็นว่าจำเป็นที่พระคริสต์ต้องทนทุกข์ทรมาน แล้วทรงคืนพระชนม์และกล่าวต่อไปว่า “พระเยซูองค์นี้ที่เราประกาศแก่ท่านทั้งหลายคือพระคริสต์”
กจ 17.11 ชาวเมืองนั้นสุภาพกว่าชาวเมืองเธสะโลนิกา ด้วยเขาได้รับพระวจนะด้วยความเต็มใจ และค้นดูพระคัมภีร์ทุกวัน หวังจะรู้ว่า ข้อความเหล่านั้นจะจริงดังกล่าวหรือไม่
กจ 18.15 แต่ถ้าเป็นการโต้แย้งกันถึงเรื่องถ้อยคำกับชื่อและพระราชบัญญัติของพวกท่านแล้ว ท่านทั้งหลายจงวินิจฉัยกันเอาเองเถิด เราไม่อยากเป็นผู้พิพากษาตัดสินข้อความเหล่านั้น”
กจ 26.26 ด้วยว่าท่านกษัตริย์ทรงทราบข้อความเหล่านี้ดีแล้ว ข้าพระองค์จึงกล้ากล่าวต่อพระพักตร์ของพระองค์ เพราะข้าพระองค์เชื่อแน่ว่า ไม่มีสักอย่างหนึ่งในบรรดาเหตุการณ์เหล่านั้นที่ได้พ้นพระเนตรของพระองค์ เพราะการเหล่านั้นมิได้กระทำกันในที่ลับลี้
กจ 28.23 เมื่อเขานัดวันพบกับท่าน คนเป็นอันมากก็พากันมาหายังที่อาศัยของท่าน ท่านจึงกล่าวแก่เขาตั้งแต่เช้าจนเย็น เป็นพยานถึงอาณาจักรของพระเจ้า และชักชวนให้เขาเชื่อถือในพระเยซู โดยใช้ข้อความจากพระราชบัญญัติของโมเสส และจากคัมภีร์ศาสดาพยากรณ์
กจ 28.25 และเมื่อเขาไม่เห็นพ้องกันจึงลาไป เมื่อเปาโลได้กล่าวข้อความแถมว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสกับบรรพบุรุษของเราทั้งหลาย โดยอิสยาห์ศาสดาพยากรณ์ถูกต้องดีแล้ว
รม 11.25 เหตุฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่านทั้งหลายเขลาในข้อความลึกลับนี้ เกลือกว่าท่านจะอวดรู้ คือเรื่องที่บางคนในพวกอิสราเอลได้มีใจแข็งกระด้างไป จนถึงพวกต่างชาติได้เข้ามาครบจำนวน
รม 16.25 บัดนี้จงถวายพระเกียรติแด่พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์สามารถให้ท่านทั้งหลายตั้งมั่นคง ตามข่าวประเสริฐซึ่งข้าพเจ้าได้ประกาศนั้น และตามที่ได้ประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์ ตามการเปิดเผยข้อความอันลึกลับซึ่งได้ปิดบังไว้ตั้งแต่สร้างโลก
1คร 4.14 ข้าพเจ้ามิได้เขียนข้อความเหล่านี้เพื่อจะให้ท่านได้อาย แต่เขียนเพื่อเตือนสติในฐานะที่ท่านเป็นลูกที่รักของข้าพเจ้า
1คร 14.26 พี่น้องทั้งหลาย เมื่อท่านประชุมกัน ทุกคนก็มีเพลงสดุดี ทุกคนก็มีคำสั่งสอน ทุกคนก็พูดภาษาต่างๆ ทุกคนก็มีคำวิวรณ์ ทุกคนก็แปลข้อความ จะว่าอย่างไรกัน ท่านจงกระทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้จำเริญขึ้น
1คร 14.29 ฝ่ายพวกผู้พยากรณ์นั้นให้พูดสองหรือสามคน และให้คนอื่นวินิจฉัยข้อความที่เขาพูดนั้น
1คร 14.37 ถ้าผู้ใดถือว่าตนเป็นผู้พยากรณ์หรืออยู่ฝ่ายจิตวิญญาณ ก็ให้เขายอมรับว่า ข้อความซึ่งข้าพเจ้าเขียนมาถึงท่านนั้นเป็นพระบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้า
1คร 14.38 แต่ถ้าผู้ใดเฉยเมยต่อข้อความนี้ ก็ให้เขาเฉยเมยต่อไป
2คร 2.3 และข้าพเจ้าได้เขียนข้อความนั้นมาถึงท่าน เพื่อว่าเมื่อข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าจะไม่ได้รับความทุกข์จากคนเหล่านั้น ที่ควรจะทำให้ข้าพเจ้ามีความชื่นชมยินดี ข้าพเจ้าไว้ใจในพวกท่านว่า ความยินดีของข้าพเจ้าก็เป็นความยินดีของท่านด้วย
2คร 13.10 เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงเขียนข้อความนี้เมื่อข้าพเจ้าไม่อยู่ ด้วยเพื่อเมื่อข้าพเจ้ามาแล้ว จะได้ไม่ต้องกวดขันท่านโดยใช้อำนาจ ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรดประทานให้แก่ข้าพเจ้า เพื่อการก่อขึ้นมิใช่เพื่อการทำลายลง
กท 3.10 เพราะว่าคนทั้งหลายซึ่งพึ่งการกระทำตามพระราชบัญญัติก็ถูกสาปแช่ง เพราะมีคำเขียนไว้ว่า ‘ทุกคนที่มิได้ประพฤติตามทุกข้อความที่เขียนไว้ในหนังสือพระราชบัญญัติก็ถูกสาปแช่ง’
กท 4.24 ข้อความนี้เป็นอุปไมย ผู้หญิงสองคนนั้นได้แก่พันธสัญญาสองอย่าง คนหนึ่งมาจากภูเขาซีนาย คลอดลูกเป็นทาส คือ นางฮาการ์
ฟป 3.1 สุดท้ายนี้ พวกพี่น้องของข้าพเจ้า จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า การที่ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้ถึงท่านซ้ำอีก ก็หาเป็นการลำบากแก่ข้าพเจ้าไม่ แต่เป็นการปลอดภัยสำหรับท่านทั้งหลาย
คส 1.26 คือข้อความลึกลับซึ่งซ่อนเร้นอยู่หลายยุคและหลายชั่วอายุนั้น แต่บัดนี้ได้ทรงโปรดให้เป็นที่ประจักษ์แก่วิสุทธิชนของพระองค์แล้ว
คส 4.4 เพื่อข้าพเจ้าจะได้กล่าวชี้แจงข้อความตามสมควรที่ข้าพเจ้าควรจะกล่าวนั้น
1ทธ 1.18 ทิโมธีบุตรเอ๋ย คำกำชับนี้ข้าพเจ้าได้ให้ไว้กับท่านตามคำพยากรณ์ซึ่งมาล่วงหน้าเล็งถึงท่าน เพื่อข้อความเหล่านั้นท่านจะได้เข้าสู้รบได้ดี
1ทธ 3.14 ข้อความเหล่านี้ข้าพเจ้าเขียนฝากมายังท่าน หวังใจว่าไม่ช้าไม่นานข้าพเจ้าจะมาหาท่าน
1ทธ 4.15 จงเอาใจใส่ในข้อความเหล่านี้ ฝังตัวท่านไว้ในการนี้ทีเดียว เพื่อความจำเริญของท่านจะได้ปรากฏแจ้งแก่คนทั้งปวง
1ทธ 5.7 จงกำชับข้อความเหล่านี้ เพื่อเขาจะไม่ถูกตำหนิ
1ทธ 5.21 ข้าพเจ้ากำชับท่านต่อพระพักตร์พระเจ้าและต่อพระเยซูคริสต์เจ้า และต่อเหล่าทูตสวรรค์ที่ทรงเลือกสรรไว้แล้วนั้น ให้ท่านรักษาข้อความเหล่านี้ไว้โดยไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด และไม่กระทำการใดๆด้วยใจลำเอียง
1ทธ 6.2 ฝ่ายคนเหล่านั้นผู้มีนายเป็นผู้มีความเชื่อก็อย่าให้เขาประมาทนาย เพราะว่าเหตุที่ได้มาเป็นพี่น้องกันแล้ว แต่ยิ่งกว่านั้นเขาต้องรับใช้นายให้ดีขึ้น เพราะเหตุว่านายผู้ที่จะได้รับประโยชน์เป็นผู้สัตย์ซื่อและเป็นที่รัก ข้อความเหล่านี้จงสั่งสอนและตักเตือนกัน
2ทธ 1.14 ข้อความอันดีนั้นซึ่งทรงฝากไว้กับท่าน ท่านจงรักษาโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ในเรา
2ทธ 2.14 จงเตือนเขาทั้งหลายให้ระลึกถึงข้อความเหล่านี้ และกำชับเขาต่อพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ให้เขาโต้เถียงกันในเรื่องถ้อยคำ ซึ่งไม่เป็นประโยชน์เลย แต่กลับเป็นเหตุให้คนที่ฟังเขวไป
ทต 2.15 ข้อความเหล่านี้ ท่านจงใช้พูด ตักเตือน และว่ากล่าวเขาด้วยสิทธิอำนาจทุกอย่าง อย่าให้ผู้ใดประมาทท่านได้
ฮบ 2.1 เหตุฉะนั้นเราควรจะสนใจในข้อความเหล่านั้นที่เราได้ยินได้ฟังให้มากขึ้นอีก เพราะมิฉะนั้นในเวลาหนึ่งเวลาใดเราจะห่างไกลไปจากข้อความเหล่านั้น
ฮบ 12.20 (เพราะว่าข้อความที่ทรงบัญญัติไว้นั้นเขาทนไม่ได้ คือที่ว่า “แม้แต่สัตว์ถ้าแตะต้องภูเขานั้นก็จะต้องถูกขว้างด้วยก้อนหินให้ตาย หรือแทงทะลุด้วยแหลนให้ตาย”
1ปต 3.16 มีใจวินิจฉัยผิดและชอบอันดี เพื่อในข้อความที่เขาทั้งหลายได้พูดใส่ร้ายท่านเหมือนเป็นผู้ประพฤติชั่ว เขาที่ใส่ร้ายการประพฤติดีของท่านในพระคริสต์จะได้มีความละอาย
2ปต 1.13 ตราบใดที่ข้าพเจ้ายังอาศัยอยู่ในพลับพลานี้ ข้าพเจ้าเห็นสมควรที่จะเตือนสติท่านทั้งหลายให้ระลึกถึงข้อความเหล่านี้
1ยน 1.4 และเราเขียนข้อความเหล่านี้ถึงท่านทั้งหลาย เพื่อความยินดีของท่านจะได้เต็มเปี่ยม
1ยน 1.5 แล้วนี่เป็นข้อความที่เราได้ยินจากพระองค์ และประกาศแก่ท่านทั้งหลาย คือว่าพระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และไม่มีความมืดอยู่ในพระองค์เลย
1ยน 2.1 ลูกเล็กๆของข้าพเจ้าเอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้ถึงท่านทั้งหลาย เพื่อท่านจะได้ไม่ทำบาป และถ้าผู้ใดทำบาป เราก็มีพระองค์ผู้ช่วยเหลือสถิตอยู่กับพระบิดา คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงชอบธรรมนั้น
1ยน 2.8 อีกนัยหนึ่ง ข้าพเจ้าเขียนพระบัญญัติใหม่ถึงท่านทั้งหลาย และข้อความนั้นก็เป็นความจริงทั้งฝ่ายพระองค์และฝ่ายท่านทั้งหลาย เพราะว่าความมืดนั้นล่วงไปแล้ว และบัดนี้ความสว่างแท้ก็ส่องอยู่
1ยน 2.24 เหตุฉะนั้น จงให้ข้อความที่ท่านได้ยินมาตั้งแต่ต้นนั้นดำรงอยู่กับท่านเถิด ถ้าข้อความที่ท่านได้ยินตั้งแต่ต้นนั้นดำรงอยู่กับท่าน ท่านจะตั้งมั่นคงอยู่ในพระบุตรและในพระบิดาด้วย
1ยน 2.26 ข้าพเจ้าเขียนข้อความนี้ถึงท่าน เกี่ยวกับคนเหล่านั้นที่ล่อลวงท่าน
1ยน 5.13 ข้อความเหล่านี้ข้าพเจ้าได้เขียนมาถึงท่านทั้งหลายที่เชื่อในพระนามของพระบุตรของพระเจ้า เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่าท่านมีชีวิตนิรันดร์ และเพื่อท่านจะได้เชื่อในพระนามของพระบุตรของพระเจ้า
2ยน 1.12 ข้าพเจ้ายังมีข้อความอีกหลายข้อที่จะเขียนมาถึงท่าน แต่ก็ไม่อยากจะเขียนด้วยกระดาษและน้ำหมึก ข้าพเจ้าหวังใจว่าจะมาหาท่าน และสนทนากันต่อหน้า เพื่อความปีติยินดีของเราจะได้เต็มเปี่ยม
วว 1.3 ขอความสุขจงมีแก่บรรดาผู้อ่านและผู้ฟังคำพยากรณ์เหล่านี้ และถือรักษาข้อความที่เขียนไว้ในคำพยากรณ์นี้ เพราะว่าเวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว
วว 2.7 ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความซึ่งพระวิญญาณตรัสไว้แก่คริสตจักรทั้งหลาย ผู้ใดมีชัยชนะ เราจะให้ผู้นั้นกินผลจากต้นไม้แห่งชีวิต ที่อยู่ในท่ามกลางอุทยานสวรรค์ของพระเจ้า’
วว 2.11 ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความซึ่งพระวิญญาณตรัสไว้แก่คริสตจักรทั้งหลาย ผู้ที่มีชัยชนะจะไม่ได้รับอันตรายจากความตายครั้งที่สองเลย’
วว 2.17 ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความซึ่งพระวิญญาณตรัสไว้แก่คริสตจักรทั้งหลาย ผู้ที่มีชัยชนะ เราจะให้ผู้นั้นกินมานาที่ซ่อนอยู่ และจะให้หินขาวแก่ผู้นั้นด้วย ที่หินนั้นมีชื่อใหม่จารึกไว้ซึ่งไม่มีผู้ใดรู้เลยนอกจากผู้ที่รับเท่านั้น’
วว 2.29 ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความซึ่งพระวิญญาณตรัสไว้แก่คริสตจักรทั้งหลายเถิด’”
วว 3.6 ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความซึ่งพระวิญญาณตรัสไว้แก่คริสตจักรทั้งหลายเถิด’
วว 3.13 ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความซึ่งพระวิญญาณตรัสไว้แก่คริสตจักรทั้งหลายเถิด’
วว 3.22 ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความซึ่งพระวิญญาณตรัสไว้แก่คริสตจักรทั้งหลายเถิด’”
วว 10.4 เมื่อเสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดดังขึ้นแล้ว ข้าพเจ้าจึงลงมือจะเขียน แต่ข้าพเจ้าได้ยินพระสุรเสียงจากสวรรค์ตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า “จงประทับตราปิดข้อความซึ่งฟ้าร้องทั้งเจ็ดได้ร้องนั้น จงอย่าเขียนข้อความเหล่านั้น”
วว 20.12 ข้าพเจ้าได้เห็นบรรดาผู้ที่ตายแล้ว ทั้งผู้น้อยและผู้ใหญ่ ยืนอยู่จำเพาะพระพักตร์พระเจ้า และหนังสือต่างๆก็เปิดออก หนังสืออีกม้วนหนึ่งก็เปิดออกด้วย คือหนังสือแห่งชีวิต และผู้ที่ตายไปแล้วก็ถูกพิพากษาตามข้อความที่จารึกไว้ในหนังสือเหล่านั้น ตามที่เขาได้กระทำ
วว 22.19 และถ้าผู้ใดตัดข้อความออกจากหนังสือพยากรณ์นี้ พระเจ้าก็จะทรงเอาส่วนแบ่งของผู้นั้นที่มีอยู่ในหนังสือแห่งชีวิต และที่มีอยู่ในเมืองบริสุทธิ์นั้น และจากสิ่งที่มีเขียนไว้ในหนังสือม้วนนี้ไปเสีย

ข้อคัดค้าน ( 1 )
กจ 4.14 เมื่อเขาเห็นคนนั้นที่หายโรคยืนอยู่กับเปโตรและยอห์น เขาก็ไม่มีข้อคัดค้านที่จะพูดขึ้นได้

ข้อเคร่ง ( 1 )
รม 15.1 พวกเราที่มีความเชื่อเข้มแข็งควรจะอดทนในข้อเคร่งหยุมๆหยิมๆของคนที่อ่อนในความเชื่อ และไม่ควรกระทำสิ่งใดตามความพอใจของตัวเอง

ของ ( 31053 )
ปฐก 1.2; ปฐก 1.11; ปฐก 1.12; ปฐก 1.21; ปฐก 1.24; ปฐก 1.25; ปฐก 1.26; ปฐก 1.27; ปฐก 2.2; ปฐก 2.3; ปฐก 2.4; ปฐก 2.7; ปฐก 2.11; ปฐก 2.14; ปฐก 2.21; ปฐก 2.23; ปฐก 2.24; ปฐก 2.25; ปฐก 3.2; ปฐก 3.3; ปฐก 3.5; ปฐก 3.6; ปฐก 3.7; ปฐก 3.8; ปฐก 3.10; ปฐก 3.14; ปฐก 3.15; ปฐก 3.16; ปฐก 3.17; ปฐก 3.20; ปฐก 3.24; ปฐก 4.1; ปฐก 4.2; ปฐก 4.4; ปฐก 4.5; ปฐก 4.8; ปฐก 4.9; ปฐก 4.10; ปฐก 4.11; ปฐก 4.13; ปฐก 4.14; ปฐก 4.16; ปฐก 4.17; ปฐก 4.20; ปฐก 4.21; ปฐก 4.23; ปฐก 4.25; ปฐก 4.26; ปฐก 5.1; ปฐก 5.3; ปฐก 5.8; ปฐก 5.11; ปฐก 5.14; ปฐก 5.17; ปฐก 5.20; ปฐก 5.23; ปฐก 5.27; ปฐก 5.29; ปฐก 5.31; ปฐก 6.2; ปฐก 6.3; ปฐก 6.4; ปฐก 6.5; ปฐก 6.6; ปฐก 6.8; ปฐก 6.9; ปฐก 6.18; ปฐก 6.20; ปฐก 7.11; ปฐก 7.13; ปฐก 7.14; ปฐก 8.5; ปฐก 8.13; ปฐก 8.14; ปฐก 8.16; ปฐก 8.19; ปฐก 8.21; ปฐก 9.1; ปฐก 9.3; ปฐก 9.4; ปฐก 9.5; ปฐก 9.6; ปฐก 9.9; ปฐก 9.11; ปฐก 9.13; ปฐก 9.15; ปฐก 9.18; ปฐก 9.19; ปฐก 9.21; ปฐก 9.22; ปฐก 9.23; ปฐก 9.24; ปฐก 9.25; ปฐก 9.26; ปฐก 9.27; ปฐก 9.29; ปฐก 10.1; ปฐก 10.2; ปฐก 10.3; ปฐก 10.4; ปฐก 10.5; ปฐก 10.6; ปฐก 10.7; ปฐก 10.10; ปฐก 10.11; ปฐก 10.18; ปฐก 10.19; ปฐก 10.20; ปฐก 10.21; ปฐก 10.22; ปฐก 10.25; ปฐก 10.29; ปฐก 10.30; ปฐก 10.31; ปฐก 10.32; ปฐก 11.4; ปฐก 11.5; ปฐก 11.7; ปฐก 11.9; ปฐก 11.10; ปฐก 11.27; ปฐก 11.28; ปฐก 11.29; ปฐก 11.31; ปฐก 12.1; ปฐก 12.5; ปฐก 12.7; ปฐก 12.8; ปฐก 12.11; ปฐก 12.12; ปฐก 12.13; ปฐก 12.15; ปฐก 12.17; ปฐก 12.18; ปฐก 12.19; ปฐก 13.1; ปฐก 13.3; ปฐก 13.4; ปฐก 13.6; ปฐก 13.7; ปฐก 13.8; ปฐก 13.10; ปฐก 13.11; ปฐก 13.15; ปฐก 13.16; ปฐก 13.18; ปฐก 14.1; ปฐก 14.6; ปฐก 14.7; ปฐก 14.11; ปฐก 14.12; ปฐก 14.13; ปฐก 14.14; ปฐก 14.15; ปฐก 14.16; ปฐก 14.17; ปฐก 14.18; ปฐก 14.20; ปฐก 14.22; ปฐก 14.23; ปฐก 14.24; ปฐก 15.1; ปฐก 15.2; ปฐก 15.3; ปฐก 15.4; ปฐก 15.5; ปฐก 15.7; ปฐก 15.13; ปฐก 15.15; ปฐก 15.16; ปฐก 15.18; ปฐก 15.19; ปฐก 16.1; ปฐก 16.2; ปฐก 16.3; ปฐก 16.4; ปฐก 16.5; ปฐก 16.6; ปฐก 16.7; ปฐก 16.8; ปฐก 16.9; ปฐก 16.10; ปฐก 16.11; ปฐก 16.12; ปฐก 16.13; ปฐก 16.15; ปฐก 17.2; ปฐก 17.4; ปฐก 17.5; ปฐก 17.7; ปฐก 17.8; ปฐก 17.9; ปฐก 17.10; ปฐก 17.11; ปฐก 17.12; ปฐก 17.13; ปฐก 17.14; ปฐก 17.15; ปฐก 17.16; ปฐก 17.17; ปฐก 17.18; ปฐก 17.19; ปฐก 17.21; ปฐก 17.23; ปฐก 17.24; ปฐก 17.25; ปฐก 17.26; ปฐก 17.27; ปฐก 18.1; ปฐก 18.2; ปฐก 18.3; ปฐก 18.4; ปฐก 18.5; ปฐก 18.9; ปฐก 18.10; ปฐก 18.11; ปฐก 18.12; ปฐก 18.19; ปฐก 18.20; ปฐก 18.25; ปฐก 18.33; ปฐก 19.1; ปฐก 19.2; ปฐก 19.3; ปฐก 19.8; ปฐก 19.12; ปฐก 19.13; ปฐก 19.14; ปฐก 19.15; ปฐก 19.16; ปฐก 19.18; ปฐก 19.19; ปฐก 19.20; ปฐก 19.26; ปฐก 19.30; ปฐก 19.31; ปฐก 19.32; ปฐก 19.33; ปฐก 19.34; ปฐก 19.35; ปฐก 19.36; ปฐก 19.37; ปฐก 19.38; ปฐก 20.2; ปฐก 20.3; ปฐก 20.5; ปฐก 20.7; ปฐก 20.8; ปฐก 20.9; ปฐก 20.11; ปฐก 20.12; ปฐก 20.13; ปฐก 20.14; ปฐก 20.15; ปฐก 20.16; ปฐก 20.17; ปฐก 20.18; ปฐก 21.4; ปฐก 21.9; ปฐก 21.10; ปฐก 21.11; ปฐก 21.12; ปฐก 21.13; ปฐก 21.16; ปฐก 21.17; ปฐก 21.19; ปฐก 21.22; ปฐก 21.23; ปฐก 21.32; ปฐก 22.2; ปฐก 22.3; ปฐก 22.5; ปฐก 22.6; ปฐก 22.11; ปฐก 22.12; ปฐก 22.13; ปฐก 22.14; ปฐก 22.15; ปฐก 22.16; ปฐก 22.17; ปฐก 22.18; ปฐก 22.19; ปฐก 22.20; ปฐก 22.21; ปฐก 22.23; ปฐก 22.24; ปฐก 23.3; ปฐก 23.4; ปฐก 23.5; ปฐก 23.6; ปฐก 23.7; ปฐก 23.8; ปฐก 23.9; ปฐก 23.10; ปฐก 23.11; ปฐก 23.13; ปฐก 23.15; ปฐก 23.16; ปฐก 23.17; ปฐก 23.18; ปฐก 23.19; ปฐก 23.20; ปฐก 24.2; ปฐก 24.3; ปฐก 24.4; ปฐก 24.5; ปฐก 24.6; ปฐก 24.7; ปฐก 24.8; ปฐก 24.9; ปฐก 24.10; ปฐก 24.12; ปฐก 24.13; ปฐก 24.14; ปฐก 24.15; ปฐก 24.17; ปฐก 24.18; ปฐก 24.19; ปฐก 24.20; ปฐก 24.21; ปฐก 24.23; ปฐก 24.24; ปฐก 24.27; ปฐก 24.28; ปฐก 24.30; ปฐก 24.31; ปฐก 24.32; ปฐก 24.34; ปฐก 24.37; ปฐก 24.38; ปฐก 24.40; ปฐก 24.41; ปฐก 24.42; ปฐก 24.43; ปฐก 24.44; ปฐก 24.45; ปฐก 24.46; ปฐก 24.47; ปฐก 24.48; ปฐก 24.51; ปฐก 24.52; ปฐก 24.53; ปฐก 24.55; ปฐก 24.56; ปฐก 24.59; ปฐก 24.60; ปฐก 24.61; ปฐก 24.65; ปฐก 24.67; ปฐก 25.3; ปฐก 25.4; ปฐก 25.6; ปฐก 25.7; ปฐก 25.8; ปฐก 25.9; ปฐก 25.10; ปฐก 25.11; ปฐก 25.12; ปฐก 25.13; ปฐก 25.16; ปฐก 25.17; ปฐก 25.18; ปฐก 25.19; ปฐก 25.20; ปฐก 25.21; ปฐก 25.22; ปฐก 25.23; ปฐก 25.24; ปฐก 25.26; ปฐก 25.31; ปฐก 25.33; ปฐก 25.34; ปฐก 26.3; ปฐก 26.4; ปฐก 26.5; ปฐก 26.7; ปฐก 26.8; ปฐก 26.9; ปฐก 26.10; ปฐก 26.11; ปฐก 26.15; ปฐก 26.18; ปฐก 26.19; ปฐก 26.20; ปฐก 26.24; ปฐก 26.25; ปฐก 26.26; ปฐก 26.32; ปฐก 26.34; ปฐก 27.1; ปฐก 27.3; ปฐก 27.4; ปฐก 27.6; ปฐก 27.8; ปฐก 27.11; ปฐก 27.12; ปฐก 27.13; ปฐก 27.14; ปฐก 27.15; ปฐก 27.16; ปฐก 27.17; ปฐก 27.18; ปฐก 27.19; ปฐก 27.20; ปฐก 27.21; ปฐก 27.22; ปฐก 27.23; ปฐก 27.24; ปฐก 27.25; ปฐก 27.26; ปฐก 27.27; ปฐก 27.28; ปฐก 27.29; ปฐก 27.31; ปฐก 27.32; ปฐก 27.34; ปฐก 27.35; ปฐก 27.36; ปฐก 27.37; ปฐก 27.39; ปฐก 27.40; ปฐก 27.41; ปฐก 27.42; ปฐก 27.43; ปฐก 27.44; ปฐก 27.45; ปฐก 27.46; ปฐก 28.2; ปฐก 28.4; ปฐก 28.5; ปฐก 28.8; ปฐก 28.9; ปฐก 28.12; ปฐก 28.13; ปฐก 28.14; ปฐก 28.17; ปฐก 28.21; ปฐก 28.22; ปฐก 29.1; ปฐก 29.6; ปฐก 29.9; ปฐก 29.10; ปฐก 29.12; ปฐก 29.13; ปฐก 29.14; ปฐก 29.15; ปฐก 29.18; ปฐก 29.23; ปฐก 29.24; ปฐก 29.27; ปฐก 29.28; ปฐก 29.29; ปฐก 29.31; ปฐก 29.32; ปฐก 30.3; ปฐก 30.4; ปฐก 30.6; ปฐก 30.7; ปฐก 30.8; ปฐก 30.9; ปฐก 30.10; ปฐก 30.12; ปฐก 30.14; ปฐก 30.15; ปฐก 30.16; ปฐก 30.22; ปฐก 30.23; ปฐก 30.25; ปฐก 30.29; ปฐก 30.30; ปฐก 30.31; ปฐก 30.32; ปฐก 30.33; ปฐก 30.35; ปฐก 30.36; ปฐก 30.40; ปฐก 30.42; ปฐก 31.1; ปฐก 31.2; ปฐก 31.3; ปฐก 31.5; ปฐก 31.6; ปฐก 31.7; ปฐก 31.8; ปฐก 31.9; ปฐก 31.11; ปฐก 31.13; ปฐก 31.15; ปฐก 31.16; ปฐก 31.18; ปฐก 31.19; ปฐก 31.26; ปฐก 31.28; ปฐก 31.30; ปฐก 31.31; ปฐก 31.32; ปฐก 31.33; ปฐก 31.35; ปฐก 31.37; ปฐก 31.38; ปฐก 31.41; ปฐก 31.42; ปฐก 31.43; ปฐก 31.50; ปฐก 31.53; ปฐก 31.54; ปฐก 32.1; ปฐก 32.2; ปฐก 32.3; ปฐก 32.4; ปฐก 32.5; ปฐก 32.6; ปฐก 32.9; ปฐก 32.10; ปฐก 32.11; ปฐก 32.12; ปฐก 32.13; ปฐก 32.16; ปฐก 32.17; ปฐก 32.18; ปฐก 32.20; ปฐก 32.23; ปฐก 32.25; ปฐก 32.32; ปฐก 33.3; ปฐก 33.5; ปฐก 33.7; ปฐก 33.8; ปฐก 33.9; ปฐก 33.10; ปฐก 33.14; ปฐก 33.15; ปฐก 33.17; ปฐก 33.18; ปฐก 33.19; ปฐก 34.1; ปฐก 34.3; ปฐก 34.4; ปฐก 34.5; ปฐก 34.6; ปฐก 34.7; ปฐก 34.8; ปฐก 34.9; ปฐก 34.11; ปฐก 34.13; ปฐก 34.14; ปฐก 34.15; ปฐก 34.16; ปฐก 34.17; ปฐก 34.18; ปฐก 34.19; ปฐก 34.21; ปฐก 34.23; ปฐก 34.25; ปฐก 34.27; ปฐก 34.29; ปฐก 35.1; ปฐก 35.2; ปฐก 35.4; ปฐก 35.5; ปฐก 35.8; ปฐก 35.11; ปฐก 35.12; ปฐก 35.22; ปฐก 35.23; ปฐก 35.24; ปฐก 35.25; ปฐก 35.26; ปฐก 35.27; ปฐก 35.29; ปฐก 36.1; ปฐก 36.3; ปฐก 36.5; ปฐก 36.6; ปฐก 36.7; ปฐก 36.9; ปฐก 36.10; ปฐก 36.11; ปฐก 36.12; ปฐก 36.13; ปฐก 36.14; ปฐก 36.15; ปฐก 36.16; ปฐก 36.17; ปฐก 36.18; ปฐก 36.19; ปฐก 36.20; ปฐก 36.21; ปฐก 36.22; ปฐก 36.23; ปฐก 36.24; ปฐก 36.25; ปฐก 36.26; ปฐก 36.27; ปฐก 36.28; ปฐก 36.29; ปฐก 36.30; ปฐก 36.32; ปฐก 36.34; ปฐก 36.35; ปฐก 36.39; ปฐก 36.40; ปฐก 36.43; ปฐก 37.1; ปฐก 37.2; ปฐก 37.3; ปฐก 37.7; ปฐก 37.8; ปฐก 37.10; ปฐก 37.12; ปฐก 37.13; ปฐก 37.14; ปฐก 37.16; ปฐก 37.27; ปฐก 37.29; ปฐก 37.31; ปฐก 37.32; ปฐก 37.35; ปฐก 37.36; ปฐก 38.2; ปฐก 38.6; ปฐก 38.7; ปฐก 38.8; ปฐก 38.9; ปฐก 38.11; ปฐก 38.12; ปฐก 38.13; ปฐก 38.14; ปฐก 38.16; ปฐก 38.23; ปฐก 38.24; ปฐก 38.25; ปฐก 38.26; ปฐก 39.1; ปฐก 39.2; ปฐก 39.3; ปฐก 39.4; ปฐก 39.5; ปฐก 39.6; ปฐก 39.7; ปฐก 39.8; ปฐก 39.9; ปฐก 39.11; ปฐก 39.13; ปฐก 39.14; ปฐก 39.19; ปฐก 39.21; ปฐก 39.22; ปฐก 40.1; ปฐก 40.3; ปฐก 40.5; ปฐก 40.7; ปฐก 40.9; ปฐก 40.11; ปฐก 40.13; ปฐก 40.17; ปฐก 40.19; ปฐก 40.20; ปฐก 40.21; ปฐก 41.8; ปฐก 41.9; ปฐก 41.10; ปฐก 41.11; ปฐก 41.12; ปฐก 41.17; ปฐก 41.22; ปฐก 41.25; ปฐก 41.35; ปฐก 41.37; ปฐก 41.38; ปฐก 41.40; ปฐก 41.42; ปฐก 41.51; ปฐก 42.1; ปฐก 42.3; ปฐก 42.4; ปฐก 42.5; ปฐก 42.6; ปฐก 42.7; ปฐก 42.9; ปฐก 42.10; ปฐก 42.11; ปฐก 42.12; ปฐก 42.13; ปฐก 42.16; ปฐก 42.19; ปฐก 42.21; ปฐก 42.22; ปฐก 42.25; ปฐก 42.27; ปฐก 42.28; ปฐก 42.29; ปฐก 42.30; ปฐก 42.33; ปฐก 42.35; ปฐก 42.36; ปฐก 42.37; ปฐก 42.38; ปฐก 43.7; ปฐก 43.8; ปฐก 43.11; ปฐก 43.12; ปฐก 43.13; ปฐก 43.18; ปฐก 43.19; ปฐก 43.21; ปฐก 43.22; ปฐก 43.23; ปฐก 43.24; ปฐก 43.27; ปฐก 43.28; ปฐก 43.32; ปฐก 43.34; ปฐก 44.1; ปฐก 44.2; ปฐก 44.3; ปฐก 44.5; ปฐก 44.7; ปฐก 44.8; ปฐก 44.9; ปฐก 44.10; ปฐก 44.11; ปฐก 44.12; ปฐก 44.13; ปฐก 44.16; ปฐก 44.17; ปฐก 44.18; ปฐก 44.19; ปฐก 44.20; ปฐก 44.21; ปฐก 44.22; ปฐก 44.23; ปฐก 44.24; ปฐก 44.25; ปฐก 44.27; ปฐก 44.30; ปฐก 44.31; ปฐก 44.32; ปฐก 44.33; ปฐก 44.34; ปฐก 45.3; ปฐก 45.4; ปฐก 45.7; ปฐก 45.9; ปฐก 45.10; ปฐก 45.11; ปฐก 45.12; ปฐก 45.13; ปฐก 45.15; ปฐก 45.16; ปฐก 45.17; ปฐก 45.18; ปฐก 45.19; ปฐก 45.20; ปฐก 45.21; ปฐก 45.23; ปฐก 45.25; ปฐก 45.27; ปฐก 46.1; ปฐก 46.3; ปฐก 46.5; ปฐก 46.6; ปฐก 46.7; ปฐก 46.8; ปฐก 46.9; ปฐก 46.10; ปฐก 46.11; ปฐก 46.12; ปฐก 46.13; ปฐก 46.14; ปฐก 46.15; ปฐก 46.16; ปฐก 46.17; ปฐก 46.18; ปฐก 46.19; ปฐก 46.20; ปฐก 46.21; ปฐก 46.22; ปฐก 46.23; ปฐก 46.24; ปฐก 46.25; ปฐก 46.26; ปฐก 46.27; ปฐก 46.29; ปฐก 46.31; ปฐก 46.32; ปฐก 46.34; ปฐก 47.1; ปฐก 47.3; ปฐก 47.4; ปฐก 47.5; ปฐก 47.6; ปฐก 47.7; ปฐก 47.9; ปฐก 47.11; ปฐก 47.12; ปฐก 47.16; ปฐก 47.17; ปฐก 47.18; ปฐก 47.19; ปฐก 47.20; ปฐก 47.22; ปฐก 47.23; ปฐก 47.24; ปฐก 47.25; ปฐก 47.26; ปฐก 47.29; ปฐก 47.30; ปฐก 48.1; ปฐก 48.4; ปฐก 48.5; ปฐก 48.6; ปฐก 48.8; ปฐก 48.9; ปฐก 48.10; ปฐก 48.11; ปฐก 48.12; ปฐก 48.16; ปฐก 48.17; ปฐก 48.18; ปฐก 48.19; ปฐก 48.21; ปฐก 48.22; ปฐก 49.1; ปฐก 49.2; ปฐก 49.3; ปฐก 49.4; ปฐก 49.5; ปฐก 49.6; ปฐก 49.7; ปฐก 49.8; ปฐก 49.10; ปฐก 49.11; ปฐก 49.13; ปฐก 49.14; ปฐก 49.15; ปฐก 49.16; ปฐก 49.24; ปฐก 49.25; ปฐก 49.26; ปฐก 49.27; ปฐก 49.28; ปฐก 49.29; ปฐก 49.30; ปฐก 49.31; ปฐก 49.32; ปฐก 49.33; ปฐก 50.2; ปฐก 50.3; ปฐก 50.4; ปฐก 50.6; ปฐก 50.7; ปฐก 50.8; ปฐก 50.11; ปฐก 50.14; ปฐก 50.15; ปฐก 50.17; ปฐก 50.18; ปฐก 50.22; ปฐก 50.23; ปฐก 50.25; อพย 1.1; อพย 1.5; อพย 1.7; อพย 1.9; อพย 1.10; อพย 1.11; อพย 1.14; อพย 1.22; อพย 2.5; อพย 2.7; อพย 2.8; อพย 2.9; อพย 2.10; อพย 2.13; อพย 2.15; อพย 2.16; อพย 2.17; อพย 2.18; อพย 2.19; อพย 2.20; อพย 2.23; อพย 2.24; อพย 3.1; อพย 3.2; อพย 3.5; อพย 3.6; อพย 3.7; อพย 3.8; อพย 3.9; อพย 3.10; อพย 3.13; อพย 3.15; อพย 3.16; อพย 3.17; อพย 3.18; อพย 3.20; อพย 3.21; อพย 3.22; อพย 4.1; อพย 4.2; อพย 4.4; อพย 4.5; อพย 4.6; อพย 4.7; อพย 4.9; อพย 4.10; อพย 4.12; อพย 4.13; อพย 4.15; อพย 4.17; อพย 4.18; อพย 4.20; อพย 4.21; อพย 4.22; อพย 4.23; อพย 4.24; อพย 4.25; อพย 4.27; อพย 4.28; อพย 4.29; อพย 4.30; อพย 4.31; อพย 5.1; อพย 5.2; อพย 5.3; อพย 5.4; อพย 5.5; อพย 5.6; อพย 5.8; อพย 5.10; อพย 5.11; อพย 5.13; อพย 5.14; อพย 5.15; อพย 5.16; อพย 5.21; อพย 5.23; อพย 6.1; อพย 6.4; อพย 6.5; อพย 6.7; อพย 6.11; อพย 6.14; อพย 6.15; อพย 6.16; อพย 6.17; อพย 6.18; อพย 6.19; อพย 6.20; อพย 6.21; อพย 6.22; อพย 6.23; อพย 6.24; อพย 6.25; อพย 6.26; อพย 6.27; อพย 6.29; อพย 7.1; อพย 7.2; อพย 7.3; อพย 7.4; อพย 7.9; อพย 7.10; อพย 7.11; อพย 7.12; อพย 7.13; อพย 7.14; อพย 7.16; อพย 7.19; อพย 7.20; อพย 7.22; อพย 8.1; อพย 8.2; อพย 8.3; อพย 8.4; อพย 8.7; อพย 8.8; อพย 8.9; อพย 8.10; อพย 8.11; อพย 8.13; อพย 8.18; อพย 8.20; อพย 8.21; อพย 8.22; อพย 8.23; อพย 8.24; อพย 8.25; อพย 8.26; อพย 8.27; อพย 8.28; อพย 8.31; อพย 9.1; อพย 9.3; อพย 9.4; อพย 9.6; อพย 9.7; อพย 9.8; อพย 9.12; อพย 9.13; อพย 9.14; อพย 9.15; อพย 9.16; อพย 9.17; อพย 9.20; อพย 9.21; อพย 9.23; อพย 9.27; อพย 9.29; อพย 9.35; อพย 10.1; อพย 10.3; อพย 10.4; อพย 10.6; อพย 10.7; อพย 10.8; อพย 10.11; อพย 10.12; อพย 10.16; อพย 10.17; อพย 10.20; อพย 10.21; อพย 10.23; อพย 10.25; อพย 10.26; อพย 10.29; อพย 11.2; อพย 11.3; อพย 11.5; อพย 11.7; อพย 11.8; อพย 11.9; อพย 11.10; อพย 12.3; อพย 12.5; อพย 12.6; อพย 12.11; อพย 12.12; อพย 12.14; อพย 12.17; อพย 12.18; อพย 12.19; อพย 12.20; อพย 12.21; อพย 12.22; อพย 12.24; อพย 12.26; อพย 12.27; อพย 12.29; อพย 12.31; อพย 12.32; อพย 12.35; อพย 12.36; อพย 12.41; อพย 12.42; อพย 12.46; อพย 13.2; อพย 13.5; อพย 13.7; อพย 13.8; อพย 13.9; อพย 13.11; อพย 13.12; อพย 13.13; อพย 13.14; อพย 13.15; อพย 13.16; อพย 13.17; อพย 13.19; อพย 14.4; อพย 14.5; อพย 14.8; อพย 14.9; อพย 14.16; อพย 14.17; อพย 14.18; อพย 14.19; อพย 14.20; อพย 14.21; อพย 14.23; อพย 14.26; อพย 14.28; อพย 14.31; อพย 15.2; อพย 15.3; อพย 15.4; อพย 15.6; อพย 15.7; อพย 15.13; อพย 15.16; อพย 15.17; อพย 15.19; อพย 15.20; อพย 15.26; อพย 16.3; อพย 16.4; อพย 16.5; อพย 16.7; อพย 16.8; อพย 16.9; อพย 16.10; อพย 16.12; อพย 16.16; อพย 16.22; อพย 16.23; อพย 16.25; อพย 16.28; อพย 16.29; อพย 16.31; อพย 16.32; อพย 16.33; อพย 16.36; อพย 17.1; อพย 17.3; อพย 17.5; อพย 17.6; อพย 17.9; อพย 17.10; อพย 17.12; อพย 17.13; อพย 17.14; อพย 18.1; อพย 18.2; อพย 18.3; อพย 18.4; อพย 18.5; อพย 18.6; อพย 18.10; อพย 18.12; อพย 18.14; อพย 18.16; อพย 18.17; อพย 18.18; อพย 18.19; อพย 18.22; อพย 18.23; อพย 18.24; อพย 18.26; อพย 18.27; อพย 19.5; อพย 19.7; อพย 19.8; อพย 19.9; อพย 19.11; อพย 19.15; อพย 20.2; อพย 20.5; อพย 20.6; อพย 20.7; อพย 20.9; อพย 20.10; อพย 20.12; อพย 20.17; อพย 20.24; อพย 20.26; อพย 21.3; อพย 21.4; อพย 21.5; อพย 21.8; อพย 21.9; อพย 21.13; อพย 21.14; อพย 21.15; อพย 21.16; อพย 21.17; อพย 21.20; อพย 21.21; อพย 21.22; อพย 21.26; อพย 21.27; อพย 21.28; อพย 21.30; อพย 21.32; อพย 21.34; อพย 21.35; อพย 21.36; อพย 22.3; อพย 22.4; อพย 22.5; อพย 22.7; อพย 22.8; อพย 22.9; อพย 22.11; อพย 22.15; อพย 22.16; อพย 22.23; อพย 22.24; อพย 22.25; อพย 22.26; อพย 22.28; อพย 22.29; อพย 22.30; อพย 23.3; อพย 23.4; อพย 23.5; อพย 23.6; อพย 23.8; อพย 23.10; อพย 23.11; อพย 23.12; อพย 23.13; อพย 23.16; อพย 23.18; อพย 23.19; อพย 23.21; อพย 23.22; อพย 23.23; อพย 23.24; อพย 23.25; อพย 23.26; อพย 23.31; อพย 23.32; อพย 23.33; อพย 24.1; อพย 24.3; อพย 24.4; อพย 24.9; อพย 24.13; อพย 24.16; อพย 24.17; อพย 25.2; อพย 25.5; อพย 25.9; อพย 25.15; อพย 26.14; อพย 26.20; อพย 26.22; อพย 26.28; อพย 27.2; อพย 27.4; อพย 27.5; อพย 27.12; อพย 27.13; อพย 27.16; อพย 27.18; อพย 27.19; อพย 27.21; อพย 28.1; อพย 28.2; อพย 28.4; อพย 28.7; อพย 28.9; อพย 28.23; อพย 28.26; อพย 28.27; อพย 28.28; อพย 28.29; อพย 28.30; อพย 28.33; อพย 28.34; อพย 28.38; อพย 28.40; อพย 28.41; อพย 28.42; อพย 28.43; อพย 29.4; อพย 29.6; อพย 29.7; อพย 29.8; อพย 29.9; อพย 29.10; อพย 29.14; อพย 29.15; อพย 29.19; อพย 29.20; อพย 29.21; อพย 29.24; อพย 29.25; อพย 29.26; อพย 29.27; อพย 29.28; อพย 29.29; อพย 29.32; อพย 29.33; อพย 29.36; อพย 29.42; อพย 29.43; อพย 29.45; อพย 29.46; อพย 30.8; อพย 30.10; อพย 30.13; อพย 30.15; อพย 30.16; อพย 30.19; อพย 30.21; อพย 30.24; อพย 30.31; อพย 30.33; อพย 30.38; อพย 31.3; อพย 31.10; อพย 31.13; อพย 31.14; อพย 31.16; อพย 31.18; อพย 32.2; อพย 32.3; อพย 32.4; อพย 32.7; อพย 32.8; อพย 32.10; อพย 32.11; อพย 32.12; อพย 32.13; อพย 32.14; อพย 32.16; อพย 32.18; อพย 32.19; อพย 32.22; อพย 32.26; อพย 32.27; อพย 32.28; อพย 32.29; อพย 32.30; อพย 32.32; อพย 32.33; อพย 32.34; อพย 33.1; อพย 33.8; อพย 33.10; อพย 33.11; อพย 33.12; อพย 33.13; อพย 33.16; อพย 33.17; อพย 33.18; อพย 33.19; อพย 33.20; อพย 33.22; อพย 33.23; อพย 34.4; อพย 34.7; อพย 34.9; อพย 34.10; อพย 34.13; อพย 34.15; อพย 34.16; อพย 34.19; อพย 34.20; อพย 34.23; อพย 34.24; อพย 34.26; อพย 34.29; อพย 34.30; อพย 34.31; อพย 34.35; อพย 35.3; อพย 35.5; อพย 35.7; อพย 35.11; อพย 35.16; อพย 35.19; อพย 35.23; อพย 35.25; อพย 35.29; อพย 35.30; อพย 35.31; อพย 35.35; อพย 36.2; อพย 36.3; อพย 36.4; อพย 36.5; อพย 36.6; อพย 36.7; อพย 36.19; อพย 36.25; อพย 36.27; อพย 36.33; อพย 37.29; อพย 38.2; อพย 38.4; อพย 38.5; อพย 38.8; อพย 38.17; อพย 38.18; อพย 38.20; อพย 38.21; อพย 38.22; อพย 38.26; อพย 38.27; อพย 38.28; อพย 38.30; อพย 38.31; อพย 39.16; อพย 39.19; อพย 39.20; อพย 39.21; อพย 39.27; อพย 39.32; อพย 39.34; อพย 39.35; อพย 39.37; อพย 39.39; อพย 39.40; อพย 40.2; อพย 40.4; อพย 40.5; อพย 40.6; อพย 40.12; อพย 40.15; อพย 40.17; อพย 40.22; อพย 40.24; อพย 40.29; อพย 40.31; อพย 40.34; อพย 40.35; อพย 40.36; อพย 40.38; ลนต 1.2; ลนต 1.3; ลนต 1.4; ลนต 1.5; ลนต 1.7; ลนต 1.8; ลนต 1.9; ลนต 1.11; ลนต 2.2; ลนต 2.3; ลนต 2.7; ลนต 2.10; ลนต 2.13; ลนต 2.16; ลนต 3.2; ลนต 3.8; ลนต 3.12; ลนต 3.13; ลนต 3.16; ลนต 3.17; ลนต 4.7; ลนต 4.11; ลนต 4.15; ลนต 4.16; ลนต 4.18; ลนต 4.20; ลนต 4.21; ลนต 4.22; ลนต 4.25; ลนต 4.29; ลนต 4.30; ลนต 4.31; ลนต 4.33; ลนต 4.34; ลนต 4.35; ลนต 5.1; ลนต 5.3; ลนต 5.10; ลนต 5.13; ลนต 5.15; ลนต 5.16; ลนต 5.17; ลนต 5.18; ลนต 6.2; ลนต 6.4; ลนต 6.7; ลนต 6.9; ลนต 6.12; ลนต 6.14; ลนต 6.16; ลนต 6.17; ลนต 6.18; ลนต 6.20; ลนต 6.22; ลนต 6.23; ลนต 6.25; ลนต 7.3; ลนต 7.8; ลนต 7.9; ลนต 7.10; ลนต 7.13; ลนต 7.17; ลนต 7.18; ลนต 7.19; ลนต 7.20; ลนต 7.21; ลนต 7.23; ลนต 7.24; ลนต 7.25; ลนต 7.26; ลนต 7.27; ลนต 7.29; ลนต 7.30; ลนต 7.31; ลนต 7.32; ลนต 7.33; ลนต 7.34; ลนต 7.35; ลนต 7.36; ลนต 8.2; ลนต 8.6; ลนต 8.12; ลนต 8.14; ลนต 8.15; ลนต 8.17; ลนต 8.18; ลนต 8.22; ลนต 8.23; ลนต 8.24; ลนต 8.26; ลนต 8.27; ลนต 8.28; ลนต 8.29; ลนต 8.30; ลนต 8.31; ลนต 8.33; ลนต 8.34; ลนต 8.36; ลนต 9.1; ลนต 9.6; ลนต 9.7; ลนต 9.8; ลนต 9.9; ลนต 9.13; ลนต 9.15; ลนต 9.23; ลนต 10.1; ลนต 10.3; ลนต 10.4; ลนต 10.6; ลนต 10.7; ลนต 10.9; ลนต 10.12; ลนต 10.13; ลนต 10.14; ลนต 10.15; ลนต 10.16; ลนต 10.17; ลนต 10.19; ลนต 11.8; ลนต 11.9; ลนต 11.11; ลนต 11.14; ลนต 11.15; ลนต 11.16; ลนต 11.19; ลนต 11.22; ลนต 11.24; ลนต 11.25; ลนต 11.26; ลนต 11.28; ลนต 11.29; ลนต 11.35; ลนต 11.37; ลนต 11.40; ลนต 11.44; ลนต 11.45; ลนต 12.3; ลนต 12.4; ลนต 12.5; ลนต 12.6; ลนต 12.7; ลนต 13.2; ลนต 13.5; ลนต 13.13; ลนต 13.18; ลนต 13.23; ลนต 13.24; ลนต 13.28; ลนต 13.37; ลนต 13.41; ลนต 13.43; ลนต 13.44; ลนต 14.2; ลนต 14.4; ลนต 14.6; ลนต 14.8; ลนต 14.9; ลนต 14.13; ลนต 14.14; ลนต 14.15; ลนต 14.16; ลนต 14.17; ลนต 14.18; ลนต 14.19; ลนต 14.20; ลนต 14.21; ลนต 14.23; ลนต 14.25; ลนต 14.26; ลนต 14.28; ลนต 14.29; ลนต 14.31; ลนต 14.32; ลนต 14.35; ลนต 14.36; ลนต 14.37; ลนต 14.47; ลนต 14.53; ลนต 15.3; ลนต 15.5; ลนต 15.6; ลนต 15.7; ลนต 15.10; ลนต 15.11; ลนต 15.13; ลนต 15.14; ลนต 15.15; ลนต 15.21; ลนต 15.24; ลนต 15.28; ลนต 15.30; ลนต 15.31; ลนต 15.33; ลนต 16.1; ลนต 16.6; ลนต 16.8; ลนต 16.9; ลนต 16.11; ลนต 16.14; ลนต 16.16; ลนต 16.17; ลนต 16.18; ลนต 16.19; ลนต 16.20; ลนต 16.21; ลนต 16.24; ลนต 16.25; ลนต 16.26; ลนต 16.28; ลนต 16.30; ลนต 16.32; ลนต 16.34; ลนต 17.2; ลนต 17.4; ลนต 17.7; ลนต 17.9; ลนต 17.10; ลนต 17.11; ลนต 17.14; ลนต 17.16; ลนต 18.2; ลนต 18.3; ลนต 18.4; ลนต 18.5; ลนต 18.6; ลนต 18.7; ลนต 18.8; ลนต 18.9; ลนต 18.10; ลนต 18.11; ลนต 18.12; ลนต 18.13; ลนต 18.14; ลนต 18.15; ลนต 18.16; ลนต 18.17; ลนต 18.18; ลนต 18.19; ลนต 18.20; ลนต 18.21; ลนต 18.25; ลนต 18.26; ลนต 18.29; ลนต 18.30; ลนต 19.2; ลนต 19.3; ลนต 19.4; ลนต 19.8; ลนต 19.10; ลนต 19.12; ลนต 19.13; ลนต 19.14; ลนต 19.15; ลนต 19.16; ลนต 19.17; ลนต 19.18; ลนต 19.19; ลนต 19.22; ลนต 19.25; ลนต 19.27; ลนต 19.28; ลนต 19.29; ลนต 19.30; ลนต 19.31; ลนต 19.32; ลนต 19.33; ลนต 19.34; ลนต 19.36; ลนต 19.37; ลนต 20.2; ลนต 20.3; ลนต 20.5; ลนต 20.6; ลนต 20.7; ลนต 20.8; ลนต 20.9; ลนต 20.10; ลนต 20.11; ลนต 20.12; ลนต 20.13; ลนต 20.14; ลนต 20.16; ลนต 20.17; ลนต 20.18; ลนต 20.19; ลนต 20.20; ลนต 20.21; ลนต 20.22; ลนต 20.23; ลนต 20.24; ลนต 20.26; ลนต 20.27; ลนต 21.1; ลนต 21.4; ลนต 21.6; ลนต 21.7; ลนต 21.8; ลนต 21.9; ลนต 21.10; ลนต 21.11; ลนต 21.12; ลนต 21.14; ลนต 21.15; ลนต 21.17; ลนต 21.21; ลนต 21.22; ลนต 21.23; ลนต 21.24; ลนต 22.2; ลนต 22.3; ลนต 22.7; ลนต 22.9; ลนต 22.11; ลนต 22.12; ลนต 22.13; ลนต 22.14; ลนต 22.15; ลนต 22.18; ลนต 22.24; ลนต 22.25; ลนต 22.28; ลนต 22.31; ลนต 22.32; ลนต 22.33; ลนต 23.2; ลนต 23.3; ลนต 23.5; ลนต 23.10; ลนต 23.14; ลนต 23.17; ลนต 23.21; ลนต 23.22; ลนต 23.24; ลนต 23.27; ลนต 23.28; ลนต 23.29; ลนต 23.30; ลนต 23.31; ลนต 23.32; ลนต 23.37; ลนต 23.38; ลนต 23.39; ลนต 23.40; ลนต 23.41; ลนต 23.43; ลนต 23.44; ลนต 24.3; ลนต 24.8; ลนต 24.9; ลนต 24.10; ลนต 24.11; ลนต 24.12; ลนต 24.14; ลนต 24.15; ลนต 24.16; ลนต 24.22; ลนต 25.3; ลนต 25.4; ลนต 25.6; ลนต 25.7; ลนต 25.10; ลนต 25.11; ลนต 25.13; ลนต 25.15; ลนต 25.17; ลนต 25.18; ลนต 25.20; ลนต 25.21; ลนต 25.22; ลนต 25.23; ลนต 25.25; ลนต 25.27; ลนต 25.28; ลนต 25.30; ลนต 25.32; ลนต 25.33; ลนต 25.34; ลนต 25.35; ลนต 25.36; ลนต 25.38; ลนต 25.41; ลนต 25.42; ลนต 25.43; ลนต 25.45; ลนต 25.46; ลนต 25.47; ลนต 25.48; ลนต 25.49; ลนต 25.50; ลนต 25.52; ลนต 25.53; ลนต 25.54; ลนต 25.55; ลนต 26.1; ลนต 26.2; ลนต 26.3; ลนต 26.5; ลนต 26.6; ลนต 26.7; ลนต 26.8; ลนต 26.9; ลนต 26.10; ลนต 26.11; ลนต 26.12; ลนต 26.13; ลนต 26.15; ลนต 26.16; ลนต 26.17; ลนต 26.18; ลนต 26.19; ลนต 26.20; ลนต 26.21; ลนต 26.22; ลนต 26.24; ลนต 26.25; ลนต 26.26; ลนต 26.28; ลนต 26.29; ลนต 26.30; ลนต 26.31; ลนต 26.32; ลนต 26.33; ลนต 26.34; ลนต 26.35; ลนต 26.36; ลนต 26.37; ลนต 26.38; ลนต 26.39; ลนต 26.40; ลนต 26.41; ลนต 26.42; ลนต 26.43; ลนต 26.44; ลนต 26.45; ลนต 27.2; ลนต 27.3; ลนต 27.8; ลนต 27.12; ลนต 27.13; ลนต 27.14; ลนต 27.15; ลนต 27.16; ลนต 27.19; ลนต 27.21; ลนต 27.22; ลนต 27.24; ลนต 27.25; ลนต 27.26; ลนต 27.27; ลนต 27.30; ลนต 27.31; ลนต 27.32; กดว 1.4; กดว 1.10; กดว 1.16; กดว 1.20; กดว 1.22; กดว 1.24; กดว 1.26; กดว 1.28; กดว 1.30; กดว 1.32; กดว 1.34; กดว 1.36; กดว 1.38; กดว 1.40; กดว 1.42; กดว 1.44; กดว 1.47; กดว 1.52; กดว 2.2; กดว 2.3; กดว 2.5; กดว 2.7; กดว 2.9; กดว 2.10; กดว 2.12; กดว 2.14; กดว 2.16; กดว 2.17; กดว 2.18; กดว 2.20; กดว 2.22; กดว 2.24; กดว 2.25; กดว 2.27; กดว 2.29; กดว 2.31; กดว 2.34; กดว 3.1; กดว 3.2; กดว 3.3; กดว 3.4; กดว 3.8; กดว 3.9; กดว 3.10; กดว 3.12; กดว 3.13; กดว 3.16; กดว 3.17; กดว 3.18; กดว 3.19; กดว 3.20; กดว 3.24; กดว 3.29; กดว 3.30; กดว 3.31; กดว 3.32; กดว 3.35; กดว 3.38; กดว 3.39; กดว 3.40; กดว 3.41; กดว 3.45; กดว 3.46; กดว 3.47; กดว 3.48; กดว 3.50; กดว 3.51; กดว 4.5; กดว 4.6; กดว 4.8; กดว 4.10; กดว 4.11; กดว 4.12; กดว 4.14; กดว 4.15; กดว 4.16; กดว 4.19; กดว 4.22; กดว 4.24; กดว 4.25; กดว 4.27; กดว 4.28; กดว 4.31; กดว 4.33; กดว 4.34; กดว 4.36; กดว 4.37; กดว 4.41; กดว 4.44; กดว 4.46; กดว 4.49; กดว 5.3; กดว 5.8; กดว 5.9; กดว 5.10; กดว 5.12; กดว 5.13; กดว 5.14; กดว 5.15; กดว 5.18; กดว 5.19; กดว 5.20; กดว 5.21; กดว 5.27; กดว 5.29; กดว 5.30; กดว 5.31; กดว 6.5; กดว 6.7; กดว 6.9; กดว 6.12; กดว 6.13; กดว 6.16; กดว 6.19; กดว 6.20; กดว 6.21; กดว 6.23; กดว 6.25; กดว 6.27; กดว 7.2; กดว 7.5; กดว 7.7; กดว 7.8; กดว 7.9; กดว 7.10; กดว 7.11; กดว 7.13; กดว 7.17; กดว 7.18; กดว 7.19; กดว 7.23; กดว 7.24; กดว 7.25; กดว 7.29; กดว 7.30; กดว 7.31; กดว 7.35; กดว 7.36; กดว 7.37; กดว 7.41; กดว 7.42; กดว 7.43; กดว 7.47; กดว 7.48; กดว 7.49; กดว 7.53; กดว 7.54; กดว 7.55; กดว 7.59; กดว 7.60; กดว 7.61; กดว 7.65; กดว 7.66; กดว 7.67; กดว 7.71; กดว 7.72; กดว 7.73; กดว 7.77; กดว 7.78; กดว 7.79; กดว 7.83; กดว 7.84; กดว 7.85; กดว 7.86; กดว 8.10; กดว 8.12; กดว 8.13; กดว 8.14; กดว 8.16; กดว 8.17; กดว 8.18; กดว 8.19; กดว 8.21; กดว 8.22; กดว 9.3; กดว 9.7; กดว 9.10; กดว 9.13; กดว 9.14; กดว 9.18; กดว 9.19; กดว 9.20; กดว 9.23; กดว 10.8; กดว 10.9; กดว 10.10; กดว 10.13; กดว 10.14; กดว 10.17; กดว 10.18; กดว 10.25; กดว 10.28; กดว 10.29; กดว 10.30; กดว 10.31; กดว 10.33; กดว 10.34; กดว 10.35; กดว 11.1; กดว 11.3; กดว 11.6; กดว 11.8; กดว 11.10; กดว 11.11; กดว 11.12; กดว 11.15; กดว 11.17; กดว 11.18; กดว 11.20; กดว 11.23; กดว 11.24; กดว 11.28; กดว 11.29; กดว 11.30; กดว 12.6; กดว 12.7; กดว 12.8; กดว 12.11; กดว 12.14; กดว 13.2; กดว 13.3; กดว 13.4; กดว 13.27; กดว 13.28; กดว 13.33; กดว 14.3; กดว 14.5; กดว 14.6; กดว 14.9; กดว 14.10; กดว 14.13; กดว 14.14; กดว 14.17; กดว 14.18; กดว 14.19; กดว 14.20; กดว 14.21; กดว 14.22; กดว 14.23; กดว 14.24; กดว 14.27; กดว 14.29; กดว 14.32; กดว 14.33; กดว 14.34; กดว 14.41; กดว 15.14; กดว 15.15; กดว 15.21; กดว 15.23; กดว 15.25; กดว 15.30; กดว 15.31; กดว 15.38; กดว 15.39; กดว 15.40; กดว 15.41; กดว 16.2; กดว 16.3; กดว 16.5; กดว 16.6; กดว 16.7; กดว 16.8; กดว 16.9; กดว 16.10; กดว 16.11; กดว 16.15; กดว 16.16; กดว 16.17; กดว 16.18; กดว 16.19; กดว 16.22; กดว 16.24; กดว 16.26; กดว 16.27; กดว 16.30; กดว 16.32; กดว 16.33; กดว 16.34; กดว 16.38; กดว 16.40; กดว 16.41; กดว 16.42; กดว 16.46; กดว 16.47; กดว 16.49; กดว 17.3; กดว 17.5; กดว 17.6; กดว 17.8; กดว 17.9; กดว 17.10; กดว 18.1; กดว 18.2; กดว 18.3; กดว 18.4; กดว 18.5; กดว 18.6; กดว 18.8; กดว 18.9; กดว 18.11; กดว 18.13; กดว 18.14; กดว 18.15; กดว 18.16; กดว 18.17; กดว 18.18; กดว 18.19; กดว 18.20; กดว 18.23; กดว 18.24; กดว 18.26; กดว 18.27; กดว 18.28; กดว 18.29; กดว 18.31; กดว 18.32; กดว 19.5; กดว 19.7; กดว 19.8; กดว 19.10; กดว 19.11; กดว 19.13; กดว 19.20; กดว 19.21; กดว 20.1; กดว 20.4; กดว 20.6; กดว 20.8; กดว 20.11; กดว 20.12; กดว 20.15; กดว 20.16; กดว 20.17; กดว 20.19; กดว 20.21; กดว 20.24; กดว 20.25; กดว 20.26; กดว 20.27; กดว 20.28; กดว 21.3; กดว 21.13; กดว 21.14; กดว 21.15; กดว 21.18; กดว 21.22; กดว 21.23; กดว 21.24; กดว 21.25; กดว 21.26; กดว 21.28; กดว 21.29; กดว 21.32; กดว 21.33; กดว 21.34; กดว 21.35; กดว 22.4; กดว 22.5; กดว 22.7; กดว 22.13; กดว 22.18; กดว 22.22; กดว 22.23; กดว 22.24; กดว 22.25; กดว 22.26; กดว 22.27; กดว 22.30; กดว 22.31; กดว 22.32; กดว 22.34; กดว 22.35; กดว 22.41; กดว 23.2; กดว 23.3; กดว 23.5; กดว 23.6; กดว 23.7; กดว 23.10; กดว 23.11; กดว 23.14; กดว 23.15; กดว 23.16; กดว 23.17; กดว 23.18; กดว 23.21; กดว 23.24; กดว 24.2; กดว 24.3; กดว 24.4; กดว 24.5; กดว 24.7; กดว 24.8; กดว 24.10; กดว 24.11; กดว 24.13; กดว 24.14; กดว 24.15; กดว 24.16; กดว 24.17; กดว 24.18; กดว 24.20; กดว 24.21; กดว 24.23; กดว 24.25; กดว 25.2; กดว 25.4; กดว 25.5; กดว 25.6; กดว 25.7; กดว 25.8; กดว 25.11; กดว 25.13; กดว 25.14; กดว 25.15; กดว 25.18; กดว 26.2; กดว 26.5; กดว 26.7; กดว 26.8; กดว 26.9; กดว 26.11; กดว 26.12; กดว 26.14; กดว 26.15; กดว 26.18; กดว 26.19; กดว 26.20; กดว 26.21; กดว 26.22; กดว 26.23; กดว 26.25; กดว 26.26; กดว 26.27; กดว 26.28; กดว 26.29; กดว 26.30; กดว 26.33; กดว 26.34; กดว 26.35; กดว 26.36; กดว 26.37; กดว 26.38; กดว 26.40; กดว 26.41; กดว 26.42; กดว 26.43; กดว 26.44; กดว 26.45; กดว 26.46; กดว 26.47; กดว 26.48; กดว 26.50; กดว 26.55; กดว 26.56; กดว 26.57; กดว 26.58; กดว 26.59; กดว 26.62; กดว 27.1; กดว 27.3; กดว 27.4; กดว 27.5; กดว 27.7; กดว 27.8; กดว 27.9; กดว 27.10; กดว 27.11; กดว 27.13; กดว 27.14; กดว 27.17; กดว 27.18; กดว 27.19; กดว 27.20; กดว 27.21; กดว 28.2; กดว 28.8; กดว 28.16; กดว 28.17; กดว 28.20; กดว 28.22; กดว 28.30; กดว 29.5; กดว 29.39; กดว 30.2; กดว 30.3; กดว 30.4; กดว 30.5; กดว 30.8; กดว 30.10; กดว 30.11; กดว 30.12; กดว 30.13; กดว 30.14; กดว 30.15; กดว 30.16; กดว 31.2; กดว 31.3; กดว 31.10; กดว 31.16; กดว 31.19; กดว 31.24; กดว 31.26; กดว 31.29; กดว 31.30; กดว 31.36; กดว 31.37; กดว 31.38; กดว 31.39; กดว 31.40; กดว 31.42; กดว 31.43; กดว 31.47; กดว 31.49; กดว 31.50; กดว 31.53; กดว 32.2; กดว 32.4; กดว 32.5; กดว 32.6; กดว 32.7; กดว 32.8; กดว 32.13; กดว 32.14; กดว 32.17; กดว 32.18; กดว 32.21; กดว 32.22; กดว 32.23; กดว 32.24; กดว 32.25; กดว 32.26; กดว 32.27; กดว 32.28; กดว 32.31; กดว 32.32; กดว 32.33; กดว 32.41; กดว 32.42; กดว 33.1; กดว 33.2; กดว 33.3; กดว 33.4; กดว 33.38; กดว 33.52; กดว 33.54; กดว 33.55; กดว 34.3; กดว 34.4; กดว 34.6; กดว 34.7; กดว 34.8; กดว 34.9; กดว 34.10; กดว 34.11; กดว 34.12; กดว 34.14; กดว 34.15; กดว 34.18; กดว 34.19; กดว 34.23; กดว 35.3; กดว 35.4; กดว 35.8; กดว 35.15; กดว 35.27; กดว 35.29; กดว 35.30; กดว 35.31; กดว 35.32; กดว 35.33; กดว 36.1; กดว 36.2; กดว 36.3; กดว 36.4; กดว 36.5; กดว 36.6; กดว 36.7; กดว 36.8; กดว 36.9; กดว 36.10; กดว 36.11; กดว 36.12; พบญ 1.6; พบญ 1.7; พบญ 1.8; พบญ 1.10; พบญ 1.11; พบญ 1.12; พบญ 1.13; พบญ 1.15; พบญ 1.16; พบญ 1.17; พบญ 1.19; พบญ 1.20; พบญ 1.21; พบญ 1.25; พบญ 1.26; พบญ 1.27; พบญ 1.28; พบญ 1.30; พบญ 1.31; พบญ 1.32; พบญ 1.33; พบญ 1.34; พบญ 1.35; พบญ 1.39; พบญ 1.41; พบญ 1.43; พบญ 2.4; พบญ 2.5; พบญ 2.7; พบญ 2.8; พบญ 2.9; พบญ 2.12; พบญ 2.18; พบญ 2.19; พบญ 2.20; พบญ 2.21; พบญ 2.22; พบญ 2.24; พบญ 2.27; พบญ 2.28; พบญ 2.29; พบญ 2.30; พบญ 2.31; พบญ 2.32; พบญ 2.33; พบญ 2.34; พบญ 2.35; พบญ 2.36; พบญ 2.37; พบญ 3.1; พบญ 3.2; พบญ 3.3; พบญ 3.4; พบญ 3.7; พบญ 3.8; พบญ 3.11; พบญ 3.13; พบญ 3.14; พบญ 3.16; พบญ 3.18; พบญ 3.19; พบญ 3.20; พบญ 3.21; พบญ 3.22; พบญ 3.24; พบญ 3.27; พบญ 3.28; พบญ 4.1; พบญ 4.2; พบญ 4.3; พบญ 4.4; พบญ 4.5; พบญ 4.6; พบญ 4.7; พบญ 4.9; พบญ 4.10; พบญ 4.13; พบญ 4.19; พบญ 4.20; พบญ 4.21; พบญ 4.23; พบญ 4.24; พบญ 4.25; พบญ 4.29; พบญ 4.30; พบญ 4.31; พบญ 4.33; พบญ 4.34; พบญ 4.36; พบญ 4.37; พบญ 4.38; พบญ 4.40; พบญ 4.46; พบญ 4.47; พบญ 4.49; พบญ 5.1; พบญ 5.2; พบญ 5.3; พบญ 5.5; พบญ 5.6; พบญ 5.9; พบญ 5.10; พบญ 5.11; พบญ 5.12; พบญ 5.13; พบญ 5.14; พบญ 5.15; พบญ 5.16; พบญ 5.21; พบญ 5.22; พบญ 5.23; พบญ 5.24; พบญ 5.25; พบญ 5.26; พบญ 5.27; พบญ 5.28; พบญ 5.29; พบญ 5.30; พบญ 5.32; พบญ 5.33; พบญ 6.1; พบญ 6.2; พบญ 6.3; พบญ 6.4; พบญ 6.5; พบญ 6.6; พบญ 6.7; พบญ 6.8; พบญ 6.9; พบญ 6.10; พบญ 6.13; พบญ 6.14; พบญ 6.15; พบญ 6.16; พบญ 6.17; พบญ 6.18; พบญ 6.19; พบญ 6.20; พบญ 6.21; พบญ 6.22; พบญ 6.23; พบญ 6.24; พบญ 6.25; พบญ 7.1; พบญ 7.2; พบญ 7.3; พบญ 7.4; พบญ 7.5; พบญ 7.6; พบญ 7.8; พบญ 7.9; พบญ 7.12; พบญ 7.13; พบญ 7.14; พบญ 7.16; พบญ 7.18; พบญ 7.19; พบญ 7.20; พบญ 7.21; พบญ 7.22; พบญ 7.23; พบญ 7.24; พบญ 7.25; พบญ 7.26; พบญ 8.1; พบญ 8.2; พบญ 8.3; พบญ 8.4; พบญ 8.5; พบญ 8.6; พบญ 8.7; พบญ 8.10; พบญ 8.11; พบญ 8.13; พบญ 8.14; พบญ 8.16; พบญ 8.17; พบญ 8.18; พบญ 8.19; พบญ 8.20; พบญ 9.2; พบญ 9.3; พบญ 9.4; พบญ 9.5; พบญ 9.6; พบญ 9.7; พบญ 9.10; พบญ 9.12; พบญ 9.14; พบญ 9.15; พบญ 9.16; พบญ 9.17; พบญ 9.18; พบญ 9.23; พบญ 9.26; พบญ 9.27; พบญ 9.29; พบญ 10.3; พบญ 10.6; พบญ 10.8; พบญ 10.9; พบญ 10.12; พบญ 10.13; พบญ 10.14; พบญ 10.15; พบญ 10.16; พบญ 10.17; พบญ 10.20; พบญ 10.21; พบญ 10.22; พบญ 11.1; พบญ 11.2; พบญ 11.3; พบญ 11.4; พบญ 11.6; พบญ 11.7; พบญ 11.9; พบญ 11.12; พบญ 11.13; พบญ 11.14; พบญ 11.15; พบญ 11.16; พบญ 11.18; พบญ 11.19; พบญ 11.20; พบญ 11.21; พบญ 11.22; พบญ 11.23; พบญ 11.24; พบญ 11.25; พบญ 11.27; พบญ 11.28; พบญ 11.29; พบญ 11.31; พบญ 12.1; พบญ 12.2; พบญ 12.3; พบญ 12.4; พบญ 12.5; พบญ 12.6; พบญ 12.7; พบญ 12.8; พบญ 12.9; พบญ 12.10; พบญ 12.11; พบญ 12.12; พบญ 12.14; พบญ 12.15; พบญ 12.17; พบญ 12.18; พบญ 12.20; พบญ 12.21; พบญ 12.23; พบญ 12.25; พบญ 12.26; พบญ 12.27; พบญ 12.28; พบญ 12.29; พบญ 12.30; พบญ 12.31; พบญ 13.3; พบญ 13.4; พบญ 13.5; พบญ 13.6; พบญ 13.7; พบญ 13.8; พบญ 13.10; พบญ 13.12; พบญ 13.16; พบญ 13.17; พบญ 13.18; พบญ 14.1; พบญ 14.2; พบญ 14.8; พบญ 14.13; พบญ 14.14; พบญ 14.15; พบญ 14.18; พบญ 14.21; พบญ 14.22; พบญ 14.23; พบญ 14.24; พบญ 14.25; พบญ 14.26; พบญ 14.27; พบญ 14.28; พบญ 14.29; พบญ 15.2; พบญ 15.3; พบญ 15.4; พบญ 15.5; พบญ 15.6; พบญ 15.7; พบญ 15.8; พบญ 15.9; พบญ 15.10; พบญ 15.11; พบญ 15.12; พบญ 15.14; พบญ 15.15; พบญ 15.16; พบญ 15.17; พบญ 15.18; พบญ 15.19; พบญ 15.20; พบญ 15.21; พบญ 15.22; พบญ 15.23; พบญ 16.1; พบญ 16.2; พบญ 16.3; พบญ 16.4; พบญ 16.5; พบญ 16.6; พบญ 16.7; พบญ 16.8; พบญ 16.10; พบญ 16.11; พบญ 16.13; พบญ 16.14; พบญ 16.15; พบญ 16.16; พบญ 16.17; พบญ 16.18; พบญ 16.19; พบญ 16.20; พบญ 16.21; พบญ 16.22; พบญ 17.1; พบญ 17.2; พบญ 17.8; พบญ 17.12; พบญ 17.14; พบญ 17.15; พบญ 17.16; พบญ 17.17; พบญ 17.19; พบญ 17.20; พบญ 18.1; พบญ 18.2; พบญ 18.4; พบญ 18.5; พบญ 18.6; พบญ 18.7; พบญ 18.8; พบญ 18.9; พบญ 18.10; พบญ 18.12; พบญ 18.13; พบญ 18.14; พบญ 18.15; พบญ 18.16; พบญ 18.18; พบญ 18.19; พบญ 18.20; พบญ 18.22; พบญ 19.1; พบญ 19.2; พบญ 19.3; พบญ 19.4; พบญ 19.5; พบญ 19.6; พบญ 19.8; พบญ 19.9; พบญ 19.10; พบญ 19.11; พบญ 19.12; พบญ 19.13; พบญ 19.14; พบญ 19.16; พบญ 19.18; พบญ 19.19; พบญ 19.21; พบญ 20.1; พบญ 20.3; พบญ 20.4; พบญ 20.5; พบญ 20.7; พบญ 20.8; พบญ 20.14; พบญ 20.15; พบญ 20.16; พบญ 20.17; พบญ 20.18; พบญ 20.19; พบญ 21.1; พบญ 21.2; พบญ 21.3; พบญ 21.4; พบญ 21.5; พบญ 21.6; พบญ 21.7; พบญ 21.8; พบญ 21.9; พบญ 21.10; พบญ 21.11; พบญ 21.12; พบญ 21.13; พบญ 21.15; พบญ 21.16; พบญ 21.17; พบญ 21.18; พบญ 21.19; พบญ 21.20; พบญ 21.23; พบญ 22.1; พบญ 22.2; พบญ 22.3; พบญ 22.4; พบญ 22.5; พบญ 22.7; พบญ 22.9; พบญ 22.12; พบญ 22.14; พบญ 22.15; พบญ 22.16; พบญ 22.17; พบญ 22.18; พบญ 22.19; พบญ 22.21; พบญ 22.22; พบญ 22.24; พบญ 22.26; พบญ 22.29; พบญ 22.30; พบญ 23.1; พบญ 23.2; พบญ 23.3; พบญ 23.5; พบญ 23.6; พบญ 23.7; พบญ 23.8; พบญ 23.9; พบญ 23.13; พบญ 23.14; พบญ 23.15; พบญ 23.16; พบญ 23.18; พบญ 23.19; พบญ 23.20; พบญ 23.21; พบญ 23.23; พบญ 23.24; พบญ 23.25; พบญ 24.1; พบญ 24.2; พบญ 24.4; พบญ 24.6; พบญ 24.8; พบญ 24.9; พบญ 24.10; พบญ 24.13; พบญ 24.14; พบญ 24.16; พบญ 24.17; พบญ 24.18; พบญ 24.19; พบญ 24.21; พบญ 25.1; พบญ 25.2; พบญ 25.3; พบญ 25.5; พบญ 25.6; พบญ 25.7; พบญ 25.8; พบญ 25.9; พบญ 25.11; พบญ 25.12; พบญ 25.14; พบญ 25.15; พบญ 25.16; พบญ 25.19; พบญ 26.1; พบญ 26.2; พบญ 26.3; พบญ 26.4; พบญ 26.5; พบญ 26.7; พบญ 26.10; พบญ 26.11; พบญ 26.12; พบญ 26.13; พบญ 26.14; พบญ 26.15; พบญ 26.16; พบญ 26.17; พบญ 26.18; พบญ 26.19; พบญ 27.1; พบญ 27.2; พบญ 27.3; พบญ 27.5; พบญ 27.6; พบญ 27.7; พบญ 27.8; พบญ 27.9; พบญ 27.10; พบญ 27.16; พบญ 27.17; พบญ 27.20; พบญ 27.22; พบญ 27.23; พบญ 27.24; พบญ 28.1; พบญ 28.2; พบญ 28.4; พบญ 28.5; พบญ 28.8; พบญ 28.9; พบญ 28.11; พบญ 28.12; พบญ 28.13; พบญ 28.15; พบญ 28.17; พบญ 28.18; พบญ 28.23; พบญ 28.24; พบญ 28.25; พบญ 28.26; พบญ 28.29; พบญ 28.31; พบญ 28.32; พบญ 28.33; พบญ 28.35; พบญ 28.36; พบญ 28.40; พบญ 28.41; พบญ 28.42; พบญ 28.44; พบญ 28.45; พบญ 28.46; พบญ 28.47; พบญ 28.48; พบญ 28.49; พบญ 28.51; พบญ 28.52; พบญ 28.53; พบญ 28.54; พบญ 28.55; พบญ 28.56; พบญ 28.57; พบญ 28.58; พบญ 28.59; พบญ 28.62; พบญ 28.64; พบญ 28.65; พบญ 28.66; พบญ 29.2; พบญ 29.3; พบญ 29.5; พบญ 29.6; พบญ 29.8; พบญ 29.10; พบญ 29.11; พบญ 29.12; พบญ 29.13; พบญ 29.15; พบญ 29.17; พบญ 29.18; พบญ 29.19; พบญ 29.20; พบญ 29.21; พบญ 29.22; พบญ 29.25; พบญ 29.27; พบญ 29.29; พบญ 30.1; พบญ 30.2; พบญ 30.3; พบญ 30.4; พบญ 30.5; พบญ 30.6; พบญ 30.7; พบญ 30.8; พบญ 30.9; พบญ 30.10; พบญ 30.14; พบญ 30.16; พบญ 30.17; พบญ 30.19; พบญ 30.20; พบญ 31.3; พบญ 31.4; พบญ 31.6; พบญ 31.7; พบญ 31.9; พบญ 31.11; พบญ 31.12; พบญ 31.13; พบญ 31.16; พบญ 31.17; พบญ 31.18; พบญ 31.19; พบญ 31.20; พบญ 31.21; พบญ 31.24; พบญ 31.26; พบญ 31.28; พบญ 31.29; พบญ 32.1; พบญ 32.2; พบญ 32.3; พบญ 32.4; พบญ 32.5; พบญ 32.7; พบญ 32.8; พบญ 32.9; พบญ 32.10; พบญ 32.11; พบญ 32.14; พบญ 32.15; พบญ 32.17; พบญ 32.19; พบญ 32.20; พบญ 32.21; พบญ 32.22; พบญ 32.23; พบญ 32.24; พบญ 32.26; พบญ 32.27; พบญ 32.30; พบญ 32.31; พบญ 32.32; พบญ 32.33; พบญ 32.34; พบญ 32.35; พบญ 32.36; พบญ 32.37; พบญ 32.38; พบญ 32.41; พบญ 32.42; พบญ 32.43; พบญ 32.44; พบญ 32.46; พบญ 32.47; พบญ 32.50; พบญ 33.3; พบญ 33.4; พบญ 33.6; พบญ 33.7; พบญ 33.8; พบญ 33.9; พบญ 33.10; พบญ 33.11; พบญ 33.12; พบญ 33.13; พบญ 33.14; พบญ 33.16; พบญ 33.17; พบญ 33.18; พบญ 33.21; พบญ 33.23; พบญ 33.24; พบญ 33.25; พบญ 33.26; พบญ 33.27; พบญ 33.28; พบญ 33.29; พบญ 34.4; พบญ 34.5; พบญ 34.6; พบญ 34.7; พบญ 34.9; พบญ 34.11; พบญ 34.12; ยชว 1.1; ยชว 1.2; ยชว 1.3; ยชว 1.4; ยชว 1.5; ยชว 1.6; ยชว 1.7; ยชว 1.8; ยชว 1.9; ยชว 1.10; ยชว 1.11; ยชว 1.13; ยชว 1.14; ยชว 1.15; ยชว 1.17; ยชว 1.18; ยชว 2.1; ยชว 2.3; ยชว 2.10; ยชว 2.11; ยชว 2.12; ยชว 2.13; ยชว 2.14; ยชว 2.15; ยชว 2.18; ยชว 2.19; ยชว 2.20; ยชว 2.21; ยชว 3.3; ยชว 3.4; ยชว 3.7; ยชว 3.9; ยชว 3.13; ยชว 3.14; ยชว 3.15; ยชว 3.17; ยชว 4.3; ยชว 4.5; ยชว 4.6; ยชว 4.9; ยชว 4.14; ยชว 4.18; ยชว 4.21; ยชว 4.23; ยชว 4.24; ยชว 5.1; ยชว 5.6; ยชว 5.7; ยชว 5.10; ยชว 5.14; ยชว 5.15; ยชว 6.10; ยชว 6.17; ยชว 6.18; ยชว 6.19; ยชว 6.22; ยชว 6.23; ยชว 6.24; ยชว 6.25; ยชว 6.27; ยชว 7.1; ยชว 7.2; ยชว 7.5; ยชว 7.6; ยชว 7.7; ยชว 7.9; ยชว 7.11; ยชว 7.12; ยชว 7.13; ยชว 7.15; ยชว 7.17; ยชว 7.18; ยชว 7.19; ยชว 7.20; ยชว 7.21; ยชว 7.22; ยชว 7.23; ยชว 7.24; ยชว 7.26; ยชว 8.1; ยชว 8.2; ยชว 8.7; ยชว 8.9; ยชว 8.10; ยชว 8.11; ยชว 8.12; ยชว 8.13; ยชว 8.14; ยชว 8.18; ยชว 8.19; ยชว 8.27; ยชว 8.30; ยชว 8.31; ยชว 8.32; ยชว 8.33; ยชว 9.4; ยชว 9.8; ยชว 9.9; ยชว 9.11; ยชว 9.12; ยชว 9.13; ยชว 9.14; ยชว 9.15; ยชว 9.17; ยชว 9.18; ยชว 9.19; ยชว 9.23; ยชว 9.24; ยชว 9.25; ยชว 9.27; ยชว 10.1; ยชว 10.5; ยชว 10.6; ยชว 10.12; ยชว 10.13; ยชว 10.14; ยชว 10.19; ยชว 10.24; ยชว 10.25; ยชว 10.28; ยชว 10.30; ยชว 10.33; ยชว 10.37; ยชว 10.39; ยชว 10.40; ยชว 10.42; ยชว 11.2; ยชว 11.6; ยชว 11.12; ยชว 11.14; ยชว 11.15; ยชว 11.16; ยชว 11.21; ยชว 11.22; ยชว 11.23; ยชว 12.2; ยชว 12.4; ยชว 12.5; ยชว 12.6; ยชว 12.7; ยชว 12.8; ยชว 12.23; ยชว 13.2; ยชว 13.3; ยชว 13.4; ยชว 13.5; ยชว 13.8; ยชว 13.10; ยชว 13.11; ยชว 13.12; ยชว 13.14; ยชว 13.15; ยชว 13.16; ยชว 13.21; ยชว 13.23; ยชว 13.24; ยชว 13.25; ยชว 13.27; ยชว 13.28; ยชว 13.29; ยชว 13.30; ยชว 13.31; ยชว 13.32; ยชว 13.33; ยชว 14.1; ยชว 14.4; ยชว 14.7; ยชว 14.8; ยชว 14.9; ยชว 14.11; ยชว 14.14; ยชว 15.1; ยชว 15.3; ยชว 15.4; ยชว 15.6; ยชว 15.7; ยชว 15.8; ยชว 15.11; ยชว 15.12; ยชว 15.13; ยชว 15.14; ยชว 15.16; ยชว 15.17; ยชว 15.20; ยชว 15.21; ยชว 15.32; ยชว 15.36; ยชว 15.41; ยชว 15.44; ยชว 15.45; ยชว 15.46; ยชว 15.47; ยชว 15.51; ยชว 15.54; ยชว 15.57; ยชว 15.59; ยชว 15.60; ยชว 15.62; ยชว 16.1; ยชว 16.2; ยชว 16.3; ยชว 16.4; ยชว 16.5; ยชว 16.6; ยชว 16.8; ยชว 16.9; ยชว 17.1; ยชว 17.2; ยชว 17.3; ยชว 17.4; ยชว 17.6; ยชว 17.7; ยชว 17.8; ยชว 17.9; ยชว 17.10; ยชว 17.11; ยชว 17.15; ยชว 17.16; ยชว 17.18; ยชว 18.1; ยชว 18.3; ยชว 18.5; ยชว 18.6; ยชว 18.7; ยชว 18.10; ยชว 18.11; ยชว 18.12; ยชว 18.13; ยชว 18.14; ยชว 18.16; ยชว 18.17; ยชว 18.19; ยชว 18.20; ยชว 18.21; ยชว 18.24; ยชว 18.28; ยชว 19.1; ยชว 19.6; ยชว 19.7; ยชว 19.8; ยชว 19.9; ยชว 19.10; ยชว 19.11; ยชว 19.15; ยชว 19.16; ยชว 19.17; ยชว 19.18; ยชว 19.22; ยชว 19.23; ยชว 19.24; ยชว 19.25; ยชว 19.30; ยชว 19.31; ยชว 19.32; ยชว 19.33; ยชว 19.38; ยชว 19.39; ยชว 19.40; ยชว 19.41; ยชว 19.47; ยชว 19.48; ยชว 19.49; ยชว 19.50; ยชว 19.51; ยชว 20.3; ยชว 20.4; ยชว 20.5; ยชว 20.6; ยชว 20.7; ยชว 20.8; ยชว 20.9; ยชว 21.1; ยชว 21.2; ยชว 21.3; ยชว 21.4; ยชว 21.5; ยชว 21.6; ยชว 21.7; ยชว 21.10; ยชว 21.11; ยชว 21.12; ยชว 21.13; ยชว 21.19; ยชว 21.20; ยชว 21.21; ยชว 21.26; ยชว 21.27; ยชว 21.32; ยชว 21.33; ยชว 21.38; ยชว 21.40; ยชว 21.41; ยชว 21.43; ยชว 21.44; ยชว 22.2; ยชว 22.3; ยชว 22.4; ยชว 22.5; ยชว 22.6; ยชว 22.7; ยชว 22.8; ยชว 22.9; ยชว 22.11; ยชว 22.16; ยชว 22.17; ยชว 22.19; ยชว 22.20; ยชว 22.21; ยชว 22.22; ยชว 22.24; ยชว 22.25; ยชว 22.27; ยชว 22.28; ยชว 22.29; ยชว 22.30; ยชว 22.31; ยชว 23.3; ยชว 23.4; ยชว 23.5; ยชว 23.6; ยชว 23.7; ยชว 23.8; ยชว 23.10; ยชว 23.11; ยชว 23.12; ยชว 23.13; ยชว 23.14; ยชว 23.15; ยชว 23.16; ยชว 24.1; ยชว 24.2; ยชว 24.3; ยชว 24.4; ยชว 24.6; ยชว 24.7; ยชว 24.8; ยชว 24.10; ยชว 24.11; ยชว 24.12; ยชว 24.13; ยชว 24.14; ยชว 24.15; ยชว 24.17; ยชว 24.18; ยชว 24.19; ยชว 24.23; ยชว 24.24; ยชว 24.26; ยชว 24.27; ยชว 24.28; ยชว 24.29; ยชว 24.30; ยชว 24.31; ยชว 24.32; ยชว 24.33; วนฉ 1.3; วนฉ 1.4; วนฉ 1.6; วนฉ 1.7; วนฉ 1.12; วนฉ 1.13; วนฉ 1.16; วนฉ 1.17; วนฉ 1.20; วนฉ 1.22; วนฉ 1.25; วนฉ 1.26; วนฉ 1.27; วนฉ 1.35; วนฉ 1.36; วนฉ 2.1; วนฉ 2.2; วนฉ 2.3; วนฉ 2.4; วนฉ 2.6; วนฉ 2.7; วนฉ 2.8; วนฉ 2.9; วนฉ 2.10; วนฉ 2.11; วนฉ 2.12; วนฉ 2.14; วนฉ 2.15; วนฉ 2.16; วนฉ 2.17; วนฉ 2.18; วนฉ 2.19; วนฉ 2.20; วนฉ 2.22; วนฉ 2.23; วนฉ 3.3; วนฉ 3.4; วนฉ 3.6; วนฉ 3.7; วนฉ 3.8; วนฉ 3.9; วนฉ 3.10; วนฉ 3.12; วนฉ 3.20; วนฉ 3.21; วนฉ 3.22; วนฉ 3.25; วนฉ 3.28; วนฉ 3.30; วนฉ 4.1; วนฉ 4.2; วนฉ 4.4; วนฉ 4.6; วนฉ 4.7; วนฉ 4.9; วนฉ 4.11; วนฉ 4.13; วนฉ 4.14; วนฉ 4.15; วนฉ 4.16; วนฉ 4.17; วนฉ 4.18; วนฉ 4.21; วนฉ 4.24; วนฉ 5.3; วนฉ 5.5; วนฉ 5.9; วนฉ 5.11; วนฉ 5.12; วนฉ 5.13; วนฉ 5.14; วนฉ 5.15; วนฉ 5.16; วนฉ 5.17; วนฉ 5.20; วนฉ 5.21; วนฉ 5.22; วนฉ 5.23; วนฉ 5.24; วนฉ 5.26; วนฉ 5.27; วนฉ 5.28; วนฉ 5.29; วนฉ 5.30; วนฉ 5.31; วนฉ 6.1; วนฉ 6.2; วนฉ 6.8; วนฉ 6.9; วนฉ 6.10; วนฉ 6.11; วนฉ 6.12; วนฉ 6.13; วนฉ 6.14; วนฉ 6.15; วนฉ 6.17; วนฉ 6.18; วนฉ 6.20; วนฉ 6.21; วนฉ 6.22; วนฉ 6.24; วนฉ 6.25; วนฉ 6.26; วนฉ 6.27; วนฉ 6.29; วนฉ 6.30; วนฉ 6.31; วนฉ 6.32; วนฉ 6.34; วนฉ 6.36; วนฉ 6.37; วนฉ 7.1; วนฉ 7.2; วนฉ 7.7; วนฉ 7.8; วนฉ 7.9; วนฉ 7.10; วนฉ 7.11; วนฉ 7.12; วนฉ 7.13; วนฉ 7.14; วนฉ 7.15; วนฉ 7.18; วนฉ 7.20; วนฉ 7.21; วนฉ 7.25; วนฉ 8.3; วนฉ 8.6; วนฉ 8.11; วนฉ 8.14; วนฉ 8.15; วนฉ 8.20; วนฉ 8.21; วนฉ 8.22; วนฉ 8.23; วนฉ 8.27; วนฉ 8.28; วนฉ 8.29; วนฉ 8.30; วนฉ 8.31; วนฉ 8.32; วนฉ 8.33; วนฉ 8.34; วนฉ 9.1; วนฉ 9.3; วนฉ 9.5; วนฉ 9.7; วนฉ 9.9; วนฉ 9.11; วนฉ 9.13; วนฉ 9.15; วนฉ 9.16; วนฉ 9.17; วนฉ 9.18; วนฉ 9.19; วนฉ 9.21; วนฉ 9.24; วนฉ 9.26; วนฉ 9.27; วนฉ 9.28; วนฉ 9.29; วนฉ 9.30; วนฉ 9.31; วนฉ 9.38; วนฉ 9.41; วนฉ 9.43; วนฉ 9.46; วนฉ 9.53; วนฉ 9.54; วนฉ 9.55; วนฉ 9.56; วนฉ 9.57; วนฉ 10.1; วนฉ 10.6; วนฉ 10.7; วนฉ 10.8; วนฉ 10.10; วนฉ 10.16; วนฉ 10.18; วนฉ 11.1; วนฉ 11.2; วนฉ 11.3; วนฉ 11.5; วนฉ 11.6; วนฉ 11.7; วนฉ 11.8; วนฉ 11.9; วนฉ 11.10; วนฉ 11.11; วนฉ 11.12; วนฉ 11.13; วนฉ 11.15; วนฉ 11.17; วนฉ 11.18; วนฉ 11.19; วนฉ 11.20; วนฉ 11.21; วนฉ 11.22; วนฉ 11.23; วนฉ 11.24; วนฉ 11.26; วนฉ 11.28; วนฉ 11.29; วนฉ 11.30; วนฉ 11.31; วนฉ 11.32; วนฉ 11.34; วนฉ 11.35; วนฉ 11.36; วนฉ 11.37; วนฉ 11.38; วนฉ 11.39; วนฉ 11.40; วนฉ 12.3; วนฉ 12.4; วนฉ 12.9; วนฉ 12.12; วนฉ 12.15; วนฉ 13.1; วนฉ 13.2; วนฉ 13.3; วนฉ 13.5; วนฉ 13.6; วนฉ 13.9; วนฉ 13.12; วนฉ 13.13; วนฉ 13.15; วนฉ 13.16; วนฉ 13.17; วนฉ 13.18; วนฉ 13.20; วนฉ 13.21; วนฉ 13.22; วนฉ 13.23; วนฉ 13.25; วนฉ 14.2; วนฉ 14.3; วนฉ 14.4; วนฉ 14.5; วนฉ 14.6; วนฉ 14.10; วนฉ 14.15; วนฉ 14.16; วนฉ 14.17; วนฉ 14.18; วนฉ 14.19; วนฉ 14.20; วนฉ 15.1; วนฉ 15.2; วนฉ 15.5; วนฉ 15.6; วนฉ 15.12; วนฉ 15.13; วนฉ 15.14; วนฉ 15.18; วนฉ 15.20; วนฉ 16.5; วนฉ 16.6; วนฉ 16.9; วนฉ 16.13; วนฉ 16.15; วนฉ 16.16; วนฉ 16.17; วนฉ 16.19; วนฉ 16.21; วนฉ 16.22; วนฉ 16.23; วนฉ 16.24; วนฉ 16.25; วนฉ 16.28; วนฉ 16.30; วนฉ 16.31; วนฉ 17.2; วนฉ 17.3; วนฉ 17.4; วนฉ 17.5; วนฉ 17.6; วนฉ 17.8; วนฉ 17.10; วนฉ 17.11; วนฉ 17.12; วนฉ 18.1; วนฉ 18.2; วนฉ 18.3; วนฉ 18.4; วนฉ 18.10; วนฉ 18.13; วนฉ 18.14; วนฉ 18.15; วนฉ 18.18; วนฉ 18.19; วนฉ 18.20; วนฉ 18.22; วนฉ 18.24; วนฉ 18.25; วนฉ 18.26; วนฉ 18.27; วนฉ 18.29; วนฉ 18.30; วนฉ 18.31; วนฉ 19.2; วนฉ 19.3; วนฉ 19.4; วนฉ 19.5; วนฉ 19.6; วนฉ 19.8; วนฉ 19.9; วนฉ 19.11; วนฉ 19.12; วนฉ 19.14; วนฉ 19.19; วนฉ 19.21; วนฉ 19.22; วนฉ 19.23; วนฉ 19.24; วนฉ 19.25; วนฉ 19.26; วนฉ 19.27; วนฉ 19.28; วนฉ 20.2; วนฉ 20.4; วนฉ 20.5; วนฉ 20.6; วนฉ 20.8; วนฉ 20.10; วนฉ 20.13; วนฉ 20.18; วนฉ 20.23; วนฉ 20.26; วนฉ 20.27; วนฉ 20.28; วนฉ 20.31; วนฉ 20.33; วนฉ 21.1; วนฉ 21.2; วนฉ 21.5; วนฉ 21.6; วนฉ 21.7; วนฉ 21.16; วนฉ 21.18; วนฉ 21.19; วนฉ 21.21; วนฉ 21.22; วนฉ 21.23; วนฉ 21.24; วนฉ 21.25; นรธ 1.3; นรธ 1.5; นรธ 1.6; นรธ 1.8; นรธ 1.9; นรธ 1.10; นรธ 1.11; นรธ 1.12; นรธ 1.13; นรธ 1.15; นรธ 1.16; นรธ 2.2; นรธ 2.3; นรธ 2.5; นรธ 2.8; นรธ 2.9; นรธ 2.10; นรธ 2.11; นรธ 2.12; นรธ 2.13; นรธ 2.15; นรธ 2.20; นรธ 2.21; นรธ 2.22; นรธ 2.23; นรธ 3.1; นรธ 3.2; นรธ 3.7; นรธ 3.8; นรธ 3.9; นรธ 3.10; นรธ 3.11; นรธ 3.14; นรธ 3.16; นรธ 3.18; นรธ 4.3; นรธ 4.4; นรธ 4.5; นรธ 4.6; นรธ 4.7; นรธ 4.9; นรธ 4.10; นรธ 4.11; นรธ 4.12; นรธ 4.13; นรธ 4.15; นรธ 4.17; นรธ 4.18; 1ซมอ 1.3; 1ซมอ 1.4; 1ซมอ 1.5; 1ซมอ 1.6; 1ซมอ 1.7; 1ซมอ 1.8; 1ซมอ 1.9; 1ซมอ 1.11; 1ซมอ 1.12; 1ซมอ 1.13; 1ซมอ 1.15; 1ซมอ 1.16; 1ซมอ 1.18; 1ซมอ 1.19; 1ซมอ 1.21; 1ซมอ 1.23; 1ซมอ 1.24; 1ซมอ 1.27; 1ซมอ 2.1; 1ซมอ 2.2; 1ซมอ 2.3; 1ซมอ 2.4; 1ซมอ 2.8; 1ซมอ 2.9; 1ซมอ 2.10; 1ซมอ 2.12; 1ซมอ 2.13; 1ซมอ 2.14; 1ซมอ 2.15; 1ซมอ 2.17; 1ซมอ 2.20; 1ซมอ 2.22; 1ซมอ 2.24; 1ซมอ 2.25; 1ซมอ 2.27; 1ซมอ 2.28; 1ซมอ 2.29; 1ซมอ 2.30; 1ซมอ 2.31; 1ซมอ 2.32; 1ซมอ 2.33; 1ซมอ 2.34; 1ซมอ 2.35; 1ซมอ 2.36; 1ซมอ 3.1; 1ซมอ 3.2; 1ซมอ 3.3; 1ซมอ 3.7; 1ซมอ 3.9; 1ซมอ 3.10; 1ซมอ 3.11; 1ซมอ 3.12; 1ซมอ 3.13; 1ซมอ 3.14; 1ซมอ 3.15; 1ซมอ 3.16; 1ซมอ 3.19; 1ซมอ 3.20; 1ซมอ 3.21; 1ซมอ 4.1; 1ซมอ 4.3; 1ซมอ 4.4; 1ซมอ 4.6; 1ซมอ 4.8; 1ซมอ 4.9; 1ซมอ 4.10; 1ซมอ 4.11; 1ซมอ 4.12; 1ซมอ 4.13; 1ซมอ 4.15; 1ซมอ 4.17; 1ซมอ 4.18; 1ซมอ 4.19; 1ซมอ 4.21; 1ซมอ 5.2; 1ซมอ 5.4; 1ซมอ 5.5; 1ซมอ 5.6; 1ซมอ 5.7; 1ซมอ 5.8; 1ซมอ 5.9; 1ซมอ 5.10; 1ซมอ 5.11; 1ซมอ 5.12; 1ซมอ 6.3; 1ซมอ 6.5; 1ซมอ 6.6; 1ซมอ 6.7; 1ซมอ 6.9; 1ซมอ 6.10; 1ซมอ 6.11; 1ซมอ 6.14; 1ซมอ 6.16; 1ซมอ 6.18; 1ซมอ 7.1; 1ซมอ 7.3; 1ซมอ 7.8; 1ซมอ 7.13; 1ซมอ 7.14; 1ซมอ 7.15; 1ซมอ 7.17; 1ซมอ 8.1; 1ซมอ 8.2; 1ซมอ 8.3; 1ซมอ 8.4; 1ซมอ 8.5; 1ซมอ 8.9; 1ซมอ 8.10; 1ซมอ 8.11; 1ซมอ 8.12; 1ซมอ 8.13; 1ซมอ 8.14; 1ซมอ 8.15; 1ซมอ 8.16; 1ซมอ 8.17; 1ซมอ 8.18; 1ซมอ 8.19; 1ซมอ 8.20; 1ซมอ 8.21; 1ซมอ 8.22; 1ซมอ 9.1; 1ซมอ 9.3; 1ซมอ 9.4; 1ซมอ 9.5; 1ซมอ 9.7; 1ซมอ 9.10; 1ซมอ 9.15; 1ซมอ 9.16; 1ซมอ 9.17; 1ซมอ 9.18; 1ซมอ 9.19; 1ซมอ 9.20; 1ซมอ 9.21; 1ซมอ 9.22; 1ซมอ 9.26; 1ซมอ 9.27; 1ซมอ 10.1; 1ซมอ 10.2; 1ซมอ 10.4; 1ซมอ 10.5; 1ซมอ 10.6; 1ซมอ 10.10; 1ซมอ 10.11; 1ซมอ 10.12; 1ซมอ 10.14; 1ซมอ 10.15; 1ซมอ 10.16; 1ซมอ 10.18; 1ซมอ 10.19; 1ซมอ 10.25; 1ซมอ 10.26; 1ซมอ 11.2; 1ซมอ 11.4; 1ซมอ 11.5; 1ซมอ 11.6; 1ซมอ 11.7; 1ซมอ 11.10; 1ซมอ 12.1; 1ซมอ 12.2; 1ซมอ 12.3; 1ซมอ 12.4; 1ซมอ 12.5; 1ซมอ 12.6; 1ซมอ 12.7; 1ซมอ 12.8; 1ซมอ 12.9; 1ซมอ 12.10; 1ซมอ 12.12; 1ซมอ 12.14; 1ซมอ 12.15; 1ซมอ 12.16; 1ซมอ 12.17; 1ซมอ 12.19; 1ซมอ 12.20; 1ซมอ 12.22; 1ซมอ 12.24; 1ซมอ 12.25; 1ซมอ 13.2; 1ซมอ 13.3; 1ซมอ 13.4; 1ซมอ 13.5; 1ซมอ 13.13; 1ซมอ 13.14; 1ซมอ 13.16; 1ซมอ 13.20; 1ซมอ 13.22; 1ซมอ 13.23; 1ซมอ 14.1; 1ซมอ 14.3; 1ซมอ 14.4; 1ซมอ 14.6; 1ซมอ 14.7; 1ซมอ 14.8; 1ซมอ 14.9; 1ซมอ 14.12; 1ซมอ 14.13; 1ซมอ 14.14; 1ซมอ 14.16; 1ซมอ 14.17; 1ซมอ 14.20; 1ซมอ 14.27; 1ซมอ 14.28; 1ซมอ 14.29; 1ซมอ 14.34; 1ซมอ 14.36; 1ซมอ 14.37; 1ซมอ 14.38; 1ซมอ 14.39; 1ซมอ 14.40; 1ซมอ 14.42; 1ซมอ 14.43; 1ซมอ 14.45; 1ซมอ 14.46; 1ซมอ 14.48; 1ซมอ 14.49; 1ซมอ 14.50; 1ซมอ 14.51; 1ซมอ 14.52; 1ซมอ 15.1; 1ซมอ 15.5; 1ซมอ 15.8; 1ซมอ 15.9; 1ซมอ 15.11; 1ซมอ 15.12; 1ซมอ 15.13; 1ซมอ 15.15; 1ซมอ 15.17; 1ซมอ 15.19; 1ซมอ 15.20; 1ซมอ 15.21; 1ซมอ 15.22; 1ซมอ 15.23; 1ซมอ 15.24; 1ซมอ 15.25; 1ซมอ 15.26; 1ซมอ 15.27; 1ซมอ 15.29; 1ซมอ 15.30; 1ซมอ 15.32; 1ซมอ 15.33; 1ซมอ 15.34; 1ซมอ 16.1; 1ซมอ 16.4; 1ซมอ 16.5; 1ซมอ 16.7; 1ซมอ 16.11; 1ซมอ 16.13; 1ซมอ 16.14; 1ซมอ 16.15; 1ซมอ 16.16; 1ซมอ 16.17; 1ซมอ 16.18; 1ซมอ 16.19; 1ซมอ 16.20; 1ซมอ 16.21; 1ซมอ 16.22; 1ซมอ 17.7; 1ซมอ 17.8; 1ซมอ 17.9; 1ซมอ 17.11; 1ซมอ 17.12; 1ซมอ 17.13; 1ซมอ 17.15; 1ซมอ 17.17; 1ซมอ 17.18; 1ซมอ 17.22; 1ซมอ 17.25; 1ซมอ 17.26; 1ซมอ 17.28; 1ซมอ 17.32; 1ซมอ 17.34; 1ซมอ 17.35; 1ซมอ 17.36; 1ซมอ 17.37; 1ซมอ 17.38; 1ซมอ 17.40; 1ซมอ 17.43; 1ซมอ 17.44; 1ซมอ 17.46; 1ซมอ 17.47; 1ซมอ 17.51; 1ซมอ 17.53; 1ซมอ 17.54; 1ซมอ 17.55; 1ซมอ 17.56; 1ซมอ 17.57; 1ซมอ 17.58; 1ซมอ 18.1; 1ซมอ 18.2; 1ซมอ 18.3; 1ซมอ 18.5; 1ซมอ 18.10; 1ซมอ 18.17; 1ซมอ 18.18; 1ซมอ 18.19; 1ซมอ 18.20; 1ซมอ 18.21; 1ซมอ 18.22; 1ซมอ 18.23; 1ซมอ 18.24; 1ซมอ 18.25; 1ซมอ 18.26; 1ซมอ 18.27; 1ซมอ 18.28; 1ซมอ 18.29; 1ซมอ 18.30; 1ซมอ 19.1; 1ซมอ 19.2; 1ซมอ 19.3; 1ซมอ 19.4; 1ซมอ 19.5; 1ซมอ 19.6; 1ซมอ 19.9; 1ซมอ 19.11; 1ซมอ 19.17; 1ซมอ 19.20; 1ซมอ 19.23; 1ซมอ 20.1; 1ซมอ 20.3; 1ซมอ 20.6; 1ซมอ 20.7; 1ซมอ 20.8; 1ซมอ 20.10; 1ซมอ 20.12; 1ซมอ 20.13; 1ซมอ 20.15; 1ซมอ 20.16; 1ซมอ 20.17; 1ซมอ 20.18; 1ซมอ 20.21; 1ซมอ 20.25; 1ซมอ 20.27; 1ซมอ 20.29; 1ซมอ 20.30; 1ซมอ 20.31; 1ซมอ 20.32; 1ซมอ 20.33; 1ซมอ 20.34; 1ซมอ 20.38; 1ซมอ 20.40; 1ซมอ 20.42; 1ซมอ 21.5; 1ซมอ 21.7; 1ซมอ 21.8; 1ซมอ 21.9; 1ซมอ 21.11; 1ซมอ 21.14; 1ซมอ 21.15; 1ซมอ 22.1; 1ซมอ 22.2; 1ซมอ 22.3; 1ซมอ 22.6; 1ซมอ 22.7; 1ซมอ 22.8; 1ซมอ 22.9; 1ซมอ 22.10; 1ซมอ 22.11; 1ซมอ 22.12; 1ซมอ 22.13; 1ซมอ 22.14; 1ซมอ 22.15; 1ซมอ 22.16; 1ซมอ 22.17; 1ซมอ 22.19; 1ซมอ 22.20; 1ซมอ 22.21; 1ซมอ 22.22; 1ซมอ 22.23; 1ซมอ 23.3; 1ซมอ 23.4; 1ซมอ 23.5; 1ซมอ 23.6; 1ซมอ 23.8; 1ซมอ 23.10; 1ซมอ 23.11; 1ซมอ 23.12; 1ซมอ 23.13; 1ซมอ 23.14; 1ซมอ 23.15; 1ซมอ 23.16; 1ซมอ 23.17; 1ซมอ 23.20; 1ซมอ 23.24; 1ซมอ 23.25; 1ซมอ 23.26; 1ซมอ 24.2; 1ซมอ 24.3; 1ซมอ 24.4; 1ซมอ 24.5; 1ซมอ 24.6; 1ซมอ 24.7; 1ซมอ 24.8; 1ซมอ 24.9; 1ซมอ 24.10; 1ซมอ 24.11; 1ซมอ 24.12; 1ซมอ 24.13; 1ซมอ 24.15; 1ซมอ 24.16; 1ซมอ 24.18; 1ซมอ 24.19; 1ซมอ 24.20; 1ซมอ 24.21; 1ซมอ 24.22; 1ซมอ 25.1; 1ซมอ 25.2; 1ซมอ 25.3; 1ซมอ 25.4; 1ซมอ 25.5; 1ซมอ 25.6; 1ซมอ 25.7; 1ซมอ 25.8; 1ซมอ 25.9; 1ซมอ 25.10; 1ซมอ 25.11; 1ซมอ 25.12; 1ซมอ 25.13; 1ซมอ 25.14; 1ซมอ 25.16; 1ซมอ 25.17; 1ซมอ 25.19; 1ซมอ 25.20; 1ซมอ 25.21; 1ซมอ 25.22; 1ซมอ 25.24; 1ซมอ 25.25; 1ซมอ 25.26; 1ซมอ 25.27; 1ซมอ 25.28; 1ซมอ 25.29; 1ซมอ 25.30; 1ซมอ 25.31; 1ซมอ 25.33; 1ซมอ 25.34; 1ซมอ 25.35; 1ซมอ 25.36; 1ซมอ 25.37; 1ซมอ 25.39; 1ซมอ 25.40; 1ซมอ 25.41; 1ซมอ 25.42; 1ซมอ 25.43; 1ซมอ 25.44; 1ซมอ 26.6; 1ซมอ 26.7; 1ซมอ 26.8; 1ซมอ 26.12; 1ซมอ 26.15; 1ซมอ 26.16; 1ซมอ 26.17; 1ซมอ 26.18; 1ซมอ 26.19; 1ซมอ 26.20; 1ซมอ 26.21; 1ซมอ 26.22; 1ซมอ 26.23; 1ซมอ 26.24; 1ซมอ 26.25; 1ซมอ 27.1; 1ซมอ 27.3; 1ซมอ 27.5; 1ซมอ 27.8; 1ซมอ 27.11; 1ซมอ 27.12; 1ซมอ 28.1; 1ซมอ 28.2; 1ซมอ 28.3; 1ซมอ 28.5; 1ซมอ 28.7; 1ซมอ 28.8; 1ซมอ 28.9; 1ซมอ 28.10; 1ซมอ 28.14; 1ซมอ 28.16; 1ซมอ 28.17; 1ซมอ 28.18; 1ซมอ 28.19; 1ซมอ 28.20; 1ซมอ 28.21; 1ซมอ 28.22; 1ซมอ 28.23; 1ซมอ 29.2; 1ซมอ 29.3; 1ซมอ 29.4; 1ซมอ 29.6; 1ซมอ 29.8; 1ซมอ 29.9; 1ซมอ 29.10; 1ซมอ 29.11; 1ซมอ 30.1; 1ซมอ 30.2; 1ซมอ 30.3; 1ซมอ 30.5; 1ซมอ 30.6; 1ซมอ 30.7; 1ซมอ 30.12; 1ซมอ 30.13; 1ซมอ 30.14; 1ซมอ 30.15; 1ซมอ 30.17; 1ซมอ 30.18; 1ซมอ 30.20; 1ซมอ 30.22; 1ซมอ 30.23; 1ซมอ 30.24; 1ซมอ 30.26; 1ซมอ 30.29; 1ซมอ 30.31; 1ซมอ 31.2; 1ซมอ 31.3; 1ซมอ 31.4; 1ซมอ 31.5; 1ซมอ 31.6; 1ซมอ 31.7; 1ซมอ 31.9; 1ซมอ 31.10; 1ซมอ 31.12; 2ซมอ 1.2; 2ซมอ 1.5; 2ซมอ 1.6; 2ซมอ 1.9; 2ซมอ 1.10; 2ซมอ 1.11; 2ซมอ 1.12; 2ซมอ 1.13; 2ซมอ 1.16; 2ซมอ 1.19; 2ซมอ 1.20; 2ซมอ 1.21; 2ซมอ 1.22; 2ซมอ 1.24; 2ซมอ 1.25; 2ซมอ 1.26; 2ซมอ 2.2; 2ซมอ 2.3; 2ซมอ 2.5; 2ซมอ 2.7; 2ซมอ 2.8; 2ซมอ 2.10; 2ซมอ 2.12; 2ซมอ 2.13; 2ซมอ 2.15; 2ซมอ 2.16; 2ซมอ 2.17; 2ซมอ 2.18; 2ซมอ 2.21; 2ซมอ 2.22; 2ซมอ 2.23; 2ซมอ 2.26; 2ซมอ 2.27; 2ซมอ 2.29; 2ซมอ 2.30; 2ซมอ 2.31; 2ซมอ 2.32; 2ซมอ 3.1; 2ซมอ 3.3; 2ซมอ 3.5; 2ซมอ 3.6; 2ซมอ 3.7; 2ซมอ 3.8; 2ซมอ 3.10; 2ซมอ 3.12; 2ซมอ 3.13; 2ซมอ 3.14; 2ซมอ 3.15; 2ซมอ 3.16; 2ซมอ 3.17; 2ซมอ 3.18; 2ซมอ 3.19; 2ซมอ 3.21; 2ซมอ 3.22; 2ซมอ 3.25; 2ซมอ 3.27; 2ซมอ 3.28; 2ซมอ 3.29; 2ซมอ 3.30; 2ซมอ 3.31; 2ซมอ 3.32; 2ซมอ 3.34; 2ซมอ 3.37; 2ซมอ 3.38; 2ซมอ 3.39; 2ซมอ 4.1; 2ซมอ 4.2; 2ซมอ 4.4; 2ซมอ 4.5; 2ซมอ 4.7; 2ซมอ 4.8; 2ซมอ 4.9; 2ซมอ 4.11; 2ซมอ 4.12; 2ซมอ 5.1; 2ซมอ 5.2; 2ซมอ 5.3; 2ซมอ 5.6; 2ซมอ 5.7; 2ซมอ 5.8; 2ซมอ 5.9; 2ซมอ 5.11; 2ซมอ 5.12; 2ซมอ 5.14; 2ซมอ 5.19; 2ซมอ 5.20; 2ซมอ 5.21; 2ซมอ 5.23; 2ซมอ 5.24; 2ซมอ 6.2; 2ซมอ 6.3; 2ซมอ 6.4; 2ซมอ 6.6; 2ซมอ 6.7; 2ซมอ 6.10; 2ซมอ 6.11; 2ซมอ 6.12; 2ซมอ 6.14; 2ซมอ 6.16; 2ซมอ 6.18; 2ซมอ 6.19; 2ซมอ 6.20; 2ซมอ 6.21; 2ซมอ 6.22; 2ซมอ 6.23; 2ซมอ 7.1; 2ซมอ 7.3; 2ซมอ 7.4; 2ซมอ 7.5; 2ซมอ 7.7; 2ซมอ 7.8; 2ซมอ 7.9; 2ซมอ 7.10; 2ซมอ 7.11; 2ซมอ 7.12; 2ซมอ 7.13; 2ซมอ 7.14; 2ซมอ 7.15; 2ซมอ 7.16; 2ซมอ 7.18; 2ซมอ 7.19; 2ซมอ 7.20; 2ซมอ 7.21; 2ซมอ 7.22; 2ซมอ 7.23; 2ซมอ 7.24; 2ซมอ 7.25; 2ซมอ 7.26; 2ซมอ 7.27; 2ซมอ 7.28; 2ซมอ 7.29; 2ซมอ 8.2; 2ซมอ 8.3; 2ซมอ 8.6; 2ซมอ 8.7; 2ซมอ 8.8; 2ซมอ 8.9; 2ซมอ 8.10; 2ซมอ 8.12; 2ซมอ 8.13; 2ซมอ 8.14; 2ซมอ 8.15; 2ซมอ 8.18; 2ซมอ 9.1; 2ซมอ 9.3; 2ซมอ 9.4; 2ซมอ 9.5; 2ซมอ 9.6; 2ซมอ 9.7; 2ซมอ 9.8; 2ซมอ 9.9; 2ซมอ 9.10; 2ซมอ 9.11; 2ซมอ 9.12; 2ซมอ 9.13; 2ซมอ 10.2; 2ซมอ 10.3; 2ซมอ 10.4; 2ซมอ 10.5; 2ซมอ 10.10; 2ซมอ 10.11; 2ซมอ 10.12; 2ซมอ 10.16; 2ซมอ 10.18; 2ซมอ 11.3; 2ซมอ 11.4; 2ซมอ 11.8; 2ซมอ 11.9; 2ซมอ 11.10; 2ซมอ 11.11; 2ซมอ 11.13; 2ซมอ 11.14; 2ซมอ 11.17; 2ซมอ 11.21; 2ซมอ 11.24; 2ซมอ 11.26; 2ซมอ 11.27; 2ซมอ 12.3; 2ซมอ 12.4; 2ซมอ 12.7; 2ซมอ 12.8; 2ซมอ 12.9; 2ซมอ 12.10; 2ซมอ 12.11; 2ซมอ 12.13; 2ซมอ 12.14; 2ซมอ 12.15; 2ซมอ 12.17; 2ซมอ 12.18; 2ซมอ 12.19; 2ซมอ 12.20; 2ซมอ 12.24; 2ซมอ 12.26; 2ซมอ 12.28; 2ซมอ 12.30; 2ซมอ 12.31; 2ซมอ 13.1; 2ซมอ 13.2; 2ซมอ 13.3; 2ซมอ 13.4; 2ซมอ 13.5; 2ซมอ 13.6; 2ซมอ 13.7; 2ซมอ 13.8; 2ซมอ 13.10; 2ซมอ 13.11; 2ซมอ 13.17; 2ซมอ 13.18; 2ซมอ 13.19; 2ซมอ 13.20; 2ซมอ 13.22; 2ซมอ 13.23; 2ซมอ 13.24; 2ซมอ 13.27; 2ซมอ 13.28; 2ซมอ 13.29; 2ซมอ 13.30; 2ซมอ 13.32; 2ซมอ 13.33; 2ซมอ 13.35; 2ซมอ 13.36; 2ซมอ 13.37; 2ซมอ 14.1; 2ซมอ 14.2; 2ซมอ 14.6; 2ซมอ 14.7; 2ซมอ 14.8; 2ซมอ 14.9; 2ซมอ 14.11; 2ซมอ 14.12; 2ซมอ 14.13; 2ซมอ 14.15; 2ซมอ 14.16; 2ซมอ 14.17; 2ซมอ 14.18; 2ซมอ 14.19; 2ซมอ 14.20; 2ซมอ 14.22; 2ซมอ 14.24; 2ซมอ 14.26; 2ซมอ 14.30; 2ซมอ 14.31; 2ซมอ 15.2; 2ซมอ 15.3; 2ซมอ 15.8; 2ซมอ 15.12; 2ซมอ 15.13; 2ซมอ 15.15; 2ซมอ 15.16; 2ซมอ 15.19; 2ซมอ 15.20; 2ซมอ 15.21; 2ซมอ 15.22; 2ซมอ 15.24; 2ซมอ 15.25; 2ซมอ 15.27; 2ซมอ 15.31; 2ซมอ 15.34; 2ซมอ 15.36; 2ซมอ 15.37; 2ซมอ 16.1; 2ซมอ 16.3; 2ซมอ 16.4; 2ซมอ 16.6; 2ซมอ 16.8; 2ซมอ 16.9; 2ซมอ 16.10; 2ซมอ 16.11; 2ซมอ 16.12; 2ซมอ 16.13; 2ซมอ 16.16; 2ซมอ 16.17; 2ซมอ 16.19; 2ซมอ 16.20; 2ซมอ 16.21; 2ซมอ 16.22; 2ซมอ 16.23; 2ซมอ 17.6; 2ซมอ 17.8; 2ซมอ 17.10; 2ซมอ 17.11; 2ซมอ 17.14; 2ซมอ 17.15; 2ซมอ 17.20; 2ซมอ 17.23; 2ซมอ 17.25; 2ซมอ 18.2; 2ซมอ 18.7; 2ซมอ 18.9; 2ซมอ 18.12; 2ซมอ 18.13; 2ซมอ 18.14; 2ซมอ 18.15; 2ซมอ 18.17; 2ซมอ 18.18; 2ซมอ 18.19; 2ซมอ 18.20; 2ซมอ 18.28; 2ซมอ 18.29; 2ซมอ 18.31; 2ซมอ 18.32; 2ซมอ 18.33; 2ซมอ 19.2; 2ซมอ 19.4; 2ซมอ 19.5; 2ซมอ 19.6; 2ซมอ 19.8; 2ซมอ 19.9; 2ซมอ 19.11; 2ซมอ 19.12; 2ซมอ 19.13; 2ซมอ 19.14; 2ซมอ 19.17; 2ซมอ 19.18; 2ซมอ 19.19; 2ซมอ 19.20; 2ซมอ 19.21; 2ซมอ 19.22; 2ซมอ 19.24; 2ซมอ 19.26; 2ซมอ 19.27; 2ซมอ 19.28; 2ซมอ 19.29; 2ซมอ 19.30; 2ซมอ 19.35; 2ซมอ 19.36; 2ซมอ 19.37; 2ซมอ 19.39; 2ซมอ 19.41; 2ซมอ 19.42; 2ซมอ 19.43; 2ซมอ 20.1; 2ซมอ 20.2; 2ซมอ 20.6; 2ซมอ 20.7; 2ซมอ 20.10; 2ซมอ 20.11; 2ซมอ 20.12; 2ซมอ 20.17; 2ซมอ 20.19; 2ซมอ 20.21; 2ซมอ 20.22; 2ซมอ 20.26; 2ซมอ 21.1; 2ซมอ 21.3; 2ซมอ 21.4; 2ซมอ 21.6; 2ซมอ 21.7; 2ซมอ 21.8; 2ซมอ 21.9; 2ซมอ 21.10; 2ซมอ 21.11; 2ซมอ 21.12; 2ซมอ 21.13; 2ซมอ 21.14; 2ซมอ 21.15; 2ซมอ 21.16; 2ซมอ 21.17; 2ซมอ 21.18; 2ซมอ 21.21; 2ซมอ 21.22; 2ซมอ 22.1; 2ซมอ 22.2; 2ซมอ 22.3; 2ซมอ 22.4; 2ซมอ 22.7; 2ซมอ 22.8; 2ซมอ 22.9; 2ซมอ 22.10; 2ซมอ 22.11; 2ซมอ 22.14; 2ซมอ 22.15; 2ซมอ 22.16; 2ซมอ 22.18; 2ซมอ 22.19; 2ซมอ 22.21; 2ซมอ 22.22; 2ซมอ 22.23; 2ซมอ 22.24; 2ซมอ 22.25; 2ซมอ 22.29; 2ซมอ 22.30; 2ซมอ 22.31; 2ซมอ 22.32; 2ซมอ 22.33; 2ซมอ 22.34; 2ซมอ 22.35; 2ซมอ 22.36; 2ซมอ 22.37; 2ซมอ 22.38; 2ซมอ 22.39; 2ซมอ 22.41; 2ซมอ 22.44; 2ซมอ 22.46; 2ซมอ 22.47; 2ซมอ 22.49; 2ซมอ 22.50; 2ซมอ 22.51; 2ซมอ 23.1; 2ซมอ 23.2; 2ซมอ 23.5; 2ซมอ 23.10; 2ซมอ 23.14; 2ซมอ 23.17; 2ซมอ 23.18; 2ซมอ 23.19; 2ซมอ 23.20; 2ซมอ 23.21; 2ซมอ 23.24; 2ซมอ 23.32; 2ซมอ 23.33; 2ซมอ 23.34; 2ซมอ 23.37; 2ซมอ 24.1; 2ซมอ 24.2; 2ซมอ 24.3; 2ซมอ 24.4; 2ซมอ 24.5; 2ซมอ 24.7; 2ซมอ 24.10; 2ซมอ 24.11; 2ซมอ 24.13; 2ซมอ 24.14; 2ซมอ 24.16; 2ซมอ 24.17; 2ซมอ 24.18; 2ซมอ 24.19; 2ซมอ 24.21; 2ซมอ 24.22; 2ซมอ 24.23; 2ซมอ 24.24; 1พกษ 1.2; 1พกษ 1.5; 1พกษ 1.6; 1พกษ 1.8; 1พกษ 1.9; 1พกษ 1.10; 1พกษ 1.11; 1พกษ 1.12; 1พกษ 1.13; 1พกษ 1.14; 1พกษ 1.17; 1พกษ 1.18; 1พกษ 1.19; 1พกษ 1.20; 1พกษ 1.21; 1พกษ 1.24; 1พกษ 1.25; 1พกษ 1.26; 1พกษ 1.27; 1พกษ 1.29; 1พกษ 1.30; 1พกษ 1.31; 1พกษ 1.33; 1พกษ 1.35; 1พกษ 1.36; 1พกษ 1.37; 1พกษ 1.38; 1พกษ 1.40; 1พกษ 1.43; 1พกษ 1.44; 1พกษ 1.47; 1พกษ 1.48; 1พกษ 1.49; 1พกษ 1.50; 1พกษ 1.51; 1พกษ 1.52; 1พกษ 1.53; 1พกษ 2.1; 1พกษ 2.2; 1พกษ 2.3; 1พกษ 2.4; 1พกษ 2.5; 1พกษ 2.6; 1พกษ 2.7; 1พกษ 2.9; 1พกษ 2.10; 1พกษ 2.12; 1พกษ 2.13; 1พกษ 2.15; 1พกษ 2.17; 1พกษ 2.19; 1พกษ 2.21; 1พกษ 2.22; 1พกษ 2.23; 1พกษ 2.24; 1พกษ 2.26; 1พกษ 2.27; 1พกษ 2.28; 1พกษ 2.29; 1พกษ 2.30; 1พกษ 2.31; 1พกษ 2.32; 1พกษ 2.33; 1พกษ 2.34; 1พกษ 2.35; 1พกษ 2.37; 1พกษ 2.38; 1พกษ 2.39; 1พกษ 2.40; 1พกษ 2.42; 1พกษ 2.44; 1พกษ 2.45; 1พกษ 2.46; 1พกษ 3.1; 1พกษ 3.2; 1พกษ 3.3; 1พกษ 3.6; 1พกษ 3.7; 1พกษ 3.8; 1พกษ 3.9; 1พกษ 3.11; 1พกษ 3.12; 1พกษ 3.13; 1พกษ 3.14; 1พกษ 3.15; 1พกษ 3.17; 1พกษ 3.19; 1พกษ 3.20; 1พกษ 3.21; 1พกษ 3.22; 1พกษ 3.23; 1พกษ 3.26; 1พกษ 3.27; 1พกษ 3.28; 1พกษ 4.2; 1พกษ 4.5; 1พกษ 4.8; 1พกษ 4.11; 1พกษ 4.12; 1พกษ 4.13; 1พกษ 4.15; 1พกษ 4.19; 1พกษ 4.21; 1พกษ 4.25; 1พกษ 4.26; 1พกษ 4.27; 1พกษ 4.28; 1พกษ 4.30; 1พกษ 4.31; 1พกษ 4.32; 1พกษ 4.34; 1พกษ 5.1; 1พกษ 5.3; 1พกษ 5.4; 1พกษ 5.5; 1พกษ 5.6; 1พกษ 5.7; 1พกษ 5.9; 1พกษ 5.11; 1พกษ 5.16; 1พกษ 5.17; 1พกษ 5.18; 1พกษ 6.1; 1พกษ 6.3; 1พกษ 6.5; 1พกษ 6.6; 1พกษ 6.8; 1พกษ 6.9; 1พกษ 6.11; 1พกษ 6.12; 1พกษ 6.13; 1พกษ 6.16; 1พกษ 6.19; 1พกษ 6.22; 1พกษ 6.24; 1พกษ 6.26; 1พกษ 6.27; 1พกษ 6.29; 1พกษ 6.30; 1พกษ 6.31; 1พกษ 6.33; 1พกษ 6.34; 1พกษ 6.37; 1พกษ 7.1; 1พกษ 7.8; 1พกษ 7.12; 1พกษ 7.14; 1พกษ 7.16; 1พกษ 7.22; 1พกษ 7.25; 1พกษ 7.26; 1พกษ 7.36; 1พกษ 7.39; 1พกษ 7.40; 1พกษ 7.41; 1พกษ 7.42; 1พกษ 7.45; 1พกษ 7.46; 1พกษ 7.47; 1พกษ 7.48; 1พกษ 7.50; 1พกษ 7.51; 1พกษ 8.1; 1พกษ 8.2; 1พกษ 8.3; 1พกษ 8.4; 1พกษ 8.6; 1พกษ 8.7; 1พกษ 8.8; 1พกษ 8.10; 1พกษ 8.11; 1พกษ 8.15; 1พกษ 8.16; 1พกษ 8.17; 1พกษ 8.18; 1พกษ 8.19; 1พกษ 8.20; 1พกษ 8.21; 1พกษ 8.22; 1พกษ 8.23; 1พกษ 8.24; 1พกษ 8.25; 1พกษ 8.26; 1พกษ 8.28; 1พกษ 8.29; 1พกษ 8.30; 1พกษ 8.31; 1พกษ 8.32; 1พกษ 8.33; 1พกษ 8.34; 1พกษ 8.35; 1พกษ 8.36; 1พกษ 8.37; 1พกษ 8.38; 1พกษ 8.39; 1พกษ 8.40; 1พกษ 8.41; 1พกษ 8.42; 1พกษ 8.43; 1พกษ 8.44; 1พกษ 8.45; 1พกษ 8.46; 1พกษ 8.47; 1พกษ 8.48; 1พกษ 8.49; 1พกษ 8.50; 1พกษ 8.51; 1พกษ 8.52; 1พกษ 8.53; 1พกษ 8.54; 1พกษ 8.56; 1พกษ 8.57; 1พกษ 8.58; 1พกษ 8.59; 1พกษ 8.61; 1พกษ 8.64; 1พกษ 8.65; 1พกษ 8.66; 1พกษ 9.1; 1พกษ 9.3; 1พกษ 9.4; 1พกษ 9.5; 1พกษ 9.6; 1พกษ 9.7; 1พกษ 9.9; 1พกษ 9.10; 1พกษ 9.15; 1พกษ 9.16; 1พกษ 9.19; 1พกษ 9.21; 1พกษ 9.22; 1พกษ 9.23; 1พกษ 9.24; 1พกษ 9.27; 1พกษ 10.1; 1พกษ 10.3; 1พกษ 10.4; 1พกษ 10.5; 1พกษ 10.6; 1พกษ 10.7; 1พกษ 10.8; 1พกษ 10.9; 1พกษ 10.11; 1พกษ 10.12; 1พกษ 10.13; 1พกษ 10.14; 1พกษ 10.15; 1พกษ 10.19; 1พกษ 10.21; 1พกษ 10.22; 1พกษ 10.24; 1พกษ 10.25; 1พกษ 10.28; 1พกษ 10.29; 1พกษ 11.1; 1พกษ 11.2; 1พกษ 11.3; 1พกษ 11.4; 1พกษ 11.5; 1พกษ 11.6; 1พกษ 11.7; 1พกษ 11.8; 1พกษ 11.9; 1พกษ 11.10; 1พกษ 11.11; 1พกษ 11.12; 1พกษ 11.13; 1พกษ 11.17; 1พกษ 11.19; 1พกษ 11.20; 1พกษ 11.21; 1พกษ 11.22; 1พกษ 11.23; 1พกษ 11.24; 1พกษ 11.25; 1พกษ 11.26; 1พกษ 11.27; 1พกษ 11.28; 1พกษ 11.31; 1พกษ 11.32; 1พกษ 11.33; 1พกษ 11.34; 1พกษ 11.35; 1พกษ 11.36; 1พกษ 11.37; 1พกษ 11.38; 1พกษ 11.39; 1พกษ 11.41; 1พกษ 11.43; 1พกษ 12.4; 1พกษ 12.6; 1พกษ 12.7; 1พกษ 12.9; 1พกษ 12.10; 1พกษ 12.11; 1พกษ 12.14; 1พกษ 12.15; 1พกษ 12.16; 1พกษ 12.17; 1พกษ 12.18; 1พกษ 12.19; 1พกษ 12.20; 1พกษ 12.21; 1พกษ 12.22; 1พกษ 12.23; 1พกษ 12.24; 1พกษ 12.26; 1พกษ 12.27; 1พกษ 12.28; 1พกษ 12.32; 1พกษ 13.1; 1พกษ 13.2; 1พกษ 13.4; 1พกษ 13.5; 1พกษ 13.6; 1พกษ 13.8; 1พกษ 13.9; 1พกษ 13.11; 1พกษ 13.12; 1พกษ 13.13; 1พกษ 13.17; 1พกษ 13.18; 1พกษ 13.19; 1พกษ 13.20; 1พกษ 13.21; 1พกษ 13.22; 1พกษ 13.24; 1พกษ 13.26; 1พกษ 13.27; 1พกษ 13.29; 1พกษ 13.30; 1พกษ 13.31; 1พกษ 13.32; 1พกษ 13.33; 1พกษ 14.1; 1พกษ 14.2; 1พกษ 14.4; 1พกษ 14.5; 1พกษ 14.6; 1พกษ 14.7; 1พกษ 14.8; 1พกษ 14.9; 1พกษ 14.10; 1พกษ 14.12; 1พกษ 14.13; 1พกษ 14.14; 1พกษ 14.15; 1พกษ 14.16; 1พกษ 14.17; 1พกษ 14.18; 1พกษ 14.19; 1พกษ 14.20; 1พกษ 14.21; 1พกษ 14.22; 1พกษ 14.24; 1พกษ 14.26; 1พกษ 14.27; 1พกษ 14.28; 1พกษ 14.29; 1พกษ 14.31; 1พกษ 15.2; 1พกษ 15.3; 1พกษ 15.4; 1พกษ 15.5; 1พกษ 15.6; 1พกษ 15.7; 1พกษ 15.8; 1พกษ 15.9; 1พกษ 15.10; 1พกษ 15.11; 1พกษ 15.13; 1พกษ 15.14; 1พกษ 15.15; 1พกษ 15.16; 1พกษ 15.18; 1พกษ 15.19; 1พกษ 15.20; 1พกษ 15.22; 1พกษ 15.23; 1พกษ 15.24; 1พกษ 15.25; 1พกษ 15.26; 1พกษ 15.27; 1พกษ 15.29; 1พกษ 15.30; 1พกษ 15.31; 1พกษ 15.32; 1พกษ 15.34; 1พกษ 16.1; 1พกษ 16.2; 1พกษ 16.3; 1พกษ 16.5; 1พกษ 16.6; 1พกษ 16.7; 1พกษ 16.8; 1พกษ 16.9; 1พกษ 16.10; 1พกษ 16.11; 1พกษ 16.12; 1พกษ 16.13; 1พกษ 16.14; 1พกษ 16.15; 1พกษ 16.19; 1พกษ 16.20; 1พกษ 16.21; 1พกษ 16.24; 1พกษ 16.26; 1พกษ 16.27; 1พกษ 16.28; 1พกษ 16.29; 1พกษ 16.30; 1พกษ 16.31; 1พกษ 16.34; 1พกษ 17.1; 1พกษ 17.2; 1พกษ 17.5; 1พกษ 17.8; 1พกษ 17.12; 1พกษ 17.13; 1พกษ 17.14; 1พกษ 17.15; 1พกษ 17.16; 1พกษ 17.17; 1พกษ 17.18; 1พกษ 17.19; 1พกษ 17.20; 1พกษ 17.21; 1พกษ 17.22; 1พกษ 17.23; 1พกษ 17.24; 1พกษ 18.1; 1พกษ 18.4; 1พกษ 18.7; 1พกษ 18.8; 1พกษ 18.9; 1พกษ 18.10; 1พกษ 18.11; 1พกษ 18.12; 1พกษ 18.13; 1พกษ 18.14; 1พกษ 18.15; 1พกษ 18.18; 1พกษ 18.19; 1พกษ 18.22; 1พกษ 18.23; 1พกษ 18.24; 1พกษ 18.25; 1พกษ 18.28; 1พกษ 18.30; 1พกษ 18.31; 1พกษ 18.32; 1พกษ 18.36; 1พกษ 18.37; 1พกษ 18.38; 1พกษ 18.40; 1พกษ 18.43; 1พกษ 18.46; 1พกษ 19.2; 1พกษ 19.3; 1พกษ 19.4; 1พกษ 19.6; 1พกษ 19.7; 1พกษ 19.8; 1พกษ 19.9; 1พกษ 19.10; 1พกษ 19.14; 1พกษ 19.15; 1พกษ 19.17; 1พกษ 19.20; 1พกษ 20.1; 1พกษ 20.3; 1พกษ 20.4; 1พกษ 20.5; 1พกษ 20.6; 1พกษ 20.7; 1พกษ 20.9; 1พกษ 20.12; 1พกษ 20.13; 1พกษ 20.14; 1พกษ 20.15; 1พกษ 20.17; 1พกษ 20.19; 1พกษ 20.20; 1พกษ 20.22; 1พกษ 20.23; 1พกษ 20.25; 1พกษ 20.28; 1พกษ 20.31; 1พกษ 20.32; 1พกษ 20.33; 1พกษ 20.34; 1พกษ 20.35; 1พกษ 20.36; 1พกษ 20.39; 1พกษ 20.40; 1พกษ 20.41; 1พกษ 20.42; 1พกษ 21.1; 1พกษ 21.2; 1พกษ 21.3; 1พกษ 21.4; 1พกษ 21.5; 1พกษ 21.6; 1พกษ 21.7; 1พกษ 21.8; 1พกษ 21.11; 1พกษ 21.15; 1พกษ 21.16; 1พกษ 21.17; 1พกษ 21.18; 1พกษ 21.19; 1พกษ 21.20; 1พกษ 21.22; 1พกษ 21.25; 1พกษ 21.28; 1พกษ 21.29; 1พกษ 22.3; 1พกษ 22.4; 1พกษ 22.5; 1พกษ 22.6; 1พกษ 22.7; 1พกษ 22.12; 1พกษ 22.13; 1พกษ 22.15; 1พกษ 22.16; 1พกษ 22.17; 1พกษ 22.19; 1พกษ 22.22; 1พกษ 22.23; 1พกษ 22.24; 1พกษ 22.30; 1พกษ 22.36; 1พกษ 22.38; 1พกษ 22.39; 1พกษ 22.40; 1พกษ 22.41; 1พกษ 22.42; 1พกษ 22.43; 1พกษ 22.45; 1พกษ 22.46; 1พกษ 22.49; 1พกษ 22.50; 1พกษ 22.51; 1พกษ 22.52; 1พกษ 22.53; 2พกษ 1.2; 2พกษ 1.3; 2พกษ 1.8; 2พกษ 1.9; 2พกษ 1.10; 2พกษ 1.11; 2พกษ 1.12; 2พกษ 1.13; 2พกษ 1.14; 2พกษ 1.15; 2พกษ 1.16; 2พกษ 1.17; 2พกษ 1.18; 2พกษ 2.3; 2พกษ 2.5; 2พกษ 2.7; 2พกษ 2.8; 2พกษ 2.9; 2พกษ 2.12; 2พกษ 2.13; 2พกษ 2.14; 2พกษ 2.15; 2พกษ 2.16; 2พกษ 2.19; 2พกษ 3.1; 2พกษ 3.2; 2พกษ 3.3; 2พกษ 3.4; 2พกษ 3.7; 2พกษ 3.10; 2พกษ 3.11; 2พกษ 3.13; 2พกษ 3.15; 2พกษ 3.17; 2พกษ 3.18; 2พกษ 3.23; 2พกษ 3.25; 2พกษ 3.27; 2พกษ 4.1; 2พกษ 4.2; 2พกษ 4.3; 2พกษ 4.4; 2พกษ 4.5; 2พกษ 4.7; 2พกษ 4.9; 2พกษ 4.12; 2พกษ 4.13; 2พกษ 4.14; 2พกษ 4.16; 2พกษ 4.18; 2พกษ 4.19; 2พกษ 4.20; 2พกษ 4.21; 2พกษ 4.22; 2พกษ 4.24; 2พกษ 4.25; 2พกษ 4.27; 2พกษ 4.28; 2พกษ 4.29; 2พกษ 4.30; 2พกษ 4.31; 2พกษ 4.32; 2พกษ 4.34; 2พกษ 4.35; 2พกษ 4.36; 2พกษ 4.37; 2พกษ 4.38; 2พกษ 4.42; 2พกษ 4.44; 2พกษ 5.1; 2พกษ 5.2; 2พกษ 5.3; 2พกษ 5.4; 2พกษ 5.6; 2พกษ 5.8; 2พกษ 5.9; 2พกษ 5.10; 2พกษ 5.11; 2พกษ 5.13; 2พกษ 5.14; 2พกษ 5.15; 2พกษ 5.17; 2พกษ 5.18; 2พกษ 5.20; 2พกษ 5.22; 2พกษ 5.24; 2พกษ 5.25; 2พกษ 5.26; 2พกษ 5.27; 2พกษ 6.1; 2พกษ 6.2; 2พกษ 6.3; 2พกษ 6.5; 2พกษ 6.8; 2พกษ 6.12; 2พกษ 6.15; 2พกษ 6.17; 2พกษ 6.18; 2พกษ 6.20; 2พกษ 6.21; 2พกษ 6.22; 2พกษ 6.23; 2พกษ 6.24; 2พกษ 6.26; 2พกษ 6.28; 2พกษ 6.29; 2พกษ 6.30; 2พกษ 6.31; 2พกษ 6.32; 2พกษ 7.1; 2พกษ 7.2; 2พกษ 7.4; 2พกษ 7.5; 2พกษ 7.6; 2พกษ 7.7; 2พกษ 7.10; 2พกษ 7.14; 2พกษ 7.16; 2พกษ 7.19; 2พกษ 8.1; 2พกษ 8.2; 2พกษ 8.3; 2พกษ 8.4; 2พกษ 8.5; 2พกษ 8.6; 2พกษ 8.9; 2พกษ 8.12; 2พกษ 8.13; 2พกษ 8.14; 2พกษ 8.16; 2พกษ 8.18; 2พกษ 8.19; 2พกษ 8.20; 2พกษ 8.21; 2พกษ 8.22; 2พกษ 8.23; 2พกษ 8.24; 2พกษ 8.25; 2พกษ 8.26; 2พกษ 8.27; 2พกษ 8.28; 2พกษ 8.29; 2พกษ 9.1; 2พกษ 9.3; 2พกษ 9.6; 2พกษ 9.7; 2พกษ 9.9; 2พกษ 9.11; 2พกษ 9.13; 2พกษ 9.15; 2พกษ 9.17; 2พกษ 9.20; 2พกษ 9.21; 2พกษ 9.22; 2พกษ 9.24; 2พกษ 9.25; 2พกษ 9.26; 2พกษ 9.28; 2พกษ 9.29; 2พกษ 9.31; 2พกษ 9.33; 2พกษ 9.34; 2พกษ 9.35; 2พกษ 9.36; 2พกษ 9.37; 2พกษ 10.1; 2พกษ 10.2; 2พกษ 10.3; 2พกษ 10.5; 2พกษ 10.6; 2พกษ 10.7; 2พกษ 10.8; 2พกษ 10.9; 2พกษ 10.10; 2พกษ 10.11; 2พกษ 10.13; 2พกษ 10.15; 2พกษ 10.16; 2พกษ 10.17; 2พกษ 10.19; 2พกษ 10.21; 2พกษ 10.23; 2พกษ 10.24; 2พกษ 10.25; 2พกษ 10.26; 2พกษ 10.27; 2พกษ 10.29; 2พกษ 10.30; 2พกษ 10.31; 2พกษ 10.32; 2พกษ 10.34; 2พกษ 10.35; 2พกษ 11.1; 2พกษ 11.2; 2พกษ 11.3; 2พกษ 11.4; 2พกษ 11.5; 2พกษ 11.7; 2พกษ 11.8; 2พกษ 11.9; 2พกษ 11.10; 2พกษ 11.12; 2พกษ 11.13; 2พกษ 11.15; 2พกษ 11.17; 2พกษ 11.18; 2พกษ 11.19; 2พกษ 12.1; 2พกษ 12.2; 2พกษ 12.4; 2พกษ 12.9; 2พกษ 12.10; 2พกษ 12.11; 2พกษ 12.12; 2พกษ 12.13; 2พกษ 12.14; 2พกษ 12.16; 2พกษ 12.18; 2พกษ 12.19; 2พกษ 12.20; 2พกษ 12.21; 2พกษ 13.1; 2พกษ 13.2; 2พกษ 13.3; 2พกษ 13.6; 2พกษ 13.8; 2พกษ 13.9; 2พกษ 13.11; 2พกษ 13.12; 2พกษ 13.13; 2พกษ 13.14; 2พกษ 13.16; 2พกษ 13.17; 2พกษ 13.21; 2พกษ 13.22; 2พกษ 13.23; 2พกษ 13.24; 2พกษ 13.25; 2พกษ 14.1; 2พกษ 14.2; 2พกษ 14.3; 2พกษ 14.5; 2พกษ 14.6; 2พกษ 14.8; 2พกษ 14.9; 2พกษ 14.10; 2พกษ 14.11; 2พกษ 14.12; 2พกษ 14.13; 2พกษ 14.14; 2พกษ 14.15; 2พกษ 14.16; 2พกษ 14.17; 2พกษ 14.18; 2พกษ 14.20; 2พกษ 14.21; 2พกษ 14.22; 2พกษ 14.23; 2พกษ 14.24; 2พกษ 14.25; 2พกษ 14.26; 2พกษ 14.27; 2พกษ 14.28; 2พกษ 14.29; 2พกษ 15.1; 2พกษ 15.3; 2พกษ 15.5; 2พกษ 15.6; 2พกษ 15.7; 2พกษ 15.8; 2พกษ 15.9; 2พกษ 15.11; 2พกษ 15.12; 2พกษ 15.13; 2พกษ 15.15; 2พกษ 15.16; 2พกษ 15.18; 2พกษ 15.19; 2พกษ 15.21; 2พกษ 15.22; 2พกษ 15.23; 2พกษ 15.24; 2พกษ 15.25; 2พกษ 15.26; 2พกษ 15.28; 2พกษ 15.29; 2พกษ 15.30; 2พกษ 15.31; 2พกษ 15.32; 2พกษ 15.33; 2พกษ 15.34; 2พกษ 15.35; 2พกษ 15.36; 2พกษ 15.38; 2พกษ 16.1; 2พกษ 16.2; 2พกษ 16.3; 2พกษ 16.7; 2พกษ 16.13; 2พกษ 16.14; 2พกษ 16.15; 2พกษ 16.16; 2พกษ 16.18; 2พกษ 16.19; 2พกษ 16.20; 2พกษ 17.2; 2พกษ 17.7; 2พกษ 17.9; 2พกษ 17.13; 2พกษ 17.14; 2พกษ 17.15; 2พกษ 17.16; 2พกษ 17.17; 2พกษ 17.18; 2พกษ 17.19; 2พกษ 17.20; 2พกษ 17.21; 2พกษ 17.23; 2พกษ 17.24; 2พกษ 17.26; 2พกษ 17.27; 2พกษ 17.29; 2พกษ 17.31; 2พกษ 17.32; 2พกษ 17.33; 2พกษ 17.34; 2พกษ 17.39; 2พกษ 17.40; 2พกษ 17.41; 2พกษ 18.1; 2พกษ 18.2; 2พกษ 18.3; 2พกษ 18.11; 2พกษ 18.12; 2พกษ 18.13; 2พกษ 18.15; 2พกษ 18.16; 2พกษ 18.18; 2พกษ 18.21; 2พกษ 18.22; 2พกษ 18.23; 2พกษ 18.24; 2พกษ 18.26; 2พกษ 18.27; 2พกษ 18.28; 2พกษ 18.29; 2พกษ 18.30; 2พกษ 18.31; 2พกษ 18.32; 2พกษ 18.33; 2พกษ 18.34; 2พกษ 18.35; 2พกษ 18.36; 2พกษ 18.37; 2พกษ 19.1; 2พกษ 19.2; 2พกษ 19.4; 2พกษ 19.5; 2พกษ 19.6; 2พกษ 19.7; 2พกษ 19.10; 2พกษ 19.12; 2พกษ 19.13; 2พกษ 19.14; 2พกษ 19.15; 2พกษ 19.16; 2พกษ 19.17; 2พกษ 19.18; 2พกษ 19.19; 2พกษ 19.20; 2พกษ 19.22; 2พกษ 19.23; 2พกษ 19.24; 2พกษ 19.27; 2พกษ 19.28; 2พกษ 19.29; 2พกษ 19.30; 2พกษ 19.31; 2พกษ 19.34; 2พกษ 19.35; 2พกษ 19.37; 2พกษ 20.1; 2พกษ 20.3; 2พกษ 20.4; 2พกษ 20.5; 2พกษ 20.6; 2พกษ 20.8; 2พกษ 20.11; 2พกษ 20.12; 2พกษ 20.13; 2พกษ 20.15; 2พกษ 20.16; 2พกษ 20.17; 2พกษ 20.18; 2พกษ 20.19; 2พกษ 20.20; 2พกษ 20.21; 2พกษ 21.1; 2พกษ 21.2; 2พกษ 21.3; 2พกษ 21.4; 2พกษ 21.5; 2พกษ 21.6; 2พกษ 21.7; 2พกษ 21.8; 2พกษ 21.10; 2พกษ 21.11; 2พกษ 21.12; 2พกษ 21.14; 2พกษ 21.15; 2พกษ 21.16; 2พกษ 21.17; 2พกษ 21.18; 2พกษ 21.19; 2พกษ 21.20; 2พกษ 21.21; 2พกษ 21.22; 2พกษ 21.23; 2พกษ 21.24; 2พกษ 21.25; 2พกษ 21.26; 2พกษ 22.1; 2พกษ 22.2; 2พกษ 22.3; 2พกษ 22.4; 2พกษ 22.5; 2พกษ 22.7; 2พกษ 22.8; 2พกษ 22.9; 2พกษ 22.11; 2พกษ 22.12; 2พกษ 22.13; 2พกษ 22.14; 2พกษ 22.17; 2พกษ 22.19; 2พกษ 22.20; 2พกษ 23.1; 2พกษ 23.2; 2พกษ 23.3; 2พกษ 23.4; 2พกษ 23.5; 2พกษ 23.6; 2พกษ 23.7; 2พกษ 23.8; 2พกษ 23.9; 2พกษ 23.10; 2พกษ 23.11; 2พกษ 23.12; 2พกษ 23.13; 2พกษ 23.16; 2พกษ 23.17; 2พกษ 23.18; 2พกษ 23.19; 2พกษ 23.21; 2พกษ 23.24; 2พกษ 23.25; 2พกษ 23.26; 2พกษ 23.27; 2พกษ 23.28; 2พกษ 23.29; 2พกษ 23.30; 2พกษ 23.31; 2พกษ 23.32; 2พกษ 23.34; 2พกษ 23.35; 2พกษ 23.36; 2พกษ 23.37; 2พกษ 24.1; 2พกษ 24.2; 2พกษ 24.3; 2พกษ 24.5; 2พกษ 24.6; 2พกษ 24.7; 2พกษ 24.8; 2พกษ 24.9; 2พกษ 24.10; 2พกษ 24.11; 2พกษ 24.12; 2พกษ 24.13; 2พกษ 24.15; 2พกษ 24.17; 2พกษ 24.18; 2พกษ 24.19; 2พกษ 24.20; 2พกษ 25.1; 2พกษ 25.3; 2พกษ 25.5; 2พกษ 25.7; 2พกษ 25.8; 2พกษ 25.9; 2พกษ 25.13; 2พกษ 25.16; 2พกษ 25.19; 2พกษ 25.21; 2พกษ 25.23; 2พกษ 25.24; 2พกษ 25.27; 2พกษ 25.28; 2พกษ 25.29; 1พศด 1.5; 1พศด 1.6; 1พศด 1.7; 1พศด 1.8; 1พศด 1.9; 1พศด 1.17; 1พศด 1.19; 1พศด 1.23; 1พศด 1.28; 1พศด 1.29; 1พศด 1.31; 1พศด 1.32; 1พศด 1.33; 1พศด 1.34; 1พศด 1.35; 1พศด 1.36; 1พศด 1.37; 1พศด 1.38; 1พศด 1.39; 1พศด 1.40; 1พศด 1.41; 1พศด 1.42; 1พศด 1.43; 1พศด 1.45; 1พศด 1.46; 1พศด 1.50; 1พศด 1.51; 1พศด 1.54; 1พศด 2.1; 1พศด 2.3; 1พศด 2.4; 1พศด 2.5; 1พศด 2.6; 1พศด 2.7; 1พศด 2.8; 1พศด 2.9; 1พศด 2.10; 1พศด 2.13; 1พศด 2.16; 1พศด 2.17; 1พศด 2.18; 1พศด 2.21; 1พศด 2.23; 1พศด 2.24; 1พศด 2.25; 1พศด 2.26; 1พศด 2.27; 1พศด 2.28; 1พศด 2.29; 1พศด 2.30; 1พศด 2.31; 1พศด 2.32; 1พศด 2.33; 1พศด 2.35; 1พศด 2.42; 1พศด 2.43; 1พศด 2.44; 1พศด 2.45; 1พศด 2.46; 1พศด 2.47; 1พศด 2.48; 1พศด 2.49; 1พศด 2.50; 1พศด 2.51; 1พศด 2.52; 1พศด 2.53; 1พศด 2.54; 1พศด 2.55; 1พศด 3.1; 1พศด 3.2; 1พศด 3.3; 1พศด 3.5; 1พศด 3.9; 1พศด 3.10; 1พศด 3.11; 1พศด 3.12; 1พศด 3.13; 1พศด 3.14; 1พศด 3.15; 1พศด 3.16; 1พศด 3.17; 1พศด 3.19; 1พศด 3.21; 1พศด 3.22; 1พศด 3.23; 1พศด 3.24; 1พศด 4.1; 1พศด 4.2; 1พศด 4.3; 1พศด 4.4; 1พศด 4.5; 1พศด 4.6; 1พศด 4.7; 1พศด 4.8; 1พศด 4.9; 1พศด 4.10; 1พศด 4.11; 1พศด 4.12; 1พศด 4.13; 1พศด 4.14; 1พศด 4.15; 1พศด 4.16; 1พศด 4.17; 1พศด 4.18; 1พศด 4.19; 1พศด 4.20; 1พศด 4.21; 1พศด 4.24; 1พศด 4.25; 1พศด 4.26; 1พศด 4.27; 1พศด 4.31; 1พศด 4.32; 1พศด 4.33; 1พศด 4.38; 1พศด 4.39; 1พศด 4.41; 1พศด 4.42; 1พศด 5.1; 1พศด 5.2; 1พศด 5.3; 1พศด 5.4; 1พศด 5.5; 1พศด 5.6; 1พศด 5.7; 1พศด 5.9; 1พศด 5.10; 1พศด 5.11; 1พศด 5.13; 1พศด 5.15; 1พศด 5.16; 1พศด 5.17; 1พศด 5.20; 1พศด 5.21; 1พศด 5.22; 1พศด 5.24; 1พศด 5.25; 1พศด 5.26; 1พศด 6.1; 1พศด 6.2; 1พศด 6.3; 1พศด 6.15; 1พศด 6.16; 1พศด 6.17; 1พศด 6.18; 1พศด 6.19; 1พศด 6.20; 1พศด 6.21; 1พศด 6.22; 1พศด 6.23; 1พศด 6.24; 1พศด 6.25; 1พศด 6.26; 1พศด 6.27; 1พศด 6.28; 1พศด 6.29; 1พศด 6.30; 1พศด 6.31; 1พศด 6.32; 1พศด 6.33; 1พศด 6.39; 1พศด 6.44; 1พศด 6.48; 1พศด 6.49; 1พศด 6.50; 1พศด 6.51; 1พศด 6.52; 1พศด 6.53; 1พศด 6.54; 1พศด 6.56; 1พศด 6.57; 1พศด 6.60; 1พศด 6.61; 1พศด 6.62; 1พศด 6.63; 1พศด 6.66; 1พศด 6.71; 1พศด 6.78; 1พศด 7.1; 1พศด 7.2; 1พศด 7.3; 1พศด 7.4; 1พศด 7.5; 1พศด 7.6; 1พศด 7.7; 1พศด 7.8; 1พศด 7.9; 1พศด 7.10; 1พศด 7.11; 1พศด 7.13; 1พศด 7.14; 1พศด 7.15; 1พศด 7.16; 1พศด 7.17; 1พศด 7.18; 1พศด 7.19; 1พศด 7.20; 1พศด 7.21; 1พศด 7.22; 1พศด 7.23; 1พศด 7.24; 1พศด 7.25; 1พศด 7.26; 1พศด 7.27; 1พศด 7.28; 1พศด 7.29; 1พศด 7.30; 1พศด 7.31; 1พศด 7.32; 1พศด 7.33; 1พศด 7.34; 1พศด 7.35; 1พศด 7.36; 1พศด 7.38; 1พศด 7.39; 1พศด 7.40; 1พศด 8.1; 1พศด 8.3; 1พศด 8.6; 1พศด 8.8; 1พศด 8.9; 1พศด 8.10; 1พศด 8.12; 1พศด 8.13; 1พศด 8.16; 1พศด 8.18; 1พศด 8.21; 1พศด 8.25; 1พศด 8.27; 1พศด 8.28; 1พศด 8.29; 1พศด 8.30; 1พศด 8.32; 1พศด 8.34; 1พศด 8.35; 1พศด 8.37; 1พศด 8.38; 1พศด 8.39; 1พศด 8.40; 1พศด 9.1; 1พศด 9.2; 1พศด 9.5; 1พศด 9.6; 1พศด 9.7; 1พศด 9.9; 1พศด 9.11; 1พศด 9.13; 1พศด 9.14; 1พศด 9.16; 1พศด 9.17; 1พศด 9.18; 1พศด 9.19; 1พศด 9.22; 1พศด 9.23; 1พศด 9.25; 1พศด 9.26; 1พศด 9.27; 1พศด 9.29; 1พศด 9.30; 1พศด 9.31; 1พศด 9.32; 1พศด 9.33; 1พศด 9.34; 1พศด 9.35; 1พศด 9.36; 1พศด 9.38; 1พศด 9.40; 1พศด 9.41; 1พศด 9.43; 1พศด 9.44; 1พศด 10.2; 1พศด 10.3; 1พศด 10.4; 1พศด 10.5; 1พศด 10.6; 1พศด 10.7; 1พศด 10.9; 1พศด 10.10; 1พศด 10.12; 1พศด 10.13; 1พศด 11.1; 1พศด 11.2; 1พศด 11.3; 1พศด 11.5; 1พศด 11.6; 1พศด 11.7; 1พศด 11.8; 1พศด 11.10; 1พศด 11.11; 1พศด 11.15; 1พศด 11.16; 1พศด 11.18; 1พศด 11.19; 1พศด 11.20; 1พศด 11.21; 1พศด 11.22; 1พศด 11.23; 1พศด 11.26; 1พศด 11.31; 1พศด 11.39; 1พศด 11.42; 1พศด 11.45; 1พศด 12.2; 1พศด 12.3; 1พศด 12.7; 1พศด 12.8; 1พศด 12.14; 1พศด 12.17; 1พศด 12.18; 1พศด 12.19; 1พศด 12.22; 1พศด 12.23; 1พศด 12.27; 1พศด 12.28; 1พศด 12.29; 1พศด 12.30; 1พศด 12.32; 1พศด 12.39; 1พศด 13.2; 1พศด 13.3; 1พศด 13.4; 1พศด 13.6; 1พศด 13.7; 1พศด 13.8; 1พศด 13.9; 1พศด 13.10; 1พศด 13.13; 1พศด 13.14; 1พศด 14.2; 1พศด 14.10; 1พศด 14.11; 1พศด 14.12; 1พศด 14.15; 1พศด 14.17; 1พศด 15.1; 1พศด 15.3; 1พศด 15.4; 1พศด 15.5; 1พศด 15.6; 1พศด 15.7; 1พศด 15.8; 1พศด 15.9; 1พศด 15.10; 1พศด 15.12; 1พศด 15.13; 1พศด 15.14; 1พศด 15.15; 1พศด 15.16; 1พศด 15.17; 1พศด 15.18; 1พศด 15.22; 1พศด 15.25; 1พศด 15.26; 1พศด 15.27; 1พศด 15.28; 1พศด 15.29; 1พศด 16.4; 1พศด 16.6; 1พศด 16.7; 1พศด 16.8; 1พศด 16.9; 1พศด 16.10; 1พศด 16.11; 1พศด 16.12; 1พศด 16.13; 1พศด 16.14; 1พศด 16.15; 1พศด 16.18; 1พศด 16.22; 1พศด 16.23; 1พศด 16.24; 1พศด 16.26; 1พศด 16.27; 1พศด 16.28; 1พศด 16.29; 1พศด 16.33; 1พศด 16.34; 1พศด 16.35; 1พศด 16.36; 1พศด 16.37; 1พศด 16.38; 1พศด 16.39; 1พศด 16.40; 1พศด 16.41; 1พศด 16.42; 1พศด 16.43; 1พศด 17.1; 1พศด 17.2; 1พศด 17.3; 1พศด 17.4; 1พศด 17.6; 1พศด 17.7; 1พศด 17.8; 1พศด 17.9; 1พศด 17.10; 1พศด 17.11; 1พศด 17.12; 1พศด 17.13; 1พศด 17.14; 1พศด 17.16; 1พศด 17.17; 1พศด 17.18; 1พศด 17.19; 1พศด 17.20; 1พศด 17.21; 1พศด 17.22; 1พศด 17.23; 1พศด 17.24; 1พศด 17.25; 1พศด 17.26; 1พศด 17.27; 1พศด 18.1; 1พศด 18.2; 1พศด 18.3; 1พศด 18.6; 1พศด 18.7; 1พศด 18.8; 1พศด 18.9; 1พศด 18.10; 1พศด 18.13; 1พศด 18.14; 1พศด 18.17; 1พศด 19.1; 1พศด 19.2; 1พศด 19.3; 1พศด 19.4; 1พศด 19.5; 1พศด 19.7; 1พศด 19.11; 1พศด 19.12; 1พศด 19.13; 1พศด 19.15; 1พศด 19.16; 1พศด 19.18; 1พศด 19.19; 1พศด 20.1; 1พศด 20.2; 1พศด 20.3; 1พศด 20.4; 1พศด 20.5; 1พศด 20.6; 1พศด 20.7; 1พศด 20.8; 1พศด 21.2; 1พศด 21.3; 1พศด 21.4; 1พศด 21.6; 1พศด 21.8; 1พศด 21.9; 1พศด 21.12; 1พศด 21.13; 1พศด 21.15; 1พศด 21.16; 1พศด 21.17; 1พศด 21.18; 1พศด 21.19; 1พศด 21.20; 1พศด 21.23; 1พศด 21.24; 1พศด 21.28; 1พศด 21.29; 1พศด 21.30; 1พศด 22.1; 1พศด 22.2; 1พศด 22.3; 1พศด 22.5; 1พศด 22.6; 1พศด 22.7; 1พศด 22.8; 1พศด 22.9; 1พศด 22.10; 1พศด 22.11; 1พศด 22.12; 1พศด 22.14; 1พศด 22.17; 1พศด 22.18; 1พศด 22.19; 1พศด 23.1; 1พศด 23.2; 1พศด 23.4; 1พศด 23.6; 1พศด 23.8; 1พศด 23.9; 1พศด 23.10; 1พศด 23.12; 1พศด 23.13; 1พศด 23.14; 1พศด 23.15; 1พศด 23.16; 1พศด 23.17; 1พศด 23.18; 1พศด 23.19; 1พศด 23.20; 1พศด 23.21; 1พศด 23.22; 1พศด 23.23; 1พศด 23.24; 1พศด 23.25; 1พศด 23.27; 1พศด 23.28; 1พศด 23.29; 1พศด 23.32; 1พศด 24.1; 1พศด 24.2; 1พศด 24.3; 1พศด 24.4; 1พศด 24.5; 1พศด 24.6; 1พศด 24.19; 1พศด 24.20; 1พศด 24.21; 1พศด 24.22; 1พศด 24.23; 1พศด 24.24; 1พศด 24.25; 1พศด 24.26; 1พศด 24.27; 1พศด 24.28; 1พศด 24.29; 1พศด 24.30; 1พศด 24.31; 1พศด 25.1; 1พศด 25.2; 1พศด 25.3; 1พศด 25.4; 1พศด 25.5; 1พศด 25.6; 1พศด 25.7; 1พศด 25.8; 1พศด 25.9; 1พศด 25.10; 1พศด 25.11; 1พศด 25.12; 1พศด 25.13; 1พศด 25.14; 1พศด 25.15; 1พศด 25.16; 1พศด 25.17; 1พศด 25.18; 1พศด 25.19; 1พศด 25.20; 1พศด 25.21; 1พศด 25.22; 1พศด 25.23; 1พศด 25.24; 1พศด 25.25; 1พศด 25.26; 1พศด 25.27; 1พศด 25.28; 1พศด 25.29; 1พศด 25.30; 1พศด 25.31; 1พศด 26.1; 1พศด 26.6; 1พศด 26.7; 1พศด 26.8; 1พศด 26.10; 1พศด 26.11; 1พศด 26.12; 1พศด 26.13; 1พศด 26.14; 1พศด 26.15; 1พศด 26.16; 1พศด 26.19; 1พศด 26.20; 1พศด 26.21; 1พศด 26.22; 1พศด 26.24; 1พศด 26.25; 1พศด 26.26; 1พศด 26.27; 1พศด 26.28; 1พศด 26.29; 1พศด 26.30; 1พศด 26.31; 1พศด 26.32; 1พศด 27.2; 1พศด 27.3; 1พศด 27.4; 1พศด 27.5; 1พศด 27.6; 1พศด 27.7; 1พศด 27.8; 1พศด 27.9; 1พศด 27.10; 1พศด 27.11; 1พศด 27.12; 1พศด 27.13; 1พศด 27.14; 1พศด 27.15; 1พศด 27.16; 1พศด 27.18; 1พศด 27.22; 1พศด 27.24; 1พศด 27.25; 1พศด 27.27; 1พศด 27.31; 1พศด 27.32; 1พศด 27.33; 1พศด 27.34; 1พศด 28.1; 1พศด 28.2; 1พศด 28.3; 1พศด 28.4; 1พศด 28.5; 1พศด 28.6; 1พศด 28.7; 1พศด 28.8; 1พศด 28.9; 1พศด 28.11; 1พศด 28.12; 1พศด 28.13; 1พศด 28.14; 1พศด 28.15; 1พศด 28.17; 1พศด 28.18; 1พศด 28.19; 1พศด 28.20; 1พศด 28.21; 1พศด 29.1; 1พศด 29.2; 1พศด 29.3; 1พศด 29.5; 1พศด 29.6; 1พศด 29.7; 1พศด 29.8; 1พศด 29.9; 1พศด 29.10; 1พศด 29.11; 1พศด 29.12; 1พศด 29.13; 1พศด 29.14; 1พศด 29.15; 1พศด 29.16; 1พศด 29.17; 1พศด 29.18; 1พศด 29.19; 1พศด 29.20; 1พศด 29.22; 1พศด 29.23; 1พศด 29.24; 1พศด 29.25; 1พศด 29.28; 1พศด 29.29; 1พศด 29.30; 2พศด 1.1; 2พศด 1.2; 2พศด 1.3; 2พศด 1.5; 2พศด 1.8; 2พศด 1.9; 2พศด 1.10; 2พศด 1.11; 2พศด 1.16; 2พศด 1.17; 2พศด 2.1; 2พศด 2.3; 2พศด 2.4; 2พศด 2.5; 2พศด 2.7; 2พศด 2.8; 2พศด 2.10; 2พศด 2.11; 2พศด 2.12; 2พศด 2.14; 2พศด 2.15; 2พศด 2.17; 2พศด 3.1; 2พศด 3.2; 2พศด 3.3; 2พศด 3.4; 2พศด 3.8; 2พศด 3.9; 2พศด 3.11; 2พศด 3.12; 2พศด 3.13; 2พศด 4.4; 2พศด 4.5; 2พศด 4.6; 2พศด 4.11; 2พศด 4.12; 2พศด 4.13; 2พศด 4.16; 2พศด 4.18; 2พศด 4.19; 2พศด 4.22; 2พศด 5.1; 2พศด 5.2; 2พศด 5.3; 2พศด 5.4; 2พศด 5.5; 2พศด 5.7; 2พศด 5.8; 2พศด 5.9; 2พศด 5.12; 2พศด 5.13; 2พศด 5.14; 2พศด 6.4; 2พศด 6.5; 2พศด 6.6; 2พศด 6.7; 2พศด 6.8; 2พศด 6.9; 2พศด 6.10; 2พศด 6.11; 2พศด 6.12; 2พศด 6.13; 2พศด 6.14; 2พศด 6.15; 2พศด 6.16; 2พศด 6.17; 2พศด 6.19; 2พศด 6.20; 2พศด 6.21; 2พศด 6.22; 2พศด 6.23; 2พศด 6.24; 2พศด 6.25; 2พศด 6.26; 2พศด 6.27; 2พศด 6.28; 2พศด 6.29; 2พศด 6.30; 2พศด 6.31; 2พศด 6.32; 2พศด 6.33; 2พศด 6.34; 2พศด 6.35; 2พศด 6.38; 2พศด 6.39; 2พศด 6.40; 2พศด 6.41; 2พศด 6.42; 2พศด 7.1; 2พศด 7.2; 2พศด 7.3; 2พศด 7.6; 2พศด 7.7; 2พศด 7.10; 2พศด 7.11; 2พศด 7.12; 2พศด 7.13; 2พศด 7.14; 2พศด 7.15; 2พศด 7.16; 2พศด 7.17; 2พศด 7.18; 2พศด 7.19; 2พศด 7.20; 2พศด 7.22; 2พศด 8.1; 2พศด 8.6; 2พศด 8.8; 2พศด 8.9; 2พศด 8.10; 2พศด 8.11; 2พศด 8.12; 2พศด 8.13; 2พศด 8.14; 2พศด 8.16; 2พศด 8.18; 2พศด 9.1; 2พศด 9.2; 2พศด 9.3; 2พศด 9.4; 2พศด 9.5; 2พศด 9.6; 2พศด 9.7; 2พศด 9.8; 2พศด 9.10; 2พศด 9.11; 2พศด 9.12; 2พศด 9.14; 2พศด 9.18; 2พศด 9.20; 2พศด 9.21; 2พศด 9.23; 2พศด 9.24; 2พศด 9.26; 2พศด 9.29; 2พศด 9.31; 2พศด 10.4; 2พศด 10.6; 2พศด 10.7; 2พศด 10.9; 2พศด 10.10; 2พศด 10.11; 2พศด 10.13; 2พศด 10.14; 2พศด 10.15; 2พศด 10.16; 2พศด 10.18; 2พศด 10.19; 2พศด 11.2; 2พศด 11.3; 2พศด 11.4; 2พศด 11.14; 2พศด 11.15; 2พศด 11.16; 2พศด 11.17; 2พศด 11.18; 2พศด 11.20; 2พศด 11.21; 2พศด 11.22; 2พศด 11.23; 2พศด 12.1; 2พศด 12.4; 2พศด 12.5; 2พศด 12.7; 2พศด 12.8; 2พศด 12.9; 2พศด 12.10; 2พศด 12.11; 2พศด 12.12; 2พศด 12.13; 2พศด 12.14; 2พศด 12.15; 2พศด 12.16; 2พศด 13.1; 2พศด 13.2; 2พศด 13.5; 2พศด 13.6; 2พศด 13.7; 2พศด 13.8; 2พศด 13.9; 2พศด 13.10; 2พศด 13.11; 2พศด 13.12; 2พศด 13.13; 2พศด 13.15; 2พศด 13.16; 2พศด 13.17; 2พศด 13.18; 2พศด 13.19; 2พศด 13.20; 2พศด 13.22; 2พศด 14.1; 2พศด 14.2; 2พศด 14.4; 2พศด 14.5; 2พศด 14.7; 2พศด 14.11; 2พศด 14.13; 2พศด 14.15; 2พศด 15.1; 2พศด 15.7; 2พศด 15.8; 2พศด 15.9; 2พศด 15.10; 2พศด 15.12; 2พศด 15.15; 2พศด 15.16; 2พศด 15.17; 2พศด 15.18; 2พศด 15.19; 2พศด 16.1; 2พศด 16.2; 2พศด 16.3; 2พศด 16.4; 2พศด 16.5; 2พศด 16.6; 2พศด 16.7; 2พศด 16.8; 2พศด 16.9; 2พศด 16.11; 2พศด 16.12; 2พศด 16.13; 2พศด 16.14; 2พศด 17.1; 2พศด 17.2; 2พศด 17.3; 2พศด 17.4; 2พศด 17.5; 2พศด 17.6; 2พศด 17.7; 2พศด 17.9; 2พศด 17.13; 2พศด 17.14; 2พศด 17.17; 2พศด 17.19; 2พศด 18.3; 2พศด 18.4; 2พศด 18.5; 2พศด 18.6; 2พศด 18.11; 2พศด 18.12; 2พศด 18.13; 2พศด 18.14; 2พศด 18.15; 2พศด 18.16; 2พศด 18.18; 2พศด 18.21; 2พศด 18.22; 2พศด 18.23; 2พศด 18.29; 2พศด 18.30; 2พศด 18.34; 2พศด 19.1; 2พศด 19.2; 2พศด 19.4; 2พศด 19.5; 2พศด 19.7; 2พศด 19.8; 2พศด 19.9; 2พศด 19.10; 2พศด 19.11; 2พศด 20.5; 2พศด 20.6; 2พศด 20.7; 2พศด 20.8; 2พศด 20.9; 2พศด 20.11; 2พศด 20.12; 2พศด 20.13; 2พศด 20.14; 2พศด 20.15; 2พศด 20.17; 2พศด 20.18; 2พศด 20.20; 2พศด 20.21; 2พศด 20.23; 2พศด 20.25; 2พศด 20.27; 2พศด 20.28; 2พศด 20.29; 2พศด 20.30; 2พศด 20.31; 2พศด 20.32; 2พศด 20.33; 2พศด 20.34; 2พศด 20.35; 2พศด 21.1; 2พศด 21.2; 2พศด 21.3; 2พศด 21.4; 2พศด 21.6; 2พศด 21.7; 2พศด 21.8; 2พศด 21.9; 2พศด 21.10; 2พศด 21.11; 2พศด 21.12; 2พศด 21.13; 2พศด 21.14; 2พศด 21.15; 2พศด 21.16; 2พศด 21.17; 2พศด 21.18; 2พศด 21.19; 2พศด 21.20; 2พศด 22.1; 2พศด 22.2; 2พศด 22.3; 2พศด 22.4; 2พศด 22.5; 2พศด 22.6; 2พศด 22.7; 2พศด 22.8; 2พศด 22.9; 2พศด 22.10; 2พศด 22.11; 2พศด 22.12; 2พศด 23.2; 2พศด 23.3; 2พศด 23.5; 2พศด 23.6; 2พศด 23.8; 2พศด 23.9; 2พศด 23.10; 2พศด 23.11; 2พศด 23.12; 2พศด 23.13; 2พศด 23.14; 2พศด 23.16; 2พศด 23.17; 2พศด 23.18; 2พศด 23.19; 2พศด 23.20; 2พศด 24.1; 2พศด 24.2; 2พศด 24.4; 2พศด 24.5; 2พศด 24.6; 2พศด 24.7; 2พศด 24.8; 2พศด 24.9; 2พศด 24.10; 2พศด 24.11; 2พศด 24.12; 2พศด 24.13; 2พศด 24.14; 2พศด 24.16; 2พศด 24.17; 2พศด 24.18; 2พศด 24.20; 2พศด 24.21; 2พศด 24.22; 2พศด 24.23; 2พศด 24.24; 2พศด 24.25; 2พศด 24.27; 2พศด 25.1; 2พศด 25.2; 2พศด 25.3; 2พศด 25.4; 2พศด 25.5; 2พศด 25.11; 2พศด 25.13; 2พศด 25.14; 2พศด 25.15; 2พศด 25.16; 2พศด 25.17; 2พศด 25.18; 2พศด 25.19; 2พศด 25.20; 2พศด 25.21; 2พศด 25.22; 2พศด 25.23; 2พศด 25.24; 2พศด 25.25; 2พศด 25.26; 2พศด 25.28; 2พศด 26.1; 2พศด 26.2; 2พศด 26.3; 2พศด 26.4; 2พศด 26.5; 2พศด 26.8; 2พศด 26.11; 2พศด 26.12; 2พศด 26.13; 2พศด 26.15; 2พศด 26.16; 2พศด 26.17; 2พศด 26.18; 2พศด 26.19; 2พศด 26.21; 2พศด 26.22; 2พศด 26.23; 2พศด 27.1; 2พศด 27.2; 2พศด 27.3; 2พศด 27.6; 2พศด 27.7; 2พศด 27.9; 2พศด 28.1; 2พศด 28.2; 2พศด 28.3; 2พศด 28.5; 2พศด 28.6; 2พศด 28.7; 2พศด 28.8; 2พศด 28.9; 2พศด 28.10; 2พศด 28.11; 2พศด 28.13; 2พศด 28.15; 2พศด 28.18; 2พศด 28.21; 2พศด 28.23; 2พศด 28.24; 2พศด 28.25; 2พศด 28.26; 2พศด 28.27; 2พศด 29.1; 2พศด 29.2; 2พศด 29.3; 2พศด 29.5; 2พศด 29.6; 2พศด 29.8; 2พศด 29.9; 2พศด 29.10; 2พศด 29.11; 2พศด 29.12; 2พศด 29.13; 2พศด 29.14; 2พศด 29.15; 2พศด 29.16; 2พศด 29.17; 2พศด 29.18; 2พศด 29.19; 2พศด 29.20; 2พศด 29.21; 2พศด 29.22; 2พศด 29.23; 2พศด 29.24; 2พศด 29.25; 2พศด 29.26; 2พศด 29.27; 2พศด 29.30; 2พศด 29.31; 2พศด 29.34; 2พศด 29.35; 2พศด 30.1; 2พศด 30.2; 2พศด 30.6; 2พศด 30.7; 2พศด 30.8; 2พศด 30.9; 2พศด 30.12; 2พศด 30.15; 2พศด 30.16; 2พศด 30.19; 2พศด 30.21; 2พศด 30.22; 2พศด 30.25; 2พศด 30.26; 2พศด 30.27; 2พศด 31.1; 2พศด 31.2; 2พศด 31.3; 2พศด 31.4; 2พศด 31.5; 2พศด 31.6; 2พศด 31.8; 2พศด 31.10; 2พศด 31.11; 2พศด 31.12; 2พศด 31.13; 2พศด 31.15; 2พศด 31.16; 2พศด 31.17; 2พศด 31.18; 2พศด 31.19; 2พศด 31.20; 2พศด 31.21; 2พศด 32.3; 2พศด 32.8; 2พศด 32.9; 2พศด 32.11; 2พศด 32.12; 2พศด 32.13; 2พศด 32.14; 2พศด 32.15; 2พศด 32.16; 2พศด 32.17; 2พศด 32.19; 2พศด 32.21; 2พศด 32.22; 2พศด 32.23; 2พศด 32.25; 2พศด 32.26; 2พศด 32.30; 2พศด 32.31; 2พศด 32.32; 2พศด 32.33; 2พศด 33.2; 2พศด 33.3; 2พศด 33.4; 2พศด 33.5; 2พศด 33.6; 2พศด 33.7; 2พศด 33.8; 2พศด 33.10; 2พศด 33.11; 2พศด 33.12; 2พศด 33.13; 2พศด 33.14; 2พศด 33.15; 2พศด 33.16; 2พศด 33.17; 2พศด 33.18; 2พศด 33.19; 2พศด 33.20; 2พศด 33.22; 2พศด 33.23; 2พศด 33.24; 2พศด 33.25; 2พศด 34.2; 2พศด 34.3; 2พศด 34.4; 2พศด 34.5; 2พศด 34.6; 2พศด 34.8; 2พศด 34.9; 2พศด 34.10; 2พศด 34.12; 2พศด 34.14; 2พศด 34.15; 2พศด 34.16; 2พศด 34.17; 2พศด 34.19; 2พศด 34.20; 2พศด 34.21; 2พศด 34.22; 2พศด 34.25; 2พศด 34.26; 2พศด 34.27; 2พศด 34.28; 2พศด 34.29; 2พศด 34.30; 2พศด 34.31; 2พศด 34.32; 2พศด 34.33; 2พศด 35.1; 2พศด 35.2; 2พศด 35.3; 2พศด 35.4; 2พศด 35.5; 2พศด 35.6; 2พศด 35.7; 2พศด 35.8; 2พศด 35.9; 2พศด 35.10; 2พศด 35.12; 2พศด 35.14; 2พศด 35.15; 2พศด 35.16; 2พศด 35.18; 2พศด 35.22; 2พศด 35.23; 2พศด 35.24; 2พศด 35.25; 2พศด 35.26; 2พศด 35.27; 2พศด 36.1; 2พศด 36.4; 2พศด 36.5; 2พศด 36.7; 2พศด 36.8; 2พศด 36.9; 2พศด 36.10; 2พศด 36.12; 2พศด 36.13; 2พศด 36.14; 2พศด 36.15; 2พศด 36.16; 2พศด 36.17; 2พศด 36.18; 2พศด 36.19; 2พศด 36.20; 2พศด 36.21; 2พศด 36.22; 2พศด 36.23; อสร 1.1; อสร 1.2; อสร 1.3; อสร 1.4; อสร 1.5; อสร 1.7; อสร 1.8; อสร 1.9; อสร 2.1; อสร 2.2; อสร 2.6; อสร 2.16; อสร 2.55; อสร 2.58; อสร 2.59; อสร 2.61; อสร 2.66; อสร 2.67; อสร 2.68; อสร 2.69; อสร 2.70; อสร 3.2; อสร 3.5; อสร 3.6; อสร 3.8; อสร 3.9; อสร 3.10; อสร 3.11; อสร 3.12; อสร 4.1; อสร 4.2; อสร 4.3; อสร 4.5; อสร 4.6; อสร 4.7; อสร 4.9; อสร 4.10; อสร 4.11; อสร 4.14; อสร 4.15; อสร 4.17; อสร 4.23; อสร 5.1; อสร 5.2; อสร 5.3; อสร 5.5; อสร 5.6; อสร 5.8; อสร 5.10; อสร 5.11; อสร 5.12; อสร 5.13; อสร 5.14; อสร 5.15; อสร 5.16; อสร 5.17; อสร 6.3; อสร 6.5; อสร 6.6; อสร 6.7; อสร 6.8; อสร 6.10; อสร 6.11; อสร 6.12; อสร 6.13; อสร 6.14; อสร 6.15; อสร 6.16; อสร 6.17; อสร 6.18; อสร 6.19; อสร 6.20; อสร 6.21; อสร 6.22; อสร 7.1; อสร 7.6; อสร 7.8; อสร 7.9; อสร 7.10; อสร 7.11; อสร 7.12; อสร 7.13; อสร 7.14; อสร 7.15; อสร 7.16; อสร 7.17; อสร 7.18; อสร 7.19; อสร 7.20; อสร 7.21; อสร 7.23; อสร 7.24; อสร 7.25; อสร 7.26; อสร 7.27; อสร 7.28; อสร 8.1; อสร 8.5; อสร 8.10; อสร 8.13; อสร 8.15; อสร 8.17; อสร 8.18; อสร 8.19; อสร 8.20; อสร 8.21; อสร 8.22; อสร 8.23; อสร 8.24; อสร 8.25; อสร 8.26; อสร 8.28; อสร 8.29; อสร 8.30; อสร 8.31; อสร 8.33; อสร 8.34; อสร 8.35; อสร 8.36; อสร 9.1; อสร 9.2; อสร 9.3; อสร 9.4; อสร 9.5; อสร 9.6; อสร 9.7; อสร 9.8; อสร 9.9; อสร 9.10; อสร 9.11; อสร 9.12; อสร 9.13; อสร 9.14; อสร 9.15; อสร 10.1; อสร 10.2; อสร 10.3; อสร 10.4; อสร 10.6; อสร 10.7; อสร 10.8; อสร 10.9; อสร 10.10; อสร 10.11; อสร 10.14; อสร 10.16; อสร 10.17; อสร 10.18; อสร 10.19; นหม 1.1; นหม 1.2; นหม 1.5; นหม 1.6; นหม 1.7; นหม 1.8; นหม 1.9; นหม 1.10; นหม 1.11; นหม 2.2; นหม 2.3; นหม 2.4; นหม 2.5; นหม 2.8; นหม 2.9; นหม 2.12; นหม 2.18; นหม 2.20; นหม 3.1; นหม 3.3; นหม 3.5; นหม 3.7; นหม 3.8; นหม 3.9; นหม 3.10; นหม 3.12; นหม 3.14; นหม 3.15; นหม 3.16; นหม 3.17; นหม 3.18; นหม 3.19; นหม 3.20; นหม 3.21; นหม 3.23; นหม 3.24; นหม 3.25; นหม 3.28; นหม 3.29; นหม 3.30; นหม 3.31; นหม 4.2; นหม 4.3; นหม 4.4; นหม 4.5; นหม 4.9; นหม 4.10; นหม 4.11; นหม 4.12; นหม 4.13; นหม 4.14; นหม 4.15; นหม 4.16; นหม 4.17; นหม 4.20; นหม 4.22; นหม 4.23; นหม 5.1; นหม 5.2; นหม 5.3; นหม 5.4; นหม 5.5; นหม 5.6; นหม 5.7; นหม 5.8; นหม 5.9; นหม 5.10; นหม 5.11; นหม 5.13; นหม 5.14; นหม 5.15; นหม 5.16; นหม 5.18; นหม 5.19; นหม 6.1; นหม 6.5; นหม 6.6; นหม 6.8; นหม 6.9; นหม 6.10; นหม 6.14; นหม 6.16; นหม 6.17; นหม 6.18; นหม 6.19; นหม 7.2; นหม 7.3; นหม 7.5; นหม 7.6; นหม 7.7; นหม 7.11; นหม 7.21; นหม 7.39; นหม 7.43; นหม 7.57; นหม 7.60; นหม 7.61; นหม 7.63; นหม 7.64; นหม 7.67; นหม 7.68; นหม 7.69; นหม 7.70; นหม 7.71; นหม 7.73; นหม 8.1; นหม 8.2; นหม 8.4; นหม 8.5; นหม 8.7; นหม 8.8; นหม 8.9; นหม 8.10; นหม 8.13; นหม 8.16; นหม 8.17; นหม 8.18; นหม 9.2; นหม 9.3; นหม 9.4; นหม 9.5; นหม 9.6; นหม 9.8; นหม 9.9; นหม 9.10; นหม 9.14; นหม 9.16; นหม 9.17; นหม 9.18; นหม 9.19; นหม 9.20; นหม 9.21; นหม 9.22; นหม 9.23; นหม 9.24; นหม 9.25; นหม 9.26; นหม 9.27; นหม 9.28; นหม 9.29; นหม 9.30; นหม 9.31; นหม 9.32; นหม 9.34; นหม 9.35; นหม 9.36; นหม 9.37; นหม 9.38; นหม 10.1; นหม 10.10; นหม 10.14; นหม 10.28; นหม 10.29; นหม 10.30; นหม 10.31; นหม 10.32; นหม 10.33; นหม 10.34; นหม 10.35; นหม 10.36; นหม 10.37; นหม 10.38; นหม 10.39; นหม 11.1; นหม 11.3; นหม 11.4; นหม 11.6; นหม 11.11; นหม 11.12; นหม 11.13; นหม 11.14; นหม 11.16; นหม 11.17; นหม 11.19; นหม 11.20; นหม 11.22; นหม 11.23; นหม 11.24; นหม 11.25; นหม 11.27; นหม 11.28; นหม 11.30; นหม 11.31; นหม 11.35; นหม 11.36; นหม 12.7; นหม 12.8; นหม 12.9; นหม 12.12; นหม 12.13; นหม 12.14; นหม 12.15; นหม 12.16; นหม 12.17; นหม 12.18; นหม 12.19; นหม 12.20; นหม 12.21; นหม 12.22; นหม 12.23; นหม 12.24; นหม 12.25; นหม 12.26; นหม 12.27; นหม 12.28; นหม 12.29; นหม 12.35; นหม 12.36; นหม 12.37; นหม 12.40; นหม 12.42; นหม 12.43; นหม 12.45; นหม 12.47; นหม 13.1; นหม 13.2; นหม 13.4; นหม 13.7; นหม 13.8; นหม 13.9; นหม 13.10; นหม 13.11; นหม 13.13; นหม 13.14; นหม 13.18; นหม 13.19; นหม 13.22; นหม 13.24; นหม 13.25; นหม 13.26; นหม 13.27; นหม 13.28; นหม 13.29; นหม 13.30; นหม 13.31; อสธ 1.1; อสธ 1.2; อสธ 1.3; อสธ 1.4; อสธ 1.5; อสธ 1.7; อสธ 1.9; อสธ 1.10; อสธ 1.11; อสธ 1.12; อสธ 1.13; อสธ 1.14; อสธ 1.15; อสธ 1.16; อสธ 1.17; อสธ 1.18; อสธ 1.19; อสธ 1.20; อสธ 1.22; อสธ 2.1; อสธ 2.2; อสธ 2.3; อสธ 2.6; อสธ 2.7; อสธ 2.8; อสธ 2.9; อสธ 2.10; อสธ 2.11; อสธ 2.12; อสธ 2.14; อสธ 2.15; อสธ 2.16; อสธ 2.17; อสธ 2.18; อสธ 2.19; อสธ 2.20; อสธ 2.21; อสธ 2.22; อสธ 3.1; อสธ 3.2; อสธ 3.3; อสธ 3.4; อสธ 3.6; อสธ 3.8; อสธ 3.9; อสธ 3.10; อสธ 3.12; อสธ 3.13; อสธ 3.15; อสธ 4.1; อสธ 4.2; อสธ 4.3; อสธ 4.4; อสธ 4.5; อสธ 4.6; อสธ 4.7; อสธ 4.8; อสธ 4.11; อสธ 4.14; อสธ 4.16; อสธ 5.1; อสธ 5.2; อสธ 5.3; อสธ 5.6; อสธ 5.7; อสธ 5.8; อสธ 5.9; อสธ 5.10; อสธ 5.11; อสธ 5.13; อสธ 5.14; อสธ 6.2; อสธ 6.3; อสธ 6.5; อสธ 6.9; อสธ 6.10; อสธ 6.12; อสธ 6.13; อสธ 6.14; อสธ 7.2; อสธ 7.3; อสธ 7.4; อสธ 7.8; อสธ 7.9; อสธ 7.10; อสธ 8.1; อสธ 8.2; อสธ 8.3; อสธ 8.5; อสธ 8.6; อสธ 8.7; อสธ 8.8; อสธ 8.9; อสธ 8.10; อสธ 8.11; อสธ 8.12; อสธ 8.13; อสธ 8.14; อสธ 8.17; อสธ 9.1; อสธ 9.2; อสธ 9.3; อสธ 9.4; อสธ 9.5; อสธ 9.10; อสธ 9.12; อสธ 9.13; อสธ 9.14; อสธ 9.16; อสธ 9.19; อสธ 9.20; อสธ 9.22; อสธ 9.24; อสธ 9.25; อสธ 9.27; อสธ 9.28; อสธ 9.29; อสธ 9.30; อสธ 9.31; อสธ 9.32; อสธ 10.2; อสธ 10.3; โยบ 1.3; โยบ 1.4; โยบ 1.5; โยบ 1.6; โยบ 1.8; โยบ 1.10; โยบ 1.12; โยบ 1.13; โยบ 1.16; โยบ 1.18; โยบ 1.20; โยบ 1.21; โยบ 2.1; โยบ 2.3; โยบ 2.4; โยบ 2.5; โยบ 2.6; โยบ 2.7; โยบ 2.8; โยบ 2.9; โยบ 2.10; โยบ 2.11; โยบ 2.12; โยบ 2.13; โยบ 3.1; โยบ 3.6; โยบ 3.9; โยบ 3.10; โยบ 3.14; โยบ 3.18; โยบ 3.19; โยบ 3.23; โยบ 3.24; โยบ 4.4; โยบ 4.6; โยบ 4.9; โยบ 4.10; โยบ 4.11; โยบ 4.12; โยบ 4.14; โยบ 4.15; โยบ 4.16; โยบ 4.18; โยบ 4.19; โยบ 5.3; โยบ 5.4; โยบ 5.5; โยบ 5.8; โยบ 5.12; โยบ 5.13; โยบ 5.15; โยบ 5.16; โยบ 5.17; โยบ 5.18; โยบ 5.20; โยบ 5.21; โยบ 5.24; โยบ 5.25; โยบ 5.26; โยบ 5.27; โยบ 6.2; โยบ 6.3; โยบ 6.4; โยบ 6.5; โยบ 6.7; โยบ 6.8; โยบ 6.9; โยบ 6.10; โยบ 6.11; โยบ 6.12; โยบ 6.15; โยบ 6.17; โยบ 6.18; โยบ 6.19; โยบ 6.21; โยบ 6.22; โยบ 6.23; โยบ 6.25; โยบ 6.26; โยบ 6.27; โยบ 7.1; โยบ 7.2; โยบ 7.5; โยบ 7.6; โยบ 7.7; โยบ 7.8; โยบ 7.10; โยบ 7.11; โยบ 7.13; โยบ 7.15; โยบ 7.16; โยบ 7.19; โยบ 7.20; โยบ 7.21; โยบ 8.2; โยบ 8.4; โยบ 8.6; โยบ 8.7; โยบ 8.9; โยบ 8.10; โยบ 8.13; โยบ 8.14; โยบ 8.15; โยบ 8.16; โยบ 8.17; โยบ 8.18; โยบ 8.19; โยบ 8.21; โยบ 8.22; โยบ 9.5; โยบ 9.6; โยบ 9.8; โยบ 9.13; โยบ 9.15; โยบ 9.16; โยบ 9.17; โยบ 9.20; โยบ 9.21; โยบ 9.23; โยบ 9.24; โยบ 9.25; โยบ 9.27; โยบ 9.28; โยบ 9.30; โยบ 9.31; โยบ 9.35; โยบ 10.1; โยบ 10.3; โยบ 10.5; โยบ 10.6; โยบ 10.7; โยบ 10.8; โยบ 10.12; โยบ 10.13; โยบ 10.14; โยบ 10.15; โยบ 10.17; โยบ 10.20; โยบ 11.3; โยบ 11.4; โยบ 11.5; โยบ 11.6; โยบ 11.7; โยบ 11.13; โยบ 11.14; โยบ 11.16; โยบ 11.17; โยบ 11.20; โยบ 12.2; โยบ 12.5; โยบ 12.6; โยบ 12.9; โยบ 12.10; โยบ 12.16; โยบ 12.18; โยบ 13.1; โยบ 13.3; โยบ 13.5; โยบ 13.6; โยบ 13.11; โยบ 13.12; โยบ 13.14; โยบ 13.15; โยบ 13.16; โยบ 13.17; โยบ 13.18; โยบ 13.23; โยบ 13.24; โยบ 13.27; โยบ 14.3; โยบ 14.5; โยบ 14.6; โยบ 14.7; โยบ 14.8; โยบ 14.9; โยบ 14.14; โยบ 14.15; โยบ 14.16; โยบ 14.17; โยบ 14.18; โยบ 14.19; โยบ 14.20; โยบ 14.21; โยบ 14.22; โยบ 15.5; โยบ 15.6; โยบ 15.8; โยบ 15.10; โยบ 15.11; โยบ 15.13; โยบ 15.15; โยบ 15.18; โยบ 15.20; โยบ 15.21; โยบ 15.25; โยบ 15.27; โยบ 15.29; โยบ 15.30; โยบ 15.32; โยบ 15.33; โยบ 15.34; โยบ 15.35; โยบ 16.4; โยบ 16.5; โยบ 16.6; โยบ 16.7; โยบ 16.8; โยบ 16.9; โยบ 16.11; โยบ 16.12; โยบ 16.13; โยบ 16.15; โยบ 16.16; โยบ 16.17; โยบ 16.18; โยบ 16.19; โยบ 16.20; โยบ 16.21; โยบ 17.1; โยบ 17.2; โยบ 17.4; โยบ 17.5; โยบ 17.6; โยบ 17.7; โยบ 17.9; โยบ 17.11; โยบ 17.13; โยบ 17.14; โยบ 17.15; โยบ 18.3; โยบ 18.4; โยบ 18.5; โยบ 18.6; โยบ 18.7; โยบ 18.8; โยบ 18.9; โยบ 18.11; โยบ 18.12; โยบ 18.13; โยบ 18.14; โยบ 18.15; โยบ 18.16; โยบ 18.19; โยบ 18.20; โยบ 18.21; โยบ 19.4; โยบ 19.5; โยบ 19.6; โยบ 19.8; โยบ 19.9; โยบ 19.10; โยบ 19.11; โยบ 19.12; โยบ 19.13; โยบ 19.14; โยบ 19.15; โยบ 19.16; โยบ 19.17; โยบ 19.19; โยบ 19.20; โยบ 19.21; โยบ 19.22; โยบ 19.23; โยบ 19.25; โยบ 19.26; โยบ 19.27; โยบ 19.28; โยบ 19.29; โยบ 20.2; โยบ 20.5; โยบ 20.6; โยบ 20.7; โยบ 20.9; โยบ 20.10; โยบ 20.11; โยบ 20.12; โยบ 20.13; โยบ 20.14; โยบ 20.15; โยบ 20.16; โยบ 20.18; โยบ 20.21; โยบ 20.22; โยบ 20.23; โยบ 20.25; โยบ 20.26; โยบ 20.27; โยบ 20.28; โยบ 20.29; โยบ 21.2; โยบ 21.5; โยบ 21.6; โยบ 21.8; โยบ 21.9; โยบ 21.10; โยบ 21.11; โยบ 21.13; โยบ 21.14; โยบ 21.16; โยบ 21.17; โยบ 21.19; โยบ 21.20; โยบ 21.21; โยบ 21.24; โยบ 21.27; โยบ 21.28; โยบ 21.29; โยบ 21.31; โยบ 21.34; โยบ 22.3; โยบ 22.5; โยบ 22.6; โยบ 22.9; โยบ 22.16; โยบ 22.18; โยบ 22.20; โยบ 22.22; โยบ 22.23; โยบ 22.26; โยบ 22.27; โยบ 22.30; โยบ 23.2; โยบ 23.3; โยบ 23.4; โยบ 23.5; โยบ 23.6; โยบ 23.7; โยบ 23.11; โยบ 23.12; โยบ 23.14; โยบ 23.16; โยบ 24.1; โยบ 24.3; โยบ 24.5; โยบ 24.6; โยบ 24.11; โยบ 24.12; โยบ 24.13; โยบ 24.15; โยบ 24.17; โยบ 24.18; โยบ 24.22; โยบ 24.23; โยบ 25.2; โยบ 25.3; โยบ 25.5; โยบ 26.4; โยบ 26.8; โยบ 26.9; โยบ 26.12; โยบ 26.13; โยบ 26.14; โยบ 27.1; โยบ 27.3; โยบ 27.4; โยบ 27.5; โยบ 27.6; โยบ 27.7; โยบ 27.8; โยบ 27.9; โยบ 27.11; โยบ 27.13; โยบ 27.14; โยบ 27.15; โยบ 27.19; โยบ 27.21; โยบ 27.22; โยบ 27.23; โยบ 28.6; โยบ 28.10; โยบ 28.12; โยบ 28.13; โยบ 28.18; โยบ 28.20; โยบ 28.21; โยบ 28.22; โยบ 28.23; โยบ 28.26; โยบ 29.1; โยบ 29.3; โยบ 29.4; โยบ 29.6; โยบ 29.7; โยบ 29.9; โยบ 29.10; โยบ 29.13; โยบ 29.14; โยบ 29.16; โยบ 29.17; โยบ 29.18; โยบ 29.19; โยบ 29.20; โยบ 29.21; โยบ 29.22; โยบ 29.23; โยบ 29.24; โยบ 30.1; โยบ 30.2; โยบ 30.8; โยบ 30.9; โยบ 30.10; โยบ 30.11; โยบ 30.12; โยบ 30.13; โยบ 30.15; โยบ 30.16; โยบ 30.18; โยบ 30.21; โยบ 30.23; โยบ 30.24; โยบ 30.25; โยบ 30.27; โยบ 30.30; โยบ 30.31; โยบ 31.1; โยบ 31.2; โยบ 31.4; โยบ 31.5; โยบ 31.6; โยบ 31.7; โยบ 31.9; โยบ 31.10; โยบ 31.12; โยบ 31.13; โยบ 31.16; โยบ 31.17; โยบ 31.18; โยบ 31.20; โยบ 31.22; โยบ 31.23; โยบ 31.24; โยบ 31.25; โยบ 31.27; โยบ 31.30; โยบ 31.31; โยบ 31.33; โยบ 31.35; โยบ 31.37; โยบ 31.38; โยบ 31.39; โยบ 31.40; โยบ 32.1; โยบ 32.3; โยบ 32.5; โยบ 32.6; โยบ 32.10; โยบ 32.11; โยบ 32.12; โยบ 32.14; โยบ 32.17; โยบ 32.19; โยบ 32.22; โยบ 33.1; โยบ 33.2; โยบ 33.3; โยบ 33.4; โยบ 33.5; โยบ 33.8; โยบ 33.11; โยบ 33.13; โยบ 33.15; โยบ 33.16; โยบ 33.17; โยบ 33.18; โยบ 33.19; โยบ 33.20; โยบ 33.21; โยบ 33.22; โยบ 33.25; โยบ 33.28; โยบ 33.30; โยบ 34.2; โยบ 34.6; โยบ 34.11; โยบ 34.14; โยบ 34.16; โยบ 34.19; โยบ 34.21; โยบ 34.25; โยบ 34.27; โยบ 34.28; โยบ 34.29; โยบ 34.33; โยบ 34.35; โยบ 34.37; โยบ 35.2; โยบ 35.3; โยบ 35.4; โยบ 35.6; โยบ 35.7; โยบ 35.8; โยบ 35.9; โยบ 35.12; โยบ 35.15; โยบ 36.4; โยบ 36.7; โยบ 36.9; โยบ 36.10; โยบ 36.11; โยบ 36.14; โยบ 36.15; โยบ 36.16; โยบ 36.19; โยบ 36.20; โยบ 36.22; โยบ 36.23; โยบ 36.24; โยบ 36.26; โยบ 36.27; โยบ 36.29; โยบ 36.30; โยบ 36.33; โยบ 37.1; โยบ 37.2; โยบ 37.3; โยบ 37.4; โยบ 37.5; โยบ 37.6; โยบ 37.7; โยบ 37.8; โยบ 37.10; โยบ 37.12; โยบ 37.13; โยบ 37.14; โยบ 37.15; โยบ 37.16; โยบ 37.17; โยบ 37.19; โยบ 38.4; โยบ 38.6; โยบ 38.7; โยบ 38.9; โยบ 38.11; โยบ 38.12; โยบ 38.15; โยบ 38.18; โยบ 38.19; โยบ 38.20; โยบ 38.21; โยบ 38.27; โยบ 38.29; โยบ 38.32; โยบ 38.33; โยบ 38.37; โยบ 38.40; โยบ 38.41; โยบ 39.3; โยบ 39.4; โยบ 39.6; โยบ 39.7; โยบ 39.8; โยบ 39.9; โยบ 39.11; โยบ 39.14; โยบ 39.16; โยบ 39.19; โยบ 39.20; โยบ 39.21; โยบ 39.25; โยบ 39.26; โยบ 39.27; โยบ 39.28; โยบ 39.29; โยบ 39.30; โยบ 40.9; โยบ 40.11; โยบ 40.13; โยบ 40.14; โยบ 40.16; โยบ 40.17; โยบ 40.18; โยบ 40.19; โยบ 41.1; โยบ 41.5; โยบ 41.7; โยบ 41.9; โยบ 41.11; โยบ 41.12; โยบ 41.13; โยบ 41.14; โยบ 41.15; โยบ 41.18; โยบ 41.19; โยบ 41.20; โยบ 41.21; โยบ 41.22; โยบ 41.23; โยบ 41.24; โยบ 41.30; โยบ 42.2; โยบ 42.5; โยบ 42.7; โยบ 42.8; โยบ 42.10; โยบ 42.11; โยบ 42.12; โยบ 42.15; โยบ 42.16; สดด 1.1; สดด 1.2; สดด 1.5; สดด 1.6; สดด 2.2; สดด 2.3; สดด 2.5; สดด 2.6; สดด 2.7; สดด 2.8; สดด 2.9; สดด 2.12; สดด 3.1; สดด 3.3; สดด 3.4; สดด 3.7; สดด 3.8; สดด 4.1; สดด 4.2; สดด 4.3; สดด 4.6; สดด 4.7; สดด 5.1; สดด 5.2; สดด 5.3; สดด 5.5; สดด 5.7; สดด 5.8; สดด 5.9; สดด 5.10; สดด 5.11; สดด 6.1; สดด 6.2; สดด 6.3; สดด 6.4; สดด 6.5; สดด 6.6; สดด 6.7; สดด 6.8; สดด 6.9; สดด 6.10; สดด 7.1; สดด 7.3; สดด 7.5; สดด 7.6; สดด 7.8; สดด 7.9; สดด 7.12; สดด 7.13; สดด 7.16; สดด 7.17; สดด 8.1; สดด 8.2; สดด 8.3; สดด 8.6; สดด 8.9; สดด 9.1; สดด 9.2; สดด 9.3; สดด 9.5; สดด 9.6; สดด 9.7; สดด 9.9; สดด 9.10; สดด 9.11; สดด 9.12; สดด 9.13; สดด 9.14; สดด 9.15; สดด 9.16; สดด 9.18; สดด 9.19; สดด 10.4; สดด 10.5; สดด 10.6; สดด 10.7; สดด 10.8; สดด 10.9; สดด 10.10; สดด 10.12; สดด 10.13; สดด 10.14; สดด 10.15; สดด 10.16; สดด 10.17; สดด 11.4; สดด 11.5; สดด 11.6; สดด 11.7; สดด 12.1; สดด 12.2; สดด 12.4; สดด 12.6; สดด 13.1; สดด 13.2; สดด 13.3; สดด 13.4; สดด 13.5; สดด 14.1; สดด 14.2; สดด 14.4; สดด 14.5; สดด 14.6; สดด 14.7; สดด 15.1; สดด 15.2; สดด 15.3; สดด 15.4; สดด 16.2; สดด 16.4; สดด 16.5; สดด 16.6; สดด 16.7; สดด 16.8; สดด 16.9; สดด 16.10; สดด 16.11; สดด 17.1; สดด 17.2; สดด 17.3; สดด 17.4; สดด 17.5; สดด 17.6; สดด 17.7; สดด 17.8; สดด 17.10; สดด 17.12; สดด 17.13; สดด 17.14; สดด 17.15; สดด 18.1; สดด 18.2; สดด 18.3; สดด 18.6; สดด 18.7; สดด 18.8; สดด 18.9; สดด 18.10; สดด 18.11; สดด 18.14; สดด 18.15; สดด 18.17; สดด 18.18; สดด 18.20; สดด 18.21; สดด 18.22; สดด 18.24; สดด 18.28; สดด 18.29; สดด 18.30; สดด 18.31; สดด 18.32; สดด 18.33; สดด 18.34; สดด 18.35; สดด 18.36; สดด 18.37; สดด 18.38; สดด 18.40; สดด 18.43; สดด 18.45; สดด 18.46; สดด 18.47; สดด 18.49; สดด 18.50; สดด 19.1; สดด 19.5; สดด 19.6; สดด 19.7; สดด 19.8; สดด 19.9; สดด 19.11; สดด 19.12; สดด 19.13; สดด 19.14; สดด 20.1; สดด 20.3; สดด 20.4; สดด 20.5; สดด 20.6; สดด 20.7; สดด 21.1; สดด 21.2; สดด 21.3; สดด 21.5; สดด 21.6; สดด 21.7; สดด 21.8; สดด 21.9; สดด 21.10; สดด 21.13; สดด 22.1; สดด 22.2; สดด 22.3; สดด 22.4; สดด 22.10; สดด 22.14; สดด 22.15; สดด 22.17; สดด 22.18; สดด 22.19; สดด 22.20; สดด 22.21; สดด 22.22; สดด 22.23; สดด 22.24; สดด 22.26; สดด 22.27; สดด 22.28; สดด 22.29; สดด 22.31; สดด 23.3; สดด 23.4; สดด 23.5; สดด 23.6; สดด 24.1; สดด 24.3; สดด 24.5; สดด 24.6; สดด 24.7; สดด 24.9; สดด 25.2; สดด 25.4; สดด 25.5; สดด 25.6; สดด 25.7; สดด 25.9; สดด 25.10; สดด 25.11; สดด 25.13; สดด 25.14; สดด 25.15; สดด 25.17; สดด 25.18; สดด 25.19; สดด 25.20; สดด 25.22; สดด 26.1; สดด 26.2; สดด 26.3; สดด 26.6; สดด 26.7; สดด 26.8; สดด 26.9; สดด 26.10; สดด 26.12; สดด 27.1; สดด 27.2; สดด 27.3; สดด 27.4; สดด 27.5; สดด 27.6; สดด 27.7; สดด 27.8; สดด 27.9; สดด 27.10; สดด 27.11; สดด 27.13; สดด 27.14; สดด 28.1; สดด 28.2; สดด 28.3; สดด 28.4; สดด 28.5; สดด 28.6; สดด 28.7; สดด 28.8; สดด 28.9; สดด 29.2; สดด 29.3; สดด 29.4; สดด 29.5; สดด 29.7; สดด 29.8; สดด 29.9; สดด 29.11; สดด 30.1; สดด 30.2; สดด 30.3; สดด 30.4; สดด 30.5; สดด 30.6; สดด 30.7; สดด 30.9; สดด 30.10; สดด 30.11; สดด 30.12; สดด 31.1; สดด 31.2; สดด 31.3; สดด 31.4; สดด 31.5; สดด 31.7; สดด 31.8; สดด 31.9; สดด 31.10; สดด 31.11; สดด 31.13; สดด 31.14; สดด 31.15; สดด 31.16; สดด 31.19; สดด 31.20; สดด 31.21; สดด 31.22; สดด 31.23; สดด 31.24; สดด 32.2; สดด 32.3; สดด 32.4; สดด 32.5; สดด 32.6; สดด 32.7; สดด 32.10; สดด 33.4; สดด 33.5; สดด 33.6; สดด 33.10; สดด 33.11; สดด 33.12; สดด 33.13; สดด 33.15; สดด 33.17; สดด 33.18; สดด 33.19; สดด 33.20; สดด 33.21; สดด 33.22; สดด 34.2; สดด 34.3; สดด 34.4; สดด 34.5; สดด 34.6; สดด 34.7; สดด 34.9; สดด 34.13; สดด 34.15; สดด 34.16; สดด 34.17; สดด 34.22; สดด 35.3; สดด 35.4; สดด 35.5; สดด 35.6; สดด 35.9; สดด 35.10; สดด 35.12; สดด 35.14; สดด 35.17; สดด 35.23; สดด 35.24; สดด 35.25; สดด 35.26; สดด 35.27; สดด 35.28; สดด 36.1; สดด 36.2; สดด 36.3; สดด 36.4; สดด 36.5; สดด 36.6; สดด 36.7; สดด 36.8; สดด 36.9; สดด 36.10; สดด 36.11; สดด 37.4; สดด 37.5; สดด 37.6; สดด 37.7; สดด 37.8; สดด 37.10; สดด 37.13; สดด 37.15; สดด 37.16; สดด 37.17; สดด 37.18; สดด 37.20; สดด 37.23; สดด 37.25; สดด 37.26; สดด 37.28; สดด 37.30; สดด 37.31; สดด 37.33; สดด 37.34; สดด 37.35; สดด 37.37; สดด 37.38; สดด 37.39; สดด 38.1; สดด 38.2; สดด 38.3; สดด 38.4; สดด 38.5; สดด 38.7; สดด 38.9; สดด 38.10; สดด 38.11; สดด 38.12; สดด 38.13; สดด 38.14; สดด 38.15; สดด 38.18; สดด 38.19; สดด 38.20; สดด 38.21; สดด 38.22; สดด 39.1; สดด 39.2; สดด 39.3; สดด 39.4; สดด 39.5; สดด 39.7; สดด 39.8; สดด 39.10; สดด 39.11; สดด 39.12; สดด 40.1; สดด 40.2; สดด 40.3; สดด 40.5; สดด 40.6; สดด 40.8; สดด 40.9; สดด 40.10; สดด 40.11; สดด 40.12; สดด 40.14; สดด 40.16; สดด 40.17; สดด 41.2; สดด 41.5; สดด 41.6; สดด 41.9; สดด 41.11; สดด 41.12; สดด 42.1; สดด 42.2; สดด 42.3; สดด 42.4; สดด 42.5; สดด 42.6; สดด 42.7; สดด 42.8; สดด 42.9; สดด 42.10; สดด 42.11; สดด 43.1; สดด 43.2; สดด 43.3; สดด 43.4; สดด 43.5; สดด 44.1; สดด 44.2; สดด 44.3; สดด 44.4; สดด 44.5; สดด 44.6; สดด 44.8; สดด 44.9; สดด 44.12; สดด 44.13; สดด 44.16; สดด 44.17; สดด 44.18; สดด 44.19; สดด 44.20; สดด 44.21; สดด 44.24; สดด 44.25; สดด 44.26; สดด 45.1; สดด 45.2; สดด 45.3; สดด 45.4; สดด 45.5; สดด 45.6; สดด 45.7; สดด 45.8; สดด 45.9; สดด 45.10; สดด 45.11; สดด 45.12; สดด 45.13; สดด 45.16; สดด 45.17; สดด 46.1; สดด 46.4; สดด 46.7; สดด 46.8; สดด 46.11; สดด 47.3; สดด 47.4; สดด 47.6; สดด 47.8; สดด 47.9; สดด 48.1; สดด 48.2; สดด 48.3; สดด 48.8; สดด 48.9; สดด 48.10; สดด 48.11; สดด 48.12; สดด 48.13; สดด 48.14; สดด 49.3; สดด 49.4; สดด 49.6; สดด 49.7; สดด 49.8; สดด 49.10; สดด 49.11; สดด 49.12; สดด 49.13; สดด 49.14; สดด 49.15; สดด 49.16; สดด 49.17; สดด 49.19; สดด 50.3; สดด 50.4; สดด 50.5; สดด 50.6; สดด 50.7; สดด 50.8; สดด 50.9; สดด 50.10; สดด 50.11; สดด 50.12; สดด 50.14; สดด 50.16; สดด 50.17; สดด 50.19; สดด 50.20; สดด 50.23; สดด 51.1; สดด 51.2; สดด 51.3; สดด 51.4; สดด 51.6; สดด 51.9; สดด 51.11; สดด 51.13; สดด 51.14; สดด 51.15; สดด 51.18; สดด 51.19; สดด 52.1; สดด 52.2; สดด 52.5; สดด 52.7; สดด 52.8; สดด 52.9; สดด 53.1; สดด 53.2; สดด 53.4; สดด 53.5; สดด 53.6; สดด 54.1; สดด 54.2; สดด 54.3; สดด 54.4; สดด 54.5; สดด 54.6; สดด 54.7; สดด 55.1; สดด 55.2; สดด 55.3; สดด 55.4; สดด 55.9; สดด 55.11; สดด 55.13; สดด 55.14; สดด 55.15; สดด 55.17; สดด 55.18; สดด 55.20; สดด 55.21; สดด 55.22; สดด 55.23; สดด 56.2; สดด 56.4; สดด 56.5; สดด 56.6; สดด 56.7; สดด 56.8; สดด 56.9; สดด 56.10; สดด 56.13; สดด 57.1; สดด 57.3; สดด 57.4; สดด 57.5; สดด 57.6; สดด 57.7; สดด 57.8; สดด 57.10; สดด 57.11; สดด 58.1; สดด 58.2; สดด 58.4; สดด 58.5; สดด 58.6; สดด 58.9; สดด 58.10; สดด 59.1; สดด 59.3; สดด 59.4; สดด 59.5; สดด 59.7; สดด 59.9; สดด 59.10; สดด 59.11; สดด 59.12; สดด 59.16; สดด 59.17; สดด 60.2; สดด 60.3; สดด 60.5; สดด 60.6; สดด 60.7; สดด 60.8; สดด 60.10; สดด 60.11; สดด 60.12; สดด 61.1; สดด 61.2; สดด 61.3; สดด 61.4; สดด 61.5; สดด 61.6; สดด 61.8; สดด 62.1; สดด 62.2; สดด 62.4; สดด 62.5; สดด 62.6; สดด 62.7; สดด 62.8; สดด 62.11; สดด 62.12; สดด 63.1; สดด 63.2; สดด 63.3; สดด 63.4; สดด 63.5; สดด 63.7; สดด 63.8; สดด 63.9; สดด 63.10; สดด 63.11; สดด 64.1; สดด 64.2; สดด 64.3; สดด 64.5; สดด 64.6; สดด 64.8; สดด 64.9; สดด 65.3; สดด 65.4; สดด 65.5; สดด 65.6; สดด 65.7; สดด 65.8; สดด 65.9; สดด 65.10; สดด 65.11; สดด 66.2; สดด 66.3; สดด 66.4; สดด 66.5; สดด 66.7; สดด 66.8; สดด 66.11; สดด 66.12; สดด 66.13; สดด 66.19; สดด 66.20; สดด 67.2; สดด 67.6; สดด 68.1; สดด 68.4; สดด 68.5; สดด 68.7; สดด 68.8; สดด 68.9; สดด 68.10; สดด 68.12; สดด 68.13; สดด 68.15; สดด 68.16; สดด 68.17; สดด 68.19; สดด 68.20; สดด 68.21; สดด 68.22; สดด 68.23; สดด 68.24; สดด 68.26; สดด 68.28; สดด 68.29; สดด 68.31; สดด 68.33; สดด 68.34; สดด 68.35; สดด 69.3; สดด 69.4; สดด 69.5; สดด 69.6; สดด 69.8; สดด 69.9; สดด 69.11; สดด 69.13; สดด 69.16; สดด 69.17; สดด 69.18; สดด 69.19; สดด 69.22; สดด 69.23; สดด 69.25; สดด 69.26; สดด 69.29; สดด 69.32; สดด 69.33; สดด 69.36; สดด 70.2; สดด 70.3; สดด 70.4; สดด 70.5; สดด 71.2; สดด 71.3; สดด 71.4; สดด 71.5; สดด 71.7; สดด 71.8; สดด 71.10; สดด 71.12; สดด 71.13; สดด 71.15; สดด 71.16; สดด 71.17; สดด 71.18; สดด 71.19; สดด 71.20; สดด 71.22; สดด 71.23; สดด 71.24; สดด 72.1; สดด 72.2; สดด 72.4; สดด 72.7; สดด 72.9; สดด 72.10; สดด 72.14; สดด 72.16; สดด 72.17; สดด 72.19; สดด 72.20; สดด 73.2; สดด 73.3; สดด 73.4; สดด 73.6; สดด 73.7; สดด 73.9; สดด 73.10; สดด 73.15; สดด 73.17; สดด 73.20; สดด 73.21; สดด 73.23; สดด 73.24; สดด 73.26; สดด 73.28; สดด 74.1; สดด 74.2; สดด 74.3; สดด 74.4; สดด 74.7; สดด 74.8; สดด 74.9; สดด 74.10; สดด 74.11; สดด 74.12; สดด 74.13; สดด 74.14; สดด 74.16; สดด 74.17; สดด 74.18; สดด 74.19; สดด 74.20; สดด 74.21; สดด 74.22; สดด 74.23; สดด 75.1; สดด 75.3; สดด 75.5; สดด 75.8; สดด 75.9; สดด 75.10; สดด 76.1; สดด 76.2; สดด 76.5; สดด 76.6; สดด 76.7; สดด 76.9; สดด 76.10; สดด 76.11; สดด 76.12; สดด 77.1; สดด 77.2; สดด 77.3; สดด 77.4; สดด 77.6; สดด 77.8; สดด 77.10; สดด 77.11; สดด 77.12; สดด 77.13; สดด 77.14; สดด 77.15; สดด 77.17; สดด 77.18; สดด 77.19; สดด 77.20; สดด 78.1; สดด 78.2; สดด 78.3; สดด 78.4; สดด 78.5; สดด 78.6; สดด 78.7; สดด 78.8; สดด 78.10; สดด 78.12; สดด 78.18; สดด 78.20; สดด 78.21; สดด 78.22; สดด 78.25; สดด 78.26; สดด 78.28; สดด 78.30; สดด 78.31; สดด 78.32; สดด 78.33; สดด 78.35; สดด 78.36; สดด 78.37; สดด 78.38; สดด 78.41; สดด 78.42; สดด 78.43; สดด 78.44; สดด 78.46; สดด 78.47; สดด 78.48; สดด 78.49; สดด 78.50; สดด 78.51; สดด 78.52; สดด 78.53; สดด 78.54; สดด 78.55; สดด 78.56; สดด 78.57; สดด 78.58; สดด 78.61; สดด 78.62; สดด 78.63; สดด 78.64; สดด 78.66; สดด 78.67; สดด 78.69; สดด 78.70; สดด 78.71; สดด 79.1; สดด 79.2; สดด 79.3; สดด 79.4; สดด 79.5; สดด 79.6; สดด 79.7; สดด 79.8; สดด 79.9; สดด 79.10; สดด 79.11; สดด 79.12; สดด 79.13; สดด 80.2; สดด 80.3; สดด 80.4; สดด 80.6; สดด 80.7; สดด 80.10; สดด 80.12; สดด 80.15; สดด 80.16; สดด 80.17; สดด 80.19; สดด 81.1; สดด 81.3; สดด 81.4; สดด 81.6; สดด 81.7; สดด 81.8; สดด 81.10; สดด 81.11; สดด 81.12; สดด 81.13; สดด 81.14; สดด 81.15; สดด 82.1; สดด 82.3; สดด 82.4; สดด 82.5; สดด 82.8; สดด 83.2; สดด 83.3; สดด 83.6; สดด 83.8; สดด 83.10; สดด 83.11; สดด 83.12; สดด 83.13; สดด 83.15; สดด 83.16; สดด 84.1; สดด 84.2; สดด 84.3; สดด 84.4; สดด 84.5; สดด 84.8; สดด 84.9; สดด 84.10; สดด 85.1; สดด 85.2; สดด 85.3; สดด 85.4; สดด 85.5; สดด 85.6; สดด 85.7; สดด 85.8; สดด 85.9; สดด 85.12; สดด 85.13; สดด 86.2; สดด 86.4; สดด 86.6; สดด 86.7; สดด 86.8; สดด 86.9; สดด 86.11; สดด 86.12; สดด 86.13; สดด 86.16; สดด 86.17; สดด 87.1; สดด 87.2; สดด 87.7; สดด 88.1; สดด 88.2; สดด 88.3; สดด 88.5; สดด 88.6; สดด 88.7; สดด 88.9; สดด 88.11; สดด 88.12; สดด 88.13; สดด 88.15; สดด 88.16; สดด 89.1; สดด 89.2; สดด 89.3; สดด 89.4; สดด 89.5; สดด 89.6; สดด 89.7; สดด 89.8; สดด 89.9; สดด 89.10; สดด 89.11; สดด 89.12; สดด 89.13; สดด 89.14; สดด 89.15; สดด 89.16; สดด 89.17; สดด 89.18; สดด 89.19; สดด 89.20; สดด 89.21; สดด 89.23; สดด 89.24; สดด 89.25; สดด 89.26; สดด 89.27; สดด 89.28; สดด 89.29; สดด 89.30; สดด 89.31; สดด 89.32; สดด 89.33; สดด 89.34; สดด 89.35; สดด 89.36; สดด 89.38; สดด 89.39; สดด 89.40; สดด 89.41; สดด 89.42; สดด 89.43; สดด 89.44; สดด 89.45; สดด 89.46; สดด 89.47; สดด 89.48; สดด 89.49; สดด 89.50; สดด 89.51; สดด 90.1; สดด 90.3; สดด 90.4; สดด 90.7; สดด 90.8; สดด 90.9; สดด 90.10; สดด 90.11; สดด 90.12; สดด 90.13; สดด 90.14; สดด 90.16; สดด 90.17; สดด 91.1; สดด 91.2; สดด 91.3; สดด 91.4; สดด 91.7; สดด 91.9; สดด 91.10; สดด 91.11; สดด 91.12; สดด 91.14; สดด 91.16; สดด 92.1; สดด 92.2; สดด 92.4; สดด 92.5; สดด 92.9; สดด 92.10; สดด 92.11; สดด 92.13; สดด 92.15; สดด 93.2; สดด 93.4; สดด 93.5; สดด 94.5; สดด 94.7; สดด 94.8; สดด 94.11; สดด 94.12; สดด 94.14; สดด 94.17; สดด 94.18; สดด 94.19; สดด 94.21; สดด 94.22; สดด 94.23; สดด 95.1; สดด 95.4; สดด 95.5; สดด 95.7; สดด 95.8; สดด 95.9; สดด 95.10; สดด 95.11; สดด 96.2; สดด 96.3; สดด 96.5; สดด 96.6; สดด 96.7; สดด 96.8; สดด 96.12; สดด 96.13; สดด 97.2; สดด 97.3; สดด 97.4; สดด 97.6; สดด 97.7; สดด 97.8; สดด 97.10; สดด 97.12; สดด 98.1; สดด 98.2; สดด 98.3; สดด 98.8; สดด 99.3; สดด 99.4; สดด 99.5; สดด 99.6; สดด 99.7; สดด 99.8; สดด 99.9; สดด 100.3; สดด 100.4; สดด 100.5; สดด 101.2; สดด 101.3; สดด 101.5; สดด 101.7; สดด 101.8; สดด 102.1; สดด 102.2; สดด 102.3; สดด 102.4; สดด 102.5; สดด 102.8; สดด 102.10; สดด 102.11; สดด 102.14; สดด 102.15; สดด 102.16; สดด 102.17; สดด 102.19; สดด 102.20; สดด 102.21; สดด 102.23; สดด 102.24; สดด 102.25; สดด 102.27; สดด 102.28; สดด 103.1; สดด 103.2; สดด 103.3; สดด 103.4; สดด 103.5; สดด 103.7; สดด 103.10; สดด 103.11; สดด 103.12; สดด 103.13; สดด 103.14; สดด 103.15; สดด 103.16; สดด 103.17; สดด 103.18; สดด 103.19; สดด 103.20; สดด 103.21; สดด 103.22; สดด 104.1; สดด 104.3; สดด 104.4; สดด 104.5; สดด 104.7; สดด 104.11; สดด 104.13; สดด 104.15; สดด 104.16; สดด 104.17; สดด 104.18; สดด 104.19; สดด 104.20; สดด 104.21; สดด 104.22; สดด 104.23; สดด 104.24; สดด 104.30; สดด 104.31; สดด 104.33; สดด 104.34; สดด 104.35; สดด 105.1; สดด 105.2; สดด 105.3; สดด 105.4; สดด 105.5; สดด 105.6; สดด 105.7; สดด 105.8; สดด 105.11; สดด 105.15; สดด 105.18; สดด 105.19; สดด 105.20; สดด 105.21; สดด 105.22; สดด 105.23; สดด 105.24; สดด 105.25; สดด 105.26; สดด 105.27; สดด 105.28; สดด 105.29; สดด 105.30; สดด 105.31; สดด 105.32; สดด 105.33; สดด 105.35; สดด 105.36; สดด 105.37; สดด 105.42; สดด 105.43; สดด 105.44; สดด 105.45; สดด 106.1; สดด 106.2; สดด 106.4; สดด 106.5; สดด 106.6; สดด 106.7; สดด 106.8; สดด 106.10; สดด 106.11; สดด 106.12; สดด 106.13; สดด 106.16; สดด 106.18; สดด 106.20; สดด 106.21; สดด 106.22; สดด 106.23; สดด 106.24; สดด 106.25; สดด 106.26; สดด 106.27; สดด 106.29; สดด 106.32; สดด 106.33; สดด 106.36; สดด 106.37; สดด 106.38; สดด 106.39; สดด 106.40; สดด 106.42; สดด 106.43; สดด 106.44; สดด 106.45; สดด 106.47; สดด 106.48; สดด 107.1; สดด 107.2; สดด 107.5; สดด 107.6; สดด 107.8; สดด 107.11; สดด 107.12; สดด 107.13; สดด 107.14; สดด 107.15; สดด 107.17; สดด 107.19; สดด 107.20; สดด 107.21; สดด 107.22; สดด 107.24; สดด 107.26; สดด 107.28; สดด 107.31; สดด 107.32; สดด 107.34; สดด 107.38; สดด 107.41; สดด 107.42; สดด 107.43; สดด 108.1; สดด 108.4; สดด 108.5; สดด 108.6; สดด 108.7; สดด 108.8; สดด 108.9; สดด 108.11; สดด 108.12; สดด 108.13; สดด 109.2; สดด 109.4; สดด 109.5; สดด 109.6; สดด 109.7; สดด 109.8; สดด 109.9; สดด 109.10; สดด 109.11; สดด 109.12; สดด 109.13; สดด 109.14; สดด 109.18; สดด 109.20; สดด 109.21; สดด 109.22; สดด 109.24; สดด 109.25; สดด 109.26; สดด 109.27; สดด 109.28; สดด 109.29; สดด 109.30; สดด 109.31; สดด 110.1; สดด 110.2; สดด 110.3; สดด 110.4; สดด 110.5; สดด 111.1; สดด 111.2; สดด 111.3; สดด 111.4; สดด 111.5; สดด 111.6; สดด 111.7; สดด 111.9; สดด 111.10; สดด 112.1; สดด 112.2; สดด 112.3; สดด 112.5; สดด 112.7; สดด 112.8; สดด 112.9; สดด 112.10; สดด 113.1; สดด 113.2; สดด 113.3; สดด 113.4; สดด 113.5; สดด 113.8; สดด 114.1; สดด 114.2; สดด 114.7; สดด 115.1; สดด 115.2; สดด 115.3; สดด 115.4; สดด 115.9; สดด 115.10; สดด 115.11; สดด 115.14; สดด 115.16; สดด 116.1; สดด 116.5; สดด 116.7; สดด 116.9; สดด 116.14; สดด 116.15; สดด 116.16; สดด 116.17; สดด 116.18; สดด 116.19; สดด 117.2; สดด 118.1; สดด 118.2; สดด 118.3; สดด 118.4; สดด 118.7; สดด 118.14; สดด 118.15; สดด 118.16; สดด 118.17; สดด 118.20; สดด 118.21; สดด 118.26; สดด 118.27; สดด 118.28; สดด 118.29; สดด 119.1; สดด 119.2; สดด 119.3; สดด 119.4; สดด 119.5; สดด 119.6; สดด 119.7; สดด 119.8; สดด 119.9; สดด 119.10; สดด 119.11; สดด 119.12; สดด 119.13; สดด 119.14; สดด 119.15; สดด 119.16; สดด 119.17; สดด 119.18; สดด 119.19; สดด 119.20; สดด 119.21; สดด 119.22; สดด 119.23; สดด 119.24; สดด 119.25; สดด 119.26; สดด 119.27; สดด 119.28; สดด 119.29; สดด 119.30; สดด 119.31; สดด 119.32; สดด 119.33; สดด 119.34; สดด 119.35; สดด 119.36; สดด 119.37; สดด 119.38; สดด 119.39; สดด 119.40; สดด 119.41; สดด 119.42; สดด 119.43; สดด 119.44; สดด 119.45; สดด 119.46; สดด 119.47; สดด 119.48; สดด 119.49; สดด 119.50; สดด 119.51; สดด 119.52; สดด 119.53; สดด 119.54; สดด 119.55; สดด 119.56; สดด 119.57; สดด 119.58; สดด 119.59; สดด 119.60; สดด 119.61; สดด 119.62; สดด 119.63; สดด 119.64; สดด 119.65; สดด 119.66; สดด 119.67; สดด 119.68; สดด 119.69; สดด 119.70; สดด 119.71; สดด 119.72; สดด 119.73; สดด 119.74; สดด 119.75; สดด 119.76; สดด 119.77; สดด 119.78; สดด 119.79; สดด 119.80; สดด 119.81; สดด 119.82; สดด 119.83; สดด 119.84; สดด 119.85; สดด 119.86; สดด 119.87; สดด 119.88; สดด 119.89; สดด 119.90; สดด 119.91; สดด 119.92; สดด 119.93; สดด 119.94; สดด 119.95; สดด 119.96; สดด 119.97; สดด 119.98; สดด 119.99; สดด 119.100; สดด 119.101; สดด 119.102; สดด 119.103; สดด 119.104; สดด 119.105; สดด 119.106; สดด 119.107; สดด 119.108; สดด 119.109; สดด 119.110; สดด 119.111; สดด 119.112; สดด 119.113; สดด 119.114; สดด 119.115; สดด 119.116; สดด 119.117; สดด 119.118; สดด 119.119; สดด 119.120; สดด 119.122; สดด 119.123; สดด 119.124; สดด 119.125; สดด 119.126; สดด 119.127; สดด 119.128; สดด 119.129; สดด 119.130; สดด 119.131; สดด 119.132; สดด 119.133; สดด 119.134; สดด 119.135; สดด 119.136; สดด 119.137; สดด 119.139; สดด 119.140; สดด 119.141; สดด 119.142; สดด 119.143; สดด 119.144; สดด 119.145; สดด 119.146; สดด 119.147; สดด 119.148; สดด 119.149; สดด 119.150; สดด 119.151; สดด 119.152; สดด 119.153; สดด 119.154; สดด 119.155; สดด 119.156; สดด 119.157; สดด 119.158; สดด 119.159; สดด 119.160; สดด 119.161; สดด 119.162; สดด 119.163; สดด 119.164; สดด 119.165; สดด 119.166; สดด 119.167; สดด 119.168; สดด 119.169; สดด 119.170; สดด 119.171; สดด 119.172; สดด 119.173; สดด 119.174; สดด 119.175; สดด 119.176; สดด 120.4; สดด 120.5; สดด 121.1; สดด 121.2; สดด 121.3; สดด 121.5; สดด 121.7; สดด 121.8; สดด 122.2; สดด 122.4; สดด 122.5; สดด 122.7; สดด 122.9; สดด 123.2; สดด 123.4; สดด 124.3; สดด 124.7; สดด 124.8; สดด 125.2; สดด 125.3; สดด 125.4; สดด 125.5; สดด 126.2; สดด 126.6; สดด 127.2; สดด 127.3; สดด 127.5; สดด 128.1; สดด 128.2; สดด 128.3; สดด 128.5; สดด 128.6; สดด 129.3; สดด 129.4; สดด 129.7; สดด 129.8; สดด 130.2; สดด 130.5; สดด 130.6; สดด 130.8; สดด 131.1; สดด 131.2; สดด 132.1; สดด 132.2; สดด 132.3; สดด 132.4; สดด 132.5; สดด 132.6; สดด 132.7; สดด 132.8; สดด 132.9; สดด 132.10; สดด 132.11; สดด 132.12; สดด 132.13; สดด 132.14; สดด 132.15; สดด 132.16; สดด 132.17; สดด 132.18; สดด 133.2; สดด 133.3; สดด 134.1; สดด 134.2; สดด 135.1; สดด 135.2; สดด 135.3; สดด 135.4; สดด 135.5; สดด 135.7; สดด 135.8; สดด 135.9; สดด 135.11; สดด 135.12; สดด 135.13; สดด 135.14; สดด 135.15; สดด 135.17; สดด 136.1; สดด 136.2; สดด 136.3; สดด 136.4; สดด 136.5; สดด 136.6; สดด 136.7; สดด 136.8; สดด 136.9; สดด 136.10; สดด 136.11; สดด 136.12; สดด 136.13; สดด 136.14; สดด 136.15; สดด 136.16; สดด 136.17; สดด 136.18; สดด 136.19; สดด 136.20; สดด 136.21; สดด 136.22; สดด 136.23; สดด 136.24; สดด 136.25; สดด 136.26; สดด 137.2; สดด 137.4; สดด 137.5; สดด 137.6; สดด 137.7; สดด 137.9; สดด 138.1; สดด 138.2; สดด 138.3; สดด 138.4; สดด 138.5; สดด 138.7; สดด 138.8; สดด 139.2; สดด 139.3; สดด 139.4; สดด 139.7; สดด 139.9; สดด 139.10; สดด 139.13; สดด 139.14; สดด 139.15; สดด 139.16; สดด 139.17; สดด 139.20; สดด 139.22; สดด 139.23; สดด 140.2; สดด 140.3; สดด 140.4; สดด 140.6; สดด 140.7; สดด 140.8; สดด 140.9; สดด 140.13; สดด 141.2; สดด 141.3; สดด 141.4; สดด 141.5; สดด 141.6; สดด 141.7; สดด 141.8; สดด 141.9; สดด 141.10; สดด 142.1; สดด 142.2; สดด 142.3; สดด 142.5; สดด 142.6; สดด 142.7; สดด 143.1; สดด 143.2; สดด 143.4; สดด 143.5; สดด 143.6; สดด 143.7; สดด 143.8; สดด 143.9; สดด 143.10; สดด 143.11; สดด 143.12; สดด 144.1; สดด 144.2; สดด 144.4; สดด 144.5; สดด 144.6; สดด 144.7; สดด 144.8; สดด 144.10; สดด 144.11; สดด 144.12; สดด 144.13; สดด 144.14; สดด 144.15; สดด 145.1; สดด 145.2; สดด 145.3; สดด 145.4; สดด 145.5; สดด 145.6; สดด 145.7; สดด 145.9; สดด 145.10; สดด 145.11; สดด 145.12; สดด 145.13; สดด 145.16; สดด 145.17; สดด 145.19; สดด 145.21; สดด 146.1; สดด 146.2; สดด 146.4; สดด 146.5; สดด 146.8; สดด 146.9; สดด 146.10; สดด 147.1; สดด 147.3; สดด 147.5; สดด 147.7; สดด 147.10; สดด 147.11; สดด 147.12; สดด 147.13; สดด 147.14; สดด 147.15; สดด 147.17; สดด 147.18; สดด 147.19; สดด 147.20; สดด 148.2; สดด 148.8; สดด 148.11; สดด 148.13; สดด 148.14; สดด 149.2; สดด 149.3; สดด 149.4; สดด 149.5; สดด 149.6; สดด 149.8; สดด 149.9; สดด 150.1; สดด 150.2; สภษ 1.1; สภษ 1.6; สภษ 1.7; สภษ 1.8; สภษ 1.9; สภษ 1.10; สภษ 1.13; สภษ 1.15; สภษ 1.16; สภษ 1.18; สภษ 1.19; สภษ 1.20; สภษ 1.21; สภษ 1.23; สภษ 1.25; สภษ 1.26; สภษ 1.27; สภษ 1.30; สภษ 1.31; สภษ 1.32; สภษ 2.1; สภษ 2.2; สภษ 2.3; สภษ 2.5; สภษ 2.6; สภษ 2.8; สภษ 2.10; สภษ 2.14; สภษ 2.15; สภษ 2.17; สภษ 2.18; สภษ 2.20; สภษ 3.1; สภษ 3.3; สภษ 3.5; สภษ 3.6; สภษ 3.7; สภษ 3.8; สภษ 3.9; สภษ 3.10; สภษ 3.11; สภษ 3.16; สภษ 3.17; สภษ 3.20; สภษ 3.21; สภษ 3.22; สภษ 3.23; สภษ 3.24; สภษ 3.25; สภษ 3.26; สภษ 3.27; สภษ 3.28; สภษ 3.29; สภษ 3.31; สภษ 3.32; สภษ 3.33; สภษ 4.1; สภษ 4.2; สภษ 4.3; สภษ 4.4; สภษ 4.5; สภษ 4.10; สภษ 4.11; สภษ 4.12; สภษ 4.13; สภษ 4.14; สภษ 4.17; สภษ 4.18; สภษ 4.19; สภษ 4.20; สภษ 4.21; สภษ 4.22; สภษ 4.23; สภษ 4.25; สภษ 4.26; สภษ 4.27; สภษ 5.1; สภษ 5.2; สภษ 5.3; สภษ 5.5; สภษ 5.6; สภษ 5.7; สภษ 5.8; สภษ 5.9; สภษ 5.10; สภษ 5.11; สภษ 5.12; สภษ 5.13; สภษ 5.15; สภษ 5.16; สภษ 5.17; สภษ 5.18; สภษ 5.19; สภษ 5.20; สภษ 5.21; สภษ 5.22; สภษ 5.23; สภษ 6.1; สภษ 6.2; สภษ 6.3; สภษ 6.4; สภษ 6.5; สภษ 6.6; สภษ 6.8; สภษ 6.13; สภษ 6.20; สภษ 6.21; สภษ 6.24; สภษ 6.25; สภษ 6.26; สภษ 6.27; สภษ 6.28; สภษ 6.29; สภษ 6.31; สภษ 6.33; สภษ 7.1; สภษ 7.2; สภษ 7.3; สภษ 7.4; สภษ 7.6; สภษ 7.8; สภษ 7.11; สภษ 7.16; สภษ 7.17; สภษ 7.18; สภษ 7.19; สภษ 7.24; สภษ 7.25; สภษ 7.27; สภษ 8.1; สภษ 8.4; สภษ 8.6; สภษ 8.7; สภษ 8.8; สภษ 8.10; สภษ 8.13; สภษ 8.16; สภษ 8.19; สภษ 8.20; สภษ 8.21; สภษ 8.22; สภษ 8.23; สภษ 8.26; สภษ 8.28; สภษ 8.29; สภษ 8.30; สภษ 8.31; สภษ 8.32; สภษ 8.34; สภษ 9.1; สภษ 9.2; สภษ 9.3; สภษ 9.5; สภษ 9.6; สภษ 9.10; สภษ 9.11; สภษ 9.14; สภษ 9.15; สภษ 9.18; สภษ 10.1; สภษ 10.3; สภษ 10.6; สภษ 10.7; สภษ 10.9; สภษ 10.11; สภษ 10.13; สภษ 10.14; สภษ 10.15; สภษ 10.16; สภษ 10.19; สภษ 10.20; สภษ 10.21; สภษ 10.22; สภษ 10.27; สภษ 10.28; สภษ 10.29; สภษ 10.31; สภษ 10.32; สภษ 11.1; สภษ 11.3; สภษ 11.5; สภษ 11.6; สภษ 11.7; สภษ 11.9; สภษ 11.11; สภษ 11.12; สภษ 11.19; สภษ 11.20; สภษ 11.21; สภษ 11.23; สภษ 11.26; สภษ 11.28; สภษ 11.29; สภษ 11.30; สภษ 12.2; สภษ 12.3; สภษ 12.4; สภษ 12.5; สภษ 12.6; สภษ 12.7; สภษ 12.8; สภษ 12.10; สภษ 12.11; สภษ 12.12; สภษ 12.13; สภษ 12.14; สภษ 12.15; สภษ 12.16; สภษ 12.18; สภษ 12.20; สภษ 12.22; สภษ 12.24; สภษ 12.25; สภษ 12.26; สภษ 12.27; สภษ 12.28; สภษ 13.1; สภษ 13.2; สภษ 13.3; สภษ 13.4; สภษ 13.6; สภษ 13.8; สภษ 13.9; สภษ 13.14; สภษ 13.15; สภษ 13.16; สภษ 13.20; สภษ 13.22; สภษ 13.24; สภษ 13.25; สภษ 14.1; สภษ 14.2; สภษ 14.3; สภษ 14.8; สภษ 14.10; สภษ 14.11; สภษ 14.12; สภษ 14.13; สภษ 14.14; สภษ 14.19; สภษ 14.20; สภษ 14.21; สภษ 14.24; สภษ 14.26; สภษ 14.27; สภษ 14.28; สภษ 14.31; สภษ 14.32; สภษ 14.33; สภษ 14.35; สภษ 15.2; สภษ 15.3; สภษ 15.5; สภษ 15.6; สภษ 15.7; สภษ 15.8; สภษ 15.9; สภษ 15.11; สภษ 15.14; สภษ 15.15; สภษ 15.19; สภษ 15.20; สภษ 15.25; สภษ 15.26; สภษ 15.27; สภษ 15.28; สภษ 15.29; สภษ 15.30; สภษ 16.1; สภษ 16.2; สภษ 16.3; สภษ 16.7; สภษ 16.9; สภษ 16.10; สภษ 16.11; สภษ 16.14; สภษ 16.15; สภษ 16.17; สภษ 16.22; สภษ 16.23; สภษ 16.25; สภษ 16.26; สภษ 16.27; สภษ 16.29; สภษ 16.30; สภษ 16.32; สภษ 17.5; สภษ 17.6; สภษ 17.8; สภษ 17.12; สภษ 17.13; สภษ 17.18; สภษ 17.19; สภษ 17.21; สภษ 17.24; สภษ 17.27; สภษ 17.28; สภษ 18.2; สภษ 18.4; สภษ 18.6; สภษ 18.7; สภษ 18.8; สภษ 18.10; สภษ 18.11; สภษ 18.12; สภษ 18.13; สภษ 18.14; สภษ 18.15; สภษ 18.16; สภษ 18.17; สภษ 18.19; สภษ 18.20; สภษ 18.21; สภษ 19.1; สภษ 19.3; สภษ 19.4; สภษ 19.6; สภษ 19.7; สภษ 19.12; สภษ 19.13; สภษ 19.16; สภษ 19.17; สภษ 19.18; สภษ 19.21; สภษ 19.24; สภษ 19.26; สภษ 19.27; สภษ 19.28; สภษ 19.29; สภษ 20.2; สภษ 20.3; สภษ 20.5; สภษ 20.6; สภษ 20.7; สภษ 20.8; สภษ 20.9; สภษ 20.11; สภษ 20.13; สภษ 20.16; สภษ 20.17; สภษ 20.19; สภษ 20.20; สภษ 20.24; สภษ 20.27; สภษ 20.28; สภษ 20.29; สภษ 20.30; สภษ 21.1; สภษ 21.2; สภษ 21.4; สภษ 21.5; สภษ 21.6; สภษ 21.7; สภษ 21.8; สภษ 21.10; สภษ 21.12; สภษ 21.13; สภษ 21.16; สภษ 21.20; สภษ 21.22; สภษ 21.23; สภษ 21.24; สภษ 21.25; สภษ 21.27; สภษ 21.29; สภษ 21.31; สภษ 22.3; สภษ 22.4; สภษ 22.5; สภษ 22.7; สภษ 22.8; สภษ 22.9; สภษ 22.11; สภษ 22.12; สภษ 22.14; สภษ 22.15; สภษ 22.16; สภษ 22.17; สภษ 22.18; สภษ 22.19; สภษ 22.21; สภษ 22.23; สภษ 22.25; สภษ 22.28; สภษ 22.29; สภษ 23.2; สภษ 23.3; สภษ 23.4; สภษ 23.5; สภษ 23.6; สภษ 23.7; สภษ 23.8; สภษ 23.9; สภษ 23.10; สภษ 23.11; สภษ 23.12; สภษ 23.14; สภษ 23.15; สภษ 23.16; สภษ 23.17; สภษ 23.18; สภษ 23.19; สภษ 23.22; สภษ 23.24; สภษ 23.25; สภษ 23.26; สภษ 23.33; สภษ 24.2; สภษ 24.10; สภษ 24.12; สภษ 24.13; สภษ 24.14; สภษ 24.15; สภษ 24.17; สภษ 24.20; สภษ 24.21; สภษ 24.23; สภษ 24.26; สภษ 24.27; สภษ 24.28; สภษ 24.30; สภษ 24.31; สภษ 25.1; สภษ 25.2; สภษ 25.3; สภษ 25.5; สภษ 25.6; สภษ 25.7; สภษ 25.8; สภษ 25.9; สภษ 25.10; สภษ 25.13; สภษ 25.17; สภษ 25.18; สภษ 25.21; สภษ 25.22; สภษ 26.4; สภษ 26.5; สภษ 26.6; สภษ 26.7; สภษ 26.9; สภษ 26.14; สภษ 26.15; สภษ 26.17; สภษ 26.19; สภษ 26.22; สภษ 26.24; สภษ 26.25; สภษ 26.26; สภษ 27.2; สภษ 27.3; สภษ 27.6; สภษ 27.8; สภษ 27.9; สภษ 27.10; สภษ 27.11; สภษ 27.12; สภษ 27.13; สภษ 27.17; สภษ 27.18; สภษ 27.19; สภษ 27.20; สภษ 27.21; สภษ 27.22; สภษ 27.23; สภษ 27.27; สภษ 28.2; สภษ 28.6; สภษ 28.7; สภษ 28.8; สภษ 28.9; สภษ 28.10; สภษ 28.11; สภษ 28.13; สภษ 28.16; สภษ 28.17; สภษ 28.18; สภษ 28.19; สภษ 28.23; สภษ 28.24; สภษ 28.26; สภษ 28.27; สภษ 29.3; สภษ 29.5; สภษ 29.6; สภษ 29.7; สภษ 29.10; สภษ 29.11; สภษ 29.12; สภษ 29.13; สภษ 29.14; สภษ 29.15; สภษ 29.16; สภษ 29.17; สภษ 29.21; สภษ 29.23; สภษ 29.24; สภษ 29.27; สภษ 30.1; สภษ 30.3; สภษ 30.4; สภษ 30.5; สภษ 30.6; สภษ 30.9; สภษ 30.10; สภษ 30.11; สภษ 30.12; สภษ 30.13; สภษ 30.14; สภษ 30.16; สภษ 30.19; สภษ 30.20; สภษ 30.23; สภษ 30.25; สภษ 30.26; สภษ 30.29; สภษ 30.32; สภษ 31.1; สภษ 31.2; สภษ 31.3; สภษ 31.7; สภษ 31.8; สภษ 31.9; สภษ 31.10; สภษ 31.11; สภษ 31.12; สภษ 31.14; สภษ 31.15; สภษ 31.16; สภษ 31.17; สภษ 31.18; สภษ 31.19; สภษ 31.21; สภษ 31.22; สภษ 31.23; สภษ 31.25; สภษ 31.26; สภษ 31.27; สภษ 31.28; สภษ 31.30; สภษ 31.31; ปญจ 1.1; ปญจ 1.6; ปญจ 1.16; ปญจ 2.3; ปญจ 2.7; ปญจ 2.8; ปญจ 2.9; ปญจ 2.10; ปญจ 2.18; ปญจ 2.19; ปญจ 2.20; ปญจ 2.21; ปญจ 2.23; ปญจ 2.24; ปญจ 2.26; ปญจ 3.9; ปญจ 3.10; ปญจ 3.11; ปญจ 3.13; ปญจ 3.16; ปญจ 3.17; ปญจ 3.18; ปญจ 3.19; ปญจ 3.21; ปญจ 3.22; ปญจ 4.1; ปญจ 4.4; ปญจ 4.5; ปญจ 4.8; ปญจ 4.9; ปญจ 4.10; ปญจ 4.14; ปญจ 5.1; ปญจ 5.2; ปญจ 5.6; ปญจ 5.12; ปญจ 5.15; ปญจ 5.17; ปญจ 5.18; ปญจ 5.19; ปญจ 5.20; ปญจ 6.3; ปญจ 6.4; ปญจ 6.7; ปญจ 6.8; ปญจ 6.12; ปญจ 7.2; ปญจ 7.3; ปญจ 7.4; ปญจ 7.5; ปญจ 7.6; ปญจ 7.9; ปญจ 7.12; ปญจ 7.13; ปญจ 7.15; ปญจ 7.17; ปญจ 7.21; ปญจ 7.22; ปญจ 7.25; ปญจ 7.26; ปญจ 7.28; ปญจ 8.1; ปญจ 8.2; ปญจ 8.4; ปญจ 8.5; ปญจ 8.6; ปญจ 8.11; ปญจ 8.13; ปญจ 8.15; ปญจ 8.17; ปญจ 9.1; ปญจ 9.3; ปญจ 9.6; ปญจ 9.7; ปญจ 9.8; ปญจ 9.9; ปญจ 9.10; ปญจ 9.12; ปญจ 9.15; ปญจ 9.16; ปญจ 9.17; ปญจ 10.1; ปญจ 10.2; ปญจ 10.4; ปญจ 10.12; ปญจ 10.13; ปญจ 10.15; ปญจ 10.16; ปญจ 10.17; ปญจ 10.20; ปญจ 11.1; ปญจ 11.5; ปญจ 11.6; ปญจ 11.9; ปญจ 11.10; ปญจ 12.1; ปญจ 12.5; ปญจ 12.11; ปญจ 12.12; ปญจ 12.13; พซม 1.1; พซม 1.2; พซม 1.3; พซม 1.4; พซม 1.5; พซม 1.6; พซม 1.7; พซม 1.8; พซม 1.9; พซม 1.10; พซม 1.12; พซม 1.13; พซม 1.14; พซม 1.15; พซม 1.16; พซม 1.17; พซม 2.2; พซม 2.3; พซม 2.4; พซม 2.5; พซม 2.6; พซม 2.7; พซม 2.8; พซม 2.9; พซม 2.10; พซม 2.12; พซม 2.13; พซม 2.14; พซม 2.15; พซม 2.16; พซม 2.17; พซม 3.1; พซม 3.2; พซม 3.3; พซม 3.4; พซม 3.5; พซม 3.6; พซม 3.7; พซม 3.8; พซม 3.11; พซม 4.1; พซม 4.2; พซม 4.3; พซม 4.4; พซม 4.5; พซม 4.7; พซม 4.8; พซม 4.9; พซม 4.10; พซม 4.11; พซม 4.12; พซม 4.13; พซม 4.16; พซม 5.1; พซม 5.2; พซม 5.3; พซม 5.4; พซม 5.5; พซม 5.6; พซม 5.8; พซม 5.9; พซม 5.10; พซม 5.11; พซม 5.12; พซม 5.13; พซม 5.14; พซม 5.15; พซม 5.16; พซม 6.1; พซม 6.2; พซม 6.3; พซม 6.4; พซม 6.5; พซม 6.6; พซม 6.7; พซม 6.9; พซม 6.12; พซม 7.1; พซม 7.2; พซม 7.3; พซม 7.4; พซม 7.5; พซม 7.7; พซม 7.8; พซม 7.9; พซม 7.10; พซม 7.11; พซม 7.12; พซม 7.13; พซม 8.1; พซม 8.2; พซม 8.3; พซม 8.4; พซม 8.5; พซม 8.6; พซม 8.7; พซม 8.8; พซม 8.10; พซม 8.12; พซม 8.13; พซม 8.14; อสย 1.1; อสย 1.3; อสย 1.4; อสย 1.7; อสย 1.10; อสย 1.11; อสย 1.12; อสย 1.14; อสย 1.15; อสย 1.16; อสย 1.18; อสย 1.20; อสย 1.22; อสย 1.23; อสย 1.24; อสย 1.25; อสย 1.26; อสย 2.1; อสย 2.2; อสย 2.3; อสย 2.4; อสย 2.5; อสย 2.6; อสย 2.7; อสย 2.8; อสย 2.10; อสย 2.11; อสย 2.13; อสย 2.16; อสย 2.17; อสย 2.19; อสย 2.20; อสย 2.21; อสย 2.22; อสย 3.4; อสย 3.5; อสย 3.6; อสย 3.7; อสย 3.8; อสย 3.9; อสย 3.10; อสย 3.12; อสย 3.13; อสย 3.14; อสย 3.15; อสย 3.16; อสย 3.17; อสย 3.25; อสย 3.26; อสย 4.1; อสย 4.2; อสย 4.4; อสย 4.5; อสย 5.1; อสย 5.3; อสย 5.4; อสย 5.5; อสย 5.7; อสย 5.9; อสย 5.12; อสย 5.13; อสย 5.14; อสย 5.15; อสย 5.17; อสย 5.18; อสย 5.19; อสย 5.21; อสย 5.24; อสย 5.25; อสย 5.28; อสย 5.29; อสย 5.30; อสย 6.1; อสย 6.3; อสย 6.4; อสย 6.5; อสย 6.7; อสย 6.8; อสย 6.10; อสย 6.13; อสย 7.1; อสย 7.2; อสย 7.3; อสย 7.4; อสย 7.5; อสย 7.6; อสย 7.8; อสย 7.9; อสย 7.11; อสย 7.13; อสย 7.14; อสย 7.17; อสย 8.1; อสย 8.2; อสย 8.4; อสย 8.6; อสย 8.7; อสย 8.8; อสย 8.11; อสย 8.14; อสย 8.16; อสย 8.17; อสย 8.19; อสย 8.21; อสย 9.3; อสย 9.4; อสย 9.5; อสย 9.6; อสย 9.7; อสย 9.11; อสย 9.12; อสย 9.17; อสย 9.19; อสย 9.20; อสย 9.21; อสย 10.2; อสย 10.3; อสย 10.4; อสย 10.5; อสย 10.7; อสย 10.8; อสย 10.10; อสย 10.11; อสย 10.12; อสย 10.13; อสย 10.14; อสย 10.16; อสย 10.17; อสย 10.18; อสย 10.19; อสย 10.20; อสย 10.21; อสย 10.22; อสย 10.24; อสย 10.25; อสย 10.26; อสย 10.27; อสย 10.28; อสย 10.29; อสย 10.30; อสย 10.32; อสย 11.1; อสย 11.2; อสย 11.3; อสย 11.4; อสย 11.5; อสย 11.7; อสย 11.8; อสย 11.9; อสย 11.10; อสย 11.11; อสย 11.13; อสย 11.14; อสย 11.15; อสย 11.16; อสย 12.1; อสย 12.2; อสย 12.4; อสย 13.1; อสย 13.2; อสย 13.3; อสย 13.4; อสย 13.5; อสย 13.7; อสย 13.8; อสย 13.9; อสย 13.10; อสย 13.11; อสย 13.13; อสย 13.14; อสย 13.16; อสย 13.18; อสย 13.19; อสย 13.20; อสย 13.22; อสย 14.1; อสย 14.2; อสย 14.3; อสย 14.5; อสย 14.9; อสย 14.11; อสย 14.13; อสย 14.14; อสย 14.15; อสย 14.17; อสย 14.18; อสย 14.19; อสย 14.20; อสย 14.21; อสย 14.23; อสย 14.25; อสย 14.27; อสย 14.29; อสย 14.30; อสย 14.31; อสย 14.32; อสย 15.4; อสย 15.5; อสย 15.9; อสย 16.1; อสย 16.2; อสย 16.3; อสย 16.4; อสย 16.5; อสย 16.6; อสย 16.7; อสย 16.8; อสย 16.9; อสย 16.11; อสย 16.12; อสย 16.14; อสย 17.2; อสย 17.3; อสย 17.4; อสย 17.5; อสย 17.7; อสย 17.8; อสย 17.9; อสย 17.10; อสย 17.11; อสย 17.12; อสย 17.13; อสย 17.14; อสย 18.2; อสย 18.4; อสย 18.5; อสย 18.7; อสย 19.1; อสย 19.2; อสย 19.3; อสย 19.4; อสย 19.6; อสย 19.10; อสย 19.11; อสย 19.12; อสย 19.13; อสย 19.14; อสย 19.17; อสย 19.18; อสย 19.22; อสย 19.25; อสย 20.2; อสย 20.3; อสย 20.5; อสย 21.1; อสย 21.3; อสย 21.4; อสย 21.8; อสย 21.9; อสย 21.10; อสย 21.13; อสย 21.16; อสย 21.17; อสย 22.2; อสย 22.3; อสย 22.4; อสย 22.7; อสย 22.10; อสย 22.11; อสย 22.14; อสย 22.18; อสย 22.19; อสย 22.20; อสย 22.21; อสย 22.22; อสย 22.23; อสย 22.24; อสย 23.3; อสย 23.4; อสย 23.7; อสย 23.8; อสย 23.9; อสย 23.10; อสย 23.11; อสย 23.13; อสย 23.14; อสย 23.15; อสย 23.18; อสย 24.1; อสย 24.2; อสย 24.4; อสย 24.8; อสย 24.11; อสย 24.14; อสย 24.15; อสย 24.18; อสย 24.20; อสย 24.21; อสย 24.23; อสย 25.1; อสย 25.2; อสย 25.3; อสย 25.4; อสย 25.5; อสย 25.6; อสย 25.8; อสย 25.9; อสย 25.10; อสย 25.11; อสย 25.12; อสย 26.6; อสย 26.7; อสย 26.8; อสย 26.9; อสย 26.10; อสย 26.11; อสย 26.12; อสย 26.13; อสย 26.15; อสย 26.17; อสย 26.19; อสย 26.20; อสย 26.21; อสย 27.1; อสย 27.5; อสย 27.8; อสย 27.9; อสย 28.1; อสย 28.4; อสย 28.5; อสย 28.6; อสย 28.11; อสย 28.13; อสย 28.14; อสย 28.15; อสย 28.18; อสย 28.21; อสย 28.22; อสย 28.23; อสย 28.25; อสย 28.26; อสย 29.1; อสย 29.4; อสย 29.5; อสย 29.7; อสย 29.8; อสย 29.10; อสย 29.13; อสย 29.14; อสย 29.15; อสย 29.16; อสย 29.18; อสย 29.21; อสย 29.22; อสย 29.23; อสย 30.1; อสย 30.2; อสย 30.3; อสย 30.4; อสย 30.6; อสย 30.7; อสย 30.9; อสย 30.11; อสย 30.12; อสย 30.14; อสย 30.15; อสย 30.17; อสย 30.20; อสย 30.21; อสย 30.22; อสย 30.23; อสย 30.26; อสย 30.27; อสย 30.28; อสย 30.29; อสย 30.30; อสย 30.31; อสย 30.33; อสย 31.1; อสย 31.2; อสย 31.3; อสย 31.4; อสย 31.7; อสย 31.8; อสย 31.9; อสย 32.3; อสย 32.4; อสย 32.6; อสย 32.7; อสย 32.9; อสย 32.13; อสย 32.14; อสย 32.17; อสย 32.18; อสย 33.2; อสย 33.4; อสย 33.6; อสย 33.7; อสย 33.9; อสย 33.11; อสย 33.13; อสย 33.15; อสย 33.16; อสย 33.17; อสย 33.18; อสย 33.20; อสย 33.22; อสย 33.23; อสย 33.24; อสย 34.2; อสย 34.3; อสย 34.4; อสย 34.5; อสย 34.6; อสย 34.7; อสย 34.8; อสย 34.9; อสย 34.10; อสย 34.12; อสย 34.13; อสย 34.14; อสย 34.15; อสย 34.16; อสย 34.17; อสย 35.2; อสย 35.3; อสย 35.4; อสย 35.5; อสย 35.6; อสย 35.7; อสย 35.10; อสย 36.1; อสย 36.6; อสย 36.7; อสย 36.8; อสย 36.9; อสย 36.11; อสย 36.12; อสย 36.13; อสย 36.15; อสย 36.16; อสย 36.17; อสย 36.18; อสย 36.19; อสย 36.20; อสย 36.21; อสย 36.22; อสย 37.1; อสย 37.2; อสย 37.4; อสย 37.5; อสย 37.6; อสย 37.7; อสย 37.10; อสย 37.12; อสย 37.13; อสย 37.14; อสย 37.16; อสย 37.17; อสย 37.18; อสย 37.19; อสย 37.20; อสย 37.21; อสย 37.23; อสย 37.24; อสย 37.25; อสย 37.28; อสย 37.29; อสย 37.30; อสย 37.31; อสย 37.32; อสย 37.35; อสย 37.36; อสย 37.38; อสย 38.1; อสย 38.3; อสย 38.4; อสย 38.5; อสย 38.6; อสย 38.8; อสย 38.9; อสย 38.10; อสย 38.11; อสย 38.12; อสย 38.13; อสย 38.14; อสย 38.15; อสย 38.16; อสย 38.17; อสย 38.18; อสย 38.19; อสย 38.20; อสย 38.22; อสย 39.1; อสย 39.2; อสย 39.4; อสย 39.5; อสย 39.6; อสย 39.7; อสย 39.8; อสย 40.1; อสย 40.2; อสย 40.3; อสย 40.5; อสย 40.6; อสย 40.7; อสย 40.8; อสย 40.9; อสย 40.10; อสย 40.11; อสย 40.12; อสย 40.13; อสย 40.21; อสย 40.22; อสย 40.26; อสย 40.27; อสย 40.28; อสย 41.1; อสย 41.2; อสย 41.3; อสย 41.6; อสย 41.8; อสย 41.9; อสย 41.10; อสย 41.13; อสย 41.14; อสย 41.17; อสย 41.20; อสย 41.21; อสย 41.22; อสย 41.24; อสย 41.25; อสย 41.26; อสย 41.29; อสย 42.1; อสย 42.2; อสย 42.4; อสย 42.6; อสย 42.8; อสย 42.13; อสย 42.17; อสย 42.19; อสย 42.20; อสย 42.21; อสย 42.24; อสย 42.25; อสย 43.1; อสย 43.3; อสย 43.4; อสย 43.5; อสย 43.6; อสย 43.7; อสย 43.9; อสย 43.10; อสย 43.12; อสย 43.13; อสย 43.14; อสย 43.15; อสย 43.20; อสย 43.23; อสย 43.24; อสย 43.25; อสย 43.27; อสย 44.1; อสย 44.2; อสย 44.3; อสย 44.5; อสย 44.6; อสย 44.8; อสย 44.9; อสย 44.11; อสย 44.12; อสย 44.13; อสย 44.16; อสย 44.17; อสย 44.18; อสย 44.19; อสย 44.20; อสย 44.21; อสย 44.22; อสย 44.23; อสย 44.24; อสย 44.25; อสย 44.26; อสย 44.27; อสย 44.28; อสย 45.1; อสย 45.3; อสย 45.4; อสย 45.9; อสย 45.11; อสย 45.12; อสย 45.13; อสย 45.14; อสย 45.19; อสย 45.20; อสย 45.23; อสย 45.25; อสย 46.1; อสย 46.3; อสย 46.7; อสย 46.10; อสย 46.11; อสย 46.13; อสย 47.2; อสย 47.3; อสย 47.4; อสย 47.6; อสย 47.7; อสย 47.8; อสย 47.9; อสย 47.10; อสย 47.12; อสย 47.13; อสย 47.14; อสย 47.15; อสย 48.1; อสย 48.2; อสย 48.3; อสย 48.4; อสย 48.5; อสย 48.8; อสย 48.9; อสย 48.10; อสย 48.11; อสย 48.13; อสย 48.14; อสย 48.15; อสย 48.16; อสย 48.17; อสย 48.18; อสย 48.19; อสย 48.20; อสย 49.2; อสย 49.3; อสย 49.4; อสย 49.5; อสย 49.6; อสย 49.7; อสย 49.8; อสย 49.9; อสย 49.11; อสย 49.13; อสย 49.14; อสย 49.15; อสย 49.16; อสย 49.17; อสย 49.19; อสย 49.20; อสย 49.21; อสย 49.22; อสย 49.23; อสย 49.24; อสย 49.25; อสย 49.26; อสย 50.1; อสย 50.2; อสย 50.4; อสย 50.7; อสย 50.8; อสย 50.10; อสย 50.11; อสย 51.2; อสย 51.3; อสย 51.4; อสย 51.5; อสย 51.6; อสย 51.7; อสย 51.8; อสย 51.9; อสย 51.10; อสย 51.11; อสย 51.13; อสย 51.14; อสย 51.15; อสย 51.16; อสย 51.17; อสย 51.20; อสย 51.22; อสย 51.23; อสย 52.1; อสย 52.2; อสย 52.4; อสย 52.5; อสย 52.6; อสย 52.7; อสย 52.8; อสย 52.9; อสย 52.10; อสย 52.11; อสย 52.13; อสย 52.14; อสย 53.1; อสย 53.4; อสย 53.5; อสย 53.6; อสย 53.7; อสย 53.8; อสย 53.9; อสย 53.10; อสย 53.11; อสย 53.12; อสย 54.1; อสย 54.2; อสย 54.3; อสย 54.4; อสย 54.5; อสย 54.6; อสย 54.8; อสย 54.9; อสย 54.10; อสย 54.11; อสย 54.12; อสย 54.13; อสย 54.16; อสย 54.17; อสย 55.2; อสย 55.3; อสย 55.5; อสย 55.7; อสย 55.8; อสย 55.9; อสย 55.11; อสย 55.12; อสย 56.1; อสย 56.2; อสย 56.3; อสย 56.4; อสย 56.5; อสย 56.6; อสย 56.7; อสย 56.10; อสย 57.2; อสย 57.3; อสย 57.5; อสย 57.6; อสย 57.7; อสย 57.8; อสย 57.9; อสย 57.10; อสย 57.12; อสย 57.13; อสย 57.14; อสย 57.15; อสย 57.17; อสย 57.18; อสย 57.19; อสย 57.20; อสย 57.21; อสย 58.1; อสย 58.2; อสย 58.3; อสย 58.4; อสย 58.5; อสย 58.6; อสย 58.7; อสย 58.8; อสย 58.10; อสย 58.11; อสย 58.12; อสย 58.13; อสย 58.14; อสย 59.1; อสย 59.2; อสย 59.3; อสย 59.6; อสย 59.7; อสย 59.8; อสย 59.12; อสย 59.13; อสย 59.16; อสย 59.17; อสย 59.18; อสย 59.19; อสย 59.21; อสย 60.1; อสย 60.2; อสย 60.3; อสย 60.4; อสย 60.5; อสย 60.6; อสย 60.7; อสย 60.8; อสย 60.9; อสย 60.10; อสย 60.11; อสย 60.13; อสย 60.14; อสย 60.16; อสย 60.17; อสย 60.18; อสย 60.19; อสย 60.20; อสย 60.21; อสย 61.2; อสย 61.5; อสย 61.6; อสย 61.7; อสย 61.8; อสย 61.9; อสย 61.10; อสย 61.11; อสย 62.1; อสย 62.2; อสย 62.3; อสย 62.4; อสย 62.5; อสย 62.6; อสย 62.8; อสย 62.9; อสย 62.11; อสย 62.12; อสย 63.1; อสย 63.2; อสย 63.3; อสย 63.4; อสย 63.5; อสย 63.6; อสย 63.7; อสย 63.8; อสย 63.9; อสย 63.10; อสย 63.11; อสย 63.12; อสย 63.14; อสย 63.15; อสย 63.16; อสย 63.17; อสย 63.18; อสย 63.19; อสย 64.2; อสย 64.4; อสย 64.5; อสย 64.6; อสย 64.7; อสย 64.8; อสย 64.9; อสย 64.10; อสย 64.11; อสย 65.1; อสย 65.2; อสย 65.4; อสย 65.5; อสย 65.6; อสย 65.7; อสย 65.8; อสย 65.9; อสย 65.10; อสย 65.11; อสย 65.12; อสย 65.13; อสย 65.14; อสย 65.15; อสย 65.16; อสย 65.18; อสย 65.19; อสย 65.21; อสย 65.22; อสย 65.23; อสย 65.25; อสย 66.1; อสย 66.2; อสย 66.3; อสย 66.4; อสย 66.5; อสย 66.6; อสย 66.8; อสย 66.9; อสย 66.11; อสย 66.12; อสย 66.13; อสย 66.14; อสย 66.15; อสย 66.16; อสย 66.18; อสย 66.19; อสย 66.20; อสย 66.22; อสย 66.24; ยรม 1.1; ยรม 1.2; ยรม 1.3; ยรม 1.4; ยรม 1.9; ยรม 1.11; ยรม 1.12; ยรม 1.13; ยรม 1.15; ยรม 1.16; ยรม 1.17; ยรม 2.1; ยรม 2.2; ยรม 2.3; ยรม 2.4; ยรม 2.5; ยรม 2.7; ยรม 2.9; ยรม 2.11; ยรม 2.13; ยรม 2.15; ยรม 2.16; ยรม 2.17; ยรม 2.19; ยรม 2.20; ยรม 2.22; ยรม 2.23; ยรม 2.24; ยรม 2.25; ยรม 2.26; ยรม 2.27; ยรม 2.28; ยรม 2.30; ยรม 2.31; ยรม 2.32; ยรม 2.33; ยรม 2.34; ยรม 2.35; ยรม 2.36; ยรม 2.37; ยรม 3.1; ยรม 3.2; ยรม 3.3; ยรม 3.4; ยรม 3.6; ยรม 3.10; ยรม 3.12; ยรม 3.13; ยรม 3.17; ยรม 3.18; ยรม 3.19; ยรม 3.20; ยรม 3.21; ยรม 3.22; ยรม 3.23; ยรม 3.24; ยรม 3.25; ยรม 4.1; ยรม 4.4; ยรม 4.7; ยรม 4.8; ยรม 4.10; ยรม 4.11; ยรม 4.13; ยรม 4.14; ยรม 4.18; ยรม 4.19; ยรม 4.20; ยรม 4.22; ยรม 4.26; ยรม 4.30; ยรม 4.31; ยรม 5.3; ยรม 5.4; ยรม 5.5; ยรม 5.6; ยรม 5.7; ยรม 5.8; ยรม 5.10; ยรม 5.11; ยรม 5.14; ยรม 5.15; ยรม 5.16; ยรม 5.17; ยรม 5.19; ยรม 5.20; ยรม 5.24; ยรม 5.25; ยรม 5.26; ยรม 5.27; ยรม 5.28; ยรม 5.31; ยรม 6.2; ยรม 6.3; ยรม 6.4; ยรม 6.5; ยรม 6.6; ยรม 6.7; ยรม 6.10; ยรม 6.11; ยรม 6.12; ยรม 6.14; ยรม 6.16; ยรม 6.19; ยรม 6.20; ยรม 6.22; ยรม 6.23; ยรม 6.24; ยรม 6.25; ยรม 6.26; ยรม 6.27; ยรม 6.29; ยรม 7.2; ยรม 7.3; ยรม 7.4; ยรม 7.5; ยรม 7.7; ยรม 7.10; ยรม 7.11; ยรม 7.12; ยรม 7.14; ยรม 7.15; ยรม 7.19; ยรม 7.20; ยรม 7.21; ยรม 7.22; ยรม 7.23; ยรม 7.24; ยรม 7.25; ยรม 7.26; ยรม 7.28; ยรม 7.29; ยรม 7.30; ยรม 7.31; ยรม 7.32; ยรม 7.33; ยรม 7.34; ยรม 8.1; ยรม 8.6; ยรม 8.7; ยรม 8.8; ยรม 8.9; ยรม 8.10; ยรม 8.11; ยรม 8.14; ยรม 8.16; ยรม 8.18; ยรม 8.19; ยรม 8.21; ยรม 8.22; ยรม 9.1; ยรม 9.2; ยรม 9.3; ยรม 9.4; ยรม 9.5; ยรม 9.7; ยรม 9.8; ยรม 9.11; ยรม 9.12; ยรม 9.13; ยรม 9.14; ยรม 9.16; ยรม 9.18; ยรม 9.19; ยรม 9.20; ยรม 9.21; ยรม 9.23; ยรม 10.2; ยรม 10.3; ยรม 10.6; ยรม 10.7; ยรม 10.9; ยรม 10.10; ยรม 10.12; ยรม 10.13; ยรม 10.14; ยรม 10.16; ยรม 10.19; ยรม 10.20; ยรม 10.21; ยรม 10.22; ยรม 10.23; ยรม 10.24; ยรม 10.25; ยรม 11.4; ยรม 11.5; ยรม 11.6; ยรม 11.7; ยรม 11.8; ยรม 11.10; ยรม 11.13; ยรม 11.15; ยรม 11.16; ยรม 11.17; ยรม 11.18; ยรม 11.19; ยรม 11.20; ยรม 11.21; ยรม 11.22; ยรม 12.1; ยรม 12.2; ยรม 12.3; ยรม 12.4; ยรม 12.5; ยรม 12.6; ยรม 12.7; ยรม 12.8; ยรม 12.9; ยรม 12.10; ยรม 12.11; ยรม 12.12; ยรม 12.13; ยรม 12.14; ยรม 12.15; ยรม 12.16; ยรม 13.1; ยรม 13.2; ยรม 13.3; ยรม 13.4; ยรม 13.8; ยรม 13.9; ยรม 13.10; ยรม 13.11; ยรม 13.13; ยรม 13.16; ยรม 13.17; ยรม 13.18; ยรม 13.20; ยรม 13.21; ยรม 13.22; ยรม 13.23; ยรม 13.25; ยรม 13.26; ยรม 13.27; ยรม 14.1; ยรม 14.2; ยรม 14.3; ยรม 14.4; ยรม 14.5; ยรม 14.6; ยรม 14.7; ยรม 14.8; ยรม 14.9; ยรม 14.10; ยรม 14.11; ยรม 14.12; ยรม 14.14; ยรม 14.15; ยรม 14.16; ยรม 14.17; ยรม 14.19; ยรม 14.20; ยรม 14.21; ยรม 14.22; ยรม 15.1; ยรม 15.5; ยรม 15.7; ยรม 15.8; ยรม 15.9; ยรม 15.13; ยรม 15.14; ยรม 15.15; ยรม 15.16; ยรม 15.17; ยรม 15.18; ยรม 15.19; ยรม 15.21; ยรม 16.1; ยรม 16.4; ยรม 16.5; ยรม 16.7; ยรม 16.9; ยรม 16.10; ยรม 16.11; ยรม 16.12; ยรม 16.13; ยรม 16.15; ยรม 16.17; ยรม 16.18; ยรม 16.19; ยรม 16.21; ยรม 17.1; ยรม 17.2; ยรม 17.3; ยรม 17.4; ยรม 17.5; ยรม 17.7; ยรม 17.8; ยรม 17.10; ยรม 17.11; ยรม 17.12; ยรม 17.14; ยรม 17.15; ยรม 17.16; ยรม 17.17; ยรม 17.19; ยรม 17.20; ยรม 17.21; ยรม 17.22; ยรม 17.23; ยรม 17.25; ยรม 17.26; ยรม 17.27; ยรม 18.2; ยรม 18.3; ยรม 18.4; ยรม 18.5; ยรม 18.6; ยรม 18.8; ยรม 18.10; ยรม 18.11; ยรม 18.12; ยรม 18.15; ยรม 18.16; ยรม 18.17; ยรม 18.18; ยรม 18.19; ยรม 18.20; ยรม 18.21; ยรม 18.22; ยรม 18.23; ยรม 19.1; ยรม 19.2; ยรม 19.3; ยรม 19.4; ยรม 19.5; ยรม 19.6; ยรม 19.7; ยรม 19.9; ยรม 19.10; ยรม 19.11; ยรม 19.13; ยรม 19.14; ยรม 19.15; ยรม 20.1; ยรม 20.2; ยรม 20.3; ยรม 20.4; ยรม 20.5; ยรม 20.6; ยรม 20.8; ยรม 20.9; ยรม 20.10; ยรม 20.11; ยรม 20.12; ยรม 20.13; ยรม 20.14; ยรม 20.17; ยรม 20.18; ยรม 21.2; ยรม 21.4; ยรม 21.7; ยรม 21.9; ยรม 21.10; ยรม 21.11; ยรม 21.12; ยรม 21.13; ยรม 21.14; ยรม 22.1; ยรม 22.2; ยรม 22.3; ยรม 22.4; ยรม 22.5; ยรม 22.6; ยรม 22.7; ยรม 22.8; ยรม 22.9; ยรม 22.10; ยรม 22.13; ยรม 22.15; ยรม 22.16; ยรม 22.18; ยรม 22.20; ยรม 22.21; ยรม 22.22; ยรม 22.23; ยรม 22.24; ยรม 22.25; ยรม 22.28; ยรม 22.29; ยรม 22.30; ยรม 23.1; ยรม 23.2; ยรม 23.3; ยรม 23.6; ยรม 23.7; ยรม 23.8; ยรม 23.9; ยรม 23.10; ยรม 23.11; ยรม 23.12; ยรม 23.13; ยรม 23.14; ยรม 23.16; ยรม 23.17; ยรม 23.18; ยรม 23.19; ยรม 23.20; ยรม 23.22; ยรม 23.25; ยรม 23.26; ยรม 23.27; ยรม 23.28; ยรม 23.29; ยรม 23.30; ยรม 23.31; ยรม 23.32; ยรม 23.33; ยรม 23.34; ยรม 23.35; ยรม 23.36; ยรม 23.38; ยรม 23.39; ยรม 24.1; ยรม 24.4; ยรม 24.5; ยรม 24.6; ยรม 24.7; ยรม 24.8; ยรม 24.10; ยรม 25.1; ยรม 25.3; ยรม 25.4; ยรม 25.5; ยรม 25.6; ยรม 25.7; ยรม 25.8; ยรม 25.9; ยรม 25.12; ยรม 25.14; ยรม 25.17; ยรม 25.18; ยรม 25.19; ยรม 25.25; ยรม 25.28; ยรม 25.29; ยรม 25.30; ยรม 25.34; ยรม 25.36; ยรม 25.37; ยรม 25.38; ยรม 26.1; ยรม 26.2; ยรม 26.3; ยรม 26.5; ยรม 26.7; ยรม 26.9; ยรม 26.10; ยรม 26.11; ยรม 26.13; ยรม 26.14; ยรม 26.15; ยรม 26.16; ยรม 26.18; ยรม 26.20; ยรม 26.23; ยรม 26.24; ยรม 27.1; ยรม 27.2; ยรม 27.3; ยรม 27.4; ยรม 27.5; ยรม 27.6; ยรม 27.7; ยรม 27.8; ยรม 27.9; ยรม 27.10; ยรม 27.11; ยรม 27.12; ยรม 27.13; ยรม 27.14; ยรม 27.15; ยรม 27.16; ยรม 27.18; ยรม 27.20; ยรม 27.21; ยรม 28.1; ยรม 28.2; ยรม 28.3; ยรม 28.4; ยรม 28.5; ยรม 28.6; ยรม 28.9; ยรม 28.10; ยรม 28.11; ยรม 28.12; ยรม 29.1; ยรม 29.2; ยรม 29.3; ยรม 29.5; ยรม 29.6; ยรม 29.7; ยรม 29.8; ยรม 29.9; ยรม 29.10; ยรม 29.13; ยรม 29.14; ยรม 29.16; ยรม 29.19; ยรม 29.20; ยรม 29.21; ยรม 29.23; ยรม 29.25; ยรม 29.26; ยรม 29.28; ยรม 29.30; ยรม 29.32; ยรม 30.1; ยรม 30.3; ยรม 30.7; ยรม 30.8; ยรม 30.9; ยรม 30.10; ยรม 30.12; ยรม 30.13; ยรม 30.14; ยรม 30.15; ยรม 30.16; ยรม 30.17; ยรม 30.18; ยรม 30.19; ยรม 30.20; ยรม 30.21; ยรม 30.22; ยรม 30.23; ยรม 30.24; ยรม 31.1; ยรม 31.6; ยรม 31.7; ยรม 31.8; ยรม 31.9; ยรม 31.10; ยรม 31.12; ยรม 31.13; ยรม 31.14; ยรม 31.15; ยรม 31.16; ยรม 31.17; ยรม 31.18; ยรม 31.19; ยรม 31.20; ยรม 31.21; ยรม 31.23; ยรม 31.24; ยรม 31.26; ยรม 31.30; ยรม 31.32; ยรม 31.33; ยรม 31.34; ยรม 31.35; ยรม 31.36; ยรม 31.37; ยรม 32.1; ยรม 32.2; ยรม 32.3; ยรม 32.4; ยรม 32.6; ยรม 32.7; ยรม 32.8; ยรม 32.9; ยรม 32.11; ยรม 32.12; ยรม 32.14; ยรม 32.17; ยรม 32.18; ยรม 32.19; ยรม 32.21; ยรม 32.22; ยรม 32.23; ยรม 32.24; ยรม 32.25; ยรม 32.26; ยรม 32.27; ยรม 32.28; ยรม 32.30; ยรม 32.31; ยรม 32.32; ยรม 32.33; ยรม 32.34; ยรม 32.35; ยรม 32.36; ยรม 32.37; ยรม 32.38; ยรม 32.39; ยรม 32.40; ยรม 32.41; ยรม 32.43; ยรม 32.44; ยรม 33.1; ยรม 33.2; ยรม 33.4; ยรม 33.5; ยรม 33.8; ยรม 33.11; ยรม 33.12; ยรม 33.13; ยรม 33.16; ยรม 33.19; ยรม 33.20; ยรม 33.21; ยรม 33.22; ยรม 33.23; ยรม 33.24; ยรม 33.25; ยรม 33.26; ยรม 34.1; ยรม 34.3; ยรม 34.4; ยรม 34.5; ยรม 34.7; ยรม 34.9; ยรม 34.10; ยรม 34.11; ยรม 34.13; ยรม 34.14; ยรม 34.15; ยรม 34.16; ยรม 34.17; ยรม 34.18; ยรม 34.20; ยรม 34.21; ยรม 35.1; ยรม 35.2; ยรม 35.3; ยรม 35.4; ยรม 35.6; ยรม 35.7; ยรม 35.8; ยรม 35.10; ยรม 35.13; ยรม 35.14; ยรม 35.15; ยรม 35.16; ยรม 35.18; ยรม 36.1; ยรม 36.3; ยรม 36.4; ยรม 36.5; ยรม 36.6; ยรม 36.7; ยรม 36.8; ยรม 36.9; ยรม 36.10; ยรม 36.11; ยรม 36.12; ยรม 36.14; ยรม 36.17; ยรม 36.20; ยรม 36.21; ยรม 36.24; ยรม 36.27; ยรม 36.30; ยรม 36.31; ยรม 36.32; ยรม 37.1; ยรม 37.2; ยรม 37.3; ยรม 37.5; ยรม 37.6; ยรม 37.7; ยรม 37.10; ยรม 37.11; ยรม 37.12; ยรม 37.15; ยรม 37.17; ยรม 37.18; ยรม 37.19; ยรม 37.20; ยรม 38.1; ยรม 38.3; ยรม 38.4; ยรม 38.5; ยรม 38.6; ยรม 38.9; ยรม 38.14; ยรม 38.16; ยรม 38.17; ยรม 38.18; ยรม 38.19; ยรม 38.20; ยรม 38.22; ยรม 38.23; ยรม 38.26; ยรม 39.1; ยรม 39.2; ยรม 39.3; ยรม 39.4; ยรม 39.5; ยรม 39.6; ยรม 39.7; ยรม 39.8; ยรม 39.13; ยรม 39.15; ยรม 39.16; ยรม 39.17; ยรม 40.2; ยรม 40.3; ยรม 40.4; ยรม 40.7; ยรม 40.8; ยรม 40.9; ยรม 40.13; ยรม 40.14; ยรม 40.15; ยรม 41.1; ยรม 41.5; ยรม 41.9; ยรม 41.11; ยรม 41.12; ยรม 41.16; ยรม 41.17; ยรม 42.1; ยรม 42.2; ยรม 42.3; ยรม 42.4; ยรม 42.5; ยรม 42.6; ยรม 42.7; ยรม 42.8; ยรม 42.9; ยรม 42.11; ยรม 42.12; ยรม 42.13; ยรม 42.15; ยรม 42.18; ยรม 42.20; ยรม 42.21; ยรม 43.1; ยรม 43.2; ยรม 43.3; ยรม 43.4; ยรม 43.5; ยรม 43.7; ยรม 43.8; ยรม 43.9; ยรม 43.10; ยรม 43.12; ยรม 43.13; ยรม 44.3; ยรม 44.4; ยรม 44.5; ยรม 44.6; ยรม 44.8; ยรม 44.9; ยรม 44.10; ยรม 44.11; ยรม 44.15; ยรม 44.16; ยรม 44.17; ยรม 44.19; ยรม 44.21; ยรม 44.22; ยรม 44.23; ยรม 44.24; ยรม 44.25; ยรม 44.26; ยรม 44.27; ยรม 44.28; ยรม 44.29; ยรม 44.30; ยรม 45.1; ยรม 45.3; ยรม 45.5; ยรม 46.1; ยรม 46.2; ยรม 46.4; ยรม 46.5; ยรม 46.7; ยรม 46.8; ยรม 46.10; ยรม 46.12; ยรม 46.13; ยรม 46.15; ยรม 46.16; ยรม 46.18; ยรม 46.21; ยรม 46.22; ยรม 46.23; ยรม 46.24; ยรม 46.25; ยรม 46.26; ยรม 46.27; ยรม 46.28; ยรม 47.1; ยรม 47.3; ยรม 47.5; ยรม 48.4; ยรม 48.7; ยรม 48.9; ยรม 48.10; ยรม 48.12; ยรม 48.13; ยรม 48.15; ยรม 48.16; ยรม 48.18; ยรม 48.24; ยรม 48.25; ยรม 48.26; ยรม 48.29; ยรม 48.30; ยรม 48.31; ยรม 48.32; ยรม 48.33; ยรม 48.35; ยรม 48.36; ยรม 48.38; ยรม 48.41; ยรม 48.45; ยรม 48.46; ยรม 49.1; ยรม 49.2; ยรม 49.3; ยรม 49.4; ยรม 49.7; ยรม 49.8; ยรม 49.10; ยรม 49.11; ยรม 49.13; ยรม 49.16; ยรม 49.17; ยรม 49.18; ยรม 49.19; ยรม 49.20; ยรม 49.21; ยรม 49.22; ยรม 49.26; ยรม 49.27; ยรม 49.29; ยรม 49.32; ยรม 49.33; ยรม 49.34; ยรม 49.35; ยรม 49.37; ยรม 49.38; ยรม 50.1; ยรม 50.2; ยรม 50.3; ยรม 50.4; ยรม 50.6; ยรม 50.7; ยรม 50.8; ยรม 50.9; ยรม 50.11; ยรม 50.12; ยรม 50.13; ยรม 50.14; ยรม 50.15; ยรม 50.16; ยรม 50.17; ยรม 50.18; ยรม 50.19; ยรม 50.23; ยรม 50.25; ยรม 50.26; ยรม 50.27; ยรม 50.28; ยรม 50.29; ยรม 50.30; ยรม 50.31; ยรม 50.32; ยรม 50.34; ยรม 50.35; ยรม 50.36; ยรม 50.37; ยรม 50.38; ยรม 50.41; ยรม 50.42; ยรม 50.43; ยรม 50.44; ยรม 50.45; ยรม 50.46; ยรม 51.2; ยรม 51.3; ยรม 51.4; ยรม 51.5; ยรม 51.6; ยรม 51.7; ยรม 51.9; ยรม 51.10; ยรม 51.11; ยรม 51.12; ยรม 51.13; ยรม 51.15; ยรม 51.16; ยรม 51.17; ยรม 51.19; ยรม 51.20; ยรม 51.23; ยรม 51.24; ยรม 51.25; ยรม 51.29; ยรม 51.30; ยรม 51.31; ยรม 51.34; ยรม 51.35; ยรม 51.36; ยรม 51.37; ยรม 51.41; ยรม 51.43; ยรม 51.45; ยรม 51.46; ยรม 51.47; ยรม 51.50; ยรม 51.51; ยรม 51.52; ยรม 51.53; ยรม 51.54; ยรม 51.55; ยรม 51.56; ยรม 51.57; ยรม 51.58; ยรม 51.59; ยรม 51.64; ยรม 52.1; ยรม 52.3; ยรม 52.4; ยรม 52.6; ยรม 52.8; ยรม 52.10; ยรม 52.11; ยรม 52.12; ยรม 52.13; ยรม 52.14; ยรม 52.17; ยรม 52.20; ยรม 52.21; ยรม 52.25; ยรม 52.27; ยรม 52.31; ยรม 52.34; พคค 1.2; พคค 1.4; พคค 1.5; พคค 1.6; พคค 1.7; พคค 1.8; พคค 1.9; พคค 1.10; พคค 1.11; พคค 1.13; พคค 1.14; พคค 1.15; พคค 1.16; พคค 1.18; พคค 1.19; พคค 1.20; พคค 1.21; พคค 1.22; พคค 2.1; พคค 2.2; พคค 2.3; พคค 2.4; พคค 2.5; พคค 2.6; พคค 2.7; พคค 2.8; พคค 2.10; พคค 2.11; พคค 2.12; พคค 2.13; พคค 2.14; พคค 2.15; พคค 2.16; พคค 2.17; พคค 2.18; พคค 2.19; พคค 2.20; พคค 2.21; พคค 2.22; พคค 3.1; พคค 3.3; พคค 3.8; พคค 3.9; พคค 3.11; พคค 3.12; พคค 3.13; พคค 3.17; พคค 3.19; พคค 3.20; พคค 3.22; พคค 3.23; พคค 3.24; พคค 3.32; พคค 3.33; พคค 3.35; พคค 3.36; พคค 3.38; พคค 3.39; พคค 3.40; พคค 3.41; พคค 3.44; พคค 3.46; พคค 3.48; พคค 3.49; พคค 3.51; พคค 3.53; พคค 3.54; พคค 3.55; พคค 3.56; พคค 3.58; พคค 3.59; พคค 3.60; พคค 3.62; พคค 3.64; พคค 3.65; พคค 3.66; พคค 4.2; พคค 4.3; พคค 4.4; พคค 4.6; พคค 4.7; พคค 4.8; พคค 4.10; พคค 4.11; พคค 4.13; พคค 4.14; พคค 4.15; พคค 4.16; พคค 4.17; พคค 4.18; พคค 4.20; พคค 4.22; พคค 5.1; พคค 5.2; พคค 5.3; พคค 5.7; พคค 5.8; พคค 5.10; พคค 5.15; พคค 5.19; พคค 5.21; อสค 1.3; อสค 1.5; อสค 1.7; อสค 1.9; อสค 1.10; อสค 1.11; อสค 1.13; อสค 1.16; อสค 1.17; อสค 1.20; อสค 1.21; อสค 1.22; อสค 1.24; อสค 1.25; อสค 1.26; อสค 1.27; อสค 1.28; อสค 2.3; อสค 2.6; อสค 2.7; อสค 3.3; อสค 3.4; อสค 3.8; อสค 3.9; อสค 3.10; อสค 3.11; อสค 3.12; อสค 3.14; อสค 3.17; อสค 3.18; อสค 3.19; อสค 3.20; อสค 3.21; อสค 3.23; อสค 3.24; อสค 3.26; อสค 4.4; อสค 4.5; อสค 4.6; อสค 4.8; อสค 4.11; อสค 4.12; อสค 4.13; อสค 4.14; อสค 4.15; อสค 4.17; อสค 5.1; อสค 5.3; อสค 5.6; อสค 5.7; อสค 5.8; อสค 5.9; อสค 5.10; อสค 5.11; อสค 5.13; อสค 5.14; อสค 5.15; อสค 5.16; อสค 5.17; อสค 6.1; อสค 6.2; อสค 6.3; อสค 6.4; อสค 6.5; อสค 6.6; อสค 6.9; อสค 6.11; อสค 6.12; อสค 6.13; อสค 6.14; อสค 7.1; อสค 7.2; อสค 7.3; อสค 7.4; อสค 7.8; อสค 7.9; อสค 7.11; อสค 7.12; อสค 7.13; อสค 7.14; อสค 7.16; อสค 7.18; อสค 7.19; อสค 7.20; อสค 7.21; อสค 7.22; อสค 7.24; อสค 7.27; อสค 8.1; อสค 8.2; อสค 8.3; อสค 8.4; อสค 8.5; อสค 8.6; อสค 8.10; อสค 8.12; อสค 8.14; อสค 8.16; อสค 8.17; อสค 8.18; อสค 9.3; อสค 9.4; อสค 9.5; อสค 9.6; อสค 9.8; อสค 9.9; อสค 9.10; อสค 10.1; อสค 10.2; อสค 10.3; อสค 10.4; อสค 10.5; อสค 10.7; อสค 10.9; อสค 10.12; อสค 10.17; อสค 10.18; อสค 10.19; อสค 10.22; อสค 11.1; อสค 11.5; อสค 11.9; อสค 11.11; อสค 11.12; อสค 11.14; อสค 11.15; อสค 11.18; อสค 11.19; อสค 11.20; อสค 11.21; อสค 11.22; อสค 11.23; อสค 11.24; อสค 12.1; อสค 12.3; อสค 12.4; อสค 12.5; อสค 12.6; อสค 12.7; อสค 12.8; อสค 12.12; อสค 12.13; อสค 12.14; อสค 12.16; อสค 12.17; อสค 12.18; อสค 12.19; อสค 12.21; อสค 12.25; อสค 12.26; อสค 12.27; อสค 12.28; อสค 13.1; อสค 13.2; อสค 13.3; อสค 13.4; อสค 13.6; อสค 13.9; อสค 13.10; อสค 13.13; อสค 13.15; อสค 13.16; อสค 13.17; อสค 13.18; อสค 13.19; อสค 13.20; อสค 13.21; อสค 13.22; อสค 13.23; อสค 14.1; อสค 14.2; อสค 14.3; อสค 14.4; อสค 14.5; อสค 14.6; อสค 14.7; อสค 14.8; อสค 14.9; อสค 14.10; อสค 14.11; อสค 14.12; อสค 14.13; อสค 14.14; อสค 14.19; อสค 14.20; อสค 14.21; อสค 14.22; อสค 14.23; อสค 15.1; อสค 15.7; อสค 16.1; อสค 16.2; อสค 16.3; อสค 16.4; อสค 16.6; อสค 16.7; อสค 16.8; อสค 16.10; อสค 16.12; อสค 16.13; อสค 16.14; อสค 16.15; อสค 16.16; อสค 16.17; อสค 16.18; อสค 16.20; อสค 16.21; อสค 16.22; อสค 16.23; อสค 16.25; อสค 16.26; อสค 16.27; อสค 16.29; อสค 16.30; อสค 16.31; อสค 16.33; อสค 16.34; อสค 16.35; อสค 16.36; อสค 16.37; อสค 16.39; อสค 16.40; อสค 16.41; อสค 16.42; อสค 16.43; อสค 16.45; อสค 16.46; อสค 16.47; อสค 16.48; อสค 16.49; อสค 16.51; อสค 16.52; อสค 16.53; อสค 16.54; อสค 16.55; อสค 16.56; อสค 16.57; อสค 16.58; อสค 16.60; อสค 16.61; อสค 16.62; อสค 16.63; อสค 17.1; อสค 17.4; อสค 17.6; อสค 17.9; อสค 17.11; อสค 17.13; อสค 17.14; อสค 17.19; อสค 17.20; อสค 17.21; อสค 17.22; อสค 17.23; อสค 18.1; อสค 18.4; อสค 18.6; อสค 18.7; อสค 18.9; อสค 18.11; อสค 18.12; อสค 18.13; อสค 18.14; อสค 18.15; อสค 18.17; อสค 18.18; อสค 18.19; อสค 18.20; อสค 18.21; อสค 18.23; อสค 18.24; อสค 18.25; อสค 18.26; อสค 18.27; อสค 18.29; อสค 18.30; อสค 18.32; อสค 19.2; อสค 19.4; อสค 19.5; อสค 19.7; อสค 19.8; อสค 19.9; อสค 19.10; อสค 19.11; อสค 19.12; อสค 20.2; อสค 20.4; อสค 20.5; อสค 20.7; อสค 20.8; อสค 20.9; อสค 20.11; อสค 20.12; อสค 20.13; อสค 20.14; อสค 20.16; อสค 20.17; อสค 20.18; อสค 20.19; อสค 20.20; อสค 20.21; อสค 20.22; อสค 20.24; อสค 20.26; อสค 20.27; อสค 20.30; อสค 20.31; อสค 20.32; อสค 20.36; อสค 20.39; อสค 20.40; อสค 20.41; อสค 20.42; อสค 20.43; อสค 20.44; อสค 20.45; อสค 20.47; อสค 21.1; อสค 21.2; อสค 21.3; อสค 21.4; อสค 21.5; อสค 21.8; อสค 21.10; อสค 21.11; อสค 21.12; อสค 21.14; อสค 21.15; อสค 21.16; อสค 21.17; อสค 21.18; อสค 21.23; อสค 21.24; อสค 21.28; อสค 21.29; อสค 21.30; อสค 21.31; อสค 21.32; อสค 22.1; อสค 22.2; อสค 22.3; อสค 22.4; อสค 22.6; อสค 22.8; อสค 22.10; อสค 22.11; อสค 22.12; อสค 22.13; อสค 22.14; อสค 22.16; อสค 22.17; อสค 22.20; อสค 22.21; อสค 22.22; อสค 22.23; อสค 22.26; อสค 22.28; อสค 22.31; อสค 23.1; อสค 23.3; อสค 23.4; อสค 23.5; อสค 23.7; อสค 23.8; อสค 23.9; อสค 23.10; อสค 23.11; อสค 23.12; อสค 23.15; อสค 23.17; อสค 23.18; อสค 23.19; อสค 23.20; อสค 23.21; อสค 23.24; อสค 23.25; อสค 23.26; อสค 23.28; อสค 23.29; อสค 23.30; อสค 23.31; อสค 23.32; อสค 23.33; อสค 23.34; อสค 23.35; อสค 23.36; อสค 23.37; อสค 23.38; อสค 23.39; อสค 23.40; อสค 23.41; อสค 23.42; อสค 23.45; อสค 23.47; อสค 23.49; อสค 24.1; อสค 24.2; อสค 24.11; อสค 24.12; อสค 24.13; อสค 24.14; อสค 24.15; อสค 24.16; อสค 24.17; อสค 24.18; อสค 24.20; อสค 24.21; อสค 24.22; อสค 24.23; อสค 24.25; อสค 24.27; อสค 25.1; อสค 25.2; อสค 25.3; อสค 25.4; อสค 25.5; อสค 25.7; อสค 25.9; อสค 25.12; อสค 25.13; อสค 25.14; อสค 25.16; อสค 25.17; อสค 26.1; อสค 26.2; อสค 26.3; อสค 26.4; อสค 26.6; อสค 26.8; อสค 26.9; อสค 26.10; อสค 26.11; อสค 26.12; อสค 26.13; อสค 26.14; อสค 26.17; อสค 26.20; อสค 27.1; อสค 27.4; อสค 27.5; อสค 27.6; อสค 27.7; อสค 27.8; อสค 27.9; อสค 27.10; อสค 27.11; อสค 27.12; อสค 27.13; อสค 27.14; อสค 27.15; อสค 27.16; อสค 27.17; อสค 27.18; อสค 27.19; อสค 27.21; อสค 27.22; อสค 27.23; อสค 27.24; อสค 27.25; อสค 27.26; อสค 27.27; อสค 27.28; อสค 27.29; อสค 27.30; อสค 27.33; อสค 27.34; อสค 27.35; อสค 28.1; อสค 28.2; อสค 28.4; อสค 28.5; อสค 28.6; อสค 28.7; อสค 28.9; อสค 28.10; อสค 28.11; อสค 28.13; อสค 28.15; อสค 28.16; อสค 28.17; อสค 28.18; อสค 28.20; อสค 28.22; อสค 28.23; อสค 28.25; อสค 28.26; อสค 29.1; อสค 29.2; อสค 29.3; อสค 29.4; อสค 29.5; อสค 29.6; อสค 29.7; อสค 29.9; อสค 29.10; อสค 29.12; อสค 29.14; อสค 29.16; อสค 29.17; อสค 29.18; อสค 29.19; อสค 30.1; อสค 30.3; อสค 30.4; อสค 30.6; อสค 30.7; อสค 30.8; อสค 30.9; อสค 30.10; อสค 30.11; อสค 30.12; อสค 30.15; อสค 30.17; อสค 30.18; อสค 30.20; อสค 30.21; อสค 30.22; อสค 30.24; อสค 30.25; อสค 31.1; อสค 31.2; อสค 31.4; อสค 31.6; อสค 31.7; อสค 31.8; อสค 31.9; อสค 31.10; อสค 31.11; อสค 31.12; อสค 31.13; อสค 31.14; อสค 31.15; อสค 31.16; อสค 31.17; อสค 31.18; อสค 32.1; อสค 32.2; อสค 32.3; อสค 32.5; อสค 32.6; อสค 32.8; อสค 32.9; อสค 32.10; อสค 32.11; อสค 32.12; อสค 32.13; อสค 32.14; อสค 32.16; อสค 32.17; อสค 32.18; อสค 32.20; อสค 32.21; อสค 32.23; อสค 32.24; อสค 32.25; อสค 32.26; อสค 32.27; อสค 32.29; อสค 32.30; อสค 32.31; อสค 32.32; อสค 33.1; อสค 33.2; อสค 33.4; อสค 33.5; อสค 33.6; อสค 33.7; อสค 33.8; อสค 33.9; อสค 33.10; อสค 33.11; อสค 33.12; อสค 33.13; อสค 33.14; อสค 33.15; อสค 33.17; อสค 33.18; อสค 33.19; อสค 33.20; อสค 33.22; อสค 33.23; อสค 33.25; อสค 33.26; อสค 33.28; อสค 33.29; อสค 33.30; อสค 33.31; อสค 33.32; อสค 34.1; อสค 34.3; อสค 34.5; อสค 34.6; อสค 34.7; อสค 34.8; อสค 34.9; อสค 34.10; อสค 34.11; อสค 34.12; อสค 34.13; อสค 34.14; อสค 34.15; อสค 34.17; อสค 34.18; อสค 34.19; อสค 34.21; อสค 34.22; อสค 34.23; อสค 34.24; อสค 34.26; อสค 34.27; อสค 34.28; อสค 34.30; อสค 34.31; อสค 35.1; อสค 35.2; อสค 35.3; อสค 35.4; อสค 35.5; อสค 35.8; อสค 35.9; อสค 35.10; อสค 35.11; อสค 35.12; อสค 35.13; อสค 36.1; อสค 36.2; อสค 36.3; อสค 36.4; อสค 36.5; อสค 36.6; อสค 36.8; อสค 36.12; อสค 36.13; อสค 36.14; อสค 36.15; อสค 36.16; อสค 36.17; อสค 36.18; อสค 36.19; อสค 36.20; อสค 36.21; อสค 36.22; อสค 36.23; อสค 36.24; อสค 36.25; อสค 36.26; อสค 36.27; อสค 36.28; อสค 36.29; อสค 36.30; อสค 36.31; อสค 36.32; อสค 36.33; อสค 36.34; อสค 36.38; อสค 37.1; อสค 37.4; อสค 37.7; อสค 37.11; อสค 37.12; อสค 37.13; อสค 37.14; อสค 37.15; อสค 37.16; อสค 37.17; อสค 37.18; อสค 37.19; อสค 37.20; อสค 37.21; อสค 37.23; อสค 37.24; อสค 37.25; อสค 37.26; อสค 37.27; อสค 37.28; อสค 38.1; อสค 38.2; อสค 38.4; อสค 38.6; อสค 38.8; อสค 38.9; อสค 38.10; อสค 38.12; อสค 38.13; อสค 38.14; อสค 38.15; อสค 38.16; อสค 38.17; อสค 38.18; อสค 38.19; อสค 38.21; อสค 38.22; อสค 38.23; อสค 39.3; อสค 39.4; อสค 39.7; อสค 39.11; อสค 39.13; อสค 39.18; อสค 39.20; อสค 39.21; อสค 39.22; อสค 39.23; อสค 39.24; อสค 39.25; อสค 39.26; อสค 39.27; อสค 39.28; อสค 39.29; อสค 40.1; อสค 40.3; อสค 40.4; อสค 40.5; อสค 40.8; อสค 40.9; อสค 40.10; อสค 40.11; อสค 40.13; อสค 40.15; อสค 40.18; อสค 40.20; อสค 40.22; อสค 40.27; อสค 40.29; อสค 40.33; อสค 40.34; อสค 40.36; อสค 40.37; อสค 40.38; อสค 40.39; อสค 40.40; อสค 40.43; อสค 40.46; อสค 40.48; อสค 41.1; อสค 41.2; อสค 41.3; อสค 41.4; อสค 41.7; อสค 41.8; อสค 41.9; อสค 41.11; อสค 41.12; อสค 41.14; อสค 41.15; อสค 41.19; อสค 41.21; อสค 41.22; อสค 41.25; อสค 42.2; อสค 42.3; อสค 43.2; อสค 43.3; อสค 43.4; อสค 43.5; อสค 43.7; อสค 43.8; อสค 43.9; อสค 43.10; อสค 43.11; อสค 43.12; อสค 43.13; อสค 43.15; อสค 43.18; อสค 43.20; อสค 43.21; อสค 43.27; อสค 44.1; อสค 44.3; อสค 44.4; อสค 44.5; อสค 44.6; อสค 44.7; อสค 44.8; อสค 44.9; อสค 44.10; อสค 44.11; อสค 44.12; อสค 44.13; อสค 44.15; อสค 44.16; อสค 44.19; อสค 44.20; อสค 44.22; อสค 44.23; อสค 44.24; อสค 44.28; อสค 44.29; อสค 44.30; อสค 45.3; อสค 45.4; อสค 45.5; อสค 45.6; อสค 45.7; อสค 45.8; อสค 45.9; อสค 45.11; อสค 45.12; อสค 45.13; อสค 45.14; อสค 45.15; อสค 45.17; อสค 45.18; อสค 45.19; อสค 45.20; อสค 45.21; อสค 45.25; อสค 46.2; อสค 46.8; อสค 46.12; อสค 46.14; อสค 46.16; อสค 46.17; อสค 46.18; อสค 46.19; อสค 46.21; อสค 46.22; อสค 46.23; อสค 46.24; อสค 47.1; อสค 47.12; อสค 47.14; อสค 47.15; อสค 47.17; อสค 47.22; อสค 47.23; อสค 48.1; อสค 48.2; อสค 48.3; อสค 48.4; อสค 48.5; อสค 48.6; อสค 48.7; อสค 48.8; อสค 48.10; อสค 48.11; อสค 48.12; อสค 48.13; อสค 48.14; อสค 48.15; อสค 48.16; อสค 48.18; อสค 48.19; อสค 48.20; อสค 48.21; อสค 48.22; อสค 48.23; อสค 48.24; อสค 48.25; อสค 48.26; อสค 48.27; อสค 48.28; อสค 48.29; อสค 48.30; อสค 48.31; อสค 48.32; อสค 48.33; อสค 48.34; ดนล 1.1; ดนล 1.2; ดนล 1.3; ดนล 1.4; ดนล 1.8; ดนล 1.10; ดนล 1.12; ดนล 1.13; ดนล 1.15; ดนล 1.16; ดนล 1.20; ดนล 2.1; ดนล 2.3; ดนล 2.4; ดนล 2.5; ดนล 2.7; ดนล 2.12; ดนล 2.14; ดนล 2.15; ดนล 2.17; ดนล 2.18; ดนล 2.20; ดนล 2.23; ดนล 2.28; ดนล 2.30; ดนล 2.32; ดนล 2.38; ดนล 2.41; ดนล 2.43; ดนล 2.44; ดนล 2.47; ดนล 2.48; ดนล 3.2; ดนล 3.3; ดนล 3.12; ดนล 3.14; ดนล 3.15; ดนล 3.17; ดนล 3.18; ดนล 3.19; ดนล 3.22; ดนล 3.24; ดนล 3.25; ดนล 3.26; ดนล 3.27; ดนล 3.28; ดนล 3.29; ดนล 4.3; ดนล 4.4; ดนล 4.5; ดนล 4.8; ดนล 4.9; ดนล 4.10; ดนล 4.11; ดนล 4.12; ดนล 4.13; ดนล 4.14; ดนล 4.16; ดนล 4.17; ดนล 4.18; ดนล 4.19; ดนล 4.21; ดนล 4.22; ดนล 4.24; ดนล 4.25; ดนล 4.26; ดนล 4.27; ดนล 4.30; ดนล 4.32; ดนล 4.34; ดนล 4.35; ดนล 4.36; ดนล 4.37; ดนล 5.2; ดนล 5.3; ดนล 5.5; ดนล 5.6; ดนล 5.7; ดนล 5.8; ดนล 5.9; ดนล 5.10; ดนล 5.11; ดนล 5.13; ดนล 5.14; ดนล 5.15; ดนล 5.17; ดนล 5.18; ดนล 5.20; ดนล 5.21; ดนล 5.23; ดนล 5.26; ดนล 5.28; ดนล 5.29; ดนล 6.5; ดนล 6.8; ดนล 6.10; ดนล 6.11; ดนล 6.12; ดนล 6.15; ดนล 6.16; ดนล 6.17; ดนล 6.20; ดนล 6.22; ดนล 6.23; ดนล 6.24; ดนล 6.26; ดนล 6.27; ดนล 6.28; ดนล 7.1; ดนล 7.2; ดนล 7.4; ดนล 7.5; ดนล 7.9; ดนล 7.11; ดนล 7.12; ดนล 7.14; ดนล 7.15; ดนล 7.16; ดนล 7.20; ดนล 7.22; ดนล 7.25; ดนล 7.26; ดนล 7.27; ดนล 7.28; ดนล 8.4; ดนล 8.5; ดนล 8.6; ดนล 8.7; ดนล 8.8; ดนล 8.11; ดนล 8.16; ดนล 8.17; ดนล 8.20; ดนล 8.21; ดนล 8.23; ดนล 8.24; ดนล 8.25; ดนล 8.26; ดนล 8.27; ดนล 9.2; ดนล 9.4; ดนล 9.5; ดนล 9.6; ดนล 9.7; ดนล 9.8; ดนล 9.9; ดนล 9.10; ดนล 9.11; ดนล 9.12; ดนล 9.13; ดนล 9.14; ดนล 9.15; ดนล 9.16; ดนล 9.17; ดนล 9.18; ดนล 9.19; ดนล 9.20; ดนล 9.23; ดนล 9.24; ดนล 9.26; ดนล 10.6; ดนล 10.8; ดนล 10.9; ดนล 10.12; ดนล 10.13; ดนล 10.14; ดนล 10.16; ดนล 10.17; ดนล 10.19; ดนล 10.21; ดนล 11.2; ดนล 11.3; ดนล 11.4; ดนล 11.5; ดนล 11.6; ดนล 11.7; ดนล 11.8; ดนล 11.9; ดนล 11.10; ดนล 11.11; ดนล 11.12; ดนล 11.14; ดนล 11.15; ดนล 11.16; ดนล 11.17; ดนล 11.18; ดนล 11.19; ดนล 11.20; ดนล 11.22; ดนล 11.24; ดนล 11.25; ดนล 11.26; ดนล 11.27; ดนล 11.30; ดนล 11.32; ดนล 11.36; ดนล 11.37; ดนล 11.38; ดนล 11.41; ดนล 11.42; ดนล 11.43; ดนล 11.45; ดนล 12.1; ดนล 12.6; ดนล 12.7; ฮชย 1.1; ฮชย 1.4; ฮชย 1.5; ฮชย 1.7; ฮชย 1.9; ฮชย 1.10; ฮชย 1.11; ฮชย 2.1; ฮชย 2.2; ฮชย 2.3; ฮชย 2.4; ฮชย 2.5; ฮชย 2.6; ฮชย 2.7; ฮชย 2.9; ฮชย 2.10; ฮชย 2.11; ฮชย 2.12; ฮชย 2.13; ฮชย 2.16; ฮชย 2.17; ฮชย 2.23; ฮชย 3.1; ฮชย 3.3; ฮชย 3.5; ฮชย 4.1; ฮชย 4.4; ฮชย 4.5; ฮชย 4.6; ฮชย 4.7; ฮชย 4.8; ฮชย 4.9; ฮชย 4.12; ฮชย 4.13; ฮชย 4.14; ฮชย 4.18; ฮชย 4.19; ฮชย 5.4; ฮชย 5.5; ฮชย 5.7; ฮชย 5.9; ฮชย 5.10; ฮชย 5.13; ฮชย 5.14; ฮชย 5.15; ฮชย 6.2; ฮชย 6.4; ฮชย 6.5; ฮชย 6.8; ฮชย 6.10; ฮชย 6.11; ฮชย 7.1; ฮชย 7.2; ฮชย 7.3; ฮชย 7.5; ฮชย 7.6; ฮชย 7.7; ฮชย 7.9; ฮชย 7.10; ฮชย 7.12; ฮชย 7.14; ฮชย 7.16; ฮชย 8.1; ฮชย 8.2; ฮชย 8.4; ฮชย 8.5; ฮชย 8.6; ฮชย 8.10; ฮชย 8.12; ฮชย 8.13; ฮชย 8.14; ฮชย 9.1; ฮชย 9.3; ฮชย 9.4; ฮชย 9.5; ฮชย 9.6; ฮชย 9.7; ฮชย 9.8; ฮชย 9.9; ฮชย 9.10; ฮชย 9.11; ฮชย 9.13; ฮชย 9.15; ฮชย 9.16; ฮชย 9.17; ฮชย 10.1; ฮชย 10.2; ฮชย 10.5; ฮชย 10.6; ฮชย 10.7; ฮชย 10.8; ฮชย 10.10; ฮชย 10.11; ฮชย 10.12; ฮชย 10.13; ฮชย 10.14; ฮชย 10.15; ฮชย 11.1; ฮชย 11.4; ฮชย 11.5; ฮชย 11.6; ฮชย 11.7; ฮชย 11.8; ฮชย 11.10; ฮชย 11.11; ฮชย 12.2; ฮชย 12.3; ฮชย 12.5; ฮชย 12.6; ฮชย 12.7; ฮชย 12.8; ฮชย 12.9; ฮชย 12.10; ฮชย 12.11; ฮชย 12.14; ฮชย 13.2; ฮชย 13.4; ฮชย 13.6; ฮชย 13.8; ฮชย 13.10; ฮชย 13.11; ฮชย 13.12; ฮชย 13.14; ฮชย 13.15; ฮชย 13.16; ฮชย 14.1; ฮชย 14.2; ฮชย 14.3; ฮชย 14.4; ฮชย 14.6; ฮชย 14.7; ฮชย 14.8; ฮชย 14.9; ยอล 1.1; ยอล 1.2; ยอล 1.3; ยอล 1.5; ยอล 1.6; ยอล 1.7; ยอล 1.8; ยอล 1.9; ยอล 1.11; ยอล 1.12; ยอล 1.13; ยอล 1.14; ยอล 1.16; ยอล 2.1; ยอล 2.4; ยอล 2.5; ยอล 2.7; ยอล 2.8; ยอล 2.11; ยอล 2.13; ยอล 2.14; ยอล 2.16; ยอล 2.17; ยอล 2.18; ยอล 2.19; ยอล 2.20; ยอล 2.23; ยอล 2.25; ยอล 2.26; ยอล 2.27; ยอล 2.28; ยอล 2.29; ยอล 2.32; ยอล 3.2; ยอล 3.3; ยอล 3.4; ยอล 3.5; ยอล 3.6; ยอล 3.7; ยอล 3.8; ยอล 3.10; ยอล 3.11; ยอล 3.13; ยอล 3.16; ยอล 3.17; ยอล 3.18; ยอล 3.19; ยอล 3.21; อมส 1.1; อมส 1.2; อมส 1.3; อมส 1.4; อมส 1.5; อมส 1.6; อมส 1.7; อมส 1.8; อมส 1.9; อมส 1.10; อมส 1.11; อมส 1.12; อมส 1.13; อมส 1.14; อมส 1.15; อมส 2.1; อมส 2.2; อมส 2.3; อมส 2.4; อมส 2.5; อมส 2.6; อมส 2.7; อมส 2.8; อมส 2.9; อมส 2.10; อมส 2.11; อมส 2.14; อมส 3.2; อมส 3.4; อมส 3.7; อมส 3.10; อมส 3.11; อมส 3.12; อมส 3.13; อมส 3.14; อมส 4.1; อมส 4.2; อมส 4.4; อมส 4.6; อมส 4.9; อมส 4.10; อมส 4.12; อมส 4.13; อมส 5.2; อมส 5.3; อมส 5.8; อมส 5.12; อมส 5.21; อมส 5.22; อมส 5.23; อมส 5.26; อมส 6.2; อมส 6.6; อมส 6.7; อมส 6.8; อมส 6.10; อมส 6.12; อมส 6.13; อมส 7.8; อมส 7.9; อมส 7.10; อมส 7.11; อมส 7.13; อมส 7.14; อมส 7.15; อมส 7.16; อมส 7.17; อมส 8.2; อมส 8.5; อมส 8.7; อมส 8.10; อมส 8.11; อมส 8.12; อมส 8.14; อมส 9.1; อมส 9.2; อมส 9.4; อมส 9.6; อมส 9.8; อมส 9.10; อมส 9.11; อมส 9.12; อมส 9.14; อมส 9.15; อบด 1.1; อบด 1.3; อบด 1.4; อบด 1.5; อบด 1.6; อบด 1.7; อบด 1.9; อบด 1.10; อบด 1.11; อบด 1.12; อบด 1.13; อบด 1.14; อบด 1.15; อบด 1.16; อบด 1.17; อบด 1.18; อบด 1.20; อบด 1.21; ยนา 1.1; ยนา 1.2; ยนา 1.5; ยนา 1.6; ยนา 1.8; ยนา 1.14; ยนา 2.1; ยนา 2.2; ยนา 2.3; ยนา 2.4; ยนา 2.6; ยนา 2.7; ยนา 2.9; ยนา 3.1; ยนา 3.3; ยนา 3.10; ยนา 4.2; ยนา 4.3; ยนา 4.5; ยนา 4.6; ยนา 4.8; มคา 1.1; มคา 1.2; มคา 1.3; มคา 1.5; มคา 1.6; มคา 1.7; มคา 1.9; มคา 1.11; มคา 1.13; มคา 1.14; มคา 1.15; มคา 1.16; มคา 2.1; มคา 2.2; มคา 2.3; มคา 2.4; มคา 2.7; มคา 2.8; มคา 2.9; มคา 2.10; มคา 2.11; มคา 2.13; มคา 3.1; มคา 3.2; มคา 3.3; มคา 3.5; มคา 3.8; มคา 3.9; มคา 3.11; มคา 4.1; มคา 4.2; มคา 4.3; มคา 4.4; มคา 4.5; มคา 4.9; มคา 4.10; มคา 4.11; มคา 4.12; มคา 4.13; มคา 5.1; มคา 5.2; มคา 5.4; มคา 5.5; มคา 5.6; มคา 5.7; มคา 5.9; มคา 5.10; มคา 5.11; มคา 5.12; มคา 5.13; มคา 5.14; มคา 6.1; มคา 6.2; มคา 6.3; มคา 6.5; มคา 6.7; มคา 6.8; มคา 6.9; มคา 6.10; มคา 6.12; มคา 6.13; มคา 6.14; มคา 6.16; มคา 7.2; มคา 7.3; มคา 7.4; มคา 7.5; มคา 7.6; มคา 7.7; มคา 7.8; มคา 7.9; มคา 7.10; มคา 7.11; มคา 7.13; มคา 7.14; มคา 7.16; มคา 7.17; มคา 7.18; มคา 7.19; มคา 7.20; นฮม 1.1; นฮม 1.2; นฮม 1.3; นฮม 1.4; นฮม 1.6; นฮม 1.8; นฮม 1.13; นฮม 1.14; นฮม 1.15; นฮม 2.2; นฮม 2.3; นฮม 2.7; นฮม 2.9; นฮม 2.11; นฮม 2.12; นฮม 2.13; นฮม 3.2; นฮม 3.4; นฮม 3.5; นฮม 3.9; นฮม 3.10; นฮม 3.12; นฮม 3.13; นฮม 3.14; นฮม 3.17; นฮม 3.18; นฮม 3.19; ฮบก 1.5; ฮบก 1.6; ฮบก 1.7; ฮบก 1.8; ฮบก 1.11; ฮบก 1.12; ฮบก 1.13; ฮบก 1.15; ฮบก 1.16; ฮบก 1.17; ฮบก 2.5; ฮบก 2.6; ฮบก 2.7; ฮบก 2.9; ฮบก 2.10; ฮบก 2.14; ฮบก 2.15; ฮบก 2.16; ฮบก 2.17; ฮบก 2.20; ฮบก 3.1; ฮบก 3.2; ฮบก 3.3; ฮบก 3.4; ฮบก 3.5; ฮบก 3.6; ฮบก 3.7; ฮบก 3.9; ฮบก 3.10; ฮบก 3.11; ฮบก 3.13; ฮบก 3.14; ฮบก 3.15; ฮบก 3.16; ฮบก 3.18; ฮบก 3.19; ศฟย 1.1; ศฟย 1.4; ศฟย 1.7; ศฟย 1.8; ศฟย 1.9; ศฟย 1.12; ศฟย 1.13; ศฟย 1.14; ศฟย 1.17; ศฟย 1.18; ศฟย 2.2; ศฟย 2.3; ศฟย 2.5; ศฟย 2.7; ศฟย 2.8; ศฟย 2.9; ศฟย 2.10; ศฟย 2.11; ศฟย 2.12; ศฟย 2.13; ศฟย 2.14; ศฟย 2.15; ศฟย 3.2; ศฟย 3.3; ศฟย 3.4; ศฟย 3.5; ศฟย 3.6; ศฟย 3.7; ศฟย 3.8; ศฟย 3.10; ศฟย 3.11; ศฟย 3.13; ศฟย 3.14; ศฟย 3.15; ศฟย 3.16; ศฟย 3.17; ศฟย 3.19; ศฟย 3.20; ฮกก 1.1; ฮกก 1.2; ฮกก 1.3; ฮกก 1.9; ฮกก 1.10; ฮกก 1.12; ฮกก 1.13; ฮกก 1.14; ฮกก 1.15; ฮกก 2.1; ฮกก 2.5; ฮกก 2.7; ฮกก 2.8; ฮกก 2.9; ฮกก 2.10; ฮกก 2.14; ฮกก 2.15; ฮกก 2.17; ฮกก 2.18; ฮกก 2.20; ฮกก 2.22; ฮกก 2.23; ศคย 1.1; ศคย 1.2; ศคย 1.4; ศคย 1.5; ศคย 1.6; ศคย 1.7; ศคย 1.11; ศคย 1.12; ศคย 1.16; ศคย 1.17; ศคย 1.21; ศคย 2.6; ศคย 2.7; ศคย 2.8; ศคย 2.9; ศคย 2.11; ศคย 2.12; ศคย 2.13; ศคย 3.1; ศคย 3.5; ศคย 3.6; ศคย 3.7; ศคย 3.8; ศคย 3.9; ศคย 3.10; ศคย 4.1; ศคย 4.6; ศคย 4.8; ศคย 4.9; ศคย 4.10; ศคย 4.11; ศคย 4.12; ศคย 5.4; ศคย 5.9; ศคย 5.11; ศคย 6.5; ศคย 6.8; ศคย 6.9; ศคย 6.10; ศคย 6.11; ศคย 6.12; ศคย 6.13; ศคย 6.14; ศคย 6.15; ศคย 7.1; ศคย 7.2; ศคย 7.4; ศคย 7.8; ศคย 7.9; ศคย 7.10; ศคย 7.11; ศคย 7.12; ศคย 8.1; ศคย 8.3; ศคย 8.6; ศคย 8.7; ศคย 8.8; ศคย 8.9; ศคย 8.10; ศคย 8.13; ศคย 8.14; ศคย 8.16; ศคย 8.18; ศคย 8.23; ศคย 9.1; ศคย 9.4; ศคย 9.5; ศคย 9.6; ศคย 9.7; ศคย 9.8; ศคย 9.9; ศคย 9.10; ศคย 9.11; ศคย 9.12; ศคย 9.13; ศคย 9.14; ศคย 9.16; ศคย 9.17; ศคย 10.3; ศคย 10.6; ศคย 10.7; ศคย 10.9; ศคย 10.11; ศคย 10.12; ศคย 11.1; ศคย 11.3; ศคย 11.4; ศคย 11.5; ศคย 11.6; ศคย 11.11; ศคย 11.13; ศคย 11.15; ศคย 11.16; ศคย 11.17; ศคย 12.1; ศคย 12.4; ศคย 12.5; ศคย 12.7; ศคย 12.8; ศคย 12.10; ศคย 12.12; ศคย 12.13; ศคย 12.14; ศคย 13.1; ศคย 13.2; ศคย 13.3; ศคย 13.4; ศคย 13.6; ศคย 13.7; ศคย 13.9; ศคย 14.4; ศคย 14.5; ศคย 14.9; ศคย 14.10; ศคย 14.12; ศคย 14.13; ศคย 14.14; ศคย 14.20; ศคย 14.21; มลค 1.1; มลค 1.2; มลค 1.3; มลค 1.5; มลค 1.6; มลค 1.7; มลค 1.8; มลค 1.9; มลค 1.10; มลค 1.11; มลค 1.12; มลค 1.13; มลค 1.14; มลค 2.2; มลค 2.3; มลค 2.4; มลค 2.5; มลค 2.6; มลค 2.7; มลค 2.8; มลค 2.9; มลค 2.10; มลค 2.11; มลค 2.12; มลค 2.13; มลค 2.14; มลค 2.15; มลค 2.16; มลค 2.17; มลค 3.1; มลค 3.2; มลค 3.3; มลค 3.4; มลค 3.5; มลค 3.7; มลค 3.10; มลค 3.11; มลค 3.13; มลค 3.14; มลค 3.16; มลค 3.17; มลค 4.2; มลค 4.3; มลค 4.4; มลค 4.6; มธ 1.1; มธ 1.2; มธ 1.6; มธ 1.11; มธ 1.16; มธ 1.18; มธ 1.19; มธ 1.20; มธ 1.21; มธ 1.22; มธ 1.23; มธ 1.24; มธ 1.25; มธ 2.1; มธ 2.2; มธ 2.4; มธ 2.6; มธ 2.11; มธ 2.12; มธ 2.13; มธ 2.15; มธ 2.18; มธ 2.19; มธ 2.20; มธ 3.3; มธ 3.4; มธ 3.6; มธ 3.8; มธ 3.11; มธ 3.12; มธ 3.16; มธ 3.17; มธ 4.3; มธ 4.4; มธ 4.6; มธ 4.7; มธ 4.8; มธ 4.10; มธ 4.18; มธ 4.21; มธ 4.22; มธ 4.23; มธ 4.24; มธ 5.1; มธ 5.3; มธ 5.9; มธ 5.10; มธ 5.12; มธ 5.14; มธ 5.16; มธ 5.17; มธ 5.20; มธ 5.22; มธ 5.24; มธ 5.29; มธ 5.30; มธ 5.33; มธ 5.34; มธ 5.35; มธ 5.36; มธ 5.39; มธ 5.40; มธ 5.44; มธ 5.45; มธ 5.47; มธ 5.48; มธ 6.1; มธ 6.2; มธ 6.4; มธ 6.5; มธ 6.6; มธ 6.8; มธ 6.9; มธ 6.10; มธ 6.12; มธ 6.13; มธ 6.14; มธ 6.15; มธ 6.16; มธ 6.18; มธ 6.21; มธ 6.22; มธ 6.23; มธ 6.25; มธ 6.26; มธ 6.29; มธ 6.32; มธ 6.33; มธ 7.3; มธ 7.4; มธ 7.5; มธ 7.6; มธ 7.11; มธ 7.12; มธ 7.16; มธ 7.20; มธ 7.21; มธ 7.22; มธ 7.24; มธ 7.26; มธ 7.28; มธ 8.3; มธ 8.6; มธ 8.8; มธ 8.9; มธ 8.12; มธ 8.13; มธ 8.14; มธ 8.16; มธ 8.17; มธ 8.21; มธ 8.22; มธ 8.23; มธ 8.25; มธ 8.29; มธ 8.34; มธ 9.1; มธ 9.2; มธ 9.4; มธ 9.5; มธ 9.7; มธ 9.10; มธ 9.11; มธ 9.13; มธ 9.14; มธ 9.15; มธ 9.18; มธ 9.19; มธ 9.22; มธ 9.23; มธ 9.29; มธ 9.30; มธ 9.31; มธ 9.34; มธ 9.35; มธ 9.37; มธ 9.38; มธ 10.1; มธ 10.2; มธ 10.5; มธ 10.6; มธ 10.9; มธ 10.13; มธ 10.14; มธ 10.15; มธ 10.17; มธ 10.20; มธ 10.22; มธ 10.24; มธ 10.25; มธ 10.29; มธ 10.30; มธ 10.32; มธ 10.33; มธ 10.35; มธ 10.38; มธ 10.39; มธ 10.42; มธ 11.1; มธ 11.2; มธ 11.8; มธ 11.10; มธ 11.13; มธ 11.22; มธ 11.24; มธ 11.26; มธ 11.27; มธ 11.29; มธ 11.30; มธ 12.1; มธ 12.2; มธ 12.4; มธ 12.7; มธ 12.9; มธ 12.18; มธ 12.19; มธ 12.21; มธ 12.23; มธ 12.25; มธ 12.26; มธ 12.27; มธ 12.28; มธ 12.29; มธ 12.33; มธ 12.35; มธ 12.37; มธ 12.39; มธ 12.41; มธ 12.42; มธ 12.44; มธ 12.46; มธ 12.47; มธ 12.48; มธ 12.49; มธ 12.50; มธ 13.11; มธ 13.14; มธ 13.15; มธ 13.16; มธ 13.24; มธ 13.25; มธ 13.27; มธ 13.28; มธ 13.30; มธ 13.31; มธ 13.32; มธ 13.36; มธ 13.38; มธ 13.39; มธ 13.40; มธ 13.41; มธ 13.43; มธ 13.49; มธ 13.52; มธ 13.54; มธ 13.55; มธ 13.56; มธ 13.57; มธ 14.1; มธ 14.2; มธ 14.3; มธ 14.6; มธ 14.11; มธ 14.12; มธ 14.14; มธ 14.15; มธ 14.22; มธ 14.33; มธ 15.2; มธ 15.3; มธ 15.4; มธ 15.5; มธ 15.6; มธ 15.8; มธ 15.9; มธ 15.13; มธ 15.22; มธ 15.23; มธ 15.24; มธ 15.26; มธ 15.27; มธ 15.28; มธ 15.30; มธ 15.31; มธ 15.32; มธ 15.36; มธ 16.4; มธ 16.5; มธ 16.12; มธ 16.13; มธ 16.16; มธ 16.17; มธ 16.18; มธ 16.19; มธ 16.20; มธ 16.21; มธ 16.23; มธ 16.24; มธ 16.25; มธ 16.26; มธ 16.27; มธ 16.28; มธ 17.1; มธ 17.2; มธ 17.5; มธ 17.15; มธ 17.16; มธ 17.22; มธ 17.24; มธ 17.25; มธ 18.5; มธ 18.8; มธ 18.9; มธ 18.10; มธ 18.14; มธ 18.15; มธ 18.19; มธ 18.20; มธ 18.21; มธ 18.23; มธ 18.25; มธ 18.27; มธ 18.31; มธ 18.32; มธ 18.34; มธ 18.35; มธ 19.2; มธ 19.3; มธ 19.5; มธ 19.8; มธ 19.9; มธ 19.10; มธ 19.14; มธ 19.19; มธ 19.23; มธ 19.24; มธ 19.25; มธ 19.28; มธ 19.29; มธ 20.1; มธ 20.2; มธ 20.14; มธ 20.15; มธ 20.20; มธ 20.21; มธ 20.23; มธ 20.25; มธ 20.27; มธ 20.28; มธ 20.33; มธ 20.34; มธ 21.2; มธ 21.5; มธ 21.7; มธ 21.8; มธ 21.9; มธ 21.12; มธ 21.13; มธ 21.15; มธ 21.16; มธ 21.23; มธ 21.25; มธ 21.28; มธ 21.31; มธ 21.35; มธ 21.37; มธ 21.38; มธ 21.43; มธ 21.45; มธ 22.2; มธ 22.4; มธ 22.5; มธ 22.6; มธ 22.8; มธ 22.15; มธ 22.16; มธ 22.18; มธ 22.20; มธ 22.21; มธ 22.22; มธ 22.24; มธ 22.28; มธ 22.29; มธ 22.30; มธ 22.32; มธ 22.33; มธ 22.37; มธ 22.42; มธ 22.44; มธ 22.45; มธ 23.1; มธ 23.2; มธ 23.3; มธ 23.5; มธ 23.10; มธ 23.11; มธ 23.14; มธ 23.16; มธ 23.22; มธ 23.23; มธ 23.29; มธ 23.30; มธ 23.31; มธ 23.34; มธ 23.35; มธ 23.37; มธ 23.38; มธ 23.39; มธ 24.1; มธ 24.3; มธ 24.5; มธ 24.9; มธ 24.12; มธ 24.17; มธ 24.18; มธ 24.27; มธ 24.31; มธ 24.35; มธ 24.36; มธ 24.37; มธ 24.42; มธ 24.43; มธ 24.47; มธ 24.48; มธ 24.50; มธ 25.1; มธ 25.3; มธ 25.4; มธ 25.7; มธ 25.8; มธ 25.14; มธ 25.15; มธ 25.18; มธ 25.21; มธ 25.23; มธ 25.25; มธ 25.27; มธ 25.31; มธ 25.33; มธ 25.34; มธ 25.40; มธ 25.41; มธ 26.1; มธ 26.3; มธ 26.6; มธ 26.7; มธ 26.8; มธ 26.12; มธ 26.18; มธ 26.26; มธ 26.28; มธ 26.29; มธ 26.37; มธ 26.38; มธ 26.39; มธ 26.42; มธ 26.45; มธ 26.51; มธ 26.52; มธ 26.53; มธ 26.58; มธ 26.61; มธ 26.63; มธ 26.64; มธ 26.65; มธ 26.73; มธ 26.75; มธ 27.4; มธ 27.9; มธ 27.11; มธ 27.19; มธ 27.24; มธ 27.25; มธ 27.27; มธ 27.29; มธ 27.32; มธ 27.35; มธ 27.37; มธ 27.39; มธ 27.40; มธ 27.42; มธ 27.43; มธ 27.46; มธ 27.52; มธ 27.54; มธ 27.56; มธ 27.57; มธ 27.60; มธ 27.64; มธ 28.2; มธ 28.3; มธ 28.7; มธ 28.8; มธ 28.9; มธ 28.10; มธ 28.13; มก 1.1; มก 1.2; มก 1.3; มก 1.5; มก 1.11; มก 1.13; มก 1.14; มก 1.15; มก 1.16; มก 1.19; มก 1.20; มก 1.21; มก 1.22; มก 1.23; มก 1.24; มก 1.28; มก 1.29; มก 1.30; มก 1.39; มก 2.5; มก 2.9; มก 2.11; มก 2.15; มก 2.16; มก 2.18; มก 2.19; มก 2.23; มก 2.26; มก 3.5; มก 3.6; มก 3.7; มก 3.9; มก 3.11; มก 3.17; มก 3.21; มก 3.27; มก 3.28; มก 3.31; มก 3.32; มก 3.33; มก 3.34; มก 3.35; มก 4.11; มก 4.12; มก 4.26; มก 4.30; มก 5.5; มก 5.7; มก 5.17; มก 5.19; มก 5.22; มก 5.23; มก 5.30; มก 5.35; มก 5.37; มก 5.40; มก 6.1; มก 6.2; มก 6.3; มก 6.4; มก 6.11; มก 6.14; มก 6.17; มก 6.18; มก 6.20; มก 6.21; มก 6.22; มก 6.23; มก 6.28; มก 6.29; มก 6.35; มก 6.45; มก 6.47; มก 7.2; มก 7.5; มก 7.6; มก 7.7; มก 7.8; มก 7.9; มก 7.10; มก 7.11; มก 7.12; มก 7.13; มก 7.17; มก 7.25; มก 7.26; มก 7.27; มก 7.28; มก 7.29; มก 7.30; มก 7.33; มก 8.1; มก 8.4; มก 8.10; มก 8.17; มก 8.25; มก 8.26; มก 8.27; มก 8.33; มก 8.34; มก 8.36; มก 8.37; มก 8.38; มก 9.1; มก 9.2; มก 9.7; มก 9.17; มก 9.18; มก 9.24; มก 9.28; มก 9.31; มก 9.35; มก 9.37; มก 9.38; มก 9.39; มก 9.41; มก 9.43; มก 9.45; มก 9.47; มก 10.2; มก 10.7; มก 10.10; มก 10.11; มก 10.12; มก 10.14; มก 10.15; มก 10.19; มก 10.23; มก 10.24; มก 10.25; มก 10.35; มก 10.40; มก 10.42; มก 10.44; มก 10.45; มก 10.46; มก 10.52; มก 11.6; มก 11.7; มก 11.8; มก 11.9; มก 11.10; มก 11.14; มก 11.17; มก 11.18; มก 11.25; มก 11.26; มก 11.30; มก 12.2; มก 12.6; มก 12.13; มก 12.14; มก 12.15; มก 12.16; มก 12.17; มก 12.19; มก 12.23; มก 12.24; มก 12.26; มก 12.27; มก 12.29; มก 12.30; มก 12.34; มก 12.35; มก 12.36; มก 12.37; มก 12.38; มก 12.40; มก 12.43; มก 12.44; มก 13.1; มก 13.6; มก 13.13; มก 13.15; มก 13.16; มก 13.27; มก 13.31; มก 13.34; มก 14.3; มก 14.8; มก 14.12; มก 14.14; มก 14.22; มก 14.24; มก 14.25; มก 14.32; มก 14.36; มก 14.41; มก 14.47; มก 14.51; มก 14.54; มก 14.56; มก 14.59; มก 14.61; มก 14.62; มก 14.63; มก 14.66; มก 14.70; มก 15.2; มก 15.9; มก 15.12; มก 15.18; มก 15.21; มก 15.26; มก 15.29; มก 15.34; มก 15.39; มก 15.40; มก 15.43; มก 15.47; มก 16.1; มก 16.6; มก 16.7; มก 16.17; มก 16.19; มก 16.20; ลก 1.5; ลก 1.6; ลก 1.8; ลก 1.9; ลก 1.11; ลก 1.13; ลก 1.15; ลก 1.16; ลก 1.17; ลก 1.20; ลก 1.23; ลก 1.24; ลก 1.25; ลก 1.29; ลก 1.32; ลก 1.33; ลก 1.35; ลก 1.36; ลก 1.38; ลก 1.40; ลก 1.41; ลก 1.42; ลก 1.43; ลก 1.44; ลก 1.46; ลก 1.47; ลก 1.48; ลก 1.49; ลก 1.50; ลก 1.51; ลก 1.54; ลก 1.55; ลก 1.56; ลก 1.58; ลก 1.61; ลก 1.63; ลก 1.64; ลก 1.65; ลก 1.66; ลก 1.68; ลก 1.69; ลก 1.70; ลก 1.71; ลก 1.72; ลก 1.73; ลก 1.74; ลก 1.75; ลก 1.76; ลก 1.77; ลก 1.78; ลก 1.79; ลก 2.3; ลก 2.4; ลก 2.8; ลก 2.9; ลก 2.11; ลก 2.22; ลก 2.23; ลก 2.24; ลก 2.26; ลก 2.29; ลก 2.30; ลก 2.32; ลก 2.33; ลก 2.34; ลก 2.35; ลก 2.39; ลก 2.40; ลก 2.43; ลก 2.47; ลก 2.49; ลก 2.51; ลก 3.1; ลก 3.2; ลก 3.4; ลก 3.6; ลก 3.8; ลก 3.14; ลก 3.16; ลก 3.17; ลก 3.19; ลก 3.22; ลก 3.23; ลก 4.3; ลก 4.4; ลก 4.6; ลก 4.7; ลก 4.8; ลก 4.10; ลก 4.11; ลก 4.12; ลก 4.14; ลก 4.15; ลก 4.19; ลก 4.20; ลก 4.21; ลก 4.22; ลก 4.23; ลก 4.24; ลก 4.29; ลก 4.32; ลก 4.34; ลก 4.37; ลก 4.38; ลก 4.39; ลก 4.41; ลก 4.43; ลก 5.1; ลก 5.3; ลก 5.5; ลก 5.6; ลก 5.8; ลก 5.10; ลก 5.13; ลก 5.15; ลก 5.17; ลก 5.18; ลก 5.20; ลก 5.22; ลก 5.23; ลก 5.24; ลก 5.25; ลก 5.29; ลก 5.30; ลก 5.33; ลก 5.34; ลก 5.39; ลก 6.1; ลก 6.4; ลก 6.8; ลก 6.10; ลก 6.13; ลก 6.14; ลก 6.15; ลก 6.16; ลก 6.17; ลก 6.20; ลก 6.22; ลก 6.23; ลก 6.26; ลก 6.27; ลก 6.29; ลก 6.30; ลก 6.35; ลก 6.36; ลก 6.38; ลก 6.40; ลก 6.41; ลก 6.42; ลก 6.44; ลก 6.45; ลก 6.47; ลก 6.49; ลก 7.2; ลก 7.3; ลก 7.5; ลก 7.6; ลก 7.7; ลก 7.8; ลก 7.11; ลก 7.12; ลก 7.15; ลก 7.16; ลก 7.17; ลก 7.18; ลก 7.19; ลก 7.24; ลก 7.27; ลก 7.28; ลก 7.29; ลก 7.30; ลก 7.36; ลก 7.37; ลก 7.38; ลก 7.39; ลก 7.44; ลก 7.45; ลก 7.46; ลก 7.47; ลก 7.48; ลก 7.50; ลก 8.1; ลก 8.3; ลก 8.5; ลก 8.10; ลก 8.11; ลก 8.12; ลก 8.14; ลก 8.19; ลก 8.20; ลก 8.21; ลก 8.22; ลก 8.25; ลก 8.28; ลก 8.39; ลก 8.41; ลก 8.43; ลก 8.48; ลก 8.49; ลก 8.51; ลก 8.56; ลก 9.1; ลก 9.2; ลก 9.5; ลก 9.9; ลก 9.11; ลก 9.14; ลก 9.20; ลก 9.23; ลก 9.25; ลก 9.26; ลก 9.27; ลก 9.29; ลก 9.31; ลก 9.32; ลก 9.35; ลก 9.38; ลก 9.40; ลก 9.41; ลก 9.43; ลก 9.44; ลก 9.47; ลก 9.48; ลก 9.49; ลก 9.52; ลก 9.54; ลก 9.60; ลก 9.61; ลก 9.62; ลก 10.2; ลก 10.6; ลก 10.7; ลก 10.8; ลก 10.9; ลก 10.10; ลก 10.11; ลก 10.12; ลก 10.14; ลก 10.17; ลก 10.20; ลก 10.21; ลก 10.22; ลก 10.27; ลก 10.29; ลก 10.30; ลก 10.34; ลก 10.36; ลก 10.38; ลก 10.39; ลก 10.40; ลก 11.1; ลก 11.2; ลก 11.4; ลก 11.6; ลก 11.13; ลก 11.15; ลก 11.17; ลก 11.18; ลก 11.19; ลก 11.20; ลก 11.21; ลก 11.22; ลก 11.24; ลก 11.28; ลก 11.29; ลก 11.31; ลก 11.32; ลก 11.34; ลก 11.36; ลก 11.39; ลก 11.42; ลก 11.47; ลก 11.48; ลก 11.49; ลก 11.50; ลก 11.51; ลก 11.54; ลก 12.1; ลก 12.4; ลก 12.7; ลก 12.8; ลก 12.9; ลก 12.13; ลก 12.15; ลก 12.16; ลก 12.17; ลก 12.18; ลก 12.19; ลก 12.20; ลก 12.22; ลก 12.30; ลก 12.31; ลก 12.32; ลก 12.33; ลก 12.34; ลก 12.35; ลก 12.36; ลก 12.39; ลก 12.44; ลก 12.45; ลก 12.46; ลก 12.47; ลก 12.56; ลก 13.1; ลก 13.6; ลก 13.12; ลก 13.16; ลก 13.18; ลก 13.19; ลก 13.20; ลก 13.26; ลก 13.28; ลก 13.29; ลก 13.31; ลก 13.34; ลก 13.35; ลก 14.1; ลก 14.15; ลก 14.17; ลก 14.23; ลก 14.24; ลก 14.26; ลก 14.27; ลก 14.33; ลก 15.6; ลก 15.10; ลก 15.12; ลก 15.13; ลก 15.17; ลก 15.19; ลก 15.20; ลก 15.21; ลก 15.22; ลก 15.24; ลก 15.27; ลก 15.29; ลก 15.30; ลก 15.31; ลก 15.32; ลก 16.1; ลก 16.2; ลก 16.4; ลก 16.5; ลก 16.6; ลก 16.7; ลก 16.8; ลก 16.10; ลก 16.12; ลก 16.15; ลก 16.16; ลก 16.18; ลก 16.20; ลก 16.21; ลก 16.22; ลก 16.23; ลก 16.24; ลก 16.25; ลก 16.27; ลก 17.5; ลก 17.16; ลก 17.19; ลก 17.20; ลก 17.21; ลก 17.22; ลก 17.24; ลก 17.26; ลก 17.28; ลก 17.31; ลก 17.32; ลก 17.33; ลก 18.3; ลก 18.11; ลก 18.12; ลก 18.13; ลก 18.14; ลก 18.16; ลก 18.17; ลก 18.20; ลก 18.24; ลก 18.25; ลก 18.29; ลก 18.42; ลก 19.5; ลก 19.8; ลก 19.9; ลก 19.11; ลก 19.13; ลก 19.16; ลก 19.17; ลก 19.18; ลก 19.20; ลก 19.22; ลก 19.23; ลก 19.27; ลก 19.29; ลก 19.35; ลก 19.36; ลก 19.38; ลก 19.39; ลก 19.42; ลก 19.43; ลก 19.44; ลก 19.46; ลก 19.47; ลก 20.4; ลก 20.13; ลก 20.20; ลก 20.21; ลก 20.23; ลก 20.24; ลก 20.25; ลก 20.26; ลก 20.28; ลก 20.33; ลก 20.36; ลก 20.37; ลก 20.38; ลก 20.41; ลก 20.42; ลก 20.43; ลก 20.44; ลก 20.45; ลก 20.47; ลก 21.4; ลก 21.8; ลก 21.12; ลก 21.15; ลก 21.17; ลก 21.18; ลก 21.19; ลก 21.20; ลก 21.24; ลก 21.25; ลก 21.31; ลก 21.33; ลก 21.34; ลก 22.11; ลก 22.16; ลก 22.18; ลก 22.19; ลก 22.20; ลก 22.21; ลก 22.25; ลก 22.29; ลก 22.30; ลก 22.32; ลก 22.36; ลก 22.39; ลก 22.42; ลก 22.44; ลก 22.50; ลก 22.53; ลก 22.61; ลก 22.64; ลก 22.66; ลก 22.69; ลก 22.70; ลก 22.71; ลก 23.2; ลก 23.3; ลก 23.7; ลก 23.11; ลก 23.23; ลก 23.28; ลก 23.35; ลก 23.37; ลก 23.38; ลก 23.42; ลก 23.46; ลก 23.48; ลก 23.51; ลก 23.55; ลก 24.3; ลก 24.7; ลก 24.8; ลก 24.10; ลก 24.20; ลก 24.23; ลก 24.26; ลก 24.31; ลก 24.38; ลก 24.39; ลก 24.44; ลก 24.47; ลก 24.49; ยน 1.4; ยน 1.11; ยน 1.12; ยน 1.13; ยน 1.14; ยน 1.16; ยน 1.18; ยน 1.19; ยน 1.23; ยน 1.24; ยน 1.27; ยน 1.29; ยน 1.34; ยน 1.35; ยน 1.36; ยน 1.40; ยน 1.41; ยน 1.44; ยน 1.49; ยน 1.51; ยน 2.1; ยน 2.2; ยน 2.3; ยน 2.4; ยน 2.5; ยน 2.6; ยน 2.11; ยน 2.12; ยน 2.13; ยน 2.15; ยน 2.16; ยน 2.17; ยน 2.21; ยน 2.22; ยน 2.23; ยน 3.1; ยน 3.3; ยน 3.5; ยน 3.10; ยน 3.11; ยน 3.16; ยน 3.17; ยน 3.19; ยน 3.20; ยน 3.21; ยน 3.22; ยน 3.25; ยน 3.26; ยน 3.28; ยน 3.29; ยน 3.32; ยน 3.33; ยน 3.34; ยน 3.35; ยน 3.36; ยน 4.2; ยน 4.5; ยน 4.6; ยน 4.8; ยน 4.10; ยน 4.12; ยน 4.16; ยน 4.18; ยน 4.20; ยน 4.27; ยน 4.34; ยน 4.38; ยน 4.39; ยน 4.41; ยน 4.42; ยน 4.44; ยน 4.46; ยน 4.47; ยน 4.49; ยน 4.50; ยน 4.51; ยน 4.53; ยน 5.1; ยน 5.8; ยน 5.9; ยน 5.11; ยน 5.12; ยน 5.17; ยน 5.18; ยน 5.24; ยน 5.25; ยน 5.28; ยน 5.30; ยน 5.31; ยน 5.35; ยน 5.36; ยน 5.37; ยน 5.38; ยน 5.43; ยน 5.47; ยน 6.3; ยน 6.4; ยน 6.8; ยน 6.12; ยน 6.16; ยน 6.22; ยน 6.28; ยน 6.29; ยน 6.31; ยน 6.32; ยน 6.33; ยน 6.38; ยน 6.39; ยน 6.40; ยน 6.42; ยน 6.49; ยน 6.51; ยน 6.52; ยน 6.53; ยน 6.54; ยน 6.55; ยน 6.56; ยน 6.58; ยน 6.60; ยน 6.61; ยน 6.65; ยน 6.66; ยน 6.69; ยน 7.2; ยน 7.3; ยน 7.5; ยน 7.6; ยน 7.7; ยน 7.8; ยน 7.10; ยน 7.16; ยน 7.17; ยน 7.18; ยน 7.23; ยน 7.30; ยน 7.37; ยน 7.42; ยน 7.51; ยน 7.53; ยน 8.12; ยน 8.13; ยน 8.14; ยน 8.16; ยน 8.17; ยน 8.19; ยน 8.20; ยน 8.21; ยน 8.23; ยน 8.24; ยน 8.28; ยน 8.31; ยน 8.34; ยน 8.37; ยน 8.38; ยน 8.39; ยน 8.41; ยน 8.42; ยน 8.43; ยน 8.44; ยน 8.47; ยน 8.49; ยน 8.50; ยน 8.51; ยน 8.52; ยน 8.53; ยน 8.54; ยน 8.55; ยน 8.56; ยน 9.2; ยน 9.3; ยน 9.4; ยน 9.5; ยน 9.6; ยน 9.10; ยน 9.11; ยน 9.15; ยน 9.17; ยน 9.18; ยน 9.19; ยน 9.20; ยน 9.21; ยน 9.22; ยน 9.23; ยน 9.26; ยน 9.27; ยน 9.28; ยน 9.30; ยน 9.32; ยน 9.35; ยน 9.41; ยน 10.3; ยน 10.4; ยน 10.5; ยน 10.6; ยน 10.7; ยน 10.11; ยน 10.12; ยน 10.14; ยน 10.15; ยน 10.16; ยน 10.17; ยน 10.18; ยน 10.21; ยน 10.23; ยน 10.25; ยน 10.26; ยน 10.27; ยน 10.28; ยน 10.29; ยน 10.30; ยน 10.32; ยน 10.34; ยน 10.35; ยน 10.36; ยน 10.37; ยน 11.1; ยน 11.2; ยน 11.4; ยน 11.5; ยน 11.9; ยน 11.11; ยน 11.12; ยน 11.13; ยน 11.19; ยน 11.21; ยน 11.23; ยน 11.27; ยน 11.32; ยน 11.39; ยน 11.40; ยน 11.45; ยน 11.48; ยน 11.52; ยน 11.54; ยน 11.55; ยน 12.1; ยน 12.3; ยน 12.4; ยน 12.7; ยน 12.13; ยน 12.15; ยน 12.16; ยน 12.25; ยน 12.26; ยน 12.27; ยน 12.28; ยน 12.38; ยน 12.40; ยน 12.41; ยน 12.43; ยน 12.47; ยน 12.48; ยน 12.50; ยน 13.1; ยน 13.2; ยน 13.3; ยน 13.5; ยน 13.6; ยน 13.8; ยน 13.9; ยน 13.14; ยน 13.23; ยน 13.25; ยน 13.35; ยน 13.38; ยน 14.2; ยน 14.7; ยน 14.10; ยน 14.12; ยน 14.13; ยน 14.14; ยน 14.15; ยน 14.20; ยน 14.21; ยน 14.23; ยน 14.24; ยน 14.26; ยน 14.27; ยน 14.28; ยน 15.1; ยน 15.7; ยน 15.8; ยน 15.9; ยน 15.10; ยน 15.11; ยน 15.12; ยน 15.13; ยน 15.14; ยน 15.15; ยน 15.16; ยน 15.19; ยน 15.20; ยน 15.21; ยน 15.22; ยน 15.23; ยน 15.24; ยน 15.25; ยน 16.2; ยน 16.6; ยน 16.7; ยน 16.10; ยน 16.14; ยน 16.15; ยน 16.17; ยน 16.20; ยน 16.23; ยน 16.24; ยน 16.26; ยน 16.29; ยน 16.32; ยน 17.1; ยน 17.5; ยน 17.6; ยน 17.9; ยน 17.10; ยน 17.11; ยน 17.12; ยน 17.13; ยน 17.14; ยน 17.16; ยน 17.17; ยน 17.19; ยน 17.20; ยน 17.24; ยน 17.26; ยน 18.1; ยน 18.2; ยน 18.10; ยน 18.11; ยน 18.12; ยน 18.13; ยน 18.15; ยน 18.17; ยน 18.19; ยน 18.22; ยน 18.25; ยน 18.26; ยน 18.31; ยน 18.32; ยน 18.33; ยน 18.34; ยน 18.35; ยน 18.36; ยน 18.37; ยน 18.39; ยน 19.2; ยน 19.3; ยน 19.7; ยน 19.12; ยน 19.14; ยน 19.15; ยน 19.17; ยน 19.19; ยน 19.21; ยน 19.24; ยน 19.25; ยน 19.26; ยน 19.27; ยน 19.29; ยน 19.31; ยน 19.32; ยน 19.33; ยน 19.34; ยน 19.35; ยน 19.36; ยน 19.38; ยน 19.40; ยน 19.42; ยน 20.1; ยน 20.7; ยน 20.10; ยน 20.13; ยน 20.17; ยน 20.19; ยน 20.20; ยน 20.21; ยน 20.23; ยน 20.25; ยน 20.26; ยน 20.27; ยน 20.28; ยน 20.30; ยน 20.31; ยน 21.2; ยน 21.7; ยน 21.14; ยน 21.15; ยน 21.16; ยน 21.17; ยน 21.18; ยน 21.20; ยน 21.22; ยน 21.23; ยน 21.24; กจ 1.3; กจ 1.4; กจ 1.7; กจ 1.9; กจ 1.13; กจ 1.14; กจ 1.16; กจ 1.18; กจ 1.19; กจ 1.20; กจ 1.22; กจ 1.24; กจ 1.25; กจ 2.6; กจ 2.8; กจ 2.11; กจ 2.14; กจ 2.17; กจ 2.18; กจ 2.20; กจ 2.21; กจ 2.25; กจ 2.26; กจ 2.27; กจ 2.28; กจ 2.29; กจ 2.30; กจ 2.31; กจ 2.33; กจ 2.34; กจ 2.35; กจ 2.38; กจ 2.39; กจ 2.41; กจ 2.42; กจ 2.44; กจ 2.46; กจ 3.7; กจ 3.11; กจ 3.12; กจ 3.13; กจ 3.16; กจ 3.17; กจ 3.18; กจ 3.19; กจ 3.21; กจ 3.22; กจ 3.25; กจ 3.26; กจ 4.6; กจ 4.7; กจ 4.8; กจ 4.10; กจ 4.13; กจ 4.18; กจ 4.19; กจ 4.23; กจ 4.25; กจ 4.26; กจ 4.27; กจ 4.28; กจ 4.29; กจ 4.30; กจ 4.31; กจ 4.32; กจ 4.33; กจ 4.34; กจ 4.35; กจ 4.37; กจ 5.1; กจ 5.2; กจ 5.3; กจ 5.4; กจ 5.7; กจ 5.9; กจ 5.10; กจ 5.12; กจ 5.14; กจ 5.15; กจ 5.17; กจ 5.19; กจ 5.21; กจ 5.24; กจ 5.28; กจ 5.30; กจ 5.31; กจ 5.32; กจ 5.34; กจ 5.40; กจ 5.41; กจ 5.42; กจ 6.2; กจ 6.7; กจ 6.9; กจ 6.10; กจ 6.15; กจ 7.2; กจ 7.3; กจ 7.4; กจ 7.5; กจ 7.6; กจ 7.8; กจ 7.10; กจ 7.11; กจ 7.12; กจ 7.13; กจ 7.14; กจ 7.15; กจ 7.16; กจ 7.19; กจ 7.21; กจ 7.22; กจ 7.23; กจ 7.25; กจ 7.30; กจ 7.31; กจ 7.32; กจ 7.33; กจ 7.34; กจ 7.35; กจ 7.37; กจ 7.38; กจ 7.39; กจ 7.41; กจ 7.43; กจ 7.44; กจ 7.45; กจ 7.46; กจ 7.49; กจ 7.50; กจ 7.51; กจ 7.52; กจ 7.55; กจ 7.56; กจ 7.58; กจ 7.59; กจ 8.10; กจ 8.12; กจ 8.14; กจ 8.18; กจ 8.20; กจ 8.21; กจ 8.22; กจ 8.25; กจ 8.26; กจ 8.27; กจ 8.32; กจ 8.33; กจ 8.37; กจ 8.39; กจ 9.1; กจ 9.11; กจ 9.13; กจ 9.14; กจ 9.15; กจ 9.16; กจ 9.18; กจ 9.20; กจ 9.24; กจ 9.29; กจ 9.34; กจ 10.3; กจ 10.4; กจ 10.6; กจ 10.17; กจ 10.22; กจ 10.30; กจ 10.31; กจ 10.32; กจ 10.36; กจ 10.39; กจ 10.43; กจ 10.48; กจ 11.1; กจ 11.6; กจ 11.12; กจ 11.13; กจ 11.14; กจ 11.16; กจ 11.21; กจ 11.23; กจ 12.2; กจ 12.7; กจ 12.11; กจ 12.12; กจ 12.14; กจ 12.20; กจ 12.22; กจ 12.23; กจ 12.24; กจ 13.5; กจ 13.7; กจ 13.8; กจ 13.10; กจ 13.11; กจ 13.12; กจ 13.13; กจ 13.15; กจ 13.17; กจ 13.18; กจ 13.19; กจ 13.22; กจ 13.23; กจ 13.25; กจ 13.26; กจ 13.27; กจ 13.29; กจ 13.32; กจ 13.33; กจ 13.34; กจ 13.35; กจ 13.36; กจ 13.39; กจ 13.41; กจ 13.43; กจ 13.44; กจ 13.45; กจ 13.46; กจ 13.47; กจ 13.48; กจ 13.49; กจ 13.50; กจ 13.51; กจ 14.1; กจ 14.3; กจ 14.14; กจ 14.22; กจ 14.26; กจ 15.1; กจ 15.5; กจ 15.10; กจ 15.11; กจ 15.14; กจ 15.15; กจ 15.16; กจ 15.17; กจ 15.18; กจ 15.21; กจ 15.23; กจ 15.24; กจ 15.25; กจ 15.26; กจ 15.27; กจ 15.35; กจ 15.36; กจ 15.40; กจ 16.1; กจ 16.3; กจ 16.4; กจ 16.14; กจ 16.15; กจ 16.16; กจ 16.17; กจ 16.18; กจ 16.19; กจ 16.20; กจ 16.22; กจ 16.29; กจ 16.31; กจ 16.32; กจ 16.33; กจ 16.34; กจ 16.40; กจ 17.1; กจ 17.5; กจ 17.7; กจ 17.10; กจ 17.13; กจ 17.15; กจ 17.20; กจ 17.28; กจ 17.29; กจ 18.6; กจ 18.7; กจ 18.8; กจ 18.10; กจ 18.11; กจ 18.15; กจ 18.25; กจ 18.26; กจ 19.3; กจ 19.5; กจ 19.8; กจ 19.9; กจ 19.10; กจ 19.11; กจ 19.13; กจ 19.17; กจ 19.19; กจ 19.20; กจ 19.22; กจ 19.27; กจ 19.28; กจ 19.29; กจ 19.31; กจ 19.34; กจ 19.35; กจ 19.37; กจ 20.21; กจ 20.24; กจ 20.25; กจ 20.26; กจ 20.27; กจ 20.28; กจ 20.32; กจ 20.33; กจ 20.34; กจ 20.35; กจ 20.37; กจ 21.6; กจ 21.8; กจ 21.11; กจ 21.13; กจ 21.19; กจ 21.21; กจ 21.25; กจ 21.28; กจ 21.39; กจ 22.3; กจ 22.14; กจ 22.16; กจ 22.18; กจ 22.20; กจ 23.4; กจ 23.5; กจ 23.6; กจ 23.16; กจ 23.28; กจ 23.29; กจ 23.35; กจ 24.2; กจ 24.5; กจ 24.6; กจ 24.7; กจ 24.8; กจ 24.10; กจ 24.14; กจ 24.17; กจ 24.22; กจ 25.8; กจ 25.10; กจ 25.14; กจ 25.15; กจ 25.16; กจ 25.19; กจ 25.26; กจ 26.3; กจ 26.4; กจ 26.6; กจ 26.9; กจ 26.18; กจ 26.26; กจ 26.28; กจ 27.1; กจ 27.4; กจ 27.7; กจ 27.10; กจ 27.16; กจ 27.19; กจ 27.23; กจ 27.34; กจ 28.3; กจ 28.4; กจ 28.8; กจ 28.16; กจ 28.17; กจ 28.19; กจ 28.20; กจ 28.23; กจ 28.25; กจ 28.27; กจ 28.28; กจ 28.31; รม 1.1; รม 1.2; รม 1.3; รม 1.4; รม 1.5; รม 1.6; รม 1.7; รม 1.8; รม 1.9; รม 1.12; รม 1.16; รม 1.17; รม 1.18; รม 1.20; รม 1.21; รม 1.23; รม 1.24; รม 1.25; รม 1.26; รม 1.27; รม 1.32; รม 2.3; รม 2.4; รม 2.6; รม 2.15; รม 2.16; รม 2.18; รม 2.20; รม 2.24; รม 2.29; รม 3.2; รม 3.3; รม 3.4; รม 3.5; รม 3.7; รม 3.8; รม 3.9; รม 3.13; รม 3.14; รม 3.15; รม 3.16; รม 3.18; รม 3.20; รม 3.21; รม 3.22; รม 3.23; รม 3.25; รม 3.26; รม 3.27; รม 3.29; รม 4.1; รม 4.4; รม 4.5; รม 4.6; รม 4.7; รม 4.8; รม 4.11; รม 4.12; รม 4.13; รม 4.16; รม 4.17; รม 4.18; รม 4.19; รม 4.20; รม 4.22; รม 4.24; รม 4.25; รม 5.1; รม 5.2; รม 5.5; รม 5.8; รม 5.9; รม 5.10; รม 5.11; รม 5.14; รม 5.15; รม 5.16; รม 5.17; รม 5.18; รม 5.21; รม 6.3; รม 6.4; รม 6.6; รม 6.11; รม 6.12; รม 6.13; รม 6.16; รม 6.17; รม 6.18; รม 6.19; รม 6.20; รม 6.21; รม 6.22; รม 6.23; รม 7.4; รม 7.5; รม 7.15; รม 7.18; รม 7.22; รม 7.23; รม 7.25; รม 8.2; รม 8.3; รม 8.4; รม 8.5; รม 8.7; รม 8.9; รม 8.11; รม 8.13; รม 8.14; รม 8.16; รม 8.17; รม 8.19; รม 8.20; รม 8.21; รม 8.23; รม 8.27; รม 8.28; รม 8.29; รม 8.32; รม 8.34; รม 8.35; รม 8.39; รม 9.1; รม 9.3; รม 9.4; รม 9.5; รม 9.6; รม 9.7; รม 9.8; รม 9.10; รม 9.11; รม 9.16; รม 9.17; รม 9.19; รม 9.22; รม 9.23; รม 9.25; รม 9.26; รม 10.1; รม 10.3; รม 10.4; รม 10.6; รม 10.8; รม 10.9; รม 10.12; รม 10.13; รม 10.15; รม 10.17; รม 10.18; รม 10.21; รม 11.1; รม 11.2; รม 11.3; รม 11.9; รม 11.10; รม 11.12; รม 11.13; รม 11.14; รม 11.15; รม 11.22; รม 11.24; รม 11.27; รม 11.28; รม 11.30; รม 11.33; รม 11.34; รม 12.1; รม 12.2; รม 12.6; รม 12.17; รม 12.19; รม 12.20; รม 13.1; รม 13.4; รม 13.6; รม 13.12; รม 13.14; รม 14.4; รม 14.5; รม 14.8; รม 14.9; รม 14.10; รม 14.12; รม 14.15; รม 14.16; รม 14.17; รม 14.18; รม 14.20; รม 15.1; รม 15.3; รม 15.6; รม 15.7; รม 15.8; รม 15.9; รม 15.10; รม 15.14; รม 15.15; รม 15.16; รม 15.17; รม 15.19; รม 15.29; รม 15.30; รม 15.31; รม 16.1; รม 16.4; รม 16.5; รม 16.7; รม 16.8; รม 16.9; รม 16.10; รม 16.11; รม 16.13; รม 16.15; รม 16.16; รม 16.18; รม 16.20; รม 16.21; รม 16.23; รม 16.24; รม 16.26; 1คร 1.1; 1คร 1.2; 1คร 1.3; 1คร 1.4; 1คร 1.7; 1คร 1.8; 1คร 1.9; 1คร 1.10; 1คร 1.11; 1คร 1.13; 1คร 1.15; 1คร 1.16; 1คร 1.17; 1คร 1.18; 1คร 1.19; 1คร 1.20; 1คร 1.21; 1คร 1.24; 1คร 1.25; 1คร 2.1; 1คร 2.4; 1คร 2.5; 1คร 2.6; 1คร 2.7; 1คร 2.10; 1คร 2.11; 1คร 2.12; 1คร 2.13; 1คร 2.14; 1คร 2.16; 1คร 3.4; 1คร 3.8; 1คร 3.9; 1คร 3.10; 1คร 3.13; 1คร 3.14; 1คร 3.15; 1คร 3.16; 1คร 3.17; 1คร 3.18; 1คร 3.19; 1คร 3.20; 1คร 3.21; 1คร 3.22; 1คร 3.23; 1คร 4.1; 1คร 4.5; 1คร 4.6; 1คร 4.12; 1คร 4.13; 1คร 4.14; 1คร 4.17; 1คร 4.19; 1คร 4.20; 1คร 5.1; 1คร 5.3; 1คร 5.4; 1คร 5.5; 1คร 5.7; 1คร 5.8; 1คร 5.12; 1คร 6.3; 1คร 6.8; 1คร 6.9; 1คร 6.10; 1คร 6.11; 1คร 6.12; 1คร 6.14; 1คร 6.15; 1คร 6.18; 1คร 6.19; 1คร 6.20; 1คร 7.2; 1คร 7.4; 1คร 7.14; 1คร 7.19; 1คร 7.22; 1คร 7.23; 1คร 7.31; 1คร 7.32; 1คร 7.33; 1คร 7.34; 1คร 7.35; 1คร 7.36; 1คร 7.40; 1คร 8.1; 1คร 8.7; 1คร 8.9; 1คร 8.10; 1คร 8.11; 1คร 8.12; 1คร 8.13; 1คร 9.1; 1คร 9.2; 1คร 9.5; 1คร 9.7; 1คร 9.9; 1คร 9.10; 1คร 9.11; 1คร 9.12; 1คร 9.13; 1คร 9.15; 1คร 9.18; 1คร 9.19; 1คร 9.21; 1คร 10.1; 1คร 10.11; 1คร 10.14; 1คร 10.16; 1คร 10.18; 1คร 10.21; 1คร 10.24; 1คร 10.26; 1คร 10.28; 1คร 10.29; 1คร 10.32; 1คร 10.33; 1คร 11.3; 1คร 11.7; 1คร 11.16; 1คร 11.17; 1คร 11.21; 1คร 11.22; 1คร 11.24; 1คร 11.25; 1คร 11.26; 1คร 11.27; 1คร 11.29; 1คร 11.33; 1คร 12.3; 1คร 12.7; 1คร 12.12; 1คร 12.15; 1คร 12.16; 1คร 12.18; 1คร 12.22; 1คร 12.23; 1คร 12.24; 1คร 12.27; 1คร 13.1; 1คร 13.3; 1คร 13.7; 1คร 14.11; 1คร 14.12; 1คร 14.14; 1คร 14.18; 1คร 14.19; 1คร 14.20; 1คร 14.21; 1คร 14.24; 1คร 14.25; 1คร 14.32; 1คร 14.36; 1คร 14.37; 1คร 15.3; 1คร 15.9; 1คร 15.10; 1คร 15.14; 1คร 15.17; 1คร 15.23; 1คร 15.25; 1คร 15.27; 1คร 15.31; 1คร 15.32; 1คร 15.37; 1คร 15.38; 1คร 15.40; 1คร 15.41; 1คร 15.42; 1คร 15.50; 1คร 15.55; 1คร 15.56; 1คร 15.57; 1คร 15.58; 1คร 16.3; 1คร 16.10; 1คร 16.12; 1คร 16.15; 1คร 16.18; 1คร 16.19; 1คร 16.21; 1คร 16.23; 1คร 16.24; 2คร 1.1; 2คร 1.2; 2คร 1.3; 2คร 1.4; 2คร 1.5; 2คร 1.11; 2คร 1.12; 2คร 1.14; 2คร 1.18; 2คร 1.19; 2คร 1.20; 2คร 1.22; 2คร 1.23; 2คร 1.24; 2คร 2.3; 2คร 2.11; 2คร 2.12; 2คร 2.13; 2คร 2.14; 2คร 2.15; 2คร 2.17; 2คร 3.2; 2คร 3.3; 2คร 3.5; 2คร 3.7; 2คร 3.13; 2คร 3.14; 2คร 3.15; 2คร 3.17; 2คร 3.18; 2คร 4.2; 2คร 4.3; 2คร 4.4; 2คร 4.5; 2คร 4.6; 2คร 4.7; 2คร 4.10; 2คร 4.11; 2คร 4.15; 2คร 4.16; 2คร 4.17; 2คร 4.18; 2คร 5.1; 2คร 5.2; 2คร 5.4; 2คร 5.9; 2คร 5.10; 2คร 5.11; 2คร 5.14; 2คร 5.19; 2คร 5.20; 2คร 5.21; 2คร 6.1; 2คร 6.4; 2คร 6.7; 2คร 6.11; 2คร 6.12; 2คร 6.13; 2คร 6.16; 2คร 6.18; 2คร 7.1; 2คร 7.3; 2คร 7.4; 2คร 7.5; 2คร 7.7; 2คร 7.12; 2คร 7.13; 2คร 7.15; 2คร 8.1; 2คร 8.2; 2คร 8.3; 2คร 8.5; 2คร 8.8; 2คร 8.9; 2คร 8.11; 2คร 8.13; 2คร 8.19; 2คร 8.21; 2คร 8.23; 2คร 8.24; 2คร 9.2; 2คร 9.3; 2คร 9.5; 2คร 9.9; 2คร 9.10; 2คร 9.13; 2คร 9.14; 2คร 10.1; 2คร 10.4; 2คร 10.5; 2คร 10.6; 2คร 10.7; 2คร 10.9; 2คร 10.10; 2คร 10.11; 2คร 10.12; 2คร 10.14; 2คร 10.15; 2คร 10.16; 2คร 10.18; 2คร 11.1; 2คร 11.3; 2คร 11.7; 2คร 11.9; 2คร 11.10; 2คร 11.13; 2คร 11.15; 2คร 11.20; 2คร 11.22; 2คร 11.23; 2คร 11.26; 2คร 11.31; 2คร 11.32; 2คร 11.33; 2คร 12.5; 2คร 12.7; 2คร 12.9; 2คร 12.10; 2คร 12.12; 2คร 12.21; 2คร 13.4; 2คร 13.5; 2คร 13.14; กท 1.3; กท 1.4; กท 1.6; กท 1.7; กท 1.10; กท 1.11; กท 1.13; กท 1.14; กท 1.15; กท 1.16; กท 1.19; กท 2.4; กท 2.5; กท 2.9; กท 2.12; กท 2.14; กท 2.20; กท 2.21; กท 3.1; กท 3.7; กท 3.11; กท 3.14; กท 3.15; กท 3.16; กท 3.19; กท 3.20; กท 3.21; กท 3.24; กท 3.26; กท 3.29; กท 4.2; กท 4.4; กท 4.6; กท 4.7; กท 4.8; กท 4.9; กท 4.14; กท 4.15; กท 4.16; กท 4.19; กท 4.20; กท 4.26; กท 4.30; กท 4.31; กท 5.13; กท 5.16; กท 5.17; กท 5.19; กท 5.21; กท 5.22; กท 5.24; กท 6.2; กท 6.4; กท 6.5; กท 6.8; กท 6.10; กท 6.11; กท 6.12; กท 6.13; กท 6.14; กท 6.16; กท 6.17; กท 6.18; อฟ 1.1; อฟ 1.2; อฟ 1.3; อฟ 1.4; อฟ 1.6; อฟ 1.7; อฟ 1.9; อฟ 1.11; อฟ 1.12; อฟ 1.13; อฟ 1.14; อฟ 1.15; อฟ 1.16; อฟ 1.17; อฟ 1.18; อฟ 1.19; อฟ 1.20; อฟ 1.22; อฟ 1.23; อฟ 2.2; อฟ 2.3; อฟ 2.7; อฟ 2.10; อฟ 2.13; อฟ 2.14; อฟ 2.15; อฟ 2.19; อฟ 2.21; อฟ 2.22; อฟ 3.2; อฟ 3.4; อฟ 3.5; อฟ 3.6; อฟ 3.7; อฟ 3.8; อฟ 3.10; อฟ 3.11; อฟ 3.13; อฟ 3.14; อฟ 3.16; อฟ 3.17; อฟ 3.19; อฟ 4.3; อฟ 4.6; อฟ 4.9; อฟ 4.12; อฟ 4.13; อฟ 4.14; อฟ 4.18; อฟ 4.22; อฟ 4.23; อฟ 4.24; อฟ 4.25; อฟ 4.30; อฟ 5.1; อฟ 5.5; อฟ 5.8; อฟ 5.9; อฟ 5.11; อฟ 5.17; อฟ 5.19; อฟ 5.20; อฟ 5.22; อฟ 5.23; อฟ 5.25; อฟ 5.28; อฟ 5.29; อฟ 5.30; อฟ 5.31; อฟ 5.33; อฟ 6.1; อฟ 6.2; อฟ 6.4; อฟ 6.6; อฟ 6.9; อฟ 6.10; อฟ 6.11; อฟ 6.13; อฟ 6.16; อฟ 6.17; อฟ 6.21; อฟ 6.22; อฟ 6.24; ฟป 1.1; ฟป 1.2; ฟป 1.3; ฟป 1.7; ฟป 1.8; ฟป 1.9; ฟป 1.10; ฟป 1.11; ฟป 1.14; ฟป 1.16; ฟป 1.19; ฟป 1.20; ฟป 1.26; ฟป 1.27; ฟป 2.2; ฟป 2.4; ฟป 2.7; ฟป 2.12; ฟป 2.13; ฟป 2.15; ฟป 2.16; ฟป 2.17; ฟป 2.19; ฟป 2.20; ฟป 2.21; ฟป 2.22; ฟป 2.25; ฟป 2.28; ฟป 2.30; ฟป 3.1; ฟป 3.8; ฟป 3.9; ฟป 3.10; ฟป 3.12; ฟป 3.18; ฟป 3.19; ฟป 3.21; ฟป 4.1; ฟป 4.3; ฟป 4.5; ฟป 4.6; ฟป 4.7; ฟป 4.16; ฟป 4.17; ฟป 4.18; ฟป 4.19; ฟป 4.20; ฟป 4.22; ฟป 4.23; คส 1.1; คส 1.2; คส 1.3; คส 1.4; คส 1.5; คส 1.6; คส 1.7; คส 1.9; คส 1.11; คส 1.13; คส 1.14; คส 1.15; คส 1.18; คส 1.20; คส 1.22; คส 1.24; คส 1.25; คส 1.26; คส 1.27; คส 1.29; คส 2.1; คส 2.2; คส 2.5; คส 2.8; คส 2.9; คส 2.11; คส 2.12; คส 2.13; คส 2.14; คส 2.17; คส 2.18; คส 2.20; คส 2.22; คส 2.23; คส 3.1; คส 3.2; คส 3.3; คส 3.4; คส 3.5; คส 3.6; คส 3.8; คส 3.9; คส 3.10; คส 3.15; คส 3.16; คส 3.17; คส 3.18; คส 3.19; คส 3.20; คส 3.21; คส 3.22; คส 4.1; คส 4.3; คส 4.6; คส 4.7; คส 4.8; คส 4.10; คส 4.11; คส 4.12; คส 4.15; คส 4.18; 1ธส 1.1; 1ธส 1.3; 1ธส 1.5; 1ธส 1.6; 1ธส 1.8; 1ธส 1.10; 1ธส 2.2; 1ธส 2.3; 1ธส 2.4; 1ธส 2.6; 1ธส 2.7; 1ธส 2.8; 1ธส 2.9; 1ธส 2.12; 1ธส 2.13; 1ธส 2.14; 1ธส 2.15; 1ธส 2.16; 1ธส 2.19; 1ธส 2.20; 1ธส 3.2; 1ธส 3.5; 1ธส 3.6; 1ธส 3.7; 1ธส 3.8; 1ธส 3.9; 1ธส 3.10; 1ธส 3.11; 1ธส 3.13; 1ธส 4.3; 1ธส 4.4; 1ธส 4.8; 1ธส 4.11; 1ธส 4.15; 1ธส 4.16; 1ธส 5.2; 1ธส 5.5; 1ธส 5.8; 1ธส 5.9; 1ธส 5.18; 1ธส 5.23; 1ธส 5.28; 2ธส 1.1; 2ธส 1.2; 2ธส 1.3; 2ธส 1.4; 2ธส 1.5; 2ธส 1.7; 2ธส 1.8; 2ธส 1.9; 2ธส 1.10; 2ธส 1.11; 2ธส 1.12; 2ธส 2.1; 2ธส 2.2; 2ธส 2.4; 2ธส 2.6; 2ธส 2.8; 2ธส 2.9; 2ธส 2.13; 2ธส 2.14; 2ธส 2.15; 2ธส 2.16; 2ธส 2.17; 2ธส 3.1; 2ธส 3.5; 2ธส 3.6; 2ธส 3.11; 2ธส 3.12; 2ธส 3.14; 2ธส 3.17; 2ธส 3.18; 1ทธ 1.1; 1ทธ 1.2; 1ทธ 1.4; 1ทธ 1.11; 1ทธ 1.12; 1ทธ 1.14; 1ทธ 1.19; 1ทธ 2.3; 1ทธ 3.2; 1ทธ 3.4; 1ทธ 3.5; 1ทธ 3.7; 1ทธ 3.11; 1ทธ 3.12; 1ทธ 3.15; 1ทธ 3.16; 1ทธ 4.1; 1ทธ 4.2; 1ทธ 4.5; 1ทธ 4.6; 1ทธ 4.8; 1ทธ 4.10; 1ทธ 4.12; 1ทธ 4.15; 1ทธ 4.16; 1ทธ 5.4; 1ทธ 5.8; 1ทธ 5.9; 1ทธ 5.12; 1ทธ 5.13; 1ทธ 5.16; 1ทธ 5.18; 1ทธ 5.22; 1ทธ 5.23; 1ทธ 5.24; 1ทธ 5.25; 1ทธ 6.1; 1ทธ 6.3; 1ทธ 6.5; 1ทธ 6.6; 1ทธ 6.8; 1ทธ 6.10; 1ทธ 6.11; 1ทธ 6.14; 1ทธ 6.15; 1ทธ 6.17; 1ทธ 6.19; 1ทธ 6.20; 2ทธ 1.1; 2ทธ 1.2; 2ทธ 1.3; 2ทธ 1.4; 2ทธ 1.5; 2ทธ 1.6; 2ทธ 1.8; 2ทธ 1.9; 2ทธ 1.10; 2ทธ 1.11; 2ทธ 1.16; 2ทธ 1.18; 2ทธ 2.1; 2ทธ 2.3; 2ทธ 2.4; 2ทธ 2.9; 2ทธ 2.17; 2ทธ 2.18; 2ทธ 2.19; 2ทธ 2.22; 2ทธ 2.24; 2ทธ 2.26; 2ทธ 3.5; 2ทธ 3.9; 2ทธ 3.11; 2ทธ 3.12; 2ทธ 4.1; 2ทธ 4.3; 2ทธ 4.5; 2ทธ 4.8; 2ทธ 4.14; 2ทธ 4.15; 2ทธ 4.16; 2ทธ 4.18; 2ทธ 4.19; 2ทธ 4.22; ทต 1.1; ทต 1.3; ทต 1.4; ทต 1.6; ทต 1.14; ทต 1.15; ทต 1.16; ทต 2.4; ทต 2.5; ทต 2.9; ทต 2.10; ทต 2.11; ทต 2.13; ทต 2.14; ทต 3.3; ทต 3.4; ทต 3.5; ทต 3.6; ทต 3.7; ทต 3.13; ฟม 1.1; ฟม 1.2; ฟม 1.3; ฟม 1.4; ฟม 1.5; ฟม 1.6; ฟม 1.7; ฟม 1.10; ฟม 1.12; ฟม 1.14; ฟม 1.16; ฟม 1.17; ฟม 1.19; ฟม 1.22; ฟม 1.25; ฮบ 1.3; ฮบ 1.4; ฮบ 1.5; ฮบ 1.6; ฮบ 1.7; ฮบ 1.8; ฮบ 1.9; ฮบ 1.10; ฮบ 1.12; ฮบ 1.13; ฮบ 2.3; ฮบ 2.4; ฮบ 2.5; ฮบ 2.7; ฮบ 2.8; ฮบ 2.9; ฮบ 2.10; ฮบ 2.12; ฮบ 2.16; ฮบ 2.17; ฮบ 3.2; ฮบ 3.5; ฮบ 3.6; ฮบ 3.7; ฮบ 3.8; ฮบ 3.9; ฮบ 3.10; ฮบ 3.11; ฮบ 3.13; ฮบ 3.15; ฮบ 3.17; ฮบ 3.18; ฮบ 4.1; ฮบ 4.3; ฮบ 4.4; ฮบ 4.5; ฮบ 4.7; ฮบ 4.9; ฮบ 4.10; ฮบ 4.12; ฮบ 4.13; ฮบ 4.14; ฮบ 4.15; ฮบ 5.5; ฮบ 5.6; ฮบ 5.10; ฮบ 5.12; ฮบ 5.14; ฮบ 6.1; ฮบ 6.5; ฮบ 6.6; ฮบ 6.10; ฮบ 6.14; ฮบ 6.17; ฮบ 6.19; ฮบ 7.1; ฮบ 7.2; ฮบ 7.3; ฮบ 7.4; ฮบ 7.5; ฮบ 7.10; ฮบ 7.14; ฮบ 7.15; ฮบ 7.17; ฮบ 7.21; ฮบ 7.24; ฮบ 7.27; ฮบ 8.9; ฮบ 8.10; ฮบ 8.11; ฮบ 8.12; ฮบ 9.4; ฮบ 9.7; ฮบ 9.9; ฮบ 9.11; ฮบ 9.12; ฮบ 9.13; ฮบ 9.14; ฮบ 9.15; ฮบ 9.23; ฮบ 9.24; ฮบ 9.25; ฮบ 9.28; ฮบ 10.1; ฮบ 10.10; ฮบ 10.12; ฮบ 10.13; ฮบ 10.16; ฮบ 10.17; ฮบ 10.19; ฮบ 10.20; ฮบ 10.21; ฮบ 10.28; ฮบ 10.29; ฮบ 10.30; ฮบ 10.31; ฮบ 10.34; ฮบ 10.35; ฮบ 10.36; ฮบ 10.38; ฮบ 11.3; ฮบ 11.4; ฮบ 11.5; ฮบ 11.6; ฮบ 11.7; ฮบ 11.14; ฮบ 11.16; ฮบ 11.17; ฮบ 11.18; ฮบ 11.21; ฮบ 11.22; ฮบ 11.23; ฮบ 11.24; ฮบ 11.25; ฮบ 11.26; ฮบ 11.27; ฮบ 11.34; ฮบ 11.35; ฮบ 11.39; ฮบ 12.2; ฮบ 12.5; ฮบ 12.10; ฮบ 12.13; ฮบ 12.15; ฮบ 12.16; ฮบ 12.22; ฮบ 12.23; ฮบ 12.24; ฮบ 12.25; ฮบ 12.26; ฮบ 12.28; ฮบ 12.29; ฮบ 13.3; ฮบ 13.6; ฮบ 13.7; ฮบ 13.10; ฮบ 13.11; ฮบ 13.12; ฮบ 13.15; ฮบ 13.17; ฮบ 13.21; ฮบ 13.23; ยก 1.1; ยก 1.2; ยก 1.3; ยก 1.11; ยก 1.14; ยก 1.16; ยก 1.18; ยก 1.19; ยก 1.20; ยก 1.21; ยก 1.23; ยก 1.25; ยก 1.26; ยก 1.27; ยก 2.1; ยก 2.2; ยก 2.3; ยก 2.5; ยก 2.14; ยก 2.18; ยก 2.21; ยก 2.22; ยก 2.23; ยก 3.1; ยก 3.6; ยก 3.9; ยก 3.10; ยก 3.12; ยก 3.13; ยก 3.14; ยก 3.18; ยก 4.1; ยก 4.3; ยก 4.4; ยก 4.8; ยก 4.9; ยก 4.10; ยก 4.11; ยก 4.14; ยก 4.16; ยก 5.2; ยก 5.3; ยก 5.4; ยก 5.5; ยก 5.8; ยก 5.10; ยก 5.11; ยก 5.12; ยก 5.14; ยก 5.16; ยก 5.20; 1ปต 1.1; 1ปต 1.2; 1ปต 1.3; 1ปต 1.5; 1ปต 1.7; 1ปต 1.9; 1ปต 1.11; 1ปต 1.13; 1ปต 1.14; 1ปต 1.17; 1ปต 1.18; 1ปต 1.19; 1ปต 1.21; 1ปต 1.22; 1ปต 1.23; 1ปต 1.24; 1ปต 1.25; 1ปต 2.5; 1ปต 2.9; 1ปต 2.10; 1ปต 2.11; 1ปต 2.12; 1ปต 2.15; 1ปต 2.16; 1ปต 2.18; 1ปต 2.21; 1ปต 2.22; 1ปต 2.23; 1ปต 2.24; 1ปต 2.25; 1ปต 3.1; 1ปต 3.2; 1ปต 3.3; 1ปต 3.5; 1ปต 3.6; 1ปต 3.7; 1ปต 3.10; 1ปต 3.12; 1ปต 3.14; 1ปต 3.15; 1ปต 3.16; 1ปต 3.22; 1ปต 4.2; 1ปต 4.3; 1ปต 4.10; 1ปต 4.11; 1ปต 4.13; 1ปต 4.14; 1ปต 4.15; 1ปต 4.17; 1ปต 4.19; 1ปต 5.1; 1ปต 5.2; 1ปต 5.3; 1ปต 5.6; 1ปต 5.7; 1ปต 5.8; 1ปต 5.9; 1ปต 5.10; 1ปต 5.12; 1ปต 5.13; 2ปต 1.1; 2ปต 1.2; 2ปต 1.3; 2ปต 1.4; 2ปต 1.8; 2ปต 1.11; 2ปต 1.14; 2ปต 1.16; 2ปต 1.17; 2ปต 1.19; 2ปต 1.20; 2ปต 1.21; 2ปต 2.2; 2ปต 2.3; 2ปต 2.5; 2ปต 2.7; 2ปต 2.8; 2ปต 2.9; 2ปต 2.11; 2ปต 2.12; 2ปต 2.13; 2ปต 2.15; 2ปต 2.16; 2ปต 2.19; 2ปต 2.20; 2ปต 3.1; 2ปต 3.2; 2ปต 3.3; 2ปต 3.5; 2ปต 3.8; 2ปต 3.9; 2ปต 3.10; 2ปต 3.12; 2ปต 3.13; 2ปต 3.15; 2ปต 3.16; 2ปต 3.17; 2ปต 3.18; 1ยน 1.1; 1ยน 1.3; 1ยน 1.4; 1ยน 1.7; 1ยน 1.9; 1ยน 1.10; 1ยน 2.1; 1ยน 2.2; 1ยน 2.3; 1ยน 2.4; 1ยน 2.5; 1ยน 2.9; 1ยน 2.10; 1ยน 2.11; 1ยน 2.12; 1ยน 2.14; 1ยน 2.16; 1ยน 2.17; 1ยน 2.19; 1ยน 3.1; 1ยน 3.2; 1ยน 3.5; 1ยน 3.8; 1ยน 3.9; 1ยน 3.10; 1ยน 3.12; 1ยน 3.13; 1ยน 3.14; 1ยน 3.15; 1ยน 3.16; 1ยน 3.17; 1ยน 3.18; 1ยน 3.19; 1ยน 3.20; 1ยน 3.21; 1ยน 3.22; 1ยน 3.23; 1ยน 3.24; 1ยน 4.2; 1ยน 4.9; 1ยน 4.10; 1ยน 4.12; 1ยน 4.13; 1ยน 4.14; 1ยน 4.15; 1ยน 4.17; 1ยน 4.20; 1ยน 4.21; 1ยน 5.2; 1ยน 5.3; 1ยน 5.4; 1ยน 5.5; 1ยน 5.9; 1ยน 5.10; 1ยน 5.11; 1ยน 5.12; 1ยน 5.13; 1ยน 5.14; 1ยน 5.16; 1ยน 5.19; 1ยน 5.20; 2ยน 1.1; 2ยน 1.4; 2ยน 1.6; 2ยน 1.9; 2ยน 1.11; 2ยน 1.12; 2ยน 1.13; 3ยน 1.2; 3ยน 1.4; 3ยน 1.6; 3ยน 1.7; 3ยน 1.10; 3ยน 1.12; 3ยน 1.14; ยด 1.1; ยด 1.4; ยด 1.6; ยด 1.7; ยด 1.9; ยด 1.11; ยด 1.12; ยด 1.13; ยด 1.14; ยด 1.16; ยด 1.17; ยด 1.18; ยด 1.20; ยด 1.21; ยด 1.24; ยด 1.25; วว 1.1; วว 1.2; วว 1.4; วว 1.5; วว 1.6; วว 1.9; วว 1.10; วว 1.14; วว 1.15; วว 1.16; วว 1.17; วว 1.20; วว 2.1; วว 2.2; วว 2.3; วว 2.4; วว 2.5; วว 2.6; วว 2.7; วว 2.9; วว 2.13; วว 2.14; วว 2.15; วว 2.16; วว 2.18; วว 2.19; วว 2.20; วว 2.21; วว 2.22; วว 2.23; วว 2.24; วว 2.26; วว 2.27; วว 3.1; วว 3.2; วว 3.4; วว 3.5; วว 3.7; วว 3.8; วว 3.9; วว 3.10; วว 3.11; วว 3.12; วว 3.15; วว 3.16; วว 3.18; วว 3.20; วว 3.21; วว 4.5; วว 4.11; วว 5.1; วว 5.5; วว 5.6; วว 5.7; วว 5.8; วว 5.9; วว 5.10; วว 6.9; วว 6.10; วว 6.11; วว 6.16; วว 6.17; วว 7.1; วว 7.2; วว 7.3; วว 7.4; วว 7.10; วว 7.12; วว 7.14; วว 7.15; วว 7.17; วว 8.3; วว 8.4; วว 8.11; วว 8.13; วว 9.3; วว 9.4; วว 9.13; วว 9.17; วว 9.19; วว 10.2; วว 10.6; วว 10.7; วว 10.8; วว 10.9; วว 10.10; วว 11.1; วว 11.3; วว 11.6; วว 11.8; วว 11.11; วว 11.15; วว 11.16; วว 11.17; วว 11.18; วว 11.19; วว 12.5; วว 12.7; วว 12.9; วว 12.10; วว 12.11; วว 12.12; วว 12.14; วว 12.17; วว 13.1; วว 13.2; วว 13.3; วว 13.6; วว 13.8; วว 13.10; วว 13.12; วว 13.14; วว 13.16; วว 13.17; วว 13.18; วว 14.1; วว 14.5; วว 14.8; วว 14.9; วว 14.10; วว 14.11; วว 14.12; วว 14.13; วว 14.15; วว 14.18; วว 14.19; วว 15.1; วว 15.2; วว 15.3; วว 15.4; วว 15.5; วว 15.7; วว 15.8; วว 16.1; วว 16.2; วว 16.3; วว 16.4; วว 16.6; วว 16.7; วว 16.8; วว 16.9; วว 16.10; วว 16.11; วว 16.12; วว 16.13; วว 16.14; วว 16.15; วว 16.17; วว 16.19; วว 17.2; วว 17.4; วว 17.5; วว 17.6; วว 17.7; วว 17.13; วว 17.16; วว 17.17; วว 18.1; วว 18.2; วว 18.3; วว 18.4; วว 18.5; วว 18.6; วว 18.8; วว 18.10; วว 18.11; วว 18.14; วว 18.15; วว 18.19; วว 18.23; วว 18.24; วว 19.1; วว 19.2; วว 19.5; วว 19.7; วว 19.8; วว 19.9; วว 19.10; วว 19.12; วว 19.13; วว 19.15; วว 19.16; วว 19.17; วว 19.19; วว 19.20; วว 19.21; วว 20.1; วว 20.4; วว 20.6; วว 20.8; วว 20.9; วว 20.13; วว 21.3; วว 21.4; วว 21.7; วว 21.8; วว 21.9; วว 21.11; วว 21.12; วว 21.14; วว 21.15; วว 21.17; วว 21.19; วว 21.23; วว 21.24; วว 21.26; วว 21.27; วว 22.1; วว 22.2; วว 22.3; วว 22.4; วว 22.6; วว 22.9; วว 22.12; วว 22.14; วว 22.16; วว 22.19; วว 22.21

ข้อง ( 2 )
1ซมอ 9.19 ซามูเอลตอบซาอูลว่า “ฉันเป็นผู้ทำนาย จงเดินขึ้นหน้าฉันไปยังปูชนียสถานสูงนั้น เพราะในวันนี้ท่านจะรับประทานอาหารกับฉัน และพรุ่งนี้เช้าฉันจึงจะให้ท่านไป และฉันจะบอกทุกอย่างที่ข้องอยู่ในใจของท่านแก่ท่าน
สดด 17.4 เกี่ยวด้วยกิจการของมนุษย์ โดยพระวจนะจากพระโอษฐ์ของพระองค์ ข้าพระองค์มิได้ข้องเกี่ยวกับทางแห่งคนทารุณโหดร้าย

ของกลาง ( 2 )
กจ 2.44 บรรดาผู้ที่เชื่อถือนั้นก็อยู่พร้อมกัน ณ ที่แห่งเดียว และทรัพย์สิ่งของของเขาเหล่านั้นเขาเอามารวมกันเป็นของกลาง
กจ 4.32 คนทั้งปวงที่เชื่อนั้นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และไม่มีใครอ้างว่าสิ่งของที่ตนมีอยู่เป็นของตน แต่ทั้งหมดเป็นของกลาง

ของกำนัล ( 34 )
ปฐก 32.13 คืนวันนั้นยาโคบพักอยู่ที่นั่นและคัดเอาของที่มีอยู่นั้นให้เป็นของกำนัลแก่เอซาวพี่ชายของตน
ปฐก 32.18 เจ้าจงตอบว่า ‘ของเหล่านี้เป็นของยาโคบผู้รับใช้ของท่าน เป็นของกำนัลส่งมาให้เอซาวนายของข้าพเจ้า และดูเถิด ยาโคบตามมาข้างหลัง’”
ปฐก 32.20 และเสริมว่า ‘ดูเถิด ยาโคบผู้รับใช้ของท่านกำลังตามมาข้างหลังพวกเรา’” เพราะยาโคบคิดว่า “ข้าจะระงับความโกรธของเอซาวได้ด้วยของกำนัลที่ส่งล่วงหน้าไป และภายหลังข้าจะเห็นหน้าเขา บางทีเขาจะยอมรับข้า”
ปฐก 32.21 ดังนั้น ของกำนัลต่างๆจึงล่วงหน้าไปก่อนเขา ส่วนตัวเขาคืนนั้นยังค้างอยู่ในค่าย
ปฐก 33.10 ยาโคบตอบว่า “มิได้ ข้าพเจ้าขอร้องท่านเถิด ถ้าข้าพเจ้าได้รับความกรุณาในสายตาของท่านแล้วขอรับของกำนัลนั้นจากมือข้าพเจ้า เพราะเหตุว่าข้าพเจ้าได้เห็นหน้าท่านก็เหมือนเห็นพระพักตร์ของพระเจ้า และท่านได้โปรดข้าพเจ้าแล้ว
ปฐก 43.11 ฝ่ายอิสราเอลบิดาของพวกเขาจึงบอกบุตรชายทั้งหลายว่า “ถ้าอย่างนั้นให้ทำดังนี้ คือเอาผลิตผลอย่างดีที่สุดที่มีในแผ่นดินนี้ คือพิมเสนบ้าง น้ำผึ้งบ้าง ยางไม้และมดยอบ ลูกนัทและลูกอัลมันด์ ใส่ภาชนะไปเป็นของกำนัลแก่ท่าน
ปฐก 43.15 คนเหล่านั้นก็เอาของกำนัลและเงินสองเท่าติดมือไปพร้อมกับเบนยามิน แล้วลุกขึ้นพากันเดินทางลงไปยังประเทศอียิปต์ และเข้าเฝ้าโยเซฟ
ปฐก 43.25 พวกพี่ชายก็จัดเตรียมของกำนัลไว้คอยท่าโยเซฟซึ่งจะมาในเวลาเที่ยง เพราะเขาได้ยินว่าเขาจะรับประทานอาหารกันที่นั่น
ปฐก 43.26 เมื่อโยเซฟกลับมาบ้าน เขาก็ยกของกำนัลที่ติดมือนั้นมาให้โยเซฟในบ้านแล้วกราบลงถึงดินต่อท่าน
2พกษ 5.15 แล้วท่านจึงกลับไปยังคนแห่งพระเจ้า ทั้งตัวท่านและพรรคพวกของท่าน และท่านมายืนอยู่ข้างหน้าเอลีชาและท่านกล่าวว่า “ดูเถิด บัดนี้ข้าพเจ้าทราบแล้วว่าไม่มีพระเจ้าทั่วไปในโลกนอกจากที่ในอิสราเอล เพราะฉะนั้นบัดนี้ขอท่านรับของกำนัลสักอย่างหนึ่งจากผู้รับใช้ของท่านเถิด”
2พกษ 8.8 กษัตริย์ตรัสกับฮาซาเอลว่า “จงนำของกำนัลไปพบคนแห่งพระเจ้า ให้ทูลถามพระเยโฮวาห์โดยท่านว่า ‘ข้าพเจ้าจะหายป่วยไหม’”
2พกษ 8.9 ฮาซาเอลจึงไปพบท่านนำของกำนัลไปด้วย คือสินค้าอย่างดีทุกอย่างของเมืองดามัสกัสจุอูฐต่างสี่สิบตัว เมื่อเขามายืนอยู่ต่อหน้าท่าน เขากล่าวว่า “บุตรของท่านคือเบนฮาดัด กษัตริย์แห่งซีเรีย ได้ทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่าน กล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าจะหายป่วยหรือ’”
2พกษ 16.8 อาหัสทรงนำเอาเงินและทองคำซึ่งมีอยู่ในพระนิเวศแห่งพระเยโฮวาห์ และในคลังสำนักพระราชวัง และส่งเป็นของกำนัลถวายแก่กษัตริย์แห่งอัสซีเรีย
2พกษ 18.31 อย่าฟังเฮเซคียาห์ เพราะกษัตริย์แห่งอัสซีเรียตรัสดังนี้ว่า ‘จงทำสัญญาไมตรีกับเราด้วยของกำนัล และออกมาหาเรา แล้วทุกคนจะได้กินจากเถาองุ่นของตน และทุกคนจะกินจากต้นมะเดื่อของตน และทุกคนจะดื่มน้ำจากที่ขังน้ำของตน
2พศด 17.11 คนฟีลิสเตียบางพวกได้นำของกำนัลมาถวายเยโฮชาฟัท และนำเงินมาเป็นบรรณาการ และพวกอาระเบียได้นำฝูงแพะแกะ คือแกะผู้เจ็ดพันเจ็ดร้อยตัว และแพะผู้เจ็ดพันเจ็ดร้อยตัวมาถวายพระองค์
2พศด 32.23 และคนเป็นอันมากนำของถวายพระเยโฮวาห์มายังกรุงเยรูซาเล็ม และของกำนัลต่างๆมาถวายเฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ พระองค์จึงทรงเป็นที่ยกย่องในสายตาของทั้งปวงตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมา
อสธ 2.18 แล้วกษัตริย์พระราชทานการเลี้ยงใหญ่แก่เจ้านายและข้าราชการทั้งปวงของพระองค์ เป็นการเลี้ยงของพระนางเอสเธอร์ พระองค์ทรงอนุมัติให้งดส่วยแก่มณฑลทั้งปวง และพระราชทานของกำนัล ด้วยพระทัยกว้างขวางของกษัตริย์
โยบ 6.22 ข้าพูดว่า ‘ขอของกำนัลข้าหน่อย’ หรือ ‘ขอสินบนจากทรัพย์สินของท่านให้ข้า’
สดด 45.12 ธิดาของเมืองไทระจะเอาของกำนัลมากำนัลเธอ คือเศรษฐีมั่งคั่งที่สุดของประชาชนจะขอความกรุณาจากเธอ
สดด 68.29 บรรดากษัตริย์จะนำของกำนัลมาถวายพระองค์ เนื่องด้วยพระวิหารของพระองค์ที่เยรูซาเล็ม
สดด 72.10 บรรดากษัตริย์แห่งเมืองทารชิชและของเกาะทั้งปวงจะถวายราชบรรณาการ บรรดากษัตริย์แห่งเชบาและเส-บาจะนำของกำนัลมา
สดด 76.11 จงปฏิญาณต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย และจงปฏิบัติตาม ให้คนที่อยู่รอบพระองค์นำของกำนัลมายังพระองค์ผู้ซึ่งเขาควรเกรงกลัว
สภษ 6.35 เขาจะไม่รับค่าทำขวัญใดๆ ถึงเจ้าจะทวีของกำนัล เขาก็ไม่ยอมสงบ
สภษ 17.8 ของกำนัลก็เป็นเหมือนเพชรพลอยในสายตาของเจ้าของ ไม่ว่ามันจะหันไปทางไหนก็เจริญรุ่งเรืองทางนั้น
สภษ 18.16 ของกำนัลของผู้หนึ่งผู้ใดย่อมเปิดทางให้ผู้นั้น และนำเขามาถึงคนใหญ่คนโต
สภษ 19.6 คนเป็นอันมากเอาอกเอาใจของเจ้านาย และทุกคนก็เป็นมิตรกับคนที่ให้ของกำนัล
สภษ 21.14 ให้ของกำนัลในที่ลับย่อมแปรความโกรธ ให้สินบนในอกก็แปรการพิโรธร้าย
สภษ 25.14 คนที่อวดว่าจะให้ของกำนัลแต่มิได้ให้ ก็เหมือนเมฆและลมที่ไม่มีฝน
สภษ 29.4 กษัตริย์ทรงให้เสถียรภาพแก่แผ่นดินด้วยความยุติธรรม แต่องค์ที่ทรงรับของกำนัลก็ทำให้แผ่นดินย่อยยับ
อสย 1.23 เจ้านายของเจ้าเป็นพวกกบฏและเป็นเพื่อนของโจร ทุกคนรักสินบนและวิ่งตามของกำนัล เขามิได้ป้องกันให้ลูกกำพร้าพ่อ และคดีของหญิงม่ายก็ไม่มาถึงเขา
อสย 18.7 ในครั้งนั้น เขาจะนำของกำนัลมาถวายแด่พระเยโฮวาห์จอมโยธาจากชนชาติที่ถูกกระจัดกระจายและถูกปอกเปลือก จากชนชาติที่เขากลัวตั้งแต่แรก จากประชาชาติที่เข้มแข็งและมักชนะ ซึ่งแผ่นดินของเขามีแม่น้ำแบ่ง ยังสถานที่แห่งพระนามของพระเยโฮวาห์จอมโยธา คือภูเขาศิโยน
อสย 36.16 อย่าฟังเฮเซคียาห์ เพราะกษัตริย์แห่งอัสซีเรียตรัสดังนี้ว่า ‘จงทำสัญญาไมตรีกับเราด้วยของกำนัล และออกมาหาเรา แล้วทุกคนจะได้กินจากเถาองุ่นของตน และทุกคนจะกินจากต้นมะเดื่อของตน และทุกคนจะดื่มน้ำจากที่ขังน้ำของตน
ฮบ 8.3 เพราะว่าทรงตั้งมหาปุโรหิตทุกคนขึ้นเพื่อให้ถวายของกำนัลและเครื่องบูชา ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นที่มหาปุโรหิตผู้นี้ต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดถวายด้วย
ฮบ 8.4 เพราะถ้าพระองค์ทรงอยู่ในโลก พระองค์ก็จะไม่ได้ทรงเป็นปุโรหิต เพราะว่ามีปุโรหิตที่ถวายของกำนัลตามพระราชบัญญัติอยู่แล้ว

ของกิน ( 3 )
วนฉ 14.14 ฝ่ายแซมสันจึงกล่าวแก่เขาว่า “มีของกินได้ออกมาจากตัวผู้กินเขา มีของหวานออกมาจากตัวที่แข็งแรง” ในสามวันเขาก็ยังแก้ปริศนานี้ไม่ได้
สภษ 6.8 มันเตรียมอาหารของมันในฤดูแล้ง และส่ำสมของกินของมันในฤดูเกี่ยว
ฮบ 9.10 ซึ่งเป็นแต่เพียงของกินของดื่ม และพิธีชำระล้างต่างๆ และเป็นพิธีสำหรับเนื้อหนังที่ได้บัญญัติไว้จนกว่าจะถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนแปลงใหม่

ของขม ( 2 )
อสย 24.9 เขาจะไม่ดื่มเหล้าองุ่นพร้อมกับการร้องเพลงอีก เมรัยก็จะเป็นของขมแก่ผู้ที่ดื่ม
มธ 27.34 เขาเอาน้ำองุ่นเปรี้ยวระคนกับของขมมาถวายพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงชิมก็ไม่เสวย

ของขวัญ ( 17 )
ปฐก 25.6 แต่อับราฮัมให้ของขวัญแก่บุตรชายทั้งหลายของพวกภรรยาน้อยของท่าน และให้พวกเขาแยกไปจากอิสอัคบุตรชายของท่าน ไปทางทิศตะวันออกยังประเทศตะวันออก เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่
ปฐก 33.11 ข้าพเจ้าอ้อนวอน ขอท่านรับของขวัญที่นำมาให้ท่าน เพราะพระเจ้าทรงโปรดกรุณาข้าพเจ้าและข้าพเจ้าก็มีพอเพียงแล้ว” เขาอ้อนวอนและเอซาวจึงรับไว้
ปฐก 34.12 ท่านจะเอาเงินสินสอดและของขวัญสักเท่าไรก็ตามใจ ท่านจะเรียกเท่าไร ข้าพเจ้าจะให้ แต่ขอยกหญิงนั้นเป็นภรรยาข้าพเจ้า”
ยชว 15.19 นางตอบว่า “ขอของขวัญให้ลูกสักอย่างหนึ่งเถิด เมื่อพ่อให้ลูกมาอยู่ในแผ่นดินภาคใต้แล้ว ลูกขอน้ำพุด้วย” คาเลบก็ยกน้ำพุบนและน้ำพุล่างให้แก่นาง
วนฉ 1.15 นางจึงตอบท่านว่า “ขอของขวัญให้ลูกสักอย่างหนึ่งเถิด เมื่อพ่อให้ลูกมาอยู่ในแผ่นดินภาคใต้แล้ว ลูกขอน้ำพุด้วย” และคาเลบก็ยกน้ำพุบนและน้ำพุล่างให้แก่นาง
1ซมอ 9.7 แล้วซาอูลพูดกับคนใช้ของท่านว่า “แต่ดูเถิด ถ้าเราไปเราจะเอาอะไรไปให้ชายผู้นั้น เพราะขนมปังในย่ามของเราก็หมดแล้ว เราไม่มีของขวัญที่จะนำไปให้แก่คนของพระเจ้า เรามีอะไรบ้าง”
1ซมอ 30.26 เมื่อดาวิดมาถึงเมืองศิกลากแล้ว ก็ส่งของที่ริบได้นั้นส่วนหนึ่งไปให้เพื่อน ซึ่งเป็นพวกผู้ใหญ่ในยูดาห์กล่าวว่า “ดูเถิด นี่เป็นของขวัญฝากมาให้ท่านซึ่งเป็นส่วนของของริบจากศัตรูของพระเยโฮวาห์”
อสธ 9.19 เพราะฉะนั้นพวกยิวในชนบท ที่อยู่ตามหัวเมืองที่ไม่มีกำแพง ถือวันที่สิบสี่ของเดือนอาดาร์เป็นวันแห่งความยินดีและกินเลี้ยง และถือเป็นวันรื่นเริง และเป็นวันที่เขาส่งของขวัญไปให้กันและกัน
อสธ 9.22 เป็นวันที่พวกยิวพ้นจากศัตรูของเขา และเป็นเดือนที่เปลี่ยนความโศกเศร้าเป็นความยินดี และการคร่ำครวญเป็นวันรื่นเริงให้แก่เขา และให้เขาถือเป็นวันกินเลี้ยงและวันยินดี เป็นวันที่ส่งของขวัญแก่กันและกัน และให้ของขวัญแก่คนจน
ยรม 40.5 ขณะเมื่อท่านยังไม่กลับไป เขากล่าวว่า “ท่านจงกลับไปหาเกดาลิยาห์บุตรชายอาหิคัม ผู้เป็นบุตรชายชาฟาน ผู้ซึ่งกษัตริย์แห่งบาบิโลนได้แต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าราชการบรรดาหัวเมืองยูดาห์ และอยู่กับเขาท่ามกลางประชาชน หรือจะไปที่ใดที่ท่านเห็นชอบจะไปก็ได้” ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์จึงสั่งอนุมัติเสบียงและให้ของขวัญแก่เยเรมีย์ แล้วก็ปล่อยท่านไป
อสค 46.16 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ถ้าเจ้านายนำเอาส่วนหนึ่งของมรดกของท่านมามอบให้แก่บุตรชายเป็นของขวัญ ก็ให้ของนั้นตกเป็นของบุตรชายของท่านโดยมรดกนั้นเป็นทรัพย์สินของเขาตามมรดก
อสค 46.17 แต่ถ้าท่านนำเอาส่วนหนึ่งของมรดกของท่านมามอบให้คนใช้ของท่านคนหนึ่งเป็นของขวัญ ของนั้นจะเป็นของคนใช้นั้นจนถึงปีอิสรภาพ แล้วของนั้นจะกลับมาเป็นของเจ้านาย เฉพาะบุตรชายของท่านเท่านั้นที่จะเก็บส่วนมรดกของท่านมาเป็นของขวัญได้
ดนล 2.6 แต่ถ้าเจ้าสำแดงความฝันและคำแก้ฝันให้เรา เจ้าจะได้รับของขวัญ รางวัล และเกียรติยศใหญ่ยิ่ง ฉะนั้นจงสำแดงความฝันและคำแก้ฝันให้เรา”
ดนล 11.38 แต่ในที่ของเขา เขาจะถวายเกียรติแก่พระของป้อมปราการ พระองค์หนึ่งที่บรรพบุรุษของเขาไม่รู้จัก เขาก็จะให้เกียรติด้วยทองคำและเงิน ด้วยเพชรพลอยต่างๆ ด้วยของขวัญอันมีค่า
วว 11.10 คนทั้งหลายซึ่งอยู่ในแผ่นดินโลกจะยินดีเพราะเขา และจะสนุกสนานรื่นเริง จะให้ของขวัญแก่กัน เพราะว่าผู้พยากรณ์ทั้งสองนี้ได้ทรมานคนเหล่านั้นที่อาศัยอยู่ในโลก”

ของดี ( 38 )
ปฐก 30.20 แล้วนางเลอาห์จึงว่า “พระเจ้าทรงประทานของดีให้ข้าพเจ้า บัดนี้สามีจะอาศัยอยู่กับข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าได้ให้บุตรชายแก่เขาหกคนแล้ว” นางจึงตั้งชื่อบุตรนั้นว่า เศบูลุน
ปฐก 45.18 พาบิดาและครอบครัวของเจ้ามาหาเรา เราจะประทานของดีที่สุดในแผ่นดินอียิปต์ให้พวกเจ้า พวกเจ้าจะได้รับประทานผลอันอุดมบริบูรณ์ของประเทศนี้’
ปฐก 45.20 อย่าเสียดายทรัพย์สมบัติเลย เพราะของดีที่สุดทั่วประเทศอียิปต์เป็นของเจ้าแล้ว”
ปฐก 45.23 โยเซฟฝากของต่อไปนี้ให้บิดา คือลาสิบตัวบรรทุกของดีที่สุดในประเทศอียิปต์ และลาตัวเมียอีกสิบตัวบรรทุกข้าว ขนมปัง และเสบียงอาหารสำหรับให้บิดารับประทานตามทาง
ลนต 27.12 แล้วปุโรหิตจะตีค่าว่าเป็นของดีของไม่ดี ท่านผู้เป็นปุโรหิตกำหนดราคาเท่าใดก็ให้เป็นเท่านั้น
กดว 10.29 โมเสสพูดกับโฮบับบุตรชายเรอูเอลคนมีเดียนพ่อตาของโมเสสว่า “เราทั้งหลายออกเดินไปสู่ที่ซึ่งพระเยโฮวาห์ตรัสไว้ว่า ‘เราจะยกให้แก่เจ้าทั้งหลาย’ เชิญไปกับเราเถิด และเราทั้งหลายจะทำดีแก่ท่าน เพราะพระเยโฮวาห์ทรงสัญญาให้ของดีแก่คนอิสราเอล”
กดว 18.29 จากบรรดาของที่พวกเจ้าได้รับ เจ้าจงนำเครื่องถวายทุกสิ่งที่ต้องถวายแด่พระเยโฮวาห์ จากบรรดาของดีที่สุดนั้นคือส่วนของที่บริสุทธิ์’
พบญ 6.11 และเรือนที่มีของดีเต็ม ซึ่งพวกท่านมิได้สะสมไว้ และบ่อขังน้ำ ที่ท่านมิได้ขุด และสวนองุ่นกับต้นมะกอกเทศ ซึ่งท่านมิได้ปลูกไว้ และเมื่อท่านได้รับประทานก็อิ่มหนำ
พบญ 26.11 ท่านจงปีติร่าเริงด้วยของดีทุกสิ่งซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน แก่ครอบครัวของท่าน แก่ตัวท่านเอง และคนเลวี และคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในหมู่พวกท่าน
อสร 9.12 เพราะฉะนั้นบัดนี้ อย่ามอบพวกบุตรสาวของเจ้าแก่พวกบุตรชายของเขา หรืออย่ารับพวกบุตรสาวของเขาให้พวกบุตรชายของเจ้า หรืออย่าเสริมสันติภาพและความเจริญมั่งคั่งของเขาทั้งหลายเป็นนิตย์ เพื่อเจ้าทั้งหลายจะแข็งแรง และกินของดีๆแห่งแผ่นดินนั้น และมอบแผ่นดินนั้นไว้เป็นมรดกแก่ลูกหลานของเจ้าทั้งหลายเป็นนิตย์’
นหม 9.25 และเขาจึงเข้ายึดหัวเมืองที่มีป้อม และแผ่นดินอุดม และถือกรรมสิทธิ์เรือนซึ่งเต็มด้วยของดีทั้งปวง ทั้งที่ขังน้ำซึ่งสกัดไว้ สวนองุ่น สวนมะกอกเทศ และต้นผลไม้มากมาย เขาจึงได้กินอิ่มจนอ้วน และปีติยินดีในพระคุณยิ่งของพระองค์
โยบ 21.25 อีกคนหนึ่งตายด้วยใจขมขื่น ไม่เคยได้ชิมของดี
โยบ 22.18 แต่พระองค์ทรงให้เรือนของเขาเต็มด้วยของดี แต่คำปรึกษาของคนชั่วห่างไกลจากข้า
โยบ 30.26 แต่เมื่อข้ามองหาของดี ของร้ายก็มาถึง และเมื่อข้าคอยความสว่าง ความมืดก็มาถึง
สดด 34.10 เหล่าสิงโตหนุ่มยังขาดแคลนและหิวโหย แต่บรรดาผู้ที่แสวงหาพระเยโฮวาห์จะไม่ขาดของดีใดๆ
สดด 34.12 มนุษย์คนใดผู้ปรารถนาชีวิตและรักวันคืนทั้งหลาย เพื่อเขาจะได้เห็นของดี
สดด 84.11 เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าทรงเป็นดวงอาทิตย์และเป็นโล่ พระเยโฮวาห์จะทรงปูนความกรุณาและเกียรติ พระองค์จะมิได้ทรงหวงของดีอันใดไว้เลยจากบุคคลผู้ดำเนินในความเที่ยงธรรม
สดด 103.5 ผู้ทรงให้ปากท่านอิ่มด้วยของดี วัยหนุ่มของท่านจึงกลับคืนมาใหม่อย่างวัยนกอินทรี
สดด 104.28 เมื่อพระองค์ประทานให้ มันก็เก็บไป เมื่อพระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์ออก มันก็อิ่มหนำด้วยของดี
สดด 107.9 เพราะผู้ที่กระหาย พระองค์ทรงให้เขาอิ่ม และผู้ที่หิว พระองค์ทรงให้เขาหนำใจด้วยของดี
สภษ 13.2 คนจะกินของดีจากผลปากของตน แต่จิตใจของคนละเมิดจะกินความทารุณ
สภษ 16.20 บุคคลผู้จัดการธุรกิจอย่างเฉลียวฉลาดจะพบของดี และคนที่วางใจในพระเยโฮวาห์จะเป็นสุข
สภษ 18.22 บุคคลที่พบภรรยาก็พบของดี และได้ความโปรดปรานจากพระเยโฮวาห์
สภษ 24.13 บุตรชายของเราเอ๋ย จงรับประทานน้ำผึ้งเพราะเป็นของดี และรวงผึ้งซึ่งมีรสหวาน
ปญจ 5.11 เมื่อของดีเพิ่มพูนขึ้น คนกินก็มีคับคั่งขึ้น คนที่เป็นเจ้าของทรัพย์จะได้ประโยชน์อะไร นอกจากจะได้ชมเล่นเป็นขวัญตาเท่านั้น
ปญจ 6.3 แม้ว่ามนุษย์คนใดมีบุตรสักร้อยคน และมีอายุอยู่หลายปี จนปีเดือนของเขาก็มากมาย แต่จิตใจของเขาหาได้อิ่มด้วยของดีไม่ ยิ่งกว่านั้นอีก เขาไม่มีงานฝังศพของตนด้วย ข้าพเจ้าว่าบุตรที่เกิดมาแท้งเสียยังดีกว่าคนนั้น
ปญจ 6.6 เออ แม้ว่าเขามีชีวิตอยู่พันปีทวีอีกเท่าตัว แต่ไม่ได้เห็นของดีอะไร ทุกคนมิได้ลงไปที่เดียวกันหมดดอกหรือ
ปญจ 7.11 สติปัญญาประกอบกับมรดกก็เป็นของดี การนั้นเป็นประโยชน์แก่คนที่ได้เห็นดวงตะวัน
อสย 55.2 ทำไมเจ้าจึงใช้เงินของเจ้าเพื่อของซึ่งไม่ใช่อาหาร และใช้ผลแรงงานซื้อสิ่งซึ่งมิให้อิ่มใจ จงเอาใจใส่ฟังเรา และรับประทานของดี และให้จิตใจปีติยินดีในไขมัน
ยรม 2.7 และเราได้พาเจ้าทั้งหลายเข้ามาในดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ เพื่อกินผลไม้และของดีๆในแผ่นดินนั้น แต่เมื่อเจ้าเข้ามา เจ้าได้กระทำให้แผ่นดินของเราเป็นมลทิน และกระทำให้มรดกของเราเป็นสิ่งน่าสะอิดสะเอียน
มธ 7.11 เหตุฉะนั้น ถ้าท่านทั้งหลายเองผู้เป็นคนชั่ว ยังรู้จักให้ของดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะประทานของดีแก่ผู้ที่ขอจากพระองค์
มธ 12.35 คนดีก็เอาของดีมาจากคลังดีแห่งใจนั้น คนชั่วก็เอาของชั่วมาจากคลังชั่ว
มก 9.50 เกลือเป็นของดี แต่ถ้าเกลือหมดรสเค็มแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้ ท่านทั้งหลายจงมีเกลือในตัว และจงอยู่สงบสุขซึ่งกันและกัน”
ลก 6.45 คนดีก็ย่อมเอาของดีออกจากคลังดีแห่งใจของตน และคนชั่วก็ย่อมเอาของชั่วออกจากคลังชั่วแห่งใจของตน ด้วยใจเต็มด้วยอะไร ปากก็พูดออกมาอย่างนั้น
ลก 11.13 เพราะฉะนั้น ถ้าท่านทั้งหลายเองผู้เป็นคนชั่ว ยังรู้จักให้ของดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ จะทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่ผู้ที่ขอต่อพระองค์”
ลก 16.25 แต่อับราฮัมตอบว่า ‘ลูกเอ๋ย เจ้าจงระลึกว่าเมื่อเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าได้ของดีสำหรับตัว และลาซารัสได้ของเลว แต่เดี๋ยวนี้เขาได้รับความเล้าโลม แต่เจ้าได้รับความทุกข์ทรมาน
1ทธ 4.4 ด้วยว่าสิ่งสารพัดซึ่งพระเจ้าได้ทรงสร้างไว้นั้นเป็นของดี ถ้าแม้รับประทานด้วยขอบพระคุณ ก็ไม่ห้ามเลยสักสิ่งเดียว

ของดื่ม ( 4 )
สดด 75.8 เพราะในพระหัตถ์ของพระเยโฮวาห์มีถ้วยลูกหนึ่ง มีน้ำองุ่นเป็นฟอง ประสมไว้ดี พระองค์ทรงเทของดื่มจากถ้วยนั้นและคนชั่วของแผ่นดินโลกทั้งสิ้นจะดื่มหมดทั้งตะกอน
ฮชย 2.5 เพราะว่ามารดาของเขาเล่นชู้ เธอผู้ที่ให้กำเนิดเขาทั้งหลายได้ประพฤติความอับอาย เพราะนางกล่าวว่า ‘ฉันจะตามคนรักของฉันไป ผู้ให้อาหารและน้ำแก่ฉัน เขาให้ขนแกะและป่านแก่ฉัน ทั้งน้ำมันและของดื่ม’
ยน 6.55 เพราะว่าเนื้อของเราเป็นอาหารแท้และโลหิตของเราก็เป็นของดื่มแท้
ฮบ 9.10 ซึ่งเป็นแต่เพียงของกินของดื่ม และพิธีชำระล้างต่างๆ และเป็นพิธีสำหรับเนื้อหนังที่ได้บัญญัติไว้จนกว่าจะถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนแปลงใหม่

ของต้องห้าม ( 4 )
พบญ 13.17 อย่าให้ของต้องห้ามนั้นมาติดพันมือของท่าน เพื่อว่าพระเยโฮวาห์จะทรงหันจากพระพิโรธยิ่งของพระองค์ และทรงสำแดงพระกรุณาคุณต่อท่าน และทรงเมตตาท่าน ให้ท่านทวีมากขึ้น ดังที่พระองค์ปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของท่านนั้น
กจ 10.14 ฝ่ายเปโตรจึงทูลว่า “มิได้ พระองค์เจ้าข้า เพราะว่าสิ่งซึ่งเป็นของต้องห้ามหรือของมลทินนั้น ข้าพระองค์ไม่เคยได้รับประทานเลย”
กจ 10.15 แล้วจึงมีพระสุรเสียงอีกเป็นครั้งที่สองว่าแก่ท่านว่า “ซึ่งพระเจ้าได้ทรงชำระแล้ว อย่าว่าเป็นของต้องห้าม”
กจ 11.9 แต่มีพระสุรเสียงตรัสจากฟ้าครั้งที่สองว่า ‘ซึ่งพระเจ้าได้ทรงชำระแล้ว เจ้าอย่าว่าเป็นของต้องห้าม’

ของถวาย ( 75 )
อพย 25.3 ของถวายซึ่งเจ้าจะต้องรับจากเขาคือ ทองคำ เงิน ทองสัมฤทธิ์
อพย 28.38 แผ่นทองคำนั้นจะอยู่ที่หน้าผากของอาโรน และอาโรนจะรับความชั่วช้าอันเกิดแก่ชนชาติอิสราเอลเนื่องจากของถวายอันบริสุทธิ์ ซึ่งนำมาชำระให้เป็นของถวายอันบริสุทธิ์ และแผ่นทองคำนั้นให้อยู่ที่หน้าผากของอาโรนเสมอ เพื่อสิ่งของเหล่านั้นจะเป็นที่โปรดปรานต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
อพย 29.27 และจงเอาเนื้อที่อกแกะตัวผู้ซึ่งเป็นเครื่องบูชาแกว่งนั้นไว้ และเนื้อโคนขาอันเป็นส่วนยกให้แก่ปุโรหิตซึ่งแกว่งไปแกว่งมา และซึ่งเป็นของถวายจากแกะใช้สำหรับการสถาปนา ด้วยเป็นส่วนของอาโรนและบุตรชายเขา
อพย 35.29 คนอิสราเอลทั้งชายหญิงทุกคนที่มีใจสมัครนำของถวายสำหรับการงานต่างๆ ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงบัญชาโมเสสไว้ให้กระทำก็นำของมาตามอำเภอใจถวายแด่พระเยโฮวาห์
อพย 36.3 คนเหล่านี้ได้รับของถวายทั้งหมดนั้นจากโมเสสที่คนอิสราเอลนำมาถวายเพื่อนำไปทำสถานบริสุทธิ์ พลไพร่ยังนำของที่สมัครใจจะถวายมาถวายอีกทุกๆเวลาเช้า
ลนต 1.10 ถ้าของถวายที่ผู้ใดจะใช้เป็นเครื่องเผาบูชามาจากฝูงแกะหรือฝูงแพะ ให้ผู้นั้นเลือกเอาสัตว์ตัวผู้ที่ไม่มีตำหนิ
ลนต 22.12 ถ้าบุตรสาวของปุโรหิตไปแต่งงานกับคนภายนอก เธอก็รับประทานของถวายแห่งสิ่งบริสุทธิ์นั้นไม่ได้
ลนต 23.38 นอกเหนือวันสะบาโตแห่งพระเยโฮวาห์ และนอกเหนือของถวายของเจ้า และนอกเหนือเครื่องปฏิญาณทั้งหลายของเจ้า และนอกเหนือเครื่องบูชาด้วยใจสมัครทั้งหลายของเจ้า ซึ่งเจ้านำมาถวายแด่พระเยโฮวาห์
กดว 7.13 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล และชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.17 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะอายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องสันติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของนาโชนบุตรชายของอัมมีนาดับ
กดว 7.19 เขาถวายของถวายของเขาเป็นจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.23 และวัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะอายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องสันติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของเนธันเอลบุตรชายของศุอาร์
กดว 7.25 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.29 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะอายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องสันติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของเอลีอับบุตรชายของเฮโลน
กดว 7.31 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.35 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะอายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องสันติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของเอลีซูร์บุตรชายของเชเดเออร์
กดว 7.37 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.41 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะอายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องสันติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของเชลูมิเอลบุตรชายของซูริชัดดัย
กดว 7.43 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.47 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะอายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องสันติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของเอลียาสาฟบุตรชายของเดอูเอล
กดว 7.49 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.53 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะอายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องสันติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของเอลีชามาบุตรชายของอัมมีฮูด
กดว 7.55 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.59 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะอายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องสันติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของกามาลิเอลบุตรชายของเปดาซูร์
กดว 7.61 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.65 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะอายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องสันติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของอาบีดันบุตรชายของกิเดโอนี
กดว 7.67 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.71 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะอายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องสันติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของอาหิเยเซอร์บุตรชายของอัมมีชัดดัย
กดว 7.73 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.77 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะอายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องสันติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของปากีเอลบุตรชายของโอคราน
กดว 7.79 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็มเพื่อเป็นธัญญบูชา
กดว 7.83 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะอายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องสันติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของอาหิราบุตรชายของเอนัน
กดว 7.84 ต่อไปนี้เป็นของถวายในงานมอบถวายแท่นบูชาจากประมุขของคนอิสราเอล ในวันที่มีพิธีเจิมแท่นบูชานั้นคือจานเงินสิบสองลูก ชามเงินสิบสองลูก ช้อนทองคำสิบสองลูก
กดว 7.88 สัตว์ทั้งหมดที่ถวายเป็นเครื่องสันติบูชา มีวัวผู้ยี่สิบสี่ แกะผู้หกสิบ แพะผู้หกสิบ และลูกแกะอายุหนึ่งขวบหกสิบ นี่แหละเป็นของถวายในงานมอบถวายแท่นบูชาเมื่อได้กระทำการเจิมแล้ว
กดว 18.8 แล้วพระเยโฮวาห์ตรัสกับอาโรนว่า “ดูเถิด เราได้ให้เครื่องบูชาของเราส่วนหนึ่งแก่เจ้า คือบรรดาของถวายของคนอิสราเอล เราให้แก่เจ้าส่วนหนึ่งและแก่ลูกหลานของเจ้าเป็นกฎถาวรเพราะเหตุพวกเจ้าได้รับการเจิมแล้ว
กดว 18.9 ในบรรดาของบริสุทธิ์ที่สุดส่วนซึ่งไม่ได้เผาไฟที่เป็นของของเจ้ามีดังนี้ บรรดาของถวายของเขา บรรดาธัญญบูชาของเขา บรรดาเครื่องบูชาไถ่บาปของเขา บรรดาเครื่องบูชาไถ่การละเมิดของเขา ซึ่งเขาถวายแก่เรา จะเป็นของบริสุทธิ์ที่สุดแก่เจ้าและแก่ลูกหลานของเจ้า
กดว 18.28 เพราะฉะนั้นเจ้าต้องนำของบูชาจากสิบชักหนึ่งทั้งสิ้นของเจ้าถวายแด่พระเยโฮวาห์ คือสิบชักหนึ่งที่เจ้ารับจากคนอิสราเอลนั้น จากส่วนได้นี้พวกเจ้าจงมอบของถวายแด่พระเยโฮวาห์แด่อาโรนปุโรหิต
กดว 18.32 เมื่อเจ้าได้ถวายส่วนที่ดีที่สุดแล้วเจ้าจะหามีโทษบาปโดยของถวายนั้นไม่ และเจ้าอย่าทำสิ่งบริสุทธิ์ของคนอิสราเอลให้มลทินเกลือกว่าเจ้าจะต้องตาย’”
กดว 31.28 และจงชักส่วนหนึ่งจากทหารที่ออกไปทำสงครามเป็นของถวายแด่พระเยโฮวาห์ ห้าร้อยชักหนึ่ง ทั้งคนและวัว และลาและฝูงแพะแกะ
กดว 31.41 โมเสสได้มอบส่วนที่ชักมาซึ่งเป็นของถวายแด่พระเยโฮวาห์นั้นแก่เอเลอาซาร์ปุโรหิตตามที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาไว้กับโมเสส
พบญ 12.17 ส่วนสิบชักหนึ่งของพืช หรือน้ำองุ่น หรือน้ำมัน หรือลูกคอกรุ่นแรกจากฝูงวัวหรือฝูงแพะแกะ หรือของถวายปฏิญาณตามที่ท่านปฏิญาณไว้ หรือของถวายตามใจสมัคร หรือของที่ท่านนำมายื่นถวาย ท่านทั้งหลายอย่ารับประทานภายในประตูเมืองของท่าน
ยชว 6.19 แต่บรรดาเงินและทอง และเครื่องใช้ที่ทำด้วยทองสัมฤทธิ์และเหล็กเป็นของถวายแด่พระเยโฮวาห์ ให้นำเข้าไปไว้ในคลังของพระเยโฮวาห์”
1ซมอ 2.17 ดังนี้แหละบาปของคนหนุ่มทั้งสองนั้นจึงใหญ่หลวงนักต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ เพราะว่าคนเหล่านั้นได้ดูหมิ่นของถวายแด่พระเยโฮวาห์
1ซมอ 2.29 เหตุใดเจ้าจึงเหยียบย่ำเครื่องสัตวบูชาของเรา และของที่เขาถวายตามบัญชาของเราในที่อาศัยของเรา และให้เกียรติแก่บุตรชายทั้งสองของเจ้าเหนือเรา และกระทำให้ตัวของเจ้าทั้งหลายอ้วนพี ด้วยส่วนที่ดีที่สุดจากของถวายทุกรายจากอิสราเอลชนชาติของเรา’
1ซมอ 3.14 เพราะฉะนั้นเราจึงปฏิญาณต่อวงศ์วานของเอลีว่า ความชั่วช้าของวงศ์วานเอลีนั้นจะลบล้างเสียด้วยเครื่องสัตวบูชา และของถวายไม่ได้เป็นนิตย์”
2ซมอ 1.21 เทือกเขากิลโบอาเอ๋ย ขออย่ามีน้ำค้างหรือฝนบนเจ้าหรือทุ่งนาที่ให้ของถวาย เพราะว่าที่นั่นโล่ของวีรบุรุษถูกทอดทิ้งแล้ว โล่ของซาอูลเหมือนกับว่าพระองค์มิได้เจิมไว้ด้วยน้ำมัน
2พกษ 12.4 เยโฮอาชตรัสกับพวกปุโรหิตว่า “เงินอันเป็นของถวายที่บริสุทธิ์ทั้งสิ้นซึ่งเขานำมาในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ เงินที่เรียกจากรายบุคคล คือเงินที่กำหนดให้เสียตามรายบุคคล และบรรดาเงินซึ่งประชาชนถวายด้วยความสมัครใจที่จะนำมาไว้ในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์
1พศด 26.26 เชโลมิทคนนี้และพี่น้องของเขาเป็นผู้ดูแลคลังของถวายทั้งสิ้น ซึ่งกษัตริย์ดาวิด และบรรดาหัวหน้า และนายพันนายร้อย และผู้บัญชาการกองทัพได้มอบถวายไว้
1พศด 26.28 และทุกสิ่งซึ่งซามูเอลผู้ทำนาย และซาอูลบุตรชายคีช และอับเนอร์บุตรชายเนอร์ และโยอาบบุตรชายนางเศรุยาห์ได้ถวายไว้ และผู้ใดก็ตามได้ถวายสิ่งใด ของถวายทั้งสิ้นก็อยู่ในความดูแลของเชโลมิทและพี่น้องของเขา
1พศด 28.12 และแผนผังทั้งสิ้นซึ่งพระองค์มีอยู่ในพระทัย ในเรื่องลานของพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และบรรดาห้องระเบียงรอบ และคลังสำหรับพระนิเวศของพระเจ้า และคลังสำหรับบรรดาของถวาย
2พศด 32.23 และคนเป็นอันมากนำของถวายพระเยโฮวาห์มายังกรุงเยรูซาเล็ม และของกำนัลต่างๆมาถวายเฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ พระองค์จึงทรงเป็นที่ยกย่องในสายตาของทั้งปวงตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมา
อสร 7.16 พร้อมทั้งเงินและทองคำทั้งสิ้นซึ่งเจ้าจะหาได้ทั่วไปในมณฑลบาบิโลน พร้อมกับของถวายด้วยใจสมัครของประชาชนและปุโรหิต เต็มใจถวายแด่พระนิเวศของพระเจ้าของเขา ซึ่งอยู่ในเยรูซาเล็ม
อสร 8.28 และข้าพเจ้าบอกเขาว่า “ท่านทั้งหลายบริสุทธิ์ต่อพระเยโฮวาห์ และเครื่องใช้ก็บริสุทธิ์ และเงินกับทองคำเป็นของถวายด้วยใจสมัครแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่านทั้งหลาย
อสค 20.26 และเราก็ได้ให้เขามลทินไปด้วยของถวายของเขาเอง โดยให้เขาถวายบุตรหัวปีให้ลุยไฟ เพื่อเราจะกระทำให้เขารกร้างไป เพื่อให้เขาทราบว่าเราคือพระเยโฮวาห์
อสค 20.39 เดี๋ยวนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า โอ วงศ์วานอิสราเอลเอ๋ย ฝ่ายเจ้าทั้งหลายทุกคนจงไปปรนนิบัติรูปเคารพของเจ้าเดี๋ยวนี้ และต่อไปถ้าเจ้าไม่ฟังเรา แต่ชื่ออันบริสุทธิ์ของเรานั้นเจ้าอย่ากระทำให้มลทินอีกด้วยของถวายและด้วยรูปเคารพของเจ้า
อสค 20.40 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า ด้วยว่าบนภูเขาบริสุทธิ์ของเรา คือภูเขาสูงของอิสราเอล บรรดาวงศ์วานทั้งหมดของอิสราเอลจะปรนนิบัติเราในแผ่นดินนั้น เราจะโปรดเขา ณ ที่นั่น ณ ที่นั่นเราจะเรียกของถวายของเจ้า และผลรุ่นแรกแห่งเครื่องบูชาของเจ้า กับเครื่องถวายบูชาอันบริสุทธิ์ทั้งสิ้นของเจ้า
อสค 42.13 แล้วท่านกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า “ห้องด้านเหนือและห้องด้านใต้ตรงข้ามสนามเป็นห้องบริสุทธิ์ ที่ปุโรหิตผู้เข้าใกล้พระเยโฮวาห์จะรับประทานของถวายอันบริสุทธิ์ที่สุด เขาจะวางของถวายอันบริสุทธิ์ที่สุดนั้นไว้ที่นั่น และธัญญบูชา เครื่องบูชาไถ่บาป เครื่องบูชาไถ่การละเมิดเพราะว่าที่นั่นบริสุทธิ์
อสค 44.30 และผลไม้ดีที่สุดของผลไม้รุ่นแรกทุกชนิดและของถวายทุกชนิดจากเครื่องถวายบูชาทั้งสิ้นของเจ้าจะเป็นของบรรดาปุโรหิตทั้งหลาย เจ้าจงมอบแป้งเปียกผลแรกของเจ้าให้แก่ปุโรหิต เพื่อว่าพระพรจะมีอยู่เหนือครัวเรือนของเจ้า
อสค 45.13 ต่อไปนี้เป็นกำหนดของถวายที่เจ้าทั้งหลายจะต้องถวาย คือข้าวสาลีโฮเมอร์หนึ่งให้ถวายหนึ่งในหกเอฟาห์ ข้าวบาร์เลย์โฮเมอร์หนึ่งให้ถวายหนึ่งในหกของเอฟาห์
อสค 45.15 แกะฝูงสองร้อยตัวก็ให้ถวายตัวหนึ่ง จากทุ่งเลี้ยงสัตว์อันอุดมของอิสราเอล องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า นี่แหละเป็นของถวายสำหรับธัญญบูชา เครื่องเผาบูชา และสันติบูชาเพื่อทำการลบมลทินให้เขาทั้งหลาย
อสค 45.16 ให้ประชาชนทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินนี้มอบของถวายเหล่านี้แก่เจ้านายแห่งอิสราเอล
มลค 1.9 ลองอ้อนวอนขอความชอบต่อพระเจ้า เพื่อพระองค์จะทรงพระกรุณาต่อพวกเราดูซี ด้วยของถวายดังกล่าวมานี้จากมือของเจ้า พระองค์จะทรงชอบพอเจ้าสักคนหนึ่งหรือ พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้แหละ
มลค 1.11 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า ตั้งแต่ที่ดวงอาทิตย์ขึ้นถึงที่ดวงอาทิตย์ตกนามของเราจะใหญ่ยิ่งท่ามกลางประชาชาติทั้งหลาย และเขาถวายเครื่องหอมและของถวายที่บริสุทธิ์แด่นามของเราทุกที่ทุกแห่ง เพราะว่านามของเรานั้นจะใหญ่ยิ่งท่ามกลางประชาชาติ
มธ 15.5 แต่พวกท่านกลับสอนว่า ‘ผู้ใดจะกล่าวแก่บิดามารดาว่า “สิ่งใดของข้าพเจ้าซึ่งอาจเป็นประโยชน์แก่ท่าน สิ่งนั้นเป็นของถวายแล้ว”
มก 7.11 แต่พวกเจ้ากลับสอนว่า ‘ผู้ใดจะกล่าวแก่บิดามารดาว่า “สิ่งใดของข้าพเจ้าซึ่งอาจเป็นประโยชน์แก่ท่าน สิ่งนั้นเป็นโกระบัน”’ แปลว่าเป็นของถวายแล้ว
1คร 16.3 เมื่อข้าพเจ้ามาถึงแล้ว พวกท่านเห็นชอบจะรับรองผู้ใดโดยจดหมายของท่าน ข้าพเจ้าจะใช้ผู้นั้นถือของถวายของท่านไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
2คร 8.4 และเขายังได้วิงวอนเรามากมายขอให้เรายอมรับของถวายนั้น และให้เขามีส่วนในการช่วยวิสุทธิชนด้วย
2คร 8.20 เราเจตนาจะไม่ให้คนหนึ่งคนใดติเตียนเราได้ ในเรื่องของถวายเป็นอันมากซึ่งเรารับมาแจกนั้น
2คร 9.5 เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงเห็นว่า สมควรจะวิงวอนให้พี่น้องเหล่านั้นไปหาท่านก่อนข้าพเจ้า และให้จัดเตรียมของถวายของท่านไว้ ตามที่ท่านได้สัญญาไว้แล้ว เพื่อของถวายนั้นจะมีอยู่พร้อม และจะเป็นของถวายที่ให้ด้วยใจศรัทธา มิใช่ให้ด้วยการฝืนใจ
ฮบ 11.4 โดยความเชื่อ อาแบลนั้นจึงได้นำเครื่องบูชาอันประเสริฐกว่าเครื่องบูชาของคาอินมาถวายแด่พระเจ้า เพราะเหตุเครื่องบูชานั้นจึงมีพยานว่าท่านเป็นคนชอบธรรม คือพระเจ้าทรงเป็นพยานแก่ของถวายของท่าน โดยความเชื่อนั้น แม้ว่าอาแบลตายแล้วท่านก็ยังพูดอยู่

ของถูกปล้น ( 2 )
ยรม 30.16 เพราะฉะนั้นทุกคนที่กินเจ้า เขาจะถูกกิน ปรปักษ์ของเจ้าหมดสิ้นทุกคนจะตกไปเป็นเชลย ผู้เหล่านั้นที่ปล้นเจ้า เขาจะเป็นของถูกปล้น และทุกคนที่กินเจ้าเป็นเหยื่อ เราจะทำเขาให้เป็นเหยื่อ
ศคย 2.9 เพราะ ดูเถิด เราจะสั่นมือของเราเหนือเขา และเขาจะเป็นของถูกปล้นให้แก่คนรับใช้ของเขาเอง’ แล้วเจ้าจะได้ทราบว่าพระเยโฮวาห์จอมโยธาใช้ข้าพเจ้ามา

ของที่ริบ ( 27 )
กดว 31.11 แล้วเก็บบรรดาของที่ริบได้และทรัพย์ที่ปล้นได้ทั้งคนและสัตว์ไปเสียสิ้น
กดว 31.12 แล้วเขานำเชลยและทรัพย์สินที่ปล้นได้กับของที่ริบได้ทั้งหมดมายังโมเสส และเอเลอาซาร์ปุโรหิต และชุมนุมชนอิสราเอลที่ค่าย ณ ที่ราบโมอับ ริมแม่น้ำจอร์แดนใกล้เมืองเยรีโค
พบญ 20.14 แต่ผู้หญิงและเด็ก สัตว์และทุกสิ่งในเมืองนั้น คือของที่ริบไว้ทั้งหมด ท่านจงยึดเอาเป็นของตัว ท่านจงอิ่มใจในของที่ริบมาจากศัตรูของท่าน ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน
ยชว 7.21 ในหมู่ของที่ริบมาข้าพเจ้าได้เห็นเสื้อคลุมงามตัวหนึ่งของเมืองบาบิโลน กับเงินสองร้อยเชเขล และทองคำแท่งหนึ่งหนักห้าสิบเชเขล ข้าพเจ้าก็โลภอยากได้ของเหล่านั้น ข้าพเจ้าจึงเอามา ดูเถิด ของเหล่านั้นซ่อนอยู่ใต้ดินในเต็นท์ของข้าพเจ้า เงินนั้นอยู่ข้างล่าง”
ยชว 22.8 กล่าวแก่เขาว่า “จงกลับไปยังเต็นท์ของท่านทั้งหลายพร้อมกับทรัพย์สมบัติมั่งคั่งมีฝูงสัตว์มากมาย มีเงิน ทองคำ ทองสัมฤทธิ์ และเหล็ก และเสื้อผ้าเป็นอันมาก จงแบ่งของที่ริบมาจากศัตรูของท่านให้แก่พี่น้องของท่าน”
วนฉ 5.30 ‘เขาทั้งหลายยังไม่พบและยังไม่แบ่งของที่ริบมาได้หรือ หญิงคนหนึ่งหรือสองคนได้แก่ชายคนหนึ่ง สิ่งของย้อมสีที่ริบมาเป็นของสิเสรา ของย้อมสีที่ปักลวดลาย ของย้อมสีที่ปักลวดลายสองหน้าสำหรับพันคอของข้าเป็นของที่ริบ’
1ซมอ 14.30 ถ้าวันนี้พวกพลได้กินของที่ริบมาจากศัตรูซึ่งเขาหามาได้อย่างอิ่มหนำจะดีกว่านี้สักเท่าใด เพราะขณะนี้การฆ่าฟันคนฟีลิสเตียก็จะมากกว่ามิใช่หรือ”
1ซมอ 14.32 และพวกพลก็วิ่งเข้าหาของที่ริบได้ เอาแกะและวัวและลูกวัวมาฆ่าเสีย ณ ที่นั้นเอง และพวกพลก็กินเนื้อพร้อมกับเลือด
1ซมอ 30.26 เมื่อดาวิดมาถึงเมืองศิกลากแล้ว ก็ส่งของที่ริบได้นั้นส่วนหนึ่งไปให้เพื่อน ซึ่งเป็นพวกผู้ใหญ่ในยูดาห์กล่าวว่า “ดูเถิด นี่เป็นของขวัญฝากมาให้ท่านซึ่งเป็นส่วนของของริบจากศัตรูของพระเยโฮวาห์”
2ซมอ 8.12 คือได้มาจากซีเรีย โมอับ คนอัมโมน คนฟีลิสเตีย อามาเลข และจากของที่ริบมาจากฮาดัดเอเซอร์โอรสของเรโหบ กษัตริย์เมืองโศบาห์
1พศด 26.27 จากของที่ริบได้ซึ่งเขาได้ในสงคราม เขาทั้งหลายมอบถวายเพื่อแก่การซ่อมแซมพระนิเวศของพระเยโฮวาห์
2พศด 14.13 อาสาและพลที่อยู่กับพระองค์ก็ไล่ตามเขาไปถึงเมืองเก-ราร์ และชาวเอธิโอเปียล้มตายมากจนไม่เหลือสักชีวิตเดียว เพราะเขาได้แตกพ่ายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์และกองทัพของพระองค์ คนยูดาห์ได้เก็บของที่ริบได้มากมายนักหนา
2พศด 14.14 และเขาก็โจมตีบรรดาหัวเมืองรอบเมืองเก-ราร์ เพราะว่าความกลัวพระเยโฮวาห์นั้นมาครอบเขาทั้งหลาย เขาได้ปล้นหัวเมืองทั้งสิ้น เพราะมีของที่ริบได้ในนั้นมาก
2พศด 20.25 เมื่อเยโฮชาฟัทและประชาชนของพระองค์มาเก็บของที่ริบจากเขาทั้งหลาย พร้อมกับศพทั้งหลายนั้นเขาพบสิ่งของเป็นจำนวนมาก ทั้งทรัพย์สมบัติและเพชรพลอยต่างๆ ซึ่งเขาเก็บมามากสำหรับตัวจนขนไปไม่ไหว เขาเก็บของที่ริบได้เหล่านั้นสามวัน เพราะมากเหลือเกิน
2พศด 24.23 ต่อมาพอปลายปีกองทัพของคนซีเรียก็มาต่อสู้กับโยอาช เขามายังยูดาห์และเยรูซาเล็ม และได้ทำลายบรรดาเจ้านายของประชาชนจากหมู่ประชาชน และส่งของที่ริบได้ทั้งสิ้นไปยังกษัตริย์แห่งดามัสกัส
2พศด 28.14 เพราะฉะนั้น ผู้ถืออาวุธจึงทิ้งเชลยและของที่ริบมาต่อหน้าเจ้านายและชุมนุมชนทั้งปวง
2พศด 28.15 และผู้ชายซึ่งถูกระบุชื่อนั้นได้ลุกขึ้นเอาเสื้อผ้าอันเป็นของที่ริบมาให้แก่คนที่เปลือยกายอยู่ในพวกเชลยและเขาก็นุ่งห่มให้เขาไว้ และให้รองเท้า และจัดหาอาหารและเครื่องดื่มให้ และชโลมเขา และนำคนที่อ่อนเปลี้ยในพวกเขาขึ้นลา นำเขากลับมายังญาติพี่น้องของเขาที่เมืองเยรีโค คือเมืองต้นอินทผลัม และเขาทั้งหลายก็กลับไปยังสะมาเรีย
สภษ 1.13 เราจะพบของประเสริฐทุกอย่าง เราจะบรรจุเรือนของเราให้เต็มด้วยของที่ริบได้
อสย 3.14 พระเยโฮวาห์จะทรงเข้าพิพากษาพวกผู้ใหญ่และเจ้านายชนชาติของพระองค์ “เจ้าทั้งหลายนี่แหละซึ่งได้กลืนกินสวนองุ่นเสีย ของที่ริบมาจากคนจนก็อยู่ในเรือนของเจ้า
อสย 8.4 เพราะก่อนที่เด็กจะรู้ที่จะร้องเรียก ‘พ่อ แม่’ ได้ ทรัพย์สมบัติของดามัสกัสและของที่ริบได้จากสะมาเรีย จะถูกขนเอาไปต่อพระพักตร์กษัตริย์อัสซีเรีย”
อสย 33.4 ของที่ริบได้ของเจ้าก็ถูกรวบรวมเหมือนตั๊กแตนวัยคลานเก็บรวบรวม คนก็กระโดดตะครุบอย่างตั๊กแตนวัยบินโดดตะครุบ
อสย 33.23 สายโยงของเจ้าห้อยหย่อน มันจะยึดเสาให้แน่นไม่ได้ หรือยึดใบให้กางไม่ได้ แล้วเขาจะแบ่งเหยื่อและของที่ริบได้เป็นอันมากนั้น แม้คนง่อยก็จะเอาเหยื่อได้
ยรม 49.32 อูฐของเขาทั้งหลายจะกลายเป็นของที่ปล้นมาได้ และฝูงวัวอันมากมายของเขาจะเป็นของที่ริบมา พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เราจะกระจายเขาไปทุกทิศลม คือคนที่อยู่ในมุมที่ไกลที่สุด และเราจะนำภัยพิบัติมาจากทุกด้านของเขา
ดนล 11.24 เขาจะยกมาอย่างสงบในส่วนของประเทศที่อุดมที่สุด และเขาจะกระทำสิ่งที่ปู่ทวดหรือบรรพบุรุษของเขาไม่กระทำ เขาจะเอาทรัพย์ที่ปล้นมา ของที่ริบมาได้ และทรัพย์สมบัติมาแจกกัน เขาจะออกอุบายต่อสู้กับที่กำบังเข้มแข็ง แต่ก็ชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น

ของเท็จ ( 2 )
ยรม 10.14 มนุษย์ทุกคนโฉดในทางความรู้ของตน ช่างทองทุกคนจะได้อายเพราะรูปเคารพสลักของตน เพราะรูปเคารพหล่อของเขาเป็นของเท็จ และไม่มีลมหายใจในรูปเคารพนั้น
ยรม 51.17 มนุษย์ทุกคนโฉดในทางความรู้ของตน ช่างทองทุกคนจะได้อายเพราะรูปเคารพสลักของตน เพราะรูปเคารพหล่อของเขาเป็นของเท็จ และไม่มีลมหายใจในรูปเคารพนั้น

ของเน่า ( 1 )
โยบ 13.28 มนุษย์ก็ทรุดโทรมไปเหมือนของเน่า เหมือนเครื่องแต่งกายที่ตัวมอดกิน’”

ของบรรทุก ( 3 )
กจ 21.3 ครั้นแลเห็นเกาะไซปรัสแล้ว เราก็ผ่านเกาะนั้นไปข้างขวา แล่นไปยังแคว้นซีเรีย จอดเรือที่ท่าเมืองไทระ เพราะจะเอาของบรรทุกขึ้นท่าที่นั่น
กจ 27.10 ว่า “ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าเห็นว่าซึ่งเราจะแล่นไปคราวนี้จะมีอันตรายและเสียหายมาก มิใช่แต่ของบรรทุกกับเรือกำปั่นเท่านั้นแต่ชีวิตของเราทั้งหลายด้วย”
กจ 27.18 ครั้นรุ่งขึ้นเราก็ขนของบรรทุกทิ้งเสีย เพราะถูกพายุใหญ่

ของบริจาค ( 2 )
นหม 12.44 ในวันนั้น เขาแต่งตั้งบางคนให้ดูแลห้องสำหรับพัสดุ ของบริจาค ผลไม้รุ่นแรก ส่วนสิบชักหนึ่ง ให้รวบรวมปันส่วนซึ่งกำหนดไว้ในพระราชบัญญัติสำหรับปุโรหิตและคนเลวีเข้ามาไว้ในนั้น ตามไร่นาในหัวเมืองเหล่านั้น เพราะยูดาห์เปรมปรีดิ์ด้วยเรื่องบรรดาปุโรหิต และคนเลวีผู้ปรนนิบัติอยู่นั้น
นหม 13.5 ได้จัดห้องใหญ่ห้องหนึ่งให้โทบีอาห์ เป็นห้องที่แต่ก่อนใช้เก็บธัญญบูชา กำยาน เครื่องใช้ต่างๆ และสิบชักหนึ่งที่เป็นข้าว น้ำองุ่นใหม่ และน้ำมัน ซึ่งเขาให้ไว้ตามบัญญัติให้แก่คนเลวี นักร้อง คนเฝ้าประตูและของบริจาคสำหรับปุโรหิต

ของบริสุทธิ์ ( 35 )
อพย 29.33 ให้เขากินของซึ่งนำมาบูชาลบมลทิน เพื่อจะสถาปนาและชำระเขาเหล่านั้นให้บริสุทธิ์ แต่คนภายนอกอย่าให้รับประทาน เพราะเป็นของบริสุทธิ์
อพย 29.34 และถ้าแม้เนื้อที่ใช้ในพิธีสถาปนา และขนมปังนั้นยังเหลืออยู่จนรุ่งเช้าบ้าง ก็ให้เผาส่วนที่เหลือนั้นด้วยไฟเสีย อย่าให้รับประทานเพราะเป็นของบริสุทธิ์
อพย 30.35 จงผสมเครื่องหอมปรุงตามศิลปช่างปรุงเจือด้วยเกลือให้เป็นของบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์
ลนต 5.15 “ถ้าผู้ใดทำการละเมิดและทำบาปโดยไม่รู้ตัวในเรื่องของบริสุทธิ์แห่งพระเยโฮวาห์ ให้ผู้นั้นนำแกะตัวผู้ที่ปราศจากตำหนิจากฝูงเป็นเครื่องบูชาไถ่การละเมิดถวายแด่พระเยโฮวาห์ ให้เจ้าตีราคาเป็นเงินเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ เป็นเครื่องบูชาไถ่การละเมิด
ลนต 5.16 และให้ผู้นั้นชดใช้ของบริสุทธิ์ที่ขาดไป และเพิ่มอีกหนึ่งในห้าของราคาสิ่งที่ขาดไปนั้น นำมอบให้แก่ปุโรหิต และปุโรหิตจะทำการลบมลทินของเขาด้วยแกะผู้ที่ถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่การละเมิด และเขาจะได้รับการอภัย
ลนต 6.25 “จงกล่าวแก่อาโรนและบุตรชายของเขาว่า ต่อไปนี้เป็นพระราชบัญญัติของการถวายเครื่องบูชาไถ่บาป ให้ฆ่าสัตว์ที่เป็นเครื่องบูชาไถ่บาปในที่ที่ฆ่าสัตว์อันเป็นเครื่องเผาบูชาต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ เป็นของบริสุทธิ์ที่สุด
ลนต 6.29 ผู้ชายทุกคนที่เป็นปุโรหิตรับประทานได้ เป็นของบริสุทธิ์ที่สุด
ลนต 7.6 ผู้ชายทุกคนที่เป็นปุโรหิตรับประทานได้ ให้รับประทานในสถานบริสุทธิ์ เป็นของบริสุทธิ์ที่สุด
ลนต 8.10 แล้วโมเสสนำน้ำมันเจิมมาเจิมพลับพลาและทุกสิ่งที่อยู่ในนั้น ชำระให้เป็นของบริสุทธิ์
ลนต 8.11 และท่านเอาน้ำมันเจิมประพรมบนแท่นเจ็ดครั้ง เจิมแท่นและเจิมภาชนะประจำแท่นทั้งหมด เจิมขันและพานรองขันเพื่อชำระให้เป็นของบริสุทธิ์
ลนต 10.10 เจ้าจงแยกของบริสุทธิ์จากของไม่บริสุทธิ์และของมลทินจากของไม่มลทิน
ลนต 10.12 โมเสสกล่าวแก่อาโรนและเอเลอาซาร์ และอิธามาร์ บุตรชายของเขาผู้ที่เหลืออยู่ว่า “จงเอาธัญญบูชาซึ่งเหลือจากการบูชาด้วยไฟถวายแด่พระเยโฮวาห์ มารับประทานที่ริมแท่นบูชาไม่ใส่เชื้อ เพราะเป็นของบริสุทธิ์ที่สุด
ลนต 10.17 “เหตุไฉนท่านจึงมิได้รับประทานเครื่องบูชาไถ่บาปในที่บริสุทธิ์ ในเมื่อเป็นของบริสุทธิ์ที่สุด และพระเจ้าได้ประทานของเหล่านั้นให้แก่ท่านเพื่อท่านจะได้รับความชั่วช้าของชุมนุมชน เพื่อทำการลบมลทินบาปของเขาทั้งหลายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
ลนต 12.4 ให้นางคอยอยู่อีกสามสิบสามวันด้วยเรื่องโลหิตชำระของนาง อย่าให้นางแตะต้องของบริสุทธิ์อันใด หรือเข้าไปในสถานบริสุทธิ์ จนกว่าจะครบวันชำระของนาง
ลนต 14.13 ให้ปุโรหิตฆ่าลูกแกะนั้นในที่ที่เขาฆ่าสัตว์อันเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปและสัตว์อันเป็นเครื่องเผาบูชาในที่บริสุทธิ์ เพราะว่าเครื่องบูชาไถ่การละเมิดก็เหมือนเครื่องบูชาไถ่บาป เป็นของที่ตกแก่ปุโรหิต เป็นของบริสุทธิ์ที่สุด
ลนต 19.24 และปีที่สี่ ผลที่ได้ทั้งหมดจะเป็นของบริสุทธิ์เพื่อใช้ในการสรรเสริญพระเยโฮวาห์
ลนต 21.22 เขาจะรับประทานพระกระยาหารแห่งพระเจ้าของเขาได้ ทั้งของที่บริสุทธิ์ที่สุด และของบริสุทธิ์
ลนต 22.3 จงกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า ‘คนใดก็ตามในเชื้อสายของเจ้าตลอดชั่วอายุเข้าใกล้ของบริสุทธิ์ ซึ่งคนอิสราเอลถวายแด่พระเยโฮวาห์ ขณะที่เขามีมลทินอยู่ คนนั้นจะต้องถูกตัดขาดให้พ้นหน้าเรา เราคือพระเยโฮวาห์
ลนต 22.4 อย่าให้เชื้อสายอาโรนคนใดที่เป็นโรคเรื้อนหรือมีสิ่งไหลออกมารับประทานของบริสุทธิ์ ให้รอจนกว่าเขาสะอาดแล้วก่อน ผู้ใดแตะต้องสิ่งที่มลทินโดยแตะต้องศพหรือผู้ที่มีน้ำกามไหลออก
ลนต 27.9 ถ้าเป็นสัตว์อย่างที่มนุษย์นำมาถวายพระเยโฮวาห์ สิ่งใดๆที่มนุษย์ถวายแด่พระเยโฮวาห์ถือว่าเป็นของบริสุทธิ์
ลนต 27.14 เมื่อคนใดถวายเรือนของตนไว้เป็นของบริสุทธิ์แด่พระเยโฮวาห์ ปุโรหิตต้องกำหนดราคาตามดีไม่ดี ปุโรหิตกำหนดราคาเท่าใดก็ให้เป็นเท่านั้น
ลนต 27.21 แต่นานั้นเมื่อออกไปในปีเสียงแตรก็เป็นของบริสุทธิ์แด่พระเยโฮวาห์ ดุจนาที่ตั้งถวายจึงเป็นของปุโรหิต
ลนต 27.33 อย่าให้พิจารณาว่าดีหรือไม่ดี อย่าให้เขาสับเปลี่ยน ถ้าเขาสับเปลี่ยน ทั้งตัวที่นำมาเปลี่ยนกับตัวที่ถูกเปลี่ยนเป็นของบริสุทธิ์ ไถ่ไม่ได้”
กดว 4.15 เมื่ออาโรนและบุตรชายคลุมสถานบริสุทธิ์และคลุมบรรดาเครื่องใช้ของสถานบริสุทธิ์เสร็จแล้ว เมื่อถึงเวลาเคลื่อนย้ายค่ายลูกหลานโคฮาทจึงจะเข้ามาหาม แต่เขาต้องไม่แตะต้องของบริสุทธิ์เหล่านั้นเกลือกว่าเขาจะต้องตาย สิ่งเหล่านี้แหละที่เป็นของประจำพลับพลาแห่งชุมนุมซึ่งลูกหลานของโคฮาทจะต้องหาม
กดว 4.19 แต่จงกระทำแก่เขาเพื่อจะให้มีชีวิตและไม่ตาย เมื่อเขาทั้งหลายเข้ามาใกล้ของบริสุทธิ์ที่สุดเหล่านั้น คืออาโรนและบุตรชายทั้งหลายของอาโรนจะเข้าไปตั้งเขาทั้งหลายไว้ตามงานและภาระของเขาทุกคน
กดว 4.20 แต่อย่าให้คนโคฮาทเข้าไปมองของบริสุทธิ์แม้แต่อึดใจเดียวเกลือกว่าเขาจะต้องตาย”
กดว 5.9 และของบริสุทธิ์ที่คนอิสราเอลนำมาถวายทุกสิ่งอันนำมาให้แก่ปุโรหิตก็ตกเป็นของปุโรหิต
กดว 18.9 ในบรรดาของบริสุทธิ์ที่สุดส่วนซึ่งไม่ได้เผาไฟที่เป็นของของเจ้ามีดังนี้ บรรดาของถวายของเขา บรรดาธัญญบูชาของเขา บรรดาเครื่องบูชาไถ่บาปของเขา บรรดาเครื่องบูชาไถ่การละเมิดของเขา ซึ่งเขาถวายแก่เรา จะเป็นของบริสุทธิ์ที่สุดแก่เจ้าและแก่ลูกหลานของเจ้า
กดว 18.10 เจ้าจงรับประทานสิ่งเหล่านี้ในที่บริสุทธิ์ที่สุด ผู้ชายทุกคนรับประทานได้ เป็นของบริสุทธิ์แก่เจ้า
กดว 18.17 แต่ลูกหัวปีของวัว หรือลูกหัวปีของแกะ หรือลูกหัวปีของแพะ เจ้าไม่ต้องไถ่เพราะเป็นของบริสุทธิ์ เจ้าจงเอาเลือดของมันพรมบนแท่นบูชา และเอาไขมันของมันเผาเป็นเครื่องบูชาด้วยไฟ ให้เป็นกลิ่นที่พอพระทัยแด่พระเยโฮวาห์
สภษ 20.25 ที่คนจะกินของบริสุทธิ์ และมาสอบถามเมื่อปฏิญาณไปแล้ว ทั้งสองเป็นบ่วงดักตนเอง
อสย 23.18 สินค้าของมันและสินจ้างของมันจะเป็นของบริสุทธิ์ถวายแด่พระเยโฮวาห์ จะไม่สะสมไว้หรือเก็บนิ่งไว้ แต่สินค้าของมันจะอำนวยอาหารอุดมและเสื้อผ้างามแก่บรรดาผู้ที่อยู่ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
อสค 44.23 เขาทั้งหลายจะต้องสั่งสอนประชาชนของเราถึงความแตกต่างระหว่างของบริสุทธิ์และของสามัญ และกระทำให้เขาสังเกตแยกแยะระหว่างของมลทินกับของสะอาดได้
ศคย 14.21 เออ และหม้อทุกลูกในเยรูซาเล็มและยูดาห์จะเป็นของบริสุทธิ์แด่พระเยโฮวาห์จอมโยธา เพื่อว่าทุกคนที่มาถวายสัตวบูชาจะเอาหม้อไปบ้าง และจะต้มเนื้อในหม้อเหล่านั้น ในวันนั้นจะไม่มีคนคานาอันในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์จอมโยธาอีกต่อไป

ของบูชา ( 14 )
ลนต 1.14 ถ้าผู้ใดจะนำนกมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแด่พระเยโฮวาห์ ก็ให้ผู้นั้นนำของบูชาที่เป็นนกเขาหรือนกพิราบหนุ่มมาถวาย
ลนต 7.14 ให้เขาถวายของบูชาเหล่านี้ส่วนหนึ่งจากทั้งหมดแด่พระเยโฮวาห์ ซึ่งเป็นส่วนยกให้แก่ปุโรหิตผู้เอาเลือดสันติบูชาประพรม
ลนต 17.4 และมิได้นำมาที่ประตูพลับพลาแห่งชุมนุมเพื่อถวายเป็นของบูชาแด่พระเยโฮวาห์ที่หน้าพลับพลาแห่งพระเยโฮวาห์ ผู้นั้นต้องมีโทษด้วยมีบาปเรื่องเลือด คือเขาทำให้เลือดตก ผู้นั้นจะต้องถูกตัดขาดจากชนชาติของตน
กดว 7.3 และได้นำของบูชามาถวายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ มีเกวียนประทุนหกเล่มกับวัวหกคู่ ประมุขสองคนนำเกวียนเล่มหนึ่งและวัวคนละตัว ถวายเสียที่หน้าพลับพลา
กดว 7.10 และบรรดาประมุขก็นำของบูชามาเพื่อแก่งานมอบถวายแท่นบูชาในวันที่ทำพิธีเจิมแท่นบูชานั้น และพวกประมุขต่างก็ถวายเครื่องบูชาของตนหน้าแท่นบูชา
กดว 18.28 เพราะฉะนั้นเจ้าต้องนำของบูชาจากสิบชักหนึ่งทั้งสิ้นของเจ้าถวายแด่พระเยโฮวาห์ คือสิบชักหนึ่งที่เจ้ารับจากคนอิสราเอลนั้น จากส่วนได้นี้พวกเจ้าจงมอบของถวายแด่พระเยโฮวาห์แด่อาโรนปุโรหิต
กดว 28.2 “จงบัญชาคนอิสราเอลและกล่าวแก่เขาว่า ของบูชาของเรา อาหารของเราซึ่งเป็นของบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นที่พอพระทัย เจ้าทั้งหลายจงเอาใจใส่ที่จะถวายบูชาแก่เราตามกาลกำหนด
ยชว 13.14 เฉพาะตระกูลเลวีตระกูลเดียวโมเสสหาได้มอบมรดกให้ไม่ ของบูชาด้วยไฟที่ถวายแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลเป็นมรดกของเขา ดังที่พระองค์ตรัสไว้แก่เขาแล้ว
1พศด 23.29 และช่วยเกี่ยวกับเรื่องขนมปังหน้าพระพักตร์ด้วย เรื่องยอดแป้งสำหรับธัญญบูชา ขนมไร้เชื้อแผ่นของปิ้งบูชา ของบูชาคลุกน้ำมัน และเครื่องตวง เครื่องวัดทุกขนาด
2พศด 31.14 โคเร บุตรชายอิมนาห์คนเลวี ผู้เฝ้าประตูตะวันออก เป็นผู้ดูแลของบูชาที่ถวายตามใจสมัครแก่พระเจ้า แจกส่วนบริจาคที่สงวนไว้สำหรับพระเยโฮวาห์และสิ่งบริสุทธิ์ที่สุด
อสค 20.31 เมื่อเจ้าถวายของบูชาและถวายบุตรชายให้ลุยไฟ เจ้าได้กระทำตัวให้มลทินด้วยบรรดารูปเคารพของเจ้าจนทุกวันนี้ โอ วงศ์วานอิสราเอลเอ๋ย เราจะให้เจ้ามาถามเราหรือ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด เราจะไม่ให้เจ้ามาถามเราฉันนั้น
มลค 1.13 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า เจ้ากล่าวว่า ‘ดูเถิด อย่างนี้น่าอ่อนระอาใจจริง’ แล้วเจ้าก็ทำฮึดฮัดกับเรา เจ้านำเอาสิ่งที่ได้แย่งมา หรือสิ่งที่พิการหรือป่วย ของเหล่านี้แหละเจ้านำมาเป็นของบูชา พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เราจะรับของนั้นจากมือของเจ้าได้หรือ
1คร 8.7 มิใช่ว่าทุกคนมีความรู้อย่างนี้ เพราะมีบางคนมีจิตสำนึกผิดชอบเรื่องรูปเคารพว่า เมื่อได้กินอาหารนั้นก็ถือว่าเป็นของบูชาแก่รูปเคารพจริงๆ และจิตสำนึกผิดชอบของเขายังอ่อนอยู่จึงเป็นมลทิน

ของปฏิญาณ ( 1 )
พบญ 12.26 แต่สิ่งบริสุทธิ์ซึ่งเป็นส่วนกำหนดจากท่านและของปฏิญาณของท่านนั้น ท่านจงนำไปยังสถานที่ซึ่งพระเยโฮวาห์จะทรงเลือกไว้

ของประกัน ( 10 )
อพย 22.26 ถ้าเจ้าได้รับเสื้อคลุมของเพื่อนบ้านไว้เป็นของประกัน จงคืนของนั้นให้เขาก่อนตะวันตกดิน
พบญ 24.11 ท่านจงยืนอยู่ภายนอก และคนที่ยืมนั้นจะนำของประกันออกมาให้ท่านเอง
พบญ 24.12 ถ้าเขาเป็นคนยากจน อย่าเอาของประกันนั้นเก็บไว้จนข้ามคืน
พบญ 24.13 เมื่อดวงอาทิตย์ตกท่านจงเอาของประกันนั้นมาคืนให้เขา เพื่อเขาจะมีของคลุมตัวเมื่อเวลานอน และอวยพรแก่ท่าน นี่จะเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน เฉพาะพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน
โยบ 22.6 เพราะท่านยึดของประกันไปจากพี่น้องเปล่าๆ และริบเสื้อผ้าของคนที่เปลือยกาย
โยบ 24.9 มีผู้ฉวยเด็กกำพร้าพ่อไปจากอก และเอาของประกันจากคนยากจน
อสค 18.7 มิได้บีบบังคับผู้หนึ่งผู้ใด แต่คืนของประกันให้แก่ลูกหนี้ ไม่เคยใช้ความรุนแรงปล้นผู้ใด ให้อาหารของเขาแก่ผู้ที่หิว และให้เสื้อผ้าคลุมกายที่เปลือย
อสค 18.12 กดขี่คนจนและคนขัดสน ได้ใช้ความรุนแรงแย่งชิงเอาของผู้อื่นไป ไม่ยอมคืนของประกัน แหงนตาขึ้นนมัสการรูปเคารพ และกระทำการอันน่าสะอิดสะเอียน
อสค 18.16 มิได้บีบบังคับผู้ใด ไม่เรียกร้องของประกัน ไม่เคยใช้ความรุนแรงปล้นผู้ใด แต่ให้อาหารแก่ผู้หิว และให้เสื้อผ้าคลุมกายที่เปลือย
อสค 33.15 ถ้าคนชั่วได้คืนของประกัน ขโมยอะไรของเขามาก็คืนเสีย และดำเนินตามกฎเกณฑ์แห่งชีวิต ไม่กระทำความชั่วช้าเลย เขาจะดำรงชีวิตอยู่แน่ เขาไม่ต้องตาย

ของประทาน ( 43 )
กดว 18.6 และดูเถิด เราได้เลือกคนเลวีพี่น้องของเจ้าออกจากคนอิสราเอล เป็นของประทานแก่เจ้าถวายแด่พระเยโฮวาห์ เพื่อให้ปฏิบัติงานของพลับพลาแห่งชุมนุม
กดว 18.7 ทั้งเจ้าและบุตรชายจงคอยรับใช้ในหน้าที่ปุโรหิต เพื่องานทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับแท่นบูชาและสิ่งที่อยู่ภายในม่าน เจ้าต้องอยู่ปฏิบัติงาน เราให้ตำแหน่งปุโรหิตแก่เจ้าเป็นของประทานสำหรับงานปฏิบัติ และผู้ใดอื่นที่เข้ามาใกล้ต้องให้ถึงแก่ความตาย”
2ซมอ 11.8 แล้วดาวิดรับสั่งอุรีอาห์ว่า “จงลงไปบ้านของเจ้า และล้างเท้าของเจ้าเสีย” อุรีอาห์ก็ออกไปจากพระราชวัง และมีคนนำของประทานจากกษัตริย์ตามไปให้
สดด 68.18 พระองค์เสด็จขึ้นสู่เบื้องสูง พระองค์ทรงนำพวกเชลยไปเป็นเชลยอีก และรับของประทานเพื่อมนุษย์ และรับเพื่อผู้ที่กบฏด้วย เพื่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าจะทรงประทับท่ามกลางพวกเขา
ปญจ 3.13 และว่าเป็นของประทานจากพระเจ้าแก่มนุษย์ ที่จะให้มนุษย์ได้กินดื่มและเพลิดเพลินในผลดีแห่งบรรดาการงานของเขา
ปญจ 5.19 อนึ่งทุกๆคนที่พระเจ้าทรงประทานทรัพย์สมบัติและความมั่งคั่งให้ ก็ได้ทรงโปรดให้มีอำนาจรับประทานของเหล่านั้น ได้รับส่วนของตน และยินดีปรีดาในการงานของตนได้ นี่แหละเป็นของประทานจากพระเจ้า
ยน 4.10 พระเยซูตรัสตอบนางว่า “ถ้าเจ้าได้รู้จักของประทานของพระเจ้า และรู้จักผู้ที่พูดกับเจ้าว่า ‘ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง’ เจ้าจะได้ขอจากท่านผู้นั้น และท่านผู้นั้นจะให้น้ำประกอบด้วยชีวิตแก่เจ้า”
กจ 2.38 ฝ่ายเปโตรจึงกล่าวแก่เขาว่า “จงกลับใจเสียใหม่และรับบัพติศมาในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์สิ้นทุกคน เพราะว่าพระเจ้าทรงยกความผิดบาปของท่านเสีย และท่านจะได้รับของประทานของพระวิญญาณบริสุทธิ์
กจ 8.20 ฝ่ายเปโตรจึงกล่าวแก่ซีโมนว่า “ให้เงินของเจ้าพินาศไปด้วยกันกับเจ้าเถิด เพราะเจ้าคิดว่าจะซื้อของประทานแห่งพระเจ้าด้วยเงินได้
กจ 10.45 ฝ่ายพวกที่ได้เข้าสุหนัตซึ่งเชื่อถือแล้ว คือคนที่มาด้วยกันกับเปโตรก็ประหลาดใจ เพราะว่าของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ลงมาบนคนต่างชาติด้วย
กจ 11.17 เหตุฉะนั้น ถ้าพระเจ้าได้ทรงโปรดประทานของประทานแก่เขาเหมือนแก่เราทั้งหลาย ผู้ที่ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์เจ้า ข้าพเจ้าเป็นผู้ใดเล่าที่จะขัดขืนพระเจ้าได้”
รม 1.11 เพราะข้าพเจ้าปรารถนาที่จะได้พบท่านทั้งหลาย เพื่อจะได้นำของประทานฝ่ายจิตวิญญาณมาให้แก่ท่านบ้าง เพื่อเสริมกำลังท่านทั้งหลาย
รม 5.15 แต่ของประทานแห่งพระคุณนั้นหาเป็นเช่นความละเมิดนั้นไม่ เพราะว่าถ้าคนเป็นอันมากต้องตายเพราะการละเมิดของคนๆเดียว มากยิ่งกว่านั้น พระคุณของพระเจ้าและของประทานโดยพระคุณของพระองค์ผู้เดียวนั้น คือพระเยซูคริสต์ ก็มีบริบูรณ์แก่คนเป็นอันมาก
รม 5.16 และของประทานนั้นก็ไม่เหมือนกับผลซึ่งเกิดจากบาปของคนนั้นคนเดียว เพราะว่าการพิพากษาที่เกิดขึ้นเนื่องจากการละเมิดเพียงครั้งเดียวนั้น ได้นำไปสู่การลงโทษ แต่ของประทานภายหลังการละเมิดหลายครั้งนั้นนำไปสู่ความชอบธรรม
รม 5.17 เพราะว่าถ้าโดยการละเมิดของคนนั้นคนเดียว เป็นเหตุให้ความตายครอบงำอยู่โดยคนนั้นคนเดียว มากยิ่งกว่านั้นคนทั้งหลายที่รับพระคุณอันไพบูลย์และรับของประทานแห่งความชอบธรรม ก็จะดำรงชีวิตและครอบครองโดยพระองค์ผู้เดียว คือพระเยซูคริสต์)
รม 5.18 ฉะนั้นการพิพากษาลงโทษได้มาถึงคนทั้งปวงเพราะการละเมิดของคนๆเดียวฉันใด ความชอบธรรมของพระองค์ผู้เดียวก็นำของประทานแห่งพระคุณมาถึงทุกคนฉันนั้น คือความชอบธรรมแห่งชีวิต
รม 6.23 เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่ของประทานของพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
รม 11.29 เพราะว่าพระเจ้ามิได้ทรงกลับพระทัยในการที่ได้ทรงให้ของประทานและทรงเรียกไว้
รม 12.6 และเราทุกคนมีของประทานที่ต่างกันตามพระคุณที่ได้ทรงประทานให้แก่เรา คือถ้าเป็นการพยากรณ์ ก็จงพยากรณ์ตามกำลังของความเชื่อ
1คร 1.7 เพื่อว่าท่านทั้งหลายจึงมิได้ขาดของประทานเลย ในขณะที่ท่านรอคอยการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
1คร 7.7 ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะให้ทุกคนเป็นเหมือนข้าพเจ้า แต่ทุกคนก็ได้รับของประทานจากพระเจ้าเหมาะกับตัว คนหนึ่งได้รับอย่างนี้ และอีกคนหนึ่งได้รับอย่างนั้น
1คร 12.1 พี่น้องทั้งหลาย บัดนี้ข้าพเจ้าอยากให้ท่านเข้าใจเรื่องของประทานฝ่ายจิตวิญญาณนั้น
1คร 12.4 แล้วของประทานนั้นมีต่างๆกัน แต่มีพระวิญญาณองค์เดียวกัน
1คร 12.28 และพระเจ้าได้ทรงโปรดตั้งบางคนไว้ในคริสตจักร คือหนึ่งอัครสาวก สองผู้พยากรณ์ สามครูบาอาจารย์ แล้วต่อจากนั้นก็มีการอัศจรรย์ ของประทานในการรักษาโรค การช่วยเหลือ การครอบครอง การพูดภาษาต่างๆ
1คร 12.30 ทุกคนได้รับของประทานให้รักษาโรคหรือ ทุกคนพูดภาษาต่างๆหรือ ทุกคนแปลได้หรือ
1คร 12.31 แต่ท่านทั้งหลายจงกระตือรือร้นอย่างจริงจังบรรดาของประทานอันดีที่สุดนั้น และข้าพเจ้ายังคงแสดงทางที่ยอดเยี่ยมกว่าแก่ท่านทั้งหลาย
1คร 13.2 แม้ข้าพเจ้ามีของประทานแห่งการพยากรณ์ และเข้าใจในความลึกลับทั้งปวงและมีความรู้ทั้งสิ้น และแม้ข้าพเจ้ามีความเชื่อทั้งหมดพอจะยกภูเขาไปได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย
1คร 14.1 จงมุ่งหาความรัก และจงปรารถนาของประทานฝ่ายจิตวิญญาณ เฉพาะอย่างยิ่งการพยากรณ์
1คร 14.12 เช่นเดียวกัน เมื่อท่านทั้งหลายกำลังร้อนใจแสวงหาของประทานฝ่ายจิตวิญญาณแล้ว ก็จงอุตส่าห์กระทำตัวของท่านให้สามารถที่จะทำให้คริสตจักรจำเริญขึ้น
2คร 1.11 ท่านทั้งหลายจะช่วยเราได้ด้วยการอธิษฐานเพื่อเรา เพื่อว่าคนเป็นอันมากจะได้ขอบพระคุณเพราะเรา เนื่องจากของประทานที่ทรงประทานแก่เรา อันเป็นการทรงตอบคำอธิษฐานของคนเป็นอันมากนั้น
2คร 9.15 จงขอบพระคุณพระเจ้าเพราะของประทานซึ่งพระองค์ทรงประทานนั้นที่เหลือจะพรรณนาได้
อฟ 3.7 ข้าพเจ้าได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้รับใช้แห่งข่าวประเสริฐ ตามพระคุณซึ่งเป็นของประทานจากพระเจ้า ซึ่งทรงโปรดประทานแก่ข้าพเจ้าโดยการกระทำแห่งฤทธิ์เดชของพระองค์
อฟ 4.8 เหตุฉะนั้นพระองค์ตรัสไว้แล้วว่า ‘ครั้นพระองค์เสด็จขึ้นสู่เบื้องสูง พระองค์ทรงนำพวกเชลยไปเป็นเชลยอีก และประทานของประทานแก่มนุษย์’
1ทธ 4.14 อย่าละเลยของประทานที่มีอยู่ในตัวท่าน ซึ่งได้ทรงประทานแก่ท่านตามคำพยากรณ์ เมื่อคณะเพรสไบเตรีได้เอามือวางบนท่าน
2ทธ 1.6 เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงสะกิดใจท่านให้ใช้ของประทานของพระเจ้าที่มีอยู่ในท่าน โดยการวางมือของข้าพเจ้านั้นให้รุ่งเรืองขึ้น
ฮบ 2.4 ทั้งนี้พระเจ้าก็ทรงเป็นพยานด้วย โดยทรงแสดงหมายสำคัญและการมหัศจรรย์ และโดยการอัศจรรย์ต่างๆ และโดยของประทานจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งทรงประทานตามพระประสงค์ของพระองค์
ฮบ 6.4 เพราะว่าคนเหล่านั้นที่ได้รับความสว่างมาครั้งหนึ่งแล้ว และได้รู้รสของประทานจากสวรรค์ ได้มีส่วนในพระวิญญาณบริสุทธิ์
ยก 1.17 ของประทานอันดีทุกอย่าง และของประทานอันเลิศทุกอย่างย่อมมาจากเบื้องบน และส่งลงมาจากพระบิดาแห่งบรรดาดวงสว่าง ในพระบิดาไม่มีการแปรปรวน หรือไม่มีเงาอันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลง
1ปต 4.10 ตามซึ่งทุกคนได้รับของประทานแล้ว ก็ให้เจือจานของประทานนั้นแก่กันและกัน เหมือนอย่างเจ้าหน้าที่อันดีสำหรับพระคุณต่างๆของพระเจ้า

ของประเสริฐ ( 5 )
พบญ 33.13 และท่านกล่าวถึงโยเซฟว่า “ขอให้แผ่นดินของเขาได้รับพระพรจากพระเยโฮวาห์ ให้ได้รับของประเสริฐที่สุดจากฟ้าสวรรค์ ทั้งน้ำค้างและจากบาดาลซึ่งหมอบอยู่ข้างล่าง
โยบ 28.10 เขาขุดลำรางไว้ในหิน และตาของเขาเห็นของประเสริฐทุกอย่าง
สภษ 1.13 เราจะพบของประเสริฐทุกอย่าง เราจะบรรจุเรือนของเราให้เต็มด้วยของที่ริบได้
พคค 1.10 พวกศัตรูได้ยื่นมือของเขายึดเอาบรรดาของประเสริฐของเธอ ด้วยเธอได้เห็นบรรดาประชาชาติบุกรุกเข้ามาในสถานบริสุทธิ์ของเธอ คือคนที่พระองค์ได้ทรงห้ามไม่ให้เข้ามาในชุมนุมชนของพระองค์
พคค 1.11 บรรดาพลเมืองของเธอได้ถอนใจใหญ่ เขาทั้งหลายเสาะหาอาหาร และพวกเขาได้เอาของประเสริฐของตัวออกแลกอาหารกิน เพื่อจะได้ประทังชีวิต “โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงทอดพระเนตรและพิจารณา เพราะข้าพระองค์เป็นที่เหยียดหยามเสียแล้ว”

ของปล้น ( 3 )
อสค 7.21 และเราจะมอบสิ่งเหล่านั้นไว้ในมือของชนต่างด้าวให้เป็นของริบ และแก่คนชั่วในแผ่นดินโลกให้เป็นของปล้นได้ และเขาทั้งหลายจะกระทำให้เป็นมลทิน
อสค 26.5 เมืองนั้นจะเป็นที่สำหรับตากอวนอยู่กลางทะเล เพราะเราได้ลั่นวาจาแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าได้ตรัส และเมืองนั้นจะเป็นของปล้นแห่งบรรดาประชาชาติ
อสค 26.12 ทรัพย์สมบัติของเจ้าเขาทั้งหลายจะเอาเป็นของริบ และสินค้าของเจ้าเขาจะเอามาเป็นของปล้น เขาจะพังกำแพงของเจ้าลง และจะทำลายบ้านอันพึงใจของเจ้าเสีย หิน ไม้ และดินของเจ้านั้นเขาจะโยนทิ้งเสียกลางน้ำ

ของฝาก ( 1 )
1ซมอ 17.18 และจงนำเนยแข็งสิบชิ้นนี้ไปให้แก่ผู้บังคับกองพันของเขาด้วย ดูว่าพี่ชายของเจ้าทุกข์สุขอย่างไร แล้วรับของฝากมาจากเขาบ้าง”

ของมลทิน ( 9 )
ลนต 10.10 เจ้าจงแยกของบริสุทธิ์จากของไม่บริสุทธิ์และของมลทินจากของไม่มลทิน
ลนต 11.8 อย่ารับประทานเนื้อของสัตว์เหล่านี้เลย และเจ้าอย่าแตะต้องซากของมัน มันเป็นของมลทินแก่เจ้า
ลนต 11.35 ถ้าส่วนใดของซากสัตว์ตกใส่สิ่งใดๆ สิ่งนั้นๆก็มลทิน ไม่ว่าเป็นเตาอบหรือเตา ต้องทุบเสีย เป็นมลทิน และเป็นของมลทินแก่เจ้า
วนฉ 13.4 ฉะนั้นบัดนี้จงระวัง อย่าดื่มเหล้าองุ่น หรือเมรัย และอย่ารับประทานของมลทิน
วนฉ 13.7 แต่ท่านบอกดิฉันว่า ‘ดูเถิด เจ้าจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย ฉะนั้นอย่าดื่มเหล้าองุ่นหรือเมรัย อย่ารับประทานของมลทิน เพราะเด็กนั้นจะเป็นพวกนาศีร์แด่พระเจ้าตั้งแต่อยู่ในครรภ์จนวันตาย’”
วนฉ 13.14 อย่าให้รับประทานสิ่งใดที่ได้มาจากเถาองุ่น อย่าให้นางดื่มเหล้าองุ่นหรือเมรัย อย่ารับประทานของมลทิน สิ่งใดที่เราบัญชานางไว้ให้นางปฏิบัติตามทุกประการ”
อสค 22.26 ปุโรหิตของเขาได้ละเมิดราชบัญญัติของเรา และได้ลบหลู่สิ่งบริสุทธิ์ของเรา เขามิได้แยกแยะความแตกต่างระหว่างสิ่งที่บริสุทธิ์และสิ่งสามัญ เขามิได้แสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างของมลทินและของสะอาด เขาได้ซ่อนนัยน์ตาของเขาไว้จากวันสะบาโตของเรา ดังนั้นแหละเราจึงถูกลบหลู่ท่ามกลางเขาทั้งหลาย
อสค 44.23 เขาทั้งหลายจะต้องสั่งสอนประชาชนของเราถึงความแตกต่างระหว่างของบริสุทธิ์และของสามัญ และกระทำให้เขาสังเกตแยกแยะระหว่างของมลทินกับของสะอาดได้
กจ 10.14 ฝ่ายเปโตรจึงทูลว่า “มิได้ พระองค์เจ้าข้า เพราะว่าสิ่งซึ่งเป็นของต้องห้ามหรือของมลทินนั้น ข้าพระองค์ไม่เคยได้รับประทานเลย”

ของมัดจำ ( 3 )
ปฐก 38.17 ยูดาห์ตอบว่า “เราจะส่งลูกแพะจากฝูงมาให้เจ้าตัวหนึ่ง” นางก็ถามว่า “ท่านจะให้ของมัดจำไว้ก่อนจนกว่าจะส่งลูกแพะนั้นมาได้ไหม”
ปฐก 38.18 ยูดาห์ถามว่า “เจ้าจะเอาอะไรเป็นของมัดจำ” นางจึงตอบว่า “จะขอแหวนตรากับเชือก ทั้งไม้พลองที่มือท่านด้วย” ยูดาห์ก็ให้ และเข้าไปหานาง นางก็ตั้งครรภ์กับเขา
ปฐก 38.20 ฝ่ายยูดาห์ฝากลูกแพะมากับเพื่อนคนอดุลลามให้ไถ่ของมัดจำจากมือหญิงนั้น แต่เขาหานางไม่พบ

ของมีค่า ( 4 )
อสร 1.6 และทุกคนที่อยู่ใกล้เขาก็ได้ช่วยมือเขาด้วยเครื่องเงิน ด้วยทองคำ ด้วยข้าวของและด้วยสัตว์ และด้วยของมีค่า นอกเหนือจากทุกสิ่งที่ถวายบูชาตามใจสมัคร
ยรม 20.5 ยิ่งกว่านั้นอีกเราจะยกความมั่งคั่งของเมืองนี้ ผลแรงงานทั้งสิ้นและของมีค่าทั้งสิ้นของเมืองนี้ และทรัพย์สมบัติทั้งสิ้นของบรรดากษัตริย์ของยูดาห์ไว้ในมือของศัตรูของเขาทั้งหลาย ผู้ซึ่งจะปล้นและฉุดคร่าและขนเอาเขาเหล่านั้นไปบาบิโลน
ยรม 41.8 แต่ในพวกนั้นมีอยู่สิบคนด้วยกันที่พูดกับอิชมาเอลว่า “ขออย่าฆ่าเราเสียเลย เพราะเรามีของมีค่า คือข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ น้ำมัน และน้ำผึ้งซ่อนไว้ในทุ่งนา” ดังนั้น เขาจึงงดไม่ฆ่าเขาทั้งหลายกับพี่น้องเสีย
ฮชย 13.15 แม้ว่าเขาจะงอกงามขึ้นท่ามกลางพี่น้อง ลมตะวันออก คือลมของพระเยโฮวาห์จะพัดมา ขึ้นมาจากถิ่นทุรกันดาร และตาน้ำของเขาจะแห้งไป และน้ำพุของเขาก็จะแห้งผาก ลมนั้นจะริบของมีค่าทั้งหมดเอาไปจากคลังของเขา

ของไม่บริสุทธิ์ ( 1 )
ลนต 10.10 เจ้าจงแยกของบริสุทธิ์จากของไม่บริสุทธิ์และของมลทินจากของไม่มลทิน

ของไม่มลทิน ( 1 )
ลนต 10.10 เจ้าจงแยกของบริสุทธิ์จากของไม่บริสุทธิ์และของมลทินจากของไม่มลทิน

ของร้าย ( 1 )
โยบ 30.26 แต่เมื่อข้ามองหาของดี ของร้ายก็มาถึง และเมื่อข้าคอยความสว่าง ความมืดก็มาถึง

ของริบ ( 15 )
พบญ 2.35 แต่ฝูงสัตว์เราได้ยึดมาเป็นของเรา ทั้งของริบได้ในเมืองเหล่านั้นที่เราตีมา
พบญ 3.7 แต่ฝูงสัตว์ทั้งหมด และของริบได้ในเมืองเหล่านั้นเราได้ยึดมาเป็นของเรา
1ซมอ 30.26 เมื่อดาวิดมาถึงเมืองศิกลากแล้ว ก็ส่งของที่ริบได้นั้นส่วนหนึ่งไปให้เพื่อน ซึ่งเป็นพวกผู้ใหญ่ในยูดาห์กล่าวว่า “ดูเถิด นี่เป็นของขวัญฝากมาให้ท่านซึ่งเป็นส่วนของของริบจากศัตรูของพระเยโฮวาห์”
2พกษ 21.14 และเราจะทอดทิ้งมรดกส่วนที่เหลือของเรา และมอบเขาไว้ในมือศัตรูของเขา และเขาทั้งหลายจะเป็นเหยื่อ และเป็นของริบของศัตรูทั้งสิ้นของเขา
สดด 44.10 พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพระองค์ทั้งหลายถอยกลับจากคู่อริ และคนที่เกลียดข้าพระองค์ทั้งหลายก็ได้ของริบไป
สภษ 16.19 ที่จะเป็นคนมีใจถ่อมอยู่กับคนยากจนก็ดีกว่าแบ่งของริบมาได้กับคนเย่อหยิ่ง
อสย 9.3 พระองค์ได้ทรงทวีชนในประชาชาตินั้นขึ้น พระองค์มิได้ทรงเพิ่มความชื่นบานของเขา เขาทั้งหลายเปรมปรีดิ์ต่อพระพักตร์พระองค์ ดั่งด้วยความชื่นบานเมื่อฤดูเกี่ยวเก็บ ดั่งคนเปรมปรีดิ์เมื่อเขาแบ่งของริบมานั้นแก่กัน
อสย 10.6 เราจะใช้เขาไปสู้ประชาชาติอันหน้าซื่อใจคด เราจะบัญชาเขาให้ไปสู้ชนชาติที่เรากริ้ว ไปเอาของริบและฉวยเหยื่อและให้เหยียบย่ำลงเหมือนเหยียบเลนในถนน
อสย 42.22 แต่นี่เป็นชนชาติที่ถูกขโมยและถูกปล้น เขาทุกคนติดอยู่ในรูและซ่อนอยู่ในคุก เขาตกเป็นเหยื่อซึ่งไม่มีผู้ใดช่วยให้พ้น เป็นของริบซึ่งไม่มีผู้ใดพูดว่า “คืนซิ”
ยรม 15.13 บรรดาสิ่งของและทรัพย์สมบัติของเจ้า เราจะมอบให้เป็นของริบไม่คิดค่า เพราะบาปทั้งสิ้นของเจ้าตลอดทั่วดินแดนของเจ้า
ยรม 17.3 โอ ภูเขาที่อยู่กลางทุ่งเอ๋ย เราจะให้บรรดาสิ่งของและทรัพย์สมบัติทั้งสิ้นของเจ้าเป็นของริบ และเราจะนับว่าปูชนียสถานสูงทั้งหลายของเจ้าเป็นความบาปของเจ้า ตลอดทั่วบริเวณชายแดนของเจ้า
อสค 7.21 และเราจะมอบสิ่งเหล่านั้นไว้ในมือของชนต่างด้าวให้เป็นของริบ และแก่คนชั่วในแผ่นดินโลกให้เป็นของปล้นได้ และเขาทั้งหลายจะกระทำให้เป็นมลทิน
อสค 25.7 เพราะฉะนั้น ดูเถิด เราได้ยื่นมือของเราออกต่อสู้เจ้า และจะมอบเจ้าไว้แก่ประชาชนทั้งหลายให้เป็นของริบ และเราจะตัดเจ้าออกเสียจากชนชาติทั้งหลาย และเราจะกระทำให้เจ้าพินาศไปจากประเทศต่างๆ เราจะทำลายเจ้า แล้วเจ้าจะทราบว่าเราคือพระเยโฮวาห์
อสค 26.12 ทรัพย์สมบัติของเจ้าเขาทั้งหลายจะเอาเป็นของริบ และสินค้าของเจ้าเขาจะเอามาเป็นของปล้น เขาจะพังกำแพงของเจ้าลง และจะทำลายบ้านอันพึงใจของเจ้าเสีย หิน ไม้ และดินของเจ้านั้นเขาจะโยนทิ้งเสียกลางน้ำ
ฮบ 7.4 แล้วจงคิดดูเถิดว่า ท่านผู้นี้ยิ่งใหญ่เพียงไร ซึ่งแม้แต่อับราฮัมผู้เป็นต้นตระกูลของเรานั้นยังได้ชักหนึ่งในสิบจากของริบนั้นมาถวายแก่ท่าน

ของไร้ค่า ( 2 )
ยรม 10.15 มันเป็นของไร้ค่า และเป็นผลงานแห่งความผิดพลาด มันจะต้องพินาศเมื่อถึงเวลาการลงโทษ
ยรม 51.18 มันเป็นของไร้ค่า และเป็นผลงานแห่งความผิดพลาด มันจะต้องพินาศเมื่อถึงเวลาการลงโทษ

ของลับ ( 1 )
พบญ 25.11 ถ้าชายสองคนวิวาททุบตีกันและภรรยาของชายคนหนึ่งเข้ามาใกล้จะช่วยสามีของตนให้พ้นจากมือของผู้ที่ตี และนางยื่นมือออกเค้นของลับของผู้ชายคนนั้น

ของไว้อาลัย ( 1 )
มคา 1.14 เพราะฉะนั้น เจ้าจะต้องมอบของไว้อาลัยให้แก่โมเรเชท-กัท บรรดาเรือนของอัคซีบจะเป็นสิ่งอสัตย์แก่บรรดากษัตริย์อิสราเอล

ของศักดิ์สิทธิ์ ( 1 )
1คร 10.19 ถ้าอย่างนั้นแล้วจะให้ข้าพเจ้าว่าอย่างไร รูปเคารพนั้นศักดิ์สิทธิ์หรือ เครื่องบูชาที่ถวายแก่รูปเคารพนั้นเป็นของศักดิ์สิทธิ์หรือ

ของสะอาด ( 3 )
ลนต 11.36 อย่างไรก็ตามน้ำพุหรือน้ำในแอ่งเก็บน้ำเป็นของสะอาด แต่สิ่งใดที่แตะต้องซากสัตว์นั้นจะมลทิน
อสค 22.26 ปุโรหิตของเขาได้ละเมิดราชบัญญัติของเรา และได้ลบหลู่สิ่งบริสุทธิ์ของเรา เขามิได้แยกแยะความแตกต่างระหว่างสิ่งที่บริสุทธิ์และสิ่งสามัญ เขามิได้แสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างของมลทินและของสะอาด เขาได้ซ่อนนัยน์ตาของเขาไว้จากวันสะบาโตของเรา ดังนั้นแหละเราจึงถูกลบหลู่ท่ามกลางเขาทั้งหลาย
อสค 44.23 เขาทั้งหลายจะต้องสั่งสอนประชาชนของเราถึงความแตกต่างระหว่างของบริสุทธิ์และของสามัญ และกระทำให้เขาสังเกตแยกแยะระหว่างของมลทินกับของสะอาดได้

ของสามัญ ( 4 )
1พกษ 10.27 และกษัตริย์ทรงกระทำให้เงินนั้นเป็นของสามัญในกรุงเยรูซาเล็มเหมือนก้อนหิน และทรงกระทำให้มีสนสีดาร์มากมายเหมือนไม้มะเดื่อแห่งหุบเขา
2พศด 1.15 และกษัตริย์ทรงกระทำให้เงินและทองคำเป็นของสามัญในกรุงเยรูซาเล็มเหมือนก้อนหิน และทรงกระทำให้มีไม้สนสีดาร์มากมายเหมือนไม้มะเดื่อแห่งหุบเขา
2พศด 9.27 และกษัตริย์ทรงกระทำให้เงินนั้นเป็นของสามัญในกรุงเยรูซาเล็มเหมือนก้อนหิน และกระทำให้มีไม้สนสีดาร์มากมายเหมือนไม้มะเดื่อแห่งหุบเขา
อสค 44.23 เขาทั้งหลายจะต้องสั่งสอนประชาชนของเราถึงความแตกต่างระหว่างของบริสุทธิ์และของสามัญ และกระทำให้เขาสังเกตแยกแยะระหว่างของมลทินกับของสะอาดได้

ของสำคัญ ( 4 )
พบญ 22.15 บิดาของหญิงสาวคนนั้นและมารดาจะต้องนำของสำคัญอันเป็นพยานว่า หญิงนั้นเป็นพรหมจารีมาให้พวกผู้ใหญ่ของเมืองนั้นที่ประตูเมือง
พบญ 22.17 ดูเถิด ชายผู้นี้หาเหตุกล่าวติเตียนว่า “ข้าพเจ้าไม่เห็นว่าบุตรสาวของท่านเป็นพรหมจารีเลย” นี่แหละเป็นของสำคัญว่าลูกสาวของข้าเป็นหญิงพรหมจารี’ แล้วเขาจะคลี่ผ้านั้นออกต่อหน้าพวกผู้ใหญ่ของเมืองนั้นให้เป็นพยาน
พบญ 22.20 แต่ถ้าเรื่องนั้นเป็นความจริง และหาของสำคัญอันเป็นพยานว่า หญิงนั้นเป็นพรหมจารีสำหรับหญิงสาวนั้นไม่ได้
กท 6.15 เพราะว่าในพระเยซูคริสต์ การที่ถือพิธีเข้าสุหนัตหรือไม่ถือพิธีเข้าสุหนัต ไม่เป็นของสำคัญอะไร แต่การที่ถูกสร้างใหม่นั้นสำคัญ

ของโสโครก ( 3 )
วนฉ 3.22 ดาบจมเข้าไปหมดทั้งด้าม ไขมันหุ้มดาบไว้ ท่านก็ชักดาบออกจากท้องของท่านไม่ได้ แล้วของโสโครกออกมา
นฮม 3.6 เราจะโยนของโสโครกที่น่าสะอิดสะเอียนใส่เจ้า และกระทำให้เจ้าน่าขยะแขยง และจะปล่อยให้เจ้าถูกประจาน
วว 17.4 หญิงนั้นนุ่งห่มด้วยผ้าสีม่วงและสีแดงเข้ม และประดับด้วยเครื่องทองคำ เพชรพลอยต่างๆและไข่มุก หญิงนั้นถือถ้วยทองคำที่เต็มด้วยสิ่งน่าสะอิดสะเอียนและของโสโครกแห่งการล่วงประเวณีของตน

ของหนัก ( 4 )
อพย 23.5 ถ้าเห็นลาของผู้ที่เกลียดชังเจ้าล้มลงเพราะบรรทุกของหนัก อย่าได้เมินเฉยเสีย จงช่วยเขายกมันขึ้น
ลก 11.46 พระองค์ตรัสว่า “วิบัติแก่เจ้า พวกนักกฎหมายด้วย เพราะพวกเจ้าเอาของหนักที่แบกยากนักวางบนมนุษย์ แต่ส่วนพวกเจ้าเองก็ไม่จับต้องของหนักนั้นเลยแม้แต่นิ้วเดียว
ฮบ 12.1 เหตุฉะนั้น ครั้นเรามีพยานหมู่ใหญ่อย่างนั้นอยู่รอบข้าง ให้เราทิ้งของหนักทุกสิ่งที่ขัดข้องอยู่ และการผิดที่เรามักง่ายกระทำนั้น และการวิ่งแข่งกันที่กำหนดไว้สำหรับเรานั้น ให้เราวิ่งด้วยความเพียรพยายาม

ของหลวง ( 1 )
อสร 4.13 บัดนี้ขอกษัตริย์ทรงทราบว่า ถ้าเมืองนี้ได้สร้างขึ้นใหม่และกำแพงเมืองเสร็จแล้ว เขาจะไม่ส่งบรรณาการ ค่าธรรมเนียม หรือค่าภาษี และเงินรายได้ของหลวงก็จะขาดตกบกพร่องไป

ของหวาน ( 1 )
วนฉ 14.14 ฝ่ายแซมสันจึงกล่าวแก่เขาว่า “มีของกินได้ออกมาจากตัวผู้กินเขา มีของหวานออกมาจากตัวที่แข็งแรง” ในสามวันเขาก็ยังแก้ปริศนานี้ไม่ได้

ของให้ ( 3 )
กดว 18.11 สิ่งต่อไปนี้ก็เป็นของเจ้าด้วย คือของให้ที่เขาถวาย บรรดาเครื่องบูชาแกว่งถวายของคนอิสราเอล เราได้ให้ไว้แก่เจ้าและแก่บุตรชายหญิงซึ่งอยู่กับเจ้าเป็นกฎเกณฑ์ถาวร ทุกคนที่สะอาดอยู่ในครอบครัวของเจ้ารับประทานได้
ฟป 4.17 มิใช่ว่าข้าพเจ้าปรารถนาจะได้รับของให้ แต่ว่าข้าพเจ้าอยากให้ท่านได้ผลกำไรในบัญชีของท่านมากขึ้น
ฮบ 9.9 พลับพลาเดิมเป็นเครื่องเปรียบสำหรับในเวลานั้น คือมีการถวายของให้และเครื่องบูชา ซึ่งจะกระทำให้ใจวินิจฉัยผิดและชอบของผู้ถวายนั้นถึงที่สำเร็จไม่ได้

ของอนิจจัง ( 1 )
รม 8.20 เพราะว่าสรรพสิ่งเหล่านั้นต้องเข้าอยู่ในอำนาจของอนิจจัง ไม่ใช่ตามใจชอบของตนเอง แต่เป็นไปตามพระองค์ผู้ทรงบันดาลให้เข้าอยู่นั้นด้วยมีความหวังใจ

ของอันมีค่า ( 2 )
ปฐก 24.53 แล้วคนใช้ก็นำเอาเครื่องเงินและเครื่องทอง พร้อมกับเสื้อผ้ามอบให้แก่เรเบคาห์ เขายังมอบของอันมีค่าให้แก่พี่ชายและมารดาของนางด้วย
2พศด 21.3 พระราชบิดาของเขาทั้งหลายประทานเงิน ทองคำ และของอันมีค่ามากมาย พร้อมกับหัวเมืองที่มีป้อมในยูดาห์ แต่พระองค์ประทานราชอาณาจักรแก่เยโฮรัม เพราะว่าท่านเป็นโอรสหัวปี

ของอุทิศถวาย ( 1 )
2พศด 15.18 และพระองค์ทรงนำของอุทิศถวายของราชบิดาของพระองค์และข้าวของที่พระองค์เองทรงอุทิศถวาย มีเงิน และทองคำ และเครื่องใช้เข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้า

ของโอชะ ( 3 )
สดด 141.4 ขออย่าให้จิตใจข้าพระองค์เอนเอียงไปหาความชั่วใดๆ หรือให้ข้าพระองค์สาละวนอยู่กับการชั่วร้ายร่วมกับคนที่ทำความชั่วช้า และขออย่าให้ข้าพระองค์กินของโอชะของเขา
สภษ 23.3 อย่าปรารถนาของโอชะของท่าน เพราะมันเป็นอาหารที่หลอกลวง
สภษ 23.6 อย่ากินอาหารของคนที่ตระหนี่ อย่าปรารถนาของโอชะของเขา

ข้อตกลง ( 3 )
อสย 28.18 แล้วพันธสัญญาของเจ้ากับความตายจะเป็นโมฆะ และข้อตกลงของเจ้ากับนรกจะไม่ดำรง เมื่อภัยพิบัติอันท่วมท้นผ่านไป เจ้าจะถูกเหยียบย่ำลงด้วยโทษนั้น
ยรม 34.18 และคนที่ละเมิดต่อพันธสัญญาของเรา และมิได้กระทำตามข้อตกลงในพันธสัญญาซึ่งเขาได้กระทำต่อหน้าเรานั้น เป็นดังลูกวัวที่เขาตัดออกเป็นสองท่อน และเดินผ่านกลางท่อนเหล่านั้นไป
กจ 16.4 เมื่อท่านเหล่านั้นได้เที่ยวไปตามเมืองต่างๆก็ได้ส่งหนังสือข้อตกลงของอัครสาวก และผู้ปกครองในกรุงเยรูซาเล็มมอบให้คนทั้งหลายทุกเมืองเพื่อให้รักษาไว้

ข้อต่อ ( 7 )
ปฐก 32.25 เมื่อบุรุษผู้นั้นเห็นว่าจะเอาชนะยาโคบไม่ได้ ก็ถูกต้องที่ข้อต่อตะโพกของยาโคบ ข้อต่อตะโพกของยาโคบก็เคล็ด เมื่อปล้ำสู้กันอยู่นั้น
ปฐก 32.32 เหตุฉะนี้ คนอิสราเอลจึงไม่กินเส้นเอ็นที่ตะโพก ซึ่งอยู่ที่ข้อต่อตะโพกนั้นจนทุกวันนี้ เพราะพระองค์ทรงถูกต้องข้อต่อตะโพกของยาโคบตรงเส้นเอ็นที่ตะโพก
โยบ 31.22 แล้วก็ให้กระดูกไหปลาร้าหลุดจากบ่าของข้า และให้แขนของข้าหักหลุดจากข้อต่อเสียเถิด
สภษ 25.19 การวางใจในคนที่ไม่ซื่อในยามลำบาก ก็เหมือนฟันที่หักเสียหรือเท้าที่หลุดจากข้อต่อ
อฟ 4.16 คือเนื่องจากพระองค์นั้น ร่างกายทั้งสิ้นที่ติดต่อสนิทและผูกพันกันโดยที่ทุกๆข้อต่อได้ช่วยชูกำลังตามขนาดแห่งอวัยวะทุกส่วน ร่างกายนั้นจึงได้จำเริญเติบโตขึ้นเองด้วยความรัก

ข้อตัดสิน ( 1 )
สดด 119.164 ข้าพระองค์สรรเสริญพระองค์วันละเจ็ดครั้ง เหตุเรื่องข้อตัดสินอันชอบธรรมของพระองค์

ขอตัว ( 3 )
ลก 14.18 บรรดาคนทั้งหลายก็เริ่มพากันขอตัว คนแรกบอกเขาว่า ‘ข้าพเจ้าได้ซื้อนาไว้และจะต้องไปดูนานั้น ข้าพเจ้าขอตัวเถอะ’
ลก 14.19 อีกคนหนึ่งว่า ‘ข้าพเจ้าได้ซื้อวัวไว้ห้าคู่และจะต้องไปลองดูวัวนั้น ข้าพเจ้าขอตัวเถอะ’

ข้อตำหนิ ( 6 )
1ธส 2.10 ท่านทั้งหลายเป็นพยานฝ่ายเรา และพระเจ้าก็ทรงเป็นพยานด้วยว่าเราได้ประพฤติตัวบริสุทธิ์ เที่ยงธรรม และปราศจากข้อตำหนิในหมู่พวกท่านที่เชื่อ
1ธส 3.13 เพื่อในที่สุดพระองค์จะทรงให้ใจของท่านตั้งมั่นคงอยู่ในความบริสุทธิ์ ปราศจากข้อตำหนิต่อพระพักตร์พระเจ้าคือพระบิดาของเรา ในเมื่อพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราจะเสด็จมากับวิสุทธิชนทั้งปวงของพระองค์
1ทธ 3.10 จงลองดูคนเหล่านี้เสียก่อนด้วย และเมื่อเห็นว่าไม่มีข้อตำหนิแล้ว จึงตั้งเขาไว้ในตำแหน่งผู้ช่วย
ทต 1.6 คือถ้ามีใครไม่มีข้อตำหนิ เป็นสามีของหญิงคนเดียว มีบุตรสัตย์ซื่อ และไม่มีใครกล่าวหาว่าบุตรนั้นเป็นนักเลงหรือเป็นคนดื้อกระด้าง
ทต 1.7 เพราะว่าศิษยาภิบาลนั้น ในฐานะที่เป็นผู้รับมอบฉันทะจากพระเจ้า ต้องเป็นคนที่ไม่มีข้อตำหนิ ไม่เป็นคนเย่อหยิ่ง ไม่เป็นคนเลือดร้อน ไม่เป็นนักเลงสุรา ไม่เป็นนักเลงหัวไม้ และไม่เป็นคนโลภมักได้
2ปต 3.14 เหตุฉะนั้นพวกที่รัก เมื่อท่านทั้งหลายยังคอยสิ่งเหล่านี้อยู่ ท่านก็จงอุตส่าห์ให้พระองค์ทรงพบท่านทั้งหลายอยู่เป็นสุข ปราศจากมลทินและข้อตำหนิ

ข้อโต้ตอบ ( 1 )
2คร 5.12 เพราะเราไม่ได้ยกย่องตัวเองกับท่านทั้งหลายอีก แต่เราให้ท่านมีโอกาสที่จะนำเราออกอวดได้ เพื่อท่านจะได้มีข้อโต้ตอบคนเหล่านั้นที่ชอบอวดในสิ่งซึ่งปรากฏ แต่มิได้อวดในสิ่งซึ่งอยู่ในจิตใจ

ข้อโต้แย้ง ( 1 )
โยบ 23.4 ข้าจะยื่นคดีของข้าต่อพระพักตร์พระองค์ และบรรจุข้อโต้แย้งให้เต็มปากข้า

ขอทาน ( 9 )
สดด 37.25 ข้าพเจ้าเคยหนุ่ม และเดี๋ยวนี้แก่แล้ว แต่ข้าพเจ้ายังไม่เคยเห็นคนชอบธรรมถูกทอดทิ้ง หรือเชื้อสายของเขาขอทาน
สดด 109.10 ขอให้ลูกของเขาต้องเร่ร่อนขอทานเรื่อยไป ขอให้เขาหาอาหารจากที่รกร้างว่างเปล่าของเขา
มก 10.46 ฝ่ายพระเยซูกับพวกสาวกมายังเมืองเยรีโค และเมื่อพระองค์เสด็จออกจากเมืองเยรีโคกับพวกสาวกของพระองค์และประชาชนเป็นอันมาก มีคนตาบอดคนหนึ่ง ชื่อบารทิเมอัส ซึ่งเป็นบุตรชายของทิเมอัส นั่งขอทานอยู่ที่ริมหนทาง
ลก 16.3 คนต้นเรือนนั้นคิดในใจว่า ‘เราจะทำอะไรดี เพราะนายจะถอดเราเสียจากหน้าที่ต้นเรือน จะขุดดินก็ไม่มีกำลัง จะขอทานก็อายเขา
ลก 18.35 ต่อมาเมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้เมืองเยรีโค มีคนตาบอดคนหนึ่งนั่งขอทานอยู่ริมหนทาง
ยน 9.8 เพื่อนบ้านและคนทั้งหลายที่เคยเห็นชายคนนั้นเป็นคนตาบอดมาก่อน จึงพูดกันว่า “คนนี้มิใช่หรือที่เคยนั่งขอทาน”
กจ 3.2 มีชายคนหนึ่งเป็นง่อยตั้งแต่ครรภ์มารดา ทุกวันคนเคยหามเขามาวางไว้ริมประตูพระวิหาร ซึ่งมีชื่อว่าประตูงาม เพื่อให้ขอทานจากคนที่จะเข้าไปในพระวิหาร
กจ 3.3 คนนั้นพอเห็นเปโตรกับยอห์นจะเข้าไปในพระวิหารก็ขอทาน
กจ 3.10 จึงรู้ว่าเป็นคนนั้นซึ่งนั่งขอทานอยู่ที่ประตูงามแห่งพระวิหาร เขาจึงพากันมีความประหลาดและอัศจรรย์ใจอย่างยิ่งในเหตุการณ์ที่เกิดแก่คนนั้น

ขอที ( 3 )
2พกษ 18.26 แล้วเอลียาคิมบุตรชายฮิลคียาห์และเชบนาห์และโยอาห์ เรียนรับชาเคห์ว่า “ขอทีเถอะ ขอพูดกับผู้รับใช้ของท่านเป็นภาษาอารัมเถิด เพราะเราเข้าใจภาษานั้น ขออย่าพูดกับเราเป็นภาษาฮีบรูให้ประชาชนผู้อยู่บนกำแพงนั้นได้ยินเลย”
โยบ 6.29 ขอทีเถอะ ขอหันคิดใหม่ อย่าทำความชั่วช้าเลย เออ กลับคิดใหม่เถอะ ข้ายังชอบธรรมอยู่
อสย 36.11 แล้วเอลียาคิม เชบนาห์ และโยอาห์ เรียนรับชาเคห์ว่า “ขอทีเถอะ ขอพูดกับผู้รับใช้ของท่านเป็นภาษาอารัมเถิด เพราะเราเข้าใจภาษานั้น ขออย่าพูดกับเราเป็นภาษาฮีบรูให้ประชาชนผู้อยู่บนกำแพงนั้นได้ยินเลย”

ข้อทุ่มเถียง ( 1 )
ฮบ 6.16 ส่วนมนุษย์นั้นต้องปฏิญาณต่อหน้าผู้ที่เป็นใหญ่กว่าตน และเมื่อเกิดข้อทุ่มเถียงอะไรกันขึ้น ก็ต้องถือคำปฏิญาณนั้นเป็นคำยืนยันขั้นเด็ดขาด

ข้อเท้า ( 2 )
อสย 3.18 ในวันนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงนำเอาเครื่องวิจิตรงดงามไปเสีย คือกำไลข้อเท้า ปันจุเหร็จ ตุ้มวงเดือน
กจ 3.7 แล้วเปโตรจับมือขวาของเขาพยุงขึ้น และในทันใดนั้นเท้าและข้อเท้าของเขาก็มีกำลัง

ขอนไม้ ( 2 )
ปญจ 10.9 ผู้ใดสกัดหิน ผู้นั้นจะเจ็บเพราะหินนั้น ผู้ใดผ่าขอนไม้ ผู้นั้นจะประสบอันตรายเพราะขอนไม้นั้นได้

ขอบ ( 34 )
อพย 26.4 จงทำหูม่านด้วยด้ายสีฟ้าติดไว้ตามขอบม่านด้านนอกสุดชุดที่หนึ่ง และตามขอบม่านด้านนอกสุดชุดที่สอง จงติดหูไว้เหมือนกัน
อพย 26.5 ม่านผืนหนึ่งให้ทำหูห้าสิบหู และตามขอบม่านชุดที่สอง ให้ทำหูห้าสิบหูให้ตรงกัน
อพย 26.10 ทำหูห้าสิบหูติดกับขอบม่านด้านนอกสุดชุดที่หนึ่ง และหูห้าสิบหูติดกับขอบม่านด้านนอกสุดชุดที่สอง
อพย 36.11 เขาทำหูด้วยด้ายสีฟ้า ติดไว้ตามขอบม่านด้านนอกสุดชุดที่หนึ่ง และตามขอบม่านด้านนอกสุดชุดที่สองก็ทำหูไว้เหมือนกัน
อพย 36.12 ม่านผืนหนึ่งเขาทำหูห้าสิบหู และตามขอบม่านชุดที่สองเขาก็ทำหูห้าสิบหูให้ตรงกัน
อพย 36.17 และเขาทำหูห้าสิบหูติดกับม่านด้านนอกสุดชุดที่หนึ่ง และเขาทำหูห้าสิบหูติดกับขอบม่านด้านนอกสุดชุดที่สอง
อพย 37.12 เขาทำประกับขอบโต๊ะนั้นกว้างหนึ่งฝ่ามือโดยรอบ แล้วทำกระจังทองคำประกอบรอบประกับนั้น
อพย 39.19 เขาทั้งหลายทำห่วงทองคำสองอันติดไว้ที่ขอบด้านล่างทั้งสองของทับทรวงข้างในติดเอโฟด
ลนต 19.9 เมื่อเจ้าทั้งหลายเกี่ยวข้าวในนา อย่าเกี่ยวเก็บข้าวที่ขอบนาให้หมด เมื่อเกี่ยวแล้วก็อย่าเก็บข้าวที่ตก
ลนต 23.22 และเมื่อเจ้าเกี่ยวข้าวในแผ่นดินของเจ้า เจ้าอย่าเกี่ยวไปที่ขอบนาให้หมด และอย่าเก็บข้าวที่เกี่ยวตก เจ้าจงทิ้งไว้ให้คนยากจน และคนต่างด้าว เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า”
พบญ 22.8 เมื่อท่านก่อเรือนใหม่ จงก่อขอบขึ้นกันไว้ที่ดาดฟ้าหลังคา เพื่อท่านจะมิได้นำโทษเนื่องด้วยโลหิตตกมาสู่เรือนนั้น เพราะมีคนพลัดตกลงมาจากหลังคาตาย
2ซมอ 2.13 และโยอาบบุตรชายนางเศรุยาห์กับพวกข้าราชการทหารของดาวิดก็ออกไปพบกับเขาที่สระเมืองกิเบโอน และเขาทั้งหลายก็นั่งอยู่ที่ขอบสระ พวกหนึ่งอยู่ที่ขอบสระข้างนี้ อีกพวกหนึ่งข้างโน้น
1พกษ 6.4 และพระองค์ทรงสร้างหน้าต่างสำหรับพระนิเวศมีขอบสอบออกข้างนอก
1พกษ 7.23 แล้วท่านได้หล่อขันสาครเป็นขันกลม วัดจากขอบหนึ่งไปถึงอีกขอบหนึ่งได้สิบศอก สูงห้าศอก และวัดโดยรอบได้สามสิบศอก
1พกษ 7.24 ใต้ขอบเป็นลูกดอกตูม ในระยะหนึ่งศอกมีลูกดอกตูมสิบลูก อยู่รอบขันสาคร ดอกตูมอยู่สองแถวหล่อพร้อมกับเมื่อหล่อขันสาคร
1พกษ 7.26 ขันสาครหนาหนึ่งคืบ ที่ขอบของขันทำเหมือนขอบถ้วยเหมือนอย่างดอกบัว บรรจุได้สองพันบัท
1พกษ 7.33 ล้อนั้นเขาทำเหมือนล้อรถรบ ทั้งเพลา ขอบล้อ ซี่ และดุมก็หล่อ
2พศด 4.2 แล้วพระองค์ทรงสร้างขันสาครหล่อ เป็นขันกลม วัดจากขอบหนึ่งไปถึงอีกขอบหนึ่งได้สิบศอก สูงห้าศอก และวัดโดยรอบได้สามสิบศอก
2พศด 4.5 ขันสาครหนาหนึ่งคืบ ที่ขอบของมันทำเหมือนขอบถ้วย เหมือนอย่างดอกบัว บรรจุได้สามพันบัท
อสค 1.18 ขอบวงล้อนั้นสูงและน่าสะพรึงกลัว และทั้งสี่นั้นที่ขอบมีนัยน์ตาเต็มอยู่รอบๆ
อสค 43.13 ต่อไปนี้เป็นขนาดของแท่นบูชาวัดเป็นศอก ศอกหนึ่งคือความยาวหนึ่งศอกกับหนึ่งคืบ ตอนฐานสูงหนึ่งศอก และกว้างหนึ่งศอก ที่ขอบมีริมคืบหนึ่ง และความสูงของแท่นบูชาเป็นดังนี้
มก 13.27 เมื่อนั้นพระองค์จะทรงใช้เหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ ให้รวบรวมคนทั้งปวงที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้แล้วจากลมทั้งสี่ทิศนั้น ตั้งแต่ที่สุดปลายแผ่นดินโลกจนถึงที่สุดขอบฟ้า
ยน 4.6 บ่อน้ำของยาโคบอยู่ที่นั่น พระเยซูทรงดำเนินทางมาเหน็ดเหนื่อยจึงประทับบนขอบบ่อนั้น เป็นเวลาประมาณเที่ยง
กจ 27.35 ครั้นกล่าวอย่างนั้นแล้ว ท่านจึงหยิบขนมปังขอบพระเดชพระคุณพระเจ้าต่อหน้าคนทั้งปวง เมื่อหักแล้วก็เริ่มรับประทาน
กจ 28.15 ครั้นพวกพี่น้องในกรุงโรมได้ยินข่าวพวกเรา เขาจึงออกมาพบเราที่บ้านตลาดอัปปีอัสและที่บ้านสามร้าน เมื่อเปาโลเห็นเขาแล้ว จึงขอบพระเดชพระคุณพระเจ้าและมีกำลังใจดีขึ้น

ข้อบกพร่อง ( 1 )
ฮบ 8.7 เพราะว่าถ้าพันธสัญญาเดิมนั้นไม่มีข้อบกพร่องแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีพันธสัญญาที่สองอีก

ขอบเขต ( 10 )
1ซมอ 11.3 ฝ่ายพวกผู้ใหญ่แห่งเมืองยาเบชกล่าวแก่ท่านว่า “ขอผ่อนผันให้ข้าพเจ้าสักเจ็ดวัน เพื่อข้าพเจ้าจะได้ส่งผู้สื่อสารไปให้ทั่วขอบเขตอิสราเอล แล้วถ้าไม่มีคนใดช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้พ้นได้ ข้าพเจ้าทั้งหลายจะยอมมอบตัวไว้ให้แก่ท่าน”
โยบ 14.5 วันเวลาของเขาถูกกำหนดไว้เสียแล้ว และจำนวนเดือนของเขาก็อยู่กับพระองค์ พระองค์ทรงกำหนดขอบเขตของเขาไม่ให้เขาผ่านไปได้
สดด 104.9 พระองค์ทรงวางขอบเขตมิให้มันข้าม เพื่อมิให้มันคลุมแผ่นดินโลกอีก
สดด 119.96 ข้าพระองค์เคยเห็นขอบเขตของความสมบูรณ์ทั้งสิ้นแล้ว แต่พระบัญญัติของพระองค์กว้างขวางเหลือเกิน
สภษ 15.25 พระเยโฮวาห์จะทรงรื้อเรือนของคนเย่อหยิ่ง แต่ให้ขอบเขตของหญิงม่ายคงอยู่
2คร 10.13 ฝ่ายเราจะไม่โอ้อวดในสิ่งใดเกินขอบเขต แต่ว่าจะอวดในขอบเขตที่พระเจ้าทรงจัดไว้ให้เรา และพวกท่านก็อยู่ในขอบเขตนั้น
2คร 10.14 การที่มาถึงท่านนั้น มิใช่โดยการล่วงขอบเขตอันควร เรามาจนถึงท่านทั้งหลายเพื่อประกาศข่าวประเสริฐของพระคริสต์
2คร 10.15 เรามิได้โอ้อวดเกินขอบเขต ไม่ได้อวดในการงานที่คนอื่นได้กระทำ แต่เราหวังใจว่า เมื่อความเชื่อของท่านจำเริญมากขึ้นแล้ว ท่านจะช่วยเราให้ขยายเขตกว้างขวางออกไปอีกเป็นอันมากตามขนาดของเรา

ขอบคุณ ( 2 )
รม 16.4 ผู้ซึ่งได้ยอมพลีชีวิตของเขาเพื่อป้องกันชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอขอบคุณเขาทั้งสองและมิใช่ข้าพเจ้าคนเดียว แต่คริสตจักรทุกแห่งของพวกต่างชาติก็ขอบคุณเขาด้วย

ขอบใจ ( 1 )
ลก 17.9 นายจะขอบใจผู้รับใช้นั้นเพราะผู้รับใช้ได้ทำตามคำสั่งหรือ เราคิดว่าไม่

ขอบพระคุณ ( 83 )
2ซมอ 22.50 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ เพราะเหตุนี้ข้าพระองค์ขอขอบพระคุณพระองค์ในหมู่ประชาชาติทั้งหลาย และจะร้องเพลงสรรเสริญพระนามของพระองค์
1พศด 16.8 “จงโมทนาขอบพระคุณพระเยโฮวาห์ จงร้องทูลออกพระนามพระองค์ จงให้บรรดาพระราชกิจของพระองค์แจ้งแก่ชนชาติทั้งหลาย
1พศด 16.34 โอ จงโมทนาขอบพระคุณพระเยโฮวาห์เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์
1พศด 16.35 และท่านจงกล่าวว่า ‘โอ ข้าแต่พระเจ้าแห่งความรอดของข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอจงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้รอด และขอทรงรวบรวมข้าพระองค์ทั้งหลาย และทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งปวงให้พ้นจากประชาชาติทั้งหลาย เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะโมทนาขอบพระคุณพระนามอันบริสุทธิ์ของพระองค์ และลิงโลดในการสรรเสริญพระองค์’
สดด 100.4 จงเข้าประตูของพระองค์ด้วยการโมทนา และเข้าบริเวณพระนิเวศของพระองค์ด้วยการสรรเสริญ จงถวายโมทนาขอบพระคุณพระองค์ จงถวายสาธุการแด่พระนามของพระองค์
สดด 105.1 โอ จงโมทนาขอบพระคุณพระเยโฮวาห์ จงร้องทูลออกพระนามพระองค์ จงให้บรรดาพระราชกิจของพระองค์แจ้งแก่ชนชาติทั้งหลาย
สดด 106.1 จงสรรเสริญพระเยโฮวาห์เถิด โอ จงโมทนาขอบพระคุณพระเยโฮวาห์ เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์
สดด 106.47 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้รอด และขอทรงรวบรวมข้าพระองค์ทั้งหลายจากท่ามกลางประชาชาติต่างๆ เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะโมทนาขอบพระคุณพระนามบริสุทธิ์ของพระองค์ และเริงโลดในการสรรเสริญพระองค์
สดด 107.1 โอ จงโมทนาขอบพระคุณพระเยโฮวาห์ เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์
สดด 107.8 โอ ให้เขาขอบพระคุณพระเยโฮวาห์เพราะความดีของพระองค์ เพราะการมหัศจรรย์ของพระองค์ที่มีต่อบุตรทั้งหลายของมนุษย์
สดด 107.15 โอ ให้เขาขอบพระคุณพระเยโฮวาห์เพราะความดีของพระองค์ เพราะการมหัศจรรย์ของพระองค์ที่มีต่อบุตรทั้งหลายของมนุษย์
สดด 107.21 โอ ให้เขาขอบพระคุณพระเยโฮวาห์เพราะความดีของพระองค์ เพราะการมหัศจรรย์ของพระองค์ที่มีอยู่ต่อบุตรทั้งหลายของมนุษย์
สดด 107.31 โอ ให้เขาขอบพระคุณพระเยโฮวาห์เพราะความดีของพระองค์ เพราะการมหัศจรรย์ของพระองค์ที่มีต่อบุตรทั้งหลายของมนุษย์
สดด 118.1 โอ จงโมทนาขอบพระคุณพระเยโฮวาห์ เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์
สดด 118.29 โอ จงโมทนาขอบพระคุณพระเยโฮวาห์ เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์
สดด 136.1 โอ จงโมทนาขอบพระคุณพระเยโฮวาห์ เพราะพระองค์ทรงประเสริฐ เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์
สดด 136.2 โอ จงโมทนาขอบพระคุณพระเจ้าผู้เหนือพระทั้งหลาย เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์
สดด 136.3 โอ จงโมทนาขอบพระคุณถวายแด่พระองค์ ผู้เป็นเจ้าเหนือเจ้าทั้งหลาย เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์
สดด 136.26 โอ จงโมทนาขอบพระคุณพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์
สดด 140.13 แน่นอนทีเดียว ที่คนชอบธรรมจะถวายโมทนาขอบพระคุณพระนามของพระองค์ คนเที่ยงธรรมจะอาศัยอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์
มธ 11.25 ขณะนั้นพระเยซูทูลตอบว่า “โอ ข้าแต่พระบิดา ผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดิน ข้าพระองค์ขอขอบพระคุณพระองค์ ที่พระองค์ได้ทรงปิดบังสิ่งเหล่านี้ไว้จากผู้มีปัญญาและผู้ฉลาด และได้สำแดงให้ผู้น้อยรู้
มธ 14.19 แล้วพระองค์ทรงสั่งให้คนเหล่านั้นนั่งลงที่หญ้า เมื่อทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวนั้นแล้ว ก็ทรงแหงนพระพักตร์ดูฟ้าสวรรค์ ทรงขอบพระคุณ และหักขนมปังส่งให้เหล่าสาวก เหล่าสาวกก็แจกให้คนทั้งปวง
มธ 15.36 แล้วพระองค์ทรงรับขนมปังเจ็ดก้อนและปลาเหล่านั้นมาขอบพระคุณ แล้วจึงทรงหักส่งให้เหล่าสาวกของพระองค์ เหล่าสาวกก็แจกให้ประชาชน
มธ 26.26 ระหว่างอาหารมื้อนั้น พระเยซูทรงหยิบขนมปังมา และเมื่อขอบพระคุณแล้ว ทรงหักส่งให้แก่เหล่าสาวกตรัสว่า “จงรับกินเถิด นี่เป็นกายของเรา”
มธ 26.27 แล้วพระองค์จึงทรงหยิบถ้วยมาขอบพระคุณและส่งให้เขา ตรัสว่า “จงรับไปดื่มทุกคนเถิด
มก 6.41 เมื่อพระองค์ทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวนั้นแล้ว ก็แหงนพระพักตร์ดูฟ้าสวรรค์ขอบพระคุณ แล้วหักขนมปังนั้นให้เหล่าสาวกให้เขาแจกแก่คนทั้งปวง และปลาสองตัวนั้นพระองค์ทรงแบ่งให้ทั่วกันด้วย
มก 8.6 พระองค์จึงตรัสสั่งประชาชนให้นั่งลงที่พื้นดิน แล้วทรงรับขนมปังเจ็ดก้อนนั้น ทรงขอบพระคุณ แล้วจึงทรงหักส่งให้เหล่าสาวกให้เขาแจก เหล่าสาวกจึงแจกให้ประชาชน
มก 8.7 และเขามีปลาเล็กๆอยู่บ้าง พระองค์จึงขอบพระคุณ แล้วสั่งให้เอาปลานั้นแจกด้วย
มก 14.22 ระหว่างอาหารมื้อนั้น พระเยซูทรงหยิบขนมปังมา ทรงขอบพระคุณ แล้วหักส่งให้แก่เหล่าสาวกตรัสว่า “จงรับกินเถิด นี่เป็นกายของเรา”
มก 14.23 แล้วพระองค์จึงทรงหยิบถ้วย ขอบพระคุณและส่งให้เขา เขาก็รับไปดื่มทุกคน
ลก 2.38 ในขณะนั้นผู้หญิงคนนี้ก็เข้ามาขอบพระคุณองค์พระผู้เป็นเจ้าเช่นกัน และกล่าวถึงพระกุมารให้คนทั้งปวงที่คอยการทรงไถ่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มฟัง
ลก 9.16 เมื่อพระองค์ทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวนั้นแล้ว ก็แหงนพระพักตร์ดูฟ้าสวรรค์ขอบพระคุณ แล้วหักส่งให้แก่เหล่าสาวก ให้เขาแจกแก่ประชาชน
ลก 10.21 ในโมงนั้นเอง พระเยซูทรงมีความเปรมปรีดิ์ในพระวิญญาณ จึงตรัสว่า “โอ ข้าแต่พระบิดา ผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์ได้ทรงปิดบังสิ่งเหล่านี้ไว้จากคนมีปัญญาและคนสุขุมรอบคอบ และได้ทรงเปิดเผยสิ่งเหล่านี้แก่ทารกน้อย ข้าแต่พระบิดา ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะเป็นที่ชอบพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์
ลก 17.16 และกราบลงที่พระบาทของพระองค์ ขอบพระคุณพระองค์ คนนั้นเป็นชาวสะมาเรีย
ลก 18.11 คนฟาริสีนั้นยืนนึกในใจของตนอธิษฐานว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ ที่ข้าพระองค์ไม่เหมือนคนอื่นซึ่งเป็นคนฉ้อโกง คนอธรรม และคนล่วงประเวณี และไม่เหมือนคนเก็บภาษีคนนี้
ลก 22.17 พระองค์ทรงหยิบถ้วย ขอบพระคุณแล้วตรัสว่า “จงรับถ้วยนี้แบ่งกันดื่ม
ลก 22.19 พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ขอบพระคุณแล้วหักส่งให้แก่เขาทั้งหลายตรัสว่า “นี่เป็นกายของเรา ซึ่งได้ให้สำหรับท่านทั้งหลาย จงกระทำอย่างนี้ให้เป็นที่ระลึกถึงเรา”
ลก 24.30 ต่อมาเมื่อพระองค์ทรงเอนพระกายลงเสวยกับเขา พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ขอบพระคุณ แล้วหักส่งให้เขา
ยน 6.11 แล้วพระเยซูก็ทรงหยิบขนมปังนั้น และเมื่อขอบพระคุณแล้ว ก็ทรงแจกแก่พวกสาวก และพวกสาวกแจกแก่บรรดาคนที่นั่งอยู่นั้น และให้ปลาด้วยตามที่เขาปรารถนา
ยน 6.23 (แต่มีเรือลำอื่นมาจากทิเบเรียส ใกล้สถานที่ที่เขาได้กินขนมปัง หลังจากที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงขอบพระคุณแล้ว)
ยน 11.41 พวกเขาจึงเอาศิลาออกเสียจากที่ซึ่งผู้ตายวางอยู่นั้น พระเยซูทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์ทรงโปรดฟังข้าพระองค์
รม 1.8 ประการแรก ข้าพเจ้าขอขอบพระคุณพระเจ้าของข้าพเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์เหตุด้วยท่านทั้งหลาย เพราะว่าความเชื่อของพวกท่านเลื่องลือไปทั่วโลก
รม 1.21 เพราะถึงแม้ว่าเขาทั้งหลายได้รู้จักพระเจ้าแล้ว เขาก็มิได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ให้สมกับที่ทรงเป็นพระเจ้า หรือหาได้ขอบพระคุณไม่ แต่เขากลับคิดในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ และจิตใจโง่เขลาของเขาก็มืดมัวไป
รม 6.17 แต่จงขอบพระคุณพระเจ้าเพราะว่าเมื่อก่อนนั้นท่านเป็นทาสของบาป แต่บัดนี้ท่านมีใจเชื่อฟังหลักคำสอนนั้นซึ่งทรงมอบไว้แก่ท่าน
รม 7.25 ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ฉะนั้นทางด้านจิตใจข้าพเจ้ารับใช้พระราชบัญญัติของพระเจ้า แต่ด้านฝ่ายเนื้อหนังข้าพเจ้ารับใช้กฎแห่งบาป
รม 14.6 ผู้ที่ถือวันก็ถือเพื่อถวายเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า และผู้ที่ไม่ถือวันก็ไม่ถือเพื่อถวายเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่กินก็กินเพื่อถวายเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะเขาขอบพระคุณพระเจ้า และผู้ที่มิได้กินก็มิได้กินเพื่อถวายเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า และยังขอบพระคุณพระเจ้า
1คร 1.4 ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าของข้าพเจ้าในเรื่องท่านทั้งหลายเสมอ เพราะพระคุณของพระเจ้าซึ่งทรงประทานแก่ท่านทั้งหลายโดยพระเยซูคริสต์
1คร 1.14 ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าที่ข้าพเจ้ามิได้ให้บัพติศมาแก่ผู้หนึ่งผู้ใดในพวกท่าน เว้นแต่คริสปัสและกายอัส
1คร 10.30 เพราะถ้าข้าพเจ้ารับประทานโดยพระคุณ ทำไมเขาติเตียนข้าพเจ้าเพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ขอบพระคุณแล้วเล่า
1คร 11.24 ครั้นขอบพระคุณแล้ว จึงทรงหักแล้วตรัสว่า “จงรับไปกินเถิด นี่เป็นกายของเรา ซึ่งหักออกเพื่อท่านทั้งหลาย จงกระทำอย่างนี้ให้เป็นที่ระลึกถึงเรา”
1คร 14.16 มิฉะนั้นเมื่อท่านขอบพระคุณด้วยจิตวิญญาณแล้ว คนที่อยู่ในพวกที่รู้ไม่ถึงจะว่า “เอเมน” เมื่อท่านขอบพระคุณอย่างไรได้ ในเมื่อเขาไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านพูด
1คร 14.17 แม้ท่านขอบพระคุณอย่างไพเราะก็ตาม แต่คนอื่นนั้นจะไม่จำเริญขึ้น
1คร 14.18 ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าพูดภาษาต่างๆมากกว่าท่านทั้งหลายอีก
1คร 15.57 แต่จงขอบพระคุณแด่พระเจ้า ผู้ทรงประทานชัยชนะแก่เราทั้งหลายโดยพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
2คร 1.11 ท่านทั้งหลายจะช่วยเราได้ด้วยการอธิษฐานเพื่อเรา เพื่อว่าคนเป็นอันมากจะได้ขอบพระคุณเพราะเรา เนื่องจากของประทานที่ทรงประทานแก่เรา อันเป็นการทรงตอบคำอธิษฐานของคนเป็นอันมากนั้น
2คร 2.14 แต่ขอบพระคุณพระเจ้าผู้ทรงให้เรามีชัยเสมอโดยพระคริสต์ และทรงโปรดประทานกลิ่นหอมแห่งความรู้ของพระองค์ให้ปรากฏด้วยตัวเราทุกแห่ง
2คร 8.16 แต่ขอขอบพระคุณพระเจ้า ผู้ทรงโปรดให้ทิตัสมีใจกระตือรือร้นอย่างนั้นเพื่อท่านทั้งหลายเหมือนกัน
2คร 9.15 จงขอบพระคุณพระเจ้าเพราะของประทานซึ่งพระองค์ทรงประทานนั้นที่เหลือจะพรรณนาได้
อฟ 1.16 ข้าพเจ้าจึงได้ขอบพระคุณเพราะท่านทั้งหลายไม่หยุดเลย คือเอ่ยถึงท่านในคำอธิษฐานของข้าพเจ้า
อฟ 5.4 ทั้งอย่าพูดหยาบคาย พูดเล่นไม่เป็นเรื่อง และพูดตลกหยาบโลนเกเร ซึ่งเป็นการไม่สมควร แต่ให้ขอบพระคุณดีกว่า
อฟ 5.20 จงขอบพระคุณพระเจ้าคือพระบิดาสำหรับสิ่งสารพัดเสมอ ในพระนามพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
ฟป 1.3 ข้าพเจ้าระลึกถึงท่านเมื่อใด ข้าพเจ้าก็ขอบพระคุณพระเจ้าของข้าพเจ้าทุกครั้ง
คส 1.3 เราขอบพระคุณพระเจ้าพระบิดาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา เราอธิษฐานเพื่อท่านทั้งหลายเสมอ
คส 1.12 ให้ขอบพระคุณพระบิดา ผู้ทรงทำให้เราทั้งหลายสมกับที่จะเข้าส่วนได้รับมรดกด้วยกันกับวิสุทธิชนในความสว่าง
คส 3.15 และจงให้สันติสุขแห่งพระเจ้าครอบครองอยู่ในใจของท่านทั้งหลาย ในสันติสุขนั้นทรงเรียกท่านทั้งหลายไว้ให้เป็นกายอันเดียวด้วย และท่านทั้งหลายจงขอบพระคุณ
คส 3.17 และเมื่อท่านจะกระทำสิ่งใดด้วยวาจาหรือด้วยการประพฤติก็ตาม จงกระทำทุกสิ่งในพระนามของพระเยซูเจ้าและขอบพระคุณพระเจ้าพระบิดาโดยพระองค์นั้น
คส 4.2 จงขะมักเขม้นในการอธิษฐาน จงเฝ้าระวังอยู่ในการนั้นด้วยขอบพระคุณ
1ธส 1.2 เราขอบพระคุณพระเจ้าเพราะท่านทั้งหลายเสมอ และเมื่ออธิษฐานเราก็เอ่ยถึงท่าน
1ธส 2.13 เพราะเหตุนี้เราจึงขอบพระคุณพระเจ้าไม่หยุดหย่อน เพราะว่าเมื่อท่านทั้งหลายได้รับพระวจนะของพระเจ้าซึ่งท่านได้ยินจากเรา ท่านไม่ได้รับไว้อย่างเป็นคำของมนุษย์ แต่ได้รับไว้ตามความเป็นจริง คือเป็นพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งกำลังทำงานอยู่ภายในท่านทั้งหลายที่เชื่อด้วย
1ธส 3.9 เราจะขอบพระคุณพระเจ้าเพราะท่านอย่างไรอีกจึงจะเหมาะ สำหรับบรรดาความชื่นชมยินดีซึ่งเรามีอยู่เพราะท่าน จำเพาะพระพักตร์พระเจ้าของเรา
1ธส 5.18 จงขอบพระคุณในทุกกรณี เพราะนี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์เพื่อท่านทั้งหลาย
2ธส 1.3 พี่น้องทั้งหลาย เราต้องขอบพระคุณพระเจ้าเพราะท่านทั้งหลายอยู่เสมอ และเป็นการสมควร เพราะความเชื่อของท่านก็จำเริญยิ่งขึ้น และความรักของท่านทุกคนที่มีต่อกันทวีขึ้นมากด้วย
2ธส 2.13 พี่น้องทั้งหลาย ผู้เป็นที่รักขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราจำต้องขอบพระคุณพระเจ้าเพราะท่านอยู่เสมอ เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงเลือกท่านไว้ตั้งแต่เริ่มแรกให้ถึงที่รอด โดยพระวิญญาณทรงชำระตั้งท่านไว้ให้บริสุทธิ์ และโดยท่านได้เชื่อความจริง
1ทธ 1.12 ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้ทรงชูกำลังข้าพเจ้า ด้วยว่าพระองค์ทรงถือว่าข้าพเจ้าเป็นคนสัตย์ซื่อ จึงทรงตั้งข้าพเจ้าให้ปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์
1ทธ 2.1 เหตุฉะนั้นก่อนสิ่งอื่นใด ข้าพเจ้าขอเตือนสติท่านทั้งหลายให้วิงวอนอธิษฐานทูลขอ และขอบพระคุณเพื่อคนทั้งปวง
1ทธ 4.3 เขาห้ามทำการสมรส ไม่ให้รับประทานอาหารซึ่งพระเจ้าทรงสร้างไว้ให้ผู้ที่เชื่อและรู้จักความจริงรับประทานด้วยขอบพระคุณ
1ทธ 4.4 ด้วยว่าสิ่งสารพัดซึ่งพระเจ้าได้ทรงสร้างไว้นั้นเป็นของดี ถ้าแม้รับประทานด้วยขอบพระคุณ ก็ไม่ห้ามเลยสักสิ่งเดียว
2ทธ 1.3 ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าผู้ซึ่งข้าพเจ้าได้รับใช้ ด้วยจิตสำนึกอันบริสุทธิ์สืบมาตั้งแต่บรรพบุรุษของข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าได้ระลึกถึงท่านในคำอธิษฐานของข้าพเจ้ามิได้หยุดหย่อนทั้งกลางวันกลางคืน
ฟม 1.4 ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าของข้าพเจ้า โดยได้เอ่ยถึงท่านเสมอเมื่อข้าพเจ้าอธิษฐาน
ฮบ 13.15 เหตุฉะนั้น ให้เราถวายคำสรรเสริญเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้าตลอดไปโดยทางพระองค์นั้น คือผลแห่งริมฝีปากที่ขอบพระคุณพระนามของพระองค์
วว 11.17 และทูลว่า “โอ ข้าแต่พระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ผู้ทรงดำรงอยู่บัดนี้ และผู้ได้ทรงดำรงอยู่ในกาลก่อน และผู้จะเสด็จมาในอนาคต ข้าพระองค์ทั้งหลายขอบพระคุณพระองค์ ที่พระองค์ได้ทรงใช้ฤทธานุภาพอันใหญ่ยิ่งของพระองค์ และได้ทรงครอบครอง

ข้อบังคับ ( 36 )
นหม 9.14 และพระองค์ทรงให้เขาทราบถึงวันสะบาโตบริสุทธิ์ของพระองค์ และทรงบัญชาข้อบังคับ กฎเกณฑ์และพระราชบัญญัติทางโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์
สดด 119.4 พระองค์ได้ทรงบัญชาให้เราทั้งหลายรักษาข้อบังคับของพระองค์อย่างเคร่งครัด
สดด 119.15 ข้าพระองค์จะรำพึงถึงข้อบังคับของพระองค์ และเอาใจใส่ทางทั้งหลายของพระองค์
สดด 119.27 ขอทรงกระทำให้ข้าพระองค์เข้าใจทางแห่งข้อบังคับของพระองค์ และข้าพระองค์จะกล่าวถึงพระราชกิจอันมหัศจรรย์ของพระองค์
สดด 119.40 ดูเถิด ข้าพระองค์ปรารถนาข้อบังคับของพระองค์ โดยความชอบธรรมของพระองค์ขอทรงสงวนชีวิตของข้าพระองค์
สดด 119.45 และข้าพระองค์จะเดินอย่างเสรีเพราะข้าพระองค์ได้แสวงหาข้อบังคับของพระองค์
สดด 119.56 สิ่งนี้ได้ตกมายังข้าพระองค์เพราะข้าพระองค์รักษาข้อบังคับของพระองค์ไว้
สดด 119.63 ข้าพระองค์เป็นเพื่อนกับทุกคนผู้ยำเกรงพระองค์กับผู้ที่รักษาข้อบังคับของพระองค์
สดด 119.69 คนโอหังป้ายความเท็จใส่ข้าพระองค์ แต่ข้าพระองค์จะรักษาข้อบังคับของพระองค์ด้วยสุดใจ
สดด 119.78 ขอทรงให้คนโอหังได้รับความอาย เพราะว่าเขาได้คว่ำข้าพระองค์ด้วยความเท็จโดยไม่มีเหตุ แต่ข้าพระองค์จะรำพึงถึงข้อบังคับของพระองค์
สดด 119.87 เขาเกือบจะทำให้ข้าพระองค์ดับชีพไปจากแผ่นดินโลกแล้ว แต่ข้าพระองค์ไม่ทอดทิ้งข้อบังคับของพระองค์
สดด 119.93 ข้าพระองค์จะไม่ลืมข้อบังคับของพระองค์เลย เพราะพระองค์ทรงสงวนชีวิตของข้าพระองค์โดยข้อบังคับนั้น
สดด 119.94 ข้าพระองค์เป็นของพระองค์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอด เพราะข้าพระองค์ได้แสวงหาข้อบังคับของพระองค์
สดด 119.100 ข้าพระองค์เข้าใจมากกว่าคนสูงอายุ เพราะข้าพระองค์รักษาข้อบังคับของพระองค์
สดด 119.104 ข้าพระองค์ได้ความเข้าใจโดยข้อบังคับของพระองค์ เพราะฉะนั้นข้าพระองค์เกลียดชังวิถีเท็จทุกอย่าง
สดด 119.110 คนชั่ววางกับดักข้าพระองค์ แต่ข้าพระองค์ไม่หลงเจิ่นจากข้อบังคับของพระองค์
สดด 119.128 เพราะฉะนั้นข้าพระองค์ถือว่าบรรดาข้อบังคับของพระองค์ถูกต้องในทุกเรื่อง ข้าพระองค์เกลียดมรรคาทุจริตทุกทาง
สดด 119.134 ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นการบีบบังคับของมนุษย์ เพื่อข้าพระองค์จะรักษาข้อบังคับของพระองค์
สดด 119.141 ข้าพระองค์ต่ำต้อยและเป็นที่ดูถูก แต่ข้าพระองค์ไม่ลืมข้อบังคับของพระองค์
สดด 119.159 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงพิเคราะห์ว่าข้าพระองค์รักข้อบังคับของพระองค์มากเท่าใด ขอทรงสงวนชีวิตของข้าพระองค์ไว้ตามความเมตตาของพระองค์
สดด 119.168 ข้าพระองค์รักษาข้อบังคับและบรรดาพระโอวาทของพระองค์ เพราะทางทั้งสิ้นของข้าพระองค์อยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์
สดด 119.173 ขอพระหัตถ์ของพระองค์ทรงช่วยข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์ได้เลือกข้อบังคับของพระองค์
อสย 28.10 เพราะเป็นข้อบังคับซ้อนข้อบังคับ ข้อบังคับซ้อนข้อบังคับ บรรทัดซ้อนบรรทัด บรรทัดซ้อนบรรทัด ที่นี่นิด ที่นั่นหน่อย
อสย 28.13 เพราะฉะนั้นพระวจนะของพระเยโฮวาห์จึงเป็นอย่างนี้แก่เขา เป็นข้อบังคับซ้อนข้อบังคับ ข้อบังคับซ้อนข้อบังคับ เป็นบรรทัดซ้อนบรรทัด บรรทัดซ้อนบรรทัด ที่นี่นิด ที่นั่นหน่อย เพื่อเขาจะไปและถอยหลัง และจะแตก และจะติดบ่วงและจะถูกจับไป
อสย 29.13 และองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เพราะชนชาตินี้เข้ามาใกล้เราด้วยปากของเขา และให้เกียรติเราด้วยริมฝีปากของเขา แต่เขาให้จิตใจของเขาห่างไกลจากเรา เขายำเกรงเราเพียงแต่เหมือนเป็นข้อบังคับของมนุษย์ที่สอนกันมา
ยรม 35.18 แต่เยเรมีย์ได้พูดกับวงศ์วานเรคาบว่า “พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า เพราะว่าเจ้าได้เชื่อฟังคำบัญชาของโยนาดับบิดาของเจ้า และถือรักษาข้อบังคับของท่านทั้งสิ้น และกระทำทุกอย่างที่ท่านบัญชาเจ้า
ดนล 9.5 ข้าพระองค์ทั้งหลายได้กระทำบาป และได้กระทำความชั่วช้า และได้ประกอบความชั่วและการกบฏ หันเสียจากข้อบังคับและคำตัดสินของพระองค์
มก 10.5 พระเยซูจึงตรัสตอบเขาว่า “โมเสสได้เขียนข้อบังคับนั้นเพราะเหตุใจพวกเจ้าแข็งกระด้าง
ฮบ 9.19 เพราะว่าเมื่อโมเสสประกาศข้อบังคับทุกข้อแก่บรรดาพลไพร่ตามพระราชบัญญัติแล้ว ท่านจึงได้เอาเลือดลูกวัวและเลือดลูกแพะกับน้ำ และเอาขนแกะสีแดงและต้นหุสบมาประพรมหนังสือม้วนนั้นกับทั้งบรรดาคนทั้งปวง

ข้อบัญญัติ ( 3 )
อพย 24.12 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “ขึ้นมาหาเราบนภูเขาแล้วคอยอยู่ที่นั่น เราจะให้แผ่นศิลาอันมีราชบัญญัติ และข้อบัญญัติซึ่งเราจารึกไว้เพื่อเก็บไว้สอนเขา”
พบญ 5.31 แต่ตัวเจ้าจงยืนอยู่ที่นี่ใกล้เรา และเราจะบอกข้อบัญญัติและกฎเกณฑ์และคำตัดสินทั้งสิ้นแก่เจ้า ซึ่งเจ้าจะต้องสอนเขาทั้งหลายเพื่อเขาทั้งหลายจะกระทำตามในแผ่นดินซึ่งเราให้เขายึดครองนั้น’
คส 2.14 พระองค์ทรงลบกรมธรรม์ในข้อบัญญัติต่างๆที่ต่อต้านเราอยู่ ซึ่งขัดขวางเราและได้ทรงหยิบเอาไปเสียให้พ้น โดยทรงตรึงไว้ที่กางเขนของพระองค์

ข้อปฏิบัติ ( 1 )
นหม 9.29 และพระองค์ทรงตักเตือนเขา เพื่อว่าจะทรงหันเขาให้กลับมาสู่พระราชบัญญัติของพระองค์ แต่เขาก็ยังประพฤติอย่างเย่อหยิ่งอวดดี ไม่ยอมเชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์ แต่ได้กระทำผิดต่อคำตัดสินของพระองค์ (อันเป็นข้อปฏิบัติซึ่งมนุษย์จะดำรงชีพอยู่ได้) และได้หันบ่าดื้อและคอแข็งเข้าสู้และมิได้เชื่อฟัง

ข้อพระคัมภีร์ ( 5 )
ยน 19.36 เพราะสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อข้อพระคัมภีร์จะสำเร็จซึ่งว่า ‘พระอัฐิของพระองค์จะไม่หักสักซี่เดียว’
ยน 19.37 และมีข้อพระคัมภีร์อีกข้อหนึ่งว่า ‘เขาทั้งหลายจะมองดูพระองค์ผู้ซึ่งเขาเองได้แทง’
ยน 20.9 เพราะว่าขณะนั้นเขายังไม่เข้าใจข้อพระคัมภีร์ที่ว่า พระองค์จะต้องฟื้นขึ้นมาจากความตาย
รม 9.17 เพราะมีข้อพระคัมภีร์ที่กล่าวแก่ฟาโรห์ว่า ‘เพราะเหตุนี้เองเราให้เจ้ามีตำแหน่งสูง ก็เพื่อจะแสดงฤทธานุภาพของเราโดยเจ้าและเพื่อให้นามของเราถูกประกาศออกไปทั่วโลก’
รม 10.11 เพราะมีข้อพระคัมภีร์ว่า ‘ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์นั้นก็จะไม่ได้รับความอับอาย’

ข้อพิพากษา ( 1 )
ยรม 48.47 แต่เรายังจะให้โมอับกลับสู่สภาพเดิมในกาลต่อไป พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ” เท่านี้เป็นข้อพิพากษาโมอับ

ข้อพิสูจน์ ( 1 )
อสย 41.21 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “จงนำข้อคดีของเจ้าขึ้นมา” กษัตริย์ของยาโคบตรัสว่า “จงนำข้อพิสูจน์ของเจ้ามา”

ข้อมือ ( 5 )
ปฐก 24.22 และต่อมาเมื่ออูฐกินน้ำเสร็จแล้ว ชายนั้นก็ให้แหวนทองคำหนักครึ่งเชเขล และกำไลสำหรับข้อมือนางคู่หนึ่งทองหนักสิบเชเขล
ปฐก 24.30 และต่อมาเมื่อท่านเห็นแหวนและกำไลที่ข้อมือน้องสาว และเมื่อท่านได้ยินคำของเรเบคาห์น้องสาวว่า “ชายนั้นพูดกับข้าพเจ้าอย่างนี้” ท่านก็ไปหาชายนั้น และดูเถิด เขากำลังยืนอยู่กับอูฐที่บ่อน้ำ
ปฐก 24.47 แล้วข้าพเจ้าถามนางว่า ‘นางเป็นบุตรสาวของใคร’ นางตอบว่า ‘เป็นบุตรสาวของเบธูเอลบุตรชายของนาโฮร์ ซึ่งนางมิลคาห์กำเนิดให้แก่เขา’ ข้าพเจ้าจึงใส่แหวนที่จมูกของนางแล้วสวมกำไลที่ข้อมือนาง
ปฐก 38.28 ต่อมาเมื่อจะคลอดนั้นบุตรคนหนึ่งยื่นมือออกมาก่อน หญิงผดุงครรภ์จึงเอาด้ายแดงผูกไว้ที่ข้อมือและกล่าวว่า “คนนี้คลอดก่อน”
ปฐก 38.30 ภายหลังน้องชายเปเรศที่มีด้ายแดงผูกข้อมือนั้นก็คลอด จึงให้ชื่อว่า เศ-ราห์

ขอยืม ( 8 )
พบญ 24.10 เมื่อท่านทั้งหลายให้พี่น้องขอยืมสิ่งใด อย่าเข้าไปในเรือนของเขาและเอาสิ่งที่เขาใช้เป็นประกัน
พบญ 28.12 พระเยโฮวาห์จะทรงเปิดคลังฟ้าอันดีของพระองค์ ประทานฝนแก่แผ่นดินของท่านตามฤดูกาล และทรงอำนวยพระพรแก่กิจการน้ำมือของท่าน และท่านจะให้ประชาชาติหลายประชาชาติขอยืม แต่ท่านจะไม่ขอยืมเขา
2พกษ 4.3 แล้วท่านกล่าวว่า “จงออกไปนอกบ้าน ขอยืมภาชนะจากเพื่อนบ้านทุกคนของเจ้ามาเป็นภาชนะเปล่า อย่าให้น้อย
2พกษ 6.5 ขณะที่คนหนึ่งฟันไม้อยู่ หัวขวานของเขาตกลงไปในน้ำ และเขาร้องขึ้นว่า “อนิจจา นายครับ ขวานนั้นผมขอยืมเขามา”
นหม 5.4 และคนอื่นๆกล่าวว่า “เราได้ขอยืมเงินมาเป็นค่าภาษีถวายกษัตริย์ โดยจำนำนาและสวนองุ่นของเรา
สดด 37.21 คนชั่วขอยืมและไม่จ่ายคืน แต่คนชอบธรรมนั้นแสดงความเมตตาและแจกจ่าย
มธ 5.42 ถ้าเขาจะขอสิ่งใดจากท่านก็จงให้ อย่าเมินหน้าจากผู้ที่อยากขอยืมจากท่าน

ขอร้อง ( 17 )
ปฐก 33.10 ยาโคบตอบว่า “มิได้ ข้าพเจ้าขอร้องท่านเถิด ถ้าข้าพเจ้าได้รับความกรุณาในสายตาของท่านแล้วขอรับของกำนัลนั้นจากมือข้าพเจ้า เพราะเหตุว่าข้าพเจ้าได้เห็นหน้าท่านก็เหมือนเห็นพระพักตร์ของพระเจ้า และท่านได้โปรดข้าพเจ้าแล้ว
ปฐก 37.14 บิดาจึงพูดกับเขาว่า “เราขอร้องเจ้าให้ไปดูพี่ชายของเจ้าและฝูงสัตว์ซิว่า สบายดีหรือไม่ แล้วกลับมาบอกพ่อ” บิดาใช้เขาไปจากที่ราบเฮโบรน เขาก็มายังเมืองเชเคม
ปฐก 47.29 เวลาที่อิสราเอลจะสิ้นชีพก็ใกล้เข้ามาแล้ว ท่านจึงเรียกโยเซฟบุตรชายท่านมาสั่งว่า “ถ้าเดี๋ยวนี้เราได้รับความกรุณาในสายตาของเจ้า เราขอร้องให้เจ้าเอามือของเจ้าวางไว้ใต้ขาอ่อนของเรา และปฏิบัติต่อเราด้วยความเมตตากรุณาและจริงใจ ขอเจ้าโปรดอย่าฝังศพเราไว้ในอียิปต์เลย
นรธ 3.11 บัดนี้ ลูกสาวเอ๋ย เจ้าอย่ากลัวเลย สิ่งที่เจ้าขอร้องเราจะกระทำตามทุกอย่าง บรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ของเมืองเราทราบดีอยู่ว่าเจ้าเป็นผู้หญิงที่ดี
1ซมอ 16.22 และซาอูลทรงส่งข่าวไปยังเจสซีว่า “เราขอร้องให้ท่าน โปรดอนุญาตให้ดาวิดมายืนอยู่เบื้องหน้าเราเถิด เพราะเขาเป็นที่โปรดปรานในสายตาของเรา”
1ซมอ 20.29 เขาว่า ‘ข้าพเจ้าขอร้องให้ท่านอนุญาตให้ข้าพเจ้าไป เพราะครอบครัวของข้าพเจ้ามีการถวายสัตวบูชาในเมือง และพี่ชายของข้าพเจ้าสั่งให้ข้าพเจ้าไปที่นั่น บัดนี้ถ้าข้าพเจ้าได้รับความกรุณาในสายตาของท่าน ข้าพเจ้าก็ขอร้องให้ท่านอนุญาตให้ข้าพเจ้าไปเยี่ยมพี่ชายของข้าพเจ้า’ ด้วยเหตุนี้เขาจึงมิได้มาที่โต๊ะของกษัตริย์”
1ซมอ 25.8 ขอให้ถามพวกคนหนุ่มของท่าน ดูเถิด เขาทั้งหลายจะสำแดงให้ท่านทราบเอง เพราะฉะนั้นขอให้คนหนุ่มทั้งหลายของข้าพเจ้าได้รับความกรุณาในสายตาของท่าน เพราะเรามาในวันดี ข้าพเจ้าขอร้องท่านโปรดให้สิ่งที่ตกมาถึงมือของท่านแก่พวกผู้รับใช้ของท่านและแก่ดาวิดบุตรของท่าน’”
โยบ 4.7 ข้าขอร้องให้ท่านจำไว้หน่อยเถิดว่า ผู้ที่ไร้ความผิดเคยพินาศหรือ หรือคนเที่ยงธรรมถูกตัดออกที่ไหน
โยบ 8.8 ข้าขอร้อง ให้ท่านถามคนโบราณดู และคิดดูว่า บรรพบุรุษค้นพบสิ่งใดบ้าง
มธ 16.1 พวกฟาริสีกับพวกสะดูสีได้มาทดลองพระองค์โดยขอร้องให้พระองค์สำแดงหมายสำคัญจากฟ้าสวรรค์ให้เขาเห็น
2คร 5.20 ฉะนั้นเราจึงเป็นราชทูตของพระคริสต์ โดยที่พระเจ้าทรงขอร้องท่านทั้งหลายทางเรา เราผู้แทนของพระคริสต์จึงขอร้องท่านให้คืนดีกันกับพระเจ้า
2คร 10.2 คือข้าพเจ้าขอร้องท่านว่า เมื่อข้าพเจ้ามาอยู่กับท่านอย่าให้ข้าพเจ้าต้องแสดงความกล้าหาญด้วยความแน่ใจ อย่างที่ข้าพเจ้าคิดสำแดงต่อบางคนที่นึกเห็นว่าเรายังดำเนินตามเนื้อหนังนั้น
อฟ 3.13 เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงขอร้องท่านว่า อย่าท้อถอย เพราะความยากลำบากของข้าพเจ้าเพราะเห็นแก่ท่านซึ่งเป็นสง่าราศีของท่านเอง
ฟป 4.3 ข้าพเจ้าขอร้องท่านด้วย ผู้เป็นเพื่อนร่วมแอกแท้ๆของข้าพเจ้า ให้ท่านช่วยผู้หญิงเหล่านั้น ผู้ซึ่งได้ทำงานในข่าวประเสริฐด้วยกันกับข้าพเจ้าและกับเคลเมด้วย รวมทั้งคนอื่นที่เป็นเพื่อนร่วมงานของข้าพเจ้า ซึ่งชื่อของเขาเหล่านั้นมีอยู่ในหนังสือแห่งชีวิตแล้ว
1ทธ 1.3 เมื่อข้าพเจ้าได้ไปยังแคว้นมาซิโดเนีย ตามที่ข้าพเจ้าได้ขอร้องให้ท่านคอยอยู่ในเมืองเอเฟซัส เพื่อท่านจะได้กำชับบางคนไม่ให้เขาสอนคำสอนอื่นๆ

ขอรับ ( 3 )
1พกษ 2.13 แล้วอาโดนียาห์โอรสของพระนางฮักกีทได้เข้าเฝ้าพระนางบัทเชบาพระชนนีของซาโลมอน พระนางมีพระเสาวนีย์ว่า “เจ้ามาอย่างสันติหรือ” ท่านทูลว่า “อย่างสันติขอรับกระหม่อม”
มธ 21.30 บิดาจึงไปหาบุตรคนที่สองพูดเช่นเดียวกัน บุตรนั้นตอบว่า ‘ข้าพเจ้าไปขอรับ’ แต่ไม่ไป
มธ 27.63 เรียนว่า “เจ้าคุณขอรับ ข้าพเจ้าทั้งหลายจำได้ว่า คนล่อลวงผู้นั้น เมื่อเขายังมีชีวิตอยู่ได้พูดว่า ‘ล่วงไปสามวันแล้วเราจะเป็นขึ้นมาใหม่’

ข้อราชการ ( 1 )
วนฉ 3.19 แล้วตัวท่านกลับไปจากรูปเคารพสลักที่อยู่ใกล้กิลกาลทูลว่า “โอ ข้าแต่กษัตริย์ ข้าพระองค์มีข้อราชการลับที่จะกราบทูลให้ทรงทราบ” กษัตริย์จึงมีบัญชาว่า “เงียบๆ” บรรดามหาดเล็กที่เฝ้าอยู่ก็ทูลลาออกไปหมด

ขอลิด ( 4 )
อสย 2.4 พระองค์จะทรงวินิจฉัยระหว่างบรรดาประชาชาติ และจะทรงตำหนิชนชาติทั้งหลายเป็นอันมาก และเขาทั้งหลายจะตีดาบของเขาให้เป็นผาลไถนา และหอกของเขาให้เป็นขอลิด ประชาชาติจะไม่ยกดาบต่อสู้กันอีก เขาจะไม่ศึกษายุทธศาสตร์อีกต่อไป
อสย 18.5 เพราะก่อนถึงฤดูเกี่ยว ดอกตูมเบ่งบานเต็มที่แล้ว และผลองุ่นเปรี้ยวกำลังสุกอยู่ในช่อของมัน พระองค์จะทรงตัดแขนงออกด้วยขอลิดแขนงและนำออกไป และจะทรงตัดกิ่งก้านนั้นลงเสีย
ยอล 3.10 จงตีผาลไถนาของเจ้าให้เป็นดาบ และตีขอลิดของเจ้าให้เป็นทวน ให้คนอ่อนแอพูดว่า “ฉันเป็นนักรบ”
มคา 4.3 พระองค์จะทรงวินิจฉัยระหว่างชนชาติทั้งหลายเป็นอันมาก และจะทรงตัดสินเพื่อบรรดาประชาชาติอันแข็งแรงที่อยู่ไกลออกไป และเขาทั้งหลายจะตีดาบของเขาให้เป็นผาลไถนา และหอกของเขาให้เป็นขอลิด ประชาชาติจะไม่ยกดาบต่อสู้กันอีก เขาจะไม่ศึกษายุทธศาสตร์อีกต่อไป

ข้อลึกลับ ( 7 )
สภษ 3.32 เพราะคนตลบตะแลงเป็นที่น่าสะอิดสะเอียนต่อพระเยโฮวาห์ แต่ข้อลึกลับของพระองค์นั้นอยู่กับคนชอบธรรม
1คร 2.7 แต่เรากล่าวถึงเรื่องพระปัญญาของพระเจ้าซึ่งเป็นข้อลึกลับ คือพระปัญญาซึ่งทรงซ่อนไว้นั้น ซึ่งพระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ก่อนสร้างโลกให้เป็นสง่าราศีแก่เรา
อฟ 3.3 และรู้ว่าพระองค์ได้ทรงสำแดงให้ข้าพเจ้ารู้ข้อลึกลับ (ตามที่ข้าพเจ้าได้เขียนไว้แล้วอย่างย่อๆ
อฟ 5.32 ข้อนี้เป็นข้อลึกลับที่สำคัญมาก แต่ว่าข้าพเจ้าพูดถึงพระคริสต์กับคริสตจักร
อฟ 6.19 และอธิษฐานเพื่อข้าพเจ้าด้วย เพื่อจะทรงประทานให้ข้าพเจ้ามีคำพูดและเกิดใจกล้าประกาศถึงข้อลึกลับแห่งข่าวประเสริฐได้
คส 1.27 พระเจ้าทรงชอบพระทัยที่จะสำแดงให้คนต่างชาติรู้ว่า อะไรเป็นความมั่งคั่งของสง่าราศีแห่งข้อลึกลับนี้คือที่พระคริสต์ทรงสถิตในท่านอันเป็นที่หวังแห่งสง่าราศี
1ทธ 3.9 และเป็นคนยึดมั่นในข้อลึกลับแห่งความเชื่อด้วยจิตสำนึกผิดและชอบอันบริสุทธิ์

ข้อสงสัย ( 1 )
กท 4.20 ข้าพเจ้าปรารถนาจะอยู่กับพวกท่านเดี๋ยวนี้ และเปลี่ยนน้ำเสียงของข้าพเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้ามีข้อสงสัยในตัวท่าน

ข้อสรุป ( 1 )
ฮบ 8.1 บัดนี้ ในเรื่องที่เราพูดมาแล้วนั้น ข้อสรุปนั้นคือว่า เรามีมหาปุโรหิตอย่างนี้เอง ผู้ได้ประทับเบื้องขวาพระที่นั่งแห่งผู้ทรงเดชานุภาพในฟ้าสวรรค์

ข้อเสนอ ( 1 )
ปฐก 41.37 ข้อเสนอนี้เป็นที่เห็นชอบในสายพระเนตรของฟาโรห์ และในสายตาของข้าราชการทั้งปวงของพระองค์

ข้อหนึ่งข้อใด ( 1 )
มธ 5.23 เหตุฉะนั้น ถ้าท่านนำเครื่องบูชามาถึงแท่นบูชาแล้ว และระลึกขึ้นได้ว่า พี่น้องมีเหตุขัดเคืองข้อหนึ่งข้อใดกับท่าน

ข้อหา ( 9 )
2ซมอ 15.3 อับซาโลมจึงจะบอกเขาว่า “ดูซิ ข้อหาของเจ้าก็ดีและถูกต้อง แต่กษัตริย์มิได้ทรงตั้งผู้ใดไว้ฟังคดีของเจ้า”
2ซมอ 15.4 อับซาโลมเคยกล่าวยิ่งกว่านั้นว่า “โอ ถ้าข้าเป็นผู้พิพากษาในแผ่นดินนี้ก็ดี เมื่อใครมีข้อหาหรือคดีจะได้มาหาข้า ข้าจะตัดสินให้ความยุติธรรมแก่เขา”
มธ 27.37 และได้เอาถ้อยคำข้อหาที่ลงโทษพระองค์ไปติดไว้เหนือพระเศียร ซึ่งอ่านว่า “ผู้นี้คือเยซูกษัตริย์ของชนชาติยิว”
มก 15.26 มีข้อหาที่ลงโทษพระองค์เขียนไว้ข้างบนว่า “กษัตริย์ของพวกยิว”
กจ 19.39 แต่ถ้าแม้ท่านมีข้อหาอะไรอีก ก็ให้ชำระกันในที่ประชุมตามกฎหมาย
กจ 23.29 ข้าพเจ้าเห็นว่าเขาถูกฟ้องในเรื่องอันเกี่ยวกับกฎหมายของพวกยิว แต่ไม่มีข้อหาที่เขาควรจะตายหรือควรจะต้องจำไว้
กจ 25.16 ข้าพเจ้าจึงตอบพวกเขาว่า ไม่ใช่ธรรมเนียมของชาวโรมที่จะมอบตัวจำเลยให้ตายก่อนที่โจทก์กับจำเลยมาพร้อมหน้ากัน และให้จำเลยมีโอกาสแก้คดีในข้อหานั้น
กจ 25.27 เพราะข้าพเจ้าเห็นว่า ที่จะส่งแต่จำเลยไป และมิได้ส่งข้อหาไปด้วย ก็เป็นการเหลวไหลไม่ได้เรื่อง”
กจ 26.1 ฝ่ายอากริปปาจึงตรัสกับเปาโลว่า “เราอนุญาตให้เจ้าให้การแก้ข้อหาเองได้” เปาโลจึงยื่นมือออกกล่าวแก้คดีว่า

ขะมักเขม้น ( 7 )
อพย 15.26 พระองค์ตรัสว่า “ถ้าเจ้าทั้งหลายฟังพระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าอย่างขะมักเขม้น และกระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระองค์ เงี่ยหูฟังพระบัญญัติของพระองค์ และรักษากฎเกณฑ์ของพระองค์ทุกประการ แล้วโรคต่างๆซึ่งเราบันดาลให้เกิดแก่ชาวอียิปต์นั้น เราจะไม่ให้บังเกิดแก่พวกเจ้าเลย เพราะเราคือพระเยโฮวาห์เป็นผู้รักษาเจ้าให้หาย”
พบญ 13.14 ท่านทั้งหลายจงสอบถามและอุตส่าห์ค้นหาและถามดูอย่างขะมักเขม้น และดูเถิด ถ้าเป็นความจริงและเป็นเรื่องแน่นอนว่า สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนนั้นมีคนกระทำกันอยู่ในหมู่พวกท่าน
พบญ 17.4 มีคนมาบอกท่านแล้วและท่านก็ได้ยิน และได้สอบถามอย่างขะมักเขม้น และดูเถิด ถ้าเป็นความจริงและเป็นเรื่องแน่นอนว่า สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนนั้นมีคนกระทำกันในอิสราเอล
กจ 6.4 ฝ่ายพวกเราจะขะมักเขม้นอธิษฐานและสั่งสอนพระวจนะเสมอไป”
รม 12.12 จงชื่นชมยินดีในความหวัง จงอดทนต่อความยากลำบาก จงขะมักเขม้นอธิษฐาน
คส 4.2 จงขะมักเขม้นในการอธิษฐาน จงเฝ้าระวังอยู่ในการนั้นด้วยขอบพระคุณ
2ทธ 4.2 จงประกาศพระวจนะ ให้ขะมักเขม้นที่จะทำการทั้งในขณะที่มีโอกาสและไม่มีโอกาส จงว่ากล่าว ห้ามปราม และตักเตือนด้วยความอดทนทุกอย่างและการสั่งสอน

ขัง ( 50 )
ปฐก 39.20 จึงเอาโยเซฟไปจำไว้ในคุกที่ที่ขังนักโทษหลวง โยเซฟก็ต้องจำอยู่ที่นั่น
ปฐก 42.17 แล้วโยเซฟก็ขังพวกพี่ชายไว้ด้วยกันในคุกสามวัน
พบญ 6.11 และเรือนที่มีของดีเต็ม ซึ่งพวกท่านมิได้สะสมไว้ และบ่อขังน้ำ ที่ท่านมิได้ขุด และสวนองุ่นกับต้นมะกอกเทศ ซึ่งท่านมิได้ปลูกไว้ และเมื่อท่านได้รับประทานก็อิ่มหนำ
วนฉ 9.51 แต่ในเมืองมีหอรบแห่งหนึ่ง ประชาชนเมืองนั้นทั้งสิ้นก็หนีเข้าไปอยู่ในหอทั้งผู้ชายและผู้หญิง ปิดประตูขังตนเองเสีย เขาก็ขึ้นไปบนหลังคาหอรบ
1ซมอ 6.10 คนเหล่านั้นก็กระทำตาม นำเอาแม่วัวคู่หนึ่งเทียมเข้ากับเกวียน แล้วขังลูกๆของมันไว้ที่บ้าน
1ซมอ 23.7 มีคนไปทูลซาอูลว่า ดาวิดมาที่เคอีลาห์แล้ว ซาอูลจึงตรัสว่า “พระเจ้าทรงมอบเขาไว้ในมือเราแล้ว เพราะที่เขาเข้าไปในเมืองที่มีประตูและดาล เขาก็ขังตัวเองไว้”
1พกษ 4.26 ซาโลมอนยังมีคอกขังม้าเดี่ยวอีกสี่หมื่นสำหรับรถรบของพระองค์ และพลม้าหนึ่งหมื่นสองพันคน
2พกษ 4.4 แล้วจงเข้าไปในเรือน ปิดประตูขังตัวเจ้าและบุตรชายของเจ้าไว้ และจงเทน้ำมันใส่ภาชนะทั้งหมด เมื่อลูกหนึ่งๆเต็มแล้วก็ตั้งไว้ต่างหาก”
2พกษ 4.5 นางก็ลาไป และปิดประตูขังนางและบุตรชายของนางไว้ บุตรส่งภาชนะมาให้ และนางก็เทน้ำมัน
2พกษ 17.4 แต่กษัตริย์อัสซีเรียได้ทรงพบความทรยศในโฮเชยา เพราะพระองค์ทรงใช้ผู้สื่อสารไปยังโสกษัตริย์แห่งอียิปต์ และไม่ถวายเครื่องบรรณาการแก่กษัตริย์อัสซีเรียตามซึ่งพระองค์ทรงเคยกระทำทุกปี เพราะฉะนั้นกษัตริย์แห่งอัสซีเรียจึงขังพระองค์ไว้ และจำพระองค์ไว้ในคุก
2พกษ 18.31 อย่าฟังเฮเซคียาห์ เพราะกษัตริย์แห่งอัสซีเรียตรัสดังนี้ว่า ‘จงทำสัญญาไมตรีกับเราด้วยของกำนัล และออกมาหาเรา แล้วทุกคนจะได้กินจากเถาองุ่นของตน และทุกคนจะกินจากต้นมะเดื่อของตน และทุกคนจะดื่มน้ำจากที่ขังน้ำของตน
2พกษ 23.33 และฟาโรห์เนโคก็จับพระองค์ขังไว้ที่ริบลาห์ในแผ่นดินฮามัท เพื่อมิให้พระองค์ครอบครองในเยรูซาเล็ม และกำหนดบรรณาการจากแผ่นดินนั้นเป็นเงินหนึ่งร้อยตะลันต์ และทองคำหนึ่งตะลันต์
อสร 7.26 ผู้ใดที่ไม่เชื่อฟังพระราชบัญญัติของพระเจ้าของเจ้า และกฎหมายของกษัตริย์ ก็ให้พิพากษาลงโทษเขาอย่างเคร่งครัด จะเป็นโทษถึงตาย หรือถึงเนรเทศ หรือถึงริบทรัพย์ของเขา หรือถึงจำขังก็ได้”
นหม 9.25 และเขาจึงเข้ายึดหัวเมืองที่มีป้อม และแผ่นดินอุดม และถือกรรมสิทธิ์เรือนซึ่งเต็มด้วยของดีทั้งปวง ทั้งที่ขังน้ำซึ่งสกัดไว้ สวนองุ่น สวนมะกอกเทศ และต้นผลไม้มากมาย เขาจึงได้กินอิ่มจนอ้วน และปีติยินดีในพระคุณยิ่งของพระองค์
สดด 88.8 พระองค์ทรงกันผู้ที่คุ้นเคยกับข้าพระองค์ให้ออกห่างจากข้าพระองค์ พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพระองค์เป็นที่น่ารังเกียจต่อเขาทั้งหลาย ข้าพระองค์ถูกขัง ข้าพระองค์จึงออกไปไม่ได้
สดด 107.10 ผู้ที่นั่งอยู่ในความมืดและเงามัจจุราช ถูกขังอยู่ด้วยความทุกข์ยากและติดตรวน
ปญจ 12.6 ก่อนที่สายเงินจะขาด หรือชามทองคำจะบรรลัย หรือเหยือกน้ำจะแตกเสียที่น้ำพุ หรือล้อจะหักเสีย ณ ที่ขังน้ำ
อสย 36.16 อย่าฟังเฮเซคียาห์ เพราะกษัตริย์แห่งอัสซีเรียตรัสดังนี้ว่า ‘จงทำสัญญาไมตรีกับเราด้วยของกำนัล และออกมาหาเรา แล้วทุกคนจะได้กินจากเถาองุ่นของตน และทุกคนจะกินจากต้นมะเดื่อของตน และทุกคนจะดื่มน้ำจากที่ขังน้ำของตน
ยรม 2.13 เพราะว่าประชาชนของเราได้กระทำความชั่วถึงสองประการ เขาได้ทอดทิ้งเราเสียซึ่งเป็นแหล่งน้ำเป็น แล้วสกัดหินขังน้ำไว้สำหรับตนเอง เป็นถังน้ำแตก ซึ่งขังน้ำไม่ได้
ยรม 14.3 ขุนนางของเธอส่งผู้น้อยของเขาให้ไปตักน้ำ เขาทั้งหลายไปยังที่ขังน้ำเห็นว่าไม่มีน้ำ เขาทั้งหลายก็กลับไปด้วยภาชนะเปล่า เขาทั้งหลายได้อายและขายหน้า เขาจึงคลุมศีรษะของเขาทั้งหลายเสีย
ยรม 32.2 ครั้งนั้น กองทัพของกษัตริย์แห่งบาบิโลนกำลังล้อมกรุงเยรูซาเล็มอยู่ และเยเรมีย์ผู้พยากรณ์ถูกขังอยู่ในบริเวณทหารรักษาพระองค์ ซึ่งอยู่ในพระราชวังของกษัตริย์แห่งยูดาห์
ยรม 37.4 ฝ่ายเยเรมีย์นั้นยังเข้านอกออกในท่ามกลางประชาชนอยู่ เพราะท่านยังมิได้ถูกจำขัง
ยรม 37.15 และบรรดาเจ้านายก็เดือดดาลต่อเยเรมีย์ และเขาทั้งหลายก็ตีท่านและขังท่านไว้ในเรือนของโยนาธานเลขานุการ เพราะได้ทำให้เป็นคุก
ยรม 37.18 เยเรมีย์ได้ทูลกษัตริย์เศเดคียาห์อีกว่า “ข้าพระองค์ได้กระทำอะไรผิดต่อพระองค์ หรือต่อข้าราชการของพระองค์ หรือต่อชนชาตินี้ พระองค์จึงได้จำขังข้าพระองค์ไว้ในคุก
ยรม 39.15 พระวจนะของพระเยโฮวาห์มายังเยเรมีย์ ขณะที่ท่านถูกขังอยู่ในบริเวณทหารรักษาพระองค์นั้นว่า
ยรม 41.7 เมื่อเขาทั้งหลายเข้ามาในเมือง อิชมาเอลบุตรชายเนธานิยาห์และคนที่อยู่กับท่านก็ฆ่าเขาทั้งหลายเสีย และโยนเขาลงไปในที่ขังน้ำ
ยรม 41.9 ที่ขังน้ำซึ่งอิชมาเอลโยนศพทั้งปวงของผู้ที่เขาฆ่าตายลงไปเพราะเหตุเกดาลิยาห์นั้น เป็นที่ซึ่งกษัตริย์อาสาสร้างไว้เพื่อป้องกันบาอาชากษัตริย์แห่งอิสราเอล อิชมาเอลบุตรชายเนธานิยาห์ก็ใส่คนที่ถูกฆ่าไว้จนเต็ม
ยรม 52.11 ท่านทำตาของเศเดคียาห์ให้บอดไป และกษัตริย์แห่งบาบิโลนตีตรวนไว้และนำท่านไปยังบาบิโลน และขังท่านไว้ในคุกจนวันที่ท่านสิ้นชีวิต
พคค 3.5 พระองค์ทรงสร้างรั้วขังข้าพเจ้า ทรงเอาความขมขื่นและความทุกข์ยากลำบากล้อมข้าพเจ้าไว้
อสค 3.24 แต่พระวิญญาณได้เสด็จเข้าในข้าพเจ้ากระทำให้ข้าพเจ้ายืนขึ้น และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้า และทรงบอกข้าพเจ้าว่า “จงไป ขังตัวเจ้าไว้ภายในเรือนของเจ้า
อสค 19.9 เขาล่ามโซ่ขังมันไว้ในกรง และนำมันมายังกษัตริย์บาบิโลน เขาก็ขังมันไว้ในที่กำบังเข้มแข็ง เพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงของมันอีกที่บนภูเขาแห่งอิสราเอล
มธ 4.12 ครั้นพระเยซูทรงได้ยินว่ายอห์นถูกขังไว้อยู่ในเรือนจำ พระองค์ก็เสด็จไปยังแคว้นกาลิลี
มธ 5.25 จงปรองดองกับคู่ความโดยเร็วขณะที่พากันไป เกลือกว่าในเวลาหนึ่งเวลาใดคู่ความนั้นจะมอบท่านไว้กับผู้พิพากษา แล้วผู้พิพากษาจะมอบท่านไว้กับผู้คุม และท่านจะต้องถูกขังไว้ในเรือนจำ
มธ 14.3 ด้วยว่าเฮโรดได้จับยอห์นมัดแล้วขังคุกไว้ เพราะเห็นแก่นางเฮโรเดียสภรรยาของฟีลิปน้องชายของตน
มธ 18.30 แต่เขาไม่ยอม จึงนำผู้รับใช้ลูกหนี้นั้นไปขังคุกไว้ จนกว่าจะใช้เงินนั้น
มก 1.14 ครั้นยอห์นถูกขังไว้ในคุกแล้ว พระเยซูได้เสด็จมายังแคว้นกาลิลี ทรงประกาศข่าวประเสริฐแห่งอาณาจักรของพระเจ้า
มก 6.17 ด้วยว่าเฮโรดได้ใช้คนไปจับยอห์น และล่ามโซ่ขังคุกไว้ เพราะเห็นแก่นางเฮโรเดียสภรรยาฟีลิปน้องชายของตน ด้วยเฮโรดได้รับนางนั้นเป็นภรรยาของตน
ลก 12.58 เพราะเมื่อเจ้ากับโจทก์พากันไปหาผู้พิพากษา จงอุตส่าห์หาช่องที่จะปรองดองกับเขาเมื่อยังอยู่กลางทาง เกลือกว่าเขาจะฉุดลากเจ้าเข้าไปถึงผู้พิพากษา และผู้พิพากษาจะมอบเจ้าไว้กับผู้คุม และผู้คุมจะขังเจ้าไว้ในเรือนจำ
ลก 19.43 ด้วยว่าเวลาจะมาถึงเจ้า เมื่อศัตรูของเจ้าจะก่อเชิงเทินต่อสู้เจ้า และล้อมขังเจ้าไว้ทุกด้าน
กจ 23.18 เหตุฉะนั้นนายร้อยจึงรับตัวชายหนุ่มคนนั้นไปหานายพันกล่าวว่า “เปาโลผู้ถูกขังอยู่นั้นเรียกข้าพเจ้า ขอให้พาชายหนุ่มคนนี้มาหาท่าน เพราะเขามีเรื่องที่จะแจ้งให้ท่านทราบ”
กจ 25.14 ขณะที่ท่านค้างอยู่ที่นั่นหลายวัน เฟสทัสก็เล่าเรื่องคดีของเปาโลให้กษัตริย์ฟังว่า “มีชายคนหนึ่งซึ่งเฟลิกซ์ได้ขังทิ้งไว้
กจ 25.21 แต่เมื่อเปาโลได้อุทธรณ์ขอให้ขังไว้เพื่อให้ออกัสตัสตัดสิน ข้าพเจ้าจึงสั่งให้คุมขังเขาไว้จนกว่าจะส่งตัวไปถึงซีซาร์ได้”
กจ 26.10 สิ่งเหล่านั้นข้าพระองค์ได้กระทำในกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อข้าพระองค์รับอำนาจจากพวกปุโรหิตใหญ่แล้ว ข้าพระองค์ได้ขังวิสุทธิชนหลายคนไว้ในคุก และครั้นเขาถูกลงโทษถึงตาย ข้าพระองค์ก็เห็นดีด้วย
ฮบ 10.34 เพราะว่าท่านทั้งหลายมีใจเมตตาต่อข้าพเจ้าในเมื่อข้าพเจ้าต้องถูกขังไว้ และเมื่อมีคนปล้นชิงเอาทรัพย์สิ่งของของท่านไป ท่านก็ยอมให้ด้วยใจยินดี เพราะท่านรู้แล้วว่า ท่านมีทรัพย์สมบัติที่ประเสริฐกว่าและถาวรกว่านั้นอีกในสวรรค์
ฮบ 11.36 บางคนถูกทดลองโดยคำเยาะเย้ยและการถูกโบยตี และยังถูกล่ามโซ่และถูกขังคุกด้วย
ยด 1.6 และเหล่าทูตสวรรค์ที่ไม่ได้รักษาเทวสภาพของตน แต่ได้ละทิ้งถิ่นฐานของตนนั้น พระองค์ก็ได้ทรงจองจำไว้ด้วยโซ่ตรวนอันเป็นนิรันดร์ ขังไว้ในที่มืดจนกว่าจะถึงการพิพากษาในวันสำคัญยิ่งนั้น
วว 2.10 อย่ากลัวความทุกข์ทรมานต่างๆซึ่งเจ้าจะได้รับนั้น ดูเถิด พญามารจะขังพวกเจ้าบางคนไว้ในคุกเพื่อจะลองใจเจ้า และเจ้าทั้งหลายจะได้รับความทุกข์ทรมานถึงสิบวัน แต่เจ้าจงสัตย์ซื่อจนถึงความตาย และเราจะมอบมงกุฎแห่งชีวิตให้แก่เจ้า
วว 20.7 ครั้นพันปีล่วงไปแล้ว ก็จะปล่อยซาตานออกจากคุกที่ขังมันไว้

ขัด ( 31 )
อพย 26.27 และกลอนอีกห้าอันสำหรับขัดไม้กรอบฝาพลับพลาอีกด้านหนึ่ง และกลอนอีกห้าอันสำหรับขัดไม้กรอบฝาพลับพลาด้านหลัง คือด้านตะวันตก
อพย 26.28 กลอนตัวกลางคืออยู่ตอนกลางของไม้กรอบสำหรับขัดฝาร้อยให้ติดกัน
อพย 36.31 เขาทำกลอนด้วยไม้กระถินเทศห้าอันสำหรับขัดไม้กรอบฝาพลับพลาด้านหนึ่ง
อพย 36.32 และกลอนอีกห้าอันสำหรับขัดไม้กรอบฝาพลับพลาอีกด้านหนึ่ง และกลอนอีกห้าอันสำหรับขัดไม้กรอบฝาพลับพลาด้านตะวันตก
อพย 36.33 เขาทำกลอนตัวกลางให้ร้อยตอนกลางของไม้กรอบสำหรับขัดฝาตั้งแต่มุมหนึ่งไปจดอีกมุมหนึ่ง
ลนต 6.28 จงทำลายภาชนะดินที่ใช้ต้มเนื้อนั้นเสีย ถ้าต้มในภาชนะทองสัมฤทธิ์ก็ให้ขัดและล้างเสียด้วยน้ำ
1พกษ 7.45 หม้อ พลั่ว และชาม ภาชนะทั้งสิ้นเหล่านี้ในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ ซึ่งฮีรามได้ทำถวายกษัตริย์ซาโลมอนเป็นของที่ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ขัดมัน
1พศด 21.4 แต่โยอาบขัดรับสั่งของกษัตริย์มิได้ โยอาบจึงจากไป และไปตลอดคนอิสราเอลทั้งสิ้น และกลับมายังเยรูซาเล็ม
สดด 45.3 โอ ข้าแต่องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ขอทรงขัดดาบไว้ที่เอวของพระองค์ท่าน โดยสง่าราศีและความสูงส่งของพระองค์ท่าน
อสย 49.2 พระองค์ทรงทำปากของข้าพเจ้าเหมือนดาบคม พระองค์ทรงซ่อนข้าพเจ้าไว้ในร่มพระหัตถ์ของพระองค์ พระองค์ทรงทำข้าพเจ้าให้เป็นลูกศรขัดมัน พระองค์ทรงซ่อนข้าพเจ้าไว้เสียในแล่งของพระองค์
ยรม 38.5 กษัตริย์เศเดคียาห์ตรัสว่า “ดูเถิด ชายคนนี้อยู่ในมือของท่านทั้งหลายแล้ว เพราะกษัตริย์จะทำอะไรขัดท่านทั้งหลายได้เล่า”
ยรม 46.4 จงผูกอานม้า พลม้าเอ๋ย จงขึ้นม้าเถิด จงสวมหมวกเหล็กของเจ้าเข้าประจำที่ จงขัดหอกของเจ้า จงสวมเสื้อเกราะของเจ้าไว้
อสค 1.7 เท้าของสิ่งที่มีชีวิตอยู่นั้นตรง และฝ่าเท้าก็เหมือนฝ่าตีนลูกวัว และเป็นประกายอย่างทองสัมฤทธิ์ขัด
อสค 21.9 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงพยากรณ์และกล่าวว่า พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า ดาบเล่มหนึ่ง ดาบเล่มหนึ่งซึ่งเขาลับให้คม และขัดมันด้วย
อสค 21.10 ลับให้คมเพื่อจะเข่นฆ่า ขัดมันไว้เพื่อจะให้วาววับ เราจะร่าเริงหรือ ดาบนั้นได้ประมาทไม้เรียวแห่งบุตรชายของเรา เหมือนต้นไม้ทุกอย่าง
อสค 21.11 เพราะฉะนั้นจึงมอบดาบให้ขัดมัน เพื่อจะถือไว้ได้ ดาบนั้นคมแล้วและขัดมัน เพื่อจะมอบไว้ในมือของผู้ฆ่า
อสค 21.15 เพื่อว่าใจของเขาจะละลาย และเพื่อซากปรักหักพังของเขาจะทวีคูณขึ้นอีก เราได้จ่อดาบนั้นไปที่ประตูเมืองทั้งหลายของเขาแล้ว เออ ทำเสียเหมือนอย่างกับฟ้าแลบ เขาขัดมันเพื่อจะเข่นฆ่า
อสค 21.28 บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย และเจ้าจงพยากรณ์และกล่าวว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้เกี่ยวกับคนอัมโมน และเกี่ยวกับเรื่องน่าตำหนิของเขาทั้งหลายว่า ดาบเล่มหนึ่ง ดาบเล่มหนึ่งถูกชักออก เขาขัดมันเพื่อการเข่นฆ่า เขาให้มันดื่มโลหิตเพราะมันวาววับ
ดนล 10.6 ร่างกายของท่านดั่งพลอยเขียว และหน้าของท่านก็เหมือนฟ้าแลบ ดวงตาของท่านก็เหมือนกับคบเปลวเพลิง แขนและเท้าเป็นเงางามเหมือนกับทองสัมฤทธิ์ขัด และเสียงถ้อยคำของท่านเหมือนเสียงมวลชน
มธ 23.25 วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยเจ้าขัดชำระถ้วยชามแต่ภายนอก ส่วนภายในถ้วยชามนั้นเต็มด้วยโจรกรรมและการมัวเมากิเลส
มก 7.35 แล้วในทันใดนั้นหูคนนั้นก็ปกติ สิ่งที่ขัดลิ้นนั้นก็หลุดและเขาพูดได้ชัด
กจ 10.29 เหตุฉะนั้น เมื่อท่านใช้คนไปเรียกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็มาโดยไม่ขัด ข้าพเจ้าจึงขอถามว่าท่านเรียกข้าพเจ้ามาด้วยประสงค์อะไร”
กจ 16.15 เมื่อหญิงคนนั้นกับทั้งครอบครัวของเขาได้รับบัพติศมาแล้วจึงอ้อนวอนเราว่า “ถ้าท่านเห็นว่าข้าพเจ้าเป็นคนสัตย์ซื่อต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า เชิญเข้ามาพักอาศัยในบ้านของข้าพเจ้าเถิด” และเขาได้วิงวอนจนเราขัดไม่ได้
2คร 13.8 เพราะว่าเราจะกระทำสิ่งใดขัดกับความจริงไม่ได้ ได้แต่ทำเพื่อความจริงเท่านั้น
กท 1.8 แต่แม้ว่าเราเองหรือทูตสวรรค์ ถ้าประกาศข่าวประเสริฐอื่นแก่ท่าน ซึ่งขัดกับข่าวประเสริฐที่เราได้ประกาศแก่ท่านไปแล้วก็ให้ผู้นั้นถูกสาปแช่ง
กท 1.9 ตามที่เราได้พูดไว้ก่อนแล้ว บัดนี้ข้าพเจ้าพูดอีกว่า ถ้าผู้ใดประกาศข่าวประเสริฐอื่นแก่ท่านที่ขัดกับข่าวประเสริฐซึ่งท่านได้รับไว้แล้ว ผู้นั้นจะต้องถูกสาปแช่ง
1ธส 2.15 พวกยิวได้ปลงพระชนม์พระเยซูเจ้า และได้ประหารชีวิตพวกศาสดาพยากรณ์ของเขาเอง และได้ข่มเหงพวกเรา และขัดพระทัยพระเจ้า และเป็นปฏิปักษ์ต่อคนทั้งปวง
1ทธ 1.10 คนล่วงประเวณี พวกกะเทย ผู้ร้ายลักคน คนโกหก คนทวนสบถ และอะไรๆที่ขัดกับคำสอนอันถูกต้อง

ขัดขวาง ( 42 )
ปฐก 23.6 “นายเจ้าข้า โปรดฟังพวกเรา ท่านเป็นเจ้านายจากพระเจ้าท่ามกลางเรา ขอให้ฝังผู้ตายของท่านในอุโมงค์ฝังศพที่ดีที่สุดของเราเถิด ไม่มีผู้ใดในพวกเราที่จะหวงสุสานของเขาไว้ไม่ให้ท่าน หรือขัดขวางท่านมิให้ฝังผู้ตายของท่าน”
กดว 22.16 เขาทั้งหลายมาถึงบาลาอัมกล่าวแก่ท่านว่า “บาลาคบุตรชายศิปโปร์กล่าวดังนี้ว่า ‘ขออย่าให้มีอะไรขัดขวางท่านที่จะไปหาข้าพเจ้าเลย
กดว 24.11 ฉะนั้นบัดนี้ จงหนีไปยังที่อยู่ของท่านเถิด เราได้กล่าวว่า เราจะให้เกียรติแก่ท่านแน่แท้ แต่ดูเถิด พระเยโฮวาห์ทรงขัดขวางมิให้ท่านได้รับเกียรติ”
กดว 26.9 บุตรชายของเอลีอับคือ เนมูเอล ดาธาน และอาบีรัม นี่คือดาธานและอาบีรัมที่เลือกจากชุมนุมชน เป็นผู้ขัดขวางโมเสสและอาโรนในพรรคพวกโคราห์ เมื่อเขาขัดขวางพระเยโฮวาห์
1ซมอ 14.6 โยนาธานกล่าวกับคนหนุ่มที่ถือเครื่องอาวุธของท่านว่า “มาเถิด ให้เราข้ามไปยังกองทหารรักษาการของคนเหล่านั้นที่มิได้เข้าสุหนัต บางทีพระเยโฮวาห์จะทรงประกอบกิจเพื่อเรา เพราะว่าไม่มีสิ่งใดที่ขัดขวางพระเยโฮวาห์ได้ในการที่พระองค์จะทรงช่วยให้พ้นไม่ว่าโดยคนมากหรือน้อย”
2ซมอ 22.6 ความเศร้าโศกแห่งนรกอยู่รอบตัวข้าพเจ้า บ่วงแห่งความตายขัดขวางข้าพเจ้า
2ซมอ 22.19 เขาขัดขวางข้าพเจ้าในวันที่ข้าพเจ้าประสบหายนะ แต่พระเยโฮวาห์ทรงเป็นที่พักพิงของข้าพเจ้า
2พศด 26.18 และเขาทั้งหลายได้ขัดขวางกษัตริย์อุสซียาห์และทูลพระองค์ว่า “ข้าแต่อุสซียาห์ มิใช่หน้าที่ของพระองค์ที่จะเผาเครื่องหอมถวายแด่พระเยโฮวาห์ แต่เป็นหน้าที่ของปุโรหิตลูกหลานของอาโรน ผู้ซึ่งชำระไว้ให้บริสุทธิ์เพื่อเผาเครื่องหอม ขอเชิญพระองค์เสด็จออกไปจากสถานบริสุทธิ์นี้ เพราะพระองค์ได้ทรงล่วงเกิน และพระองค์จะไม่ได้รับเกียรติอันใดจากพระเยโฮวาห์พระเจ้าเลย”
2พศด 28.12 บางคนในหัวหน้าคนเอฟราอิมคือ อาซาริยาห์บุตรชายโยฮานัน เบเรคิยาห์บุตรชายเมซิลเลโมท เยฮิสคียาห์บุตรชายชัลลูมและอามาสาบุตรชายหัดลัย ได้ยืนขึ้นขัดขวางบรรดาผู้ที่กลับมาจากสงคราม
อสร 4.5 และได้จ้างที่ปรึกษาไว้ขัดขวางเขาเพื่อมิให้เขาสมหวังตามจุดประสงค์ของเขา ตลอดรัชสมัยของไซรัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย แม้ถึงรัชกาลของดาริอัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย
โยบ 5.12 พระองค์ทรงขัดขวางอุบายของเจ้าเล่ห์ เพื่อมือของเขาจะได้ทำไม่สำเร็จ
โยบ 11.10 ถ้าพระองค์ทรงตัดออก และทรงคุมขัง และทรงเรียกมาชุมนุมกัน ใครจะขัดขวางพระองค์ได้
โยบ 15.4 แต่ท่านกำลังขจัดความยำเกรงเสีย และขัดขวางการอธิษฐานต่อพระพักตร์พระเจ้า
โยบ 41.11 ใครเล่าที่จะขัดขวางเรา ซึ่งเราจะต้องตอบสนองเขา สิ่งใดๆที่อยู่ใต้ฟ้าสวรรค์ทั้งสิ้นก็เป็นของเรา
สดด 18.18 เขาขัดขวางข้าพเจ้าในวันที่ข้าพเจ้าประสบหายนะ แต่พระเยโฮวาห์ทรงเป็นที่พักพิงของข้าพเจ้า
สภษ 4.12 เมื่อเจ้าเดิน ย่างเท้าของเจ้าจะไม่ถูกขัดขวาง และเมื่อเจ้าวิ่ง เจ้าจะไม่สะดุด
อสย 43.13 “เออ ตั้งแต่เดิมเราก็เป็นพระองค์นั้นอยู่ ไม่มีผู้ใดช่วยให้พ้นจากมือของเราได้ เราจะประกอบกิจใดๆ ใครจะขัดขวางกิจการนั้นได้”
ดนล 10.13 เจ้าผู้พิทักษ์ราชอาณาจักรเปอร์เซียได้ขัดขวางข้าพเจ้าไว้ถึงยี่สิบเอ็ดวัน ข้าพเจ้าจึงยังอยู่ที่นั่นกับกษัตริย์ทั้งหลายของเปอร์เซีย แต่ดูเถิด มีคาเอลเจ้าผู้พิทักษ์ชั้นหัวหน้าผู้หนึ่งมาช่วยข้าพเจ้า
ศคย 3.1 แล้วท่านได้แสดงให้ข้าพเจ้าเห็นโยชูวามหาปุโรหิต ซึ่งยืนอยู่หน้าทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ และซาตานยืนอยู่ข้างขวามือของท่าน จะขัดขวางท่าน
มธ 23.13 วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยว่าพวกเจ้าปิดประตูอาณาจักรแห่งสวรรค์ไว้จากมนุษย์ เพราะพวกเจ้าเองไม่ยอมเข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ขัดขวางไว้
ลก 11.52 วิบัติแก่เจ้า พวกนักกฎหมาย ด้วยว่าเจ้าได้เอาลูกกุญแจแห่งความรู้ไปเสีย คือพวกเจ้าเองก็ไม่เข้าไป และคนที่กำลังเข้าไปนั้นเจ้าก็ได้ขัดขวางไว้”
กจ 7.51 ท่านคนชาติหัวแข็ง ใจดื้อ หูตึง ท่านทั้งหลายขัดขวางพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่เสมอ บรรพบุรุษของท่านทำอย่างไร ท่านก็ทำอย่างนั้นด้วย
กจ 13.8 แต่เอลีมาสคนทำเวทมนตร์ (เพราะชื่อของเขามีความหมายอย่างนั้น) ได้คัดค้านขัดขวางบารนาบัสกับเซาโล หวังจะไม่ให้ผู้ว่าราชการเมืองเชื่อ
กจ 18.6 แต่เมื่อพวกเหล่านั้นขัดขวางตัวเองและกล่าวคำหมิ่นประมาท เปาโลจึงได้สะบัดเสื้อผ้ากล่าวแก่เขาว่า “ให้เลือดของท่านทั้งหลายตกบนศีรษะของท่านเองเถิด ข้าพเจ้าก็ปราศจากเลือดนั้นแล้ว ตั้งแต่นี้ไปข้าพเจ้าจะไปหาคนต่างชาติ”
กจ 26.9 ข้าพระองค์เคยได้คิดในใจของตนเองว่า สมควรจะทำหลายสิ่งซึ่งขัดขวางพระนามของพระเยซูชาวนาซาเร็ธนั้น
กจ 28.31 ทั้งประกาศอาณาจักรของพระเจ้า และสั่งสอนเรื่องพระเยซูคริสต์เจ้าโดยใจกล้า ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดขัดขวาง
รม 1.18 เพราะว่า พระเจ้าทรงสำแดงพระพิโรธของพระองค์จากสวรรค์ต่อความอธรรมและความไม่ชอบธรรมทั้งมวลของมนุษย์ ที่เอาความไม่ชอบธรรมนั้นขัดขวางความจริง
รม 8.31 ถ้าเช่นนั้นเราจะว่าอย่างไร ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเราใครจะขัดขวางเรา
รม 15.22 นี่คือเหตุที่ขัดขวางข้าพเจ้าไว้ไม่ให้มาหาท่าน
1คร 9.12 ถ้าคนอื่นมีสิทธิ์ที่จะได้รับประโยชน์จากท่าน เราไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับยิ่งกว่าเขาอีกหรือ ถึงกระนั้นเราก็มิได้ใช้สิทธิ์นี้เลย แต่ยอมทนทุกข์ยากสารพัด เพื่อเราจะไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางข่าวประเสริฐของพระคริสต์
1คร 10.29 ข้าพเจ้ามิได้หมายถึงใจสำนึกผิดชอบของท่าน แต่หมายถึงใจสำนึกผิดชอบของคนที่บอกนั้น ทำไมใจสำนึกผิดชอบของผู้อื่นจะต้องมาขัดขวางเสรีภาพของข้าพเจ้าเล่า
2คร 10.5 คือทำลายความคิด และทิฐิมานะทุกประการที่ตั้งตัวขึ้นขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และน้อมนำความคิดทุกประการให้เข้าอยู่ใต้บังคับจนถึงเชื่อฟังพระคริสต์
กท 5.7 ท่านวิ่งแข่งดีอยู่แล้ว ใครเล่าขัดขวางท่านไม่ให้เชื่อฟังความจริง
ฟป 1.28 และไม่เกรงกลัวผู้ที่ขัดขวางท่านแต่ประการใดเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะเป็นที่ประจักษ์แก่เขาว่า พวกเขาจะถึงซึ่งความพินาศ แต่พวกท่านก็จะถึงซึ่งความรอด และการนั้นมาจากพระเจ้า
คส 2.14 พระองค์ทรงลบกรมธรรม์ในข้อบัญญัติต่างๆที่ต่อต้านเราอยู่ ซึ่งขัดขวางเราและได้ทรงหยิบเอาไปเสียให้พ้น โดยทรงตรึงไว้ที่กางเขนของพระองค์
1ธส 2.16 โดยที่ขัดขวางไม่ให้เราประกาศแก่คนต่างชาติเพื่อจะให้พวกนั้นรอดได้ เพื่อ ‘ให้การบาปของเขาเต็มเปี่ยมเสมอ’ แต่ในที่สุดพระพิโรธได้ตกลงบนเขา
1ธส 2.18 เพราะเหตุนั้นเราอยากมาหาท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าคือเปาโลอยากมาหนแล้วหนเล่า แต่ซาตานได้ขัดขวางเราไว้
2ธส 2.4 ผู้กีดกั้นขัดขวางและยกตัวขึ้นต่อสู้อะไรๆที่ได้ชื่อว่าเป็นพระเจ้า หรืออะไรๆที่เขาไหว้นมัสการนั้น แล้วมันก็นั่งในพระวิหารของพระเจ้าเหมือนอย่างพระเจ้า ประกาศตัวว่าเป็นพระเจ้า
ฮบ 7.23 แท้จริงส่วนปุโรหิตเหล่านั้นก็ได้ทรงตั้งขึ้นไว้หลายคน เพราะว่าความตายได้ขัดขวางไม่ให้ดำรงอยู่ในตำแหน่งเรื่อยไป
ฮบ 10.27 แต่จะมีความหวาดกลัวในการรอคอยการพิพากษาโทษและไฟอันร้ายแรง ซึ่งจะกินเอาบรรดาคนที่ขัดขวางนั้นเสีย
1ปต 3.7 ฝ่ายท่านทั้งหลายที่เป็นสามีก็เหมือนกัน จงอยู่กินกับภรรยาโดยใช้ความรู้ จงให้เกียรติแก่ภรรยาเหมือนหนึ่งเป็นภาชนะที่อ่อนแอกว่า และเหมือนเป็นคู่รับมรดกพระคุณแห่งชีวิตด้วยกัน เพื่อจะได้ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดขัดขวางคำอธิษฐานของท่าน

ขัดข้อง ( 3 )
กจ 8.36 ครั้นกำลังเดินทางไปก็มาถึงที่มีน้ำแห่งหนึ่ง ขันทีจึงบอกว่า “ดูเถิด มีน้ำ มีอะไรขัดข้องไม่ให้ข้าพเจ้ารับบัพติศมา”
รม 1.13 พี่น้องทั้งหลาย บัดนี้ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทั้งหลายทราบว่า ข้าพเจ้าได้ตั้งใจไว้หลายครั้งแล้วว่าจะมาหาท่าน เพื่อข้าพเจ้าจะได้เก็บเกี่ยวผลในหมู่พวกท่านด้วย เช่นเดียวกับในหมู่ชนชาติอื่นๆ (แต่จนบัดนี้ก็ยังมีเหตุขัดข้องอยู่)
ฮบ 12.1 เหตุฉะนั้น ครั้นเรามีพยานหมู่ใหญ่อย่างนั้นอยู่รอบข้าง ให้เราทิ้งของหนักทุกสิ่งที่ขัดข้องอยู่ และการผิดที่เรามักง่ายกระทำนั้น และการวิ่งแข่งกันที่กำหนดไว้สำหรับเรานั้น ให้เราวิ่งด้วยความเพียรพยายาม

ขัดขืน ( 14 )
อพย 10.3 โมเสสและอาโรนจึงเข้าไปเฝ้าฟาโรห์ทูลฟาโรห์ว่า “พระเยโฮวาห์พระเจ้าของคนฮีบรูตรัสดังนี้ว่า ‘เจ้าจะขัดขืนไม่ยอมอ่อนน้อมต่อเรานานสักเท่าใด จงปล่อยพลไพร่ของเราเพื่อเขาจะไปปรนนิบัติเรา
อพย 16.28 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “พวกเจ้าจะขัดขืนบัญญัติและราชบัญญัติของเรานานสักเท่าไร
กดว 14.41 แต่โมเสสกล่าวว่า “เหตุไฉนท่านขัดขืนพระดำรัสของพระเยโฮวาห์ การนี้จะไม่สำเร็จ
กดว 22.32 และทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์พูดกับบาลาอัมว่า “ทำไมเจ้าจึงตีลาของเจ้าถึงสามครั้ง ดูเถิด เรามาห้ามเจ้า เพราะการประพฤติของเจ้าขัดขืนเรา
พบญ 1.26 แต่กระนั้นท่านทั้งหลายก็ไม่ยอมขึ้นไป กลับขัดขืนพระบัญชาของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย
พบญ 1.43 ข้าพเจ้าจึงได้กล่าวแก่ท่านดังนั้น และท่านทั้งหลายไม่ฟัง แต่ได้ขัดขืนพระบัญชาของพระเยโฮวาห์ มีใจองอาจและได้ขึ้นไปที่แดนเทือกเขานั้น
พบญ 17.13 และประชาชนทั้งหลายจะได้ยินและยำเกรง และมิได้ขัดขืนต่อไปอีก
ยชว 1.18 ผู้ใดที่ขัดขืนคำบัญชาของท่าน และไม่เชื่อฟังถ้อยคำของท่าน ไม่ว่าท่านจะบัญชาเขาอย่างไร ผู้นั้นจะต้องถึงตาย ขอเพียงให้เข้มแข็งและกล้าหาญเถิด”
กจ 11.17 เหตุฉะนั้น ถ้าพระเจ้าได้ทรงโปรดประทานของประทานแก่เขาเหมือนแก่เราทั้งหลาย ผู้ที่ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์เจ้า ข้าพเจ้าเป็นผู้ใดเล่าที่จะขัดขืนพระเจ้าได้”
กจ 25.11 เพราะถ้าข้าพเจ้าเป็นผู้กระทำผิด หรือได้กระทำอะไรที่ควรจะมีโทษถึงตาย ข้าพเจ้าก็ยอมตายไม่ขัดขืน แต่ถ้าเรื่องที่เขาฟ้องข้าพเจ้านั้นไม่จริงแล้ว ไม่มีผู้ใดมีอำนาจจะมอบข้าพเจ้าให้เขาได้ ข้าพเจ้าขออุทธรณ์ถึงซีซาร์”
รม 9.19 แล้วท่านก็จะกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า “ถ้าเช่นนั้น ทำไมพระองค์จึงยังทรงติเตียน เพราะว่าผู้ใดจะขัดขืนพระทัยของพระองค์ได้”
รม 13.2 เหตุฉะนั้นผู้ใดก็ตามที่ขัดขืนอำนาจนั้นก็ขัดขืนผู้ซึ่งพระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น และผู้ที่ขัดขืนนั้นจะนำพระอาชญามาสู่ตนเอง

ขัดเคือง ( 2 )
อสย 41.11 ดูเถิด บรรดาผู้ที่ขัดเคืองกับเจ้าจะต้องได้ความอายและอดสู เขาจะเป็นความว่างเปล่า คนเหล่านั้นที่ฝืนสู้เจ้าจะพินาศไป
มธ 5.23 เหตุฉะนั้น ถ้าท่านนำเครื่องบูชามาถึงแท่นบูชาแล้ว และระลึกขึ้นได้ว่า พี่น้องมีเหตุขัดเคืองข้อหนึ่งข้อใดกับท่าน

ขัดเคืองใจ ( 3 )
อสย 8.14 แล้วพระองค์จะเป็นสถานบริสุทธิ์ แต่เป็นศิลาที่ทำให้สะดุด และเป็นก้อนหินที่ทำให้ขัดเคืองใจของวงศ์วานทั้งคู่ของอิสราเอล เป็นกับและเป็นบ่วงดักชาวเยรูซาเล็ม
คส 3.21 ฝ่ายบิดาก็อย่ายั่วบุตรของตนให้ขัดเคืองใจ เกรงว่าเขาจะท้อใจ
1ปต 2.8 และ ‘เป็นศิลาที่ทำให้สะดุด และเป็นก้อนหินที่ทำให้ขัดเคืองใจ’ ที่เขาสะดุดนั้นเพราะเขาไม่เชื่อฟังพระวจนะ ตามที่เขาถูกกำหนดไว้เช่นนั้นด้วย

ขัดใจ ( 2 )
1ซมอ 29.7 ฉะนั้นขอท่านกลับไปเสีย จงไปอย่างสันติเถิด เพื่อไม่ให้เป็นที่ขัดใจเจ้านายฟีลิสเตียทั้งหลาย”
1พกษ 1.6 พระราชบิดาของท่านก็ไม่เคยขัดใจท่านด้วยถามว่า “ทำไมเจ้ากระทำเช่นนี้เช่นนั้น” ท่านเป็นชายงามด้วย ท่านเกิดมาถัดอับซาโลม

ขัดมีเอล ( 8 )
อสร 2.40 คนเลวีคือ คนเยชูอาและขัดมีเอล ฝ่ายคนโฮดาวิยาห์ เจ็ดสิบสี่คน
อสร 3.9 และเยชูอากับบุตรชายและพี่น้องของท่าน กับขัดมีเอลและบุตรชายของเขา คนของยูดาห์ รวมกันควบคุมคนงานในพระนิเวศแห่งพระเจ้า รวมกับบุตรชายเฮนาดัดพร้อมกับบุตรชายและญาติของเขาผู้เป็นคนเลวี
นหม 7.43 คนเลวี คือคนเยชูอาคือ ของขัดมีเอล และของคนโฮเดวาห์ เจ็ดสิบสี่คน
นหม 9.4 เยชูอา บานี ขัดมีเอล เชบานิยาห์ บุนนี เชเรบิยาห์ บานีและเคนานี คนเลวี ได้ยืนขึ้นที่บันได และเขาได้ร้องด้วยเสียงดังต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขา
นหม 9.5 แล้วคนเลวี เยชูอา ขัดมีเอล บานี ฮาชับนิยาห์ เชเรบิยาห์ โฮดียาห์ เชบานิยาห์ และเปธาหิยาห์ กล่าวว่า “จงยืนขึ้นและสรรเสริญพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายตั้งแต่นิรันดร์กาลจนนิรันดร์กาล สาธุการแด่พระนามอันรุ่งโรจน์ของพระองค์ ซึ่งยิ่งใหญ่เหนือการโมทนาและการสรรเสริญทั้งปวง
นหม 10.9 และคนเลวีคือ เยชูอาผู้เป็นบุตรชายอาซันยาห์ บินนุยลูกหลานเฮนาดัด ขัดมีเอล
นหม 12.8 คนเลวีคือ เยชูอา บินนุย ขัดมีเอล เชเรบิยาห์ ยูดาห์ และมัทธานิยาห์ ผู้ซึ่งดูแลการเพลงโมทนาพร้อมกับพี่น้องของเขา
นหม 12.24 และหัวหน้าของคนเลวีคือ ฮาชาบิยาห์ เชเรบิยาห์ และเยชูอาบุตรชายขัดมีเอล กับญาติพี่น้องของเขาอยู่ตรงกันข้าม ที่จะสรรเสริญและโมทนาพระคุณ ตามบัญญัติของดาวิดคนของพระเจ้า เป็นยามๆไป

ขัดแย้ง ( 3 )
ลนต 26.21 ถ้าเจ้ายังดำเนินขัดแย้งเราอยู่และไม่เชื่อฟังเรา เราจะนำภัยพิบัติให้ทวีอีกเจ็ดเท่ามายังเจ้าตามการบาปทั้งหลายของเจ้า
รม 2.15 คือแสดงให้เห็นการกระทำที่เป็นตามพระราชบัญญัตินั้นมีจารึกอยู่ในจิตใจของเขา และใจสำนึกผิดชอบก็เป็นพยานของเขาด้วย ความคิดขัดแย้งต่างๆของเขานั้นแหละ จะกล่าวโทษตัวหรืออาจจะแก้ตัวให้เขา)
กท 3.21 ถ้าเช่นนั้นพระราชบัญญัติขัดแย้งกับพระสัญญาของพระเจ้าหรือ พระเจ้าไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเลย เพราะว่าถ้าทรงตั้งพระราชบัญญัติอันสามารถทำให้คนมีชีวิตอยู่ได้ ความชอบธรรมก็จะมีได้โดยพระราชบัญญัตินั้นจริง

ขัดสน ( 29 )
พบญ 2.7 เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพวกเจ้าได้อำนวยพระพรแก่บรรดาการที่มือของพวกเจ้าได้กระทำ พระองค์ทรงทราบทางที่เจ้าได้เดินในถิ่นทุรกันดารใหญ่นี้ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของพวกเจ้าได้อยู่กับเจ้าสี่สิบปีนี้มาแล้ว พวกเจ้ามิได้ขัดสนสิ่งใดเลย’
พบญ 24.14 ท่านอย่าข่มขี่ลูกจ้างที่เป็นคนยากจนและขัดสน ไม่ว่าเขาจะเป็นพี่น้องของท่าน หรือคนต่างด้าวอยู่ในแผ่นดินภายในประตูเมืองของท่าน
พบญ 28.48 เพราะฉะนั้นท่านจึงต้องปรนนิบัติศัตรูของท่าน ซึ่งพระเยโฮวาห์จะทรงใช้มาต่อสู้ท่าน ด้วยความหิวและกระหาย เปลือยกายและขัดสนทุกอย่าง และพระองค์จะทรงวางแอกเหล็กบนคอของท่าน จนกว่าพระองค์จะทำลายท่านเสียสิ้น
พบญ 28.57 ต่อรกซึ่งเพิ่งออกมาจากหว่างขาของเธอ และต่อลูกแดงที่เพิ่งคลอด เพราะว่าเธอจะกินเป็นอาหารเงียบๆเพราะขัดสนทุกอย่าง ในการถูกล้อมและในความทุกข์ลำบาก ซึ่งศัตรูของท่านมาทำให้ท่านทั้งหลายทุกข์ลำบากทุกประตูเมือง
โยบ 20.22 ในขณะที่เขาอิ่มหนำสำราญ เขาจะตกในสภาพขัดสน มือของคนชั่วทั้งปวงจะมายังเขา
สดด 23.1 พระเยโฮวาห์ทรงเป็นผู้เลี้ยงดูข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน
สดด 40.17 ฝ่ายข้าพระองค์ยากจนและขัดสน แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเอาพระทัยใส่ข้าพระองค์ โอ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขออย่าทรงรอช้า พระองค์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์และเป็นผู้ช่วยให้พ้นของข้าพระองค์
สดด 70.5 แต่ข้าพระองค์ยากจนและขัดสน โอ ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงรีบมาหาข้าพระองค์ โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขออย่าทรงรอช้า พระองค์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์และผู้ช่วยให้พ้นของข้าพระองค์
สดด 86.1 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงเงี่ยพระกรรณสดับข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์ยากจนและขัดสน
สดด 109.22 เพราะข้าพระองค์ยากจนและขัดสน และจิตใจของข้าพระองค์ก็บาดเจ็บอยู่ภายใน
สภษ 11.24 บางคนยิ่งจำหน่ายยิ่งมั่งคั่ง บางคนยิ่งยึดสิ่งที่ควรจำหน่ายไว้ยิ่งขัดสนก็มี
ยรม 33.17 เพราะพระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า ดาวิดจะไม่ขัดสนบุรุษที่จะประทับบนพระที่นั่งแห่งวงศ์วานอิสราเอล
ยรม 33.18 และปุโรหิตคนเลวีจะไม่ขัดสนบุรุษที่อยู่ต่อหน้าเรา เพื่อถวายเครื่องเผาบูชา และเผาเครื่องธัญญบูชา และกระทำการสักการบูชาเป็นนิตย์”
ยรม 35.19 เพราะฉะนั้น พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า โยนาดับบุตรชายเรคาบจะไม่ขัดสนผู้ชายที่ยืนอยู่ต่อหน้าเราเลยเป็นนิตย์”
ยรม 44.18 ตั้งแต่เรางดการเผาเครื่องหอมถวายเจ้าแม่แห่งฟ้าสวรรค์ และเทเครื่องดื่มถวายแก่พระนางเจ้า เราก็ขัดสนทุกอย่าง และถูกผลาญด้วยดาบและด้วยการกันดารอาหาร
ศฟย 3.12 เพราะเราจะเหลือแต่คนที่ทุกข์ยากและขัดสนไว้ในท่ามกลางเจ้า เขาจะวางใจในพระนามแห่งพระเยโฮวาห์
มก 12.44 เพราะว่าคนทั้งปวงนั้นได้เอาเงินเหลือใช้ของเขามาใส่ไว้ แต่ผู้หญิงนี้ขัดสนที่สุด ยังได้เอาเงินที่มีอยู่สำหรับเลี้ยงชีวิตของตนมาใส่จนหมด”
ลก 15.14 เมื่อใช้ทรัพย์หมดแล้วก็เกิดกันดารอาหารยิ่งนักทั่วเมืองนั้น เขาจึงเริ่มขัดสน
ลก 21.4 เพราะว่าคนทั้งปวงนี้ได้เอาเงินเหลือใช้ของเขามาใส่ถวายแด่พระเจ้า แต่ผู้หญิงนี้ขัดสนที่สุด ยังได้เอาเงินที่มีอยู่สำหรับเลี้ยงชีวิตของตนมาใส่จนหมด”
ลก 22.35 พระองค์จึงตรัสถามเหล่าสาวกว่า “เมื่อเราได้ใช้ท่านทั้งหลายออกไปโดยไม่มีถุงเงิน ไม่มีย่าม ไม่มีรองเท้านั้น ท่านขัดสนสิ่งใดบ้างหรือ” เขาทั้งหลายทูลตอบว่า “ไม่ขาดสิ่งใดเลย”
กจ 4.34 และในพวกศิษย์ไม่มีผู้ใดขัดสน เพราะผู้ใดมีไร่นาบ้านเรือนก็ขายเสีย และได้นำเงินค่าของที่ขายได้นั้นมา
รม 12.13 จงช่วยวิสุทธิชนเมื่อเขาขัดสน จงมีน้ำใจอัธยาศัยไมตรี
1คร 11.22 อะไรกันนี่ ท่านไม่มีเรือนที่จะกินและดื่มหรือ หรือว่าท่านดูหมิ่นคริสตจักรของพระเจ้า และทำให้คนที่ขัดสนได้รับความอับอาย จะให้ข้าพเจ้าว่าอย่างไรแก่ท่าน จะให้ชมท่านหรือ ในเรื่องนี้ข้าพเจ้าจะไม่ขอชมท่านเลย
2คร 8.14 แต่เป็นการให้กันไปให้กันมา ในยามที่พวกท่านมีบริบูรณ์เช่นเวลานี้ ท่านก็ควรจะช่วยคนเหล่านั้นที่ขัดสน และในยามที่เขามีบริบูรณ์ เขาก็จะได้ช่วยพวกท่านเมื่อขัดสน เพื่อเป็นการให้กันไปให้กันมา
2คร 9.12 เพราะว่าการรับใช้ในการปรนนิบัตินั้นมิใช่จะช่วยวิสุทธิชนซึ่งขัดสนเท่านั้น แต่ยังเป็นเหตุให้มีการขอบพระคุณพระเจ้าเป็นอันมากด้วย
อฟ 4.28 คนที่เคยขโมยก็อย่าขโมยอีก แต่จงใช้มือทำงานที่ดีๆกว่า เพื่อจะได้มีอะไรๆแจกให้แก่คนที่ขัดสน
ฟป 2.25 ข้าพเจ้าคิดแล้วว่า จะต้องให้เอปาโฟรดิทัสน้องชายของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานและเพื่อนทหารของข้าพเจ้า และเป็นผู้นำข่าวของพวกท่าน และได้ปรนนิบัติข้าพเจ้าในยามขัดสน มาหาท่านทั้งหลาย
1ยน 3.17 แต่ถ้าผู้ใดมีทรัพย์สมบัติในโลกนี้ และเห็นพี่น้องของตนขัดสน และยังใจจืดใจดำไม่สงเคราะห์เขา ความรักของพระเจ้าจะดำรงอยู่ในผู้นั้นอย่างไรได้

ขัทตาท ( 1 )
ยชว 19.15 และเมืองขัทตาท นาหะลาล ชิมโรน อิดาลาห์ และเมืองเบธเลเฮม รวมเป็นสิบสองหัวเมืองกับชนบทของเมืองนั้นๆด้วย

ขัน ( 56 )
อพย 30.18 “เจ้าจงทำขันทองสัมฤทธิ์และพานรองขันทองสัมฤทธิ์ด้วย สำหรับล้างชำระ จงตั้งขันนั้นไว้ระหว่างพลับพลาแห่งชุมนุมและแท่นบูชา แล้วจงตักน้ำใส่ไว้ในขันนั้น
อพย 30.28 แท่นเครื่องเผาบูชาและเครื่องใช้ประจำแท่น ทั้งขันและพานรองขันนั้น
อพย 31.9 แท่นเครื่องเผาบูชากับเครื่องใช้ประจำแท่น ขันกับพานรองขันนั้น
อพย 35.16 แท่นเครื่องเผาบูชากับตาข่ายทองสัมฤทธิ์ ไม้คานหามและเครื่องใช้ทั้งปวงของแท่น ขันกับพานรองขันนั้น
อพย 38.8 เขาทำขันทองสัมฤทธิ์และพานรองขันทองสัมฤทธิ์จากกระจกเงาของบรรดาผู้หญิงที่ปรนนิบัติณประตูพลับพลาแห่งชุมนุม
อพย 39.39 แท่นบูชาทองสัมฤทธิ์ กับตาข่ายทองสัมฤทธิ์สำหรับแท่นนั้น ไม้คานหามและเครื่องใช้ทั้งหมดของแท่น ขันกับพานรองขัน
อพย 40.7 จงตั้งขันไว้ระหว่างเต็นท์แห่งชุมนุมกับแท่นบูชา แล้วจงตักน้ำใส่ไว้ในขันนั้น
อพย 40.11 จงเจิมขันทั้งพานรองขันด้วย และชำระให้บริสุทธิ์
อพย 40.30 ท่านตั้งขันไว้ระหว่างเต็นท์แห่งชุมนุมกับแท่นบูชา แล้วใส่น้ำไว้ในขันสำหรับชำระล้าง
อพย 40.31 โมเสสกับอาโรน และบุตรชายของท่าน ล้างมือและเท้าที่ขันนั้น
ลนต 8.11 และท่านเอาน้ำมันเจิมประพรมบนแท่นเจ็ดครั้ง เจิมแท่นและเจิมภาชนะประจำแท่นทั้งหมด เจิมขันและพานรองขันเพื่อชำระให้เป็นของบริสุทธิ์
1พกษ 7.23 แล้วท่านได้หล่อขันสาครเป็นขันกลม วัดจากขอบหนึ่งไปถึงอีกขอบหนึ่งได้สิบศอก สูงห้าศอก และวัดโดยรอบได้สามสิบศอก
1พกษ 7.26 ขันสาครหนาหนึ่งคืบ ที่ขอบของขันทำเหมือนขอบถ้วยเหมือนอย่างดอกบัว บรรจุได้สองพันบัท
1พกษ 7.30 แล้วแท่นหนึ่งๆมีล้อทองสัมฤทธิ์สี่ล้อ และมีเพลาทองสัมฤทธิ์ ที่มุมทั้งสี่มีที่หนุน ขันที่หนุนอันหนึ่งหล่อมีมาลัยห้อยข้างๆทุกข้าง
1พกษ 7.38 ท่านทำขันทองสัมฤทธิ์สิบลูก ขันลูกหนึ่งจุสี่สิบบัท ขนาดขันลูกหนึ่งสี่ศอก มีขันแท่นละลูกทั้งสิบแท่น
1พกษ 7.39 ท่านวางแท่นขันนั้นไว้ทางด้านขวาของพระนิเวศห้าแท่น และทางด้านซ้ายของพระนิเวศห้าแท่น และท่านวางขันสาครไว้ที่ด้านขวาพระนิเวศทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
1พกษ 7.40 ฮีรามได้ทำขัน พลั่วและชามด้วย ดังนั้นฮีรามก็เสร็จงานทั้งสิ้นซึ่งเขาต้องกระทำถวายกษัตริย์ซาโลมอนสำหรับพระนิเวศของพระเยโฮวาห์
1พกษ 7.43 แท่นสิบแท่น และขันสิบลูกซึ่งอยู่บนแท่น
2พกษ 16.17 และกษัตริย์อาหัสทรงตัดแผงแท่นนั้นออก และทรงยกขันออกไปจากแท่นเสีย และพระองค์ทรงเอาขันสาครลงมาเสียจากวัวทองสัมฤทธิ์ที่รองอยู่นั้น ทรงวางไว้บนพื้นก้อนหิน
2พศด 4.2 แล้วพระองค์ทรงสร้างขันสาครหล่อ เป็นขันกลม วัดจากขอบหนึ่งไปถึงอีกขอบหนึ่งได้สิบศอก สูงห้าศอก และวัดโดยรอบได้สามสิบศอก
2พศด 4.3 ภายใต้ขันนี้มีรูปวัวอยู่รอบขันสาคร ในระยะหนึ่งศอกมีรูปวัวสิบลูก อยู่รอบขันสาคร วัวเหล่านี้เป็นสองแถว หล่อพร้อมกับเมื่อหล่อขันสาคร
2พศด 4.6 พระองค์ทรงทำขันสิบลูก วางอยู่ด้านขวาห้าลูก ด้านซ้ายห้าลูก เพื่อใช้ล้างของในนั้น เขาจะล้างของซึ่งใช้เป็นเครื่องเผาบูชาในนี้ ขันสาครนั้นสำหรับให้ปุโรหิตล้างในนั้น
2พศด 4.14 เขาทำแท่นด้วย และทำขันไว้บนแท่น
สดด 23.5 พระองค์ทรงเตรียมสำรับให้ข้าพระองค์ต่อหน้าต่อตาศัตรูของข้าพระองค์ พระองค์ทรงเจิมศีรษะข้าพระองค์ด้วยน้ำมัน ขันน้ำของข้าพระองค์ก็ล้นอยู่
มธ 26.34 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ในคืนนี้ก่อนไก่ขัน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง”
มธ 26.74 แล้วเปโตรก็เริ่มสบถและสาบานว่า “ข้าไม่รู้จักคนนั้น” ในทันใดนั้นไก่ก็ขัน
มธ 26.75 เปโตรจึงระลึกถึงคำของพระเยซูที่ตรัสแก่เขาว่า “ก่อนไก่ขัน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง” แล้วเปโตรก็ออกไปข้างนอกร้องไห้อย่างขมขื่นยิ่งนัก
มก 13.35 เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังอยู่ เพราะท่านไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านจะมาเมื่อไร จะมาเวลาค่ำ หรือเที่ยงคืน หรือเวลาไก่ขัน หรือรุ่งเช้า
มก 14.30 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ในวันนี้ คือคืนนี้เอง ก่อนไก่จะขันสองหน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง”
มก 14.68 แต่เปโตรปฏิเสธว่า “ที่เจ้าว่านั้นข้าไม่รู้เรื่องและไม่เข้าใจ” เปโตรจึงออกไปที่ระเบียงบ้าน แล้วไก่ก็ขัน
มก 14.72 แล้วไก่ก็ขันเป็นครั้งที่สอง เปโตรจึงระลึกถึงคำที่พระเยซูตรัสไว้แก่เขาว่า “ก่อนไก่ขันสองหน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง” เมื่อเปโตรหวนคิดขึ้นได้ก็ร้องไห้
ลก 22.34 พระองค์ตรัสว่า “เปโตรเอ๋ย เราบอกท่านว่าวันนี้ก่อนไก่ขัน ท่านจะปฏิเสธว่าไม่รู้จักเราถึงสามครั้ง”
ลก 22.60 แต่เปโตรพูดว่า “พ่อเอ๋ย ที่ท่านว่านั้นข้าไม่รู้เรื่อง” เมื่อเปโตรกำลังพูดยังไม่ทันขาดคำ ในทันใดนั้นไก่ก็ขัน
ลก 22.61 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเหลียวดูเปโตร แล้วเปโตรก็ระลึกถึงคำขององค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งพระองค์ได้ตรัสไว้แก่เขาว่า “ก่อนไก่ขัน ท่านจะปฏิเสธเราถึงสามครั้ง”
ยน 13.38 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ท่านจะสละชีวิตของท่านเพื่อเราหรือ เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ก่อนไก่ขัน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง”
ยน 18.27 เปโตรปฏิเสธอีกครั้งหนึ่ง และในทันใดนั้นไก่ก็ขัน
วว 5.8 เมื่อพระองค์ทรงรับหนังสือม้วนนั้นแล้ว สัตว์ทั้งสี่กับผู้อาวุโสยี่สิบสี่คนนั้นก็ทรุดตัวลงจำเพาะพระพักตร์พระเมษโปดก ทุกคนถือพิณเขาคู่และถือขันทองคำบรรจุเครื่องหอม ซึ่งเป็นคำอธิษฐานของพวกวิสุทธิชนทั้งปวง
วว 15.7 และสัตว์ตัวหนึ่งในสี่ตัวนั้นได้เอาขันทองคำเจ็ดใบเต็มด้วยพระพิโรธของพระเจ้า ผู้ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ ส่งให้แก่ทูตสวรรค์ทั้งเจ็ดองค์นั้น
วว 16.1 แล้วข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงดังออกมาจากพระวิหาร สั่งทูตสวรรค์ทั้งเจ็ดองค์นั้นว่า “จงไปเถิด เอาขันทั้งเจ็ดใบ ที่เต็มไปด้วยพระพิโรธของพระเจ้า เทลงบนแผ่นดินโลก”
วว 16.2 ทูตสวรรค์องค์แรกจึงออกไปและเทขันของตนลงบนแผ่นดินโลก และคนทั้งหลายที่มีเครื่องหมายของสัตว์ร้าย และบูชารูปของมัน ก็เกิดเป็นแผลร้ายที่เป็นหนองมีทุกข์เวทนาแสนสาหัส
วว 16.3 ทูตสวรรค์องค์ที่สองก็เทขันของตนลงในทะเล และทะเลก็กลายเป็นเหมือนเลือดของคนตาย และบรรดาสิ่งที่มีชีวิตอยู่ในทะเลนั้นก็ตายหมดสิ้น
วว 16.4 ทูตสวรรค์องค์ที่สามเทขันของตนลงที่แม่น้ำและบ่อน้ำพุทั้งปวง และน้ำเหล่านั้นก็กลายเป็นเลือด
วว 16.8 ทูตสวรรค์องค์ที่สี่เทขันของตนลงที่ดวงอาทิตย์ และทรงให้อำนาจแก่ดวงอาทิตย์นั้นที่จะคลอกมนุษย์ด้วยไฟ
วว 16.10 ทูตสวรรค์องค์ที่ห้าเทขันของตนลงบนที่นั่งของสัตว์ร้ายนั้น และอาณาจักรของมันก็มืดไป คนเหล่านั้นได้กัดลิ้นของตนด้วยความเจ็บปวด
วว 16.12 ทูตสวรรค์องค์ที่หกเทขันของตนลงที่แม่น้ำใหญ่ คือแม่น้ำยูเฟรติส ทำให้น้ำในแม่น้ำนั้นแห้งไป เพื่อเตรียมมรรคาไว้สำหรับบรรดากษัตริย์ที่มาจากทิศตะวันออก
วว 16.17 ทูตสวรรค์องค์ที่เจ็ดได้เทขันของตนลงในอากาศ และมีพระสุรเสียงดังออกมาจากพระที่นั่งในพระวิหารแห่งสวรรค์ว่า “สำเร็จแล้ว”
วว 17.1 ทูตสวรรค์องค์หนึ่งในเจ็ดองค์ที่ถือขันเจ็ดใบนั้นมาหาข้าพเจ้า และพูดว่า “เชิญมาที่นี่เถิด ข้าพเจ้าจะให้ท่านดูการพิพากษาลงโทษหญิงแพศยาคนสำคัญที่นั่งอยู่บนน้ำมากหลาย
วว 21.9 ทูตสวรรค์องค์หนึ่งในบรรดาทูตสวรรค์เจ็ดองค์ที่ถือขันเจ็ดใบ อันเต็มด้วยภัยพิบัติสุดท้ายทั้งเจ็ดประการนั้น ได้มาพูดกับข้าพเจ้าว่า “เชิญมานี่เถิด ข้าพเจ้าจะให้ท่านดูเจ้าสาวที่เป็นมเหสีของพระเมษโปดก”

ขั้น ( 35 )
อพย 20.26 และเจ้าอย่าเดินตามขั้นบันไดขึ้นไปยังแท่นบูชาของเรา เพื่อว่าการเปลือยเปล่าของเจ้าจะไม่ได้ถูกเปิดเผยเสียที่นั่น’”
พบญ 28.27 พระเยโฮวาห์จะทรงเฆี่ยนตีท่านด้วยฝีอียิปต์ ด้วยริดสีดวงทวารขั้นรุนแรง ด้วยโรคลักปิดลักเปิด และด้วยโรคคัน ซึ่งจะรักษาไม่ได้
1ซมอ 5.6 พระหัตถ์ของพระเยโฮวาห์อยู่เหนือประชาชนอัชโดดอย่างหนัก พระองค์ทรงทำลายเขาและทรงเฆี่ยนเขาด้วยริดสีดวงทวารขั้นรุนแรง ทั้งชาวอัชโดดและเขตแดนของชาวเมืองนั้น
1ซมอ 5.9 แต่เมื่อเขาทั้งหลายนำหีบอ้อมไปเมืองนั้นแล้ว พระหัตถ์ของพระเยโฮวาห์ก็ต่อสู้เมืองนั้นกระทำให้เกิดการทำลายอย่างหนัก และทรงเฆี่ยนชาวเมืองนั้นทั้งเด็กและผู้ใหญ่ คือให้เกิดริดสีดวงทวารขั้นรุนแรงขึ้นที่ส่วนลับของเขาทั้งหลาย
1ซมอ 5.12 คนที่ไม่ตายก็เป็นริดสีดวงทวารขั้นรุนแรง และเสียงร้องของชาวเมืองนั้นก็ขึ้นไปยังฟ้าสวรรค์
1ซมอ 6.5 เพราะฉะนั้นท่านต้องทำรูปริดสีดวงทวารขั้นรุนแรงของท่านและรูปหนูของท่านซึ่งทำลายแผ่นดิน และท่านทั้งหลายจงถวายสง่าราศีแด่พระเจ้าของอิสราเอล ชะรอยพระองค์จะทรงเบาพระหัตถ์ของพระองค์จากท่านทั้งหลาย ทั้งจากพระของท่านและแผ่นดินของท่าน
1ซมอ 6.11 และเขาก็วางหีบแห่งพระเยโฮวาห์ไว้บนเกวียนพร้อมกับหีบหนูทองคำและรูปริดสีดวงทวารขั้นรุนแรงของเขา
1พกษ 10.19 พระที่นั่งนั้นมีบันไดหกขั้น พนักหลังของพระที่นั่งนั้นกลมข้างบน และสองข้างพระที่นั่งมีที่วางพระหัตถ์ มีสิงโตสองตัวยืนอยู่ข้างๆที่วางพระหัตถ์
1พกษ 10.20 มีสิงโตอีกสิบสองตัวยืนอยู่ที่นั่นบนหกขั้นบันไดทั้งสองข้าง เขาไม่เคยทำในราชอาณาจักรใดๆเหมือนอย่างนี้
2พกษ 9.13 แล้วทุกคนก็รีบเปลื้องเสื้อผ้าของตนออกวางไว้รองท่านที่ขั้นบันไดซึ่งเปล่าอยู่ และเขาทั้งหลายเป่าแตร และป่าวร้องว่า “เยฮูเป็นกษัตริย์”
2พกษ 20.9 และอิสยาห์ทูลว่า “ต่อไปนี้เป็นหมายสำคัญสำหรับพระองค์จากพระเยโฮวาห์ ที่พระเยโฮวาห์จะทรงกระทำตามที่พระองค์ทรงตรัสไว้ คือว่า จะให้เงาคืบหน้าไปสิบขั้น หรือย้อนกลับมาสิบขั้น”
2พกษ 20.10 เฮเซคียาห์ตรัสตอบว่า “เป็นการง่ายที่เงาจะยาวออกไปอีกสิบขั้น แต่ให้เงาย้อนกลับมาสิบขั้นต่างหาก”
2พกษ 20.11 และอิสยาห์ผู้พยากรณ์ก็ร้องทูลต่อพระเยโฮวาห์ และพระองค์ทรงนำเงาย้อนกลับมาสิบขั้น ซึ่งเงานั้นได้เลยไปในนาฬิกาแดดของอาหัส
2พศด 9.11 แล้วกษัตริย์ทรงใช้ไม้ประดู่ทำขั้นบันไดพระนิเวศของพระเยโฮวาห์และพระราชวัง ทั้งทำพิณเขาคู่ และพิณใหญ่ให้แก่นักร้อง ซึ่งไม่เคยเห็นมีอย่างนั้นแต่ก่อนในแผ่นดินยูดาห์
2พศด 9.18 พระที่นั่งนั้นมีบันไดหกขั้น กับที่รองพระบาททำด้วยทองคำ ซึ่งติดอยู่กับพระที่นั่ง ทั้งสองข้างของพระที่นั่งมีที่วางพระหัตถ์ และสิงโตสองตัวยืนอยู่ข้างๆที่วางพระหัตถ์
2พศด 9.19 มีสิงโตอีกสิบสองตัวยืนอยู่ที่นั่น บนบันไดหกขั้นทั้งสองข้าง เขาไม่เคยทำในราชอาณาจักรใดๆเหมือนอย่างนี้
สดด 76.9 เมื่อพระเจ้าทรงลุกขั้นพิพากษา เพื่อช่วยผู้ถ่อมตัวทั้งสิ้นของแผ่นดินโลกให้รอด เซลาห์
อสย 38.8 ดูเถิด เราจะกระทำให้เงาที่ดวงอาทิตย์ทอดมาบนนาฬิกาแดดของอาหัสย้อนกลับมาสิบขั้น” ดวงอาทิตย์ก็ได้ย้อนกลับบนนาฬิกาแดดสิบขั้น ตามขั้นที่ได้ตกไป
อสค 40.22 หน้าต่าง มุข ต้นอินทผลัมของหอประตูนี้มีขนาดเดียวกับของหอประตูซึ่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก และมีบันไดเจ็ดขั้นนำขึ้นไปถึง และมุขนั้นอยู่ข้างใน
อสค 40.26 มีบันไดเจ็ดขั้นนำขึ้นไปถึง และมุขนั้นอยู่ข้างใน มีต้นอินทผลัมอยู่ที่เสาด้านละต้น
อสค 40.31 มุขนั้นหันหน้าสู่ลานชั้นนอก มีต้นอินทผลัมอยู่ที่เสา และบันไดนี้มีแปดขั้น
อสค 40.34 มุขของด้านนี้หันหน้าสู่ลานชั้นนอก และมีต้นอินทผลัมอยู่ที่เสาด้านละต้น และบันไดนี้มีแปดขั้น
อสค 40.37 มุขของด้านนี้หันหน้าสู่ลานชั้นนอก และมีต้นอินทผลัมอยู่ที่เสาด้านละต้น และบันไดนี้มีแปดขั้น
อสค 43.14 จากตอนฐานที่อยู่บนดินมาถึงข้างล่างสูงสองศอก กว้างหนึ่งศอก จากขั้นเล็กไปถึงขั้นใหญ่สูงสี่ศอก กว้างหนึ่งศอก
อสค 43.17 ขั้นข้างเตาก็สี่เหลี่ยมจตุรัสเหมือนกัน ยาวสิบสี่ศอก กว้างสิบสี่ศอก ยกริมรอบกว้างครึ่งศอก ฐานกว้างศอกหนึ่งโดยรอบ บันไดแท่นบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันออก”
อสค 43.20 เจ้าจงเอาเลือดวัวนั้นบ้างใส่ไว้ที่เชิงงอนทั้งสี่ของแท่น และมุมทั้งสี่ของขั้นข้างเตา และที่ยกริมโดยรอบ ทำดังนี้แหละท่านจะได้ชำระแท่นและทำการลบมลทินของแท่นนั้นไว้
อสค 45.19 ให้ปุโรหิตเอาเลือดของเครื่องบูชาไถ่บาปมาบ้างและจงประพรมที่เสาประตูพระนิเวศ ที่ขั้นสี่มุมของแท่นบูชา และบนเสาประตูของลานชั้นใน
มธ 24.8 เหตุการณ์ทั้งปวงนี้เป็นขั้นแรกแห่งความทุกข์ลำบาก
มก 13.8 เพราะประชาชาติจะลุกขึ้นต่อสู้ประชาชาติ ราชอาณาจักรต่อสู้ราชอาณาจักร ทั้งจะเกิดแผ่นดินไหวในที่ต่างๆ และจะเกิดกันดารอาหารและความทุกข์ยาก เหตุการณ์ทั้งปวงนี้เป็นขั้นแรกแห่งความทุกข์ลำบาก
ฮบ 6.16 ส่วนมนุษย์นั้นต้องปฏิญาณต่อหน้าผู้ที่เป็นใหญ่กว่าตน และเมื่อเกิดข้อทุ่มเถียงอะไรกันขึ้น ก็ต้องถือคำปฏิญาณนั้นเป็นคำยืนยันขั้นเด็ดขาด

ขันที ( 37 )
2พกษ 9.32 แล้วเยฮูแหงนพระพักตร์ทอดพระเนตรที่พระแกลตรัสว่า “ใครอยู่ฝ่ายเรา ใครบ้าง” มีขันทีสองสามคนชะโงกหน้าต่างออกมาดูพระองค์
2พกษ 20.18 และลูกบางคนซึ่งถือกำเนิดจากเจ้า ผู้ซึ่งเกิดมาแก่เจ้า จะถูกนำเอาไป และเขาจะเป็นขันทีในวังของกษัตริย์แห่งบาบิโลน”
อสธ 1.10 ณ วันที่เจ็ดเมื่อพระทัยของกษัตริย์รื่นเริงด้วยเหล้าองุ่น พระองค์ทรงบัญชาเมหุมาน บิสธา ฮารโบนา บิกธาและอาบักธา เศธาร์ และคารคาส ขันทีทั้งเจ็ดผู้ปรนนิบัติต่อพระพักตร์กษัตริย์อาหสุเอรัส
อสธ 1.12 แต่พระราชินีวัชทีทรงปฏิเสธไม่มาตามพระบัญชาของกษัตริย์ที่รับสั่งไปกับขันที เมื่อเป็นเช่นนี้กษัตริย์ทรงเดือดดาล และพระพิโรธของพระองค์ระอุอยู่ในพระอุระ
อสธ 1.15 ว่า “ตามกฎหมายจะต้องกระทำอะไรต่อพระราชินีวัชที เพราะว่าพระนางมิได้ปฏิบัติตามพระบัญชาของกษัตริย์อาหสุเอรัสซึ่งรับสั่งไปกับขันที”
อสธ 2.14 เธอเข้าไปเฝ้าเวลาเย็น และในเวลาเช้าเธอกลับออกมาในฮาเร็มที่สองในอารักขาของชาอัชกาสขันทีของกษัตริย์ผู้ดูแลนางห้าม เธอไม่ได้เข้าไปเฝ้ากษัตริย์อีก นอกจากกษัตริย์จะพอพระทัยในเธอ และทรงเรียกชื่อเธอให้เข้าเฝ้า
อสธ 2.21 ในครั้งนั้นเมื่อโมรเดคัยนั่งอยู่ที่ประตูของกษัตริย์ บิกธานและเทเรช ขันทีสองคนของกษัตริย์ ผู้เฝ้าธรณีประตู มีความโกรธและหาช่องที่จะประทุษร้ายกษัตริย์อาหสุเอรัส
อสธ 4.4 เมื่อสาวใช้และขันทีของพระนางเอสเธอร์มาทูลพระนาง พระราชินีก็เป็นทุกข์ในพระทัยยิ่งนัก พระนางทรงส่งเสื้อผ้าไปให้แก่โมรเดคัย เพื่อท่านจะได้ถอดผ้ากระสอบของท่านออกเสีย แต่ท่านไม่ยอมรับผ้านั้น
อสธ 4.5 แล้วพระนางเอสเธอร์มีพระเสาวนีย์เรียกฮาธาคขันทีคนหนึ่งของกษัตริย์ ผู้ซึ่งพระองค์ทรงแต่งตั้งให้ปรนนิบัติ พระนางตรัสสั่งให้ไปหาโมรเดคัย เพื่อจะทรงทราบว่า เรื่องอะไร และทำอย่างนั้นทำไม
อสธ 6.2 พระองค์ทรงเห็นเขียนไว้ว่า โมรเดคัยได้ทูลเรื่องบิกธานาและเทเรชอย่างไร คือเรื่องขันทีสองคนของกษัตริย์ผู้เฝ้าธรณีประตู หาช่องจะปลงพระชนม์กษัตริย์อาหสุเอรัส
อสธ 6.14 ขณะเมื่อเขาทั้งหลายกำลังพูดกับท่านอยู่ ขันทีของกษัตริย์ก็มาถึงรีบนำฮามานไปยังการเลี้ยงซึ่งพระนางเอสเธอร์ทรงจัดนั้น
อสธ 7.9 ฮารโบนาขันทีคนหนึ่งทูลต่อพระพักตร์กษัตริย์ว่า “ดูเถิด ตะแลงแกงซึ่งฮามานเตรียมไว้สำหรับโมรเดคัย ซึ่งรายงานช่วยพระชนม์กษัตริย์ ก็ยังตั้งอยู่ที่บ้านของฮามาน สูงห้าสิบศอกพ่ะย่ะค่ะ” กษัตริย์ตรัสว่า “แขวนมันบนนั้นแหละ”
อสย 39.7 และลูกบางคนซึ่งถือกำเนิดจากเจ้า ผู้ซึ่งเกิดมาแก่เจ้าจะถูกนำเอาไป และเขาจะเป็นขันทีในวังของกษัตริย์แห่งบาบิโลน”
อสย 56.3 อย่าให้บุตรชายของคนต่างชาติผู้เข้าจารีตถือพระเยโฮวาห์กล่าวว่า “พระเยโฮวาห์ได้ทรงแยกข้าแน่จากชนชาติของพระองค์” และอย่าให้ขันทีพูดว่า “ดูเถิด ข้าเป็นต้นไม้แห้ง”
อสย 56.4 เพราะพระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “เรื่องขันทีทั้งหลายผู้รักษาวันสะบาโตของเรา ผู้เลือกบรรดาสิ่งที่พอใจเรา และยึดพันธสัญญาของเราไว้มั่น
ยรม 29.2 (นี่เป็นเรื่องหลังจากกษัตริย์เยโคนิยาห์ และพระราชินี พวกขันที บรรดาเจ้านายของยูดาห์และเยรูซาเล็ม และบรรดาช่างไม้และช่างเหล็กได้ออกไปจากกรุงเยรูซาเล็มแล้ว)
ยรม 34.19 เจ้านายแห่งยูดาห์ก็ดี เจ้านายแห่งกรุงเยรูซาเล็มก็ดี ขันทีก็ดี ปุโรหิตและบรรดาประชาชนแห่งแผ่นดินนั้นก็ดี ผู้ผ่านระหว่างท่อนลูกวัวนั้น
ยรม 38.7 เมื่อเอเบดเมเลคคนเอธิโอเปียขันทีคนหนึ่งในพระราชวังได้ยินว่า เขาหย่อนเยเรมีย์ลงไปในคุกใต้ดินนั้น ฝ่ายกษัตริย์ประทับอยู่ที่ประตูเบนยามิน
ยรม 41.16 แล้วโยฮานันบุตรชายคาเรอาห์และบรรดาหัวหน้าของกองทหารซึ่งอยู่กับท่าน ได้นำประชาชนที่เหลืออยู่ทั้งหมด ซึ่งเอากลับคืนมาจากอิชมาเอลบุตรชายเนธานิยาห์ซึ่งมาจากมิสปาห์หลังจากที่ได้ฆ่าเกดาลิยาห์บุตรชายอาหิคัมแล้วนั้น คือทหาร ผู้หญิง เด็ก และขันที ผู้ซึ่งโยฮานันนำกลับมายังกิเบโอน
ยรม 52.25 และจากกรุงนั้นท่านจับขันทีคนหนึ่ง ผู้บังคับทหาร และที่ปรึกษาของกษัตริย์เจ็ดคน ซึ่งพบอยู่ในกรุงนั้น และเลขานุการของผู้บังคับบัญชาของกองทัพ ผู้ซึ่งเกณฑ์ประชาชนแห่งแผ่นดิน และประชาชนแห่งแผ่นดินอีกหกสิบคนซึ่งพบอยู่ท่ามกลางกรุงนั้น
ดนล 1.3 แล้วกษัตริย์นั้นก็ทรงบัญชาให้อัชเปนัสหัวหน้าขันทีของพระองค์ท่าน ให้นำคนอิสราเอลบางคน ทั้งเชื้อพระวงศ์และเชื้อสายของเจ้านาย
ดนล 1.7 และท่านหัวหน้าขันทีจึงตั้งชื่อให้ใหม่ ดาเนียลนั้นให้เรียกว่าเบลเทชัสซาร์ ฮานันยาห์เรียกว่าชัดรัค มิชาเอลเรียกว่าเมชาค และอาซาริยาห์เรียกว่าเอเบดเนโก
ดนล 1.8 แต่ดาเนียลตั้งใจไว้ว่าจะไม่กระทำตัวให้เป็นมลทินด้วยอาหารสูงของกษัตริย์ หรือด้วยเหล้าองุ่นซึ่งพระองค์ดื่ม เพราะฉะนั้นเขาจึงขอหัวหน้าขันทีให้ยอมเขาที่ไม่กระทำตัวให้เป็นมลทิน
ดนล 1.9 และพระเจ้าทรงให้หัวหน้าขันทีชอบและเวทนาดาเนียล
ดนล 1.10 และหัวหน้าขันทีจึงกล่าวแก่ดาเนียลว่า “ข้าเกรงว่ากษัตริย์เจ้านายของข้าผู้ทรงกำหนดอาหารและเครื่องดื่มของเจ้า ทอดพระเนตรเห็นว่า พวกเจ้ามีหน้าซูบซีดกว่าบรรดาคนหนุ่มๆอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เจ้าก็จะกระทำให้ศีรษะของข้าเข้าสู่อันตรายเพราะกษัตริย์”
ดนล 1.11 แล้วดาเนียลจึงกล่าวแก่มหาดเล็กผู้ที่หัวหน้าขันทีกำหนดให้ดูแลดาเนียล ฮานันยาห์ มิชาเอล และอาซาริยาห์ ว่า
ดนล 1.18 พอสิ้นกำหนดเวลาที่กษัตริย์ทรงบัญชาให้นำเขาทั้งหลายเข้าเฝ้า หัวหน้าขันทีจึงนำเขาทั้งหลายเข้ามาเฝ้าเนบูคัดเนสซาร์
มธ 19.12 ด้วยว่าผู้ที่เป็นขันทีตั้งแต่กำเนิดจากครรภ์มารดาก็มี ผู้ที่มนุษย์กระทำให้เป็นขันทีก็มี ผู้ที่กระทำตัวเองให้เป็นขันทีเพราะเห็นแก่อาณาจักรแห่งสวรรค์ก็มี ใครถือได้ก็ให้ถือเอาเถิด”
กจ 8.27 ฝ่ายฟีลิปก็ลุกขึ้นไป และดูเถิด มีชาวเอธิโอเปียคนหนึ่งเป็นขันที เป็นข้าราชการของพระนางคานดาสี พระราชินีของชาวเอธิโอเปีย และเป็นนายคลังทรัพย์ทั้งหมดของพระราชินีนั้น ได้มานมัสการในกรุงเยรูซาเล็ม
กจ 8.31 ขันทีจึงตอบว่า “ถ้าไม่มีใครอธิบายให้ ที่ไหนจะเข้าใจได้” ท่านจึงเชิญฟีลิปขึ้นนั่งรถกับท่าน
กจ 8.34 ขันทีจึงถามฟีลิปว่า “ศาสดาพยากรณ์ได้กล่าวอย่างนั้นเล็งถึงผู้ใด เล็งถึงตัวท่านเอง หรือเล็งถึงผู้อื่น บอกข้าพเจ้าเถิด”
กจ 8.36 ครั้นกำลังเดินทางไปก็มาถึงที่มีน้ำแห่งหนึ่ง ขันทีจึงบอกว่า “ดูเถิด มีน้ำ มีอะไรขัดข้องไม่ให้ข้าพเจ้ารับบัพติศมา”
กจ 8.37 และฟีลิปจึงตอบว่า “ถ้าท่านเต็มใจเชื่อท่านก็รับได้” และขันทีจึงตอบว่า “ข้าพเจ้าเชื่อว่า พระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า”
กจ 8.38 แล้วท่านจึงสั่งให้หยุดรถม้า และคนทั้งสองลงไปในน้ำทั้งฟีลิปกับขันที ฟีลิปก็ให้ท่านรับบัพติศมา
กจ 8.39 เมื่อท่านทั้งสองขึ้นจากน้ำแล้ว พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรับฟีลิปไปเสีย และขันทีนั้นไม่ได้เห็นท่านอีก จึงเดินทางต่อไปด้วยความยินดี

ขั้นรุนแรง ( 2 )
1ซมอ 6.4 และเขากล่าวว่า “จัดอะไรเป็นเครื่องบูชาไถ่การละเมิดเล่า ที่เราจะต้องถวายให้พระองค์” เขาทั้งหลายตอบว่า “ลูกริดสีดวงทวารขั้นรุนแรงทองคำห้าลูกกับหนูทองคำห้าตัว ตามจำนวนเจ้านายแห่งคนฟีลิสเตีย เพราะว่าโรคอย่างเดียวกันนั้นติดต่อท่านทั้งหลายและเจ้านายด้วย
1ซมอ 6.17 ต่อไปนี้เป็นรูปริดสีดวงทวารขั้นรุนแรงทองคำซึ่งคนฟีลิสเตียถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่การละเมิดถวายแด่พระเยโฮวาห์ รูปหนึ่งสำหรับเมืองอัชโดด เมืองกาซารูปหนึ่ง เมืองอัชเคโลนรูปหนึ่ง เมืองกัทรูปหนึ่ง เมืองเอโครนรูปหนึ่ง

ขันสาคร ( 26 )
1พกษ 7.23 แล้วท่านได้หล่อขันสาครเป็นขันกลม วัดจากขอบหนึ่งไปถึงอีกขอบหนึ่งได้สิบศอก สูงห้าศอก และวัดโดยรอบได้สามสิบศอก
1พกษ 7.24 ใต้ขอบเป็นลูกดอกตูม ในระยะหนึ่งศอกมีลูกดอกตูมสิบลูก อยู่รอบขันสาคร ดอกตูมอยู่สองแถวหล่อพร้อมกับเมื่อหล่อขันสาคร
1พกษ 7.25 ขันสาครนั้นวางอยู่บนวัวสิบสองตัว หันหน้าไปทิศเหนือสามตัว หันหน้าไปทิศตะวันตกสามตัว หันหน้าไปทิศใต้สามตัว หันหน้าไปทิศตะวันออกสามตัว เขาวางขันสาครอยู่บนวัว ส่วนหลังทั้งหมดของวัวอยู่ด้านใน
1พกษ 7.26 ขันสาครหนาหนึ่งคืบ ที่ขอบของขันทำเหมือนขอบถ้วยเหมือนอย่างดอกบัว บรรจุได้สองพันบัท
1พกษ 7.39 ท่านวางแท่นขันนั้นไว้ทางด้านขวาของพระนิเวศห้าแท่น และทางด้านซ้ายของพระนิเวศห้าแท่น และท่านวางขันสาครไว้ที่ด้านขวาพระนิเวศทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
1พกษ 7.44 และขันสาครลูกหนึ่ง และวัวสิบสองตัวที่อยู่ใต้ขันสาคร
2พกษ 16.17 และกษัตริย์อาหัสทรงตัดแผงแท่นนั้นออก และทรงยกขันออกไปจากแท่นเสีย และพระองค์ทรงเอาขันสาครลงมาเสียจากวัวทองสัมฤทธิ์ที่รองอยู่นั้น ทรงวางไว้บนพื้นก้อนหิน
2พกษ 25.13 และเสาทองสัมฤทธิ์ซึ่งอยู่ในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และเชิงกับขันสาครทองสัมฤทธิ์ซึ่งอยู่ในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์นั้น คนเคลเดียได้ทุบเป็นชิ้นๆ และขนเอาทองสัมฤทธิ์ไปยังบาบิโลน
2พกษ 25.16 ส่วนเสาสองต้น ขันสาครหนึ่งลูก และเชิงซึ่งซาโลมอนทรงสร้างสำหรับพระนิเวศของพระเยโฮวาห์นั้น ทองสัมฤทธิ์ของภาชนะทั้งหมดนี้ก็เหลือที่จะชั่งได้
1พศด 18.8 ดาวิดทรงยึดทองสัมฤทธิ์เป็นอันมากจากเมืองทิบหาทและจากเมืองคูน หัวเมืองของฮาดัดเอเซอร์ ซึ่งซาโลมอนทรงใช้สร้างขันสาครทองสัมฤทธิ์และเสา และเครื่องใช้ทองสัมฤทธิ์
2พศด 4.2 แล้วพระองค์ทรงสร้างขันสาครหล่อ เป็นขันกลม วัดจากขอบหนึ่งไปถึงอีกขอบหนึ่งได้สิบศอก สูงห้าศอก และวัดโดยรอบได้สามสิบศอก
2พศด 4.3 ภายใต้ขันนี้มีรูปวัวอยู่รอบขันสาคร ในระยะหนึ่งศอกมีรูปวัวสิบลูก อยู่รอบขันสาคร วัวเหล่านี้เป็นสองแถว หล่อพร้อมกับเมื่อหล่อขันสาคร
2พศด 4.4 ขันสาครนั้นวางอยู่บนวัวสิบสองตัวหันหน้าไปทิศเหนือสามตัว หันหน้าไปทิศตะวันตกสามตัว หันหน้าไปทิศใต้สามตัว และหันหน้าไปทิศตะวันออกสามตัว ขันสาครนั้นวางอยู่บนวัวนี้ ส่วนเบื้องหลังของมันทั้งสิ้นอยู่ข้างใน
2พศด 4.5 ขันสาครหนาหนึ่งคืบ ที่ขอบของมันทำเหมือนขอบถ้วย เหมือนอย่างดอกบัว บรรจุได้สามพันบัท
2พศด 4.6 พระองค์ทรงทำขันสิบลูก วางอยู่ด้านขวาห้าลูก ด้านซ้ายห้าลูก เพื่อใช้ล้างของในนั้น เขาจะล้างของซึ่งใช้เป็นเครื่องเผาบูชาในนี้ ขันสาครนั้นสำหรับให้ปุโรหิตล้างในนั้น
2พศด 4.10 และพระองค์ทรงวางขันสาครไว้ที่ด้านขวาพระนิเวศทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
2พศด 4.15 และขันสาครลูกหนึ่ง และวัวสิบสองตัวรองอยู่นั้น
ยรม 27.19 เพราะพระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้เกี่ยวกับบรรดาเสา ขันสาคร และขาตั้ง และเครื่องใช้อื่นๆที่เหลืออยู่ในเมืองนี้
ยรม 52.17 บรรดาเสาทองสัมฤทธิ์ซึ่งอยู่ในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และเชิงและขันสาครทองสัมฤทธิ์ ซึ่งอยู่ในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์นั้น คนเคลเดียได้ทุบเสียเป็นชิ้นๆ และขนเอาทองสัมฤทธิ์ทั้งหมดไปยังบาบิโลน
ยรม 52.20 ส่วนเสาสองเสา และขันสาครหนึ่งลูก กับวัวทองสัมฤทธิ์สิบสองตัวซึ่งอยู่ใต้เชิงทั้งหลาย ซึ่งกษัตริย์ซาโลมอนได้สร้างไว้สำหรับพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ ทองสัมฤทธิ์ของสิ่งของเหล่านี้ทั้งสิ้นก็ชั่งกันไม่ไหว

ขันสู้ ( 2 )
2พศด 13.7 และมีคนถ่อยคนอันธพาลบางคนมั่วสุมกันกับเขาและขันสู้กับเรโหโบอัมโอรสของซาโลมอน เมื่อเรโหโบอัมยังเด็กอยู่และใจอ่อนแอต้านทานไม่ไหว
ยรม 50.24 โอ บาบิโลนเอ๋ย เราวางบ่วงดักเจ้าและเจ้าก็ติดบ่วงนั้น และเจ้าไม่รู้เรื่อง เขามาพบเจ้าและจับเจ้า เพราะเจ้าได้ขันสู้กับพระเยโฮวาห์

ขับ ( 64 )
กดว 33.53 และเจ้าจงขับชาวแผ่นดินนั้นออก และเข้าไปตั้งอยู่ในนั้น เพราะเราได้ให้แผ่นดินนั้นให้เจ้าถือกรรมสิทธิ์
1ซมอ 21.11 และมหาดเล็กของอาคีชทูลว่า “ดาวิดคนนี้ไม่ใช่หรือที่เป็นกษัตริย์ของแผ่นดินนั้น เขามิได้เต้นรำและขับเพลงรับกันหรือว่า ‘ซาอูลฆ่าคนเป็นพันๆ และดาวิดฆ่าคนเป็นหมื่นๆ’”
1ซมอ 29.5 ดาวิดคนนี้มิใช่หรือ ซึ่งเขาร้องเพลงขับรำรับกันว่า ‘ซาอูลฆ่าคนเป็นพันๆและดาวิดฆ่าคนเป็นหมื่นๆ’”
1ซมอ 30.8 และดาวิดทูลถามพระเยโฮวาห์ว่า “สมควรที่ข้าพระองค์จะติดตามกองปล้นนี้หรือ ข้าพระองค์จะขับทันเขาหรือ” พระองค์ตอบท่านว่า “จงติดตามเถิด เจ้าจะไปทันเขาแน่ และจะเอาสิ่งสารพัดกลับคืนแน่”
2ซมอ 6.3 และเขาทั้งหลายก็เอาเกวียนใหม่บรรทุกหีบของพระเจ้าและนำออกมาจากเรือนของอาบีนาดับซึ่งอยู่เมืองกิเบอาห์ และอุสซาห์กับอาหิโย บุตรชายทั้งหลายของอาบีนาดับก็ขับเกวียนใหม่เล่มนั้น
2พกษ 9.20 ทหารยามก็รายงานว่า “เขาไปถึงแล้วแต่เขาไม่กลับมา และการขับรถนั้นก็เหมือนกับการขับรถของเยฮูบุตรนิมซี เพราะเขาขับรวดเร็วนัก”
1พศด 21.12 คือ กันดารอาหารสามปี หรือการล้างผลาญโดยศัตรูของเจ้าสามเดือนขณะที่ดาบของศัตรูจะขับเจ้าทัน หรือดาบของพระเยโฮวาห์สามวันคือโรคระบาดบนแผ่นดิน และทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ทำลายทั่วไปในดินแดนทั้งสิ้นของอิสราเอล ฉะนั้นบัดนี้ขอทรงพิจารณาดูว่าจะให้ข้าพระองค์กราบทูลพระองค์ผู้ทรงใช้ข้าพระองค์มาว่าประการใด”
2พศด 20.11 ดูเถิด เขาทั้งหลายได้ให้บำเหน็จแก่เราอย่างไร ด้วยมาขับเราออกเสียจากแผ่นดินกรรมสิทธิ์ของพระองค์ ซึ่งพระองค์ประทานให้แก่ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นมรดก
อสธ 8.14 คนเดินข่าวซึ่งขี่ล่อกับอูฐจึงรีบเร่งขับไปตามพระบัญชาของกษัตริย์ และกฤษฎีกานั้นออกในสุสาปราสาท
สดด 66.12 พระองค์ทรงให้คนขับรถรบทับศีรษะของข้าพระองค์ทั้งหลาย ข้าพระองค์ทั้งหลายต้องลุยไฟลุยน้ำ แต่พระองค์ยังทรงนำข้าพระองค์มาสู่ที่อิ่มเอิบ
สดด 68.2 ควันถูกขับไปฉันใด ก็ขอทรงไล่เขาไปฉันนั้น ขี้ผึ้งละลายต่อหน้าไฟฉันใด ก็ขอให้คนชั่วพินาศต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าฉันนั้น
สดด 78.55 พระองค์ทรงขับประชาชาติต่างๆออกไปข้างหน้าเขา พระองค์ทรงวัดแบ่งแดนประชาชาตินั้นให้เป็นมรดก และทรงตั้งบรรดาตระกูลอิสราเอลไว้ในเต็นท์ของเขา
สภษ 20.26 กษัตริย์ที่ฉลาดย่อมฝัดคนชั่วร้าย แล้วทรงขับกงจักรทับเขา
สภษ 22.10 จงขับคนมักเยาะเย้ยออกไปเสีย แล้วการวิวาทจะหมดไป เออ การวิวาทและการดูแคลนจะหยุดลง
สภษ 22.15 ความโง่ถูกผูกมัดอยู่ในใจของเด็ก แต่ไม้เรียวที่ตีสอนก็ขับมันให้ห่างไปจากเขา
อสย 22.11 ท่านทำที่ขับน้ำไว้ระหว่างกำแพงทั้งสองเพื่อรับน้ำของสระเก่า แต่ท่านมิได้มองดูผู้ที่ได้ทรงบันดาลเหตุ และมิได้เอาใจใส่ผู้ทรงวางแผนงานนี้ไว้นานมาแล้ว
อสย 28.28 คนใดบดข้าวที่ทำขนมปังหรือ เปล่าเลย เขาไม่นวดมันเป็นนิตย์ เมื่อเขาขับล้อเกวียนเทียมม้าทับมันแล้ว เขามิได้บดมันด้วยคนขี่ม้า
ยรม 46.28 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า โอ ยาโคบผู้รับใช้ของเราเอ๋ย อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า เราจะกระทำให้บรรดาประชาชาติทั้งสิ้นมาถึงซึ่งอวสาน คือประชาชาติที่เราได้ขับเจ้าให้ไปอยู่นั้น แต่ส่วนเจ้าเราจะไม่กระทำให้ถึงอวสานทีเดียว เราจะตีสอนเจ้าตามขนาด เราจะไม่ปล่อยให้เจ้าไม่ถูกทำโทษเป็นอันขาด”
ยรม 50.17 อิสราเอลเป็นเหมือนแกะที่ถูกกระจัดกระจายไปแล้ว พวกสิงโตได้ขับล่าเขาไป ทีแรกกษัตริย์อัสซีเรียกินเขา ในที่สุดนี้เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้หักกระดูกของเขา
อสค 28.16 ในความอุดมสมบูรณ์แห่งการค้าของเจ้านั้น เจ้าก็เต็มด้วยการทารุณ เจ้ากระทำบาป ดังนั้น โอ เครูบผู้พิทักษ์เอ๋ย เราจะขับเจ้าออกไปจากภูเขาแห่งพระเจ้าดุจสิ่งมลทิน และเราจะกำจัดเจ้าเสียจากท่ามกลางศิลาเพลิง
ฮชย 9.15 ความชั่วของเขาทุกอย่างอยู่ในกิลกาล เราได้เกลียดชังเขา ณ ที่นั่น เราจะขับเขาออกไปจากนิเวศของเรา เพราะความชั่วร้ายแห่งการกระทำของเขา เราจะไม่รักเขาอีกเลย เจ้านายทั้งสิ้นของเขาก็ล้วนแต่คนกบฏ
อบด 1.7 พันธมิตรทั้งสิ้นของเจ้าได้ขับเจ้าไปถึงพรมแดน สหมิตรของเจ้าได้ล่อลวงเจ้า เขากลับสู้ชนะเจ้าเสียแล้ว มิตรที่กินข้าวหม้อเดียวกับเจ้าก็วางกับดักเจ้า เรื่องนี้ไม่มีใครเข้าใจอะไรเสียเลย
ยนา 1.4 แต่พระเยโฮวาห์ทรงขับกระแสลมใหญ่ขึ้นเหนือทะเล จึงเกิดพายุใหญ่ในทะเลนั้น จนน่ากลัวกำปั่นจะอับปาง
มธ 7.22 เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนเป็นอันมากร้องแก่เราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้พยากรณ์ในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้กระทำการมหัศจรรย์เป็นอันมากในพระนามของพระองค์มิใช่หรือ’
มธ 8.16 พอค่ำลง เขาพาคนเป็นอันมากที่มีผีเข้าสิงมาหาพระองค์ พระองค์ก็ทรงขับผีออกด้วยพระดำรัสของพระองค์ และบรรดาคนเจ็บป่วยนั้น พระองค์ก็ได้ทรงรักษาให้หาย
มธ 8.31 ผีเหล่านั้นได้อ้อนวอนพระองค์ว่า “ถ้าท่านขับพวกเราออก ก็ขอให้เข้าอยู่ในฝูงสุกรนั้นเถิด”
มธ 9.25 แต่เมื่อทรงขับฝูงคนออกไปแล้ว พระองค์ได้เสด็จเข้าไปจับมือเด็กหญิง และเด็กหญิงนั้นก็ลุกขึ้น
มธ 9.33 เมื่อทรงขับผีออกแล้วคนใบ้นั้นก็พูดได้ หมู่คนก็อัศจรรย์ใจพูดกันว่า “ไม่เคยเห็นการกระทำเช่นนี้ในอิสราเอลเลย”
มธ 9.34 แต่พวกฟาริสีกล่าวว่า “คนนี้ขับผีออกด้วยฤทธิ์ของนายผี”
มธ 10.1 เมื่อพระองค์ทรงเรียกสาวกสิบสองคนของพระองค์มาแล้ว พระองค์ก็ประทานอำนาจให้เขาขับผีโสโครกออกได้ และให้รักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกอย่างให้หายได้
มธ 10.8 จงรักษาคนเจ็บป่วยให้หาย คนโรคเรื้อนให้หายสะอาด คนตายแล้วให้ฟื้น และจงขับผีให้ออก ท่านทั้งหลายได้รับเปล่าๆ ก็จงให้เปล่าๆ
มธ 12.24 แต่พวกฟาริสีเมื่อได้ยินดังนั้นก็พูดกันว่า “ผู้นี้ขับผีออกได้ก็เพราะใช้อำนาจเบเอลเซบูลผู้เป็นนายผีนั้น”
มธ 12.26 และถ้าซาตานขับซาตานออกมันก็แตกแยกกันในตัวมันเอง แล้วอาณาจักรของมันจะตั้งอยู่อย่างไรได้
มธ 12.27 และถ้าเราขับผีออกโดยเบเอลเซบูล พวกพ้องของท่านทั้งหลายขับมันออกโดยอำนาจของใครเล่า เหตุฉะนั้นพวกพ้องของท่านเองจะเป็นผู้ตัดสินกล่าวโทษพวกท่าน
มธ 12.28 แต่ถ้าเราขับผีออกด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า อาณาจักรของพระเจ้าก็มาถึงท่านแล้ว
มธ 17.19 ภายหลังเหล่าสาวกมาหาพระเยซูเป็นส่วนตัวทูลถามว่า “เหตุไฉนพวกข้าพระองค์ขับผีนั้นออกไม่ได้”
มก 1.34 พระองค์จึงทรงรักษาคนเป็นโรคต่างๆให้หายหลายคน และได้ทรงขับผีออกเสียหลายผี แต่ผีเหล่านั้นพระองค์ทรงห้ามมิให้พูด เพราะว่ามันรู้จักพระองค์
มก 1.39 พระองค์ได้ประกาศในธรรมศาลาของเขาทั่วแคว้นกาลิลี และได้ขับผีออกเสียหลายผี
มก 3.15 และให้มีอำนาจรักษาโรคต่างๆและขับผีออกได้
มก 3.22 พวกธรรมาจารย์ซึ่งได้ลงมาจากกรุงเยรูซาเล็มได้กล่าวว่า “ผู้นี้มีเบเอลเซบูลสิง” และ “ที่เขาขับผีออกได้ก็เพราะใช้อำนาจนายผีนั้น”
มก 3.23 ฝ่ายพระองค์จึงเรียกคนเหล่านั้นมาตรัสแก่เขาเป็นคำอุปมาว่า “ซาตานจะขับซาตานให้ออกอย่างไรได้
มก 5.40 เขาก็พากันหัวเราะเยาะพระองค์ แต่เมื่อพระองค์ขับคนทั้งหลายออกไปแล้ว จึงนำบิดามารดาของเด็กหญิงนั้นและสาวกสามคนที่อยู่กับพระองค์ เข้าไปในที่ที่เด็กหญิงนอนอยู่
มก 6.7 พระองค์ทรงเรียกสาวกสิบสองคนมา แล้วทรงเริ่มใช้เขาให้ออกไปเป็นคู่ๆ ทรงประทานอำนาจให้เขาขับผีโสโครกออกได้
มก 6.13 เขาได้ขับผีให้ออกเสียหลายผี และได้เอาน้ำมันชโลมคนเจ็บป่วยหลายคนให้หายโรค
มก 7.26 ผู้หญิงนั้นเป็นชาวกรีก ชาติซีเรียฟีนิเซีย และนางทูลอ้อนวอนขอพระองค์ให้ขับผีออกจากลูกสาวของตน
มก 9.18 ผีพาเขาไปที่ไหนๆก็ทำให้ล้มชักดิ้นไป มีอาการน้ำลายฟูมปากและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วก็อ่อนระโหย ข้าพระองค์ได้ขอเหล่าสาวกของพระองค์ให้ขับผีนั้นออกเสีย แต่เขาขับให้ออกไม่ได้”
มก 9.28 เมื่อพระองค์เสด็จเข้าในเรือนแล้ว เหล่าสาวกของพระองค์มาทูลถามพระองค์เป็นส่วนตัวว่า “เหตุไฉนพวกข้าพระองค์ขับผีนั้นออกไม่ได้”
มก 9.29 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “ผีอย่างนี้จะขับให้ออกไม่ได้เลย เว้นแต่โดยการอธิษฐานและการอดอาหาร”
มก 9.38 ยอห์นจึงทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์ได้เห็นคนหนึ่งขับผีออกโดยพระนามของพระองค์ ซึ่งคนนั้นมิได้ตามพวกเรามา และพวกข้าพระองค์ได้ห้ามเขา เพราะเขามิได้ตามพวกเรามา”
มก 16.9 ครั้นรุ่งเช้าวันต้นสัปดาห์ เมื่อพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาแล้ว พระองค์ทรงสำแดงพระองค์ให้ปรากฏแก่มารีย์ชาวมักดาลาก่อน คือมารีย์คนที่พระองค์ได้ขับผีออกเจ็ดผี
มก 16.17 มีคนเชื่อที่ไหน หมายสำคัญเหล่านี้จะบังเกิดขึ้นที่นั้น คือเขาจะขับผีออกโดยนามของเรา เขาจะพูดภาษาใหม่หลายภาษา
ลก 8.2 พร้อมกับผู้หญิงบางคนที่มีวิญญาณชั่วออกจากนางและที่หายโรคต่างๆ คือมารีย์ที่เรียกว่าชาวมักดาลา ที่ได้ทรงขับผีออกจากนางเจ็ดผี
ลก 9.40 ข้าพเจ้าได้ขอเหล่าสาวกของพระองค์ให้ขับมันออกเสีย แต่เขากระทำไม่ได้”
ลก 9.49 ฝ่ายยอห์นทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์เห็นผู้หนึ่งขับผีออกในพระนามของพระองค์ และข้าพระองค์ได้ห้ามเขาเสีย เพราะเขาไม่ตามพวกเรามา”
ลก 11.14 พระองค์ทรงขับผีใบ้อยู่ และต่อมาเมื่อผีออกแล้ว คนใบ้จึงพูดได้ และประชาชนก็ประหลาดใจ
ลก 11.15 แต่บางคนในพวกเขาพูดว่า “คนนี้ขับผีออกได้โดยใช้อำนาจของเบเอลเซบูลนายผีนั้น”
ลก 11.18 และถ้าซาตานแก่งแย่งกันระหว่างมันเอง อาณาจักรของมันจะตั้งอยู่อย่างไรได้ เพราะท่านทั้งหลายว่าเราขับผีออกโดยเบเอลเซบูล
ลก 11.19 ถ้าเราขับผีออกโดยเบเอลเซบูลนั้น พวกพ้องของท่านทั้งหลายขับมันออกโดยอำนาจของใครเล่า เหตุฉะนั้นพวกพ้องของท่านเองจะเป็นผู้ตัดสินกล่าวโทษพวกท่าน
ลก 11.20 แต่ถ้าเราขับผีออกด้วยนิ้วพระหัตถ์ของพระเจ้า อาณาจักรของพระเจ้าก็มาถึงท่านแล้ว
ลก 13.32 พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า “จงไปบอกสุนัขจิ้งจอกนั้นว่า ‘ดูเถิด เราขับผีออกและรักษาโรคในวันนี้และพรุ่งนี้ แล้ววันที่สามเราจะทำการให้สำเร็จ’
กจ 19.13 แต่พวกยิวบางคนที่เที่ยวไปเป็นหมอผีพยายามใช้พระนามของพระเยซูเจ้าขับวิญญาณชั่วว่า “เราสั่งเจ้าโดยพระเยซูซึ่งเปาโลได้ประกาศนั้น”

ขับขี่ ( 1 )
กดว 22.30 ลาก็พูดกับบาลาอัมว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่ลาของท่านที่ท่านขับขี่อยู่ทุกวันตลอดชีวิตจนบัดนี้ดอกหรือ ข้าพเจ้าได้เคยกระทำเช่นนี้แก่ท่านหรือ” บาลาอัมก็บอกว่า “ไม่เคย”

ขับเซเอล ( 3 )
ยชว 15.21 หัวเมืองที่เป็นของตระกูลคนยูดาห์ ซึ่งอยู่ทางทิศใต้สุดทางพรมแดนเอโดม คือเมืองขับเซเอล เอเดอร์ และยากูร
2ซมอ 23.20 เบไนยาห์บุตรชายเยโฮยาดา เป็นบุตรชายของคนแข็งกล้าแห่งเมืองขับเซเอล เป็นคนประกอบมหกิจ ท่านได้ฆ่าคนดุจสิงโตของโมอับเสียสองคน ท่านได้ลงไปฆ่าสิงโตที่ในบ่อในวันที่หิมะตกด้วย
1พศด 11.22 และเบไนยาห์บุตรชายเยโฮยาดา เป็นบุตรชายของคนเก่งกล้าแห่งเมืองขับเซเอล เป็นคนประกอบมหกิจ เขาได้ฆ่าคนดุจสิงโตของโมอับเสียสองคน เขาลงไปฆ่าสิงโตที่ในบ่อในวันที่หิมะตกด้วย

ขับดัน ( 1 )
วนฉ 1.34 คนอาโมไรต์ได้ขับดันคนดานให้กลับเข้าไปในแดนเทือกเขา ไม่ยอมให้ลงมายังหุบเขา

ขับร้อง ( 1 )
1ซมอ 18.7 และเมื่อพวกผู้หญิงเต้นรำรื่นเริงกันอยู่นั้นก็ขับร้องรับกันว่า “ซาอูลฆ่าคนเป็นพันๆ และดาวิดฆ่าคนเป็นหมื่นๆ”

ขับไล่ ( 144 )
ปฐก 4.14 ดูเถิด วันนี้พระองค์ได้ทรงขับไล่ข้าพระองค์จากพื้นแผ่นดินโลก ข้าพระองค์จะถูกซ่อนไว้จากพระพักตร์ของพระองค์ และข้าพระองค์จะพเนจรร่อนเร่ไปมาในโลก จากนั้นทุกคนที่พบข้าพระองค์จะฆ่าข้าพระองค์เสีย”
ปฐก 26.27 อิสอัคทูลถามเขาทั้งหลายว่า “ไฉนท่านจึงมาหาข้าพเจ้าเมื่อท่านเกลียดชังข้าพเจ้าและขับไล่ข้าพเจ้าไปจากท่าน”
อพย 10.11 อนุญาตไม่ได้ จงพาเฉพาะแต่ผู้ชายไปปรนนิบัติพระเยโฮวาห์ เพราะเจ้าปรารถนาเช่นนี้เท่านั้น” แล้วโมเสสกับอาโรนก็ถูกขับไล่ออกไปเสียจากพระพักตร์ของฟาโรห์
อพย 11.1 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “เราจะนำภัยพิบัติมาสู่ฟาโรห์และอียิปต์อีกอย่างเดียว หลังจากนั้นเขาจะปล่อยพวกเจ้าไปจากที่นี่ เมื่อเขาให้พวกเจ้าไปคราวนี้ เขาจะขับไล่พวกเจ้าออกไปทีเดียว
อพย 23.28 เราจะใช้ให้ฝูงต่อล่วงหน้าไปก่อนพวกเจ้า จะขับไล่คนฮีไวต์ คนคานาอัน คนฮิตไทต์ไปให้พ้นหน้าพวกเจ้า
อพย 34.24 เพราะเราจะขับไล่ชนชาติทั้งหลายออกไปให้พ้นหน้าพวกเจ้าและจะขยายเขตแดนเมืองของเจ้าให้กว้างออกไป เมื่อพวกเจ้าจะขึ้นไปเฝ้าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าปีละสามครั้งนั้น จะไม่มีใครอยากได้แผ่นดินของเจ้าเลย
ลนต 26.7 เจ้าจะขับไล่ศัตรูของเจ้า และเขาทั้งหลายจะล้มลงต่อหน้าเจ้าด้วยดาบ
ลนต 26.8 พวกเจ้าห้าคนจะขับไล่ศัตรูร้อยคนและพวกเจ้าร้อยคนจะขับไล่ศัตรูหมื่นคนให้กระจัดกระจายไป และศัตรูของเจ้าจะล้มลงด้วยดาบต่อหน้าเจ้า
กดว 14.45 แล้วคนอามาเลขและคนคานาอันที่อยู่บนเนินเขานั้นได้ลงมาขับไล่เขาให้พ่ายแพ้จนไปถึงตำบลโฮรมาห์
กดว 21.32 และโมเสสใช้คนไปสอดแนมเมืองยาเซอร์ และเขาทั้งหลายได้ยึดชนบทของเมืองนั้น และขับไล่คนอาโมไรต์ที่อยู่ที่นั่นเสีย
กดว 22.6 ฉะนั้น ขอเชิญมาเถิด บัดนี้ขอสาปแช่งชนชาตินี้ให้แก่ข้าพเจ้า เพราะเขาเข้มแข็งกว่าข้าพเจ้ามาก ชะรอยข้าพเจ้าจะสามารถรบชนะเขาและขับไล่เขาออกไปจากแผ่นดินได้ เพราะข้าพเจ้าทราบอยู่ว่า ถ้าท่านอวยพรแก่ผู้ใด ผู้นั้นจะเป็นไปตามพรนั้น และท่านสาปแช่งผู้ใด ผู้นั้นก็ถูกสาปแช่ง”
กดว 22.11 ‘ดูเถิด ชนชาติหนึ่งออกจากอียิปต์มาแผ่คลุมพื้นแผ่นดินโลก ขอเชิญมาเถิด ขอสาปแช่งเขาทั้งหลายให้แก่ข้าพเจ้า ชะรอยข้าพเจ้าจะรบชนะเขาและขับไล่เขาออกไปได้’”
กดว 32.21 และคนของท่านที่ถืออาวุธทุกคนจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ จนกว่าพระองค์จะทรงขับไล่ศัตรูให้พ้นพระองค์
กดว 32.39 และคนมรคีร์บุตรชายมนัสเสห์เข้าไปยึดเมืองกิเลอาด และขับไล่พวกอาโมไรต์ซึ่งอยู่ในเมืองนั้น
กดว 33.52 เจ้าจงขับไล่ชาวเมืองนั้นออกเสียทั้งหมดให้พ้นหน้าเจ้า และทำลายศิลารูปแกะสลักของเขาเสียให้สิ้น และทำลายรูปเคารพที่หล่อของเขาเสียให้สิ้น และทำลายบรรดาปูชนียสถานสูงของเขาเสีย
กดว 33.55 แต่ถ้าเจ้าทั้งหลายมิได้ขับไล่ชาวเมืองนั้นออกเสียให้พ้นหน้าเจ้า ต่อมาผู้ที่เจ้าให้เหลืออยู่นั้นก็จะเป็นอย่างเสี้ยนในนัยน์ตาของเจ้า และเป็นอย่างหนามอยู่ที่สีข้างของเจ้า และเขาทั้งหลายจะรบกวนเจ้าในแผ่นดินที่เจ้าเข้าอาศัยอยู่นั้น
พบญ 4.27 และพระเยโฮวาห์จะทรงกระทำให้ท่านทั้งหลายกระจัดกระจายไปอยู่ท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย และท่านทั้งหลายจะเหลือจำนวนน้อยในท่ามกลางประชาชาติซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงขับไล่ให้ท่านเข้าไปอยู่นั้น
พบญ 4.38 ทรงขับไล่ประชาชาติที่ใหญ่กว่าและมีกำลังมากกว่าพวกท่านเสียให้พ้นหน้าท่าน และนำท่านเข้ามา และทรงประทานแผ่นดินของเขาให้แก่ท่านเป็นมรดกดังทุกวันนี้
พบญ 6.19 โดยขับไล่ศัตรูทั้งสิ้นของท่านออกไปให้พ้นหน้าพวกท่าน ดังที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาไว้
พบญ 7.17 ถ้าท่านทั้งหลายจะนึกในใจว่า ‘ประชาชาติเหล่านี้โตกว่าเรา เราจะขับไล่เขาอย่างไรได้’
พบญ 9.3 วันนี้ท่านทั้งหลายจงเข้าใจเถอะว่า ผู้ที่ไปข้างหน้าท่านนั้นคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน พระองค์จะทรงทำลายเขาดังเพลิงเผาผลาญและทรงกระทำให้เขาพ่ายแพ้ต่อหน้าท่าน ดังนั้นท่านจะได้ขับไล่เขาออกไป กระทำให้เขาพินาศโดยเร็ว ดังที่พระเยโฮวาห์ทรงตรัสไว้กับท่านทั้งหลายแล้วนั้น
พบญ 9.4 เมื่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านได้ขับไล่เขาออกไปต่อหน้าท่านทั้งหลายแล้ว ท่านทั้งหลายอย่านึกในใจว่า ‘เพราะความชอบธรรมของข้าพระเยโฮวาห์จึงทรงนำข้ามาให้ยึดครองแผ่นดินนี้’ แต่เพราะความชั่วของประชาชาติเหล่านี้ พระเยโฮวาห์จึงทรงขับไล่เขาออกไปต่อหน้าท่าน
พบญ 9.5 ซึ่งท่านทั้งหลายกำลังเข้าไปยึดครองแผ่นดินนี้นั้น มิใช่เพราะความชอบธรรมของท่านหรือความสัตย์ธรรมในใจของท่าน แต่เป็นเพราะความชั่วของประชาชาตินี้ ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านต้องขับไล่เขาออกเสียต่อหน้าท่านทั้งหลาย และเพื่อว่าพระองค์จะทรงให้เป็นจริงตามพระวจนะซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงปฏิญาณต่อบรรพบุรุษของท่าน คือต่ออับราฮัม ต่ออิสอัค และต่อยาโคบ
พบญ 11.23 พระเยโฮวาห์จะทรงขับไล่บรรดาประชาชาติเหล่านี้ให้ออกไปพ้นหน้าท่านทั้งหลาย แล้วท่านจะเข้ายึดครองแผ่นดินของประชาชาติที่ใหญ่กว่าและมีกำลังมากกว่าท่าน
พบญ 18.12 เพราะทุกคนที่กระทำสิ่งเหล่านี้ย่อมเป็นที่สะอิดสะเอียนแด่พระเยโฮวาห์ และด้วยเหตุจากการกระทำที่น่าสะอิดสะเอียนเหล่านี้ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายจึงทรงขับไล่เขาออกไปจากเบื้องหน้าท่าน
พบญ 28.26 ซากศพของท่านทั้งหลายจะเป็นอาหารของนกทั้งหลายในอากาศ และสำหรับสัตว์ป่าในโลก และไม่มีผู้ใดขับไล่ฝูงสัตว์เหล่านั้นไป
พบญ 30.1 “ต่อมาเมื่อบรรดาเหตุการณ์เหล่านี้ คือพระพรและคำสาปแช่งซึ่งข้าพเจ้ากล่าวไว้ต่อหน้าท่านมาถึงท่านทั้งหลายแล้ว และท่านทั้งหลายระลึกขึ้นได้ในเมื่อท่านทั้งหลายอยู่ท่ามกลางบรรดาประชาชาติ ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงขับไล่ท่านไปนั้น
พบญ 30.4 ถ้ามีคนของท่านที่ถูกขับไล่ไปอยู่สุดท้ายปลายสวรรค์ จากที่นั่นพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงรวบรวมท่านให้มา จากที่นั่นพระองค์จะทรงนำท่านกลับ
ยชว 3.10 และโยชูวากล่าวว่า “โดยเหตุนี้ท่านทั้งหลายจะได้ทราบว่า พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ได้ประทับอยู่ท่ามกลางท่านทั้งหลาย และว่าพระองค์จะทรงขับไล่คนคานาอัน คนฮิตไทต์ คนฮีไวต์ คนเปริสซี คนเกอร์กาชี คนอาโมไรต์ และคนเยบุสให้พ้นหน้าท่านทั้งหลายอย่างแน่นอน
ยชว 7.5 ฝ่ายชาวเมืองอัยก็ฆ่าฟันคนเหล่านั้นตายประมาณสามสิบหกคน โดยขับไล่คนเหล่านั้นจากตรงหน้าประตูเมืองไปยังเชบาริมฟันเขาตามทางลง และจิตใจของประชาชนก็ละลายไปอย่างน้ำ
ยชว 13.6 ชาวแดนเทือกเขาทั้งหมดจากเลบานอนจนถึงมิสเรโฟทมาอิม และคนไซดอนทั้งหมด เราจะขับไล่เขาทั้งหลายออกไปให้พ้นหน้าคนอิสราเอลเอง เพียงแต่เจ้าจงจับสลากแบ่งดินแดนเหล่านั้นให้เป็นมรดกแก่อิสราเอล ดังที่เราบัญชาเจ้าไว้
ยชว 13.12 ตลอดราชอาณาจักรของโอกในบาชาน ผู้ครอบครองอยู่ในอัชทาโรทและในเอเดรอี ท่านเป็นพวกมนุษย์ยักษ์ที่เหลืออยู่ เมืองเหล่านี้โมเสสรบชนะ และได้ขับไล่ให้ออกไป
ยชว 13.13 แต่คนอิสราเอลยังหาได้ขับไล่คนเกชูร์หรือคนมาอาคาห์ให้ออกไปไม่ แต่คนเกชูร์กับคนมาอาคาห์ยังอาศัยอยู่ในหมู่คนอิสราเอลจนทุกวันนี้
ยชว 14.12 ฉะนั้นบัดนี้ขอมอบแดนเทือกเขานี้ ซึ่งพระเยโฮวาห์ตรัสในวันนั้นให้แก่ข้าพเจ้า เพราะท่านได้ยินในวันนั้นแล้วว่าคนอานาคอยู่ที่นั่น มีหัวเมืองใหญ่ที่มีกำแพงล้อมอย่างเข้มแข็ง ชะรอยพระเยโฮวาห์จะทรงสถิตกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะขับไล่เขาออกไปได้ ดังที่พระเยโฮวาห์ตรัสไว้แล้ว”
ยชว 15.14 และคาเลบได้ขับไล่บุตรชายทั้งสามของอานาคออกจากที่นั่น คือเชชัย อาหิมานและทัลมัย ผู้เป็นบุตรของอานาค
ยชว 15.63 แต่คนเยบุสซึ่งเป็นชาวเมืองเยรูซาเล็มนั้น ประชาชนยูดาห์หาได้ขับไล่ไปไม่ ดังนั้นแหละคนเยบุสจึงอาศัยอยู่กับประชาชนยูดาห์ที่เมืองเยรูซาเล็มจนถึงทุกวันนี้
ยชว 16.10 ถึงอย่างไรก็ตามเขาหาได้ขับไล่คนคานาอันซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองเกเซอร์ให้ออกไปไม่ ดังนั้นคนคานาอันจึงอาศัยอยู่ในหมู่คนเอฟราอิมถึงทุกวันนี้ แต่ก็ตกเป็นทาสถูกเกณฑ์ให้ทำงานโยธา
ยชว 17.12 แต่คนมนัสเสห์ยังขับไล่ชาวเมืองเหล่านั้นไม่ได้ ด้วยคนคานาอันยังขืนอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น
ยชว 17.13 ต่อมาเมื่อคนอิสราเอลเข้มแข็งขึ้นแล้ว ก็ได้เกณฑ์คนคานาอันให้ทำงานโยธา และมิได้ขับไล่ให้เขาออกไปเสียทีเดียว
ยชว 17.18 แดนเทือกเขาเหล่านั้นจะเป็นของพวกท่าน ถึงแม้ว่าเป็นป่าดอนท่านจงแผ้วถางและยึดครองไปจนสุดเขตเถิด แม้ว่าคนคานาอันจะมีรถรบทำด้วยเหล็กและเป็นคนเข้มแข็ง ท่านทั้งหลายก็จะขับไล่เขาออกไปได้”
ยชว 23.5 พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงผลักดันเขาออกไปให้พ้นหน้าท่าน และทรงขับไล่เขาให้ออกไปพ้นสายตาของท่าน และท่านจะได้ยึดครองแผ่นดินของเขา ดังที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงสัญญาไว้ต่อท่าน
ยชว 23.9 เพราะว่าพระเยโฮวาห์ทรงขับไล่ประชาชาติที่ใหญ่โตและแข็งแรงออกไปให้พ้นหน้าท่าน ส่วนท่านเองก็ยังไม่มีผู้ใดต่อต้านท่านได้จนถึงวันนี้
ยชว 23.10 พวกท่านคนเดียวจะขับไล่หนึ่งพันคนให้หนีไป เพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านต่อสู้เพื่อท่านดังที่พระองค์ทรงสัญญาไว้
ยชว 23.13 ท่านจงทราบเป็นแน่เถิดว่า พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะไม่ทรงขับไล่ประชาชาติเหล่านี้ออกไปให้พ้นหน้าท่าน แต่เขาจะเป็นบ่วงและเป็นกับดักท่าน เป็นหอกข้างแคร่เป็นหนามยอกตา จนกว่าท่านจะพินาศไปจากแผ่นดินที่ดีนี้ ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน
ยชว 24.12 และเราได้ใช้ตัวต่อไปข้างหน้าเจ้าทั้งหลาย ซึ่งขับไล่กษัตริย์ทั้งสองของชาวอาโมไรต์ไปเสียให้พ้นหน้าเจ้า ไม่ใช่ด้วยดาบหรือด้วยธนูของเจ้า
ยชว 24.18 และพระเยโฮวาห์ทรงขับไล่ชนชาติทั้งหลายออกไปให้พ้นหน้าข้าพเจ้า คือคนอาโมไรต์ผู้ซึ่งอยู่ในแผ่นดินนั้น เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าทั้งหลายจะปรนนิบัติพระเยโฮวาห์ด้วย เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย”
วนฉ 1.19 และพระเยโฮวาห์ทรงสถิตกับยูดาห์ เขาจึงขับไล่ชาวแดนเทือกเขาออกไป แต่จะขับไล่ชาวเมืองที่อยู่ในหุบเขานั้นไม่ได้ เพราะพวกเหล่านั้นมีรถรบเหล็ก
วนฉ 1.20 เมืองเฮโบรนนั้นเขายกให้คาเลบดังที่โมเสสได้กล่าวไว้ คาเลบจึงขับไล่บุตรชายทั้งสามคนของอานาคออกไปเสีย
วนฉ 1.21 แต่คนเบนยามินมิได้ขับไล่คนเยบุสผู้อยู่ในเยรูซาเล็มให้ออกไป ดังนั้นคนเยบุสจึงอาศัยอยู่กับคนเบนยามินในเยรูซาเล็มจนถึงทุกวันนี้
วนฉ 1.27 มนัสเสห์มิได้ขับไล่ชาวเมืองเบธชานและชาวชนบทของเมืองนั้นให้ออกไป หรือชาวเมืองทาอานาคกับชาวชนบทของเมืองนั้น หรือชาวเมืองโดร์กับชาวชนบทของเมืองนั้น หรือชาวเมืองอิบเลอัมกับชาวชนบทของเมืองนั้น หรือชาวเมืองเมกิดโดกับชาวชนบทของเมืองนั้น แต่คนคานาอันยังขืนอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น
วนฉ 1.28 อยู่มาเมื่อคนอิสราเอลมีกำลังเข้มแข็งขึ้นก็บังคับคนคานาอันให้ทำงานโยธา แต่มิได้ขับไล่ให้เขาออกไปเสียอย่างสิ้นเชิง
วนฉ 1.29 และเอฟราอิมมิได้ขับไล่คนคานาอันผู้อาศัยอยู่ในเมืองเกเซอร์ให้ออกไป แต่คนคานาอันยังอาศัยอยู่ในเมืองเกเซอร์ท่ามกลางเขา
วนฉ 1.30 เศบูลุนมิได้ขับไล่ชาวเมืองคิทโรน หรือชาวเมืองนาหะโลล แต่คนคานาอันได้อาศัยอยู่ท่ามกลางเขาและถูกเกณฑ์ให้ทำงานโยธา
วนฉ 1.31 อาเชอร์มิได้ขับไล่ชาวเมืองอัคโค หรือชาวเมืองไซดอน หรือชาวเมืองอัคลาบ หรือชาวเมืองอัคซิบ หรือชาวเมืองเฮลบาห์ หรือชาวเมืองอาฟิก หรือชาวเมืองเรโหบ
วนฉ 1.32 แต่คนอาเชอร์ได้อาศัยอยู่ท่ามกลางคนคานาอันชาวแผ่นดินนั้น เพราะว่าเขาทั้งหลายมิได้ขับไล่ให้ออกไปเสีย
วนฉ 1.33 นัฟทาลีมิได้ขับไล่ชาวเมืองเบธเชเมช หรือชาวเมืองเบธานาท แต่อาศัยอยู่ในหมู่คนคานาอันชาวแผ่นดินนั้น แต่อย่างไรก็ดีชาวเมืองเบธเชเมช และชาวเมืองเบธานาทก็ถูกเกณฑ์ให้ทำงานโยธา
วนฉ 2.3 ฉะนั้นเรากล่าวด้วยว่า ‘เราจะไม่ขับไล่เขาเหล่านั้นออกไปให้พ้นหน้าเจ้า แต่เขาจะเป็นเช่นหนามอยู่ที่สีข้างของเจ้า และพระของเขาจะเป็นบ่วงดักเจ้า’”
วนฉ 2.21 ดังนั้นตั้งแต่นี้ต่อไปเราจะไม่ขับไล่ประชาชาติใดในบรรดาประชาชาติซึ่งโยชูวาทิ้งไว้เมื่อเขาสิ้นชีวิตนั้นให้พ้นหน้า
วนฉ 2.23 ดังนั้นพระเยโฮวาห์ทรงปล่อยประชาชาติเหล่านั้นไว้ ไม่ทรงขับไล่ให้ออกไปเสียโดยเร็ว และพระองค์มิได้ทรงมอบเขาทั้งหลายไว้ในมือของโยชูวา
วนฉ 6.9 และเราได้ช่วยเจ้าให้พ้นจากเงื้อมมือของชาวอียิปต์ และให้พ้นจากมือของบรรดาผู้ที่บีบบังคับเจ้า และขับไล่เขาให้ออกไปเสียให้พ้นหน้าเจ้า และมอบแผ่นดินของเขาให้แก่เจ้า
วนฉ 9.40 อาบีเมเลคก็ขับไล่กาอัลหนีไป มีคนถูกบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก จนถึงทางเข้าประตูเมือง
วนฉ 9.41 ฝ่ายอาบีเมเลคก็อาศัยอยู่ที่อารูมาห์ และเศบุลก็ขับไล่กาอัลกับญาติของเขาออกไปไม่ให้อยู่ที่เชเคมต่อไป
วนฉ 11.7 แต่เยฟธาห์กล่าวแก่พวกผู้ใหญ่ของกิเลอาดว่า “ท่านไม่ได้เกลียดข้าพเจ้า และขับไล่ข้าพเจ้าเสียจากครอบครัวบิดาของข้าพเจ้าดอกหรือ เมื่อคราวทุกข์ยากท่านจะมาหาข้าพเจ้าทำไมเล่า”
วนฉ 11.23 ดังนั้นพระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลจึงขับไล่คนอาโมไรต์ออกเสียต่อหน้าอิสราเอลประชาชนของพระองค์ ฝ่ายท่านจะมาถือเอาเป็นกรรมสิทธิ์เช่นนั้นหรือ
วนฉ 11.24 ท่านไม่ถือกรรมสิทธิ์สิ่งซึ่งพระเคโมชพระของท่านมอบให้ท่านยึดครองดอกหรือ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราขับไล่ผู้ใดไปให้พ้นหน้าเรา เราก็ยึดครองที่ของผู้นั้น
วนฉ 20.43 เขาทั้งหลายล้อมคนเบนยามิน และขับไล่เขาไปและชนะเขาอย่างง่าย จนไปถึงที่ตรงข้ามเมืองกิเบอาห์ทางดวงอาทิตย์ขึ้น
1ซมอ 26.19 เพราะฉะนั้นบัดนี้ขอกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ทรงฟังเสียงผู้รับใช้ของพระองค์ ถ้าพระเยโฮวาห์ทรงปลุกปั่นพระองค์ให้ต่อสู้ข้าพระองค์ ขอพระเยโฮวาห์ให้ได้รับเครื่องถวาย แต่ถ้าเป็นบุตรทั้งหลายของมนุษย์ยุก็ขอให้คนนั้นเป็นที่สาปแช่งต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ เพราะเขาได้ขับไล่ข้าพระองค์ออกไปในวันนี้มิให้ได้ส่วนมรดกของพระเยโฮวาห์ โดยกล่าวว่า ‘จงไปปรนนิบัติพระอื่น’
2ซมอ 11.23 ผู้สื่อสารนั้นกราบทูลดาวิดว่า “ข้าศึกได้เปรียบต่อเรามาก และได้ออกมาสู้รบกับฝ่ายเราที่กลางทุ่ง แต่เราได้ขับไล่เขาเข้าไปถึงทางเข้าประตูเมือง
2ซมอ 13.16 แต่เธอตอบท่านว่า “อย่าเลยพระเชษฐา ที่จะขับไล่หม่อมฉันไปครั้งนี้นั้นก็เป็นความผิดใหญ่ยิ่งกว่าที่พระเชษฐาได้ทำกับน้องมาแล้ว” แต่ท่านหาได้เชื่อฟังเธอไม่
1พกษ 2.27 ซาโลมอนจึงทรงขับไล่อาบียาธาร์เสียจากหน้าที่ปุโรหิตของพระเยโฮวาห์ กระทำให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเยโฮวาห์ซึ่งพระองค์ตรัสเกี่ยวกับวงศ์วานของเอลีที่เมืองชีโลห์
1พกษ 14.24 และมีกะเทยในแผ่นดินนั้นด้วย และเขาได้กระทำตามบรรดาสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนของประชาชาติทั้งหลาย ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงขับไล่ออกไปให้พ้นหน้าประชาชนอิสราเอล
1พกษ 21.26 พระองค์ทรงประพฤติอย่างน่าสะอิดสะเอียนเป็นอย่างยิ่งในการดำเนินตามรูปเคารพ ดังสิ่งทั้งปวงที่คนอาโมไรต์ได้กระทำ ซึ่งเป็นผู้ที่พระเยโฮวาห์ทรงขับไล่ออกไปให้พ้นหน้าประชาชนอิสราเอล
2พกษ 16.3 แต่พระองค์ทรงดำเนินตามทางของกษัตริย์ทั้งหลายแห่งอิสราเอล และถวายโอรสของพระองค์ให้ลุยไฟ ตามการกระทำอันน่าสะอิดสะเอียนของประชาชาติ ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงขับไล่ออกไปจากเบื้องหน้าประชาชนอิสราเอล
2พกษ 16.6 คราวนั้นเรซีนกษัตริย์แห่งซีเรียได้เข้ายึดเมืองเอลัทคืนให้ซีเรีย และทรงขับไล่พวกยิวเสียจากเอลัท และคนซีเรียมาที่เอลัท และอยู่ที่นั่นจนทุกวันนี้
2พกษ 17.8 และได้ดำเนินตามกฎเกณฑ์แห่งประชาชาติทั้งหลาย ซึ่งพระเยโฮวาห์ได้ทรงขับไล่ไปเสียให้พ้นหน้าประชาชนอิสราเอล และตามกฎเกณฑ์ซึ่งกษัตริย์แห่งอิสราเอลทรงทำขึ้นมา
2พกษ 18.24 แล้วอย่างนั้นเจ้าจะขับไล่นายกองแต่เพียงคนเดียวในหมู่ข้าราชการผู้น้อยที่สุดของนายของเราอย่างไรได้ แต่เจ้ายังวางใจพึ่งอียิปต์เพื่อรถรบและเพื่อพลม้า
2พกษ 21.2 และพระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์ ตามการกระทำอันน่าสะอิดสะเอียนของประชาชาติ ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงขับไล่ออกไปให้พ้นหน้าประชาชนอิสราเอล
1พศด 8.13 และเบรียาห์ และเชมา เขาทั้งหลายเป็นหัวหน้าบรรพบุรุษของชาวเมืองอัยยาโลน ผู้ซึ่งขับไล่ชาวเมืองกัทไปเสียนั้น
1พศด 17.21 ประชาชาติอื่นใดบนแผ่นดินโลกเหมือนอิสราเอลประชาชนของพระองค์ ผู้ซึ่งพระเจ้าเสด็จไปไถ่ให้เป็นประชาชนของพระองค์ เพื่อทรงกระทำให้พระองค์มีพระนามใหญ่ยิ่งโดยสิ่งที่ใหญ่โตน่าสะพรึงกลัว ในการที่ทรงขับไล่ประชาชาติทั้งหลายให้พ้นหน้าประชาชนของพระองค์ ผู้ซึ่งพระองค์ทรงไถ่มาจากอียิปต์
2พศด 11.14 เพราะคนเลวีละทิ้งทุ่งหญ้าและที่บ้านซึ่งเขายึดถือเป็นกรรมสิทธิ์และมายังยูดาห์และเยรูซาเล็ม เพราะเยโรโบอัมและโอรสของพระองค์ได้ขับไล่เขาทั้งหลายออกจากตำแหน่งปุโรหิตของพระเยโฮวาห์
2พศด 13.9 ท่านทั้งหลายมิได้ขับไล่ปุโรหิตของพระเยโฮวาห์ ลูกหลานของอาโรน และคนเลวีออกไป และตั้งปุโรหิตสำหรับตนเองอย่างชนชาติทั้งหลายหรือ ผู้ใดที่นำวัวหนุ่มและแกะผู้เจ็ดตัวมาชำระตัวให้บริสุทธิ์ไว้ จะได้เป็นปุโรหิตของสิ่งที่ไม่ใช่พระ
2พศด 20.7 พระองค์เป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลายมิใช่หรือ ผู้ทรงขับไล่ชาวแผ่นดินนี้ออกไปเสียให้พ้นหน้าอิสราเอลประชาชนของพระองค์ และทรงมอบไว้แก่เชื้อสายของอับราฮัมมิตรสหายของพระองค์เป็นนิตย์
2พศด 28.3 ยิ่งกว่านั้นพระองค์ทรงเผาเครื่องหอมในหุบเขาบุตรชายของฮินโนม และทรงเผาโอรสทั้งหลายของพระองค์ในไฟ ตามการกระทำอันน่าสะอิดสะเอียนของประชาชาติ ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงขับไล่ออกไปให้พ้นหน้าประชาชนอิสราเอล
2พศด 33.2 พระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์ ตามการกระทำที่น่าสะอิดสะเอียนของประชาชาติ ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงขับไล่ไปเสียให้พ้นหน้าประชาชนอิสราเอล
นหม 13.28 บุตรชายคนหนึ่งของโยยาดา ผู้เป็นบุตรชายเอลียาชีบมหาปุโรหิต เป็นบุตรเขยของสันบาลลัท ชาวโฮโรนาอิม เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงขับไล่เขาไปเสียจากข้าพเจ้า
โยบ 30.5 เขาถูกขับไล่ออกไปจากท่ามกลางคน (มีคนตะโกนตามเขาไปอย่างตามโจร)
สดด 5.10 โอ ข้าแต่พระเจ้า โปรดทำลายพวกเขา และให้เขาทั้งหลายล้มลงด้วยความคิดเห็นของตนเอง เหตุการละเมิดเป็นอันมากนั้นขอทรงขับไล่เขาออกไปเนื่องจากเขาทั้งหลายได้กบฏต่อพระองค์
สดด 35.5 ขอให้เขาเป็นเหมือนแกลบต่อหน้าลม และขอให้ทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ขับไล่ตามเขาไป
สดด 36.11 ขออย่าให้เท้าของคนจองหองมาเหนือข้าพระองค์ หรือให้มือของคนชั่วขับไล่ข้าพระองค์ไปเสีย
สดด 44.2 พระองค์ทรงขับไล่บรรดาประชาชาติออกไปด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง แต่พระองค์ทรงปลูกบรรพบุรุษทั้งหลายไว้ พระองค์ทรงให้ชาติทั้งหลายทุกข์ใจ และได้ทรงขับไล่ชาติทั้งหลายนั้นออกไป
สดด 80.8 พระองค์ทรงนำเถาองุ่นออกจากอียิปต์ พระองค์ทรงขับไล่บรรดาประชาชาติออกไปและทรงปลูกเถาองุ่นไว้
สภษ 19.26 บุคคลผู้ทำทารุณแก่บิดาของเขาและขับไล่มารดาของเขาไปเสีย เป็นบุตรชายผู้ก่อให้เกิดความอับอายและการถูกตำหนิ
อสย 16.3 “จงให้คำปรึกษา จงอำนวยความยุติธรรม จงทำร่มเงาของท่านเหมือนกลางคืน ณ เวลาเที่ยงวัน จงช่วยซ่อนผู้ถูกขับไล่ อย่าหักหลังผู้ลี้ภัย
อสย 16.4 โมอับเอ๋ย จงให้ผู้ถูกขับไล่ของเราอาศัยอยู่ท่ามกลางท่าน จงเป็นที่กำบังภัยแก่เขาให้พ้นจากหน้าผู้ทำลาย เพราะผู้บีบบังคับได้สิ้นสุดแล้ว ผู้ทำลายได้หยุดยั้งแล้ว และผู้เหยียบย่ำได้ถูกเผาผลาญไปเสียจากแผ่นดินแล้ว
อสย 27.13 และอยู่มาในวันนั้นเขาจะเป่าแตรใหญ่ และบรรดาผู้ที่กำลังพินาศอยู่ในแผ่นดินอัสซีเรีย และบรรดาผู้ถูกขับไล่ออกไปยังแผ่นดินอียิปต์จะมานมัสการพระเยโฮวาห์ บนภูเขาบริสุทธิ์ที่เยรูซาเล็ม
อสย 36.9 แล้วอย่างนั้นเจ้าจะขับไล่นายกองแต่เพียงคนเดียวในหมู่ข้าราชการผู้น้อยที่สุดของนายของเราอย่างไรได้ แต่เจ้ายังวางใจพึ่งอียิปต์เพื่อรถรบและเพื่อพลม้า
ยรม 7.33 และศพของชนชาตินี้จะเป็นอาหารของนกในอากาศ และแก่สัตว์แห่งแผ่นดินโลก และไม่มีใครจะขับไล่ให้มันไปเสียได้
ยรม 8.3 บรรดาคนที่เหลืออยู่จากครอบครัวร้ายนี้ ซึ่งตกค้างอยู่ในสถานที่ทั้งสิ้นซึ่งเราได้ขับไล่เขาไป จะเลือกความตายยิ่งกว่าที่จะมีชีวิตอยู่ พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้
ยรม 16.15 แต่จะพูดว่า ‘พระเยโฮวาห์ผู้ทรงนำประชาชนอิสราเอลขึ้นมาจากแดนเหนือ และขึ้นมาจากบรรดาประเทศซึ่งพระองค์ได้ทรงขับไล่เขาให้ไปอยู่นั้น ทรงพระชนม์อยู่ฉันใด’ เพราะเราจะนำเขาทั้งหลายกลับมาสู่แผ่นดินของเขาเอง ซึ่งเราได้ยกให้บรรพบุรุษของเขาแล้วนั้น
ยรม 23.2 เพราะฉะนั้น พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสกับผู้เลี้ยงแกะผู้ดูแลประชาชนของเราดังนี้ว่า “เจ้าทั้งหลายได้กระจายฝูงแกะของเรา และได้ขับไล่มันไปเสีย และเจ้ามิได้เอาใจใส่มัน” พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “ดูเถิด เราจะลงโทษเจ้าเพราะการกระทำที่ชั่วของเจ้า
ยรม 23.3 แล้วเราจะรวบรวมฝูงแกะของเราที่เหลืออยู่ออกจากประเทศทั้งปวงซึ่งเราได้ขับไล่ให้เขาไปอยู่นั้น และจะนำเขากลับมายังคอกของเขา เขาจะมีลูกดกและทวีมากขึ้น”
ยรม 23.8 แต่จะว่า ‘พระเยโฮวาห์ทรงพระชนม์อยู่ตราบใด ผู้ซึ่งได้นำและพาเชื้อสายแห่งวงศ์วานอิสราเอลออกมาจากแดนเหนือ’ และออกมาจากประเทศทั้งปวงที่เราขับไล่ให้ไปอยู่นั้น แล้วเขาทั้งหลายจะได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินของเขาเอง”
ยรม 23.12 เพราะฉะนั้น หนทางของเขาทั้งหลายจะเป็นเหมือนทางลื่นในความมืดแก่เขา เขาจะถูกขับไล่เข้าไปและล้มลงในนั้น เพราะเราจะนำเหตุร้ายมาเหนือเขาในปีแห่งการลงโทษเขา” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ยรม 24.9 เราจะมอบเขาไว้ให้ย้ายไปอยู่ในอาณาจักรทั้งสิ้นในโลกเพื่อให้เขาเจ็บปวด ให้เป็นที่ถูกตำหนิ เป็นคำภาษิต เป็นที่ถูกเยาะเย้ย และเป็นที่ถูกสาปแช่ง ในที่ทุกแห่งซึ่งเราขับไล่เขาให้ไปอยู่นั้น
ยรม 27.10 เพราะซึ่งเขาพยากรณ์ให้ท่านนั้นเป็นความเท็จ อันยังผลให้ท่านต้องโยกย้ายไกลไปจากแผ่นดินของท่าน และเราจะขับไล่ท่านออกไป และท่านจะพินาศ
ยรม 27.15 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เราไม่ได้ใช้เขา แต่เขาพยากรณ์เท็จในนามของเรา ซึ่งยังผลให้เราต้องขับไล่เจ้าออกไปและเจ้าจะต้องพินาศ ทั้งตัวเจ้าและผู้พยากรณ์ทั้งหลายซึ่งพยากรณ์ให้แก่เจ้า”
ยรม 29.14 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เราจะให้เจ้าพบเรา และเราจะให้การเป็นเชลยของเจ้ากลับสู่สภาพดี และรวบรวมเจ้ามาจากบรรดาประชาชาติ และจากทุกที่ที่เราขับไล่เจ้าให้ไปอยู่นั้น พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ และเราจะนำเจ้ากลับมายังที่ซึ่งเราเนรเทศเจ้าให้จากไปนั้น
ยรม 29.18 เราจะข่มเหงเขาด้วยดาบ การกันดารอาหาร และโรคระบาด และจะกระทำเขาให้ย้ายไปอยู่ในราชอาณาจักรทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินโลก ให้เป็นคำสาป ให้เป็นที่น่าตกตะลึง ให้เป็นที่เย้ยหยัน เป็นที่นินทาท่ามกลางบรรดาประชาชาติซึ่งเราได้ขับไล่ให้เขาไปอยู่นั้น
ยรม 32.37 ดูเถิด เราจะรวบรวมเขามาจากประเทศทั้งปวง ซึ่งเราได้ขับไล่เขาให้ไปอยู่ด้วยความกริ้ว ด้วยความพิโรธ และความขึ้งโกรธของเรานั้น เราจะนำเขาทั้งหลายกลับมายังที่นี้ และจะกระทำให้เขาอาศัยอยู่อย่างปลอดภัย
ยรม 40.12 แล้วพวกยิวทั้งปวงก็ได้กลับมาจากทุกที่ซึ่งเขาถูกขับไล่ให้ไปอยู่นั้น และมายังแผ่นดินยูดาห์มาหาเกดาลิยาห์ที่มิสปาห์ และเขาทั้งหลายได้เก็บน้ำองุ่นและผลไม้ในฤดูร้อนได้เป็นอันมาก
ยรม 43.5 แต่โยฮานันบุตรชายคาเรอาห์และบรรดาผู้หัวหน้าของกองทหารได้พาคนยูดาห์ทุกคนที่เหลืออยู่ไป คือผู้ซึ่งกลับมาอยู่ในแผ่นดินยูดาห์ จากบรรดาประชาชาติที่เขาถูกขับไล่ให้ไปอยู่นั้น
ยรม 49.5 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า ดูเถิด เราจะนำความสยดสยองมาเหนือเจ้า จากทุกคนที่อยู่รอบตัวเจ้า และเจ้าจะถูกขับไล่ออกไป ชายทุกคนตรงหน้าเขาออกไป และจะไม่มีใครรวบรวมคนลี้ภัยได้
ยรม 49.36 และเราจะนำลมทั้งสี่ทิศจากฟ้าทั้งสี่ส่วนมาสู้เอลาม และเราจะกระจายเขาไปตามลมเหล่านั้นทั้งหมด จะไม่มีประชาชาติใดซึ่งผู้ถูกขับไล่ออกไปจากเอลามจะมาไม่ถึง
พคค 3.52 พวกที่ตั้งตนเป็นศัตรูต่อข้าพระองค์โดยไม่มีเหตุนั้นได้ขับไล่ข้าพระองค์ดังขับไล่นก
อสค 4.13 และพระเยโฮวาห์ตรัสว่า “ประชาชนอิสราเอลจะต้องรับประทานขนมปังของเขาอย่างมลทินอย่างนี้แหละ ณ ท่ามกลางประชาชาติ ซึ่งเราจะขับไล่เขาไปอยู่”
อสค 34.4 ตัวที่อ่อนเพลียเจ้าก็ไม่เสริมกำลัง ตัวที่เจ็บเจ้าก็ไม่รักษา ตัวที่กระดูกหักเจ้าก็มิได้พันผ้า ตัวที่ถูกขับไล่ออกไปเจ้าก็มิได้ไปตามกลับมา ตัวที่หายไปเจ้าก็มิได้เสาะหา และเจ้าได้ปกครองเขาด้วยการบังคับและด้วยการข่มขี่เบียดเบียน
อสค 34.16 เราจะเที่ยวหาแกะที่หาย และเราจะนำแกะที่ถูกขับไล่ออกไปกลับมาอีก และเราจะพันผ้าให้แกะที่กระดูกหัก และเราจะเสริมกำลังแกะที่อ่อนเพลีย แต่ตัวที่อ้วนและเข้มแข็งเราจะทำลาย เราจะเลี้ยงเขาด้วยความยุติธรรม
อสค 46.18 ยิ่งกว่านั้นอีกเจ้านายจะยึดสิ่งใดอันเป็นมรดกของประชาชนไม่ได้โดยไล่ประชาชนออกไปจากทรัพย์สินที่ดินของเขา แต่ท่านจะต้องมอบทรัพย์สินของท่านเองให้เป็นมรดกแก่บุตรชายของท่าน เพื่อว่าจะไม่มีประชาชนของเราสักคนหนึ่งที่ต้องถูกขับไล่จากกรรมสิทธิ์ของตน”
ดนล 4.25 ว่าพระองค์จะทรงถูกขับไล่ไปเสียจากท่ามกลางมนุษย์ และพระองค์จะอยู่กับสัตว์ในทุ่งนา พระองค์จะต้องเสวยหญ้าอย่างกับวัว และจะให้พระองค์เปียกน้ำค้างจากฟ้าสวรรค์ จะเป็นอยู่อย่างนั้นจนครบเจ็ดวาระ จนกว่าพระองค์จะทราบว่า ผู้สูงสุดนั้นทรงปกครองราชอาณาจักรของมนุษย์ และพระองค์จะประทานราชอาณาจักรนั้นแก่ผู้ที่พระองค์ทรงปรารถนา
ดนล 4.32 และเจ้าจะถูกขับไล่ไปจากท่ามกลางมนุษย์ และเจ้าจะอยู่กับสัตว์ในทุ่งนา และเจ้าจะต้องกินหญ้าอย่างกับวัว จะเป็นอยู่อย่างนั้นจนครบเจ็ดวาระ จนกว่าเจ้าจะเรียนรู้ได้ว่า ผู้สูงสุดปกครองอยู่เหนือราชอาณาจักรของมนุษย์ และประทานราชอาณาจักรนั้นแก่ผู้ที่พระองค์ทรงปรารถนา”
ดนล 4.33 ในทันใดนั้นเองพระวาทะก็สำเร็จในเรื่องเนบูคัดเนสซาร์ พระองค์ถูกขับไล่ไปจากท่ามกลางมนุษย์ และเสวยหญ้าอย่างกับวัว และพระกายก็เปียกน้ำค้างจากฟ้าสวรรค์ จนพระเกศางอกยาวอย่างกับขนนกอินทรี และพระนขาก็เหมือนเล็บนก
ดนล 5.21 พระเจ้าทรงขับไล่เนบูคัดเนสซาร์ไปจากบุตรทั้งหลายของมนุษย์ และทรงกระทำให้พระทัยของพระองค์ท่านเป็นเหมือนใจสัตว์ป่า และทรงให้อยู่กับลาป่า ทรงให้หญ้าเสวยเหมือนวัว และพระกายของพระองค์ท่านก็เปียกน้ำค้างจากฟ้าสวรรค์ จนกว่าพระองค์รู้ว่าพระเจ้าสูงสุดทรงปกครองราชอาณาจักรของมนุษย์ และทรงแต่งตั้งผู้ที่พระองค์จะทรงปรารถนาให้ปกครอง
ดนล 9.7 โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ความชอบธรรมเป็นของพระองค์ แต่ความขายหน้าควรแก่พวกข้าพระองค์ ดังทุกวันนี้ ที่ควรแก่คนยูดาห์ ชาวกรุงเยรูซาเล็ม และอิสราเอลทั้งหมด ทั้งผู้ที่อยู่ใกล้และอยู่ไกลออกไป ในแผ่นดินทั้งหลายซึ่งพระองค์ทรงขับไล่เขาไปนั้น เพราะความละเมิดซึ่งเขาได้กระทำต่อพระองค์
ยอล 2.20 แต่เราจะถอนกองทัพทางทิศเหนือไปให้ห่างไกลจากเจ้า และขับไล่มันเข้าไปในแผ่นดินที่แห้งแล้งและรกร้าง กองหน้าของมันจะหันไปทางทะเลด้านตะวันออก และกองหลังของมันจะหันไปทางทะเลที่อยู่ไกลออกไป กลิ่นเหม็นคลุ้งของมันจะลอยขึ้นมา และกลิ่นเหม็นเน่าของมันจะลอยขึ้นมา เพราะมันทำการใหญ่หลายอย่าง
อมส 5.12 เพราะเรารู้ว่าการละเมิดของเจ้ามีเท่าใด และบาปของเจ้ามากมายสักเท่าใด เจ้าทั้งหลายผู้ข่มใจคนชอบธรรม ผู้รับสินบน และขับไล่คนขัดสนออกไปเสียจากประตูเมือง
มคา 2.9 เจ้าขับไล่พวกผู้หญิงในประชาชนของเราออกไปจากเรือนอันผาสุกของเขาทั้งหลาย เจ้าได้เอาสง่าราศีของเราไปเสียจากเด็กๆของเขาเป็นนิตย์
มคา 4.6 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า ในคราวนั้นเราจะรวบรวมคนขาพิการ และจะรวบรวมบรรดาผู้ที่ถูกขับไล่ไป และบรรดาผู้ที่เราได้ให้ทุกข์ใจ
ศฟย 2.4 เพราะว่าเมืองกาซาจะถูกทอดทิ้ง และเมืองอัชเคโลนจะเป็นที่รกร้าง ชาวเมืองอัชโดดจะถูกขับไล่ในเวลาเที่ยงวัน และเมืองเอโครนจะถูกถอนรากถอนโคน
ศฟย 3.15 พระเยโฮวาห์ทรงล้มเลิกการพิพากษาลงโทษเจ้าแล้ว พระองค์ทรงขับไล่ศัตรูของเจ้าออกไปแล้ว กษัตริย์แห่งอิสราเอลคือพระเยโฮวาห์ทรงอยู่ท่ามกลางเจ้า เจ้าจะไม่พบความชั่วร้ายอีกต่อไป
มธ 8.12 แต่บรรดาลูกของอาณาจักรจะต้องถูกขับไล่ไสส่งออกไปในที่มืดภายนอก ที่นั่นจะมีเสียงร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน”
มธ 21.12 พระเยซูจึงเสด็จเข้าไปในพระวิหารของพระเจ้า ทรงขับไล่บรรดาผู้ซื้อขายในพระวิหารนั้น และคว่ำโต๊ะผู้รับแลกเงิน กับทั้งคว่ำที่นั่งผู้ขายนกเขาเสีย
มธ 24.51 และจะทำโทษเขาถึงสาหัส ทั้งจะขับไล่ให้เขาไปเข้าส่วนกับพวกคนหน้าซื่อใจคด ซึ่งที่นั่นจะมีแต่การร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน”
มก 5.10 มันจึงอ้อนวอนพระองค์เป็นอันมากมิให้ขับไล่มันออกจากแดนเมืองนั้น
มก 11.15 เมื่อพระองค์กับสาวกมาถึงกรุงเยรูซาเล็ม พระเยซูก็เสด็จเข้าไปในพระวิหาร แล้วเริ่มขับไล่บรรดาผู้ซื้อขายในพระวิหารนั้น และคว่ำโต๊ะผู้รับแลกเงิน กับทั้งคว่ำม้านั่งผู้ขายนกเขาเสีย
ลก 12.46 นายของผู้รับใช้ผู้นั้นจะมาในวันที่เขาไม่คิด ในโมงที่เขาไม่รู้ และจะทำโทษเขาถึงสาหัส ทั้งจะขับไล่เขาให้ไปอยู่กับคนที่ไม่เชื่อ
ลก 13.28 เมื่อท่านทั้งหลายจะเห็นอับราฮัม อิสอัค ยาโคบ และบรรดาศาสดาพยากรณ์ในอาณาจักรของพระเจ้า แต่ตัวท่านเองถูกขับไล่ไสส่งออกไปภายนอก ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ลก 19.45 ฝ่ายพระองค์เสด็จเข้าในพระวิหาร แล้วทรงเริ่มขับไล่คนทั้งหลายที่ซื้อขายอยู่นั้น
กจ 7.45 ฝ่ายบรรพบุรุษของเราที่มาภายหลัง เมื่อได้รับพลับพลานั้นจึงขนตามเยซูไป เมื่อได้เข้ายึดแผ่นดินของบรรดาประชาชาติ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงขับไล่ไปให้พ้นหน้าบรรพบุรุษของเรา พลับพลานั้นก็มีสืบมาจนถึงสมัยดาวิด
กจ 7.58 แล้วขับไล่ท่านออกจากกรุงและเอาหินขว้าง ฝ่ายคนที่เป็นพยานปรักปรำสเทเฟนได้ฝากเสื้อผ้าของตนวางไว้ที่เท้าของชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อเซาโล

ขา ( 34 )
อพย 12.9 เนื้อที่ยังดิบหรือเนื้อต้มอย่ากินเลย แต่จงปิ้งทั้งหัวและขา และเครื่องในด้วย
อพย 25.26 จงทำห่วงทองคำสี่ห่วงติดไว้ที่มุมขาโต๊ะทั้งสี่
อพย 29.17 จงชำแหละแกะตัวนั้นออกเป็นท่อนๆและเครื่องในกับขาจงล้างน้ำวางไว้กับเนื้อและหัว
อพย 37.13 เขาหล่อห่วงทองคำสี่อันติดไว้ที่มุมโต๊ะทั้งสี่ตรงขาโต๊ะ
ลนต 1.9 แต่ให้เขาเอาน้ำล้างเครื่องในและขาสัตว์เสีย แล้วปุโรหิตจึงเผาของทั้งหมดบนแท่นเป็นเครื่องเผาบูชา เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นที่พอพระทัยแด่พระเยโฮวาห์
ลนต 1.13 แต่เครื่องในกับขานั้นผู้ถวายบูชาจะล้างเสียด้วยน้ำ และให้ปุโรหิตเอาเครื่องทั้งหมดเหล่านี้เผาบูชาด้วยกันบนแท่น เป็นเครื่องเผาบูชา คือเป็นเครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นที่พอพระทัยแด่พระเยโฮวาห์
ลนต 4.11 แต่หนังของวัวพร้อมกับเนื้อวัวทั้งหมด หัว ขา เครื่องในและมูลของมัน
ลนต 8.21 เมื่อเอาน้ำล้างเครื่องในและขาแกะแล้ว โมเสสก็เผาแกะทั้งตัวบนแท่น เป็นเครื่องเผาบูชา เป็นกลิ่นที่พอพระทัย เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่พระเยโฮวาห์ ดังที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาโมเสส
ลนต 9.14 อาโรนจึงล้างเครื่องในและขาสัตว์และเผาเสียบนเครื่องเผาบูชาที่บนแท่นบูชา
ลนต 11.20 แมลงมีปีกซึ่งคลานสี่ขา เป็นสัตว์ที่พึงรังเกียจแก่เจ้า
ลนต 11.21 แต่ในบรรดาแมลงมีปีกที่คลานสี่ขานี้ เจ้าจะรับประทานจำพวกที่มีขาพับใช้กระโดดไปบนดินได้
ลนต 11.23 แต่แมลงมีปีกอย่างอื่นซึ่งมีสี่ขา เป็นสัตว์ที่พึงรังเกียจแก่เจ้า
ลนต 11.42 สิ่งใดที่เลื้อยไปด้วยท้อง หรือสิ่งที่เดินสี่ขา หรือสิ่งที่มีหลายขา ทุกสิ่งที่คลานไปบนแผ่นดิน เจ้าอย่ารับประทาน เพราะเป็นสิ่งพึงรังเกียจ
ลนต 21.18 เพราะว่าผู้ใดที่มีตำหนิจะเข้าใกล้ไม่ได้ ไม่ว่าเป็นคนตาบอดหรือเป็นคนง่อย หรือที่หน้ามีแผลเป็น หรือแขนขายาวเกิน
พบญ 15.21 แต่ถ้าสัตว์นั้นมีตำหนิใดๆคือขาเกหรือตาบอด หรือมีตำหนิเลวร้ายอย่างใด ท่านอย่าถวายบูชาแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน
พบญ 28.35 พระเยโฮวาห์จะทรงเฆี่ยนตีท่านด้วยฝีร้ายที่หัวเข่า และที่ขา ซึ่งท่านจะรักษาให้หายไม่ได้ เป็นตั้งแต่ฝ่าเท้าจนถึงกระหม่อมของท่าน
พบญ 28.57 ต่อรกซึ่งเพิ่งออกมาจากหว่างขาของเธอ และต่อลูกแดงที่เพิ่งคลอด เพราะว่าเธอจะกินเป็นอาหารเงียบๆเพราะขัดสนทุกอย่าง ในการถูกล้อมและในความทุกข์ลำบาก ซึ่งศัตรูของท่านมาทำให้ท่านทั้งหลายทุกข์ลำบากทุกประตูเมือง
วนฉ 11.36 เธอจึงพูดกับพ่อว่า “คุณพ่อขา เมื่อคุณพ่อออกปากสัญญากับพระเยโฮวาห์ไว้อย่างไร ขอคุณพ่อกระทำกับลูกตามคำที่ออกจากปากของคุณพ่อเถิด เพราะพระเยโฮวาห์ได้ทรงแก้แค้นคนอัมโมนศัตรูเพื่อคุณพ่อแล้ว”
1ซมอ 9.24 คนครัวจึงนำเอาส่วนขาและส่วนบนนั้นมาวางไว้ที่ข้างหน้าซาอูล และซามูเอลกล่าวว่า “ดูเถิด สิ่งที่ได้เก็บไว้ก็วางอยู่ต่อหน้าท่าน จงรับประทานเถิด เพราะว่าเก็บไว้ให้แก่ท่านจนถึงชั่วโมงที่กำหนดไว้ ตั้งแต่ฉันกล่าวว่า ‘ฉันได้เชิญประชาชนมาแล้ว’” ซาอูลจึงรับประทานกับซามูเอลในวันนั้น
1ซมอ 17.6 และสวมสนับแข้งทองสัมฤทธิ์ที่ขา และมีหอกทองสัมฤทธิ์แขวนอยู่ที่บ่า
2ซมอ 8.4 และดาวิดทรงยึดรถรบหนึ่งพันคัน พลม้าเจ็ดร้อยคน ทหารราบสองหมื่นคน และดาวิดรับสั่งให้ตัดเอ็นขาม้ารถรบเสียให้หมด เหลือไว้ให้พอแก่รถรบหนึ่งร้อยคัน
สดด 147.10 ความปีติยินดีของพระองค์มิได้อยู่ที่กำลังของม้า ความปรีดีของพระองค์มิได้อยู่ที่ขาของมนุษย์
สภษ 26.7 คำอุปมาที่อยู่ในปากของคนโง่ก็เหมือนขาของคนพิการที่ไม่เท่ากัน
พซม 5.15 ขาของเขาดุจเสาหินอ่อนตั้งบนฐานเสียบทองคำเนื้อดี สีหน้าของเขาดุจเลบานอนประเสริฐอย่างไม้สนสีดาร์
อสย 47.2 จับโม่เข้า โม่แป้งซี เอาผ้าคลุมหน้าของเจ้าออกเสีย ถอดเสื้อคลุมของเจ้าเสีย ไม่ต้องคลุมขาของเจ้า ลุยน้ำไป
ดนล 2.33 ขาเป็นเหล็ก เท้าเป็นเหล็กปนดิน
อมส 3.12 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “ผู้เลี้ยงแกะชิงเอาขาสองขาหรือหูชิ้นหนึ่งมาจากปากสิงโตได้ฉันใด คนอิสราเอลผู้อยู่ที่มุมหนึ่งของเตียงในสะมาเรีย และบนที่นอนในดามัสกัสจะได้รับการช่วยให้พ้นได้ฉันนั้น”
มคา 4.7 คนที่ขาพิการนั้นเราจะให้เป็นคนที่เหลืออยู่ คนที่ถูกทิ้งไปนั้นเราจะให้เป็นชนชาติที่เข้มแข็ง และพระเยโฮวาห์จะทรงปกครองเหนือเขาที่ภูเขาศิโยนตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนชั่วกัลปาวสาน
ยน 19.31 เพราะวันนั้นเป็นวันเตรียม พวกยิวจึงขอให้ปีลาตทุบขาของผู้ที่ถูกตรึงให้หัก และให้เอาศพไปเสีย เพื่อไม่ให้ศพค้างอยู่ที่กางเขนในวันสะบาโต (เพราะวันสะบาโตนั้นเป็นวันใหญ่)
ยน 19.32 ดังนั้นพวกทหารจึงมาทุบขาของคนที่หนึ่ง และขาของอีกคนหนึ่งที่ถูกตรึงอยู่กับพระองค์
ยน 19.33 แต่เมื่อเขามาถึงพระเยซูและเห็นว่าพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว เขาจึงมิได้ทุบขาของพระองค์

ข้า ( 1567 )
ปฐก 15.2; ปฐก 15.8; ปฐก 20.4; ปฐก 21.16; ปฐก 24.12; ปฐก 24.31; ปฐก 24.42; ปฐก 25.30; ปฐก 25.32; ปฐก 26.9; ปฐก 27.27; ปฐก 27.41; ปฐก 28.16; ปฐก 32.9; ปฐก 32.20; ปฐก 33.9; ปฐก 33.12; ปฐก 35.3; ปฐก 39.14; ปฐก 39.15; ปฐก 42.22; ปฐก 44.5; ปฐก 44.16; ปฐก 49.18; อพย 3.3; อพย 4.10; อพย 4.13; อพย 5.22; อพย 15.6; อพย 15.11; อพย 15.16; อพย 15.17; อพย 17.2; อพย 17.3; อพย 32.11; อพย 34.9; กดว 10.35; กดว 10.36; กดว 12.11; กดว 12.13; กดว 14.14; กดว 16.22; กดว 16.28; กดว 16.29; กดว 22.8; พบญ 3.24; พบญ 8.17; พบญ 9.4; พบญ 9.26; พบญ 21.8; พบญ 22.14; พบญ 22.16; พบญ 22.17; พบญ 26.10; พบญ 29.19; พบญ 33.7; พบญ 33.11; ยชว 7.7; ยชว 7.8; ยชว 7.19; วนฉ 3.19; วนฉ 5.4; วนฉ 5.30; วนฉ 5.31; วนฉ 6.15; วนฉ 9.48; วนฉ 13.8; วนฉ 15.2; วนฉ 16.28; วนฉ 16.30; 1ซมอ 1.11; 1ซมอ 2.16; 1ซมอ 3.16; 1ซมอ 9.5; 1ซมอ 14.12; 1ซมอ 14.29; 1ซมอ 14.39; 1ซมอ 17.8; 1ซมอ 17.9; 1ซมอ 17.10; 1ซมอ 17.28; 1ซมอ 17.43; 1ซมอ 17.44; 1ซมอ 17.55; 1ซมอ 18.11; 1ซมอ 20.30; 1ซมอ 21.15; 1ซมอ 23.10; 1ซมอ 23.11; 1ซมอ 23.20; 1ซมอ 23.22; 1ซมอ 24.8; 1ซมอ 24.16; 1ซมอ 24.17; 1ซมอ 24.18; 1ซมอ 24.19; 1ซมอ 24.20; 1ซมอ 24.21; 1ซมอ 25.11; 1ซมอ 25.21; 1ซมอ 25.22; 1ซมอ 26.17; 1ซมอ 26.21; 1ซมอ 26.22; 1ซมอ 27.1; 2ซมอ 2.20; 2ซมอ 2.22; 2ซมอ 6.9; 2ซมอ 7.19; 2ซมอ 7.20; 2ซมอ 7.22; 2ซมอ 7.24; 2ซมอ 7.25; 2ซมอ 7.27; 2ซมอ 7.28; 2ซมอ 7.29; 2ซมอ 13.17; 2ซมอ 14.4; 2ซมอ 14.9; 2ซมอ 14.11; 2ซมอ 14.19; 2ซมอ 14.22; 2ซมอ 15.4; 2ซมอ 15.31; 2ซมอ 15.34; 2ซมอ 16.4; 2ซมอ 19.26; 2ซมอ 22.29; 2ซมอ 22.50; 2ซมอ 23.17; 2ซมอ 24.10; 1พกษ 1.17; 1พกษ 1.20; 1พกษ 1.24; 1พกษ 2.30; 1พกษ 3.7; 1พกษ 3.17; 1พกษ 3.26; 1พกษ 8.25; 1พกษ 8.26; 1พกษ 8.28; 1พกษ 8.53; 1พกษ 12.16; 1พกษ 17.21; 1พกษ 18.26; 1พกษ 18.36; 1พกษ 18.37; 1พกษ 19.4; 1พกษ 20.4; 1พกษ 21.20; 1พกษ 22.24; 2พกษ 1.10; 2พกษ 1.12; 2พกษ 1.13; 2พกษ 2.18; 2พกษ 4.16; 2พกษ 5.11; 2พกษ 5.12; 2พกษ 6.3; 2พกษ 6.17; 2พกษ 6.19; 2พกษ 6.20; 2พกษ 6.26; 2พกษ 8.5; 2พกษ 9.23; 2พกษ 13.14; 2พกษ 16.15; 2พกษ 18.23; 2พกษ 18.25; 2พกษ 18.27; 2พกษ 19.15; 2พกษ 19.16; 2พกษ 19.17; 2พกษ 19.19; 2พกษ 19.23; 2พกษ 19.24; 2พกษ 20.3; 1พศด 11.19; 1พศด 12.18; 1พศด 17.17; 1พศด 17.19; 1พศด 17.20; 1พศด 17.22; 1พศด 17.23; 1พศด 17.25; 1พศด 17.26; 1พศด 17.27; 1พศด 21.3; 1พศด 21.8; 1พศด 21.17; 1พศด 22.11; 1พศด 28.20; 1พศด 29.10; 1พศด 29.11; 1พศด 29.16; 1พศด 29.17; 1พศด 29.18; 2พศด 1.9; 2พศด 6.14; 2พศด 6.16; 2พศด 6.17; 2พศด 6.19; 2พศด 6.40; 2พศด 6.41; 2พศด 6.42; 2พศด 10.16; 2พศด 13.4; 2พศด 13.12; 2พศด 14.11; 2พศด 15.2; 2พศด 18.23; 2พศด 20.6; 2พศด 20.12; 2พศด 25.7; 2พศด 26.18; อสร 9.6; อสร 9.10; อสร 9.15; นหม 1.5; นหม 1.11; นหม 4.4; นหม 5.19; นหม 6.9; นหม 6.14; นหม 9.32; นหม 13.14; นหม 13.22; นหม 13.29; นหม 13.31; อสธ 5.12; อสธ 5.13; อสธ 6.6; อสธ 7.3; โยบ 3.3; โยบ 3.10; โยบ 3.11; โยบ 3.12; โยบ 3.13; โยบ 3.16; โยบ 3.24; โยบ 3.25; โยบ 3.26; โยบ 4.7; โยบ 4.8; โยบ 4.12; โยบ 4.14; โยบ 4.15; โยบ 4.16; โยบ 5.3; โยบ 5.8; โยบ 6.2; โยบ 6.3; โยบ 6.4; โยบ 6.7; โยบ 6.8; โยบ 6.9; โยบ 6.10; โยบ 6.11; โยบ 6.12; โยบ 6.13; โยบ 6.15; โยบ 6.21; โยบ 6.22; โยบ 6.23; โยบ 6.24; โยบ 6.28; โยบ 6.29; โยบ 6.30; โยบ 7.3; โยบ 7.4; โยบ 7.5; โยบ 7.6; โยบ 7.13; โยบ 7.20; โยบ 8.8; โยบ 8.18; โยบ 9.2; โยบ 9.11; โยบ 9.14; โยบ 9.15; โยบ 9.16; โยบ 9.17; โยบ 9.18; โยบ 9.19; โยบ 9.20; โยบ 9.21; โยบ 9.22; โยบ 9.27; โยบ 9.32; โยบ 9.34; โยบ 9.35; โยบ 10.1; โยบ 10.2; โยบ 11.4; โยบ 12.3; โยบ 12.4; โยบ 13.1; โยบ 13.2; โยบ 13.3; โยบ 13.6; โยบ 13.13; โยบ 13.14; โยบ 13.15; โยบ 13.16; โยบ 13.17; โยบ 13.18; โยบ 13.19; โยบ 15.17; โยบ 16.2; โยบ 16.4; โยบ 16.5; โยบ 16.6; โยบ 16.7; โยบ 16.8; โยบ 16.9; โยบ 16.10; โยบ 16.11; โยบ 16.12; โยบ 16.13; โยบ 16.14; โยบ 16.15; โยบ 16.16; โยบ 16.17; โยบ 16.18; โยบ 16.19; โยบ 16.20; โยบ 16.22; โยบ 17.1; โยบ 17.2; โยบ 17.6; โยบ 17.7; โยบ 17.10; โยบ 17.11; โยบ 17.13; โยบ 17.14; โยบ 17.15; โยบ 19.2; โยบ 19.3; โยบ 19.4; โยบ 19.5; โยบ 19.6; โยบ 19.7; โยบ 19.8; โยบ 19.9; โยบ 19.10; โยบ 19.11; โยบ 19.12; โยบ 19.13; โยบ 19.14; โยบ 19.15; โยบ 19.16; โยบ 19.17; โยบ 19.18; โยบ 19.19; โยบ 19.20; โยบ 19.21; โยบ 19.22; โยบ 19.23; โยบ 19.24; โยบ 19.25; โยบ 19.26; โยบ 19.27; โยบ 20.2; โยบ 20.3; โยบ 21.2; โยบ 21.3; โยบ 21.4; โยบ 21.5; โยบ 21.6; โยบ 21.16; โยบ 21.27; โยบ 21.34; โยบ 22.17; โยบ 22.18; โยบ 23.2; โยบ 23.3; โยบ 23.4; โยบ 23.5; โยบ 23.6; โยบ 23.7; โยบ 23.8; โยบ 23.9; โยบ 23.10; โยบ 23.11; โยบ 23.12; โยบ 23.14; โยบ 23.15; โยบ 23.16; โยบ 23.17; โยบ 24.15; โยบ 24.25; โยบ 27.2; โยบ 27.3; โยบ 27.4; โยบ 27.5; โยบ 27.6; โยบ 27.7; โยบ 27.11; โยบ 28.14; โยบ 29.2; โยบ 29.3; โยบ 29.4; โยบ 29.5; โยบ 29.6; โยบ 29.7; โยบ 29.8; โยบ 29.11; โยบ 29.12; โยบ 29.13; โยบ 29.14; โยบ 29.15; โยบ 29.16; โยบ 29.17; โยบ 29.18; โยบ 29.19; โยบ 29.20; โยบ 29.21; โยบ 29.22; โยบ 29.23; โยบ 29.24; โยบ 29.25; โยบ 30.1; โยบ 30.2; โยบ 30.9; โยบ 30.10; โยบ 30.11; โยบ 30.12; โยบ 30.13; โยบ 30.14; โยบ 30.15; โยบ 30.16; โยบ 30.17; โยบ 30.18; โยบ 30.19; โยบ 30.25; โยบ 30.26; โยบ 30.27; โยบ 30.28; โยบ 30.29; โยบ 30.30; โยบ 30.31; โยบ 31.1; โยบ 31.2; โยบ 31.4; โยบ 31.5; โยบ 31.6; โยบ 31.7; โยบ 31.8; โยบ 31.9; โยบ 31.10; โยบ 31.12; โยบ 31.13; โยบ 31.14; โยบ 31.15; โยบ 31.16; โยบ 31.17; โยบ 31.18; โยบ 31.19; โยบ 31.20; โยบ 31.21; โยบ 31.22; โยบ 31.23; โยบ 31.24; โยบ 31.25; โยบ 31.26; โยบ 31.27; โยบ 31.28; โยบ 31.29; โยบ 31.30; โยบ 31.31; โยบ 31.32; โยบ 31.33; โยบ 31.34; โยบ 31.35; โยบ 31.36; โยบ 31.37; โยบ 31.38; โยบ 31.39; โยบ 33.27; สดด 2.10; สดด 3.1; สดด 3.3; สดด 3.7; สดด 4.1; สดด 4.6; สดด 4.8; สดด 5.2; สดด 5.3; สดด 5.8; สดด 5.10; สดด 5.12; สดด 6.1; สดด 6.3; สดด 6.4; สดด 6.8; สดด 6.9; สดด 6.10; สดด 7.1; สดด 7.3; สดด 7.6; สดด 7.8; สดด 8.1; สดด 8.9; สดด 9.1; สดด 9.2; สดด 9.10; สดด 9.13; สดด 9.19; สดด 9.20; สดด 10.1; สดด 10.6; สดด 10.12; สดด 12.1; สดด 13.1; สดด 13.3; สดด 15.1; สดด 16.1; สดด 17.1; สดด 17.6; สดด 17.7; สดด 17.13; สดด 17.14; สดด 18.1; สดด 18.15; สดด 18.49; สดด 20.9; สดด 21.1; สดด 21.13; สดด 22.2; สดด 22.19; สดด 25.1; สดด 25.2; สดด 25.4; สดด 25.6; สดด 25.7; สดด 25.11; สดด 25.22; สดด 26.1; สดด 26.2; สดด 26.6; สดด 26.8; สดด 27.7; สดด 27.9; สดด 27.11; สดด 28.1; สดด 30.1; สดด 30.2; สดด 30.3; สดด 30.7; สดด 30.8; สดด 30.10; สดด 30.12; สดด 31.1; สดด 31.5; สดด 31.9; สดด 31.14; สดด 31.17; สดด 33.22; สดด 35.1; สดด 35.10; สดด 35.22; สดด 35.23; สดด 35.24; สดด 36.5; สดด 36.6; สดด 36.7; สดด 38.1; สดด 38.9; สดด 38.15; สดด 38.21; สดด 38.22; สดด 39.7; สดด 39.12; สดด 40.5; สดด 40.8; สดด 40.9; สดด 40.11; สดด 40.13; สดด 40.17; สดด 41.4; สดด 41.10; สดด 42.1; สดด 42.6; สดด 43.1; สดด 44.1; สดด 44.4; สดด 44.23; สดด 45.3; สดด 48.9; สดด 48.10; สดด 51.1; สดด 51.10; สดด 51.14; สดด 51.15; สดด 51.17; สดด 54.1; สดด 54.2; สดด 55.1; สดด 55.6; สดด 55.7; สดด 55.8; สดด 55.9; สดด 55.23; สดด 56.1; สดด 56.2; สดด 56.7; สดด 56.12; สดด 57.1; สดด 57.5; สดด 57.7; สดด 57.9; สดด 57.11; สดด 58.6; สดด 59.1; สดด 59.3; สดด 59.5; สดด 59.8; สดด 59.17; สดด 60.1; สดด 60.10; สดด 61.1; สดด 61.5; สดด 62.12; สดด 64.1; สดด 65.2; สดด 65.5; สดด 66.10; สดด 67.3; สดด 67.5; สดด 68.7; สดด 68.10; สดด 68.24; สดด 68.28; สดด 68.35; สดด 69.1; สดด 69.5; สดด 69.6; สดด 69.13; สดด 69.16; สดด 69.29; สดด 70.1; สดด 70.5; สดด 71.1; สดด 71.4; สดด 71.5; สดด 71.12; สดด 71.17; สดด 71.18; สดด 71.19; สดด 71.22; สดด 72.1; สดด 73.20; สดด 74.1; สดด 74.10; สดด 74.22; สดด 75.1; สดด 76.6; สดด 77.13; สดด 77.16; สดด 79.5; สดด 79.9; สดด 80.1; สดด 80.3; สดด 80.4; สดด 80.7; สดด 80.14; สดด 80.19; สดด 82.8; สดด 83.1; สดด 83.13; สดด 84.1; สดด 84.3; สดด 84.8; สดด 84.9; สดด 84.12; สดด 85.1; สดด 85.4; สดด 85.7; สดด 86.1; สดด 86.2; สดด 86.3; สดด 86.4; สดด 86.5; สดด 86.6; สดด 86.8; สดด 86.9; สดด 86.11; สดด 86.12; สดด 86.14; สดด 86.15; สดด 86.17; สดด 88.1; สดด 88.9; สดด 88.13; สดด 88.14; สดด 89.5; สดด 89.8; สดด 89.15; สดด 89.46; สดด 89.49; สดด 89.50; สดด 89.51; สดด 90.1; สดด 90.13; สดด 92.1; สดด 92.4; สดด 92.5; สดด 92.8; สดด 92.9; สดด 93.3; สดด 93.5; สดด 94.1; สดด 94.2; สดด 94.5; สดด 94.12; สดด 94.18; สดด 97.8; สดด 97.9; สดด 99.8; สดด 101.1; สดด 102.1; สดด 102.12; สดด 102.24; สดด 103.1; สดด 103.2; สดด 103.20; สดด 103.22; สดด 104.1; สดด 104.24; สดด 104.33; สดด 104.34; สดด 104.35; สดด 106.4; สดด 106.47; สดด 108.1; สดด 108.3; สดด 108.5; สดด 109.1; สดด 109.21; สดด 109.26; สดด 109.27; สดด 115.1; สดด 116.4; สดด 116.16; สดด 118.25; สดด 119.12; สดด 119.31; สดด 119.41; สดด 119.55; สดด 119.57; สดด 119.64; สดด 119.65; สดด 119.75; สดด 119.89; สดด 119.107; สดด 119.108; สดด 119.115; สดด 119.137; สดด 119.145; สดด 119.149; สดด 119.156; สดด 119.159; สดด 119.166; สดด 119.169; สดด 119.174; สดด 120.2; สดด 123.1; สดด 123.3; สดด 125.4; สดด 126.4; สดด 130.1; สดด 130.2; สดด 130.3; สดด 131.1; สดด 132.1; สดด 132.8; สดด 135.13; สดด 137.7; สดด 138.4; สดด 138.8; สดด 139.1; สดด 139.4; สดด 139.11; สดด 139.17; สดด 139.19; สดด 139.21; สดด 139.23; สดด 140.1; สดด 140.4; สดด 140.6; สดด 140.7; สดด 140.8; สดด 141.1; สดด 141.3; สดด 141.8; สดด 142.5; สดด 143.1; สดด 143.7; สดด 143.9; สดด 143.11; สดด 144.3; สดด 144.5; สดด 144.9; สดด 145.1; สดด 145.10; สภษ 5.12; สภษ 5.13; สภษ 5.14; สภษ 20.22; สภษ 22.13; สภษ 23.35; สภษ 24.29; สภษ 26.19; สภษ 30.2; สภษ 30.3; สภษ 30.18; ปญจ 4.8; ปญจ 12.1; พซม 8.12; อสย 6.11; อสย 7.13; อสย 10.8; อสย 10.13; อสย 10.14; อสย 12.1; อสย 14.13; อสย 14.14; อสย 23.4; อสย 25.1; อสย 26.8; อสย 26.12; อสย 26.13; อสย 26.15; อสย 26.16; อสย 26.17; อสย 29.11; อสย 29.12; อสย 29.16; อสย 33.2; อสย 33.24; อสย 36.8; อสย 36.10; อสย 36.12; อสย 37.16; อสย 37.17; อสย 37.18; อสย 37.20; อสย 37.24; อสย 37.25; อสย 38.3; อสย 38.14; อสย 38.16; อสย 40.6; อสย 44.5; อสย 44.16; อสย 44.19; อสย 44.20; อสย 45.15; อสย 45.24; อสย 47.7; อสย 47.8; อสย 47.10; อสย 48.5; อสย 51.9; อสย 56.3; อสย 63.16; อสย 63.17; อสย 64.4; อสย 64.8; อสย 64.9; อสย 64.12; อสย 65.5; ยรม 1.6; ยรม 2.20; ยรม 2.23; ยรม 2.25; ยรม 4.19; ยรม 4.20; ยรม 4.21; ยรม 4.31; ยรม 5.3; ยรม 10.6; ยรม 10.7; ยรม 10.23; ยรม 10.24; ยรม 11.5; ยรม 11.20; ยรม 12.1; ยรม 12.3; ยรม 13.22; ยรม 14.7; ยรม 14.8; ยรม 14.13; ยรม 14.20; ยรม 14.22; ยรม 15.15; ยรม 15.16; ยรม 16.19; ยรม 17.13; ยรม 17.14; ยรม 18.19; ยรม 18.23; ยรม 19.3; ยรม 20.7; ยรม 20.12; ยรม 22.2; ยรม 23.9; ยรม 31.7; ยรม 32.17; ยรม 32.18; ยรม 32.25; ยรม 34.4; ยรม 37.20; ยรม 38.9; ยรม 45.3; ยรม 46.8; พคค 1.9; พคค 1.11; พคค 1.20; พคค 2.20; พคค 3.55; พคค 3.58; พคค 3.59; พคค 3.61; พคค 3.64; พคค 5.1; พคค 5.19; พคค 5.21; อสค 4.14; อสค 26.2; อสค 27.3; อสค 28.2; อสค 28.9; อสค 29.3; อสค 29.9; ดนล 1.10; ดนล 2.4; ดนล 2.29; ดนล 2.31; ดนล 2.37; ดนล 3.9; ดนล 3.10; ดนล 3.12; ดนล 3.16; ดนล 3.17; ดนล 3.18; ดนล 3.24; ดนล 4.22; ดนล 4.24; ดนล 4.27; ดนล 5.22; ดนล 6.6; ดนล 6.7; ดนล 6.8; ดนล 6.12; ดนล 6.13; ดนล 6.15; ดนล 6.21; ดนล 6.22; ดนล 9.7; ดนล 9.8; ดนล 9.15; ดนล 9.16; ดนล 9.17; ดนล 9.18; ฮชย 8.2; ยอล 1.19; ยอล 2.17; ยอล 3.3; ยอล 3.11; อมส 7.2; อมส 7.5; ยนา 1.14; ยนา 2.6; ยนา 4.2; ยนา 4.3; มคา 2.4; ฮบก 1.2; ฮบก 1.12; ฮบก 3.2; ฮบก 3.8; ศฟย 2.15; ศคย 1.12; ศคย 11.9; มธ 6.9; มธ 11.25; มธ 11.26; มธ 12.44; มธ 18.26; มธ 18.28; มธ 24.48; มธ 26.42; มธ 26.70; มธ 26.72; มธ 26.74; มก 5.7; มก 14.68; มก 14.71; ลก 2.29; ลก 10.21; ลก 11.2; ลก 11.24; ลก 12.45; ลก 18.11; ลก 18.13; ลก 22.57; ลก 22.58; ลก 22.60; ยน 11.41; ยน 12.27; ยน 12.28; ยน 17.11; ยน 17.25; ยน 18.17; ยน 18.25; ยน 18.26; ยน 20.25; ยน 21.3; กจ 7.59; กจ 19.15; กจ 23.3; กจ 26.13; กจ 26.19; กจ 26.27; รม 11.19; วว 4.11; วว 6.10; วว 11.17; วว 15.3; วว 15.4

ขากรรไกร ( 11 )
วนฉ 15.15 ท่านมาพบกระดูกขากรรไกรลาสดๆอันหนึ่งจึงยื่นมือหยิบมา และฆ่าคนเหล่านั้นเสียหนึ่งพันคน
วนฉ 15.16 แซมสันกล่าวว่า “ด้วยขากรรไกรลา เป็นกองซ้อนกอง ด้วยขากรรไกรลา เราได้ฆ่าคนหนึ่งพันเสีย”
วนฉ 15.17 อยู่มาเมื่อท่านกล่าวเช่นนั้นแล้วก็โยนกระดูกขากรรไกรลาทิ้งไป ท่านจึงเรียกชื่อตำบลนั้นว่า รามาทเลฮี
วนฉ 15.19 พระเจ้าจึงทรงเปิดช่องที่กระดูกขากรรไกรลาให้น้ำไหลออกมาจากที่นั้น ท่านก็ได้ดื่มและจิตวิญญาณก็สดชื่นฟื้นขึ้นอีก เพราะฉะนั้นที่แห่งนั้นท่านจึงเรียกชื่อว่า เอนหักโคร์ อยู่ที่เลฮีจนถึงทุกวันนี้
โยบ 29.17 ข้าหักขากรรไกรของคนชั่ว และได้ดึงเอาเหยื่อจากฟันของเขา
สดด 22.15 กำลังของข้าพระองค์เหือดแห้งไปเหมือนเศษหม้อดิน และลิ้นของข้าพระองค์ก็เกาะติดที่ขากรรไกร พระองค์ทรงวางข้าพระองค์ไว้ในผงคลีมัจจุราช
อสย 30.28 พระปัสสาสะของพระองค์เหมือนลำธารท่วมท้น ที่ท่วมถึงกลางคอ เพื่อจะร่อนบรรดาประชาชาติด้วยตะแกรงแห่งความไร้สาระ และจะมีบังเหียนซึ่งพาให้หลงไปที่ขากรรไกรของชนชาติทั้งหลาย
อสค 29.4 เราจะเอาเบ็ดเกี่ยวขากรรไกรของเจ้า และจะกระทำให้ปลาในแม่น้ำทั้งหลายของเจ้าติดกับเกล็ดของเจ้า และเราจะลากเจ้าขึ้นมาจากกลางแม่น้ำทั้งหลายของเจ้า และบรรดาปลาในแม่น้ำทั้งหลายของเจ้าจะติดอยู่กับเกล็ดของเจ้า
อสค 38.4 เราจะให้เจ้าหันกลับ และเอาเบ็ดเกี่ยวขากรรไกรของเจ้า และเราจะนำเจ้าออกมาพร้อมทั้งกองทัพทั้งสิ้นของเจ้า ทั้งม้าและพลม้า สวมเครื่องรบครบทุกคน เป็นกองทัพใหญ่ มีดั้งและโล่ ถือดาบทุกคน
ฮชย 11.4 เราจูงเขาด้วยสายแห่งมนุษยธรรมและด้วยปลอกแห่งความรัก เราเป็นผู้ถอดแอกที่ขากรรไกรของเขาออก และเราก้มลงเลี้ยงเขา

ข้าง ( 492 )
ปฐก 15.10 ท่านจึงนำบรรดาสัตว์เหล่านี้มาและผ่ากลางตัวมันวางข้างละซีกตรงกัน แต่นกทั้งหลายนั้นท่านหาได้ผ่าไม่
ปฐก 18.2 เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองดู และดูเถิด มีชายสามคนยืนอยู่ข้างเขา เมื่อเขาเห็นท่านเหล่านั้นจึงวิ่งจากประตูเต็นท์ไปต้อนรับท่านเหล่านั้นและก้มหน้าของเขาลงถึงดิน
ปฐก 18.8 เขาเอาเนย น้ำนมและลูกวัวซึ่งเขาได้ปรุงแล้วนั้นมาวางไว้ต่อหน้าท่านเหล่านั้น และเขายืนอยู่ข้างท่านเหล่านั้นใต้ต้นไม้แล้วท่านเหล่านั้นได้รับประทาน
ปฐก 29.2 เขาก็มองไป และเห็นบ่อน้ำบ่อหนึ่งในทุ่งนา ดูเถิด มีฝูงแกะสามฝูงนอนอยู่ข้างบ่อนั้น เพราะคนเลี้ยงแกะเคยตักน้ำจากบ่อนั้นให้ฝูงแกะกิน และหินใหญ่ก็ปิดปากบ่อนั้น
ปฐก 48.13 โยเซฟจูงบุตรทั้งสองเข้าไปใกล้บิดา มือขวาจับเอฟราอิมให้อยู่ข้างซ้ายอิสราเอล และมือซ้ายจับมนัสเสห์ให้อยู่ข้างขวาอิสราเอล
ปฐก 48.17 ฝ่ายโยเซฟเมื่อเห็นบิดาวางมือข้างขวาบนศีรษะของเอฟราอิมก็ไม่พอใจ จึงจับมือบิดาจะยกจากศีรษะเอฟราอิมวางบนศีรษะมนัสเสห์
ปฐก 50.10 เขาก็พากันมาถึงลานนวดข้าวแห่งอาทาด ซึ่งอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น ที่นั้นเขาร้องไห้คร่ำครวญเป็นอันมาก โยเซฟก็ไว้ทุกข์ให้บิดาเจ็ดวัน
ปฐก 50.11 เมื่อชาวแผ่นดินนั้นคือคนคานาอันได้เห็นการไว้ทุกข์ที่ลานอาทาด เขาจึงพูดกันว่า “นี่เป็นการไว้ทุกข์ใหญ่ของชาวอียิปต์” เหตุฉะนั้นเขาจึงเรียกชื่อตำบลนั้นว่า อาเบลมิสราอิม ตำบลนั้นอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น
อพย 12.7 แล้วเอาเลือดทาที่ไม้วงกบประตูทั้งสองข้าง และไม้ข้างบน ณ เรือนที่เขาเลี้ยงกันนั้นด้วย
อพย 12.22 เอาต้นหุสบกำหนึ่งจุ่มลงในเลือดที่อยู่ในอ่าง แล้วป้ายเลือดนั้นไว้ที่ไม้ข้างบน และไม้วงกบประตูทั้งสองข้างด้วยเลือดที่อยู่ในอ่าง อย่าให้ผู้ใดออกไปพ้นประตูบ้านของตนจนถึงรุ่งเช้า
อพย 12.23 เพราะพระเยโฮวาห์จะเสด็จผ่านไปเพื่อจะได้ประหารคนอียิปต์ เมื่อพระองค์ทรงเห็นเลือดที่ไม้ประตูข้างบนและที่ไม้วงกบประตูทั้งสองข้าง พระเยโฮวาห์จะทรงผ่านเว้นประตูนั้น ไม่ทรงยอมให้ผู้สังหารเข้าไปในบ้านท่าน เพื่อจะประหารท่าน
อพย 17.12 แต่มือของโมเสสเมื่อยล้า เขาทั้งสองก็นำก้อนหินมาวางไว้ให้โมเสส ท่านนั่ง อาโรนกับเฮอร์ก็ช่วยยกมือท่านขึ้นคนละข้าง มือของท่านก็ชูอยู่จนตะวันตกดิน
อพย 25.14 แล้วสอดคานหามเข้าที่ห่วงข้างหีบสำหรับใช้ยกหามหีบนั้น
อพย 25.18 จงทำเครูบทองคำสองรูป โดยใช้ฝีค้อนทำตั้งไว้ที่ปลายพระที่นั่งกรุณาทั้งสองข้าง
อพย 25.19 ทำเครูบไว้ที่ปลายพระที่นั่งกรุณาข้างละรูป ทำเครูบนั้นและให้ตอนปลายทั้งสองข้างติดเป็นเนื้อเดียวกับพระที่นั่งกรุณา
อพย 25.32 ให้มีกิ่งหกกิ่ง แยกออกจากลำคันประทีปนั้นข้างละสามกิ่ง
อพย 26.13 ส่วนม่านคลุมพลับพลา ซึ่งยาวเกินไปข้างละหนึ่งศอกนั้น ให้ห้อยลงมาข้างๆพลับพลาทั้งข้างนี้และข้างโน้น สำหรับใช้กำบัง
อพย 26.20 ด้านที่สองของพลับพลาข้างทิศเหนือนั้น ให้ใช้ไม้กรอบยี่สิบแผ่น
อพย 27.7 ไม้คานนั้นให้สอดไว้ในห่วง ในเวลาหามไม้คานจะอยู่ข้างแท่นข้างละอัน
อพย 27.14 ผ้าบังด้านริมประตูข้างหนึ่งให้ยาวสิบห้าศอก มีเสาสามต้น และฐานรองรับเสาสามฐาน
อพย 27.15 อีกข้างหนึ่งให้มีผ้าบังยาวสิบห้าศอก มีเสาสามต้น และฐานรองรับเสาสามฐาน
อพย 28.12 พลอยทั้งสองแผ่นนั้นให้ติดไว้กับเอโฟดบนบ่าทั้งสองข้าง พลอยนั้นจะเป็นที่ระลึกถึงบรรดาบุตรแห่งอิสราเอล และอาโรนจะแบกชื่อเขาทั้งหลายไว้บนบ่าทั้งสองเฉพาะพระพักตร์พระเยโฮวาห์เป็นที่ระลึก
อพย 28.25 และปลายสร้อยอีกสองข้าง ให้ติดกับกระเปาะที่มีลวดลายละเอียดทั้งสอง ให้ติดไว้ข้างหน้าที่แถบยึดเอโฟดทั้งสองข้างบนบ่า
อพย 28.26 จงทำห่วงทองคำสองอันติดไว้ที่มุมล่างทั้งสองข้างของทับทรวงข้างในที่ติดเอโฟด
อพย 28.37 และเจ้าจงเอาด้ายถักสีฟ้า ผูกแผ่นทองคำนั้นไว้บนมาลาให้อยู่ที่ข้างมาลาด้านหน้า
อพย 29.20 แล้วท่านจงฆ่าแกะตัวนั้นเสีย เอาเลือดส่วนหนึ่งเจิมที่ปลายใบหูข้างขวาของอาโรน และที่ปลายใบหูข้างขวาของบุตรชายของเขาทุกคน และที่หัวแม่มือข้างขวา และที่หัวแม่เท้าข้างขวาของเขาบ้าง แล้วจงเอาเลือดที่เหลือพรมรอบๆแท่นบูชา
อพย 29.22 เจ้าจงเอาไขมันแกะตัวผู้และหางที่เป็นไขมัน กับไขมันที่ติดเครื่องใน และพังผืดที่ติดอยู่กับตับ กับไตทั้งสองและไขมันที่ติดอยู่กับไต กับโคนขาข้างขวาด้วย เพราะเป็นแกะใช้สำหรับการสถาปนา
อพย 36.25 ด้านที่สองของพลับพลาข้างทิศเหนือนั้นเขาทำไม้กรอบยี่สิบแผ่น
อพย 37.5 เขาสอดคานหามเข้าที่ห่วงข้างหีบสำหรับใช้ยกหีบนั้น
อพย 37.7 เขาทำเครูบทองคำสองรูป โดยใช้ค้อนทำ ตั้งไว้ที่ปลายพระที่นั่งกรุณาทั้งสองข้าง
อพย 37.8 เขาทำเครูบไว้ที่ปลายพระที่นั่งกรุณาข้างละรูป เขาทำเครูบนั้นตอนปลายทั้งสองข้างเป็นเนื้อเดียวกับพระที่นั่งกรุณา
อพย 37.18 มีกิ่งหกกิ่งแยกออกจากลำคันประทีปนั้นข้างละสามกิ่ง
อพย 38.7 เขาสอดไม้คานนั้นไว้ในห่วงที่ข้างแท่นสำหรับหาม เขาทำแท่นนั้นด้วยไม้กระดานให้ข้างในกลวง
อพย 38.14 ผ้าบังด้านริมประตูข้างหนึ่งยาวสิบห้าศอก มีเสาสามต้นและฐานรองรับเสาสามฐาน
อพย 38.15 และอีกข้างหนึ่ง ริมประตูข้างนี้และข้างโน้น มีผ้าบังยาวสิบห้าศอก มีเสาสามต้นและฐานรองรับเสาสามฐาน
อพย 39.18 และปลายสร้อยอีกสองข้างนั้น เขาทั้งหลายทำติดกับกระเปาะลวดลายละเอียดทั้งสอง ให้ติดไว้ข้างหน้าที่แถบยึดเอโฟดทั้งสองข้างบนบ่า
อพย 40.8 จงตั้งข้างฝาลานไว้รอบพลับพลา และติดม่านบังตาไว้ที่ประตูลานนั้น
ลนต 1.11 ให้เขาฆ่าสัตว์นั้นเสียที่แท่นบูชาข้างด้านเหนือต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ และพวกปุโรหิต คือบุตรชายของอาโรน จะเอาเลือดสัตว์นั้นประพรมที่แท่นและรอบแท่นบูชา
ลนต 1.15 จงให้ปุโรหิตนำนกนั้นมาที่แท่น บิดหัวเสียแล้วเผาบูชาบนแท่น ให้เลือดไหลออกมาข้างๆแท่น
ลนต 5.9 และปุโรหิตจะเอาเลือดเครื่องบูชาไถ่บาปประพรมที่ข้างแท่นเสียบ้าง ส่วนเลือดที่เหลืออยู่นั้นจะรีดให้ไหลออกที่ฐานแท่น นี่เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
ลนต 6.10 ให้ปุโรหิตสวมเสื้อผ้าป่านและสวมกางเกงผ้าป่านและให้ตักมูลเถ้าออกจากไฟที่ไหม้เครื่องเผาบูชาอยู่บนแท่นนำไปไว้ข้างแท่น
ลนต 7.32 แต่โคนขาข้างขวาของสัตว์นั้นเจ้าจงให้ปุโรหิตเป็นส่วนถวายจากเครื่องบูชาแห่งสันติบูชา
ลนต 7.33 บุตรชายอาโรนผู้ถวายเลือดแห่งสันติบูชาและไขมันจะได้รับโคนขาข้างขวาเป็นส่วนของเขา
ลนต 8.23 โมเสสก็ฆ่าแกะนั้นเสีย เอาเลือดเจิมที่ปลายหูข้างขวาของอาโรน และที่นิ้วหัวแม่มือขวาของเขา และที่นิ้วหัวแม่เท้าขวาของเขา
ลนต 8.24 แล้วนำบุตรชายทั้งหลายของอาโรนเข้ามา และโมเสสเอาเลือดเจิมที่ปลายหูข้างขวา ที่นิ้วหัวแม่มือข้างขวา ที่นิ้วหัวแม่เท้าข้างขวาของเขา และโมเสสเอาเลือดประพรมที่แท่นและรอบแท่น
ลนต 8.25 แล้วท่านจึงนำไขมันและหางที่เป็นไขมัน และไขมันทั้งหมดที่อยู่กับเครื่องใน และพังผืดเหนือตับและไตสองลูกกับไขมันที่ติดอยู่ และโคนขาข้างขวา
ลนต 8.26 และท่านหยิบขนมไร้เชื้อหนึ่งก้อนจากกระบุงขนมปังไร้เชื้อ ซึ่งอยู่ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ และหยิบขนมคลุกน้ำมันก้อนหนึ่ง และขนมแผ่นแผ่นหนึ่ง วางของเหล่านี้ไว้บนไขมัน และบนโคนขาข้างขวา
ลนต 9.21 ส่วนเนื้ออกและเนื้อโคนขาข้างขวานั้น อาโรนแกว่งไปแกว่งมาเป็นเครื่องบูชาแกว่งถวายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ดังที่โมเสสบัญชาไว้
ลนต 14.14 ปุโรหิตจะนำเลือดของเครื่องบูชาไถ่การละเมิดมาบ้าง และปุโรหิตจะเจิมที่ปลายหูข้างขวาของผู้ที่รับการชำระ และเจิมที่นิ้วหัวแม่มือขวาและที่นิ้วหัวแม่เท้าขวาของเขา
ลนต 14.25 และเขาจะฆ่าลูกแกะเครื่องบูชาไถ่การละเมิด และปุโรหิตจะเอาเลือดของเครื่องบูชาไถ่การละเมิดมาบ้าง เจิมที่ปลายหูข้างขวาของผู้รับการชำระ และที่นิ้วหัวแม่มือขวา กับที่นิ้วหัวแม่เท้าขวาของเขา
ลนต 14.28 และปุโรหิตจะเอาน้ำมันที่อยู่ในมือเจิมที่ปลายหูข้างขวาของผู้รับการชำระ และที่หัวแม่มือขวากับหัวแม่เท้าขวาของเขา ตรงที่ที่เจิมด้วยเลือดของเครื่องบูชาไถ่การละเมิด
ลนต 16.14 เขาจะเอาเลือดวัวมาประพรมด้วยนิ้วมือของตนบนพระที่นั่งกรุณาข้างตะวันออก แล้วจะประพรมเลือดที่หน้าพระที่นั่งกรุณาเจ็ดครั้งด้วยนิ้วของเขา
กดว 11.31 มีลมพัดมาจากพระเยโฮวาห์พาฝูงนกคุ่มมาจากทะเล ให้มาตกอยู่ที่ข้างค่ายรอบค่ายทุกทิศห่างออกไปเป็นหนทางเดินวันหนึ่ง สูงพ้นพื้นดินประมาณสองศอก
กดว 21.13 เขายกออกจากที่นั่นไปตั้งอยู่ฟากแม่น้ำอารโนนข้างโน้น ซึ่งอยู่ในถิ่นทุรกันดารที่ยืดมาจากพรมแดนของคนอาโมไรต์ เพราะว่าแม่น้ำอารโนนเป็นพรมแดนของโมอับ ระหว่างโมอับกับคนอาโมไรต์
กดว 21.20 และจากบาโมทถึงหุบเขาซึ่งอยู่ในท้องถิ่นโมอับข้างยอดเขาปิสกาห์ซึ่งมองลงมาเห็นเยชิโมน
กดว 22.1 แล้วคนอิสราเอลก็ยกออกไปตั้งค่ายอยู่ ณ ที่ราบโมอับซึ่งอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ใกล้เมืองเยรีโค
กดว 22.24 แล้วทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์มายืนอยู่ในทางแคบระหว่างสวนองุ่น มีกำแพงทั้งสองข้างทาง
กดว 22.26 แล้วทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ก็เดินไปข้างหน้ายืนอยู่ในที่แคบ ไม่มีทางที่จะหลีกไปข้างขวาหรือข้างซ้าย
กดว 23.6 บาลาอัมจึงกลับไปหาบาลาค และดูเถิด บาลาคกับบรรดาเจ้านายแห่งโมอับยืนอยู่ที่ข้างเครื่องเผาบูชาของท่าน
กดว 23.15 บาลาอัมพูดกับบาลาคว่า “จงยืนอยู่ข้างเครื่องเผาบูชาของท่านเถิด ขณะที่ข้าพเจ้าไปพบพระเยโฮวาห์ตรงโน้น”
กดว 23.17 บาลาอัมก็กลับมาหาบาลาค ดูเถิด เขายืนอยู่ข้างเครื่องเผาบูชาของท่าน มีเจ้านายแห่งโมอับยืนอยู่กับท่าน บาลาคจึงถามเขาว่า “พระเยโฮวาห์ตรัสว่ากระไร”
กดว 24.6 เหมือนหุบเขาที่ยืดไปไกล เหมือนสวนซึ่งอยู่ข้างแม่น้ำ เหมือนต้นกฤษณาซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงปลูกไว้ เหมือนต้นสนสีดาร์ที่อยู่ข้างลำน้ำ
กดว 32.19 เพราะเราจะมิได้รับมรดกกับเขาซึ่งอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นและนอกออกไป เพราะว่ามรดกที่ตกทอดมาถึงเราอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างตะวันออกนี้”
กดว 32.32 เราจะถืออาวุธข้ามไปต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์สู่แผ่นดินคานาอัน และที่ดินมรดกของเรานั้นจะคงอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้”
กดว 34.11 และอาณาเขตจะลงมาจากเชฟามถึงริบลาห์ข้างตะวันออกของเมืองอายิน และอาณาเขตจะลงมาถึงไหล่ทะเลคินเนเรททางด้านตะวันออก
กดว 34.15 ทั้งสองตระกูลและครึ่งตระกูลนั้นได้รับมรดกของเขาที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ใกล้เมืองเยรีโคด้านตะวันออก ทางดวงอาทิตย์ขึ้น”
กดว 35.14 เจ้าจงให้ทางฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้สามเมือง และอีกสามเมืองในแผ่นดินคานาอัน ให้เป็นเมืองลี้ภัย
พบญ 1.1 ข้อความต่อไปนี้เป็นคำที่โมเสสกล่าวแก่คนอิสราเอลทั้งปวงที่ในถิ่นทุรกันดารฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ คือในที่ราบข้างหน้าทะเลแดงระหว่างปารานและโทเฟล ลาบัน ฮาเซโรท และดีซาหับ
พบญ 1.5 โมเสสได้เริ่มอธิบายพระราชบัญญัตินี้ที่ในแผ่นดินโมอับฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ว่า
พบญ 3.8 ครั้งนั้นเราได้ยึดแผ่นดินเสียจากมือของกษัตริย์ทั้งสองของคนอาโมไรต์ ผู้อยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ ตั้งแต่ลุ่มแม่น้ำอารโนนถึงภูเขาเฮอร์โมน
พบญ 3.20 กว่าพระเยโฮวาห์จะโปรดให้พี่น้องของท่านได้หยุดพักเหมือนได้ประทานแก่ท่านแล้ว จนเขาทั้งหลายจะยึดครองแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่เขาที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นแล้ว ท่านทั้งหลายต่างจึงจะกลับมายังที่อยู่ของตน ซึ่งข้าพเจ้าได้ให้แก่ท่านทั้งหลาย’
พบญ 3.25 ขอพระองค์ทรงโปรดอนุญาตให้ข้าพระองค์ข้ามไปดูแผ่นดินอันดีที่อยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น ดูแดนเทือกเขางดงามและเลบานอนด้วย’
พบญ 4.32 เพราะบัดนี้จงถามดูเถอะว่า ในกาลวันที่ล่วงมาแล้วนั้น คือวันที่อยู่ก่อนท่านทั้งหลาย ตั้งแต่วันที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ไว้บนโลก และถามดูจากฟ้าข้างนี้ถึงฟ้าข้างโน้นว่า เคยมีเรื่องใหญ่โตอย่างนี้เกิดขึ้นบ้างหรือ หรือเคยได้ยินถึงเรื่องอย่างนี้บ้างหรือ
พบญ 4.41 แล้วโมเสสกำหนดหัวเมืองทางดวงอาทิตย์ขึ้นฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้สามหัวเมือง
พบญ 4.46 ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ที่หุบเขาตรงข้ามเบธเปโอร์ ในแผ่นดินของสิโหนกษัตริย์คนอาโมไรต์ ผู้อยู่ที่เฮชโบนซึ่งโมเสสและคนอิสราเอลได้ตีพ่ายไปครั้งเมื่อออกมาจากอียิปต์แล้ว
พบญ 4.47 คนอิสราเอลได้เข้ายึดแผ่นดินของท่านและแผ่นดินของโอกกษัตริย์เมืองบาชาน เป็นกษัตริย์สององค์ของคนอาโมไรต์ ผู้อยู่ทางดวงอาทิตย์ขึ้นฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้
พบญ 4.49 รวมกับที่ราบทั้งหมด ซึ่งอยู่ฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ จนถึงทะเลแห่งที่ราบ ที่น้ำพุแห่งปิสกาห์
พบญ 11.30 ภูเขาเหล่านี้อยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น ไปตามทางที่ดวงอาทิตย์ตกในแผ่นดินคนคานาอัน ผู้อาศัยอยู่ในที่ราบตรงหน้ากิลกาลข้างที่ราบโมเรห์มิใช่หรือ
พบญ 13.7 เป็นพระบางองค์ของชนชาติทั้งหลายซึ่งอยู่รอบท่าน ไม่ว่าใกล้หรือไกล จากสุดปลายแผ่นดินโลกข้างนี้ถึงที่สุดปลายโลกข้างโน้น
พบญ 16.21 ท่านทั้งหลายอย่าปลูกต้นไม้ใดๆใช้เป็นเสารูปเคารพข้างแท่นบูชาพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านซึ่งท่านจะสร้างไว้
พบญ 18.3 ให้ส่วนต่อไปนี้เป็นส่วนที่ปุโรหิตได้อันตกจากประชาชน คือส่วนที่ได้จากผู้ที่ถวายสัตวบูชา ไม่ว่าจะเป็นวัวผู้หรือแกะ ก็ให้เขามอบเนื้อสันขาหน้า เนื้อแก้มทั้งสองข้าง และเนื้อท้องให้แก่ปุโรหิต
พบญ 25.9 แล้วนางนั้นจะเข้าไปใกล้ชายคนนั้นต่อหน้าพวกผู้ใหญ่ดึงเอารองเท้าของชายคนนั้นออกมาข้างหนึ่ง และถ่มน้ำลายรดหน้าชายนั้นแล้วกล่าวว่า ‘ต้องกระทำเช่นนี้กับผู้ชายที่ไม่ยอมสร้างครอบครัวของพี่น้องของตน’
พบญ 28.64 และพระเยโฮวาห์จะทรงกระทำให้ท่านทั้งหลายกระจัดกระจายไปท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย ตั้งแต่ที่สุดปลายโลกข้างนี้ไปถึงข้างโน้น ณ ที่นั้นท่านจะปรนนิบัติพระอื่นๆ ซึ่งท่านและบรรพบุรุษของท่านไม่รู้จักคือ พระซึ่งทำด้วยไม้และศิลา
พบญ 30.19 ข้าพเจ้าขออัญเชิญสวรรค์และโลกให้เป็นพยานต่อท่านในวันนี้ว่า ข้าพเจ้าตั้งชีวิตและความตาย พระพรและคำสาปแช่งไว้ต่อหน้าท่าน เพราะฉะนั้นท่านจงเลือกเอาข้างชีวิตเพื่อท่านและเชื้อสายของท่านจะได้มีชีวิตอยู่
พบญ 31.26 “จงรับหนังสือพระราชบัญญัตินี้วางไว้ข้างหีบพันธสัญญาแห่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ให้อยู่ที่นั่นเพื่อเป็นพยานปรักปรำท่าน
ยชว 1.14 จงให้ภรรยาของท่านทั้งหลาย ลูกเล็กของท่าน และฝูงสัตว์ของท่านอยู่ในแผ่นดินซึ่งโมเสสยกให้ที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ แต่ผู้ชายที่ชำนาญศึกทั้งหลายในพวกท่านต้องถืออาวุธข้ามไปเป็นทัพหน้า เพื่อช่วยพี่น้องของตน
ยชว 1.15 จนกว่าพระเยโฮวาห์จะประทานที่พักให้แก่พี่น้องของท่าน ดังที่ประทานแก่ท่าน ทั้งให้เขาได้ยึดครองแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่เขา แล้วท่านจึงจะกลับไปยังแผ่นดินที่ท่านยึดครองและถือไว้เป็นกรรมสิทธิ์ คือแผ่นดินซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์ได้ให้แก่พวกท่านฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ทางดวงอาทิตย์ขึ้น”
ยชว 2.10 เพราะเราทั้งหลายได้ยินเรื่องที่พระเยโฮวาห์ทรงกระทำให้ทะเลแดงแห้งไปต่อหน้าท่านเมื่อท่านออกจากอียิปต์ และเรื่องการที่ท่านได้กระทำแก่กษัตริย์ทั้งสองของคนอาโมไรต์ ซึ่งอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น คือกษัตริย์สิโหนและโอก ผู้ซึ่งท่านทั้งหลายได้ทำลายเสียสิ้น
ยชว 3.16 น้ำที่ไหลมาจากข้างบนก็หยุดตั้งขึ้นและนูนขึ้นเป็นกองไกลออกไปยิ่งนักตั้งแต่เมืองอาดัม ซึ่งเป็นเมืองอยู่ข้างๆเมืองศาเรธาน และน้ำที่ไหลลงสู่ทะเลแห่งที่ราบ คือทะเลเค็มนั้นก็ขาดกันสิ้น แล้วประชาชนก็ข้ามไปที่ฝั่งตรงข้ามเมืองเยรีโค
ยชว 4.19 ประชาชนได้ขึ้นจากจอร์แดนในวันที่สิบเดือนที่หนึ่ง ไปตั้งค่ายอยู่ที่กิลกาล ริมเขตเมืองเยรีโคข้างทิศตะวันออก
ยชว 5.1 ต่อมาเมื่อบรรดากษัตริย์ของคนอาโมไรต์ซึ่งอยู่ฟากจอร์แดนข้างตะวันตก และบรรดากษัตริย์ของคนคานาอัน ซึ่งอยู่ใกล้ทะเล ได้ยินว่าพระเยโฮวาห์ทรงบันดาลให้น้ำในจอร์แดนแห้งไปต่อหน้าคนอิสราเอล ให้เราข้ามฟากไปได้หมดแล้ว จิตใจของเขาก็ละลายไป ไม่มีกำลังใจในตัวอีกต่อไปเหตุเพราะคนอิสราเอล
ยชว 5.13 ต่อมาเมื่อโยชูวาอยู่ข้างเมืองเยรีโค ท่านก็เงยหน้าขึ้นมองดู และดูเถิด มีชายคนหนึ่งชักดาบออกมาถือยืนอยู่ตรงหน้าท่าน โยชูวาเข้าไปหาชายนั้น กล่าวแก่เขาว่า “ท่านอยู่ฝ่ายเราหรืออยู่ฝ่ายศัตรู”
ยชว 7.2 ฝ่ายโยชูวาให้คนออกจากเยรีโคไปยังเมืองอัย ซึ่งอยู่ใกล้เบธาเวน ข้างทิศตะวันออกของเมืองเบธเอล บอกเขาว่า “จงขึ้นไปและสอดแนมดูเมืองนั้น” คนเหล่านั้นก็ขึ้นไปและสอดแนมดูที่เมืองอัย
ยชว 7.7 โยชูวากราบทูลว่า “โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า อนิจจาเอ๋ย เป็นไฉนพระองค์จึงทรงนำชนชาตินี้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนมา เพื่อจะมอบเราทั้งหลายไว้ในมือของคนอาโมไรต์ให้ทำลายเสีย พวกข้าพระองค์มีความเสียดายที่ไม่พอใจอยู่เพียงฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น
ยชว 8.22 คนอื่นๆก็ออกมาจากเมืองสู้รบกับเขา กระทำให้เขาอยู่ระหว่างกลางอิสราเอล ผู้อยู่ข้างนี้บ้างข้างโน้นบ้าง และคนอิสราเอลก็โจมตีเขาจนไม่มีสักคนหนึ่งรอดชีวิตหรือหนีไปได้
ยชว 8.33 คนอิสราเอลทั้งหมด ทั้งคนต่างด้าวและคนที่เกิดในอิสราเอล พร้อมทั้งพวกผู้ใหญ่ เจ้าหน้าที่ และผู้พิพากษา ยืนอยู่ทั้งสองข้างของหีบต่อหน้าคนเลวีที่เป็นปุโรหิต ผู้ที่หามหีบพันธสัญญาของพระเยโฮวาห์ ครึ่งหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้าภูเขาเกริซิม อีกครึ่งหนึ่งข้างหน้าภูเขาเอบาล ดังที่โมเสสผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์ได้บัญชาไว้ในครั้งแรกให้เขาทั้งหลายอวยพรแก่คนอิสราเอล
ยชว 9.1 ต่อมาเมื่อกษัตริย์ทั้งหลายที่อยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ คือที่อยู่ในแดนเทือกเขา และในหุบเขา และตามฝั่งทะเลใหญ่ไปทั่วจนถึงภูเขาเลบานอน เป็นคนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนคานาอัน คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุสได้ยินข่าวนี้
ยชว 9.10 และได้ทราบถึงบรรดาสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำต่อกษัตริย์คนอาโมไรต์ทั้งสองพระองค์ผู้อยู่ทางฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น คือสิโหนกษัตริย์เมืองเฮชโบน และโอกกษัตริย์เมืองบาชานผู้อยู่ที่อัชทาโรท
ยชว 12.1 ต่อไปนี้เป็นกษัตริย์แห่งแผ่นดินนั้นซึ่งประชาชนอิสราเอลได้กระทำให้แพ้ไป และได้ยึดครองแผ่นดินฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นทางดวงอาทิตย์ขึ้น จากที่ลุ่มแม่น้ำอารโนนถึงภูเขาเฮอร์โมน และที่ราบซึ่งอยู่ด้านตะวันออกทั้งหมด
ยชว 12.3 และแถบที่ราบถึงทะเลคินเนเรทข้างตะวันออก และตรงทางไปยังเบธเยชิโมทไปถึงทะเลแห่งที่ราบ คือทะเลเค็มข้างตะวันออก จากด้านใต้มาจนถึงที่อัชโดดปิสกาห์
ยชว 12.7 ต่อไปนี้เป็นกษัตริย์แห่งแผ่นดินซึ่งโยชูวากับคนอิสราเอลได้ทำให้พ่ายแพ้อยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ทางทิศตะวันตก ตั้งแต่บาอัลกาดในหุบเขาเลบานอน ถึงภูเขาฮาลัก ที่สูงเรื่อยขึ้นไปถึงเสอีร์ ซึ่งโยชูวามอบให้แก่ตระกูลคนอิสราเอลให้ถือเป็นกรรมสิทธิ์ตามส่วนแบ่งของเขา
ยชว 12.9 คือกษัตริย์เมืองเยรีโคองค์หนึ่ง กษัตริย์เมืองอัยที่อยู่ข้างเบธเอลองค์หนึ่ง
ยชว 13.8 ส่วนมนัสเสห์อีกครึ่งตระกูล คนรูเบน และคนกาดได้รับส่วนมรดกของเขา ซึ่งโมเสสได้มอบให้ทางฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นด้านตะวันออก ส่วนที่โมเสสผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์มอบให้เขาคือ
ยชว 13.27 ในหว่างเขา มีเมืองเบธฮารัม เบธนิมราห์ สุคคทและซาโฟน ราชอาณาจักรส่วนที่เหลือของสิโหนกษัตริย์เมืองเฮชโบนนั้น มีแม่น้ำจอร์แดนเป็นพรมแดน จดทะเลคินเนเรทตอนปลายข้างล่าง ด้านตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น
ยชว 13.32 เหล่านี้เป็นดินแดนต่างๆซึ่งโมเสสได้แบ่งปันให้เป็นมรดก ณ ที่ราบโมอับ ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นทิศตะวันออกของเมืองเยรีโค
ยชว 14.3 เพราะโมเสสได้ให้มรดกแก่คนสองตระกูลครึ่งทางฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นแล้ว แต่ท่านหาได้แบ่งส่วนมรดกให้แก่พวกเลวีไม่
ยชว 17.5 ดังนี้แหละส่วนที่ตกแก่คนมนัสเสห์จึงมีสิบส่วน นอกเหนือดินแดนกิเลอาดและบาชานซึ่งอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น
ยชว 18.7 แต่คนเลวีไม่มีส่วนแบ่งในหมู่พวกท่านทั้งหลาย ด้วยตำแหน่งปุโรหิตของพระเยโฮวาห์เป็นมรดกของเขาแล้ว คนกาด และคนรูเบน กับตระกูลมนัสเสห์ครึ่งหนึ่งก็ได้รับมรดกของเขาทางฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นด้านตะวันออก ซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์ได้มอบให้แก่เขาทั้งหลายแล้ว”
ยชว 20.8 และทางฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นตรงเมืองเยรีโคนั้น เขาได้กำหนดเมืองเบเซอร์ในถิ่นทุรกันดารบนที่ราบจากที่ดินคนตระกูลรูเบน และเมืองราโมทในกิเลอาดจากที่ดินคนตระกูลกาด และเมืองโกลานในบาชานจากที่ดินคนตระกูลมนัสเสห์
ยชว 22.4 บัดนี้พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านได้โปรดให้พี่น้องของท่านหยุดพักแล้ว ดังที่พระองค์ทรงสัญญาไว้กับเขา ฉะนั้นบัดนี้ท่านจงกลับไปสู่เต็นท์ของท่านเถิด ไปสู่แผ่นดินซึ่งท่านถือกรรมสิทธิ์ ซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์ยกให้ท่านที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นนั้น
ยชว 22.7 ส่วนคนมนัสเสห์ครึ่งตระกูลนั้นโมเสสได้มอบให้เขาถือกรรมสิทธิ์ในเมืองบาชาน แต่อีกครึ่งตระกูลนั้นโยชูวามอบให้เขามีกรรมสิทธิ์ข้างเคียงกับพี่น้องของเขาที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างด้านตะวันตกนี้ และเมื่อโยชูวาส่งเขากลับไปยังเต็นท์ของตน ท่านได้อวยพรเขา
ยชว 23.13 ท่านจงทราบเป็นแน่เถิดว่า พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะไม่ทรงขับไล่ประชาชาติเหล่านี้ออกไปให้พ้นหน้าท่าน แต่เขาจะเป็นบ่วงและเป็นกับดักท่าน เป็นหอกข้างแคร่เป็นหนามยอกตา จนกว่าท่านจะพินาศไปจากแผ่นดินที่ดีนี้ ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน
ยชว 24.2 แล้วโยชูวากล่าวกับประชาชนทั้งสิ้นว่า “พระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘ในกาลดึกดำบรรพ์บรรพบุรุษของเจ้าอยู่ฟากแม่น้ำข้างโน้น คือเทราห์ บิดาของอับราฮัมและของนาโฮร์ และเขาปรนนิบัติพระอื่น
ยชว 24.3 แล้วเราได้นำบิดาของเจ้าคืออับราฮัมมาจากฟากแม่น้ำข้างโน้น และนำเขามาตลอดแผ่นดินคานาอัน กระทำให้เชื้อสายของเขามีมากมาย เราให้อิสอัคแก่เขา
ยชว 24.8 และเราก็นำเจ้าทั้งหลายมาที่แผ่นดินของคนอาโมไรต์ซึ่งอยู่ที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น เขาสู้รบกับเจ้าทั้งหลาย และเราได้มอบเขาไว้ในมือของเจ้า และเจ้าทั้งหลายยึดครองแผ่นดินของเขาและเราก็ทำลายเขาให้พ้นหน้าเจ้า
ยชว 24.14 เหตุฉะนั้น บัดนี้จงยำเกรงพระเยโฮวาห์และปรนนิบัติพระองค์ด้วยความจริงใจและด้วยความจริง จงทิ้งพระเหล่านั้นซึ่งบรรพบุรุษของท่านได้เคยปรนนิบัติที่ฟากแม่น้ำข้างโน้น และในอียิปต์เสีย และท่านทั้งหลายจงปรนนิบัติพระเยโฮวาห์
ยชว 24.15 และถ้าท่านไม่เต็มใจที่จะปรนนิบัติพระเยโฮวาห์ ท่านทั้งหลายจงเลือกเสียในวันนี้ว่าท่านจะปรนนิบัติผู้ใด จะปรนนิบัติพระซึ่งอยู่ฟากแม่น้ำข้างโน้นที่บรรพบุรุษของท่านได้เคยปรนนิบัติ หรือพระของคนอาโมไรต์ในแผ่นดินซึ่งท่านอาศัยอยู่ แต่ส่วนข้าพเจ้าและครอบครัวของข้าพเจ้า เราจะปรนนิบัติพระเยโฮวาห์”
วนฉ 5.17 กิเลอาดอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น ส่วนดานอาศัยอยู่กับเรือกำปั่นทำไมเล่า อาเชอร์นั่งเฉยอยู่ที่ฝั่งทะเลตั้งบ้านเรือนอยู่ตามท่าจอดเรือของเขา
วนฉ 5.26 นางเอื้อมมือหยิบหลักเต็นท์ ข้างมือขวาของนางฉวยตะลุมพุก นางตอกสิเสราเข้าทีหนึ่ง นางบี้ศีรษะของสิเสรา นางตีทะลุขมับของเขา
วนฉ 6.25 อยู่มาในคืนวันนั้นพระเยโฮวาห์ตรัสสั่งกิเดโอนว่า “จงเอาวัวหนุ่มของบิดา คือวัวผู้ตัวที่สองที่มีอายุเจ็ดปีมา ไปพังแท่นพระบาอัลซึ่งบิดาของเจ้ามีอยู่นั้นลงเสีย จงโค่นเสารูปเคารพซึ่งอยู่ข้างๆแท่นเสียด้วย
วนฉ 6.28 เมื่อชาวเมืองตื่นขึ้นในเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ดูเถิด แท่นบูชาพระบาอัลพังทลาย และเสารูปเคารพที่อยู่ข้างๆก็ถูกโค่นลง และมีวัวผู้ตัวที่สองวางบูชาอยู่บนแท่นที่สร้างขึ้นใหม่นั้น
วนฉ 6.30 แล้วชาวเมืองจึงบอกโยอาชว่า “จงมอบลูกของเจ้านั้นมาให้ประหารชีวิตเสีย เพราะเขาได้พังแท่นของพระบาอัลและโค่นเสารูปเคารพที่อยู่ข้างแท่นนั้น”
วนฉ 7.25 จับโอเรบและเศเอบเจ้านายสองคนของพวกมีเดียนได้ เขาฆ่าโอเรบเสียที่ศิลาโอเรบ และฆ่าเศเอบเสียที่บ่อย่ำองุ่นชื่อเศเอบ แล้วก็ไล่ติดตามพวกมีเดียนไป และเขานำเอาศีรษะโอเรบและเศเอบมาให้กิเดโอนที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น
วนฉ 9.6 ชาวเมืองเชเคมและชาววงศ์วานมิลโลทั้งสิ้นก็มาประชุมพร้อมกัน ตั้งอาบีเมเลคให้เป็นกษัตริย์ที่ข้างที่ราบแห่งเสาสำคัญที่อยู่ในเมืองเชเคม
วนฉ 10.8 เขาได้ข่มเหงและบีบบังคับคนอิสราเอลในปีนั้น คือคนอิสราเอลทั้งปวงที่อยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นในแผ่นดินของคนอาโมไรต์ ซึ่งอยู่ในกิเลอาดสิบแปดปี
วนฉ 11.18 แล้วเขาก็เดินไปในถิ่นทุรกันดารอ้อมแผ่นดินเอโดม และแผ่นดินโมอับ และมาทางด้านตะวันออกของแผ่นดินโมอับ และตั้งค่ายอยู่ที่ฟากแม่น้ำอารโนนข้างโน้น แต่เขามิได้เข้าไปในเขตแดนของโมอับ เพราะว่าแม่น้ำอารโนนเป็นพรมแดนของโมอับ
วนฉ 16.28 ฝ่ายแซมสันก็ร้องทูลต่อพระเยโฮวาห์ว่า “โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า ขอทรงระลึกถึงข้าพระองค์ ขอประทานกำลังแก่ข้าพระองค์ครั้งนี้อีกครั้งเดียว โอ ข้าแต่พระเจ้า เพื่อในเวลานี้ข้าพระองค์จะได้แก้แค้นคนฟีลิสเตียเพื่อตาทั้งสองข้างของข้าพระองค์”
นรธ 2.1 ฝ่ายนาโอมีนั้นมีญาติข้างสามีคนหนึ่ง เป็นคนมั่งมี ครอบครัวเดียวกับเอลีเมเลค ชื่อโบอาส
นรธ 2.14 โบอาสก็บอกนางว่า “พอถึงเวลารับประทานอาหารเชิญมานี่เถิด มารับประทานขนมปังบ้าง และเอาอาหารมาจิ้มน้ำส้มเถิด” นางจึงนั่งลงข้างๆพวกคนเกี่ยวข้าว โบอาสจึงส่งข้าวคั่วให้ และนางก็รับประทานจนอิ่ม และยังเหลือไว้บ้าง
1ซมอ 1.9 หลังจากที่ได้รับประทานอาหารและดื่มที่เมืองชีโลห์แล้ว ฮันนาห์ก็ลุกขึ้น ฝ่ายเอลีปุโรหิตนั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างเสาประตูพระวิหารของพระเยโฮวาห์
1ซมอ 3.11 แล้วพระเยโฮวาห์ตรัสกับซามูเอลว่า “ดูเถิด เราจะทำสิ่งหนึ่งในอิสราเอล หูของทุกคนผู้ที่ได้ยินจะซ่าทั้งสองข้าง
1ซมอ 4.1 และถ้อยคำของซามูเอลมาถึงคนอิสราเอลทั้งปวง ฝ่ายคนอิสราเอลได้ยกกองทัพออกไปสู้รบกับคนฟีลิสเตีย ได้ตั้งค่ายอยู่ข้างเอเบนเอเซอร์ และคนฟีลิสเตียตั้งค่ายอยู่ในเอเฟก
1ซมอ 4.13 เมื่อเขามาถึงนั้น ดูเถิด เอลีอยู่บนที่นั่งข้างถนนคอยเฝ้าอยู่ เพราะจิตใจของท่านหวั่นด้วยเรื่องหีบแห่งพระเจ้า และเมื่อชายคนนั้นเข้ามาในเมืองและบอกข่าว ชาวเมืองทั้งสิ้นก็ร้องขึ้น
1ซมอ 4.18 ต่อมาเมื่อเขากล่าวถึงหีบแห่งพระเจ้า เอลีก็หงายหลังจากที่นั่งที่อยู่ข้างประตู คอของท่านก็หัก และท่านสิ้นชีวิตแล้ว เพราะท่านชรามากและตัวก็หนัก ท่านได้วินิจฉัยคนอิสราเอลอยู่สี่สิบปี
1ซมอ 5.2 เมื่อคนฟีลิสเตียยึดหีบแห่งพระเจ้าไปนั้น เขานำเข้าไปไว้ในนิเวศของพระดาโกน และวางไว้ข้างพระดาโกน
1ซมอ 6.8 จงนำหีบแห่งพระเยโฮวาห์มาวางไว้บนเกวียน และวางเครื่องทองคำซึ่งท่านทั้งหลายถวายให้พระองค์เป็นเครื่องบูชาไถ่การละเมิดไว้ในหีบข้างๆแล้วก็ปล่อยให้มันไป
1ซมอ 6.15 และคนเลวีก็เชิญหีบแห่งพระเยโฮวาห์ลง และหีบที่อยู่ข้างๆซึ่งมีเครื่องทองคำ วางไว้บนก้อนหินใหญ่นั้น และชาวเบธเชเมชก็ถวายเครื่องเผาบูชาและถวายเครื่องสัตวบูชาแด่พระเยโฮวาห์ในวันนั้น
1ซมอ 14.1 อยู่มาวันหนึ่งโยนาธานราชโอรสของซาอูลกล่าวกับคนหนุ่มที่ถือเครื่องอาวุธของท่านว่า “มาเถิด ให้เราข้ามไปยังกองทหารรักษาการของคนฟีลิสเตียข้างโน้น” แต่หาได้ทูลพระบิดาของตนให้ทราบไม่
1ซมอ 14.4 ตามทางข้ามเขาที่โยนาธานหาช่องที่จะข้ามไปยังค่ายของฟีลิสเตียนั้น มียอดหินแหลมอยู่ฟากทางข้างนี้ และมียอดหินแหลมอยู่ฟากทางข้างโน้น ยอดหนึ่งมีชื่อว่าโบเซส อีกยอดหนึ่งชื่อเสเนห์
1ซมอ 14.5 หินแหลมยอดหนึ่งโผล่ขึ้นข้างเหนือหน้ามิคมาช และอีกยอดหนึ่งโผล่ขึ้นข้างใต้หน้ากิเบอาห์
1ซมอ 14.41 ดังนั้นซาอูลจึงทูลพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลว่า “ขอทรงสำแดงฝ่ายถูก” ข้างฝ่ายซาอูลและโยนาธานถูกสลาก แต่ฝ่ายประชาชนรอดไป
1ซมอ 17.3 คนฟีลิสเตียยืนอยู่ที่ภูเขาข้างหนึ่ง และคนอิสราเอลยืนอยู่ที่ภูเขาอีกข้างหนึ่ง มีหุบเขาคั่นกลาง
1ซมอ 17.26 และดาวิดกล่าวแก่ชายคนที่ยืนอยู่ข้างเขาว่า “เขาจะทำอย่างไรแก่คนที่ฆ่าคนฟีลิสเตียคนนี้ได้ และนำเอาความเหยียดหยามอิสราเอลไปเสีย คนฟีลิสเตียผู้มิได้เข้าสุหนัตคนนี้คือใครเล่า เขาจึงมาท้าทายกองทัพของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่”
1ซมอ 19.3 และฉันจะออกไปยืนอยู่ข้างๆเสด็จพ่อในทุ่งนาที่เธออยู่ และฉันจะกราบทูลเสด็จพ่อด้วยเรื่องของเธอ ถ้าฉันรู้เรื่องอะไรจะบอกให้ทราบ”
1ซมอ 20.19 เมื่อเธออยู่สามวันแล้ว เธอจงลงไปโดยเร็ว ไปยังที่ที่เธอได้ซ่อนตัวอยู่ ในวันแห่งการกระทำนั้น และคอยอยู่ข้างศิลาเอเซล
1ซมอ 20.20 ฉันจะยิงลูกธนูสามลูกไปข้างๆที่นั่น อย่างกับว่าฉันยิงเป้า
1ซมอ 20.21 และดูเถิด ฉันจะใช้เด็กไปสั่งว่า ‘จงไปหาลูกธนู’ ถ้าฉันพูดกับเด็กนั้นว่า ‘ดูเถิด ลูกธนูอยู่ทางข้างนี้ของเจ้า ไปเอามา’ แล้วขอเธอเข้ามา เพราะพระเยโฮวาห์ทรงพระชนม์แน่ฉันใด เธอก็ปลอดภัยแล้ว ไม่มีอันตรายอันใดฉันนั้น
1ซมอ 20.25 กษัตริย์ประทับบนพระที่นั่งของพระองค์อย่างที่เคยทรงกระทำ คือประทับที่พระที่นั่งข้างๆฝาผนัง โยนาธานยืนอยู่และอับเนอร์นั่งอยู่ข้างซาอูล แต่ที่ของดาวิดก็ว่างอยู่
1ซมอ 23.26 ซาอูลเสด็จไปฟากภูเขาข้างนี้ ดาวิดกับคนของท่านอยู่ฟากภูเขาข้างโน้น ดาวิดก็รีบหนีจากพระพักตร์ซาอูล เพราะซาอูลกับคนของพระองค์มาล้อมรอบดาวิดกับคนของท่านเพื่อจะจับ
1ซมอ 26.3 และซาอูลทรงตั้งค่ายอยู่ที่เขาฮาคีลาห์ ซึ่งอยู่ข้างถนนซึ่งอยู่ตรงหน้าเยชิโมน แต่ดาวิดยังคงอยู่ในถิ่นทุรกันดาร และท่านเห็นว่าซาอูลเสด็จมาหาท่านที่ในถิ่นทุรกันดาร
1ซมอ 31.7 เมื่อคนอิสราเอลซึ่งอยู่ฟากหุบเขาข้างโน้น และผู้ที่อยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นเห็นคนอิสราเอลหนีไป และเห็นว่าซาอูลกับราชโอรสของพระองค์สิ้นชีพแล้ว เขาก็ทิ้งบ้านเมืองของเขาเสียหลบหนีไป คนฟีลิสเตียก็เข้ามาอาศัยอยู่ในนั้น
2ซมอ 1.9 พระองค์ตรัสสั่งข้าพเจ้าว่า ‘จงมายืนข้างเราและฆ่าเราเสีย เราทนทุกข์ทรมานมากเพราะชีวิตของเรายังอยู่’
2ซมอ 1.10 ข้าพเจ้าจึงเข้าไปยืนข้างพระองค์ และประหารพระองค์เสีย เพราะข้าพเจ้าแน่ใจว่าเมื่อพระองค์ทรงล้มแล้วก็จะไม่ดำรงพระชนม์ได้อีก และข้าพเจ้าก็ถอดมงกุฎซึ่งอยู่บนพระเศียร และกำไลซึ่งอยู่ที่พระกร และข้าพเจ้าก็นำมาที่นี่เพื่อมอบแด่เจ้านายของข้าพเจ้า”
2ซมอ 2.13 และโยอาบบุตรชายนางเศรุยาห์กับพวกข้าราชการทหารของดาวิดก็ออกไปพบกับเขาที่สระเมืองกิเบโอน และเขาทั้งหลายก็นั่งอยู่ที่ขอบสระ พวกหนึ่งอยู่ที่ขอบสระข้างนี้ อีกพวกหนึ่งข้างโน้น
2ซมอ 6.7 และพระพิโรธของพระเยโฮวาห์ก็เกิดขึ้นกับอุสซาห์ และพระเจ้าทรงประหารเขาเสียที่นั่นเพราะความผิดพลาดนั้น และเขาก็สิ้นชีวิตอยู่ข้างหีบของพระเจ้า
2ซมอ 9.13 ดังนั้นเมฟีโบเชทจึงอยู่ในเยรูซาเล็ม เพราะท่านรับประทานที่โต๊ะของกษัตริย์เสมอ เท้าของท่านเป็นง่อยทั้งสองข้าง
2ซมอ 10.16 ฝ่ายฮาดัดเอเซอร์ทรงใช้คนไปนำคนซีเรียผู้อยู่ฟากแม่น้ำข้างโน้นออกมา เขามายังตำบลเฮลาม มีโชบัคแม่ทัพของฮาดัดเอเซอร์เป็นผู้นำหน้า
2ซมอ 13.34 แต่อับซาโลมได้หนีไป ฝ่ายทหารยามหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองดู ดูเถิด ประชาชนเป็นอันมากกำลังมาทางข้างๆภูเขาซึ่งอยู่ข้างหลังเขา
2ซมอ 16.6 และเอาหินขว้างดาวิดและขว้างบรรดาข้าราชการของกษัตริย์ดาวิด พวกพลและชายฉกรรจ์ทั้งสิ้นก็อยู่ข้างขวาและข้างซ้ายของพระองค์
2ซมอ 18.4 กษัตริย์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “ท่านทั้งหลายเห็นชอบอย่างไร เราจะกระทำตาม” กษัตริย์จึงทรงประทับที่ข้างประตูเมือง และบรรดาพลทั้งหลายเดินออกไปเป็นกองร้อยกองพัน
2ซมอ 19.37 ขอให้ผู้รับใช้ของพระองค์กลับเพื่อไปตายที่ในเมืองของข้าพระองค์ และถูกฝังข้างๆที่ฝังศพของบิดามารดาของข้าพระองค์ ดูเถิด ขอทรงโปรดให้คิมฮามผู้รับใช้ของพระองค์ตามเสด็จกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ไป พระองค์จะโปรดเขาประการใดก็แล้วแต่ทรงเห็นควร”
2ซมอ 21.20 มีการรบกันอีกที่เมืองกัท อันเป็นเมืองที่มีชายคนหนึ่งรูปร่างใหญ่โต มีนิ้วมือข้างละหกนิ้ว และนิ้วเท้าข้างละหกนิ้ว รวมกันยี่สิบสี่นิ้ว เขาก็บังเกิดแก่คนยักษ์นั้นด้วย
2ซมอ 23.15 ดาวิดตรัสด้วยความอาลัยว่า “โอ ใครหนอจะส่งน้ำจากบ่อที่เบธเลเฮมซึ่งอยู่ข้างประตูเมืองมาให้เราดื่มได้”
2ซมอ 23.16 ทแกล้วทหารสามคนนั้นก็แหกค่ายคนฟีลิสเตียเข้าไป ตักน้ำที่บ่อเบธเลเฮมซึ่งอยู่ข้างประตูเมือง นำมาถวายแก่ดาวิด แต่ดาวิดหาทรงดื่มน้ำนั้นไม่ พระองค์ทรงเทออกถวายแด่พระเยโฮวาห์
1พกษ 1.9 อาโดนียาห์ได้ถวายแกะ วัว และสัตว์อ้วนพีเป็นเครื่องบูชา ณ ศิลาแห่งโศเฮเลทซึ่งอยู่ข้างๆเอนโรเกล และท่านได้เชิญพี่น้องทั้งสิ้นของท่าน คือราชโอรสของกษัตริย์ และประชาชนทั้งสิ้นแห่งยูดาห์ที่เป็นข้าราชการของกษัตริย์
1พกษ 2.29 เมื่อมีคนไปกราบทูลกษัตริย์ซาโลมอนว่า “โยอาบได้หนีไปที่พลับพลาของพระเยโฮวาห์ และดูเถิด เขาอยู่ข้างแท่นบูชานั้น” ซาโลมอนรับสั่งเบไนยาห์บุตรชายเยโฮยาดาตรัสว่า “จงไปประหารชีวิตเขาเสีย”
1พกษ 3.20 พอเที่ยงคืนนางก็ลุกขึ้น และเอาบุตรชายของข้าพระองค์ไปเสียจากข้างข้าพระองค์ ขณะที่สาวใช้ของพระองค์หลับอยู่ และวางเขาไว้ในอกของเธอ และเธอเอาบุตรของเธอที่ตายแล้วนั้นไว้ในอกของข้าพระองค์
1พกษ 4.12 บาอานาบุตรชายอาหิลูด ประจำในทาอานาค เมกิดโดและเบธชานทั้งหมดซึ่งอยู่ข้างศาเรธานเชิงเมืองยิสเรเอล และตั้งแต่เบธชานถึงอาเบล-เมโฮลาห์ไปจนถึงฝากข้างโน้นของโยกเนอัม
1พกษ 4.24 เพราะพระองค์ทรงครอบครองเหนือท้องถิ่นทั้งสิ้นฟากแม่น้ำข้างนี้ตั้งแต่ทิฟสาห์ถึงกาซา และทรงครอบครองเหนือบรรดากษัตริย์ที่อยู่ฟากแม่น้ำข้างนี้ และพระองค์ทรงมีสันติภาพอยู่ทุกด้านรอบพระองค์
1พกษ 6.16 พระองค์ทรงสร้างอีกข้างหนึ่งของพระนิเวศยี่สิบศอกด้วยกระดานไม้สนสีดาร์จากพื้นถึงไม้เพดาน และพระองค์ทรงสร้างห้องนี้ภายใน ให้เป็นห้องหลัง คือที่บริสุทธิ์ที่สุด
1พกษ 6.24 ปีกข้างหนึ่งของเครูบยาวห้าศอก ปีกอีกข้างหนึ่งของเครูบยาวห้าศอก จากปลายปีกข้างหนึ่งไปถึงปลายปีกอีกข้างหนึ่งยาวสิบศอก
1พกษ 6.27 พระองค์ทรงวางเครูบไว้ในส่วนชั้นในที่สุดของพระนิเวศ ปีกของเครูบนั้นกางออกเพื่อให้ปีกหนึ่งจดผนังข้างหนึ่ง และปีกของเครูบอีกรูปหนึ่งจดผนังอีกข้างหนึ่ง ส่วนปีกข้างอื่นก็มาจดกันตรงกลางพระนิเวศ
1พกษ 7.21 ท่านตั้งเสาไว้ที่มุขพระวิหาร ท่านตั้งเสาข้างขวาไว้ และเรียกชื่อว่ายาคีน และท่านตั้งเสาข้างซ้ายไว้ เรียกชื่อว่าโบอัส
1พกษ 7.30 แล้วแท่นหนึ่งๆมีล้อทองสัมฤทธิ์สี่ล้อ และมีเพลาทองสัมฤทธิ์ ที่มุมทั้งสี่มีที่หนุน ขันที่หนุนอันหนึ่งหล่อมีมาลัยห้อยข้างๆทุกข้าง
1พกษ 10.19 พระที่นั่งนั้นมีบันไดหกขั้น พนักหลังของพระที่นั่งนั้นกลมข้างบน และสองข้างพระที่นั่งมีที่วางพระหัตถ์ มีสิงโตสองตัวยืนอยู่ข้างๆที่วางพระหัตถ์
1พกษ 10.20 มีสิงโตอีกสิบสองตัวยืนอยู่ที่นั่นบนหกขั้นบันไดทั้งสองข้าง เขาไม่เคยทำในราชอาณาจักรใดๆเหมือนอย่างนี้
1พกษ 13.24 และเมื่อท่านไป สิงโตก็ออกมาพบท่านที่ถนนและฆ่าท่านเสีย และศพของท่านก็ถูกทิ้งไว้ในถนน และลาตัวนั้นก็ยืนอยู่ข้างๆศพนั้น สิงโตก็ยืนอยู่ข้างๆศพด้วย
1พกษ 13.25 และดูเถิด มีคนผ่านไป และได้เห็นศพทิ้งอยู่ในถนน และสิงโตยืนอยู่ข้างศพนั้น เขาก็มาบอกกันในเมืองที่ที่ผู้พยากรณ์แก่อยู่นั้น
1พกษ 13.28 เขาจึงไปและพบศพนั้นทิ้งอยู่ในถนน และลากับสิงโตก็ยืนอยู่ข้างๆศพนั้น สิงโตมิได้กินศพนั้นหรือฉีกลานั้น
1พกษ 13.31 ต่อมาเมื่อได้ฝังท่านไว้แล้ว เขาจึงพูดกับบุตรชายของตนว่า “เมื่อเราตาย จงฝังเราไว้ในที่ฝังศพซึ่งฝังคนของพระเจ้าไว้นั้น จงวางกระดูกของเราไว้ข้างกระดูกของท่าน
1พกษ 14.15 เพราะพระเยโฮวาห์จะทรงตีอิสราเอล ดุจไม้อ้อสั่นอยู่ในน้ำ และจะทรงถอนรากอิสราเอลออกเสียจากแผ่นดินอันดีนี้ ซึ่งพระองค์ทรงยกให้แก่บรรพบุรุษของเขา และกระจายเขาไปฟากแม่น้ำข้างโน้น เพราะเขาทั้งหลายได้สร้างเสารูปเคารพของเขา เป็นเหตุให้พระเยโฮวาห์ทรงพระพิโรธ
1พกษ 17.3 “จงออกไปจากที่นี่และหันไปทางตะวันออก และซ่อนตัวอยู่ที่ข้างลำธารเครีท ซึ่งอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้
1พกษ 17.5 ท่านจึงไปและกระทำตามพระวจนะของพระเยโฮวาห์ ท่านไปอาศัยอยู่ที่ข้างลำธารเครีท ซึ่งอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้
1พกษ 21.1 และอยู่มาภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้ นาโบทชาวยิสเรเอลมีสวนองุ่นอยู่ในยิสเรเอล ข้างพระราชวังของอาหับกษัตริย์แห่งสะมาเรีย
1พกษ 21.23 และส่วนเยเซเบล พระเยโฮวาห์ตรัสว่า ‘สุนัขจะกินเยเซเบลข้างกำแพงยิสเรเอล’
1พกษ 22.19 และมีคายาห์ทูลว่า “ฉะนั้นขอสดับพระวจนะของพระเยโฮวาห์ ข้าพระองค์ได้เห็นพระเยโฮวาห์ประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ และบรรดาบริวารแห่งฟ้าสวรรค์ยืนข้างๆพระองค์ ข้างขวาพระหัตถ์และข้างซ้าย
2พกษ 2.8 เอลียาห์ก็เอาเสื้อคลุมของท่านม้วนเข้าแล้วฟาดลงที่น้ำนั้น น้ำก็แยกออกไปสองข้าง ท่านทั้งสองจึงเดินข้ามไปได้บนดินแห้ง
2พกษ 2.14 แล้วท่านก็เอาเสื้อคลุมของเอลียาห์ที่ตกลงมานั้นฟาดลงที่น้ำกล่าวว่า “พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งเอลียาห์ทรงสถิตที่ใด” และเมื่อท่านฟาดลงที่น้ำ น้ำก็แยกออกไปสองข้าง และเอลีชาก็เดินข้ามไป
2พกษ 4.25 แล้วนางก็ออกเดิน และมาถึงคนแห่งพระเจ้าที่ภูเขาคารเมล อยู่มาเมื่อคนแห่งพระเจ้าเห็นนางมาแต่ไกล ท่านก็พูดกับเกหะซีคนใช้ของท่านว่า “ดูเถิด หญิงชาวชูเนมมาข้างโน้น
2พกษ 10.33 ตั้งแต่แม่น้ำจอร์แดนฟากตะวันออก ทั่วแผ่นดินกิเลอาด คนกาด คนรูเบนและคนมนัสเสห์ ตั้งแต่อาโรเออร์ ซึ่งอยู่ข้างที่ลุ่มแม่น้ำอารโนน คือกิเลอาดและบาชาน
2พกษ 11.14 และเมื่อพระนางทอดพระเนตร ดูเถิด กษัตริย์ประทับยืนอยู่ที่ข้างเสาตามธรรมเนียมประเพณี มีนายทัพนายกองและพลแตรอยู่ข้างกษัตริย์ และประชาชนแห่งแผ่นดินทั้งสิ้นก็ร่าเริง และเป่าแตร พระนางอาธาลิยาห์ก็ฉีกฉลองพระองค์ทรงร้องว่า “กบฏ กบฏ”
2พกษ 12.9 แล้วเยโฮยาดาปุโรหิตนำหีบมาใบหนึ่ง เจาะรูๆหนึ่งที่ฝาหีบนั้น และตั้งไว้ที่ข้างๆแท่นบูชาด้านขวาเมื่อเข้าไปในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และพวกปุโรหิตผู้ที่เฝ้าอยู่ที่ธรณีประตูก็นำเงินทั้งหมดซึ่งเขานำมาในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ใส่ไว้ในหีบนั้น
2พกษ 17.6 ในปีที่เก้าแห่งรัชกาลโฮเชยา กษัตริย์แห่งอัสซีเรียยึดได้เมืองสะมาเรีย และพระองค์ทรงนำชนอิสราเอลไปยังอัสซีเรีย ให้เขาอยู่ที่ฮาลาห์ และข้างแม่น้ำฮาโบร์ แม่น้ำเมืองโกซาน และในหัวเมืองแห่งชาวมีเดีย
2พกษ 18.11 กษัตริย์แห่งอัสซีเรียได้กวาดเอาคนอิสราเอลไปยังอัสซีเรีย ไปไว้ที่ฮาลาห์ และข้างแม่น้ำฮาโบร์แม่น้ำเมืองโกซาน และในหัวเมืองของคนมีเดีย
2พกษ 21.16 ยิ่งกว่านั้นมนัสเสห์ได้ทรงกระทำให้โลหิตที่ไร้ความผิดตกเป็นอันมาก จนเต็มเยรูซาเล็มจากปลายข้างหนึ่งถึงปลายอีกข้างหนึ่ง นอกเหนือจากบาปที่พระองค์ทรงกระทำให้ยูดาห์ทำด้วย โดยประพฤติสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์
2พกษ 23.3 และกษัตริย์ทรงประทับยืนข้างเสา และทรงกระทำพันธสัญญาต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ว่า จะดำเนินตามพระเยโฮวาห์ และรักษาพระบัญญัติ พระโอวาทและกฎเกณฑ์ของพระองค์ด้วยสุดพระจิตสุดพระทัยของพระองค์ จะปฏิบัติตามถ้อยคำของพันธสัญญานี้ ซึ่งเขียนไว้ในหนังสือนี้ และประชาชนทั้งปวงก็เข้าส่วนในพันธสัญญานั้น
2พกษ 23.7 และพระองค์ทรงทำลายเรือนกะเทย ซึ่งอยู่ข้างพระนิเวศของพระเยโฮวาห์เสีย เป็นที่ที่ผู้หญิงทอม่านสำหรับเสารูปเคารพ
2พกษ 23.11 และพระองค์ทรงกำจัดม้าซึ่งบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ได้ถวายแก่ดวงอาทิตย์ ที่ตรงทางเข้าพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ ข้างห้องนาธันเมเลคข้าราชสำนัก ซึ่งอยู่ในบริเวณ และพระองค์ทรงเผารถรบของดวงอาทิตย์เสียด้วยไฟ
2พกษ 23.17 แล้วพระองค์ตรัสว่า “อนุสาวรีย์ที่เรามองเห็นข้างโน้นคืออะไร” คนเมืองนั้นก็ทูลพระองค์ว่า “เป็นอุโมงค์ฝังศพของคนแห่งพระเจ้าผู้มาจากยูดาห์ และได้ป่าวร้องถึงสิ่งเหล่านี้ ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำต่อแท่นบูชาที่เบธเอล”
1พศด 4.39 เขาทั้งหลายได้เดินทางไปถึงทางเข้าเมืองที่เกโดร์ ถึงข้างทิศตะวันออกของหุบเขา เพื่อหาทุ่งหญ้าให้ฝูงแพะแกะของเขา
1พศด 5.9 ท่านอาศัยอยู่ทางทิศตะวันออกไกลออกไปถึงทางเข้าถิ่นทุรกันดาร ซึ่งอยู่ฟากข้างนี้ของแม่น้ำยูเฟรติสด้วย เพราะสัตว์เลี้ยงของเขาทวีมากขึ้นในแผ่นดินกิเลอาด
1พศด 6.39 กับอาสาฟพี่น้องของเขา ผู้ซึ่งยืนอยู่ข้างขวามือของเขา คืออาสาฟบุตรชายเบเรคิยาห์ ผู้เป็นบุตรชายชิเมอา
1พศด 6.44 ที่ข้างซ้ายมือมีบุตรชายของเมรารี พี่น้องของเขาคือ เอธานผู้เป็นบุตรชายคีชี ผู้เป็นบุตรชายอับดี ผู้เป็นบุตรชายมัลลูค
1พศด 6.78 และฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นที่เยรีโค คือฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนนั้น จากตระกูลรูเบน คือเมืองเบเซอร์ในถิ่นทุรกันดารพร้อมกับทุ่งหญ้า เมืองยาฮาสพร้อมกับทุ่งหญ้า
1พศด 11.17 ดาวิดตรัสด้วยความอาลัยว่า “โอ ใครหนอจะส่งน้ำจากบ่อที่เบธเลเฮมซึ่งอยู่ข้างประตูเมืองมาให้เราดื่มได้”
1พศด 11.18 แล้วคนทั้งสามก็แหกค่ายของคนฟีลิสเตียเข้าไป และตักน้ำมาจากบ่อเบธเลเฮมที่ข้างประตูเมือง นำเอามาถวายดาวิด แต่ดาวิดหาทรงดื่มน้ำนั้นไม่ พระองค์ทรงเทออกถวายแด่พระเยโฮวาห์
1พศด 12.37 และจากฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น จากคนรูเบน และคนกาด และคนมนัสเสห์ครึ่งตระกูล มีหนึ่งแสนสองหมื่นคน ติดอาวุธทุกอย่างเพื่อทำสงคราม
1พศด 19.16 แต่เมื่อคนซีเรียเห็นว่าเขาพ่ายแพ้แก่อิสราเอล เขาจึงส่งผู้สื่อสารไปนำคนซีเรียซึ่งอยู่ฟากแม่น้ำข้างโน้นออกมา มีโชฟัคผู้บังคับบัญชากองทัพของฮาดัดเอเซอร์เป็นหัวหน้าของเขาทั้งหลาย
1พศด 20.6 และมีสงครามที่เมืองกัทอีก มีชายคนหนึ่งรูปร่างใหญ่โต ผู้ที่มือข้างหนึ่งมีนิ้วหกนิ้ว และนิ้วเท้าข้างละหกนิ้ว จำนวนยี่สิบสี่นิ้ว และเขาเป็นบุตรชายของคนยักษ์ด้วย
1พศด 26.30 จากคนเฮโบรน ฮาชาบิยาห์และพี่น้องของเขาเป็นคนมีความกล้าหาญ หนึ่งพันเจ็ดร้อยคน ได้เป็นผู้ดูแลอิสราเอลทางฟากตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น ในเรื่องกิจการทั้งสิ้นของพระเยโฮวาห์ และราชการของกษัตริย์
2พศด 3.11 ปีกของเครูบทั้งสองนั้นกางออกยี่สิบศอก ปีกข้างหนึ่งของเครูบรูปหนึ่งยาวห้าศอกจดผนังพระนิเวศ และอีกปีกหนึ่งยาวห้าศอกจดปีกของเครูบอีกรูปหนึ่ง
2พศด 3.12 และของเครูบอีกรูปหนึ่งปีกข้างหนึ่งห้าศอกจดผนังพระนิเวศ และอีกปีกหนึ่งห้าศอกด้วยติดต่อกับปีกของเครูบอีกรูปหนึ่ง
2พศด 3.17 พระองค์ทรงตั้งเสาไว้หน้าพระวิหาร ข้างขวาต้นหนึ่ง อีกต้นหนึ่งข้างซ้าย ต้นข้างขวานั้นพระองค์ทรงขนานนามว่า ยาคีน และต้นข้างซ้ายว่า โบอาส
2พศด 9.18 พระที่นั่งนั้นมีบันไดหกขั้น กับที่รองพระบาททำด้วยทองคำ ซึ่งติดอยู่กับพระที่นั่ง ทั้งสองข้างของพระที่นั่งมีที่วางพระหัตถ์ และสิงโตสองตัวยืนอยู่ข้างๆที่วางพระหัตถ์
2พศด 9.19 มีสิงโตอีกสิบสองตัวยืนอยู่ที่นั่น บนบันไดหกขั้นทั้งสองข้าง เขาไม่เคยทำในราชอาณาจักรใดๆเหมือนอย่างนี้
2พศด 18.18 และมีคายาห์ทูลว่า “ฉะนั้นขอสดับพระวจนะของพระเยโฮวาห์ ข้าพระองค์ได้เห็นพระเยโฮวาห์ประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ และบรรดาบริวารแห่งฟ้าสวรรค์ยืนข้างๆพระองค์ข้างขวาพระหัตถ์และข้างซ้าย
2พศด 20.2 มีคนมาทูลเยโฮชาฟัทว่า “มีคนหมู่ใหญ่มาสู้รบกับพระองค์จากซีเรียข้างนี้ จากฟากทะเลข้างโน้น และดูเถิด เขาทั้งหลายอยู่ในฮาซาโซนทามาร์ คือเอนกาดี”
2พศด 23.13 และเมื่อพระนางทอดพระเนตร ดูเถิด มีกษัตริย์ประทับยืนอยู่ที่เสาของพระองค์ตรงที่ทางเข้า บรรดาผู้บังคับกองและพลแตรก็อยู่ข้างกษัตริย์ และประชาชนทั้งปวงแห่งแผ่นดินก็เปรมปรีดิ์และเป่าแตร บรรดานักร้องพร้อมกับเครื่องดนตรีของเขาก็นำการสรรเสริญ พระนางอาธาลิยาห์ก็ฉีกฉลองพระองค์ของพระนาง ทรงร้องว่า “กบฏ กบฏ”
2พศด 26.19 แล้วอุสซียาห์ทรงกริ้ว พระองค์มีกระถางไฟอยู่ในพระหัตถ์จะทรงเผาเครื่องหอม และเมื่อพระองค์ทรงกริ้วต่อพวกปุโรหิต โรคเรื้อนก็เกิดขึ้นมาที่พระนลาฏต่อหน้าปุโรหิตในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ข้างแท่นเผาเครื่องหอม
อสร 4.10 และคนประชาชาติอื่นๆ ผู้ซึ่งโอสนัปปาร์ เจ้านายผู้ใหญ่ได้ส่งมาให้ตั้งอยู่ในหัวเมืองสะมาเรีย และในส่วนที่เหลือของมณฑลทางฟากแม่น้ำข้างนี้ เป็นต้น
อสร 4.11 และนี่เป็นสำเนาจดหมายที่เขาส่งไปถึงพระองค์ คือถึงกษัตริย์อารทาเซอร์ซีสว่า “ขอกราบทูล ข้าราชการของพระองค์ คือคนของมณฑลฟากแม่น้ำข้างนี้ เป็นต้น
อสร 4.16 ข้าพระองค์ทั้งหลายขอกราบทูลให้กษัตริย์ทรงทราบว่า ถ้าเมืองนี้ได้สร้างใหม่เสร็จและกำแพงเมืองก็สำเร็จแล้ว พระองค์จะไม่มีกรรมสิทธิ์ในมณฑลฟากแม่น้ำข้างนี้”
อสร 4.17 กษัตริย์ทรงส่งพระราชสารตอบไปถึงเรฮูมผู้บังคับบัญชา และชิมชัยอาลักษณ์ และภาคีทั้งปวงของเขาผู้อาศัยในสะมาเรีย และในส่วนที่เหลือของมณฑลทางฟากแม่น้ำข้างโน้นว่า “ขอให้อยู่เย็นเป็นสุขเถิด เป็นต้น
อสร 4.20 เคยมีกษัตริย์ผู้ทรงอำนาจได้ครองเยรูซาเล็ม เป็นผู้ทรงปกครองมณฑลทั้งสิ้นฟากแม่น้ำข้างโน้น ซึ่งเขาถวายบรรณาการ ค่าธรรมเนียมและภาษีให้
อสร 5.3 ในเวลาเดียวกันนั้นทัทเธนัย ผู้ว่าราชการมณฑลฟากแม่น้ำข้างนี้ และเชธาร์โบเซนัย และคณะของเขาได้มาหาท่าน และพูดกับท่านดังนี้ว่า “ผู้ใดที่ให้กฤษฎีกาแก่ท่าน ให้สร้างพระนิเวศและกำแพงนี้จนสำเร็จ”
อสร 5.6 สำเนาจดหมายซึ่งทัทเธนัยผู้ว่าราชการมณฑลฟากแม่น้ำข้างนี้ และเชธาร์โบเซนัย และคณะของท่านคือคนอาฟอาร์เซคาซึ่งอยู่ในมณฑลฟากแม่น้ำข้างนี้ ส่งไปทูลกษัตริย์ดาริอัส
อสร 6.6 เพราะฉะนั้นบัดนี้ทัทเธนัยผู้ว่าราชการมณฑลฟากแม่น้ำข้างโน้น เชธาร์โบเซนัย และภาคีของท่าน คือคนอาฟอาร์เซคาซึ่งอยู่ในมณฑลฟากแม่น้ำข้างโน้น จงไปเสียให้ห่างเถิด
อสร 6.8 ยิ่งกว่านั้นอีก เราออกกฤษฎีกาเกี่ยวกับสิ่งที่ท่านพึงกระทำเพื่อพวกผู้ใหญ่ของพวกยิวในการสร้างพระนิเวศของพระเจ้า ให้ชำระเงินค่าก่อสร้างแก่คนเหล่านี้เต็ม เพื่อพวกเขาไม่ถูกหยุดยั้ง เอาเงินจากราชทรัพย์ คือบรรณาการของมณฑลฟากแม่น้ำข้างโน้น
อสร 6.13 แล้วทัทเธนัยผู้ว่าราชการมณฑลฟากแม่น้ำข้างนี้ เชธาร์โบเซนัย และภาคีของท่านทั้งสองก็ได้กระทำทุกอย่างด้วยความขยันขันแข็งตามพระดำรัสซึ่งกษัตริย์ดาริอัสได้ทรงบัญชามา
อสร 7.21 และเรา คือกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส ได้ออกกฤษฎีกาไปยังบรรดานายคลังในมณฑลฟากแม่น้ำข้างโน้นว่า สิ่งใดๆที่เอสราปุโรหิตธรรมาจารย์ของพระราชบัญญัติแห่งพระเจ้าของฟ้าสวรรค์ต้องการจากท่าน จงกระทำให้เขาด้วยความขยันขันแข็ง
อสร 7.25 ส่วนเจ้า เอสรา ตามพระสติปัญญาแห่งพระเจ้าของเจ้าอันอยู่ในมือของเจ้า จงแต่งตั้งพนักงานผู้ปกครองและผู้พิพากษา ให้พิพากษาประชาชนทั้งปวงในมณฑลฟากแม่น้ำข้างโน้น คือทุกคนที่รู้บรรดาพระราชบัญญัติของพระเจ้าของเจ้า และคนเหล่านั้นที่ไม่รู้ เจ้าทั้งหลายจะต้องสอน
อสร 8.36 เขาทั้งหลายได้มอบพระราชโองการให้แก่สมุหเทศาภิบาลของกษัตริย์ และแก่ผู้ว่าราชการมณฑลฟากแม่น้ำข้างนี้ และท่านเหล่านี้ได้ช่วยเหลือประชาชนและพระนิเวศของพระเจ้า
อสร 9.11 ซึ่งพระองค์ได้ทรงบัญชาไว้โดยผู้พยากรณ์ผู้รับใช้ของพระองค์ว่า ‘แผ่นดินซึ่งเจ้ากำลังเข้าไปเพื่อยึดเป็นกรรมสิทธิ์นั้น เป็นแผ่นดินมลทินด้วยความโสโครกของชนชาติทั้งหลายในแผ่นดินเหล่านั้น ด้วยการกระทำอันน่าสะอิดสะเอียนของเขา ซึ่งเต็มไปหมดตั้งแต่ปลายข้างนี้ถึงปลายข้างโน้น ด้วยความมลทินของเขาทั้งหลาย
นหม 2.6 และกษัตริย์ตรัสกับข้าพเจ้า (มีพระราชินีประทับข้างพระองค์) ว่า “เจ้าจะไปนานสักเท่าใด เมื่อไรเจ้าจะกลับมา” จึงเป็นที่พอพระทัยกษัตริย์ที่จะให้ข้าพเจ้าไป และข้าพเจ้าก็กำหนดเวลาให้พระองค์ทรงทราบ
นหม 2.7 และข้าพเจ้ากราบทูลกษัตริย์ว่า “ถ้าเป็นที่พอพระทัยกษัตริย์ ขอทรงโปรดมีพระราชสารให้ข้าพระองค์นำไปถึงผู้ว่าราชการมณฑลฟากแม่น้ำข้างโน้น เพื่อเขาจะได้อนุญาตให้ข้าพระองค์ผ่านไปจนข้าพระองค์จะไปถึงยูดาห์
นหม 2.9 แล้วข้าพเจ้ามายังผู้ว่าราชการมณฑลฟากแม่น้ำข้างโน้น และมอบพระราชสารของกษัตริย์ให้แก่เขา อนึ่งกษัตริย์ทรงจัดให้นายทหารและพลม้าไปกับข้าพเจ้าด้วย
นหม 3.7 และถัดเขาไป คือ เมลาติยาห์ชาวกิเบโอน และยาโดนชาวเมโรโนท คนเมืองกิเบโอนและเมืองมิสปาห์ได้ซ่อมแซม ซึ่งอยู่ใต้ปกครองของเจ้าเมืองฟากแม่น้ำข้างนี้
นหม 3.23 ถัดเขาไปคือ เบนยามินและหัสชูบ ได้ซ่อมแซมตรงข้ามกับบ้านของเขาทั้งหลาย ถัดเขาไปคือ อาซาริยาห์บุตรชายมาอาเสอาห์ ผู้เป็นบุตรชายอานานิยาห์ได้ซ่อมแซมข้างเรือนของเขาเอง
นหม 4.3 โทบีอาห์คนอัมโมนอยู่ข้างๆท่าน และเขาพูดว่า “เออ สิ่งที่เขากำลังสร้างอยู่นั้น ถ้าสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งวิ่งขึ้นไป มันจะพังกำแพงหินของเขาลงมา”
นหม 4.18 ผู้ก่อสร้างทุกคนมีดาบคาดอยู่ที่สีข้างขณะที่เขาสร้าง ชายที่เป่าแตรอยู่ข้างข้าพเจ้า
นหม 8.4 เอสราธรรมาจารย์ยืนอยู่บนแท่นไม้ ซึ่งเขาทำไว้เพื่อการนี้ ข้างๆท่านมีมัททีธิยาห์ เชมา อานายาห์ อุรีอาห์ ฮิลคียาห์และมาอาสอาห์ยืนอยู่ข้างขวามือของท่าน กับมีเปดายาห์ มิชาเอล มัลคิยาห์ ฮาชูม ฮัชบัดดานาห์ เศคาริยาห์และเมชุลลามอยู่ข้างซ้ายมือของท่าน
นหม 13.21 ข้าพเจ้าได้ตักเตือนเขา และพูดกับเขาว่า “ทำไมท่านมานอนอยู่ข้างกำแพงเมือง ถ้าท่านทำอีกข้าพเจ้าจะจับท่าน” ตั้งแต่คราวนั้นมาเขาก็ไม่มาอีกในวันสะบาโต
โยบ 1.14 มีผู้สื่อสารมาหาโยบเรียนว่า “วัวกำลังไถนาอยู่ และลากำลังกินหญ้าในที่ข้าง
โยบ 18.12 กำลังของเขาก็จะกร่อนไปเพราะความหิว และภัยพิบัติก็จะคอยพร้อมอยู่ที่ข้างเขา
โยบ 23.9 ข้างซ้ายมือที่พระองค์ทรงกระทำกิจ ข้าก็ไม่เห็นพระองค์ ข้างขวามือพระองค์ทรงซ่อนอยู่ ข้าหาพระองค์ไม่พบ
โยบ 23.11 เท้าของข้าติดรอยพระบาทของพระองค์แน่น ข้าตามมรรคาของพระองค์ และมิได้หันไปข้างๆเลย
โยบ 30.12 คนหนุ่มลุกขึ้นข้างขวามือของข้า เขาผลักดันเท้าของข้าออกไป เขาเหวี่ยงทางแห่งความพินาศไว้ต่อสู้ข้า
สดด 19.6 ดวงอาทิตย์ขึ้นมาจากสุดปลายฟ้าสวรรค์ข้างหนึ่ง และโคจรไปถึงที่สุดปลายอีกข้างหนึ่ง ไม่มีสิ่งใดสามารถซ่อนให้พ้นจากความร้อนของมันได้
สดด 45.9 ในหมู่สตรีผู้มีเกียรติของพระองค์ท่านมีราชธิดาของบรรดากษัตริย์ พระราชินีประดับทองคำเมืองโอฟีร์ประทับอยู่ข้างขวาพระหัตถ์พระองค์ท่าน
สดด 82.2 “ท่านจะตัดสินอย่างอยุติธรรมและแสดงความลำเอียงข้างคนชั่วนานเท่าใด เซลาห์
สดด 91.7 พันคนจะล้มอยู่ที่ข้างๆท่าน หมื่นคนที่มือขวาของท่าน แต่ภัยนั้นจะไม่มาใกล้ท่าน
สดด 104.25 ทะเลอยู่ข้างโน้น ทั้งใหญ่และกว้าง ซึ่งในนั้นมีสิ่งเคลื่อนไหวนับไม่ถ้วน คือสัตว์ที่มีชีวิตทั้งเล็กและใหญ่
สดด 110.7 พระองค์ท่านจะทรงดื่มจากลำธารข้างทาง ฉะนั้นพระองค์ท่านจะทรงผงกพระเศียรขึ้น
สดด 121.5 พระเยโฮวาห์ทรงเป็นผู้อารักขาท่าน พระเยโฮวาห์ทรงเป็นที่กำบังที่ข้างขวามือของท่าน
สดด 128.3 ภรรยาของท่านจะเป็นอย่างเถาองุ่นลูกดกอยู่ข้างบ้านของท่าน ลูกๆของท่านจะเป็นเหมือนหน่อมะกอกเทศรอบโต๊ะของท่าน
สดด 140.5 คนโอหังได้ซ่อนกับดักข้าพระองค์และวางบ่วงไว้ ที่ข้างทางเขากางตาข่าย เขาตั้งบ่วงแร้วดักข้าพระองค์ เซลาห์
สภษ 3.29 อย่ากะแผนงานชั่วร้ายต่อเพื่อนบ้านของเจ้า ผู้อาศัยอย่างไว้วางใจอยู่ข้างๆเจ้า
สภษ 4.27 อย่าเหไปข้างขวาหรือหันมาข้างซ้าย จงกลับเท้าของเจ้าเสียจากความชั่วร้าย
สภษ 8.2 ณ ที่สูงที่ข้างทาง ที่กลางถนนเธอก็ยืนอยู่
สภษ 8.3 ข้างประตู หน้าเมือง ที่ทางเข้ามุข เธอก็ร้องเสียงดังว่า
สภษ 8.30 เราอยู่ข้างพระองค์แล้ว เหมือนผู้ที่พระองค์ทรงเลี้ยงดู เราเป็นความปีติยินดีประจำวันของพระองค์ เปรมปรีดิ์อยู่ต่อพระพักตร์พระองค์เสมอ
สภษ 8.34 ผู้ใดที่ฟังเราก็เป็นสุข คือเฝ้าอยู่ที่ประตูรั้วของเราทุกวัน และคอยอยู่ข้างประตูบ้านของเรา
สภษ 24.30 เราผ่านไปที่ไร่นาของคนเกียจคร้าน ข้างสวนองุ่นของคนที่ไร้ความเข้าใจ
ปญจ 10.2 จิตใจของคนที่มีสติปัญญาย่อมอยู่ที่ข้างขวามือของตน แต่จิตใจของคนเขลาย่อมอยู่ที่ข้างมือซ้ายของตัว
พซม 1.8 โอ แม่งามเลิศในท่ามกลางหญิงทั้งหลาย ถ้าเธอไม่รู้จงเดินไปตามรอยตีนฝูงแพะแกะ แล้วจงเลี้ยงฝูงแพะแกะของเธอไว้ที่ข้างเต็นท์ของเมษบาลเถิด
พซม 3.10 พระองค์ทรงทำเสาพระวอนั้นด้วยเงิน แท่นประทับทำด้วยทองคำ และยี่ภู่ลาดด้วยผ้าสีม่วง ข้างในพระวอนั้นบุไว้ด้วยความรักโดยบุตรสาวแห่งเยรูซาเล็ม
อสย 7.20 ในวันนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงโกนทั้งศีรษะและขนที่เท้าเสียด้วยมีดโกนซึ่งเช่ามาจากฟากแม่น้ำข้างโน้น คือโดยกษัตริย์แห่งอัสซีเรียนั้นเอง และจะผลาญเคราด้วย
อสย 9.1 แต่กระนั้นแผ่นดินนั้นซึ่งอยู่ในความแสนระทมจะไม่กลัดกลุ้ม ในกาลก่อนพระองค์ทรงนำแคว้นเศบูลุนและแคว้นนัฟทาลีมาสู่ความดูหมิ่น แต่ในกาลภายหลังพระองค์จะทรงกระทำให้หนทางข้างทะเล แคว้นฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น คือ กาลิลีแห่งบรรดาประชาชาติ ให้เจ็บปวดทรมานอย่างมาก
อสย 19.7 กอแขมที่แม่น้ำ ที่ริมฝั่งแม่น้ำ และทั้งสิ้นที่หว่านลงข้างแม่น้ำนั้นจะแห้งไป จะถูกไล่ไปเสียและไม่มีอีก
อสย 32.20 ท่านที่หว่านอยู่ข้างห้วงน้ำทั้งปวงก็เป็นสุข ผู้ที่ปล่อยให้ตีนวัวและตีนลาเที่ยวอยู่อย่างอิสระ
อสย 44.4 เขาทั้งหลายจะงอกขึ้นมาท่ามกลางหญ้า เหมือนต้นหลิวข้างลำธารน้ำไหล
อสย 44.20 เขากินขี้เถ้า ใจที่หลอกลวงนำเขาให้เจิ่น เขาช่วยจิตใจตัวเขาเองให้พ้นหรือพูดว่า “ไม่มีความมุสาอยู่ในมือข้างขวาของข้าหรือ” ก็ไม่ได้
ยรม 12.12 ผู้ทำลายล้างได้มาบนบรรดาที่สูงทั้งปวงในถิ่นทุรกันดาร เพราะว่าแสงดาบของพระเยโฮวาห์จะทำลายจากปลายแผ่นดินนี้ไปถึงปลายอีกข้างหนึ่ง ไม่มีเนื้อหนังใดๆที่จะมีสันติภาพ
ยรม 13.5 ข้าพเจ้าก็ไปและซ่อนผ้านั้นไว้ข้างแม่น้ำยูเฟรติส ดังที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาข้าพเจ้า
ยรม 17.2 ฝ่ายลูกหลานของเขาก็ระลึกถึงแท่นบูชาและเหล่าเสารูปเคารพของเขาข้างต้นไม้สดทุกต้นบนเนินเขาสูง
ยรม 17.8 เขาจะเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมน้ำ ซึ่งหยั่งรากของมันออกไปข้างลำน้ำ เมื่อแดดส่องมาถึงก็จะไม่สังเกต เพราะใบของมันเขียวอยู่เสมอ และจะไม่กระวนกระวายในปีที่แห้งแล้ง เพราะมันไม่หยุดที่จะออกผล”
ยรม 20.11 แต่พระเยโฮวาห์ทรงอยู่ข้างข้าพเจ้าดังนักรบที่น่ากลัว เพราะฉะนั้น ผู้ข่มเหงข้าพเจ้าจะสะดุด เขาจะไม่ชนะข้าพเจ้า เขาจะขายหน้ามาก เพราะเขาจะไม่เจริญขึ้น ความอัปยศอดสูเป็นนิตย์ของเขานั้นจะไม่มีวันลืม
ยรม 25.22 บรรดากษัตริย์แห่งเมืองไทระ บรรดากษัตริย์เมืองไซดอน และบรรดากษัตริย์แห่งเกาะต่างๆฟากทะเลข้างโน้น
ยรม 25.33 และบรรดาผู้ที่พระเยโฮวาห์ทรงประหารในวันนั้น จะมีจากปลายโลกข้างนี้ถึงปลายโลกข้างนั้น เขาเหล่านั้นจะไม่มีใครโอดครวญให้ หรือรวบรวมหรือฝังไว้ แต่จะเป็นมูลสัตว์อยู่บนพื้นดิน’”
ยรม 36.21 กษัตริย์ก็รับสั่งให้เยฮูดีไปเอาหนังสือม้วนนั้นมา เขาก็ไปเอามาจากห้องของเอลีชามาราชเลขา และเยฮูดีก็อ่านถวายกษัตริย์และแก่บรรดาเจ้านายทั้งสิ้นผู้ยืนอยู่ข้างๆกษัตริย์
ยรม 46.6 คนเร็วก็หนีไปไม่ได้ นักรบก็หนีไปไม่รอด เขาทั้งหลายจะสะดุดและล้มลงในแดนเหนือข้างแม่น้ำยูเฟรติส
ยรม 46.10 วันนี้เป็นวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจอมโยธา เป็นวันแห่งการแก้แค้นที่จะแก้แค้นศัตรูของพระองค์ ดาบจะกินจนอิ่ม และดื่มโลหิตของเขาจนเต็มคราบ เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจอมโยธาทำการบูชาในแดนเหนือข้างแม่น้ำยูเฟรติส
ยรม 46.18 เพราะบรมมหากษัตริย์ ผู้ซึ่งพระนามของพระองค์คือพระเยโฮวาห์จอมโยธา ตรัสว่า เรามีชีวิตอยู่ตราบใด เขาทาโบร์อยู่ท่ามกลางภูเขาทั้งหลาย และภูเขาคารเมลอยู่ข้างทะเลฉันใด จะมีผู้หนึ่งมาฉันนั้น
ยรม 48.19 โอ ชาวเมืองอาโรเออร์เอ๋ย จงยืนเฝ้าอยู่ข้างทาง จงถามชายที่หนีมาและผู้หญิงที่รอดพ้นมาว่า ‘เกิดเรื่องอะไรขึ้น’
ยรม 48.28 โอ ชาวเมืองโมอับเอ๋ย จงออกเสียจากหัวเมืองไปอาศัยอยู่ในหิน จงเป็นเหมือนนกเขาซึ่งทำรังอยู่ที่ข้างปากซอก
ยรม 52.23 ข้างๆมีลูกทับทิมเก้าสิบหกลูก บนตาข่ายโดยรอบนั้นมีลูกทับทิมทั้งหมดหนึ่งร้อยลูก
อสค 1.8 ที่ใต้ปีกข้างตัวทั้งสี่ข้างมีเป็นมือคน สิ่งที่มีชีวิตอยู่ทั้งสี่มีหน้าและมีปีกดังนี้
อสค 1.15 ขณะเมื่อข้าพเจ้ามองดูสิ่งที่มีชีวิตอยู่นั้น ดูเถิด วงล้ออันหนึ่งอยู่บนพิภพข้างสิ่งมีชีวิตอยู่ที่มีหน้าสี่หน้านั้น
อสค 1.17 เมื่อจะไปก็ไปข้างใดในสี่ข้างของมันได้ เมื่อไปก็ไม่หันเลย
อสค 1.19 เมื่อสิ่งที่มีชีวิตอยู่นั้นไป วงล้อก็ตามไปข้างๆด้วย เมื่อสิ่งที่มีชีวิตอยู่เหาะขึ้นจากพิภพ วงล้อก็เหาะขึ้นด้วย
อสค 1.23 ใต้ท้องฟ้านี้ปีกกางออกตรง กางออกไปหากัน สิ่งที่มีชีวิตอยู่ทุกตัวมีปีกคลุมกายข้างนี้สองปีก และมีปีกคลุมกายข้างนั้นสองปีก
อสค 2.9 ดูเถิด เมื่อข้าพเจ้ามองดูก็เห็นพระหัตถ์ข้างหนึ่งเหยียดออกมายังข้าพเจ้า และดูเถิด ในพระหัตถ์นั้นมีหนังสืออยู่ม้วนหนึ่ง
อสค 3.13 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงปีกสิ่งที่มีชีวิตอยู่ที่ถูกต้องกัน และเสียงวงล้อข้างๆสิ่งที่มีชีวิตอยู่นั้น เป็นเสียงกระหึ่ม
อสค 4.4 แล้วเจ้าจงนอนตะแคงข้างซ้ายและเราจะวางความชั่วช้าแห่งวงศ์วานอิสราเอลไว้เหนือเจ้า เจ้านอนทับอยู่กี่วัน เจ้าจะแบกความชั่วช้าของนครนั้นเท่านั้นวัน
อสค 4.6 และเมื่อเจ้ากระทำเช่นนี้ครบวันแล้ว เจ้าจะต้องนอนลงเป็นครั้งที่สอง แต่นอนตะแคงข้างขวา และเจ้าจะแบกความชั่วช้าของวงศ์วานยูดาห์ เรากำหนดให้เจ้าสี่สิบวันวันแทนปี
อสค 4.8 และ ดูเถิด เราจะเอาเชือกมัดเจ้าไว้ เจ้าจะพลิกจากข้างนี้ไปข้างโน้นไม่ได้จนกว่าเจ้าจะครบการล้อมนครตามกำหนดวันของเจ้า
อสค 9.2 และ ดูเถิด มีชายหกคนเข้ามาจากทางประตูบน ซึ่งหันหน้าไปทางเหนือ ทุกคนถืออาวุธสำหรับฆ่ามา มีชายคนหนึ่งนุ่งห่มผ้าป่าน หนีบหีบเครื่องเขียนมากับคนเหล่านั้นด้วย และเขาทั้งหลายเข้าไปยืนอยู่ที่ข้างแท่นทองสัมฤทธิ์
อสค 10.6 และต่อมาเมื่อพระองค์มีพระบัญชาสั่งชายที่นุ่งห่มผ้าป่านว่า “จงไปเอาไฟมาจากกลางวงล้อ และจากกลางเหล่าเครูบ” ชายคนนั้นก็เข้าไปยืนอยู่ข้างๆวงล้อเหล่านั้น
อสค 10.9 และข้าพเจ้ามองดู ดูเถิด มีวงล้ออยู่สี่อันข้างๆเหล่าเครูบ อยู่ข้างเครูบตนละหนึ่งวงล้อ ลักษณะของวงล้อนั้นเหมือนแสงพลอยเขียว
อสค 10.11 เมื่อวงล้อนี้ไป ก็ไปได้ข้างหนึ่งข้างใดในข้างทั้งสี่ โดยไม่ต้องหันเลยในเวลาไป ถ้าอันหน้ามุ่งหน้าไปทางไหน วงล้ออันอื่นก็ตามไปโดยไม่ต้องหันในขณะที่ไป
อสค 10.16 เมื่อเหล่าเครูบไป วงล้อก็ตามข้างไปด้วย และเมื่อเหล่าเครูบกางปีกออกเพื่อบินขึ้นจากพิภพ วงล้อเหล่านั้นก็ไม่หันไปจากข้างๆเหล่าเครูบเลย
อสค 10.19 เมื่อเหล่าเครูบออกไปก็กางปีกออกบินขึ้นไปจากพิภพท่ามกลางสายตาของข้าพเจ้า วงล้อก็ตามข้างไปด้วย และไปยืนอยู่ที่ทางเข้าประตูด้านตะวันออกของพระนิเวศแห่งพระเยโฮวาห์ และสง่าราศีของพระเจ้าของอิสราเอลก็อยู่เหนือเครูบเหล่านั้น
อสค 11.22 แล้วเหล่าเครูบก็กางปีกออก วงล้อก็อยู่ข้างๆ และสง่าราศีของพระเจ้าของอิสราเอลก็อยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น
อสค 17.5 แล้วมันก็เอาเมล็ดพืชแห่งแผ่นดินไปปลูกไว้ในที่ดินอุดม มันเอาเมล็ดไว้ข้างน้ำมากหลาย ตั้งไว้อย่างกับกิ่งต้นหลิว
อสค 21.22 ในมือข้างขวา ท่านมีสลากเยรูซาเล็ม เพื่อตั้งเครื่องทะลวง เพื่อจะให้อ้าปากในการฆ่า เพื่อส่งเสียงตะโกน เพื่อวางเครื่องทะลวงกำแพงเข้าที่ประตูเมือง เพื่อก่อเชิงเทินและก่อกำแพงล้อม
อสค 32.13 เราจะทำลายสัตว์ของเมืองนั้นทั้งสิ้น จากข้างน้ำมากหลายและไม่มีเท้ามนุษย์คนใดกระทำให้น้ำนั้นขุ่นอีก กีบสัตว์ก็จะไม่กระทำให้น้ำนั้นขุ่นอีกเช่นกัน
อสค 33.30 เจ้า บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ชนชาติของเจ้าที่พูดเรื่องเจ้าข้างกำแพงเมืองและตามประตูบ้าน พูดต่อกันและกันกับพี่น้องของตนว่า ‘มาเถิด มาฟังเสียงพระวจนะซึ่งออกมาจากพระเยโฮวาห์’
อสค 39.15 เมื่อคนเหล่านั้นผ่านไปมาในแผ่นดิน ถ้าใครเห็นกระดูกคนเข้า เขาจะเอาเครื่องหมายปักไว้ข้างกระดูกนั้น จนกว่าคนฝังจะมาฝังเขาไว้ในหุบเขาฮาโมนโกก
อสค 40.10 แต่ละด้านของหอประตูตะวันออกมีห้องยามอยู่สามห้อง ห้องทั้งสามมีขนาดเดียวกัน และเสาที่อยู่ทั้งสองข้างก็มีขนาดเดียวกัน
อสค 40.23 ตรงข้ามกับประตูซึ่งอยู่ข้างเหนือเช่นเดียวกับประตูที่อยู่ข้างตะวันออก มีประตูเปิดไปสู่ลานชั้นใน และท่านก็วัดจากประตูหนึ่งไปยังอีกประตูหนึ่งได้หนึ่งร้อยศอก
อสค 40.41 มีโต๊ะอยู่ข้างนี้สี่โต๊ะ และมีโต๊ะอยู่ข้างนั้นข้างๆหอประตูสี่โต๊ะ เป็นแปดโต๊ะด้วยกัน ซึ่งเขาใช้เป็นที่ฆ่าเครื่องสัตวบูชา
อสค 40.44 ข้างนอกหอประตูชั้นใน ในลานชั้นในมีห้องสำหรับพวกนักร้อง ซึ่งอยู่ข้างหอประตูเหนือ หันหน้าไปทิศใต้ อีกห้องหนึ่งอยู่ข้างหอประตูตะวันออก หันหน้าไปทิศเหนือ
อสค 40.49 มุขนั้นยาวยี่สิบศอกและกว้างสิบเอ็ดศอก และท่านนำข้าพเจ้าทางบันไดไปถึงที่นั้น และมีเสาอยู่ข้างเสาทั้งสองข้าง
อสค 41.2 และส่วนกว้างของทางเข้านั้นสิบศอก และกำแพงข้างทางเข้าด้านละห้าศอก และท่านก็วัดความยาวของพระวิหารได้สี่สิบศอก กว้างยี่สิบศอก
อสค 41.7 ห้องระเบียงนั้นยิ่งสูงขึ้นไปก็ยิ่งกว้างออก ตามส่วนขยายของหยักบ่าจากห้องหนึ่งซ้อนอยู่บนอีกห้องหนึ่งโดยรอบ ที่ข้างพระนิเวศมีบันไดนำขึ้นข้างบน ดังนี้แหละผู้ใดที่ขึ้นไปจากห้องต่ำที่สุดถึงห้องบนก็ต้องลอดผ่านห้องกลาง
อสค 41.15 แล้วท่านก็วัดความยาวของตึกซึ่งหันหน้าไปสู่สนามซึ่งอยู่ด้านหลัง พร้อมทั้งผนังข้างๆ ยาวหนึ่งร้อยศอก ห้องโถงของพระวิหารนั้นและลานของมุข
อสค 41.19 หน้าของผู้ชายตรงต้นอินทผลัมที่อยู่ข้างหนึ่ง และหน้าของสิงโตหนุ่มตรงต้นอินทผลัมที่อยู่อีกข้างหนึ่ง มีรูปอย่างนี้รอบพระนิเวศทั้งหมด
อสค 41.26 มีหน้าต่างและมีต้นอินทผลัมอยู่ทั้งสองข้างที่บนผนังด้านข้างมุข ทั้งห้องระเบียงพระนิเวศและพลับพลา
อสค 43.6 ขณะที่ชายคนนั้นยังยืนอยู่ที่ข้างข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ยินพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าดังออกมาจากพระนิเวศ
อสค 43.8 โดยการวางธรณีประตูของเขาทั้งหลายไว้ข้างธรณีประตูทั้งหลายของเรา โดยการตั้งเสาประตูของเขาทั้งหลายไว้ข้างเสาประตูทั้งหลายของเรา มีเพียงผนังกั้นไว้ระหว่างเรากับเขาทั้งหลายเท่านั้น เขาได้กระทำให้นามบริสุทธิ์ของเราเป็นมลทินด้วยการอันน่าสะอิดสะเอียนของเขาซึ่งเขาทั้งหลายได้กระทำ ดังนั้นเราจึงเผาผลาญเขาเสียด้วยความกริ้วของเรา
อสค 43.17 ขั้นข้างเตาก็สี่เหลี่ยมจตุรัสเหมือนกัน ยาวสิบสี่ศอก กว้างสิบสี่ศอก ยกริมรอบกว้างครึ่งศอก ฐานกว้างศอกหนึ่งโดยรอบ บันไดแท่นบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันออก”
อสค 43.20 เจ้าจงเอาเลือดวัวนั้นบ้างใส่ไว้ที่เชิงงอนทั้งสี่ของแท่น และมุมทั้งสี่ของขั้นข้างเตา และที่ยกริมโดยรอบ ทำดังนี้แหละท่านจะได้ชำระแท่นและทำการลบมลทินของแท่นนั้นไว้
อสค 45.7 แผ่นดินทั้งสองข้างของตำบลบริสุทธิ์และส่วนของเมืองนั้น ให้ยกเป็นที่ดินของเจ้านายเคียงข้างกับตำบลบริสุทธิ์ และส่วนของเมืองด้านตะวันตกและตะวันออกมีส่วนยาวเท่ากับส่วนที่ยกให้คนตระกูลหนึ่ง ยืดออกไปตามทางตะวันตกและทางตะวันออกของเขตแดนแผ่นดิน
อสค 46.19 แล้วท่านก็นำข้าพเจ้ามาตามทางเข้าซึ่งอยู่ข้างประตู มายังห้องบริสุทธิ์แถวเหนือ ซึ่งเป็นของปุโรหิต ดูเถิด มีสถานที่แห่งหนึ่งอยู่ทั้งสองข้างทางทิศตะวันตก
อสค 47.10 ต่อมาชาวประมงก็จะยืนอยู่ที่ข้างทะเล จากเอนเกดีถึงเอนเอกลาอิม จะเป็นที่สำหรับตากอวน ปลาในที่นั่นจะมีหลายชนิด เหมือนปลาในทะเลใหญ่ คือจะมีมากมาย
อสค 48.21 ส่วนที่เหลืออยู่ทั้งสองข้างของส่วนบริสุทธิ์และส่วนของตัวนคร ให้ตกเป็นของเจ้านาย ยื่นจากส่วนบริสุทธิ์ซึ่งยาวสองหมื่นห้าพันศอกไปยังพรมแดนตะวันออก และทางด้านตะวันตกจากสองหมื่นห้าพันศอกไปยังพรมแดนตะวันตก ส่วนนี้ให้ตกเป็นของเจ้านาย จะเป็นส่วนบริสุทธิ์ และสถานบริสุทธิ์ของพระนิเวศนั้นอยู่ท่ามกลาง
ดนล 7.5 และดูเถิด มีสัตว์อีกตัวหนึ่งเป็นตัวที่สองเหมือนหมี มันขยับตัวข้างหนึ่งขึ้น มีกระดูกซี่โครงสามซี่อยู่ในปากของมันระหว่างซี่ฟัน มีเสียงบอกมันว่า ‘จงลุกขึ้นกินเนื้อให้มากๆ’
ดนล 12.5 แล้วข้าพเจ้าคือดาเนียลก็มองดู และดูเถิด มีอีกสองคนยืนอยู่ คนหนึ่งยืนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำข้างนี้ อีกคนหนึ่งยืนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำข้างโน้น
อมส 2.8 ตัวเขาเองนอนอยู่ข้างแท่นบูชาทุกแท่น อยู่บนเสื้อผ้าที่เขายึดมาเป็นประกัน และในนิเวศแห่งพระของเขา เขาทั้งหลายดื่มเหล้าองุ่นสำหรับผู้ที่ถูกปรับโทษ
อมส 7.7 พระองค์ทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าว่า ดูเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าประทับยืนอยู่ที่ข้างกำแพงสร้างด้วยใช้สายดิ่ง มีสายดิ่งอยู่ในพระหัตถ์
อมส 9.1 ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าประทับยืนอยู่ข้างแท่นบูชา และพระองค์ตรัสว่า “จงตีที่หัวเสาเพื่อให้ธรณีประตูหวั่นไหว และจงหักมันเสียให้เป็นชิ้นๆเหนือศีรษะของประชาชนทั้งหมด คนที่ยังเหลืออยู่เราจะสังหารเสียด้วยดาบ จะไม่มีผู้ใดหนีไปได้เลย จะไม่รอดพ้นไปได้สักคนเดียว
ยนา 4.11 ไม่สมควรหรือที่เราจะไว้ชีวิตเมืองนีนะเวห์นครใหญ่นั้น ซึ่งมีพลเมืองมากกว่าหนึ่งแสนสองหมื่นคน ผู้ไม่ทราบว่าข้างไหนมือขวาข้างไหนมือซ้าย และมีสัตว์เลี้ยงเป็นอันมากด้วย”
ศฟย 3.10 บุคคลที่ทูลขอต่อเรา คือบุตรสาวแห่งคนของเราที่ถูกกระจัดกระจายไป จะนำเอาเครื่องบูชาของเรามาจากฟากข้างโน้นของแม่น้ำแห่งเอธิโอเปีย
ศคย 3.1 แล้วท่านได้แสดงให้ข้าพเจ้าเห็นโยชูวามหาปุโรหิต ซึ่งยืนอยู่หน้าทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ และซาตานยืนอยู่ข้างขวามือของท่าน จะขัดขวางท่าน
ศคย 4.3 และมีต้นมะกอกเทศสองต้นอยู่ข้างๆ อยู่ข้างขวาชามนั้นต้นหนึ่ง อยู่ข้างซ้ายต้นหนึ่ง”
ศคย 4.11 แล้วข้าพเจ้าจึงถามท่านว่า “ต้นมะกอกเทศสองต้นที่อยู่ข้างขวาและข้างซ้ายของเชิงเทียนนั้นคืออะไร”
ศคย 4.12 และข้าพเจ้าถามท่านเป็นครั้งที่สองว่า “กิ่งทั้งสองของต้นมะกอกเทศ ซึ่งอยู่ข้างท่อทองคำทั้งสอง ซึ่งเทน้ำมันออกนั้นคืออะไร”
ศคย 4.14 แล้วท่านจึงกล่าวว่า “ทั้งสองนี้คือผู้ที่ได้รับการเจิม เป็นผู้ยืนอยู่ข้างองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งพิภพทั้งสิ้น”
มธ 4.15 ‘แคว้นเศบูลุนและแคว้นนัฟทาลีทางข้างทะเลฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น คือกาลิลีแห่งบรรดาประชาชาติ
มธ 4.25 และมีคนหมู่ใหญ่มาจากแคว้นกาลิลี และแคว้นทศบุรี และกรุงเยรูซาเล็ม และแคว้นยูเดีย และแม่น้ำจอร์แดนฟากข้างโน้น ติดตามพระองค์ไป
มธ 5.29 ถ้าตาข้างขวาของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงควักออกและโยนมันทิ้งเสียจากท่าน เพราะว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านมากกว่าที่จะเสียอวัยวะไปอย่างหนึ่ง แต่ทั้งตัวของท่านไม่ต้องถูกทิ้งลงในนรก
มธ 5.30 และถ้ามือข้างขวาของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงตัดออกและโยนมันทิ้งเสียจากท่าน เพราะว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านมากกว่าที่จะเสียอวัยวะไปอย่างหนึ่ง แต่ทั้งตัวของท่านไม่ต้องถูกทิ้งลงในนรก
มธ 5.39 ฝ่ายเราบอกท่านว่า อย่าต่อสู้คนชั่ว ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน ก็จงหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาด้วย
มธ 6.24 ไม่มีผู้ใดปรนนิบัตินายสองนายได้ เพราะเขาจะชังนายข้างหนึ่งและจะรักนายอีกข้างหนึ่ง หรือเขาจะนับถือนายฝ่ายหนึ่งและจะดูหมิ่นนายอีกฝ่ายหนึ่ง ท่านจะปรนนิบัติพระเจ้าและเงินทองพร้อมกันไม่ได้
มธ 9.5 ที่จะว่า ‘บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว’ หรือจะว่า ‘จงลุกขึ้นเดินไปเถิด’ นั้น ข้างไหนจะง่ายกว่ากัน
มธ 12.10 ดูเถิด มีชายคนหนึ่งมือข้างหนึ่งลีบ คนทั้งหลายถามพระองค์ว่า “การรักษาโรคในวันสะบาโตนั้นพระราชบัญญัติห้ามไว้หรือไม่” เพื่อเขาจะหาเหตุฟ้องพระองค์ได้
มธ 12.13 แล้วพระองค์ก็ตรัสกับชายคนนั้นว่า “จงเหยียดมือออกเถิด” เขาก็เหยียดออก และมือนั้นก็หายเป็นปกติเหมือนมืออีกข้างหนึ่ง
มธ 18.9 ถ้าตาของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงควักออกและโยนมันทิ้งเสียจากท่าน ซึ่งท่านจะเข้าสู่ชีวิตด้วยตาข้างเดียวยังดีกว่ามีสองตาและต้องถูกทิ้งไปในไฟนรก
มธ 19.1 ต่อมาเมื่อพระเยซูตรัสถ้อยคำเหล่านี้เสร็จแล้ว พระองค์ได้เสด็จจากแคว้นกาลิลี เข้าไปในเขตแดนแคว้นยูเดียฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น
มธ 20.23 พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านจะดื่มจากถ้วยของเรา และรับบัพติศมาด้วยบัพติศมาที่เราจะรับก็จริง แต่ซึ่งจะนั่งข้างขวาและข้างซ้ายของเรานั้น ไม่ใช่พนักงานของเราที่จะมอบให้ แต่พระบิดาของเราได้ทรงเตรียมไว้สำหรับผู้ใด ก็จะให้แก่ผู้นั้น”
มธ 24.31 พระองค์จะทรงใช้เหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์มาด้วยเสียงแตรอันดังยิ่งนัก ให้รวบรวมคนทั้งปวงที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้แล้วจากลมทั้งสี่ทิศนั้น ตั้งแต่ที่สุดฟ้าข้างนี้จนถึงที่สุดฟ้าข้างโน้น
มธ 26.64 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ท่านว่าถูกแล้ว และยิ่งกว่านั้นอีก เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในเวลาเบื้องหน้านั้น ท่านทั้งหลายจะได้เห็นบุตรมนุษย์นั่งข้างขวาพระหัตถ์ของผู้ทรงฤทธานุภาพ และเสด็จมาบนเมฆแห่งฟ้าสวรรค์”
มธ 27.38 คราวนั้นมีโจรสองคนถูกตรึงไว้พร้อมกับพระองค์ ข้างขวาพระหัตถ์คนหนึ่ง ข้างซ้ายอีกคนหนึ่ง
มก 2.9 ที่จะว่ากับคนอัมพาตว่า ‘บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว’ หรือจะว่า ‘จงลุกขึ้นยกแคร่เดินไปเถิด’ นั้น ข้างไหนจะง่ายกว่ากัน
มก 3.1 แล้วพระองค์ได้เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาอีก และที่นั่นมีชายคนหนึ่งมือข้างหนึ่งลีบ
มก 3.5 พระองค์มีพระทัยเป็นทุกข์เพราะใจเขาแข็งกระด้างนัก และได้ทอดพระเนตรดูรอบด้วยพระพิโรธ และพระองค์ตรัสกับชายคนนั้นว่า “จงเหยียดมือออกเถิด” เขาก็เหยียดออก และมือของเขาก็หายเป็นปกติเหมือนกับมืออีกข้างหนึ่ง
มก 3.8 จากกรุงเยรูซาเล็ม และจากเมืองเอโดม และจากฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น และจากแคว้นเมืองไทระและไซดอน ฝูงชนเป็นอันมาก เมื่อเขาได้ยินถึงสิ่งยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงกระทำนั้นก็มาหาพระองค์
มก 4.35 เย็นวันนั้นพระองค์ได้ตรัสแก่เขาทั้งหลายว่า “ให้พวกเราข้ามไปฝั่งฟากข้างโน้นเถิด”
มก 9.47 ถ้าตาของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงควักออกทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าด้วยตาข้างเดียวยังดีกว่ามีสองตา และต้องถูกทิ้งในไฟนรก
มก 10.1 ฝ่ายพระองค์ได้ทรงลุกขึ้นเสด็จจากที่นั่น เข้าในเขตแดนแคว้นยูเดีย ไปตามทางแม่น้ำจอร์แดนฟากข้างโน้น และประชาชนพากันมาหาพระองค์อีก พระองค์จึงตรัสสั่งสอนเขาอีกตามที่พระองค์ทรงเคยสอนนั้น
มก 10.40 แต่ที่จะนั่งข้างขวาและข้างซ้ายของเรานั้น ไม่ใช่พนักงานของเราที่จะจัดให้ แต่ได้ทรงเตรียมไว้สำหรับผู้ใดก็จะให้แก่ผู้นั้น”
มก 14.62 พระเยซูทรงตอบว่า “เราเป็น และท่านทั้งหลายจะได้เห็นบุตรมนุษย์นั่งข้างขวาของผู้ทรงฤทธานุภาพ และเสด็จมาในเมฆแห่งฟ้าสวรรค์”
มก 15.27 เขาเอาโจรสองคนตรึงไว้พร้อมกับพระองค์ ข้างขวาพระหัตถ์คนหนึ่ง และข้างซ้ายอีกคนหนึ่ง
มก 16.5 ครั้นเขาเข้าไปในอุโมงค์แล้ว ได้เห็นหนุ่มคนหนึ่งนุ่งห่มผ้ายาวสีขาวนั่งอยู่ข้างขวา ผู้หญิงนั้นก็ตกตะลึง
ลก 1.11 ทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏแก่เศคาริยาห์ ยืนอยู่ที่ข้างขวาแท่นเผาเครื่องหอมบูชา
ลก 4.39 พระองค์ทรงยืนอยู่ข้างคนเจ็บ ทรงห้ามไข้ ไข้ก็หาย และในทันใดนั้นแม่ยายของซีโมนก็ลุกขึ้นปรนนิบัติเขาทั้งหลาย
ลก 5.23 ที่จะว่า ‘บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว’ หรือจะว่า ‘จงลุกขึ้นเดินไปเถิด’ นั้น ข้างไหนจะง่ายกว่ากัน
ลก 6.10 พระองค์จึงทอดพระเนตรดูทุกคนโดยรอบ แล้วตรัสกับชายคนนั้นว่า “จงเหยียดมือออกเถิด” เขาก็กระทำตาม และมือของเขาก็หายเป็นปกติเหมือนมืออีกข้างหนึ่ง
ลก 6.29 ผู้ใดตบแก้มของท่านข้างหนึ่ง จงหันอีกข้างหนึ่งให้เขาด้วย และผู้ใดริบเอาเสื้อคลุมของท่านไป ถ้าเขาจะเอาเสื้อด้วยก็อย่าหวงห้าม
ลก 8.22 อยู่มาวันหนึ่งพระองค์เสด็จลงเรือกับเหล่าสาวกของพระองค์ แล้วพระองค์ตรัสแก่เขาว่า “ให้เราข้ามทะเลสาบไปฟากข้างโน้น” เขาก็ถอยเรือออกไป
ลก 16.13 ไม่มีผู้รับใช้ผู้ใดจะปรนนิบัตินายสองนายได้ เพราะว่าจะชังนายข้างหนึ่ง และจะรักนายอีกข้างหนึ่งหรือจะนับถือนายฝ่ายหนึ่ง และจะดูหมิ่นนายอีกฝ่ายหนึ่ง ท่านจะปรนนิบัติพระเจ้าและจะปรนนิบัติเงินทองพร้อมกันไม่ได้”
ลก 17.24 ด้วยว่าเปรียบเหมือนฟ้าแลบ เมื่อแลบออกจากฟ้าข้างหนึ่ง ก็ส่องสว่างไปถึงฟ้าอีกข้างหนึ่ง บุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้นแหละในวันของพระองค์
ลก 22.50 และมีคนหนึ่งในเหล่าสาวก ได้ฟันผู้รับใช้คนหนึ่งของมหาปุโรหิต ถูกหูข้างขวาของเขาขาด
ลก 22.69 แต่ตั้งแต่นี้ไปบุตรมนุษย์จะนั่งข้างขวาของพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ”
ลก 23.33 เมื่อมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่า กะโหลกศีรษะ เขาก็ตรึงพระองค์ไว้ที่กางเขนที่นั่น พร้อมกับผู้ร้ายสองคนนั้น ข้างขวาพระหัตถ์คนหนึ่ง และข้างซ้ายอีกคนหนึ่ง
ยน 1.28 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่เบธาบาราฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น อันเป็นที่ซึ่งยอห์นกำลังให้บัพติศมาอยู่
ยน 3.8 ลมใคร่จะพัดไปข้างไหนก็พัดไปข้างนั้น และท่านได้ยินเสียงลมนั้น แต่ท่านไม่รู้ว่าลมมาจากไหนและไปที่ไหน คนที่บังเกิดจากพระวิญญาณก็เป็นอย่างนั้นทุกคน”
ยน 3.26 สาวกของยอห์นจึงไปหายอห์นและพูดว่า “รับบี ท่านที่อยู่กับอาจารย์ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น ผู้ที่อาจารย์เป็นพยานถึงนั้น ดูเถิด ท่านผู้นั้นให้บัพติศมาและคนทั้งปวงก็พากันไปหาท่าน”
ยน 6.22 วันรุ่งขึ้น เมื่อคนที่อยู่ฝั่งข้างโน้นเห็นว่าไม่มีเรืออื่นที่นั่น เว้นแต่ลำที่เหล่าสาวกของพระองค์ลงไปเพียงลำเดียว และเห็นว่าพระเยซูมิได้เสด็จลงเรือลำนั้นไปกับเหล่าสาวก แต่เหล่าสาวกของพระองค์ไปตามลำพังเท่านั้น
ยน 6.25 ครั้นเขาได้พบพระองค์ที่ฝั่งทะเลข้างโน้นแล้ว เขาทั้งหลายทูลพระองค์ว่า “รับบี ท่านมาที่นี่เมื่อไร”
ยน 10.40 พระองค์เสด็จไปฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นอีก และไปถึงสถานที่ที่ยอห์นให้บัพติศมาเป็นครั้งแรก และพระองค์ทรงพักอยู่ที่นั่น
ยน 18.10 ซีโมนเปโตรมีดาบ จึงชักออกและฟันผู้รับใช้คนหนึ่งของมหาปุโรหิต ถูกหูข้างขวาขาดไป ชื่อของผู้รับใช้คนนั้นคือมัลคัส
ยน 19.18 ณ ที่นั้น เขาตรึงพระองค์ไว้ที่กางเขนกับคนอีกสองคน คนละข้างและพระเยซูทรงอยู่กลาง
ยน 19.25 ผู้ที่ยืนอยู่ข้างกางเขนของพระเยซูนั้น มีมารดาของพระองค์กับน้าสาวของพระองค์ มารีย์ภรรยาของเคลโอปัส และมารีย์ชาวมักดาลา
กจ 1.10 เมื่อเขากำลังเขม้นดูฟ้าเวลาที่พระองค์เสด็จขึ้นไปนั้น ดูเถิด มีชายสองคนสวมเสื้อขาวมายืนอยู่ข้างๆเขา
กจ 5.10 ในทันใดนั้นนางก็ล้มลงตายแทบเท้าของเปโตร และพวกคนหนุ่มได้เข้ามาเห็นว่าหญิงนั้นตายแล้ว จึงได้หามศพออกไปฝังไว้ข้างสามีของนาง
กจ 13.31 พระองค์ทรงปรากฏแก่คนทั้งหลายที่ตามพระองค์จากแคว้นกาลิลีไปยังกรุงเยรูซาเล็มเป็นหลายวัน บัดนี้คนเหล่านั้นเป็นพยานข้างพระองค์แก่คนทั้งหลาย
กจ 21.3 ครั้นแลเห็นเกาะไซปรัสแล้ว เราก็ผ่านเกาะนั้นไปข้างขวา แล่นไปยังแคว้นซีเรีย จอดเรือที่ท่าเมืองไทระ เพราะจะเอาของบรรทุกขึ้นท่าที่นั่น
กจ 27.41 ครั้นมาถึงตำบลหนึ่งที่ทะเลสองข้างบรรจบกัน กำปั่นก็เกยดิน หัวเรือติดแน่นออกไม่ได้ แต่ท้ายเรือนั้นก็แตกออกด้วยกำลังคลื่น
คส 3.1 ถ้าท่านรับการทรงชุบให้เป็นขึ้นมาด้วยกันกับพระคริสต์แล้ว ก็จงแสวงหาสิ่งซึ่งอยู่เบื้องบนในที่ซึ่งพระคริสต์ทรงประทับข้างขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า
ฮบ 7.8 ฝ่ายข้างนี้มนุษย์ที่ต้องตายยังได้รับสิบชักหนึ่ง แต่ฝ่ายข้างโน้นท่านผู้เดียวได้รับ และมีพยานกล่าวถึงท่านว่าท่านยังมีชีวิตอยู่
วว 1.20 ส่วนความลึกลับของดาวทั้งเจ็ดดวงซึ่งเจ้าได้เห็นในมือข้างขวาของเรา และแห่งคันประทีปทองคำทั้งเจ็ดนั้น ก็คือ ดาวทั้งเจ็ดดวงได้แก่ทูตสวรรค์ของคริสตจักรทั้งเจ็ด และคันประทีปเจ็ดคันซึ่งเจ้าได้เห็นแล้วนั้นได้แก่คริสตจักรทั้งเจ็ด”

ข้างขวา ( 1 )
สดด 110.5 องค์พระผู้เป็นเจ้าประทับข้างขวาหัตถ์ของพระองค์ท่าน พระองค์จะทรงทลายบรรดากษัตริย์ในวันที่ทรงพระพิโรธ

ข้างขึ้น ( 4 )
กดว 29.6 นอกเหนือเครื่องเผาบูชาในวันข้างขึ้นและธัญญบูชาคู่กันและเครื่องเผาบูชาประจำวันคู่กับธัญญบูชา และเครื่องดื่มบูชาคู่กัน ตามลักษณะเครื่องบูชาเหล่านี้ เป็นกลิ่นที่พอพระทัย เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่พระเยโฮวาห์
2พศด 2.4 ดูเถิด ข้าพเจ้ากำลังจะสร้างพระนิเวศเพื่อพระนามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้า และมอบถวายแด่พระองค์ เพื่อเผาเครื่องหอมต่อพระพักตร์พระองค์ และเพื่อขนมปังหน้าพระพักตร์เนืองนิตย์ และเพื่อเครื่องเผาบูชาทั้งเช้าและเย็น ในวันสะบาโต และในวันข้างขึ้น และวันเทศกาลตามกำหนดของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา ซึ่งเป็นกฎตั้งไว้เป็นนิตย์สำหรับอิสราเอล
อสย 1.13 อย่านำเครื่องบูชาอันเปล่าประโยชน์มาอีกเลย เครื่องหอมเป็นสิ่งน่าสะอิดสะเอียนต่อเรา วันข้างขึ้น และวันสะบาโต และการเรียกประชุม เราทนอีกไม่ได้มันเป็นความชั่วช้า แม้แต่การประชุมอันศักดิ์สิทธิ์นั้นด้วย
อสย 1.14 ใจของเราเกลียดวันข้างขึ้นของเจ้าและวันเทศกาลตามกำหนดของเจ้า มันกลายเป็นภาระแก่เรา เราแบกเหน็ดเหนื่อยเสียแล้ว

ข้างเคียง ( 3 )
ลนต 25.44 ส่วนทาสชายหญิงซึ่งจะมีได้นั้น เจ้าจะซื้อทาสชายหญิงจากท่ามกลางบรรดาประชาชาติที่อยู่ข้างเคียงเจ้าก็ได้
ยชว 22.7 ส่วนคนมนัสเสห์ครึ่งตระกูลนั้นโมเสสได้มอบให้เขาถือกรรมสิทธิ์ในเมืองบาชาน แต่อีกครึ่งตระกูลนั้นโยชูวามอบให้เขามีกรรมสิทธิ์ข้างเคียงกับพี่น้องของเขาที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างด้านตะวันตกนี้ และเมื่อโยชูวาส่งเขากลับไปยังเต็นท์ของตน ท่านได้อวยพรเขา
นรธ 4.17 หญิงชาวบ้านข้างเคียงก็ให้ชื่อเด็กนั้น พูดกันว่า “มีบุตรชายคนหนึ่งเกิดให้แก่นาโอมี” เขาตั้งชื่อเด็กคนนั้นว่า โอเบด ผู้เป็นบิดาของเจสซี ซึ่งเป็นบิดาของดาวิด

ข้างใต้ ( 1 )
โยบ 18.16 รากของเขาจะแห้งไปข้างใต้นั้น และกิ่งของเขาที่อยู่ข้างบนจะถูกตัดทิ้ง

ข้างนอก ( 50 )
ปฐก 6.14 เจ้าจงต่อนาวาด้วยไม้สนโกเฟอร์ เจ้าจงทำเป็นห้องๆในนาวา และยาทั้งข้างในข้างนอกด้วยชัน
ปฐก 24.11 เขาให้อูฐคุกเข่าลงที่ริมบ่อน้ำข้างนอกเมืองเวลาเย็น ซึ่งเป็นเวลาที่ผู้หญิงออกมาตักน้ำ
ปฐก 24.31 ท่านพูดว่า “ข้าแต่ท่านผู้รับพระพรของพระเยโฮวาห์ เชิญเข้ามาเถิด ท่านยืนอยู่ข้างนอกทำไม เพราะข้าพเจ้าเตรียมบ้านและเตรียมที่สำหรับอูฐแล้ว”
ปฐก 39.12 นางก็คว้าเสื้อผ้าโยเซฟเหนี่ยวรั้งไว้ แล้วพูดว่า “มานอนอยู่กับเราเถิด” แต่โยเซฟทิ้งเสื้อผ้าไว้ในมือนางหนีไปข้างนอก
ปฐก 39.13 ต่อมาเมื่อนางเห็นว่าโยเซฟทิ้งเสื้อผ้าไว้ในมือของนาง หนีไปข้างนอกแล้ว
ปฐก 39.15 อยู่มาเมื่อมันได้ยินข้าร้องขึ้น มันก็ทิ้งเสื้อผ้าไว้กับข้าหนีไปข้างนอก”
ปฐก 39.18 ต่อมาเมื่อข้าพเจ้าร้องขึ้นมันก็ทิ้งเสื้อผ้าไว้กับข้าพเจ้าหนีไปข้างนอก”
อพย 26.35 จงตั้งโต๊ะไว้ข้างนอกม่าน และจงตั้งคันประทีปไว้ด้านใต้ในพลับพลาตรงข้ามกับโต๊ะ เจ้าจงตั้งโต๊ะไว้ทางด้านเหนือ
อพย 27.21 ในพลับพลาแห่งชุมนุมข้างนอกม่านซึ่งอยู่หน้าหีบพระโอวาท ให้อาโรนและบุตรชายของอาโรน ดูแลประทีปนั้นอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ตั้งแต่เวลาพลบค่ำจนถึงรุ่งเช้า ให้เป็นกฎเกณฑ์เนืองนิตย์ที่ชนชาติอิสราเอลต้องปฏิบัติตามชั่วอายุของเขา”
อพย 29.14 แต่เนื้อกับหนัง และมูลของวัวตัวผู้นั้นจงเผาไฟเสียข้างนอกค่าย ทั้งนี้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
อพย 30.6 จงตั้งแท่นนั้นไว้ข้างนอกม่านซึ่งอยู่ใกล้หีบพระโอวาท ข้างหน้าพระที่นั่งกรุณาซึ่งอยู่เหนือหีบพระโอวาท ที่ที่เราจะพบกับเจ้า
อพย 33.7 ฝ่ายโมเสสตั้งพลับพลาหลังหนึ่งไว้ข้างนอกไกลจากค่าย และเรียกว่าพลับพลาแห่งชุมนุม ต่อมาทุกคนซึ่งปรารถนาจะเข้าเฝ้าพระเยโฮวาห์ก็ออกไปยังพลับพลาแห่งชุมนุม ซึ่งตั้งอยู่นอกบริเวณค่าย
อพย 37.2 หีบนั้นเขาหุ้มด้วยทองคำบริสุทธิ์ ทั้งข้างในและข้างนอก และได้ทำกระจังรอบหีบนั้นด้วยทองคำ
ลนต 8.17 แต่วัวและหนังวัว กับเนื้อและมูลของมัน ท่านเผาเสียด้วยไฟข้างนอกค่าย ดังที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาโมเสสไว้
ลนต 13.55 เมื่อซักแล้วก็ให้ปุโรหิตตรวจดูตัวที่เป็นโรคนั้นอีก ดูเถิด ถ้าบริเวณที่เป็นโรคไม่เปลี่ยนสี แม้ว่าโรคนั้นไม่ลามไป ก็เป็นมลทิน เจ้าจงเอาใส่ในไฟเผาเสีย ไม่ว่าบริเวณที่เป็นโรคเรื้อนนั้นจะอยู่ข้างในหรือข้างนอก
ลนต 16.27 เขาจะเอาวัวซึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และแพะซึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป ที่อาโรนเอาเลือดไปทำการลบมลทินสถานบริสุทธิ์นั้นไปเสียข้างนอกค่าย และเขาจะเผาเนื้อหนังและมูลเสียด้วยไฟ
ลนต 24.3 ภายในพลับพลาแห่งชุมนุมข้างนอกม่านหีบพระโอวาทนั้น ให้อาโรนจัดประทีปให้เป็นระเบียบตั้งแต่เวลาเย็นจนเวลาเช้าเสมอต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ทั้งนี้ให้เป็นกฎเกณฑ์ถาวรตลอดชั่วอายุของเจ้า
พบญ 23.13 และท่านต้องมีไม้เสี้ยมรวมไว้กับเครื่องอาวุธ และเมื่อท่านนั่งลงในที่ข้างนอกนั้น ท่านจงใช้ไม้ขุดหลุมไว้ และหันไปกลบสิ่งปฏิกูลของท่านเสีย
1พกษ 6.4 และพระองค์ทรงสร้างหน้าต่างสำหรับพระนิเวศมีขอบสอบออกข้างนอก
1พกษ 6.29 พระองค์ทรงสลักผนังของพระนิเวศนั้นโดยรอบ ด้วยรูปแกะสลักเป็นรูปเครูบ และต้นอินทผลัมและดอกไม้บานทั้งข้างในและข้างนอก
1พกษ 6.30 พื้นของพระนิเวศนั้น พระองค์ทรงบุด้วยทองคำทั้งข้างในและข้างนอก
1พกษ 7.9 ทั้งสิ้นเหล่านี้สร้างด้วยหินอันมีค่า สกัดออกมาตามขนาด ใช้เลื่อย เลื่อยทั้งด้านหลังและด้านหน้า ตั้งแต่ฐานถึงยอดผนัง และมีตั้งแต่ข้างนอกถึงลานใหญ่
1พกษ 8.8 พวกเขาดึงคานหามของหีบนั้นออกบ้าง จึงเห็นปลายคานหามได้จากที่บริสุทธิ์ที่สุด ซึ่งอยู่ข้างหน้าห้องหลัง แต่เขาจะเห็นจากข้างนอกไม่ได้ และคานหามก็ยังอยู่ที่นั่นจนทุกวันนี้
2พกษ 4.21 นางจึงอุ้มขึ้นไปวางไว้บนที่นอนของคนแห่งพระเจ้า และปิดประตูเสียแล้วไปข้างนอก
2พกษ 4.37 นางจึงเข้ามาซบหน้าลงที่เท้าของท่านกราบลงถึงดิน แล้วนางก็อุ้มบุตรชายของนางขึ้นออกไปข้างนอก
2พกษ 10.25 และอยู่มาเมื่อพระองค์เสร็จการถวายเครื่องเผาบูชา เยฮูรับสั่งแก่ทหารรักษาพระองค์และพวกนายทหารว่า “จงเข้าไปฆ่าเขาเสีย อย่าให้รอดสักคนเดียว” เมื่อเขาฆ่าเขาทั้งหลายเสียด้วยคมดาบแล้ว ทหารรักษาพระองค์และพวกนายทหารก็โยนศพเขาทั้งหลายออกไปข้างนอก แล้วก็ไปที่เมืองแห่งนิเวศของพระบาอัล
2พศด 5.9 พวกเขาดึงคานหามของหีบนั้นออกบ้าง จึงเห็นปลายคานหามได้จากหีบนั้น ซึ่งอยู่ข้างหน้าห้องหลัง แต่เขาจะเห็นจากข้างนอกไม่ได้ และคานหามก็ยังอยู่ที่นั่นจนทุกวันนี้
2พศด 32.5 พระองค์ทรงประกอบกิจอย่างบึกบึน สร้างกำแพงที่ปรักหักพังนั้นทั่วไปใหม่ และสร้างหอคอยขึ้น และทรงสร้างกำแพงข้างนอกอีกชั้นหนึ่ง และพระองค์ทรงเสริมกำแพงป้อมมิลโลที่นครดาวิด ทรงสร้างหอกและโล่เป็นจำนวนมาก
สภษ 22.13 คนเกียจคร้านกล่าวว่า “มีสิงโตอยู่ข้างนอก ข้าจะถูกฆ่าตามถนน”
ยรม 9.21 เพราะความตายได้ขึ้นมาเข้าหน้าต่างของเรา มันเข้ามาในวังทั้งหลายของเรา ตัดพวกเด็กๆออกเสียจากข้างนอก และตัดคนหนุ่มๆออกเสียจากถนนทั้งหลาย
ยรม 22.19 ท่านจะถูกฝังไว้อย่างฝังลา คือถูกลากไปโยนทิ้งไว้ข้างนอกประตูเมืองเยรูซาเล็ม
ยรม 22.20 จงขึ้นไปที่เลบานอน และร้องว่า และจงเปล่งเสียงของเจ้าในเมืองบาชาน จงร้องจากทางผ่านข้างนอก เพราะว่าคนรักทั้งสิ้นของเจ้าถูกทำลายเสียแล้ว
อสค 7.15 ดาบก็อยู่ข้างนอก โรคระบาดและการกันดารอาหารก็อยู่ข้างใน ผู้ที่อยู่ในทุ่งนาจะตายเสียด้วยดาบ และผู้ที่อยู่ในเมืองการกันดารอาหารและโรคระบาดจะกินเสีย
อสค 40.44 ข้างนอกหอประตูชั้นใน ในลานชั้นในมีห้องสำหรับพวกนักร้อง ซึ่งอยู่ข้างหอประตูเหนือ หันหน้าไปทิศใต้ อีกห้องหนึ่งอยู่ข้างหอประตูตะวันออก หันหน้าไปทิศเหนือ
อสค 41.17 จนถึงที่อยู่เหนือประตู ถึงแม้เป็นห้องชั้นในและข้างนอก และบนผนังโดยรอบที่ห้องชั้นในและห้องโถง ก็กระทำโดยการวัด
อสค 41.25 และบนประตูของพระวิหาร มีเครูบและต้นอินทผลัมแกะไว้ เช่นเดียวกับที่แกะไว้บนผนัง มีพลับพลาไม้อยู่ที่หน้ามุขข้างนอก
อสค 42.7 และมีผนังข้างนอกขนานกับห้อง ตรงไปยังลานข้างนอก ตรงข้ามกับห้อง ยาวห้าสิบศอก
อสค 46.2 ฝ่ายเจ้านายนั้นจะเข้ามาจากข้างนอกทางมุขของหอประตู และจะมายืนอยู่ที่เสาประตู และพวกปุโรหิตจะเตรียมเครื่องเผาบูชา และเครื่องสันติบูชาของท่าน และท่านจะนมัสการอยู่ที่ธรณีประตู แล้วท่านจะออกไป แต่อย่าปิดประตูนั้นจนกว่าจะถึงเวลาเย็น
ฮชย 7.1 เมื่อเราจะรักษาอิสราเอลให้หาย ความชั่วช้าของเอฟราอิมก็เผยออก ทั้งการกระทำที่ชั่วร้ายของสะมาเรียก็แดงขึ้น เพราะว่าเขาทุจริต ขโมยก็หักเข้ามาข้างใน และกองโจรก็ปล้นอยู่ข้างนอก
มธ 12.47 แล้วมีคนหนึ่งทูลพระองค์ว่า “ดูเถิด มารดาและพวกน้องชายของพระองค์ยืนอยู่ข้างนอกประสงค์จะสนทนากับพระองค์”
มธ 23.26 พวกฟาริสีตาบอด จงชำระสิ่งที่อยู่ภายในถ้วยชามเสียก่อน เพื่อข้างนอกจะได้สะอาดด้วย
มธ 23.27 วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะว่าเจ้าเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพซึ่งฉาบด้วยปูนขาว ข้างนอกดูงดงามจริงๆ แต่ข้างในเต็มไปด้วยกระดูกคนตายและการโสโครกสารพัด
มธ 26.75 เปโตรจึงระลึกถึงคำของพระเยซูที่ตรัสแก่เขาว่า “ก่อนไก่ขัน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง” แล้วเปโตรก็ออกไปข้างนอกร้องไห้อย่างขมขื่นยิ่งนัก
มก 3.31 เวลานั้นมารดาและพวกน้องชายของพระองค์มายืนอยู่ข้างนอก แล้วใช้คนเข้าไปทูลเรียกพระองค์
มก 3.32 และประชาชนก็นั่งอยู่รอบพระองค์ เขาจึงทูลพระองค์ว่า “ดูเถิด มารดาและพวกน้องชายของพระองค์มาหาพระองค์คอยอยู่ข้างนอก”
ลก 8.20 มีคนทูลพระองค์ว่า “มารดาและน้องชายของพระองค์ยืนอยู่ข้างนอกปรารถนาจะพบพระองค์”
ลก 22.62 แล้วเปโตรก็ออกไปข้างนอกร้องไห้เป็นทุกข์นัก
ยน 18.16 แต่เปโตรยืนอยู่ข้างนอกริมประตู สาวกอีกคนหนึ่งนั้นที่รู้จักกันกับมหาปุโรหิต จึงได้ออกไปและพูดกับหญิงที่เฝ้าประตู แล้วก็พาเปโตรเข้าไป
กจ 9.40 ฝ่ายเปโตรให้คนทั้งปวงออกไปข้างนอก และได้คุกเข่าลงอธิษฐาน แล้วหันมายังศพนั้นกล่าวว่า “ทาบิธาเอ๋ย จงลุกขึ้น” ทาบิธาก็ลืมตา เมื่อเห็นเปโตรจึงลุกขึ้นนั่ง
วว 5.1 และในพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ผู้ทรงประทับบนพระที่นั่งนั้น ข้าพเจ้าได้เห็นหนังสือม้วนหนึ่งเขียนไว้ทั้งข้างในและข้างนอก มีตราประทับอยู่เจ็ดดวง

ข้างใน ( 53 )
ปฐก 6.14 เจ้าจงต่อนาวาด้วยไม้สนโกเฟอร์ เจ้าจงทำเป็นห้องๆในนาวา และยาทั้งข้างในข้างนอกด้วยชัน
อพย 26.33 ม่านนั้นให้เขาแขวนไว้กับขอสำหรับเกี่ยวม่าน แล้วเอาหีบพระโอวาทเข้ามาไว้ข้างในภายในม่าน และม่านนั้นจะเป็นที่แบ่งพลับพลาระหว่างที่บริสุทธิ์กับที่บริสุทธิ์ที่สุด
อพย 27.8 แท่นนั้นทำด้วยไม้กระดาน แต่ข้างในแท่นกลวงตามแบบที่แจ้งแก่เจ้าแล้วที่ภูเขา จงให้เขาทำอย่างนั้น
อพย 28.26 จงทำห่วงทองคำสองอันติดไว้ที่มุมล่างทั้งสองข้างของทับทรวงข้างในที่ติดเอโฟด
อพย 37.2 หีบนั้นเขาหุ้มด้วยทองคำบริสุทธิ์ ทั้งข้างในและข้างนอก และได้ทำกระจังรอบหีบนั้นด้วยทองคำ
อพย 38.7 เขาสอดไม้คานนั้นไว้ในห่วงที่ข้างแท่นสำหรับหาม เขาทำแท่นนั้นด้วยไม้กระดานให้ข้างในกลวง
อพย 39.19 เขาทั้งหลายทำห่วงทองคำสองอันติดไว้ที่ขอบด้านล่างทั้งสองของทับทรวงข้างในติดเอโฟด
ลนต 13.55 เมื่อซักแล้วก็ให้ปุโรหิตตรวจดูตัวที่เป็นโรคนั้นอีก ดูเถิด ถ้าบริเวณที่เป็นโรคไม่เปลี่ยนสี แม้ว่าโรคนั้นไม่ลามไป ก็เป็นมลทิน เจ้าจงเอาใส่ในไฟเผาเสีย ไม่ว่าบริเวณที่เป็นโรคเรื้อนนั้นจะอยู่ข้างในหรือข้างนอก
ลนต 14.41 และสั่งให้ขูดข้างในเรือนทั่วๆไป ผงปูนที่ขูดออกมานั้นให้นำไปทิ้งเสียในที่มลทินภายนอกเมือง
กดว 4.5 เมื่อจะเคลื่อนย้ายค่ายไป อาโรนและบุตรชายของท่านจะเข้าไปข้างใน และปลดม่านกำบังออกเอาคลุมหีบพระโอวาทไว้
วนฉ 7.16 ท่านจึงแบ่งคนสามร้อยนั้นออกเป็นสามกองให้ถือแตรทุกคน และถือหม้อเปล่า มีคบเพลิงอยู่ข้างในหม้อนั้น
1ซมอ 6.19 พระองค์จึงทรงประหารชาวเบธเชเมช เพราะว่าเขาทั้งหลายได้มองข้างในหีบแห่งพระเยโฮวาห์ พระองค์ได้ทรงประหารเสียห้าหมื่นเจ็ดสิบคน และประชาชนก็ไว้ทุกข์ เพราะว่าพระเยโฮวาห์ทรงประหารประชาชนเสียเป็นอันมาก
2ซมอ 5.9 ดาวิดก็ทรงประทับอยู่ในที่กำบังเข้มแข็ง และเรียกที่นั้นว่า เมืองของดาวิด และดาวิดทรงสร้างเมืองรอบตั้งแต่มิลโลเข้าไปข้างใน
1พกษ 6.15 พระองค์ทรงกรุผนังข้างในพระนิเวศด้วยกระดานไม้สนสีดาร์ ตั้งแต่พื้นพระนิเวศจนถึงไม้เพดาน พระองค์ทรงกรุข้างในด้วยไม้ และพระองค์ทรงปูปิดพื้นพระนิเวศด้วยไม้สนสามใบ
1พกษ 6.18 มีไม้สนสีดาร์ที่อยู่ข้างในพระนิเวศแกะเป็นรูปดอกตูมและดอกไม้บาน เป็นไม้สนสีดาร์ทั้งสิ้น ในที่นั่นแลไม่เห็นหินเลย
1พกษ 6.19 พระองค์ทรงจัดเตรียมห้องหลังไว้ข้างในพระนิเวศ เพื่อจะวางหีบพันธสัญญาของพระเยโฮวาห์ไว้ที่นั่น
1พกษ 6.20 ส่วนข้างในห้องหลังนั้นยาวยี่สิบศอก กว้างยี่สิบศอก และสูงยี่สิบศอก และพระองค์ทรงบุด้วยทองคำบริสุทธิ์ พระองค์ทรงกรุแท่นบูชาด้วยไม้สนสีดาร์ด้วย
1พกษ 6.21 และซาโลมอนทรงบุข้างในพระนิเวศด้วยทองคำบริสุทธิ์ และพระองค์ทรงลากโซ่ทองคำข้ามข้างหน้าห้องหลัง และบุด้วยทองคำ
1พกษ 6.29 พระองค์ทรงสลักผนังของพระนิเวศนั้นโดยรอบ ด้วยรูปแกะสลักเป็นรูปเครูบ และต้นอินทผลัมและดอกไม้บานทั้งข้างในและข้างนอก
1พกษ 6.30 พื้นของพระนิเวศนั้น พระองค์ทรงบุด้วยทองคำทั้งข้างในและข้างนอก
1พกษ 14.6 แต่เมื่ออาหิยาห์ได้ยินเสียงฝีพระบาทของพระนาง เมื่อพระนางเสด็จมาถึงประตู ท่านจึงพูดว่า “ขอเชิญพระมเหสีของเยโรโบอัมเสด็จเข้ามาข้างใน ไฉนพระองค์จึงทรงแสร้งกระทำเป็นคนอื่นเล่า เพราะข้าพระองค์ได้รับพระบัญชาให้ทูลข่าวอันน่าสลดใจแก่พระนาง
2พกษ 4.33 ท่านจึงเข้าไปข้างในปิดประตูให้ทั้งสองอยู่ข้างในและได้อธิษฐานต่อพระเยโฮวาห์
2พศด 4.4 ขันสาครนั้นวางอยู่บนวัวสิบสองตัวหันหน้าไปทิศเหนือสามตัว หันหน้าไปทิศตะวันตกสามตัว หันหน้าไปทิศใต้สามตัว และหันหน้าไปทิศตะวันออกสามตัว ขันสาครนั้นวางอยู่บนวัวนี้ ส่วนเบื้องหลังของมันทั้งสิ้นอยู่ข้างใน
2พศด 29.16 ปุโรหิตได้เข้าไปในส่วนข้างในของพระนิเวศของพระเยโฮวาห์เพื่อชำระให้บริสุทธิ์ และเขานำสิ่งสกปรกที่เขาพบในพระวิหารของพระเยโฮวาห์ออกมาที่ลานพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และคนเลวีก็ขนเอาของนั้นออกไปยังลำธารขิดโรน
สภษ 18.8 ถ้อยคำของผู้กระซิบนินทาก็เหมือนบาดแผล มันลงไปยังส่วนข้างในของร่างกาย
สภษ 26.22 ถ้อยคำของผู้กระซิบนินทาก็เหมือนบาดแผล มันลงไปยังส่วนข้างในของร่างกาย
อสค 7.15 ดาบก็อยู่ข้างนอก โรคระบาดและการกันดารอาหารก็อยู่ข้างใน ผู้ที่อยู่ในทุ่งนาจะตายเสียด้วยดาบ และผู้ที่อยู่ในเมืองการกันดารอาหารและโรคระบาดจะกินเสีย
อสค 24.6 เพราะฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า วิบัติแก่กรุงที่ชุ่มโลหิต วิบัติแก่หม้อที่ขึ้นสนิมข้างในและซึ่งสนิมมิได้หลุดออกมา จงเอาเนื้อออกทีละชิ้นๆ อย่าจับสลากเลย
อสค 40.9 และท่านก็วัดมุขของหอประตูได้แปดศอก และเสามุขนั้นสองศอก และมุขของหอประตูอยู่ที่ตอนปลายข้างใน
อสค 40.16 ตามหอประตูนั้นมีหน้าต่างรอบ ค่อยๆแคบเข้าไปข้างในทั้งในเสาและในห้องยามและมุขก็มีหน้าต่างอยู่รอบข้างในเหมือนกัน ที่เสามีต้นอินทผลัม
อสค 40.19 แล้วท่านก็วัดความกว้างจากหน้าหอประตูข้างล่างไปยังหน้าลานข้างในด้านนอกได้หนึ่งร้อยศอก อยู่ทั้งทางตะวันออกและทางเหนือ
อสค 40.22 หน้าต่าง มุข ต้นอินทผลัมของหอประตูนี้มีขนาดเดียวกับของหอประตูซึ่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก และมีบันไดเจ็ดขั้นนำขึ้นไปถึง และมุขนั้นอยู่ข้างใน
อสค 40.26 มีบันไดเจ็ดขั้นนำขึ้นไปถึง และมุขนั้นอยู่ข้างใน มีต้นอินทผลัมอยู่ที่เสาด้านละต้น
อสค 40.43 มีตะขอยาวคืบหนึ่งติดอยู่ข้างในโดยรอบ บนโต๊ะนี้เขาวางเนื้อของเครื่องบูชา
อสค 41.3 แล้วท่านก็เข้าไปข้างในและวัดเสาของทางเข้าได้สองศอก ทางเข้านั้นหกศอก และส่วนกว้างของทางเข้านั้นเจ็ดศอก
อสค 41.9 ผนังด้านนอกของห้องระเบียงหนาห้าศอก และส่วนที่ว่างคือสถานที่ของห้องระเบียงที่อยู่ข้างในนั้น
อสค 42.4 และข้างหน้าห้องมีทางเข้าข้างในกว้างสิบศอก ยาวหนึ่งศอก บรรดาประตูห้องเหล่านี้อยู่ทางด้านเหนือ
อสค 42.15 เมื่อท่านได้วัดข้างในบริเวณพระนิเวศเสร็จแล้ว ท่านก็นำข้าพเจ้าออกมาทางประตูซึ่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก และวัดบริเวณพระนิเวศโดยรอบ
อสค 44.17 ต่อมาเมื่อเขาเข้าประตูลานชั้นในนั้น ให้เขาสวมเสื้อผ้าป่าน อย่าให้เขามีสิ่งใดที่ทำด้วยขนแกะเลยขณะเมื่อเขาทำการปรนนิบัติอยู่ที่ประตูลานชั้นใน และอยู่ข้างใน
ฮชย 7.1 เมื่อเราจะรักษาอิสราเอลให้หาย ความชั่วช้าของเอฟราอิมก็เผยออก ทั้งการกระทำที่ชั่วร้ายของสะมาเรียก็แดงขึ้น เพราะว่าเขาทุจริต ขโมยก็หักเข้ามาข้างใน และกองโจรก็ปล้นอยู่ข้างนอก
ยนา 1.5 แล้วบรรดาลูกเรือก็กลัว ต่างก็ร้องขอต่อพระของตน และเขาโยนสินค้าในกำปั่นลงในทะเลเพื่อให้กำปั่นเบาขึ้น แต่โยนาห์เข้าไปข้างในเรือ นอนลงและหลับสนิท
มธ 23.27 วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะว่าเจ้าเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพซึ่งฉาบด้วยปูนขาว ข้างนอกดูงดงามจริงๆ แต่ข้างในเต็มไปด้วยกระดูกคนตายและการโสโครกสารพัด
มธ 26.58 แต่เปโตรได้ติดตามพระองค์ไปห่างๆจนถึงคฤหาสน์ของมหาปุโรหิต แล้วเข้าไปนั่งข้างในกับคนใช้ เพื่อจะดูว่าเรื่องจะจบลงอย่างไร
มก 15.16 พวกทหารจึงนำพระองค์ไปข้างในราชสำนักคือที่เรียกว่าศาลปรีโทเรียม แล้วเรียกพวกทหารทั้งกองให้มาประชุมกัน
ลก 11.7 ฝ่ายมิตรสหายที่อยู่ข้างในจะตอบว่า ‘อย่ารบกวนฉันเลย ประตูก็ปิดเสียแล้ว ทั้งพวกลูกก็นอนร่วมเตียงกับฉันแล้ว ฉันจะลุกขึ้นหยิบให้ท่านไม่ได้’
ยน 20.5 เขาก้มลงมองดูเห็นผ้าป่านวางอยู่ แต่เขาไม่ได้เข้าไปข้างใน
ยน 20.26 ครั้นล่วงไปแปดวันแล้ว เหล่าสาวกของพระองค์อยู่ด้วยกันข้างในอีก และโธมัสก็อยู่กับพวกเขาด้วย ประตูปิดแล้ว พระเยซูเสด็จเข้ามาและประทับยืนอยู่ท่ามกลางเขาและตรัสว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด”
กจ 5.23 ว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นคุกปิดอยู่มั่นคงและคนเฝ้าก็ยืนอยู่หน้าประตู ครั้นเปิดประตูแล้วก็ไม่เห็นผู้ใดอยู่ข้างใน”
วว 4.8 สัตว์ทั้งสี่นั้นแต่ละตัวมีปีกหกปีกอยู่รอบตัว และมีตาเต็มข้างใน และสัตว์เหล่านั้นร้องตลอดวันตลอดคืนไม่ได้หยุดเลยว่า “บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้า ผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ผู้ได้ทรงสภาพอยู่ในกาลก่อน ผู้ทรงสภาพอยู่ในปัจจุบัน และผู้ซึ่งจะเสด็จมา”
วว 5.1 และในพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ผู้ทรงประทับบนพระที่นั่งนั้น ข้าพเจ้าได้เห็นหนังสือม้วนหนึ่งเขียนไว้ทั้งข้างในและข้างนอก มีตราประทับอยู่เจ็ดดวง

ข้างบน ( 27 )
ปฐก 6.16 เจ้าจงทำช่องในนาวา และให้อยู่ข้างบนขนาดศอกหนึ่ง และเจ้าจงตั้งประตูที่ด้านข้างนาวา เจ้าจงทำเป็นชั้นล่าง ชั้นที่สองและชั้นที่สาม
อพย 12.23 เพราะพระเยโฮวาห์จะเสด็จผ่านไปเพื่อจะได้ประหารคนอียิปต์ เมื่อพระองค์ทรงเห็นเลือดที่ไม้ประตูข้างบนและที่ไม้วงกบประตูทั้งสองข้าง พระเยโฮวาห์จะทรงผ่านเว้นประตูนั้น ไม่ทรงยอมให้ผู้สังหารเข้าไปในบ้านท่าน เพื่อจะประหารท่าน
อพย 26.14 เครื่องดาดเต็นท์ข้างบน เจ้าจงทำด้วยหนังแกะตัวผู้ย้อมสีแดงชั้นหนึ่ง และคลุมด้วยหนังของตัวแบดเจอร์อีกชั้นหนึ่ง
อพย 28.25 และปลายสร้อยอีกสองข้าง ให้ติดกับกระเปาะที่มีลวดลายละเอียดทั้งสอง ให้ติดไว้ข้างหน้าที่แถบยึดเอโฟดทั้งสองข้างบนบ่า
อพย 39.18 และปลายสร้อยอีกสองข้างนั้น เขาทั้งหลายทำติดกับกระเปาะลวดลายละเอียดทั้งสอง ให้ติดไว้ข้างหน้าที่แถบยึดเอโฟดทั้งสองข้างบนบ่า
อพย 39.34 เครื่องดาดพลับพลาข้างบนทำด้วยหนังแกะตัวผู้ย้อมสีแดง และหนังของตัวแบดเจอร์ และม่านสำหรับบังตา
ลนต 14.5 ให้ปุโรหิตบัญชาให้ฆ่านกตัวหนึ่งในภาชนะดินข้างบนน้ำไหล
ลนต 14.6 สำหรับนกตัวที่ยังเป็นอยู่นั้น ให้ปุโรหิตเอานกตัวที่ยังเป็นอยู่กับไม้สนสีดาร์ ด้ายสีแดง ต้นหุสบ จุ่มเข้าไปในเลือดของนกที่ถูกฆ่าข้างบนน้ำไหล
ลนต 14.50 ให้ฆ่านกตัวหนึ่งในภาชนะดินข้างบนน้ำที่ไหล
กดว 4.14 เอาภาชนะประจำแท่นทั้งหมดซึ่งเป็นเครื่องใช้ประจำแท่น มีกระถางไฟ ขอเกี่ยวเนื้อ พลั่ว ชาม และภาชนะประจำแท่นทั้งสิ้นวางไว้ข้างบน แล้วเอาหนังของตัวแบดเจอร์คลุม และสอดคานหาม
กดว 4.25 ให้เขาทั้งหลายขนม่านพลับพลา และขนพลับพลาแห่งชุมนุมพร้อมกับผ้าคลุมและหนังของตัวแบดเจอร์ที่คลุมอยู่ข้างบน และผ้าม่านสำหรับบังประตูพลับพลาแห่งชุมนุม
ยชว 3.13 และต่อมาทันทีที่เมื่อฝ่าเท้าของปุโรหิตผู้หามหีบแห่งพระเยโฮวาห์องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งแผ่นดินโลกทั้งสิ้น จะลงไปยืนอยู่ในแม่น้ำจอร์แดน น้ำในแม่น้ำจอร์แดนจะถูกตัดขาดจากน้ำที่ไหลมาจากข้างบน น้ำนั้นจะหยุดตั้งขึ้นเป็นกองเดียว”
ยชว 3.16 น้ำที่ไหลมาจากข้างบนก็หยุดตั้งขึ้นและนูนขึ้นเป็นกองไกลออกไปยิ่งนักตั้งแต่เมืองอาดัม ซึ่งเป็นเมืองอยู่ข้างๆเมืองศาเรธาน และน้ำที่ไหลลงสู่ทะเลแห่งที่ราบ คือทะเลเค็มนั้นก็ขาดกันสิ้น แล้วประชาชนก็ข้ามไปที่ฝั่งตรงข้ามเมืองเยรีโค
1พกษ 7.11 ข้างบนก็เป็นหินมีค่า สกัดออกมาตามขนาด และไม้สนสีดาร์
1พกษ 7.29 บนแผงที่ฝังอยู่ในกรอบนั้นมีรูปสิงโต วัว และเครูบ ข้างบนกรอบมีแท่นที่อยู่เหนือ และใต้สิงโตและวัวมีลวดลายเป็นมาลัยฝีค้อน
1พกษ 10.19 พระที่นั่งนั้นมีบันไดหกขั้น พนักหลังของพระที่นั่งนั้นกลมข้างบน และสองข้างพระที่นั่งมีที่วางพระหัตถ์ มีสิงโตสองตัวยืนอยู่ข้างๆที่วางพระหัตถ์
โยบ 18.16 รากของเขาจะแห้งไปข้างใต้นั้น และกิ่งของเขาที่อยู่ข้างบนจะถูกตัดทิ้ง
อสย 8.21 เขาทั้งหลายจะผ่านแผ่นดินไปด้วยความระทมใจอันยิ่งใหญ่และด้วยความหิว และต่อมาเมื่อเขาหิว เขาจะเกรี้ยวกราดและแช่งด่ากษัตริย์ของเขาและพระเจ้าของเขา และจะแหงนหน้าขึ้นข้างบน
อสย 9.18 เพราะความชั่วก็ไหม้เหมือนไฟไหม้ มันจะผลาญทั้งหนามย่อยและหนามใหญ่ มันจะจุดไฟเข้าที่ป่าทึบ และป่าทึบก็จะม้วนขึ้นข้างบนเหมือนควันเป็นลูกๆ
อสย 38.14 ข้าพเจ้าร้องอย่างนกนางแอ่นหรือนกกรอด ข้าพเจ้าพิลาปอย่างนกเขา ตาของข้าพเจ้าเหนื่อยอ่อนด้วยมองขึ้นข้างบน โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ข้าพระองค์ถูกบีบบังคับ ขอพระองค์ทรงเป็นผู้ประกันของข้าพระองค์
อสค 1.11 หน้าของมันเป็นดังนี้แหละ ปีกของมันกางแผ่ขึ้นข้างบน ปีกสองปีกของแต่ละตัวจดปีกของกันและกัน ส่วนอีกสองปีกคลุมกายของมัน
อสค 8.11 และมีพวกผู้ใหญ่แห่งวงศ์วานอิสราเอลเจ็ดสิบคนยืนอยู่ข้างหน้ารูปเหล่านั้น และมียาอาซันยาห์ บุตรชายชาฟานยืนอยู่ในหมู่พวกเขาทั้งหลาย ต่างก็มีกระถางไฟอยู่ในมือ และควันหนาทึบแห่งเครื่องบูชาก็ขึ้นไปข้างบน
อสค 41.7 ห้องระเบียงนั้นยิ่งสูงขึ้นไปก็ยิ่งกว้างออก ตามส่วนขยายของหยักบ่าจากห้องหนึ่งซ้อนอยู่บนอีกห้องหนึ่งโดยรอบ ที่ข้างพระนิเวศมีบันไดนำขึ้นข้างบน ดังนี้แหละผู้ใดที่ขึ้นไปจากห้องต่ำที่สุดถึงห้องบนก็ต้องลอดผ่านห้องกลาง
อสค 42.5 ห้องข้างบนแคบกว่า เพราะระเบียงเหล่านี้สูงกว่าระเบียงห้องชั้นล่าง และชั้นกลางในตึกนั้น
อมส 2.9 เรายังได้ล้างผลาญคนอาโมไรต์ตรงหน้าเขา ซึ่งส่วนสูงของเขาเหมือนอย่างความสูงของต้นสนสีดาร์ และเป็นผู้ที่แข็งแรงอย่างกับต้นโอ๊ก เราทำลายผลข้างบนของเขาเสีย และทำลายรากข้างล่างของเขาเสีย
มก 15.26 มีข้อหาที่ลงโทษพระองค์เขียนไว้ข้างบนว่า “กษัตริย์ของพวกยิว”
ยน 21.9 เมื่อเขาขึ้นมาบนฝั่ง เขาก็เห็นถ่านติดไฟอยู่ และมีปลาวางอยู่ข้างบนและมีขนมปัง

ข้างแรม ( 1 )
อสย 60.20 ดวงอาทิตย์ของเจ้าจะไม่ตกอีก หรือดวงจันทร์ของเจ้าจะไม่มีข้างแรม เพราะพระเยโฮวาห์จะทรงเป็นความสว่างนิรันดร์ของเจ้า และวันที่เจ้าไว้ทุกข์จะหมดสิ้นไป

ข้างล่าง ( 14 )
อพย 26.24 ไม้กรอบนั้นข้างล่างให้แยกกัน แต่ตอนบนยอดให้ติดกันที่ห่วงแรกทั้งสองแห่ง ให้กระทำดังนี้ก็จะทำให้เกิดมุมสองมุม
อพย 36.29 ไม้กรอบนั้นข้างล่างให้แยกกัน แต่ตอนบนยอดติดต่อกันที่ห่วงแรก เขาทำอย่างนี้ทำให้เกิดมุมสองมุม
พบญ 33.13 และท่านกล่าวถึงโยเซฟว่า “ขอให้แผ่นดินของเขาได้รับพระพรจากพระเยโฮวาห์ ให้ได้รับของประเสริฐที่สุดจากฟ้าสวรรค์ ทั้งน้ำค้างและจากบาดาลซึ่งหมอบอยู่ข้างล่าง
ยชว 7.21 ในหมู่ของที่ริบมาข้าพเจ้าได้เห็นเสื้อคลุมงามตัวหนึ่งของเมืองบาบิโลน กับเงินสองร้อยเชเขล และทองคำแท่งหนึ่งหนักห้าสิบเชเขล ข้าพเจ้าก็โลภอยากได้ของเหล่านั้น ข้าพเจ้าจึงเอามา ดูเถิด ของเหล่านั้นซ่อนอยู่ใต้ดินในเต็นท์ของข้าพเจ้า เงินนั้นอยู่ข้างล่าง”
ยชว 7.22 ฝ่ายโยชูวาก็ให้ผู้สื่อสารออกไปและเขาทั้งหลายก็วิ่งไปที่เต็นท์ ดูเถิด ของนั้นซ่อนอยู่ในเต็นท์ของเขา มีเงินอยู่ข้างล่าง
ยชว 13.27 ในหว่างเขา มีเมืองเบธฮารัม เบธนิมราห์ สุคคทและซาโฟน ราชอาณาจักรส่วนที่เหลือของสิโหนกษัตริย์เมืองเฮชโบนนั้น มีแม่น้ำจอร์แดนเป็นพรมแดน จดทะเลคินเนเรทตอนปลายข้างล่าง ด้านตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น
วนฉ 7.8 ประชาชนจึงถือเสบียงและแตรไว้ และท่านสั่งให้อิสราเอลที่เหลืออยู่กลับไปยังเต็นท์ของตนทุกคน แต่ให้สามร้อยคนนั้นอยู่ และค่ายของมีเดียนก็อยู่ข้างล่างท่านในหุบเขา
อสค 40.19 แล้วท่านก็วัดความกว้างจากหน้าหอประตูข้างล่างไปยังหน้าลานข้างในด้านนอกได้หนึ่งร้อยศอก อยู่ทั้งทางตะวันออกและทางเหนือ
อสค 42.12 ข้างล่างห้องทิศใต้มีทางเข้าอยู่ด้านตะวันออกที่ที่เข้ามาตามทางเดิน ตรงข้ามมีผนังแบ่ง
อสค 43.14 จากตอนฐานที่อยู่บนดินมาถึงข้างล่างสูงสองศอก กว้างหนึ่งศอก จากขั้นเล็กไปถึงขั้นใหญ่สูงสี่ศอก กว้างหนึ่งศอก
อสค 47.1 ภายหลังท่านก็นำข้าพเจ้ากลับมาที่ประตูพระนิเวศ และดูเถิด มีน้ำไหลออกมาจากใต้ธรณีประตูพระนิเวศตรงไปทางทิศตะวันออก เพราะพระนิเวศหันหน้าไปทางทิศตะวันออก และน้ำไหลลงมาจากข้างล่าง ทางด้านขวาของพระนิเวศ ทิศใต้ของแท่นบูชา
อมส 2.9 เรายังได้ล้างผลาญคนอาโมไรต์ตรงหน้าเขา ซึ่งส่วนสูงของเขาเหมือนอย่างความสูงของต้นสนสีดาร์ และเป็นผู้ที่แข็งแรงอย่างกับต้นโอ๊ก เราทำลายผลข้างบนของเขาเสีย และทำลายรากข้างล่างของเขาเสีย
มก 14.66 และขณะที่เปโตรอยู่ใต้คฤหาสน์ข้างล่างนั้น มีหญิงคนหนึ่งในพวกสาวใช้ของท่านมหาปุโรหิตเดินมา
กจ 10.20 จงลุกขึ้นลงไปข้างล่างและไปกับเขาเถิด อย่าลังเลใจเลย เพราะว่าเราได้ใช้เขามา”

ข้างหน้า ( 145 )
ปฐก 24.7 พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ผู้ทรงนำเรามาจากบ้านบิดาเรา และจากแผ่นดินแห่งญาติของเรา พระองค์ตรัสกับเราและทรงปฏิญาณกับเราว่า ‘เราจะมอบแผ่นดินนี้ให้แก่เชื้อสายของเจ้า’ พระองค์จะทรงใช้ทูตสวรรค์ของพระองค์ไปข้างหน้าเจ้า เจ้าจงหาภรรยาคนหนึ่งให้บุตรชายของเราจากที่นั่น
ปฐก 32.17 ยาโคบสั่งหมู่ที่ขึ้นหน้าว่า “เมื่อเอซาวพี่ชายของเรามาพบเจ้าและถามเจ้าว่า ‘เจ้าเป็นคนของใคร เจ้าไปไหน และของที่อยู่ข้างหน้าเจ้านี้เป็นของใคร’
ปฐก 33.2 เขาให้สาวใช้ทั้งสองกับลูกอยู่ข้างหน้า ถัดมานางเลอาห์กับลูก ส่วนนางราเชลกับโยเซฟอยู่ท้ายสุด
ปฐก 33.14 ขอนายท่านล่วงหน้าผู้รับใช้ของท่านไปก่อนเถิด ข้าพเจ้าจะตามไปช้าๆตามกำลังของสัตว์ซึ่งอยู่ข้างหน้าข้าพเจ้าและตามที่เด็กๆทนได้ จนกว่าข้าพเจ้าจะไปพบนายท่านที่เสอีร์”
ปฐก 41.43 ให้โยเซฟใช้รถหลวงคันที่สองซึ่งฟาโรห์มีอยู่ และมีคนร้องประกาศข้างหน้าท่านว่า “คุกเข่าลงเถิด” ดังนี้แหละ พระองค์ทรงตั้งท่านให้ดูแลทั่วประเทศอียิปต์
อพย 10.14 ฝูงตั๊กแตนลงทั่วแผ่นดินอียิปต์ และจับอยู่ทั่วเขตแดนอียิปต์ทั้งหมด มันรุนแรงมาก แต่ก่อนไม่เคยมีตั๊กแตนอย่างนี้เลย และต่อไปข้างหน้าจะหามีอย่างนั้นอีกไม่
อพย 14.15 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “เหตุไฉนเจ้าจึงมาร้องทุกข์ต่อเรา จงสั่งชนชาติอิสราเอลให้เดินต่อไปข้างหน้าเถิด
อพย 14.19 ฝ่ายทูตสวรรค์ของพระเจ้าซึ่งนำพลโยธาอิสราเอลนั้นกลับไปอยู่ข้างหลัง และเสาเมฆซึ่งอยู่ข้างหน้า ก็กลับมาตั้งอยู่ข้างหลังเขา
อพย 23.23 ด้วยว่าทูตสวรรค์ของเราจะไปข้างหน้าพวกเจ้า และจะนำพวกเจ้าไปถึงคนอาโมไรต์ คนฮิตไทต์ คนเปริสซี คนคานาอัน คนฮีไวต์ และคนเยบุส แล้วเราจะตัดคนเหล่านั้นออกเสีย
อพย 26.9 ม่านห้าผืนให้เกี่ยวติดกันต่างหากและม่านอีกหกผืนให้เกี่ยวติดกันต่างหากเช่นกัน และม่านผืนที่หกนั้นจงให้ห้อยซ้อนลงมาข้างหน้าพลับพลา
อพย 28.25 และปลายสร้อยอีกสองข้าง ให้ติดกับกระเปาะที่มีลวดลายละเอียดทั้งสอง ให้ติดไว้ข้างหน้าที่แถบยึดเอโฟดทั้งสองข้างบนบ่า
อพย 30.6 จงตั้งแท่นนั้นไว้ข้างนอกม่านซึ่งอยู่ใกล้หีบพระโอวาท ข้างหน้าพระที่นั่งกรุณาซึ่งอยู่เหนือหีบพระโอวาท ที่ที่เราจะพบกับเจ้า
อพย 34.6 พระเยโฮวาห์เสด็จผ่านไปข้างหน้าท่าน ตรัสว่า “พระเยโฮวาห์ พระเยโฮวาห์พระเจ้า ผู้ทรงพระกรุณา ทรงกอปรด้วยพระคุณ ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความเมตตาและความจริง
อพย 39.18 และปลายสร้อยอีกสองข้างนั้น เขาทั้งหลายทำติดกับกระเปาะลวดลายละเอียดทั้งสอง ให้ติดไว้ข้างหน้าที่แถบยึดเอโฟดทั้งสองข้างบนบ่า
ลนต 16.15 แล้วอาโรนจะฆ่าแพะอันเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปสำหรับประชาชน และนำเลือดแพะเข้าไปภายในม่าน และเอาเลือดแพะไปกระทำเช่นเดียวกับกระทำเลือดวัว คือประพรมบนพระที่นั่งกรุณาและที่ข้างหน้าพระที่นั่งกรุณานั้น
กดว 8.2 “จงกล่าวแก่อาโรนว่า เมื่อจะตั้งตะเกียงให้ตะเกียงทั้งเจ็ดส่องแสงข้างหน้าคันประทีป”
กดว 12.5 พระเยโฮวาห์ก็เสด็จลงมาในเสาเมฆ ประทับยืนที่ประตูพลับพลาแห่งชุมนุม ทรงเรียกอาโรนและมิเรียม เขาทั้งสองก็มาข้างหน้า
กดว 14.43 เพราะคนอามาเลขและคนคานาอันอยู่ข้างหน้าท่าน ท่านจะล้มลงด้วยดาบ เพราะท่านได้หันกลับจากการตามพระเยโฮวาห์ พระเยโฮวาห์จะไม่สถิตท่ามกลางท่านทั้งหลาย”
กดว 19.4 และเอเลอาซาร์ปุโรหิตจะเอานิ้วมือจุ่มเลือดวัวพรมที่ข้างหน้าพลับพลาแห่งชุมนุมเจ็ดครั้ง
กดว 22.26 แล้วทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ก็เดินไปข้างหน้ายืนอยู่ในที่แคบ ไม่มีทางที่จะหลีกไปข้างขวาหรือข้างซ้าย
กดว 24.14 ดูเถิด บัดนี้ข้าพเจ้าจะกลับไปสู่ชนชาติของข้าพเจ้า มาเถิด ข้าพเจ้าจะสำแดงให้ท่านทราบว่า ชนชาตินี้จะกระทำประการใดแก่ชนชาติของท่านในวันข้างหน้า”
กดว 32.17 แต่เราทั้งหลายจะถืออาวุธพร้อมที่จะไปข้างหน้าคนอิสราเอล จนกว่าเราทั้งหลายจะนำเขาไปถึงที่ของเขา เด็กเล็กของเราจะได้อยู่ในเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบเพราะกลัวชาวแผ่นดินนี้
พบญ 1.1 ข้อความต่อไปนี้เป็นคำที่โมเสสกล่าวแก่คนอิสราเอลทั้งปวงที่ในถิ่นทุรกันดารฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ คือในที่ราบข้างหน้าทะเลแดงระหว่างปารานและโทเฟล ลาบัน ฮาเซโรท และดีซาหับ
พบญ 1.33 ผู้ได้ทรงนำทางข้างหน้าท่าน เพื่อจะหาที่ให้ท่านทั้งหลายตั้งเต็นท์ของท่าน เป็นไฟในกลางคืน เพื่อโปรดให้ท่านทั้งหลายเห็นทางที่ควรจะไป และเป็นเมฆในกลางวัน
พบญ 9.3 วันนี้ท่านทั้งหลายจงเข้าใจเถอะว่า ผู้ที่ไปข้างหน้าท่านนั้นคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน พระองค์จะทรงทำลายเขาดังเพลิงเผาผลาญและทรงกระทำให้เขาพ่ายแพ้ต่อหน้าท่าน ดังนั้นท่านจะได้ขับไล่เขาออกไป กระทำให้เขาพินาศโดยเร็ว ดังที่พระเยโฮวาห์ทรงตรัสไว้กับท่านทั้งหลายแล้วนั้น
พบญ 20.2 และเมื่อใกล้จะรบกัน ปุโรหิตจะออกมาอยู่ข้างหน้าและกล่าวแก่ประชาชน
พบญ 28.66 และชีวิตของท่านก็จะแขวนอยู่ข้างหน้าท่านอย่างสงสัย ท่านจะครั่นคร้ามอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่มีความแน่ใจในชีวิตของท่านเลย
พบญ 31.3 พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะข้ามไปข้างหน้าท่านเอง พระองค์จะทรงทำลายประชาชาติเหล่านี้ให้พ้นหน้าท่าน เพื่อว่าท่านจะยึดครองเขานั้น โยชูวาจะข้ามไปนำหน้าท่านทั้งหลาย ดังที่พระเยโฮวาห์ตรัสไว้แล้ว
พบญ 31.8 ผู้ที่ไปข้างหน้าคือพระเยโฮวาห์ พระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วย พระองค์จะไม่ทรงปล่อยท่านให้ล้มเหลวหรือทอดทิ้งท่านเสีย อย่ากลัวและอย่าขยาดเลย”
พบญ 31.29 เพราะข้าพเจ้าทราบว่าเมื่อข้าพเจ้าตายแล้ว ท่านจะประพฤติตัวเสื่อมทรามอย่างที่สุด และหันเหไปจากทางซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาท่านไว้ ความชั่วร้ายจะตกแก่ท่านในวันข้างหน้า เพราะว่าท่านจะกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์ ซึ่งเป็นการยั่วยุให้พระองค์ทรงกริ้วโกรธด้วยการที่มือท่านกระทำ”
ยชว 3.6 โยชูวาสั่งพวกปุโรหิตว่า “จงยกหีบพันธสัญญาข้ามไปข้างหน้าประชาชนทั้งปวง” เขาก็ยกหีบพันธสัญญาเดินไปข้างหน้าประชาชน
ยชว 3.11 ดูเถิด หีบพันธสัญญาแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าปิ่นสากลพิภพจะข้ามไปข้างหน้าท่านลงไปในแม่น้ำจอร์แดน
ยชว 3.14 ดังนั้นเมื่อประชาชนยกจากเต็นท์ของเขาทั้งหลาย เพื่อจะข้ามแม่น้ำจอร์แดน พร้อมกับปุโรหิตหามหีบพันธสัญญาไปข้างหน้าประชาชน
ยชว 4.5 โยชูวาจึงสั่งเขาว่า “จงผ่านไปข้างหน้าหีบของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านลงไปกลางแม่น้ำจอร์แดน แล้วแบกศิลามาคนละก้อนตามจำนวนตระกูลคนอิสราเอล
ยชว 6.5 และต่อมาเมื่อเขาเป่าเขาแกะตัวผู้เป็นเสียงยาว พอเจ้าได้ยินเสียงแตรนั้น ก็ให้ประชาชนทั้งปวงโห่ร้องขึ้นด้วยเสียงอันดัง กำแพงเมืองนั้นก็จะพังลงราบ และประชาชนจะขึ้นไปทุกคนต่างตรงไปข้างหน้าตน”
ยชว 6.7 และท่านสั่งประชาชนว่า “จงออกเดินรอบเมืองนั้น ให้ทหารถืออาวุธเดินข้างหน้าหีบแห่งพระเยโฮวาห์”
ยชว 6.8 ต่อมาเมื่อโยชูวาบัญชาแก่ประชาชนแล้ว ปุโรหิตเจ็ดคนที่ถือเขาแกะตัวผู้เจ็ดคันก็เดินผ่านไปข้างหน้าต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์และเป่าแตรไปด้วย และมีหีบพันธสัญญาแห่งพระเยโฮวาห์ตามเขามา
ยชว 6.13 และปุโรหิตเจ็ดคนถือแตรเขาแกะตัวผู้เจ็ดคันเดินนำหน้าหีบแห่งพระเยโฮวาห์เรื่อยไปและเป่าแตรไปด้วย และทหารถืออาวุธก็เดินอยู่ข้างหน้าเขา และกองหลังก็เดินอยู่ข้างหลังหีบแห่งพระเยโฮวาห์ ฝ่ายปุโรหิตนั้นก็เดินเป่าแตรไปเรื่อยๆ
ยชว 6.20 เหตุฉะนั้นประชาชนก็โห่ร้องเมื่อปุโรหิตเป่าแตร ดังนั้นพอประชาชนได้ยินเสียงแตร เขาก็โห่ร้องดังและกำแพงก็พังลงราบ ประชาชนจึงขึ้นไปในเมืองทุกคนต่างตรงไปข้างหน้าตนและเข้ายึดเมืองนั้น
ยชว 8.33 คนอิสราเอลทั้งหมด ทั้งคนต่างด้าวและคนที่เกิดในอิสราเอล พร้อมทั้งพวกผู้ใหญ่ เจ้าหน้าที่ และผู้พิพากษา ยืนอยู่ทั้งสองข้างของหีบต่อหน้าคนเลวีที่เป็นปุโรหิต ผู้ที่หามหีบพันธสัญญาของพระเยโฮวาห์ ครึ่งหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้าภูเขาเกริซิม อีกครึ่งหนึ่งข้างหน้าภูเขาเอบาล ดังที่โมเสสผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์ได้บัญชาไว้ในครั้งแรกให้เขาทั้งหลายอวยพรแก่คนอิสราเอล
ยชว 10.11 ต่อมาขณะเมื่อเขาหนีไปข้างหน้าพวกอิสราเอลลงไปตามทางเบธโฮโรนนั้น พระเยโฮวาห์ทรงโยนลูกเห็บใหญ่ๆลงมาจากฟ้า ตลอดถึงเมืองอาเซคาห์ เขาทั้งหลายก็ตาย ผู้ที่ตายด้วยลูกเห็บนั้นก็มากกว่าผู้ที่คนอิสราเอลฆ่าเสียด้วยดาบ
ยชว 22.28 และเราคิดว่า ถ้ามีใครพูดเช่นนี้กับเราหรือกับเชื้อสายของเราในเวลาข้างหน้า เราก็จะกล่าวว่า ‘ดูเถิด นั่นเป็นแท่นจำลองของแท่นแห่งพระเยโฮวาห์ บรรพบุรุษของเรากระทำไว้ มิใช่เพื่อถวายเครื่องเผาบูชาหรือเครื่องสัตวบูชา แต่เพื่อเป็นพยานระหว่างเรากับท่าน’
ยชว 24.12 และเราได้ใช้ตัวต่อไปข้างหน้าเจ้าทั้งหลาย ซึ่งขับไล่กษัตริย์ทั้งสองของชาวอาโมไรต์ไปเสียให้พ้นหน้าเจ้า ไม่ใช่ด้วยดาบหรือด้วยธนูของเจ้า
วนฉ 18.21 แล้วเขาก็กลับออกเดินไปให้เด็ก ทั้งฝูงสัตว์และข้าวของเดินไปข้างหน้า
1ซมอ 9.24 คนครัวจึงนำเอาส่วนขาและส่วนบนนั้นมาวางไว้ที่ข้างหน้าซาอูล และซามูเอลกล่าวว่า “ดูเถิด สิ่งที่ได้เก็บไว้ก็วางอยู่ต่อหน้าท่าน จงรับประทานเถิด เพราะว่าเก็บไว้ให้แก่ท่านจนถึงชั่วโมงที่กำหนดไว้ ตั้งแต่ฉันกล่าวว่า ‘ฉันได้เชิญประชาชนมาแล้ว’” ซาอูลจึงรับประทานกับซามูเอลในวันนั้น
1ซมอ 20.22 แต่ถ้าฉันพูดกับเด็กหนุ่มนั้นว่า ‘ดูเถิด ลูกธนูอยู่ข้างหน้าเจ้าโน้น’ เธอจงไปเถิด เพราะว่าพระเยโฮวาห์ได้ทรงส่งเธอไปแล้ว
1ซมอ 20.37 และเมื่อเด็กนั้นมาถึงที่ที่ลูกธนูซึ่งโยนาธานยิงไปนั้น โยนาธานก็ร้องสั่งเด็กนั้นว่า “ลูกธนูอยู่ข้างหน้าโน้นไม่ใช่หรือ”
1ซมอ 30.20 ดาวิดยังจับได้บรรดาฝูงแพะแกะฝูงวัว และเขาไล่ต้อนฝูงสัตว์ไปข้างหน้าท่านกล่าวว่า “นี่เป็นส่วนหนึ่งของดาวิดริบมา”
2ซมอ 5.24 และเมื่อเจ้าได้ยินเสียงกระบวนทัพเดินอยู่ที่ยอดหมู่ต้นหม่อนเจ้าจงรีบรุกไป เพราะพระเยโฮวาห์เสด็จไปข้างหน้าเพื่อจะโจมตีกองทัพของคนฟีลิสเตีย”
2ซมอ 10.9 เมื่อโยอาบเห็นว่าการศึกนี้ขนาบอยู่ทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ท่านจึงคัดเอาบรรดาคนอิสราเอลที่สรรไว้แล้วจัดทัพเข้าสู้คนซีเรีย
2ซมอ 22.13 ถ่านลุกเป็นเพลิงจากความสุกใสข้างหน้าพระองค์
1พกษ 2.26 ส่วนอาบียาธาร์ปุโรหิตนั้น กษัตริย์รับสั่งว่า “จงไปอยู่ที่อานาโธท ไปสู่ไร่นาของเจ้า เพราะเจ้าสมควรที่จะตาย แต่ในเวลานี้เราจะไม่ประหารชีวิตเจ้า เพราะว่าเจ้าหามหีบขององค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าไปข้างหน้าดาวิดราชบิดาของเรา และเพราะเจ้าได้เข้าส่วนในบรรดาความทุกข์ใจของราชบิดาเรา”
1พกษ 6.21 และซาโลมอนทรงบุข้างในพระนิเวศด้วยทองคำบริสุทธิ์ และพระองค์ทรงลากโซ่ทองคำข้ามข้างหน้าห้องหลัง และบุด้วยทองคำ
1พกษ 7.6 และพระองค์ทรงสร้างท้องพระโรงเสา ยาวห้าสิบศอกและกว้างสามสิบศอก มีมุขด้านหน้า และมีเสากับหลังคาข้างหน้า
1พกษ 7.49 เชิงประทีปทำด้วยทองคำบริสุทธิ์อยู่ทางด้านขวาห้าอัน อยู่ทางด้านซ้ายห้าอัน ข้างหน้าห้องหลัง ดอกไม้ ตะเกียง และตะไกรตัดไส้ตะเกียงทำด้วยทองคำ
1พกษ 8.8 พวกเขาดึงคานหามของหีบนั้นออกบ้าง จึงเห็นปลายคานหามได้จากที่บริสุทธิ์ที่สุด ซึ่งอยู่ข้างหน้าห้องหลัง แต่เขาจะเห็นจากข้างนอกไม่ได้ และคานหามก็ยังอยู่ที่นั่นจนทุกวันนี้
1พกษ 19.19 ท่านก็ออกไปจากที่นั่นพบเอลีชาบุตรชายชาฟัท ผู้กำลังไถนาอยู่ด้วยวัวสิบสองคู่เดินอยู่ข้างหน้าและท่านอยู่กับวัวคู่ที่สิบสอง เอลียาห์ก็ผ่านไปทิ้งเสื้อคลุมลงบนท่าน
1พกษ 22.21 แล้วมีวิญญาณดวงหนึ่งมาข้างหน้า เฝ้าต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ทูลว่า ‘ข้าพระองค์จะเกลี้ยกล่อมเขาเอง’
2พกษ 5.15 แล้วท่านจึงกลับไปยังคนแห่งพระเจ้า ทั้งตัวท่านและพรรคพวกของท่าน และท่านมายืนอยู่ข้างหน้าเอลีชาและท่านกล่าวว่า “ดูเถิด บัดนี้ข้าพเจ้าทราบแล้วว่าไม่มีพระเจ้าทั่วไปในโลกนอกจากที่ในอิสราเอล เพราะฉะนั้นบัดนี้ขอท่านรับของกำนัลสักอย่างหนึ่งจากผู้รับใช้ของท่านเถิด”
2พกษ 16.14 และพระองค์ทรงย้ายแท่นบูชาทองสัมฤทธิ์ ซึ่งอยู่ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ออกเสียจากข้างหน้าพระนิเวศ จากสถานที่ระหว่างแท่นบูชาและพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และตั้งไว้ทางด้านเหนือแห่งแท่นบูชานั้น
2พกษ 19.32 เพราะฉะนั้นพระเยโฮวาห์จึงตรัสเกี่ยวกับกษัตริย์แห่งอัสซีเรียดังนี้ว่า ‘ท่านจะไม่เข้าในนครนี้หรือยิงลูกธนูไปที่นั่น หรือถือโล่เข้ามาข้างหน้านคร หรือสร้างเชิงเทินสู้มัน
1พศด 6.32 เขาทั้งหลายทำการปรนนิบัติด้วยเพลง ข้างหน้าที่พักอาศัยในพลับพลาแห่งชุมนุม จนซาโลมอนได้ทรงสร้างพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ในเยรูซาเล็ม และเขาได้ปฏิบัติหน้าที่ของเขาตามตำแหน่ง
1พศด 14.15 และเมื่อเจ้าได้ยินเสียงกระบวนทัพอยู่ที่ยอดหมู่ต้นหม่อนแล้ว จงออกไปทำศึก เพราะว่าพระเจ้าได้เสด็จออกไปข้างหน้าเพื่อโจมตีกองทัพของคนฟีลิสเตีย”
1พศด 19.10 เมื่อโยอาบเห็นว่าการศึกนั้นขนาบอยู่ข้างหน้าและข้างหลัง ท่านจึงคัดเอาจากบรรดาคนอิสราเอลที่สรรไว้แล้วและจัดทัพเข้าไปต่อสู้คนซีเรีย
1พศด 19.14 ดังนั้นโยอาบและประชาชนผู้อยู่กับท่านได้เข้ามาใกล้ข้างหน้าคนซีเรียเพื่อสู้รบกัน และเขาทั้งหลายก็แตกหนีไปต่อหน้าท่าน
2พศด 3.15 ข้างหน้าพระนิเวศพระองค์ทรงสร้างเสาสองต้น สูงสามสิบห้าศอก มีบัวคว่ำสูงห้าศอกอยู่บนยอดเสาแต่ละต้น
2พศด 5.9 พวกเขาดึงคานหามของหีบนั้นออกบ้าง จึงเห็นปลายคานหามได้จากหีบนั้น ซึ่งอยู่ข้างหน้าห้องหลัง แต่เขาจะเห็นจากข้างนอกไม่ได้ และคานหามก็ยังอยู่ที่นั่นจนทุกวันนี้
2พศด 7.6 บรรดาปุโรหิตก็ยืนประจำตำแหน่งของตน ทั้งคนเลวีด้วยพร้อมกับเครื่องดนตรีถวายแด่พระเยโฮวาห์ ซึ่งกษัตริย์ดาวิดได้ทรงกระทำเพื่อสรรเสริญพระเยโฮวาห์ เมื่อดาวิดได้ถวายสาธุการด้วยการปรนนิบัติของเขาทั้งหลาย เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์ และปุโรหิตก็เป่าแตรข้างหน้าเขา และอิสราเอลทั้งปวงยืนอยู่
2พศด 7.7 และซาโลมอนทรงทำพิธีชำระส่วนกลางของลานซึ่งอยู่ข้างหน้าพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ให้เป็นส่วนบริสุทธิ์ เพราะพระองค์ทรงถวายเครื่องเผาบูชาและไขมันของเครื่องสันติบูชาที่นั่น เพราะว่าแท่นทองสัมฤทธิ์ซึ่งซาโลมอนทรงสร้างไว้นั้น ไม่พอจุเครื่องเผาบูชา เครื่องธัญญบูชาและไขมัน
2พศด 13.13 เยโรโบอัมได้ส้องสุมผู้คนไว้เพื่อจะอ้อมมาหาเขาจากเบื้องหลัง ดังนั้นกองทหารของท่านจึงอยู่ข้างหน้ายูดาห์ และกองซุ่มก็อยู่ข้างหลังเขา
2พศด 13.14 และเมื่อยูดาห์มองดูข้างหลัง ดูเถิด การศึกก็อยู่ข้างหน้าและข้างหลังเขา และเขาทั้งหลายก็ร้องทูลต่อพระเยโฮวาห์ และบรรดาปุโรหิตก็เป่าแตร
2พศด 18.20 แล้วมีวิญญาณดวงหนึ่งมาข้างหน้าเฝ้าต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ทูลว่า ‘ข้าพระองค์จะเกลี้ยกล่อมเขาเอง’ และพระเยโฮวาห์ตรัสกับเขาว่า ‘จะทำอย่างไร’
2พศด 20.5 และเยโฮชาฟัทประทับยืนอยู่ในที่ประชุมของยูดาห์และเยรูซาเล็ม ในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ ข้างหน้าลานใหม่
2พศด 20.16 พรุ่งนี้ท่านทั้งหลายจงลงไปต่อสู้กับเขา ดูเถิด เขาจะขึ้นมาทางขึ้นที่ตำบลศิส ท่านจะพบเขาที่ปลายลำธาร ข้างหน้าถิ่นทุรกันดารเยรูเอล
อสธ 4.6 ฮาธาคออกไปหาโมรเดคัยที่ถนนในนคร ข้างหน้าประตูของกษัตริย์
อสธ 6.9 ขอทรงมอบฉลองพระองค์และม้าในมือของเจ้านายผู้ใหญ่ยิ่งที่สุดคนหนึ่งของกษัตริย์ ขอให้แต่งคนที่กษัตริย์พอพระทัยจะประทานเกียรติยศ และขอให้ชายนั้นขึ้นนั่งหลังม้าไปตามถนนของกรุง และป่าวร้องไปข้างหน้าเขาว่า ‘ผู้ที่กษัตริย์พอพระทัยจะประทานเกียรติยศก็เป็นเช่นนี้แหละ’”
โยบ 4.16 องค์นั้นนิ่งอยู่ แต่ข้าพิเคราะห์รูปร่างขององค์นั้นไม่ได้ มีสัณฐานอย่างหนึ่งข้างหน้าตาของข้า เงียบอยู่ แล้วข้าได้ยินเสียงหนึ่งว่า
โยบ 21.33 สำหรับเขาก้อนดินที่หุบเขาก็เบาสบาย คนทั้งปวงก็ตามเขาไป และคนที่ไปข้างหน้าก็นับไม่ถ้วน
โยบ 23.8 ดูเถิด ข้าเดินไปข้างหน้า แต่พระองค์มิได้ทรงสถิตที่นั่น และข้างหลัง แต่ข้าก็ไม่สังเกตเห็นพระองค์
โยบ 41.22 กำลังอยู่ในลำคอของมัน และความสยดสยองเต้นอยู่ข้างหน้ามัน
สดด 18.12 มีลูกเห็บและถ่านเพลิงแตกออกมาทะลุเมฆจากความสว่างสุกใสข้างหน้าพระองค์
สดด 50.3 พระเจ้าของเราจะเสด็จมา พระองค์จะมิได้ทรงเงียบอยู่ เพลิงจะเผาผลาญมาข้างหน้าพระองค์ รอบพระองค์คือวาตะอันทรงมหิทธิฤทธิ์
สดด 78.55 พระองค์ทรงขับประชาชาติต่างๆออกไปข้างหน้าเขา พระองค์ทรงวัดแบ่งแดนประชาชาตินั้นให้เป็นมรดก และทรงตั้งบรรดาตระกูลอิสราเอลไว้ในเต็นท์ของเขา
สดด 97.3 ไฟลุกอยู่ข้างหน้าพระองค์และไหม้ปฏิปักษ์ของพระองค์รอบข้างเสีย
สดด 105.17 พระองค์ทรงใช้ชายคนหนึ่งไปข้างหน้าเขา คือโยเซฟ ซึ่งถูกขายไปเป็นทาส
สดด 139.5 พระองค์ทรงล้อมข้าพระองค์อยู่ทั้งข้างหลังและข้างหน้า และทรงวางพระหัตถ์บนข้าพระองค์
สภษ 4.25 ให้ตาของเจ้ามองตรงไปข้างหน้า และให้หนังตาของเจ้ามองตรงไปข้างหน้าเจ้า
สภษ 15.33 ความยำเกรงพระเยโฮวาห์เป็นการสอนให้เกิดปัญญา และความถ่อมใจเดินอยู่ข้างหน้าเกียรติ
สภษ 23.1 เมื่อเจ้านั่งลงรับประทานกับผู้ครอบครองบ้านเมือง จงสังเกตให้ดีว่าอะไรอยู่ข้างหน้าเจ้า
สภษ 25.6 อย่าเอาตัวเจ้าขึ้นมาข้างหน้าต่อพระพักตร์กษัตริย์ หรือยืนอยู่ในที่ของผู้หลักผู้ใหญ่
อสย 9.12 คือคนซีเรียทางข้างหน้าและคนฟีลิสเตียทางข้างหลัง และเขาจะอ้าปากออกกลืนอิสราเอลเสีย ถึงกระนั้นก็ดีพระพิโรธของพระองค์ก็ยังมิได้หันกลับ และพระหัตถ์ของพระองค์ยังเหยียดออกอยู่
อสย 37.33 เพราะฉะนั้นพระเยโฮวาห์จึงตรัสเกี่ยวกับกษัตริย์แห่งอัสซีเรียดังนี้ว่า ‘ท่านจะไม่เข้าในนครนี้หรือยิงลูกธนูไปที่นั่น หรือถือโล่เข้ามาข้างหน้านคร หรือสร้างเชิงเทินสู้มัน
อสย 42.16 เราจะจูงคนตาบอดไปในทางที่เขาทั้งหลายไม่รู้จัก เราจะนำเขาไปในทางทั้งหลายที่เขาไม่รู้จัก เราจะให้ความมืดข้างหน้าเขากลับเป็นสว่าง สิ่งที่คดให้ตรง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราจะกระทำแก่พวกเขา และเราจะไม่ละทิ้งพวกเขา
อสย 45.1 พระเยโฮวาห์ตรัสกับผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้คือไซรัส ผู้ซึ่งเราได้จับมือขวาไว้ เพื่อปราบหลายประชาชาติให้อยู่ข้างหน้าท่าน และให้ปลดรัดประคดจากบั้นเอวของบรรดากษัตริย์ ให้เปิดประตูทั้งสองที่อยู่ข้างหน้าท่านและมิให้ประตูเมืองปิด ดังนี้ว่า
อสย 45.2 “เราจะไปข้างหน้าเจ้า และปราบที่คดให้เป็นที่ตรง เราจะพังประตูทองสัมฤทธิ์ให้เป็นชิ้นๆ และตัดลูกกรงเหล็กให้ขาด
อสย 55.12 เพราะเจ้าจะออกไปด้วยความชื่นบาน และถูกนำไปด้วยสันติภาพ ภูเขาและเนินเขาจะเปล่งเสียงร้องเพลงข้างหน้าเจ้า และต้นไม้ทั้งสิ้นในท้องทุ่งจะตบมือของมัน
พคค 1.6 และความโอ่อ่าตระการได้พรากไปจากธิดาแห่งศิโยนเสียแล้ว พวกเจ้านายของเธอก็กลับเป็นดุจฝูงกวางที่หาทุ่งหญ้าเลี้ยงชีวิตไม่ได้ และได้วิ่งป้อแป้หนีไปข้างหน้าผู้ไล่ติดตาม
อสค 1.9 คือปีกของมันต่างก็จดปีกของกันและกัน มันบินตรงไปข้างหน้า ขณะที่ไปก็ไม่หันเลย
อสค 1.12 สิ่งที่มีชีวิตอยู่ทุกตัวบินตรงไปข้างหน้า ไม่ว่าวิญญาณจะไปทางไหน มันก็ไปทางนั้น เมื่อไปก็ไม่หันเลย
อสค 4.1 “เจ้า บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงเอาก้อนอิฐมาวางไว้ข้างหน้าเจ้า และแกะรูปเมืองหนึ่งไว้บนนั้นคือนครเยรูซาเล็ม
อสค 8.11 และมีพวกผู้ใหญ่แห่งวงศ์วานอิสราเอลเจ็ดสิบคนยืนอยู่ข้างหน้ารูปเหล่านั้น และมียาอาซันยาห์ บุตรชายชาฟานยืนอยู่ในหมู่พวกเขาทั้งหลาย ต่างก็มีกระถางไฟอยู่ในมือ และควันหนาทึบแห่งเครื่องบูชาก็ขึ้นไปข้างบน
อสค 10.22 ส่วนสัณฐานของหน้าเหล่านั้น เป็นหน้าทั้งรูปทั้งตัว ซึ่งข้าพเจ้าได้เห็นที่ริมแม่น้ำเคบาร์ เครูบทุกตนออกตรงไปข้างหน้าของตน
อสค 12.27 “ดูเถิด บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย วงศ์วานของอิสราเอลกล่าวว่า ‘นิมิตที่เขาเห็นเป็นเรื่องของอีกหลายวันข้างหน้า และเขาพยากรณ์ถึงเวลาที่ห่างไกลโน้น’
อสค 14.3 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย คนเหล่านี้ได้ยึดเอารูปเคารพของเขาไว้ในใจ และวางสิ่งที่สะดุดให้ทำความชั่วช้าไว้ข้างหน้าเขา ควรที่เราจะยอมตัวให้เขาถามเราหรือ
อสค 14.4 เพราะฉะนั้นจงพูดกับเขาและกล่าวแก่เขาว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า คนใดในวงศ์วานอิสราเอลเอารูปเคารพของเขาไว้ในใจ และวางสิ่งที่สะดุดให้ทำความชั่วช้าไว้ข้างหน้าเขาและยังมาหาผู้พยากรณ์ เราคือพระเยโฮวาห์จะตอบเขาเองด้วยเรื่องรูปเคารพมากมายของเขานั้น
อสค 16.18 เจ้าเอาเครื่องแต่งตัวที่ปักไปห่มรูปเหล่านั้นไว้ และวางน้ำมันและเครื่องหอมของเราไว้ข้างหน้ามัน
อสค 16.19 อาหารที่เราให้แก่เจ้าก็เหมือนกัน คือเราเลี้ยงเจ้าด้วยยอดแป้ง น้ำมันและน้ำผึ้ง เจ้าก็เอามาวางข้างหน้ามัน ให้เป็นกลิ่นหอมที่พึงใจ และก็เป็นอย่างนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
อสค 20.1 อยู่มาวันที่สิบ เดือนที่ห้าในปีที่เจ็ด พวกผู้ใหญ่แห่งอิสราเอลบางคนได้มาทูลถามพระเยโฮวาห์ และมานั่งอยู่ข้างหน้าข้าพเจ้า
อสค 23.41 เธอนั่งอยู่บนตั่งอันสูงศักดิ์ มีโต๊ะวางอยู่ข้างหน้า ซึ่งเป็นโต๊ะที่เจ้าได้วางเครื่องหอมและน้ำมันของเรา
อสค 33.31 และเข้ามาหาเจ้าอย่างที่ชาวตลาดมา และเขามานั่งข้างหน้าเจ้าอย่างประชาชนของเรา เขาฟังคำพูดของเจ้า แต่เขาไม่ยอมกระทำตาม เพราะว่าเขาแสดงความรักมากด้วยปากของเขา แต่จิตใจของเขามุ่งอยู่ตามความโลภของเขา
อสค 40.15 วัดจากข้างหน้าหอประตูตรงทางเข้าไปยังปลายมุขชั้นในของหอประตูได้ห้าสิบศอก
อสค 40.47 และท่านก็วัดลาน ได้ยาวหนึ่งร้อยศอก และกว้างหนึ่งร้อยศอกเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส และแท่นบูชาอยู่ข้างหน้าพระนิเวศ
อสค 41.21 ฝ่ายเสาประตูของพระวิหารนั้นสี่เหลี่ยมข้างหน้าสถานบริสุทธิ์ รูปร่างของตัวนั้นก็เหมือนรูปร่างของอีกตัวหนึ่ง
อสค 42.4 และข้างหน้าห้องมีทางเข้าข้างในกว้างสิบศอก ยาวหนึ่งศอก บรรดาประตูห้องเหล่านี้อยู่ทางด้านเหนือ
อสค 44.4 แล้วท่านก็นำข้าพเจ้ามาตามทางของประตูเหนือมาที่ข้างหน้าพระนิเวศ และข้าพเจ้ามองดู และดูเถิด สง่าราศีของพระเยโฮวาห์ก็เต็มพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และข้าพเจ้าก็ซบหน้าลงถึงดิน
อสค 46.9 เมื่อประชาชนแห่งแผ่นดินเข้ามาต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ณ เทศกาลเลี้ยงตามกำหนด ผู้ที่เข้ามาทางประตูเหนือเพื่อนมัสการจะต้องกลับออกไปทางประตูใต้ และผู้ที่เข้ามาทางประตูใต้จะต้องกลับออกไปทางประตูเหนือ อย่าให้ใครกลับทางประตูตามที่เขาเข้ามา แต่ให้ทุกคนออกตรงไปข้างหน้า
ดนล 8.26 นิมิตเรื่องเวลาเย็นและเวลาเช้าซึ่งบอกเล่านั้นเป็นความจริง แต่จงปิดบังนิมิตนั้นไว้เถอะ เพราะเป็นเรื่องของอีกหลายวันข้างหน้า”
ดนล 10.16 และดูเถิด มีท่านผู้หนึ่งสัณฐานคล้ายบุตรทั้งหลายของมนุษย์มาแตะริมฝีปากของข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าก็อ้าปากขึ้นพูด ข้าพเจ้ากล่าวกับท่านที่ยืนอยู่ข้างหน้าข้าพเจ้าว่า “โอ นายเจ้าข้า ด้วยเหตุนิมิตนั้นความเจ็บปวดจึงเกิดกับข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าก็หมดแรง
ยอล 2.3 ไฟเผาผลาญอยู่ข้างหน้ามันทั้งหลาย และเปลวไฟไหม้อยู่ข้างหลัง แผ่นดินนั้นเหมือนสวนเอเดนก่อนหน้ามันทั้งหลาย พอให้หลังมันไปแล้วก็เป็นถิ่นทุรกันดารที่รกร้าง ไม่มีอะไรจะรอดพ้นมันเลย
อมส 4.3 และเจ้าจะออกไปตามช่องกำแพง แม่วัวทั้งหลายจะออกไปตามช่องตรงข้างหน้าตน และเจ้าจะทิ้งมันเข้าไปในวังนั้น” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ศคย 3.4 และทูตสวรรค์จึงบอกผู้ที่ยืนอยู่ข้างหน้าท่านว่า “จงเปลื้องเครื่องแต่งกายที่สกปรกจากท่านเสีย” และทูตสวรรค์พูดกับท่านว่า “ดูเถิด เราได้เอาความชั่วช้าออกไปเสียจากเจ้าแล้ว และเราจะประดับตัวเจ้าด้วยเสื้อผ้าอันสะอาด”
ศคย 3.8 โอ โยชูวามหาปุโรหิต จงฟังเถิด เจ้าและสหายของเจ้าผู้ที่นั่งอยู่ข้างหน้าเจ้า เพราะคนเหล่านี้เป็นหมายสำคัญ ดูเถิด เราจะนำผู้รับใช้ของเรามา คือ พระอังกูร
มลค 3.1 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า “ดูเถิด เราจะส่งทูตของเราไป และผู้นั้นจะตระเตรียมหนทางไว้ข้างหน้าเรา และองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ซึ่งเจ้าแสวงหานั้น จะเสด็จมายังพระวิหารของพระองค์อย่างกระทันหัน ทูตแห่งพันธสัญญา ผู้ซึ่งเจ้าพอใจนั้น ดูเถิด ท่านจะเสด็จมา
มธ 6.2 เหตุฉะนั้น เมื่อท่านทำทาน อย่าเป่าแตรข้างหน้าท่านเหมือนคนหน้าซื่อใจคดกระทำในธรรมศาลาและตามถนน เพื่อจะได้รับการสรรเสริญจากมนุษย์ เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว
มธ 11.10 คือผู้นั้นเองที่พระคัมภีร์ได้เขียนถึงว่า ‘ดูเถิด เราใช้ทูตของเราไปข้างหน้าท่าน ผู้นั้นจะเตรียมทางของท่านไว้ข้างหน้าท่าน’
มธ 21.9 ฝ่ายฝูงชนซึ่งเดินไปข้างหน้ากับผู้ที่ตามมาข้างหลังก็พร้อมกันโห่ร้องว่า “โฮซันนาแก่ราชโอรสของดาวิด ‘ขอให้พระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ โฮซันนา’ ในที่สูงสุด”
มก 1.2 ตามที่ได้เขียนไว้ในคำของศาสดาพยากรณ์ว่า ‘ดูเถิด เราใช้ทูตของเราไปข้างหน้าท่าน ผู้นั้นจะเตรียมมรรคาของท่านไว้ข้างหน้าท่าน
มก 3.3 พระองค์ตรัสแก่คนมือลีบว่า “มายืนข้างหน้าเถอะ”
มก 11.9 ฝ่ายคนที่เดินไปข้างหน้า กับผู้ที่ตามมาข้างหลัง ก็โห่ร้องว่า “โฮซันนา ขอให้พระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงพระเจริญ
ลก 6.8 แต่พระองค์ทรงทราบความคิดของเขา จึงตรัสแก่คนมือลีบนั้นว่า “จงลุกขึ้นมายืนอยู่ข้างหน้า” เขาก็ลุกขึ้นยืน
ลก 7.27 คือผู้นั้นเองที่พระคัมภีร์ได้เขียนถึงว่า ‘ดูเถิด เราใช้ทูตของเราไปข้างหน้าท่าน ผู้นั้นจะเตรียมมรรคาของท่านไว้ข้างหน้าท่าน’
ลก 18.39 คนที่เดินไปข้างหน้านั้นจึงห้ามเขาให้นิ่ง แต่เขายิ่งร้องขึ้นว่า “บุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงเมตตาข้าพระองค์เถิด”
ลก 19.4 เขาจึงวิ่งไปข้างหน้าขึ้นต้นมะเดื่อเพื่อจะได้เห็นพระองค์ เพราะว่าพระองค์จะเสด็จไปทางนั้น
กจ 18.17 บรรดาชาติกรีกจึงจับโสสเธเนสนายธรรมศาลามา เฆี่ยนข้างหน้าบัลลังก์พิพากษา แต่กัลลิโอไม่เอาธุระเลย
กจ 19.33 พวกเหล่านั้นบางคนได้ดันอเล็กซานเดอร์ ซึ่งเป็นคนที่พวกยิวให้ออกมาข้างหน้า อเล็กซานเดอร์จึงโบกมือหมายจะกล่าวแก้แทนต่อหน้าคนทั้งปวง
ฟป 3.13 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าได้ฉวยไว้ได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง คือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า
1ทธ 6.19 และส่ำสมไว้เป็นรากอันดีสำหรับตัวของตนเผื่อเวลาข้างหน้า เพื่อว่าเขาจะยึดชีวิตนิรันดร์ไว้
วว 4.6 และตรงหน้าพระที่นั่งนั้นมีทะเลแก้วดูเหมือนแก้วผลึก และท่ามกลางพระที่นั่งและล้อมรอบพระที่นั่งนั้นมีสัตว์สี่ตัว ซึ่งมีตาเต็มทั้งข้างหน้าและข้างหลัง

ข้างหนึ่งข้างใด ( 1 )
อสค 10.11 เมื่อวงล้อนี้ไป ก็ไปได้ข้างหนึ่งข้างใดในข้างทั้งสี่ โดยไม่ต้องหันเลยในเวลาไป ถ้าอันหน้ามุ่งหน้าไปทางไหน วงล้ออันอื่นก็ตามไปโดยไม่ต้องหันในขณะที่ไป

ข้างหลัง ( 44 )
ปฐก 18.10 ท่านจึงกล่าวว่า “เราจะกลับมาหาเจ้าแน่นอนตามเวลาแห่งชีวิต และดูเถิด ซาราห์ภรรยาของเจ้าจะมีบุตรชายคนหนึ่ง” ซาราห์ได้ฟังอยู่ที่ประตูเต็นท์ซึ่งอยู่ข้างหลังท่าน
ปฐก 19.26 แต่ภรรยาของเขาผู้ตามข้างหลังเขาเหลียวกลับไปมองดูและนางจึงกลายเป็นเสาเกลือ
ปฐก 22.13 อับราฮัมเงยหน้าขึ้นมองดู และดูเถิด ข้างหลังท่านมีแกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ อับราฮัมก็ไปจับแกะผู้ตัวนั้นมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแทนบุตรชายของท่าน
ปฐก 32.18 เจ้าจงตอบว่า ‘ของเหล่านี้เป็นของยาโคบผู้รับใช้ของท่าน เป็นของกำนัลส่งมาให้เอซาวนายของข้าพเจ้า และดูเถิด ยาโคบตามมาข้างหลัง’”
ปฐก 32.20 และเสริมว่า ‘ดูเถิด ยาโคบผู้รับใช้ของท่านกำลังตามมาข้างหลังพวกเรา’” เพราะยาโคบคิดว่า “ข้าจะระงับความโกรธของเอซาวได้ด้วยของกำนัลที่ส่งล่วงหน้าไป และภายหลังข้าจะเห็นหน้าเขา บางทีเขาจะยอมรับข้า”
อพย 14.19 ฝ่ายทูตสวรรค์ของพระเจ้าซึ่งนำพลโยธาอิสราเอลนั้นกลับไปอยู่ข้างหลัง และเสาเมฆซึ่งอยู่ข้างหน้า ก็กลับมาตั้งอยู่ข้างหลังเขา
กดว 3.23 ครอบครัวเกอร์โชนนั้นจะต้องตั้งค่ายอยู่ข้างหลังพลับพลาด้านตะวันตก
ยชว 6.13 และปุโรหิตเจ็ดคนถือแตรเขาแกะตัวผู้เจ็ดคันเดินนำหน้าหีบแห่งพระเยโฮวาห์เรื่อยไปและเป่าแตรไปด้วย และทหารถืออาวุธก็เดินอยู่ข้างหน้าเขา และกองหลังก็เดินอยู่ข้างหลังหีบแห่งพระเยโฮวาห์ ฝ่ายปุโรหิตนั้นก็เดินเป่าแตรไปเรื่อยๆ
ยชว 8.2 เจ้าจงกระทำแก่เมืองอัยและกษัตริย์ของเมืองนั้นเช่นเดียวกับที่เจ้ากระทำกับเมืองเยรีโคและกษัตริย์ของเมืองนั้น แต่ข้าวของและสัตว์ที่ริบมานั้น ตกเป็นของเจ้าได้ จงตั้งซุ่มไว้ที่ข้างหลังเมือง”
ยชว 8.4 และท่านบัญชาเขาว่า “ดูเถิด ท่านจงซุ่มอยู่ข้างหลังเมือง อย่าให้ห่างไกลจากเมืองนัก และให้เตรียมตัวไว้พร้อมทุกคน
ยชว 8.14 ต่อมาเมื่อกษัตริย์เมืองอัยเห็นดังนั้น ชาวเมืองก็รีบลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ออกไปสู้รบกับอิสราเอล ณ ที่ปะทะกันหน้าที่ราบ ทั้งท่านและประชาชนทั้งหมดของท่าน แต่ท่านไม่ทราบว่ามีกองซุ่มคอยอยู่ต่อสู้ท่านข้างหลังเมือง
1ซมอ 21.9 ปุโรหิตนั้นจึงกล่าวว่า “ดาบของโกลิอัทคนฟีลิสเตีย ซึ่งท่านฆ่าเสียที่หุบเขาเอลาห์นั้น ดูเถิด ยังห่อผ้าอยู่ที่ข้างหลังเอโฟด ถ้าท่านต้องการดาบนั้นจงเอาไปเถิด นอกจากเล่มนั้นแล้วก็ไม่มีดาบอื่นอีก” และดาวิดกล่าวว่า “ไม่มีดาบอื่นเหมือนดาบเล่มนั้นแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าเถิด”
2ซมอ 2.23 แต่เขาก็ปฏิเสธไม่ยอมหันกลับ เพราะฉะนั้นอับเนอร์ก็เอาโคนหอกแทงท้องอาสาเฮล หอกก็ทะลุออกข้างหลังของเขา เขาก็ล้มลงตายอยู่ที่นั่น และอยู่มาทุกคนซึ่งมาเห็นที่ที่อาสาเฮลล้มตายอยู่ก็ยืนนิ่ง
2ซมอ 5.23 และเมื่อดาวิดทูลถามพระเยโฮวาห์ พระองค์ตรัสว่า “เจ้าอย่าขึ้น จงอ้อมไปข้างหลังของเขา และโจมตีเขาตรงข้ามกับหมู่ต้นหม่อน
2ซมอ 10.9 เมื่อโยอาบเห็นว่าการศึกนี้ขนาบอยู่ทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ท่านจึงคัดเอาบรรดาคนอิสราเอลที่สรรไว้แล้วจัดทัพเข้าสู้คนซีเรีย
2ซมอ 13.34 แต่อับซาโลมได้หนีไป ฝ่ายทหารยามหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองดู ดูเถิด ประชาชนเป็นอันมากกำลังมาทางข้างๆภูเขาซึ่งอยู่ข้างหลังเขา
2พกษ 11.6 ฝ่ายอีกหนึ่งในสามประจำอยู่ที่ประตูสูร และอีกหนึ่งในสามประจำอยู่ที่ประตูข้างหลังทหารรักษาพระองค์ ให้เฝ้าพระราชวังเพื่อป้องกันไว้
1พศด 19.10 เมื่อโยอาบเห็นว่าการศึกนั้นขนาบอยู่ข้างหน้าและข้างหลัง ท่านจึงคัดเอาจากบรรดาคนอิสราเอลที่สรรไว้แล้วและจัดทัพเข้าไปต่อสู้คนซีเรีย
2พศด 13.13 เยโรโบอัมได้ส้องสุมผู้คนไว้เพื่อจะอ้อมมาหาเขาจากเบื้องหลัง ดังนั้นกองทหารของท่านจึงอยู่ข้างหน้ายูดาห์ และกองซุ่มก็อยู่ข้างหลังเขา
2พศด 13.14 และเมื่อยูดาห์มองดูข้างหลัง ดูเถิด การศึกก็อยู่ข้างหน้าและข้างหลังเขา และเขาทั้งหลายก็ร้องทูลต่อพระเยโฮวาห์ และบรรดาปุโรหิตก็เป่าแตร
นหม 4.13 ข้าพเจ้าจึงตั้งประชาชนไว้ในส่วนที่ต่ำที่สุดข้างหลังกำแพง และในที่สูง ตามครอบครัวของเขา โดยมีดาบ หอก และคันธนู
โยบ 23.8 ดูเถิด ข้าเดินไปข้างหน้า แต่พระองค์มิได้ทรงสถิตที่นั่น และข้างหลัง แต่ข้าก็ไม่สังเกตเห็นพระองค์
โยบ 41.32 มันละทางแวบวาบไว้ข้างหลัง ทำให้ใครๆคิดว่ามหาสมุทรผมหงอก
สดด 50.17 เพราะเจ้าเกลียดคำสั่งสอน และเจ้าเหวี่ยงคำของเราไว้ข้างหลังเจ้า
สดด 78.66 และพระองค์ทรงตีปฏิปักษ์ของพระองค์ในข้างหลัง และให้เขาได้อายเป็นนิตย์
สดด 139.5 พระองค์ทรงล้อมข้าพระองค์อยู่ทั้งข้างหลังและข้างหน้า และทรงวางพระหัตถ์บนข้าพระองค์
พซม 2.9 ที่รักของดิฉันเป็นดุจดังละมั่งหรือดุจดังกวางหนุ่ม ดูเถิด เขากำลังยืนอยู่ที่ข้างหลังกำแพงของเรา เขาชะโงกหน้าต่างเข้ามา เขาสอดมองดูทางตาข่าย
อสย 9.12 คือคนซีเรียทางข้างหน้าและคนฟีลิสเตียทางข้างหลัง และเขาจะอ้าปากออกกลืนอิสราเอลเสีย ถึงกระนั้นก็ดีพระพิโรธของพระองค์ก็ยังมิได้หันกลับ และพระหัตถ์ของพระองค์ยังเหยียดออกอยู่
อสย 30.21 และเมื่อเจ้าหันไปทางขวาหรือหันไปทางซ้าย หูของเจ้าจะได้ยินวจนะข้างหลังเจ้าว่า “นี่เป็นหนทาง จงเดินในทางนี้”
อสย 66.17 คนทั้งหลายที่กระทำตัวให้บริสุทธิ์และชำระตัวให้บริสุทธิ์ อยู่ข้างหลังต้นไม้ต้นหนึ่งท่ามกลางสวน ที่กำลังกินเนื้อหมูและสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน และหนู จะถูกเผาผลาญเสียด้วยกัน” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้
อสค 3.12 พระวิญญาณจึงยกข้าพเจ้าขึ้น และข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงกระหึ่มอยู่ข้างหลังข้าพเจ้าว่า “จงสรรเสริญแด่สง่าราศีของพระเยโฮวาห์ซึ่งขึ้นมาจากสถานที่ของพระองค์”
ยอล 2.3 ไฟเผาผลาญอยู่ข้างหน้ามันทั้งหลาย และเปลวไฟไหม้อยู่ข้างหลัง แผ่นดินนั้นเหมือนสวนเอเดนก่อนหน้ามันทั้งหลาย พอให้หลังมันไปแล้วก็เป็นถิ่นทุรกันดารที่รกร้าง ไม่มีอะไรจะรอดพ้นมันเลย
มธ 9.20 ดูเถิด มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นโรคตกเลือดได้สิบสองปีมาแล้วแอบมาข้างหลัง ถูกต้องชายฉลองพระองค์
มธ 16.23 พระองค์จึงหันพระพักตร์ตรัสกับเปโตรว่า “อ้ายซาตาน จงถอยไปข้างหลังเรา เจ้าเป็นเครื่องกีดขวางเรา เพราะเจ้ามิได้คิดตามพระดำริของพระเจ้า แต่ตามความคิดของมนุษย์”
มธ 21.9 ฝ่ายฝูงชนซึ่งเดินไปข้างหน้ากับผู้ที่ตามมาข้างหลังก็พร้อมกันโห่ร้องว่า “โฮซันนาแก่ราชโอรสของดาวิด ‘ขอให้พระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ โฮซันนา’ ในที่สูงสุด”
มก 5.27 ครั้นผู้หญิงนั้นได้ยินถึงเรื่องพระเยซู เธอก็เดินปะปนกับประชาชนที่เบียดเสียดข้างหลังพระองค์ และได้ถูกต้องฉลองพระองค์
มก 8.33 พระองค์จึงทรงหันพระพักตร์ดูเหล่าสาวกของพระองค์ แล้วทรงติเปโตรว่า “อ้ายซาตาน จงถอยไปข้างหลังเรา เพราะเจ้ามิได้คิดตามพระดำริของพระเจ้า แต่ตามความคิดของมนุษย์”
มก 11.9 ฝ่ายคนที่เดินไปข้างหน้า กับผู้ที่ตามมาข้างหลัง ก็โห่ร้องว่า “โฮซันนา ขอให้พระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงพระเจริญ
ลก 4.8 ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบมารว่า “อ้ายซาตาน จงถอยไปข้างหลังเรา เพราะมีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘จงนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว’”
ลก 7.38 มายืนอยู่ข้างหลังใกล้พระบาทของพระองค์ เริ่มร้องไห้น้ำตาไหลชำระพระบาทและเอาผมเช็ด จุบพระบาทของพระองค์ และชโลมพระบาทด้วยน้ำมันหอมนั้น
ลก 8.44 ผู้หญิงนั้นแอบมาข้างหลังถูกต้องชายฉลองพระองค์ และในทันใดนั้นเลือดที่ตกก็หยุด
วว 4.6 และตรงหน้าพระที่นั่งนั้นมีทะเลแก้วดูเหมือนแก้วผลึก และท่ามกลางพระที่นั่งและล้อมรอบพระที่นั่งนั้นมีสัตว์สี่ตัว ซึ่งมีตาเต็มทั้งข้างหน้าและข้างหลัง

ขาด ( 190 )
ปฐก 18.28 บางทีคนชอบธรรมห้าสิบคนจะขาดไปห้าคน พระองค์จะทรงทำลายเมืองนั้นทั้งเมืองเพราะขาดห้าคนหรือ” พระองค์ตรัสว่า “ถ้าเราพบสี่สิบห้าคนที่นั่น เราจะไม่ทำลายเมืองนั้น”
ปฐก 47.13 และทั่วแผ่นดินขาดอาหารเพราะการกันดารอาหารร้ายแรง จนแผ่นดินอียิปต์และแผ่นดินคานาอันทั้งสิ้นหิวโหยเพราะการกันดารอาหาร
ปฐก 49.10 ธารพระกรจะไม่ขาดไปจากยูดาห์ หรือผู้ทรงตั้งพระราชบัญญัติจะไม่ขาดไปจากหว่างเท้าของเขา จนกว่าชีโลห์จะมา และชนชาติทั้งหลายจะรวบรวมเข้ากับผู้นั้น
อพย 10.26 ข้าพระองค์ต้องนำฝูงสัตว์ไปด้วย ขาดไม่ได้สักกีบเดียว เพราะว่าจะต้องเอาสัตว์จากฝูงเหล่านั้นไปถวายพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ และข้าพระองค์ยังไม่ทราบว่าจะต้องการสัตว์ตัวใดถวายพระเยโฮวาห์ จนกว่าเราจะถึงที่นั่น”
อพย 16.18 แต่เมื่อเขาใช้โอเมอร์ตวงคนที่เก็บได้มากก็ไม่มีเหลือ และคนที่เก็บได้น้อยก็หาขาดไม่ ทุกคนเก็บได้เท่าที่คนหนึ่งรับประทานพอดี
อพย 23.2 อย่าทำชั่วตามอย่างคนจำนวนมากที่เขาทำกันนั้นเลย อย่าอ้างพยานลำเอียงเข้าข้างหมู่มาก จะทำให้ขาดความยุติธรรมไป
อพย 28.32 ให้ทำช่องคอกลางผืนเสื้อ แล้วขลิบรอบคอด้วยผ้าทอ เช่นเดียวกับคอเสื้อทหาร เพื่อจะมิให้ขาด
อพย 39.23 และช่องกลางผืนเสื้อนั้น เขาทำเป็นคอเสื้อเช่นเดียวกับคอเสื้อทหารและมีขลิบรอบคอเพื่อมิให้ขาด
ลนต 1.17 และให้เขาฉีกปีกอย่าให้ขาดจากตัว และปุโรหิตจะเผานกนั้นบนแท่นที่กองฟืนบนไฟ เป็นเครื่องเผาบูชา คือเป็นเครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นที่พอพระทัยแด่พระเยโฮวาห์”
ลนต 2.13 เจ้าจงปรุงบรรดาธัญญบูชาด้วยใส่เกลือ เจ้าอย่าให้เกลือแห่งพันธสัญญากับพระเจ้าของเจ้าขาดเสียจากธัญญบูชาของเจ้า เจ้าจงถวายเกลือพร้อมกับบรรดาเครื่องบูชาของเจ้า
ลนต 5.8 ให้เขานำนกทั้งสองนี้มาให้ปุโรหิต ปุโรหิตก็ถวายนกตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปก่อน ให้เขาบิดหัวนกหลุดจากคอแต่อย่าให้ขาด
ลนต 5.16 และให้ผู้นั้นชดใช้ของบริสุทธิ์ที่ขาดไป และเพิ่มอีกหนึ่งในห้าของราคาสิ่งที่ขาดไปนั้น นำมอบให้แก่ปุโรหิต และปุโรหิตจะทำการลบมลทินของเขาด้วยแกะผู้ที่ถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่การละเมิด และเขาจะได้รับการอภัย
ลนต 13.45 ให้บุคคลที่เป็นโรคเรื้อนสวมเสื้อผ้าที่ขาด และให้ปล่อยผม และให้เขาปิดริมฝีปากบนไว้ แล้วร้องไปว่า ‘มลทิน มลทิน’
ลนต 25.23 เจ้าทั้งหลายจะขายที่ดินของเจ้าให้ขาดไม่ได้เพราะว่าดินนั้นเป็นของเรา เพราะเจ้าเป็นคนต่างด้าวและเป็นคนอาศัยอยู่กับเรา
พบญ 8.9 เป็นแผ่นดินที่ท่านจะรับประทานอาหารอย่างอุดมซึ่งท่านจะไม่ขาดสิ่งใดเลย เป็นแผ่นดินที่ศิลาเป็นเหล็ก และท่านจะขุดทองสัมฤทธิ์ได้จากภูเขา
พบญ 29.5 ‘เราได้นำเจ้าอยู่ในถิ่นทุรกันดารสี่สิบปี เสื้อผ้าของเจ้ามิได้ขาดวิ่นไปจากเจ้า และรองเท้ามิได้ขาดหลุดไปจากเท้าของเจ้า
ยชว 3.16 น้ำที่ไหลมาจากข้างบนก็หยุดตั้งขึ้นและนูนขึ้นเป็นกองไกลออกไปยิ่งนักตั้งแต่เมืองอาดัม ซึ่งเป็นเมืองอยู่ข้างๆเมืองศาเรธาน และน้ำที่ไหลลงสู่ทะเลแห่งที่ราบ คือทะเลเค็มนั้นก็ขาดกันสิ้น แล้วประชาชนก็ข้ามไปที่ฝั่งตรงข้ามเมืองเยรีโค
ยชว 4.7 แล้วท่านจงตอบพวกเขาว่า ‘น้ำที่จอร์แดนขาดจากกันต่อหน้าหีบพันธสัญญาแห่งพระเยโฮวาห์ เมื่อหีบนั้นข้ามแม่น้ำจอร์แดน น้ำในแม่น้ำจอร์แดนก็ขาดจากกัน ศิลาเหล่านี้จะเป็นที่รำลึกแก่ลูกหลานอิสราเอลเป็นนิตย์’”
ยชว 5.12 ตั้งแต่วันรุ่งขึ้นมานาก็ขาดไป คือเมื่อเขาได้รับประทานผลจากแผ่นดิน คนอิสราเอลไม่มีมานาอีกเลย ในปีนั้นเขารับประทานผลจากแผ่นดินคานาอัน
ยชว 9.4 ฝ่ายเขาจึงทำอย่างฉลาด ทำเป็นทูต เอากระสอบที่เก่าบรรทุกบนลาของเขา กับถุงหนังที่เก่าขาดและปะไว้บรรจุน้ำองุ่น
ยชว 9.13 ถุงนี้เมื่อข้าพเจ้าเติมน้ำองุ่นก็ยังใหม่อยู่ แต่ ดูเถิด มันขาดออก เสื้อผ้าและรองเท้าของข้าพเจ้าก็เก่า เพราะหนทางไกลมาก”
ยชว 9.23 ฉะนั้นบัดนี้เจ้าทั้งหลายต้องรับคำสาปแช่งและพวกเจ้าจะไม่ขาดที่ต้องเป็นทาสอยู่ เป็นคนตัดฟืนและเป็นคนตักน้ำสำหรับพระนิเวศของพระเจ้าของเรา”
ยชว 21.45 สรรพสิ่งอันดีทุกอย่างซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงตรัสกับวงศ์วานอิสราเอลนั้นก็ไม่ขาดสักสิ่งเดียว สำเร็จทั้งสิ้น
วนฉ 16.9 นางจัดคนให้ซุ่มอยู่ที่ห้องชั้นในกับนาง นางก็บอกท่านว่า “แซมสันจ๋า คนฟีลิสเตียมาจับเธอแล้ว” แซมสันก็ดึงสายธนูที่มัดนั้นขาดเหมือนเชือกป่านขาดเมื่อได้กลิ่นไฟ เรื่องกำลังของท่านจึงยังไม่แจ้ง
วนฉ 18.10 เมื่อท่านทั้งหลายไปแล้วจะพบประชาชนที่ไม่หวาดระแวงอะไร เออแผ่นดินก็กว้างขวาง พระเจ้าทรงมอบไว้ในมือของท่านทั้งหลายแล้ว เป็นสถานที่ซึ่งไม่ขาดสิ่งใดที่มีในโลก”
วนฉ 19.19 ฟางและอาหารที่จะเลี้ยงลา พวกเราก็มีพร้อมแล้ว ทั้งอาหารและน้ำองุ่นที่เลี้ยงตนทั้งเลี้ยงหญิงคนนี้ และชายหนุ่มที่อยู่กับพวกผู้รับใช้ของท่านก็มีอยู่แล้ว ไม่ขาดสิ่งใดเลย”
วนฉ 19.20 ชายแก่คนนั้นจึงพูดว่า “ขอท่านเป็นสุขสบายเถิด ถ้าท่านขาดสิ่งใด ข้าพเจ้าขอเป็นธุระทั้งสิ้น ขอแต่อย่านอนที่ถนนนี้เลย”
วนฉ 21.3 เขากล่าวว่า “โอ พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ทำไมเหตุการณ์อย่างนี้จึงเกิดขึ้นในอิสราเอล ซึ่งวันนี้จะมีคนอิสราเอลขาดไปตระกูลหนึ่ง”
วนฉ 21.15 ประชาชนก็สงสารเบนยามิน เพราะว่าพระเยโฮวาห์ทรงกระทำให้เขาจะขาดไปตระกูลหนึ่งจากตระกูลอิสราเอล
นรธ 2.20 นาโอมีจึงพูดกับบุตรสะใภ้ว่า “ขอพระเยโฮวาห์ทรงอำนวยพระพรแก่เขาเถิด พระกรุณาของพระองค์ไม่เคยขาดจากผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่หรือผู้ที่สิ้นชีวิตไปแล้ว” นาโอมีกล่าวแก่นางด้วยว่า “ชายคนนั้นเป็นญาติของเรา เขาเป็นญาติสนิทคนหนึ่งของเรา”
1ซมอ 4.12 ผู้ชายคนเบนยามินคนหนึ่งวิ่งไปจากแนวรบมาถึงชีโลห์ในวันเดียวกัน เสื้อผ้าขาดและดินก็อยู่บนศีรษะของเขา
1ซมอ 15.27 พอซามูเอลหันจะไป ซาอูลก็ได้ยึดชายเสื้อของท่านไว้และเสื้อนั้นก็ขาด
1ซมอ 20.5 ดาวิดจึงกล่าวกับโยนาธานว่า “ดูเถิด พรุ่งนี้เป็นวันขึ้นค่ำ ข้าพเจ้าไม่ควรขาดที่จะนั่งร่วมโต๊ะเสวยกับกษัตริย์ แต่ขอโปรดให้ข้าพเจ้าไปซ่อนตัวอยู่ที่ในทุ่งนาจนถึงเย็นวันที่สาม
1ซมอ 20.6 ถ้าเสด็จพ่อของท่านเห็นข้าพเจ้าขาดไป ก็ขอโปรดทูลพระองค์ว่า ‘ดาวิดได้วิงวอนขอลาข้าพระองค์รีบกลับไปเมืองเบธเลเฮมเมืองของตน เพราะที่นั่นทั้งครอบครัวทำการถวายสัตวบูชาประจำปี’
1ซมอ 20.18 แล้วโยนาธานจึงพูดกับดาวิดว่า “พรุ่งนี้เป็นวันขึ้นค่ำ และเขาจะเห็นว่าเธอขาดไป เพราะที่นั่งของเธอจะว่างอยู่
1ซมอ 21.15 ข้าขาดคนบ้าหรือ เจ้าจึงพาคนนี้มาทำบ้าให้ข้าดู คนอย่างนี้ควรเข้ามาในนิเวศของข้าหรือ”
1ซมอ 25.7 ข้าพเจ้าได้ยินว่าท่านมีคนตัดขนแกะ ฝ่ายผู้เลี้ยงแกะของท่านนั้นอยู่กับเรา เรามิได้กระทำอันตรายเขาเลย และเขาก็มิได้ขาดอะไรไปตลอดเวลาที่เขาอยู่ในคารเมล
1ซมอ 25.15 แต่คนเหล่านั้นเคยดีต่อเรามาก และเราไม่ต้องถูกทำร้ายอย่างใดเลย และไม่ขาดสิ่งไรตราบใดที่เราไปกับเขาเมื่อเราอยู่ในทุ่งนา
1ซมอ 25.21 ดาวิดกล่าวไว้แล้วว่า “ข้าได้เฝ้าทุกสิ่งที่คนนี้มีอยู่ในถิ่นทุรกันดารเสียเปล่า ไม่มีสิ่งใดของเขาขาดไปเลย และเขายังกระทำความชั่วต่อข้าตอบแทนความดี
1ซมอ 30.19 ไม่มีอะไรขาดจากท่านไปเลย ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ บุตรชายหรือบุตรสาว ในสิ่งที่ริบไปหรือสิ่งที่เขาเหล่านั้นเอาไป ดาวิดได้คืนมาหมด
2ซมอ 1.2 พอถึงวันที่สาม ดูเถิด มีชายคนหนึ่งมาจากค่ายของซาอูล สวมเสื้อผ้าขาดและมีผงคลีดินอยู่บนศีรษะ เมื่อเขามาถึงดาวิด ก็ซบหน้าลงถึงดินกระทำความเคารพ
2ซมอ 2.30 โยอาบก็กลับจากไล่ตามอับเนอร์ และเมื่อท่านรวบรวมพลเข้าด้วยกันแล้ว ข้าราชการทหารของดาวิดก็ขาดไปสิบเก้าคนไม่นับอาสาเฮล
2ซมอ 3.29 ขอให้โทษนั้นตกเหนือศีรษะของโยอาบ และเหนือวงศ์วานบิดาของเขาทั้งสิ้น ขออย่าให้คนที่มีสิ่งไหลออก คนที่เป็นโรคเรื้อน คนที่ถือไม้เท้า คนที่ถูกประหารด้วยดาบ หรือคนขาดขนมปัง ขาดจากวงศ์วานของโยอาบ”
1พกษ 2.4 เพื่อพระเยโฮวาห์จะได้รักษาพระวจนะของพระองค์ ซึ่งพระองค์ตรัสเกี่ยวกับเราว่า ‘ถ้าลูกหลานทั้งหลายของเจ้าระมัดระวังในวิถีทางทั้งหลายของเขา ที่จะดำเนินต่อหน้าเราด้วยความจริงอย่างสุดจิตสุดใจของเขา (พระองค์ตรัสว่า) ราชวงศ์จะไม่ขาดชายที่จะนั่งบนบัลลังก์ของอิสราเอล’
1พกษ 4.27 และบรรดาข้าหลวงเหล่านั้นก็จัดเสบียงอาหารส่งกษัตริย์ซาโลมอน และเพื่อทุกคนที่มายังโต๊ะเสวยของกษัตริย์ซาโลมอน ต่างก็ส่งของตามเดือนของตน เขาทั้งหลายไม่ให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดขาดไปเลย
1พกษ 8.25 ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล เพราะฉะนั้นบัดนี้ขอทรงรักษาสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้กับดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ราชบิดาของข้าพระองค์ว่า ‘เจ้าจะไม่ขาดชายผู้หนึ่งในสายตาของเราที่จะนั่งบนบัลลังก์แห่งอิสราเอล เพื่อว่าลูกหลานทั้งหลายของเจ้าจะระมัดระวังในวิถีทางของเขา ที่เขาจะดำเนินไปต่อหน้าเราอย่างที่เจ้าได้ดำเนินต่อหน้าเรานั้น’
1พกษ 9.5 แล้วเราจะสถาปนาราชบัลลังก์ของเจ้าเหนืออิสราเอลเป็นนิตย์ ดังที่เราได้สัญญากับดาวิดบิดาของเจ้าว่า ‘เจ้าจะไม่ขาดชายผู้หนึ่งบนบัลลังก์แห่งอิสราเอล’
1พกษ 11.22 แต่ฟาโรห์ตรัสกับท่านว่า “ท่านอยู่กับเราขาดสิ่งใดหรือ ดูเถิด ท่านจึงเสาะหาที่จะกลับไปยังประเทศของท่าน” และท่านก็ทูลพระองค์ว่า “ไม่ขาดสิ่งใดพระเจ้าข้า แต่ขอให้ข้าพระองค์ไปเถิด”
1พกษ 17.14 เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘แป้งในหม้อนั้นจะไม่หมดและน้ำมันในไหนั้นจะไม่ขาด จนกว่าจะถึงวันที่พระเยโฮวาห์ทรงส่งฝนลงมายังพื้นดิน’”
1พกษ 17.16 แป้งในหม้อก็ไม่หมด น้ำมันในไหก็ไม่ขาด ตามพระวจนะของพระเยโฮวาห์ซึ่งตรัสทางเอลียาห์
2พกษ 10.19 ฉะนั้นบัดนี้จงเรียกผู้พยากรณ์ของพระบาอัลมาให้หมด ทั้งบรรดาผู้รับใช้และปุโรหิตของท่าน อย่าให้ผู้ใดขาดไปเลย เพราะเราจะมีสัตวบูชาอย่างใหญ่โตที่จะถวายแก่พระบาอัล ผู้ใดขาดจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้” แต่เยฮูทรงกระทำเป็นอุบายเพื่อจะทำลายผู้นับถือพระบาอัล
2พศด 6.16 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล เพราะฉะนั้นบัดนี้ขอทรงรักษาสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้กับดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ราชบิดาของข้าพระองค์ว่า ‘เจ้าจะไม่ขาดชายผู้หนึ่งในสายตาของเราที่จะนั่งบนบัลลังก์แห่งอิสราเอล เพื่อว่าลูกหลานทั้งหลายของเจ้าจะระมัดระวังในวิถีทางของเขา ที่จะดำเนินตามราชบัญญัติของเรา อย่างที่เจ้าได้ดำเนินต่อหน้าเรานั้น’
2พศด 7.18 แล้วเราจะสถาปนาราชบัลลังก์แห่งอาณาจักรของเจ้า ดังที่เราได้กระทำพันธสัญญาไว้กับดาวิดบิดาของเจ้าว่า ‘เจ้าจะไม่ขาดชายผู้หนึ่งที่จะครอบครองเหนืออิสราเอล’
อสร 6.9 และสิ่งใดๆที่เขาต้องการ เช่น วัวหนุ่ม แกะผู้ หรือแกะสำหรับเครื่องเผาบูชาถวายแด่พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ทั้งข้าวสาลี เกลือ น้ำองุ่น หรือน้ำมัน ตามที่ปุโรหิตเยรูซาเล็มกำหนดไว้ ให้มอบแก่เขาเป็นวันๆไปอย่าได้ขาด
อสร 10.8 และถ้าผู้ใดไม่มาภายในสามวัน ตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่และพวกผู้ใหญ่ทั้งหลาย จะต้องริบทรัพย์สมบัติของเขาเสียทั้งสิ้น และผู้นั้นต้องขาดจากชุมนุมชนของพวกที่ถูกกวาดไปเป็นเชลย
นหม 9.19 ด้วยพระกรุณาซับซ้อนของพระองค์ พระองค์ก็มิได้ทรงละทิ้งเขาในถิ่นทุรกันดาร เสาเมฆซึ่งนำเขาในกลางวันมิได้พรากจากเขาไป หรือเสาเพลิงในกลางคืนซึ่งให้แสงแก่เขาตามทางซึ่งเขาควรจะไปก็มิได้ขาดไป
นหม 9.21 เออ พระองค์ทรงชุบเลี้ยงเขาทั้งหลายในถิ่นทุรกันดารสี่สิบปี และเขามิได้ขาดสิ่งใดเลย เสื้อผ้าของเขาไม่ขาดวิ่น และเท้าของเขามิได้บวม
อสธ 9.27 พวกยิวก็กำหนดและรับว่าตัวเขาเอง เชื้อสายของเขา และบรรดาผู้ที่เข้าจารีตยิวจะถือสองวันนี้ดังที่เขียนไว้ และตามเวลาที่กำหนดไว้ทุกปีมิได้ขาด
โยบ 4.11 สิงโตแก่พินาศเพราะขาดเหยื่อ และลูกของสิงโตที่แข็งแรงก็กระจัดกระจายไป
โยบ 14.11 น้ำขาดจากทะเลไป และแม่น้ำก็เหือดและแห้งไปฉันใด
โยบ 21.10 วัวผู้ของเขาเกิดพันธุ์ ไม่มีขาด วัวเมียของเขาตกลูก และไม่มีแท้ง
โยบ 24.8 เขาเปียกฝนแห่งภูเขา และเกาะหินอยู่เพราะขาดที่กำบัง
โยบ 31.19 ถ้าข้าเห็นคนหนึ่งคนใดพินาศเพราะขาดเสื้อผ้า หรือเห็นคนขัดสนไม่มีผ้าคลุมกาย
โยบ 38.41 ใครจัดหาเหยื่อให้กา เมื่อลูกอ่อนของมันร้องต่อพระเจ้า และระเหระหนไปเพราะขาดอาหาร”
สดด 2.3 “ให้เราระเบิดสายแอกของเขาให้ขาดสะบั้น และขจัดบังเหียนของเขาให้พ้นจากเรา”
สดด 34.10 เหล่าสิงโตหนุ่มยังขาดแคลนและหิวโหย แต่บรรดาผู้ที่แสวงหาพระเยโฮวาห์จะไม่ขาดของดีใดๆ
สดด 49.20 มนุษย์ซึ่งมียศศักดิ์ แต่ขาดความเข้าใจ เขาก็เหมือนสัตว์เดียรัจฉานที่พินาศ
สดด 107.14 พระองค์ทรงนำเขาออกมาจากความมืดและเงามัจจุราช และทรงระเบิดพันธนะของเขาให้ขาดสะบั้น
สภษ 6.32 แต่ผู้ใดที่ล่วงประเวณีกับผู้หญิงคนหนึ่งก็ขาดความเข้าใจ ผู้ใดที่กระทำอย่างนั้นก็ทำลายจิตใจตนเอง
สภษ 8.36 แต่ผู้ที่พลาดขาดเราก็กระทำจิตใจตัวเองให้เจ็บ บรรดาผู้ที่เกลียดชังเราก็รักความมรณา”
สภษ 10.13 ที่ริมฝีปากของผู้ที่มีความเข้าใจจะพบปัญญา แต่ไม้เรียวก็เหมาะสำหรับหลังของผู้ที่ขาดความเข้าใจ
สภษ 10.19 การพูดมากก็จะไม่ขาดความผิดบาป แต่เขาผู้ยับยั้งริมฝีปากของตนเป็นผู้ที่ฉลาด
สภษ 10.21 ริมฝีปากของคนชอบธรรมเลี้ยงคนเป็นอันมาก แต่คนโง่ตายเพราะขาดสติปัญญา
สภษ 11.12 บุคคลที่ขาดสติปัญญาย่อมเหยียดเพื่อนบ้านของตน แต่คนที่มีความเข้าใจก็ยังนิ่งอยู่
สภษ 12.9 ผู้ที่ถูกสบประมาทและมีคนรับใช้ ก็ดีกว่าคนที่ยกย่องตนเองแต่ขาดอาหาร
สภษ 12.11 บุคคลที่ไถนาของตนจะมีอาหารอุดม แต่บุคคลที่ติดตามคนไร้สาระก็ขาดความเข้าใจ
สภษ 13.23 ดินที่คนยากจนไถไว้ก็เกิดผลอุดม แต่สิ่งของถูกทำลายได้เพราะขาดความยุติธรรม
สภษ 28.16 ผู้ครอบครองที่ขาดความเข้าใจก็เป็นผู้บีบบังคับที่ดุร้าย แต่บุคคลที่เกลียดความโลภย่อมยืดปีเดือนของเขาออกไป
สภษ 31.11 จิตใจของสามีเธอก็วางใจในเธอ และสามีจะไม่ขาดกำไร
ปญจ 1.15 อะไรที่คดจะทำให้ตรงไม่ได้ และอะไรที่ขาดอยู่จะนับให้ครบไม่ได้
ปญจ 4.12 แม้คนหนึ่งสู้คนเดียวได้ สองคนจะสู้เขาได้แน่ เชือกสามเกลียวจะขาดง่ายก็หามิได้
ปญจ 6.2 คือมนุษย์คนใดที่พระเจ้าทรงประทานทรัพย์สมบัติ ความมั่งคั่งและยศฐาบรรดาศักดิ์ให้ จนสิ่งใดๆที่เขาปรารถนาสำหรับตัว จิตใจเขาก็มีครบไม่ขาดเลย แต่พระเจ้ามิได้ทรงโปรดให้เขามีอำนาจรับประทานสิ่งนั้นได้ คนนอกบ้านนอกเมืองกลับรับประทานสิ่งนั้น นี่ก็อนิจจัง และเป็นความทุกข์ใจอย่างร้ายแรง
ปญจ 9.8 จงให้เสื้อผ้าของเจ้าขาวอยู่เสมอ และน้ำมันที่ศีรษะของเจ้าก็อย่าให้ขาด
ปญจ 10.3 แม้เมื่อคนเขลากำลังเดินไปตามทาง เขาก็ขาดสำนึก และตัวเขามักแสดงแก่ทุกคนว่าตนเป็นคนเขลา
ปญจ 12.6 ก่อนที่สายเงินจะขาด หรือชามทองคำจะบรรลัย หรือเหยือกน้ำจะแตกเสียที่น้ำพุ หรือล้อจะหักเสีย ณ ที่ขังน้ำ
พซม 7.2 สะดือของเธอดุจอ่างกลมที่มิได้ขาดเหล้าองุ่นประสม ท้องของเธอดังกองข้าวสาลีที่มีดอกบัวปักไว้ล้อมรอบ
อสย 1.30 เพราะเจ้าจะเป็นเหมือนต้นโอ๊กที่ใบเหี่ยวแห้ง และเหมือนสวนที่ขาดน้ำ
อสย 5.13 เพราะฉะนั้นชนชาติของเราจึงตกไปเป็นเชลย เพราะขาดความรู้ ผู้มีเกียรติของเขาก็หิวแย่ และมวลชนของเขาก็แห้งผากไปเพราะความกระหาย
อสย 5.27 ไม่มีผู้ใดในพวกเขาจะอ่อนเปลี้ย ไม่มีผู้ใดจะสะดุด ไม่มีผู้ใดจะหลับสนิทหรือนิทรา ผ้าคาดเอวสักผืนหนึ่งก็จะไม่หลุดลุ่ย สายรัดรองเท้าก็จะไม่ขาดสักสายหนึ่ง
อสย 7.16 เพราะก่อนที่เด็กนั้นจะรู้ที่จะปฏิเสธความชั่วและเลือกความดีนั้น แผ่นดินซึ่งท่านเกลียดชังนั้น มันจะขาดกษัตริย์ทั้งสององค์
อสย 33.20 จงมองศิโยน เมืองแห่งเทศกาลของเรา ตาของท่านจะเห็นเยรูซาเล็ม เป็นที่อยู่ที่สงบ เป็นพลับพลาที่ไม่ต้องขนย้าย หลักหมุดพลับพลาจะไม่รู้จักถอนขึ้น เชือกผูกก็จะไม่รู้จักขาด
อสย 34.16 จงเสาะหาและอ่านจากหนังสือของพระเยโฮวาห์ สัตว์เหล่านี้จะไม่ขาดไปสักอย่างเดียว ไม่มีตัวใดที่จะไม่มีคู่ เพราะหนังสือนั้นได้บัญชาปากของเราแล้ว และพระวิญญาณของพระองค์ได้รวบรวมไว้
อสย 40.26 จงแหงนหน้าขึ้นดูว่า ผู้ใดสร้างสิ่งเหล่านี้ พระองค์ผู้ทรงนำบริวารออกมาตามจำนวน เรียกชื่อมันทั้งหมดโดยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ และเพราะพระองค์ทรงฤทธิ์เข้มแข็งจึงไม่ขาดไปสักดวงเดียว
อสย 45.2 “เราจะไปข้างหน้าเจ้า และปราบที่คดให้เป็นที่ตรง เราจะพังประตูทองสัมฤทธิ์ให้เป็นชิ้นๆ และตัดลูกกรงเหล็กให้ขาด
อสย 50.2 ทำไมนะ เมื่อเรามาจึงไม่มีใครเลย เมื่อเราร้องเรียกจึงไม่มีใครตอบ มือของเราสั้น ไถ่ไม่ได้หรือ และเราไม่มีกำลังที่จะช่วยให้พ้นหรือ ดูเถิด เราให้น้ำทะเลแห้งด้วยการขนาบของเรา เรากระทำให้แม่น้ำเป็นถิ่นทุรกันดาร ปลาของแม่น้ำนั้นก็เหม็นเพราะขาดน้ำ และตายเพราะกระหาย
อสย 51.14 ผู้ใดที่เป็นเชลยเร่งรีบเพื่อจะได้รับการปลดปล่อย เพื่อเขาจะไม่ตายในหลุม ทั้งอาหารของเขาจะไม่ขาด
อสย 54.11 “โอ เจ้าผู้ถูกข่มใจ ถูกพายุพัดพา และขาดการเล้าโลม ดูเถิด เราจะวางศิลาของเจ้าไว้ในพลวง และวางรากฐานของเจ้าไว้ด้วยไพทูรย์
อสย 58.11 และพระเยโฮวาห์จะนำเจ้าอยู่เป็นนิตย์ และให้จิตใจเจ้าอิ่มในฤดูแล้ง และกระทำให้กระดูกของเจ้าอ้วนพี และเจ้าจะเป็นเหมือนสวนที่มีน้ำรด เหมือนน้ำพุ ที่น้ำของมันไม่ขาด
อสย 59.15 เออ สัจจะขาดอยู่ และผู้ใดที่พรากจากความชั่วก็ทำตัวให้เป็นเหยื่อ พระเยโฮวาห์ทรงเห็น แล้วไม่เป็นที่พอพระทัยพระองค์ที่ไม่มีความยุติธรรม
ยรม 2.25 ระวังอย่าให้เท้าของเจ้าขาดรองเท้า และระวังลำคอของเจ้าให้พ้นจากความกระหาย แต่เจ้ากล่าวว่า ‘หมดหวังเสียแล้ว เพราะข้าได้รักพระอื่น และข้าจะติดตามไป’
ยรม 3.3 เพราะฉะนั้นฝนจึงได้ระงับเสีย และฝนชุกปลายฤดูจึงขาดไป แต่เจ้ามีหน้าผากของหญิงแพศยา เจ้าปฏิเสธไม่ยอมอาย
ยรม 7.34 เราจะกระทำให้เสียงรื่นเริงและเสียงยินดี เสียงของเจ้าบ่าวและเสียงของเจ้าสาว ขาดหายไปจากหัวเมืองของยูดาห์ และจากถนนหนทางแห่งกรุงเยรูซาเล็ม เพราะว่าแผ่นดินนั้นจะต้องรกร้างไป”
ยรม 10.20 เต็นท์ของข้าพเจ้าก็ถูกทำลาย และเชือกของข้าพเจ้าก็ขาดสิ้น ลูกๆของข้าพเจ้าจากข้าพเจ้าไปหมด และไม่มีเขาอีกแล้ว ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดที่จะกางเต็นท์ให้ข้าพเจ้าอีก และแขวนม่านของข้าพเจ้าให้
ยรม 16.9 เพราะพระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะกระทำให้เสียงบันเทิงและเสียงรื่นเริง เสียงเจ้าบ่าวและเสียงเจ้าสาว ขาดจากสถานที่นี้ต่อสายตาของเจ้าทั้งหลายและในวันของเจ้า
ยรม 18.18 แล้วเขากล่าวว่า “มาเถิด ให้เราปองร้ายเยเรมีย์ เพราะว่าพระราชบัญญัติจะไม่พินาศไปจากบรรดาปุโรหิต หรือคำปรึกษาย่อมไม่ขาดจากนักปราชญ์ หรือถ้อยคำไม่ขาดจากผู้พยากรณ์ มาเถิด ให้เราโจมตีเขาด้วยลิ้น และอย่าให้เราฟังคำของเขาเลย”
ยรม 18.21 เพราะฉะนั้น ขอทรงมอบลูกหลานของเขาให้แก่การกันดารอาหาร ให้โลหิตของเขาทั้งหลายไหลออกด้วยอำนาจของดาบ ให้ภรรยาของเขาทั้งหลายขาดบุตร และเป็นหญิงม่าย ขอให้ผู้ชายของเขาประสบความตาย ให้อนุชนของเขาถูกดาบตายในสงคราม
ยรม 23.4 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เราจะตั้งผู้เลี้ยงแกะไว้เหนือเขา ผู้จะเลี้ยงดูเขา และเขาทั้งหลายจะไม่กลัวอีกเลย หรือครั่นคร้าม จะไม่ขาดไปเลย”
ยรม 38.11 เอเบดเมเลคจึงเอาคนไปด้วยและไปที่พระราชวังไปยังเรือนพัสดุเพื่อเอาผ้าเก่าๆและเสื้อผ้าขาดๆ ซึ่งเขาเอาเชือกผูกหย่อนลงไปให้เยเรมีย์ที่ในคุกใต้ดิน
ยรม 41.5 มีชายแปดสิบคนมาจากเมืองเชเคมและเมืองชีโลห์และเมืองสะมาเรีย มีหนวดเคราโกนเสียและเสื้อผ้าขาด และกรีดตัวเอง นำเครื่องธัญญบูชาและกำยานมาถวายที่พระนิเวศของพระเยโฮวาห์
พคค 2.3 พระองค์ได้ทรงตัดบรรดาเขาแห่งอิสราเอลให้ขาดสิ้นไปด้วยพระพิโรธอันรุนแรงของพระองค์ พระองค์ทรงดึงพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์กลับมาเสียจากเขาต่อหน้าศัตรู และพระองค์ทรงเผาผลาญคนยาโคบดุจเพลิงลุกโพลงไหม้ไปรอบๆ
พคค 3.17 พระองค์กระทำให้จิตวิญญาณของข้าพเจ้าขาดความสงบสุข จนข้าพเจ้าลืมความมั่งคั่งว่าเป็นอะไร
พคค 4.9 คนที่ตายด้วยคมดาบยังดีกว่าคนที่ต้องอดอยากตาย เพราะคนเหล่านี้ค่อยผอมค่อยตายไป ถูกแทงทะลุเพราะขาดผลจากท้องนา
อสค 4.17 เพื่อให้ขาดขนมปังและน้ำ ให้ต่างคนต่างอกสั่นขวัญหาย และซูบผอมไปเพราะความชั่วช้าของเขาทั้งหลาย”
อสค 29.8 ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะนำดาบมาเหนือเจ้า และตัดมนุษย์และสัตว์ให้ขาดจากเจ้าเสีย
อสค 32.15 เมื่อเรากระทำให้แผ่นดินอียิปต์รกร้าง และประเทศนั้นจะขาดสิ่งที่เคยอุดมสมบูรณ์ เมื่อเราฟาดฟันคนทั้งปวงที่อาศัยอยู่ในประเทศนั้น แล้วเขาทั้งหลายจะทราบว่าเราคือพระเยโฮวาห์
ดนล 4.31 เมื่อกษัตริย์ตรัสยังไม่ทันขาดพระวาทะ ก็มีเสียงตกลงมาจากฟ้าสวรรค์ว่า “โอ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เราลั่นวาจาไว้กับเจ้าแล้วว่า ราชอาณาจักรได้พรากไปเสียจากเจ้าแล้ว
ดนล 5.27 เทเคล พระองค์ได้ถูกชั่งในตราชู ทรงเห็นว่ายังขาดอยู่
ดนล 6.2 และทรงตั้งอภิรัฐมนตรีสามคนอยู่เหนือ มีดาเนียลเป็นอภิรัฐมนตรีคนแรก เพื่อให้อุปราชรายงานติดต่อ เพื่อกษัตริย์จะมิได้ทรงขาดประโยชน์
ฮชย 4.6 ประชาชนของเราถูกทำลายเพราะขาดความรู้ เพราะเจ้าปฏิเสธไม่รับความรู้ เราก็ปฏิเสธเจ้าไม่ให้รับเป็นปุโรหิตของเรา เพราะเจ้าหลงลืมพระราชบัญญัติแห่งพระเจ้าของเจ้า เราก็จะลืมวงศ์วานของเจ้าเสียด้วย
ฮชย 9.2 แต่ลานนวดข้าวและบ่อย่ำองุ่นจะไม่พอเลี้ยงเขา และน้ำองุ่นใหม่ก็จะขาดไป
ยอล 1.13 ท่านปุโรหิตทั้งหลายเอ๋ย จงคาดเอวและโอดครวญ ท่านผู้ปรนนิบัติที่แท่นบูชา จงคร่ำครวญ ท่านผู้ปรนนิบัติพระเจ้าของข้าพเจ้า จงเข้าไปสวมผ้ากระสอบนอนค้างคืนสักคืนหนึ่ง เพราะว่าธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาได้ขาดไปเสียจากพระนิเวศแห่งพระเจ้าของท่าน
ยอล 1.16 อาหารถูกตัดออกจากเบื้องหน้าสายตาของพวกเราแล้ว เออ ความปีติและความยินดีก็ขาดไปจากพระนิเวศแห่งพระเจ้าของเราแล้ว มิใช่หรือ
อมส 4.6 “ทั่วไปทุกเมือง เราให้ฟันของเจ้าสะอาด สถานที่ทุกแห่งของเจ้าก็ขาดอาหาร เจ้าก็ยังไม่กลับมาหาเรา” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ฮบก 3.17 แม้ต้นมะเดื่อจะไม่มีดอกบาน หรือจะไม่มีผลในเถาองุ่น การตรากตรำกับต้นมะกอกเทศก็สูญเปล่า ทุ่งนาจะมิได้เกิดอาหาร ฝูงสัตว์จะขาดไปจากคอก และจะไม่มีฝูงวัวที่ในโรงนา
ศฟย 3.5 พระเยโฮวาห์ผู้ทรงดำรงอยู่ในเมืองนั้นชอบธรรม พระองค์จะมิได้ทรงกระทำความชั่วช้าเลย ทุกเช้าพระองค์สำแดงคำตัดสินของพระองค์ พระองค์มิได้ทรงขาดเลย แต่คนอธรรมไม่รู้จักอาย
ศคย 10.2 เพราะว่ารูปเคารพประจำบ้านพูดไม่ได้เรื่อง และพวกโหรก็เห็นสิ่งหลอกลวง และเล่าความฝันเท็จ และให้คำเล้าโลมที่เปล่าประโยชน์ เพราะฉะนั้นประชาชนจึงหลงไปอย่างฝูงสัตว์ เขาทุกข์ใจเพราะขาดเมษบาล
ศคย 14.18 และถ้าครอบครัวแห่งอียิปต์ ซึ่งขาดฝนแล้ว ไม่ขึ้นไปปรากฏตัวที่นั่น ก็จะบังเกิดภัยพิบัติด้วย ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงใช้โจมตีประชาชาติอื่นๆซึ่งไม่ขึ้นไปถือเทศกาลอยู่เพิง
มธ 9.16 ไม่มีผู้ใดเอาท่อนผ้าทอใหม่มาปะเสื้อเก่า เพราะว่าผ้าที่ปะเข้านั้น เมื่อหดจะทำให้เสื้อเก่าขาดกว้างออกไปอีก
มธ 9.17 และไม่มีผู้ใดเอาน้ำองุ่นใหม่มาใส่ในถุงหนังเก่า ถ้าทำอย่างนั้นถุงหนังจะขาด น้ำองุ่นจะรั่ว ทั้งถุงหนังก็จะเสียไปด้วย แต่เขาย่อมเอาน้ำองุ่นใหม่ใส่ในถุงหนังใหม่ แล้วทั้งสองอย่างก็อยู่ดีด้วยกันได้”
มธ 10.42 และผู้ใดจะเอาน้ำเย็นสักถ้วยหนึ่งให้คนเล็กน้อยเหล่านี้คนใดคนหนึ่งดื่ม เพราะนามแห่งศิษย์ของเราเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนนั้นจะขาดบำเหน็จก็หามิได้”
มธ 13.57 เขาทั้งหลายจึงหมางใจในพระองค์ ฝ่ายพระเยซูตรัสกับเขาว่า “ศาสดาพยากรณ์จะไม่ขาดความนับถือ เว้นแต่ในบ้านเมืองของตน และในครัวเรือนของตน”
มธ 17.17 พระเยซูตรัสตอบว่า “โอ คนในยุคที่ขาดความเชื่อและมีทิฐิชั่ว เราจะต้องอยู่กับท่านทั้งหลายนานเท่าใด เราจะต้องอดทนเพราะท่านไปถึงไหน จงพาเด็กนั้นมาหาเราที่นี่เถิด”
มธ 19.20 คนหนุ่มนั้นทูลพระองค์ว่า “ข้อเหล่านี้ข้าพเจ้าได้ถือรักษาไว้ทุกประการตั้งแต่เป็นเด็กหนุ่มมา ข้าพเจ้ายังขาดอะไรอีกบ้าง”
มธ 26.51 ดูเถิด มีคนหนึ่งที่อยู่กับพระเยซู ยื่นมือชักดาบออก ฟันหูผู้รับใช้คนหนึ่งของมหาปุโรหิตขาด
มธ 27.51 และดูเถิด ม่านในพระวิหารก็ขาดออกเป็นสองท่อนตั้งแต่บนตลอดล่าง แผ่นดินก็ไหว ศิลาก็แตกออกจากกัน
มก 2.21 ไม่มีผู้ใดเอาท่อนผ้าทอใหม่มาปะเสื้อเก่า ถ้าทำอย่างนั้น ท่อนผ้าทอใหม่ที่ปะเข้านั้นเมื่อหดจะทำให้เสื้อเก่าขาดกว้างออกไปอีก
มก 2.22 และไม่มีผู้ใดเอาน้ำองุ่นใหม่มาใส่ไว้ในถุงหนังเก่า ถ้าทำอย่างนั้นน้ำองุ่นใหม่จะทำให้ถุงเก่านั้นขาดไป น้ำองุ่นนั้นจะไหลออก ถุงหนังก็จะเสียไป แต่น้ำองุ่นใหม่นั้นต้องใส่ไว้ในถุงหนังใหม่”
มก 2.25 พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “พวกท่านยังไม่เคยอ่านหรือซึ่งดาวิดได้กระทำเมื่อท่านขาดอาหารและอดอยาก ทั้งท่านและพรรคพวกด้วย
มก 6.4 ฝ่ายพระเยซูตรัสกับเขาว่า “ศาสดาพยากรณ์จะไม่ขาดความนับถือเว้นแต่ในบ้านเมืองของตน ท่ามกลางญาติพี่น้องของตน และในวงศ์วานของตน”
มก 9.19 พระองค์จึงตรัสแก่คนนั้นว่า “โอ คนในยุคที่ขาดความเชื่อ เราจะต้องอยู่กับเจ้านานเท่าใด เราจะต้องอดทนกับเจ้านานเท่าใด จงพาเด็กนั้นมาหาเราเถิด”
มก 9.24 ทันใดนั้น บิดาของเด็กก็ร้องทูลด้วยน้ำตาไหลว่า “ข้าพระองค์เชื่อ พระองค์เจ้าข้า ที่ข้าพระองค์ยังขาดความเชื่อนั้น ขอพระองค์ทรงโปรดช่วยให้เชื่อเถิด”
มก 9.41 เพราะเราบอกความจริงแก่ท่านว่า ผู้ใดจะเอาน้ำถ้วยหนึ่งให้พวกท่านดื่มในนามของเรา เพราะท่านทั้งหลายเป็นฝ่ายพระคริสต์ ผู้นั้นจะขาดบำเหน็จก็หามิได้
มก 10.21 พระเยซูทรงเพ่งดูคนนั้น ก็ทรงรักเขา แล้วตรัสแก่เขาว่า “ท่านยังขาดอยู่สิ่งหนึ่ง จงไปขายบรรดาสิ่งของซึ่งท่านมีอยู่ แจกจ่ายให้คนอนาถา แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วจงแบกกางเขน และตามเรามา”
มก 14.47 คนหนึ่งในพวกเหล่านั้นที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ได้ชักดาบออกฟันผู้รับใช้คนหนึ่งของมหาปุโรหิตถูกหูของเขาขาด
มก 15.38 ขณะนั้นม่านในพระวิหารก็ขาดออกเป็นสองท่อน ตั้งแต่บนตลอดล่าง
ลก 5.6 เมื่อเขาหย่อนลงแล้ว ก็ล้อมปลาไว้เป็นอันมาก จนอวนของเขาขาด
ลก 5.36 พระองค์ยังตรัสคำอุปมาข้อหนึ่งแก่เขาด้วยว่า “ไม่มีผู้ใดฉีกท่อนผ้าจากเสื้อใหม่มาปะเสื้อเก่า ถ้าทำอย่างนั้นเสื้อใหม่นั้นจะขาดเสียไป ทั้งท่อนผ้าที่เอามาจากเสื้อใหม่นั้นก็จะไม่สมกับเสื้อเก่าด้วย
ลก 5.37 ไม่มีผู้ใดเอาน้ำองุ่นใหม่มาใส่ในถุงหนังเก่า ถ้าทำอย่างนั้นน้ำองุ่นใหม่จะทำให้ถุงหนังเก่าขาดไป และน้ำองุ่นจะรั่ว ถุงหนังก็จะเสียไปด้วย
ลก 9.41 พระเยซูตรัสตอบว่า “โอ คนในยุคที่ขาดความเชื่อและมีทิฐิชั่ว เราจะต้องอยู่กับเจ้าทั้งหลายและอดทนเพราะพวกเจ้านานเท่าใด จงพาบุตรของท่านมาที่นี่เถิด”
ลก 16.17 ฟ้าและดินจะล่วงไปก็ง่ายกว่าที่พระราชบัญญัติสักจุดหนึ่งจะขาดตกไป
ลก 18.22 เมื่อพระเยซูทรงได้ยินอย่างนั้นพระองค์ตรัสแก่เขาว่า “ท่านยังขาดสิ่งหนึ่ง จงไปขายบรรดาสิ่งของซึ่งท่านมีอยู่และแจกจ่ายให้คนอนาถา ท่านจึงจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วจงตามเรามา”
ลก 22.32 แต่เราได้อธิษฐานเผื่อตัวท่าน เพื่อความเชื่อของท่านจะไม่ได้ขาด และเมื่อท่านได้หันกลับแล้ว จงชูกำลังพี่น้องทั้งหลายของท่าน”
ลก 22.35 พระองค์จึงตรัสถามเหล่าสาวกว่า “เมื่อเราได้ใช้ท่านทั้งหลายออกไปโดยไม่มีถุงเงิน ไม่มีย่าม ไม่มีรองเท้านั้น ท่านขัดสนสิ่งใดบ้างหรือ” เขาทั้งหลายทูลตอบว่า “ไม่ขาดสิ่งใดเลย”
ลก 22.50 และมีคนหนึ่งในเหล่าสาวก ได้ฟันผู้รับใช้คนหนึ่งของมหาปุโรหิต ถูกหูข้างขวาของเขาขาด
ลก 23.45 ดวงอาทิตย์ก็มืดไป ม่านในพระวิหารก็ขาดตรงกลาง
ยน 18.10 ซีโมนเปโตรมีดาบ จึงชักออกและฟันผู้รับใช้คนหนึ่งของมหาปุโรหิต ถูกหูข้างขวาขาดไป ชื่อของผู้รับใช้คนนั้นคือมัลคัส
ยน 18.26 ผู้รับใช้คนหนึ่งของมหาปุโรหิตซึ่งเป็นญาติกับคนที่เปโตรฟันหูขาดก็กล่าวขึ้นว่า “ข้าเห็นเจ้ากับท่านผู้นั้นในสวนไม่ใช่หรือ”
ยน 20.27 แล้วพระองค์ตรัสกับโธมัสว่า “จงยื่นนิ้วมาที่นี่และดูมือของเรา จงยื่นมือออกคลำที่สีข้างของเรา อย่าขาดความเชื่อเลย แต่จงเชื่อเถิด”
ยน 21.11 ซีโมนเปโตรจึงไปลากอวนขึ้นฝั่ง อวนติดปลาใหญ่เต็ม มีหนึ่งร้อยห้าสิบสามตัว และถึงมากอย่างนั้นอวนก็ไม่ขาด
กจ 4.13 เมื่อเขาเห็นความกล้าหาญของเปโตรกับยอห์น และรู้ว่าท่านทั้งสองขาดการศึกษาและเป็นคนมีความรู้น้อยก็ประหลาดใจ แล้วสำนึกว่าคนทั้งสองเคยอยู่กับพระเยซู
กจ 5.42 ที่ในพระวิหารและตามบ้านเรือน เขาได้สั่งสอนและประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ทุกๆวันมิได้ขาด
กจ 14.17 แต่พระองค์มิได้ทรงให้ขาดพยาน คือพระองค์ได้ทรงกระทำคุณให้ฝนตกจากฟ้าและให้มีฤดูเกิดผล เราทั้งหลายจึงอิ่มใจด้วยอาหารและความยินดี”
รม 5.6 ขณะเมื่อเรายังขาดกำลัง พระคริสต์ก็ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อช่วยคนอธรรมในเวลาที่เหมาะสม
รม 8.35 แล้วใครจะให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระคริสต์ได้เล่า จะเป็นความยากลำบาก หรือความทุกข์ หรือการข่มเหง หรือการกันดารอาหาร หรือการเปลือยกาย หรือการถูกโพยภัย หรือการถูกคมดาบหรือ
รม 8.39 หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งอื่นใดๆที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถกระทำให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้
รม 9.2 ว่า ข้าพเจ้ามีความทุกข์หนักและเสียใจเสมอมิได้ขาด
1คร 1.7 เพื่อว่าท่านทั้งหลายจึงมิได้ขาดของประทานเลย ในขณะที่ท่านรอคอยการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
1คร 3.15 ถ้าการงานของผู้ใดถูกเผาไหม้ไป ผู้นั้นก็จะขาดค่าตอบแทนแต่ตัวเขาเองจะรอด แต่เหมือนดังรอดจากไฟ
1คร 8.8 อาหารไม่เป็นเครื่องที่ทำให้พระเจ้าทรงโปรดปรานเรา ถ้าเรากิน เราก็ไม่ได้อะไรเป็นพิเศษ ถ้าเราไม่กิน เราก็ไม่ขาดอะไร
1คร 12.22 แต่ยิ่งกว่านี้อวัยวะของร่างกายที่เราเห็นว่าอ่อนแอ เราก็ขาดเสียไม่ได้
1คร 16.17 ที่สเทฟานัส และฟอร์ทูนาทัส และอาคายคัสมาแล้วนั้น ข้าพเจ้าก็ชื่นชมยินดี เพราะว่าสิ่งซึ่งท่านทั้งหลายขาดนั้น เขาเหล่านั้นได้มาทำให้ครบ
2คร 8.15 ตามที่มีเขียนไว้ว่า ‘คนที่เก็บได้มากก็ไม่มีเหลือ และคนที่เก็บได้น้อยก็หาขาดไม่’
กท 3.17 แต่ข้าพเจ้าว่าอย่างนี้ว่า พระราชบัญญัติซึ่งมาภายหลังถึงสี่ร้อยสามสิบปี จะทำลายพันธสัญญาซึ่งพระเจ้าได้ทรงตั้งไว้ในพระคริสต์เมื่อก่อนนั้น ให้พระสัญญานั้นขาดจากประโยชน์ไม่ได้
อฟ 2.12 จงระลึกว่า ครั้งนั้นท่านทั้งหลายเป็นคนอยู่นอกพระคริสต์ ขาดจากการเป็นพลเมืองอิสราเอลและไม่มีส่วนในบรรดาพันธสัญญาซึ่งทรงสัญญาไว้นั้น ไม่มีที่หวัง และอยู่ในโลกปราศจากพระเจ้า
คส 1.24 บัดนี้ข้าพเจ้ามีความยินดีในการที่ได้รับความทุกข์ยากเพื่อท่าน ส่วนการทนทุกข์ของพระคริสต์ที่ยังขาดอยู่นั้น ข้าพเจ้าก็รับทนจนสำเร็จในเนื้อหนังของข้าพเจ้าเพราะเห็นแก่พระกายของพระองค์คือคริสตจักร
1ธส 4.12 เพื่อท่านจะได้ดำเนินชีวิตตามอย่างที่สมควรต่อหน้าคนเหล่านั้นที่อยู่ภายนอก และเพื่อท่านจะไม่ขาดสิ่งใดเลย
ทต 3.13 ท่านจงอุตส่าห์ส่งเศนาสผู้เป็นทนายความกับอปอลโลไปตามทางของเขา อย่าให้เขาขาดสิ่งใด
ฮบ 7.18 ด้วยว่าจริงๆแล้วพระบัญญัติที่มีอยู่เดิมนั้น ก็ได้ยกเลิกไป เพราะขาดฤทธิ์และไร้ประโยชน์
ยก 1.4 และจงให้ความเพียรนั้นกระทำการจนสำเร็จ เพื่อท่านทั้งหลายจะสมบูรณ์ครบถ้วนไม่ขาดสิ่งใดเลย
ยก 1.5 ถ้าผู้ใดในพวกท่านขาดสติปัญญา ก็ให้ผู้นั้นทูลขอจากพระเจ้า ผู้ทรงโปรดประทานให้แก่คนทั้งปวงอย่างเหลือล้นและมิได้ทรงตำหนิ และจะทรงประทานให้แก่ผู้นั้น
2ปต 1.9 เพราะว่าผู้ใดที่ขาดสิ่งเหล่านี้ก็เป็นคนตาบอดตาสั้น และลืมไปว่าตนได้รับการชำระจากความผิดบาปเมื่อก่อนนั้นเสียแล้ว

ขาดคำ ( 7 )
ปฐก 24.45 เมื่อข้าพเจ้าอธิษฐานในใจไม่ทันขาดคำ ดูเถิด นางเรเบคาห์แบกไหน้ำของนางเดินออกมา นางลงไปตักน้ำที่บ่อน้ำ ข้าพเจ้าพูดกับนางว่า ‘ขอน้ำให้ข้าพเจ้าดื่มหน่อย’
มธ 17.5 เปโตรทูลยังไม่ทันขาดคำ ดูเถิด ก็บังเกิดมีเมฆสุกใสมาปกคลุมเขาไว้ แล้วดูเถิด มีพระสุรเสียงออกมาจากเมฆนั้นว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านผู้นี้มาก จงฟังท่านเถิด”
มธ 26.47 พระองค์ตรัสยังไม่ทันขาดคำ ดูเถิด ยูดาส คนหนึ่งในเหล่าสาวกสิบสองคนนั้น ได้เข้ามา และมีประชาชนเป็นอันมากถือดาบ ถือไม้ตะบอง มาจากพวกปุโรหิตใหญ่และพวกผู้ใหญ่แห่งประชาชน
มก 5.35 เมื่อพระองค์ตรัสยังไม่ทันขาดคำ มีบางคนได้มาจากบ้านนายธรรมศาลาบอกว่า “ลูกสาวของท่านตายเสียแล้ว ยังจะรบกวนอาจารย์ทำไมอีกเล่า”
มก 14.43 พระองค์ตรัสยังไม่ทันขาดคำ ในทันใดนั้นยูดาสซึ่งเป็นคนหนึ่งในเหล่าสาวกสิบสองคนนั้น กับหมู่ชนเป็นอันมาก ถือดาบถือไม้ตะบอง ได้มาจากพวกปุโรหิตใหญ่ พวกธรรมาจารย์ และพวกผู้ใหญ่
ลก 22.47 พระองค์ตรัสยังไม่ทันขาดคำ ดูเถิด มีคนเป็นอันมาก และผู้ที่ชื่อว่า ยูดาส เป็นคนหนึ่งในสาวกสิบสองคนนำหน้าเขามา ยูดาสเข้ามาใกล้พระเยซูเพื่อจุบพระองค์
ลก 22.60 แต่เปโตรพูดว่า “พ่อเอ๋ย ที่ท่านว่านั้นข้าไม่รู้เรื่อง” เมื่อเปโตรกำลังพูดยังไม่ทันขาดคำ ในทันใดนั้นไก่ก็ขัน

ขาดแคลน ( 4 )
สดด 34.9 โอ ท่านวิสุทธิชนทั้งหลายของพระองค์ จงยำเกรงพระเยโฮวาห์ เพราะผู้ที่ยำเกรงพระองค์ไม่ขาดแคลน
สดด 34.10 เหล่าสิงโตหนุ่มยังขาดแคลนและหิวโหย แต่บรรดาผู้ที่แสวงหาพระเยโฮวาห์จะไม่ขาดของดีใดๆ
2คร 11.9 และเมื่อข้าพเจ้าอยู่กับพวกท่านและกำลังขาดแคลนนั้น ข้าพเจ้าก็มิได้เป็นภาระแก่ผู้ใด เพราะว่า พี่น้องที่มาจากแคว้นมาซิโดเนียได้เจือจานให้พอแก่ความต้องการของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าระวังตัวไม่ให้เป็นภาระแก่พวกท่านในทางหนึ่งทางใดทุกประการ และข้าพเจ้าจะระวังตัวเช่นนั้นต่อไป
ยก 2.15 ถ้าพี่น้องชายหญิงคนใดเปลือยเปล่าและขาดแคลนอาหารประจำวัน

ขาดใจ ( 2 )
โยบ 3.11 ทำไมข้าไม่ตายเสียแต่กำเนิด ทำไมข้าไม่ขาดใจเสียเมื่อข้าออกมาจากครรภ์แล้วก็สิ้นไป
ยรม 4.31 เพราะเราได้ยินเสียงเหมือนเสียงหญิงคลอดบุตรร้องแสนเจ็บปวดอย่างกับจะคลอดบุตรหัวปี เสียงร้องแห่งบุตรสาวศิโยนนั้น แทบจะขาดใจ เหยียดมือของเธอออกร้องว่า ‘วิบัติแก่ข้าในบัดนี้ จิตใจข้าอ่อนเปลี้ยอยู่เพราะเหตุพวกฆาตกร’”

ขาดตกบกพร่อง ( 1 )
อสร 4.13 บัดนี้ขอกษัตริย์ทรงทราบว่า ถ้าเมืองนี้ได้สร้างขึ้นใหม่และกำแพงเมืองเสร็จแล้ว เขาจะไม่ส่งบรรณาการ ค่าธรรมเนียม หรือค่าภาษี และเงินรายได้ของหลวงก็จะขาดตกบกพร่องไป

ขาดมือ ( 1 )
ยอล 1.10 นาก็ร้าง พื้นดินก็เศร้าโศก เพราะข้าวถูกทำลายเสีย น้ำองุ่นใหม่ก็แห้งไปหมด น้ำมันก็ขาดมือไป

ขาดวิ่น ( 4 )
พบญ 8.4 ในเวลาสี่สิบปีนั้น เสื้อผ้าของท่านก็ไม่ขาดวิ่น และเท้าของท่านก็ไม่บวม
พบญ 29.5 ‘เราได้นำเจ้าอยู่ในถิ่นทุรกันดารสี่สิบปี เสื้อผ้าของเจ้ามิได้ขาดวิ่นไปจากเจ้า และรองเท้ามิได้ขาดหลุดไปจากเท้าของเจ้า
นหม 9.21 เออ พระองค์ทรงชุบเลี้ยงเขาทั้งหลายในถิ่นทุรกันดารสี่สิบปี และเขามิได้ขาดสิ่งใดเลย เสื้อผ้าของเขาไม่ขาดวิ่น และเท้าของเขามิได้บวม
โยบ 26.8 พระองค์ทรงมัดน้ำไว้ในเมฆทึบของพระองค์ และเมฆนั้นก็ไม่ขาดวิ่นไป

ขาตั้ง ( 1 )
ยรม 27.19 เพราะพระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้เกี่ยวกับบรรดาเสา ขันสาคร และขาตั้ง และเครื่องใช้อื่นๆที่เหลืออยู่ในเมืองนี้

ข้าแต่ ( 59 )
2ซมอ 7.18 แล้วกษัตริย์ดาวิดจึงเสด็จเข้าไปนั่งเฝ้าพระเยโฮวาห์ และกราบทูลว่า “โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า ข้าพระองค์เป็นผู้ใดเล่า และวงศ์วานของข้าพระองค์เป็นผู้ใดพระองค์จึงทรงนำข้าพระองค์มาไกลถึงแค่นี้
2ซมอ 13.4 จึงทูลถามว่า “ข้าแต่ราชโอรสของกษัตริย์ ไฉนทูลกระหม่อมจึงซมเซาอยู่ทุกเช้าๆ จะไม่บอกให้เกล้าฯทราบบ้างหรือ” อัมโนนตอบเขาว่า “เรารักทามาร์น้องหญิงของอับซาโลมอนุชาของเรา”
2ซมอ 14.12 แล้วหญิงนั้นกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ ขอสาวใช้ของพระองค์กราบทูลอีกสักคำหนึ่งแก่กษัตริย์เจ้านายของหม่อมฉัน” พระองค์ตรัสว่า “พูดไป”
1พกษ 8.23 และทูลว่า “ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ไม่มีพระเจ้าองค์ใดเหมือนพระองค์ ในฟ้าสวรรค์เบื้องบน หรือที่แผ่นดินเบื้องล่าง ผู้ทรงรักษาพันธสัญญา และทรงสำแดงความเมตตาแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ ซึ่งดำเนินอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ด้วยสิ้นสุดใจของเขา
1พกษ 17.20 และท่านร้องทูลพระเยโฮวาห์ว่า “โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ พระองค์ทรงนำเหตุร้ายมาจนกระทั่งหญิงม่ายนี้ที่ข้าพระองค์อาศัยอยู่ด้วยทีเดียวหรือ โดยที่ทรงประหารบุตรชายของนางเสีย”
2พกษ 1.9 แล้วกษัตริย์ก็รับสั่งให้นายกองของทหารห้าสิบคนพร้อมกับทหารห้าสิบคนของเขาไปหาเอลียาห์ เขาได้ขึ้นไปหาท่าน ดูเถิด ท่านนั่งอยู่บนยอดภูเขา และนายกองห้าสิบคนนั้นกล่าวแก่ท่านว่า “ข้าแต่คนแห่งพระเจ้า กษัตริย์ตรัสดังนี้ว่า ‘ลงมา’”
2พกษ 1.11 พระองค์ก็รับสั่งให้นายกองของทหารห้าสิบคนพร้อมกับทหารห้าสิบคนของเขาอีกพวกหนึ่งไป และเขาก็กล่าวแก่ท่านว่า “โอ ข้าแต่คนแห่งพระเจ้า กษัตริย์ตรัสดังนี้ว่า ‘ลงมาเร็วๆ’”
2พกษ 4.40 เขาก็เทออกให้คนเหล่านั้นรับประทาน ต่อมาขณะที่เขากำลังรับประทานข้าวต้มอยู่นั้น เขาร้องขึ้นว่า “โอ ข้าแต่คนแห่งพระเจ้า มีความตายอยู่ในหม้อนี้” และเขาก็รับประทานกันไม่ได้
2พกษ 6.12 ข้าราชการคนหนึ่งของพระองค์ทูลว่า “โอ ข้าแต่กษัตริย์ เจ้านายของข้าพระองค์ ไม่มีผู้ใดพระเจ้าข้า แต่เอลีชาผู้พยากรณ์ซึ่งอยู่ในอิสราเอลทูลบรรดาถ้อยคำซึ่งพระองค์ตรัสในห้องบรรทมของพระองค์แก่กษัตริย์แห่งอิสราเอล”
2พกษ 9.5 และเมื่อเขามาถึง ดูเถิด บรรดาผู้บังคับบัญชาทหารกำลังประชุมกันอยู่ และเขากล่าวว่า “โอ ข้าแต่ท่านผู้บัญชาการ ข้าพเจ้ามีธุระด่วนมาถึงท่าน” และเยฮูพูดว่า “มาหาคนใดในพวกเรา” และเขาว่า “โอ ข้าแต่ท่านผู้บัญชาการ มาหาท่าน”
1พศด 16.35 และท่านจงกล่าวว่า ‘โอ ข้าแต่พระเจ้าแห่งความรอดของข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอจงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้รอด และขอทรงรวบรวมข้าพระองค์ทั้งหลาย และทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งปวงให้พ้นจากประชาชาติทั้งหลาย เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะโมทนาขอบพระคุณพระนามอันบริสุทธิ์ของพระองค์ และลิงโลดในการสรรเสริญพระองค์’
1พศด 17.16 แล้วกษัตริย์ดาวิดก็เสด็จเข้าไปประทับนั่งต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ และกราบทูลว่า “โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้า ข้าพระองค์เป็นผู้ใดเล่า และราชวงศ์ของข้าพระองค์เป็นอะไรเล่าที่พระองค์ทรงนำข้าพระองค์มาไกลจนถึงแค่นี้
โยบ 19.21 โอ ข้าแต่ท่าน สหายของข้า สงสารข้าเถิด สงสารข้าเถิด เพราะพระหัตถ์ของพระเจ้าได้แตะต้องข้า
สดด 5.1 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงเงี่ยพระกรรณสดับถ้อยคำของข้าพระองค์ ขอทรงพิจารณาเสียงคร่ำครวญของข้าพระองค์
สดด 6.2 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงพระกรุณาแก่ข้าพระองค์เพราะข้าพระองค์อ่อนระโหยโรยแรง โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงรักษาข้าพระองค์เพราะกระดูกของข้าพระองค์ทุกข์ยากลำบากนัก
สดด 10.17 ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระองค์ทรงสดับความปรารถนาของคนที่ถ่อมตัวลง จะทรงเสริมกำลังใจเขา และพระองค์จะทรงเงี่ยพระกรรณสดับถ้อยคำของเขา
สดด 12.7 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระองค์จะทรงป้องกันพวกเขาทั้งหลาย พระองค์จะทรงปกปักรักษาพวกเขาไว้เสมอจากพงศ์พันธุ์นี้
สดด 19.14 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ กำลังของข้าพระองค์และพระผู้ไถ่ของข้าพระองค์ ขอให้ถ้อยคำจากปากของข้าพระองค์ และการรำพึงในจิตใจเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์เถิด
สดด 27.8 พระองค์ตรัสแล้วว่า “จงหาหน้าของเรา” จิตใจของข้าพระองค์ทูลพระองค์ว่า “ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ข้าพระองค์จะแสวงหาพระพักตร์ของพระองค์”
สดด 29.1 โอ ข้าแต่เทวชีพทั้งหลาย จงถวายแด่พระเยโฮวาห์เถิด จงถวายสง่าราศีและพระกำลังแด่พระเยโฮวาห์
สดด 32.11 ข้าแต่คนชอบธรรม จงยินดีในพระเยโฮวาห์ และเปรมปรีดิ์ บรรดาท่านผู้มีใจเที่ยงตรงจงโห่ร้องเถิด
สดด 33.1 โอ ข้าแต่ท่านผู้ชอบธรรม จงเปรมปรีดิ์ในพระเยโฮวาห์ การสรรเสริญนั้นควรแก่คนเที่ยงธรรม
สดด 35.17 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะนิ่งทอดพระเนตรอีกนานเท่าใด ขอทรงช่วยจิตวิญญาณข้าพระองค์ให้พ้นจากการร้ายกาจของเขา ช่วยชีวิตข้าพระองค์จากหมู่สิงโต
สดด 39.4 “ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอให้ข้าพระองค์ทราบถึงบั้นปลายของข้าพระองค์ และวันเวลาของข้าพระองค์จะนานสักเท่าใด เพื่อข้าพระองค์จะทราบว่าข้าพระองค์อ่อนแอแค่ไหน
สดด 43.4 แล้วข้าพระองค์จะไปยังแท่นบูชาของพระเจ้า ถึงพระเจ้าซึ่งเป็นความชื่นบานยอดยิ่งของข้าพระองค์ โอ ข้าแต่พระเจ้า พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะถวายเพลงสดุดีแก่พระองค์ด้วยพิณเขาคู่
สดด 54.6 ข้าพระองค์จะถวายสัตวบูชาตามใจสมัครแก่พระองค์ โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระนามของพระองค์ เพราะพระนามนั้นประเสริฐ
สดด 59.11 โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระโล่ของข้าพระองค์ทั้งหลาย ขออย่าทรงสังหารเขาเสีย เกรงว่าชนชาติของข้าพระองค์จะลืม ขอให้เขาระหกระเหินไปด้วยฤทธานุภาพของพระองค์และทำให้เขาล้มลง
สดด 63.1 โอ ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์แสวงหาพระองค์แต่เช้า จิตวิญญาณของข้าพระองค์กระหายหาพระองค์ เนื้อหนังของข้าพระองค์กระเสือกกระสนหาพระองค์ในดินแดนที่แห้งและกระหายน้ำ ที่ที่ไม่มีน้ำ
สดด 65.1 โอ ข้าแต่พระเจ้า ในศิโยนการสรรเสริญคอยท่าพระองค์ เขาจะทำตามคำปฏิญาณแก่พระองค์
สดด 68.9 โอ ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงส่งฝนอันอุดมลงมา เมื่อมรดกของพระองค์อ่อนระโหย พระองค์ทรงฟื้นขึ้นใหม่
สดด 74.18 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงระลึกข้อนี้ว่า ศัตรูเยาะเย้ยอย่างไร และชนชาติโง่ได้หมิ่นประมาทพระนามของพระองค์อย่างไร
สดด 79.1 โอ ข้าแต่พระเจ้า พวกต่างชาติได้เข้าในมรดกของพระองค์ เขาได้ทำให้พระวิหารบริสุทธิ์ของพระองค์มีมลทิน เขาได้ทำให้เยรูซาเล็มเป็นที่ปรักหักพัง
สดด 79.12 โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงตอบแทนการที่เขาได้เย้ยหยันต่อพระองค์ สักเจ็ดเท่า ณ ทรวงอกเพื่อนบ้านของข้าพระองค์
สดด 83.16 ทรงให้หน้าของเขาเต็มไปด้วยความอาย โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ เพื่อเขาจะได้แสวงหาพระนามของพระองค์
สดด 94.3 ข้าแต่พระเยโฮวาห์ คนชั่วจะนานเท่าใด คนชั่วจะลิงโลดอยู่นานเท่าใด
สดด 108.11 โอ ข้าแต่พระเจ้า พระองค์มิได้ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ทั้งหลายแล้วหรือ โอ ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ไม่ทรงออกไปกับกองทัพของข้าพระองค์ทั้งหลายแล้วละ
สดด 119.33 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงสอนทางกฎเกณฑ์ของพระองค์แก่ข้าพระองค์ และข้าพระองค์จะรักษาทางนั้นไว้จนสุดปลาย
สดด 119.52 ข้าพระองค์ระลึกถึงคำตัดสินของพระองค์แต่โบราณกาล โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ข้าพระองค์ได้รับความเล้าโลมใจ
สดด 119.151 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ แต่พระองค์ทรงสถิตใกล้ และพระบัญญัติทั้งสิ้นของพระองค์ก็จริง
อสย 21.8 แล้วผู้เห็นได้ร้องว่า “พวกเขามาดุจสิงโต ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ยืนอยู่บนหอคอยตลอดไปในกลางวัน ข้าพระองค์ประจำอยู่ที่ตำแหน่งของข้าพระองค์ตลอดหลายคืน
อสย 26.11 ข้าแต่พระเยโฮวาห์ เมื่อพระหัตถ์ของพระองค์ชูขึ้น เขาก็จะมองไม่เห็น แต่เขาจะมองเห็น และจะได้อับอาย เพราะเขามีความอิจฉาต่อชนชาติของพระองค์ เอย ไฟแห่งส่วนปฏิปักษ์ของพระองค์จะเผาผลาญเขาเสีย
ยรม 4.10 แล้วข้าพเจ้าจึงทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า พระองค์ทรงล่อลวงชนชาตินี้ และกรุงเยรูซาเล็มแน่นอนทีเดียวว่า ‘เจ้าทั้งหลายจะอยู่เย็นเป็นสุข’ แต่ที่จริงดาบได้มาถึงชีวิตของเขาทั้งหลาย”
ยรม 14.9 ไฉนพระองค์จะทรงเป็นเหมือนชายที่งันงง หรือเหมือนคนที่มีกำลังมากแต่ช่วยใครให้รอดไม่ได้ โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ แม้กระนั้นก็ดีพระองค์ทรงสถิตท่ามกลางข้าพระองค์ทั้งหลาย คนเขาเรียกพวกข้าพระองค์โดยพระนามของพระองค์ ขออย่าทรงละข้าพระองค์ทั้งหลายไว้เสีย”
ยรม 51.62 และท่านจงกล่าวว่า ‘โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระองค์ได้ตรัสต่อสู้กับสถานที่นี้ว่า จะทรงตัดออกเสีย เพื่อว่าจะไม่มีอะไรเหลืออยู่ในนั้นเลย ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ แต่จะเป็นที่รกร้างเป็นนิตย์’
ดนล 5.10 ด้วยเหตุพระวาทะของกษัตริย์และเจ้านายทั้งหลาย พระราชินีก็เสด็จเข้ามาในท้องพระโรงการเลี้ยง และพระราชินีทรงมีพระเสาวนีย์ว่า “โอ ข้าแต่กษัตริย์ ขอทรงพระเจริญเป็นนิตย์ ขอพระองค์อย่าได้ตกพระทัย หรือให้สีพระพักตร์ของพระองค์เปลี่ยนไป
ดนล 5.18 โอ ข้าแต่กษัตริย์ พระเจ้าสูงสุดได้ทรงประทานพระราชอาณาจักร ความยิ่งใหญ่และสง่าราศี และเกียรติยศแด่เนบูคัดเนสซาร์ราชบิดาของพระองค์
ดนล 9.4 ข้าพเจ้าได้อธิษฐานต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้าและสารภาพว่า “โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งและที่น่าสะพรึงกลัว ผู้ทรงรักษาพันธสัญญาและความเมตตาต่อผู้ที่รักพระองค์และรักษาพระบัญญัติของพระองค์
ดนล 9.19 โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงฟัง โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงให้อภัย โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงใส่พระทัยและทรงกระทำ ขออย่าเนิ่นช้าเลยพระเจ้าค่ะ เพื่อเห็นแก่พระนามของพระองค์ โอ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ เพราะว่านครของพระองค์ และประชาชนของพระองค์ก็มีชื่อตามพระนามของพระองค์”
ลก 8.28 ครั้นเห็นพระเยซูเขาก็โห่ร้อง และกราบลงตรงพระพักตร์พระองค์ ร้องเสียงดังว่า “ข้าแต่พระเยซูบุตรของพระเจ้าสูงสุด ข้าพระองค์เกี่ยวข้องอะไรกับท่านเล่า ขอพระองค์อย่าทรมานข้าพระองค์”
ลก 23.34 ฝ่ายพระเยซูจึงทรงอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระบิดา ขอโปรดอภัยโทษเขา เพราะว่าเขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไร” เขาก็เอาฉลองพระองค์จับสลากแบ่งปันกัน
กจ 1.1 โอ ข้าแต่ท่านเธโอฟีลัส ในหนังสือเรื่องแรกนั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้วถึงบรรดาการซึ่งพระเยซูได้ทรงตั้งต้นกระทำและสั่งสอน
กจ 26.7 พวกข้าพระองค์สิบสองตระกูลได้อุตส่าห์ปรนนิบัติพระเจ้าทั้งกลางวันกลางคืน ด้วยหวังใจว่าจะบรรลุถึงความสำเร็จตามพระสัญญานั้น ข้าแต่กษัตริย์อากริปปา เพราะความหวังใจอันนี้พวกยิวจึงฟ้องข้าพระองค์
วว 16.5 และข้าพเจ้าได้ยินทูตสวรรค์แห่งน้ำร้องว่า “โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ดำรงอยู่บัดนี้ และผู้ได้ทรงดำรงอยู่ในกาลก่อน และผู้จะทรงดำรงอยู่ในอนาคต พระองค์ทรงเป็นผู้ชอบธรรม เพราะพระองค์ทรงพิพากษาอย่างนั้น

ขาน ( 2 )
ดนล 9.18 โอ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอทรงเงี่ยพระกรรณสดับฟัง ขอทรงลืมพระเนตรดูความรกร้างของข้าพระองค์ทั้งหลาย ทั้งนครซึ่งเรียกขานกันตามพระนามของพระองค์ เพราะว่าข้าพระองค์ทั้งหลายมิได้ถวายคำวิงวอนต่อพระพักตร์พระองค์ โดยอาศัยความชอบธรรมของข้าพระองค์ทั้งหลาย แต่โดยอาศัยพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระองค์
มธ 26.3 ครั้งนั้นพวกปุโรหิตใหญ่ พวกธรรมาจารย์ และพวกผู้ใหญ่ของประชาชนได้ประชุมกันที่คฤหาสน์ของมหาปุโรหิต ผู้ซึ่งเรียกขานกันว่า คายาฟาส

ขานตอบ ( 2 )
พซม 5.6 ดิฉันเปิดประตูให้ที่รักของดิฉัน แต่ที่รักของดิฉันกลับไปเสียแล้ว เมื่อเขาพูด จิตใจดิฉันมัวตกตะลึง ดิฉันแสวงหาเขา แต่ดิฉันหาเขาไม่พบ ดิฉันร้องเรียกเขา แต่เขามิได้ขานตอบ
ยรม 35.17 เหตุฉะนี้พระเยโฮวาห์พระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะนำความร้ายทั้งสิ้นซึ่งเราประกาศไว้มาเหนือยูดาห์ และบรรดาชาวกรุงเยรูซาเล็ม เพราะว่าเราพูดกับเขาทั้งหลายและเขาก็ไม่ฟัง เราได้เรียกเขาและเขาไม่ขานตอบ”

ขาประจำ ( 1 )
อสค 27.21 เมืองอาระเบียและเจ้านายทั้งหลายของเมืองเคดาร์ เป็นพ่อค้าขาประจำในเรื่องลูกแกะ แกะผู้ แพะ เขาไปมาค้าขายกับเจ้าในเรื่องเหล่านี้

ข้าพเจ้า ( 4884 )
ปฐก 4.1; ปฐก 4.25; ปฐก 12.11; ปฐก 12.12; ปฐก 12.13; ปฐก 14.22; ปฐก 14.23; ปฐก 14.24; ปฐก 16.2; ปฐก 16.5; ปฐก 18.3; ปฐก 18.4; ปฐก 18.5; ปฐก 18.12; ปฐก 18.13; ปฐก 19.2; ปฐก 19.7; ปฐก 19.8; ปฐก 19.18; ปฐก 19.19; ปฐก 19.20; ปฐก 20.2; ปฐก 20.5; ปฐก 20.13; ปฐก 21.6; ปฐก 21.7; ปฐก 21.10; ปฐก 21.24; ปฐก 23.4; ปฐก 23.8; ปฐก 23.9; ปฐก 23.11; ปฐก 23.13; ปฐก 23.15; ปฐก 24.5; ปฐก 24.14; ปฐก 24.17; ปฐก 24.19; ปฐก 24.23; ปฐก 24.24; ปฐก 24.30; ปฐก 24.31; ปฐก 24.33; ปฐก 24.34; ปฐก 24.35; ปฐก 24.36; ปฐก 24.37; ปฐก 24.39; ปฐก 24.40; ปฐก 24.42; ปฐก 24.43; ปฐก 24.44; ปฐก 24.45; ปฐก 24.46; ปฐก 24.47; ปฐก 24.48; ปฐก 24.49; ปฐก 24.54; ปฐก 24.56; ปฐก 24.58; ปฐก 24.65; ปฐก 25.22; ปฐก 25.31; ปฐก 25.33; ปฐก 26.7; ปฐก 26.27; ปฐก 27.1; ปฐก 27.11; ปฐก 27.12; ปฐก 27.32; ปฐก 27.34; ปฐก 27.36; ปฐก 27.46; ปฐก 29.18; ปฐก 29.21; ปฐก 29.25; ปฐก 29.32; ปฐก 29.33; ปฐก 29.34; ปฐก 29.35; ปฐก 30.1; ปฐก 30.3; ปฐก 30.6; ปฐก 30.8; ปฐก 30.13; ปฐก 30.18; ปฐก 30.20; ปฐก 30.23; ปฐก 30.24; ปฐก 30.25; ปฐก 30.26; ปฐก 30.29; ปฐก 30.30; ปฐก 30.31; ปฐก 30.32; ปฐก 30.33; ปฐก 31.5; ปฐก 31.6; ปฐก 31.7; ปฐก 31.9; ปฐก 31.10; ปฐก 31.11; ปฐก 31.31; ปฐก 31.32; ปฐก 31.35; ปฐก 31.36; ปฐก 31.37; ปฐก 31.38; ปฐก 31.39; ปฐก 31.40; ปฐก 31.41; ปฐก 31.42; ปฐก 32.4; ปฐก 32.5; ปฐก 32.6; ปฐก 32.18; ปฐก 32.26; ปฐก 32.27; ปฐก 32.29; ปฐก 32.30; ปฐก 33.5; ปฐก 33.8; ปฐก 33.10; ปฐก 33.11; ปฐก 33.13; ปฐก 33.14; ปฐก 33.15; ปฐก 34.4; ปฐก 34.11; ปฐก 34.12; ปฐก 37.6; ปฐก 37.7; ปฐก 37.9; ปฐก 37.13; ปฐก 37.16; ปฐก 37.30; ปฐก 38.16; ปฐก 38.22; ปฐก 38.25; ปฐก 39.8; ปฐก 39.9; ปฐก 39.17; ปฐก 39.18; ปฐก 39.19; ปฐก 40.8; ปฐก 40.14; ปฐก 40.15; ปฐก 41.51; ปฐก 41.52; ปฐก 42.10; ปฐก 42.11; ปฐก 42.13; ปฐก 42.28; ปฐก 42.30; ปฐก 42.31; ปฐก 42.32; ปฐก 43.8; ปฐก 43.20; ปฐก 43.21; ปฐก 43.22; ปฐก 43.28; ปฐก 44.7; ปฐก 44.8; ปฐก 44.9; ปฐก 44.16; ปฐก 44.18; ปฐก 44.19; ปฐก 44.20; ปฐก 44.21; ปฐก 44.22; ปฐก 44.23; ปฐก 44.24; ปฐก 44.25; ปฐก 44.26; ปฐก 44.27; ปฐก 44.30; ปฐก 44.31; ปฐก 44.32; ปฐก 44.33; ปฐก 44.34; ปฐก 45.12; ปฐก 45.13; ปฐก 47.15; ปฐก 47.18; ปฐก 47.19; ปฐก 47.25; ปฐก 47.30; ปฐก 48.15; ปฐก 48.16; ปฐก 48.18; ปฐก 50.4; ปฐก 50.5; ปฐก 50.17; ปฐก 50.18; อพย 2.14; อพย 2.19; อพย 2.22; อพย 3.13; อพย 3.14; อพย 3.15; อพย 3.16; อพย 4.18; อพย 5.21; อพย 15.1; อพย 15.2; อพย 16.3; อพย 17.7; อพย 18.3; อพย 18.4; อพย 18.15; อพย 18.16; อพย 19.8; อพย 20.19; อพย 21.5; อพย 32.1; อพย 32.22; อพย 32.23; อพย 32.24; ลนต 8.31; ลนต 8.35; ลนต 10.13; ลนต 10.18; ลนต 10.19; ลนต 14.35; กดว 11.28; กดว 12.11; กดว 13.27; กดว 13.28; กดว 21.22; กดว 22.5; กดว 22.6; กดว 22.11; กดว 22.16; กดว 22.17; กดว 22.18; กดว 22.19; กดว 22.28; กดว 22.30; กดว 22.34; กดว 22.38; กดว 23.1; กดว 23.3; กดว 23.7; กดว 23.8; กดว 23.9; กดว 23.10; กดว 23.12; กดว 23.13; กดว 23.15; กดว 23.18; กดว 23.20; กดว 23.26; กดว 23.27; กดว 23.29; กดว 24.12; กดว 24.13; กดว 24.14; กดว 24.17; กดว 31.49; กดว 31.50; กดว 32.4; กดว 32.5; กดว 32.16; กดว 32.25; กดว 32.27; กดว 36.2; พบญ 1.9; พบญ 1.12; พบญ 1.13; พบญ 1.14; พบญ 1.15; พบญ 1.16; พบญ 1.17; พบญ 1.18; พบญ 1.20; พบญ 1.22; พบญ 1.23; พบญ 1.29; พบญ 1.41; พบญ 1.42; พบญ 1.43; พบญ 2.1; พบญ 2.2; พบญ 2.9; พบญ 2.13; พบญ 2.17; พบญ 2.26; พบญ 2.27; พบญ 2.28; พบญ 2.29; พบญ 2.31; พบญ 3.2; พบญ 3.18; พบญ 3.19; พบญ 3.20; พบญ 3.21; พบญ 3.23; พบญ 3.26; พบญ 4.1; พบญ 4.2; พบญ 4.5; พบญ 4.8; พบญ 4.10; พบญ 4.14; พบญ 4.21; พบญ 4.22; พบญ 4.26; พบญ 4.40; พบญ 5.1; พบญ 5.5; พบญ 5.22; พบญ 5.23; พบญ 5.28; พบญ 6.2; พบญ 6.6; พบญ 7.11; พบญ 8.1; พบญ 8.11; พบญ 8.19; พบญ 9.9; พบญ 9.10; พบญ 9.12; พบญ 9.13; พบญ 9.15; พบญ 9.16; พบญ 9.17; พบญ 9.18; พบญ 9.19; พบญ 9.20; พบญ 9.21; พบญ 9.24; พบญ 9.25; พบญ 9.26; พบญ 10.1; พบญ 10.3; พบญ 10.4; พบญ 10.5; พบญ 10.10; พบญ 10.11; พบญ 10.13; พบญ 11.2; พบญ 11.8; พบญ 11.13; พบญ 11.18; พบญ 11.22; พบญ 11.26; พบญ 11.27; พบญ 11.28; พบญ 11.32; พบญ 12.11; พบญ 12.14; พบญ 12.21; พบญ 12.28; พบญ 12.32; พบญ 13.18; พบญ 15.5; พบญ 15.11; พบญ 15.15; พบญ 15.16; พบญ 17.3; พบญ 18.15; พบญ 18.16; พบญ 18.17; พบญ 19.7; พบญ 19.9; พบญ 22.17; พบญ 24.8; พบญ 24.18; พบญ 24.22; พบญ 25.8; พบญ 26.3; พบญ 27.1; พบญ 27.4; พบญ 27.10; พบญ 28.1; พบญ 28.13; พบญ 28.14; พบญ 28.15; พบญ 28.68; พบญ 29.14; พบญ 30.1; พบญ 30.2; พบญ 30.8; พบญ 30.11; พบญ 30.15; พบญ 30.16; พบญ 30.18; พบญ 30.19; พบญ 31.2; พบญ 31.5; พบญ 31.27; พบญ 31.28; พบญ 31.29; พบญ 32.1; พบญ 32.2; พบญ 32.3; พบญ 32.46; พบญ 33.9; ยชว 2.4; ยชว 2.5; ยชว 5.14; ยชว 6.10; ยชว 7.20; ยชว 7.21; ยชว 8.8; ยชว 9.6; ยชว 9.8; ยชว 9.11; ยชว 9.12; ยชว 9.13; ยชว 9.22; ยชว 9.24; ยชว 9.25; ยชว 10.4; ยชว 10.6; ยชว 14.6; ยชว 14.7; ยชว 14.8; ยชว 14.9; ยชว 14.10; ยชว 14.11; ยชว 14.12; ยชว 17.4; ยชว 17.14; ยชว 18.4; ยชว 18.6; ยชว 18.8; ยชว 21.2; ยชว 22.2; ยชว 23.2; ยชว 23.4; ยชว 23.14; ยชว 24.15; ยชว 24.16; ยชว 24.17; ยชว 24.18; ยชว 24.21; ยชว 24.22; ยชว 24.24; วนฉ 4.8; วนฉ 5.3; วนฉ 5.9; วนฉ 5.13; วนฉ 5.21; วนฉ 8.3; วนฉ 8.22; วนฉ 9.2; วนฉ 9.7; วนฉ 11.7; วนฉ 11.9; วนฉ 11.12; วนฉ 11.17; วนฉ 11.19; วนฉ 11.27; วนฉ 12.2; วนฉ 12.3; วนฉ 13.12; วนฉ 13.15; วนฉ 14.12; วนฉ 14.13; วนฉ 15.11; วนฉ 15.12; วนฉ 17.9; วนฉ 17.10; วนฉ 17.13; วนฉ 18.4; วนฉ 18.24; วนฉ 19.18; วนฉ 19.20; วนฉ 19.23; วนฉ 19.24; วนฉ 20.4; วนฉ 20.5; วนฉ 20.6; นรธ 4.4; นรธ 4.6; นรธ 4.9; นรธ 4.10; 1ซมอ 2.1; 1ซมอ 2.2; 1ซมอ 2.36; 1ซมอ 3.4; 1ซมอ 3.5; 1ซมอ 3.6; 1ซมอ 3.8; 1ซมอ 3.16; 1ซมอ 4.16; 1ซมอ 7.5; 1ซมอ 9.18; 1ซมอ 9.21; 1ซมอ 11.1; 1ซมอ 11.3; 1ซมอ 12.1; 1ซมอ 12.2; 1ซมอ 12.3; 1ซมอ 12.5; 1ซมอ 12.7; 1ซมอ 12.12; 1ซมอ 12.17; 1ซมอ 12.23; 1ซมอ 13.11; 1ซมอ 13.12; 1ซมอ 14.7; 1ซมอ 15.1; 1ซมอ 15.13; 1ซมอ 15.14; 1ซมอ 15.16; 1ซมอ 15.20; 1ซมอ 15.24; 1ซมอ 15.25; 1ซมอ 15.26; 1ซมอ 15.30; 1ซมอ 15.32; 1ซมอ 16.2; 1ซมอ 17.45; 1ซมอ 17.46; 1ซมอ 18.23; 1ซมอ 20.1; 1ซมอ 20.3; 1ซมอ 20.5; 1ซมอ 20.6; 1ซมอ 20.8; 1ซมอ 20.10; 1ซมอ 20.29; 1ซมอ 21.2; 1ซมอ 21.3; 1ซมอ 21.4; 1ซมอ 21.8; 1ซมอ 21.9; 1ซมอ 22.3; 1ซมอ 24.6; 1ซมอ 24.10; 1ซมอ 25.7; 1ซมอ 25.8; 1ซมอ 26.6; 1ซมอ 26.8; 1ซมอ 26.11; 1ซมอ 28.9; 1ซมอ 28.11; 1ซมอ 28.15; 1ซมอ 28.16; 1ซมอ 28.17; 1ซมอ 29.3; 1ซมอ 30.7; 1ซมอ 30.13; 1ซมอ 30.15; 1ซมอ 30.23; 2ซมอ 1.3; 2ซมอ 1.6; 2ซมอ 1.7; 2ซมอ 1.8; 2ซมอ 1.9; 2ซมอ 1.10; 2ซมอ 1.13; 2ซมอ 1.16; 2ซมอ 1.26; 2ซมอ 2.6; 2ซมอ 2.7; 2ซมอ 3.14; 2ซมอ 5.20; 2ซมอ 17.15; 2ซมอ 18.10; 2ซมอ 18.12; 2ซมอ 18.13; 2ซมอ 18.19; 2ซมอ 18.22; 2ซมอ 18.23; 2ซมอ 22.2; 2ซมอ 22.3; 2ซมอ 22.4; 2ซมอ 22.5; 2ซมอ 22.6; 2ซมอ 22.7; 2ซมอ 22.17; 2ซมอ 22.18; 2ซมอ 22.19; 2ซมอ 22.20; 2ซมอ 22.21; 2ซมอ 22.22; 2ซมอ 22.23; 2ซมอ 22.24; 2ซมอ 22.25; 2ซมอ 22.29; 2ซมอ 22.30; 2ซมอ 22.33; 2ซมอ 22.34; 2ซมอ 22.35; 2ซมอ 23.2; 2ซมอ 23.3; 2ซมอ 23.5; 1พกษ 1.51; 1พกษ 5.3; 1พกษ 5.4; 1พกษ 5.5; 1พกษ 5.6; 1พกษ 5.8; 1พกษ 5.9; 1พกษ 8.15; 1พกษ 8.17; 1พกษ 8.18; 1พกษ 8.20; 1พกษ 8.21; 1พกษ 8.59; 1พกษ 9.13; 1พกษ 13.6; 1พกษ 13.7; 1พกษ 13.8; 1พกษ 13.9; 1พกษ 13.15; 1พกษ 13.16; 1พกษ 13.17; 1พกษ 13.18; 1พกษ 18.7; 1พกษ 18.9; 1พกษ 18.10; 1พกษ 18.12; 1พกษ 18.13; 1พกษ 18.14; 1พกษ 18.15; 1พกษ 18.22; 1พกษ 18.23; 1พกษ 18.24; 1พกษ 18.26; 1พกษ 18.30; 1พกษ 19.20; 1พกษ 20.4; 1พกษ 20.5; 1พกษ 20.6; 1พกษ 20.9; 1พกษ 20.10; 1พกษ 20.32; 1พกษ 20.34; 1พกษ 20.36; 1พกษ 22.4; 1พกษ 22.8; 1พกษ 22.14; 1พกษ 22.18; 1พกษ 22.30; 1พกษ 22.49; 2พกษ 1.13; 2พกษ 1.14; 2พกษ 2.2; 2พกษ 2.3; 2พกษ 2.4; 2พกษ 2.5; 2พกษ 2.6; 2พกษ 2.9; 2พกษ 2.10; 2พกษ 2.12; 2พกษ 2.19; 2พกษ 3.7; 2พกษ 4.43; 2พกษ 5.6; 2พกษ 5.13; 2พกษ 5.15; 2พกษ 5.16; 2พกษ 5.18; 2พกษ 5.20; 2พกษ 5.22; 2พกษ 6.1; 2พกษ 6.15; 2พกษ 6.21; 2พกษ 6.32; 2พกษ 6.33; 2พกษ 8.8; 2พกษ 8.9; 2พกษ 8.10; 2พกษ 8.12; 2พกษ 8.13; 2พกษ 9.5; 2พกษ 9.12; 2พกษ 9.17; 2พกษ 10.13; 2พกษ 16.7; 2พกษ 18.14; 2พกษ 20.8; 2พกษ 22.8; 1พศด 12.17; 1พศด 14.11; 1พศด 28.2; 1พศด 28.3; 1พศด 28.4; 1พศด 28.5; 1พศด 28.6; 1พศด 28.19; 2พศด 2.3; 2พศด 2.4; 2พศด 2.5; 2พศด 2.6; 2พศด 2.7; 2พศด 2.8; 2พศด 2.9; 2พศด 2.10; 2พศด 2.13; 2พศด 2.14; 2พศด 2.15; 2พศด 6.4; 2พศด 6.7; 2พศด 6.8; 2พศด 6.10; 2พศด 6.11; 2พศด 13.4; 2พศด 15.2; 2พศด 16.3; 2พศด 18.3; 2พศด 18.7; 2พศด 18.13; 2พศด 18.17; 2พศด 18.29; 2พศด 20.6; 2พศด 20.20; 2พศด 25.19; 2พศด 28.11; 2พศด 29.11; 2พศด 34.15; อสร 6.12; อสร 7.28; อสร 8.1; อสร 8.15; อสร 8.16; อสร 8.21; อสร 8.22; อสร 8.24; อสร 8.25; อสร 8.26; อสร 8.28; อสร 9.1; อสร 9.3; อสร 9.4; อสร 9.5; อสร 9.6; อสร 10.3; นหม 1.1; นหม 1.2; นหม 1.3; นหม 1.4; นหม 1.5; นหม 1.11; นหม 2.1; นหม 2.2; นหม 2.3; นหม 2.4; นหม 2.5; นหม 2.6; นหม 2.7; นหม 2.8; นหม 2.9; นหม 2.11; นหม 2.12; นหม 2.13; นหม 2.14; นหม 2.15; นหม 2.16; นหม 2.17; นหม 2.18; นหม 2.20; นหม 4.13; นหม 4.14; นหม 4.16; นหม 4.18; นหม 4.19; นหม 4.22; นหม 4.23; นหม 5.6; นหม 5.7; นหม 5.8; นหม 5.9; นหม 5.10; นหม 5.12; นหม 5.13; นหม 5.14; นหม 5.15; นหม 5.16; นหม 5.17; นหม 5.18; นหม 6.1; นหม 6.2; นหม 6.3; นหม 6.4; นหม 6.5; นหม 6.8; นหม 6.10; นหม 6.11; นหม 6.12; นหม 6.13; นหม 6.19; นหม 7.1; นหม 7.2; นหม 7.3; นหม 7.5; นหม 12.31; นหม 12.38; นหม 12.40; นหม 13.6; นหม 13.7; นหม 13.8; นหม 13.9; นหม 13.10; นหม 13.11; นหม 13.13; นหม 13.15; นหม 13.17; นหม 13.19; นหม 13.21; นหม 13.22; นหม 13.23; นหม 13.25; นหม 13.28; นหม 13.30; นหม 13.31; โยบ 1.5; โยบ 1.15; โยบ 1.16; โยบ 1.17; โยบ 1.19; โยบ 1.21; โยบ 15.6; โยบ 32.6; โยบ 32.7; โยบ 32.10; โยบ 32.11; โยบ 32.12; โยบ 32.14; โยบ 32.16; โยบ 32.17; โยบ 32.18; โยบ 32.19; โยบ 32.20; โยบ 32.21; โยบ 32.22; โยบ 33.1; โยบ 33.2; โยบ 33.3; โยบ 33.4; โยบ 33.5; โยบ 33.6; โยบ 33.7; โยบ 33.8; โยบ 33.9; โยบ 33.10; โยบ 33.11; โยบ 33.12; โยบ 33.31; โยบ 33.32; โยบ 33.33; โยบ 34.2; โยบ 34.5; โยบ 34.6; โยบ 34.10; โยบ 34.16; โยบ 34.33; โยบ 34.34; โยบ 34.36; โยบ 35.2; โยบ 35.3; โยบ 35.4; โยบ 35.10; โยบ 36.2; โยบ 36.3; โยบ 36.4; โยบ 37.1; โยบ 37.20; สดด 2.7; สดด 3.4; สดด 3.5; สดด 3.6; สดด 4.2; สดด 4.3; สดด 7.10; สดด 7.17; สดด 11.1; สดด 13.6; สดด 16.2; สดด 16.3; สดด 16.4; สดด 16.5; สดด 16.6; สดด 16.7; สดด 16.8; สดด 16.9; สดด 18.6; สดด 18.16; สดด 18.17; สดด 18.18; สดด 18.19; สดด 18.20; สดด 18.21; สดด 18.22; สดด 18.23; สดด 18.24; สดด 18.29; สดด 18.32; สดด 18.33; สดด 18.34; สดด 20.6; สดด 23.1; สดด 23.2; สดด 23.3; สดด 23.6; สดด 25.15; สดด 27.1; สดด 27.2; สดด 27.3; สดด 27.4; สดด 27.5; สดด 27.6; สดด 27.13; สดด 28.6; สดด 28.7; สดด 30.6; สดด 34.1; สดด 34.2; สดด 34.3; สดด 34.4; สดด 36.1; สดด 37.25; สดด 37.35; สดด 37.36; สดด 39.1; สดด 39.2; สดด 39.3; สดด 40.1; สดด 40.2; สดด 40.3; สดด 41.5; สดด 42.2; สดด 42.3; สดด 42.4; สดด 42.5; สดด 42.8; สดด 42.9; สดด 42.10; สดด 42.11; สดด 43.5; สดด 45.1; สดด 49.3; สดด 49.4; สดด 49.5; สดด 49.15; สดด 52.8; สดด 54.4; สดด 54.5; สดด 54.7; สดด 55.12; สดด 55.13; สดด 55.16; สดด 55.17; สดด 55.18; สดด 57.2; สดด 57.3; สดด 57.4; สดด 57.6; สดด 57.8; สดด 59.10; สดด 60.9; สดด 60.12; สดด 62.1; สดด 62.2; สดด 62.5; สดด 62.6; สดด 62.7; สดด 62.11; สดด 66.16; สดด 66.17; สดด 66.18; สดด 66.19; สดด 66.20; สดด 69.30; สดด 73.2; สดด 73.3; สดด 73.13; สดด 73.14; สดด 73.15; สดด 75.9; สดด 77.1; สดด 77.2; สดด 77.3; สดด 77.10; สดด 77.11; สดด 78.1; สดด 78.2; สดด 81.5; สดด 91.2; สดด 91.9; สดด 94.16; สดด 94.17; สดด 94.18; สดด 94.22; สดด 102.23; สดด 102.24; สดด 108.2; สดด 108.10; สดด 108.13; สดด 109.30; สดด 110.1; สดด 111.1; สดด 116.1; สดด 116.2; สดด 116.3; สดด 116.4; สดด 116.6; สดด 116.7; สดด 116.9; สดด 116.10; สดด 116.11; สดด 116.12; สดด 116.13; สดด 116.14; สดด 116.18; สดด 118.5; สดด 118.6; สดด 118.7; สดด 118.10; สดด 118.11; สดด 118.12; สดด 118.13; สดด 118.14; สดด 118.17; สดด 118.18; สดด 118.19; สดด 118.26; สดด 120.1; สดด 120.5; สดด 120.6; สดด 120.7; สดด 121.1; สดด 121.2; สดด 122.1; สดด 122.2; สดด 122.8; สดด 122.9; สดด 123.2; สดด 129.1; สดด 129.2; สดด 129.3; สดด 130.5; สดด 130.6; สดด 135.5; สดด 137.5; สดด 137.6; สดด 140.6; สดด 140.12; สดด 142.1; สดด 142.2; สดด 145.21; สดด 146.1; สดด 146.2; สภษ 20.9; ปญจ 1.12; ปญจ 1.13; ปญจ 1.14; ปญจ 1.16; ปญจ 1.17; ปญจ 2.1; ปญจ 2.2; ปญจ 2.3; ปญจ 2.4; ปญจ 2.5; ปญจ 2.6; ปญจ 2.7; ปญจ 2.8; ปญจ 2.9; ปญจ 2.10; ปญจ 2.11; ปญจ 2.12; ปญจ 2.13; ปญจ 2.14; ปญจ 2.15; ปญจ 2.17; ปญจ 2.18; ปญจ 2.19; ปญจ 2.20; ปญจ 2.24; ปญจ 2.25; ปญจ 3.10; ปญจ 3.12; ปญจ 3.14; ปญจ 3.16; ปญจ 3.17; ปญจ 3.18; ปญจ 3.22; ปญจ 4.1; ปญจ 4.2; ปญจ 4.4; ปญจ 4.7; ปญจ 4.15; ปญจ 5.13; ปญจ 5.18; ปญจ 6.1; ปญจ 6.3; ปญจ 7.15; ปญจ 7.23; ปญจ 7.25; ปญจ 7.26; ปญจ 7.27; ปญจ 7.28; ปญจ 7.29; ปญจ 8.2; ปญจ 8.9; ปญจ 8.10; ปญจ 8.12; ปญจ 8.14; ปญจ 8.15; ปญจ 8.16; ปญจ 8.17; ปญจ 9.1; ปญจ 9.11; ปญจ 9.13; ปญจ 9.16; ปญจ 10.5; ปญจ 10.7; ปญจ 12.12; อสย 3.7; อสย 5.1; อสย 5.9; อสย 6.1; อสย 6.5; อสย 6.6; อสย 6.7; อสย 6.8; อสย 6.11; อสย 7.13; อสย 8.1; อสย 8.2; อสย 8.3; อสย 8.5; อสย 8.11; อสย 8.16; อสย 8.17; อสย 8.18; อสย 12.2; อสย 15.5; อสย 16.9; อสย 16.10; อสย 16.11; อสย 18.4; อสย 21.2; อสย 21.3; อสย 21.4; อสย 21.6; อสย 21.10; อสย 21.11; อสย 21.16; อสย 22.4; อสย 22.14; อสย 24.16; อสย 26.20; อสย 28.22; อสย 28.23; อสย 31.4; อสย 32.9; อสย 38.10; อสย 38.11; อสย 38.12; อสย 38.13; อสย 38.14; อสย 38.15; อสย 38.20; อสย 38.22; อสย 40.27; อสย 48.16; อสย 49.1; อสย 49.2; อสย 49.3; อสย 49.4; อสย 49.5; อสย 49.14; อสย 49.21; อสย 50.4; อสย 50.5; อสย 50.6; อสย 50.7; อสย 50.8; อสย 50.9; อสย 57.21; อสย 61.1; อสย 61.10; อสย 62.1; อสย 63.7; ยรม 1.4; ยรม 1.6; ยรม 1.7; ยรม 1.9; ยรม 1.11; ยรม 1.12; ยรม 1.13; ยรม 1.14; ยรม 2.1; ยรม 2.27; ยรม 2.35; ยรม 3.6; ยรม 3.11; ยรม 4.10; ยรม 4.23; ยรม 4.24; ยรม 4.25; ยรม 4.26; ยรม 5.4; ยรม 6.10; ยรม 6.11; ยรม 8.18; ยรม 8.19; ยรม 8.21; ยรม 8.22; ยรม 9.1; ยรม 9.2; ยรม 10.19; ยรม 10.20; ยรม 11.5; ยรม 11.6; ยรม 11.9; ยรม 11.18; ยรม 13.1; ยรม 13.2; ยรม 13.3; ยรม 13.5; ยรม 13.6; ยรม 13.7; ยรม 13.8; ยรม 13.17; ยรม 14.11; ยรม 14.13; ยรม 14.14; ยรม 15.1; ยรม 16.1; ยรม 17.19; ยรม 18.3; ยรม 18.5; ยรม 20.9; ยรม 20.11; ยรม 20.14; ยรม 20.15; ยรม 20.17; ยรม 20.18; ยรม 23.25; ยรม 24.1; ยรม 24.3; ยรม 24.4; ยรม 25.3; ยรม 25.15; ยรม 25.17; ยรม 26.12; ยรม 26.14; ยรม 26.15; ยรม 27.2; ยรม 27.12; ยรม 27.16; ยรม 28.1; ยรม 28.7; ยรม 28.8; ยรม 31.3; ยรม 31.26; ยรม 32.7; ยรม 32.8; ยรม 35.3; ยรม 35.4; ยรม 35.5; ยรม 36.5; ยรม 36.18; ยรม 37.14; ยรม 38.26; ยรม 40.4; ยรม 40.10; ยรม 40.15; ยรม 42.2; ยรม 42.4; ยรม 42.5; ยรม 42.6; ยรม 42.9; ยรม 42.19; ยรม 42.20; ยรม 42.21; ยรม 49.14; ยรม 51.34; ยรม 51.35; พคค 1.12; พคค 1.13; พคค 1.14; พคค 1.15; พคค 1.16; พคค 1.18; พคค 1.19; พคค 2.11; พคค 2.13; พคค 3.1; พคค 3.2; พคค 3.3; พคค 3.4; พคค 3.5; พคค 3.6; พคค 3.7; พคค 3.8; พคค 3.9; พคค 3.10; พคค 3.11; พคค 3.12; พคค 3.13; พคค 3.14; พคค 3.15; พคค 3.16; พคค 3.17; พคค 3.18; พคค 3.19; พคค 3.20; พคค 3.21; พคค 3.24; พคค 3.54; พคค 4.3; พคค 4.6; พคค 4.10; พคค 4.20; อสค 1.1; อสค 1.4; อสค 1.15; อสค 1.24; อสค 1.27; อสค 1.28; อสค 2.1; อสค 2.2; อสค 2.3; อสค 2.9; อสค 2.10; อสค 3.1; อสค 3.2; อสค 3.3; อสค 3.4; อสค 3.10; อสค 3.12; อสค 3.13; อสค 3.14; อสค 3.15; อสค 3.16; อสค 3.22; อสค 3.23; อสค 3.24; อสค 4.14; อสค 4.15; อสค 4.16; อสค 6.1; อสค 7.1; อสค 8.1; อสค 8.2; อสค 8.3; อสค 8.4; อสค 8.5; อสค 8.6; อสค 8.7; อสค 8.8; อสค 8.9; อสค 8.10; อสค 8.12; อสค 8.13; อสค 8.14; อสค 8.15; อสค 8.16; อสค 8.17; อสค 9.1; อสค 9.5; อสค 9.8; อสค 9.9; อสค 10.1; อสค 10.2; อสค 10.9; อสค 10.13; อสค 10.15; อสค 10.19; อสค 10.20; อสค 10.22; อสค 11.1; อสค 11.2; อสค 11.5; อสค 11.13; อสค 11.14; อสค 11.24; อสค 11.25; อสค 12.1; อสค 12.7; อสค 12.8; อสค 12.11; อสค 12.17; อสค 12.21; อสค 12.26; อสค 13.1; อสค 14.1; อสค 14.2; อสค 14.12; อสค 15.1; อสค 16.1; อสค 17.1; อสค 17.11; อสค 18.1; อสค 20.1; อสค 20.2; อสค 20.45; อสค 20.49; อสค 21.1; อสค 21.8; อสค 21.18; อสค 22.1; อสค 22.17; อสค 22.23; อสค 23.1; อสค 23.36; อสค 24.1; อสค 24.15; อสค 24.18; อสค 24.19; อสค 24.20; อสค 25.1; อสค 26.1; อสค 27.1; อสค 28.1; อสค 28.11; อสค 28.20; อสค 29.1; อสค 29.17; อสค 30.1; อสค 30.20; อสค 31.1; อสค 32.1; อสค 32.17; อสค 33.1; อสค 33.21; อสค 33.22; อสค 33.23; อสค 34.1; อสค 35.1; อสค 36.16; อสค 37.1; อสค 37.2; อสค 37.3; อสค 37.4; อสค 37.7; อสค 37.8; อสค 37.9; อสค 37.10; อสค 37.11; อสค 37.15; อสค 38.1; อสค 40.1; อสค 40.2; อสค 40.3; อสค 40.4; อสค 40.17; อสค 40.24; อสค 40.28; อสค 40.32; อสค 40.35; อสค 40.45; อสค 40.48; อสค 40.49; อสค 41.1; อสค 41.4; อสค 41.8; อสค 41.22; อสค 42.1; อสค 42.13; อสค 42.15; อสค 43.1; อสค 43.3; อสค 43.5; อสค 43.6; อสค 43.7; อสค 43.18; อสค 44.1; อสค 44.2; อสค 44.4; อสค 44.5; อสค 46.19; อสค 46.20; อสค 46.21; อสค 46.24; อสค 47.1; อสค 47.2; อสค 47.3; อสค 47.4; อสค 47.5; อสค 47.6; อสค 47.7; อสค 47.8; ดนล 2.24; ดนล 7.2; ดนล 7.4; ดนล 7.6; ดนล 7.7; ดนล 7.8; ดนล 7.9; ดนล 7.11; ดนล 7.13; ดนล 7.15; ดนล 7.16; ดนล 7.19; ดนล 7.21; ดนล 7.28; ดนล 8.1; ดนล 8.2; ดนล 8.3; ดนล 8.4; ดนล 8.5; ดนล 8.6; ดนล 8.7; ดนล 8.13; ดนล 8.14; ดนล 8.15; ดนล 8.16; ดนล 8.17; ดนล 8.18; ดนล 8.19; ดนล 8.27; ดนล 9.2; ดนล 9.3; ดนล 9.4; ดนล 9.20; ดนล 9.21; ดนล 9.22; ดนล 9.23; ดนล 10.2; ดนล 10.3; ดนล 10.4; ดนล 10.5; ดนล 10.7; ดนล 10.8; ดนล 10.9; ดนล 10.10; ดนล 10.11; ดนล 10.12; ดนล 10.13; ดนล 10.14; ดนล 10.15; ดนล 10.16; ดนล 10.17; ดนล 10.18; ดนล 10.19; ดนล 10.20; ดนล 10.21; ดนล 11.1; ดนล 11.2; ดนล 12.5; ดนล 12.7; ดนล 12.8; ฮชย 3.1; ฮชย 3.2; ฮชย 3.3; ฮชย 9.17; ฮชย 12.8; ฮชย 13.10; ยอล 1.6; ยอล 1.7; ยอล 1.13; ยอล 2.1; อมส 7.1; อมส 7.2; อมส 7.4; อมส 7.5; อมส 7.7; อมส 7.8; อมส 7.14; อมส 7.15; อมส 8.1; อมส 8.2; อมส 9.1; ยนา 1.9; ยนา 1.12; มคา 1.8; มคา 3.1; มคา 3.5; มคา 3.8; มคา 6.6; มคา 6.7; มคา 7.1; มคา 7.7; มคา 7.8; มคา 7.9; มคา 7.10; ฮบก 2.1; ฮบก 2.2; ฮบก 3.7; ฮบก 3.14; ฮบก 3.16; ฮบก 3.18; ฮบก 3.19; ศคย 1.8; ศคย 1.9; ศคย 1.13; ศคย 1.14; ศคย 1.18; ศคย 1.19; ศคย 1.20; ศคย 1.21; ศคย 2.1; ศคย 2.2; ศคย 2.3; ศคย 2.9; ศคย 2.11; ศคย 3.1; ศคย 3.5; ศคย 4.1; ศคย 4.2; ศคย 4.4; ศคย 4.5; ศคย 4.6; ศคย 4.8; ศคย 4.9; ศคย 4.11; ศคย 4.12; ศคย 4.13; ศคย 5.1; ศคย 5.2; ศคย 5.3; ศคย 5.5; ศคย 5.6; ศคย 5.9; ศคย 5.10; ศคย 5.11; ศคย 6.1; ศคย 6.4; ศคย 6.5; ศคย 6.8; ศคย 6.9; ศคย 6.15; ศคย 7.3; ศคย 7.4; ศคย 8.1; ศคย 8.18; ศคย 8.21; ศคย 11.4; ศคย 11.5; ศคย 11.7; ศคย 11.8; ศคย 11.9; ศคย 11.10; ศคย 11.11; ศคย 11.12; ศคย 11.13; ศคย 11.14; ศคย 11.15; ศคย 13.5; ศคย 13.6; ศคย 13.9; ศคย 14.5; มธ 8.19; มธ 12.38; มธ 15.5; มธ 18.26; มธ 18.29; มธ 19.16; มธ 19.20; มธ 20.7; มธ 21.27; มธ 21.29; มธ 21.30; มธ 22.16; มธ 22.17; มธ 22.44; มธ 25.11; มธ 25.20; มธ 25.22; มธ 25.24; มธ 25.25; มธ 26.15; มธ 27.4; มธ 27.10; มธ 27.17; มธ 27.63; มก 4.38; มก 7.11; มก 10.17; มก 10.20; มก 11.33; มก 12.14; มก 12.19; มก 12.36; มก 14.58; ลก 1.3; ลก 1.18; ลก 1.25; ลก 1.34; ลก 1.38; ลก 1.43; ลก 1.44; ลก 1.46; ลก 1.47; ลก 1.48; ลก 1.49; ลก 3.12; ลก 3.14; ลก 4.18; ลก 7.20; ลก 7.43; ลก 8.24; ลก 9.38; ลก 9.40; ลก 10.25; ลก 10.29; ลก 12.13; ลก 13.8; ลก 13.25; ลก 13.26; ลก 14.18; ลก 14.19; ลก 14.20; ลก 14.22; ลก 15.6; ลก 15.9; ลก 15.12; ลก 15.18; ลก 15.19; ลก 15.21; ลก 15.29; ลก 16.5; ลก 16.24; ลก 16.27; ลก 16.28; ลก 17.5; ลก 17.10; ลก 17.13; ลก 18.3; ลก 18.18; ลก 18.21; ลก 19.20; ลก 19.21; ลก 20.21; ลก 20.28; ลก 20.42; ยน 1.15; ยน 1.20; ยน 1.21; ยน 1.26; ยน 1.27; ยน 1.30; ยน 1.31; ยน 1.32; ยน 1.33; ยน 1.34; ยน 2.4; ยน 3.2; ยน 3.28; ยน 3.29; ยน 3.30; ยน 5.7; ยน 5.11; ยน 6.28; ยน 6.30; ยน 6.31; ยน 6.34; ยน 9.9; ยน 9.11; ยน 9.12; ยน 9.15; ยน 9.25; ยน 9.27; ยน 9.30; ยน 9.36; ยน 12.21; ยน 18.30; ยน 18.31; ยน 20.13; ยน 21.25; กจ 1.1; กจ 2.14; กจ 2.25; กจ 2.26; กจ 2.29; กจ 2.32; กจ 2.34; กจ 3.6; กจ 3.17; กจ 4.20; กจ 5.23; กจ 5.29; กจ 5.38; กจ 7.40; กจ 7.56; กจ 8.19; กจ 8.24; กจ 8.34; กจ 8.36; กจ 8.37; กจ 9.17; กจ 10.21; กจ 10.26; กจ 10.28; กจ 10.29; กจ 10.30; กจ 10.33; กจ 10.34; กจ 10.37; กจ 11.5; กจ 11.6; กจ 11.7; กจ 11.8; กจ 11.11; กจ 11.12; กจ 11.15; กจ 11.16; กจ 11.17; กจ 12.11; กจ 13.25; กจ 15.7; กจ 15.13; กจ 15.19; กจ 15.24; กจ 15.25; กจ 15.27; กจ 15.28; กจ 16.9; กจ 16.15; กจ 16.30; กจ 17.22; กจ 17.23; กจ 18.6; กจ 18.21; กจ 19.21; กจ 20.18; กจ 20.19; กจ 20.20; กจ 20.22; กจ 20.23; กจ 20.24; กจ 20.25; กจ 20.26; กจ 20.27; กจ 20.29; กจ 20.31; กจ 20.32; กจ 20.33; กจ 20.34; กจ 20.35; กจ 21.13; กจ 21.37; กจ 21.39; กจ 22.1; กจ 22.3; กจ 22.4; กจ 22.5; กจ 22.6; กจ 22.7; กจ 22.8; กจ 22.9; กจ 22.10; กจ 22.11; กจ 22.13; กจ 22.17; กจ 22.18; กจ 22.19; กจ 22.21; กจ 22.28; กจ 23.1; กจ 23.5; กจ 23.6; กจ 23.14; กจ 23.15; กจ 23.18; กจ 23.27; กจ 23.28; กจ 23.29; กจ 23.30; กจ 24.2; กจ 24.3; กจ 24.4; กจ 24.5; กจ 24.6; กจ 24.8; กจ 24.10; กจ 24.11; กจ 24.12; กจ 24.13; กจ 24.14; กจ 24.15; กจ 24.16; กจ 24.17; กจ 24.18; กจ 24.19; กจ 24.20; กจ 24.21; กจ 25.8; กจ 25.10; กจ 25.11; กจ 25.15; กจ 25.16; กจ 25.17; กจ 25.18; กจ 25.20; กจ 25.21; กจ 25.22; กจ 25.24; กจ 25.25; กจ 25.26; กจ 25.27; กจ 27.10; กจ 27.21; กจ 27.22; กจ 27.23; กจ 27.25; กจ 27.34; กจ 28.17; กจ 28.18; กจ 28.19; กจ 28.20; กจ 28.22; รม 1.5; รม 1.8; รม 1.9; รม 1.10; รม 1.11; รม 1.12; รม 1.13; รม 1.14; รม 1.15; รม 1.16; รม 2.16; รม 3.5; รม 3.7; รม 6.19; รม 7.1; รม 7.4; รม 7.7; รม 7.8; รม 7.9; รม 7.10; รม 7.11; รม 7.13; รม 7.14; รม 7.15; รม 7.16; รม 7.17; รม 7.18; รม 7.19; รม 7.20; รม 7.21; รม 7.22; รม 7.23; รม 7.24; รม 7.25; รม 8.2; รม 8.18; รม 8.38; รม 9.1; รม 9.2; รม 9.3; รม 9.19; รม 9.20; รม 10.1; รม 10.2; รม 10.18; รม 10.19; รม 11.1; รม 11.11; รม 11.13; รม 11.14; รม 11.15; รม 11.25; รม 12.1; รม 12.3; รม 12.19; รม 14.14; รม 15.8; รม 15.14; รม 15.15; รม 15.16; รม 15.17; รม 15.18; รม 15.19; รม 15.20; รม 15.22; รม 15.23; รม 15.24; รม 15.25; รม 15.28; รม 15.29; รม 15.30; รม 15.31; รม 15.32; รม 16.1; รม 16.2; รม 16.3; รม 16.4; รม 16.5; รม 16.7; รม 16.8; รม 16.9; รม 16.11; รม 16.13; รม 16.17; รม 16.19; รม 16.21; รม 16.22; รม 16.23; รม 16.25; 1คร 1.4; 1คร 1.10; 1คร 1.11; 1คร 1.12; 1คร 1.14; 1คร 1.15; 1คร 1.16; 1คร 1.17; 1คร 2.1; 1คร 2.2; 1คร 2.3; 1คร 2.4; 1คร 3.1; 1คร 3.2; 1คร 3.4; 1คร 3.6; 1คร 3.10; 1คร 4.3; 1คร 4.4; 1คร 4.6; 1คร 4.8; 1คร 4.9; 1คร 4.14; 1คร 4.15; 1คร 4.16; 1คร 4.17; 1คร 4.18; 1คร 4.19; 1คร 4.21; 1คร 5.3; 1คร 5.4; 1คร 5.9; 1คร 5.10; 1คร 5.11; 1คร 5.12; 1คร 6.5; 1คร 6.12; 1คร 6.15; 1คร 7.1; 1คร 7.6; 1คร 7.7; 1คร 7.8; 1คร 7.10; 1คร 7.12; 1คร 7.17; 1คร 7.25; 1คร 7.26; 1คร 7.28; 1คร 7.29; 1คร 7.32; 1คร 7.35; 1คร 7.40; 1คร 8.13; 1คร 9.1; 1คร 9.2; 1คร 9.3; 1คร 9.6; 1คร 9.8; 1คร 9.15; 1คร 9.16; 1คร 9.17; 1คร 9.18; 1คร 9.19; 1คร 9.20; 1คร 9.21; 1คร 9.22; 1คร 9.23; 1คร 9.26; 1คร 9.27; 1คร 10.1; 1คร 10.14; 1คร 10.15; 1คร 10.19; 1คร 10.20; 1คร 10.23; 1คร 10.29; 1คร 10.30; 1คร 10.33; 1คร 11.1; 1คร 11.2; 1คร 11.3; 1คร 11.17; 1คร 11.18; 1คร 11.22; 1คร 11.23; 1คร 11.33; 1คร 11.34; 1คร 12.1; 1คร 12.3; 1คร 12.15; 1คร 12.16; 1คร 12.21; 1คร 12.31; 1คร 13.1; 1คร 13.2; 1คร 13.3; 1คร 13.11; 1คร 13.12; 1คร 14.5; 1คร 14.6; 1คร 14.11; 1คร 14.14; 1คร 14.15; 1คร 14.18; 1คร 14.19; 1คร 14.37; 1คร 15.1; 1คร 15.2; 1คร 15.3; 1คร 15.8; 1คร 15.9; 1คร 15.10; 1คร 15.11; 1คร 15.31; 1คร 15.32; 1คร 15.34; 1คร 15.50; 1คร 15.51; 1คร 15.58; 1คร 16.1; 1คร 16.2; 1คร 16.3; 1คร 16.4; 1คร 16.5; 1คร 16.6; 1คร 16.7; 1คร 16.8; 1คร 16.9; 1คร 16.10; 1คร 16.11; 1คร 16.12; 1คร 16.16; 1คร 16.17; 1คร 16.18; 1คร 16.21; 1คร 16.24; 2คร 1.13; 2คร 1.15; 2คร 1.16; 2คร 1.17; 2คร 1.19; 2คร 1.23; 2คร 2.1; 2คร 2.2; 2คร 2.3; 2คร 2.4; 2คร 2.5; 2คร 2.8; 2คร 2.9; 2คร 2.10; 2คร 2.12; 2คร 2.13; 2คร 4.13; 2คร 5.11; 2คร 6.13; 2คร 7.3; 2คร 7.4; 2คร 7.7; 2คร 7.8; 2คร 7.9; 2คร 7.12; 2คร 7.14; 2คร 7.16; 2คร 8.3; 2คร 8.8; 2คร 8.10; 2คร 8.13; 2คร 8.23; 2คร 8.24; 2คร 9.1; 2คร 9.2; 2คร 9.3; 2คร 9.4; 2คร 9.5; 2คร 10.1; 2คร 10.2; 2คร 10.8; 2คร 10.9; 2คร 11.1; 2คร 11.2; 2คร 11.3; 2คร 11.5; 2คร 11.6; 2คร 11.7; 2คร 11.8; 2คร 11.9; 2คร 11.10; 2คร 11.11; 2คร 11.12; 2คร 11.16; 2คร 11.17; 2คร 11.18; 2คร 11.21; 2คร 11.22; 2คร 11.23; 2คร 11.24; 2คร 11.25; 2คร 11.26; 2คร 11.28; 2คร 11.29; 2คร 11.30; 2คร 11.31; 2คร 11.32; 2คร 11.33; 2คร 12.1; 2คร 12.2; 2คร 12.3; 2คร 12.5; 2คร 12.6; 2คร 12.7; 2คร 12.8; 2คร 12.9; 2คร 12.10; 2คร 12.11; 2คร 12.13; 2คร 12.14; 2คร 12.15; 2คร 12.16; 2คร 12.17; 2คร 12.18; 2คร 12.20; 2คร 12.21; 2คร 13.1; 2คร 13.2; 2คร 13.3; 2คร 13.6; 2คร 13.7; 2คร 13.10; กท 1.2; กท 1.6; กท 1.9; กท 1.10; กท 1.11; กท 1.12; กท 1.13; กท 1.14; กท 1.15; กท 1.16; กท 1.17; กท 1.18; กท 1.19; กท 1.20; กท 1.21; กท 1.22; กท 1.24; กท 2.1; กท 2.2; กท 2.3; กท 2.6; กท 2.7; กท 2.8; กท 2.9; กท 2.10; กท 2.11; กท 2.14; กท 2.18; กท 2.19; กท 2.20; กท 2.21; กท 3.2; กท 3.15; กท 3.17; กท 4.1; กท 4.11; กท 4.12; กท 4.13; กท 4.14; กท 4.15; กท 4.16; กท 4.18; กท 4.19; กท 4.20; กท 4.21; กท 5.2; กท 5.3; กท 5.10; กท 5.11; กท 5.12; กท 5.16; กท 5.21; กท 6.11; กท 6.14; กท 6.17; อฟ 1.15; อฟ 1.16; อฟ 3.1; อฟ 3.2; อฟ 3.3; อฟ 3.4; อฟ 3.7; อฟ 3.8; อฟ 3.13; อฟ 3.14; อฟ 4.1; อฟ 4.17; อฟ 5.32; อฟ 6.10; อฟ 6.19; อฟ 6.20; อฟ 6.21; อฟ 6.22; ฟป 1.3; ฟป 1.4; ฟป 1.6; ฟป 1.7; ฟป 1.8; ฟป 1.9; ฟป 1.12; ฟป 1.13; ฟป 1.14; ฟป 1.16; ฟป 1.17; ฟป 1.18; ฟป 1.19; ฟป 1.20; ฟป 1.21; ฟป 1.22; ฟป 1.23; ฟป 1.24; ฟป 1.25; ฟป 1.26; ฟป 1.27; ฟป 1.30; ฟป 2.2; ฟป 2.12; ฟป 2.16; ฟป 2.17; ฟป 2.18; ฟป 2.19; ฟป 2.20; ฟป 2.22; ฟป 2.23; ฟป 2.24; ฟป 2.25; ฟป 2.27; ฟป 2.28; ฟป 2.30; ฟป 3.1; ฟป 3.4; ฟป 3.5; ฟป 3.6; ฟป 3.7; ฟป 3.8; ฟป 3.9; ฟป 3.10; ฟป 3.11; ฟป 3.12; ฟป 3.13; ฟป 3.14; ฟป 3.17; ฟป 3.18; ฟป 4.1; ฟป 4.2; ฟป 4.3; ฟป 4.4; ฟป 4.9; ฟป 4.10; ฟป 4.11; ฟป 4.12; ฟป 4.13; ฟป 4.14; ฟป 4.15; ฟป 4.16; ฟป 4.17; ฟป 4.18; ฟป 4.19; ฟป 4.21; คส 1.20; คส 1.23; คส 1.24; คส 1.25; คส 1.29; คส 2.1; คส 2.4; คส 2.5; คส 4.3; คส 4.4; คส 4.7; คส 4.8; คส 4.10; คส 4.11; คส 4.13; คส 4.18; 1ธส 2.18; 1ธส 3.5; 1ธส 4.9; 1ธส 4.13; 1ธส 5.23; 1ธส 5.27; 2ธส 2.5; 2ธส 3.17; 1ทธ 1.2; 1ทธ 1.3; 1ทธ 1.11; 1ทธ 1.12; 1ทธ 1.13; 1ทธ 1.15; 1ทธ 1.16; 1ทธ 1.18; 1ทธ 1.20; 1ทธ 2.1; 1ทธ 2.7; 1ทธ 2.8; 1ทธ 2.12; 1ทธ 3.14; 1ทธ 3.15; 1ทธ 5.14; 1ทธ 5.21; 1ทธ 6.13; 2ทธ 1.2; 2ทธ 1.3; 2ทธ 1.4; 2ทธ 1.5; 2ทธ 1.6; 2ทธ 1.8; 2ทธ 1.11; 2ทธ 1.12; 2ทธ 1.13; 2ทธ 1.15; 2ทธ 1.16; 2ทธ 1.17; 2ทธ 1.18; 2ทธ 2.1; 2ทธ 2.2; 2ทธ 2.7; 2ทธ 2.8; 2ทธ 2.9; 2ทธ 2.10; 2ทธ 3.11; 2ทธ 4.1; 2ทธ 4.6; 2ทธ 4.7; 2ทธ 4.8; 2ทธ 4.9; 2ทธ 4.10; 2ทธ 4.11; 2ทธ 4.12; 2ทธ 4.13; 2ทธ 4.14; 2ทธ 4.16; 2ทธ 4.17; 2ทธ 4.18; 2ทธ 4.20; ทต 1.3; ทต 1.4; ทต 1.5; ทต 3.8; ทต 3.12; ทต 3.15; ฟม 1.4; ฟม 1.5; ฟม 1.8; ฟม 1.9; ฟม 1.10; ฟม 1.11; ฟม 1.12; ฟม 1.13; ฟม 1.14; ฟม 1.16; ฟม 1.17; ฟม 1.18; ฟม 1.19; ฟม 1.20; ฟม 1.21; ฟม 1.22; ฟม 1.23; ฟม 1.24; ฮบ 10.34; ฮบ 11.32; ฮบ 12.21; ฮบ 13.6; ฮบ 13.19; ฮบ 13.22; ฮบ 13.23; ยก 1.2; ยก 1.13; ยก 1.16; ยก 1.19; ยก 2.1; ยก 2.5; ยก 2.14; ยก 2.18; ยก 3.1; ยก 3.10; ยก 3.12; ยก 5.10; ยก 5.12; 1ปต 2.11; 1ปต 5.1; 1ปต 5.12; 1ปต 5.13; 2ปต 1.12; 2ปต 1.13; 2ปต 1.14; 2ปต 1.15; 2ปต 3.1; 1ยน 2.1; 1ยน 2.4; 1ยน 2.7; 1ยน 2.8; 1ยน 2.12; 1ยน 2.13; 1ยน 2.14; 1ยน 2.21; 1ยน 2.26; 1ยน 3.13; 1ยน 3.18; 1ยน 4.20; 1ยน 5.13; 1ยน 5.16; 2ยน 1.1; 2ยน 1.4; 2ยน 1.5; 2ยน 1.12; 3ยน 1.1; 3ยน 1.2; 3ยน 1.3; 3ยน 1.4; 3ยน 1.9; 3ยน 1.10; 3ยน 1.13; 3ยน 1.14; ยด 1.3; ยด 1.5; วว 1.9; วว 1.10; วว 1.12; วว 1.17; วว 4.1; วว 4.2; วว 4.4; วว 5.1; วว 5.2; วว 5.4; วว 5.5; วว 5.6; วว 5.11; วว 5.13; วว 6.1; วว 6.2; วว 6.3; วว 6.5; วว 6.6; วว 6.7; วว 6.8; วว 6.9; วว 6.12; วว 7.1; วว 7.2; วว 7.4; วว 7.9; วว 7.13; วว 7.14; วว 8.2; วว 8.13; วว 9.1; วว 9.13; วว 9.16; วว 9.17; วว 10.1; วว 10.4; วว 10.5; วว 10.8; วว 10.9; วว 10.10; วว 10.11; วว 11.1; วว 12.10; วว 13.1; วว 13.2; วว 13.3; วว 13.11; วว 14.1; วว 14.2; วว 14.6; วว 14.13; วว 14.14; วว 15.1; วว 15.2; วว 15.5; วว 16.1; วว 16.5; วว 16.7; วว 16.13; วว 17.1; วว 17.3; วว 17.6; วว 17.7; วว 17.15; วว 18.1; วว 18.4; วว 19.1; วว 19.6; วว 19.9; วว 19.10; วว 19.11; วว 19.17; วว 19.19; วว 20.1; วว 20.4; วว 20.11; วว 20.12; วว 21.1; วว 21.2; วว 21.3; วว 21.5; วว 21.6; วว 21.9; วว 21.10; วว 21.15; วว 21.22; วว 22.1; วว 22.6; วว 22.8; วว 22.9; วว 22.10; วว 22.18

ข้าพระองค์ ( 3585 )
ปฐก 3.10; ปฐก 3.12; ปฐก 3.13; ปฐก 4.9; ปฐก 4.13; ปฐก 4.14; ปฐก 12.19; ปฐก 15.2; ปฐก 15.3; ปฐก 15.8; ปฐก 16.8; ปฐก 16.13; ปฐก 18.15; ปฐก 18.27; ปฐก 18.30; ปฐก 18.31; ปฐก 18.32; ปฐก 20.5; ปฐก 20.11; ปฐก 20.12; ปฐก 20.13; ปฐก 21.30; ปฐก 22.1; ปฐก 22.11; ปฐก 24.12; ปฐก 24.13; ปฐก 24.14; ปฐก 24.27; ปฐก 24.42; ปฐก 24.43; ปฐก 24.44; ปฐก 26.9; ปฐก 28.20; ปฐก 28.21; ปฐก 28.22; ปฐก 32.9; ปฐก 32.10; ปฐก 32.11; ปฐก 41.9; ปฐก 41.10; ปฐก 41.11; ปฐก 41.12; ปฐก 41.13; ปฐก 41.16; ปฐก 41.28; ปฐก 46.2; ปฐก 46.31; ปฐก 46.34; ปฐก 47.1; ปฐก 47.3; ปฐก 47.4; ปฐก 47.9; ปฐก 49.18; อพย 3.4; อพย 3.11; อพย 3.13; อพย 3.18; อพย 4.1; อพย 4.10; อพย 4.13; อพย 5.3; อพย 5.8; อพย 5.17; อพย 5.22; อพย 5.23; อพย 6.12; อพย 6.30; อพย 7.16; อพย 8.9; อพย 8.10; อพย 8.26; อพย 8.27; อพย 8.29; อพย 9.29; อพย 9.30; อพย 10.9; อพย 10.25; อพย 10.26; อพย 10.29; อพย 17.4; อพย 19.23; อพย 32.32; อพย 33.12; อพย 33.13; อพย 33.15; อพย 33.16; อพย 33.18; อพย 34.9; กดว 11.11; กดว 11.12; กดว 11.13; กดว 11.14; กดว 11.15; กดว 11.21; กดว 12.13; กดว 14.17; กดว 16.15; กดว 21.2; กดว 22.10; กดว 23.4; พบญ 3.25; พบญ 9.28; พบญ 26.5; พบญ 26.10; พบญ 26.13; พบญ 26.14; พบญ 26.15; ยชว 7.7; ยชว 7.8; ยชว 7.9; วนฉ 1.1; วนฉ 3.19; วนฉ 3.20; วนฉ 6.15; วนฉ 6.17; วนฉ 6.18; วนฉ 6.22; วนฉ 6.36; วนฉ 6.37; วนฉ 6.39; วนฉ 10.10; วนฉ 10.15; วนฉ 11.30; วนฉ 11.31; วนฉ 13.8; วนฉ 15.18; วนฉ 16.28; วนฉ 20.18; วนฉ 20.23; วนฉ 20.28; 1ซมอ 1.11; 1ซมอ 12.10; 1ซมอ 14.37; 1ซมอ 14.43; 1ซมอ 16.2; 1ซมอ 16.16; 1ซมอ 16.18; 1ซมอ 17.35; 1ซมอ 17.37; 1ซมอ 17.39; 1ซมอ 17.55; 1ซมอ 17.58; 1ซมอ 18.18; 1ซมอ 20.6; 1ซมอ 20.28; 1ซมอ 22.9; 1ซมอ 22.12; 1ซมอ 22.15; 1ซมอ 23.2; 1ซมอ 23.10; 1ซมอ 23.11; 1ซมอ 23.12; 1ซมอ 23.19; 1ซมอ 23.20; 1ซมอ 24.8; 1ซมอ 24.10; 1ซมอ 24.11; 1ซมอ 24.12; 1ซมอ 24.13; 1ซมอ 24.15; 1ซมอ 25.39; 1ซมอ 26.17; 1ซมอ 26.18; 1ซมอ 26.19; 1ซมอ 26.20; 1ซมอ 26.23; 1ซมอ 26.24; 1ซมอ 27.5; 1ซมอ 29.8; 1ซมอ 30.8; 2ซมอ 1.7; 2ซมอ 1.8; 2ซมอ 2.1; 2ซมอ 3.8; 2ซมอ 3.9; 2ซมอ 3.10; 2ซมอ 3.12; 2ซมอ 3.21; 2ซมอ 4.8; 2ซมอ 5.1; 2ซมอ 5.2; 2ซมอ 5.19; 2ซมอ 7.18; 2ซมอ 7.22; 2ซมอ 9.2; 2ซมอ 9.8; 2ซมอ 9.11; 2ซมอ 11.11; 2ซมอ 12.27; 2ซมอ 12.28; 2ซมอ 13.5; 2ซมอ 13.6; 2ซมอ 13.24; 2ซมอ 13.32; 2ซมอ 13.33; 2ซมอ 14.22; 2ซมอ 14.32; 2ซมอ 15.7; 2ซมอ 15.8; 2ซมอ 15.15; 2ซมอ 15.21; 2ซมอ 15.25; 2ซมอ 15.34; 2ซมอ 16.4; 2ซมอ 16.9; 2ซมอ 16.18; 2ซมอ 16.19; 2ซมอ 17.1; 2ซมอ 17.2; 2ซมอ 17.11; 2ซมอ 18.3; 2ซมอ 18.27; 2ซมอ 18.28; 2ซมอ 18.29; 2ซมอ 18.31; 2ซมอ 18.32; 2ซมอ 19.6; 2ซมอ 19.7; 2ซมอ 19.19; 2ซมอ 19.20; 2ซมอ 19.26; 2ซมอ 19.27; 2ซมอ 19.28; 2ซมอ 19.30; 2ซมอ 19.34; 2ซมอ 19.35; 2ซมอ 19.37; 2ซมอ 21.4; 2ซมอ 21.5; 2ซมอ 21.6; 2ซมอ 21.17; 2ซมอ 22.3; 2ซมอ 22.29; 2ซมอ 22.30; 2ซมอ 22.36; 2ซมอ 22.37; 2ซมอ 22.38; 2ซมอ 22.39; 2ซมอ 22.40; 2ซมอ 22.41; 2ซมอ 22.43; 2ซมอ 22.44; 2ซมอ 22.45; 2ซมอ 22.47; 2ซมอ 22.48; 2ซมอ 22.49; 2ซมอ 22.50; 2ซมอ 23.17; 2ซมอ 24.3; 2ซมอ 24.10; 2ซมอ 24.13; 2ซมอ 24.17; 2ซมอ 24.21; 2ซมอ 24.22; 1พกษ 1.2; 1พกษ 1.11; 1พกษ 1.12; 1พกษ 1.14; 1พกษ 1.17; 1พกษ 1.24; 1พกษ 1.26; 1พกษ 1.27; 1พกษ 1.36; 1พกษ 1.37; 1พกษ 2.30; 1พกษ 2.38; 1พกษ 2.42; 1พกษ 3.7; 1พกษ 3.9; 1พกษ 3.17; 1พกษ 3.18; 1พกษ 3.20; 1พกษ 3.21; 1พกษ 3.26; 1พกษ 8.13; 1พกษ 8.24; 1พกษ 8.25; 1พกษ 8.26; 1พกษ 8.27; 1พกษ 8.28; 1พกษ 8.40; 1พกษ 8.43; 1พกษ 8.44; 1พกษ 8.47; 1พกษ 8.48; 1พกษ 8.53; 1พกษ 11.21; 1พกษ 11.22; 1พกษ 12.4; 1พกษ 12.9; 1พกษ 12.10; 1พกษ 12.16; 1พกษ 14.6; 1พกษ 15.19; 1พกษ 17.1; 1พกษ 17.20; 1พกษ 17.21; 1พกษ 18.18; 1พกษ 18.19; 1พกษ 18.36; 1พกษ 18.37; 1พกษ 19.4; 1พกษ 19.10; 1พกษ 19.14; 1พกษ 20.39; 1พกษ 20.40; 1พกษ 21.3; 1พกษ 21.4; 1พกษ 21.6; 1พกษ 21.20; 1พกษ 22.17; 1พกษ 22.19; 1พกษ 22.21; 1พกษ 22.22; 1พกษ 22.28; 2พกษ 1.6; 2พกษ 3.13; 2พกษ 3.14; 2พกษ 3.15; 2พกษ 5.8; 2พกษ 6.12; 2พกษ 6.26; 2พกษ 6.28; 2พกษ 6.29; 2พกษ 8.5; 2พกษ 10.5; 2พกษ 19.19; 2พกษ 20.3; 2พกษ 22.10; 1พศด 4.10; 1พศด 11.1; 1พศด 12.18; 1พศด 14.10; 1พศด 16.35; 1พศด 17.16; 1พศด 17.17; 1พศด 17.20; 1พศด 17.25; 1พศด 21.3; 1พศด 21.8; 1พศด 21.12; 1พศด 21.17; 1พศด 21.23; 1พศด 29.10; 1พศด 29.13; 1พศด 29.14; 1พศด 29.15; 1พศด 29.16; 1พศด 29.17; 1พศด 29.18; 1พศด 29.19; 2พศด 1.8; 2พศด 1.9; 2พศด 1.10; 2พศด 6.2; 2พศด 6.15; 2พศด 6.16; 2พศด 6.18; 2พศด 6.19; 2พศด 6.31; 2พศด 6.33; 2พศด 6.34; 2พศด 6.37; 2พศด 6.38; 2พศด 6.40; 2พศด 10.4; 2พศด 10.9; 2พศด 10.10; 2พศด 10.16; 2พศด 14.11; 2พศด 18.16; 2พศด 18.18; 2พศด 18.20; 2พศด 18.21; 2พศด 18.27; 2พศด 20.7; 2พศด 20.9; 2พศด 20.11; 2พศด 20.12; 2พศด 25.16; 2พศด 29.18; 2พศด 29.19; 2พศด 31.10; 2พศด 34.18; อสร 4.12; อสร 4.14; อสร 4.16; อสร 5.8; อสร 5.9; อสร 5.10; อสร 5.11; อสร 5.17; อสร 9.6; อสร 9.7; อสร 9.8; อสร 9.9; อสร 9.10; อสร 9.13; อสร 9.14; อสร 9.15; นหม 1.6; นหม 1.7; นหม 1.11; นหม 2.3; นหม 2.5; นหม 2.7; นหม 2.8; นหม 4.4; นหม 5.19; นหม 6.9; นหม 6.14; นหม 9.9; นหม 9.10; นหม 9.16; นหม 9.32; นหม 9.33; นหม 9.34; นหม 9.36; นหม 9.37; นหม 13.14; นหม 13.22; นหม 13.29; นหม 13.31; อสธ 3.9; โยบ 7.7; โยบ 7.8; โยบ 7.11; โยบ 7.12; โยบ 7.13; โยบ 7.14; โยบ 7.15; โยบ 7.16; โยบ 7.19; โยบ 7.20; โยบ 7.21; โยบ 9.25; โยบ 9.27; โยบ 9.28; โยบ 9.29; โยบ 9.30; โยบ 9.31; โยบ 10.2; โยบ 10.6; โยบ 10.7; โยบ 10.8; โยบ 10.9; โยบ 10.10; โยบ 10.11; โยบ 10.12; โยบ 10.13; โยบ 10.14; โยบ 10.15; โยบ 10.16; โยบ 10.17; โยบ 10.18; โยบ 10.19; โยบ 10.20; โยบ 10.21; โยบ 13.20; โยบ 13.21; โยบ 13.22; โยบ 13.23; โยบ 13.24; โยบ 13.26; โยบ 13.27; โยบ 14.3; โยบ 14.13; โยบ 14.14; โยบ 14.15; โยบ 14.16; โยบ 14.17; โยบ 17.3; โยบ 30.20; โยบ 30.21; โยบ 30.22; โยบ 30.23; โยบ 33.24; โยบ 34.31; โยบ 34.32; โยบ 40.4; โยบ 40.5; โยบ 42.2; โยบ 42.3; โยบ 42.5; โยบ 42.6; สดด 3.1; สดด 3.2; สดด 3.3; สดด 3.7; สดด 4.1; สดด 4.6; สดด 4.7; สดด 4.8; สดด 5.1; สดด 5.2; สดด 5.3; สดด 5.7; สดด 5.8; สดด 6.1; สดด 6.2; สดด 6.3; สดด 6.4; สดด 6.6; สดด 6.7; สดด 7.1; สดด 7.2; สดด 7.3; สดด 7.4; สดด 7.5; สดด 7.6; สดด 7.8; สดด 8.1; สดด 8.3; สดด 8.9; สดด 9.1; สดด 9.2; สดด 9.3; สดด 9.4; สดด 9.13; สดด 9.14; สดด 13.1; สดด 13.2; สดด 13.3; สดด 13.4; สดด 13.5; สดด 16.1; สดด 16.2; สดด 16.5; สดด 16.10; สดด 16.11; สดด 17.1; สดด 17.2; สดด 17.3; สดด 17.4; สดด 17.5; สดด 17.6; สดด 17.8; สดด 17.9; สดด 17.11; สดด 17.13; สดด 17.14; สดด 17.15; สดด 18.1; สดด 18.2; สดด 18.3; สดด 18.4; สดด 18.5; สดด 18.28; สดด 18.29; สดด 18.35; สดด 18.36; สดด 18.37; สดด 18.38; สดด 18.39; สดด 18.40; สดด 18.42; สดด 18.43; สดด 18.44; สดด 18.46; สดด 18.47; สดด 18.48; สดด 18.49; สดด 19.12; สดด 19.13; สดด 19.14; สดด 20.9; สดด 21.13; สดด 22.1; สดด 22.2; สดด 22.4; สดด 22.6; สดด 22.7; สดด 22.9; สดด 22.10; สดด 22.11; สดด 22.12; สดด 22.13; สดด 22.14; สดด 22.15; สดด 22.16; สดด 22.17; สดด 22.18; สดด 22.19; สดด 22.20; สดด 22.21; สดด 22.22; สดด 22.25; สดด 23.4; สดด 23.5; สดด 25.1; สดด 25.2; สดด 25.4; สดด 25.5; สดด 25.7; สดด 25.11; สดด 25.16; สดด 25.17; สดด 25.18; สดด 25.19; สดด 25.20; สดด 25.21; สดด 26.1; สดด 26.2; สดด 26.3; สดด 26.4; สดด 26.5; สดด 26.6; สดด 26.8; สดด 26.9; สดด 26.11; สดด 26.12; สดด 27.7; สดด 27.8; สดด 27.9; สดด 27.10; สดด 27.11; สดด 27.12; สดด 28.1; สดด 28.2; สดด 28.3; สดด 30.1; สดด 30.2; สดด 30.3; สดด 30.6; สดด 30.7; สดด 30.8; สดด 30.9; สดด 30.10; สดด 30.11; สดด 30.12; สดด 31.1; สดด 31.2; สดด 31.3; สดด 31.4; สดด 31.5; สดด 31.6; สดด 31.7; สดด 31.8; สดด 31.9; สดด 31.10; สดด 31.11; สดด 31.12; สดด 31.13; สดด 31.14; สดด 31.15; สดด 31.16; สดด 31.17; สดด 31.21; สดด 31.22; สดด 32.3; สดด 32.4; สดด 32.5; สดด 32.7; สดด 33.22; สดด 35.1; สดด 35.2; สดด 35.3; สดด 35.4; สดด 35.7; สดด 35.9; สดด 35.10; สดด 35.11; สดด 35.12; สดด 35.13; สดด 35.14; สดด 35.15; สดด 35.16; สดด 35.17; สดด 35.18; สดด 35.19; สดด 35.21; สดด 35.22; สดด 35.23; สดด 35.24; สดด 35.26; สดด 35.27; สดด 35.28; สดด 36.11; สดด 38.1; สดด 38.2; สดด 38.3; สดด 38.4; สดด 38.5; สดด 38.6; สดด 38.7; สดด 38.8; สดด 38.9; สดด 38.10; สดด 38.11; สดด 38.12; สดด 38.13; สดด 38.14; สดด 38.15; สดด 38.16; สดด 38.17; สดด 38.18; สดด 38.19; สดด 38.20; สดด 38.21; สดด 38.22; สดด 39.4; สดด 39.5; สดด 39.7; สดด 39.8; สดด 39.9; สดด 39.10; สดด 39.12; สดด 39.13; สดด 40.5; สดด 40.6; สดด 40.7; สดด 40.8; สดด 40.9; สดด 40.10; สดด 40.11; สดด 40.12; สดด 40.13; สดด 40.14; สดด 40.15; สดด 40.17; สดด 41.4; สดด 41.6; สดด 41.7; สดด 41.9; สดด 41.10; สดด 41.11; สดด 41.12; สดด 42.1; สดด 42.6; สดด 42.7; สดด 42.9; สดด 43.1; สดด 43.2; สดด 43.3; สดด 43.4; สดด 44.1; สดด 44.4; สดด 44.5; สดด 44.6; สดด 44.7; สดด 44.8; สดด 44.9; สดด 44.10; สดด 44.11; สดด 44.13; สดด 44.14; สดด 44.15; สดด 44.17; สดด 44.18; สดด 44.19; สดด 44.22; สดด 44.23; สดด 44.24; สดด 44.25; สดด 44.26; สดด 46.1; สดด 48.9; สดด 51.1; สดด 51.2; สดด 51.3; สดด 51.4; สดด 51.5; สดด 51.6; สดด 51.7; สดด 51.8; สดด 51.9; สดด 51.10; สดด 51.11; สดด 51.12; สดด 51.13; สดด 51.14; สดด 51.15; สดด 51.16; สดด 52.9; สดด 54.1; สดด 54.2; สดด 54.3; สดด 54.6; สดด 55.1; สดด 55.2; สดด 55.3; สดด 55.4; สดด 55.5; สดด 55.6; สดด 55.9; สดด 55.23; สดด 56.1; สดด 56.2; สดด 56.3; สดด 56.4; สดด 56.5; สดด 56.6; สดด 56.8; สดด 56.9; สดด 56.10; สดด 56.11; สดด 56.12; สดด 56.13; สดด 57.1; สดด 57.7; สดด 57.9; สดด 59.1; สดด 59.2; สดด 59.3; สดด 59.4; สดด 59.9; สดด 59.11; สดด 59.16; สดด 59.17; สดด 60.1; สดด 60.3; สดด 60.5; สดด 60.10; สดด 61.1; สดด 61.2; สดด 61.3; สดด 61.4; สดด 61.5; สดด 61.8; สดด 63.1; สดด 63.2; สดด 63.3; สดด 63.4; สดด 63.5; สดด 63.6; สดด 63.7; สดด 63.8; สดด 63.9; สดด 64.1; สดด 64.2; สดด 65.3; สดด 65.4; สดด 65.5; สดด 66.10; สดด 66.11; สดด 66.12; สดด 66.13; สดด 66.14; สดด 66.15; สดด 67.1; สดด 68.24; สดด 68.28; สดด 69.1; สดด 69.2; สดด 69.3; สดด 69.4; สดด 69.5; สดด 69.6; สดด 69.7; สดด 69.8; สดด 69.9; สดด 69.10; สดด 69.11; สดด 69.12; สดด 69.13; สดด 69.14; สดด 69.15; สดด 69.16; สดด 69.17; สดด 69.18; สดด 69.19; สดด 69.20; สดด 69.21; สดด 69.29; สดด 70.1; สดด 70.2; สดด 70.5; สดด 71.1; สดด 71.2; สดด 71.3; สดด 71.4; สดด 71.5; สดด 71.6; สดด 71.7; สดด 71.8; สดด 71.9; สดด 71.10; สดด 71.12; สดด 71.13; สดด 71.14; สดด 71.15; สดด 71.16; สดด 71.17; สดด 71.18; สดด 71.20; สดด 71.21; สดด 71.22; สดด 71.23; สดด 71.24; สดด 73.15; สดด 73.16; สดด 73.17; สดด 73.21; สดด 73.22; สดด 73.23; สดด 73.24; สดด 73.25; สดด 73.26; สดด 73.28; สดด 74.1; สดด 74.12; สดด 75.1; สดด 77.4; สดด 77.5; สดด 77.6; สดด 77.11; สดด 77.12; สดด 79.8; สดด 79.9; สดด 79.10; สดด 79.12; สดด 79.13; สดด 80.2; สดด 80.3; สดด 80.6; สดด 80.7; สดด 80.18; สดด 80.19; สดด 83.13; สดด 84.2; สดด 84.3; สดด 84.8; สดด 84.9; สดด 84.10; สดด 85.4; สดด 85.5; สดด 85.6; สดด 85.7; สดด 85.8; สดด 85.9; สดด 85.12; สดด 85.13; สดด 86.1; สดด 86.2; สดด 86.3; สดด 86.4; สดด 86.6; สดด 86.7; สดด 86.11; สดด 86.12; สดด 86.13; สดด 86.14; สดด 86.16; สดด 86.17; สดด 88.1; สดด 88.2; สดด 88.3; สดด 88.4; สดด 88.6; สดด 88.7; สดด 88.8; สดด 88.9; สดด 88.13; สดด 88.14; สดด 88.15; สดด 88.16; สดด 88.17; สดด 88.18; สดด 89.1; สดด 89.2; สดด 89.17; สดด 89.26; สดด 89.47; สดด 89.50; สดด 90.1; สดด 90.7; สดด 90.8; สดด 90.9; สดด 90.10; สดด 90.12; สดด 90.14; สดด 90.15; สดด 90.17; สดด 91.2; สดด 92.4; สดด 92.10; สดด 92.11; สดด 92.15; สดด 94.18; สดด 94.19; สดด 99.8; สดด 101.1; สดด 101.2; สดด 101.3; สดด 101.4; สดด 101.5; สดด 101.6; สดด 101.7; สดด 101.8; สดด 102.1; สดด 102.2; สดด 102.3; สดด 102.4; สดด 102.5; สดด 102.6; สดด 102.7; สดด 102.8; สดด 102.9; สดด 102.10; สดด 102.11; สดด 102.24; สดด 104.1; สดด 106.4; สดด 106.5; สดด 106.6; สดด 106.7; สดด 106.47; สดด 108.1; สดด 108.3; สดด 108.6; สดด 108.11; สดด 109.1; สดด 109.2; สดด 109.3; สดด 109.4; สดด 109.5; สดด 109.20; สดด 109.21; สดด 109.22; สดด 109.23; สดด 109.24; สดด 109.25; สดด 109.26; สดด 109.29; สดด 115.1; สดด 116.4; สดด 116.8; สดด 116.16; สดด 116.17; สดด 118.21; สดด 118.25; สดด 118.28; สดด 119.5; สดด 119.6; สดด 119.7; สดด 119.8; สดด 119.10; สดด 119.11; สดด 119.12; สดด 119.13; สดด 119.14; สดด 119.15; สดด 119.16; สดด 119.17; สดด 119.18; สดด 119.19; สดด 119.20; สดด 119.22; สดด 119.23; สดด 119.24; สดด 119.25; สดด 119.26; สดด 119.27; สดด 119.28; สดด 119.29; สดด 119.30; สดด 119.31; สดด 119.32; สดด 119.33; สดด 119.34; สดด 119.35; สดด 119.36; สดด 119.37; สดด 119.39; สดด 119.40; สดด 119.41; สดด 119.42; สดด 119.43; สดด 119.44; สดด 119.45; สดด 119.46; สดด 119.47; สดด 119.48; สดด 119.49; สดด 119.50; สดด 119.51; สดด 119.52; สดด 119.53; สดด 119.54; สดด 119.55; สดด 119.56; สดด 119.57; สดด 119.58; สดด 119.59; สดด 119.60; สดด 119.61; สดด 119.62; สดด 119.63; สดด 119.64; สดด 119.66; สดด 119.67; สดด 119.68; สดด 119.69; สดด 119.70; สดด 119.71; สดด 119.72; สดด 119.73; สดด 119.74; สดด 119.75; สดด 119.76; สดด 119.77; สดด 119.78; สดด 119.79; สดด 119.80; สดด 119.81; สดด 119.82; สดด 119.83; สดด 119.84; สดด 119.85; สดด 119.86; สดด 119.87; สดด 119.88; สดด 119.92; สดด 119.93; สดด 119.94; สดด 119.95; สดด 119.96; สดด 119.97; สดด 119.98; สดด 119.99; สดด 119.100; สดด 119.101; สดด 119.102; สดด 119.103; สดด 119.104; สดด 119.105; สดด 119.106; สดด 119.107; สดด 119.108; สดด 119.109; สดด 119.110; สดด 119.111; สดด 119.112; สดด 119.113; สดด 119.114; สดด 119.116; สดด 119.117; สดด 119.119; สดด 119.120; สดด 119.121; สดด 119.122; สดด 119.123; สดด 119.124; สดด 119.125; สดด 119.127; สดด 119.128; สดด 119.129; สดด 119.131; สดด 119.132; สดด 119.133; สดด 119.134; สดด 119.135; สดด 119.136; สดด 119.139; สดด 119.141; สดด 119.143; สดด 119.144; สดด 119.145; สดด 119.146; สดด 119.147; สดด 119.148; สดด 119.149; สดด 119.150; สดด 119.152; สดด 119.153; สดด 119.154; สดด 119.156; สดด 119.157; สดด 119.158; สดด 119.159; สดด 119.161; สดด 119.162; สดด 119.163; สดด 119.164; สดด 119.166; สดด 119.167; สดด 119.168; สดด 119.169; สดด 119.170; สดด 119.171; สดด 119.172; สดด 119.173; สดด 119.174; สดด 119.175; สดด 119.176; สดด 120.2; สดด 123.1; สดด 123.3; สดด 123.4; สดด 126.4; สดด 130.1; สดด 130.2; สดด 131.1; สดด 131.2; สดด 132.3; สดด 132.4; สดด 132.5; สดด 138.1; สดด 138.2; สดด 138.3; สดด 138.7; สดด 138.8; สดด 139.1; สดด 139.2; สดด 139.3; สดด 139.4; สดด 139.5; สดด 139.6; สดด 139.7; สดด 139.8; สดด 139.9; สดด 139.10; สดด 139.11; สดด 139.13; สดด 139.14; สดด 139.15; สดด 139.16; สดด 139.17; สดด 139.18; สดด 139.19; สดด 139.21; สดด 139.22; สดด 139.23; สดด 139.24; สดด 140.1; สดด 140.4; สดด 140.5; สดด 140.6; สดด 140.7; สดด 140.9; สดด 141.1; สดด 141.2; สดด 141.3; สดด 141.4; สดด 141.5; สดด 141.6; สดด 141.8; สดด 141.9; สดด 141.10; สดด 142.3; สดด 142.4; สดด 142.5; สดด 142.6; สดด 142.7; สดด 143.1; สดด 143.3; สดด 143.4; สดด 143.5; สดด 143.6; สดด 143.7; สดด 143.8; สดด 143.9; สดด 143.10; สดด 143.11; สดด 143.12; สดด 144.1; สดด 144.2; สดด 144.7; สดด 144.9; สดด 144.11; สดด 144.12; สดด 144.13; สดด 144.14; สดด 145.1; สดด 145.2; สดด 145.5; สดด 145.6; สภษ 30.7; สภษ 30.8; สภษ 30.9; อสย 6.8; อสย 12.1; อสย 19.11; อสย 21.8; อสย 25.1; อสย 26.8; อสย 26.9; อสย 26.12; อสย 26.13; อสย 26.17; อสย 26.18; อสย 26.19; อสย 33.2; อสย 37.20; อสย 38.3; อสย 38.14; อสย 38.16; อสย 38.17; อสย 38.19; อสย 44.17; อสย 58.3; อสย 59.12; อสย 63.15; อสย 63.16; อสย 63.17; อสย 63.18; อสย 63.19; อสย 64.3; อสย 64.5; อสย 64.6; อสย 64.7; อสย 64.8; อสย 64.9; อสย 64.11; อสย 64.12; ยรม 1.6; ยรม 1.11; ยรม 1.13; ยรม 2.27; ยรม 2.31; ยรม 3.4; ยรม 3.19; ยรม 3.22; ยรม 5.5; ยรม 10.23; ยรม 10.24; ยรม 11.18; ยรม 11.19; ยรม 11.20; ยรม 12.1; ยรม 12.3; ยรม 14.7; ยรม 14.9; ยรม 14.19; ยรม 14.20; ยรม 14.21; ยรม 14.22; ยรม 15.15; ยรม 15.16; ยรม 15.17; ยรม 15.18; ยรม 16.19; ยรม 17.14; ยรม 17.15; ยรม 17.16; ยรม 17.17; ยรม 17.18; ยรม 18.19; ยรม 18.20; ยรม 18.22; ยรม 18.23; ยรม 20.7; ยรม 20.8; ยรม 20.9; ยรม 20.10; ยรม 20.12; ยรม 31.18; ยรม 31.19; ยรม 32.6; ยรม 32.8; ยรม 32.9; ยรม 32.10; ยรม 32.11; ยรม 32.12; ยรม 32.13; ยรม 32.16; ยรม 32.25; ยรม 37.18; ยรม 37.20; ยรม 38.9; ยรม 38.15; ยรม 38.20; ยรม 38.21; พคค 1.9; พคค 1.11; พคค 1.20; พคค 1.21; พคค 1.22; พคค 2.21; พคค 2.22; พคค 3.42; พคค 3.43; พคค 3.44; พคค 3.45; พคค 3.46; พคค 3.47; พคค 3.48; พคค 3.49; พคค 3.51; พคค 3.52; พคค 3.53; พคค 3.54; พคค 3.55; พคค 3.56; พคค 3.57; พคค 3.58; พคค 3.59; พคค 3.60; พคค 3.61; พคค 3.62; พคค 3.63; พคค 5.1; พคค 5.2; พคค 5.3; พคค 5.5; พคค 5.6; พคค 5.7; พคค 5.8; พคค 5.9; พคค 5.10; พคค 5.15; พคค 5.16; พคค 5.17; พคค 5.20; พคค 5.21; พคค 5.22; อสค 4.14; อสค 9.11; อสค 20.49; ดนล 2.4; ดนล 2.7; ดนล 2.23; ดนล 2.25; ดนล 2.30; ดนล 2.36; ดนล 3.16; ดนล 3.17; ดนล 3.18; ดนล 4.19; ดนล 4.24; ดนล 4.27; ดนล 5.17; ดนล 6.22; ดนล 9.5; ดนล 9.6; ดนล 9.7; ดนล 9.8; ดนล 9.9; ดนล 9.10; ดนล 9.11; ดนล 9.12; ดนล 9.13; ดนล 9.14; ดนล 9.15; ดนล 9.16; ดนล 9.17; ดนล 9.18; ดนล 9.19; ฮชย 2.23; ฮชย 8.2; ฮชย 14.2; ฮชย 14.3; ยอล 1.19; ยนา 1.14; ยนา 2.2; ยนา 2.3; ยนา 2.4; ยนา 2.5; ยนา 2.6; ยนา 2.7; ยนา 2.9; ยนา 4.2; ยนา 4.3; ยนา 4.8; ยนา 4.9; ฮบก 1.2; ฮบก 1.3; ฮบก 1.12; ฮบก 3.2; มลค 1.2; มลค 1.6; มลค 1.7; มธ 3.14; มธ 6.9; มธ 6.11; มธ 6.12; มธ 6.13; มธ 7.22; มธ 8.2; มธ 8.6; มธ 8.8; มธ 8.9; มธ 8.21; มธ 9.14; มธ 9.18; มธ 9.27; มธ 11.25; มธ 13.36; มธ 14.17; มธ 14.28; มธ 14.30; มธ 15.15; มธ 15.22; มธ 15.25; มธ 17.4; มธ 17.15; มธ 17.16; มธ 17.19; มธ 18.21; มธ 19.27; มธ 20.21; มธ 20.22; มธ 20.30; มธ 20.31; มธ 20.33; มธ 24.3; มธ 25.37; มธ 25.38; มธ 25.39; มธ 25.44; มธ 26.17; มธ 26.22; มธ 26.25; มธ 26.33; มธ 26.35; มธ 26.39; มธ 26.42; มธ 27.35; มธ 27.46; มก 1.40; มก 5.7; มก 5.9; มก 5.12; มก 5.23; มก 6.37; มก 8.24; มก 9.5; มก 9.17; มก 9.18; มก 9.24; มก 9.28; มก 9.38; มก 10.28; มก 10.35; มก 10.37; มก 10.47; มก 10.48; มก 10.51; มก 13.4; มก 14.12; มก 14.19; มก 14.29; มก 14.31; มก 14.36; มก 15.34; ลก 2.30; ลก 5.5; ลก 5.8; ลก 5.12; ลก 7.6; ลก 7.7; ลก 7.8; ลก 8.28; ลก 9.33; ลก 9.49; ลก 9.54; ลก 9.57; ลก 9.59; ลก 9.61; ลก 10.17; ลก 10.21; ลก 10.40; ลก 11.1; ลก 11.2; ลก 11.3; ลก 11.4; ลก 12.41; ลก 18.11; ลก 18.12; ลก 18.13; ลก 18.28; ลก 18.38; ลก 18.39; ลก 18.41; ลก 19.8; ลก 22.9; ลก 22.33; ลก 22.42; ลก 23.42; ลก 23.46; ยน 1.48; ยน 2.17; ยน 4.49; ยน 6.68; ยน 6.69; ยน 9.38; ยน 11.21; ยน 11.22; ยน 11.24; ยน 11.27; ยน 11.32; ยน 11.41; ยน 11.42; ยน 12.27; ยน 13.6; ยน 13.8; ยน 13.9; ยน 13.37; ยน 14.5; ยน 14.8; ยน 14.9; ยน 14.22; ยน 16.30; ยน 17.4; ยน 17.5; ยน 17.6; ยน 17.7; ยน 17.8; ยน 17.9; ยน 17.10; ยน 17.11; ยน 17.12; ยน 17.13; ยน 17.14; ยน 17.15; ยน 17.16; ยน 17.18; ยน 17.19; ยน 17.20; ยน 17.21; ยน 17.22; ยน 17.23; ยน 17.24; ยน 17.25; ยน 17.26; ยน 18.9; ยน 19.24; ยน 20.28; ยน 21.15; ยน 21.16; ยน 21.17; กจ 2.27; กจ 2.28; กจ 7.59; กจ 9.6; กจ 9.10; กจ 9.13; กจ 10.14; กจ 11.8; กจ 22.19; กจ 22.20; กจ 26.2; กจ 26.3; กจ 26.4; กจ 26.5; กจ 26.6; กจ 26.7; กจ 26.9; กจ 26.10; กจ 26.11; กจ 26.12; กจ 26.13; กจ 26.14; กจ 26.15; กจ 26.19; กจ 26.20; กจ 26.21; กจ 26.22; กจ 26.25; กจ 26.26; กจ 26.27; กจ 26.29; รม 8.36; รม 11.3; รม 15.3; รม 15.9; ฮบ 10.5; ฮบ 10.7; ฮบ 10.9; วว 11.17

ขาพับ ( 1 )
ลนต 11.21 แต่ในบรรดาแมลงมีปีกที่คลานสี่ขานี้ เจ้าจะรับประทานจำพวกที่มีขาพับใช้กระโดดไปบนดินได้

ขาม ( 1 )
อสย 44.8 อย่ากลัวเลย และอย่าขามเลย เรามิได้เล่าให้เจ้าฟังตั้งแต่ดึกดำบรรพ์และแจ้งให้ทราบแล้วหรือ และเจ้าเป็นพยานทั้งหลายของเรา มีพระเจ้านอกเหนือเราหรือ เออ ไม่มีพระเจ้า เราไม่รู้จักเลย”

ข้าม ( 208 )
ปฐก 31.21 ยาโคบเอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดลุกขึ้นหนีข้ามแม่น้ำบ่ายหน้าไปยังถิ่นเทือกเขากิเลอาด
ปฐก 31.52 หินกองนี้เป็นพยาน และเสานั้นก็เป็นพยานว่า เราจะไม่ข้ามกองหินนี้ไปหาเจ้า และเจ้าจะไม่ข้ามกองหินนี้และเสานี้มาหาเรา เพื่อทำอันตรายกัน
ปฐก 32.10 ข้าพระองค์ไม่สมควรจะรับบรรดาพระกรุณาและความจริงแม้เล็กน้อยที่สุด ที่พระองค์ได้ทรงโปรดสำแดงแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ ด้วยว่าข้าพระองค์ข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้เมื่อมีแต่ไม้เท้า และบัดนี้ข้าพระองค์มีผู้คนเป็นสองพวก
ปฐก 32.22 กลางคืนนั้นเอง ยาโคบก็ลุกขึ้น พาภรรยาทั้งสอง สาวใช้ทั้งสองและบุตรชายสิบเอ็ดคนข้ามลำธารชื่อยับบอกไป
ปฐก 32.23 ยาโคบส่งครอบครัวข้ามลำธารไป และส่งของทั้งหมดของตนข้ามไปด้วย
ปฐก 49.22 โยเซฟเป็นกิ่งที่เกิดผลดก เป็นกิ่งที่เกิดผลดกอยู่ริมบ่อน้ำ มีกิ่งพาดข้ามกำแพง
อพย 14.16 ฝ่ายเจ้าจงยกไม้เท้าของเจ้า แล้วยื่นมือของเจ้าออกไปเหนือทะเล ทำให้ทะเลนั้นแยกออก เพื่อคนอิสราเอลจะได้เดินบนดินแห้งกลางทะเลแล้วข้ามไปได้
กดว 32.5 และเขาทั้งหลายกล่าวว่า “ถ้าข้าพเจ้าทั้งหลายได้รับความกรุณาในสายตาของท่าน ขอมอบแผ่นดินนี้เป็นกรรมสิทธิ์แก่คนใช้ของท่าน ขออย่าพาข้าพเจ้าทั้งหลายข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปเลย”
กดว 32.7 ทำไมท่านทั้งหลายกระทำให้จิตใจของคนอิสราเอลท้อถอยที่จะยกข้ามไปยังแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์ได้ทรงประทานแก่เขา
กดว 32.21 และคนของท่านที่ถืออาวุธทุกคนจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ จนกว่าพระองค์จะทรงขับไล่ศัตรูให้พ้นพระองค์
กดว 32.27 แต่คนใช้ของท่านทุกคนผู้มีอาวุธทำสงครามจะข้ามไปเพื่อสู้รบต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ดังที่เจ้านายของข้าพเจ้าสั่ง”
กดว 32.29 และโมเสสกล่าวแก่เขาว่า “ถ้าคนกาดและคนรูเบน ทุกคนผู้มีอาวุธที่จะทำสงครามต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ จะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปพร้อมกับท่านทั้งหลาย และแผ่นดินนั้นจะพ่ายแพ้ต่อหน้าท่านแล้ว ท่านจงมอบแผ่นดินกิเลอาดให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่เขา
กดว 32.30 แต่ถ้าเขาไม่ถืออาวุธข้ามไปกับท่าน เขาจะต้องได้ส่วนแผ่นดินคานาอันร่วมกับท่านเป็นกรรมสิทธิ์”
กดว 32.32 เราจะถืออาวุธข้ามไปต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์สู่แผ่นดินคานาอัน และที่ดินมรดกของเรานั้นจะคงอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้”
กดว 33.8 และเขาทั้งหลายยกเดินจากหน้าปีหะหิโรท ข้ามกลางทะเลเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร และเขาทั้งหลายเดินในถิ่นทุรกันดารเอธามระยะทางสามวัน และมาตั้งค่ายที่มาราห์
กดว 33.51 “จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า เมื่อเจ้าข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปในแผ่นดินคานาอัน
กดว 34.4 และอาณาเขตของเจ้าจะเลี้ยวไปทางใต้เนินสูงอาครับบิม ข้ามไปยังศิน ไปสุดลงที่ด้านใต้คาเดชบารเนีย เรื่อยไปถึงฮาซารัดดาร์ผ่านเรื่อยไปถึงอัสโมน
กดว 35.10 “จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า เมื่อเจ้าทั้งหลายข้ามแม่น้ำจอร์แดน เข้าในแผ่นดินคานาอัน
พบญ 2.13 ข้าพเจ้ากล่าวว่า ‘บัดนี้เจ้าทั้งหลายจงยกเดินข้ามลำธารเศเรด’ เราทั้งหลายจึงข้ามลำธารเศเรด
พบญ 2.14 และนับตั้งแต่เรามาจากคาเดชบารเนีย จนถึงได้ข้ามลำธารเศเรดนั้นได้สามสิบแปดปีจนสิ้นยุคนั้น คือคนทั้งหลายที่จะออกทัพได้นั้นตายหมดจากท่ามกลางค่าย ตามที่พระเยโฮวาห์ทรงปฏิญาณกับเขาไว้
พบญ 2.18 ‘วันนี้เจ้าทั้งหลายจะเดินข้ามตำบลอาร์เขตแดนของคนโมอับ
พบญ 2.24 ‘พวกเจ้าจงลุกเดินทางไปข้ามลุ่มแม่น้ำอารโนน ดูเถิด เราได้มอบสิโหนชาวอาโมไรต์ผู้เป็นกษัตริย์เมืองเฮชโบน และเมืองของเขาไว้ในมือของพวกเจ้า เจ้าทั้งหลายจงตั้งต้นยึดเมืองนั้นและสู้รบกับเขา
พบญ 2.27 ‘ขอให้ข้าพเจ้าเดินข้ามแผ่นดินของท่าน ข้าพเจ้าจะเดินไปตามทางหลวง จะไม่เลี้ยวไปทางขวามือหรือซ้ายมือเลย
พบญ 2.28 ขอท่านได้ขายเสบียงเอาเงินของข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะได้กิน และขอขายน้ำเอาเงินของข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะได้ดื่ม ขอให้ข้าพเจ้าเดินเท้าข้ามประเทศของท่านเท่านั้น
พบญ 2.29 (ดุจพวกลูกหลานเอซาวที่อยู่ตำบลเสอีร์ และพวกโมอับที่อยู่ตำบลอาร์ ได้กระทำแก่ข้าพเจ้านั้น) จนข้าพเจ้าข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปในแผ่นดินที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลายได้ทรงประทานแก่ข้าพเจ้า’
พบญ 2.30 แต่สิโหนกษัตริย์เมืองเฮชโบน ไม่ยอมให้เราทั้งหลายข้ามประเทศของท่าน เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงกระทำจิตใจของสิโหนให้กระด้าง กระทำใจของท่านให้แข็งไป เพื่อจะได้ทรงมอบเขาไว้ในมือของพวกท่าน ดังเป็นอยู่ทุกวันนี้
พบญ 3.18 ครั้งนั้นข้าพเจ้าได้บัญชาท่านทั้งหลายว่า ‘พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านได้ทรงให้ท่านทั้งหลายยึดครองแผ่นดินนี้ ทแกล้วทหารทั้งสิ้นของท่าน จงถืออาวุธยกข้ามไปก่อนคนอิสราเอลผู้เป็นพี่น้องของท่าน
พบญ 3.21 ครั้งนั้นข้าพเจ้าได้สั่งโยชูวาว่า ‘นัยน์ตาของท่านได้เห็นบรรดากิจการซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านได้ทรงกระทำแก่กษัตริย์ทั้งสองนั้นแล้ว ดังนั้นพระเยโฮวาห์จะทรงกระทำแก่อาณาจักรทั้งปวงซึ่งท่านจะข้ามไปอยู่เช่นเดียวกัน
พบญ 3.25 ขอพระองค์ทรงโปรดอนุญาตให้ข้าพระองค์ข้ามไปดูแผ่นดินอันดีที่อยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น ดูแดนเทือกเขางดงามและเลบานอนด้วย’
พบญ 3.27 เจ้าจงขึ้นไปถึงยอดเขาปิสกาห์ และเพ่งตาของเจ้าดูทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ และทิศตะวันออก และดูแผ่นดินนั้นด้วยนัยน์ตาของเจ้า เพราะเจ้าจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้ไปไม่ได้เลย
พบญ 3.28 แต่เจ้าจงกำชับโยชูวา จงสนับสนุนและชูใจของเขาให้เข้มแข็ง เพราะเขาจะต้องนำหน้าชนชาตินี้ข้ามไป และจะให้เขาทั้งหลายเข้าถือกรรมสิทธิ์ในแผ่นดินที่เจ้าแลเห็นนั้น’
พบญ 4.14 ในครั้งนั้นพระเยโฮวาห์ทรงบัญชาให้ข้าพเจ้าสั่งสอนกฎเกณฑ์และคำตัดสินแก่ท่านทั้งหลาย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้กระทำตามในแผ่นดินซึ่งท่านกำลังจะข้ามไปยึดครองนั้น
พบญ 4.21 ยิ่งกว่านั้น เพราะท่านทั้งหลายเป็นเหตุ พระเยโฮวาห์ทรงพระพิโรธต่อข้าพเจ้า และทรงปฏิญาณว่าข้าพเจ้าจะไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดน และข้าพเจ้าจะไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินดีซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายประทานแก่ท่านให้เป็นมรดก
พบญ 4.22 แต่ข้าพเจ้าจะตายเสียในแผ่นดินนี้ ข้าพเจ้าจะไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดน แต่ท่านทั้งหลายจะได้ข้ามไป และถือแผ่นดินดีนั้นเป็นกรรมสิทธิ์
พบญ 4.26 ข้าพเจ้าขออัญเชิญฟ้าและดินมาเป็นพยานกล่าวโทษท่านในวันนี้ว่า ท่านทั้งหลายจะพินาศอย่างสิ้นเชิงจากแผ่นดิน ซึ่งท่านทั้งหลายกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยึดครองนั้น ท่านจะไม่ได้อยู่ในแผ่นดินนั้นนาน แต่ท่านจะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง
พบญ 6.1 “ต่อไปนี้เป็นพระบัญญัติ กฎเกณฑ์และคำตัดสินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายทรงบัญชาให้สอนท่าน เพื่อท่านทั้งหลายจะได้กระทำตามในแผ่นดินซึ่งท่านจะข้ามไปยึดครองนั้น
พบญ 9.1 “โอ คนอิสราเอล จงฟังเถิด ท่านกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปในวันนี้ เพื่อจะเข้าไปยึดครองประชาชาติที่ใหญ่กว่าและมีกำลังมากกว่าท่าน ทั้งเมืองที่ใหญ่มีกำแพงสูงเทียมฟ้า
พบญ 11.8 เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงรักษาบัญญัติทั้งสิ้นซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาแก่ท่านทั้งหลายในวันนี้ เพื่อท่านทั้งหลายจะเข้มแข็ง และเข้าไปยึดครองแผ่นดินซึ่งท่านทั้งหลายกำลังจะข้ามไปครอบครองนั้นมาเป็นกรรมสิทธิ์
พบญ 11.31 เพราะท่านทั้งหลายจะต้องข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยึดครองแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน และท่านจะยึดครองและอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น
พบญ 12.10 แต่เมื่อท่านข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปแล้ว และอาศัยอยู่ในแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายประทานเป็นมรดกแก่ท่าน และเมื่อพระองค์โปรดให้ท่านพักพ้นศัตรูรอบข้างของท่านทั้งสิ้น ท่านจึงอยู่อย่างปลอดภัย
พบญ 27.2 ในวันที่ท่านทั้งหลายจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าสู่แผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน ท่านจงตั้งศิลาก้อนใหญ่ๆขึ้น เอาปูนโบกเสีย
พบญ 27.3 แล้วท่านจงจารึกบรรดาถ้อยคำของพระราชบัญญัตินี้ไว้บนนั้น เมื่อท่านข้ามไปเพื่อเข้าแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน เป็นแผ่นดินซึ่งมีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ ดังที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่านได้ทรงสัญญาไว้กับท่าน
พบญ 27.4 ฉะนั้นเมื่อท่านข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปแล้ว บนภูเขาเอบาลท่านจงตั้งศิลาเหล่านี้ตามเรื่องที่ข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ แล้วจงโบกเสียด้วยปูน
พบญ 27.12 “เมื่อท่านทั้งหลายยกข้ามแม่น้ำจอร์แดนนั้นแล้ว ให้คนต่อไปนี้ยืนบนภูเขาเกริซิมกล่าวคำอวยพรแก่ประชาชน คือสิเมโอน เลวี ยูดาห์ อิสสาคาร์ โยเซฟและเบนยามิน
พบญ 30.13 มิใช่อยู่พ้นทะเล ซึ่งท่านจะกล่าวว่า ‘ใครจะข้ามทะเลไปแทนเราและนำมาให้เรา และกระทำให้เราได้ฟังและประพฤติตาม’
พบญ 30.18 ข้าพเจ้าขอประกาศแก่ท่านทั้งหลายในวันนี้ว่า ท่านทั้งหลายจะพินาศเป็นแน่ ท่านจะไม่มีชีวิตอยู่นานในแผ่นดินซึ่งท่านกำลังจะยกข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปยึดครองนั้น
พบญ 31.2 และท่านกล่าวแก่เขาว่า “วันนี้ข้าพเจ้ามีอายุหนึ่งร้อยยี่สิบปีแล้ว ข้าพเจ้าจะออกไปและเข้ามาอีกไม่ไหวแล้ว พระเยโฮวาห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เจ้าจะไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้’
พบญ 31.3 พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะข้ามไปข้างหน้าท่านเอง พระองค์จะทรงทำลายประชาชาติเหล่านี้ให้พ้นหน้าท่าน เพื่อว่าท่านจะยึดครองเขานั้น โยชูวาจะข้ามไปนำหน้าท่านทั้งหลาย ดังที่พระเยโฮวาห์ตรัสไว้แล้ว
พบญ 31.13 และเพื่อลูกหลานทั้งหลายของเขา ผู้ยังไม่ทราบจะได้ยินและเรียนรู้ที่จะยำเกรงพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ตราบเท่าเวลาซึ่งท่านอยู่ในแผ่นดิน ซึ่งท่านกำลังจะยกข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยึดครองนั้น”
พบญ 32.47 เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยสำหรับท่านทั้งหลาย แต่เป็นเรื่องชีวิตของท่านทั้งหลาย และเรื่องนี้จะกระทำให้ท่านทั้งหลายมีชีวิตยืนนานในแผ่นดิน ซึ่งท่านทั้งหลายกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยึดครองนั้น”
ยชว 1.2 “โมเสสผู้รับใช้ของเราสิ้นชีวิตแล้ว ฉะนั้นบัดนี้จงลุกขึ้น ยกข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้ ทั้งเจ้าและชนชาตินี้ทั้งหมดไปยังแผ่นดินซึ่งเรายกให้แก่เขาทั้งหลาย คือแก่คนอิสราเอล
ยชว 1.11 “จงไปในค่ายสั่งประชาชนว่า จงเตรียมเสบียงอาหารไว้ เพราะว่าภายในสามวันท่านทั้งหลายจะต้องยกข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้ เพื่อเข้าไปยึดครองแผ่นดิน ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่านให้ยึดครอง”
ยชว 1.14 จงให้ภรรยาของท่านทั้งหลาย ลูกเล็กของท่าน และฝูงสัตว์ของท่านอยู่ในแผ่นดินซึ่งโมเสสยกให้ที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ แต่ผู้ชายที่ชำนาญศึกทั้งหลายในพวกท่านต้องถืออาวุธข้ามไปเป็นทัพหน้า เพื่อช่วยพี่น้องของตน
ยชว 2.7 เขาทั้งหลายก็ไล่ตามคนทั้งสองไปทางแม่น้ำจอร์แดนจนถึงท่าข้าม พอคนที่ไล่ตามนั้นออกไปแล้วเขาก็ปิดประตูเมือง
ยชว 2.23 ชายทั้งสองก็ลงจากภูเขาอีก และข้ามไปหาโยชูวาบุตรชายนูน แล้วเล่าเหตุการณ์ทั้งสิ้นซึ่งเกิดแก่ตนให้ฟัง
ยชว 3.1 ฝ่ายโยชูวาก็ตื่นแต่เช้า เขาทั้งหลายยกออกจากชิทธิมมาถึงแม่น้ำจอร์แดน ทั้งตัวท่านและคนอิสราเอลทั้งหมด เขาพักอยู่ที่นั่นก่อนจะข้ามไป
ยชว 3.6 โยชูวาสั่งพวกปุโรหิตว่า “จงยกหีบพันธสัญญาข้ามไปข้างหน้าประชาชนทั้งปวง” เขาก็ยกหีบพันธสัญญาเดินไปข้างหน้าประชาชน
ยชว 3.11 ดูเถิด หีบพันธสัญญาแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าปิ่นสากลพิภพจะข้ามไปข้างหน้าท่านลงไปในแม่น้ำจอร์แดน
ยชว 3.14 ดังนั้นเมื่อประชาชนยกจากเต็นท์ของเขาทั้งหลาย เพื่อจะข้ามแม่น้ำจอร์แดน พร้อมกับปุโรหิตหามหีบพันธสัญญาไปข้างหน้าประชาชน
ยชว 3.16 น้ำที่ไหลมาจากข้างบนก็หยุดตั้งขึ้นและนูนขึ้นเป็นกองไกลออกไปยิ่งนักตั้งแต่เมืองอาดัม ซึ่งเป็นเมืองอยู่ข้างๆเมืองศาเรธาน และน้ำที่ไหลลงสู่ทะเลแห่งที่ราบ คือทะเลเค็มนั้นก็ขาดกันสิ้น แล้วประชาชนก็ข้ามไปที่ฝั่งตรงข้ามเมืองเยรีโค
ยชว 3.17 และปุโรหิตผู้หามหีบพันธสัญญาของพระเยโฮวาห์ยืนมั่นอยู่บนดินแดนแห้งกลางแม่น้ำจอร์แดน คนอิสราเอลทั้งหมดก็เดินข้ามไปบนดินแห้ง จนประชาชนข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปหมด
ยชว 4.1 ต่อมาเมื่อประชาชนนั้นได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนเสร็จหมดแล้ว พระเยโฮวาห์ตรัสสั่งโยชูวาว่า
ยชว 4.7 แล้วท่านจงตอบพวกเขาว่า ‘น้ำที่จอร์แดนขาดจากกันต่อหน้าหีบพันธสัญญาแห่งพระเยโฮวาห์ เมื่อหีบนั้นข้ามแม่น้ำจอร์แดน น้ำในแม่น้ำจอร์แดนก็ขาดจากกัน ศิลาเหล่านี้จะเป็นที่รำลึกแก่ลูกหลานอิสราเอลเป็นนิตย์’”
ยชว 4.10 เพราะว่าปุโรหิตผู้หามหีบนั้นได้ยืนอยู่ที่กลางจอร์แดนกว่าสิ่งสารพัดจะสำเร็จ ตามซึ่งพระเยโฮวาห์บัญชาโยชูวาให้บอกประชาชน ตามซึ่งโมเสสได้บัญชาไว้กับโยชูวาทุกประการ แล้วประชาชนก็รีบข้ามไป
ยชว 4.11 ต่อมาเมื่อประชาชนข้ามไปหมดแล้ว หีบแห่งพระเยโฮวาห์และปุโรหิตก็ข้ามไปต่อหน้าประชาชน
ยชว 4.12 คนรูเบน คนกาด และคนมนัสเสห์ครึ่งตระกูลถืออาวุธนำหน้าคนอิสราเอลข้ามไปตามที่โมเสสได้สั่งเขาไว้
ยชว 4.13 มีคนถืออาวุธไว้พร้อมที่จะเข้าสงครามประมาณสี่หมื่นคนได้ข้ามไปต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์เพื่อทำศึก ไปถึงที่ราบเขตเมืองเยรีโค
ยชว 4.22 แล้วท่านจงตอบแก่ลูกหลานให้ทราบว่า ‘อิสราเอลได้ข้ามจอร์แดนนี้บนดินแห้ง’
ยชว 4.23 เพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายกระทำให้แม่น้ำจอร์แดนแห้งไปเพื่อท่าน จนท่านข้ามไปได้หมด ดังที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านกระทำแก่ทะเลแดง ทรงกระทำให้แห้งเพื่อเราทั้งหลาย จนเราข้ามไปหมด
ยชว 5.1 ต่อมาเมื่อบรรดากษัตริย์ของคนอาโมไรต์ซึ่งอยู่ฟากจอร์แดนข้างตะวันตก และบรรดากษัตริย์ของคนคานาอัน ซึ่งอยู่ใกล้ทะเล ได้ยินว่าพระเยโฮวาห์ทรงบันดาลให้น้ำในจอร์แดนแห้งไปต่อหน้าคนอิสราเอล ให้เราข้ามฟากไปได้หมดแล้ว จิตใจของเขาก็ละลายไป ไม่มีกำลังใจในตัวอีกต่อไปเหตุเพราะคนอิสราเอล
ยชว 7.7 โยชูวากราบทูลว่า “โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า อนิจจาเอ๋ย เป็นไฉนพระองค์จึงทรงนำชนชาตินี้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนมา เพื่อจะมอบเราทั้งหลายไว้ในมือของคนอาโมไรต์ให้ทำลายเสีย พวกข้าพระองค์มีความเสียดายที่ไม่พอใจอยู่เพียงฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น
ยชว 22.19 แต่ถ้าแผ่นดินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของท่านไม่สะอาด จงข้ามไปในแผ่นดินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของพระเยโฮวาห์ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งพลับพลาของพระเยโฮวาห์ และมาถือกรรมสิทธิ์อยู่ท่ามกลางพวกเราเถิด ขอแต่เพียงอย่ากบฏต่อพระเยโฮวาห์ หรือกบฏต่อเรา โดยที่ท่านทั้งหลายสร้างแท่นบูชาสำหรับตัว นอกจากแท่นบูชาแห่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราทั้งหลาย
ยชว 24.11 และเจ้าทั้งหลายข้ามแม่น้ำจอร์แดน มาที่เมืองเยรีโค และชาวเมืองเยรีโคต่อสู้กับเจ้า และคนอาโมไรต์ คนเปริสซี คนคานาอัน คนฮิตไทต์ คนเกอร์กาชี คนฮีไวต์ และคนเยบุส และเราได้มอบเขาไว้ในมือของเจ้าทั้งหลาย
วนฉ 3.28 ท่านจึงสั่งเขาว่า “จงตามเรามาเถิด เพราะพระเยโฮวาห์ทรงมอบศัตรูของท่าน คือชนโมอับไว้ในมือของท่านแล้ว” เขาทั้งหลายจึงลงตามท่านไป และยึดท่าข้ามแม่น้ำจอร์แดนสกัดคนโมอับไว้ไม่ยอมให้ใครข้ามไปได้สักคนเดียว
วนฉ 6.33 ครั้งนั้นบรรดาคนมีเดียน และคนอามาเลข และชาวตะวันออกก็รวมกันยกทัพข้ามไปตั้งค่ายอยู่ในหุบเขายิสเรเอล
วนฉ 8.4 กิเดโอนก็มาที่แม่น้ำจอร์แดนและข้ามไป ทั้งท่านและทหารสามร้อยคนที่อยู่ด้วย ถึงจะอ่อนเปลี้ยแต่ก็ยังติดตามไป
วนฉ 10.9 ทั้งคนอัมโมนได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปต่อสู้กับยูดาห์และต่อสู้กับเบนยามิน และต่อสู้กับวงศ์วานเอฟราอิม ดังนั้นอิสราเอลจึงเดือดร้อนอย่างยิ่ง
วนฉ 11.32 แล้วเยฟธาห์จึงยกข้ามไปสู้รบกับคนอัมโมน และพระเยโฮวาห์ทรงมอบเขาไว้ในมือของท่าน
วนฉ 12.1 ฝ่ายคนเอฟราอิมมาพร้อมกันข้ามไปทางเหนือ พูดกับเยฟธาห์ว่า “เหตุใดท่านยกข้ามไปรบคนอัมโมน แต่ไม่เรียกเราไปด้วย เราจะจุดไฟเผาเรือนทับท่านเสีย”
วนฉ 12.3 เมื่อข้าพเจ้าเห็นว่าท่านไม่ช่วยข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าก็เสี่ยงชีวิตของข้าพเจ้าข้ามไปรบกับคนอัมโมน และพระเยโฮวาห์ทรงมอบเขาไว้ในมือของข้าพเจ้า วันนี้ท่านจะขึ้นมาทำศึกกับข้าพเจ้าด้วยเหตุอันใด”
วนฉ 12.5 ชาวกิเลอาดก็เข้ายึดท่าข้ามแม่น้ำจอร์แดนไว้ไม่ให้คนเอฟราอิมข้าม เมื่อคนเอฟราอิมที่หลบหนีคนใดมาบอกว่า “ขอให้ข้ามไปทีเถิด” คนกิเลอาดจะถามเขาว่า “เจ้าเป็นคนเอฟราอิมหรือ” เมื่อเขาตอบว่า “เปล่า”
วนฉ 12.6 เขาจะบอกว่า “จงว่าคำว่าชิบโบเลท” คนนั้นจะว่า “สิบโบเลท” เพราะคนเอฟราอิมออกเสียงคำนี้ไม่ชัด เขาจึงจับคนนั้นและฆ่าเสียที่ท่าข้ามแม่น้ำจอร์แดน คราวนั้นมีคนเอฟราอิมตายสี่หมื่นสองพันคน
1ซมอ 9.4 เขาทั้งสองก็ผ่านแดนเทือกเขาแห่งเอฟราอิม ผ่านเข้าแผ่นดินชาลิชา เขาหาลาไม่พบ เขาก็ผ่านข้ามแผ่นดินชาอาลิม แต่ลาไม่อยู่ที่นั่น แล้วเขาผ่านเข้าแผ่นดินของคนเบนยามิน แต่ก็หาลาไม่พบ
1ซมอ 13.7 พวกฮีบรูบางคนได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยังดินแดนกาดและกิเลอาด แต่ฝ่ายซาอูลพระองค์ยังประทับอยู่ที่กิลกาล และประชาชนทั้งหมดติดตามพระองค์ไปด้วยตัวสั่น
1ซมอ 13.23 และกองทหารรักษาการของคนฟีลิสเตียยกไปถึงทางที่ข้ามไปเมืองมิคมาช
1ซมอ 14.1 อยู่มาวันหนึ่งโยนาธานราชโอรสของซาอูลกล่าวกับคนหนุ่มที่ถือเครื่องอาวุธของท่านว่า “มาเถิด ให้เราข้ามไปยังกองทหารรักษาการของคนฟีลิสเตียข้างโน้น” แต่หาได้ทูลพระบิดาของตนให้ทราบไม่
1ซมอ 14.4 ตามทางข้ามเขาที่โยนาธานหาช่องที่จะข้ามไปยังค่ายของฟีลิสเตียนั้น มียอดหินแหลมอยู่ฟากทางข้างนี้ และมียอดหินแหลมอยู่ฟากทางข้างโน้น ยอดหนึ่งมีชื่อว่าโบเซส อีกยอดหนึ่งชื่อเสเนห์
1ซมอ 14.6 โยนาธานกล่าวกับคนหนุ่มที่ถือเครื่องอาวุธของท่านว่า “มาเถิด ให้เราข้ามไปยังกองทหารรักษาการของคนเหล่านั้นที่มิได้เข้าสุหนัต บางทีพระเยโฮวาห์จะทรงประกอบกิจเพื่อเรา เพราะว่าไม่มีสิ่งใดที่ขัดขวางพระเยโฮวาห์ได้ในการที่พระองค์จะทรงช่วยให้พ้นไม่ว่าโดยคนมากหรือน้อย”
1ซมอ 14.8 แล้วโยนาธานกล่าวว่า “ดูเถิด เราจะข้ามไปหาคนเหล่านั้น และจะสำแดงตัวของเราให้เขาเห็น
1ซมอ 26.13 และดาวิดก็ข้ามไปอีกฟากหนึ่งไปยืนอยู่บนยอดเขาไกลออกไป มีที่ว่างกว้างใหญ่ระหว่างทั้งสองฝ่าย
1ซมอ 27.2 ดาวิดจึงลุกขึ้นยกข้ามไป ทั้งตัวท่านและคนที่อยู่กับท่านหกร้อยคนด้วยกัน ไปหาอาคีชบุตรชายมาโอค กษัตริย์เมืองกัท
1ซมอ 30.10 แต่ดาวิดติดตามต่อไป ทั้งตัวท่านและคนสี่ร้อย สองร้อยที่อ่อนเพลียเกินที่จะข้ามลำธารเบโสร์ก็หยุดพักอยู่
2ซมอ 2.8 ฝ่ายอับเนอร์บุตรชายเนอร์แม่ทัพของกองทัพซาอูลได้พาอิชโบเชทราชโอรสของซาอูลข้ามไปที่เมืองมาหะนาอิม
2ซมอ 2.29 อับเนอร์กับคนของท่านก็เดินทางตลอดคืนนั้นในที่ราบ เขาข้ามแม่น้ำจอร์แดนและเดินไปตามหุบเขาบิทโรน เขาก็มาถึงมาหะนาอิม
2ซมอ 10.17 เมื่อมีผู้กราบทูลดาวิดพระองค์ทรงรวบรวมอิสราเอลทั้งหมดข้ามแม่น้ำจอร์แดนมาถึงตำบลเฮลาน และคนซีเรียก็จัดทัพเข้าต่อสู้ดาวิดและได้รบกับพระองค์
2ซมอ 15.23 เมื่อพลทั้งหมดเดินผ่านไปเสีย ชาวเมืองนั้นทั้งสิ้นก็ร้องไห้เสียงดัง กษัตริย์ก็เสด็จข้ามลำธารขิดโรน และพลทั้งหมดก็ผ่านเข้าทางไปถิ่นทุรกันดาร
2ซมอ 16.9 อาบีชัยบุตรชายนางเศรุยาห์จึงกราบทูลกษัตริย์ว่า “ทำไมปล่อยให้สุนัขตายตัวนี้มาด่ากษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ ขออนุญาตให้ข้าพระองค์ข้ามไปตัดหัวมันออกเสีย”
2ซมอ 17.16 ฉะนั้นบัดนี้จงรีบส่งคนไปกราบทูลดาวิดว่า ‘คืนวันนี้อย่าพักอยู่ที่ที่ราบในถิ่นทุรกันดาร อย่างไรก็จงให้เสด็จข้ามไปเสีย เกรงว่ากษัตริย์และประชาชนทั้งสิ้นที่อยู่กับพระองค์จะถูกกลืนไปหมด’”
2ซมอ 17.20 เมื่อข้าราชการของอับซาโลมมาถึงที่บ้านหญิงคนนี้ เขาก็ถามว่า “อาหิมาอัสกับโยนาธานอยู่ที่ไหน” หญิงนั้นก็ตอบเขาว่า “เขาข้ามลำธารน้ำไปแล้ว” เมื่อเขาเที่ยวหาไม่พบแล้วก็กลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
2ซมอ 17.21 อยู่มาเมื่อคนเหล่านั้นไปแล้ว ชายทั้งสองก็ขึ้นมาจากบ่อ ไปกราบทูลกษัตริย์ดาวิด เขาทูลดาวิดว่า “ขอทรงลุกขึ้น และรีบข้ามแม่น้ำไป เพราะอาหิโธเฟลได้ให้คำปรึกษาต่อสู้อย่างนั้นอย่างนี้”
2ซมอ 17.22 ดาวิดก็ทรงลุกขึ้นพร้อมกับพวกพลทั้งสิ้นที่อยู่กับพระองค์และข้ามแม่น้ำจอร์แดน พอรุ่งเช้าก็ไม่มีเหลือสักคนหนึ่งที่ยังไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดน
2ซมอ 17.24 ฝ่ายดาวิดก็เสด็จมายังเมืองมาหะนาอิม และอับซาโลมก็ข้ามแม่น้ำจอร์แดนพร้อมกับคนอิสราเอลทั้งปวง
2ซมอ 19.15 กษัตริย์ก็เสด็จกลับและมายังแม่น้ำจอร์แดน และยูดาห์ก็พากันมาที่กิลกาลเพื่อรับเสด็จกษัตริย์และนำกษัตริย์เสด็จข้ามแม่น้ำจอร์แดน
2ซมอ 19.18 เขาทั้งหลายได้ข้ามท่าข้ามไปรับราชวงศ์ของกษัตริย์ และคอยปฏิบัติให้ชอบพระทัย ชิเมอี บุตรชายเก-รา ได้กราบลงต่อพระพักตร์กษัตริย์ขณะที่พระองค์เสด็จข้ามแม่น้ำจอร์แดน
2ซมอ 19.31 ฝ่ายบารซิลลัย ชาวกิเลอาด ได้ลงมาจากโรเกลิม และไปกับกษัตริย์ข้ามแม่น้ำจอร์แดน เพื่อส่งพระองค์ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไป
2ซมอ 19.33 กษัตริย์จึงตรัสกับบารซิลลัยว่า “ข้ามมาอยู่กับเราเสียเถิด เราจะชุบเลี้ยงท่านให้อยู่กับเราที่กรุงเยรูซาเล็ม”
2ซมอ 19.36 ผู้รับใช้ของพระองค์จะตามเสด็จกษัตริย์ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปหน่อยเท่านั้น ไฉนกษัตริย์จะพระราชทานรางวัลเช่นนี้เล่า
2ซมอ 19.38 กษัตริย์ตรัสตอบว่า “คิมฮามจงข้ามไปกับเรา เราจะกระทำคุณแก่เขาตามที่ท่านเห็นควร สิ่งใดที่ท่านปรารถนาให้เรากระทำแก่ท่าน เรายินดีกระทำตาม”
2ซมอ 19.39 แล้วประชาชนทั้งสิ้นก็ข้ามแม่น้ำจอร์แดน เมื่อกษัตริย์เสด็จข้ามไปแล้วกษัตริย์ทรงจุบบารซิลลัย และทรงอวยพระพรแก่ท่าน ท่านก็กลับไปยังบ้านช่องของตน
2ซมอ 19.40 กษัตริย์เสด็จไปยังกิลกาล และคิมฮามก็ข้ามตามเสด็จไปด้วย ประชาชนยูดาห์ทั้งหมดกับประชาชนอิสราเอลครึ่งหนึ่งได้นำกษัตริย์ข้ามมา
2ซมอ 19.41 แล้วดูเถิด คนอิสราเอลทั้งหมดมาเฝ้ากษัตริย์ กราบทูลกษัตริย์ว่า “ไฉนคนยูดาห์พี่น้องของเราจึงได้ลักพาพระองค์ไปเสีย พากษัตริย์และราชวงศ์ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปพร้อมกับบรรดาคนของดาวิดด้วย”
2ซมอ 20.21 เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง แต่มีชายคนหนึ่งจากแดนเทือกเขาเอฟราอิมชื่อเชบาบุตรบิครี ได้ยกมือของเขาขึ้นต่อสู้กษัตริย์ คือต่อสู้ดาวิด จงมอบเขามาแต่คนเดียว ฉันจะถอยทัพกลับจากเมืองนี้” หญิงนั้นจึงตอบโยอาบว่า “ดูเถิด เราจะโยนศีรษะของเขาข้ามกำแพงมาให้ท่าน”
2ซมอ 22.30 พ่ะย่ะค่ะ ข้าพระองค์ตะลุยกองทัพได้โดยพระองค์ โดยพระเจ้าของข้าพเจ้าข้าพเจ้ากระโดดข้ามกำแพงได้
2ซมอ 24.5 เขาทั้งหลายข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปและตั้งค่ายในเมืองอาโรเออร์ ด้านขวาของเมืองที่ตั้งอยู่กลางแม่น้ำกาดไปทางยาเซอร์
1พกษ 2.37 เพราะในวันที่ท่านออกไป และข้ามลำธารขิดโรนนั้น ท่านจงรู้เป็นแน่เถิดว่า ท่านจะต้องตายแน่ แล้วโลหิตของเจ้าจะต้องตกบนศีรษะของเจ้าเอง”
1พกษ 6.21 และซาโลมอนทรงบุข้างในพระนิเวศด้วยทองคำบริสุทธิ์ และพระองค์ทรงลากโซ่ทองคำข้ามข้างหน้าห้องหลัง และบุด้วยทองคำ
2พกษ 2.8 เอลียาห์ก็เอาเสื้อคลุมของท่านม้วนเข้าแล้วฟาดลงที่น้ำนั้น น้ำก็แยกออกไปสองข้าง ท่านทั้งสองจึงเดินข้ามไปได้บนดินแห้ง
2พกษ 2.9 และอยู่มาเมื่อท่านทั้งสองข้ามไปแล้ว เอลียาห์จึงพูดกับเอลีชาว่า “จงขอสิ่งที่อยากให้ข้าพเจ้าทำเพื่อท่านก่อนที่ข้าพเจ้าจะถูกรับไปจากท่าน” และเอลีชาตอบว่า “ขอให้ฤทธิ์เดชของท่านอยู่กับข้าพเจ้าเป็นสองเท่าเดิม”
2พกษ 2.14 แล้วท่านก็เอาเสื้อคลุมของเอลียาห์ที่ตกลงมานั้นฟาดลงที่น้ำกล่าวว่า “พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งเอลียาห์ทรงสถิตที่ใด” และเมื่อท่านฟาดลงที่น้ำ น้ำก็แยกออกไปสองข้าง และเอลีชาก็เดินข้ามไป
1พศด 12.15 เหล่านี้เป็นคนที่ข้ามแม่น้ำจอร์แดนในเดือนแรก เมื่อน้ำท่วมฝั่งทั้งสิ้น และให้คนที่อยู่ ณ ลุ่มแม่น้ำแตกหนีไปทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก
1พศด 19.17 และเมื่อมีคนกราบทูลดาวิด พระองค์ก็ทรงรวมอิสราเอลทั้งสิ้นเข้าด้วยกัน และข้ามแม่น้ำจอร์แดนมาหาเขา และจัดทัพต่อสู้กับเขา และเมื่อดาวิดทรงจัดทัพเข้าต่อสู้กับคนซีเรีย เขาทั้งหลายต่อสู้กับพระองค์
โยบ 1.19 และดูเถิด มีพายุใหญ่ข้ามถิ่นทุรกันดารมากระทบเรือนทั้งสี่มุม และเรือนนั้นพังทับคนหนุ่ม และเขาก็ตาย และข้าพเจ้าผู้เดียวได้หนีรอดมาเรียนท่าน”
โยบ 19.8 พระองค์ทรงก่อกำแพงกั้นทางข้าไว้ ข้าจึงข้ามไปไม่ได้ และพระองค์ทรงให้ทางของข้ามืดไป
สดด 18.29 พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ตะลุยกองทัพได้โดยพระองค์ และโดยพระเจ้าของข้าพเจ้านี้ข้าพเจ้าสามารถกระโดดข้ามกำแพงได้
สดด 66.6 พระองค์ทรงเปลี่ยนทะเลให้เป็นดินแห้ง คนเดินข้ามแม่น้ำไป ที่นั่นเราได้เปรมปรีดิ์ในพระองค์
สดด 104.9 พระองค์ทรงวางขอบเขตมิให้มันข้าม เพื่อมิให้มันคลุมแผ่นดินโลกอีก
สดด 106.9 พระองค์ทรงขนาบทะเลแดง มันก็แห้งไป และพระองค์ทรงนำท่านข้ามที่ลึกอย่างกับเดินข้ามถิ่นทุรกันดาร
สดด 148.6 และพระองค์ทรงสถาปนามันไว้เป็นนิจกาล พระองค์ทรงกำหนดเขตซึ่งมันข้ามไปไม่ได้
สภษ 19.11 สามัญสำนึกที่ดีกระทำให้คนโกรธช้า และที่มองข้ามการละเมิดไปเสียก็เป็นสง่าราศีแก่เขา
อสย 10.28 เขาได้มาถึงอัยยาทแล้ว เขาได้ข้ามมิโกรน เขาเก็บสัมภาระของเขาไว้ที่มิคมาช
อสย 11.15 และพระเยโฮวาห์จะทรงทำลายลิ้นของทะเลแห่งอียิปต์อย่างสิ้นเชิง และจะทรงโบกพระหัตถ์เหนือแม่น้ำนั้น ด้วยลมอันแรงกล้าของพระองค์ และจะตีมันให้แตกเป็นธารน้ำเจ็ดสาย และให้คนเดินข้ามไปได้โดยที่เท้าไม่เปียกน้ำ
อสย 15.7 เพราะฉะนั้นทรัพย์สินซึ่งเขาเก็บได้ และที่เขาสะสมไว้ เขาจะขนเอาไปข้ามลำธารต้นหลิว
อสย 16.2 เหมือนนกที่กำลังบินหนีอย่างลูกนกที่พลัดรัง ธิดาของโมอับจะเป็นอย่างนั้นตรงท่าลุยข้ามแม่น้ำอารโนน
อสย 16.8 เพราะทุ่งนาแห่งเมืองเฮชโบนอ่อนระทวย ทั้งเถาองุ่นของสิบมาห์ เจ้านายทั้งหลายแห่งบรรดาประชาชาติได้ตีกิ่งของมันลง ซึ่งไปถึงเมืองยาเซอร์ และพเนจรไปถึงถิ่นทุรกันดาร หน่อของมันก็แตกกว้างออกไปและผ่านข้ามทะเลไป
อสย 23.2 ชาวเกาะเอ๋ย จงนิ่งเสีย เจ้าซึ่งพ่อค้าแห่งเมืองไซดอนที่ผู้ผ่านข้ามทะเลไป ได้ทำให้เจ้าเต็มบริบูรณ์
อสย 23.3 และข้ามน้ำมากหลายรายได้ของเมืองนั้นคือข้าวเมืองชิโหร์ เป็นผลเกี่ยวเก็บของแม่น้ำ เมืองนั้นเป็นพ่อค้าของบรรดาประชาชาติ
อสย 23.6 จงข้ามไปยังทารชิชเถิด ชาวเกาะเอ๋ย จงคร่ำครวญ
อสย 23.10 โอ ธิดาแห่งทารชิชเอ๋ย จงผ่านแผ่นดินของเจ้าข้ามไปเหมือนแม่น้ำ มันไม่มีกำลังอีกเลย
อสย 23.12 และพระองค์ตรัสว่า “โอ ธิดาพรหมจารีผู้ถูกบีบบังคับแห่งไซดอนเอ๋ย เจ้าจะไม่ลิงโลดต่อไปอีก จงลุกขึ้นข้ามไปคิทธิมเถิด แม้ที่นั่นเจ้าก็จะไม่มีความสงบ”
อสย 31.9 เขาจะข้ามที่กำบังของเขาไปเพราะความหวาดกลัว และพวกเจ้านายของเขาจะเกรงกลัวธงนั้น” พระเยโฮวาห์ผู้ที่ไฟของพระองค์อยู่ในศิโยน และผู้ที่เตาหลอมของพระองค์อยู่ในเยรูซาเล็ม ตรัสดังนี้แหละ
อสย 43.2 เมื่อเจ้าลุยข้ามน้ำ เราจะอยู่กับเจ้า เมื่อข้ามแม่น้ำ น้ำจะไม่ท่วมเจ้า เมื่อเจ้าลุยไฟ เจ้าจะไม่ไหม้และเปลวเพลิงจะไม่เผาผลาญเจ้า
อสย 51.23 แต่เราจะใส่มันไว้ในมือของผู้ทรมานเจ้า ผู้ได้พูดกับจิตใจเจ้าว่า ‘ก้มลง เราจะได้ข้ามไป’ และเจ้าได้กระทำให้หลังของเจ้าเหมือนพื้นดิน และเหมือนถนนเพื่อให้เขาข้ามไป”
อสย 63.13 ผู้ได้นำเขาทั้งหลายข้ามทะเลนั้นเหมือนม้าในถิ่นทุรกันดาร เพื่อเขาทั้งหลายจะมิได้สะดุด
ยรม 2.10 เหตุว่า จงข้ามไปยังฝั่งเกาะคิทธิม แล้วก็ดู และใช้คนไปถึงเมืองเคดาร์และพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ดูทีว่าเคยมีสิ่งอย่างนี้บ้างไหม
ยรม 2.23 เจ้าจะพูดได้อย่างไรว่า ‘ข้าไม่เป็นมลทิน ข้ามิได้ติดตามพระบาอัลไป’ จงมองดูท่าทางของเจ้าที่ในหุบเขาซิ จงสำนึกซิว่าเจ้าได้กระทำอะไร เจ้าเหมือนอูฐสาวคะนองที่เดินข้ามไปข้ามมา
ยรม 5.22 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “เจ้าไม่ยำเกรงเราหรือ เจ้าไม่ตัวสั่นอยู่ต่อหน้าเราหรือ คือเราผู้วางกองทรายไว้เป็นเขตล้อมทะเล เป็นเครื่องกีดขวางเป็นนิตย์มิให้ผ่านไปได้ แม้ว่าคลื่นจะซัด ก็เอาชนะไม่ได้ แม้คลื่นจะคะนอง ก็ข้ามไปไม่ได้
ยรม 41.10 แล้วอิชมาเอลก็จับคนทั้งหมดที่เหลืออยู่ในมิสปาห์ไปเป็นเชลย คือพวกราชธิดาและประชาชนทั้งปวงที่เหลืออยู่ที่มิสปาห์ ผู้ที่เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ได้มอบหมายให้แก่เกดาลิยาห์บุตรชายอาหิคัม อิชมาเอลบุตรชายเนธานิยาห์ได้จับเขาเป็นเชลย และออกเดินข้ามฟากไปหาคนอัมโมน
ยรม 48.32 โอ เถาองุ่นแห่งสิบมาห์เอ๋ย เราจะร้องไห้เพื่อเจ้ามากกว่าเพื่อยาเซอร์ กิ่งทั้งหลายของเจ้ายื่นข้ามทะเลจนถึงทะเลของยาเซอร์ ผู้ทำลายได้โจมตีผลไม้ฤดูร้อนและการเก็บองุ่นของเจ้า
ยรม 51.32 ท่าลุยข้ามก็ถูกยึดแล้ว ที่เป็นบึงเป็นหนองก็ถูกไฟไหม้และบรรดาทหารก็ระส่ำระสาย
ยรม 51.43 หัวเมืองของเธอกลายเป็นที่รกร้าง เป็นแผ่นดินที่แห้งแล้งและเป็นถิ่นทุรกันดาร เป็นแผ่นดินที่ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่และไม่มีบุตรของมนุษย์คนใดข้ามไป
อสค 29.11 จะไม่มีเท้ามนุษย์ข้ามแผ่นดินนั้น และจะไม่มีตีนสัตว์ข้ามแผ่นดินนั้น จะไม่มีใครอาศัยอยู่ถึงสี่สิบปี
อสค 47.5 ภายหลังท่านก็วัดได้อีกหนึ่งพัน และกลายเป็นแม่น้ำที่ข้าพเจ้าลุยข้ามไม่ได้ เพราะน้ำนั้นขึ้นแล้วลึกพอที่จะว่ายได้ เป็นแม่น้ำที่ลุยข้ามไม่ได้
ดนล 8.5 เมื่อข้าพเจ้ากำลังตรึกตรองอยู่ ดูเถิด มีแพะผู้ตัวหนึ่งมาจากทิศตะวันตก เหาะข้ามพื้นพิภพทั้งสิ้นมา ไม่แตะต้องพื้นดินเลย และแพะนั้นมีเขาเด่นอยู่ในระหว่างตาของมันเขาหนึ่ง
อมส 5.5 แต่อย่าแสวงหาเบธเอล และอย่าเข้าไปในกิลกาล หรือข้ามไปยังเบเออร์เชบา เพราะว่ากิลกาลจะต้องตกไปเป็นเชลยเป็นแน่ และเบธเอลก็จะสูญไป”
ยนา 3.3 ดังนั้นโยนาห์จึงลุกขึ้นไปยังนีนะเวห์ ตามพระวจนะของพระเยโฮวาห์ ฝ่ายนีนะเวห์เป็นนครใหญ่โตมากทีเดียว ถ้าจะเดินข้ามเมืองก็กินเวลาสามวัน
ศฟย 1.9 ในวันนั้น เราจะลงโทษทุกคนที่กระโดดข้ามธรณีประตู คือผู้ที่กระทำให้เรือนของนายเต็มไปด้วยความทารุณและการคดโกง”
ศคย 10.11 พระองค์จะเสด็จผ่านข้ามทะเลแห่งความระทม และจะทรงทุบคลื่นทะเล และที่ลึกทั้งสิ้นของแม่น้ำจะแห้งไป ความเห่อเหิมของอัสซีเรียจะตกต่ำ และคทาของอียิปต์จะพรากไปเสีย
มธ 8.18 ครั้นพระเยซูทอดพระเนตรเห็นประชาชนเป็นอันมากมาล้อมพระองค์ไว้ พระองค์จึงตรัสสั่งให้ข้ามฟากไป
มธ 8.28 ครั้นพระองค์ทรงข้ามฟากไปถึงแดนกาดาราแล้ว มีคนสองคนที่มีผีสิงได้ออกจากอุโมงค์ฝังศพมาพบพระองค์ พวกเขาดุร้ายนัก จนไม่มีผู้ใดอาจผ่านไปทางนั้นได้
มธ 9.1 และพระองค์ก็เสด็จลงเรือข้ามฟากไปยังเมืองของพระองค์
มธ 14.22 ในทันใดนั้นพระเยซูได้ตรัสให้เหล่าสาวกของพระองค์ลงเรือข้ามฟากไปก่อน ส่วนพระองค์ทรงรอส่งประชาชนกลับบ้าน
มธ 14.34 ครั้นพวกเขาข้ามฟากไปแล้ว ก็มาถึงแขวงเยนเนซาเรท
มธ 16.5 ฝ่ายพวกสาวกของพระองค์ เมื่อข้ามฟากนั้นได้ลืมเอาขนมปังไปด้วย
มก 4.35 เย็นวันนั้นพระองค์ได้ตรัสแก่เขาทั้งหลายว่า “ให้พวกเราข้ามไปฝั่งฟากข้างโน้นเถิด”
มก 5.1 ฝ่ายพระองค์กับเหล่าสาวกก็ข้ามทะเลไปยังเมืองชาวกาดารา
มก 5.21 ครั้นพระเยซูเสด็จลงเรือข้ามฟากกลับไปแล้ว มีคนเป็นอันมากมาหาพระองค์ และพระองค์ยังประทับที่ฝั่งทะเล
มก 6.45 และทันใดนั้นพระองค์ได้ตรัสให้เหล่าสาวกของพระองค์ลงในเรือข้ามไปยังอีกฟากหนึ่งถึงเมืองเบธไซดาก่อน ส่วนพระองค์ทรงรอส่งประชาชนกลับบ้าน
มก 6.53 ครั้นข้ามฟากไปแล้ว เขาจอดเรือที่แคว้นเยนเนซาเรท
มก 8.13 แล้วพระองค์เสด็จไปจากเขา และลงเรือข้ามฟากไปอีก
ลก 8.22 อยู่มาวันหนึ่งพระองค์เสด็จลงเรือกับเหล่าสาวกของพระองค์ แล้วพระองค์ตรัสแก่เขาว่า “ให้เราข้ามทะเลสาบไปฟากข้างโน้น” เขาก็ถอยเรือออกไป
ลก 16.26 นอกจากนั้น ระหว่างพวกเรากับพวกเจ้ามีเหวใหญ่ตั้งขวางอยู่ เพื่อว่าถ้าผู้ใดปรารถนาจะข้ามไปจากที่นี่ถึงเจ้าก็ไม่ได้ หรือถ้าจะข้ามจากที่นั่นมาถึงเราก็ไม่ได้’
ยน 6.1 ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้พระเยซูก็เสด็จไปข้ามทะเลกาลิลี คือทะเลทิเบเรียส
ยน 6.17 แล้วลงเรือข้ามฟากไปยังเมืองคาเปอรนาอุม มืดแล้วแต่พระเยซูก็ยังมิได้เสด็จไปถึงเขา
ยน 18.1 เมื่อพระเยซูตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ได้เสด็จออกไปกับเหล่าสาวกของพระองค์ข้ามลำธารขิดโรนไปยังสวนแห่งหนึ่ง พระองค์เสด็จเข้าไปในสวนนั้นกับเหล่าสาวก
กจ 14.24 และหลังจากท่านทั้งสองได้ข้ามแคว้นปิสิเดียก็มายังแคว้นปัมฟีเลีย
กจ 15.3 คริสตจักรได้จัดส่งท่านเหล่านั้นไป และขณะเมื่อท่านกำลังข้ามแคว้นฟีนิเซียกับแคว้นสะมาเรีย ท่านได้กล่าวถึงเรื่องที่คนต่างชาติได้กลับใจใหม่ ทำให้พวกพี่น้องมีความยินดีอย่างยิ่ง
กจ 17.1 ครั้นเปาโลกับสิลาสข้ามเมืองอัมฟีบุรีและเมืองอปอลโลเนียแล้ว จึงมายังเมืองเธสะโลนิกา ที่นั่นมีธรรมศาลาของพวกยิว
กจ 17.30 ในเวลาเมื่อมนุษย์ยังโฉดเขลาอยู่พระเจ้าทรงมองข้ามไปเสีย แต่เดี๋ยวนี้พระองค์ได้ตรัสสั่งแก่มนุษย์ทั้งปวงทั่วทุกแห่งให้กลับใจใหม่
กจ 20.2 เมื่อได้ข้ามที่นั้นไปแล้วและได้สั่งเตือนสติเขามาก ท่านก็มายังประเทศกรีก
กจ 27.5 เมื่อแล่นข้ามทะเลที่อยู่ตรงแคว้นซีลีเซียกับแคว้นปัมฟีเลีย ก็มาถึงเมืองมิราที่อยู่ในแคว้นลีเซีย
1คร 16.5 เพราะเมื่อข้าพเจ้าข้ามแคว้นมาซิโดเนียแล้วข้าพเจ้าจะมาหาท่าน เพราะข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไปทางมาซิโดเนีย
ฮบ 11.29 โดยความเชื่อ พวกอิสราเอลได้ข้ามทะเลแดงเหมือนกับว่าเดินบนดินแห้ง แต่เมื่อพวกอียิปต์ได้ลองเดินข้ามดูบ้าง ก็จมน้ำตายหมด

ข้ามคืน ( 2 )
พบญ 21.23 อย่าให้ศพค้างอยู่ที่ต้นไม้ข้ามคืน ท่านจงฝังเขาเสียในวันเดียวกันนั้น (ด้วยว่าผู้ที่ต้องถูกแขวนไว้บนต้นไม้ก็ต้องถูกสาปแช่งโดยพระเจ้า) ท่านอย่ากระทำให้แผ่นดินของท่านซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่านให้เป็นมรดกนั้นเป็นมลทิน”
พบญ 24.12 ถ้าเขาเป็นคนยากจน อย่าเอาของประกันนั้นเก็บไว้จนข้ามคืน

ขาย ( 139 )
ปฐก 23.9 ขอให้เขาให้ถ้ำมัคเป-ลาห์ ซึ่งเขาถือกรรมสิทธิ์นั้นแก่ข้าพเจ้า มันอยู่ที่ปลายนาของเขา ขอให้เขาขายให้ข้าพเจ้าเต็มตามราคาให้เป็นกรรมสิทธิ์สำหรับใช้เป็นสุสานท่ามกลางหมู่พวกท่าน”
ปฐก 23.17 นาของเอโฟรนในมัคเป-ลาห์ ซึ่งอยู่หน้ามัมเร มีนากับถ้ำซึ่งอยู่ในนั้น และต้นไม้ทั้งสิ้นซึ่งอยู่ในนาตลอดทั่วบริเวณนั้น จึงได้ขาย
ปฐก 23.20 นาและถ้ำซึ่งอยู่ในนั้นลูกหลานของเฮทยอมขายให้แก่อับราฮัมเป็นกรรมสิทธิ์เพื่อใช้เป็นสุสาน
ปฐก 25.31 ยาโคบว่า “ขายสิทธิบุตรหัวปีของพี่ให้ข้าพเจ้าก่อนในวันนี้”
ปฐก 25.33 ยาโคบว่า “ปฏิญาณให้ข้าพเจ้าก่อนในวันนี้” เอซาวจึงปฏิญาณให้กับเขา และขายสิทธิบุตรหัวปีของตนแก่ยาโคบ
ปฐก 31.15 บิดานับเราเหมือนคนต่างด้าวมิใช่หรือ เพราะบิดาขายเรา ทั้งยังกินเงินของเราเกือบหมด
ปฐก 37.27 มาเถิด ให้เราขายน้องแก่พวกอิชมาเอลโดยไม่แตะต้องเขา เพราะเขาก็เป็นน้องและเป็นเลือดเนื้อของเราเหมือนกัน” พี่น้องทั้งปวงก็พอใจ
ปฐก 37.28 ขณะนั้นพวกพ่อค้าชาวมีเดียนกำลังผ่านมา พวกพี่ชายก็ฉุดโยเซฟขึ้นจากบ่อ ขายให้แก่คนอิชมาเอลเป็นเงินยี่สิบเหรียญ คนอิชมาเอลก็พาโยเซฟไปยังอียิปต์
ปฐก 37.36 แล้วคนมีเดียนก็ขายโยเซฟในอียิปต์ไว้กับโปทิฟาร์ข้าราชสำนักของฟาโรห์ ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์
ปฐก 41.56 การกันดารอาหารแผ่ไปทั่วพื้นแผ่นดินโลก โยเซฟก็เปิดฉางออกขายข้าวแก่ชาวอียิปต์ และการกันดารอาหารในแผ่นดินอียิปต์รุนแรงมาก
ปฐก 42.6 ฝ่ายโยเซฟเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ท่านเป็นผู้ที่ขายข้าวให้แก่บรรดาประชาชนแห่งแผ่นดิน พวกพี่ชายของโยเซฟก็มากราบไหว้ท่าน ก้มหน้าลงถึงดิน
ปฐก 45.4 โยเซฟจึงบอกพี่น้องของตนว่า “เชิญเข้ามาใกล้เราเถิด” เขาก็เข้ามาใกล้แล้วโยเซฟว่า “เราคือโยเซฟน้องที่พี่ขายมายังอียิปต์
ปฐก 45.5 ฉะนั้นบัดนี้อย่าเสียใจไปเลย อย่าโกรธตัวเองที่ขายเรามาที่นี่ เพราะว่าพระเจ้าทรงใช้เราให้มาก่อนหน้าพี่เพื่อจะได้ช่วยชีวิต
ปฐก 47.20 โยเซฟก็ซื้อที่ดินทั้งหมดในอียิปต์ให้แก่ฟาโรห์ เพราะคนอียิปต์ทุกคนขายไร่นาของตนเนื่องจากการกันดารอาหารรุนแรงต่อเขายิ่งนัก เพราะฉะนั้นแผ่นดินจึงตกเป็นของฟาโรห์
ปฐก 47.22 เว้นแต่ที่ดินของพวกปุโรหิตเท่านั้นโยเซฟไม่ได้ซื้อ เพราะปุโรหิตได้รับปันส่วนจากฟาโรห์ และดำรงชีวิตอาศัยตามส่วนที่ฟาโรห์พระราชทาน เหตุฉะนี้เขาจึงไม่ได้ขายที่ดินของเขา
อพย 21.7 ถ้าคนใดขายบุตรสาวเป็นทาสี หญิงนั้นจะมิได้เป็นอิสระเหมือนทาส
อพย 21.8 ถ้าหญิงนั้นไม่เป็นที่พอใจของนายที่รับเธอไว้เป็นภรรยา ต้องยอมให้คนอื่นไถ่เธอไป แต่ไม่มีสิทธิ์จะขายหญิงนั้นให้แก่ชาวต่างประเทศ เพราะมิได้สัตย์ซื่อต่อหญิงนั้นแล้ว
อพย 21.16 ผู้ใดลักคนไปขายก็ดี หรือมีผู้พบคนที่ถูกลักไปอยู่ในมือของผู้นั้นก็ดี ผู้ลักนั้นจะต้องถูกปรับโทษถึงตายเป็นแน่
อพย 21.35 ถ้าวัวของผู้ใดขวิดวัวของผู้อื่นให้ตาย เขาต้องขายวัวที่เป็นอยู่แล้วมาแบ่งเงินกัน และวัวที่ตายนั้นให้แบ่งกันด้วย
อพย 22.1 “ถ้าผู้ใดลักวัวหรือแกะไปฆ่าหรือขาย ให้ผู้นั้นใช้วัวห้าตัวแทนวัวหนึ่งตัวและแกะสี่ตัวแทนแกะตัวหนึ่ง
อพย 22.3 ถ้าดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว ต้องทำให้โลหิตตกเพราะการตีคนนั้น แต่ผู้ร้ายนั้นต้องให้ค่าชดใช้ ถ้าเขาไม่มีอะไรจะใช้ให้ ต้องขายตัวเขาเป็นค่าของที่ลักไปนั้น
ลนต 25.14 ถ้าเจ้าขายนาให้เพื่อนบ้านก็ดี หรือซื้อจากเพื่อนบ้านก็ดี เจ้าอย่าโกงกัน
ลนต 25.15 ตามจำนวนปีหลังจากปีเสียงแตร เจ้าจงซื้อนาจากเพื่อนบ้านของเจ้าและให้เขาขายแก่เจ้าตามจำนวนปีที่ปลูกพืชได้
ลนต 25.16 ถ้ามากปีก็ต้องเพิ่มราคาสูงขึ้น ถ้าน้อยปีเจ้าจงลดราคาให้ต่ำลง เพราะที่เขาขายนั้นเขาก็ขายตามจำนวนปีที่ปลูกพืช
ลนต 25.23 เจ้าทั้งหลายจะขายที่ดินของเจ้าให้ขาดไม่ได้เพราะว่าดินนั้นเป็นของเรา เพราะเจ้าเป็นคนต่างด้าวและเป็นคนอาศัยอยู่กับเรา
ลนต 25.25 ถ้าพี่น้องของเจ้ายากจนลงและขายที่ดินส่วนหนึ่งของเขา หากว่ามีผู้ใดในพี่น้องของเขามาไถ่ถอนที่นั้น ก็จงให้เขาไถ่ถอนที่ซึ่งพี่น้องของเขาขายไปนั้น
ลนต 25.27 ก็จงให้คนที่จะไถ่นับปีทั้งหลายที่เขาขายไป และเงินที่เหลือนั้นจงคืนให้แก่คนที่เขาขายให้และคนไถ่ก็เข้าอยู่ในที่ดินของเขาได้
ลนต 25.28 แต่ถ้าเขาไม่สามารถที่จะไถ่คืนมา ที่ดินที่เขาได้ขายไปจะคงอยู่ในมือของผู้ซื้อจนถึงปีเสียงแตร และในปีเสียงแตรนี้ ที่ดินจะออกไปและเขาจะได้ที่ดินของเขากลับคืน
ลนต 25.29 ถ้าผู้ใดขายเรือนซึ่งอยู่ในเมืองที่มีกำแพง เมื่อขายไปแล้วให้เขาไถ่ถอนคืนได้ภายในหนึ่งปีแรก ให้เขามีสิทธิ์ในการไถ่ถอนคืนได้หนึ่งปีเต็ม
ลนต 25.33 ถ้าผู้ใดซื้อของจากคนเลวี เรือนซึ่งถูกขายไปนั้นกับเมืองที่เขาถือกรรมสิทธิ์ต้องกลับคืนในปีเสียงแตร เพราะเรือนทั้งหลายในหัวเมืองของพวกเลวีก็เป็นกรรมสิทธิ์ของเขาท่ามกลางพวกอิสราเอล
ลนต 25.34 แต่ทุ่งนาที่ล้อมรอบหัวเมืองทั้งหลายของพวกเขานั้นจะขายไม่ได้ เพราะว่าเป็นกรรมสิทธิ์ถาวรของเขาทั้งหลาย
ลนต 25.39 ถ้าพี่น้องที่อยู่ใกล้ชิดกับเจ้ายากจนลง และขายตัวให้แก่เจ้า เจ้าอย่าให้เขาทำงานเหมือนทาส
ลนต 25.42 เพราะว่าเขาทั้งหลายเป็นทาสของเราที่เราพาออกจากแผ่นดินอียิปต์ เขาจะขายตัวเป็นทาสไม่ได้
ลนต 25.47 ถ้าคนต่างด้าวหรือคนที่อาศัยอยู่กับเจ้ามั่งมีขึ้น และพี่น้องของเจ้าที่อยู่ใกล้ชิดกับเขายากจนลง และขายตัวให้แก่คนต่างด้าวหรือผู้ที่อาศัยอยู่กับเจ้านั้น หรือขายให้แก่ญาติคนหนึ่งคนใดของคนต่างด้าวนั้น
ลนต 25.48 เมื่อเขาขายตัวแล้วก็ให้มีการไถ่ถอน คือพี่น้องคนหนึ่งคนใดของเขาทำการไถ่ถอนเขาได้
ลนต 25.50 จงให้ผู้ที่ขายตัวนับปีทั้งหลายที่ขายตัวกับผู้ที่ซื้อตัวเขาไป ว่าเขาได้ขายตัวกี่ปีจนถึงปีเสียงแตร ค่าตัวของเขาเป็นค่าตามจำนวนปีเหล่านั้น เวลาที่เขาอยู่กับเจ้าของตัวเขานั้นคิดตามเวลาของลูกจ้าง
ลนต 27.20 แต่ถ้าเขาไม่ประสงค์ที่จะไถ่นาหรือเขาได้ขายนานั้นให้แก่อีกคนหนึ่งแล้ว ก็อย่าให้ไถ่อีกเลย
ลนต 27.24 พอถึงปีเสียงแตรนานั้นต้องกลับไปตกแก่ผู้ที่ขายให้เขาซึ่งเป็นเจ้าของเดิม ตามมรดกที่ตกมาเป็นของเขา
ลนต 27.27 ถ้าเป็นสัตว์มลทินจงให้เขาซื้อคืนตามกำหนดราคาของเจ้า โดยเพิ่มหนึ่งในห้าของกำหนดราคาที่ตีไว้ ถ้าเขาไม่ไถ่ก็ให้ขายเสียตามกำหนดราคาที่ตีไว้
ลนต 27.28 แต่สิ่งใดที่ถวายแด่พระเยโฮวาห์ เป็นสิ่งที่เขามีอยู่ ไม่ว่าเป็นคนหรือสัตว์ หรือที่นาอันเป็นมรดกตกแก่เขาจะขายหรือไถ่ไม่ได้เลย เพราะสิ่งที่ถวายแล้วเป็นสิ่งบริสุทธิ์ที่สุดแด่พระเยโฮวาห์
พบญ 2.28 ขอท่านได้ขายเสบียงเอาเงินของข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะได้กิน และขอขายน้ำเอาเงินของข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะได้ดื่ม ขอให้ข้าพเจ้าเดินเท้าข้ามประเทศของท่านเท่านั้น
พบญ 14.21 ท่านอย่ารับประทานสัตว์ชนิดใดที่ตายเอง ท่านจะให้แก่คนต่างด้าวที่อยู่ภายในประตูเมืองของท่านรับประทานก็ได้ หรือท่านจะขายให้แก่คนต่างประเทศก็ได้ เพราะว่าท่านเป็นชนชาติที่บริสุทธิ์แด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย ท่านอย่าต้มลูกแพะด้วยน้ำนมแม่ของมันเลย
พบญ 14.25 ท่านจงขายของนั้นเอาเงิน และห่อเงินถือไว้ และไปยังสถานที่ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงเลือกไว้
พบญ 15.12 ถ้าพี่น้องของท่านซึ่งเป็นคนฮีบรูไม่ว่าชายหรือหญิง ที่เขาขายไว้แก่ท่าน จงให้ปรนนิบัติท่านหกปี เมื่อถึงปีที่เจ็ดก็ให้ปล่อยเขาเป็นอิสระพ้นไปจากท่าน
พบญ 21.14 ภายหลังถ้าท่านไม่พอใจนางนั้นเสียแล้ว จงปล่อยนางไปตามแต่นางจะพอใจไปไหน อย่าขายนางเอาเงิน อย่ากระทำให้นางเป็นสินค้า เพราะท่านได้หยามเกียรตินางแล้ว
พบญ 24.7 ถ้าชายคนใดถูกเขาจับได้ว่าได้ลักพี่น้องคนอิสราเอลคนหนึ่งคนใดไปใช้เป็นทาสหรือขายเสีย ขโมยคนนั้นจะต้องมีโทษถึงตาย ดังนี้แหละท่านจะกำจัดความชั่วเสียจากท่ามกลางท่าน
พบญ 28.68 และพระเยโฮวาห์จะนำท่านกลับมาทางเรือถึงอียิปต์ เป็นการเดินทางซึ่งข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ท่านจะไม่พบเห็นอีกเลย ณ ที่นั่นท่านจะต้องมอบตัวขายให้ศัตรูเป็นทาสชายและทาสหญิง แต่จะไม่มีผู้ใดซื้อท่าน”
พบญ 32.30 คนเดียวจะไล่พันคนอย่างไรได้ สองคนจะทำให้หมื่นคนหนีได้อย่างไร นอกจากศิลาของเขาได้ขายเขาเสียแล้ว และพระเยโฮวาห์ได้ทรงทอดทิ้งเขาเสีย
วนฉ 2.14 ดังนั้นพระพิโรธของพระเยโฮวาห์จึงพลุ่งขึ้นต่ออิสราเอล พระองค์จึงทรงมอบเขาไว้ในมือพวกปล้นผู้ปล้นเขา และทรงขายเขาไว้ในมือของบรรดาศัตรูที่อยู่รอบเขาทั้งหลาย ดังนั้นเขาทั้งหลายจึงต่อต้านพวกศัตรูของเขาทั้งหลายต่อไปไม่ได้
วนฉ 3.8 เพราะฉะนั้นพระพิโรธของพระเยโฮวาห์ก็พลุ่งขึ้นต่ออิสราเอล และพระองค์ทรงขายเขาไว้ในมือคูชันริชาธาอิมกษัตริย์เมืองเมโสโปเตเมีย และคนอิสราเอลได้ปฏิบัติคูชันริชาธาอิมแปดปี
วนฉ 4.2 พระเยโฮวาห์จึงทรงขายเขาไว้ในมือของยาบินกษัตริย์เมืองคานาอัน ผู้ครอบครองอยู่ ณ กรุงฮาโซร์ แม่ทัพของท่านชื่อสิเสรา ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ที่เมืองฮาโรเชธของคนต่างชาติ
วนฉ 4.9 นางจึงตอบว่า “ดิฉันจะไปกับท่านแน่ แต่ว่าทางที่ท่านไปนั้นจะไม่นำท่านไปถึงศักดิ์ศรี เพราะว่าพระเยโฮวาห์จะขายสิเสราไว้ในมือของหญิงคนหนึ่ง” แล้วนางเดโบราห์ก็ลุกขึ้นไปกับบาราคถึงเมืองเคเดช
วนฉ 10.7 และพระพิโรธของพระเยโฮวาห์ก็พลุ่งขึ้นต่ออิสราเอล จึงทรงขายเขาไว้ในมือของคนฟีลิสเตียและในมือของคนอัมโมน
นรธ 4.3 ท่านจึงพูดกับญาติสนิทที่ถัดมานั้นว่า “นาซึ่งเป็นส่วนของเอลีเมเลคญาติของเรานั้น นาโอมีผู้ที่กลับมาจากแผ่นดินโมอับอยากจะขายเสีย
1ซมอ 12.9 แต่เขาทั้งหลายลืมพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขาเสีย พระองค์จึงทรงขายเขาไว้ในมือของสิเสรา แม่ทัพแห่งเมืองฮาโซร์ และมอบไว้ในมือของคนฟีลิสเตีย และไว้ในมือของกษัตริย์แห่งเมืองโมอับ และเขาเหล่านั้นก็ต่อสู้บรรพบุรุษของท่าน
1พกษ 21.6 และพระองค์ตรัสตอบพระนางว่า “เพราะเราได้พูดกับนาโบทชาวยิสเรเอลว่า ‘จงขายสวนองุ่นของเจ้าให้แก่เรา หรือมิฉะนั้นถ้าเจ้าพอใจ เราจะให้สวนองุ่นอีกแห่งหนึ่งแก่เจ้าเพื่อแลกกัน’ และเขาตอบว่า ‘ข้าพระองค์จะไม่ให้สวนองุ่นของข้าพระองค์แก่พระองค์’”
1พกษ 21.15 อยู่มาพอเยเซเบลทรงได้ยินว่านาโบทถูกขว้างด้วยหินตายแล้ว เยเซเบลจึงทูลอาหับว่า “ขอเชิญเสด็จลุกขึ้น ไปยึดสวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอล ซึ่งเขาได้ปฏิเสธไม่ขายให้แก่พระองค์ เพราะว่านาโบทไม่อยู่ เขาตายเสียแล้ว”
1พกษ 21.20 อาหับตรัสกับเอลียาห์ว่า “โอ ศัตรูของข้าเอ๋ย เจ้าพบข้าแล้วหรือ” ท่านทูลตอบว่า “ข้าพระองค์พบพระองค์แล้ว เพราะว่าพระองค์ยอมขายพระองค์เพื่อกระทำสิ่งชั่วในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์
1พกษ 21.25 ไม่มีผู้ใดได้ขายตนเองเพื่อกระทำความชั่วในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์อย่างอาหับ ผู้ที่เยเซเบลมเหสีได้ยุแหย่
2พกษ 4.7 นางก็ไปเรียนให้คนของพระเจ้าทราบและท่านบอกว่า “ไปซี ขายน้ำมันเสียเอาเงินชำระหนี้ของเจ้า ที่เหลือนอกนั้นเจ้าและบุตรของเจ้าจงใช้เลี้ยงชีวิต”
2พกษ 6.25 มีการกันดารอาหารอย่างหนักในสะมาเรีย และดูเถิด ขณะเมื่อเขาล้อมอยู่จนหัวลาตัวหนึ่งเขาขายกันเป็นเงินแปดสิบเชเขล และมูลนกเขาครึ่งลิตรเป็นเงินห้าเชเขล
2พกษ 7.1 แต่เอลีชาบอกว่า “ขอฟังพระวจนะของพระเยโฮวาห์ พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า พรุ่งนี้ประมาณเวลานี้ยอดแป้งถังหนึ่งเขาจะขายกันหนึ่งเชเขล และข้าวบาร์เลย์สองถังเชเขล ที่ประตูเมืองสะมาเรีย”
2พกษ 7.16 แล้วประชาชนก็ยกออกไปปล้นเต็นท์ทั้งหลายของคนซีเรีย ยอดแป้งจึงขายกันถังละเชเขล และข้าวบาร์เลย์สองถังเชเขล ตามพระวจนะของพระเยโฮวาห์
2พกษ 7.18 และเป็นไปตามที่คนแห่งพระเจ้าได้ทูลกษัตริย์ว่า “ข้าวบาร์เลย์สองถังขายหนึ่งเชเขล และยอดแป้งหนึ่งถังหนึ่งเชเขล ประมาณเวลานี้ในวันพรุ่งนี้ที่ประตูเมืองสะมาเรีย”
2พกษ 17.17 และเขาทั้งหลายได้ถวายบุตรชายหญิงของเขาให้ลุยไฟ ใช้การทำนายและใช้เวทมนตร์ และยอมขายตัวเองเพื่อกระทำความชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์ ซึ่งเป็นการยั่วยุให้พระองค์ทรงกริ้วโกรธ
1พศด 12.17 ดาวิดทรงออกไปต้อนรับเขา และตรัสกับเขาว่า “ถ้าท่านทั้งหลายมาฉันมิตรเพื่อช่วยข้าพเจ้า จิตใจของข้าพเจ้าจะพันผูกติดกับท่าน แต่ถ้ามาเพื่อขายข้าพเจ้าให้แก่ปฏิปักษ์ของข้าพเจ้า แม้ว่าในมือของข้าพเจ้าไม่มีความผิดใดๆ ก็ขอพระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเราทั้งหลายทอดพระเนตร และทรงกล่าวโทษท่านทั้งหลายเถิด”
2พศด 32.21 และพระเยโฮวาห์ทรงใช้ทูตสวรรค์องค์หนึ่ง ซึ่งได้ตัดทแกล้วทหารทั้งปวงและผู้บังคับกองและนายทหารในค่ายของกษัตริย์แห่งอัสซีเรียออกเสีย เพราะฉะนั้นพระองค์จึงเสด็จกลับไปยังแผ่นดินของพระองค์ด้วยความอับอายขายพระพักตร์ และเมื่อพระองค์เสด็จเข้าในนิเวศแห่งพระของพระองค์ คนเหล่านั้นที่ออกมาจากบั้นเอวของพระองค์เองได้ฆ่าพระองค์ด้วยดาบเสียที่นั่น
นหม 5.8 และข้าพเจ้ากล่าวแก่เขาว่า “เราได้ไถ่พวกยิวพี่น้องของเราผู้ถูกขายไปยังคนต่างประเทศคืนมา ตามแต่เราจะสามารถทำได้ แต่ท่านกลับขายพี่น้องของท่าน เพื่อเขาจะได้ถูกขายให้แก่พวกเรา” คนทั้งหลายก็นิ่งอยู่ พูดไม่ออก
นหม 10.31 และถ้าชนชาติทั้งหลายของแผ่นดินนั้นนำเครื่องใช้หรือข้าวอย่างใดๆมาขายในวันสะบาโต เราจะไม่ซื้อจากเขาในวันสะบาโตหรือในวันบริสุทธิ์ และเราจะไม่เก็บผลของปีที่เจ็ด และไม่เก็บหนี้สินทุกอย่าง
นหม 13.15 ครั้งนั้นในยูดาห์ ข้าพเจ้าเห็นคนย่ำน้ำองุ่นในวันสะบาโต และนำฟ่อนข้าวเข้ามาบรรทุกหลังลา ทั้งน้ำองุ่น ผลองุ่น มะเดื่อ และภาระทุกอย่าง ซึ่งเขานำมายังเยรูซาเล็มในวันสะบาโต ข้าพเจ้าได้ตักเตือนเขาในวันที่เขาทั้งหลายขายอาหาร
นหม 13.16 และมีคนชาวไทระอาศัยอยู่ในเมืองได้นำปลาและสินค้าทุกอย่างเข้ามาขายในวันสะบาโตแก่ประชาชนยูดาห์ และในเยรูซาเล็ม
นหม 13.20 แล้วพวกพ่อค้าและพวกขายสินค้าทุกชนิดค้างอยู่นอกเยรูซาเล็มหนหนึ่ง หรือสองหน
อสธ 7.4 เพราะพวกเราถูกขายทั้งหม่อมฉันและชนชาติของหม่อมฉันให้ถูกทำลาย ให้ถูกสังหารและให้ถูกล้างผลาญ แต่ถ้าพวกเราถูกขายเพียงให้เป็นทาสชายและหญิง หม่อมฉันก็จะอดกลั้นสงบไว้ เพราะความทุกข์ยากของเราจะเปรียบกับผลเสียหายของกษัตริย์นั้นก็ไม่ได้”
สดด 44.12 พระองค์ทรงขายประชาชนของพระองค์อย่างให้เปล่า ตามราคาไม่ทรงได้อะไรเพิ่มเลย
สดด 105.17 พระองค์ทรงใช้ชายคนหนึ่งไปข้างหน้าเขา คือโยเซฟ ซึ่งถูกขายไปเป็นทาส
สภษ 11.26 ประชาชนจะแช่งบุคคลที่กักข้าว แต่พระพรจะอยู่บนศีรษะของผู้ที่ขายข้าว
สภษ 23.23 จงซื้อความจริงและอย่าขายไปเสีย จงซื้อปัญญา คำสั่งสอน และความเข้าใจ
สภษ 31.24 เธอทำเครื่องแต่งกายด้วยผ้าลินินไว้ขาย เธอส่งผ้าคาดเอวให้แก่พ่อค้า
อสย 50.1 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “หนังสือหย่าของแม่เจ้า ผู้ซึ่งเราได้ไล่ไปเสียนั้น อยู่ที่ไหนเล่า หรือเจ้าหนี้ของเราคนไหนเล่าที่เราได้ขายตัวเจ้าไป ดูเถิด เพราะความชั่วช้าของเจ้า เจ้าจึงถูกขาย และเพราะความละเมิดของเจ้า แม่ของเจ้าจึงถูกไล่ไป
อสย 52.3 เพราะพระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “เจ้าถูกขายเปล่าๆ และเจ้าจะถูกไถ่โดยไม่ใช้เงิน”
ยรม 34.14 เมื่อสิ้นเจ็ดปีแล้วเจ้าทุกคนจะต้องปล่อยพี่น้องฮีบรูผู้ที่เขาเอามาขายไว้กับเจ้า และได้รับใช้เจ้ามาหกปี เจ้าต้องปล่อยเขาให้เป็นอิสระพ้นจากการรับใช้เจ้า แต่บรรพบุรุษของเจ้าไม่ฟังเราและไม่เงี่ยหูฟังเรา
อสค 7.13 เพราะว่าผู้ขายจะไม่ได้กลับไปยังสิ่งที่เขาได้ขายไป ขณะเมื่อเขายังมีชีวิตอยู่ เพราะว่านิมิตนั้นก็เกี่ยวข้องกับประชาชนทั้งมวล และจะไม่หันกลับ และเพราะความชั่วช้าของเขา จึงจะไม่มีผู้ใดรักษาชีวิตไว้ได้
อสค 27.27 ทรัพย์สินของเจ้า ของขายของเจ้า สินค้าของเจ้า ลูกเรือของเจ้า และต้นหนของเจ้า ช่างไม้ประจำของเจ้า ผู้ค้าสินค้าของเจ้า นักรบทั้งสิ้นของเจ้าผู้อยู่ในเจ้าพร้อมกับพรรคพวกทั้งสิ้นของเจ้าที่อยู่ท่ามกลางเจ้า จะจมลงในท้องทะเลในวันล่มจมของเจ้า
อสค 30.12 และเราจะกระทำให้แม่น้ำทั้งหลายแห้งไป เราจะขายแผ่นดินนั้นไว้ในมือของคนชั่ว เราจะกระทำให้แผ่นดินและสารพัดที่อยู่บนแผ่นดินนั้นร้างเปล่าโดยมือของคนต่างด้าว เราคือพระเยโฮวาห์ได้ลั่นวาจาแล้ว
อสค 48.14 อย่าให้เขาขายหรือแลกเปลี่ยนส่วนหนึ่งส่วนใดเลย อย่าให้เขาเปลี่ยนกรรมสิทธิ์ของที่ดินดีนี้ เพราะเป็นส่วนบริสุทธิ์แด่พระเยโฮวาห์
ยอล 3.3 และได้จับสลากเอาประชาชนของเรา และให้เด็กผู้ชายเป็นข้าของหญิงโสเภณี และขายเด็กผู้หญิงไปซื้อเหล้าองุ่น และดื่ม
ยอล 3.6 เจ้าได้ขายประชาชนยูดาห์และเยรูซาเล็มให้แก่พวกกรีก ถอนเขาไปไกลจากแดนเมืองของเขา
ยอล 3.7 ดูเถิด เราจะกระตุ้นเขาจากสถานที่ซึ่งเจ้าขายเขาไปนั้น เราจะตอบสนองการกระทำของเจ้าบนศีรษะของเจ้าเอง
ยอล 3.8 เราจะขายบุตรชายและบุตรสาวของเจ้าไว้ในมือของคนยูดาห์ และเขาทั้งหลายจะขายต่อไปยังคนเสบา แก่ประชาชาติหนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกไป เพราะว่าพระเยโฮวาห์ลั่นพระวาจาแล้ว”
อมส 2.6 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “เพราะเหตุการละเมิดของอิสราเอล สามครั้งและสี่ครั้ง เราจะไม่ยอมกลับการลงทัณฑ์ เพราะเขาได้ขายคนชอบธรรมเอาเงิน และขายคนขัดสนเอารองเท้าคู่เดียว
อมส 8.5 โดยกล่าวว่า “เมื่อไรหนอวันขึ้นค่ำจะหมดไป เราจะได้ขายข้าวของเรา เมื่อไรหนอวันสะบาโตจะพ้นไป เราจะได้เอาข้าวสาลีออกขาย เราจะได้กระทำเอฟาห์ให้ย่อมลง และกระทำเชเขลให้โตขึ้น และหลอกค้าด้วยตาชั่งขี้ฉ้อ
อมส 8.6 เพื่อเราจะได้ซื้อคนจนด้วยเงิน และซื้อคนขัดสนด้วยรองเท้าสานคู่หนึ่ง เออ และขายกากข้าวสาลี”
นฮม 3.4 ทั้งนี้เพราะการแพศยาอย่างมากนับไม่ถ้วนของหญิงแพศยานั้นผู้มีเสน่ห์ และเป็นจอมวิทยาคม นางได้ขายประชาชาติเสียด้วยการแพศยาของนาง และขายบรรดาครอบครัวมนุษย์ด้วยวิทยาคมของนาง
ศคย 11.5 บรรดาผู้ที่ซื้อมันไปก็ฆ่ามันเสีย และไม่ต้องมีโทษ และบรรดาคนที่ขายมันกล่าวว่า ‘สาธุการแด่พระเยโฮวาห์ เพราะข้าพเจ้ามั่งมีแล้ว’ และเมษบาลของมันทั้งหลายไม่สงสารมันเลย
มธ 10.29 นกกระจอกสองตัวเขาขายบาทหนึ่งมิใช่หรือ แต่ถ้าพระบิดาของท่านไม่ทรงเห็นชอบ นกนั้นแม้สักตัวเดียวจะตกลงถึงดินก็ไม่ได้
มธ 13.44 อีกประการหนึ่ง อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ซ่อนไว้ในทุ่งนา เมื่อมีผู้ใดพบแล้วก็กลับซ่อนเสียอีก และเพราะความปรีดีจึงไปขายสรรพสิ่งซึ่งเขามีอยู่ แล้วไปซื้อทุ่งนานั้น
มธ 13.46 ซึ่งเมื่อได้พบไข่มุกเม็ดหนึ่งมีค่ามาก ก็ไปขายสิ่งสารพัดซึ่งเขามีอยู่ ไปซื้อไข่มุกนั้น
มธ 18.25 เจ้านายของเขาจึงสั่งให้ขายตัวกับทั้งภรรยาและลูก และบรรดาสิ่งของที่เขามีอยู่นั้นเอามาใช้หนี้ เพราะเขาไม่มีเงินจะใช้หนี้
มธ 19.21 พระเยซูตรัสแก่เขาว่า “ถ้าท่านปรารถนาเป็นผู้ที่ทำจนครบถ้วน จงไปขายบรรดาสิ่งของซึ่งท่านมีอยู่แจกจ่ายให้คนอนาถา แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วจงตามเรามา”
มธ 26.9 ด้วยน้ำมันนี้ถ้าขายก็ได้เงินมาก แล้วจะแจกให้คนจนก็ได้”
มก 10.21 พระเยซูทรงเพ่งดูคนนั้น ก็ทรงรักเขา แล้วตรัสแก่เขาว่า “ท่านยังขาดอยู่สิ่งหนึ่ง จงไปขายบรรดาสิ่งของซึ่งท่านมีอยู่ แจกจ่ายให้คนอนาถา แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วจงแบกกางเขน และตามเรามา”
มก 14.5 เพราะว่าน้ำมันนี้ ถ้าขายก็คงได้เงินกว่าสามร้อยเหรียญเดนาริอัน แล้วจะแจกให้คนจนก็ได้” เขาจึงบ่นว่าผู้หญิงนั้น
ลก 12.6 นกกระจอกห้าตัวเขาขายสองบาทมิใช่หรือ และนกนั้นแม้สักตัวเดียว พระเจ้ามิได้ทรงลืมเลย
ลก 12.33 จงขายของที่ท่านมีอยู่และทำทาน จงกระทำถุงใส่เงินสำหรับตนซึ่งไม่รู้เก่า คือให้มีทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ซึ่งไม่เสื่อมสูญไป ที่ขโมยมิได้เข้ามาใกล้ และที่ตัวมอดมิได้ทำลายเสีย
ลก 18.22 เมื่อพระเยซูทรงได้ยินอย่างนั้นพระองค์ตรัสแก่เขาว่า “ท่านยังขาดสิ่งหนึ่ง จงไปขายบรรดาสิ่งของซึ่งท่านมีอยู่และแจกจ่ายให้คนอนาถา ท่านจึงจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วจงตามเรามา”
ลก 22.36 พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “แต่เดี๋ยวนี้ใครมีถุงเงินให้เอาไปด้วย และย่ามก็ให้เอาไปเหมือนกัน และผู้ใดที่ไม่มีดาบก็ให้ขายเสื้อคลุมของตนไปซื้อดาบ
ยน 2.14 ในพระวิหารพระองค์ทรงพบคนขายวัว ขายแกะ ขายนกเขา และคนรับแลกเงินนั่งอยู่
ยน 2.16 และพระองค์ตรัสแก่บรรดาคนขายนกเขาว่า “จงเอาของเหล่านี้ไปเสีย อย่าทำพระนิเวศของพระบิดาเราให้เป็นที่ค้าขาย”
ยน 12.5 “เหตุไฉนจึงไม่ขายน้ำมันนั้นเป็นเงินสักสามร้อยเดนาริอัน แล้วแจกให้แก่คนจน”
กจ 2.45 เขาจึงได้ขายทรัพย์สมบัติและสิ่งของมาแบ่งให้แก่คนทั้งปวงตามซึ่งทุกคนต้องการ
กจ 4.34 และในพวกศิษย์ไม่มีผู้ใดขัดสน เพราะผู้ใดมีไร่นาบ้านเรือนก็ขายเสีย และได้นำเงินค่าของที่ขายได้นั้นมา
กจ 4.37 มีที่ดินก็ขายเสียและนำเงินค่าที่นั้นมาวางไว้ที่เท้าของอัครสาวก
กจ 5.1 แต่มีชายคนหนึ่งชื่ออานาเนียกับภรรยาชื่อสัปฟีราได้ขายที่ดินของตน
กจ 5.4 เมื่อที่ดินยังอยู่ก็เป็นของเจ้ามิใช่หรือ เมื่อขายแล้วเงินก็ยังอยู่ในอำนาจของเจ้ามิใช่หรือ มีเหตุอะไรเกิดขึ้นให้เจ้าคิดในใจเช่นนั้นเล่า เจ้ามิได้มุสาต่อมนุษย์แต่ได้มุสาต่อพระเจ้า”
กจ 5.8 ฝ่ายเปโตรถามนางว่า “เจ้าขายที่ดินได้ราคาเท่านั้นหรือ จงบอกเราเถิด” หญิงนั้นจึงตอบว่า “ได้เท่านั้นเจ้าค่ะ”
กจ 7.9 ฝ่ายบรรพบุรุษเหล่านั้นคิดอิจฉาโยเซฟจึงขายเขาไปยังประเทศอียิปต์ แต่พระเจ้าทรงสถิตกับโยเซฟ
รม 7.14 เพราะเรารู้ว่าพระราชบัญญัตินั้นเป็นโดยฝ่ายจิตวิญญาณ แต่ว่าข้าพเจ้าเป็นแต่เนื้อหนังถูกขายไว้ให้อยู่ใต้บาป
1คร 10.25 ทุกสิ่งที่เขาขายตามตลาดเนื้อนั้นรับประทานได้ ไม่ต้องถามอะไรโดยเห็นแก่ใจสำนึกผิดชอบ
ฮบ 12.16 และเกรงว่าจะมีคนกระทำผิดประเวณีหรือคนประมาทเหมือนอย่างเอซาว ผู้ได้เอาสิทธิของบุตรหัวปีนั้นขายเสียเพราะเห็นแก่อาหารคำเดียว
วว 18.15 บรรดาพ่อค้าที่ได้ขายสิ่งของเหล่านั้น จนเป็นคนมั่งมีเพราะนครนั้น จะยืนอยู่แต่ไกลเพราะกลัวภัยจากการทรมานของนครนั้น พวกเขาจะร้องไห้คร่ำครวญด้วยเสียงดัง

ข่าย ( 18 )
โยบ 18.8 เพราะเขาถูกเหวี่ยงเข้าไปในข่ายด้วยเท้าของเขาเอง และเขาเดินอยู่บนหลุมพราง
สดด 25.15 ตาของข้าพเจ้าจ้องตรงพระเยโฮวาห์เสมอ เพราะพระองค์จะทรงถอนเท้าของข้าพเจ้าออกจากข่าย
สดด 31.4 ขอทรงปลดข้าพระองค์ออกจากข่ายที่พวกเขาวางอย่างลับๆเพื่อดักข้าพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเป็นกำลังของข้าพระองค์
สดด 35.7 เพราะเขาเอาข่ายซ่อนดักข้าพระองค์ไว้อย่างไม่มีเหตุ เขาขุดหลุมพรางเอาชีวิตข้าพระองค์อย่างไม่มีเรื่อง
สดด 35.8 ขอให้ความพินาศมาถึงเขาอย่างไม่รู้ตัว และขอให้ข่ายที่เขาซ่อนไว้นั้นติดเขาเองและให้เขาติดข่ายพินาศเอง
สดด 66.11 พระองค์ทรงนำข้าพระองค์ทั้งหลายเข้ามาในข่าย พระองค์ทรงวางความทุกข์ยากไว้ที่เอวของข้าพระองค์
สดด 141.10 ขอให้คนชั่วตกไปด้วยกันในข่ายของตนเอง แต่ขอให้ข้าพระองค์ผ่านพ้นไป
สภษ 1.17 เพราะที่จะขึงข่ายไว้ให้นกเห็น ก็ไร้ผล
สภษ 29.5 คนที่ป้อยอเพื่อนบ้านของตนย่อมกางข่ายไว้ดักเท้าของเขา
ปญจ 7.26 ข้าพเจ้าได้พบอีกสิ่งหนึ่งซึ่งขมขื่นยิ่งกว่าความตาย คือผู้หญิงที่มีใจเป็นบ่วงแร้วและข่าย มือของนางเป็นโซ่ตรวน คนใดเป็นคนที่พอพระทัยพระเจ้า คนนั้นจะหนีพ้นนาง แต่คนบาปจะถูกผู้หญิงคนนั้นจับเอาไป
อสย 51.20 บุตรชายของเจ้าสลบไปแล้ว เขานอนอยู่ที่ทุกหัวถนนเหมือนวัวป่าตัวผู้ติดข่าย เขาทั้งหลายโชกโชนด้วยพระพิโรธของพระเยโฮวาห์ และการขนาบของพระเจ้าของเจ้า
อสค 12.13 และเราจะกางข่ายของเราคลุมท่าน และท่านจะติดกับของเรา และเราจะนำท่านเข้าไปในบาบิโลนแผ่นดินของคนเคลเดีย ถึงกระนั้นท่านจะยังแลไม่เห็นแผ่นดินนั้น และท่านจะต้องตายที่นั่น
อสค 17.20 เราจะกางข่ายของเราคลุมเขา และเขาจะติดกับของเรา และเราจะนำเขาเข้าไปในบาบิโลน และพิจารณาพิพากษาเขาที่นั่นในเรื่องการละเมิดที่เขาได้ละเมิดต่อเรา
อสค 19.8 แล้วบรรดาประชาชาติก็ล้อมต่อสู้มันทุกด้านจากแว่นแคว้นทั้งปวง เขาทั้งหลายกางข่ายออกคลุมมัน มันก็ถูกจับอยู่ในหลุมพรางของเขาทั้งหลาย
อสค 32.3 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เราจะกางข่ายของเราคลุมท่านโดยกองทัพชนชาติทั้งหลายเป็นอันมาก และเขาเหล่านั้นจะลากท่านขึ้นมาด้วยอวนของเรา
ฮชย 5.1 โอ ปุโรหิตทั้งหลาย จงฟังข้อนี้ วงศ์วานอิสราเอลเอ๋ย จงสดับ โอ ราชวงศ์กษัตริย์ จงเงี่ยหูฟัง เพราะเจ้าทั้งหลายจะต้องถูกพิพากษา เพราะเจ้าเป็นกับอยู่ที่เมืองมิสปาห์ และเป็นข่ายกางอยู่ที่เมืองทาโบร์
ฮชย 7.12 เมื่อเขาไป เราจะกางข่ายของเราออกคลุมเขา เราจะดึงเขาลงมาเหมือนดักนกในอากาศ เราจะลงโทษเขาตามที่ชุมนุมชนได้ยินแล้ว

ขายหน้า ( 24 )
นหม 2.17 แล้วข้าพเจ้าพูดกับเขาทั้งหลายว่า “ท่านทั้งหลายเห็นแล้วว่าเราตกอยู่ในความลำบากอย่างไร ที่เยรูซาเล็มปรักหักพังลง และไฟไหม้ประตูเมืองเสียนั้น มาเถิด ให้เราสร้างกำแพงเยรูซาเล็มขึ้น เพื่อเราจะไม่ต้องอับอายขายหน้าอีก”
สดด 119.31 ข้าพระองค์ผูกพันอยู่กับบรรดาพระโอวาทของพระองค์ โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขออย่าให้ข้าพระองค์ขายหน้า
สดด 119.46 ข้าพระองค์จะพูดถึงพระโอวาทของพระองค์ต่อเบื้องพระพักตร์บรรดากษัตริย์และจะไม่ขายหน้า
สดด 119.80 ขอให้จิตใจข้าพระองค์ไร้ตำหนิในเรื่องกฎเกณฑ์ของพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะไม่ต้องขายหน้า
สดด 119.116 ขอทรงประคองข้าพระองค์ไว้ตามพระดำรัสของพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะเป็นอยู่ และอย่าให้ข้าพระองค์ขายหน้าในความหวังของข้าพระองค์
สดด 129.5 ขอให้บรรดาผู้ที่เกลียดชังศิโยนได้ขายหน้าและต้องถอยกลับไป
อสย 30.3 เพราะฉะนั้นการลี้ภัยกับฟาโรห์จะกลับเป็นความอับอายของเจ้า และการวางใจในร่มเงาของอียิปต์จะกลับเป็นที่ขายหน้าของเจ้า
อสย 42.17 เขาทั้งหลายจะหันกลับ และจะต้องขายหน้าอย่างที่สุด คือผู้ที่วางใจในรูปแกะสลัก ผู้ที่กล่าวแก่รูปเคารพหล่อว่า “ท่านเป็นพระของเรา”
อสย 45.16 เขาทุกคนต้องอับอายและขายหน้า ผู้สร้างรูปเคารพก็อดสูไปด้วยกัน
อสย 45.17 แต่อิสราเอลนั้นพระเยโฮวาห์ทรงช่วยให้รอดด้วยความรอดเนืองนิตย์ เจ้าจะไม่ต้องอับอายหรือขายหน้าตลอดไปเป็นนิตย์
อสย 50.7 เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจะทรงช่วยข้าพเจ้า เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงจะไม่ขายหน้า เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงตั้งหน้าของข้าพเจ้าอย่างหินเหล็กไฟ และข้าพเจ้าทราบว่าข้าพเจ้าจะไม่ได้อาย
ยรม 14.3 ขุนนางของเธอส่งผู้น้อยของเขาให้ไปตักน้ำ เขาทั้งหลายไปยังที่ขังน้ำเห็นว่าไม่มีน้ำ เขาทั้งหลายก็กลับไปด้วยภาชนะเปล่า เขาทั้งหลายได้อายและขายหน้า เขาจึงคลุมศีรษะของเขาทั้งหลายเสีย
ยรม 15.9 เธอที่คลอดบุตรเจ็ดคนก็อ่อนกำลัง เธอตายไปแล้ว ดวงอาทิตย์ของเธอตกเมื่อยังวันอยู่ เธอได้รับความละอายและขายหน้า เราจะมอบผู้ที่เหลืออยู่ให้แก่ดาบต่อหน้าศัตรูของเขา” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ยรม 20.11 แต่พระเยโฮวาห์ทรงอยู่ข้างข้าพเจ้าดังนักรบที่น่ากลัว เพราะฉะนั้น ผู้ข่มเหงข้าพเจ้าจะสะดุด เขาจะไม่ชนะข้าพเจ้า เขาจะขายหน้ามาก เพราะเขาจะไม่เจริญขึ้น ความอัปยศอดสูเป็นนิตย์ของเขานั้นจะไม่มีวันลืม
ยรม 31.19 เพราะแน่นอนหลังจากที่ข้าพระองค์หันไปเสีย ข้าพระองค์ก็กลับใจ และหลังจากที่ข้าพระองค์รับคำสั่งสอนแล้ว ข้าพระองค์ก็ทุบตีต้นขาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์อับอาย และข้าพระองค์ก็ขายหน้า เพราะว่าข้าพระองค์ได้ทนความหยามน้ำหน้าซึ่งเกิดขึ้นเมื่อยังหนุ่มอยู่’”
ยรม 49.23 เกี่ยวด้วยเรื่องเมืองดามัสกัส เมืองฮามัทและเมืองอารปัดได้ขายหน้า เพราะเขาทั้งหลายได้ยินข่าวร้าย เขาก็กลัวลาน ทะเลก็ทุรนทุราย มันสงบลงไม่ได้
อสค 36.32 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า ที่เรากระทำนั้นมิใช่เพราะเห็นแก่เจ้า ขอให้เจ้าทราบเสีย โอ วงศ์วานอิสราเอลเอ๋ย จงอับอายและขายหน้าด้วยเรื่องทางของเจ้าเถิด
ยอล 2.26 เจ้าทั้งหลายจะรับประทานอย่างบริบูรณ์และอิ่มหนำและสรรเสริญพระนามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ผู้ทรงกระทำแก่เจ้าอย่างมหัศจรรย์ ประชาชนของเราจะไม่ต้องขายหน้าอีก
ยอล 2.27 เจ้าจะรู้ว่าเราอยู่ท่ามกลางอิสราเอล และเรานี่แหละคือพระเยโฮวาห์เป็นพระเจ้าของเจ้าไม่มีอื่นใดอีก ประชาชนของเราจะไม่ต้องขายหน้าอีก
มคา 3.7 ผู้ทำนายจะอับอาย พวกโหรจะขายหน้า เออ เขาทั้งหลายจะปิดริมฝีปากด้วยกันหมด เพราะว่าไม่มีคำตอบมาจากพระเจ้า
ลก 13.17 เมื่อพระองค์ตรัสคำเหล่านั้นแล้ว บรรดาคนที่เป็นปฏิปักษ์กับพระองค์ต้องขายหน้า และประชาชนทั้งหลายก็เปรมปรีดิ์เพราะสรรพคุณความดีที่พระองค์ได้ทรงกระทำ
2คร 9.4 มิฉะนั้นแล้ว ถ้าชาวมาซิโดเนียบางคนมากับข้าพเจ้า และเห็นว่าท่านมิได้เตรียมพร้อมตามที่เราได้อวดไว้นั้น (อย่าว่าแต่ท่านจะขายหน้าเลย) เราเองก็จะขายหน้าด้วย
ฮบ 6.6 ถ้าเขาเหล่านั้นจะหลงอยู่อย่างนี้ ก็เหลือวิสัยที่จะให้เขากลับใจเสียใหม่อีกได้ เพราะตัวเขาเองได้ตรึงพระบุตรของพระเจ้าเสียอีกแล้ว และได้ทำให้พระองค์ขายหน้าต่อธารกำนัล

ข้าราชการ ( 197 )
ปฐก 20.8 เหตุฉะนั้นอาบีเมเลคตื่นบรรทมตั้งแต่เช้าตรู่ ทรงเรียกบรรดาข้าราชการของท่าน และทรงรับสั่งเรื่องทั้งหมดนี้ให้พวกเขาฟัง และคนเหล่านั้นก็กลัวยิ่งนัก
ปฐก 21.25 อับราฮัมก็ร้องทุกข์ต่ออาบีเมเลค เรื่องบ่อน้ำที่ข้าราชการอาบีเมเลคยึดเอาไป
ปฐก 40.2 ฟาโรห์ทรงกริ้วข้าราชการทั้งสองนั้น คือหัวหน้าพนักงานน้ำองุ่น และหัวหน้าพนักงานขนม
ปฐก 40.5 คืนหนึ่งข้าราชการทั้งสองนั้นฝันไป คือพนักงานน้ำองุ่นและพนักงานขนมของกษัตริย์อียิปต์ที่ต้องจำอยู่ในคุกนั้น ต่างคนต่างฝันคนละเรื่อง ความฝันของต่างคนก็มีความหมายต่างกัน
ปฐก 40.6 ครั้นเวลาเช้า โยเซฟเข้ามาหา เห็นข้าราชการทั้งสองนั้น ดูเถิด เขามีหน้าโศกเศร้า
ปฐก 40.7 จึงถามข้าราชการของฟาโรห์ที่ถูกจำอยู่ในคุกที่บ้านนายของตนว่า “ทำไมวันนี้ท่านจึงหน้าเศร้า”
ปฐก 40.12 โยเซฟบอกข้าราชการนั้นว่า “ขอแก้ฝันดังนี้ คือกิ่งสามกิ่งนั้นได้แก่สามวัน
ปฐก 40.20 ครั้นถึงวันที่สามเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของฟาโรห์ พระองค์จึงทรงจัดการเลี้ยงข้าราชการทั้งปวงของพระองค์ แล้วทรงยกศีรษะหัวหน้าพนักงานน้ำองุ่น และหัวหน้าพนักงานขนมเข้ามาอยู่ท่ามกลางพวกข้าราชการ
ปฐก 41.10 คือฟาโรห์ทรงพระพิโรธแก่ข้าราชการของพระองค์ และทรงจำข้าพระองค์ไว้ในคุกที่บ้านผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ ทั้งข้าพระองค์กับหัวหน้าพนักงานขนม
ปฐก 41.37 ข้อเสนอนี้เป็นที่เห็นชอบในสายพระเนตรของฟาโรห์ และในสายตาของข้าราชการทั้งปวงของพระองค์
ปฐก 41.38 ฟาโรห์ตรัสกับบรรดาข้าราชการว่า “เราจะหาคนที่มีพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ในตัวเหมือนคนนี้ได้หรือ”
ปฐก 45.16 ข่าวว่า “พี่น้องของโยเซฟมา” ไปถึงราชวังฟาโรห์ ฟาโรห์กับข้าราชการของพระองค์ก็พากันยินดี
ปฐก 50.2 โยเซฟบัญชาพวกหมอที่เป็นข้าราชการของตน ให้อาบยารักษาศพบิดาไว้ พวกหมอก็อาบยารักษาศพอิสราเอล
ปฐก 50.7 โยเซฟจึงขึ้นไปฝังศพบิดา พวกข้าราชการของฟาโรห์ ผู้ใหญ่ในราชสำนักและบรรดาผู้ใหญ่ทั่วแผ่นดินอียิปต์ทั้งสิ้นก็ตามไปด้วย
อพย 5.16 พวกเขากล่าวกับพวกเราว่า ‘ทำอิฐซิ’ แต่มิได้ให้ฟางแก่พวกทาสของพระองค์เลย และดูเถิด พวกทาสของพระองค์ถูกโบยตี แต่ข้าราชการของพระองค์เองเป็นฝ่ายผิด”
อพย 5.21 เขาจึงกล่าวแก่เขาทั้งสองว่า “ขอพระเยโฮวาห์ทรงมองดูพวกท่านและพิพากษาเถิด เพราะท่านกระทำให้ชื่อของพวกข้าพเจ้าเป็นที่เกลียดชังในสายพระเนตรของฟาโรห์ และในสายตาของข้าราชการของพระองค์ เหมือนหนึ่งเอาดาบใส่มือเขาให้สังหารพวกข้าพเจ้าเสีย”
อพย 7.10 โมเสสกับอาโรนจึงเข้าไปเฝ้าฟาโรห์ เขากระทำตามที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชา อาโรนโยนไม้เท้าของท่านลงต่อหน้าฟาโรห์และต่อหน้าข้าราชการทั้งปวง ไม้เท้านั้นก็กลายเป็นงู
อพย 7.20 โมเสสกับอาโรนก็กระทำตามที่พระเยโฮวาห์บัญชา คือท่านได้ยกไม้เท้าขึ้นตีน้ำในแม่น้ำต่อสายพระเนตรของฟาโรห์ และท่ามกลางสายตาของพวกข้าราชการของฟาโรห์ แล้วน้ำในแม่น้ำก็กลายเป็นเลือดทั้งสิ้น
อพย 8.3 ฝูงกบจะเต็มไปทั้งแม่น้ำ จะขึ้นมาอยู่ในวัง ในห้องบรรทม และบนแท่นบรรทมของท่าน ในเรือนข้าราชการ ตามตัวพลเมือง ในเตาปิ้งขนมและในอ่างขยำแป้งของท่านด้วย
อพย 8.4 ฝูงกบนั้นจะขึ้นมาที่ตัวฟาโรห์ ที่ตัวพลเมืองและที่ตัวข้าราชการทั้งปวงของท่าน”’”
อพย 8.11 ฝูงกบจะไปจากพระองค์ จากราชสำนัก จากข้าราชการและพลเมืองของพระองค์ เหลืออยู่เฉพาะแต่ในแม่น้ำเท่านั้น”
อพย 8.21 ถ้าแม้ไม่ปล่อยพลไพร่ของเราไป ดูเถิด เราจะใช้ให้ฝูงเหลือบมาตอมกายของเจ้า ตอมข้าราชการและพลเมืองของเจ้าด้วย ในราชสำนัก บ้านเรือนของชาวอียิปต์ และพื้นดินที่เขาอยู่นั้นจะเต็มไปด้วยฝูงเหลือบ
อพย 8.24 แล้วพระเยโฮวาห์ก็ทรงกระทำดังนั้น เหลือบฝูงใหญ่ยิ่งนักเข้าไปในพระราชวังของฟาโรห์ ในเรือนข้าราชการ และทั่วแผ่นดินอียิปต์ แผ่นดินได้รับความเสียหายเพราะเหตุฝูงเหลือบนั้น
อพย 8.29 โมเสสจึงทูลว่า “ดูเถิด พอข้าพระองค์ทูลลาพระองค์ไป และข้าพระองค์จะอธิษฐานทูลพระเยโฮวาห์ ขอให้ฝูงเหลือบไปเสียจากฟาโรห์ จากข้าราชการและจากพลเมืองในเวลาพรุ่งนี้ แต่ขอฟาโรห์อย่าทรงทำกลับกลอกอีกโดยไม่ยอมปล่อยบ่าวไพร่ให้ไปถวายเครื่องบูชาแด่พระเยโฮวาห์”
อพย 8.31 พระเยโฮวาห์ทรงกระทำตามคำทูลขอของโมเสส พระองค์ทรงให้ฝูงเหลือบไปเสียจากฟาโรห์ จากข้าราชการและจากพลเมืองของพระองค์ มิได้เหลืออยู่สักตัวเดียว
อพย 9.14 ด้วยว่าคราวนี้เราจะบันดาลให้เกิดภัยพิบัติทั้งหมดแก่จิตใจเจ้า และแก่ข้าราชการ และแก่พลเมืองของเจ้า เพื่อเจ้าจะได้รู้แน่ว่า ทั่วโลกไม่มีผู้ใดจะเปรียบกับเราได้
อพย 9.20 บรรดาข้าราชการของฟาโรห์ที่เกรงกลัวพระดำรัสของพระเยโฮวาห์ก็ให้ทาสและสัตว์ของตนกลับเข้าบ้าน
อพย 9.30 แต่ฝ่ายพระองค์และข้าราชการนั้น ข้าพระองค์ทราบว่า พระองค์จะยังไม่ยำเกรงพระเยโฮวาห์พระเจ้า”
อพย 9.34 เมื่อฟาโรห์เห็นว่า ฝน ลูกเห็บและฟ้าร้องนั้นหยุดแล้ว พระองค์ก็กลับทรงกระทำผิดบาปต่อไปอีก พระทัยแข็งกระด้าง ทั้งพระองค์และข้าราชการ
อพย 10.1 พระเยโฮวาห์จึงตรัสกับโมเสสว่า “จงเข้าไปหาฟาโรห์ เพราะเราได้ทำให้ใจของฟาโรห์ และใจของข้าราชการแข็งกระด้าง เพื่อเราจะได้แสดงหมายสำคัญเหล่านี้ของเราต่อหน้าพวกเขา
อพย 10.6 มันจะเข้าไปในราชสำนัก ในบ้านเรือนของข้าราชการ และในบ้านเรือนของบรรดาชาวอียิปต์จนเต็มหมด อย่างที่บิดาและปู่ทวด ตั้งแต่เกิดมาจนทุกวันนี้ ไม่เคยเห็นเช่นนี้เลย’” แล้วโมเสสก็กลับออกไปจากฟาโรห์
อพย 10.7 บรรดาข้าราชการของฟาโรห์ทูลฟาโรห์ว่า “คนนี้จะเป็นบ่วงแร้วดักเราไปนานสักเท่าใด ขอทรงพระกรุณาปลดปล่อยคนเหล่านั้นให้ไปปรนนิบัติพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขาเถิด พระองค์ยังไม่ทรงทราบหรือว่าอียิปต์กำลังพินาศแล้ว”
อพย 11.3 พระเยโฮวาห์ทรงบันดาลให้ประชาชนเป็นที่โปรดปรานในสายตาของชาวอียิปต์ นอกจากนี้บุรุษผู้นั้นคือโมเสสก็ยิ่งใหญ่มากในแผ่นดินอียิปต์ ทั้งในสายตาข้าราชการของฟาโรห์และในสายตาพลเมืองทั้งปวง
อพย 11.8 ข้าราชการของพระองค์จะลงมาหาเรากราบลงต่อหน้าเรากล่าวว่า “ขอท่านกับพรรคพวกไปเสียจากที่นี่เถิด” หลังจากนั้นเราก็จะออกไป’” โมเสสทูลลาฟาโรห์ไปด้วยความโกรธยิ่งนัก
อพย 12.30 ฟาโรห์กับข้าราชการ และชาวอียิปต์ทั้งปวงตื่นขึ้นในตอนกลางคืน มีเสียงร้องไห้คร่ำครวญดังทั่วทั้งอียิปต์ เนื่องด้วยไม่มีบ้านใดเลยที่ไม่มีคนตาย
อพย 14.5 เมื่อกษัตริย์อียิปต์ทราบความว่าบ่าวไพร่เหล่านั้นหนีไปแล้ว พระดำริของฟาโรห์และความคิดของข้าราชการก็เปลี่ยนไปจากที่มีต่อบ่าวไพร่นั้น เขาจึงว่า “ทำไมเราจึงทำเช่นนี้ ไฉนเราจึงได้ปล่อยพวกอิสราเอลไปให้พ้นจากการรับใช้เราเล่า”
1ซมอ 8.14 พระองค์จะเอานา สวนองุ่นและสวนมะกอกเทศที่ดีที่สุดของเจ้าให้แก่ข้าราชการของพระองค์
1ซมอ 8.15 พระองค์จะชักหนึ่งในสิบของพืชผลและผลองุ่นของท่านให้แก่มหาดเล็กและข้าราชการของพระองค์
1ซมอ 18.5 และดาวิดก็ออกไปประพฤติตัวอย่างเฉลียวฉลาดไม่ว่าซาอูลจะใช้เธอไป ณ ที่ใด ดังนั้นซาอูลจึงทรงตั้งเธอให้อยู่เหนือนักรบทั้งหลาย เธอก็เป็นที่ยอมรับในสายตาประชาชน และในสายตาข้าราชการทั้งปวงของซาอูลด้วย
1ซมอ 18.30 บรรดาเจ้านายแห่งคนฟีลิสเตียก็ออกมาทำสงคราม ต่อมาเมื่อเขาทั้งหลายจะออกมาแล้ว ดาวิดก็ได้กระทำอย่างเฉลียวฉลาดมากกว่าบรรดาข้าราชการของซาอูล ชื่อเสียงของเธอจึงโด่งดังมาก
1ซมอ 22.14 และอาหิเมเลคทูลตอบกษัตริย์ว่า “ในบรรดาข้าราชการผู้รับใช้ของพระองค์ มีผู้ใดเล่าที่จะสัตย์ซื่ออย่างดาวิด พระราชบุตรเขยของกษัตริย์ ผู้บังคับบัญชาทหารราชองครักษ์ และเป็นผู้มีเกียรติในพระราชสำนักของพระองค์
1ซมอ 22.17 และกษัตริย์ก็รับสั่งแก่ทหารราบผู้ยืนเฝ้าอยู่ว่า “จงหันมาประหารปุโรหิตเหล่านี้ของพระเยโฮวาห์เสีย เพราะว่ามือของเขาอยู่กับดาวิดด้วย เขารู้แล้วว่ามันหนีไป แต่ไม่แจ้งให้เรารู้” แต่ข้าราชการผู้รับใช้ของกษัตริย์ไม่ยอมลงมือฟันปุโรหิตของพระเยโฮวาห์
2ซมอ 3.38 กษัตริย์ตรัสกับข้าราชการของพระองค์ว่า “ท่านไม่ทราบหรือว่า วันนี้เจ้านายและคนสำคัญยิ่งคนหนึ่งสิ้นชีวิตในอิสราเอล
2ซมอ 5.21 และคนฟีลิสเตียได้ทิ้งรูปเคารพที่นั่น ดาวิดกับข้าราชการของพระองค์ก็เผาเสีย
2ซมอ 6.20 และดาวิดก็ทรงกลับไปอวยพรแก่ราชวงศ์ของพระองค์ แต่มีคาลราชธิดาของซาอูลได้ออกมาพบดาวิดและทูลว่า “วันนี้กษัตริย์แห่งอิสราเอลได้รับเกียรติยศอย่างยิ่งใหญ่ทีเดียวนะเพคะ ที่ทรงถอดฉลองพระองค์วันนี้ท่ามกลางสายตาของพวกสาวใช้ของข้าราชการ เหมือนกับคนถ่อยแก้ผ้าอย่างไม่มีความละอาย”
2ซมอ 10.2 ดาวิดจึงตรัสว่า “เราจะแสดงความเมตตาต่อฮานูนราชโอรสของนาฮาช ดังที่บิดาของเขาแสดงความเมตตาต่อเรา” ดาวิดจึงส่งพวกข้าราชการของพระองค์ไปเล้าโลมท่านเกี่ยวด้วยเรื่องราชบิดาของท่าน และข้าราชการของดาวิดก็เข้ามาในแผ่นดินของคนอัมโมน
2ซมอ 10.3 แต่บรรดาเจ้านายของคนอัมโมนทูลฮานูนเจ้านายของตนว่า “พระองค์ดำริว่าดาวิดส่งผู้เล้าโลมมาหาพระองค์ เพราะนับถือพระราชบิดาของพระองค์เช่นนั้นหรือ ดาวิดมิได้ส่งข้าราชการมาเพื่อตรวจเมืองและสอดแนมดู และเพื่อจะคว่ำเมืองนี้เสียดอกหรือ”
2ซมอ 10.4 ฮานูนจึงจับข้าราชการของดาวิดมาโกนเคราออกเสียครึ่งหนึ่งและตัดเครื่องแต่งกายของเขาออกเสียที่ตรงกลางตรงตะโพก แล้วปล่อยตัวไป
2ซมอ 10.5 เมื่อมีคนไปกราบทูลดาวิดให้ทรงทราบ พระองค์ก็รับสั่งให้คนไปรับข้าราชการเหล่านั้น เพราะว่าเขาทั้งหลายได้รับความอับอายมาก และกษัตริย์ตรัสว่า “จงพักอยู่ที่เมืองเยรีโคจนกว่าเคราของท่านทั้งหลายจะขึ้นแล้วจึงค่อยกลับมา”
2ซมอ 11.1 และอยู่มาพอสิ้นปีแล้วเมื่อบรรดากษัตริย์ยกกองทัพออกไปรบ ดาวิดทรงใช้โยอาบพร้อมกับพวกข้าราชการและอิสราเอลทั้งหมด เขาไปกวาดล้างคนอัมโมนและล้อมเมืองรับบาห์ไว้ แต่ดาวิดประทับที่เยรูซาเล็ม
2ซมอ 11.9 แต่อุรีอาห์ได้นอนเสียที่ประตูพระราชวังพร้อมกับบรรดาข้าราชการของเจ้านายของเขา มิได้ลงไปที่บ้านของตน
2ซมอ 11.11 อุรีอาห์ทูลตอบดาวิดว่า “หีบพันธสัญญาและอิสราเอลกับยูดาห์อยู่ในทับอาศัย โยอาบเจ้านายของข้าพระองค์กับบรรดาข้าราชการของพระองค์ตั้งค่ายอยู่ที่พื้นทุ่ง ส่วนข้าพระองค์จะไปบ้าน ไปกิน ไปดื่ม และนอนกับภรรยาของข้าพระองค์เช่นนั้นหรือ พ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทรงพระชนม์อยู่และจิตวิญญาณของพระองค์มีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ข้าพระองค์จะไม่กระทำอย่างนี้เลย”
2ซมอ 11.13 ดาวิดทรงเชิญเขามา เขาก็มารับประทานและดื่มต่อพระพักตร์ และพระองค์ทรงกระทำให้เขามึนเมา ในเย็นวันนั้นเขาก็ออกไปนอนบนที่นอนกับข้าราชการของเจ้านายของเขา แต่มิได้ลงไปบ้าน
2ซมอ 11.17 คนในเมืองก็ออกมาสู้รบกับโยอาบ มีคนตายบ้างคือข้าราชการบางคนของดาวิดได้ล้มตาย อุรีอาห์คนฮิตไทต์ก็ตายด้วย
2ซมอ 11.24 แล้วทหารธนูก็ยิงข้าราชการของพระองค์จากกำแพง ข้าราชการของกษัตริย์บางคนก็สิ้นชีวิต และอุรีอาห์คนฮิตไทต์ข้าราชการของพระองค์ก็สิ้นชีวิตด้วย”
2ซมอ 12.18 อยู่มาพอวันที่เจ็ดพระกุมารนั้นก็สิ้นพระชนม์ ส่วนข้าราชการของดาวิดก็กลัวไม่กล้ากราบทูลดาวิดว่าพระกุมารนั้นสิ้นชีวิตแล้ว เขาพูดกันว่า “ดูเถิด เมื่อพระกุมารนั้นทรงพระชนม์อยู่ เราทูลพระองค์ พระองค์หาทรงฟังเสียงของเราไม่ แล้วเราทั้งหลายอาจจะกราบทูลได้อย่างไรว่า พระกุมารนั้นสิ้นพระชนม์แล้ว พระองค์ก็จะกระทำอันตรายต่อพระองค์เอง”
2ซมอ 12.19 แต่เมื่อดาวิดทอดพระเนตรเห็นข้าราชการกระซิบกระซาบกันอยู่ ดาวิดเข้าพระทัยว่าพระกุมารนั้นสิ้นพระชนม์แล้ว ดาวิดจึงรับสั่งถามข้าราชการของพระองค์ว่า “เด็กนั้นสิ้นชีวิตแล้วหรือ” เขาทูลตอบว่า “สิ้นชีวิตแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
2ซมอ 12.21 ข้าราชการจึงทูลถามพระองค์ว่า “เป็นไฉนพระองค์ทรงกระทำเช่นนี้ พระองค์ทรงอดพระกระยาหารและกันแสงเพื่อพระกุมารนั้นเมื่อทรงพระชนม์อยู่ แต่เมื่อพระกุมารนั้นสิ้นพระชนม์แล้ว พระองค์ก็ทรงลุกขึ้นเสวยพระกระยาหาร”
2ซมอ 13.31 กษัตริย์ทรงลุกขึ้นฉีกฉลองพระองค์ และทรงบรรทมบนพื้นดิน บรรดาข้าราชการทั้งสิ้นสวมเสื้อผ้าฉีกขาดยืนเฝ้าอยู่
2ซมอ 13.36 อยู่มาเมื่อเขาพูดจบลง ดูเถิด ราชโอรสของกษัตริย์ก็มาถึง และได้ร้องไห้เสียงดัง ฝ่ายกษัตริย์ก็กันแสง และบรรดาข้าราชการก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วย
2ซมอ 15.14 แล้วดาวิดรับสั่งแก่บรรดาข้าราชการที่อยู่กับพระองค์ ณ เยรูซาเล็มว่า “จงลุกขึ้นให้เราหนีไปเถิด มิฉะนั้นเราจะหนีไม่พ้นจากอับซาโลมสักคนเดียว จงรีบไป เกรงว่าเขาจะตามเราทันโดยเร็วและนำเหตุร้ายมาถึงเรา และทำลายกรุงนี้เสียด้วยคมดาบ”
2ซมอ 15.15 ข้าราชการของกษัตริย์จึงกราบทูลกษัตริย์ว่า “ดูเถิด ผู้รับใช้ของพระองค์พร้อมที่จะกระทำตามสิ่งซึ่งกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ตัดสินพระทัยทุกประการ”
2ซมอ 15.18 บรรดาข้าราชการทั้งสิ้นเดินผ่านพระองค์ไป บรรดาคนเคเรธีและคนเปเลทกับคนกัท หกร้อยคนที่ติดตามพระองค์มาจากเมืองกัท ได้เดินผ่านพระพักตร์กษัตริย์ไป
2ซมอ 16.6 และเอาหินขว้างดาวิดและขว้างบรรดาข้าราชการของกษัตริย์ดาวิด พวกพลและชายฉกรรจ์ทั้งสิ้นก็อยู่ข้างขวาและข้างซ้ายของพระองค์
2ซมอ 16.11 ดาวิดตรัสกับอาบีชัยและข้าราชการทั้งสิ้นของพระองค์ว่า “ดูเถิด ลูกของเราเองที่ได้ออกมาจากบั้นเอวของเรายังแสวงหาชีวิตของเรา ยิ่งกว่านั้น ทำไมกับคนเบนยามินคนนี้จะไม่กระทำเล่า ช่างเขาเถิด ให้เขาด่าไป เพราะพระเยโฮวาห์ทรงบอกเขาแล้ว
2ซมอ 17.20 เมื่อข้าราชการของอับซาโลมมาถึงที่บ้านหญิงคนนี้ เขาก็ถามว่า “อาหิมาอัสกับโยนาธานอยู่ที่ไหน” หญิงนั้นก็ตอบเขาว่า “เขาข้ามลำธารน้ำไปแล้ว” เมื่อเขาเที่ยวหาไม่พบแล้วก็กลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
2ซมอ 18.7 คนอิสราเอลก็พ่ายแพ้ต่อหน้าข้าราชการของดาวิด มีการฆ่าฟันกันอย่างหนักที่นั่น ทหารตายเสียสองหมื่นคนในวันนั้น
2ซมอ 18.9 และอับซาโลมไปพบข้าราชการของดาวิดเข้า อับซาโลมทรงล่ออยู่และล่อนั้นได้วิ่งเข้าไปใต้กิ่งต้นโอ๊กใหญ่ ศีรษะของท่านก็ติดกิ่งต้นโอ๊กแน่น เมื่อล่อนั้นวิ่งเลยไปแล้วท่านก็แขวนอยู่ระหว่างฟ้าและดิน
2ซมอ 19.5 โยอาบก็เข้ามาในพระราชวังทูลกษัตริย์ว่า “วันนี้พระองค์ได้ทรงกระทำให้ข้าราชการทั้งสิ้นของพระองค์ ผู้ซึ่งวันนี้ได้อารักขาพระชนม์ของพระองค์ ทั้งชีวิตของราชบุตรและราชธิดา และชีวิตของบรรดามเหสี และชีวิตของสนมทั้งหลายของพระองค์ให้เขาได้รับความละอาย
2ซมอ 19.6 เพราะว่าพระองค์ทรงรักศัตรูของพระองค์ และทรงเกลียดชังสหายของพระองค์ เพราะในวันนี้พระองค์ได้กระทำให้ประจักษ์แล้วว่า พระองค์ไม่ไยดีต่อนายทหารและบรรดาข้าราชการทั้งหลาย ในวันนี้ข้าพระองค์ทราบว่า ถ้าในวันนี้อับซาโลมยังมีชีวิตอยู่ และข้าพระองค์ทั้งหลายก็ตายสิ้น พระองค์ก็จะพอพระทัย
2ซมอ 19.7 ฉะนั้น ขอพระองค์ทรงลุกขึ้น ณ บัดนี้ขอเสด็จออกไปตรัสให้ถึงใจข้าราชการทั้งหลาย เพราะข้าพระองค์ได้ปฏิญาณในพระนามพระเยโฮวาห์ว่า ถ้าพระองค์ไม่เสด็จจะไม่มีชายสักคนหนึ่งอยู่กับพระองค์ในคืนนี้ เรื่องนี้จะร้ายแรงยิ่งกว่าเหตุร้ายอื่นๆทั้งสิ้นซึ่งบังเกิดแก่พระองค์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์จนบัดนี้”
2ซมอ 19.14 พระองค์ก็ได้ชักจูงจิตใจของบรรดาคนยูดาห์ดังกับเป็นจิตใจของชายคนเดียว พวกเขาจึงส่งคนไปทูลกษัตริย์ว่า “ขอพระองค์เสด็จกลับพร้อมกับบรรดาข้าราชการทั้งหมดด้วย”
2ซมอ 21.15 คนฟีลิสเตียได้ทำสงครามกับคนอิสราเอลอีก ดาวิดก็ลงไปพร้อมกับบรรดาข้าราชการของพระองค์ และได้สู้รบกับคนฟีลิสเตีย และดาวิดก็ทรงอ่อนเพลีย
2ซมอ 21.22 คนทั้งสี่นี้บังเกิดแก่คนยักษ์ในเมืองกัท เขาทั้งหลายล้มตายด้วยพระหัตถ์ของดาวิด และด้วยมือของข้าราชการของพระองค์
2ซมอ 24.20 เมื่ออาราวนาห์มองลงมา เห็นกษัตริย์และข้าราชการขึ้นมาหาตน อาราวนาห์ก็ออกไปถวายบังคมกษัตริย์ซบหน้าลงถึงดิน
1พกษ 1.2 เพราะฉะนั้นบรรดาข้าราชการของพระองค์จึงกราบทูลว่า “ขอเสาะหาหญิงสาวพรหมจารีมาถวายกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ และขอให้เธออยู่งานเฉพาะพระพักตร์พระองค์ และดูแลพระองค์ ให้เธอนอนในพระทรวงของพระองค์ เพื่อกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์จะได้ทรงอบอุ่น”
1พกษ 1.9 อาโดนียาห์ได้ถวายแกะ วัว และสัตว์อ้วนพีเป็นเครื่องบูชา ณ ศิลาแห่งโศเฮเลทซึ่งอยู่ข้างๆเอนโรเกล และท่านได้เชิญพี่น้องทั้งสิ้นของท่าน คือราชโอรสของกษัตริย์ และประชาชนทั้งสิ้นแห่งยูดาห์ที่เป็นข้าราชการของกษัตริย์
1พกษ 1.33 และกษัตริย์ตรัสสั่งเขาทั้งหลายว่า “จงพาข้าราชการของเจ้านายของเจ้าไปจัดให้ซาโลมอนโอรสของเราขึ้นขี่ล่อของเรา และนำเขาลงไปที่กีโฮน
1พกษ 1.47 ยิ่งกว่านั้นอีกบรรดาข้าราชการของกษัตริย์ก็เข้าไปถวายพระพรแด่กษัตริย์ดาวิดเจ้านายของเราว่า ‘ขอพระเจ้าทรงกระทำให้พระนามของซาโลมอนบันลือไปยิ่งกว่าพระนามของพระองค์ และขอทรงกระทำให้บัลลังก์ของซาโลมอนใหญ่ยิ่งกว่าบัลลังก์ของพระองค์’ แล้วกษัตริย์ก็ทรงโน้มพระกายลงบนแท่นที่บรรทม
1พกษ 3.15 และซาโลมอนก็ตื่นบรรทม และดูเถิด เป็นพระสุบิน แล้วพระองค์ก็เสด็จมาที่กรุงเยรูซาเล็ม และประทับยืนอยู่หน้าหีบพันธสัญญาของพระเยโฮวาห์ และถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องสันติบูชา และพระราชทานเลี้ยงแก่บรรดาข้าราชการของพระองค์
1พกษ 4.2 และคนต่อไปนี้เป็นข้าราชการผู้ใหญ่ของพระองค์คือ อาซาริยาห์บุตรชายศาโดกเป็นปุโรหิต
1พกษ 4.5 อาซาริยาห์บุตรชายนาธันเป็นหัวหน้าข้าหลวง ศบุดบุตรชายนาธันเป็นข้าราชการผู้ใหญ่ และเป็นพระสหายของกษัตริย์
1พกษ 5.1 ฝ่ายฮีรามกษัตริย์เมืองไทระได้ส่งข้าราชการของท่านมาเฝ้าซาโลมอน เมื่อท่านได้ยินว่าเขาได้เจิมตั้งพระองค์ไว้เป็นกษัตริย์แทนราชบิดาของพระองค์ เพราะฮีรามรักดาวิดอยู่เสมอ
1พกษ 5.6 เพราะฉะนั้นบัดนี้ขอท่านสั่งให้ตัดไม้สนสีดาร์แห่งเลบานอนเพื่อข้าพเจ้า และข้าราชการของข้าพเจ้าจะสมทบกับพวกข้าราชการของท่าน ข้าพเจ้าจะมอบเงินค่าจ้างข้าราชการของท่านแก่ท่านตามที่ท่านตั้งไว้ เพราะท่านคงทราบแล้วว่า ท่ามกลางเรานี้ไม่มีผู้ใดรู้จักตัดไม้เหมือนชาวซีโดน”
1พกษ 5.9 ข้าราชการของข้าพเจ้าจะนำลงมาจากเลบานอนถึงทะเล และข้าพเจ้าจะผูกแพล่องมาตามทะเลถึงที่ที่ท่านจะกำหนดให้ และข้าพเจ้าจะให้แก้แพที่นั่น ขอท่านมารับเอา และขอท่านส่งเสบียงอาหารแก่สำนักวังของข้าพเจ้าก็แล้วกัน เป็นที่พอใจข้าพเจ้าแล้ว”
1พกษ 5.16 นอกจากข้าราชการผู้ใหญ่ของซาโลมอนซึ่งเป็นผู้ดูแลการงานนี้ ก็มีอีกสามพันสามร้อยคนซึ่งเป็นผู้ปกครองดูแลประชาชนผู้ดำเนินงาน
1พกษ 9.22 แต่ประชาชนอิสราเอลนั้น ซาโลมอนหาได้ทรงกระทำให้เป็นทาสไม่ เขาทั้งหลายเป็นทหาร เป็นข้าราชการ เป็นผู้บังคับบัญชาของพระองค์ เป็นนายทหารของพระองค์ เป็นผู้บังคับการรถรบของพระองค์และเป็นพลม้าของพระองค์
1พกษ 9.27 และฮีรามได้ส่งข้าราชการและพลเรือผู้ซึ่งคุ้นเคยกับทะเลไปกับกองกำปั่นพร้อมกับข้าราชการของซาโลมอน
1พกษ 10.5 ทั้งอาหารที่โต๊ะเสวย กับการเข้าเฝ้าของบรรดาข้าราชการ และการปรนนิบัติรับใช้ของมหาดเล็กตลอดทั้งภูษาอาภรณ์ของเขา และพนักงานเชิญถ้วยของพระองค์ และการที่พระองค์เสด็จขึ้นไปในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ พระทัยของพระนางก็สลดลงทีเดียว
1พกษ 10.8 บรรดาคนของพระองค์ก็เป็นสุข บรรดาข้าราชการเหล่านี้ของพระองค์ผู้อยู่งานประจำต่อพระพักตร์พระองค์ และฟังพระสติปัญญาของพระองค์ก็เป็นสุข
1พกษ 10.13 กษัตริย์ซาโลมอนทรงพระราชทานทุกอย่างแก่พระราชินีแห่งเชบา ตามที่พระนางมีพระประสงค์ นอกจากสิ่งที่พระราชทานมาจากความอุดมสมบูรณ์ของกษัตริย์แล้ว สิ่งใดๆที่พระนางทูลขอ ซาโลมอนก็พระราชทาน ดังนั้น พระนางก็เสด็จกลับไปยังแผ่นดินของพระนาง พร้อมกับข้าราชการของพระนาง
1พกษ 11.11 เพราะฉะนั้นพระเยโฮวาห์ตรัสกับซาโลมอนว่า “เนื่องด้วยเจ้าได้กระทำเช่นนี้ และเจ้ามิได้รักษาพันธสัญญาของเรา และกฎเกณฑ์ของเรา ซึ่งเราได้บัญชาเจ้าไว้ เราจะฉีกอาณาจักรเสียจากเจ้าเป็นแน่และให้แก่ข้าราชการของเจ้า
1พกษ 11.17 ฮาดัดได้หนีไปอียิปต์ พร้อมกับคนเอโดมบางคนผู้เป็นข้าราชการของบิดาของท่าน ครั้งนั้นฮาดัดยังเป็นเด็กเล็กๆอยู่
1พกษ 11.26 เยโรโบอัมบุตรชายเนบัท คนเอฟราอิม ชาวเมืองเศเรดาห์ข้าราชการคนหนึ่งของซาโลมอน มารดาชื่อเศรุวาห์เป็นหญิงม่าย ได้ยกมือขึ้นต่อสู้กษัตริย์ด้วย
1พกษ 15.18 แล้วอาสาทรงนำเงินและทองคำ ซึ่งเหลืออยู่ในทรัพย์สินแห่งพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และทรัพย์สินของพระราชวัง มอบไว้ในมือของข้าราชการของพระองค์ และกษัตริย์อาสาทรงใช้เขาไปเฝ้าเบนฮาดัดโอรสของทับริมโมน ผู้เป็นโอรสของเฮซีโอนกษัตริย์แห่งซีเรีย ผู้อยู่ในเมืองดามัสกัสว่า
1พกษ 16.9 แต่ศิมรีข้าราชการของพระองค์ ผู้บัญชาการกองรถรบของพระองค์ครึ่งหนึ่ง ได้คิดกบฏต่อพระองค์เมื่อพระองค์ประทับที่เมืองทีรซาห์ พระองค์ทรงดื่มจนเมาในเรือนของอารซาผู้ครอบครองราชสำนักในทีรซาห์
1พกษ 20.6 แต่ข้าพเจ้าจะส่งข้าราชการของข้าพเจ้าไปหาท่านพรุ่งนี้ประมาณเวลานี้ เขาทั้งหลายจะค้นวังของท่าน ทั้งบ้านเรือนข้าราชการของท่าน สิ่งใดที่เป็นที่ชอบตาของท่าน เขาจะหยิบเอาไป’”
1พกษ 20.12 ต่อมาเมื่อเบนฮาดัดได้ยินข่าวนี้ขณะที่ดื่มอยู่กับบรรดากษัตริย์ทั้งหลายที่ในทับอาศัย ท่านก็สั่งข้าราชการของท่านว่า “จงเข้าประจำที่” และเขาทั้งหลายก็เข้าประจำที่เพื่อต่อสู้กับเมืองนั้น
1พกษ 20.23 ข้าราชการของกษัตริย์แห่งซีเรียทูลท่านว่า “พระทั้งหลายของเขาเป็นพระแห่งภูเขา เขาทั้งหลายจึงแข็งกว่าเรา แต่ขอให้เราสู้รบกับเขาในที่ราบ แล้วเราจะต้องแข็งกว่าเขาแน่นอนทีเดียว
1พกษ 20.31 และข้าราชการของท่านมาทูลว่า “ดูเถิด เราได้ยินว่ากษัตริย์แห่งวงศ์วานอิสราเอลเป็นกษัตริย์ที่ทรงเมตตา ขอให้เราเอาผ้ากระสอบคาดเอว และเอาเชือกพันศีรษะของเรา และออกไปหากษัตริย์แห่งอิสราเอล ชะรอยท่านจะไว้ชีวิตของพระองค์”
1พกษ 22.3 และกษัตริย์แห่งอิสราเอลตรัสถามบรรดาข้าราชการของพระองค์ว่า “ท่านทราบกันหรือไม่ว่าราโมทกิเลอาดเป็นของเราและเรา ได้นิ่งอยู่มิได้เอาออกมาจากมือของกษัตริย์แห่งซีเรีย”
1พกษ 22.49 แล้วอาหัสยาห์ราชโอรสของอาหับตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “ขอให้ข้าราชการของข้าพเจ้าไปในเรือกำปั่นกับข้าราชการของท่าน” แต่เยโฮชาฟัทไม่พอพระทัย
2พกษ 3.11 และเยโฮชาฟัทตรัสว่า “ที่นี่ไม่มีผู้พยากรณ์ของพระเยโฮวาห์ เพื่อเราจะให้ทูลถามพระเยโฮวาห์หรือ” แล้วข้าราชการคนหนึ่งของกษัตริย์อิสราเอลจึงทูลว่า “เอลีชาบุตรชาฟัทอยู่ที่นี่พระเจ้าข้า เป็นผู้ที่เทน้ำใส่มือเอลียาห์”
2พกษ 5.6 และท่านก็นำสารไปยังกษัตริย์แห่งอิสราเอลใจความว่า “เมื่อสารนี้มาถึงท่าน ดูเถิด ข้าพเจ้าได้ส่งนาอามานข้าราชการของข้าพเจ้ามา เพื่อขอให้ท่านรักษาเขาให้หายจากโรคเรื้อน”
2พกษ 5.13 แต่พวกข้าราชการของท่านเข้ามาใกล้และเรียนท่านว่า “คุณพ่อของข้าพเจ้า ถ้าท่านผู้พยากรณ์จะสั่งให้ท่านกระทำสิ่งใหญ่โตประการหนึ่ง ท่านจะไม่กระทำหรือ ถ้าเช่นนั้นเมื่อท่านผู้พยากรณ์กล่าวแก่ท่านว่า ‘จงไปล้างและสะอาดเถิด’ ควรท่านจะทำยิ่งขึ้นเท่าใด”
2พกษ 6.8 ฝ่ายกษัตริย์แห่งซีเรียรบพุ่งกับอิสราเอล พระองค์ปรึกษากับข้าราชการของพระองค์ว่า “เราจะตั้งค่ายของเราที่นั่นๆ”
2พกษ 6.11 กษัตริย์แห่งซีเรียก็ไม่สบายพระทัยมากเพราะเรื่องนี้ พระองค์จึงทรงเรียกข้าราชการมาตรัสว่า “พวกท่านจะไม่บอกเราหรือว่า คนใดในพวกเราที่อยู่ฝ่ายกษัตริย์แห่งอิสราเอล”
2พกษ 6.12 ข้าราชการคนหนึ่งของพระองค์ทูลว่า “โอ ข้าแต่กษัตริย์ เจ้านายของข้าพระองค์ ไม่มีผู้ใดพระเจ้าข้า แต่เอลีชาผู้พยากรณ์ซึ่งอยู่ในอิสราเอลทูลบรรดาถ้อยคำซึ่งพระองค์ตรัสในห้องบรรทมของพระองค์แก่กษัตริย์แห่งอิสราเอล”
2พกษ 7.12 กษัตริย์ก็ทรงตื่นบรรทมในกลางคืน และตรัสกับข้าราชการว่า “เราจะบอกให้ว่าคนซีเรียเตรียมสู้รบเราอย่างไร เขาทั้งหลายรู้อยู่ว่าเราหิว เขาจึงออกไปซ่อนตัวอยู่นอกค่ายที่กลางทุ่งคิดว่า ‘เมื่อเขาออกมาจากในเมืองเราจะจับเขาทั้งเป็น แล้วจะเข้าไปในเมือง’”
2พกษ 7.13 และข้าราชการคนหนึ่งทูลว่า “ขอรับสั่งให้คนเอาม้าที่เหลืออยู่ในเมืองสักห้าตัว (ดูเถิด บางทีม้าเหล่านั้นจะยังเป็นอยู่อย่างคนอิสราเอลที่เหลืออยู่ในเมือง หรือดูเถิด จะเป็นอย่างคนอิสราเอลที่ได้พินาศแล้วก็ช่างเถิด) ขอให้เราส่งคนไปดู”
2พกษ 9.11 เมื่อเยฮูออกมาสู่พวกข้าราชการของเจ้านายของท่าน คนหนึ่งพูดกับท่านว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือ ทำไมคนบ้าคนนี้จึงมาหาท่าน” ท่านพูดกับเขาทั้งหลายว่า “ท่านทั้งหลายรู้จักชายคนนั้นและทราบเขาพูดอะไรแล้ว”
2พกษ 9.28 ข้าราชการของพระองค์ก็บรรทุกพระศพใส่รถรบไปยังเยรูซาเล็ม และฝังไว้ในอุโมงค์ของพระองค์กับบรรพบุรุษของพระองค์ในนครดาวิด
2พกษ 12.20 ข้าราชการของพระองค์ลุกขึ้นกระทำการทรยศและประหารโยอาชเสียในวังมิลโลตามทางที่ลงไปยังสิลลา
2พกษ 12.21 คือโยซาคาร์บุตรชายชิเมอัท และเยโฮซาบาดบุตรชายโชเมอร์ ข้าราชการของพระองค์ได้ประหารพระองค์ พระองค์จึงสิ้นพระชนม์ และเขาฝังไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ในนครดาวิด และอามาซิยาห์โอรสของพระองค์ได้ขึ้นครองแทน
2พกษ 14.5 และอยู่มาเมื่อราชอาณาจักรอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์อย่างมั่นคงแล้ว พระองค์ก็ทรงประหารชีวิตข้าราชการของพระองค์ผู้ที่ฆ่ากษัตริย์คือพระราชบิดาของพระองค์เสีย
2พกษ 18.24 แล้วอย่างนั้นเจ้าจะขับไล่นายกองแต่เพียงคนเดียวในหมู่ข้าราชการผู้น้อยที่สุดของนายของเราอย่างไรได้ แต่เจ้ายังวางใจพึ่งอียิปต์เพื่อรถรบและเพื่อพลม้า
2พกษ 19.5 ดังนั้นข้าราชการของกษัตริย์เฮเซคียาห์มาถึงอิสยาห์
2พกษ 19.6 อิสยาห์ก็บอกเขาทั้งหลายว่า “จงทูลนายของท่านเถิดว่า พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า ‘อย่ากลัวเพราะถ้อยคำที่เจ้าได้ยินนั้น ซึ่งข้าราชการของกษัตริย์แห่งอัสซีเรียได้กล่าวหยาบช้าต่อเรา
2พกษ 21.23 และข้าราชการของอาโมนได้ร่วมกันคิดกบฏต่อพระองค์ และประหารกษัตริย์ในพระราชวังของพระองค์เสีย
2พกษ 23.30 ข้าราชการของพระองค์ก็นำพระศพใส่รถรบไปจากเมืองเมกิดโด และนำมายังกรุงเยรูซาเล็ม และฝังไว้ในอุโมงค์ของพระองค์ และประชาชนแห่งแผ่นดินนั้นก็รับเยโฮอาหาสโอรสโยสิยาห์เจิมท่านไว้ และตั้งท่านให้เป็นกษัตริย์แทนราชบิดาของท่าน
2พกษ 24.10 คราวนั้นข้าราชการของเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนยกขึ้นมายังกรุงเยรูซาเล็มล้อมกรุงไว้
2พกษ 24.11 และเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนเสด็จมาที่เมืองนั้น ขณะเมื่อข้าราชการของพระองค์ยังล้อมเมืองอยู่
2พกษ 24.12 และเยโฮยาคีนกษัตริย์แห่งยูดาห์ทรงมอบพระองค์แก่กษัตริย์แห่งบาบิโลน พระองค์เอง และพระมารดาของพระองค์ และข้าราชการของพระองค์ และเจ้านายของพระองค์ และข้าราชสำนักของพระองค์ กษัตริย์แห่งบาบิโลนจับพระองค์เป็นนักโทษในปีที่แปดแห่งรัชกาลของพระองค์
2พกษ 25.8 เมื่อวันที่เจ็ดเดือนที่ห้าซึ่งเป็นปีที่สิบเก้าของรัชกาลกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ ข้าราชการคนหนึ่งของกษัตริย์แห่งบาบิโลน ได้มายังเยรูซาเล็ม
1พศด 19.2 และดาวิดตรัสว่า “เราจะแสดงความเมตตาต่อฮานูนโอรสของนาหาช เพราะว่าบิดาของท่านได้แสดงความเมตตาต่อเรา” ดาวิดจึงทรงส่งผู้สื่อสารไปเล้าโลมท่านเกี่ยวกับบิดาของท่าน และข้าราชการของดาวิดก็มายังฮานูนในแผ่นดินของคนอัมโมน เพื่อจะเล้าโลมท่าน
1พศด 19.3 แต่บรรดาเจ้านายของคนอัมโมนทูลฮานูนว่า “พระองค์ดำริว่าดาวิดส่งผู้เล้าโลมมาหาพระองค์เพราะนับถือพระราชบิดาของพระองค์เช่นนั้นหรือ ข้าราชการของท่านมาหาพระองค์เพื่อค้นหาและคว่ำและสอดแนมแผ่นดินมิใช่หรือ”
1พศด 19.4 ฮานูนจึงจับข้าราชการของดาวิดและโกนเขาเสีย และตัดเครื่องแต่งกายของเขาออกเสียที่ตรงกลางตรงตะโพก แล้วปล่อยตัวไป
2พศด 2.8 ขอท่านส่งไม้สนสีดาร์ ไม้สนสามใบและไม้ประดู่จากเลบานอนให้ข้าพเจ้าด้วย เพราะข้าพเจ้าทราบว่า ข้าราชการของท่านรู้จักการตัดไม้ในเลบานอน และดูเถิด ข้าราชการของข้าพเจ้าจะอยู่กับข้าราชการของท่าน
2พศด 2.10 และดูเถิด ส่วนข้าราชการของท่าน คือผู้ที่โค่นตัดไม้นั้น ข้าพเจ้าจะให้ข้าวสาลีนวดแล้วสองหมื่นโคระ ข้าวบาร์เลย์สองหมื่นโคระ น้ำองุ่นสองหมื่นบัท และน้ำมันสองหมื่นบัทแก่เขาทั้งหลาย”
2พศด 8.18 และหุรามก็ให้ข้าราชการของพระองค์ส่งเรือ และข้าราชการที่คุ้นเคยกับทะเลไปให้ซาโลมอน และเขาทั้งหลายไปถึงเมืองโอฟีร์พร้อมกับข้าราชการของซาโลมอน และนำเอาทองคำจากที่นั่นหนักสี่ร้อยห้าสิบตะลันต์มายังกษัตริย์ซาโลมอน
2พศด 9.4 ทั้งอาหารที่โต๊ะเสวย กับการเข้าเฝ้าของบรรดาข้าราชการ และการปรนนิบัติรับใช้ของมหาดเล็กตลอดทั้งภูษาอาภรณ์ของเขา และพนักงานเชิญถ้วยของพระองค์ตลอดทั้งภูษาอาภรณ์ของเขา และการที่พระองค์เสด็จขึ้นไปในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ พระทัยของพระนางก็สลดลงทีเดียว
2พศด 9.7 บรรดาคนของพระองค์ก็เป็นสุข บรรดาข้าราชการเหล่านี้ของพระองค์ ผู้อยู่งานประจำต่อพระพักตร์พระองค์และฟังพระสติปัญญาของพระองค์ก็เป็นสุข
2พศด 9.10 ยิ่งกว่านั้นอีก ข้าราชการของหุรามและข้าราชการของซาโลมอนผู้นำทองคำมาจากโอฟีร์ ได้นำไม้ประดู่และเพชรพลอยต่างๆมา
2พศด 9.12 กษัตริย์ซาโลมอนพระราชทานทุกอย่างแก่พระราชินีแห่งเชบาตามที่พระนางทรงมีพระประสงค์ ไม่ว่าพระนางจะทูลขอสิ่งใด นอกเหนือไปจากสิ่งที่พระนางนำมาถวายกษัตริย์ ดังนั้นพระนางก็เสด็จกลับไปยังแผ่นดินของพระนาง พร้อมกับข้าราชการของพระนาง
2พศด 9.21 เพราะเรือของกษัตริย์แล่นไปยังทารชิชพร้อมกับข้าราชการของหุราม กำปั่นทารชิชนำทองคำ เงิน งาช้าง ลิง และนกยูง มาสามปีต่อครั้ง
2พศด 13.6 ถึงกระนั้นเยโรโบอัมบุตรชายเนบัท ข้าราชการของซาโลมอนโอรสของดาวิด ได้ลุกขึ้นกบฏต่อเจ้านายของตน
2พศด 17.19 เหล่านี้เป็นข้าราชการของกษัตริย์ นอกเหนือจากผู้ที่กษัตริย์ทรงวางไว้ในหัวเมืองที่มีป้อมทั่วตลอดแผ่นดินยูดาห์
2พศด 24.25 เมื่อเขาทั้งหลายจากพระองค์ไป (เขาละพระองค์ไว้บาดเจ็บอย่างสาหัส) ข้าราชการของพระองค์ก็คิดร้ายต่อพระองค์ เพราะโลหิตของบุตรชายเยโฮยาดาปุโรหิต และได้ประหารพระองค์เสียที่บนแท่นบรรทม พระองค์ก็สิ้นพระชนม์ และเขาทั้งหลายฝังพระศพไว้ในนครดาวิด แต่เขาทั้งหลายมิได้ฝังพระศพไว้ในอุโมงค์ของบรรดากษัตริย์
2พศด 25.3 และอยู่มาพอราชอาณาจักรอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์อย่างมั่นคงแล้ว พระองค์ทรงประหารชีวิตข้าราชการของพระองค์ ผู้ที่ฆ่าพระราชบิดาของพระองค์
2พศด 32.9 ภายหลังเซนนาเคอริบกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย (ผู้ซึ่งกำลังล้อมเมืองลาคีชอยู่ด้วยกำลังรบทั้งสิ้นของพระองค์) ได้รับสั่งให้ข้าราชการของพระองค์ไปยังกรุงเยรูซาเล็มถึงเฮเซคียาห์กษัตริย์ของยูดาห์ และถึงประชาชนทั้งปวงของยูดาห์ที่อยู่ในเยรูซาเล็มว่า
2พศด 32.16 และข้าราชการของพระองค์ก็กล่าวทับถมพระเยโฮวาห์พระเจ้าและเฮเซคียาห์ผู้รับใช้ของพระองค์มากยิ่งกว่านั้น
2พศด 33.24 แล้วข้าราชการของพระองค์ก็ร่วมกันคิดกบฏต่อพระองค์ และได้ฆ่าพระองค์เสียในพระราชวังของพระองค์
2พศด 35.23 และนักธนูได้ยิงกษัตริย์โยสิยาห์ และกษัตริย์ตรัสกับข้าราชการของพระองค์ว่า “จงพาเราไปเสียเถอะ เพราะเราถูกบาดเจ็บสาหัสแล้ว”
2พศด 35.24 ข้าราชการของพระองค์จึงนำพระองค์ออกจากรถรบ และให้พระองค์ประทับในรถรบคันที่สองของพระองค์ และนำพระองค์มาเยรูซาเล็มและพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ และเขาฝังไว้ในอุโมงค์แห่งบรรพบุรุษของพระองค์ ยูดาห์และเยรูซาเล็มทั้งปวงได้ไว้ทุกข์ให้โยสิยาห์
อสร 2.55 ลูกหลานข้าราชการของซาโลมอนคือ คนโสทัย คนโสเฟเรท คนเปรุดา
อสร 2.58 คนใช้ประจำพระวิหารและลูกหลานของข้าราชการของซาโลมอนทั้งสิ้น เป็นสามร้อยเก้าสิบสองคน
อสร 4.11 และนี่เป็นสำเนาจดหมายที่เขาส่งไปถึงพระองค์ คือถึงกษัตริย์อารทาเซอร์ซีสว่า “ขอกราบทูล ข้าราชการของพระองค์ คือคนของมณฑลฟากแม่น้ำข้างนี้ เป็นต้น
อสร 8.20 และคนใช้ประจำพระวิหาร ซึ่งดาวิดและข้าราชการของพระองค์ได้จัดตั้งขึ้นไว้เพื่อปรนนิบัติคนเลวี มีคนใช้ประจำพระวิหารสองร้อยยี่สิบคน บุคคลเหล่านี้ทั้งสิ้นมีชื่อระบุไว้
นหม 2.10 แต่เมื่อสันบาลลัทชาวโฮโรนาอิม และโทบีอาห์คนอัมโมนข้าราชการได้ยินเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ไม่พอใจเขาอย่างยิ่งที่มีคนมาหาความสุขให้คนอิสราเอล
นหม 2.19 แต่เมื่อสันบาลลัทคนโฮโรนาอิม และโทบีอาห์ข้าราชการ คนอัมโมน กับเกเชมชาวอาระเบียได้ยินเรื่องนั้น เขาทั้งหลายเยาะเย้ยและดูถูกเรา พูดว่า “เจ้าทั้งหลายทำอะไรกันนี่ เจ้ากำลังกบฏต่อกษัตริย์หรือ”
นหม 5.15 ผู้ว่าราชการคนที่อยู่ก่อนข้าพเจ้าได้เบียดเบียนประชาชน ได้เอาเงินเป็นค่าอาหารและน้ำองุ่นไปจากเขา นอกจากเงินวันละสี่สิบเชเขล แม้ข้าราชการของท่านก็ได้ใช้อำนาจเหนือประชาชน แต่ข้าพเจ้ามิได้กระทำเช่นนั้น เพราะความยำเกรงพระเจ้า
นหม 7.60 คนใช้ประจำพระวิหารทั้งสิ้น และลูกหลานแห่งข้าราชการของซาโลมอน มีสามร้อยเก้าสิบสองคน
นหม 9.10 และพระองค์ทรงกระทำหมายสำคัญและการมหัศจรรย์สู้ฟาโรห์และข้าราชการทั้งสิ้น และต่อประชาชนทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินของฟาโรห์ เพราะพระองค์ทรงทราบว่าเขาทั้งหลายได้ประพฤติอย่างหยิ่งยโสต่อบรรพบุรุษของข้าพระองค์ และพระนามของพระองค์ก็ลือไป ดังทุกวันนี้
นหม 11.3 ต่อไปนี้เป็นหัวหน้ามณฑลที่มาอาศัยอยู่ในเยรูซาเล็ม แต่ในหัวเมืองของประเทศยูดาห์ต่างคนต่างอาศัยอยู่ในที่ดินของตนในหัวเมืองของตน คืออิสราเอล บรรดาปุโรหิต คนเลวี คนใช้ประจำพระวิหาร และลูกหลานข้าราชการของซาโลมอน
นหม 13.19 และอยู่มาพอเริ่มมืดที่ประตูเมืองเยรูซาเล็มก่อนวันสะบาโต ข้าพเจ้าได้บัญชาให้ปิดประตูเมือง และสั่งว่า ไม่ให้เปิดจนกว่าจะพ้นวันสะบาโตแล้ว และข้าพเจ้าก็ตั้งข้าราชการบางคนของข้าพเจ้าให้ดูแลประตูเมือง ว่าไม่ให้นำภาระสิ่งใดเข้ามาในวันสะบาโต
อสธ 1.3 ในปีที่สามแห่งรัชกาลของพระองค์ พระองค์พระราชทานการเลี้ยงแก่เจ้านาย และบรรดาข้าราชการของพระองค์ นายทัพนายกองทัพแห่งเปอร์เซียและมีเดีย และขุนนางกับผู้ว่าราชการมณฑลเฝ้าอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์
อสธ 2.2 ข้าราชการของกษัตริย์ผู้ปรนนิบัติพระองค์อยู่จึงทูลว่า “ขอทรงให้หาหญิงพรหมจารีสาวสวยมาถวายกษัตริย์
อสธ 2.18 แล้วกษัตริย์พระราชทานการเลี้ยงใหญ่แก่เจ้านายและข้าราชการทั้งปวงของพระองค์ เป็นการเลี้ยงของพระนางเอสเธอร์ พระองค์ทรงอนุมัติให้งดส่วยแก่มณฑลทั้งปวง และพระราชทานของกำนัล ด้วยพระทัยกว้างขวางของกษัตริย์
อสธ 3.2 บรรดาข้าราชการของกษัตริย์ซึ่งอยู่ที่ประตูของกษัตริย์ก็กราบลงแสดงความเคารพต่อฮามาน เพราะกษัตริย์ทรงบัญชาให้แสดงความเคารพต่อท่านเช่นนั้น แต่โมรเดคัยมิได้กราบหรือแสดงความเคารพ
อสธ 3.3 ข้าราชการของกษัตริย์ซึ่งอยู่ที่ประตูของกษัตริย์จึงพูดกับโมรเดคัยว่า “ทำไมท่านละเมิดพระบัญชาของกษัตริย์”
อสธ 4.11 “ข้าราชการของกษัตริย์ทั้งสิ้นและประชาชนในบรรดามณฑลของกษัตริย์ทราบอยู่ว่า ถ้าชายหรือหญิงคนใดเข้าเฝ้ากษัตริย์ภายในพระลานชั้นในโดยมิได้ทรงเรียก ก็มีกฎหมายอยู่ข้อเดียวเหมือนกันหมด ให้ลงโทษถึงตาย เว้นเสียแต่ผู้ซึ่งกษัตริย์ยื่นธารพระกรทองคำออกรับคนนั้นจึงจะมีชีวิตอยู่ได้ ส่วนฉันกษัตริย์ก็มิได้ตรัสเรียกให้เข้าเฝ้ามาสามสิบวันแล้ว”
อสธ 5.11 ฮามานพรรณนาถึงความโอ่โถงแห่งความมั่งมีของท่าน จำนวนบุตรของท่าน และเกียรติยศทั้งสิ้นซึ่งกษัตริย์พระราชทานแก่ท่าน และถึงเรื่องว่ากษัตริย์ได้เลื่อนท่านขึ้นเหนือเจ้านาย และข้าราชการของกษัตริย์อย่างไร
อสธ 6.3 กษัตริย์ตรัสว่า “ได้ให้เกียรติและยศอะไรแก่โมรเดคัยเพราะเรื่องนี้บ้าง” ข้าราชการของกษัตริย์ผู้ปรนนิบัติพระองค์ทูลว่า “ยังไม่ได้ให้สิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ”
อสธ 6.5 ข้าราชการของกษัตริย์จึงทูลพระองค์ว่า “ดูเถิด ฮามานกำลังยืนอยู่ในพระลานพ่ะย่ะค่ะ” และกษัตริย์ตรัสว่า “ให้ท่านเข้ามานี่”
สดด 135.9 โอ อียิปต์เอ๋ย ผู้ทรงให้หมายสำคัญและการมหัศจรรย์ท่ามกลางเจ้า ให้ต่อสู้กับฟาโรห์และบรรดาข้าราชการของท่าน
สภษ 14.35 ข้าราชการที่เฉลียวฉลาดก็ได้รับความโปรดปรานจากกษัตริย์ แต่พระพิโรธของพระองค์ก็ตกลงบนผู้ที่ประพฤติน่าละอาย
สภษ 29.12 ถ้าผู้ครอบครองเชื่อฟังความเท็จ ข้าราชการของท่านก็พลอยชั่วร้ายทั้งสิ้น
อสย 30.4 เพราะแม้ว่าข้าราชการของเขาอยู่ที่โศอัน และทูตของเขาไปถึงฮาเนส
อสย 36.9 แล้วอย่างนั้นเจ้าจะขับไล่นายกองแต่เพียงคนเดียวในหมู่ข้าราชการผู้น้อยที่สุดของนายของเราอย่างไรได้ แต่เจ้ายังวางใจพึ่งอียิปต์เพื่อรถรบและเพื่อพลม้า
อสย 37.5 ดังนั้นข้าราชการของกษัตริย์เฮเซคียาห์มาถึงอิสยาห์
อสย 37.6 อิสยาห์ก็บอกเขาทั้งหลายว่า “จงทูลนายของท่านเถิดว่า พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า ‘อย่ากลัวเพราะถ้อยคำที่เจ้าได้ยินนั้น ซึ่งข้าราชการของกษัตริย์แห่งอัสซีเรียได้กล่าวหยาบช้าต่อเรา
ยรม 21.7 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า ภายหลังเราจะมอบเศเดคียาห์กษัตริย์ของยูดาห์ และบรรดาข้าราชการของเขา และประชาชนเมืองนี้ซึ่งรอดตายจากโรคระบาด ดาบและการกันดารอาหารไว้ในมือของเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน และมอบไว้ในมือของศัตรูของเขาทั้งหลาย ในมือของคนเหล่านั้นที่แสวงหาชีวิตของเขา ท่านจะฟันเขาเสียด้วยคมดาบ ท่านจะไม่สงสารเขาทั้งหลาย หรือไว้ชีวิตเขา หรือมีความเมตตาต่อเขา’
ยรม 22.2 ว่า “โอ ข้าแต่กษัตริย์แห่งยูดาห์ ผู้ประทับบนพระที่นั่งของดาวิด จงฟังพระวจนะของพระเยโฮวาห์ ทั้งตัวท่าน ข้าราชการของท่าน และประชาชนของท่านผู้เข้ามาในประตูเมืองนี้
ยรม 22.4 เพราะถ้าท่านกระทำสิ่งนี้จริงๆแล้วจะมีกษัตริย์ผู้ประทับบนพระที่นั่งของดาวิดเข้ามาทางประตูของพระราชวังนี้ เสด็จมาโดยรถรบและม้า ทั้งตัวกษัตริย์ บรรดาข้าราชการและประชาชนของท่านนั้น
ยรม 25.19 ฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์กับบรรดาข้าราชการและเจ้านายและประชาชนของท่านนั้น
ยรม 36.24 ถึงกระนั้นกษัตริย์หรือข้าราชการของพระองค์ผู้ได้ยินบรรดาถ้อยคำเหล่านี้หาได้เกรงกลัวหรือฉีกเสื้อผ้าของตนไม่
ยรม 36.31 เราจะลงโทษท่านและเชื้อสายของท่านและข้าราชการของท่าน เพราะความชั่วช้าของเขาทั้งหลาย เราจะนำเหตุร้ายทั้งสิ้นที่เราได้ประกาศต่อพวกเขา แต่เขาไม่ฟังนั้น ให้ตกลงบนเขา และบนชาวกรุงเยรูซาเล็ม และบนคนยูดาห์’”
ยรม 37.2 แต่ท่านเองก็ดี หรือข้าราชการของท่านก็ดี หรือประชาชนแห่งแผ่นดินก็ดี หาได้ฟังพระวจนะของพระเยโฮวาห์ ซึ่งพระองค์ตรัสโดยเยเรมีย์ผู้พยากรณ์ไม่
ยรม 37.18 เยเรมีย์ได้ทูลกษัตริย์เศเดคียาห์อีกว่า “ข้าพระองค์ได้กระทำอะไรผิดต่อพระองค์ หรือต่อข้าราชการของพระองค์ หรือต่อชนชาตินี้ พระองค์จึงได้จำขังข้าพระองค์ไว้ในคุก
ยรม 46.26 เราจะมอบเขาทั้งหลายไว้ในมือของบรรดาผู้ที่แสวงหาชีวิตของเขา ในมือของเนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์แห่งบาบิโลน และในมือข้าราชการของท่าน พระเยโฮวาห์ตรัสว่า ภายหลังอียิปต์จึงจะมีคนอาศัยอยู่อย่างสมัยก่อน
กจ 8.27 ฝ่ายฟีลิปก็ลุกขึ้นไป และดูเถิด มีชาวเอธิโอเปียคนหนึ่งเป็นขันที เป็นข้าราชการของพระนางคานดาสี พระราชินีของชาวเอธิโอเปีย และเป็นนายคลังทรัพย์ทั้งหมดของพระราชินีนั้น ได้มานมัสการในกรุงเยรูซาเล็ม
ฟป 4.22 พวกวิสุทธิชนทั้งปวงฝากความคิดถึงมายังท่านทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกข้าราชการของซีซาร์

ข้าราชการทหาร ( 9 )
2ซมอ 2.12 อับเนอร์บุตรชายเนอร์และพวกข้าราชการทหารของอิชโบเชทราชโอรสของซาอูลได้ออกจากมาหะนาอิมไปยังเมืองกิเบโอน
2ซมอ 2.13 และโยอาบบุตรชายนางเศรุยาห์กับพวกข้าราชการทหารของดาวิดก็ออกไปพบกับเขาที่สระเมืองกิเบโอน และเขาทั้งหลายก็นั่งอยู่ที่ขอบสระ พวกหนึ่งอยู่ที่ขอบสระข้างนี้ อีกพวกหนึ่งข้างโน้น
2ซมอ 2.15 เขาก็ลุกขึ้นไปตามที่นับไว้ฝ่ายเบนยามินและฝ่ายอิชโบเชทราชโอรสของซาอูลมีสิบสองคน และข้าราชการทหารของดาวิดก็มีสิบสองคน
2ซมอ 2.17 การสู้รบในวันนั้นดุเดือดยิ่งนัก อับเนอร์และพวกคนอิสราเอลก็พ่ายแพ้ต่อหน้าข้าราชการทหารของดาวิด
2ซมอ 2.30 โยอาบก็กลับจากไล่ตามอับเนอร์ และเมื่อท่านรวบรวมพลเข้าด้วยกันแล้ว ข้าราชการทหารของดาวิดก็ขาดไปสิบเก้าคนไม่นับอาสาเฮล
2ซมอ 2.31 แต่ข้าราชการทหารของดาวิดได้ฆ่าคนเบนยามินและคนของอับเนอร์ตายไปสามร้อยหกสิบคน
2ซมอ 3.22 ดูเถิด ขณะนั้นข้าราชการทหารของดาวิดกับโยอาบกลับมาจากการไปปล้นและนำสิ่งของที่ริบได้มากมายนั้นมาด้วย แต่อับเนอร์มิได้อยู่กับดาวิดที่เฮโบรนแล้ว เพราะพระองค์ทรงส่งท่านกลับไป และท่านก็ไปโดยสันติภาพ
2ซมอ 8.7 และดาวิดทรงนำโล่ทองคำที่ข้าราชการทหารของฮาดัดเอเซอร์ถือนั้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
2ซมอ 20.6 ดาวิดตรัสกับอาบีชัยว่า “บัดนี้เชบาบุตรบิครีจะทำอันตรายแก่เรายิ่งกว่าอับซาโลม จงนำข้าราชการทหารของเจ้านายของท่านไปติดตาม เกรงว่าเขาจะหาเมืองที่มีป้อมได้และหนีพ้นเรา”

ข้าราชบริพาร ( 7 )
อพย 8.9 โมเสสจึงทูลฟาโรห์ว่า “ข้าพระองค์ได้รับเกียรติมาก เวลาใดที่ข้าพระองค์ควรวิงวอนเพื่อพระองค์ ข้าราชบริพาร และพลเมืองของพระองค์ เพื่อให้ทรงทำลายฝูงกบไปเสียจากพระองค์และราชสำนักให้อยู่ในแม่น้ำเท่านั้น”
พบญ 29.2 โมเสสเรียกบรรดาคนอิสราเอลมาและกล่าวแก่เขาว่า “ท่านทั้งหลายได้เห็นทุกสิ่งซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงกระทำต่อหน้าต่อตาของท่านในแผ่นดินอียิปต์ ต่อฟาโรห์และต่อบรรดาข้าราชบริพารของท่าน และต่อประเทศของท่านทั้งสิ้น
พบญ 34.11 ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนท่านในเรื่องหมายสำคัญและการมหัศจรรย์ ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงใช้ท่านให้กระทำในแผ่นดินอียิปต์ ต่อฟาโรห์และต่อบรรดาข้าราชบริพารของฟาโรห์ และต่อแผ่นดินของท่านทั้งสิ้น
1พกษ 10.2 พระนางเสด็จมายังกรุงเยรูซาเล็ม พร้อมด้วยข้าราชบริพารมากมาย มีฝูงอูฐบรรทุกเครื่องเทศและทองคำเป็นอันมาก และเพชรพลอยต่างๆ และเมื่อพระนางเสด็จมาถึงซาโลมอนแล้ว พระนางก็ทูลเรื่องในพระทัยต่อพระองค์ทุกประการ
2พศด 9.1 เมื่อพระราชินีแห่งเชบาทรงได้ยินกิตติศัพท์แห่งซาโลมอน พระนางก็เสด็จมายังเยรูซาเล็ม เพื่อทดลองพระองค์ด้วยปัญหายุ่งยากต่างๆ พร้อมด้วยข้าราชบริพารมากมาย กับอูฐบรรทุกเครื่องเทศและทองคำเป็นอันมาก และเพชรพลอยต่างๆ และเมื่อพระนางเสด็จมาถึงซาโลมอนแล้ว พระนางทูลเรื่องในใจของพระนางทุกประการ
อสธ 2.3 และขอกษัตริย์ทรงแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ทุกมณฑลแห่งราชอาณาจักรของพระองค์ เพื่อให้คนเหล่านี้รวบรวมหญิงสาวพรหมจารีงดงามทั้งหลายมายังฮาเร็มในสุสาปราสาท ให้อยู่ในอารักขาของเฮกัยข้าราชบริพารในพระราชสำนักของกษัตริย์ ผู้ดูแลสตรี และขอประทานเครื่องชำระล้างและประเทืองผิวสำหรับหญิงเหล่านั้น
ดนล 4.36 ในเวลานั้นเอง จิตปกติของเราก็กลับคืนมา ความสูงส่งและราชสง่าราศีกลับมาสู่เราอีก เพื่อสง่าราศีแห่งราชอาณาจักรของเรา องคมนตรีและข้าราชบริพารของเรากลับมาหาเรา และเราก็รับการสถาปนาไว้ในราชอาณาจักรของเรา ความใหญ่ยิ่งกลับเพิ่มพูนแก่เราขึ้นอีก

ข้าราชสำนัก ( 9 )
ปฐก 37.36 แล้วคนมีเดียนก็ขายโยเซฟในอียิปต์ไว้กับโปทิฟาร์ข้าราชสำนักของฟาโรห์ ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์
ปฐก 39.1 โยเซฟถูกพาลงไปยังอียิปต์แล้วโปทิฟาร์ข้าราชสำนักของฟาโรห์ ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ เป็นคนอียิปต์ ซื้อโยเซฟไว้จากมือคนอิชมาเอลผู้พาเขาลงมาที่นั่น
ปฐก 50.4 เมื่อวันเวลาที่ไว้ทุกข์ให้ท่านผ่านพ้นไปแล้ว โยเซฟก็เรียนข้าราชสำนักของฟาโรห์ว่า “ถ้าบัดนี้ข้าพเจ้าได้รับความกรุณาในสายตาของท่าน ขอโปรดไปทูลที่พระกรรณของฟาโรห์ว่า
2พกษ 23.11 และพระองค์ทรงกำจัดม้าซึ่งบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ได้ถวายแก่ดวงอาทิตย์ ที่ตรงทางเข้าพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ ข้างห้องนาธันเมเลคข้าราชสำนัก ซึ่งอยู่ในบริเวณ และพระองค์ทรงเผารถรบของดวงอาทิตย์เสียด้วยไฟ
2พกษ 24.12 และเยโฮยาคีนกษัตริย์แห่งยูดาห์ทรงมอบพระองค์แก่กษัตริย์แห่งบาบิโลน พระองค์เอง และพระมารดาของพระองค์ และข้าราชการของพระองค์ และเจ้านายของพระองค์ และข้าราชสำนักของพระองค์ กษัตริย์แห่งบาบิโลนจับพระองค์เป็นนักโทษในปีที่แปดแห่งรัชกาลของพระองค์
2พกษ 24.15 และพระองค์นำเยโฮยาคีนไปยังบาบิโลน ทั้งพระชนนี บรรดาพระมเหสี ข้าราชสำนักของพระองค์ และบุคคลชั้นหัวหน้าของแผ่นดิน พระองค์จับเป็นเชลยจากกรุงเยรูซาเล็มถึงบาบิโลน
2พกษ 25.19 และจากเมืองนั้นท่านได้จับข้าราชสำนักซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพ กับที่ปรึกษาของกษัตริย์อีกห้าคนที่พบในเมืองนั้น และเลขาธิการคือผู้บัญชาการกองทัพผู้เกณฑ์ประชาชนแห่งแผ่นดิน และอีกหกสิบคนจากประชาชนแห่งแผ่นดินซึ่งพบในเมือง
อสธ 2.15 บัดนี้เมื่อถึงเวรของเอสเธอร์ บุตรสาวของอาบีฮาอิล ลุงของโมรเดคัยผู้ซึ่งรับเธอไว้เป็นบุตรสาว จะเข้าเฝ้ากษัตริย์ เธอมิได้ขอสิ่งใด นอกจากสิ่งที่เฮกัยข้าราชสำนักของกษัตริย์ผู้ดูแลพวกสตรีแนะนำ ฝ่ายเอสเธอร์ได้รับความโปรดปรานในสายตาของทุกคนที่ได้พบเห็น
อสย 7.13 และท่านกล่าวว่า “โอ ข้าแต่ข้าราชสำนักของดาวิด ขอจงฟัง การที่จะให้มนุษย์อ่อนใจนั้นเล็กน้อยอยู่หรือ และท่านยังให้พระเจ้าของข้าพเจ้าอ่อนพระทัยด้วย

ขาว ( 42 )
ปฐก 30.35 วันนั้นเขาก็คัดแพะตัวผู้ที่ลายและที่ด่าง และแพะตัวเมียที่มีจุดและที่ด่าง แพะที่ขาวบ้างทั้งหมดและแกะดำทั้งหมด มามอบให้บุตรชายของเขา
ปฐก 30.37 ยาโคบเอากิ่งไม้สดจากต้นไค้ ต้นเสลา และต้นเกาลัด มาปอกเปลือกออกเป็นรอยขาวๆให้เห็นไม้สีขาว
ปฐก 40.16 เมื่อหัวหน้าพนักงานขนมเห็นว่า คำแก้ความฝันนั้นดี จึงเล่าให้โยเซฟฟังว่า “เราฝันด้วย ดูเถิด เห็นมีกระจาดขนมขาวสามใบ ตั้งอยู่บนศีรษะเรา
ปฐก 49.12 ตาเขาจะแดงด้วยน้ำองุ่น และฟันเขาขาวด้วยน้ำนม
อพย 4.6 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสอีกว่า “เอามือของเจ้าสอดไว้ที่อกของเจ้า” ท่านก็สอดมือของท่านไว้ที่อกของท่าน และเมื่อชักมือออก ดูเถิด มือของท่านก็เป็นโรคเรื้อน ขาวเหมือนหิมะ
อพย 16.31 เหล่าวงศ์วานของอิสราเอลเรียกชื่ออาหารนั้นว่า มานา เป็นเม็ดขาวเหมือนเมล็ดผักชี มีรสเหมือนขนมแผ่นประสมน้ำผึ้ง
ลนต 13.4 ถ้าผิวหนังตรงที่ด่างขึ้นนั้นขาว และปรากฏว่ากินไม่ลึกไปกว่าผิวหนัง และขนในบริเวณนั้นก็ไม่เปลี่ยนเป็นสีขาว ให้ปุโรหิตกักตัวผู้ป่วยไว้เจ็ดวัน
กดว 12.10 เมื่อเมฆลอยพ้นพลับพลาไป ดูเถิด มิเรียมก็เป็นโรคเรื้อน ขาวดุจหิมะ อาโรนหันไปดูมิเรียมและดูเถิด นางเป็นโรคเรื้อน
2พกษ 5.27 ฉะนั้นโรคเรื้อนของนาอามานจะติดอยู่ที่เจ้าและที่เชื้อสายของเจ้าเป็นนิตย์” เขาก็ออกไปจากหน้าท่านเป็นโรคเรื้อนขาวอย่างหิมะ
สดด 51.7 ขอทรงชำระข้าพระองค์ด้วยต้นหุสบ ข้าพระองค์จึงจะสะอาด ขอทรงล้างข้าพระองค์และข้าพระองค์จะขาวกว่าหิมะ
สดด 68.14 เมื่อผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กระจายกษัตริย์ ณ ที่นั่น มันก็ขาวเหมือนหิมะที่ตกลงบนภูเขาศัลโมน
สดด 147.16 พระองค์ประทานหิมะอย่างปุยขนแกะ พระองค์ทรงหว่านน้ำค้างแข็งขาวอย่างขี้เถ้า
ปญจ 9.8 จงให้เสื้อผ้าของเจ้าขาวอยู่เสมอ และน้ำมันที่ศีรษะของเจ้าก็อย่าให้ขาด
อสย 1.18 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “มาเถิด ให้เราสู้ความกัน ถึงบาปของเจ้าเหมือนสีแดงเข้มก็จะขาวอย่างหิมะ ถึงมันจะแดงอย่างผ้าแดงก็จะกลายเป็นอย่างขนแกะ
อสย 19.9 คนงานที่หวีป่านจะอับอาย ทั้งคนที่ทอฝ้ายขาวด้วย
พคค 4.7 พวกนาศีร์ของเธอบริสุทธิ์กว่าหิมะ และขาวกว่าน้ำนม ผิวพรรณของเขาเปล่งปลั่งยิ่งกว่ามุกดา เขามีรูปร่างงามดั่งไพทูรย์
อสค 27.18 ดามัสกัสไปมาค้าขายกับเจ้าเพราะเจ้ามีสินค้าอุดม เพราะทรัพยากรมากมายหลายชนิดของเจ้า มีเหล้าองุ่นเฮลโบน และขนแกะขาว
ดนล 7.9 ขณะที่ข้าพเจ้าดูอยู่มีหลายบัลลังก์ถูกล้มลง และผู้หนึ่งผู้เจริญด้วยวัยวุฒิมาประทับ ฉลองพระองค์ขาวอย่างหิมะ พระเกศาที่พระเศียรของพระองค์เหมือนขนแกะบริสุทธิ์ พระบัลลังก์ของพระองค์เป็นเปลวเพลิง กงจักรของบัลลังก์นั้นเป็นไฟลุก
ดนล 11.35 คนที่ฉลาดบางคนจะล้มลงเพื่อถลุงและชำระเขาทั้งหลายให้ขาวสะอาด จนกว่าจะถึงเวลาสุดท้าย เพราะวาระก็จะมาตามเวลากำหนด
ดนล 12.10 คนเป็นอันมากจะได้รับการชำระแล้วจะขาวสะอาด และจะถูกถลุง แต่คนชั่วจะยังกระทำการชั่ว และไม่มีคนชั่วสักคนหนึ่งจะเข้าใจ แต่บรรดาคนที่ฉลาดจะเข้าใจ
ศคย 6.3 รถรบคันที่สามม้าขาว รถรบคันที่สี่ม้าด่างสีเทา
ศคย 6.6 ม้าดำตรงไปยังประเทศเหนือ ตัวขาวติดตามม้าดำไป และตัวสีด่างตรงไปยังประเทศใต้”
มธ 5.36 อย่าปฏิญาณโดยอ้างถึงศีรษะของตน เพราะท่านจะกระทำให้ผมขาวหรือดำไปสักเส้นหนึ่งก็ไม่ได้
มธ 17.2 แล้วพระกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา พระพักตร์ของพระองค์ก็ทอแสงเหมือนแสงอาทิตย์ ฉลองพระองค์ก็ขาวผ่องดุจแสงสว่าง
มธ 28.3 ใบหน้าของทูตนั้นเหมือนแสงฟ้าแลบ เสื้อของทูตนั้นก็ขาวเหมือนหิมะ
มก 9.3 และฉลองพระองค์ก็ส่องประกายขาวดุจหิมะ จะหาช่างฟอกผ้าทั่วแผ่นดินโลกฟอกให้ขาวอย่างนั้นก็ไม่ได้
ลก 9.29 ขณะที่พระองค์กำลังอธิษฐานอยู่ วรรณพระพักตร์ของพระองค์ก็เปลี่ยนไป และฉลองพระองค์ก็ขาวเป็นมันระยับ
ยน 4.35 ท่านทั้งหลายว่า อีกสี่เดือนจะถึงฤดูเกี่ยวข้าวมิใช่หรือ ดูเถิด เราบอกท่านทั้งหลายว่า เงยหน้าขึ้นดูนาเถิด ว่าทุ่งนาก็ขาว ถึงเวลาเกี่ยวแล้ว
ยน 20.12 และได้เห็นทูตสวรรค์สององค์สวมเสื้อขาวนั่งอยู่ ณ ที่ซึ่งเขาวางพระศพพระเยซู องค์หนึ่งอยู่เบื้องพระเศียร และองค์หนึ่งอยู่เบื้องพระบาท
กจ 1.10 เมื่อเขากำลังเขม้นดูฟ้าเวลาที่พระองค์เสด็จขึ้นไปนั้น ดูเถิด มีชายสองคนสวมเสื้อขาวมายืนอยู่ข้างๆเขา
วว 1.14 พระเศียรและพระเกศาของพระองค์ขาวดุจขนแกะสีขาว และขาวดุจหิมะ และพระเนตรของพระองค์ดุจเปลวเพลิง
วว 2.17 ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความซึ่งพระวิญญาณตรัสไว้แก่คริสตจักรทั้งหลาย ผู้ที่มีชัยชนะ เราจะให้ผู้นั้นกินมานาที่ซ่อนอยู่ และจะให้หินขาวแก่ผู้นั้นด้วย ที่หินนั้นมีชื่อใหม่จารึกไว้ซึ่งไม่มีผู้ใดรู้เลยนอกจากผู้ที่รับเท่านั้น’
วว 3.18 เราเตือนสติเจ้าให้ซื้อทองคำที่หลอมให้บริสุทธิ์ในไฟแล้วจากเรา เพื่อเจ้าจะได้เป็นคนมั่งมี และเสื้อผ้าขาวเพื่อจะนุ่งห่มได้ และเพื่อความละอายแห่งกายเปลือยเปล่าของเจ้าจะไม่ได้ปรากฏ และเอายาทาตาของเจ้าเพื่อเจ้าจะแลเห็นได้
วว 6.2 ข้าพเจ้าก็แลเห็น และดูเถิด มีม้าขาวตัวหนึ่ง และผู้ที่ขี่ม้านั้นถือธนู และได้รับมงกุฎ และผู้นั้นก็ออกไปอย่างมีชัย และเพื่อได้ชัยชนะ
วว 7.14 ข้าพเจ้าตอบท่านว่า “ท่านเจ้าข้า ท่านก็ทราบอยู่แล้ว” ท่านจึงบอกข้าพเจ้าว่า “คนเหล่านี้คือคนที่มาจากความทุกข์เวทนาครั้งใหญ่ พวกเขาได้ชำระล้างเสื้อผ้าของเขาในพระโลหิตของพระเมษโปดกจนเสื้อผ้านั้นขาวสะอาด
วว 14.14 ข้าพเจ้าได้แลเห็น และดูเถิด มีเมฆขาว และมีผู้หนึ่งประทับบนเมฆนั้นเหมือนกับบุตรมนุษย์ สวมมงกุฎทองคำบนพระเศียร และพระหัตถ์ถือเคียวอันคม
วว 19.8 และทรงโปรดให้เธอสวมผ้าป่านเนื้อละเอียด สะอาดและขาว เพราะผ้าป่านเนื้อละเอียดนั้นเป็นความชอบธรรมของพวกวิสุทธิชน”
วว 19.11 แล้วข้าพเจ้าได้เห็นสวรรค์เปิดออก และดูเถิด มีม้าขาวตัวหนึ่ง พระองค์ผู้ทรงม้านั้นมีพระนามว่า “สัตย์ซื่อและสัตย์จริง” พระองค์ทรงพิพากษาและกระทำสงครามด้วยความชอบธรรม
วว 19.14 เหล่าพลโยธาในสวรรค์สวมอาภรณ์ผ้าป่านเนื้อละเอียด ขาวและสะอาด ได้นั่งบนหลังม้าขาวตามเสด็จพระองค์ไป

ข่าว ( 68 )
ปฐก 29.13 ต่อมาครั้นลาบันได้ยินข่าวถึงยาโคบบุตรชายน้องสาวของตน เขาก็วิ่งไปพบและกอดจุบยาโคบและพามาบ้านของเขา ยาโคบก็เล่าเรื่องเหล่านี้ทั้งหมดให้ลาบันฟัง
ปฐก 34.5 ยาโคบได้ยินข่าวว่าผู้นั้นทำการอนาจารกับนางสาวดีนาห์บุตรสาวของตน เวลานั้นพวกบุตรชายของท่านอยู่กับฝูงสัตว์ที่ในนา ยาโคบจึงนิ่งคอยจนพวกบุตรชายกลับมาบ้าน
ปฐก 34.7 เมื่อพวกบุตรชายของยาโคบได้ยินข่าวนั้นก็กลับมาจากนา ต่างก็โศกเศร้าและโกรธยิ่งนักเพราะเชเคมได้กระทำความโง่เขลาในพวกอิสราเอล โดยข่มขืนบุตรสาวของยาโคบ ซึ่งเป็นการไม่สมควร
ปฐก 45.16 ข่าวว่า “พี่น้องของโยเซฟมา” ไปถึงราชวังฟาโรห์ ฟาโรห์กับข้าราชการของพระองค์ก็พากันยินดี
กดว 33.40 และกษัตริย์เมืองอาราด ชาวคานาอัน ผู้ที่อยู่ทางภาคใต้ในแผ่นดินคานาอัน ได้ยินข่าวว่าคนอิสราเอลยกมา
พบญ 1.22 แล้วท่านทั้งหลายทุกคนได้เข้ามาหาข้าพเจ้าพูดว่า ‘ให้เราทั้งหลายใช้คนไปก่อนเราและสอดแนมดูแผ่นดินนั้นแทนเรา นำข่าวเรื่องทางที่เราจะต้องขึ้นไป และเรื่องหัวเมืองที่เราจะไปนั้นมาให้เรา’
พบญ 1.25 เขาทั้งหลายได้เก็บผลไม้เมืองนั้นติดมือมาให้เราทั้งหลายและนำข่าวมาให้เราว่า ‘ที่ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราประทานแก่เรานั้นเป็นแผ่นดินที่ดี’
พบญ 2.25 ตั้งแต่วันนี้ไปเราจะให้ชนชาติทั้งหลายทั่วใต้ฟ้าครั่นคร้ามต่อพวกเจ้าและกลัวเจ้า คนประเทศผู้จะได้ยินข่าวเรื่องเจ้าจะกลัวตัวสั่นและมีความระทมเพราะเจ้า’
ยชว 2.11 เพราะเรื่องท่านนี้แหละ พอเราได้ยินข่าวนี้ จิตใจของเราก็ละลายไป ไม่มีความกล้าหาญเหลืออยู่ในสักคนหนึ่งเลย เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านเป็นพระเจ้าของสวรรค์เบื้องบนและโลกเบื้องล่าง
ยชว 9.1 ต่อมาเมื่อกษัตริย์ทั้งหลายที่อยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ คือที่อยู่ในแดนเทือกเขา และในหุบเขา และตามฝั่งทะเลใหญ่ไปทั่วจนถึงภูเขาเลบานอน เป็นคนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนคานาอัน คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุสได้ยินข่าวนี้
ยชว 9.3 แต่เมื่อชาวกิเบโอนได้ยินข่าวการซึ่งโยชูวากระทำแก่เมืองเยรีโคและเมืองอัย
ยชว 11.1 ต่อมาเมื่อยาบินกษัตริย์เมืองฮาโซร์ได้ยินข่าวนี้ จึงใช้คนไปหาโยบับกษัตริย์เมืองมาโดนและไปหากษัตริย์เมืองชิมโรน และกษัตริย์เมืองอัคชาฟ
ยชว 14.7 เมื่อโมเสสผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์ใช้ให้ข้าพเจ้าไปจากคาเดชบารเนีย เพื่อสอดแนมดูแผ่นดิน ข้าพเจ้ามีอายุสี่สิบปี ข้าพเจ้าได้นำข่าวมาแจ้งแก่ท่านตามความคิดเห็นของข้าพเจ้า
ยชว 22.32 แล้วฟีเนหัสบุตรชายเอเลอาซาร์ปุโรหิต และประมุขทั้งหลายก็กลับจากคนรูเบน และคนกาด จากแผ่นดินกิเลอาดไปยังแผ่นดินคานาอัน ไปหาคนอิสราเอลแจ้งข่าวให้เขาทราบ
วนฉ 21.13 ชุมนุมชนทั้งหมดก็ส่งข่าวไปที่คนเบนยามินซึ่งอยู่ที่ศิลาริมโมน ประกาศข่าวสงบสุข
นรธ 1.6 แล้วนางนั้นพร้อมกับลูกสะใภ้ทั้งสองก็ลุกขึ้นออกเดินทางจากแผ่นดินโมอับ เพราะว่าเมื่ออยู่ในแผ่นดินโมอับนั้น นางได้ยินข่าวว่า พระเยโฮวาห์ได้ทรงเยี่ยมเยียนชนชาติของพระองค์และประทานอาหารแก่เขาทั้งหลาย
1ซมอ 4.13 เมื่อเขามาถึงนั้น ดูเถิด เอลีอยู่บนที่นั่งข้างถนนคอยเฝ้าอยู่ เพราะจิตใจของท่านหวั่นด้วยเรื่องหีบแห่งพระเจ้า และเมื่อชายคนนั้นเข้ามาในเมืองและบอกข่าว ชาวเมืองทั้งสิ้นก็ร้องขึ้น
1ซมอ 4.19 ฝ่ายบุตรสะใภ้ของท่าน คือภรรยาของฟีเนหัสมีครรภ์กำลังจะคลอดบุตร และเมื่อนางได้ยินข่าวว่า เขายึดหีบแห่งพระเจ้าไป และพ่อสามีและสามีของนางก็สิ้นชีวิต นางก็โน้มตัวลงและคลอดบุตร เพราะความเจ็บปวดบังเกิดขึ้นแก่นาง
1ซมอ 11.5 ดูเถิด ซาอูลต้อนฝูงวัวกลับมาจากทุ่ง และซาอูลถามว่า “ประชาชนเป็นอะไรไปเขาจึงร้องไห้” ดังนั้นเขาจึงเรียนท่านให้ทราบถึงข่าวของพวกยาเบช
1ซมอ 27.11 ดาวิดมิได้ไว้ชีวิตผู้ชายหรือผู้หญิง ที่จะนำข่าวมาที่เมืองกัทโดยคิดว่า “เกรงว่าเขาจะบอกเรื่องของเราและกล่าวว่า ‘ดาวิดได้ทำอย่างนั้นๆ และนี่จะเป็นวิธีการขณะที่ท่านอาศัยอยู่ในแผ่นดินฟีลิสเตีย’”
1ซมอ 31.9 พวกเขาตัดพระเศียรของซาอูล และถอดเครื่องอาวุธของพระองค์ออก ส่งผู้สื่อสารออกไปทั่วแผ่นดินฟีลิสเตีย เพื่อประกาศนำเอาข่าวนี้ในเรือนรูปเคารพ และในท่ามกลางประชาชนของเขา
2ซมอ 4.4 โยนาธานราชโอรสของซาอูล มีบุตรชายคนหนึ่งเป็นง่อย เมื่อมีข่าวเรื่องซาอูลกับโยนาธานมาจากยิสเรเอลนั้น เด็กคนนี้มีอายุห้าขวบ พี่เลี้ยงก็อุ้มลุกขึ้นหนีไป อยู่มาเมื่อเธอรีบหนีไปนั้นเด็กนั้นก็หล่นลงและเป็นง่อย ท่านชื่อเมฟีโบเชท
2ซมอ 4.10 เมื่อผู้หนึ่งผู้ใดบอกเราว่า ‘ดูเถิด ซาอูลสิ้นพระชนม์แล้ว’ และคิดว่าตนนำข่าวดีมา เราก็จับคนนั้นฆ่าเสียที่ศิกลาก ซึ่งคนนั้นคิดว่าเราจะให้รางวัลแก่เขาสำหรับข่าวนั้น
2ซมอ 5.17 เมื่อคนฟีลิสเตียได้ยินข่าวว่าดาวิดได้รับการเจิมเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล คนฟีลิสเตียทั้งปวงก็ขึ้นไปแสวงหาดาวิด แต่ดาวิดทรงได้ยินข่าวนั้นจึงลงไปยังที่กำบังเข้มแข็ง
2ซมอ 11.18 โยอาบจึงส่งคนไปกราบทูลข่าวการรบทั้งสิ้นต่อดาวิด
2ซมอ 11.19 ท่านได้สั่งผู้สื่อสารนั้นว่า “เมื่อเจ้ากราบทูลข่าวการรบต่อกษัตริย์เสร็จทุกประการแล้ว
2ซมอ 11.26 เมื่อภรรยาของอุรีอาห์ได้ยินข่าวว่าอุรีอาห์สามีของตนสิ้นชีวิตแล้ว นางก็คร่ำครวญด้วยเรื่องสามีของนาง
2ซมอ 13.30 ต่อมาขณะเมื่อราชโอรสได้ดำเนินอยู่ตามทาง มีข่าวไปถึงดาวิดว่า “อับซาโลมได้ประหารราชโอรสของกษัตริย์หมดแล้ว ไม่เหลืออยู่สักองค์เดียว”
2ซมอ 15.28 ดูก่อนท่าน เราจะคอยอยู่ที่ที่ราบในถิ่นทุรกันดาร จนจะมีข่าวมาจากท่านให้เราทราบ”
2ซมอ 18.19 อาหิมาอัสบุตรชายศาโดกกล่าวว่า “ขอให้ข้าพเจ้าวิ่งนำข่าวไปทูลกษัตริย์ว่า พระเยโฮวาห์ทรงช่วยพระองค์ให้แก้แค้นศัตรูของพระองค์แล้ว”
2ซมอ 18.20 โยอาบก็ตอบเขาว่า “ท่านอย่านำข่าวไปในวันนี้เลย ท่านจงนำข่าวในวันอื่นเถิด แต่วันนี้ท่านอย่านำข่าวเลย เพราะว่าโอรสของกษัตริย์สิ้นชีพแล้ว”
2ซมอ 18.21 โยอาบก็สั่งคูชีว่า “จงนำข่าวไปกราบทูลกษัตริย์ตามสิ่งที่ท่านได้เห็น” คูชีก็กราบลงคำนับโยอาบแล้วก็วิ่งไป
2ซมอ 18.22 อาหิมาอัสบุตรชายศาโดกจึงเรียนโยอาบอีกว่า “จะอย่างไรก็ช่างเถิด ขอให้ข้าพเจ้าวิ่งตามคูชีไปด้วย” โยอาบตอบว่า “ลูกเอ๋ย เจ้าจะวิ่งไปทำไม ด้วยว่าเจ้าไม่มีข่าวที่จะส่งไป”
2ซมอ 18.25 ทหารยามคนนั้นก็ร้องกราบทูลกษัตริย์ กษัตริย์ตรัสว่า “ถ้าเขามาลำพังก็คงคาบข่าวมา” ชายคนนั้นก็วิ่งเข้ามาใกล้
2ซมอ 18.26 ทหารยามเห็นชายอีกคนหนึ่งวิ่งมา ทหารยามก็ร้องบอกไปที่นายประตูเมืองว่า “ดูเถิด มีชายอีกคนหนึ่งวิ่งมาแต่ลำพัง” กษัตริย์ตรัสว่า “เขาคงนำข่าวมาด้วย”
1พกษ 2.28 เมื่อข่าวนี้ทราบไปถึงโยอาบ เพราะแม้ว่าโยอาบมิได้สนับสนุนอับซาโลม ท่านได้สนับสนุนอาโดนียาห์ โยอาบก็หนีไปที่พลับพลาของพระเยโฮวาห์และจับเชิงงอนแท่นบูชาไว้
1พกษ 14.6 แต่เมื่ออาหิยาห์ได้ยินเสียงฝีพระบาทของพระนาง เมื่อพระนางเสด็จมาถึงประตู ท่านจึงพูดว่า “ขอเชิญพระมเหสีของเยโรโบอัมเสด็จเข้ามาข้างใน ไฉนพระองค์จึงทรงแสร้งกระทำเป็นคนอื่นเล่า เพราะข้าพระองค์ได้รับพระบัญชาให้ทูลข่าวอันน่าสลดใจแก่พระนาง
1พกษ 20.12 ต่อมาเมื่อเบนฮาดัดได้ยินข่าวนี้ขณะที่ดื่มอยู่กับบรรดากษัตริย์ทั้งหลายที่ในทับอาศัย ท่านก็สั่งข้าราชการของท่านว่า “จงเข้าประจำที่” และเขาทั้งหลายก็เข้าประจำที่เพื่อต่อสู้กับเมืองนั้น
2พกษ 9.15 แต่กษัตริย์โยรัมทรงกลับไปรักษาพระองค์ที่ยิสเรเอล เพราะบาดแผลซึ่งชนซีเรียได้กระทำแก่พระองค์ เมื่อพระองค์ทรงสู้รบกับฮาซาเอลกษัตริย์แห่งซีเรีย) เยฮูจึงตรัสว่า “ถ้านี่เป็นความประสงค์ของท่านทั้งหลาย ก็ขออย่าให้คนหนึ่งคนใดเล็ดลอดออกไปจากเมืองเพื่อบอกข่าวที่ยิสเรเอล”
อสธ 2.11 ทุกๆวันโมรเดคัยเดินมาหน้าลานของฮาเร็ม เพื่อฟังข่าวเอสเธอร์เป็นอย่างไร และมีอะไรเกิดขึ้นแก่เธอ
สดด 68.11 องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานพระวจนะ พวกที่นำข่าวนั้นก็เป็นพวกใหญ่โต
สดด 145.7 เขาทั้งหลายจะโฆษณาข่าวเลื่องลือให้ระลึกถึงคุณความดีอันอุดมของพระองค์ออกมา และจะร้องเพลงถึงความชอบธรรมของพระองค์
อสย 28.19 มันผ่านไปบ่อยเท่าใด มันก็จะเอาตัวเจ้า เพราะมันจะผ่านไปเช้าแล้วเช้าเล่า ทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่อเข้าใจข่าว ก็จะเกิดแต่ความสยดสยองเท่านั้น
ยรม 20.15 ขอให้ชายคนนั้นถูกสาปแช่ง คือคนที่เขานำข่าวไปบอกบิดาข้าพเจ้าว่า “บุตรชายคนหนึ่งเกิดมาแก่ท่านแล้ว” อันกระทำให้บิดามีความยินดีมาก
ยรม 37.5 กองทัพของฟาโรห์ได้ออกมาจากอียิปต์ และเมื่อคนเคลเดียผู้ซึ่งกำลังล้อมกรุงเยรูซาเล็มอยู่ได้ยินข่าวนั้น เขาทั้งหลายก็ถอยทัพไปจากกรุงเยรูซาเล็ม
ยรม 50.43 กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้ยินข่าวเรื่องนั้น และพระหัตถ์ของพระองค์ก็อ่อนลง ความแสนระทมจับหัวใจเขา เจ็บปวดอย่างผู้หญิงกำลังคลอดบุตร
อสค 21.7 และเมื่อเขาทั้งหลายกล่าวแก่เจ้าว่า ‘ทำไมเจ้าถอนหายใจ’ เจ้าจงกล่าวว่า ‘เพราะเรื่องข่าวนั้น เมื่อข่าวนั้นมาถึงหัวใจทุกดวงจะละลายและมือทั้งสิ้นจะอ่อนเปลี้ยไป และบรรดาจิตวิญญาณจะแน่นิ่งไป และหัวเข่าทุกเข่าจะอ่อนเปลี้ยดั่งน้ำ ดูเถิด ข่าวนั้นมาถึงและจะสำเร็จ’ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ”
อสค 24.26 ในวันนั้น ผู้หนีภัยจะมาหาเจ้า เพื่อจะรายงานข่าวให้เจ้าได้ยินเอง
ดนล 11.44 แต่ข่าวจากทิศตะวันออกและทิศเหนือจะกระทำให้เขาตกใจ และเขาจะยกออกไปด้วยความเคียดแค้นอย่างยิ่ง ที่จะทำลายและล้างผลาญคนเป็นอันมากเสียให้สิ้นเชิง
ยนา 3.2 “จงลุกขึ้นไปยังนีนะเวห์นครใหญ่ และประกาศข่าวแก่เมืองนั้นตามที่เราบอกเจ้า”
นฮม 3.19 แผลฟกช้ำของเจ้าไม่มีบรรเทา บาดแผลของเจ้าก็สาหัส ทุกคนผู้ได้ยินข่าวของเจ้า เขาก็ตบมือเยาะเจ้า มีใครเล่าที่ไม่ได้รับภัยอันร้ายเนืองนิตย์ของเจ้า
มก 6.55 และเขารีบไปทั่วตลอดแว่นแคว้นล้อมรอบ เริ่มเอาคนเจ็บป่วยใส่แคร่หามมายังที่เขาได้ยินข่าวว่าพระองค์อยู่นั้น
มก 7.25 เพราะผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งมีลูกสาวที่มีผีโสโครกสิง เมื่อได้ยินข่าวถึงพระองค์ก็มากราบลงที่พระบาทของพระองค์
ยน 4.47 เมื่อท่านได้ยินข่าวว่า พระเยซูได้เสด็จมาจากแคว้นยูเดียไปยังแคว้นกาลิลีแล้ว ท่านจึงไปทูลอ้อนวอนพระองค์ให้เสด็จลงไปรักษาบุตรของตน เพราะบุตรจวนจะตายแล้ว
ยน 11.20 ครั้นมารธารู้ข่าวว่าพระเยซูกำลังเสด็จมา เธอก็ออกไปต้อนรับพระองค์ แต่มารีย์นั่งอยู่ในเรือน
กจ 11.22 ข่าวนี้ก็เล่าลือไปยังคริสตจักรในกรุงเยรูซาเล็ม เขาจึงใช้บารนาบัสให้ไปยังเมืองอันทิโอก
กจ 13.26 ท่านพี่น้องทั้งหลาย ผู้สืบเชื้อสายของอับราฮัม และผู้ใดในพวกท่านซึ่งเกรงกลัวพระเจ้า ข่าวเรื่องความรอดนี้ได้ทรงประทานมาถึงท่านทั้งหลายแล้ว
กจ 21.31 เมื่อเขากำลังหาช่องจะฆ่าเปาโล ข่าวนั้นลือไปยังนายพันกองทัพว่า กรุงเยรูซาเล็มเกิดการวุ่นวายขึ้นทั้งเมือง
กจ 28.15 ครั้นพวกพี่น้องในกรุงโรมได้ยินข่าวพวกเรา เขาจึงออกมาพบเราที่บ้านตลาดอัปปีอัสและที่บ้านสามร้าน เมื่อเปาโลเห็นเขาแล้ว จึงขอบพระเดชพระคุณพระเจ้าและมีกำลังใจดีขึ้น
1คร 5.1 มีข่าวเล่าลือว่าในพวกท่านมีการผิดประเวณี และการผิดประเวณีนั้นถึงแม้ในพวกต่างชาติก็ไม่มีเลย คือเรื่องมีว่าคนหนึ่งได้เอาภรรยาของบิดามาเป็นภรรยาของตน
ฟป 1.27 ขอแต่เพียงให้ท่านดำเนินชีวิตให้สมกับข่าวประเสริฐของพระคริสต์ เพื่อว่าแม้ข้าพเจ้าจะมาหาท่านหรือไม่ก็ตาม ข้าพเจ้าก็จะได้รู้ข่าวของท่านว่า ท่านตั้งมั่นคงอยู่ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ต่อสู้เหมือนอย่างเป็นคนเดียวเพื่อความเชื่อแห่งข่าวประเสริฐนั้น
ฟป 2.19 แต่ข้าพเจ้าหวังใจในพระเยซูเจ้าว่า ในไม่ช้าข้าพเจ้าจะให้ทิโมธีไปหาพวกท่าน เพื่อข้าพเจ้าจะได้รับความชูใจเช่นกันเมื่อได้รับข่าวของท่าน
ฟป 2.26 เพราะว่าเขาคิดถึงท่านทุกคน และเป็นทุกข์มากเพราะท่านได้ข่าวว่าเขาป่วย

ข้าว ( 146 )
ปฐก 27.28 ดังนั้นขอพระเจ้าทรงประทานน้ำค้างจากฟ้าแก่เจ้า และประทานความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินทั้งข้าวและน้ำองุ่นมากมายแก่เจ้า
ปฐก 27.37 อิสอัคตอบเอซาวว่า “ดูเถิด พ่อตั้งให้เขาเป็นนายเหนือเจ้า และมอบบรรดาพี่น้องของเขาให้เป็นคนใช้ของเขา ทั้งข้าวและน้ำองุ่นพ่อก็จัดให้เขา ลูกเอ๋ย พ่อจะทำอะไรให้เจ้าได้อีกเล่า”
ปฐก 37.7 ดูเถิด พวกเรากำลังมัดฟ่อนข้าวอยู่ในนา ทันใดนั้น ฟ่อนข้าวของข้าพเจ้าตั้งขึ้นยืนตรง และดูเถิด ฟ่อนข้าวของพวกพี่ๆมาแวดล้อมกราบไหว้ฟ่อนข้าวของข้าพเจ้า”
ปฐก 41.5 พระองค์ก็บรรทมหลับไปและสุบินครั้งที่สอง และดูเถิด ต้นข้าวต้นเดียวมีรวงเจ็ดรวงเป็นข้าวเมล็ดเต่งงามดี
ปฐก 41.6 แล้วดูเถิด มีรวงข้าวเจ็ดรวงงอกขึ้นมาภายหลัง เป็นข้าวลีบและเกรียมเพราะลมตะวันออก
ปฐก 41.22 เราเห็นในความฝันของเรา ดูเถิด ต้นข้าวต้นหนึ่ง มีรวงเจ็ดรวงงอกขึ้นมา เป็นข้าวเมล็ดเต่งและงามดี
ปฐก 41.23 และดูเถิด ข้าวอีกเจ็ดรวงงอกขึ้นมาภายหลังเป็นข้าวเหี่ยวลีบ และเกรียมเพราะลมตะวันออก
ปฐก 41.35 ให้คนเหล่านั้นรวบรวมอาหารในปีที่อุดมเหล่านั้นซึ่งจะมาถึงนั้นไว้ และสะสมข้าวด้วยอำนาจของฟาโรห์ไว้และให้เก็บอาหารไว้ในเมืองต่างๆ
ปฐก 41.49 โยเซฟสะสมข้าวไว้ดุจเม็ดทรายในทะเลมากมายจนต้องหยุดคิดบัญชี เพราะนับไม่ถ้วน
ปฐก 41.56 การกันดารอาหารแผ่ไปทั่วพื้นแผ่นดินโลก โยเซฟก็เปิดฉางออกขายข้าวแก่ชาวอียิปต์ และการกันดารอาหารในแผ่นดินอียิปต์รุนแรงมาก
ปฐก 41.57 และประเทศทั้งปวงก็มายังประเทศอียิปต์หาโยเซฟเพื่อซื้อข้าว เพราะการกันดารอาหารร้ายแรงในทุกประเทศ
ปฐก 42.1 เมื่อยาโคบรู้ว่ามีข้าวในอียิปต์ ยาโคบจึงพูดกับพวกบุตรชายของตนว่า “มานั่งมองดูกันอยู่ทำไมเล่า”
ปฐก 42.2 ท่านพูดว่า “ดูเถิด เราได้ยินว่ามีข้าวในอียิปต์ ลงไปซื้อข้าวจากที่นั่นมาให้พวกเรา เพื่อพวกเราจะได้มีชีวิตและไม่อดตาย”
ปฐก 42.3 พี่ชายของโยเซฟสิบคนก็ลงไปซื้อข้าวที่อียิปต์
ปฐก 42.5 บรรดาบุตรชายของอิสราเอลก็ไปซื้อข้าวพร้อมกับคนทั้งหลายที่ไป เพราะการกันดารอาหารก็เกิดในแผ่นดินคานาอัน
ปฐก 42.6 ฝ่ายโยเซฟเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ท่านเป็นผู้ที่ขายข้าวให้แก่บรรดาประชาชนแห่งแผ่นดิน พวกพี่ชายของโยเซฟก็มากราบไหว้ท่าน ก้มหน้าลงถึงดิน
ปฐก 42.19 ถ้าพวกเจ้าเป็นคนสัตย์จริง จงให้คนหนึ่งในพวกเจ้าถูกจำอยู่ที่ห้องเล็กในคุก คนอื่นนำข้าวไปเพื่อบรรเทาการกันดารอาหารที่บ้านของเจ้า
ปฐก 42.25 แล้วโยเซฟบัญชาให้ใส่ข้าวในถุงของพี่ชายให้เต็มและใส่เงินของแต่ละคนไว้ในกระสอบของทุกคน และให้เสบียงไปกินกลางทาง ท่านก็ทำต่อเขาดังนี้
ปฐก 42.26 พวกเขาบรรทุกข้าวใส่หลังลาแล้วก็ออกเดินทางไป
ปฐก 42.27 ครั้นคนหนึ่งเปิดกระสอบออกจะเอาข้าวให้ลากิน ณ ที่หยุดพัก ดูเถิด เขาก็เห็นเงินของเขาอยู่ที่ปากกระสอบนั้น
ปฐก 42.33 แล้วท่านผู้เป็นเจ้านายของประเทศนั้นตอบแก่เราว่า ‘เพื่อเราจะรู้ว่าพวกเจ้าเป็นคนสัตย์จริง คือให้คนหนึ่งในพวกพี่น้องอยู่กับเรา พวกเจ้าเอาข้าวไปเพื่อบรรเทาการกันดารอาหารที่บ้านของเจ้า แล้วออกเดินทางไปเถิด
ปฐก 42.35 และต่อมาครั้นพวกเขาแก้กระสอบข้าวออก ดูเถิด เห็นห่อเงินของแต่ละคนอยู่ในกระสอบของตน เมื่อเวลาพวกเขากับบิดาเห็นห่อเงินดังนั้นก็กลัว
ปฐก 43.2 และต่อมาเมื่อครอบครัวยาโคบกินข้าวที่ได้มาจากประเทศอียิปต์หมดแล้ว บิดาเขาจึงบอกแก่บุตรชายว่า “ไปซื้ออาหารมาอีกหน่อย”
ปฐก 44.2 ใส่ถ้วยของเรา คือถ้วยเงินนั้นไว้ในปากกระสอบของคนสุดท้องกับเงินค่าข้าวของเขาด้วย” คนต้นเรือนก็ทำตามคำที่โยเซฟสั่ง
ปฐก 45.23 โยเซฟฝากของต่อไปนี้ให้บิดา คือลาสิบตัวบรรทุกของดีที่สุดในประเทศอียิปต์ และลาตัวเมียอีกสิบตัวบรรทุกข้าว ขนมปัง และเสบียงอาหารสำหรับให้บิดารับประทานตามทาง
ปฐก 47.14 โยเซฟรวบรวมเงินทั้งหมดที่ได้จากการขายข้าวในประเทศอียิปต์และแผ่นดินคานาอัน และโยเซฟนำเงินนั้นไปไว้ในราชวังฟาโรห์
ปฐก 47.16 โยเซฟจึงบอกว่า “ถ้าเงินหมดแล้วจงเอาฝูงสัตว์ของเจ้ามาและเราจะให้ข้าวแลกกับสัตว์”
ลนต 1.16 และให้ฉีกกระเพาะข้าวและถอนขนนกออกเสีย ทิ้งลงริมแท่นด้านตะวันออกในที่ที่ทิ้งมูลเถ้า
ลนต 19.9 เมื่อเจ้าทั้งหลายเกี่ยวข้าวในนา อย่าเกี่ยวเก็บข้าวที่ขอบนาให้หมด เมื่อเกี่ยวแล้วก็อย่าเก็บข้าวที่ตก
ลนต 23.10 “จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า เมื่อเจ้ามาถึงแผ่นดินซึ่งเราให้เจ้า และเกี่ยวพืชผลของแผ่นดินนั้น เจ้าจงเอาฟ่อนข้าวที่เกี่ยวในรุ่นแรกนำไปให้ปุโรหิต
ลนต 23.11 และปุโรหิตจะนำฟ่อนข้าวนั้น แกว่งไปแกว่งมาถวายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ เพื่อเจ้าจะเป็นที่โปรดปราน รุ่งขึ้นหลังวันสะบาโตปุโรหิตจะแกว่งถวาย
ลนต 23.12 ในวันที่เจ้าแกว่งถวายฟ่อนข้าว เจ้าจงถวายลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบไม่มีตำหนิเป็นเครื่องเผาบูชาถวายแด่พระเยโฮวาห์
ลนต 23.15 เจ้าทั้งหลายจงนับตั้งแต่วันรุ่งขึ้นหลังวันสะบาโต จากวันที่เจ้าทั้งหลายได้นำฟ่อนข้าวแกว่งถวายครบเจ็ดวันสะบาโต
ลนต 23.22 และเมื่อเจ้าเกี่ยวข้าวในแผ่นดินของเจ้า เจ้าอย่าเกี่ยวไปที่ขอบนาให้หมด และอย่าเก็บข้าวที่เกี่ยวตก เจ้าจงทิ้งไว้ให้คนยากจน และคนต่างด้าว เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า”
กดว 28.26 ในวันถวายผลรุ่นแรก เมื่อเจ้าเอาข้าวใหม่มาเป็นธัญญบูชาถวายแด่พระเยโฮวาห์ในเทศกาลสัปดาห์นั้น เจ้าจงมีการประชุมบริสุทธิ์ เจ้าอย่าทำงานหนักในวันนั้น
พบญ 7.13 พระองค์จะทรงรักท่าน อวยพระพรแก่ท่านให้จำเริญยิ่งทวีขึ้น พระองค์จะทรงอำนวยพระพรผู้บังเกิดจากครรภ์ของพวกท่าน และผลแห่งพื้นดินของท่าน ทั้งข้าว น้ำองุ่น และน้ำมันของท่านทั้งหลาย ให้ลูกวัวและลูกแพะแกะของท่านทวีขึ้นในแผ่นดิน ซึ่งพระองค์ทรงปฏิญาณแก่บรรพบุรุษของท่านที่จะให้แก่ท่าน
พบญ 14.23 ท่านจงรับประทานสิบชักหนึ่งที่ได้จากข้าวหรือน้ำองุ่นของท่าน หรือน้ำมันของท่าน และผลรุ่นแรกจากฝูงวัว และฝูงแพะแกะของท่าน ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านในสถานที่ซึ่งพระองค์จะทรงเลือกไว้ เพื่อให้พระนามของพระองค์สถิตที่นั่น เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เรียนรู้ที่จะยำเกรงพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายเสมอ
พบญ 18.4 ผลรุ่นแรกของท่านคือ ผลข้าว ผลน้ำองุ่น ผลน้ำมัน และขนแกะรุ่นแรกที่ได้จากแกะของท่าน จงมอบให้แก่ปุโรหิต
พบญ 24.19 เมื่อท่านเกี่ยวข้าวในนาของท่าน และลืมฟ่อนข้าวไว้ในนาฟ่อนหนึ่ง อย่ากลับไปเอามาเลย ให้เป็นของคนต่างด้าว ลูกกำพร้าพ่อและแม่ม่าย เพื่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะอวยพระพรแก่กิจการทั้งหลายแห่งมือของท่าน
พบญ 28.51 และจะรับประทานผลของฝูงสัตว์ของท่าน และพืชผลจากพื้นดินของท่าน จนท่านจะถูกทำลาย ทั้งเขาจะไม่เหลือข้าว น้ำองุ่นหรือน้ำมัน ลูกวัว หรือลูกแกะอ่อนไว้ให้ท่าน จนกว่าเขาจะกระทำให้ท่านพินาศ
พบญ 33.28 ดังนั้นแหละ อิสราเอลจึงจะอยู่อย่างปลอดภัยแต่ฝ่ายเดียว น้ำพุแห่งยาโคบจะอยู่ในแผ่นดินที่มีข้าวและน้ำองุ่น เออ ท้องฟ้าของพระองค์จะโปรยน้ำค้างลงมา
วนฉ 15.5 พอจุดคบเพลิงแล้วก็ปล่อยเข้าไปในนาของคนฟีลิสเตียที่ข้าวยังตั้งรวงอยู่ ไฟก็ไหม้ฟ่อนข้าว และข้าวที่ยังตั้งรวงอยู่นั้น ทั้งสวนองุ่นและต้นมะกอกเทศด้วย
นรธ 2.3 นางก็ออกเดินตามหลังคนเกี่ยวเพื่อคอยเก็บข้าวตก เผอิญเข้าไปในนาของโบอาส ซึ่งเป็นญาติของเอลีเมเลค
นรธ 2.7 นางพูดว่า ‘ขออนุญาตให้ดิฉันเดินตามคนเกี่ยวคอยเก็บข้าวตกระหว่างฟ่อนข้าวเถอะค่ะ’ นางก็มาเก็บข้าวตกตั้งแต่เวลาเช้าจนบัดนี้ เว้นแต่ได้พักหน่อยหนึ่งที่เรือน”
นรธ 2.8 แล้วโบอาสจึงพูดกับรูธว่า “ลูกสาวเอ๋ย ขอฟังหน่อย อย่าไปเก็บข้าวที่นาอื่น หรือทิ้งนานี้ไปเสียเลย จงอยู่ใกล้ๆสาวใช้ของฉัน
นรธ 2.15 เมื่อนางลุกขึ้นไปเก็บข้าว โบอาสก็บัญชาชายหนุ่มของท่านว่า “จงยอมให้นางเก็บข้าวตกระหว่างฟ่อนข้าวเถอะ อย่าได้ตำหนินางเลย
นรธ 2.16 จงดึงข้าวออกจากฟ่อนทิ้งไว้ให้นางเก็บบ้าง อย่าว่านางเลย”
นรธ 2.17 นางก็เที่ยวเก็บข้าวที่ตกในนาจนถึงเวลาเย็น แล้วก็ฟาดข้าวที่เก็บมาได้นั้น ได้ข้าวบาร์เลย์ประมาณเอฟาห์หนึ่ง
นรธ 2.18 นางยกข้าวนั้นขึ้นและเข้าไปในเมือง แม่สามีก็เห็นข้าวที่นางได้เก็บมานั้น และนางเอาอาหารที่เหลือเมื่อนางรับประทานอิ่มแล้วนั้นให้แก่แม่สามีด้วย
นรธ 2.19 แม่สามีจึงกล่าวแก่นางว่า “วันนี้ลูกไปเก็บข้าวตกที่ไหนมา ลูกไปทำงานที่ไหน ขอให้ชายที่เอาใจใส่ลูกได้รับพระพรเถิด” นางจึงบอกแก่แม่สามีให้ทราบว่านางไปทำงานกับผู้ใด นางว่า “ผู้ชายที่ฉันไปทำงานด้วยในวันนี้นั้นชื่อโบอาส”
นรธ 2.23 ดังนั้นนางจึงอยู่ใกล้ๆสาวใช้ของโบอาสเที่ยวเก็บข้าวตกจนสิ้นฤดูเกี่ยวข้าวบาร์เลย์และข้าวสาลี และนางก็อาศัยอยู่กับแม่สามี
1ซมอ 23.1 แล้วพวกเขาบอกดาวิดว่า “ดูเถิด คนฟีลิสเตียกำลังรบเมืองเคอีลาห์อยู่และปล้นเอาข้าวที่ลาน”
1พกษ 8.37 ถ้ามีการกันดารอาหารในแผ่นดิน ถ้ามีโรคระบาด ข้าวม้าน รากินข้าว หรือตั๊กแตนวัยบิน หรือตั๊กแตนวัยคลาน หรือถ้าศัตรูของเขาทั้งหลายล้อมเมืองของเขาไว้รอบด้าน จะเป็นภัยพิบัติอย่างใด หรือความเจ็บไข้อย่างใด มีขึ้นก็ดี
2พกษ 4.38 เอลีชามาถึงกิลกาลอีก เมื่อแผ่นดินเกิดกันดารอาหาร และเมื่อเหล่าศิษย์แห่งผู้พยากรณ์นั่งอยู่ต่อหน้าท่าน ท่านก็บอกกับคนใช้ของท่านว่า “จงตั้งหม้อลูกใหญ่และต้มข้าวให้แก่เหล่าศิษย์แห่งผู้พยากรณ์”
2พกษ 18.32 จนเราจะมานำเจ้าไปยังแผ่นดินที่เหมือนแผ่นดินของเจ้าเอง เป็นแผ่นดินที่มีข้าวและน้ำองุ่น เป็นแผ่นดินที่มีขนมปังและสวนองุ่น เป็นแผ่นดินที่มีน้ำมันมะกอกเทศและน้ำผึ้ง เพื่อเจ้าทั้งหลายจะมีชีวิตอยู่และไม่ตาย และอย่าฟังเฮเซคียาห์เมื่อเขานำเจ้าผิดไปโดยกล่าวว่า “พระเยโฮวาห์จะทรงช่วยเราทั้งหลายให้พ้น”
2พกษ 19.26 ส่วนชาวเมืองนั้นมีอำนาจน้อย เขาสะดุ้งกลัวและอับอาย เขาเหมือนหญ้าที่ทุ่งนา และเหมือนหญ้าอ่อน เหมือนหญ้าที่บนยอดหลังคาเรือน เหมือนข้าวเกรียมไปก่อนที่มันจะงอกงามอย่างนั้น
2พศด 6.28 ถ้ามีการกันดารอาหารในแผ่นดิน ถ้ามีโรคระบาด ข้าวม้าน รากินข้าว หรือตั๊กแตนวัยบิน หรือตั๊กแตนวัยคลาน หรือศัตรูของเขาทั้งหลายล้อมเมืองในแผ่นดินของเขาไว้รอบด้าน จะเป็นภัยพิบัติอย่างใด หรือความเจ็บอย่างใดมีขึ้นก็ดี
2พศด 31.5 พอพระบัญชากระจายออกไป ประชาชนอิสราเอลก็ได้บริจาคเข้ามาอย่างมากมาย มีผลรุ่นแรกของข้าว น้ำองุ่น น้ำมัน น้ำผึ้ง และผลิตผลทุกอย่างของไร่นา และเขานำสิบชักหนึ่งแห่งของทุกชนิดเข้ามาอย่างมากมาย
2พศด 32.28 ทั้งฉางสำหรับข้าว น้ำองุ่น และน้ำมัน ที่ผลิตมา และโรงเก็บสัตว์เลี้ยงทุกชนิดและคอกแกะ
นหม 5.2 เพราะมีคนที่กล่าวว่า “เรามากคนด้วยกัน ทั้งบุตรชายและบุตรสาวของเรา ขอให้เราได้ข้าว เพื่อเราจะได้รับประทานและมีชีวิตอยู่ได้”
นหม 5.3 และมีคนกล่าวว่า “เราต้องจำนำไร่นาของเรา สวนองุ่นของเรา และบ้านเรือนของเรา เพื่อจะได้ข้าว เพราะเหตุการกันดารอาหาร”
นหม 5.10 ยิ่งกว่านั้นอีก ข้าพเจ้ากับพี่น้องของข้าพเจ้าและคนใช้ของข้าพเจ้าให้เขายืมเงินและยืมข้าว ให้เราเลิกการให้ยืมโดยคิดดอกเบี้ยนั้นเสียเถิด
นหม 5.11 ในวันนี้ ขอจงคืนมา ไร่นา สวนองุ่น สวนมะกอกเทศ และเรือนของเขา และส่วนร้อยของเงิน ข้าว น้ำองุ่น และน้ำมัน ซึ่งท่านได้รีดเอาจากเขานั้นเสีย”
นหม 10.31 และถ้าชนชาติทั้งหลายของแผ่นดินนั้นนำเครื่องใช้หรือข้าวอย่างใดๆมาขายในวันสะบาโต เราจะไม่ซื้อจากเขาในวันสะบาโตหรือในวันบริสุทธิ์ และเราจะไม่เก็บผลของปีที่เจ็ด และไม่เก็บหนี้สินทุกอย่าง
นหม 10.39 เพราะประชาชนอิสราเอลและคนเลวีจะนำส่วนบริจาคคือ ข้าว น้ำองุ่นใหม่และน้ำมัน มายังห้องซึ่งเป็นที่เก็บเครื่องใช้ของสถานบริสุทธิ์ และที่อยู่ของปุโรหิตผู้ปรนนิบัติ และคนเฝ้าประตู และนักร้อง เราจะไม่เพิกเฉยต่อพระนิเวศของพระเจ้าของเรา
นหม 13.5 ได้จัดห้องใหญ่ห้องหนึ่งให้โทบีอาห์ เป็นห้องที่แต่ก่อนใช้เก็บธัญญบูชา กำยาน เครื่องใช้ต่างๆ และสิบชักหนึ่งที่เป็นข้าว น้ำองุ่นใหม่ และน้ำมัน ซึ่งเขาให้ไว้ตามบัญญัติให้แก่คนเลวี นักร้อง คนเฝ้าประตูและของบริจาคสำหรับปุโรหิต
นหม 13.12 และยูดาห์ทั้งปวงได้นำสิบชักหนึ่งที่เป็นข้าว น้ำองุ่นใหม่ และน้ำมันเข้ามายังเรือนพัสดุ
นหม 13.15 ครั้งนั้นในยูดาห์ ข้าพเจ้าเห็นคนย่ำน้ำองุ่นในวันสะบาโต และนำฟ่อนข้าวเข้ามาบรรทุกหลังลา ทั้งน้ำองุ่น ผลองุ่น มะเดื่อ และภาระทุกอย่าง ซึ่งเขานำมายังเยรูซาเล็มในวันสะบาโต ข้าพเจ้าได้ตักเตือนเขาในวันที่เขาทั้งหลายขายอาหาร
โยบ 5.26 ท่านจะมาที่หลุมศพของท่านเมื่อแก่หง่อม อย่างฟ่อนข้าวที่นำมาสู่ลานตามฤดู
โยบ 24.10 เขาทั้งหลายทำให้เขาเดินเปลือยกายไปโดยไม่มีเสื้อผ้า เขาก็แบกฟ่อนข้าวไปจากคนที่หิว
โยบ 39.4 ลูกอ่อนของมันแข็งแรงขึ้น มันเติบโตใหญ่ด้วยมีข้าวกิน มันออกไปแล้วไม่กลับมาหาอีก
โยบ 41.28 ลูกธนูทำให้มันหนีไปไม่ได้ หินลูกสลิงก็กลายเป็นตอข้าว
โยบ 41.29 ไม้กระบองก็นับเป็นตอข้าวด้วย มันหัวเราะเยาะการซัดหอก
สดด 4.7 พระองค์ได้ประทานความชื่นบานให้แก่จิตใจของข้าพระองค์มากกว่าเมื่อพวกเขาได้ข้าวและน้ำองุ่นมากมาย
สดด 65.9 พระองค์ทรงเยี่ยมเยียนแผ่นดินโลก และทรงรดน้ำ พระองค์ทรงกระทำให้อุดมยิ่งด้วยแม่น้ำของพระเจ้าซึ่งมีน้ำเต็ม พระองค์ทรงจัดหาข้าวให้ เพราะทรงจัดเตรียมโลกไว้เช่นนั้นแหละ
สดด 65.13 ป่าพงห่มตัวด้วยฝูงแพะแกะ หุบเขาพราวไปด้วยข้าว เขาโห่ร้องด้วยความชื่นบานและร้องเพลง
สดด 72.16 จะมีข้าวอุดมในแผ่นดินบนยอดภูเขาทั้งหลาย ผลของแผ่นดินจะแกว่งไกวเหมือนเลบานอน และคนจากนครจะบานออกเหมือนหญ้าในทุ่งนา
สดด 126.6 ผู้ที่ร้องไห้ออกไปหอบหิ้วเมล็ดพืชอันมีค่าจะกลับบ้านด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน นำฟ่อนข้าวของตนมาด้วย
สภษ 11.26 ประชาชนจะแช่งบุคคลที่กักข้าว แต่พระพรจะอยู่บนศีรษะของผู้ที่ขายข้าว
อสย 5.24 ดังนั้นเปลวเพลิงกลืนตอข้าวฉันใด และเพลิงเผาผลาญหญ้าแห้งฉันใด รากของเขาก็จะเป็นเหมือนความเปื่อยเน่า และดอกบานของเขาจะฟุ้งไปเหมือนผงคลีฉันนั้น เพราะเขาทั้งหลายทอดทิ้งพระราชบัญญัติของพระเยโฮวาห์จอมโยธา และได้ดูหมิ่นพระวจนะขององค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล
อสย 16.9 เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงร้องไห้กับคนร้องไห้ของเมืองยาเซอร์ เนื่องด้วยเถาองุ่นของสิบมาห์ โอ เฮชโบนและเอเลอาเลห์เอ๋ย ข้าพเจ้าจะราดเจ้าด้วยน้ำตาของข้าพเจ้า เพราะเสียงโห่ร้องเนื่องด้วยผลฤดูร้อนของเจ้า และเนื่องด้วยข้าวที่เกี่ยวเก็บของเจ้าได้สงบลงแล้ว
อสย 17.5 และจะเป็นเหมือนเมื่อคนเกี่ยวข้าวเก็บเกี่ยวพืชข้าวที่ตั้งอยู่และแขนของเขาจะเกี่ยวรวงข้าว และจะเป็นเหมือนเมื่อคนหนึ่งเก็บรวงข้าวในที่หุบเขาเรฟาอิม
อสย 23.3 และข้ามน้ำมากหลายรายได้ของเมืองนั้นคือข้าวเมืองชิโหร์ เป็นผลเกี่ยวเก็บของแม่น้ำ เมืองนั้นเป็นพ่อค้าของบรรดาประชาชาติ
อสย 27.12 ต่อมาในวันนั้น พระเยโฮวาห์จะทรงนวดเอาข้าวตั้งแต่แม่น้ำไปจนถึงลำธารอียิปต์ โอ ประชาชนอิสราเอลเอ๋ย เจ้าจะถูกเก็บรวมเข้ามาทีละคนๆ
อสย 28.28 คนใดบดข้าวที่ทำขนมปังหรือ เปล่าเลย เขาไม่นวดมันเป็นนิตย์ เมื่อเขาขับล้อเกวียนเทียมม้าทับมันแล้ว เขามิได้บดมันด้วยคนขี่ม้า
อสย 30.23 และพระองค์จะประทานฝนให้แก่เมล็ดพืชซึ่งเจ้าหว่านลงที่ดิน และประทานข้าวซึ่งเป็นผลิตผลของดิน และข้าวจะอุดมและสมบูรณ์ ในวันนั้นวัวของเจ้าจะกินอยู่ในลานหญ้าใหญ่
อสย 30.24 และวัวกับลาที่ใช้ทำนาจะกินข้าวใส่เกลือ ซึ่งใช้พลั่วและส้อมซัด
อสย 36.17 จนเราจะมานำเจ้าไปยังแผ่นดินที่เหมือนแผ่นดินของเจ้าเอง เป็นแผ่นดินที่มีข้าวและน้ำองุ่น แผ่นดินที่มีขนมปังและสวนองุ่น
อสย 37.27 ส่วนชาวเมืองนั้นมีอำนาจน้อย เขาสะดุ้งกลัวและอับอาย เขาเหมือนหญ้าที่ทุ่งนา และเหมือนหญ้าอ่อน เหมือนหญ้าที่บนยอดหลังคาเรือน เหมือนข้าวเกรียมไปก่อนที่มันจะงอกงามอย่างนั้น
อสย 40.24 พอปลูกเขาเหล่านั้นเสร็จ พอหว่านเสร็จ พอที่รากหยั่งลง พระองค์ก็จะเป่ามาบนเขา เขาก็จะเหี่ยวแห้งไป และลมหมุนก็จะพัดพาเขาไปเหมือนตอข้าว
อสย 41.2 ใครได้เร้าใจให้คนชอบธรรมมาจากตะวันออก ได้เรียกท่านให้ติดตาม ได้มอบบรรดาประชาชาติต่อหน้าท่าน และให้ท่านครอบครองเหนือกษัตริย์ทั้งหลาย ได้มอบพวกเขาไว้แก่ดาบของท่านเหมือนผงคลี และแก่คันธนูของท่านเหมือนตอข้าวที่ถูกพัดไป
อสย 47.14 ดูเถิด เขาจะเป็นเหมือนตอข้าว ไฟจะเผาผลาญเขา เขาจะช่วยตัวเขาเองให้พ้นจากกำลังของเปลวเพลิงไม่ได้ นี่ไม่ใช่ถ่านที่จะให้ใครอุ่น ไม่ใช่ไฟที่จะให้ใครผิง
อสย 62.8 พระเยโฮวาห์ทรงปฏิญาณด้วยพระหัตถ์ขวาของพระองค์ และด้วยพระกรอานุภาพของพระองค์ว่า “แน่นอนเราจะไม่ให้ข้าวของเจ้าเป็นอาหารของศัตรูของเจ้าอีก และบรรดาบุตรชายของคนต่างด้าวจะไม่ดื่มน้ำองุ่นของเจ้า ซึ่งเจ้าตรากตรำได้มานั้น
ยรม 9.22 จงพูดว่า “พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า ‘ศพมนุษย์จะล้มลงเหมือนมูลสัตว์ตกตามพื้นทุ่ง เหมือนฟ่อนข้าวล้มตามผู้เกี่ยว และไม่มีผู้ใดจะเก็บ’”
ยรม 15.7 เราจะซัดเขาด้วยส้อมซัดข้าวในบรรดาประตูเมืองแห่งแผ่นดินนั้น เราจะทำให้ลูกของเขาทั้งหลายตาย เราจะทำลายประชาชนของเรา เพราะเขาทั้งหลายมิได้หันกลับจากพฤติการณ์ของเขา
พคค 2.12 ลูกทั้งหลายถามแม่ของตัวว่า “แม่จ๋า ข้าวและน้ำองุ่นอยู่ที่ไหน” ขณะเมื่อเขาเป็นลมดุจคนที่ถูกบาดเจ็บตามถนนในกรุง เมื่อชีวิตของเขาต้องเทออกที่อกแม่ของเขาทั้งหลาย
อสค 36.29 เราจะช่วยเจ้าให้พ้นมลทินทั้งหลายของเจ้า และเราจะเรียกข้าวมา และจะกระทำให้อุดมสมบูรณ์ และจะไม่ให้เจ้าเกิดการกันดารอาหารเลย
ฮชย 2.8 แต่นางหาทราบไม่ว่าเราเป็นผู้ให้ข้าว น้ำองุ่น และน้ำมัน และได้ให้เงินและทองมากมายแก่นาง ซึ่งเขาใช้สำหรับพระบาอัล
ฮชย 2.9 เพราะฉะนั้น เราจะกลับมาและจะเรียกข้าวคืนตามกำหนดฤดูกาล และเรียกน้ำองุ่นคืนตามฤดู และเราจะเรียกขนแกะและป่านของเรา ซึ่งให้เพื่อใช้ปกปิดกายเปลือยเปล่าของนางนั้นคืนเสีย
ฮชย 2.22 และพิภพจะฟังข้าว น้ำองุ่นและน้ำมัน สิ่งเหล่านี้จะฟังยิสเรเอล
ฮชย 7.14 เขามิได้ร้องทุกข์ต่อเราจากใจจริงของเขาเมื่อเขาคร่ำครวญอยู่บนที่นอนของเขา เขาชุมนุมกันเพื่อขอข้าวและขอน้ำองุ่น และเขากบฏต่อเรา
ฮชย 8.7 เพราะว่าเขาหว่านลม เขาจึงต้องเกี่ยวลมหมุน ต้นข้าวไม่มีรวง จะไม่เกิดข้าวสำหรับทำแป้ง ถึงจะเกิด คนต่างด้าวก็เอาไปกิน
ฮชย 14.7 เขาทั้งหลายที่อยู่ใต้ร่มเงาของเขาก็จะกลับมา เขาจะเจริญขึ้นเหมือนข้าว จะออกดอกเหมือนเถาองุ่น และจะมีกลิ่นเหมือนน้ำองุ่นแห่งเลบานอน
ยอล 1.10 นาก็ร้าง พื้นดินก็เศร้าโศก เพราะข้าวถูกทำลายเสีย น้ำองุ่นใหม่ก็แห้งไปหมด น้ำมันก็ขาดมือไป
ยอล 1.17 เมล็ดพืชก็เน่าอยู่ในดิน ฉางก็รกร้าง ยุ้งก็หักพังลง เพราะว่าข้าวเหี่ยวแห้งไปเสียแล้ว
ยอล 2.5 เหมือนอย่างเสียงรถรบ มันจะเผ่นอยู่บนยอดเขา เหมือนเสียงแตกของเปลวไฟที่ไหม้ตอข้าว เหมือนกองทัพอันเข้มแข็งแปรกระบวนเข้าสงคราม
ยอล 2.19 พระเยโฮวาห์จะทรงตอบประชาชนของพระองค์ว่า “ดูเถิด เราจะส่งข้าว น้ำองุ่นและน้ำมันให้แก่เจ้า เจ้าทั้งหลายจะได้อิ่มหนำสำราญ เราจะไม่กระทำให้เจ้าเป็นที่เขาประณามกันท่ามกลางประชาชาติต่อไปอีก
ยอล 2.24 ลานนวดข้าวจะมีข้าวอยู่เต็ม จะมีน้ำองุ่นและน้ำมันอยู่เต็มล้นบ่อเก็บ
อมส 2.13 ดูเถิด เจ้ากดเราลง เหมือนเกวียนที่เต็มด้วยฟ่อนข้าวกดยัดลง
อมส 4.9 “เราโจมตีเจ้าด้วยให้ข้าวม้านและขึ้นรา เมื่อบรรดาสวนของเจ้าและสวนองุ่นของเจ้า พร้อมต้นมะเดื่อและต้นมะกอกเทศของเจ้าผลิตผล ตั๊กแตนก็มากิน เจ้าก็ยังไม่กลับมาหาเรา” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
อมส 8.5 โดยกล่าวว่า “เมื่อไรหนอวันขึ้นค่ำจะหมดไป เราจะได้ขายข้าวของเรา เมื่อไรหนอวันสะบาโตจะพ้นไป เราจะได้เอาข้าวสาลีออกขาย เราจะได้กระทำเอฟาห์ให้ย่อมลง และกระทำเชเขลให้โตขึ้น และหลอกค้าด้วยตาชั่งขี้ฉ้อ
อบด 1.7 พันธมิตรทั้งสิ้นของเจ้าได้ขับเจ้าไปถึงพรมแดน สหมิตรของเจ้าได้ล่อลวงเจ้า เขากลับสู้ชนะเจ้าเสียแล้ว มิตรที่กินข้าวหม้อเดียวกับเจ้าก็วางกับดักเจ้า เรื่องนี้ไม่มีใครเข้าใจอะไรเสียเลย
อบด 1.18 วงศ์วานของยาโคบจะเป็นไฟ วงศ์วานของโยเซฟจะเป็นเปลวไฟ และวงศ์วานของเอซาวจะเป็นตอข้าว ไฟและเปลวไฟจะไหม้และเผาผลาญเสีย วงศ์วานของเอซาวจะไม่มีใครรอดได้เลย เพราะว่าพระเยโฮวาห์ได้ลั่นพระวาจาแล้ว
มคา 4.12 แต่เขาทั้งหลายไม่ทราบถึงพระดำริของพระเยโฮวาห์ เขาทั้งหลายไม่เข้าใจในแผนการของพระองค์ ที่พระองค์จะทรงรวบรวมเขาทั้งหลายเข้ามา ดังรวมฟ่อนข้าวไว้ที่ลานนวดข้าว
นฮม 1.10 แม้ว่าเขาทั้งหลายเหมือนหนามไก่ไห้ที่เกี่ยวกันยุ่ง และเมาตามขนาดที่เขาดื่ม เขาจะถูกเผาผลาญสิ้นเหมือนตอข้าวที่แห้งผาก
ฮกก 1.11 และเราก็เรียกความแห้งแล้งมาสู่แผ่นดินและเนินเขา มาสู่ข้าว น้ำองุ่นใหม่ และน้ำมัน มาสู่สิ่งต่างๆซึ่งดินอำนวยผล สู่มนุษย์และสัตว์ และมาสู่ผลงานทั้งสิ้นซึ่งมือกระทำไว้”
ฮกก 2.17 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เราได้โจมตีเจ้าและผลงานทั้งสิ้นจากมือของเจ้าด้วยให้ข้าวม้าน และขึ้นรา และด้วยลูกเห็บ แต่เจ้าทั้งหลายก็ยังไม่หันมาหาเรา
ฮกก 2.19 ยังมีข้าวตกค้างอยู่ในยุ้งบ้างหรือ เถาองุ่น ต้นมะเดื่อ และต้นทับทิมกับต้นมะกอกเทศยังไม่เกิดผลหรือ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราจะอำนวยพรแก่เจ้า”
ศคย 12.6 ในวันนั้นเราจะกระทำให้หัวหน้าคนยูดาห์ทั้งหลายเหมือนหม้อร้อนแดงอยู่ท่ามกลางกองฟืน เหมือนคบเพลิงสว่างอยู่ท่ามกลางฟ่อนข้าว และเขาจะเผาผลาญบรรดาชนชาติทั้งหลายที่อยู่ล้อมรอบไปทางขวาและไปทางซ้ายเสีย ฝ่ายเยรูซาเล็มจะมีคนอาศัยอยู่ในที่เดิมนั้นเอง คือเยรูซาเล็ม
มลค 4.1 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า “ดูเถิด วันนั้นจะมาถึง คือวันที่จะเผาไหม้เหมือนเตาอบ เมื่อคนที่อวดดีทั้งสิ้น เออ และคนที่ประกอบความชั่วทั้งหมดจะเป็นเหมือนตอข้าว วันที่จะมานั้นจะไหม้เขาหมด จนไม่มีรากหรือกิ่งเหลืออยู่เลย
มธ 3.12 พระหัตถ์ของพระองค์ถือพลั่วพร้อมแล้ว และจะทรงชำระลานข้าวของพระองค์ให้ทั่ว พระองค์จะทรงเก็บข้าวของพระองค์ไว้ในยุ้งฉาง แต่พระองค์จะทรงเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่รู้ดับ”
มก 2.23 ต่อมาในวันสะบาโตวันหนึ่งพระองค์กำลังเสด็จไปในนาข้าว และเมื่อพวกสาวกของพระองค์กำลังเดินไปก็เริ่มเด็ดรวงข้าวไป
ลก 3.17 พระหัตถ์ของพระองค์ถือพลั่วพร้อมแล้วเพื่อจะทรงชำระลานข้าวของพระองค์ให้ทั่ว และเพื่อจะเก็บข้าวไว้ในยุ้งฉางของพระองค์ แต่พระองค์จะทรงเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่รู้ดับ”
ลก 12.18 เขาจึงคิดว่า ‘เราจะทำอย่างนี้ คือจะรื้อยุ้งฉางของเราเสีย และจะสร้างใหม่ให้โตขึ้น แล้วเราจะรวบรวมข้าวและสมบัติทั้งหมดของเราไว้ที่นั่น
กจ 7.12 ฝ่ายยาโคบเมื่อได้ยินว่ามีข้าวอยู่ในประเทศอียิปต์ จึงใช้บรรพบุรุษของเราไปเป็นครั้งแรก
2คร 11.27 ต้องทำงานเหน็ดเหนื่อยและยากลำบาก ต้องอดหลับอดนอนบ่อยๆ ต้องหิวและกระหาย ต้องอดข้าวบ่อยๆ ต้องทนหนาวและเปลือยกาย

ข้าวของ ( 65 )
ปฐก 14.20 และจงสรรเสริญแด่พระเจ้าผู้สูงสุดผู้ได้ทรงมอบศัตรูทั้งหลายของเจ้าไว้ในมือของเจ้า” และอับรามก็ยกหนึ่งในสิบจากข้าวของทั้งหมดถวายแก่ท่าน
ปฐก 24.10 คนใช้นำอูฐสิบตัวของนายมาแล้วออกเดินทางไป ด้วยว่าข้าวของทั้งสิ้นของนายเขาอยู่ในอำนาจของเขา เขาลุกขึ้นไปยังเมโสโปเตเมีย ถึงเมืองของนาโฮร์
ปฐก 31.18 แล้วเขาต้อนสัตว์เลี้ยงทั้งหมดของเขาไป ขนข้าวของทั้งสิ้นที่เขาได้กำไรมา สัตว์เลี้ยงที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเขา ที่เขาหามาได้ในเมืองปัดดานอารัม เพื่อเดินทางกลับไปหาอิสอัคบิดาของเขาในแผ่นดินคานาอัน
ปฐก 34.28 เขาริบเอาฝูงแกะ ฝูงวัว ฝูงลา และข้าวของทั้งปวงในเมืองและในนาไป
กดว 16.30 แต่ถ้าพระเยโฮวาห์บันดาลอะไรใหม่เกิดขึ้นและแผ่นธรณีอ้าปากกลืนคนเหล่านี้เข้าไปพร้อมกับข้าวของทั้งหมดของเขา และเขาทั้งหลายลงไปสู่แดนคนตายทั้งเป็น ท่านทั้งหลายจงทราบเถิดว่า คนเหล่านี้ได้สบประมาทพระเยโฮวาห์”
กดว 16.32 และแผ่นธรณีก็อ้าปากออกกลืนเขาทั้งหลายกับครอบครัว และบรรดาคนของโคราห์และข้าวของทั้งหมดของเขา
กดว 16.33 ดังนั้นเขาทั้งหลายพร้อมกับข้าวของทั้งหมดของเขาลงไปสู่แดนคนตายทั้งเป็น และแผ่นดินก็งับเขาไว้และเขาทั้งหลายก็พินาศเสียจากท่ามกลางที่ประชุม
กดว 31.9 และคนอิสราเอลได้จับสตรีชาวมีเดียนทั้งหมดมาเป็นเชลย พร้อมกับพวกเด็กเล็กทั้งหลาย และกวาดเอาฝูงวัวฝูงแพะแกะและข้าวของทั้งปวงไปสิ้น เป็นทรัพย์ที่ปล้นได้
กดว 31.53 (ทหารเหล่านั้นต่างคนต่างได้เก็บข้าวของของข้าศึกมา)
พบญ 13.16 ท่านจงเก็บข้าวของทั้งสิ้นในเมืองนั้นไปกองไว้ที่กลางถนน และเผาเมืองนั้นกับบรรดาข้าวของในเมืองนั้นเสียด้วยไฟ เพื่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ให้เมืองนั้นร้างอยู่เป็นนิตย์ อย่าสร้างขึ้นมาใหม่อีกเลย
พบญ 15.8 แต่ท่านทั้งหลายจงยื่นมือของท่านอย่างใจกว้างให้เขา และให้เขายืมข้าวของพอแก่ความต้องการของเขา ไม่ว่าเป็นข้าวของสิ่งใดๆ
พบญ 21.17 แต่เขาต้องยอมรับบุตรหัวปีคือบุตรชายของภรรยาคนที่ตนชัง โดยแบ่งข้าวของให้แก่บุตรหัวปีสองเท่า เพราะว่าคนนี้เป็นต้นกำลังของบิดา สิทธิของบุตรหัวปีเป็นของเขา
พบญ 33.11 ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอพระองค์ทรงอำนวยพระพรแก่ข้าวของของเขา และโปรดการงานที่มือเขาทำ ขอทรงตีทำลายบั้นเอวแห่งศัตรูของเขา คือผู้ที่เกลียดชังเขา อย่าให้ลุกขึ้นอีกได้”
ยชว 7.11 คนอิสราเอลได้กระทำบาป เขาได้ละเมิดพันธสัญญาซึ่งเราได้บัญชาเขาไว้ เขาได้ยักยอกของที่ถูกสาปแช่ง เขาได้ขโมยและปิดบัง และได้เอาของรวมไว้กับข้าวของของตน
ยชว 8.2 เจ้าจงกระทำแก่เมืองอัยและกษัตริย์ของเมืองนั้นเช่นเดียวกับที่เจ้ากระทำกับเมืองเยรีโคและกษัตริย์ของเมืองนั้น แต่ข้าวของและสัตว์ที่ริบมานั้น ตกเป็นของเจ้าได้ จงตั้งซุ่มไว้ที่ข้างหลังเมือง”
ยชว 8.27 แต่คนอิสราเอลได้ริบเอาฝูงสัตว์และข้าวของของเมืองนั้นเป็นของตน ตามพระวจนะของพระเยโฮวาห์ ซึ่งทรงบัญชาไว้กับโยชูวา
วนฉ 14.19 และพระวิญญาณของพระเยโฮวาห์ก็ทรงสถิตกับแซมสันอย่างมาก ท่านจึงลงไปที่อัชเคโลนฆ่าชาวเมืองนั้นเสียสามสิบคน ริบเอาข้าวของและมอบเสื้อให้ผู้ที่แก้ปริศนา แล้วให้กลับไปบ้านของบิดาด้วยความโกรธอย่างมาก
วนฉ 18.21 แล้วเขาก็กลับออกเดินไปให้เด็ก ทั้งฝูงสัตว์และข้าวของเดินไปข้างหน้า
1ซมอ 14.36 แล้วซาอูลรับสั่งว่า “ให้เราลงไปตามคนฟีลิสเตียทั้งกลางคืน แล้วริบข้าวของของเขาเสียจนรุ่งเช้า อย่าให้เหลือสักคนเดียวเลย” และเขาทั้งหลายตอบว่า “จงกระทำตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบทุกประการเถิด” แต่ปุโรหิตกล่าวว่า “ให้เราเข้ามาเฝ้าพระเจ้าที่นี่เถิด”
1ซมอ 30.16 เมื่อเขาพาท่านลงไปแล้ว ดูเถิด ก็พบเขาทั้งหลายแผ่กันอยู่เต็มดินไปหมด ต่างกินและดื่มและเต้นรำเพราะเขาริบได้ข้าวของมากมายมาจากแผ่นดินฟีลิสเตียและจากแผ่นดินยูดาห์
2ซมอ 23.10 ท่านได้ลุกขึ้นฆ่าฟันคนฟีลิสเตียจนมือของท่านเมื่อยล้า มือของท่านเป็นเหน็บแข็งติดดาบ ในวันนั้นพระเยโฮวาห์ทรงกระทำให้ได้ชัยชนะอย่างใหญ่หลวง ทหารก็กลับตามท่านมาเพื่อปล้นข้าวของเท่านั้น
2พกษ 3.23 เขาทั้งหลายกล่าวว่า “นี่เป็นโลหิต บรรดากษัตริย์ได้สู้รบกันเอง และฆ่ากันเอง เพราะฉะนั้นบัดนี้ โมอับเอ๋ย มาริบเอาข้าวของของเขา”
2พกษ 7.8 และเมื่อคนโรคเรื้อนเหล่านี้มาถึงที่ริมค่าย เขาก็เข้าไปในเต็นท์หนึ่งกินและดื่ม และขนเงิน ทองคำและเสื้อผ้าเอาไปซ่อนไว้ แล้วเขาก็กลับมาเข้าไปในอีกเต็นท์หนึ่งขนเอาข้าวของออกไปจากที่นั่นด้วยเอาไปซ่อนไว้
1พศด 20.2 และดาวิดทรงถอดมงกุฎจากพระเศียรของกษัตริย์ของเขาทั้งหลาย พระองค์ทรงทราบว่ามงกุฎนั้นมีทองคำหนักหนึ่งตะลันต์ และมีเพชรพลอยต่างๆ ซึ่งต่อมาอยู่บนพระเศียรของดาวิด และพระองค์ทรงริบของจากเมืองนั้นได้ข้าวของเป็นอันมาก
2พศด 15.11 เขาทั้งหลายถวายสัตวบูชาแด่พระเยโฮวาห์ในวันนั้นจากข้าวของที่เขาได้ริบมา มีวัวผู้เจ็ดร้อยตัวและแกะเจ็ดพันตัว
2พศด 15.18 และพระองค์ทรงนำของอุทิศถวายของราชบิดาของพระองค์และข้าวของที่พระองค์เองทรงอุทิศถวาย มีเงิน และทองคำ และเครื่องใช้เข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้า
2พศด 21.14 ดูเถิด พระเยโฮวาห์จะทรงนำภัยพิบัติอันยิ่งใหญ่มาเหนือชนชาติของเจ้า ลูกหลานของเจ้า เมียของเจ้า และข้าวของทั้งสิ้นของเจ้า
2พศด 21.17 และเขาทั้งหลายยกมาต่อสู้กับยูดาห์ และบุกรุกเข้าไปในนั้น และขนข้าวของทั้งสิ้นซึ่งมีในราชสำนัก ทั้งบรรดาโอรสและมเหสีของพระองค์ จึงไม่มีโอรสเหลือไว้ให้แก่พระองค์นอกจากเยโฮอาหาสโอรสองค์สุดท้องของพระองค์
2พศด 25.13 แต่คนของกองทัพซึ่งอามาซิยาห์ทรงปลดให้กลับไป และไม่ให้เขาไปรบด้วยนั้น เขาตลบเข้าโจมตีหัวเมืองของยูดาห์ ตั้งแต่สะมาเรียถึงเบธโฮโรน และฆ่าประชาชนเสียสามพันคน และริบข้าวของไปเป็นอันมาก
อสร 1.4 และคนใดก็ตามที่เหลืออยู่ ไม่ว่าเขาจะอาศัยอยู่ ณ ที่ใด ขอให้คนซึ่งอยู่ในที่ของเขาช่วยเขาด้วยเงินและด้วยทองคำ ด้วยข้าวของและสัตว์ นอกเหนือจากเครื่องบูชาตามใจสมัครสำหรับพระนิเวศของพระเจ้าซึ่งอยู่ในเยรูซาเล็ม’”
อสร 1.6 และทุกคนที่อยู่ใกล้เขาก็ได้ช่วยมือเขาด้วยเครื่องเงิน ด้วยทองคำ ด้วยข้าวของและด้วยสัตว์ และด้วยของมีค่า นอกเหนือจากทุกสิ่งที่ถวายบูชาตามใจสมัคร
อสร 8.21 แล้วข้าพเจ้าก็ประกาศให้ถืออดอาหารที่นั่น คือที่แม่น้ำอาหะวา เพื่อเราทั้งหลายจะได้ถ่อมตัวลงต่อพระพักตร์พระเจ้าของเรา เพื่อจะทูลขอหนทางอันถูกต้องจากพระองค์ สำหรับเรา ลูกหลานของเรา และข้าวของทั้งสิ้นของเรา
อสธ 3.13 ให้คนเดินข่าวจดหมายเหล่านี้ไปถึงมณฑลของกษัตริย์ทั้งสิ้นสั่งให้ทำลาย สังหารและทำให้ยิวทั้งปวงพินาศไป ทั้งหนุ่มและแก่ เด็กและผู้หญิงในวันเดียวกัน คือวันที่สิบสามเดือนที่สิบสองซึ่งเป็นเดือนอาดาร์ และให้ริบเอาข้าวของของเขาไปหมด
อสธ 8.11 ตามจดหมายเหล่านี้กษัตริย์ทรงอนุญาตให้พวกยิวผู้อยู่ในทุกเมืองชุมนุมกันและป้องกันชีวิตของตน ให้ทำลาย ให้สังหารและให้ล้างผลาญกำลังพลใดๆของประชาชนหรือมณฑลใดๆซึ่งจะมาทำร้าย ทั้งเด็กและผู้หญิง และปล้นเอาข้าวของของเขา
อสธ 9.10 คือเขาสังหารบุตรชายทั้งสิบของฮามาน บุตรชายฮัมเมดาธา ศัตรูของพวกยิว แต่เขามิได้ปล้นข้าวของ
อสธ 9.15 พวกยิวที่อยู่ในสุสาชุมนุมกันในวันที่สิบสี่เดือนอาดาร์ด้วย และได้สังหารสามร้อยคนในสุสา แต่เขามิได้ริบข้าวของ
อสธ 9.16 ฝ่ายพวกยิวอื่นๆซึ่งอยู่ในมณฑลของกษัตริย์ก็ชุมนุมกันป้องกันชีวิต และพ้นศัตรูของเขา เขาสังหารผู้ที่เกลียดชังเขาเสียเจ็ดหมื่นห้าพันคน แต่เขามิได้ริบข้าวของ
โยบ 15.29 เขาจะไม่มั่งมี และทรัพย์สมบัติของเขาจะไม่ทนทาน และข้าวของของเขาจะไม่เพิ่มพูนในแผ่นดิน
โยบ 39.12 เจ้าไว้ใจว่ามันจะกลับมาและนำข้าวของเจ้ามาที่ลานนวดข้าวหรือ
สดด 68.12 บรรดากษัตริย์ของกองทัพทั้งหลายก็หนีไป ผู้หญิงที่อยู่บ้านก็เอาข้าวของที่ริบมาได้แบ่งกัน
สดด 76.5 ด้วยว่าคนใจเข้มแข็งถูกริบข้าวของ เขาหลับไป ชายฉกรรจ์ทั้งสิ้นไม่สามารถใช้มือของเขาได้อีกแล้ว
ยรม 10.17 โอ เจ้าทั้งหลายที่อาศัยอยู่ภายใต้การถูกล้อมเอ๋ย จงเก็บข้าวของจากพื้นดิน
ยรม 46.19 โอ ธิดาผู้อาศัยในอียิปต์เอ๋ย จงเตรียมข้าวของสำหรับตัวเจ้าเพื่อการถูกกวาดไปเป็นเชลย เพราะว่าเมืองโนฟจะถูกทิ้งไว้เสียเปล่าๆ และรกร้าง ปราศจากคนอาศัย
อสค 12.3 เพราะฉะนั้น บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงจัดเตรียมข้าวของสำหรับตนเพื่อการถูกกวาดไปเป็นเชลย และจงไปเป็นเชลยในเวลากลางวันท่ามกลางสายตาของเขา เจ้าจะต้องไปเป็นเชลยจากสถานที่ของเจ้าไปยังอีกที่หนึ่งในสายตาของเขา บางทีเขาอาจจะพินิจพิเคราะห์ดูได้ แม้ว่าเขาเป็นวงศ์วานที่มักกบฏ
อสค 12.4 เจ้าจงเอาข้าวของของเจ้าออกมาในเวลากลางวันท่ามกลางสายตาของเขา เหมือนข้าวของเพื่อการถูกกวาดไปเป็นเชลย เจ้าจงออกไปในเวลาเย็นท่ามกลางสายตาของเขา ออกไปอย่างผู้ถูกกวาดไปเป็นเชลย
อสค 12.6 จงยกข้าวของใส่บ่าของเจ้าท่ามกลางสายตาของเขา แล้วแบกออกไปในเวลามืด เจ้าจงคลุมหน้าเสีย อย่าให้เห็นแผ่นดิน เพราะเรากระทำเจ้าให้เป็นหมายสำคัญแก่วงศ์วานอิสราเอล”
อสค 12.7 ข้าพเจ้าก็กระทำตามที่ข้าพเจ้ารับบัญชามา ข้าพเจ้านำข้าวของออกมาในเวลากลางวัน เหมือนข้าวของเพื่อการถูกกวาดไปเป็นเชลย ในเวลาเย็นข้าพเจ้าก็เจาะกำแพงด้วยมือของข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าออกไปในเวลามืด แบกสัมภาระของข้าพเจ้าไปท่ามกลางสายตาของเขา
อสค 12.12 และเจ้านายคนนั้นผู้อยู่ท่ามกลางเขา จะยกข้าวของขึ้นใส่บ่าในเวลามืดและออกไป เขาทั้งหลายจะเจาะกำแพงและนำออกไปทางนั้น ท่านจะคลุมหน้าของท่าน เพื่อว่าท่านจะไม่แลเห็นแผ่นดินด้วยตาของท่านเอง
อสค 29.19 เหตุฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะมอบแผ่นดินอียิปต์ไว้กับเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน และท่านจะเอาคนเป็นอันมากของเขาไปและริบข้าวของไป และปล้นเอาไปเป็นค่าจ้างกองทัพของท่าน
อสค 38.12 เพื่อชิงข้าวของปล้นเอาไปและเพื่อชิงเหยื่อ คือเพื่อจะหันมือของเจ้ากลับมายังที่รกร้างซึ่งขณะนี้มีคนอาศัยอยู่ และมายังประชาชนซึ่งรวบรวมจากบรรดาประชาชาติที่ได้สัตว์ใช้งานและข้าวของ คือผู้อาศัยอยู่ท่ามกลางแผ่นดินนั้น
อสค 38.13 เชบาและเดดานและบรรดาพ่อค้าแห่งทารชิช และสิงโตหนุ่มทั้งหลายในเมืองนั้นจะกล่าวแก่เจ้าว่า ‘ท่านมาเพื่อจะชิงข้าวของหรือ ท่านชุมนุมกองทัพเพื่อจะปล้น เพื่อจะขนเอาเงินและทองไป ขนเอาสัตว์และข้าวของไป เพื่อจะชิงของมากมายหรือ’
อบด 1.6 ข้าวของของเอซาวได้ถูกรื้อค้นสักเท่าใดหนอ ทรัพย์สมบัติซึ่งซ่อนไว้ก็ถูกค้นไปหมด
ศคย 9.4 ดูเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปลดเอาข้าวของของเมืองนี้ไปเสีย และเหวี่ยงอำนาจของเมืองนี้ลงไปในทะเล และเมืองนี้จะถูกไฟเผาผลาญเสีย
มธ 24.17 ผู้ที่อยู่บนดาดฟ้าหลังคาบ้าน อย่าให้ลงมาเก็บข้าวของใดๆออกจากบ้านของตน
มธ 24.47 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า นายจะตั้งเขาไว้ให้ดูแลบรรดาข้าวของของท่านทุกอย่าง
มก 13.15 ผู้ที่อยู่บนดาดฟ้าหลังคาบ้าน อย่าให้ลงมาเข้าไปเก็บข้าวของใดๆออกจากบ้านของตน
ลก 12.44 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า นายจะตั้งเขาไว้ให้ดูแลบรรดาข้าวของทั้งสิ้นของท่าน
กจ 21.15 ภายหลังวันเหล่านั้นเราก็จัดแจงข้าวของ และขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
ฮบ 13.16 แต่อย่าลืมที่จะกระทำการดี และที่จะแบ่งปันข้าวของซึ่งกันและกัน เพราะเครื่องบูชาอย่างนั้นเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า

ข่าวคราว ( 4 )
1พกษ 10.6 พระนางทูลกษัตริย์ว่า “ข่าวคราวซึ่งหม่อมฉันได้ยินในประเทศของหม่อมฉัน ถึงพระราชกิจและพระสติปัญญาของพระองค์เป็นความจริง
1พกษ 10.7 แต่หม่อมฉันมิได้เชื่อถ้อยคำนั้น จนหม่อมฉันมาเฝ้า และตาของหม่อมฉันได้เห็นเอง และดูเถิด ที่เขาบอกแก่หม่อมฉันก็ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง พระสติปัญญาและความมั่งคั่งของพระองค์ก็มากยิ่งกว่าข่าวคราวที่หม่อมฉันได้ยิน
2พศด 9.5 พระนางทูลกษัตริย์ว่า “ข่าวคราวซึ่งหม่อมฉันได้ยินในประเทศของหม่อมฉัน ถึงพระราชกิจและพระสติปัญญาของพระองค์เป็นความจริง
2พศด 9.6 แต่หม่อมฉันมิได้เชื่อถ้อยคำนั้น จนหม่อมฉันมาเฝ้า และตาของหม่อมฉันได้เห็นเอง และดูเถิด ที่เขาบอกแก่หม่อมฉันก็ไม่ถึงครึ่งหนึ่งแห่งพระสติปัญญาใหญ่ยิ่งของพระองค์ พระองค์เลิศล้ำยิ่งไปกว่าข่าวคราวที่หม่อมฉันได้ยิน

ข้าวคั่ว ( 6 )
ลนต 23.14 เจ้าอย่ารับประทานขนมปังหรือข้าวคั่วข้าวสดจนกว่าจะถึงวันเดียวกันนี้ คือกว่าเจ้าจะนำเครื่องบูชาถวายแด่พระเจ้าของเจ้า ทั้งนี้เป็นกฎเกณฑ์ถาวรตลอดชั่วอายุของเจ้าในที่อยู่ของเจ้าทั่วไป
ยชว 5.11 วันรุ่งขึ้นหลังวันเทศกาลปัสกา วันนั้นเองเขาก็รับประทานผลอันเกิดจากแผ่นดิน คือขนมไร้เชื้อและข้าวคั่ว
นรธ 2.14 โบอาสก็บอกนางว่า “พอถึงเวลารับประทานอาหารเชิญมานี่เถิด มารับประทานขนมปังบ้าง และเอาอาหารมาจิ้มน้ำส้มเถิด” นางจึงนั่งลงข้างๆพวกคนเกี่ยวข้าว โบอาสจึงส่งข้าวคั่วให้ และนางก็รับประทานจนอิ่ม และยังเหลือไว้บ้าง
1ซมอ 17.17 เจสซีสั่งดาวิดบุตรชายของตนว่า “ข้าวคั่วนี้เอฟาห์หนึ่ง และขนมปังสิบก้อนนี้ อันจัดไว้ให้พวกพี่ชายของเจ้า จงเอาไปให้พี่ชายของเจ้าที่ค่ายเร็วๆ
1ซมอ 25.18 แล้วนางอาบีกายิลก็รีบจัดขนมปังสองร้อยก้อน และน้ำองุ่นสองถุงหนัง และแกะที่ทำเสร็จแล้วห้าตัว และข้าวคั่วห้าถัง และองุ่นแห้งร้อยช่อ และขนมมะเดื่อสองร้อยแผ่นบรรทุกหลังลา
2ซมอ 17.28 ได้ขนที่นอน อ่างน้ำและเครื่องภาชนะดิน ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และแป้ง ข้าวคั่ว ถั่ว ถั่วยาง และถั่วแดง

ข่าวดี ( 17 )
2ซมอ 4.10 เมื่อผู้หนึ่งผู้ใดบอกเราว่า ‘ดูเถิด ซาอูลสิ้นพระชนม์แล้ว’ และคิดว่าตนนำข่าวดีมา เราก็จับคนนั้นฆ่าเสียที่ศิกลาก ซึ่งคนนั้นคิดว่าเราจะให้รางวัลแก่เขาสำหรับข่าวนั้น
2ซมอ 18.27 ทหารยามนั้นกราบทูลว่า “ข้าพระองค์คิดว่าคนที่วิ่งมาก่อนวิ่งเหมือนอาหิมาอัสบุตรศาโดก” และกษัตริย์ตรัสว่า “เขาเป็นคนดี เขามาด้วยข่าวดี”
2ซมอ 18.31 ดูเถิด คูชีก็มาถึง และคูชีกราบทูลว่า “มีข่าวดีถวายแด่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ เพราะในวันนี้พระเยโฮวาห์ทรงช่วยพระองค์ให้แก้แค้นบรรดาผู้ที่ลุกขึ้นต่อสู้พระองค์”
1พกษ 1.42 ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ ดูเถิด โยนาธานบุตรชายอาบียาธาร์ปุโรหิตก็มาถึง และอาโดนียาห์ก็กล่าวว่า “เข้ามาเถิด เพราะเจ้าเป็นคนมีกำลังมากจึงนำข่าวดีมา”
2พกษ 7.9 แล้วเขาพูดกันและกันว่า “เราทำไม่ถูกเสียแล้ว วันนี้เป็นวันข่าวดี ถ้าเรานิ่งอยู่และคอยจนแสงอรุณขึ้นโทษจะตกอยู่กับเรา เพราะฉะนั้นบัดนี้มาเถิด ให้เราไปบอกยังสำนักพระราชวัง”
1พศด 10.9 เขาก็ถอดเครื่องทรงของพระองค์ เอาพระเศียรและอาวุธของพระองค์ไป และส่งผู้สื่อสารไปทั่วดินแดนฟีลิสเตีย ให้นำข่าวดีไปยังรูปเคารพและประชาชนของเขา
สภษ 15.30 สว่างของตาทำให้ใจเปรมปรีดิ์ และข่าวดีกระทำให้กระดูกสดชื่น
สภษ 25.25 ข่าวดีจากเมืองไกล ก็เหมือนน้ำเย็นที่ให้แก่คนกระหาย
อสย 40.9 โอ ศิโยนเอ๋ย ผู้นำข่าวดี เจ้าจงขึ้นไปบนภูเขาสูง โอ เยรูซาเล็มเอ๋ย ผู้นำข่าวดี จงเปล่งเสียงของเจ้าด้วยเต็มกำลัง จงเปล่งเสียงเถิด อย่ากลัวเลย จงกล่าวแก่หัวเมืองแห่งยูดาห์ว่า “ดูเถิด นี่พระเจ้าของเจ้า”
อสย 41.27 คนแรกจะกล่าวแก่ศิโยนว่า “ดูเถิด ดูเขาทั้งหลาย” และเราจะส่งผู้นำข่าวดีให้แก่เยรูซาเล็ม
อสย 60.6 มวลอูฐจะมาห้อมล้อมเจ้า อูฐหนุ่มจากมีเดียนและเอฟาห์ บรรดาเหล่านั้นจากเชบาจะมา เขาจะนำทองคำและกำยาน และจะบอกข่าวดีถึงกิจการอันน่าสรรเสริญของพระเยโฮวาห์
นฮม 1.15 ดูเถิด เท้าของผู้นำข่าวดีมาที่บนภูเขา ผู้โฆษณาสันติภาพ โอ ยูดาห์เอ๋ย จงรักษาประเพณีการเลี้ยงตามกำหนดของเจ้าไว้ จงทำตามคำปฏิญาณของเจ้าเถิด เพราะว่าคนชั่วจะไม่ผ่านเจ้าไปอีก เขาถูกขจัดเสียสิ้นแล้ว
ลก 1.19 ฝ่ายทูตสวรรค์นั้นจึงตอบท่านว่า “เราคือกาเบรียลซึ่งยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และทรงใช้ให้มาพูดและนำข่าวดีนี้มาแจ้งกับท่าน
ลก 2.10 ฝ่ายทูตสวรรค์องค์นั้นกล่าวแก่เขาว่า “อย่ากลัวเลย เพราะดูเถิด เรานำข่าวดีมายังท่านทั้งหลาย คือความปรีดียิ่งซึ่งจะมาถึงคนทั้งปวง
กจ 10.36 พระดำรัสที่พระเจ้าได้ทรงฝากไว้กับชนชาติอิสราเอล คือการประกาศข่าวดีเรื่องสันติสุขโดยพระเยซูคริสต์ (ผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของคนทั้งปวง)
1ธส 3.6 แต่บัดนี้เมื่อทิโมธีได้จากพวกท่านมาถึงพวกเราแล้ว และได้นำข่าวดีมาบอกเราเรื่องความเชื่อและความรักของท่านทั้งหลาย และว่าท่านได้ระลึกถึงเราอยู่เสมอด้วยความหวังดี และใฝ่ฝันจะเห็นเราเหมือนอย่างเราใฝ่ฝันจะเห็นท่านดุจกัน

ข้าวต้ม ( 2 )
2พกษ 4.39 คนหนึ่งในพรรคออกไปเก็บผักที่ในทุ่งนา และพบไม้เถาป่าเถาหนึ่ง เขาเก็บได้น้ำเต้าป่าจนเต็มตัก กลับมาหั่นใส่ในหม้อข้าวต้มโดยไม่ทราบว่าเป็นผลอะไร
2พกษ 4.40 เขาก็เทออกให้คนเหล่านั้นรับประทาน ต่อมาขณะที่เขากำลังรับประทานข้าวต้มอยู่นั้น เขาร้องขึ้นว่า “โอ ข้าแต่คนแห่งพระเจ้า มีความตายอยู่ในหม้อนี้” และเขาก็รับประทานกันไม่ได้

ข้าวบาร์เลย์ ( 32 )
ลนต 27.16 ถ้าผู้ใดถวายที่ดินส่วนหนึ่งแด่พระเยโฮวาห์ซึ่งเป็นมรดกตกแก่เขา ให้เจ้ากำหนดราคาของที่ดินตามจำนวนเมล็ดพืชที่หว่านลงในดินนั้น ถ้าที่นาใช้เมล็ดข้าวบาร์เลย์หนึ่งโฮเมอร์ ให้กำหนดราคาเป็นเงินห้าสิบเชเขล
กดว 5.15 ก็ให้ชายผู้นั้นพาภรรยาของตนไปหาปุโรหิต นำเครื่องบูชาสำหรับภรรยาไป มีแป้งข้าวบาร์เลย์หนึ่งในสิบเอฟาห์ อย่าให้เขาเทน้ำมันหรือใส่กำยานในแป้งนั้น เพราะเป็นธัญญบูชาเรื่องความหึงหวง เป็นธัญญบูชาแห่งความรำลึกฟื้นให้ระลึกถึงความชั่วช้า
พบญ 8.8 แผ่นดินที่มีข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์ เถาองุ่น ต้นมะเดื่อ ต้นทับทิม เป็นแผ่นดินที่มีน้ำมันมะกอกเทศและน้ำผึ้ง
วนฉ 7.13 ครั้นกิเดโอนแอบมา ดูเถิด มีชายคนหนึ่งเล่าความฝันให้เพื่อนฟังว่า “ดูเถิด เราฝันเรื่องหนึ่ง ดูเถิด มีขนมข้าวบาร์เลย์ก้อนหนึ่งกลิ้งเข้ามาในค่ายของพวกมีเดียน มาถึงเต็นท์โดนเต็นท์ทำให้เต็นท์ล้มลง พลิกขึ้น แล้วก็ราบไป”
นรธ 2.17 นางก็เที่ยวเก็บข้าวที่ตกในนาจนถึงเวลาเย็น แล้วก็ฟาดข้าวที่เก็บมาได้นั้น ได้ข้าวบาร์เลย์ประมาณเอฟาห์หนึ่ง
นรธ 3.2 โบอาสผู้ที่เจ้าไปกับพวกสาวใช้ของเขานั้น เป็นญาติของเรามิใช่หรือ ดูเถิด คืนวันนี้เขาจะซัดข้าวบาร์เลย์ที่ลานนวดข้าว
นรธ 3.15 ท่านพูดว่า “จงเอาผ้าคลุมที่เจ้าใช้อยู่นั้นคลี่ออก” นางก็คลี่ผ้าคลุมออก ท่านก็ตวงข้าวบาร์เลย์หกทะนานให้นางแบกไป แล้วก็เข้าไปในเมือง
นรธ 3.17 และนางว่า “ท่านให้ข้าวบาร์เลย์หกทะนานนี้แก่ฉัน ท่านว่า ‘เจ้าอย่ากลับไปหาแม่สามีมือเปล่าเลย’”
2ซมอ 14.30 ท่านจึงสั่งมหาดเล็กของท่านว่า “ดูซิ นาของโยอาบอยู่ถัดนาของเรา เขามีข้าวบาร์เลย์ที่นั่น จงเอาไฟเผาเสีย” มหาดเล็กของอับซาโลมก็ไปเอาไฟเผานา
2ซมอ 17.28 ได้ขนที่นอน อ่างน้ำและเครื่องภาชนะดิน ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และแป้ง ข้าวคั่ว ถั่ว ถั่วยาง และถั่วแดง
2ซมอ 21.9 พระองค์ทรงมอบคนเหล่านี้ไว้ในมือของคนกิเบโอน เขาทั้งหลายจึงแขวนคอทั้งเจ็ดไว้บนภูเขาต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ และทั้งเจ็ดคนก็พินาศไปด้วยกัน เขาถูกฆ่าตายในสมัยฤดูเกี่ยวข้าว ในวันต้น คือวันแรกของการเกี่ยวข้าวบาร์เลย์
1พกษ 4.28 ทั้งข้าวบาร์เลย์และฟางข้าวสำหรับม้าและม้าอาชาไนย เขานำมายังสถานที่ของข้าหลวงเหล่านั้นตามที่ได้มีรับสั่งแก่ทุกคน
2พกษ 4.42 มีชายคนหนึ่งมาจากบ้านบาอัลชาลิชาห์นำของมาให้คนแห่งพระเจ้า มีขนมปังเป็นผลแรกคือ ขนมข้าวบาร์เลย์ยี่สิบก้อน และรวงข้าวใหม่ใส่กระสอบของเขามาและเอลีชาว่า “จงให้แก่คนเหล่านั้นรับประทาน”
2พกษ 7.1 แต่เอลีชาบอกว่า “ขอฟังพระวจนะของพระเยโฮวาห์ พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า พรุ่งนี้ประมาณเวลานี้ยอดแป้งถังหนึ่งเขาจะขายกันหนึ่งเชเขล และข้าวบาร์เลย์สองถังเชเขล ที่ประตูเมืองสะมาเรีย”
2พกษ 7.16 แล้วประชาชนก็ยกออกไปปล้นเต็นท์ทั้งหลายของคนซีเรีย ยอดแป้งจึงขายกันถังละเชเขล และข้าวบาร์เลย์สองถังเชเขล ตามพระวจนะของพระเยโฮวาห์
2พกษ 7.18 และเป็นไปตามที่คนแห่งพระเจ้าได้ทูลกษัตริย์ว่า “ข้าวบาร์เลย์สองถังขายหนึ่งเชเขล และยอดแป้งหนึ่งถังหนึ่งเชเขล ประมาณเวลานี้ในวันพรุ่งนี้ที่ประตูเมืองสะมาเรีย”
1พศด 11.13 เขาอยู่กับดาวิดที่ปัสดัมมิม เมื่อคนฟีลิสเตียชุมนุมกันทำสงครามที่นั่น มีที่ดินแปลงหนึ่งมีข้าวบาร์เลย์เต็มไปหมด และคนทั้งหลายก็หนีไปให้พ้นหน้าคนฟีลิสเตีย
2พศด 2.10 และดูเถิด ส่วนข้าราชการของท่าน คือผู้ที่โค่นตัดไม้นั้น ข้าพเจ้าจะให้ข้าวสาลีนวดแล้วสองหมื่นโคระ ข้าวบาร์เลย์สองหมื่นโคระ น้ำองุ่นสองหมื่นบัท และน้ำมันสองหมื่นบัทแก่เขาทั้งหลาย”
2พศด 2.15 เพราะฉะนั้นบัดนี้เรื่องข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ น้ำมัน และน้ำองุ่น ซึ่งเจ้านายของข้าพเจ้าได้กล่าวถึงนั้น ขอท่านได้ส่งไปให้พวกเราผู้รับใช้ท่าน
2พศด 27.5 และพระองค์ทรงสู้รบกับกษัตริย์คนอัมโมนและทรงชนะ และในปีนั้นคนอัมโมนได้ถวายเงินแก่พระองค์หนึ่งร้อยตะลันต์ และข้าวสาลีหนึ่งหมื่นโคระกับข้าวบาร์เลย์หนึ่งหมื่น คนอัมโมนได้ถวายเท่ากันในปีที่สองและในปีที่สาม
โยบ 31.40 ก็ขอให้มีต้นผักหนามงอกแทนข้าวสาลี และหญ้าสาบแร้งแทนข้าวบาร์เลย์” จบถ้อยคำของโยบ
อสย 28.25 เมื่อเขาปราบผิวลงแล้ว เขาไม่หว่านเทียนแดงและยี่หร่า เขาไม่ใส่ข้าวสาลีเป็นแถว และข้าวบาร์เลย์ในที่อันเหมาะของมัน และหว่านข้าวไรไว้เป็นคันแดนหรือ
ยรม 41.8 แต่ในพวกนั้นมีอยู่สิบคนด้วยกันที่พูดกับอิชมาเอลว่า “ขออย่าฆ่าเราเสียเลย เพราะเรามีของมีค่า คือข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ น้ำมัน และน้ำผึ้งซ่อนไว้ในทุ่งนา” ดังนั้น เขาจึงงดไม่ฆ่าเขาทั้งหลายกับพี่น้องเสีย
อสค 4.9 เจ้าจงเอาข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ถั่วยาง และถั่วแดง ข้าวฟ่าง และเทียนแดง มาใส่ในภาชนะลูกเดียวใช้ทำเป็นขนมปังให้เจ้า ระหว่างที่เจ้านอนตะแคงตามกำหนดวันสามร้อยเก้าสิบวันนั้น เจ้าจะรับประทานอาหารนี้
อสค 4.12 และเจ้าจะต้องรับประทานต่างขนมปังข้าวบาร์เลย์ ใช้ไฟอุจจาระมนุษย์ปิ้งท่ามกลางสายตาของเขาทั้งหลาย”
อสค 13.19 เจ้าจะกระทำให้เรามัวหมองท่ามกลางประชาชนของเรา ด้วยเห็นแก่ข้าวบาร์เลย์เพียงหลายกำมือ และขนมปังเพียงหลายชิ้น เพื่อสังหารคนที่ไม่สมควรจะตาย และไว้ชีวิตคนที่ไม่ควรจะมีชีวิตอยู่ โดยการมุสาของเจ้าต่อประชาชนของเราที่ฟังคำมุสานั้น
อสค 45.13 ต่อไปนี้เป็นกำหนดของถวายที่เจ้าทั้งหลายจะต้องถวาย คือข้าวสาลีโฮเมอร์หนึ่งให้ถวายหนึ่งในหกเอฟาห์ ข้าวบาร์เลย์โฮเมอร์หนึ่งให้ถวายหนึ่งในหกของเอฟาห์
ฮชย 3.2 ดังนั้นแหละ ข้าพเจ้าจึงได้ซื้อนางมาเป็นเงินสิบห้าเชเขลกับข้าวบาร์เลย์หนึ่งโฮเมอร์ครึ่ง
ยอล 1.11 โอ ชาวนาทั้งหลายเอ๋ย จงอับอายไปเถิด โอ ผู้แต่งเถาองุ่นเอ๋ย จงคร่ำครวญเนื่องด้วยข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์ เพราะผลของนาก็ถูกทำลายไปหมด
ยน 6.9 “ที่นี่มีเด็กชายคนหนึ่งมีขนมข้าวบาร์เลย์ห้าก้อนกับปลาเล็กๆสองตัว แต่เท่านั้นจะพออะไรกับคนมากอย่างนี้”
ยน 6.13 เขาจึงเก็บเศษขนมข้าวบาร์เลย์ห้าก้อนซึ่งเหลือจากที่คนทั้งหลายได้กินแล้วนั้น ใส่กระบุงได้สิบสองกระบุงเต็ม
วว 6.6 แล้วข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงออกมาจากท่ามกลางสัตว์ทั้งสี่นั้นว่า “ข้าวสาลีราคาทะนานละหนึ่งเดนาริอัน ข้าวบาร์เลย์สามทะนานต่อหนึ่งเดนาริอัน และเจ้าอย่าทำอันตรายแก่น้ำมันและน้ำองุ่น”

ข่าวประเสริฐ ( 131 )
อสย 52.7 เท้าของผู้ประกาศข่าวประเสริฐมา ก็งามสักเท่าใดที่บนภูเขา ผู้โฆษณาสันติภาพ ผู้ประกาศข่าวประเสริฐแห่งสิ่งอันประเสริฐ ผู้โฆษณาความรอด ผู้กล่าวแก่ศิโยนว่า “พระเจ้าของเจ้าทรงครอบครอง”
อสย 61.1 “พระวิญญาณแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าสถิตอยู่บนข้าพเจ้า เพราะว่าพระเยโฮวาห์ได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ให้ประกาศข่าวประเสริฐมายังผู้ที่ถ่อมใจ พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้รักษาคนที่ชอกช้ำระกำใจ ให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย และบอกการเปิดเรือนจำออกให้แก่ผู้ที่ถูกจองจำ
มธ 4.23 พระเยซูได้เสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลี ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขา ทรงประกาศข่าวประเสริฐแห่งอาณาจักรนั้น และทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บทุกอย่างของชาวเมืองให้หาย
มธ 9.35 พระเยซูได้เสด็จดำเนินไปตามนครและหมู่บ้านโดยรอบ ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขา ประกาศข่าวประเสริฐแห่งอาณาจักรนั้น ทรงรักษาโรคและความป่วยไข้ทุกอย่างของพลเมืองให้หาย
มธ 11.5 คือว่าคนตาบอดก็หายบอด คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายสะอาด คนหูหนวกได้ยินได้ คนตายแล้วเป็นขึ้นมา และข่าวประเสริฐก็ประกาศแก่คนอนาถา
มธ 24.14 ข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักรนี้จะประกาศไปทั่วโลกให้เป็นคำพยานแก่บรรดาประชาชาติ แล้วที่สุดปลายจะมาถึง
มธ 26.13 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ที่ไหนๆทั่วโลกซึ่งข่าวประเสริฐนี้จะประกาศไป การซึ่งหญิงนี้ได้กระทำจะเลื่องลือไปเป็นที่ระลึกถึงเขาที่นั่นด้วย”
มก 1.1 ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้าเริ่มต้นตรงนี้
มก 1.14 ครั้นยอห์นถูกขังไว้ในคุกแล้ว พระเยซูได้เสด็จมายังแคว้นกาลิลี ทรงประกาศข่าวประเสริฐแห่งอาณาจักรของพระเจ้า
มก 1.15 และตรัสว่า “เวลากำหนดมาถึงแล้ว และอาณาจักรของพระเจ้าก็มาใกล้แล้ว ท่านทั้งหลายจงกลับใจเสียใหม่ และเชื่อข่าวประเสริฐเถิด”
มก 8.35 เพราะว่าผู้ใดใคร่จะเอาชีวิตรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดจะเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐ ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด
มก 10.29 พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดได้สละบ้าน หรือพี่น้องชายหญิง หรือบิดามารดา หรือภรรยา หรือบุตร หรือที่ดิน เพราะเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐนั้น
มก 13.10 ข่าวประเสริฐจะต้องประกาศทั่วประชาชาติทั้งปวงก่อน
มก 14.9 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ที่ไหนๆทั่วโลกซึ่งข่าวประเสริฐนี้จะประกาศไป การซึ่งผู้หญิงนี้ได้กระทำก็จะลือไปเป็นที่ระลึกถึงเขาที่นั่น”
มก 16.15 ฝ่ายพระองค์จึงตรัสสั่งพวกสาวกว่า “ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลกประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน
ลก 4.18 ‘พระวิญญาณแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตอยู่บนข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ให้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนยากจน พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้รักษาคนที่ชอกช้ำระกำใจ ให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย ให้ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ให้ปล่อยผู้ฟกช้ำเป็นอิสระ
ลก 7.22 แล้วพระเยซูตรัสตอบศิษย์สองคนนั้นว่า “จงไปแจ้งแก่ยอห์นตามซึ่งท่านได้เห็นและได้ยินคือว่า คนตาบอดก็หายบอด คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายสะอาด คนหูหนวกได้ยิน คนตายแล้วเป็นขึ้นมา และข่าวประเสริฐก็ประกาศแก่คนอนาถา
ลก 8.1 ต่อมาภายหลังพระองค์ก็เสด็จไปตามทุกบ้านทุกเมือง ทรงประกาศข่าวประเสริฐแห่งอาณาจักรของพระเจ้า สาวกสิบสองคนนั้นก็อยู่กับพระองค์
ลก 9.6 เหล่าสาวกจึงออกไปตามเมืองต่างๆประกาศข่าวประเสริฐ และรักษาคนป่วยเจ็บทุกแห่งให้หาย
ลก 20.1 ต่อมาวันหนึ่งเมื่อพระองค์กำลังทรงสั่งสอนคนทั้งปวงในพระวิหารและประกาศข่าวประเสริฐ พวกปุโรหิตใหญ่ พวกธรรมาจารย์ และพวกผู้ใหญ่มาพบพระองค์
กจ 5.42 ที่ในพระวิหารและตามบ้านเรือน เขาได้สั่งสอนและประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ทุกๆวันมิได้ขาด
กจ 8.25 ครั้นพวกอัครสาวกเป็นพยานและประกาศพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ก็กลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และได้ประกาศข่าวประเสริฐตามทางในหมู่บ้านชาวสะมาเรียหลายแห่ง
กจ 8.40 แต่มีผู้ได้พบฟีลิปที่เมืองอาโซทัส และเมื่อเดินทางมา ท่านได้ประกาศข่าวประเสริฐในทุกเมืองจนท่านมาถึงเมืองซีซารียา
กจ 11.20 และมีบางคนในพวกเขาเป็นชาวเกาะไซปรัสกับชาวไซรีน เมื่อมายังเมืองอันทิโอก ก็ได้กล่าวประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูเจ้าแก่พวกกรีกด้วย
กจ 13.32 เรานำข่าวประเสริฐนี้มาแจ้งแก่ท่านทั้งหลายว่า พระสัญญาซึ่งทรงประทานแก่บรรพบุรุษของเรา
กจ 14.7 และได้ประกาศข่าวประเสริฐที่นั่น
กจ 14.21 และเมื่อท่านทั้งสองได้ประกาศข่าวประเสริฐในเมืองนั้น และได้สั่งสอนคนเป็นอันมาก จึงกลับไปยังเมืองลิสตรา เมืองอิโคนียูม และเมืองอันทิโอกอีก
กจ 15.7 เมื่อโต้แย้งกันมากแล้ว เปโตรจึงยืนขึ้นกล่าวแก่เขาว่า “ท่านพี่น้องทั้งหลาย ท่านทั้งหลายทราบอยู่ว่า คราวก่อนนั้นพระเจ้าได้ทรงเลือกข้าพเจ้าเองจากพวกท่านทั้งหลาย ให้เป็นผู้ประกาศพระวจนะแห่งข่าวประเสริฐให้คนต่างชาติฟังและเชื่อ
กจ 16.10 ครั้นท่านเห็นนิมิตนั้นแล้ว เราจึงหาโอกาสทันทีที่จะไปยังแคว้นมาซิโดเนีย ด้วยเห็นแน่ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงเรียกเราให้ไปประกาศข่าวประเสริฐแก่ชาวแคว้นนั้น
กจ 20.24 แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้ามิได้ถือว่าชีวิตของข้าพเจ้าเป็นสิ่งประเสริฐแก่ข้าพเจ้า แต่ในชีวิตของข้าพเจ้าขอทำหน้าที่ให้สำเร็จด้วยความปีติยินดี และทำการปรนนิบัติที่ได้รับมอบหมายจากพระเยซูเจ้า คือที่จะเป็นพยานถึงข่าวประเสริฐแห่งพระคุณของพระเจ้านั้น
กจ 21.8 ครั้นรุ่งขึ้นพวกเราที่เป็นเพื่อนเดินทางกับเปาโลก็ลาไป และมาถึงเมืองซีซารียา เราก็เข้าไปในบ้านของฟีลิป ผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ซึ่งเป็นคนหนึ่งในจำพวกเจ็ดคนนั้น เราก็อาศัยอยู่กับท่าน
รม 1.1 เปาโล ผู้รับใช้ของพระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งพระองค์ทรงเรียกให้เป็นอัครสาวก และได้ถูกแยกตั้งไว้สำหรับข่าวประเสริฐของพระเจ้า
รม 1.2 (คือข่าวประเสริฐที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ล่วงหน้าโดยพวกศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ในพระคัมภีร์อันบริสุทธิ์)
รม 1.9 เพราะพระเจ้าผู้ซึ่งข้าพเจ้าได้รับใช้ด้วยชีวิตจิตใจของข้าพเจ้าในข่าวประเสริฐแห่งพระบุตรของพระองค์นั้น ทรงเป็นพยานของข้าพเจ้าว่า เมื่อข้าพเจ้าอธิษฐานนั้น ข้าพเจ้าเอ่ยถึงท่านทั้งหลายเสมอไม่ว่างเว้น
รม 1.15 ฉะนั้นข้าพเจ้าก็เต็มใจพร้อมที่จะประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านทั้งหลายที่อยู่ในกรุงโรมด้วย
รม 1.16 ด้วยว่าข้าพเจ้าไม่มีความละอายในเรื่องข่าวประเสริฐของพระคริสต์ เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้นเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด พวกยิวก่อน และพวกกรีกด้วย
รม 1.17 เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้นความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้แสดงออก โดยเริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า ‘คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ’
รม 2.16 ในวันที่พระเจ้าจะทรงพิพากษาความลับของมนุษย์โดยพระเยซูคริสต์ ทั้งนี้ตามข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าได้ประกาศนั้น
รม 10.15 และถ้าไม่มีใครใช้เขาไป เขาจะไปประกาศอย่างไรได้ ตามที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘เท้าของคนเหล่านั้นที่ประกาศข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข และประกาศข่าวประเสริฐแห่งสิ่งอันประเสริฐ ก็งามสักเท่าใด’
รม 10.16 แต่มิใช่ทุกคนได้เชื่อฟังข่าวประเสริฐนั้น เพราะอิสยาห์ได้กล่าวไว้ว่า ‘พระองค์เจ้าข้า ใครเล่าได้เชื่อสิ่งที่เขาได้ยินจากเราทั้งหลาย’
รม 11.28 ในเรื่องข่าวประเสริฐนั้น เขาเหล่านั้นก็เป็นศัตรูเพื่อประโยชน์ของพวกท่าน แต่ถ้าว่าตามที่ได้ทรงเลือกไว้ เขาทั้งหลายก็เป็นที่รักเนื่องจากบรรพบุรุษของเขา
รม 15.16 เพื่อให้ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเยซูคริสต์ไปยังคนต่างชาติ โดยรับใช้ฝ่ายข่าวประเสริฐของพระเจ้า เพื่อการถวายพวกต่างชาติทั้งหลายนั้นจะได้เป็นที่ชอบพระทัย คือเป็นที่แยกตั้งไว้โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์
รม 15.19 คือด้วยหมายสำคัญและการมหัศจรรย์อันทรงฤทธิ์ ในฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า จนข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐของพระคริสต์อย่างถ้วนถี่ ตั้งแต่กรุงเยรูซาเล็มอ้อมไปยังเมืองอิลลีริคุม
รม 15.20 อันที่จริงข้าพเจ้าได้ตั้งเป้าไว้อย่างนี้ว่า จะประกาศข่าวประเสริฐในที่ซึ่งไม่เคยมีใครออกพระนามพระคริสต์มาก่อน เพื่อข้าพเจ้าจะได้ไม่ก่อขึ้นบนรากฐานที่คนอื่นได้วางไว้ก่อนแล้ว
รม 15.29 และข้าพเจ้ารู้แน่ว่าเมื่อข้าพเจ้ามาหาท่านนั้น ข้าพเจ้าจะมาพร้อมด้วยพระพรอันบริบูรณ์ของข่าวประเสริฐแห่งพระคริสต์
รม 16.25 บัดนี้จงถวายพระเกียรติแด่พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์สามารถให้ท่านทั้งหลายตั้งมั่นคง ตามข่าวประเสริฐซึ่งข้าพเจ้าได้ประกาศนั้น และตามที่ได้ประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์ ตามการเปิดเผยข้อความอันลึกลับซึ่งได้ปิดบังไว้ตั้งแต่สร้างโลก
1คร 1.17 เพราะว่าพระคริสต์มิได้ทรงใช้ข้าพเจ้าไปเพื่อให้เขารับบัพติศมา แต่เพื่อให้ประกาศข่าวประเสริฐ แต่มิใช่ด้วยชั้นเชิงฉลาดในการพูด เกรงว่าเรื่องกางเขนของพระคริสต์จะหมดฤทธิ์เดช
1คร 4.15 เพราะในพระคริสต์ถึงแม้ท่านมีครูสักหมื่นคนแต่ท่านจะมีบิดาหลายคนก็หามิได้ เพราะว่าในพระเยซูคริสต์ข้าพเจ้าได้ให้กำเนิดแก่ท่านโดยข่าวประเสริฐ
1คร 9.12 ถ้าคนอื่นมีสิทธิ์ที่จะได้รับประโยชน์จากท่าน เราไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับยิ่งกว่าเขาอีกหรือ ถึงกระนั้นเราก็มิได้ใช้สิทธิ์นี้เลย แต่ยอมทนทุกข์ยากสารพัด เพื่อเราจะไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางข่าวประเสริฐของพระคริสต์
1คร 9.14 ทำนองเดียวกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงบัญชาไว้ว่า คนที่ประกาศข่าวประเสริฐควรได้รับการเลี้ยงชีพด้วยข่าวประเสริฐนั้น
1คร 9.16 เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐนั้นข้าพเจ้าไม่มีเหตุที่จะอวดได้ เพราะจำเป็นที่ข้าพเจ้าจะต้องประกาศ ถ้าข้าพเจ้าไม่ประกาศข่าวประเสริฐวิบัติจะเกิดแก่ข้าพเจ้า
1คร 9.17 เพราะถ้าข้าพเจ้าประกาศอย่างเต็มใจ ข้าพเจ้าก็จะได้บำเหน็จ แต่ถ้ากระทำการประกาศนั้นโดยฝืนใจ ก็ยังเป็นการที่ทรงมอบหน้าที่ประกาศข่าวประเสริฐไว้ให้ข้าพเจ้ากระทำ
1คร 9.18 แล้วอะไรเล่าจะเป็นบำเหน็จของข้าพเจ้า คือเมื่อข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐ ข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐของพระคริสต์โดยไม่คิดค่าจ้าง เพื่อจะไม่ได้ใช้สิทธิ์ในข่าวประเสริฐนั้นอย่างเต็มที่
1คร 9.23 ข้าพเจ้าทำอย่างนี้เพราะเห็นแก่ข่าวประเสริฐ เพื่อข้าพเจ้าจะได้มีส่วนกับท่านในข่าวประเสริฐนั้น
1คร 15.1 ยิ่งกว่านี้ พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอให้ท่านคำนึงถึงข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าเคยประกาศแก่ท่านทั้งหลาย ซึ่งท่านได้ยอมรับไว้ อันเป็นฐานซึ่งท่านทั้งหลายตั้งมั่นอยู่
2คร 2.12 นอกจากนี้เมื่อข้าพเจ้าไปถึงเมืองโตรอัสเพื่อประกาศข่าวประเสริฐของพระคริสต์นั้น มีประตูเปิดให้แก่ข้าพเจ้าโดยองค์พระผู้เป็นเจ้า
2คร 4.3 แต่ถ้าข่าวประเสริฐของเราถูกบังไว้จากใคร ก็จากคนเหล่านั้นที่กำลังจะพินาศ
2คร 4.4 ส่วนคนที่ไม่เชื่อนั้น พระของยุคนี้ได้กระทำใจของเขาให้มืดไป เพื่อไม่ให้ความสว่างของข่าวประเสริฐอันมีสง่าราศีของพระคริสต์ ผู้เป็นพระฉายของพระเจ้า ส่องแสงถึงพวกเขา
2คร 8.18 เราให้พี่น้องคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงในการประกาศข่าวประเสริฐตามคริสตจักรทั้งหลายไปกับทิตัสด้วย
2คร 9.13 และเนื่องจากผลแห่งการรับใช้นั้น เขาจึงถวายเกียรติยศแด่พระเจ้า โดยเหตุที่ท่านทั้งหลายยอมฟังและตั้งใจอยู่ในอำนาจข่าวประเสริฐของพระคริสต์ และเพราะเหตุท่านได้แจกจ่ายแก่เขาและแก่คนทั้งปวงด้วยใจกว้างขวาง
2คร 10.14 การที่มาถึงท่านนั้น มิใช่โดยการล่วงขอบเขตอันควร เรามาจนถึงท่านทั้งหลายเพื่อประกาศข่าวประเสริฐของพระคริสต์
2คร 10.16 เพื่อเราจะได้ประกาศข่าวประเสริฐในเขตที่อยู่นอกท้องถิ่นของพวกท่าน โดยไม่โอ้อวดเรื่องการงานที่คนอื่นได้ทำไว้พร้อมแล้วนั้น
2คร 11.4 เพราะว่าถ้าคนใดจะมาเทศนาสั่งสอนถึงพระเยซูอีกองค์หนึ่ง ซึ่งแตกต่างกับที่เราได้เทศนาสั่งสอนนั้น หรือถ้าท่านจะรับวิญญาณอื่นซึ่งแตกต่างกับที่ท่านได้รับแต่ก่อน หรือรับข่าวประเสริฐอื่นซึ่งแตกต่างกับที่ท่านได้รับไว้แล้ว แหมท่านทั้งหลายช่างอดทนสนใจฟังเขาเสียจริงๆ
2คร 11.7 ข้าพเจ้าได้กระทำผิดหรือในการที่ข้าพเจ้าได้ถ่อมใจลงเพื่อยกชูท่านขึ้น เพราะข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าแก่พวกท่านโดยไม่ได้คิดค่าหรือ
กท 1.6 ข้าพเจ้าประหลาดใจนักที่ท่านทั้งหลายได้ผินหน้าหนีโดยเร็วจากพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกท่านให้เข้าในพระคุณของพระคริสต์ และได้ไปหาข่าวประเสริฐอื่น
กท 1.7 ซึ่งมิใช่อย่างอื่นดอก แต่ว่ามีบางคนที่ทำให้ท่านยุ่งยาก และปรารถนาที่จะบิดเบือนข่าวประเสริฐของพระคริสต์
กท 1.8 แต่แม้ว่าเราเองหรือทูตสวรรค์ ถ้าประกาศข่าวประเสริฐอื่นแก่ท่าน ซึ่งขัดกับข่าวประเสริฐที่เราได้ประกาศแก่ท่านไปแล้วก็ให้ผู้นั้นถูกสาปแช่ง
กท 1.9 ตามที่เราได้พูดไว้ก่อนแล้ว บัดนี้ข้าพเจ้าพูดอีกว่า ถ้าผู้ใดประกาศข่าวประเสริฐอื่นแก่ท่านที่ขัดกับข่าวประเสริฐซึ่งท่านได้รับไว้แล้ว ผู้นั้นจะต้องถูกสาปแช่ง
กท 1.11 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทราบว่า ข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าได้ประกาศไปแล้วนั้นไม่ใช่ของมนุษย์
กท 1.12 เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ได้รับข่าวประเสริฐนั้นจากมนุษย์ ไม่มีมนุษย์คนใดสอนข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าได้รับข่าวประเสริฐนั้นโดยพระเยซูคริสต์ทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้า
กท 2.2 ข้าพเจ้าขึ้นไปตามที่พระเจ้าได้ทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้เล่าข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าประกาศแก่ชนต่างชาติให้เขาฟัง แต่ได้เล่าให้คนสำคัญฟังเป็นส่วนตัวเกรงว่าข้าพเจ้าอาจจะวิ่งแข่งกัน หรือวิ่งแล้วโดยไร้ประโยชน์
กท 2.5 แต่เราไม่ได้ยอมอ่อนข้อให้กับเขาแม้สักชั่วโมงเดียว เพื่อให้ความจริงของข่าวประเสริฐนั้นดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายต่อไป
กท 2.7 แต่ตรงกันข้าม เมื่อเขาเห็นว่า ข้าพเจ้าได้รับมอบให้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนเหล่านั้นที่ไม่ถือพิธีเข้าสุหนัต เช่นเดียวกับเปโตรได้รับมอบให้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนที่ถือพิธีเข้าสุหนัต
กท 2.14 แต่เมื่อข้าพเจ้าเห็นว่าเขาไม่ได้ดำเนินในความเที่ยงธรรมตามความจริงของข่าวประเสริฐนั้น ข้าพเจ้าจึงว่าแก่เปโตรต่อหน้าคนทั้งปวงว่า “ถ้าท่านเองซึ่งเป็นพวกยิวประพฤติตามอย่างคนต่างชาติ มิใช่ตามอย่างพวกยิว เหตุไฉนท่านจึงบังคับคนต่างชาติให้ประพฤติตามอย่างพวกยิวเล่า”
กท 3.8 และพระคัมภีร์นั้นรู้ล่วงหน้าว่า พระเจ้าจะทรงให้คนต่างชาติเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ จึงได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่อับราฮัมล่วงหน้าว่า ‘ชนชาติทั้งหลายจะได้รับพระพรเพราะเจ้า’
กท 4.13 ท่านรู้ว่าตอนแรกที่ข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านนั้น ก็ทำโดยความอ่อนกำลังแห่งเนื้อหนัง
อฟ 1.13 และในพระองค์นั้นท่านทั้งหลายก็ได้วางใจเช่นเดียวกัน เมื่อท่านได้ฟังพระวจนะแห่งความจริงคือข่าวประเสริฐเรื่องความรอดของท่าน และได้เชื่อในพระองค์แล้วด้วย ท่านก็ได้รับการผนึกตราไว้ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์แห่งพระสัญญา
อฟ 3.6 คือว่าคนต่างชาติจะเป็นผู้รับมรดกร่วมกัน และเป็นอวัยวะของกายอันเดียวกัน และมีส่วนได้รับพระสัญญาของพระองค์ในพระคริสต์โดยข่าวประเสริฐนั้น
อฟ 3.7 ข้าพเจ้าได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้รับใช้แห่งข่าวประเสริฐ ตามพระคุณซึ่งเป็นของประทานจากพระเจ้า ซึ่งทรงโปรดประทานแก่ข้าพเจ้าโดยการกระทำแห่งฤทธิ์เดชของพระองค์
อฟ 4.11 พระองค์จึงให้บางคนเป็นอัครสาวก บางคนเป็นศาสดาพยากรณ์ บางคนเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาล และอาจารย์
อฟ 6.15 และเอาข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความพรั่งพร้อมมาสวมเป็นรองเท้า
อฟ 6.19 และอธิษฐานเพื่อข้าพเจ้าด้วย เพื่อจะทรงประทานให้ข้าพเจ้ามีคำพูดและเกิดใจกล้าประกาศถึงข้อลึกลับแห่งข่าวประเสริฐได้
อฟ 6.20 เพราะข่าวประเสริฐนี้เองทำให้ข้าพเจ้าเป็นทูตผู้ต้องติดโซ่อยู่ เพื่อข้าพเจ้าจะเล่าข่าวประเสริฐด้วยใจกล้าตามที่ข้าพเจ้าควรจะกล่าว
ฟป 1.5 เพราะเหตุที่ท่านทั้งหลายมีส่วนในข่าวประเสริฐด้วยกัน ตั้งแต่วันแรกมาจนกระทั่งบัดนี้
ฟป 1.7 การที่ข้าพเจ้าคิดอย่างนั้นเนื่องด้วยท่านทั้งหลายก็สมควรแล้ว เพราะว่าข้าพเจ้ามีท่านในใจของข้าพเจ้า ท่านทั้งหลายได้รับส่วนในพระคุณด้วยกันกับข้าพเจ้า ในการที่ข้าพเจ้าถูกจองจำ และในการกล่าวแก้ และหนุนให้ข่าวประเสริฐนั้นตั้งมั่นคงอยู่
ฟป 1.12 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าปรารถนาให้ท่านทราบว่า การทั้งปวงที่อุบัติขึ้นกับข้าพเจ้านั้น ได้กลับเป็นเหตุให้ข่าวประเสริฐแผ่แพร่กว้างออกไป
ฟป 1.17 แต่ฝ่ายหนึ่งประกาศด้วยใจรัก โดยรู้แล้วว่าทรงตั้งข้าพเจ้าไว้ป้องกันข่าวประเสริฐนั้นไว้
ฟป 1.27 ขอแต่เพียงให้ท่านดำเนินชีวิตให้สมกับข่าวประเสริฐของพระคริสต์ เพื่อว่าแม้ข้าพเจ้าจะมาหาท่านหรือไม่ก็ตาม ข้าพเจ้าก็จะได้รู้ข่าวของท่านว่า ท่านตั้งมั่นคงอยู่ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ต่อสู้เหมือนอย่างเป็นคนเดียวเพื่อความเชื่อแห่งข่าวประเสริฐนั้น
ฟป 2.22 แต่ท่านก็รู้ถึงคุณค่าของทิโมธีแล้วว่า เขาได้รับใช้ร่วมกับข้าพเจ้าในการประกาศข่าวประเสริฐ เสมือนบุตรรับใช้บิดา
ฟป 4.3 ข้าพเจ้าขอร้องท่านด้วย ผู้เป็นเพื่อนร่วมแอกแท้ๆของข้าพเจ้า ให้ท่านช่วยผู้หญิงเหล่านั้น ผู้ซึ่งได้ทำงานในข่าวประเสริฐด้วยกันกับข้าพเจ้าและกับเคลเมด้วย รวมทั้งคนอื่นที่เป็นเพื่อนร่วมงานของข้าพเจ้า ซึ่งชื่อของเขาเหล่านั้นมีอยู่ในหนังสือแห่งชีวิตแล้ว
ฟป 4.15 และพวกท่านชาวฟีลิปปีก็ทราบอยู่แล้วว่า การประกาศข่าวประเสริฐในเวลาเริ่มแรกนั้น เมื่อข้าพเจ้าออกไปจากแคว้นมาซิโดเนีย ไม่มีคริสตจักรใดมีส่วนร่วมกับข้าพเจ้าในการให้ทานและรับทานนั้นเลย นอกจากพวกท่านพวกเดียวเท่านั้น
คส 1.5 โดยเหตุซึ่งมีความหวังอันสะสมไว้สำหรับท่านในสวรรค์ซึ่งเมื่อก่อนท่านเคยได้ยินมาแล้วในพระวจนะแห่งความจริงของข่าวประเสริฐ
คส 1.23 คือถ้าท่านดำรงและตั้งมั่นอยู่ในความเชื่อ และไม่โยกย้ายไปจากความหวังในข่าวประเสริฐซึ่งท่านได้ยินแล้ว และที่ได้ประกาศแล้วแก่มนุษย์ทุกคนที่อยู่ใต้ฟ้า ซึ่งข้าพเจ้าเปาโลเป็นผู้รับใช้ในการนั้น
1ธส 1.5 เพราะข่าวประเสริฐของเรามิได้มาถึงท่านด้วยถ้อยคำเท่านั้น แต่ด้วยฤทธิ์เดช และด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และด้วยความไว้ใจอันเต็มเปี่ยม ตามที่ท่านทั้งหลายรู้อยู่แล้วว่า เราเป็นคนอย่างไรในหมู่พวกท่านเพราะเห็นแก่ท่าน
1ธส 2.2 แต่ถึงแม้ว่าเราต้องทนการยากลำบากและได้รับการอัปยศต่างๆมาแล้วที่เมืองฟีลิปปี ซึ่งท่านก็ทราบอยู่ เราก็ยังมีใจกล้าในพระเจ้าของเราที่ได้ประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าแก่ท่านทั้งหลาย โดยเผชิญกับอุปสรรคมากมาย
1ธส 2.4 แต่ว่าพระเจ้าทรงเห็นชอบที่จะมอบข่าวประเสริฐไว้กับเรา เราจึงประกาศไป ไม่ใช่เพื่อให้เป็นที่พอใจของมนุษย์ แต่ให้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า ผู้ทรงชันสูตรใจเรา
1ธส 2.8 เมื่อเรารักท่านอย่างนี้แล้ว เราก็มีใจพร้อมที่จะเผื่อแผ่เจือจาน มิใช่แต่เพียงข่าวประเสริฐของพระเจ้าเท่านั้น แต่อุทิศจิตใจเราให้แก่ท่านด้วย เพราะท่านเป็นที่รักยิ่งของเรา
1ธส 2.9 พี่น้องทั้งหลาย ท่านคงจำได้ถึงการทำงานอันเหน็ดเหนื่อย และความยากลำบากของเราเมื่อเราประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าให้แก่ท่าน เราทำงานทั้งกลางคืนและกลางวัน เพื่อเราจะไม่เป็นภาระแก่ผู้ใดในพวกท่าน
1ธส 3.2 และได้ให้ทิโมธีน้องชายของเรา ซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า และเป็นเพื่อนร่วมงานของเราในเรื่องข่าวประเสริฐของพระคริสต์ไปหาพวกท่าน เพื่อจะได้ตั้งพวกท่านไว้ให้มั่นคง และเพื่อจะได้ปลอบประโลมใจพวกท่านในเรื่องความเชื่อของท่าน
2ธส 1.8 ในเปลวเพลิงจะลงโทษสนองคนเหล่านั้นที่ไม่รู้จักพระเจ้า และแก่คนที่ไม่เชื่อฟังข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
2ธส 2.14 พระองค์ได้ทรงเรียกท่านทั้งหลายโดยทางข่าวประเสริฐของเรา เพื่อจะได้รับสง่าราศีของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
1ทธ 1.11 ตามที่มีอยู่ในข่าวประเสริฐอันมีสง่าราศีของพระเจ้าผู้เสวยสุข คือข่าวประเสริฐที่ได้ทรงมอบไว้กับข้าพเจ้านั้น
2ทธ 1.8 เหตุฉะนั้นอย่าละอายคำพยานแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา หรือของตัวข้าพเจ้าที่ถูกจองจำอยู่เพราะเห็นแก่พระองค์ แต่จงมีส่วนในการยากลำบาก เพื่อเห็นแก่ข่าวประเสริฐ โดยอาศัยฤทธิ์เดชแห่งพระเจ้า
2ทธ 1.10 แต่บัดนี้ได้ทรงสำแดงให้ประจักษ์โดยการที่พระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเราเสด็จมา ผู้ได้ทรงกำจัดความตายให้สูญสิ้น และได้ทรงนำชีวิตและสภาพอมตะให้กระจ่างแจ้งโดยข่าวประเสริฐ
2ทธ 1.11 สำหรับข่าวประเสริฐนั้น ข้าพเจ้าได้รับแต่งตั้งให้เป็นนักเทศน์และเป็นอัครสาวก และเป็นครูของพวกต่างชาติ
2ทธ 2.8 จงระลึกถึงพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสืบเชื้อสายจากดาวิด ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ตามข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าประกาศนั้น
2ทธ 2.9 และเพราะเหตุข่าวประเสริฐนั้น ข้าพเจ้าจึงทนทุกข์ ถูกล่ามโซ่ดังผู้ร้าย แต่พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่มีผู้ใดเอาโซ่ล่ามไว้ได้
2ทธ 4.5 ฝ่ายท่านจงระวังระไวอยู่ในการทั้งปวง จงอดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก จงทำหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวประเสริฐ และจงกระทำการรับใช้ของท่านให้สำเร็จ
ฟม 1.13 ข้าพเจ้าใคร่จะให้เขาอยู่กับข้าพเจ้า เพื่อเขาจะได้ปรนนิบัติข้าพเจ้าแทนท่าน ในระหว่างที่ข้าพเจ้าถูกจองจำเพราะข่าวประเสริฐนั้น
ฮบ 4.2 เพราะว่าเราได้มีผู้ประกาศข่าวประเสริฐให้แก่เราแล้ว เหมือนแก่เขาเหล่านั้นด้วย แต่ว่าถ้อยคำซึ่งเขาได้ยินนั้นไม่ได้เป็นประโยชน์แก่เขา เพราะว่าเขาไม่มีความเชื่อพ้องกับผู้ที่ได้ยิน
ฮบ 4.6 ครั้นเห็นแล้วว่ายังมีช่องให้บางคนเข้าในที่สงบสุขนั้น และคนเหล่านั้นที่ได้ยินข่าวประเสริฐคราวก่อนไม่ได้เข้าเพราะเขาไม่เชื่อ
1ปต 1.12 ก็ทรงโปรดเผยให้พวกศาสดาพยากรณ์เหล่านั้นทราบว่า ที่เขาเหล่านั้นได้ปรนนิบัติในเหตุการณ์ทั้งปวงนั้น ไม่ใช่สำหรับเขาเอง แต่สำหรับเราทั้งหลาย บัดนี้คนเหล่านั้นที่ประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านทั้งหลาย ก็ได้กล่าวสิ่งเหล่านั้นแก่ท่านแล้วโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ทรงโปรดประทานจากสวรรค์ เป็นสิ่งซึ่งพวกทูตสวรรค์ปรารถนาจะได้ดู
1ปต 1.25 แต่พระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้ายั่งยืนอยู่เป็นนิตย์’ พระวจนะนั้นคือข่าวประเสริฐที่ได้ประกาศให้ท่านทั้งหลายทราบแล้ว
1ปต 4.6 ด้วยเหตุนี้เอง ข่าวประเสริฐจึงได้ประกาศแม้แก่คนที่ตายไปแล้ว เพื่อเขาจะได้ถูกพิพากษาตามอย่างมนุษย์ในเนื้อหนัง แต่มีชีวิตอยู่ตามอย่างพระเจ้าฝ่ายจิตวิญญาณ
1ปต 4.17 ด้วยว่าถึงเวลาแล้วที่การพิพากษาจะต้องเริ่มตั้งต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า และถ้าการพิพากษานั้นเริ่มต้นที่พวกเราก่อน ปลายทางของคนเหล่านั้นที่ไม่เชื่อฟังข่าวประเสริฐของพระเจ้าจะเป็นอย่างไร
วว 14.6 แล้วข้าพเจ้าได้เห็นทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งที่บินอยู่ในท้องฟ้า เพื่อประกาศข่าวประเสริฐอันเป็นอมตะแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในโลก แก่ทุกชาติ ทุกตระกูล ทุกภาษา และประชากร

ขาวโพลน ( 1 )
ยอล 1.7 มันได้ทำลายเถาองุ่นของข้าพเจ้าเสีย และได้ปอกเปลือกต้นมะเดื่อของข้าพเจ้า มันลอกเปลือกออกและโยนทิ้งเสีย กิ่งก้านก็ดูขาวโพลน

ข้าวฟ่าง ( 1 )
อสค 4.9 เจ้าจงเอาข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ถั่วยาง และถั่วแดง ข้าวฟ่าง และเทียนแดง มาใส่ในภาชนะลูกเดียวใช้ทำเป็นขนมปังให้เจ้า ระหว่างที่เจ้านอนตะแคงตามกำหนดวันสามร้อยเก้าสิบวันนั้น เจ้าจะรับประทานอาหารนี้

ข่าวร้าย ( 3 )
อพย 33.4 เมื่อพลไพร่ได้ยินข่าวร้ายนั้นเขามีความโศกเศร้า และไม่มีผู้ใดใส่เครื่องประดับเลย
สดด 112.7 เขาจะไม่กลัวข่าวร้าย จิตใจของเขายึดแน่น วางใจในพระเยโฮวาห์
ยรม 49.23 เกี่ยวด้วยเรื่องเมืองดามัสกัส เมืองฮามัทและเมืองอารปัดได้ขายหน้า เพราะเขาทั้งหลายได้ยินข่าวร้าย เขาก็กลัวลาน ทะเลก็ทุรนทุราย มันสงบลงไม่ได้

ข้าวไร ( 2 )
อพย 9.32 ส่วนข้าวสาลีและข้าวไรนั้นมิได้ถูกทำลาย เพราะยังไม่งอกขึ้น
อสย 28.25 เมื่อเขาปราบผิวลงแล้ว เขาไม่หว่านเทียนแดงและยี่หร่า เขาไม่ใส่ข้าวสาลีเป็นแถว และข้าวบาร์เลย์ในที่อันเหมาะของมัน และหว่านข้าวไรไว้เป็นคันแดนหรือ

ข้าวละมาน ( 10 )
มธ 13.25 แต่เมื่อคนทั้งหลายนอนหลับอยู่ ศัตรูของคนนั้นมาหว่านข้าวละมานปนกับข้าวสาลีนั้นไว้ แล้วก็หลบไป
มธ 13.26 ครั้นต้นข้าวนั้นงอกขึ้นออกรวงแล้ว ข้าวละมานก็ปรากฏขึ้นด้วย
มธ 13.27 พวกผู้รับใช้แห่งเจ้าบ้านจึงมาแจ้งแก่นายว่า ‘นายเจ้าข้า ท่านได้หว่านพืชดีในนาของท่านมิใช่หรือ แต่มีข้าวละมานมาจากไหน’
มธ 13.28 นายก็ตอบพวกเขาว่า ‘นี้เป็นการกระทำของศัตรู’ พวกผู้รับใช้จึงถามนายว่า ‘ท่านปรารถนาจะให้พวกเราไปถอนและเก็บข้าวละมานหรือ’
มธ 13.29 แต่นายตอบว่า ‘อย่าเลย เกลือกว่าเมื่อกำลังถอนข้าวละมานจะถอนข้าวสาลีด้วย
มธ 13.30 ให้ทั้งสองจำเริญไปด้วยกันจนถึงฤดูเกี่ยว และในเวลาเกี่ยวนั้นเราจะสั่งผู้เกี่ยวว่า “จงเก็บข้าวละมานก่อนมัดเป็นฟ่อนเผาไฟเสีย แต่ข้าวสาลีนั้นจงเก็บไว้ในยุ้งฉางของเรา”’”
มธ 13.36 แล้วพระเยซูจึงทรงให้ฝูงชนเหล่านั้นจากไปและเสด็จเข้าไปในเรือน พวกสาวกของพระองค์ก็มาเฝ้าพระองค์ทูลว่า “ขอพระองค์ทรงโปรดอธิบายให้พวกข้าพระองค์เข้าใจคำอุปมาที่ว่าด้วยข้าวละมานในนานั้น”
มธ 13.38 นานั้นได้แก่โลก ส่วนเมล็ดพืชดีได้แก่ลูกหลานแห่งอาณาจักร แต่ข้าวละมานได้แก่ลูกหลานของมารร้าย
มธ 13.39 ศัตรูผู้หว่านข้าวละมานได้แก่พญามาร ฤดูเกี่ยวได้แก่การสิ้นสุดของโลกนี้ และผู้เกี่ยวนั้นได้แก่พวกทูตสวรรค์
มธ 13.40 เหตุฉะนั้น เขาเก็บข้าวละมานเผาไฟเสียอย่างไร ในการสิ้นสุดของโลกนี้ก็จะเป็นอย่างนั้น

ข่าวลือ ( 11 )
2พกษ 19.7 ดูเถิด เราจะบรรจุจิตใจอย่างหนึ่งในเขา เพื่อเขาจะได้ยินข่าวลือ และกลับไปยังแผ่นดินของเขา และเราจะให้เขาล้มลงด้วยดาบในแผ่นดินของเขาเอง’”
อสย 37.7 ดูเถิด เราจะบรรจุจิตใจอย่างหนึ่งในเขา เพื่อเขาจะได้ยินข่าวลือ และกลับไปยังแผ่นดินของเขา และเราจะให้เขาล้มลงด้วยดาบในแผ่นดินของเขาเอง’”
ยรม 49.14 ข้าพเจ้าได้ยินข่าวลือจากพระเยโฮวาห์ ทูตคนหนึ่งถูกส่งไปท่ามกลางบรรดาประชาชาติ บอกว่า “จงรวบรวมเจ้าทั้งหลายเข้า และมาต่อสู้เมืองนั้น และลุกขึ้นเพื่อกระทำสงครามเถิด
ยรม 51.46 อย่าให้ใจของเจ้าวิตก และอย่าให้กลัวต่อข่าวลือซึ่งได้ยินในแผ่นดินนั้น จะมีข่าวลือเรื่องหนึ่งมาในปีหนึ่ง และหลังจากนั้นอีกปีหนึ่งก็มีข่าวลือเรื่องหนึ่งมา และความทารุณก็มีอยู่ในแผ่นดินและผู้ครอบครองก็ต่อสู้กับผู้ครอบครอง
อสค 7.26 วิบัติมาถึงแล้ว วิบัติจะมาถึงอีก ข่าวลือจะเกิดตามข่าวลือ เขาจะแสวงหานิมิตจากผู้พยากรณ์ แต่พระราชบัญญัติจะพินาศไปจากปุโรหิต และคำปรึกษาจะปลาตไปจากพวกผู้ใหญ่
อบด 1.1 นิมิตของโอบาดีห์ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสเกี่ยวด้วยเรื่องเอโดมดังนี้ว่า เราได้ยินข่าวลือจากพระเยโฮวาห์ ทูตคนหนึ่งถูกส่งไปท่ามกลางบรรดาประชาชาติให้พูดว่า “จงลุกขึ้นเถิด ให้เราลุกไปทำสงครามกับเมืองเอโดม”
มธ 24.6 ท่านทั้งหลายจะได้ยินถึงเรื่องสงครามและข่าวลือเรื่องสงคราม คอยระวังอย่าตื่นตระหนกเลย ด้วยว่าบรรดาสิ่งเหล่านี้จำต้องบังเกิดขึ้น แต่ที่สุดปลายยังไม่มาถึง
มก 13.7 เมื่อท่านทั้งหลายจะได้ยินถึงการสงครามและข่าวลือเรื่องสงคราม อย่าตื่นตระหนกเลย ด้วยว่าบรรดาสิ่งเหล่านี้จำต้องบังเกิดขึ้น แต่ที่สุดปลายยังไม่มาถึง

ข้าวสด ( 1 )
ลนต 23.14 เจ้าอย่ารับประทานขนมปังหรือข้าวคั่วข้าวสดจนกว่าจะถึงวันเดียวกันนี้ คือกว่าเจ้าจะนำเครื่องบูชาถวายแด่พระเจ้าของเจ้า ทั้งนี้เป็นกฎเกณฑ์ถาวรตลอดชั่วอายุของเจ้าในที่อยู่ของเจ้าทั่วไป

ข้าวสาลี ( 41 )
อพย 9.32 ส่วนข้าวสาลีและข้าวไรนั้นมิได้ถูกทำลาย เพราะยังไม่งอกขึ้น
อพย 29.2 ขนมปังไร้เชื้อ ขนมไร้เชื้อคลุกน้ำมันและขนมแผ่นบางไร้เชื้อทาน้ำมัน ขนมเหล่านี้จงทำด้วยยอดแป้งข้าวสาลี
พบญ 8.8 แผ่นดินที่มีข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์ เถาองุ่น ต้นมะเดื่อ ต้นทับทิม เป็นแผ่นดินที่มีน้ำมันมะกอกเทศและน้ำผึ้ง
พบญ 32.14 ให้ได้นมเปรี้ยวจากวัว และให้ได้น้ำนมจากแพะแกะ ได้ไขมันจากลูกแกะ และแกะผู้พันธุ์บาชาน และฝูงแพะ กับข้าวสาลีอย่างดีที่สุด และท่านได้ดื่มเลือดขององุ่น คือน้ำองุ่น
วนฉ 6.11 ฝ่ายทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเยโฮวาห์มานั่งอยู่ที่ใต้ต้นโอ๊กที่ตำบลโอฟราห์ ซึ่งเป็นของโยอาช คนอาบีเยเซอร์ ฝ่ายกิเดโอนบุตรชายของท่านกำลังนวดข้าวสาลีอยู่ในบ่อย่ำองุ่นเพื่อซ่อนให้พ้นตาคนมีเดียน
นรธ 2.23 ดังนั้นนางจึงอยู่ใกล้ๆสาวใช้ของโบอาสเที่ยวเก็บข้าวตกจนสิ้นฤดูเกี่ยวข้าวบาร์เลย์และข้าวสาลี และนางก็อาศัยอยู่กับแม่สามี
2ซมอ 4.6 และเขาเข้าไปกลางตำหนัก ทำเหมือนจะขนข้าวสาลีและเขาก็แทงพระอุทรพระองค์ เรคาบและบาอานาห์พี่ชายก็หนีไป
2ซมอ 17.28 ได้ขนที่นอน อ่างน้ำและเครื่องภาชนะดิน ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และแป้ง ข้าวคั่ว ถั่ว ถั่วยาง และถั่วแดง
1พกษ 5.11 ฝ่ายซาโลมอนทรงประทานข้าวสาลีให้เป็นอาหารแก่สำนักวังของฮีรามสองหมื่นโคระและน้ำมันบริสุทธิ์ยี่สิบโคระ ซาโลมอนทรงประทานแก่ฮีรามเป็นปีๆไปอย่างนี้แหละ
1พศด 21.20 ฝ่ายโอรนันกำลังนวดข้าวสาลีอยู่ ท่านหันมาเห็นทูตสวรรค์ บุตรชายสี่คนของท่านที่อยู่กับท่านก็ซ่อนตัวเสีย
1พศด 21.23 แล้วโอรนันกราบทูลดาวิดว่า “ขอทรงรับไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ และขอกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์กระทำสิ่งที่พระองค์ทรงเห็นชอบเถิด นี่พ่ะย่ะค่ะ ข้าพระองค์ขอถวายวัวสำหรับเครื่องเผาบูชา และถวายเลื่อนนวดข้าวให้เป็นฟืน แล้วข้าวสาลีเป็นธัญญบูชา ข้าพระองค์ขอถวายหมด”
2พศด 2.10 และดูเถิด ส่วนข้าราชการของท่าน คือผู้ที่โค่นตัดไม้นั้น ข้าพเจ้าจะให้ข้าวสาลีนวดแล้วสองหมื่นโคระ ข้าวบาร์เลย์สองหมื่นโคระ น้ำองุ่นสองหมื่นบัท และน้ำมันสองหมื่นบัทแก่เขาทั้งหลาย”
2พศด 2.15 เพราะฉะนั้นบัดนี้เรื่องข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ น้ำมัน และน้ำองุ่น ซึ่งเจ้านายของข้าพเจ้าได้กล่าวถึงนั้น ขอท่านได้ส่งไปให้พวกเราผู้รับใช้ท่าน
2พศด 27.5 และพระองค์ทรงสู้รบกับกษัตริย์คนอัมโมนและทรงชนะ และในปีนั้นคนอัมโมนได้ถวายเงินแก่พระองค์หนึ่งร้อยตะลันต์ และข้าวสาลีหนึ่งหมื่นโคระกับข้าวบาร์เลย์หนึ่งหมื่น คนอัมโมนได้ถวายเท่ากันในปีที่สองและในปีที่สาม
อสร 6.9 และสิ่งใดๆที่เขาต้องการ เช่น วัวหนุ่ม แกะผู้ หรือแกะสำหรับเครื่องเผาบูชาถวายแด่พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ทั้งข้าวสาลี เกลือ น้ำองุ่น หรือน้ำมัน ตามที่ปุโรหิตเยรูซาเล็มกำหนดไว้ ให้มอบแก่เขาเป็นวันๆไปอย่าได้ขาด
อสร 7.22 ถึงจำนวนเงินหนึ่งร้อยตะลันต์ และข้าวสาลีถึงหนึ่งร้อยโคระ น้ำองุ่นหนึ่งร้อยบัท น้ำมันหนึ่งร้อยบัท และเกลือไม่จำกัดจำนวนว่าเท่าไร
โยบ 31.40 ก็ขอให้มีต้นผักหนามงอกแทนข้าวสาลี และหญ้าสาบแร้งแทนข้าวบาร์เลย์” จบถ้อยคำของโยบ
สดด 81.16 พระองค์จะทรงเลี้ยงเขาด้วยข้าวสาลีอย่างดีที่สุด “เราจะให้เจ้าพอใจด้วยน้ำผึ้งที่มาจากหิน”
สดด 147.14 พระองค์ทรงกระทำสันติภาพในเขตแดนของเธอ ทรงให้เธออิ่มด้วยข้าวสาลีที่ดีที่สุด
สภษ 27.22 ถึงแม้เจ้าจะเอาคนโง่ใส่ครกตำด้วยสากพร้อมกับข้าวสาลี ความโง่เขลาของเขาก็ยังไม่พรากจากเขา
พซม 7.2 สะดือของเธอดุจอ่างกลมที่มิได้ขาดเหล้าองุ่นประสม ท้องของเธอดังกองข้าวสาลีที่มีดอกบัวปักไว้ล้อมรอบ
อสย 28.25 เมื่อเขาปราบผิวลงแล้ว เขาไม่หว่านเทียนแดงและยี่หร่า เขาไม่ใส่ข้าวสาลีเป็นแถว และข้าวบาร์เลย์ในที่อันเหมาะของมัน และหว่านข้าวไรไว้เป็นคันแดนหรือ
ยรม 12.13 เขาทั้งหลายได้หว่านข้าวสาลี แต่จะเกี่ยวหนาม เขาได้กระทำให้ตัวเจ็บปวด แต่จะไม่ได้กำไรอะไร เขาทั้งหลายจะละอายด้วยผลการเกี่ยวของเขา ด้วยเหตุความโกรธเกรี้ยวกราดของพระเยโฮวาห์”
ยรม 23.28 จงให้ผู้พยากรณ์ที่ฝันเล่าความฝัน แต่ให้คนที่มีถ้อยคำของเรากล่าวถ้อยคำของเราอย่างสุจริต” พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “ฟางข้าวมีอะไรบ้างที่เหมือนข้าวสาลี”
ยรม 41.8 แต่ในพวกนั้นมีอยู่สิบคนด้วยกันที่พูดกับอิชมาเอลว่า “ขออย่าฆ่าเราเสียเลย เพราะเรามีของมีค่า คือข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ น้ำมัน และน้ำผึ้งซ่อนไว้ในทุ่งนา” ดังนั้น เขาจึงงดไม่ฆ่าเขาทั้งหลายกับพี่น้องเสีย
อสค 4.9 เจ้าจงเอาข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ถั่วยาง และถั่วแดง ข้าวฟ่าง และเทียนแดง มาใส่ในภาชนะลูกเดียวใช้ทำเป็นขนมปังให้เจ้า ระหว่างที่เจ้านอนตะแคงตามกำหนดวันสามร้อยเก้าสิบวันนั้น เจ้าจะรับประทานอาหารนี้
อสค 27.17 ยูดาห์และแผ่นดินอิสราเอลก็ค้าขายกับเจ้า เขาเอาข้าวสาลีเมืองมินนิทและเมืองปานาง น้ำผึ้ง น้ำมัน พิมเสน มาแลกกับสินค้าของเจ้า
อสค 45.13 ต่อไปนี้เป็นกำหนดของถวายที่เจ้าทั้งหลายจะต้องถวาย คือข้าวสาลีโฮเมอร์หนึ่งให้ถวายหนึ่งในหกเอฟาห์ ข้าวบาร์เลย์โฮเมอร์หนึ่งให้ถวายหนึ่งในหกของเอฟาห์
ยอล 1.11 โอ ชาวนาทั้งหลายเอ๋ย จงอับอายไปเถิด โอ ผู้แต่งเถาองุ่นเอ๋ย จงคร่ำครวญเนื่องด้วยข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์ เพราะผลของนาก็ถูกทำลายไปหมด
อมส 5.11 เพราะว่าเจ้าทั้งหลายเหยียบย่ำคนยากจน และเอาส่วยข้าวสาลีไปเสียจากเขา เจ้าจึงสร้างตึกด้วยศิลาสกัด แต่เจ้าจะไม่ได้อยู่ในตึกนั้น เจ้าทำสวนองุ่นที่ร่มรื่น แต่เจ้าจะไม่ได้ดื่มน้ำองุ่นจากสวนนั้น
อมส 8.5 โดยกล่าวว่า “เมื่อไรหนอวันขึ้นค่ำจะหมดไป เราจะได้ขายข้าวของเรา เมื่อไรหนอวันสะบาโตจะพ้นไป เราจะได้เอาข้าวสาลีออกขาย เราจะได้กระทำเอฟาห์ให้ย่อมลง และกระทำเชเขลให้โตขึ้น และหลอกค้าด้วยตาชั่งขี้ฉ้อ
อมส 8.6 เพื่อเราจะได้ซื้อคนจนด้วยเงิน และซื้อคนขัดสนด้วยรองเท้าสานคู่หนึ่ง เออ และขายกากข้าวสาลี”
มธ 13.25 แต่เมื่อคนทั้งหลายนอนหลับอยู่ ศัตรูของคนนั้นมาหว่านข้าวละมานปนกับข้าวสาลีนั้นไว้ แล้วก็หลบไป
มธ 13.29 แต่นายตอบว่า ‘อย่าเลย เกลือกว่าเมื่อกำลังถอนข้าวละมานจะถอนข้าวสาลีด้วย
มธ 13.30 ให้ทั้งสองจำเริญไปด้วยกันจนถึงฤดูเกี่ยว และในเวลาเกี่ยวนั้นเราจะสั่งผู้เกี่ยวว่า “จงเก็บข้าวละมานก่อนมัดเป็นฟ่อนเผาไฟเสีย แต่ข้าวสาลีนั้นจงเก็บไว้ในยุ้งฉางของเรา”’”
ลก 16.7 แล้วเขาก็ถามอีกคนหนึ่งว่า ‘ท่านเป็นหนี้กี่มากน้อย’ เขาตอบว่า ‘เป็นหนี้ข้าวสาลีร้อยกระสอบ’ คนต้นเรือนจึงบอกเขาว่า ‘จงเอาบัญชีของท่านแก้เป็นแปดสิบ’
ลก 22.31 และองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ซีโมน ซีโมนเอ๋ย ดูเถิด ซาตานได้ขอท่านไว้เพื่อจะฝัดร่อนท่านเหมือนฝัดข้าวสาลี
กจ 27.38 เมื่อรับประทานอาหารอิ่มแล้ว จึงขนข้าวสาลีในกำปั่นทิ้งเสียในทะเลเพื่อให้กำปั่นเบาขึ้น
1คร 15.37 เมล็ดข้าวที่ท่านหว่านนั้น จะเป็นข้าวสาลีหรือพืชอื่นๆก็ดี ท่านมิได้หว่านสิ่งที่เป็นรูปร่างของต้นที่จะงอกขึ้นมา แต่ได้หว่านเมล็ดเท่านั้น
วว 6.6 แล้วข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงออกมาจากท่ามกลางสัตว์ทั้งสี่นั้นว่า “ข้าวสาลีราคาทะนานละหนึ่งเดนาริอัน ข้าวบาร์เลย์สามทะนานต่อหนึ่งเดนาริอัน และเจ้าอย่าทำอันตรายแก่น้ำมันและน้ำองุ่น”
วว 18.13 อบเชย เครื่องเทศ เครื่องหอม กำยาน เหล้าองุ่น น้ำมัน ยอดแป้ง ข้าวสาลี สัตว์ต่างๆ แกะ ม้า รถรบ และทาส และชีวิตมนุษย์

ข้าศึก ( 12 )
อพย 1.10 มาเถิด ให้เราใช้สติปัญญาในเรื่องพวกนี้กับเขา เกรงว่าเขาจะทวีมากขึ้น แล้วต่อมาเมื่อเกิดสงครามขึ้น เขาจะสมทบกับพวกข้าศึกของเราสู้รบกับเรา แล้วจะยกออกไปจากอาณาจักร”
อพย 15.9 พวกข้าศึกกล่าวว่า ‘เราจะติดตาม เราจะจับให้ทัน เราจะริบสิ่งของมาแบ่งปันกัน เราจึงจะพอใจที่ได้กระทำกับพวกนั้นดังประสงค์ เราจะชักดาบออก มือเราจะทำลายเขาเสีย’
กดว 31.53 (ทหารเหล่านั้นต่างคนต่างได้เก็บข้าวของของข้าศึกมา)
พบญ 30.7 และพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงให้คำสาปแช่งเหล่านี้ตกอยู่บนข้าศึกและผู้ที่เกลียดชังท่าน คือผู้ข่มเหงท่านทั้งหลาย
วนฉ 6.35 และท่านส่งผู้สื่อสารไปทั่วมนัสเสห์ เรียกให้เขายกติดตามท่านไปด้วย และท่านส่งผู้สื่อสารไปยังอาเชอร์ เศบูลุน และนัฟทาลี คนเหล่านี้ก็ขึ้นมาปะทะข้าศึกด้วย
2ซมอ 5.20 ดาวิดเสด็จมายังบาอัลเปราซิม และดาวิดทรงชนะคนฟีลิสเตียที่นั่น พระองค์ตรัสว่า “พระเยโฮวาห์ทรงทะลวงข้าศึกของข้าพเจ้าดังกระแสน้ำที่พุ่งใส่” เพราะฉะนั้นจึงเรียกชื่อตำบลนั้นว่า บาอัลเปราซิม
2ซมอ 10.13 ดังนั้น โยอาบกับประชาชนที่อยู่กับท่านก็ยกเข้าใกล้ต่อสู้กับคนซีเรีย ข้าศึกก็แตกหนีไปต่อหน้าเขา
2ซมอ 11.23 ผู้สื่อสารนั้นกราบทูลดาวิดว่า “ข้าศึกได้เปรียบต่อเรามาก และได้ออกมาสู้รบกับฝ่ายเราที่กลางทุ่ง แต่เราได้ขับไล่เขาเข้าไปถึงทางเข้าประตูเมือง
1พศด 5.21 เขาได้กวาดเอาฝูงสัตว์ของข้าศึกไป คืออูฐห้าหมื่นตัว แกะสองแสนห้าหมื่นตัว ลาสองพัน และคนหนึ่งแสน
1พศด 14.11 และพระองค์เสด็จไปยังบาอัลเปราซิม และดาวิดทรงชนะเขาทั้งหลายที่นั่น และดาวิดตรัสว่า “พระเจ้าทรงทะลวงข้าศึกของข้าพเจ้าเหมือนดังกระแสน้ำที่พุ่งใส่” เพราะฉะนั้นเขาจึงเรียกที่นั้นว่า บาอัลเปราซิม
อสย 1.24 ฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าคือพระเยโฮวาห์จอมโยธา ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของอิสราเอลตรัสว่า “ดูเถิด เราจะระบายความโกรธของเราเหนือศัตรูของเรา และแก้แค้นข้าศึกของเราเสียเอง
วว 9.9 มันมีทับทรวงเหมือนกับทับทรวงเหล็ก เสียงปีกมันเหมือนเสียงรถม้าเป็นอันมากกรูเข้ารบข้าศึก

ข้าหลวง ( 6 )
1พกษ 4.5 อาซาริยาห์บุตรชายนาธันเป็นหัวหน้าข้าหลวง ศบุดบุตรชายนาธันเป็นข้าราชการผู้ใหญ่ และเป็นพระสหายของกษัตริย์
1พกษ 4.7 ซาโลมอนทรงมีข้าหลวงสิบสองคนอยู่เหนืออิสราเอลทั้งปวง เป็นผู้จัดหาเสบียงอาหารสำหรับกษัตริย์และสำหรับกษัตริย์สำนัก ข้าหลวงคนหนึ่งจัดหาเสบียงอาหารสำหรับเดือนหนึ่งในหนึ่งปี
1พกษ 4.19 เกเบอร์บุตรชายอุรี ประจำในแผ่นดินกิเลอาด ในแผ่นดินของสิโหนกษัตริย์ของคนอาโมไรต์และของโอกกษัตริย์แห่งเมืองบาชาน ท่านเป็นข้าหลวงคนเดียวที่ประจำในแผ่นดินนั้น
1พกษ 4.27 และบรรดาข้าหลวงเหล่านั้นก็จัดเสบียงอาหารส่งกษัตริย์ซาโลมอน และเพื่อทุกคนที่มายังโต๊ะเสวยของกษัตริย์ซาโลมอน ต่างก็ส่งของตามเดือนของตน เขาทั้งหลายไม่ให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดขาดไปเลย
1พกษ 4.28 ทั้งข้าวบาร์เลย์และฟางข้าวสำหรับม้าและม้าอาชาไนย เขานำมายังสถานที่ของข้าหลวงเหล่านั้นตามที่ได้มีรับสั่งแก่ทุกคน

ข้าหลวงภาค ( 4 )
ดนล 3.2 แล้วกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์รับสั่งให้ประชุมอุปราช ข้าหลวงภาค ผู้ว่าราชการเมือง ผู้พิพากษา นายคลัง มนตรี ตุลาการ และบรรดาเจ้าหน้าที่ทั้งหลายของหัวเมือง ให้เข้ามาในงานฉลองปฏิมากรซึ่งกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้ทรงตั้งขึ้น
ดนล 3.3 แล้วอุปราช ข้าหลวงภาค ผู้ว่าราชการเมือง ผู้พิพากษา นายคลัง มนตรี ตุลาการ และบรรดาเจ้าหน้าที่ทั้งหลายของหัวเมืองได้เข้ามาประชุมเพื่องานฉลองปฏิมากร ซึ่งกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้ทรงตั้งขึ้น และเขาทั้งหลายก็มายืนอยู่หน้าปฏิมากรซึ่งกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้ทรงตั้งขึ้น
ดนล 3.27 ฝ่ายอุปราช ข้าหลวงภาค ผู้ว่าราชการเมือง และองคมนตรีของกษัตริย์ก็ห้อมล้อมเข้ามา เห็นว่าไฟไม่มีอำนาจอะไรเหนือร่างกายของคนเหล่านี้ ผมที่ศีรษะของเขาก็ไม่งอ เสื้อก็มิได้เป็นอันตราย ไม่มีกลิ่นไฟที่ตัวเขาทั้งหลายเลย
ดนล 6.7 บรรดาอภิรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักร ทั้งข้าหลวงภาค และอุปราช มนตรีและผู้ว่าราชการเมืองทั้งหลายทั้งสิ้นได้ตกลงกันว่า กษัตริย์สมควรจะได้ทรงตรากฎหมายและออกพระราชกฤษฎีกาว่า ในสามสิบวันนี้ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดทูลขอต่อพระเจ้าหรือมนุษย์นอกเหนือพระองค์ โอ ข้าแต่กษัตริย์ ก็ให้โยนผู้นั้นลงในถ้ำสิงโตเสีย

ขาอ่อน ( 3 )
ปฐก 24.2 อับราฮัมพูดกับคนใช้ของท่านที่มีอาวุโสที่สุดในบ้าน ผู้ดูแลทรัพย์สมบัติทุกอย่างของท่านว่า “เอามือเจ้าวางไว้ใต้ขาอ่อนของเรา
ปฐก 24.9 คนใช้จึงเอามือของเขาวางใต้ขาอ่อนของอับราฮัมนายของตน และปฏิญาณต่อท่านตามเรื่องนี้
ปฐก 47.29 เวลาที่อิสราเอลจะสิ้นชีพก็ใกล้เข้ามาแล้ว ท่านจึงเรียกโยเซฟบุตรชายท่านมาสั่งว่า “ถ้าเดี๋ยวนี้เราได้รับความกรุณาในสายตาของเจ้า เราขอร้องให้เจ้าเอามือของเจ้าวางไว้ใต้ขาอ่อนของเรา และปฏิบัติต่อเราด้วยความเมตตากรุณาและจริงใจ ขอเจ้าโปรดอย่าฝังศพเราไว้ในอียิปต์เลย

ขิดโรน ( 12 )
2ซมอ 15.23 เมื่อพลทั้งหมดเดินผ่านไปเสีย ชาวเมืองนั้นทั้งสิ้นก็ร้องไห้เสียงดัง กษัตริย์ก็เสด็จข้ามลำธารขิดโรน และพลทั้งหมดก็ผ่านเข้าทางไปถิ่นทุรกันดาร
1พกษ 2.37 เพราะในวันที่ท่านออกไป และข้ามลำธารขิดโรนนั้น ท่านจงรู้เป็นแน่เถิดว่า ท่านจะต้องตายแน่ แล้วโลหิตของเจ้าจะต้องตกบนศีรษะของเจ้าเอง”
1พกษ 15.13 และพระองค์ทรงถอดมาอาคาห์พระอัยกีเสียจากตำแหน่งพระราชชนนี เพราะพระนางมีรูปเคารพน่าเกลียดน่าชังสร้างไว้ในเสารูปเคารพ และอาสาทรงฟันรูปเคารพของพระนางลง และทรงเผาเสียที่ลำธารขิดโรน
2พกษ 23.4 และกษัตริย์ทรงบัญชาฮิลคียาห์มหาปุโรหิต และพวกปุโรหิตรอง และผู้รักษาธรณีประตู ให้นำเครื่องใช้ทั้งสิ้นที่ทำขึ้นสำหรับพระบาอัล สำหรับเสารูปเคารพ และสำหรับบรรดาบริวารของฟ้าสวรรค์ออกมาจากพระวิหารของพระเยโฮวาห์ พระองค์ทรงเผาเสียที่ภายนอกกรุงเยรูซาเล็มในทุ่งนาแห่งขิดโรน และขนมูลเถ้าของมันไปยังเบธเอล
2พกษ 23.6 และพระองค์ทรงนำเสารูปเคารพออกมาจากพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ ภายนอกเยรูซาเล็มถึงลำธารขิดโรน และเผาเสียที่ลำธารขิดโรน และทรงทุบให้เป็นผงคลี และเหวี่ยงผงคลีนั้นลงบนหลุมศพของคนสามัญ
2พกษ 23.12 และแท่นบนหลังคาห้องชั้นบนของอาหัส ซึ่งบรรดากษัตริย์ของยูดาห์ได้สร้างไว้ และแท่นบูชาซึ่งมนัสเสห์ได้สร้างไว้ในลานทั้งสองของพระนิเวศแห่งพระเยโฮวาห์ กษัตริย์ทรงดึงลงมาให้หักเสียที่นั่น และทรงเหวี่ยงผงคลีของมันลงไปในลำธารขิดโรน
2พศด 15.16 แม้ว่ามาอาคาห์พระมารดาของกษัตริย์อาสา พระองค์ก็ทรงถอดเสียจากเป็นพระราชชนนี เพราะพระนางได้กระทำรูปเคารพอันน่าเกลียดน่าชังในเสารูปเคารพ อาสาทรงโค่นรูปเคารพของพระนางลง และบดและเผาเสียที่ลำธารขิดโรน
2พศด 29.16 ปุโรหิตได้เข้าไปในส่วนข้างในของพระนิเวศของพระเยโฮวาห์เพื่อชำระให้บริสุทธิ์ และเขานำสิ่งสกปรกที่เขาพบในพระวิหารของพระเยโฮวาห์ออกมาที่ลานพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และคนเลวีก็ขนเอาของนั้นออกไปยังลำธารขิดโรน
2พศด 30.14 พวกเขาลุกขึ้นและได้กำจัดแท่นบูชาที่อยู่ในเยรูซาเล็มและแท่นสำหรับเผาเครื่องหอมทั้งปวงนั้น เขาขนไปทิ้งเสียในลำธารขิดโรน
ยรม 31.40 หุบเขาแห่งซากศพและขี้เถ้าทั้งสิ้นนั้น และทุ่งนาทั้งหมดไกลไปจนถึงลำธารขิดโรนจนถึงมุมประตูม้าไปทางตะวันออก จะเป็นที่บริสุทธิ์แด่พระเยโฮวาห์ จะไม่เป็นที่ถอนรากหรือคว่ำต่อไปอีกเป็นนิตย์”
ยน 18.1 เมื่อพระเยซูตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ได้เสด็จออกไปกับเหล่าสาวกของพระองค์ข้ามลำธารขิดโรนไปยังสวนแห่งหนึ่ง พระองค์เสด็จเข้าไปในสวนนั้นกับเหล่าสาวก

ขิบซาอิม ( 1 )
ยชว 21.22 เมืองขิบซาอิมพร้อมทุ่งหญ้า เมืองเบธโฮโรนพร้อมทุ่งหญ้า รวมเป็นสี่หัวเมือง

ขิบโรทหัทธาอาวาห์ ( 5 )
กดว 11.34 เขาจึงเรียกชื่อตำบลนั้นว่า ขิบโรทหัทธาอาวาห์ เพราะที่นั่นเขาฝังศพคนทั้งปวงที่โลภมาก
กดว 11.35 ประชาชนได้ยกเดินจากขิบโรทหัทธาอาวาห์ถึงฮาเซโรทและยับยั้งที่ฮาเซโรท
กดว 33.16 และเขายกเดินจากถิ่นทุรกันดารซีนายมาตั้งค่ายที่ขิบโรทหัทธาอาวาห์
กดว 33.17 และเขาออกเดินจากขิบโรทหัทธาอาวาห์มาตั้งค่ายที่ฮาเซโรท
พบญ 9.22 ท่านทั้งหลายได้กระทำให้พระเยโฮวาห์ทรงพิโรธที่ทาเบราห์ และที่มัสสาห์ และที่ขิบโรทหัทธาอาวาห์

ขี่ ( 11 )
พบญ 32.13 พระองค์ทรงโปรดเขาให้ขี่ไปบนโลกส่วนสูง ให้เขากินพืชผลที่ได้จากนา พระองค์ทรงให้เขาดูดน้ำผึ้งจากศิลา และให้ดื่มน้ำมันจากหินแข็งกล้า
2ซมอ 17.23 เมื่ออาหิโธเฟลเห็นว่าเขาไม่กระทำตามคำปรึกษาของท่าน ก็ผูกอานลาขึ้นขี่กลับไปเรือนของตนที่อยู่ในเมืองของตน เมื่อสั่งครอบครัวเสียเสร็จแล้วก็ผูกคอตาย เขาจึงเอาศพฝังไว้ที่อุโมงค์บิดาของท่าน
2ซมอ 19.26 ท่านทูลตอบว่า “โอ ข้าแต่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ มหาดเล็กของข้าพระองค์หลอกลวงข้าพระองค์ เพราะผู้รับใช้ของพระองค์บอกเขาว่า ‘ข้าจะผูกอานลาตัวหนึ่งเพื่อข้าจะได้ขี่ไปตามเสด็จกษัตริย์’ เพราะว่าผู้รับใช้ของพระองค์เป็นง่อย
1พกษ 13.13 เขาจึงพูดกับบุตรชายของเขาว่า “จงผูกอานลาให้พ่อ” เขาทั้งหลายจึงผูกอานลาให้เขา แล้วเขาก็ขึ้นขี่
นหม 2.12 แล้วข้าพเจ้าลุกขึ้นในกลางคืน คือข้าพเจ้ากับบางคนที่อยู่กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ได้บอกผู้หนึ่งผู้ใดถึงเรื่องที่พระเจ้าของข้าพเจ้าดลใจข้าพเจ้าให้กระทำเพื่อเยรูซาเล็ม ข้าพเจ้าไม่มีสัตว์อื่นกับข้าพเจ้านอกจากสัตว์ที่ข้าพเจ้าขี่อยู่
นหม 2.14 แล้วข้าพเจ้าก็ไปต่อยังประตูน้ำพุ ถึงสระหลวง แต่ไม่มีที่ที่จะให้สัตว์ซึ่งข้าพเจ้าขี่อยู่ผ่านไปได้
โยบ 30.22 พระองค์ทรงชูข้าพระองค์ขึ้นเหนือลม และทรงให้ข้าพระองค์ขี่ลม และทรงให้ตัวข้าพระองค์ละลายไป
อสย 58.14 แล้วเจ้าจะได้ความปีติยินดีในพระเยโฮวาห์ และเราจะให้เจ้าขึ้นขี่อยู่บนที่สูงของแผ่นดินโลก และเราจะเลี้ยงเจ้าด้วยมรดกของยาโคบบิดาของเจ้า เพราะโอษฐ์ของพระเยโฮวาห์ได้ตรัสแล้ว”
มก 11.2 สั่งเขาว่า “จงเข้าไปในหมู่บ้านที่อยู่ตรงหน้าท่าน ครั้นเข้าไปแล้วในทันใดนั้นจะพบลูกลาตัวหนึ่งผูกอยู่ ที่ยังไม่มีใครขึ้นขี่เลย จงแก้มันจูงมาเถิด
ลก 19.30 สั่งว่า “จงเข้าไปในหมู่บ้านที่อยู่ตรงหน้า เมื่อเข้าไปแล้วจะพบลูกลาตัวหนึ่งผูกอยู่ ที่ยังไม่เคยมีใครขึ้นขี่เลย จงแก้มันจูงมาเถิด
กจ 23.24 และจงจัดสัตว์ให้เปาโลขี่ จะได้ป้องกันส่งไปยังเฟลิกส์ผู้ว่าราชการเมือง”

ขี้ ( 4 )
2พกษ 18.27 แต่รับชาเคห์พูดกับเขาทั้งหลายว่า “นายของข้าใช้ให้เรามาพูดถ้อยคำเหล่านี้แก่นายของเจ้าและแก่เจ้า และไม่ให้พูดกับคนที่นั่งอยู่บนกำแพง ผู้ที่จะต้องกินขี้และกินเยี่ยวของเขาพร้อมกับเจ้าอย่างนั้นหรือ”
สดด 65.10 พระองค์ทรงรดน้ำตามรอยไถของมันอย่างอุดม และให้ขี้ไถราบลง ให้อ่อนละมุนด้วยฝน และทรงอวยพรผลิตผลของมัน
สภษ 25.4 จงไล่ขี้ออกจากเงินเสีย แล้วจะมีวัสดุสำหรับช่างทำขัน
อสย 36.12 แต่รับชาเคห์ว่า “นายของข้าใช้ให้เรามาพูดถ้อยคำเหล่านี้แก่นายของเจ้าและแก่เจ้า และไม่ให้พูดกับคนที่นั่งอยู่บนกำแพง ผู้ที่จะต้องกินขี้และกินเยี่ยวของเขาพร้อมกับเจ้าอย่างนั้นหรือ”

ขี้กลาก ( 2 )
ลนต 21.20 คนหลังค่อม คนแคระ คนเสียตา คนเป็นขี้กลากหรือหิด หรือคนมีลูกอัณฑะฝ่อ
ลนต 22.22 สัตว์ที่ตาบอดหรือพิการ หรือมีแผล หรือมีสิ่งไหลออกหรือเป็นขี้กลากหรือเป็นหิด เจ้าอย่านำมาถวายแด่พระเยโฮวาห์ หรือนำมาเป็นเครื่องบูชาด้วยไฟที่บนแท่นถวายแด่พระเยโฮวาห์

ขี้โกง ( 1 )
มคา 6.11 เราจะถือพวกที่มีตาชั่งที่ชั่วร้าย และมีถุงเต็มด้วยลูกตุ้มขี้โกงว่า ไม่มีความผิดได้หรือ

ขี่คอ ( 1 )
พคค 5.5 ผู้ข่มขี่ได้ขี่คอพวกข้าพระองค์ไว้ พวกข้าพระองค์ทำงานหนักและไม่มีเวลาพักเลย

ขี้เงิน ( 2 )
อสย 1.22 เงินของเจ้าได้กลายเป็นขี้เงินไปแล้ว น้ำองุ่นของเจ้าปนน้ำแล้ว
ยรม 6.30 จะเรียกเขาทั้งหลายได้ว่า เป็นขี้เงิน เพราะพระเยโฮวาห์ทรงปฏิเสธเขาเสียแล้ว”

ขี้ฉ้อ ( 2 )
ฮชย 12.7 เขาเป็นพ่อค้า ในมือของเขามีตราชูขี้ฉ้อ เขารักที่จะบีบบังคับ
อมส 8.5 โดยกล่าวว่า “เมื่อไรหนอวันขึ้นค่ำจะหมดไป เราจะได้ขายข้าวของเรา เมื่อไรหนอวันสะบาโตจะพ้นไป เราจะได้เอาข้าวสาลีออกขาย เราจะได้กระทำเอฟาห์ให้ย่อมลง และกระทำเชเขลให้โตขึ้น และหลอกค้าด้วยตาชั่งขี้ฉ้อ

ขี้เซา ( 1 )
ยนา 1.6 นายเรือจึงมาหาท่านและกล่าวแก่ท่านว่า “โอ เจ้าคนขี้เซาเอ๋ย อย่างไรกันนี่ ลุกขึ้นซิ จงร้องขอต่อพระเจ้าของเจ้า ชะรอยพระเจ้านั้นจะทรงระลึกถึงพวกเราบ้าง เราจะได้ไม่พินาศ”

ขีด ( 6 )
2พกษ 24.20 เพราะว่าโดยพระพิโรธของพระเยโฮวาห์นั้นเหตุการณ์มาถึงขีด ที่พระองค์ทรงเหวี่ยงเยรูซาเล็มและยูดาห์ไปให้พ้นพระพักตร์พระองค์ และเศเดคียาห์ได้กบฏต่อกษัตริย์แห่งบาบิโลน
โยบ 26.10 พระองค์ทรงขีดปริมณฑลไว้บนพื้นน้ำ ณ เขตระหว่างความสว่างและความมืด
สดด 109.13 ขอให้ทายาทของเขาถูกตัดออก และในคนชั่วอายุต่อมาก็ขอให้ชื่อของเขาถูกขีดฆ่าออกเสีย
อสย 44.13 ช่างไม้ขึงเชือกวัด เขาเอาดินสอขีดไว้ เขาแต่งมันด้วยกบ และขีดไว้ด้วยวงเวียน เขาแต่งรูปนั้นให้เป็นรูปคน ตามความงามของคน ให้อยู่ในเรือน
อสค 21.19 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงขีดทางไว้สองทางให้ดาบแห่งกษัตริย์บาบิโลนเข้ามา ทั้งสองทางให้ออกมาจากแผ่นดินเดียวกัน และจงทำป้ายบอกทาง จงทำไว้ที่หัวถนนที่เข้าไปหากรุง

ขี้เถ้า ( 30 )
ปฐก 18.27 อับราฮัมทูลตอบว่า “ดูเถิด กรุณาเถิด ข้าพระองค์มีเจตนาทูลต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งข้าพระองค์เป็นเพียงผงคลีดินและขี้เถ้า
อพย 9.8 พระเยโฮวาห์จึงตรัสแก่โมเสสและอาโรนว่า “เจ้าจงกำขี้เถ้าจากเตาให้เต็มกำมือแล้วให้โมเสสซัดขึ้นไปในอากาศในสายตาของฟาโรห์
อพย 9.10 เขาทั้งสองจึงนำขี้เถ้าจากเตาไปยืนอยู่ต่อพระพักตร์ฟาโรห์ และโมเสสก็ซัดขี้เถ้าขึ้นไปในท้องฟ้า ขี้เถ้านั้นก็กลายเป็นฝีแตกลามไปทั้งตัวคนและสัตว์
อพย 27.3 เจ้าจงทำหม้อสำหรับใส่ขี้เถ้า พลั่ว ชาม ขอเกี่ยวเนื้อและถาดรองไฟ คือเครื่องใช้สำหรับแท่นทั้งหมด เจ้าจงทำด้วยทองสัมฤทธิ์
กดว 4.13 ให้เอาขี้เถ้าออกจากแท่นบูชา เอาผ้าสีม่วงคลุมแท่นเสีย
กดว 19.9 ให้ชายคนที่สะอาดเก็บขี้เถ้าวัวตัวเมียนั้น นำไปไว้นอกค่ายในที่สะอาด และให้เก็บขี้เถ้านั้นไว้ทำเป็นน้ำแห่งการแยกตั้งไว้สำหรับที่ชุมนุมชนอิสราเอลเพื่อเป็นการชำระล้างบาปออกเสีย
กดว 19.10 และคนที่เก็บขี้เถ้าของวัวตัวเมียต้องซักเสื้อผ้าของตน และเขาจะเป็นมลทินอยู่จนถึงเวลาเย็น จะเป็นอย่างนี้แก่คนอิสราเอล และแก่คนต่างด้าวผู้อาศัยอยู่ท่ามกลางเขา เป็นกฎเกณฑ์ถาวร
กดว 19.17 สำหรับคนที่เป็นมลทินนี้ จงเอาขี้เถ้าจากการเผาวัวตัวเมียในการบูชาไถ่บาป และเอาน้ำที่ไหลเติมเข้าไปปนในภาชนะ
2ซมอ 13.19 ทามาร์ก็เอาขี้เถ้าใส่ที่ศีรษะของเธอ และฉีกเสื้อยาวหลากสีที่เธอสวมอยู่นั้นเสีย เอามือกุมศีรษะเดินพลางร้องครวญไปพลาง
1พกษ 20.38 ผู้พยากรณ์ผู้นั้นจึงจากไป และไปคอยพบกษัตริย์อยู่ที่หนทาง ใส่ขี้เถ้าบนหน้าปลอมตัวเสีย
1พกษ 20.41 แล้วท่านก็รีบเอาขี้เถ้าออกจากหน้าของตน และกษัตริย์แห่งอิสราเอลก็จำท่านได้ว่า เป็นผู้พยากรณ์คนหนึ่ง
อสธ 4.1 เมื่อโมรเดคัยทราบทุกอย่างที่ได้กระทำไปแล้ว โมรเดคัยก็ฉีกเสื้อของตนสวมผ้ากระสอบและใส่ขี้เถ้า และออกไปกลางนคร คร่ำครวญด้วยเสียงดังอย่างขมขื่น
อสธ 4.3 และในทุกมณฑลที่พระบัญชาของกษัตริย์และกฤษฎีกาของพระองค์ไปถึง ก็มีการไว้ทุกข์อย่างใหญ่หลวงท่ามกลางพวกยิว ด้วยการอดอาหาร ร้องไห้และคร่ำครวญ และคนเป็นอันมากนอนในผ้ากระสอบและมีขี้เถ้า
โยบ 13.12 ความระลึกถึงทั้งหลายของท่านเป็นเหมือนอย่างขี้เถ้า ร่างกายของท่านเป็นแต่กายดิน
โยบ 30.19 พระเจ้าทรงเหวี่ยงข้าลงในปลัก และข้าก็กลายเป็นเหมือนผงคลีและขี้เถ้า
โยบ 42.6 ฉะนั้นข้าพระองค์จึงเกลียดตนเอง และกลับใจอยู่ในผงคลีและขี้เถ้า”
สดด 102.9 เพราะข้าพระองค์กินขี้เถ้าต่างอาหาร และเจือน้ำตาเข้ากับเครื่องดื่ม
สดด 147.16 พระองค์ประทานหิมะอย่างปุยขนแกะ พระองค์ทรงหว่านน้ำค้างแข็งขาวอย่างขี้เถ้า
อสย 44.20 เขากินขี้เถ้า ใจที่หลอกลวงนำเขาให้เจิ่น เขาช่วยจิตใจตัวเขาเองให้พ้นหรือพูดว่า “ไม่มีความมุสาอยู่ในมือข้างขวาของข้าหรือ” ก็ไม่ได้
อสย 58.5 อย่างนี้หรือเป็นการอดอาหารที่เราเลือก คือวันที่คนข่มตัว การก้มศีรษะของเขาลงเหมือนอ้อเล็ก และปูผ้ากระสอบและขี้เถ้ารองใต้เขา อย่างนี้หรือเจ้าจะเรียกการอย่างนี้ว่าการอดอาหาร และเป็นวันที่พระเยโฮวาห์โปรดปรานอย่างนั้นหรือ
อสย 61.3 เพื่อจัดให้บรรดาผู้ที่ไว้ทุกข์ในศิโยน เพื่อประทานความสวยงามแทนขี้เถ้าให้เขา น้ำมันแห่งความยินดีแทนการไว้ทุกข์ ผ้าห่มแห่งการสรรเสริญแทนจิตใจที่ท้อถอย เพื่อคนจะเรียกเขาว่าต้นไม้แห่งความชอบธรรม ที่ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงปลูกไว้ เพื่อพระองค์จะทรงได้รับสง่าราศี
ยรม 25.34 ท่านผู้เลี้ยงแกะทั้งหลายเอ๋ย จงคร่ำครวญและร้องเถิด ท่านเจ้าของฝูงแกะ จงกลิ้งเกลือกในขี้เถ้า เพราะวันเวลาของการสังหารเจ้าและที่เจ้าต้องกระจัดกระจายมาถึงแล้ว และเจ้าทั้งหลายจะล้มลงเหมือนภาชนะงาม
ยรม 31.40 หุบเขาแห่งซากศพและขี้เถ้าทั้งสิ้นนั้น และทุ่งนาทั้งหมดไกลไปจนถึงลำธารขิดโรนจนถึงมุมประตูม้าไปทางตะวันออก จะเป็นที่บริสุทธิ์แด่พระเยโฮวาห์ จะไม่เป็นที่ถอนรากหรือคว่ำต่อไปอีกเป็นนิตย์”
พคค 3.16 พระองค์กระทำให้ฟันข้าพเจ้าหักโดยเคี้ยวก้อนกรวด และทรงปกคลุมข้าพเจ้าด้วยขี้เถ้า
มลค 4.3 และเจ้าจะเหยียบย่ำคนชั่ว เพราะว่าเขาจะเป็นเหมือนขี้เถ้าที่ใต้ฝ่าเท้าของเจ้าในวันนั้นเมื่อเราประกอบกิจ พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้แหละ
มธ 11.21 “วิบัติแก่เจ้า เมืองโคราซิน วิบัติแก่เจ้า เมืองเบธไซอิดา เพราะถ้าการอิทธิฤทธิ์ซึ่งได้กระทำท่ามกลางเจ้าได้กระทำในเมืองไทระและเมืองไซดอน คนในเมืองทั้งสองจะได้นุ่งห่มผ้ากระสอบ นั่งบนขี้เถ้า กลับใจเสียใหม่นานมาแล้ว
ลก 10.13 วิบัติแก่เจ้า เมืองโคราซิน วิบัติแก่เจ้า เมืองเบธไซดา เพราะถ้าการมหัศจรรย์ซึ่งได้กระทำท่ามกลางเจ้าได้กระทำในเมืองไทระและเมืองไซดอน คนในเมืองทั้งสองจะได้นุ่งห่มผ้ากระสอบ นั่งบนขี้เถ้า กลับใจเสียใหม่นานมาแล้ว

ขี้ทะเลาะ ( 4 )
สภษ 21.9 อยู่ที่มุมบนหลังคาเรือนดีกว่าอยู่ในเรือนกว้างขวางร่วมกับหญิงขี้ทะเลาะ
สภษ 21.19 อยู่ในแผ่นดินทุรกันดารดีกว่าอยู่กับผู้หญิงที่ขี้ทะเลาะและจู้จี้ขี้บ่น
สภษ 25.24 อยู่ที่มุมบนหลังคาเรือนดีกว่าอยู่ในเรือนกว้างขวางร่วมกับหญิงขี้ทะเลาะ
สภษ 27.15 ฝนย้อยหยดไม่หยุดในวันที่ฝนตกฉันใด ผู้หญิงที่ขี้ทะเลาะก็เหมือนกันฉันนั้น

ขี้บ่น ( 1 )
สภษ 21.19 อยู่ในแผ่นดินทุรกันดารดีกว่าอยู่กับผู้หญิงที่ขี้ทะเลาะและจู้จี้ขี้บ่น

ขี้ปด ( 1 )
อสย 30.9 เพราะว่าเขาทั้งหลายเป็นชนชาติดื้อดึง เป็นลูกขี้ปด เป็นหลานที่ไม่ยอมฟังพระราชบัญญัติของพระเยโฮวาห์

ขี้ปาก ( 1 )
สดด 69.11 ข้าพระองค์ใช้ผ้ากระสอบเป็นเครื่องนุ่งห่ม ข้าพระองค์กลายเป็นขี้ปากของเขา

ขี้ผึ้ง ( 5 )
สดด 22.14 ข้าพระองค์ถูกเทออกเหมือนอย่างน้ำ กระดูกทั้งสิ้นของข้าพระองค์หลุดลุ่ยไป จิตใจก็เหมือนขี้ผึ้ง ละลายภายในอกของข้าพระองค์
สดด 68.2 ควันถูกขับไปฉันใด ก็ขอทรงไล่เขาไปฉันนั้น ขี้ผึ้งละลายต่อหน้าไฟฉันใด ก็ขอให้คนชั่วพินาศต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าฉันนั้น
สดด 97.5 ภูเขาละลายอย่างขี้ผึ้งต่อเบื้องพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ต่อเบื้องพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งแผ่นดินโลกทั้งสิ้น
ปญจ 10.1 แมลงวันตายย่อมทำให้ขี้ผึ้งของคนปรุงยาบูดเหม็นไป ดังนั้นความโง่เขลานิดหน่อยก็ทำให้เขาเสียชื่อด้วยในเรื่องสติปัญญาและเกียรติยศ
มคา 1.4 ภูเขาจะละลายไปภายใต้พระองค์ และหุบเขาจะถูกผ่าเหมือนขี้ผึ้งหน้าไฟ เหมือนน้ำที่เทลงมาตามที่ชัน

ขี่ม้า ( 18 )
2พกษ 9.25 เยฮูตรัสกับบิดคาร์นายทหารของพระองค์ว่า “จงยกศพเขาขึ้นและโยนทิ้งลงไปในที่ดินแปลงของนาโบทชาวยิสเรเอล จำไว้เถอะ เมื่อฉันและท่านขี่ม้าเคียงกันมาตามอาหับบิดาของเขาไป พระเยโฮวาห์ทรงกล่าวโทษเขาดังนี้
2พกษ 18.23 ฉะนั้นบัดนี้ มาเถิด มาทำสัญญากันกับกษัตริย์แห่งอัสซีเรียนายของข้า เราจะให้ม้าสองพันตัวแก่เจ้า ถ้าฝ่ายเจ้าหาคนที่ขี่ม้าเหล่านั้นได้
ปญจ 10.7 ข้าพเจ้าเห็นทาสขี่ม้า และเจ้านายเดินที่พื้นแผ่นดินอย่างทาส
อสย 30.16 แต่เจ้าทั้งหลายว่า “อย่าเลย เราจะขี่ม้าหนีไป” เพราะฉะนั้นเจ้าก็จะหนีไป และ “เราจะขี่ม้าเร็วจัด” เพราะฉะนั้นผู้ไล่ตามเจ้าทั้งหลายจะเร็วจัด
อสย 36.8 ฉะนั้นบัดนี้ มาเถิด มาทำสัญญากันกับกษัตริย์แห่งอัสซีเรียนายของข้า เราจะให้ม้าสองพันตัวแก่เจ้า ถ้าฝ่ายเจ้าหาคนที่ขี่ม้าเหล่านั้นได้
ยรม 6.23 เขาทั้งหลายจะจับคันธนูและหอก เขาทั้งหลายดุร้ายและไม่มีความสงสาร เสียงของเขาก็เหมือนเสียงทะเลกำเริบ เขาทั้งหลายขี่ม้า และจัดเตรียมกระบวนเหมือนชายที่จะเข้าสงคราม โอ บุตรสาวศิโยนเอ๋ย เขาทั้งหลายมาต่อสู้เจ้า”
ยรม 50.42 เขาทั้งหลายจะจับคันธนูและหอก เขาทั้งหลายดุร้าย และจะไม่มีความกรุณา เสียงของเขาทั้งหลายจะเหมือนเสียงทะเลคะนอง เขาทั้งหลายจะขี่ม้า เรียงรายกันเป็นคนเข้าสู้สงครามกับเจ้านะ โอ บุตรสาวแห่งบาบิโลนเอ๋ย
อสค 23.6 ซึ่งแต่งกายสีม่วง และเป็นเจ้าเมืองและผู้บังคับบัญชา ทุกคนเป็นชายหนุ่มที่พึงปรารถนา พลม้าขี่ม้า
อสค 23.12 เธอลุ่มหลงอัสซีเรียเพื่อนบ้านของเธอ เจ้าเมืองและผู้บังคับบัญชา ซึ่งแต่งเกราะเต็ม พลม้าขี่ม้า ทุกคนเป็นชายหนุ่มที่พึงปรารถนา
อสค 23.23 มีคนบาบิโลน และคนเคลเดียทั้งสิ้น เปโขดและโชอา และโคอา ทั้งคนอัสซีเรียทั้งสิ้นด้วย เป็นคนหนุ่มที่พึงปรารถนา เจ้าเมือง ผู้บังคับบัญชาทั้งสิ้น เป็นนายทหารและผู้มีชื่อเสียง ทุกคนขี่ม้า
อสค 38.15 เจ้าจะมาจากที่ของเจ้าซึ่งอยู่ส่วนเหนือที่สุด ทั้งเจ้าและชนชาติทั้งหลายเป็นอันมากที่อยู่กับเจ้า ทุกคนขี่ม้าเป็นกองทัพมหึมา เป็นกองทัพทรงกำลังยิ่งนัก
ฮชย 14.3 อัสซูรจะไม่ช่วยข้าพระองค์ทั้งหลาย ข้าพระองค์ทั้งหมดจะไม่ขี่ม้า ข้าพระองค์ทั้งหลายจะไม่กล่าวต่อไปว่า ‘พระของเราทั้งหลาย’ แก่สิ่งที่มือของข้าพระองค์ได้สร้างขึ้น เพราะว่าในพระองค์ลูกกำพร้าพ่อพบพระกรุณาคุณ”
อมส 2.15 ผู้ที่ถือคันธนูจะไม่ยืนยงอยู่ได้ ผู้มีฝีเท้าเร็วก็ช่วยตัวเองให้รอดพ้นไม่ได้ หรือผู้ที่ขี่ม้าก็ช่วยตัวเองให้รอดพ้นไม่ได้เหมือนกัน
ศคย 1.8 “ณ กลางคืนวันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้มองดู และดูเถิด มีชายคนหนึ่งขี่ม้าสีแดง ยืนอยู่ท่ามกลางต้นน้ำมันเขียวที่ลานหุบเขา ณ เบื้องหลังท่านผู้นั้นมีม้าสีแดง สีแสด และสีขาว
วว 6.2 ข้าพเจ้าก็แลเห็น และดูเถิด มีม้าขาวตัวหนึ่ง และผู้ที่ขี่ม้านั้นถือธนู และได้รับมงกุฎ และผู้นั้นก็ออกไปอย่างมีชัย และเพื่อได้ชัยชนะ
วว 6.4 และมีม้าอีกตัวหนึ่งออกไปเป็นม้าสีแดงสด ผู้ที่ขี่ม้าตัวนี้ได้รับอนุญาตให้นำสันติสุขไปจากแผ่นดินโลก เพื่อให้คนทั้งปวงรบราฆ่าฟันกัน และผู้นี้ได้รับดาบใหญ่เล่มหนึ่ง
วว 6.5 เมื่อพระองค์ทรงแกะตราดวงที่สามนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้ยินสัตว์ตัวที่สามร้องว่า “มาดูเถิด” แล้วข้าพเจ้าก็แลเห็น และดูเถิด มีม้าดำตัวหนึ่ง และผู้ที่ขี่ม้านั้นถือตราชู

ขี้เมา ( 3 )
พบญ 21.20 และเขาจะพูดกับพวกผู้ใหญ่ของเมืองนั้นว่า ‘บุตรชายของเราคนนี้เป็นคนดื้อดึงและไม่อยู่ในโอวาท ไม่เชื่อฟังเสียงเรา เป็นคนตะกละและขี้เมา’
ยอล 1.5 เจ้าพวกขี้เมาเอ๋ย จงตื่นขึ้นและร้องไห้เถิด นักดื่มเหล้าองุ่นทุกคนเอ๋ย จงโอดครวญเถิด เพราะว่าน้ำองุ่นใหม่ถูกตัดขาดจากปากของเจ้าทั้งหลายแล้ว
มธ 24.49 แล้วจะตั้งต้นโบยตีเพื่อนผู้รับใช้และกินดื่มอยู่กับพวกขี้เมา

ขี้แร่ ( 2 )
สดด 119.119 พระองค์ทรงทิ้งบรรดาคนชั่วของแผ่นดินโลกเหมือนทิ้งขี้แร่ เพราะฉะนั้นข้าพระองค์รักบรรดาพระโอวาทของพระองค์
อสย 1.25 เราจะหันมือของเรามาสู้เจ้าและจะถลุงไล่ขี้แร่ของเจ้าออกเสียอย่างกับล้างด้วยน้ำด่าง และเอาของเจือปนของเจ้าออกให้หมด

ขี่ล่อ ( 2 )
1พกษ 1.33 และกษัตริย์ตรัสสั่งเขาทั้งหลายว่า “จงพาข้าราชการของเจ้านายของเจ้าไปจัดให้ซาโลมอนโอรสของเราขึ้นขี่ล่อของเรา และนำเขาลงไปที่กีโฮน
อสธ 8.14 คนเดินข่าวซึ่งขี่ล่อกับอูฐจึงรีบเร่งขับไปตามพระบัญชาของกษัตริย์ และกฤษฎีกานั้นออกในสุสาปราสาท

ขี่ลา ( 7 )
อพย 4.20 โมเสสจึงให้ภรรยาและบุตรชายของตนขี่ลากลับไปยังแผ่นดินอียิปต์ ส่วนโมเสสก็ถือไม้เท้าของพระเจ้าในมือของท่านไปด้วย
กดว 22.22 แต่พระเจ้าทรงกริ้วต่อบาลาอัมเพราะเขาไป ดังนั้นทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์มายืนเป็นผู้สกัดทางบาลาอัมไว้ ฝ่ายบาลาอัมขี่ลามีคนใช้สองคนไปกับเขา
วนฉ 5.10 บรรดาท่านผู้ที่ขี่ลาเผือก จงบอกกล่าวให้ทราบเถิด ทั้งท่านผู้ที่นั่งพิพากษาและท่านที่สัญจรไปมา
วนฉ 12.14 ท่านมีบุตรชายสี่สิบคน และหลานชายสามสิบคน ขี่ลาเจ็ดสิบตัว ท่านวินิจฉัยอิสราเอลอยู่แปดปี
1ซมอ 25.20 เมื่อนางขี่ลาลงมา มีสันเขาบังฝ่ายนางอยู่ ดูเถิด ดาวิดกับคนของท่านก็ลงมาทางนาง และนางก็พบเขาทั้งหลายเข้า
1ซมอ 25.42 อาบีกายิลก็รีบลุกขึ้นขี่ลาตัวหนึ่งพร้อมกับสาวใช้ปรนนิบัติเธออีกห้าคน นางตามผู้สื่อสารของดาวิดไป และได้เป็นภรรยาของดาวิด
1พกษ 2.40 ชิเมอีก็ลุกขึ้นผูกอานขี่ลาไปเฝ้าอาคีชที่เมืองกัทเพื่อเสาะหาทาสของตน ชิเมอีได้ไปนำทาสของตนมาจากเมืองกัท

ขี่ลูกลา ( 1 )
วนฉ 10.4 ท่านมีบุตรชายสามสิบคน ขี่ลูกลาสามสิบตัว และมีเมืองอยู่สามสิบหัวเมืองเรียกว่าเมืองฮาโวทยาอีร์จนทุกวันนี้ ซึ่งอยู่ในแผ่นดินกิเลอาด

ขี้โลหะ ( 3 )
อสค 22.18 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย สำหรับเราวงศ์วานอิสราเอลกลายเป็นขี้โลหะ เขาทั้งสิ้นเป็นทองสัมฤทธิ์ ดีบุก เหล็ก และตะกั่วในเตาหลอม เขาเป็นขี้โลหะเงินไปหมด
อสค 22.19 เพราะฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เพราะว่าเจ้าเป็นขี้โลหะไปเสียทั้งสิ้นแล้ว เพราะฉะนั้น ดูเถิด เราจะรวบรวมเจ้าไว้ท่ามกลางเยรูซาเล็ม

ขี่สัตว์ ( 1 )
ลก 10.34 เข้าไปหาเขาเอาผ้าพันบาดแผลให้ พลางเอาน้ำมันกับน้ำองุ่นเทใส่บาดแผลนั้น แล้วให้เขาขึ้นขี่สัตว์ของตนเองพามาถึงโรงแรมแห่งหนึ่ง และรักษาพยาบาลเขาไว้

ขี่อูฐ ( 2 )
ปฐก 31.17 ดังนั้น ยาโคบจึงลุกขึ้นให้บุตรภรรยาขึ้นขี่อูฐ
1ซมอ 30.17 และดาวิดก็ฆ่าฟันเขาตั้งแต่โพล้เพล้จนถึงเวลาเย็นของวันรุ่งขึ้น ไม่มีชายคนใดหนีรอดไปได้สักคนเดียว เว้นแต่ชายสี่ร้อยคนซึ่งขี่อูฐหนีไป

ขึง ( 22 )
วนฉ 4.21 แต่ยาเอลภรรยาของเฮเบอร์หยิบหลักขึงเต็นท์ ถือค้อนเดินย่องเข้ามา ตอกหลักเข้าที่ขมับของสิเสราทะลุติดดิน ขณะเมื่อสิเสรากำลังหลับสนิทอยู่เพราะความเหน็ดเหนื่อย แล้วสิเสราก็สิ้นชีวิต
2พกษ 21.13 และเราจะเอาเชือกอย่างที่วัดกรุงสะมาเรียขึงเหนือกรุงเยรูซาเล็ม และใช้ลูกดิ่งอย่างที่วัดราชวงศ์อาหับ และเราจะล้างเยรูซาเล็มอย่างเขาล้างชาม ล้างและพลิกคว่ำ
โยบ 9.8 ผู้ทรงขึงฟ้าสวรรค์ออกแต่พระองค์เดียว และทรงย่ำคลื่นของทะเล
โยบ 38.5 ผู้ใดได้กำหนดขนาดให้โลก แน่นอนละ เจ้าต้องรู้ซี หรือใครขึงเชือกวัดบนนั้น
สดด 104.2 ผู้ทรงคลุมพระองค์ด้วยแสงสว่างดุจดังฉลองพระองค์ ผู้ทรงขึงฟ้าสวรรค์ออกดังขึงม่าน
สภษ 1.17 เพราะที่จะขึงข่ายไว้ให้นกเห็น ก็ไร้ผล
อสย 34.11 แต่นกกระทุงและอีกาบ้านจะยึดมันเป็นกรรมสิทธิ์ นกทึดทือและกาจะอาศัยอยู่ที่นั่น พระองค์จะทรงขึงสายแห่งความยุ่งเหยิงเหนือมัน และปล่อยลูกดิ่งแห่งความว่างเปล่า
อสย 40.22 คือพระองค์ผู้ประทับเหนือปริมณฑลของแผ่นดินโลก และชาวแผ่นดินโลกก็เหมือนอย่างตั๊กแตน ผู้ทรงขึงฟ้าสวรรค์เหมือนขึงม่าน และกางออกเหมือนเต็นท์ที่อาศัย
อสย 42.5 พระเจ้า คือ พระเยโฮวาห์ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และทรงขึงมัน ผู้ทรงแผ่แผ่นดินโลกและสิ่งที่บังเกิดจากโลกออกไป ผู้ทรงประทานลมหายใจแก่ประชาชนที่บนโลก และจิตวิญญาณแก่ผู้ดำเนินอยู่บนโลก ตรัสดังนี้ว่า
อสย 44.13 ช่างไม้ขึงเชือกวัด เขาเอาดินสอขีดไว้ เขาแต่งมันด้วยกบ และขีดไว้ด้วยวงเวียน เขาแต่งรูปนั้นให้เป็นรูปคน ตามความงามของคน ให้อยู่ในเรือน
อสย 44.24 พระเยโฮวาห์ผู้ไถ่ของเจ้า ผู้ปั้นเจ้าตั้งแต่ในครรภ์ ตรัสดังนี้ว่า “เราคือพระเยโฮวาห์ ผู้ทรงสร้างสิ่งสารพัด ผู้ทรงขึงฟ้าสวรรค์แต่ลำพัง ผู้ทรงกางแผ่นดินโลกด้วยตัวเราเอง
อสย 45.12 เราสร้างแผ่นดินโลก และเนรมิตมนุษย์บนนั้น เราเอง มือของเราขึงฟ้าสวรรค์ และเราบัญชาบริวารทั้งสิ้นของมัน
อสย 51.13 และที่ได้ลืมพระเยโฮวาห์ผู้สร้างของตนเสีย ผู้ทรงขึงฟ้าสวรรค์และวางรากฐานของแผ่นดินโลก และที่กลัวอยู่เรื่อยไปตลอดวัน เพราะความเกรี้ยวกราดของผู้บีบบังคับ เมื่อเขาตั้งตัวเขาที่จะทำลาย และความเกรี้ยวกราดของผู้บีบบังคับอยู่ที่ไหนเล่า
อสย 54.2 “จงขยายสถานที่แห่งเต็นท์ของเจ้า และให้เขาขึงม่านของที่อาศัยของเจ้าออก อย่าหน่วงไว้ ต่อเชือกของเจ้าให้ยาว และเสริมกำลังหลักหมุดของเจ้า
ยรม 10.12 พระองค์ทรงสร้างโลกด้วยฤทธิ์เดชของพระองค์ พระองค์ทรงสถาปนาพิภพไว้ด้วยพระสติปัญญาของพระองค์ และทรงขึงฟ้าสวรรค์ออกด้วยความเข้าใจของพระองค์
พคค 2.8 พระเยโฮวาห์ได้ทรงตั้งพระทัยไว้แล้วว่าจะทำลายกำแพงของธิดาแห่งศิโยนเสีย พระองค์ได้ทรงขึงเส้นวัดไว้แล้ว พระองค์มิได้ทรงหดพระหัตถ์เลิกการทำลาย เหตุฉะนี้พระองค์ได้ทรงกระทำให้เนินดินและกำแพงนั้นคร่ำครวญ ให้ทรุดโทรมร่วงโรยไปด้วยกัน
อมส 7.17 เพราะฉะนั้น พระเยโฮวาห์จึงตรัสดังนี้ว่า ‘ภรรยาของท่านจะเป็นหญิงโสเภณีที่ในเมือง บุตรชายหญิงของท่านจะล้มลงตายด้วยดาบ และที่ดินของท่านเขาจะขึงเส้นแบ่งออก ตัวท่านเองจะสิ้นชีวิตในแผ่นดินที่ไม่สะอาด และอิสราเอลจะต้องตกไปเป็นเชลยห่างจากแผ่นดินของตนเป็นแน่’”
ศคย 1.16 เพราะฉะนั้นพระเยโฮวาห์จึงตรัสว่า เรากลับมายังกรุงเยรูซาเล็มด้วยความกรุณา พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า จะต้องสร้างนิเวศของเราขึ้นไว้ในนั้น และขึงเชือกวัดไว้เหนือกรุงเยรูซาเล็ม
ศคย 10.4 ศิลามุมเอกออกมาจากเขา หมุดขึงเต็นท์ออกมาจากเขา คันธนูรบศึกออกมาจากเขา และผู้บีบบังคับทุกคนออกมาจากเขาด้วยกัน
ศคย 12.1 ภาระแห่งพระวจนะของพระเยโฮวาห์เกี่ยวด้วยเรื่องอิสราเอล พระเยโฮวาห์ผู้ทรงขึงท้องฟ้าออก และวางรากพิภพ และปั้นจิตวิญญาณให้มีอยู่ในมนุษย์ ตรัสว่า

ขึ้งโกรธ ( 1 )
พซม 1.6 อย่ามองค่อนขอดดิฉัน เพราะดิฉันผิวคล้ำ เนื่องด้วยแสงแดดแผดเผาดิฉัน พวกบุตรแห่งมารดาของดิฉันได้ขึ้งโกรธดิฉัน เขาทั้งหลายใช้ดิฉันให้เป็นคนดูแลสวนองุ่น แต่สวนองุ่นของดิฉันเอง ดิฉันไม่ได้ดูแล

ขึงขัง ( 1 )
อสค 3.8 ดูเถิด เราได้กระทำให้หน้าของเจ้าขมึงทึงต่อหน้าของเขา และให้หน้าผากของเจ้าขึงขังต่อหน้าผากของเขา

ขึ้น ( 1458 )
ปฐก 1.9; ปฐก 1.22; ปฐก 1.27; ปฐก 1.28; ปฐก 2.1; ปฐก 2.5; ปฐก 2.9; ปฐก 3.5; ปฐก 3.7; ปฐก 3.16; ปฐก 5.2; ปฐก 6.1; ปฐก 7.17; ปฐก 8.17; ปฐก 9.1; ปฐก 9.7; ปฐก 11.4; ปฐก 11.5; ปฐก 13.10; ปฐก 13.14; ปฐก 14.4; ปฐก 16.10; ปฐก 17.2; ปฐก 17.6; ปฐก 17.20; ปฐก 18.2; ปฐก 19.28; ปฐก 21.8; ปฐก 21.20; ปฐก 22.4; ปฐก 22.13; ปฐก 22.17; ปฐก 23.3; ปฐก 24.35; ปฐก 24.61; ปฐก 24.63; ปฐก 24.64; ปฐก 25.27; ปฐก 26.4; ปฐก 26.22; ปฐก 26.24; ปฐก 27.40; ปฐก 28.12; ปฐก 30.30; ปฐก 30.43; ปฐก 31.10; ปฐก 31.12; ปฐก 31.17; ปฐก 32.17; ปฐก 32.31; ปฐก 33.1; ปฐก 33.5; ปฐก 35.11; ปฐก 36.33; ปฐก 36.34; ปฐก 36.35; ปฐก 36.36; ปฐก 36.37; ปฐก 36.38; ปฐก 36.39; ปฐก 37.5; ปฐก 37.8; ปฐก 37.25; ปฐก 37.28; ปฐก 38.12; ปฐก 38.14; ปฐก 39.3; ปฐก 39.5; ปฐก 39.15; ปฐก 39.18; ปฐก 40.13; ปฐก 40.19; ปฐก 41.52; ปฐก 44.13; ปฐก 44.29; ปฐก 44.34; ปฐก 45.9; ปฐก 45.27; ปฐก 46.5; ปฐก 47.27; ปฐก 48.16; ปฐก 49.24; ปฐก 49.33; ปฐก 50.20; อพย 1.7; อพย 1.8; อพย 1.10; อพย 1.12; อพย 1.20; อพย 2.10; อพย 2.11; อพย 7.3; อพย 7.4; อพย 7.5; อพย 7.20; อพย 8.23; อพย 9.3; อพย 9.22; อพย 9.23; อพย 9.32; อพย 9.33; อพย 10.5; อพย 10.21; อพย 10.22; อพย 11.9; อพย 14.10; อพย 15.8; อพย 15.16; อพย 17.11; อพย 17.12; อพย 19.4; อพย 19.18; อพย 19.19; อพย 19.24; อพย 20.18; อพย 21.19; อพย 22.3; อพย 22.24; อพย 23.5; อพย 23.27; อพย 23.29; อพย 23.30; อพย 24.4; อพย 24.12; อพย 26.15; อพย 30.12; อพย 32.8; อพย 32.10; อพย 32.13; อพย 32.19; อพย 32.22; อพย 32.23; อพย 40.18; อพย 40.36; ลนต 4.14; ลนต 9.22; ลนต 13.2; ลนต 13.4; ลนต 13.19; ลนต 13.23; ลนต 13.24; ลนต 13.26; ลนต 13.28; ลนต 13.38; ลนต 13.39; ลนต 13.42; ลนต 13.57; ลนต 14.43; ลนต 16.13; ลนต 19.16; ลนต 19.25; ลนต 25.16; ลนต 25.47; ลนต 26.9; ลนต 26.18; กดว 1.51; กดว 2.3; กดว 3.38; กดว 9.3; กดว 9.5; กดว 9.11; กดว 9.17; กดว 9.21; กดว 9.22; กดว 10.11; กดว 14.4; กดว 16.3; กดว 16.13; กดว 16.46; กดว 16.47; กดว 20.11; กดว 21.27; กดว 23.14; กดว 23.24; กดว 27.14; กดว 32.13; กดว 32.20; กดว 32.38; กดว 33.38; กดว 34.15; พบญ 1.10; พบญ 1.11; พบญ 1.24; พบญ 3.1; พบญ 4.19; พบญ 4.41; พบญ 4.47; พบญ 7.13; พบญ 7.22; พบญ 8.1; พบญ 8.13; พบญ 8.14; พบญ 9.21; พบญ 10.1; พบญ 10.5; พบญ 13.1; พบญ 13.17; พบญ 17.20; พบญ 22.4; พบญ 22.8; พบญ 22.24; พบญ 27.2; พบญ 28.4; พบญ 28.13; พบญ 28.18; พบญ 28.20; พบญ 28.22; พบญ 28.63; พบญ 29.20; พบญ 29.23; พบญ 29.27; พบญ 30.1; พบญ 30.5; พบญ 30.16; พบญ 32.15; พบญ 32.22; พบญ 32.40; ยชว 1.15; ยชว 2.6; ยชว 2.8; ยชว 2.19; ยชว 3.15; ยชว 3.16; ยชว 4.18; ยชว 4.19; ยชว 5.13; ยชว 6.5; ยชว 6.6; ยชว 6.12; ยชว 6.16; ยชว 6.26; ยชว 7.1; ยชว 8.21; ยชว 9.5; ยชว 9.12; ยชว 10.36; ยชว 12.1; ยชว 13.5; ยชว 13.21; ยชว 17.13; ยชว 18.1; ยชว 18.4; ยชว 18.8; ยชว 19.12; ยชว 19.34; ยชว 23.16; วนฉ 1.26; วนฉ 1.28; วนฉ 2.14; วนฉ 2.18; วนฉ 2.20; วนฉ 3.8; วนฉ 3.27; วนฉ 4.5; วนฉ 4.24; วนฉ 5.31; วนฉ 6.28; วนฉ 6.39; วนฉ 7.6; วนฉ 7.11; วนฉ 7.13; วนฉ 7.19; วนฉ 7.20; วนฉ 8.13; วนฉ 8.28; วนฉ 9.1; วนฉ 9.18; วนฉ 9.29; วนฉ 9.33; วนฉ 9.37; วนฉ 10.7; วนฉ 11.2; วนฉ 13.24; วนฉ 15.19; วนฉ 16.5; วนฉ 16.18; วนฉ 18.24; วนฉ 18.27; วนฉ 18.28; วนฉ 18.31; วนฉ 19.17; วนฉ 19.28; วนฉ 20.10; วนฉ 20.40; วนฉ 20.43; วนฉ 21.8; วนฉ 21.19; วนฉ 21.23; นรธ 1.1; นรธ 1.19; นรธ 2.18; นรธ 3.4; นรธ 3.7; 1ซมอ 2.1; 1ซมอ 2.7; 1ซมอ 2.8; 1ซมอ 2.21; 1ซมอ 2.26; 1ซมอ 3.6; 1ซมอ 3.19; 1ซมอ 4.13; 1ซมอ 4.19; 1ซมอ 5.3; 1ซมอ 5.9; 1ซมอ 6.13; 1ซมอ 9.11; 1ซมอ 9.12; 1ซมอ 9.19; 1ซมอ 13.1; 1ซมอ 14.5; 1ซมอ 14.10; 1ซมอ 14.12; 1ซมอ 14.19; 1ซมอ 14.27; 1ซมอ 16.23; 1ซมอ 20.30; 1ซมอ 20.35; 1ซมอ 20.36; 1ซมอ 23.3; 1ซมอ 23.16; 1ซมอ 23.19; 1ซมอ 27.6; 1ซมอ 30.6; 1ซมอ 30.12; 2ซมอ 2.22; 2ซมอ 2.27; 2ซมอ 2.28; 2ซมอ 5.13; 2ซมอ 5.23; 2ซมอ 6.17; 2ซมอ 8.14; 2ซมอ 10.5; 2ซมอ 10.19; 2ซมอ 12.3; 2ซมอ 12.11; 2ซมอ 13.34; 2ซมอ 15.12; 2ซมอ 15.30; 2ซมอ 16.21; 2ซมอ 17.23; 2ซมอ 18.23; 2ซมอ 18.24; 2ซมอ 20.1; 2ซมอ 20.15; 2ซมอ 20.21; 2ซมอ 22.36; 2ซมอ 23.1; 2ซมอ 23.4; 2ซมอ 23.5; 2ซมอ 24.3; 2ซมอ 24.20; 2ซมอ 24.22; 1พกษ 1.5; 1พกษ 1.27; 1พกษ 1.33; 1พกษ 4.13; 1พกษ 6.8; 1พกษ 8.27; 1พกษ 8.37; 1พกษ 9.17; 1พกษ 11.26; 1พกษ 11.27; 1พกษ 12.18; 1พกษ 13.13; 1พกษ 14.7; 1พกษ 15.23; 1พกษ 16.22; 1พกษ 17.9; 1พกษ 17.22; 1พกษ 18.26; 1พกษ 18.46; 1พกษ 20.1; 1พกษ 20.24; 1พกษ 22.32; 1พกษ 22.35; 2พกษ 4.18; 2พกษ 4.36; 2พกษ 4.37; 2พกษ 4.40; 2พกษ 5.23; 2พกษ 6.5; 2พกษ 7.2; 2พกษ 7.9; 2พกษ 7.19; 2พกษ 8.20; 2พกษ 9.18; 2พกษ 9.25; 2พกษ 9.26; 2พกษ 13.3; 2พกษ 14.10; 2พกษ 14.22; 2พกษ 15.14; 2พกษ 15.25; 2พกษ 15.38; 2พกษ 16.12; 2พกษ 16.20; 2พกษ 17.7; 2พกษ 17.36; 2พกษ 18.4; 2พกษ 19.29; 2พกษ 19.30; 2พกษ 19.37; 2พกษ 20.21; 2พกษ 21.3; 2พกษ 21.18; 2พกษ 22.4; 2พกษ 22.13; 2พกษ 22.17; 2พกษ 23.4; 2พกษ 23.26; 2พกษ 24.6; 1พศด 1.44; 1พศด 1.45; 1พศด 1.46; 1พศด 1.47; 1พศด 1.48; 1พศด 1.49; 1พศด 1.50; 1พศด 4.27; 1พศด 4.31; 1พศด 4.38; 1พศด 5.9; 1พศด 5.23; 1พศด 11.9; 1พศด 13.10; 1พศด 14.3; 1พศด 15.25; 1พศด 19.1; 1พศด 19.5; 1พศด 20.4; 1พศด 21.1; 1พศด 21.29; 1พศด 22.19; 1พศด 29.23; 2พศด 1.3; 2พศด 4.16; 2พศด 5.13; 2พศด 6.18; 2พศด 6.28; 2พศด 10.18; 2พศด 11.15; 2พศด 12.10; 2พศด 12.13; 2พศด 12.16; 2พศด 14.7; 2พศด 15.8; 2พศด 17.6; 2พศด 17.12; 2พศด 18.31; 2พศด 18.34; 2พศด 20.16; 2พศด 20.19; 2พศด 21.4; 2พศด 21.8; 2พศด 23.1; 2พศด 24.13; 2พศด 24.20; 2พศด 25.11; 2พศด 25.19; 2พศด 26.2; 2พศด 26.8; 2พศด 26.15; 2พศด 26.16; 2พศด 27.6; 2พศด 28.12; 2พศด 28.15; 2พศด 31.4; 2พศด 31.7; 2พศด 31.17; 2พศด 31.21; 2พศด 32.1; 2พศด 32.5; 2พศด 32.25; 2พศด 33.3; 2พศด 33.14; 2พศด 33.22; 2พศด 33.23; 2พศด 36.16; อสร 2.62; อสร 2.68; อสร 4.7; อสร 4.12; อสร 4.13; อสร 4.15; อสร 5.2; อสร 5.8; อสร 5.11; อสร 5.13; อสร 5.15; อสร 5.17; อสร 6.3; อสร 6.7; อสร 7.28; อสร 8.20; อสร 9.5; อสร 9.6; อสร 9.8; อสร 9.9; นหม 1.11; นหม 2.5; นหม 2.17; นหม 3.13; นหม 4.6; นหม 4.8; นหม 4.17; นหม 4.21; นหม 6.8; นหม 8.5; นหม 8.6; นหม 9.4; นหม 9.5; นหม 9.17; นหม 9.32; นหม 12.31; นหม 12.37; อสธ 1.18; อสธ 5.9; อสธ 5.11; อสธ 5.12; อสธ 6.9; อสธ 6.11; อสธ 8.3; อสธ 8.5; อสธ 8.10; อสธ 10.2; โยบ 1.7; โยบ 1.10; โยบ 2.2; โยบ 2.12; โยบ 5.7; โยบ 5.11; โยบ 6.17; โยบ 7.5; โยบ 8.11; โยบ 9.4; โยบ 9.7; โยบ 10.15; โยบ 10.16; โยบ 11.15; โยบ 14.19; โยบ 17.8; โยบ 19.10; โยบ 19.11; โยบ 21.7; โยบ 24.24; โยบ 27.14; โยบ 27.19; โยบ 27.21; โยบ 30.20; โยบ 30.22; โยบ 30.28; โยบ 31.8; โยบ 31.18; โยบ 31.21; โยบ 31.35; โยบ 32.20; โยบ 33.30; โยบ 35.6; โยบ 38.15; โยบ 38.27; โยบ 39.4; โยบ 39.25; โยบ 39.27; โยบ 42.7; สดด 1.3; สดด 2.1; สดด 2.2; สดด 3.1; สดด 7.6; สดด 7.9; สดด 7.14; สดด 9.13; สดด 10.2; สดด 10.12; สดด 16.4; สดด 18.35; สดด 18.48; สดด 20.5; สดด 24.7; สดด 24.9; สดด 27.6; สดด 27.10; สดด 28.2; สดด 28.5; สดด 37.33; สดด 38.19; สดด 39.2; สดด 39.13; สดด 41.3; สดด 41.10; สดด 47.5; สดด 49.16; สดด 50.1; สดด 51.10; สดด 60.4; สดด 62.9; สดด 62.10; สดด 65.8; สดด 68.9; สดด 68.18; สดด 69.1; สดด 69.32; สดด 69.35; สดด 72.7; สดด 73.12; สดด 74.1; สดด 74.5; สดด 74.23; สดด 75.4; สดด 75.5; สดด 75.7; สดด 75.10; สดด 76.7; สดด 78.21; สดด 78.31; สดด 83.2; สดด 84.7; สดด 88.9; สดด 88.13; สดด 89.9; สดด 89.17; สดด 90.5; สดด 90.6; สดด 92.7; สดด 92.12; สดด 92.13; สดด 97.11; สดด 99.4; สดด 100.3; สดด 102.10; สดด 103.15; สดด 104.22; สดด 105.19; สดด 106.30; สดด 106.40; สดด 107.41; สดด 110.7; สดด 112.9; สดด 113.3; สดด 115.14; สดด 119.117; สดด 124.3; สดด 129.6; สดด 134.2; สดด 139.16; สดด 140.2; สดด 140.8; สดด 141.2; สดด 144.5; สดด 147.2; สดด 147.6; สภษ 9.9; สภษ 13.11; สภษ 14.1; สภษ 21.11; สภษ 23.28; สภษ 24.5; สภษ 24.22; สภษ 27.17; สภษ 28.2; สภษ 28.12; สภษ 28.25; สภษ 28.28; สภษ 29.16; สภษ 29.22; ปญจ 1.5; ปญจ 1.9; ปญจ 3.3; ปญจ 4.3; ปญจ 4.14; ปญจ 5.11; ปญจ 7.3; ปญจ 9.3; ปญจ 9.6; ปญจ 10.4; ปญจ 10.14; ปญจ 11.2; ปญจ 11.5; พซม 2.3; พซม 2.7; พซม 3.5; พซม 7.8; พซม 8.4; อสย 1.2; อสย 1.31; อสย 2.2; อสย 2.12; อสย 2.13; อสย 2.14; อสย 5.6; อสย 5.25; อสย 6.1; อสย 8.21; อสย 9.3; อสย 9.18; อสย 10.15; อสย 10.24; อสย 10.26; อสย 11.12; อสย 13.2; อสย 13.10; อสย 17.8; อสย 18.3; อสย 23.13; อสย 24.14; อสย 25.2; อสย 26.14; อสย 26.15; อสย 26.19; อสย 28.22; อสย 29.3; อสย 29.16; อสย 31.7; อสย 32.7; อสย 33.20; อสย 34.10; อสย 34.13; อสย 35.6; อสย 35.7; อสย 37.24; อสย 37.30; อสย 37.31; อสย 37.38; อสย 38.14; อสย 40.4; อสย 40.26; อสย 40.31; อสย 41.22; อสย 41.25; อสย 42.13; อสย 43.10; อสย 44.11; อสย 44.14; อสย 44.26; อสย 44.28; อสย 47.13; อสย 48.7; อสย 49.6; อสย 49.18; อสย 51.17; อสย 53.2; อสย 53.10; อสย 55.11; อสย 55.13; อสย 57.14; อสย 58.10; อสย 58.12; อสย 58.14; อสย 59.4; อสย 59.12; อสย 59.19; อสย 60.5; อสย 60.10; อสย 61.4; อสย 62.10; อสย 63.9; อสย 65.18; อสย 66.8; อสย 66.12; ยรม 2.30; ยรม 3.2; ยรม 3.16; ยรม 4.6; ยรม 5.3; ยรม 6.1; ยรม 6.18; ยรม 7.16; ยรม 7.24; ยรม 7.31; ยรม 10.13; ยรม 10.16; ยรม 10.21; ยรม 11.14; ยรม 12.1; ยรม 12.2; ยรม 12.14; ยรม 12.15; ยรม 12.16; ยรม 12.17; ยรม 13.20; ยรม 13.22; ยรม 15.14; ยรม 17.4; ยรม 18.9; ยรม 19.15; ยรม 20.11; ยรม 22.30; ยรม 23.3; ยรม 23.5; ยรม 24.6; ยรม 29.6; ยรม 29.15; ยรม 30.14; ยรม 30.15; ยรม 30.18; ยรม 30.19; ยรม 31.28; ยรม 31.38; ยรม 32.31; ยรม 33.22; ยรม 36.32; ยรม 42.10; ยรม 44.6; ยรม 45.4; ยรม 46.4; ยรม 46.7; ยรม 46.8; ยรม 48.5; ยรม 48.19; ยรม 48.26; ยรม 48.27; ยรม 48.42; ยรม 49.22; ยรม 49.27; ยรม 50.2; ยรม 50.32; ยรม 50.45; ยรม 51.9; ยรม 51.12; ยรม 51.16; ยรม 51.19; ยรม 51.27; ยรม 51.28; ยรม 51.64; ยรม 52.1; ยรม 52.31; พคค 1.5; พคค 1.9; พคค 2.10; พคค 2.17; พคค 2.19; พคค 3.41; พคค 4.2; พคค 4.11; อสค 1.11; อสค 1.19; อสค 1.21; อสค 2.1; อสค 2.2; อสค 2.8; อสค 3.12; อสค 3.14; อสค 3.24; อสค 8.3; อสค 8.5; อสค 10.1; อสค 10.4; อสค 10.15; อสค 10.16; อสค 10.17; อสค 11.1; อสค 11.24; อสค 12.12; อสค 13.22; อสค 16.7; อสค 16.13; อสค 17.6; อสค 17.9; อสค 17.14; อสค 17.24; อสค 18.6; อสค 18.12; อสค 18.15; อสค 19.3; อสค 21.15; อสค 21.26; อสค 21.30; อสค 22.25; อสค 23.19; อสค 23.27; อสค 24.6; อสค 24.9; อสค 24.10; อสค 24.18; อสค 26.2; อสค 26.14; อสค 27.30; อสค 28.2; อสค 28.5; อสค 28.17; อสค 29.3; อสค 29.15; อสค 31.4; อสค 31.10; อสค 31.14; อสค 32.30; อสค 33.25; อสค 36.10; อสค 36.11; อสค 36.33; อสค 36.36; อสค 37.26; อสค 38.18; อสค 41.7; อสค 43.5; อสค 43.15; อสค 47.5; ดนล 2.21; ดนล 2.28; ดนล 2.29; ดนล 3.30; ดนล 4.5; ดนล 4.10; ดนล 4.13; ดนล 4.20; ดนล 4.28; ดนล 4.36; ดนล 5.5; ดนล 5.20; ดนล 5.23; ดนล 6.1; ดนล 6.28; ดนล 7.1; ดนล 7.4; ดนล 7.5; ดนล 7.10; ดนล 7.26; ดนล 8.3; ดนล 8.4; ดนล 8.8; ดนล 8.9; ดนล 8.10; ดนล 8.11; ดนล 8.12; ดนล 8.18; ดนล 8.22; ดนล 8.24; ดนล 8.25; ดนล 9.25; ดนล 10.5; ดนล 10.16; ดนล 10.19; ดนล 11.4; ดนล 11.12; ดนล 11.14; ดนล 11.21; ดนล 11.23; ดนล 11.31; ดนล 11.36; ดนล 12.4; ดนล 12.11; ดนล 12.13; ฮชย 1.6; ฮชย 4.7; ฮชย 6.2; ฮชย 7.1; ฮชย 7.4; ฮชย 8.5; ฮชย 8.6; ฮชย 8.9; ฮชย 8.11; ฮชย 8.14; ฮชย 9.6; ฮชย 10.1; ฮชย 10.8; ฮชย 11.8; ฮชย 12.10; ฮชย 13.2; ฮชย 13.6; ฮชย 13.15; ฮชย 14.3; ฮชย 14.7; อมส 1.14; อมส 3.5; อมส 4.4; อมส 4.9; อมส 5.2; อมส 6.5; อมส 6.10; อมส 6.14; อมส 8.5; อมส 9.11; อมส 9.14; ยนา 1.3; ยนา 1.4; ยนา 1.5; ยนา 1.11; ยนา 1.13; ยนา 4.8; ยนา 4.10; มคา 1.5; มคา 1.16; มคา 4.1; มคา 5.9; นฮม 1.9; นฮม 3.14; นฮม 3.17; ฮบก 1.10; ฮบก 2.3; ฮบก 2.4; ฮบก 2.9; ฮบก 2.18; ฮบก 3.2; ฮบก 3.10; ฮกก 2.15; ฮกก 2.17; ศคย 1.16; ศคย 1.18; ศคย 1.21; ศคย 2.1; ศคย 5.1; ศคย 5.5; ศคย 5.7; ศคย 5.9; ศคย 6.1; ศคย 8.9; ศคย 9.16; ศคย 12.3; ศคย 13.1; ศคย 14.13; มลค 1.4; มลค 1.11; มธ 2.2; มธ 2.7; มธ 3.16; มธ 4.16; มธ 5.23; มธ 5.45; มธ 6.28; มธ 9.18; มธ 10.12; มธ 11.23; มธ 12.11; มธ 13.5; มธ 13.7; มธ 13.26; มธ 13.32; มธ 13.33; มธ 13.48; มธ 14.14; มธ 14.32; มธ 17.1; มธ 20.31; มธ 23.12; มธ 24.3; มธ 24.6; มธ 24.30; มธ 26.43; มธ 26.56; มธ 26.61; มธ 27.24; มธ 27.40; มธ 27.54; มธ 28.11; มก 1.31; มก 3.13; มก 4.5; มก 4.7; มก 4.8; มก 4.27; มก 4.28; มก 4.32; มก 4.37; มก 5.2; มก 5.26; มก 6.34; มก 6.46; มก 6.51; มก 6.54; มก 9.2; มก 9.27; มก 10.48; มก 11.2; มก 11.21; มก 12.26; มก 13.4; มก 13.7; มก 13.30; มก 14.40; มก 14.57; มก 14.58; มก 14.72; มก 15.29; มก 16.2; มก 16.17; ลก 1.20; ลก 1.52; ลก 1.80; ลก 2.15; ลก 2.40; ลก 2.52; ลก 4.16; ลก 5.2; ลก 8.6; ลก 8.8; ลก 8.27; ลก 9.32; ลก 9.39; ลก 10.15; ลก 10.34; ลก 11.29; ลก 12.18; ลก 12.27; ลก 12.49; ลก 13.11; ลก 13.19; ลก 13.21; ลก 14.11; ลก 15.5; ลก 15.32; ลก 17.6; ลก 18.14; ลก 18.39; ลก 19.4; ลก 19.30; ลก 19.35; ลก 21.7; ลก 21.28; ลก 23.10; ลก 23.18; ลก 23.47; ลก 24.38; ลก 24.45; ยน 1.51; ยน 2.17; ยน 2.19; ยน 2.20; ยน 3.14; ยน 3.25; ยน 3.30; ยน 4.14; ยน 4.35; ยน 4.52; ยน 5.29; ยน 6.18; ยน 6.21; ยน 8.28; ยน 11.25; ยน 11.41; ยน 12.1; ยน 12.24; ยน 12.32; ยน 12.34; ยน 15.2; ยน 17.1; ยน 18.26; ยน 18.40; ยน 19.8; ยน 20.17; ยน 21.6; ยน 21.11; กจ 1.6; กจ 1.15; กจ 2.10; กจ 2.14; กจ 2.33; กจ 2.47; กจ 3.7; กจ 3.8; กจ 3.16; กจ 3.26; กจ 4.14; กจ 4.25; กจ 4.26; กจ 4.30; กจ 5.34; กจ 5.37; กจ 6.1; กจ 6.7; กจ 7.17; กจ 7.18; กจ 7.41; กจ 7.43; กจ 8.31; กจ 8.39; กจ 9.19; กจ 9.22; กจ 9.31; กจ 9.41; กจ 10.26; กจ 11.28; กจ 12.22; กจ 12.24; กจ 13.1; กจ 13.16; กจ 13.17; กจ 13.22; กจ 14.10; กจ 14.22; กจ 15.5; กจ 15.7; กจ 15.16; กจ 15.32; กจ 15.41; กจ 16.5; กจ 16.22; กจ 17.22; กจ 18.12; กจ 19.40; กจ 20.9; กจ 20.30; กจ 20.32; กจ 21.3; กจ 21.30; กจ 21.31; กจ 21.35; กจ 22.3; กจ 23.6; กจ 23.7; กจ 23.10; กจ 24.21; กจ 25.18; กจ 26.22; กจ 27.16; กจ 27.17; กจ 27.36; กจ 27.38; กจ 27.40; กจ 28.6; กจ 28.15; รม 2.17; รม 4.17; รม 4.24; รม 4.25; รม 5.20; รม 7.9; รม 7.10; รม 9.16; รม 9.20; รม 10.3; รม 11.11; รม 11.15; รม 13.1; รม 13.2; รม 15.20; 1คร 3.10; 1คร 3.12; 1คร 3.14; 1คร 3.21; 1คร 8.1; 1คร 8.6; 1คร 8.10; 1คร 10.23; 1คร 11.19; 1คร 12.24; 1คร 14.3; 1คร 14.4; 1คร 14.5; 1คร 14.12; 1คร 14.17; 1คร 14.25; 1คร 14.26; 1คร 15.21; 1คร 15.36; 2คร 3.12; 2คร 4.15; 2คร 4.16; 2คร 8.13; 2คร 9.10; 2คร 9.11; 2คร 10.5; 2คร 10.15; 2คร 11.7; 2คร 12.9; 2คร 12.15; 2คร 12.19; 2คร 13.10; กท 1.18; กท 3.15; กท 4.19; กท 5.9; อฟ 1.18; อฟ 1.21; อฟ 2.10; อฟ 2.20; อฟ 2.21; อฟ 2.22; อฟ 4.8; อฟ 4.12; อฟ 4.15; อฟ 4.16; อฟ 4.24; อฟ 5.3; อฟ 6.10; ฟป 1.9; ฟป 1.12; ฟป 1.14; ฟป 1.25; ฟป 2.9; ฟป 4.17; คส 1.6; คส 1.10; คส 1.11; คส 1.16; คส 2.7; คส 2.18; คส 2.19; คส 3.10; 1ธส 4.10; 1ธส 5.11; 2ธส 1.3; 2ธส 2.4; 2ธส 2.8; 1ทธ 5.24; 1ทธ 5.25; 1ทธ 6.2; 2ทธ 1.6; 2ทธ 2.1; ฟม 1.7; ฮบ 2.1; ฮบ 2.3; ฮบ 2.10; ฮบ 5.5; ฮบ 6.14; ฮบ 6.16; ฮบ 7.28; ฮบ 8.3; ฮบ 9.2; ฮบ 9.11; ฮบ 9.24; ฮบ 11.10; ฮบ 11.24; ฮบ 12.12; ฮบ 12.13; ฮบ 12.27; ฮบ 13.9; ยก 1.11; ยก 2.6; ยก 3.9; ยก 4.6; ยก 4.10; ยก 5.4; 1ปต 2.2; 1ปต 2.5; 1ปต 3.18; 1ปต 4.13; 1ปต 5.6; 1ปต 5.10; 2ปต 1.19; 2ปต 3.5; 2ปต 3.18; 3ยน 1.2; ยด 1.18; ยด 1.20; วว 1.1; วว 2.8; วว 2.20; วว 3.2; วว 3.10; วว 3.17; วว 4.11; วว 8.7; วว 8.8; วว 8.10; วว 8.12; วว 9.1; วว 9.13; วว 10.3; วว 10.4; วว 10.5; วว 10.7; วว 11.15; วว 12.10; วว 14.11; วว 17.10; วว 18.3; วว 18.5; วว 19.3; วว 21.5; วว 22.6

ขึ้นครอง ( 33 )
1พกษ 11.43 และซาโลมอนก็ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังพระศพพระองค์ไว้ในนครของดาวิดราชบิดาของพระองค์ และเรโหโบอัมราชโอรสของพระองค์ก็ขึ้นครองแทน
1พกษ 14.20 เวลาที่เยโรโบอัมครอบครองนั้นเป็นยี่สิบสองปี และพระองค์ก็ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และนาดับราชโอรสของพระองค์ก็ขึ้นครองแทน
1พกษ 14.21 ฝ่ายเรโหโบอัมราชโอรสของซาโลมอนทรงครอบครองอยู่ในยูดาห์ เมื่อเรโหโบอัมขึ้นครองนั้น มีพระชนมายุสี่สิบเอ็ดพรรษา และทรงครองในเยรูซาเล็มสิบเจ็ดปี เป็นนครซึ่งพระเยโฮวาห์ได้ทรงเลือกจากบรรดาตระกูลอิสราเอล เพื่อจะสถาปนาพระนามของพระองค์ที่นั่น พระชนนีของกษัตริย์มีพระนามว่านาอามาห์คนอัมโมน
1พกษ 14.31 และเรโหโบอัมก็ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาก็ฝังไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ในนครดาวิด พระนามของพระชนนีของพระองค์คือนาอามาห์คนอัมโมน และอาบียัมราชโอรสก็ขึ้นครองแทน
1พกษ 15.1 ในปีที่สิบแปดแห่งรัชกาลกษัตริย์เยโรโบอัมบุตรชายเนบัท อาบียัมได้ขึ้นครองเหนือประเทศยูดาห์
1พกษ 15.8 และอาบียัมก็ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษและเขาทั้งหลายก็ฝังพระศพพระองค์ไว้ในนครดาวิด และอาสาราชโอรสของพระองค์ก็ขึ้นครองแทน
1พกษ 15.9 ในปีที่ยี่สิบแห่งรัชกาลเยโรโบอัมกษัตริย์ของอิสราเอล อาสาได้ขึ้นครองเหนือประเทศยูดาห์
1พกษ 15.24 และอาสาก็ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ที่ในนครดาวิดราชบิดาของพระองค์ และเยโฮชาฟัทราชโอรสของพระองค์ก็ขึ้นครองแทน
1พกษ 15.28 ดังนั้นบาอาชาจึงสำเร็จโทษพระองค์เสียในปีที่สามแห่งรัชกาลอาสากษัตริย์แห่งยูดาห์และขึ้นครองแทน
1พกษ 16.6 และบาอาชาก็ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาก็ฝังไว้ที่เมืองทีรซาห์ และเอลาห์ราชโอรสก็ขึ้นครองแทนพระองค์
1พกษ 16.8 ในปีที่ยี่สิบหกแห่งรัชกาลอาสากษัตริย์ของยูดาห์ เอลาห์โอรสบาอาชาทรงเริ่มขึ้นครองเหนืออิสราเอลในเมืองทีรซาห์ และทรงครอบครองอยู่สองปี
1พกษ 16.10 ศิมรีได้เข้ามาฟันพระองค์ล้มลง และประหารพระองค์เสีย ในปีที่ยี่สิบเจ็ดแห่งรัชกาลอาสากษัตริย์ของยูดาห์แล้วก็ขึ้นครองแทนพระองค์
1พกษ 16.28 และอมรีก็ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังไว้ในสะมาเรีย และอาหับราชโอรสของพระองค์ก็ขึ้นครองแทนพระองค์
1พกษ 22.40 อาหับทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และอาหัสยาห์ราชโอรสของพระองค์ก็ขึ้นครองแทน
1พกษ 22.41 เยโฮชาฟัทราชโอรสของอาสาเริ่มขึ้นครองเหนือยูดาห์ในปีที่สี่แห่งรัชกาลอาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอล
1พกษ 22.42 เยโฮชาฟัทมีพระชนมายุสามสิบห้าพรรษาเมื่อทรงเริ่มขึ้นครอง และพระองค์ทรงครองในเยรูซาเล็มยี่สิบห้าปี พระชนนีของพระองค์มีพระนามว่า อาซูบาห์ธิดาของชิลหิ
1พกษ 22.50 และเยโฮชาฟัททรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังพระศพไว้กับบรรพบุรุษที่ในนครดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ และเยโฮรัมราชโอรสก็ขึ้นครองแทนพระองค์
2พกษ 1.17 พระองค์ก็สิ้นชีวิตตามพระวจนะของพระเยโฮวาห์ซึ่งเอลียาห์กล่าวนั้น และเยโฮรัมก็ขึ้นครองแทน ในปีที่สองแห่งรัชกาลเยโฮรัมบุตรชายเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ เพราะพระองค์หามีโอรสไม่
2พกษ 3.27 แล้วพระองค์ทรงนำโอรสหัวปี ผู้ซึ่งควรจะขึ้นครองแทนนั้น ถวายเป็นเครื่องเผาบูชาเสียที่บนกำแพง และมีพระพิโรธใหญ่ยิ่งต่อพวกอิสราเอล เขาทั้งหลายก็ยกถอยไปจากพระองค์และกลับบ้านเมืองของตน
2พกษ 8.15 และอยู่มาในวันรุ่งขึ้นเขาก็เอาผ้าปูที่นอนจุ่มน้ำคลุมพระพักตร์พระองค์ไว้ จนพระองค์สิ้นพระชนม์ และฮาซาเอลก็ขึ้นครองแทน
2พกษ 8.24 โยรัมจึงทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ในนครดาวิด และอาหัสยาห์โอรสของพระองค์ได้ขึ้นครองแทน
2พกษ 12.21 คือโยซาคาร์บุตรชายชิเมอัท และเยโฮซาบาดบุตรชายโชเมอร์ ข้าราชการของพระองค์ได้ประหารพระองค์ พระองค์จึงสิ้นพระชนม์ และเขาฝังไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ในนครดาวิด และอามาซิยาห์โอรสของพระองค์ได้ขึ้นครองแทน
2พกษ 13.9 และเยโฮอาหาสทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังไว้ในสะมาเรีย และโยอาชโอรสของพระองค์ขึ้นครองแทนพระองค์
2พกษ 13.24 เมื่อฮาซาเอลกษัตริย์แห่งซีเรียสิ้นพระชนม์ เบนฮาดัดโอรสของพระองค์ได้ขึ้นครองแทนพระองค์
2พกษ 14.29 และเยโรโบอัมทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ คือบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอล และเศคาริยาห์โอรสของพระองค์ขึ้นครองแทนพระองค์
2พกษ 15.7 และอาซาริยาห์ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ในนครดาวิด และโยธามโอรสของพระองค์ขึ้นครองแทนพระองค์
2พกษ 15.8 ในปีที่สามสิบแปดแห่งรัชกาลอาซาริยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ เศคาริยาห์โอรสของเยโรโบอัมขึ้นครองเหนืออิสราเอลในสะมาเรียหกเดือน
2พกษ 15.10 ชัลลูมบุตรชายยาเบชร่วมกันกบฏต่อพระองค์ และล้มพระองค์เสียต่อหน้าประชาชน และประหารพระองค์เสีย และขึ้นครองแทนพระองค์
2พกษ 15.22 และเมนาเฮมก็ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเปคาหิยาห์โอรสก็ขึ้นครองแทนพระองค์
2พกษ 15.30 แล้วโฮเชยาบุตรชายเอลาห์ได้ร่วมกันคิดกบฏต่อเปคาห์บุตรชายเรมาลิยาห์ และล้มพระองค์ลง และประหารพระองค์เสีย และขึ้นครองแทนพระองค์ในปีที่ยี่สิบแห่งรัชกาลโยธามโอรสของอุสซียาห์
2พศด 14.1 อาบียาห์จึงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ เขาก็ฝังพระศพไว้ในนครดาวิด และอาสาโอรสของพระองค์ได้ขึ้นครองแทนพระองค์ ในรัชกาลของอาสาแผ่นดินได้สงบอยู่สิบปี
1คร 4.8 ท่านทั้งหลายอิ่มหนำแล้วหนอ ท่านมั่งมีแล้วหนอ ท่านได้ครองเหมือนกษัตริย์โดยไม่มีเราร่วมด้วยแล้วหนอ ข้าพเจ้ามีความปรารถนาให้ท่านทั้งหลายได้ขึ้นครองจริงๆเพื่อเราจะได้ขึ้นครองกับท่าน

ขึ้นทะเบียน ( 24 )
อพย 30.13 ทุกคนที่ขึ้นทะเบียนสำมะโนครัว จะต้องถวายของอย่างนี้ คือเงินครึ่งเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ (เชเขลหนึ่งมียี่สิบเก-ราห์) ครึ่งเชเขลเป็นเงินถวายแด่พระเยโฮวาห์
อพย 30.14 ทุกๆคนที่ขึ้นทะเบียนสำมะโนครัว อายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไป ให้นำเงินมาถวายพระเยโฮวาห์
กดว 1.18 และในวันที่หนึ่งเดือนที่สองคนเหล่านี้ก็เรียกประชุมชนทั้งหมด เข้ามาขึ้นทะเบียนตามครอบครัวและตามเรือนบรรพบุรุษ ตามจำนวนรายชื่อเรียงตัวคนทั้งปวงที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไป
กดว 7.2 บรรดาประมุขของคนอิสราเอล หัวหน้าเรือนบรรพบุรุษ คือประมุขของตระกูลต่างๆ ผู้อยู่เหนือผู้ที่ขึ้นทะเบียนไว้ ได้เข้ามาถวายของ
1พศด 5.1 บุตรชายของรูเบนบุตรหัวปีของอิสราเอล (เขาเป็นบุตรหัวปีก็จริง แต่เพราะเขาได้กระทำให้ที่นอนของบิดาของเขามีมลทิน สิทธิบุตรหัวปีของเขาจึงตกอยู่กับบุตรชายของโยเซฟผู้เป็นบุตรชายอิสราเอล แต่โยเซฟมิได้ขึ้นทะเบียนไว้ในสำมะโนครัวเชื้อสายตามสิทธิบุตรหัวปี
1พศด 5.7 และญาติของท่านตามครอบครัวเมื่อขึ้นทะเบียนสำมะโนครัวเชื้อสายไว้นั้นคือ เจ้าเยอีเอล และเศคาริยาห์
1พศด 5.17 คนเหล่านี้ทั้งสิ้นขึ้นทะเบียนสำมะโนครัวเชื้อสายไว้ในรัชกาลของโยธามกษัตริย์แห่งยูดาห์ และในรัชกาลของเยโรโบอัมกษัตริย์แห่งอิสราเอล
1พศด 7.5 ญาติพี่น้องของเขาซึ่งเป็นคนในบรรดาครอบครัวของอิสสาคาร์ มีหมดด้วยกันเป็นทแกล้วทหารแปดหมื่นเจ็ดพันคน ขึ้นทะเบียนไว้ในสำมะโนครัวเชื้อสาย
1พศด 7.7 บุตรชายของเบลาคือ เอสโบน อุสซี อุสซีเอล เยรีโมท และอิรี ห้าคนด้วยกัน เป็นหัวหน้าของเรือนบรรพบุรุษ เป็นทแกล้วทหาร และจำนวนที่ขึ้นทะเบียนไว้ในสำมะโนครัวเชื้อสายของเขาเป็นสองหมื่นสองพันสามสิบสี่คน
1พศด 7.9 และจำนวนที่ขึ้นทะเบียนไว้ในสำมะโนครัวเชื้อสาย ตามพงศ์พันธุ์ เป็นหัวหน้าเรือนบรรพบุรุษของเขา เป็นทแกล้วทหาร เป็นสองหมื่นสองร้อยคน
1พศด 7.40 ทั้งสิ้นเหล่านี้เป็นคนของอาเชอร์ หัวหน้าในเรือนบรรพบุรุษของเขา เป็นทแกล้วทหารที่คัดเลือกไว้ เป็นเจ้านายใหญ่ จำนวนที่ขึ้นทะเบียนไว้ในสำมะโนครัวเชื้อสายเพื่อทำศึกสงครามเป็นสองหมื่นหกพันคน
1พศด 9.1 ดังนั้นอิสราเอลทั้งปวงได้ขึ้นทะเบียนไว้ในสำมะโนครัวเชื้อสาย และดูเถิด ทะเบียนนี้ก็บันทึกไว้ในหนังสือของกษัตริย์แห่งอิสราเอลและยูดาห์ ผู้ถูกกวาดไปเป็นเชลยในบาบิโลนเพราะการละเมิดของเขา
1พศด 9.22 ผู้ถูกเลือกเป็นผู้เฝ้าประตูที่ธรณีนั้นมีสองร้อยสิบสองคน เขาขึ้นทะเบียนสำมะโนครัวเชื้อสายไว้ในชนบทของเขา ดาวิดและซามูเอลผู้ทำนายได้สถาปนาเขาไว้ในตำแหน่งหน้าที่
1พศด 23.24 คนเหล่านี้เป็นคนเลวีตามเรือนบรรพบุรุษของเขา เป็นประมุขของบรรพบุรุษของเขา ตามที่เขาได้ขึ้นทะเบียนไว้ตามจำนวนชื่อรายบุคคล อายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไป ผู้ซึ่งจะทำงานปรนนิบัติในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์
2พศด 31.16 เว้นแต่คนเหล่านั้นที่ขึ้นทะเบียนไว้ตามผู้ชาย ตั้งแต่สามขวบขึ้นไป ทุกคนที่เข้าไปในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ เป็นเวรตามหน้าที่ประจำวันที่ต้องทำ เพื่อทำการปรนนิบัติตามหน้าที่โดยกองของเขา
2พศด 31.18 และขึ้นทะเบียนทั้งลูกเล็กๆของเขา ภรรยาของเขา บุตรชายบุตรสาวของเขามวลชนทั้งสิ้น เพราะในตำแหน่งหน้าที่นั้นเขาทั้งหลายได้ชำระตัวให้บริสุทธิ์
2พศด 31.19 สำหรับลูกหลานของอาโรนคือพวกปุโรหิต ผู้อยู่ในทุ่งนารวมรอบหัวเมืองของเขานั้น มีผู้ชายในหัวเมืองต่างๆ ผู้ถูกระบุชื่อให้แจกจ่ายส่วนแบ่งแก่ผู้ชายทุกคนในพวกปุโรหิต และทุกคนในพวกคนเลวีผู้ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนไว้
อสร 8.3 จากคนเชคานิยาห์ จากคนปาโรชมี เศคาริยาห์ พร้อมกับท่านมีผู้ชายผู้ขึ้นทะเบียนไว้หนึ่งร้อยห้าสิบคน
นหม 7.5 แล้วพระเจ้าทรงดลใจข้าพเจ้าให้เรียกชุมนุมพวกขุนนาง และเจ้าหน้าที่และประชาชนเพื่อจะขึ้นทะเบียนสำมะโนครัวเชื้อสาย ข้าพเจ้าพบหนังสือสำมะโนครัวเชื้อสายของคนที่ขึ้นมาครั้งก่อน ข้าพเจ้าเห็นเขียนไว้ว่า
สดด 69.28 ขอให้เขาถูกลบออกเสียจากทะเบียนผู้มีชีวิต อย่าให้เขาขึ้นทะเบียนไว้ในหมู่คนชอบธรรม
อสค 13.9 มือของเราจะต่อสู้ผู้พยากรณ์ผู้เห็นนิมิตเท็จและผู้ให้คำทำนายมุสา เขาจะไม่ได้เข้าอยู่ในสภาแห่งประชาชนของเรา หรือขึ้นทะเบียนอยู่ในทะเบียนของวงศ์วานอิสราเอล และเขาจะไม่ได้เข้าในแผ่นดินอิสราเอล และเจ้าจะทราบว่าเราคือองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า
ลก 2.3 คนทั้งปวงต่างคนต่างได้ไปขึ้นทะเบียนยังเมืองของตน
ลก 2.5 เขาได้ไปกับมารีย์ที่เขาได้หมั้นไว้แล้ว เพื่อจะขึ้นทะเบียนและนางมีครรภ์
1ทธ 5.11 แต่แม่ม่ายสาวๆนั้นอย่ารับขึ้นทะเบียน เพราะว่าเมื่อเขาหลงระเริงห่างจากพระคริสต์ไปแล้ว ก็ใคร่จะสมรสอีก

ขึ้นไป ( 472 )
ปฐก 13.1 อับรามจึงขึ้นไปจากอียิปต์ ท่านและภรรยาของท่านและสิ่งสารพัดที่ท่านมีอยู่พร้อมกับโลท เข้าไปทางทิศใต้
ปฐก 17.22 พระองค์มีพระราชปฏิสันถารกับท่านเสร็จแล้ว พระเจ้าก็เสด็จขึ้นไปจากอับราฮัม
ปฐก 19.30 โลทขึ้นไปจากเมืองโศอาร์ไปอาศัยอยู่บนภูเขาพร้อมกับบุตรสาวสองคนของเขา เพราะเขากลัวที่อาศัยในเมืองโศอาร์ เขาจึงไปอาศัยอยู่ในถ้ำทั้งเขากับบุตรสาวสองคนของเขา
ปฐก 35.1 พระเจ้าตรัสแก่ยาโคบว่า “จงลุกขึ้นแล้วขึ้นไปยังเบธเอล และอาศัยอยู่ที่นั่น ทำแท่นที่นั่นบูชาพระเจ้าผู้สำแดงพระองค์แก่เจ้าเมื่อเจ้าหนีไปจากหน้าเอซาวพี่ชายของเจ้า”
ปฐก 35.3 และให้พวกเราลุกขึ้นแล้วขึ้นไปยังเบธเอล ที่นั่นข้าจะทำแท่นบูชาแด่พระเจ้า ผู้ทรงตอบข้าในวันที่ข้ามีความทุกข์ใจ และทรงอยู่กับข้าในทางที่ข้าไปนั้น”
ปฐก 35.13 พระเจ้าเสด็จขึ้นไปจากยาโคบ ณ ที่ที่พระองค์ตรัสแก่เขา
ปฐก 45.25 พวกพี่น้องก็พากันขึ้นไปจากอียิปต์เข้าไปในแผ่นดินคานาอันไปหายาโคบบิดาของตน
ปฐก 46.29 โยเซฟก็จัดรถม้าของตนขึ้นไปยังเมืองโกเชนรับอิสราเอลบิดาของตน พอเห็นบิดาท่านก็กอดคอบิดาไว้ร้องไห้เป็นเวลานาน
ปฐก 46.31 โยเซฟจึงบอกพี่น้องและครอบครัวของบิดาว่า “เราจะขึ้นไปแสดงแก่ฟาโรห์และทูลแก่พระองค์ว่า ‘พี่น้องและครอบครัวของบิดาผู้เคยอยู่ในแผ่นดินคานาอันนั้นมาหาข้าพระองค์แล้ว
ปฐก 50.5 บิดาให้เราปฏิญาณไว้ โดยกล่าวว่า ‘ดูเถิด พ่อจวนจะตายแล้ว จงเอาศพพ่อไปฝังไว้ในอุโมงค์ที่พ่อได้ขุดไว้สำหรับพ่อ ณ แผ่นดินคานาอัน’ เหตุฉะนั้นบัดนี้ขออนุญาตให้ข้าพเจ้าขึ้นไปฝังศพบิดาแล้วข้าพเจ้าจะกลับมาอีก”
ปฐก 50.6 ฟาโรห์ก็รับสั่งว่า “จงขึ้นไปฝังศพบิดาของท่านตามคำที่บิดาให้ท่านปฏิญาณไว้นั้นเถิด”
ปฐก 50.7 โยเซฟจึงขึ้นไปฝังศพบิดา พวกข้าราชการของฟาโรห์ ผู้ใหญ่ในราชสำนักและบรรดาผู้ใหญ่ทั่วแผ่นดินอียิปต์ทั้งสิ้นก็ตามไปด้วย
อพย 2.23 และต่อมา ครั้นเวลาล่วงมาช้านาน กษัตริย์อียิปต์ก็สิ้นพระชนม์ ชนชาติอิสราเอลก็เศร้าใจมากเพราะเหตุที่เขาเป็นทาส เขาจึงร้องคร่ำครวญ และเสียงร่ำร้องของเขาดังขึ้นไปถึงพระเจ้า ด้วยเหตุที่เป็นทาสนี้
อพย 9.8 พระเยโฮวาห์จึงตรัสแก่โมเสสและอาโรนว่า “เจ้าจงกำขี้เถ้าจากเตาให้เต็มกำมือแล้วให้โมเสสซัดขึ้นไปในอากาศในสายตาของฟาโรห์
อพย 9.10 เขาทั้งสองจึงนำขี้เถ้าจากเตาไปยืนอยู่ต่อพระพักตร์ฟาโรห์ และโมเสสก็ซัดขี้เถ้าขึ้นไปในท้องฟ้า ขี้เถ้านั้นก็กลายเป็นฝีแตกลามไปทั้งตัวคนและสัตว์
อพย 15.8 โดยลมที่ระบายจากช่องพระนาสิกน้ำก็ท่วมสูงขึ้นไป น้ำก็ท่วมท้นสูงขึ้น น้ำก็แข็งขึ้นในท้องทะเล
อพย 17.10 โยชูวาก็ทำตามคำสั่งของโมเสส ออกสู้รบกับพวกอามาเลข ส่วนโมเสส อาโรน และเฮอร์ ก็ขึ้นไปบนยอดภูเขานั้น
อพย 19.3 โมเสสขึ้นไปเฝ้าพระเจ้า พระเยโฮวาห์ตรัสจากภูเขานั้นว่า “บอกวงศ์วานยาโคบและชนชาติอิสราเอลดังนี้ว่า
อพย 19.12 จงกำหนดเขตให้พลไพร่อยู่รอบภูเขา แล้วกำชับเขาว่า ‘เจ้าทั้งหลายจงระวังตัวให้ดีอย่าล่วงล้ำเขตขึ้นไปหรือถูกต้องเชิงภูเขานั้น ผู้ใดถูกภูเขาต้องมีโทษถึงตายเป็นแน่
อพย 19.20 พระเยโฮวาห์เสด็จลงมาบนยอดภูเขาซีนาย พระเยโฮวาห์ทรงเรียกโมเสสให้ขึ้นไปบนยอดเขา โมเสสก็ขึ้นไป
อพย 20.26 และเจ้าอย่าเดินตามขั้นบันไดขึ้นไปยังแท่นบูชาของเรา เพื่อว่าการเปลือยเปล่าของเจ้าจะไม่ได้ถูกเปิดเผยเสียที่นั่น’”
อพย 24.9 ครั้งนั้นโมเสสกับอาโรน นาดับและอาบีฮู และพวกผู้ใหญ่เจ็ดสิบคนของอิสราเอลขึ้นไปอีก
อพย 24.13 โมเสสจึงลุกขึ้นพร้อมกับโยชูวาผู้รับใช้ โมเสสขึ้นไปบนภูเขาของพระเจ้า
อพย 24.15 แล้วโมเสสขึ้นไปบนภูเขา เมฆก็คลุมภูเขาไว้
อพย 24.18 โมเสสเข้าไปในหมู่เมฆนั้นและขึ้นไปบนภูเขา โมเสสอยู่บนภูเขานั้นสี่สิบวันสี่สิบคืน
อพย 30.14 ทุกๆคนที่ขึ้นทะเบียนสำมะโนครัว อายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไป ให้นำเงินมาถวายพระเยโฮวาห์
อพย 32.30 ครั้นวันรุ่งขึ้น โมเสสจึงกล่าวแก่พลไพร่ว่า “ท่านทั้งหลายทำบาปอันใหญ่ยิ่ง แต่บัดนี้เราจะขึ้นไปเฝ้าพระเยโฮวาห์ ชะรอยเราจะทำการลบมลทินบาปของท่านได้”
อพย 33.3 จงนำไปถึงแผ่นดินซึ่งมีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ แต่เราจะไม่ขึ้นไปกับพวกเจ้า เกรงว่าเราจะทำลายล้างพวกเจ้าเสียกลางทาง เพราะว่าเจ้าเป็นชนชาติคอแข็ง”
อพย 33.5 เพราะพระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงกล่าวแก่ชนชาติอิสราเอลว่า ‘เจ้าทั้งหลายเป็นชนชาติคอแข็ง ถ้าเราจะขึ้นไปกับเจ้าเพียงครู่เดียว เราก็จะทำลายล้างเจ้าเสีย ฉะนั้นบัดนี้ จงถอดเครื่องประดับออกเสียเพื่อเราจะรู้ว่า ควรจะกระทำอย่างไรกับเจ้า’”
อพย 33.12 โมเสสกราบทูลพระเยโฮวาห์ว่า “ดูเถิด พระองค์ได้ตรัสสั่งข้าพระองค์ว่า ‘จงนำพลไพร่นี้ขึ้นไป’ แต่พระองค์มิได้แจ้งให้ข้าพระองค์ทราบว่า จะใช้ผู้ใดขึ้นไปกับข้าพระองค์ แม้กระนั้นพระองค์ก็ยังตรัสกับข้าพระองค์ว่า ‘เรารู้จักเจ้าตามชื่อของเจ้า และเจ้าก็ได้รับความกรุณาในสายตาของเราด้วย’
อพย 33.15 ฝ่ายโมเสสจึงกราบทูลพระองค์ว่า “ถ้าพระองค์มิได้เสด็จไปกับข้าพระองค์ ก็ขออย่านำพวกข้าพระองค์ขึ้นไปจากที่นี่เลย
อพย 34.4 ฝ่ายโมเสสจึงสกัดศิลาสองแผ่นเหมือนสองแผ่นแรก แล้วท่านก็ตื่นแต่เช้าขึ้นไปบนภูเขาซีนายตามรับสั่งของพระเยโฮวาห์ถือศิลาไปสองแผ่น
อพย 34.24 เพราะเราจะขับไล่ชนชาติทั้งหลายออกไปให้พ้นหน้าพวกเจ้าและจะขยายเขตแดนเมืองของเจ้าให้กว้างออกไป เมื่อพวกเจ้าจะขึ้นไปเฝ้าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าปีละสามครั้งนั้น จะไม่มีใครอยากได้แผ่นดินของเจ้าเลย
อพย 38.26 คนละเบคา คือครึ่งเชเขลตามเชเขลของสถานบริสุทธิ์ อันเก็บมาจากทุกคนที่ไปจดทะเบียนสำมะโนครัว คือนับตั้งแต่อายุยี่สิบปีขึ้นไปรวมหกแสนสามพันห้าร้อยห้าสิบคน
อพย 40.37 แต่หากว่าเมฆนั้นมิได้ถูกยกขึ้นไป เขาก็ไม่ออกเดินทางเลย จนกว่าจะถึงวันที่เมฆนั้นจะถูกยกขึ้นไป
ลนต 15.4 เตียงนอนซึ่งผู้ใดที่มีสิ่งไหลออกขึ้นไปนอน เตียงนั้นก็เป็นมลทิน ทุกสิ่งที่เขารองนั่งก็เป็นมลทิน
ลนต 27.7 ถ้าเป็นบุคคลอายุตั้งแต่หกสิบปีขึ้นไป ให้เจ้ากำหนดราคาผู้ชายเป็นค่าเงินสิบห้าเชเขลและผู้หญิงเป็นสิบเชเขล
กดว 1.3 ตั้งแต่อายุได้ยี่สิบปีขึ้นไปบรรดาคนที่ออกรบได้ในกองทัพพวกอิสราเอล เจ้ากับอาโรนจงจัดตั้งเขาทั้งหลายไว้เป็นกองๆ
กดว 1.18 และในวันที่หนึ่งเดือนที่สองคนเหล่านี้ก็เรียกประชุมชนทั้งหมด เข้ามาขึ้นทะเบียนตามครอบครัวและตามเรือนบรรพบุรุษ ตามจำนวนรายชื่อเรียงตัวคนทั้งปวงที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไป
กดว 1.20 คนรูเบนบุตรหัวปีของอิสราเอล โดยพงศ์พันธุ์ของเขา ตามครอบครัว ตามเรือนบรรพบุรุษ ตามจำนวนรายชื่อผู้ชายเรียงตัวทุกคน ที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปที่ออกรบได้ทั้งหมด
กดว 1.22 คนสิเมโอน โดยพงศ์พันธุ์ของเขา ตามครอบครัว ตามเรือนบรรพบุรุษ ทุกคนที่เขานับตามจำนวนรายชื่อผู้ชายเรียงตัวทุกคน ที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปที่ออกรบได้ทั้งหมด
กดว 1.24 คนกาด โดยพงศ์พันธุ์ของเขา ตามครอบครัว ตามเรือนบรรพบุรุษ ตามจำนวนรายชื่อคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปที่ออกรบได้ทั้งหมด
กดว 1.26 คนยูดาห์ โดยพงศ์พันธุ์ของเขา ตามครอบครัว ตามเรือนบรรพบุรุษ ตามจำนวนรายชื่อคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปที่ออกรบได้ทั้งหมด
กดว 1.28 คนอิสสาคาร์ โดยพงศ์พันธุ์ของเขา ตามครอบครัว ตามเรือนบรรพบุรุษ ตามจำนวนรายชื่อคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปที่ออกรบได้ทั้งหมด
กดว 1.30 คนเศบูลุน โดยพงศ์พันธุ์ของเขา ตามครอบครัว ตามเรือนบรรพบุรุษ ตามจำนวนรายชื่อคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปที่ออกรบได้ทั้งหมด
กดว 1.32 จากลูกหลานของโยเซฟ คือคนเอฟราอิม โดยพงศ์พันธุ์ของเขา ตามครอบครัว ตามเรือนบรรพบุรุษ ตามจำนวนรายชื่อคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปที่ออกรบได้ทั้งหมด
กดว 1.34 คนมนัสเสห์ โดยพงศ์พันธุ์ของเขา ตามครอบครัว ตามเรือนบรรพบุรุษ ตามจำนวนรายชื่อคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปที่ออกรบได้ทั้งหมด
กดว 1.36 คนเบนยามิน โดยพงศ์พันธุ์ของเขา ตามครอบครัว ตามเรือนบรรพบุรุษ ตามจำนวนรายชื่อคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปที่ออกรบได้ทั้งหมด
กดว 1.38 คนดาน โดยพงศ์พันธุ์ของเขา ตามครอบครัว ตามเรือนบรรพบุรุษ ตามจำนวนรายชื่อคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปที่ออกรบได้ทั้งหมด
กดว 1.40 คนอาเชอร์ โดยพงศ์พันธุ์ของเขา ตามครอบครัว ตามเรือนบรรพบุรุษ ตามจำนวนรายชื่อคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปที่ออกรบได้ทั้งหมด
กดว 1.42 คนนัฟทาลี โดยพงศ์พันธุ์ของเขา ตามครอบครัว ตามเรือนบรรพบุรุษ ตามจำนวนรายชื่อคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปที่ออกรบได้ทั้งหมด
กดว 1.45 ฉะนั้นจำนวนคนอิสราเอลทั้งหมดที่นับตามเรือนบรรพบุรุษ ตามจำนวนคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปทุกคนในอิสราเอลซึ่งออกรบได้
กดว 3.15 “จงนับคนเลวีตามเรือนบรรพบุรุษและตามครอบครัว คือท่านจงนับผู้ชายทุกคนที่มีอายุตั้งแต่เดือนหนึ่งขึ้นไป”
กดว 3.22 จำนวนคนทั้งหลาย คือจำนวนผู้ชายทั้งหมดที่มีอายุตั้งแต่เดือนหนึ่งขึ้นไปเป็นเจ็ดพันห้าร้อยคน
กดว 3.28 ตามจำนวนผู้ชายทั้งหมดที่มีอายุตั้งแต่เดือนหนึ่งขึ้นไปเป็นแปดพันหกร้อยคน เป็นคนปฏิบัติหน้าที่สถานบริสุทธิ์
กดว 3.34 จำนวนคนทั้งหลายคือจำนวนผู้ชายทั้งหมดที่มีอายุตั้งแต่หนึ่งเดือนขึ้นไปเป็นหกพันสองร้อยคน
กดว 3.39 บรรดาคนที่นับเข้าในคนเลวี ซึ่งโมเสสและอาโรนได้นับตามพระดำรัสของพระเยโฮวาห์ เป็นบรรดาผู้ชายทั้งหมดตามครอบครัวที่มีอายุตั้งแต่หนึ่งเดือนขึ้นไปเป็นสองหมื่นสองพันคน
กดว 3.40 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงนับบุตรชายหัวปีทั้งหลายของคนอิสราเอล ที่มีอายุตั้งแต่หนึ่งเดือนขึ้นไป จงจดจำนวนรายชื่อไว้
กดว 3.43 บุตรชายหัวปีทั้งหลายตามจำนวนชื่อที่นับได้ ซึ่งมีอายุตั้งแต่หนึ่งเดือนขึ้นไป มีสองหมื่นสองพันสองร้อยเจ็ดสิบสามคน
กดว 4.30 เจ้าจงนับคนที่มีอายุสามสิบปีขึ้นไปถึงห้าสิบปี ทุกคนที่เข้าปฏิบัติงานได้เพื่อทำงานในพลับพลาแห่งชุมนุม
กดว 4.35 ทุกคนที่มีอายุตั้งแต่สามสิบปีขึ้นไปถึงห้าสิบปีที่เข้าปฏิบัติงานได้เพื่อทำงานในพลับพลาแห่งชุมนุม
กดว 4.39 ทุกคนที่มีอายุตั้งแต่สามสิบปีขึ้นไปถึงห้าสิบปีที่เข้าปฏิบัติงานได้ เพื่อทำงานในพลับพลาแห่งชุมนุม
กดว 4.43 ทุกคนที่มีอายุตั้งแต่สามสิบปีขึ้นไปถึงห้าสิบปีที่เข้าปฏิบัติงานได้ เพื่อทำงานในพลับพลาแห่งชุมนุม
กดว 8.4 ฝีมือที่ทำคันประทีปเป็นดังนี้ เป็นทองคำใช้ค้อนทุบ ตั้งแต่ฐานขึ้นไปถึงดอกเป็นฝีค้อน ตามแบบอย่างที่พระเยโฮวาห์สำแดงแก่โมเสส เขาจึงทำคันประทีปดังนั้น
กดว 8.24 “เรื่องนี้เกี่ยวกับคนเลวี ให้คนเลวีที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบห้าปีขึ้นไป เข้าไปปฏิบัติงานในพลับพลาแห่งชุมนุม
กดว 13.17 โมเสสใช้เขาทั้งหลายไปสอดแนมที่แผ่นดินคานาอัน และสั่งเขาทั้งหลายว่า “จงขึ้นไปทางใต้นี้แล้วขึ้นไปตามภูเขา
กดว 13.21 คนเหล่านั้นจึงขึ้นไปสอดแนมแผ่นดิน ตั้งแต่ถิ่นทุรกันดารศิน จนถึงเรโหบ ที่ทางเข้าเมืองฮามัท
กดว 13.22 เขาขึ้นไปทางใต้ถึงเมืองเฮโบรน และอาหิมาน เชชัย และทัลมัย คือคนอานาคอยู่ที่นั่น (เมืองเฮโบรนนี้เขาสร้างมาก่อนเมืองโศอันในอียิปต์ได้เจ็ดปี)
กดว 13.30 แต่คาเลบได้ให้คนทั้งปวงเงียบต่อหน้าโมเสสกล่าวว่า “ให้เราขึ้นไปทันทีและยึดเมืองนั้น เพราะพวกเรามีกำลังสามารถที่จะเอาชัยชนะได้”
กดว 13.31 ฝ่ายคนทั้งปวงที่ขึ้นไปสอดแนมด้วยกันกล่าวว่า “เราไม่สามารถสู้คนเหล่านั้นได้ เพราะเขามีกำลังมากกว่าเรา”
กดว 14.29 ซากศพของเจ้าจะตกหล่นอยู่ในถิ่นทุรกันดารนี้ จำนวนคนทั้งหมดของเจ้านับตั้งแต่อายุยี่สิบปีขึ้นไป ผู้ใดที่บ่นว่าเรา
กดว 14.40 และคนทั้งปวงได้ลุกขึ้นแต่เช้า ขึ้นไปยังที่สูงบนภูเขากล่าวว่า “ดูเถิด เราทั้งหลายมาอยู่ที่นี่แล้ว เราจะเข้าไปยังที่ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงสัญญาไว้ เพราะเราได้กระทำผิดแล้ว”
กดว 14.42 อย่าขึ้นไปเลย เพราะพระเยโฮวาห์มิได้อยู่ท่ามกลางท่าน เกลือกว่าท่านทั้งหลายจะล้มตายอยู่ต่อหน้าศัตรู
กดว 14.44 แต่เขาทั้งหลายยังบังอาจขึ้นไปที่ยังที่สูงบนเนินเขา แต่หีบพันธสัญญาแห่งพระเยโฮวาห์และโมเสสมิได้ออกจากค่าย
กดว 16.12 โมเสสใช้ให้ไปเรียกดาธานและอาบีรัมบุตรชายเอลีอับ เขาทั้งสองว่า “เราจะไม่ขึ้นไป
กดว 16.14 ยิ่งกว่านั้นอีกท่านมิได้นำพวกเราเข้าไปยังแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ มิได้ให้พวกเรารับที่นาหรือสวนองุ่นเป็นมรดก ท่านจะควักตาคนเหล่านี้ออกเสียหรือ เราจะไม่ขึ้นไป”
กดว 20.19 และคนอิสราเอลพูดกับกษัตริย์แห่งเอโดมว่า “เราจะขึ้นไปตามทางหลวง ถ้าเราดื่มน้ำของท่านไม่ว่าตัวเราหรือสัตว์ เราจะชำระเงินให้ ขอให้เราเดินผ่านไป เราไม่ต้องการอะไรอีก”
กดว 20.27 โมเสสก็กระทำตามที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชา และพวกท่านก็ขึ้นไปบนภูเขาโฮร์ท่ามกลางสายตาของชุมนุมชนทั้งหมด
กดว 22.41 ต่อมารุ่งขึ้นบาลาคก็พาบาลาอัมขึ้นไปยังปูชนียสถานสูงของพระบาอัล จากที่นั่นก็ได้เห็นประชาชนส่วนที่อยู่ใกล้ที่สุด
กดว 23.3 แล้วบาลาอัมพูดกับบาลาคว่า “จงยืนอยู่ใกล้เครื่องเผาบูชาของท่านแล้วข้าพเจ้าจะไป ชะรอยพระเยโฮวาห์จะเสด็จมาหาข้าพเจ้า และสิ่งใดที่พระองค์สำแดงแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะบอกท่าน” แล้วเขาก็ขึ้นไปยังที่สูง
กดว 26.2 “จงทำสำมะโนครัวชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมด อายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปตามเรือนบรรพบุรุษของเขาทั้งหมดในอิสราเอล ผู้ที่จะเข้าสงครามได้”
กดว 26.4 “จงทำสำมะโนครัวประชาชน อายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไป” ตามที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาโมเสสและคนอิสราเอล ผู้ที่ออกจากแผ่นดินอียิปต์คือ
กดว 26.62 และจำนวนของเขาเป็นสองหมื่นสามพันคน เป็นผู้ชายทุกคนอายุตั้งแต่หนึ่งเดือนขึ้นไป เพราะเขามิได้นับรวมไว้ในคนอิสราเอล เพราะไม่มีมรดกให้แก่เขาท่ามกลางคนอิสราเอล
กดว 27.12 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงขึ้นไปบนภูเขาอาบาริมนี้ และมองดูแผ่นดินซึ่งเรามอบให้แก่คนอิสราเอล
กดว 32.9 เมื่อเขาขึ้นไปยังหุบเขาเอชโคล์ และได้เห็นแผ่นดินนั้นแล้ว เขาก็กระทำให้จิตใจคนอิสราเอลท้อถอยที่จะยกเข้าไปในแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์ได้ทรงประทานแก่เขา
กดว 32.11 ‘แน่ทีเดียวที่ทุกคนซึ่งยกออกจากอียิปต์อายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไป จะมิได้เห็นแผ่นดินซึ่งเราได้ตั้งสัตย์ปฏิญาณที่จะมอบให้อับราฮัม อิสอัค และยาโคบ เพราะเขาทั้งหลายมิได้ตามเราด้วยใจจริง
พบญ 1.21 ดูเถิด พระเยโฮวาห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงตั้งแผ่นดินนั้นไว้ตรงหน้าท่านแล้ว จงขึ้นไปยึดแผ่นดินนั้น ดังที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกท่านได้ตรัสสั่งไว้ อย่ากลัวหรืออย่าตกใจไปเลย’
พบญ 1.22 แล้วท่านทั้งหลายทุกคนได้เข้ามาหาข้าพเจ้าพูดว่า ‘ให้เราทั้งหลายใช้คนไปก่อนเราและสอดแนมดูแผ่นดินนั้นแทนเรา นำข่าวเรื่องทางที่เราจะต้องขึ้นไป และเรื่องหัวเมืองที่เราจะไปนั้นมาให้เรา’
พบญ 1.26 แต่กระนั้นท่านทั้งหลายก็ไม่ยอมขึ้นไป กลับขัดขืนพระบัญชาของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย
พบญ 1.28 เราทั้งหลายจะขึ้นไปที่ไหนเล่า พวกพี่น้องของเราได้ทำอกใจของเราให้ฝ่อท้อถอยไปโดยที่ว่า “คนเหล่านั้นใหญ่กว่าและสูงกว่าพวกเราอีก เมืองเหล่านั้นก็ใหญ่มีกำแพงสูงเทียมฟ้า และยิ่งกว่านั้นเราได้เห็นพวกคนอานาคอยู่ที่นั่นด้วย”’
พบญ 1.41 ครั้งนั้นท่านทั้งหลายได้ตอบข้าพเจ้าว่า ‘เราทั้งหลายได้กระทำบาปต่อพระเยโฮวาห์แล้ว เราทั้งหลายจะขึ้นไปสู้รบตามบรรดาพระดำรัสที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราทั้งหลายได้ตรัสสั่งนั้น’ และท่านทั้งหลายได้คาดอาวุธเตรียมตัวไว้ทุกคน คิดว่าที่จะขึ้นไปยังแดนเทือกเขานั้นเป็นเรื่องง่าย
พบญ 1.42 พระเยโฮวาห์ตรัสสั่งข้าพเจ้าว่า ‘จงกล่าวแก่คนทั้งหลายนั้นว่า อย่าขึ้นไปสู้รบเลย เกรงว่าเจ้าทั้งหลายจะแพ้ศัตรู เพราะเรามิได้อยู่ท่ามกลางเจ้าทั้งหลาย’
พบญ 1.43 ข้าพเจ้าจึงได้กล่าวแก่ท่านดังนั้น และท่านทั้งหลายไม่ฟัง แต่ได้ขัดขืนพระบัญชาของพระเยโฮวาห์ มีใจองอาจและได้ขึ้นไปที่แดนเทือกเขานั้น
พบญ 3.27 เจ้าจงขึ้นไปถึงยอดเขาปิสกาห์ และเพ่งตาของเจ้าดูทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ และทิศตะวันออก และดูแผ่นดินนั้นด้วยนัยน์ตาของเจ้า เพราะเจ้าจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้ไปไม่ได้เลย
พบญ 5.5 (ครั้งนั้นข้าพเจ้ายืนอยู่ระหว่างพระเยโฮวาห์กับท่านทั้งหลาย เพื่อจะประกาศพระวจนะของพระเยโฮวาห์แก่ท่านทั้งหลาย เพราะท่านทั้งหลายกลัวเพลิง จึงมิได้ขึ้นไปบนภูเขา) พระองค์ตรัสว่า
พบญ 9.9 เมื่อข้าพเจ้าขึ้นไปบนภูเขาเพื่อจะรับแผ่นศิลา เป็นแผ่นศิลาพันธสัญญาซึ่งพระเยโฮวาห์กระทำไว้กับท่าน ข้าพเจ้าอยู่บนภูเขาสี่สิบวันสี่สิบคืน ข้าพเจ้าไม่ได้รับประทานอาหารหรือดื่มน้ำ
พบญ 9.23 และเมื่อพระเยโฮวาห์ทรงใช้ท่านไปจากคาเดชบารเนีย ตรัสว่า ‘จงขึ้นไปยึดครองแผ่นดินนั้นซึ่งเราได้ให้แก่เจ้า’ และท่านก็กบฏต่อพระบัญญัติของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ไม่ยอมเชื่อพระองค์ หรือเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์
พบญ 10.3 ข้าพเจ้าจึงทำหีบด้วยไม้กระถินเทศ และสกัดศิลาสองแผ่นเหมือนอย่างเดิม ขึ้นไปบนภูเขา มีศิลาสองแผ่นอยู่ในมือของข้าพเจ้า
พบญ 28.43 คนต่างด้าวซึ่งอยู่ท่ามกลางท่าน จะสูงขึ้นไปเหนือท่านทุกทีๆ และท่านจะต่ำลงทุกทีๆ
พบญ 30.12 มิใช่พระบัญญัตินั้นอยู่บนสวรรค์แล้วท่านจะกล่าวว่า ‘ใครจะแทนเราขึ้นไปบนสวรรค์และนำมาให้เรา และกระทำให้เราได้ฟังและประพฤติตาม’
พบญ 32.49 “จงขึ้นไปบนภูเขาอาบาริม ถึงยอดเขาเนโบ ซึ่งอยู่ในแผ่นดินโมอับ ตรงข้ามเมืองเยรีโค และดูแผ่นดินคานาอัน ซึ่งเราให้แก่ประชาชนอิสราเอลเป็นกรรมสิทธิ์
พบญ 32.50 และสิ้นชีวิตเสียบนภูเขาซึ่งเจ้าขึ้นไปนั้น และถูกรวบไปอยู่กับญาติพี่น้องของเจ้า ดังอาโรนพี่ชายของเจ้าได้สิ้นชีวิตที่ภูเขาโฮร์ และถูกรวบไปอยู่กับประชาชนของเขา
พบญ 34.1 และโมเสสก็ขึ้นไปจากราบโมอับถึงภูเขาเนโบ ถึงยอดเขาปิสกาห์ ซึ่งอยู่ตรงข้ามเมืองเยรีโค และพระเยโฮวาห์ทรงสำแดงให้ท่านเห็นแผ่นดินนั้นทั้งหมด คือกิเลอาดจนถึงดาน
ยชว 2.16 นางจึงบอกเขาว่า “จงขึ้นไปบนภูเขา ด้วยเกรงว่าผู้ที่ไล่ตามจะพบเข้า จงซ่อนตัวอยู่สามวันจนกว่าผู้ที่ไล่ตามจะกลับ แล้วจึงค่อยออกเดินต่อไป”
ยชว 2.22 คนทั้งสองออกไปแล้วปีนขึ้นไปบนภูเขาพักอยู่ที่นั่นสามวัน จนผู้ที่ไล่ตามกลับ เพราะผู้ที่ไล่ตามนั้นได้ค้นหาอยู่ตลอดทางก็ไม่พบ
ยชว 6.5 และต่อมาเมื่อเขาเป่าเขาแกะตัวผู้เป็นเสียงยาว พอเจ้าได้ยินเสียงแตรนั้น ก็ให้ประชาชนทั้งปวงโห่ร้องขึ้นด้วยเสียงอันดัง กำแพงเมืองนั้นก็จะพังลงราบ และประชาชนจะขึ้นไปทุกคนต่างตรงไปข้างหน้าตน”
ยชว 6.20 เหตุฉะนั้นประชาชนก็โห่ร้องเมื่อปุโรหิตเป่าแตร ดังนั้นพอประชาชนได้ยินเสียงแตร เขาก็โห่ร้องดังและกำแพงก็พังลงราบ ประชาชนจึงขึ้นไปในเมืองทุกคนต่างตรงไปข้างหน้าตนและเข้ายึดเมืองนั้น
ยชว 7.2 ฝ่ายโยชูวาให้คนออกจากเยรีโคไปยังเมืองอัย ซึ่งอยู่ใกล้เบธาเวน ข้างทิศตะวันออกของเมืองเบธเอล บอกเขาว่า “จงขึ้นไปและสอดแนมดูเมืองนั้น” คนเหล่านั้นก็ขึ้นไปและสอดแนมดูที่เมืองอัย
ยชว 7.3 และเขากลับมารายงานแก่โยชูวาว่า “ไม่ต้องให้ประชาชนทั้งหมดขึ้นไป ให้สักสองสามพันคนขึ้นไปตีเมืองอัยก็พอ ไม่ต้องให้ประชาชนทั้งหมดลำบากที่นั่นเลย เพราะเขามีคนน้อย”
ยชว 7.4 เพราะฉะนั้นจึงมีประชาชนขึ้นไปที่นั่นเพียงสามพันคน แต่ต้องแตกหนีให้พ้นหน้าชาวเมืองอัย
ยชว 8.10 โยชูวาตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่ก็ออกตรวจประชาชน แล้วขึ้นไปพร้อมกับพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลนำหน้าประชาชนไปเมืองอัย
ยชว 8.11 และบรรดาประชาชน คือทหารที่อยู่กับท่านทุกคน ก็ขึ้นไปแล้วรุกใกล้ตรงหน้าตัวเมืองเข้าไป และตั้งค่ายอยู่ด้านเหนือของเมืองอัย มีหุบเขาคั่นระหว่างเขากับเมืองอัย
ยชว 8.20 เมื่อชาวเมืองอัยเหลียวหลังมาดู ดูเถิด ควันไฟที่ไหม้เมืองพลุ่งขึ้นไปยังท้องฟ้า เขาก็หมดกำลังที่จะหนีไปทางนี้หรือทางนั้น เพราะว่าประชาชนที่หนีไปทางถิ่นทุรกันดารหันกลับมาต่อสู้กับผู้ที่ไล่ตาม
ยชว 10.5 ฝ่ายกษัตริย์ของอาโมไรต์ทั้งห้าองค์ คือ กษัตริย์เมืองเยรูซาเล็ม กษัตริย์เมืองเฮโบรน กษัตริย์เมืองยารมูท กษัตริย์เมืองลาคีช และกษัตริย์เมืองเอกโลน ได้รวบรวมกำลังของตน และยกขึ้นไปพร้อมกับกองทัพทั้งหลาย ตั้งค่ายต่อสู้เมืองกิเบโอน
ยชว 10.7 ฝ่ายโยชูวาจึงขึ้นไปจากกิลกาล ทั้งท่านและบรรดาพลรบด้วย และทแกล้วทหารทั้งหมด
ยชว 10.9 เหตุฉะนั้นโยชูวายกเข้าโจมตีพวกนั้นทันที โดยขึ้นไปตลอดคืนจากกิลกาล
ยชว 10.10 พระเยโฮวาห์ทรงกระทำให้เขาสะดุ้งแตกตื่นต่อหน้าพวกอิสราเอล พระองค์ได้ทรงฆ่าเขาเสียมากมายที่กิเบโอน และไล่ติดตามเขาไปในทางที่ขึ้นไปถึงเบธโฮโรน และตามฆ่าเขาจนถึงเมืองอาเซคาห์ และเมืองมักเคดาห์
ยชว 11.17 ตั้งแต่ภูเขาฮาลักที่สูงเรื่อยขึ้นไปถึงเสอีร์ ไกลไปจนถึงบาอัลกาดในหุบเขาเลบานอนเชิงภูเขาเฮอร์โมน ท่านได้จับบรรดากษัตริย์แห่งเมืองเหล่านั้นมาประหารชีวิตเสีย
ยชว 12.7 ต่อไปนี้เป็นกษัตริย์แห่งแผ่นดินซึ่งโยชูวากับคนอิสราเอลได้ทำให้พ่ายแพ้อยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ทางทิศตะวันตก ตั้งแต่บาอัลกาดในหุบเขาเลบานอน ถึงภูเขาฮาลัก ที่สูงเรื่อยขึ้นไปถึงเสอีร์ ซึ่งโยชูวามอบให้แก่ตระกูลคนอิสราเอลให้ถือเป็นกรรมสิทธิ์ตามส่วนแบ่งของเขา
ยชว 13.3 ตั้งแต่ชิโหร์ซึ่งอยู่หน้าอียิปต์ เหนือขึ้นไปถึงเขตแดนเอโครน นับกันว่าเป็นของคนคานาอัน ผู้ครอบครองฟีลิสเตียมีอยู่ห้าคนด้วยกัน คือ ผู้ครอบครองเมืองกาซา เมืองอัชโดด เมืองอัชเคโลน เมืองกัท และเมืองเอโครน และเมืองของคนอิฟวาห์ด้วย
ยชว 14.8 แต่ส่วนพี่น้องซึ่งขึ้นไปพร้อมกับข้าพเจ้าได้กระทำให้จิตใจของประชาชนละลายไป แต่ข้าพเจ้าได้ติดตามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้าอย่างสุดใจ
ยชว 15.3 ยื่นไปทางด้านใต้ของมาอาเลอัครับบิม ผ่านเรื่อยไปถึงศิน แล้วขึ้นไปทางด้านใต้เมืองคาเดชบารเนีย ตามทางเมืองเฮชโรน ขึ้นไปถึงเมืองอัดดาร์เลี้ยวไปถึงคารคา
ยชว 15.5 พรมแดนด้านตะวันออกคือทะเลเค็มขึ้นไปถึงปากแม่น้ำจอร์แดน และพรมแดนด้านเหนือตั้งแต่อ่าวที่ทะเลตรงปากแม่น้ำจอร์แดน
ยชว 15.15 และท่านขึ้นไปจากที่นั่นจะต่อสู้กับชาวเมืองเดบีร์ เมืองเดบีร์เดิมมีชื่อว่า คีริยาทเสเฟอร์
ยชว 16.1 ที่ดินตามสลากของลูกหลานโยเซฟนั้นเริ่มจากแม่น้ำจอร์แดนใกล้ๆเมืองเยรีโค ทิศตะวันออกของน้ำแห่งเยรีโคเข้าไปในถิ่นทุรกันดารขึ้นไปจากเยรีโคเข้าไปในแดนเทือกเขาเบธเอล
ยชว 17.9 แล้วพรมแดนก็ลงไปถึงแม่น้ำคานาห์ หัวเมืองเหล่านี้ซึ่งอยู่ทางทิศใต้แม่น้ำในท่ามกลางหัวเมืองของมนัสเสห์นั้นเป็นของเอฟราอิม แล้วพรมแดนของมนัสเสห์ก็ขึ้นไปทางด้านเหนือของแม่น้ำไปสิ้นสุดลงที่ทะเล
ยชว 18.12 ทางด้านเหนือพรมแดนของเขาเริ่มต้นที่แม่น้ำจอร์แดน และพรมแดนก็ยื่นขึ้นไปถึงไหล่เขาตอนเหนือของเมืองเยรีโค แล้วขึ้นไปทางแดนเทือกเขาทางทิศตะวันตก และไปสิ้นสุดที่ถิ่นทุรกันดารเบธาเวน
ยชว 19.12 จากสาริดพรมแดนยื่นไปอีกทิศหนึ่งทางด้านตะวันออกตรงทางดวงอาทิตย์ขึ้น ถึงพรมแดนเมืองคิสโลททาโบร์ แล้วยื่นไปถึงเมืองดาเบรัท แล้วขึ้นไปถึงเมืองยาเฟีย
ยชว 19.27 แล้วเลี้ยวไปทางดวงอาทิตย์ขึ้นไปยังเบธดาโกนจดเขตเศบูลุนและหุบเขายิฟทาห์เอล ไปทางด้านเหนือถึงเมืองเบธเอเมคและเนอีเอลเรื่อยไปทางด้านซ้ายถึงเมืองคาบูล
ยชว 19.47 อาณาเขตคนดานน้อยไปสำหรับพวกเขา คนดานจึงขึ้นไปสู้รบกับเมืองเลเชม เมื่อยึดได้ก็ประหารเสียด้วยคมดาบ จึงยึดครองที่ดินและตั้งอยู่ที่นั่น เรียกเมืองเลเชมว่าดาน ตามชื่อของดานบรรพบุรุษของตน
ยชว 22.12 และเมื่อคนอิสราเอลได้ยินเช่นนั้น ชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมดก็ไปรวมกันที่เมืองชีโลห์ เพื่อจะขึ้นไปทำสงครามกับเขา
วนฉ 1.1 อยู่มาเมื่อโยชูวาสิ้นชีพแล้ว คนอิสราเอลทูลถามพระเยโฮวาห์ว่า “ใครในพวกข้าพระองค์ทั้งหลายจะขึ้นไปก่อนเพื่อสู้รบกับคนคานาอัน”
วนฉ 1.2 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “ยูดาห์จะขึ้นไป ดูเถิด เราได้มอบแผ่นดินนั้นไว้ในมือเขาแล้ว”
วนฉ 1.3 ยูดาห์จึงพูดกับสิเมโอนพี่ของตนว่า “จงขึ้นไปกับฉันในเขตแดนที่กำหนดให้แก่ฉัน เพื่อเราจะได้รบสู้กับคนคานาอัน และฉันจะไปร่วมรบในเขตแดนที่กำหนดให้แก่ท่านนั้นด้วย” สิเมโอนก็ไปกับเขา
วนฉ 1.4 แล้วยูดาห์ก็ขึ้นไป และพระเยโฮวาห์ทรงมอบคนคานาอันและคนเปริสซีไว้ในมือของเขา และเขาก็ประหารคนที่เมืองเบเซกหนึ่งหมื่นคน
วนฉ 1.16 คนเคไนต์พ่อตาของโมเสสได้ขึ้นไปจากเมืองดงอินทผลัม พร้อมกับคนยูดาห์มาถึงถิ่นทุรกันดารยูดาห์ซึ่งอยู่ในภาคใต้ใกล้อาราด และเขาก็เข้าไปตั้งอยู่กับชนชาตินั้น
วนฉ 1.22 อนึ่งวงศ์วานของโยเซฟได้ขึ้นไปสู้รบเมืองเบธเอลด้วย และพระเยโฮวาห์ทรงสถิตกับพวกเขา
วนฉ 1.36 อาณาเขตของคนอาโมไรต์ตั้งต้นแต่ทางข้ามเขาอัครับบิมตั้งแต่ศิลาเรื่อยขึ้นไป
วนฉ 2.1 ฝ่ายทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเยโฮวาห์ได้ขึ้นไปจากกิลกาลถึงโบคิม และกล่าวว่า “เราได้ให้เจ้าทั้งหลายขึ้นไปจากอียิปต์ และได้นำเจ้าเข้ามาในแผ่นดินซึ่งเราปฏิญาณไว้แก่บรรพบุรุษของเจ้า และเรากล่าวว่า ‘เราจะไม่หักพันธสัญญาที่เราได้มีไว้กับเจ้าเลย
วนฉ 4.10 บาราคจึงเรียกเศบูลุนกับนัฟทาลีให้ไปที่เคเดช มีคนหนึ่งหมื่นเดินตามขึ้นไป และนางเดโบราห์ก็ไปด้วย
วนฉ 4.12 เมื่อมีคนไปแจ้งแก่สิเสราว่าบาราคบุตรชายอาบีโนอัมขึ้นไปที่ภูเขาทาโบร์แล้ว
วนฉ 8.8 ท่านก็ออกจากที่นั่นขึ้นไปยังเมืองเปนูเอล และพูดกับเขาในทำนองเดียวกัน ชาวเมืองเปนูเอลก็ตอบท่านอย่างเดียวกับที่ชาวเมืองสุคคทตอบ
วนฉ 8.11 กิเดโอนขึ้นไปตามทางสัญจรของคนที่อาศัยในเต็นท์ ทิศตะวันออกของเมืองโนบาห์และเมืองโยกเบฮาห์เข้าโจมตีกองทัพได้แล้ว เพราะว่ากองทัพคิดว่าพ้นภัย
วนฉ 9.7 เมื่อมีคนไปบอกโยธาม เขาก็ขึ้นไปยืนอยู่บนยอดภูเขาเกริซิม แผดเสียงร้องให้เขาทั้งหลายฟังว่า “ชาวเมืองเชเคมเอ๋ย ขอจงฟังข้าพเจ้า เพื่อพระเจ้าจะทรงฟังเสียงของท่าน
วนฉ 9.48 อาบีเมเลคก็ขึ้นไปบนภูเขาศัลโมน ทั้งท่านกับบรรดาคนที่อยู่ด้วย อาบีเมเลคถือขวานตัดกิ่งไม้ใส่บ่าแบกมา ท่านจึงบอกคนที่อยู่ด้วยว่า “เจ้าเห็นข้าทำอะไร จงรีบไปทำอย่างข้าเถิด”
วนฉ 9.51 แต่ในเมืองมีหอรบแห่งหนึ่ง ประชาชนเมืองนั้นทั้งสิ้นก็หนีเข้าไปอยู่ในหอทั้งผู้ชายและผู้หญิง ปิดประตูขังตนเองเสีย เขาก็ขึ้นไปบนหลังคาหอรบ
วนฉ 13.20 และอยู่มาเมื่อเปลวไฟจากแท่นบูชาพลุ่งขึ้นไปสวรรค์ ทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ก็ขึ้นไปตามเปลวไฟแห่งแท่นบูชา ขณะเมื่อมาโนอาห์และภรรยาคอยดูอยู่ และเขาทั้งสองก็ซบหน้าลงถึงดิน
วนฉ 15.9 ฝ่ายคนฟีลิสเตียก็ขึ้นไปตั้งค่ายอยู่ในเขตยูดาห์ และกระจายกันเข้าโจมตีเมืองเลฮี
วนฉ 16.31 แล้วพี่น้องและบรรดาครอบครัวบิดาของท่านก็ลงมารับศพของท่านและขึ้นไปฝังไว้ระหว่างโศราห์กับเอชทาโอล ในที่ฝังศพของมาโนอาห์บิดาของท่าน ท่านได้วินิจฉัยอิสราเอลอยู่ยี่สิบปี
วนฉ 18.12 เขาทั้งหลายยกขึ้นไปตั้งค่ายอยู่ที่คีริยาทเยอาริมในยูดาห์ เพราะเหตุนี้เขาจึงเรียกที่นั่นว่า มาหะเนห์ดาน จนถึงทุกวันนี้ ดูเถิด เมืองนี้อยู่ด้านหลังคีริยาทเยอาริม
วนฉ 20.3 (ครั้งนั้นคนเบนยามินได้ยินว่าคนอิสราเอลได้ขึ้นไปยังมิสปาห์) ประชาชนอิสราเอลกล่าวว่า “ขอบอกเรามาว่า เรื่องชั่วร้ายนี้เกิดขึ้นมาอย่างไรกัน”
วนฉ 20.9 แต่บัดนี้เราจะกระทำกับกิเบอาห์ดังนี้ เราจะจับสลากยกขึ้นไปสู้รบกับเขา
วนฉ 20.18 คนอิสราเอลก็ลุกขึ้นไปยังพระนิเวศของพระเจ้า และทูลถามพระเจ้าว่า “ผู้ใดในพวกข้าพระองค์ที่จะขึ้นไปสู้รบกับคนเบนยามินก่อน” พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “ให้ยูดาห์ขึ้นไปก่อน”
วนฉ 20.23 (และคนอิสราเอลก็ขึ้นไปร้องไห้คร่ำครวญต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์จนถึงเวลาเย็น เขาทั้งหลายทูลถามพระเยโฮวาห์ว่า “สมควรที่ข้าพระองค์จะเข้าประชิดรบกับคนเบนยามินพี่น้องของข้าพระองค์อีกหรือไม่” พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “ไปสู้เขาเถิด”)
วนฉ 20.26 แล้วบรรดาคนอิสราเอลคือกองทัพทั้งหมดได้ขึ้นไปที่พระนิเวศของพระเจ้าและร้องไห้คร่ำครวญ เขานั่งเฝ้าพระเยโฮวาห์ ณ ที่นั่น และอดอาหารจนเวลาเย็น ถวายเครื่องเผาบูชาและสันติบูชาต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
วนฉ 20.28 และฟีเนหัสบุตรชายเอเลอาซาร์ ผู้เป็นบุตรชายอาโรน ก็ปรนนิบัติอยู่หน้าหีบนั้นในสมัยนั้น) เขาทูลถามว่า “สมควรที่ข้าพระองค์จะยังยกไปสู้รบกับเบนยามินพี่น้องของข้าพระองค์อีกครั้งหนึ่ง หรือควรจะหยุดเสีย” และพระเยโฮวาห์ตรัสว่า “จงยกขึ้นไปเถิด เพราะว่าพรุ่งนี้เราจะมอบเขาไว้ในมือของเจ้า”
วนฉ 20.30 และประชาชนอิสราเอลก็ขึ้นไปสู้รบกับคนเบนยามินในวันที่สาม และวางพลเรียงรายต่อสู้เมืองกิเบอาห์อย่างคราวก่อน
นรธ 4.1 โบอาสก็ขึ้นไปที่ประตูเมืองและนั่งอยู่ที่นั่น ดูเถิด ญาติสนิทคนที่ถัดมาซึ่งโบอาสกล่าวถึงก็เดินผ่านมา โบอาสจึงกล่าวว่า “โอ คนเช่นนี้เอ๋ย แวะนั่งที่นี่ก่อนเถิด” เขาก็แวะมานั่งลง
1ซมอ 1.3 ฝ่ายชายผู้นี้เคยขึ้นไปจากเมืองของตนทุกปี ไปนมัสการและถวายสัตวบูชาแด่พระเยโฮวาห์จอมโยธาที่เมืองชีโลห์ ที่นั่นมีบุตรชายสองคนของเอลีชื่อโฮฟนีและฟีเนหัส ผู้เป็นปุโรหิตแห่งพระเยโฮวาห์
1ซมอ 1.7 เหตุการณ์ก็เป็นอยู่ดังนี้ปีแล้วปีเล่า เมื่อนางขึ้นไปยังพระนิเวศของพระเยโฮวาห์คราวใด ปรปักษ์ของนางก็เคยยั่วเย้านาง เพราะฉะนั้นนางฮันนาห์จึงร้องไห้ไม่รับประทานอาหาร
1ซมอ 1.21 ฝ่ายเอลคานาห์ และทุกคนในครอบครัวของท่านขึ้นไปถวายสัตวบูชาประจำปีแด่พระเยโฮวาห์ และทำตามคำปฏิญาณของท่าน
1ซมอ 1.22 แต่ฮันนาห์มิได้ขึ้นไปด้วยเพราะนางบอกสามีว่า “ฉันจะไม่ไปจนกว่าเด็กคนนี้หย่านมแล้ว ฉันจะพาเขาขึ้นไป เพื่อเขาจะได้ปรากฏตัวต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ และอยู่ที่นั่นตลอดไป”
1ซมอ 1.24 และเมื่อนางให้เขาหย่านมแล้ว นางก็พาเขาขึ้นไปพร้อมกับวัวผู้สามตัว แป้งหนึ่งเอฟาห์ และน้ำองุ่นหนึ่งขวดหนัง และนางก็นำเขามาที่พระนิเวศของพระเยโฮวาห์ที่เมืองชีโลห์ และเด็กนั้นก็ยังเล็กอยู่
1ซมอ 2.19 ฝ่ายมารดาเคยเย็บเสื้อเล็กๆนำมาให้เขาทุกปี เมื่อนางขึ้นไปพร้อมกับสามีเพื่อถวายเครื่องบูชาประจำปี
1ซมอ 2.28 และเราได้เลือกเขาออกจากตระกูลอิสราเอลทั้งหมดให้เป็นปุโรหิตของเรา เพื่อจะขึ้นไปถวายที่แท่นบูชาของเรา เพื่อเผาเครื่องหอม เพื่อสวมเอโฟดต่อหน้าเรา และเราได้มอบบรรดาของที่บูชาด้วยไฟซึ่งคนอิสราเอลนำมาถวายนั้นแก่เรือนบรรพบุรุษของเจ้า
1ซมอ 5.12 คนที่ไม่ตายก็เป็นริดสีดวงทวารขั้นรุนแรง และเสียงร้องของชาวเมืองนั้นก็ขึ้นไปยังฟ้าสวรรค์
1ซมอ 6.21 ดังนั้นเขาจึงส่งผู้สื่อสารไปยังชาวเมืองคีริยาทเยอาริมกล่าวว่า “คนฟีลิสเตียได้คืนหีบแห่งพระเยโฮวาห์มาแล้ว ขอลงมาเชิญหีบขึ้นไปอยู่กับท่านเถิด”
1ซมอ 7.1 ชาวคีริยาทเยอาริมได้มาเชิญหีบแห่งพระเยโฮวาห์ขึ้นไปถึงเรือนของอาบีนาดับซึ่งอยู่บนเนินเขา และเขาทั้งหลายก็ชำระเอเลอาซาร์บุตรชายของเขาให้บริสุทธิ์เพื่อให้ดูแลหีบแห่งพระเยโฮวาห์
1ซมอ 7.7 เมื่อคนฟีลิสเตียได้ยินว่าคนอิสราเอลได้ประชุมกันที่เมืองมิสปาห์ เจ้านายแห่งฟีลิสเตียก็ยกขึ้นไปต่อสู้กับอิสราเอล และเมื่อคนอิสราเอลได้ยินเช่นนั้นเขาก็กลัวคนฟีลิสเตีย
1ซมอ 9.2 ท่านมีบุตรชายคนหนึ่งชื่อซาอูล เป็นคนหนุ่มที่ดีที่สุด รูปงาม ไม่มีชายคนใดในหมู่คนอิสราเอลที่จะงามกว่าเขา เขาสูงกว่าประชาชนทั้งหลายตั้งแต่บ่าขึ้นไป
1ซมอ 9.10 และซาอูลจึงพูดกับคนใช้ของท่านว่า “พูดดีนี่มาให้เราไปกันเถิด” เขาทั้งสองขึ้นไปที่เมืองซึ่งคนของพระเจ้าอยู่
1ซมอ 9.13 พอท่านทั้งสองเข้าไปถึงในเมือง ท่านทั้งสองจะพบก่อนที่ผู้ทำนายขึ้นไปรับประทานอาหาร ณ ปูชนียสถานสูง เพราะว่าประชาชนจะไม่รับประทานจนกว่าท่านจะมาถึง เพราะท่านจะต้องมาอวยพรแก่เครื่องสัตวบูชา ภายหลังผู้ที่ได้รับเชิญจึงรับประทาน ฉะนั้นบัดนี้จงขึ้นไปเถิด ท่านทั้งสองจะพบทันที”
1ซมอ 9.14 เขาทั้งสองก็ขึ้นไปยังเมืองนั้น ขณะเมื่อเขาเข้าไปในเมือง ดูเถิด ซามูเอลกำลังเดินออกมาตรงหน้าเขาทั้งสอง จะขึ้นไปยังปูชนียสถานสูงนั้น
1ซมอ 10.3 และท่านจะเดินเลยที่นั่นไปถึงที่ราบตำบลทาโบร์ ที่นั่นชายสามคนซึ่งกำลังขึ้นไปเฝ้าพระเจ้าที่เบธเอลจะพบท่าน คนหนึ่งอุ้มลูกแพะสามตัว อีกคนหนึ่งถือขนมปังสามก้อน และอีกคนหนึ่งถือถุงหนังน้ำองุ่นถุงหนึ่ง
1ซมอ 10.23 เขาทั้งหลายจึงวิ่งไปพาท่านมาจากที่นั่น และเมื่อท่านยืนอยู่ท่ามกลางประชาชน ท่านก็สูงกว่าประชาชนทุกคนจากบ่าขึ้นไป
1ซมอ 11.1 ฝ่ายนาหาชคนอัมโมนได้ยกขึ้นไปตั้งค่ายสู้เมืองยาเบชกิเลอาด บรรดาชาวเมืองยาเบชจึงพูดกับนาหาชว่า “ขอทำพันธสัญญากับพวกข้าพเจ้าทั้งหลายและข้าพเจ้าทั้งหลายจะยอมปรนนิบัติท่าน”
1ซมอ 11.15 ประชาชนทั้งปวงจึงขึ้นไปยังกิลกาล และที่นั่นเขาทั้งหลายก็ตั้งซาอูลเป็นกษัตริย์ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ที่กิลกาล แล้วที่นั่นเขาทั้งหลายถวายสัตว์เป็นเครื่องสันติบูชาต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ซาอูลกับประชาชนอิสราเอลทั้งปวงก็ชื่นชมยินดีอย่างยิ่งที่นั่น
1ซมอ 14.10 แต่ถ้าเขาว่า ‘จงขึ้นมาหาเราเถิด’ แล้วเราจึงจะขึ้นไป เพราะพระเยโฮวาห์ทรงมอบเขาไว้ในมือเราแล้ว จะให้เรื่องนี้เป็นสัญญาณแก่เรา”
1ซมอ 14.13 แล้วโยนาธานก็คลานขึ้นไปและผู้ถือเครื่องอาวุธของท่านก็ตามไปด้วย คนเหล่านั้นก็ล้มตายหน้าโยนาธาน และผู้ถือเครื่องอาวุธก็ฆ่าเขาทั้งหลายตามท่านไป
1ซมอ 15.34 ฝ่ายซามูเอลก็ไปรามาห์ และซาอูลก็เสด็จขึ้นไปยังวังของพระองค์ที่กิเบอาห์แห่งซาอูล
1ซมอ 23.3 แต่คนของดาวิดเรียนท่านว่า “ดูเถิด เราอยู่ในยูดาห์นี่ก็ยังกลัวอยู่ ถ้าเราขึ้นไปยังเคอีลาห์สู้รบกับกองทัพของฟีลิสเตียเราจะยิ่งกลัวมากขึ้นเท่าใด”
1ซมอ 23.29 ดาวิดก็ขึ้นไปจากที่นั่นไปอาศัยอยู่ในที่กำบังเข้มแข็งแห่งเอนเกดี
1ซมอ 24.22 ดาวิดก็ปฏิญาณให้แก่ซาอูล แล้วซาอูลก็เสด็จกลับพระราชวัง และดาวิดกับคนของท่านก็ขึ้นไปยังที่กำบังเข้มแข็ง
1ซมอ 25.5 ดาวิดจึงใช้ชายหนุ่มสิบคน และดาวิดสั่งชายหนุ่มเหล่านั้นว่า “จงขึ้นไปที่คารเมลไปหานาบาล และคำนับเขาในนามของเรา
1ซมอ 27.8 ฝ่ายดาวิดกับคนของท่านก็ขึ้นไปปล้นชาวเกชูร์ คนเกซไรต์และคนอามาเลข เพราะประชาชาติเหล่านี้เป็นชาวแผ่นดินนั้นตั้งแต่สมัยโบราณ ไกลไปจนถึงเมืองชูร์ถึงแผ่นดินอียิปต์
1ซมอ 29.9 อาคีชก็รับสั่งตอบดาวิดว่า “เราทราบแล้วว่าในสายตาของเราท่านดีอย่างทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเจ้า แต่บรรดาเจ้านายแห่งฟีลิสเตียกล่าวว่า ‘อย่าให้เขาขึ้นไปกับเราในการรบนี้เลย’
1ซมอ 29.11 ดาวิดกับคนของท่านจึงลุกขึ้นตั้งแต่มืดเพื่อออกเดินในตอนเช้า กลับไปยังแผ่นดินฟีลิสเตีย แต่คนฟีลิสเตียขึ้นไปยังยิสเรเอล
2ซมอ 2.1 ครั้นเรื่องนี้สิ้นไปแล้ว ดาวิดจึงทูลถามพระเยโฮวาห์ว่า “สมควรที่ข้าพระองค์จะขึ้นไปยังหัวเมืองหนึ่งหัวเมืองใดในยูดาห์หรือไม่” และพระเยโฮวาห์ตรัสตอบท่านว่า “จงขึ้นไปเถิด” ดาวิดทูลว่า “ควรที่ข้าพระองค์จะขึ้นไปที่ใด” พระองค์ตรัสว่า “เมืองเฮโบรน”
2ซมอ 2.2 ดาวิดจึงขึ้นไปที่นั้นพร้อมกับภรรยาทั้งสองของท่านด้วยคือ อาหิโนอัมชาวยิสเรเอลและอาบีกายิลภรรยาของนาบาลชาวคารเมล
2ซมอ 2.3 และดาวิดก็นำคนที่อยู่กับท่านขึ้นไป ทุกคนพาครอบครัวไปด้วย และเขาทั้งหลายก็อยู่ในหัวเมืองของเฮโบรน
2ซมอ 5.8 ในวันนั้นดาวิดตรัสว่า “ผู้ใดจะขึ้นไปตามทางน้ำไหลและโจมตีคนเยบุส คนง่อยและคนตาบอด ผู้ซึ่งจิตใจของดาวิดเกลียดชัง ผู้นั้นจะเป็นผู้บัญชาการทหาร” เพราะฉะนั้นเขาจึงว่ากันว่า “อย่าให้คนตาบอดและคนง่อยเข้ามาในพระนิเวศ”
2ซมอ 5.10 และดาวิดทรงเจริญยิ่งๆขึ้นไปเพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าจอมโยธาทรงสถิตกับพระองค์
2ซมอ 5.17 เมื่อคนฟีลิสเตียได้ยินข่าวว่าดาวิดได้รับการเจิมเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล คนฟีลิสเตียทั้งปวงก็ขึ้นไปแสวงหาดาวิด แต่ดาวิดทรงได้ยินข่าวนั้นจึงลงไปยังที่กำบังเข้มแข็ง
2ซมอ 5.19 และดาวิดทรงทูลถามพระเยโฮวาห์ว่า “ควรที่ข้าพระองค์จะยกขึ้นไปสู้รบกับคนฟีลิสเตียหรือ พระองค์จะทรงมอบเขาไว้ในมือข้าพระองค์หรือไม่” และพระเยโฮวาห์ทรงตอบดาวิดว่า “จงขึ้นไปเถิด เพราะเราจะมอบคนฟีลิสเตียไว้ในมือของเจ้าเป็นแน่”
2ซมอ 15.30 ฝ่ายดาวิดเสด็จขึ้นไปตามทางขึ้นภูเขามะกอกเทศ เสด็จพลางกันแสงพลาง คลุมพระเศียรเสด็จโดยพระบาทเปล่า และประชาชนทั้งสิ้นที่อยู่กับพระองค์ก็คลุมศีรษะเดินขึ้นไปพลางร้องไห้พลาง
2ซมอ 18.24 ฝ่ายดาวิดประทับอยู่ระหว่างประตูเมืองทั้งสอง มีทหารยามขึ้นไปอยู่บนหลังคาซุ้มประตูที่กำแพงเมือง เมื่อเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นชายคนหนึ่งวิ่งมาลำพัง
2ซมอ 18.33 กษัตริย์ทรงโทมนัสนัก เสด็จขึ้นไปบนห้องที่อยู่เหนือประตู และกันแสง เมื่อเสด็จไปพระองค์ตรัสว่า “โอ อับซาโลมบุตรของเรา บุตรของเรา อับซาโลมบุตรของเราเอ๋ย เราอยากจะตายแทนเจ้า โอ อับซาโลมบุตรของเรา บุตรของเราเอ๋ย”
2ซมอ 24.18 ในวันนั้นกาดก็เข้ามาเฝ้าดาวิด กราบทูลพระองค์ว่า “ขอเสด็จขึ้นไปสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระเยโฮวาห์บนลานนวดข้าวของอาราวนาห์คนเยบุส”
2ซมอ 24.19 ดาวิดก็เสด็จขึ้นไปตามคำของกาดตามที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชา
1พกษ 2.34 แล้วเบไนยาห์บุตรชายเยโฮยาดาก็ขึ้นไปประหารชีวิตเขาเสีย และฝังเขาไว้ในบ้านของเขาเองซึ่งอยู่ในถิ่นทุรกันดาร
1พกษ 6.8 ทางเข้าห้องชั้นล่างอยู่ทางด้านขวาของตัวพระนิเวศ และคนขึ้นไปยังห้องชั้นกลางทางบันไดเวียน และขึ้นจากห้องชั้นกลางไปห้องชั้นที่สาม
1พกษ 7.31 ช่องเปิดอยู่ในบัวคว่ำ ซึ่งยื่นขึ้นไปหนึ่งศอก ช่องเปิดนั้นกลมอย่างที่เขาทำแท่น ลึกหนึ่งศอกคืบ ตรงช่องเปิดมีลายสลัก และแผงนั้นก็สี่เหลี่ยมไม่กลม
1พกษ 9.24 แต่ธิดาของฟาโรห์ได้ขึ้นไปจากนครดาวิด ถึงพระตำหนักของพระนางเองซึ่งซาโลมอนได้สร้างให้พระนาง แล้วพระองค์จึงสร้างป้อมมิลโล
1พกษ 10.5 ทั้งอาหารที่โต๊ะเสวย กับการเข้าเฝ้าของบรรดาข้าราชการ และการปรนนิบัติรับใช้ของมหาดเล็กตลอดทั้งภูษาอาภรณ์ของเขา และพนักงานเชิญถ้วยของพระองค์ และการที่พระองค์เสด็จขึ้นไปในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ พระทัยของพระนางก็สลดลงทีเดียว
1พกษ 11.15 เพราะอยู่มาเมื่อดาวิดอยู่ในเอโดม และโยอาบผู้บัญชาการกองทัพได้ขึ้นไปฝังผู้ที่ถูกฆ่า หลังจากเขาได้ฆ่าผู้ชายทุกคนในเอโดมเสีย
1พกษ 12.24 ‘พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า เจ้าอย่าขึ้นไปสู้รบกับประชาชนอิสราเอลญาติพี่น้องของเจ้าเลย จงกลับไปยังบ้านของตนทุกคนเถิด เพราะสิ่งนี้เป็นมาจากเรา’” เหตุฉะนี้เขาจึงเชื่อฟังพระวจนะของพระเยโฮวาห์ และกลับไปบ้านเสียตามพระวจนะของพระเยโฮวาห์
1พกษ 12.27 ถ้าชนชาติเหล่านี้ขึ้นไปถวายเครื่องสัตวบูชาในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ที่กรุงเยรูซาเล็ม แล้วจิตใจของชนชาติเหล่านี้จะหันกลับไปยังเจ้านายของเขาทั้งหลาย คือหันไปยังเรโหโบอัมกษัตริย์แห่งยูดาห์ และเขาทั้งหลายจะฆ่าเราเสีย และกลับไปยังเรโหโบอัมกษัตริย์แห่งยูดาห์”
1พกษ 12.28 ดังนั้นกษัตริย์จึงทรงปรึกษา และได้ทรงสร้างลูกวัวสองตัวด้วยทองคำ และพระองค์ตรัสแก่ประชาชนว่า “ที่ท่านทั้งหลายขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มนานพออยู่แล้ว โอ อิสราเอลเอ๋ย จงดูพระของท่าน ดูเถิด พระองค์ผู้ทรงนำท่านทั้งหลายออกจากประเทศอียิปต์”
1พกษ 12.33 พระองค์ทรงขึ้นไปยังแท่นบูชาซึ่งพระองค์ทรงสร้างไว้ที่เบธเอลในวันที่สิบห้าเดือนที่แปด ในเดือนซึ่งพระองค์ทรงดำริเอง และพระองค์ทรงกำหนดเทศกาลเลี้ยงสำหรับคนอิสราเอล และทรงถวายเครื่องบูชาบนแท่นและเผาเครื่องหอม
1พกษ 16.17 อมรีจึงเสด็จขึ้นไปจากกิบเบโธน และอิสราเอลทั้งปวงก็ขึ้นไปด้วย เขาทั้งหลายเข้าล้อมเมืองทีรซาห์
1พกษ 17.19 และท่านก็พูดกับนางว่า “เอาบุตรชายของเจ้ามาให้ฉันเถิด” ท่านก็นำเขาไปจากอกของนางอุ้มขึ้นไปที่ห้องชั้นบนที่ท่านอาศัยอยู่ และวางเขาไว้บนที่นอนของท่านเอง
1พกษ 18.41 เอลียาห์ทูลอาหับว่า “ขอเชิญเสด็จขึ้นไปเสวยและดื่มเถิด เพราะมีเสียงฝนกระหึ่มมา”
1พกษ 18.42 อาหับก็เสด็จขึ้นไปเสวยและดื่ม และเอลียาห์ก็ขึ้นไปที่ยอดภูเขาคารเมล ท่านก็โน้มตัวลงถึงดิน ซบหน้าระหว่างเข่า
1พกษ 20.1 เบนฮาดัดกษัตริย์ซีเรียได้ประชุมกองทัพทั้งปวงของท่าน มีกษัตริย์สามสิบสององค์ขึ้นกับท่าน ทั้งม้าและรถรบ และท่านก็ขึ้นไปล้อมสะมาเรีย สู้รบกับเมืองนั้น
1พกษ 20.26 และอยู่มาพอสิ้นปีแล้วเบนฮาดัดก็เกณฑ์ชนซีเรีย ยกขึ้นไปถึงเมืองอาเฟกเพื่อสู้รบกับอิสราเอล
1พกษ 20.33 ฝ่ายคนเหล่านั้นกำลังหาช่องอยู่แล้ว เขาทั้งหลายก็รีบตอบโดยเร็วว่า “พระเจ้าข้า เบนฮาดัดอนุชาของพระองค์” แล้วพระองค์ตรัสว่า “ไปเถอะและนำท่านมา” แล้วเบนฮาดัดก็ออกมาหาพระองค์ แล้วพระองค์ก็ให้ท่านขึ้นไปบนรถรบ
1พกษ 22.6 แล้วกษัตริย์แห่งอิสราเอลก็เรียกประชุมพวกผู้พยากรณ์ประมาณสี่ร้อยคน ตรัสกับเขาว่า “ควรที่เราจะไปตีราโมทกิเลอาดหรือ หรือเราไม่ควรไป” และเขาทั้งหลายทูลตอบว่า “ขอเชิญเสด็จขึ้นไปเถิด เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงมอบไว้ในพระหัตถ์ของกษัตริย์”
1พกษ 22.12 และบรรดาผู้พยากรณ์ก็พยากรณ์อย่างนั้นทูลว่า “ขอเสด็จขึ้นไปราโมทกิเลอาดเถิด และมีชัยชนะ เพราะพระเยโฮวาห์จะทรงมอบเมืองนั้นไว้ในพระหัตถ์ของกษัตริย์”
1พกษ 22.15 และเมื่อท่านมาเฝ้ากษัตริย์ กษัตริย์ตรัสถามท่านว่า “มีคายาห์ ควรที่เราจะไปตีราโมทกิเลอาดหรือ หรือเราไม่ควรไป” และท่านทูลตอบพระองค์ว่า “ขอเชิญเสด็จขึ้นไปและมีชัยชนะ พระเยโฮวาห์จะทรงมอบไว้ในพระหัตถ์ของกษัตริย์”
1พกษ 22.20 และพระเยโฮวาห์ตรัสว่า ‘ผู้ใดจะเกลี้ยกล่อมอาหับเพื่อเขาจะขึ้นไปและล้มลงที่ราโมทกิเลอาด’ บ้างก็ทูลอย่างนี้ บ้างก็ทูลอย่างนั้น
1พกษ 22.29 กษัตริย์แห่งอิสราเอลกับเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์จึงเสด็จขึ้นไปยังราโมทกิเลอาด
2พกษ 1.4 เพราะฉะนั้นบัดนี้พระเยโฮวาห์ตรัสดั่งนี้ว่า ‘เจ้าจะไม่ได้ลงมาจากที่นอนซึ่งเจ้าขึ้นไปนั้น แต่เจ้าจะต้องตายแน่’” แล้วเอลียาห์ก็ไป
2พกษ 1.6 และเขาทั้งหลายทูลพระองค์ว่า “มีชายคนหนึ่งมาพบกับพวกข้าพระองค์ และพูดกับพวกข้าพระองค์ว่า ‘จงกลับไปหากษัตริย์ผู้ใช้ท่านมา และทูลพระองค์ว่า พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า เพราะไม่มีพระเจ้าในอิสราเอลแล้วหรือเจ้าจึงใช้คนไปถามบาอัลเซบูบพระแห่งเอโครน เพราะฉะนั้นเจ้าจะไม่ได้ลงมาจากที่นอนซึ่งเจ้าได้ขึ้นไปนั้น แต่เจ้าจะต้องตายแน่’”
2พกษ 1.9 แล้วกษัตริย์ก็รับสั่งให้นายกองของทหารห้าสิบคนพร้อมกับทหารห้าสิบคนของเขาไปหาเอลียาห์ เขาได้ขึ้นไปหาท่าน ดูเถิด ท่านนั่งอยู่บนยอดภูเขา และนายกองห้าสิบคนนั้นกล่าวแก่ท่านว่า “ข้าแต่คนแห่งพระเจ้า กษัตริย์ตรัสดังนี้ว่า ‘ลงมา’”
2พกษ 1.13 และพระองค์รับสั่งให้นายกองของทหารห้าสิบคนพวกที่สามไปพร้อมกับทหารห้าสิบคนของเขา และนายกองคนที่สามของทหารห้าสิบคนนั้นก็ขึ้นไป และมาคุกเข่าลงต่อหน้าเอลียาห์ และวิงวอนท่านว่า “โอ ข้าแต่คนแห่งพระเจ้า ข้าพเจ้าขออ้อนวอนต่อท่าน ขอได้โปรดให้ชีวิตของข้าพเจ้าและชีวิตของผู้รับใช้ของท่านห้าสิบคนนี้เป็นสิ่งประเสริฐในสายตาของท่าน
2พกษ 1.16 และทูลพระองค์ว่า “พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า ‘เพราะเจ้าได้ส่งผู้สื่อสารไปยังบาอัลเซบูบพระแห่งเอโครน เพราะไม่มีพระเจ้าในอิสราเอลที่จะทูลถามพระวจนะของพระองค์อย่างนั้นหรือ เพราะฉะนั้นเจ้าจะไม่ได้ลงมาจากที่นอนซึ่งเจ้าได้ขึ้นไปนั้น แต่เจ้าจะต้องตายแน่’”
2พกษ 2.1 และอยู่มาเมื่อถึงเวลาที่พระเยโฮวาห์จะทรงรับเอลียาห์ขึ้นไปสู่สวรรค์ด้วยลมหมุน เอลียาห์และเอลีชากำลังเดินทางจากหมู่บ้านกิลกาล
2พกษ 2.10 และท่านตอบว่า “ท่านขอสิ่งที่ยากนัก แต่ถ้าท่านเห็นข้าพเจ้าถูกรับขึ้นไปจากท่าน ท่านก็จะได้อย่างนั้น แต่ถ้าท่านไม่เห็น ก็จะไม่เป็นแก่ท่านอย่างนั้น”
2พกษ 2.11 และอยู่มาเมื่อท่านทั้งสองยังเดินพูดกันต่อไป ดูเถิด รถเพลิงคันหนึ่งและม้าเพลิงได้แยกท่านทั้งสองออกจากกัน และเอลียาห์ได้ขึ้นไปโดยลมหมุนเข้าสวรรค์
2พกษ 2.23 ท่านได้ขึ้นไปจากที่นั่นถึงเมืองเบธเอล และขณะเมื่อท่านขึ้นไปตามทางมีเด็กชายเล็กๆบางคนออกมาจากเมืองล้อเลียนท่านว่า “อ้ายหัวล้าน จงขึ้นไปเถิด อ้ายหัวล้าน จงขึ้นไปเถิด”
2พกษ 2.25 จากที่นั่นท่านก็ขึ้นไปถึงภูเขาคารเมล และจากที่นั่นท่านก็หันกลับมายังสะมาเรีย
2พกษ 3.8 แล้วท่านว่า “เราจะขึ้นไปทางใด” เยโฮรัมทรงตอบไปว่า “ไปทางถิ่นทุรกันดารเมืองเอโดม”
2พกษ 3.21 และเมื่อคนโมอับทั้งหลายได้ยินว่าบรรดากษัตริย์ยกไปสู้รบกับตน คนที่มีอายุสวมเกราะและสูงขึ้นไปก็ได้รวบรวมกันเข้า และยกไปตั้งที่พรมแดน
2พกษ 4.21 นางจึงอุ้มขึ้นไปวางไว้บนที่นอนของคนแห่งพระเจ้า และปิดประตูเสียแล้วไปข้างนอก
2พกษ 4.34 แล้วท่านขึ้นไปนอนทับเด็ก ให้ปากทับปาก ตาทับตา และมือทับมือ และเมื่อท่านเหยียดตัวของท่านบนเด็ก เนื้อของเด็กนั้นก็อุ่นขึ้นมา
2พกษ 4.35 แล้วท่านก็ลุกขึ้นอีกเดินไปเดินมาในเรือนนั้นครั้งหนึ่ง แล้วขึ้นไปเหยียดตัวของท่านบนเขา เด็กนั้นก็จามเจ็ดครั้ง และเด็กนั้นก็ลืมตาของตน
2พกษ 6.24 และอยู่มาภายหลังเบนฮาดัดกษัตริย์แห่งซีเรียทรงจัดกองทัพทั้งสิ้นของพระองค์แล้วได้เสด็จขึ้นไปล้อมกรุงสะมาเรีย
2พกษ 12.17 แล้วคราวนั้นฮาซาเอลกษัตริย์แห่งซีเรียได้ยกขึ้นไปสู้รบกับเมืองกัทและยึดเมืองนั้นได้ แต่เมื่อฮาซาเอลมุ่งพระพักตร์จะไปตีกรุงเยรูซาเล็ม
2พกษ 14.11 แต่อามาซิยาห์หาทรงฟังไม่ เยโฮอาชกษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงขึ้นไป และพระองค์กับอามาซิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ก็เผชิญหน้ากันที่เบธเชเมชซึ่งเป็นของยูดาห์
2พกษ 16.9 กษัตริย์แห่งอัสซีเรียก็ทรงฟังพระองค์ กษัตริย์แห่งอัสซีเรียก็ทรงยกทัพขึ้นไปยังดามัสกัสและยึดได้ จับประชาชนเมืองนั้นไปเป็นเชลยยังเมืองคีร์ และทรงประหารเรซีนเสีย
2พกษ 18.17 และกษัตริย์แห่งอัสซีเรียได้รับสั่งให้ทารทาน รับสารีสและรับชาเคห์ไปพร้อมกับกองทัพใหญ่จากเมืองลาคีชถึงกรุงเยรูซาเล็มเข้าเฝ้ากษัตริย์เฮเซคียาห์ เขาก็ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อเขาขึ้นมาเขาก็มายืนอยู่ทางรางระบายน้ำสระบน ซึ่งอยู่ที่ถนนลานซักฟอก
2พกษ 18.25 ยิ่งกว่านั้นอีกที่เรามาต่อสู้สถานที่นี้เพื่อทำลายเสีย ก็ขึ้นมาโดยปราศจากพระเยโฮวาห์หรือ พระเยโฮวาห์ตรัสแก่ข้าว่า “จงขึ้นไปต่อสู้กับแผ่นดินนี้และทำลายเสีย”’”
2พกษ 19.14 เฮเซคียาห์ทรงรับจดหมายจากมือของผู้สื่อสาร และทรงอ่าน และเฮเซคียาห์ได้ขึ้นไปยังพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และทรงคลี่จดหมายนั้นออกต่อเบื้องพระพักตร์พระเยโฮวาห์
2พกษ 19.23 เจ้าได้เย้ยองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยผู้สื่อสารของเจ้า และเจ้าได้ว่า “ด้วยรถรบเป็นอันมากของข้า ข้าได้ขึ้นไปที่สูงของภูเขา ถึงที่ไกลสุดของเลบานอน ข้าจะโค่นต้นสนสีดาร์ที่สูงที่สุดของมันลง ทั้งต้นสนสามใบที่ดีที่สุดของมัน ข้าจะเข้าไปในที่พำนักในชายแดนของมัน และที่ป่าไม้แห่งคารเมล
2พกษ 20.5 “จงกลับไปบอกเฮเซคียาห์เจ้านายแห่งประชาชนของเราว่า พระเยโฮวาห์พระเจ้าของดาวิดบรรพบุรุษของเจ้า ตรัสดังนี้ว่า ‘เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้าแล้ว เราได้เห็นน้ำตาของเจ้าแล้ว ดูเถิด เราจะรักษาเจ้า ในวันที่สามเจ้าจะขึ้นไปยังพระนิเวศของพระเยโฮวาห์
2พกษ 20.8 และเฮเซคียาห์ตรัสกับอิสยาห์ว่า “อะไรจะเป็นหมายสำคัญว่าพระเยโฮวาห์จะทรงรักษาข้าพเจ้า และว่าข้าพเจ้าจะได้ขึ้นไปยังพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ในวันที่สาม”
2พกษ 23.2 และกษัตริย์เสด็จขึ้นไปยังพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และคนยูดาห์ทั้งสิ้น และบรรดาชาวกรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับพระองค์ และปุโรหิต และผู้พยากรณ์ และประชาชนทั้งปวงทั้งเล็กและใหญ่ และพระองค์ทรงอ่านถ้อยคำทั้งหมดในหนังสือพันธสัญญา ซึ่งได้พบในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ให้เขาฟัง
2พกษ 23.9 ถึงอย่างไรก็ดีปุโรหิตแห่งปูชนียสถานสูงมิได้ขึ้นไปยังแท่นบูชาแห่งพระเยโฮวาห์ในกรุงเยรูซาเล็ม แต่เขาทั้งหลายกินขนมปังไร้เชื้อท่ามกลางพวกพี่น้องของเขาเอง
2พกษ 23.29 ในสมัยของพระองค์ ฟาโรห์เนโคกษัตริย์ของอียิปต์เสด็จขึ้นไปยังกษัตริย์แห่งอัสซีเรียถึงแม่น้ำยูเฟรติส กษัตริย์โยสิยาห์เสด็จไปปะทะพระองค์ และเมื่อฟาโรห์เนโคทรงเห็นพระองค์ก็ประหารพระองค์เสียที่เมืองเมกิดโด
1พศด 11.6 ดาวิดรับสั่งว่า “ผู้ใดที่โจมตีคนเยบุสได้ก่อนจะได้เป็นหัวหน้าและผู้บังคับบัญชา” และโยอาบบุตรชายของนางเศรุยาห์ได้ยกขึ้นไปก่อน ท่านจึงได้เป็นหัวหน้า
1พศด 13.6 ดาวิดกับอิสราเอลทั้งปวงขึ้นไปยังบาอาลาห์ คือคีริยาทเยอาริมซึ่งเป็นของยูดาห์ เพื่อจากที่นั่นจะได้เชิญหีบของพระเจ้าคือพระเยโฮวาห์ ผู้ประทับระหว่างพวกเครูบ อันเป็นหีบที่เรียกกันตามพระนาม
1พศด 14.8 เมื่อคนฟีลิสเตียได้ยินว่าดาวิดทรงรับการเจิมเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลทั้งปวงแล้ว คนฟีลิสเตียทั้งปวงก็ขึ้นไปแสวงหาดาวิด ดาวิดทรงได้ยินเรื่องนั้นก็เสด็จออกไปสู้รบกับเขาทั้งหลาย
1พศด 14.10 และดาวิดก็ทรงทูลถามพระเจ้าว่า “ควรที่ข้าพระองค์จะขึ้นไปต่อสู้ฟีลิสเตียหรือ พระองค์จะทรงมอบเขาไว้ในมือของข้าพระองค์หรือ” และพระเยโฮวาห์ตรัสตอบพระองค์ว่า “ขึ้นไปเถอะ และเราจะมอบเขาไว้ในมือเจ้า”
1พศด 14.14 และเมื่อดาวิดทูลถามพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง พระเจ้าตรัสตอบพระองค์ว่า “เจ้าอย่าขึ้นไปตามเขา จงอ้อมไปและโจมตีเขาที่ตรงข้ามกับหมู่ต้นหม่อน
1พศด 21.18 แล้วทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ได้บัญชาให้กาดทูลดาวิดว่า ให้ดาวิดขึ้นไปสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระเยโฮวาห์ที่ลานนวดข้าวของโอรนันคนเยบุส
1พศด 21.19 ดาวิดจึงเสด็จขึ้นไปตามคำของกาด ซึ่งท่านได้กราบทูลในพระนามของพระเยโฮวาห์
1พศด 23.3 คนเลวีนั้นอายุตั้งแต่สามสิบปีขึ้นไปก็ให้นับไว้ และรวมได้สามหมื่นแปดพันคน
1พศด 23.24 คนเหล่านี้เป็นคนเลวีตามเรือนบรรพบุรุษของเขา เป็นประมุขของบรรพบุรุษของเขา ตามที่เขาได้ขึ้นทะเบียนไว้ตามจำนวนชื่อรายบุคคล อายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไป ผู้ซึ่งจะทำงานปรนนิบัติในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์
1พศด 23.27 เพราะตามพระดำรัสสุดท้ายของดาวิด คนเลวีตั้งแต่อายุยี่สิบปีขึ้นไปถูกนับ
1พศด 26.16 ส่วนของชุปปิมและโฮสาห์ ออกมาสำหรับด้านตะวันตก ที่ประตูชัลเลเคท ตามถนนที่ขึ้นไป กำหนดยามตามยาม
2พศด 1.3 และซาโลมอนกับชุมนุมชนทั้งปวงที่อยู่กับพระองค์ได้ขึ้นไปที่ปูชนียสถานสูงซึ่งอยู่ที่กิเบโอน เพราะพลับพลาแห่งชุมนุมของพระเจ้า ซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์ได้สร้างขึ้นในถิ่นทุรกันดาร อยู่ที่นั่น
2พศด 1.6 และซาโลมอนเสด็จขึ้นไปที่นั่นยังแท่นบูชาทองสัมฤทธิ์ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ซึ่งอยู่ที่พลับพลาแห่งชุมนุม และทรงถวายเครื่องเผาบูชาหนึ่งพันตัวบนแท่นนั้น
2พศด 2.16 และพวกเราจะตัดตัวไม้เท่าที่ท่านต้องการจากเลบานอน และนำมาให้ท่านโดยแพทางทะเลถึงเมืองยัฟฟา เพื่อว่าท่านจะได้นำขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม”
2พศด 9.4 ทั้งอาหารที่โต๊ะเสวย กับการเข้าเฝ้าของบรรดาข้าราชการ และการปรนนิบัติรับใช้ของมหาดเล็กตลอดทั้งภูษาอาภรณ์ของเขา และพนักงานเชิญถ้วยของพระองค์ตลอดทั้งภูษาอาภรณ์ของเขา และการที่พระองค์เสด็จขึ้นไปในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ พระทัยของพระนางก็สลดลงทีเดียว
2พศด 11.4 ‘พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า เจ้าอย่าขึ้นไปสู้รบกับพี่น้องของเจ้า จงกลับไปบ้านของตนทุกคนเถิด เพราะสิ่งนี้เป็นมาจากเรา’” เขาทั้งหลายก็เชื่อฟังพระวจนะของพระเยโฮวาห์ และกลับไป ไม่ได้สู้รบกับเยโรโบอัม
2พศด 18.2 ครั้นล่วงมาหลายปีพระองค์เสด็จลงไปเฝ้าอาหับในสะมาเรีย และอาหับทรงฆ่าแกะและวัวมากมายสำหรับพระองค์ และสำหรับพลที่มากับพระองค์ และทรงชักชวนพระองค์ให้ขึ้นไปต่อสู้กับราโมทกิเลอาด
2พศด 18.5 แล้วกษัตริย์แห่งอิสราเอลก็เรียกประชุมพวกผู้พยากรณ์ประมาณสี่ร้อยคนตรัสกับเขาว่า “ควรที่เราจะไปตีราโมทกิเลอาดหรือ หรือเราไม่ควรไป” และเขาทั้งหลายทูลตอบว่า “ขอเชิญเสด็จขึ้นไปเถิด เพราะพระเจ้าจะทรงมอบไว้ในพระหัตถ์ของกษัตริย์”
2พศด 18.11 และบรรดาผู้พยากรณ์ก็พยากรณ์อย่างนั้น ทูลว่า “ขอเสด็จขึ้นไปราโมทกิเลอาดเถิด และจะมีชัยชนะ เพราะพระเยโฮวาห์จะทรงมอบเมืองนั้นไว้ในพระหัตถ์ของกษัตริย์”
2พศด 18.14 และเมื่อท่านมาเฝ้ากษัตริย์ กษัตริย์ตรัสถามท่านว่า “มีคายาห์ ควรที่เราจะไปตีราโมทกิเลอาดหรือ หรือเราไม่ควรไป” และท่านทูลตอบพระองค์ว่า “ขอเชิญเสด็จขึ้นไปและจะมีชัยชนะ เขาทั้งหลายจะถูกมอบไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์”
2พศด 18.19 และพระเยโฮวาห์ตรัสว่า ‘ผู้ใดจะเกลี้ยกล่อมอาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอล เพื่อเขาจะขึ้นไปและล้มลงที่ราโมทกิเลอาด’ บ้างก็ทูลอย่างนี้ บ้างก็ทูลอย่างนั้น
2พศด 18.28 กษัตริย์แห่งอิสราเอลกับเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์จึงเสด็จขึ้นไปยังราโมทกิเลอาด
2พศด 18.34 วันนั้นการรบก็ดุเดือดขึ้น และกษัตริย์อิสราเอลก็พยุงพระองค์เองขึ้นไปในรถรบของพระองค์หันพระพักตร์เข้าสู้ชนซีเรียจนถึงเวลาเย็น แล้วประมาณเวลาดวงอาทิตย์ตกพระองค์ก็สิ้นพระชนม์
2พศด 20.24 เมื่อยูดาห์ขึ้นไปอยู่ที่หอคอยที่ในถิ่นทุรกันดาร เขามองตรงไปที่คนหมู่ใหญ่นั้น และดูเถิด มีแต่ศพนอนอยู่บนแผ่นดิน ไม่มีสักคนเดียวที่รอดไปได้
2พศด 25.5 แล้วอามาซิยาห์ได้ประชุมพวกยูดาห์ และให้เขาอยู่ภายใต้ผู้บังคับกองพันและผู้บังคับกองร้อยตามเรือนบรรพบุรุษของเขา คือยูดาห์และเบนยามินทั้งสิ้น พระองค์ได้ทรงนับคนที่มีอายุยี่สิบปีขึ้นไปและทรงเห็นว่ามีชายฉกรรจ์สามแสนคน สามารถเข้าทำสงคราม สามารถถือหอกและโล่
2พศด 25.21 โยอาชกษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงเสด็จขึ้นไป พระองค์และอามาซิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ได้เผชิญหน้ากันที่เบธเชเมช ซึ่งเป็นของยูดาห์
2พศด 28.9 แต่ผู้พยากรณ์คนหนึ่งของพระเยโฮวาห์อยู่ที่นั่นชื่อว่าโอเดด ท่านออกไปพบกองทัพซึ่งมายังสะมาเรีย และพูดกับเขาทั้งหลายว่า “ดูเถิด เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่านทั้งหลายทรงกริ้วต่อยูดาห์ พระองค์ทรงมอบเขาทั้งหลายไว้ในมือของท่าน แต่ท่านทั้งหลายได้สังหารเขาเสียด้วยความเกรี้ยวกราดซึ่งขึ้นไปถึงฟ้าสวรรค์
2พศด 29.20 แล้วกษัตริย์เฮเซคียาห์ทรงลุกขึ้นแต่เช้า และรวบรวมเจ้านายของกรุง และเสด็จขึ้นไปยังพระนิเวศของพระเยโฮวาห์
2พศด 31.16 เว้นแต่คนเหล่านั้นที่ขึ้นทะเบียนไว้ตามผู้ชาย ตั้งแต่สามขวบขึ้นไป ทุกคนที่เข้าไปในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ เป็นเวรตามหน้าที่ประจำวันที่ต้องทำ เพื่อทำการปรนนิบัติตามหน้าที่โดยกองของเขา
2พศด 31.17 การขึ้นทะเบียนปุโรหิตก็กระทำตามวงศ์วานแห่งบรรพบุรุษของเขา ส่วนคนเลวีตั้งแต่อายุยี่สิบปีขึ้นไปก็ขึ้นตามหน้าที่ของเขา ตามกองเวรของเขาทั้งหลาย
2พศด 34.30 และกษัตริย์เสด็จขึ้นไปยังพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ พร้อมกับคนทั้งปวงของยูดาห์และชาวเยรูซาเล็มกับปุโรหิตและคนเลวี คนทั้งปวงทั้งใหญ่และเล็ก และพระองค์ทรงอ่านถ้อยคำทั้งสิ้นในหนังสือพันธสัญญา ซึ่งได้พบในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ให้เขาฟัง
2พศด 35.20 หลังจากสิ่งทั้งปวงเหล่านี้เมื่อโยสิยาห์ได้เตรียมพระวิหารไว้ เนโคกษัตริย์แห่งอียิปต์ได้เสด็จขึ้นไปสู้รบที่คารคะมีชที่แม่น้ำยูเฟรติส และโยสิยาห์เสด็จออกไปสู้รบกับพระองค์
2พศด 36.23 “ไซรัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซียตรัสดังนี้ว่า ‘พระเยโฮวาห์พระเจ้าของฟ้าสวรรค์ได้พระราชทานบรรดาราชอาณาจักรแห่งแผ่นดินโลกแก่เรา และพระองค์ทรงกำชับให้เราสร้างพระนิเวศให้พระองค์ที่เยรูซาเล็ม ซึ่งอยู่ในยูดาห์ มีผู้ใดในท่ามกลางท่านทั้งหลายที่เป็นประชาชนของพระองค์ ขอพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขาสถิตกับเขา ขอให้เขาขึ้นไปเถิด’”
อสร 1.3 มีผู้ใดในท่ามกลางท่านทั้งหลายที่เป็นประชาชนของพระองค์ ขอพระเจ้าของเขาสถิตกับเขา และขอให้เขาขึ้นไปยังเยรูซาเล็มซึ่งอยู่ในยูดาห์และสร้างพระนิเวศของพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล (คือพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า) ซึ่งอยู่ในเยรูซาเล็ม
อสร 3.8 ในปีที่สองซึ่งเขามาถึงพระนิเวศแห่งพระเจ้าที่เยรูซาเล็ม ในเดือนที่สอง เศรุบบาเบลบุตรชายเชอัลทิเอล และเยชูอาบุตรชายโยซาดัก ได้ทำการตั้งต้นพร้อมพี่น้องของเขาที่เหลืออยู่ คือบรรดาปุโรหิตและคนเลวีและคนทั้งปวงซึ่งมาจากการเป็นเชลยยังเยรูซาเล็ม เขาได้เลือกตั้งคนเลวี ตั้งแต่อายุยี่สิบปีขึ้นไป เพื่อให้ดูแลการงานของพระนิเวศแห่งพระเยโฮวาห์
อสร 7.6 เอสราคนนี้ได้ขึ้นไปจากบาบิโลน ท่านเป็นธรรมาจารย์ชำนาญในเรื่องพระราชบัญญัติของโมเสส ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลประทานให้ และกษัตริย์ประทานทุกอย่างที่ท่านทูลขอ เพราะว่าพระหัตถ์ของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านอยู่กับท่าน
อสร 7.7 มีบางคนในคนอิสราเอลและในบรรดาปุโรหิต บรรดาคนเลวี บรรดานักร้อง และคนเฝ้าประตู และคนใช้ประจำพระวิหาร ได้ขึ้นไปด้วย ถึงเยรูซาเล็มในปีที่เจ็ดแห่งรัชกาลกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส
อสร 7.9 เพราะในวันที่หนึ่งของเดือนที่หนึ่งท่านได้เริ่มขึ้นไปจากบาบิโลน และในวันที่หนึ่งของเดือนที่ห้าท่านมายังเยรูซาเล็ม เพราะว่าพระหัตถ์ประเสริฐของพระเจ้าของท่านอยู่กับท่าน
อสร 7.28 และทรงบันดาลให้ข้าพเจ้ามีความเมตตาต่อพระพักตร์กษัตริย์ และที่ปรึกษาของพระองค์ และต่อหน้าเจ้านายผู้ทรงอำนาจของกษัตริย์ และข้าพเจ้าก็มีใจกล้าขึ้น เพราะพระหัตถ์ของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้าอยู่กับข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้รวบรวมบุคคลชั้นผู้นำจากอิสราเอลขึ้นไปกับข้าพเจ้า
อสร 8.1 ต่อไปนี้เป็นประมุขของบรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย และนี่เป็นสำมะโนครัวเชื้อสายของบรรดาผู้ที่ขึ้นไปกับข้าพเจ้าจากบาบิโลน ในรัชกาลกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส คือ
อสร 9.6 และข้าพเจ้าทูลว่า “โอ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ละอายขวยเขินที่จะเงยหน้าหาพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ เพราะว่าความชั่วช้าของข้าพระองค์ทั้งหลายขึ้นสูงกว่าศีรษะของข้าพระองค์ และการละเมิดของข้าพระองค์ทั้งหลายกองขึ้นไปถึงฟ้าสวรรค์
นหม 2.15 แล้วข้าพเจ้าขึ้นไปกลางคืนทางลำธารและตรวจดูกำแพง แล้วกลับมาเข้าทางประตูหุบเขากลับที่เดิม
นหม 3.19 ถัดเขาไปคือ เอเซอร์บุตรชายเยชูอา ผู้ปกครองเมืองมิสปาห์ได้ซ่อมแซมอีกส่วนหนึ่งตรงข้ามกับทางขึ้นไปยังคลังอาวุธตรงที่มุมหักของกำแพง
นหม 3.28 บรรดาปุโรหิตได้ซ่อมแซมเหนือประตูม้าขึ้นไป ต่างก็ซ่อมที่ตรงข้ามกับเรือนของตน
นหม 4.3 โทบีอาห์คนอัมโมนอยู่ข้างๆท่าน และเขาพูดว่า “เออ สิ่งที่เขากำลังสร้างอยู่นั้น ถ้าสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งวิ่งขึ้นไป มันจะพังกำแพงหินของเขาลงมา”
นหม 12.31 แล้วข้าพเจ้าได้นำเจ้านายแห่งยูดาห์ขึ้นบนกำแพง และแต่งตั้งให้คณะใหญ่สองคณะ เป็นผู้กล่าวโมทนาและเดินเป็นกระบวนแห่ คณะหนึ่งไปทางขวาขึ้นไปบนกำแพงจนถึงประตูกองขยะ
อสธ 2.9 หญิงนั้นเป็นที่พอใจเขาและเธอก็เป็นที่โปรดปรานแก่เขา เขาจึงรีบจัดหาเครื่องประเทืองผิว และส่วนของเธอให้เธอ พร้อมกับสาวใช้ที่คัดเลือกแล้วเจ็ดคนจากราชสำนัก แล้วก็เลื่อนเธอและสาวใช้ของเธอขึ้นไปยังสถานที่ที่ดีที่สุดในฮาเร็ม
อสธ 4.2 ท่านขึ้นไปอยู่ตรงหน้าประตูของกษัตริย์ เพราะไม่มีผู้ใดที่สวมผ้ากระสอบเข้าประตูของกษัตริย์ได้
โยบ 2.12 เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นแต่ไกลเขาก็จำท่านไม่ได้ ก็เปล่งเสียงร้องไห้ ต่างก็ฉีกเสื้อคลุมของตน และซัดผงคลีดินเหนือศีรษะของตนขึ้นไปยังฟ้าสวรรค์
โยบ 6.18 หมู่คนเดินทางหันออกจากทางของเขา เขาขึ้นไปยังที่ร้างเปล่า และพินาศ
โยบ 20.6 แม้ความสูงของเขาเด่นขึ้นไปถึงฟ้าสวรรค์ และศีรษะของเขาไปถึงหมู่เมฆ
โยบ 36.27 เพราะพระองค์ทรงดึงหยดน้ำขึ้นไป ซึ่งตกลงเป็นฝนจากไอน้ำของพระองค์
สดด 24.3 ผู้ใดจะขึ้นไปบนภูเขาของพระเยโฮวาห์ และผู้ใดจะยืนอยู่ในที่บริสุทธิ์ของพระองค์
สดด 48.2 มองขึ้นไปก็ดูงาม เป็นความชื่นบานของแผ่นดินโลกทั้งสิ้น คือภูเขาศิโยน ด้านทิศเหนือ ซึ่งเป็นนครของพระมหากษัตริย์
สดด 104.8 น้ำนั้นขึ้นไปยังภูเขา แล้วไหลลงไปยังหุบเขา ไปยังที่ซึ่งพระองค์ทรงกำหนดไว้ให้น้ำนั้น
สดด 107.26 คนเหล่านั้นถูกซัดขึ้นไปสู่ท้องฟ้าและลงไปสู่ที่ลึก ใจของเขาละลายไปเพราะเหตุความยากลำบาก
สดด 122.4 เป็นที่ที่บรรดาตระกูลต่างๆขึ้นไป คือบรรดาตระกูลของพระเยโฮวาห์ ไปยังหีบพระโอวาทของอิสราเอล ให้ถวายโมทนาแก่พระนามของพระเยโฮวาห์
สดด 132.3 “แน่นอนข้าพระองค์จะไม่เข้าตัวบ้านหรือขึ้นไปนอนบนที่นอนของตน
สดด 139.8 ถ้าข้าพระองค์ขึ้นไปยังสวรรค์ พระองค์ทรงสถิตที่นั่น ถ้าข้าพระองค์จะทำที่นอนไว้ในนรก ดูเถิด พระองค์ทรงสถิตที่นั่น
สภษ 15.24 ทางแห่งชีวิตนำคนฉลาดขึ้นไปสู่เบื้องบน เพื่อเขาจะได้หลีกหนีจากนรกเบื้องล่าง
สภษ 30.4 ใครเล่าได้ขึ้นไปยังสวรรค์หรือลงมา ใครเล่าได้รวบรวมลมไว้ในกำมือของท่าน ใครเล่าได้เอาเครื่องแต่งกายห่อห้วงน้ำไว้ ใครเล่าได้สถาปนาที่สุดปลายแห่งแผ่นดินโลกไว้ นามของผู้นั้นว่ากระไร และนามบุตรชายของผู้นั้นว่ากระไร ถ้าท่านบอกได้
ปญจ 4.15 ข้าพเจ้าพิจารณาบรรดาคนที่มีชีวิตเดินไปเดินมาอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ ทั้งเด็กคนที่สองนั้นที่จะขึ้นไปแทนท่าน
อสย 2.3 และชนชาติทั้งหลายเป็นอันมากจะมากล่าวว่า “มาเถิด ให้เราขึ้นไปยังภูเขาของพระเยโฮวาห์ ยังพระนิเวศแห่งพระเจ้าของยาโคบ เพื่อพระองค์จะทรงสอนวิถีของพระองค์แก่เรา และเพื่อเราจะเดินในมรรคาของพระองค์” เพราะว่าพระราชบัญญัติจะออกมาจากศิโยน และพระวจนะของพระเยโฮวาห์จะออกมาจากเยรูซาเล็ม
อสย 7.6 “ให้เราทั้งหลายขึ้นไปต่อสู้กับยูดาห์และทำให้มันคร้ามกลัว และให้เราทะลวงเอาเมืองของเขาเพื่อเราเอง และตั้งบุตรของทาเบเอลให้เป็นกษัตริย์ท่ามกลางเมืองนั้น”
อสย 14.13 เจ้ารำพึงในใจของเจ้าว่า ‘ข้าจะขึ้นไปยังฟ้าสวรรค์ ข้าจะตั้งพระที่นั่งของข้า ณ เหนือดวงดาวทั้งหลายของพระเจ้า ข้าจะนั่งบนขุนเขาชุมนุมสถาน ณ ด้านทิศเหนือ
อสย 14.14 ข้าจะขึ้นไปเหนือความสูงของเมฆ ข้าจะกระทำตัวของข้าเหมือนองค์ผู้สูงสุด’
อสย 15.2 เขาได้ขึ้นไปยังบายิทและดีโบน ไปยังปูชนียสถานสูงเพื่อจะร่ำไห้ โมอับจะคร่ำครวญถึงเนโบและถึงเมเดบา ศีรษะทุกศีรษะจะโล้น และหนวดเคราทุกคนก็ถูกโกนออกเสีย
อสย 15.5 จิตใจของข้าพเจ้าจะร้องออกมาเพื่อโมอับ ผู้หลบภัยของโมอับนั้นจะหนีไปยังโศอาร์ เหมือนยังวัวสาวที่มีอายุสามปี เพราะตามทางขึ้นไปเมืองลูฮีท เขาจะขึ้นไปคร่ำครวญ ตามถนนสู่เมืองโฮโรนาอิม เขาจะเปล่งเสียงร้องถึงการทำลาย
อสย 21.2 เขาบอกนิมิตที่เหี้ยมหาญแก่ข้าพเจ้า ว่าผู้ปล้นเข้าปล้น ผู้ทำลายเข้าทำลาย โอ เอลามเอ๋ย จงขึ้นไป โอ มีเดียเอ๋ย จงเข้าล้อมซึ่งมันให้เกิดการถอนหายใจทั้งสิ้น เราได้กระทำให้สิ้นไปแล้ว
อสย 22.1 ภาระเกี่ยวกับที่ลุ่มแห่งนิมิต ที่เจ้าได้ขึ้นไป เจ้าทุกคน ที่บนหลังคาเรือนนั้น เป็นเรื่องอะไรกัน
อสย 36.10 ยิ่งกว่านั้นอีกที่เรามาต่อสู้แผ่นดินนี้เพื่อทำลายเสีย ก็ขึ้นมาโดยปราศจากพระเยโฮวาห์หรือ พระเยโฮวาห์ตรัสแก่ข้าว่า “จงขึ้นไปต่อสู้แผ่นดินนี้และทำลายเสีย”’”
อสย 37.14 เฮเซคียาห์ทรงรับจดหมายจากมือผู้สื่อสาร และทรงอ่าน และเฮเซคียาห์ได้ขึ้นไปยังพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และทรงคลี่จดหมายนั้นออกต่อเบื้องพระพักตร์พระเยโฮวาห์
อสย 38.22 เฮเซคียาห์ได้ตรัสด้วยว่า “อะไรจะเป็นหมายสำคัญว่า ข้าพเจ้าจะได้ขึ้นไปยังพระนิเวศของพระเยโฮวาห์”
อสย 40.9 โอ ศิโยนเอ๋ย ผู้นำข่าวดี เจ้าจงขึ้นไปบนภูเขาสูง โอ เยรูซาเล็มเอ๋ย ผู้นำข่าวดี จงเปล่งเสียงของเจ้าด้วยเต็มกำลัง จงเปล่งเสียงเถิด อย่ากลัวเลย จงกล่าวแก่หัวเมืองแห่งยูดาห์ว่า “ดูเถิด นี่พระเจ้าของเจ้า”
อสย 57.8 เจ้าได้ตั้งอนุสาวรีย์ของเจ้าไว้หลังประตูและเสาประตู เจ้าจึงเปิดผ้าคลุมที่นอนของเจ้า เจ้าขึ้นไปบนนั้น เจ้าทำให้มันกว้าง และเจ้าตกลงกับมันเพื่อเจ้าเอง เจ้ารักที่นอนของมัน และเจ้าได้มองดูการเปลือย
อสย 60.7 ฝูงแพะแกะทั้งสิ้นแห่งเคดาร์จะรวมมาหาเจ้า แกะผู้ของเนบาโยทจะปรนนิบัติเจ้า มันจะขึ้นไปบนแท่นบูชาของเราอย่างเป็นที่โปรดปราน และเราจะให้นิเวศแห่งสง่าราศีของเราได้รับสง่าราศี
ยรม 3.6 พระเยโฮวาห์ตรัสกับข้าพเจ้าในรัชกาลของกษัตริย์โยสิยาห์ว่า “เธอทำอะไรเจ้าเห็นหรือ คืออิสราเอลผู้กลับสัตย์ เธอขึ้นไปบนภูเขาสูงทุกลูก และใต้ต้นไม้เขียวสดทุกต้น แล้วก็ไปเล่นชู้อยู่ที่นั่น
ยรม 5.10 ขึ้นไปตามกำแพงของมันและทำลายเสีย แต่อย่าไปถึงอวสานทีเดียว เอาเชิงเทินของมันออก เพราะนั่นไม่ใช่เป็นของพระเยโฮวาห์
ยรม 14.2 “ยูดาห์ไว้ทุกข์ และประตูเมืองทั้งปวงของเธอก็อ่อนกำลังลง ประชาชนของเธอก็แต่งดำหน้าก้มอยู่บนแผ่นดิน และเสียงร้องของเยรูซาเล็มก็ขึ้นไป
ยรม 22.20 จงขึ้นไปที่เลบานอน และร้องว่า และจงเปล่งเสียงของเจ้าในเมืองบาชาน จงร้องจากทางผ่านข้างนอก เพราะว่าคนรักทั้งสิ้นของเจ้าถูกทำลายเสียแล้ว
ยรม 46.11 โอ ธิดาพรหมจารีแห่งอียิปต์เอ๋ย จงขึ้นไปที่กิเลอาด และไปเอาพิมเสน เจ้าได้ใช้ยาเป็นอันมากแล้ว และก็ไร้ผล สำหรับเจ้านั้นรักษาไม่หาย
ยรม 48.5 เพราะเขาทั้งหลายจะขึ้นไปร้องไห้ที่ทางขึ้นเมืองลูฮีท เพราะพวกศัตรูได้ยินเสียงร้องไห้เพราะการทำลาย ที่ทางลงจากเมืองโฮโรนาอิม
ยรม 48.15 เมืองโมอับถูกทำลายและขึ้นไปจากหัวเมืองของมันแล้ว และคนหนุ่มๆที่คัดเลือกแล้วของเมืองก็ลงไปสู่การถูกฆ่า พระบรมมหากษัตริย์ผู้ทรงพระนามว่า พระเยโฮวาห์จอมโยธา ตรัสดังนี้แหละ
ยรม 50.21 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า จงขึ้นไปสู้แผ่นดินเมราธาอิม และต่อสู้ชาวเมืองเปโขด จงฆ่าเขาและตามทำลายเสียให้สิ้นเชิง และจงกระทำทุกอย่างตามที่เราได้บัญชาเจ้าไว้
ยรม 51.9 เราทั้งหลายอยากจะรักษาบาบิโลนให้หาย แต่เธอไม่หาย ละทิ้งเธอเสียเถิด และให้เราไป ต่างไปยังประเทศของตน เพราะว่าการพิพากษาเธอได้ขึ้นไปถึงฟ้าสวรรค์ และได้ถูกยกขึ้นถึงฟากฟ้า
ยรม 51.53 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า ถึงแม้บาบิโลนจะขึ้นไปบนสวรรค์ และถึงแม้เธอจะสร้างป้อมกันที่สูงอันเข้มแข็งของเธอไว้ บรรดาผู้ทำลายก็ยังจะมาจากเราเหนือเธอ
อสค 1.27 และข้าพเจ้าเห็นประหนึ่งทองสัมฤทธิ์ที่แวบวาบ เหมือนไฟที่บังไว้อยู่รอบข้าง เหนือสิ่งที่เหมือนบั้นเอวของผู้นั้นขึ้นไป และจากสิ่งที่เหมือนบั้นเอวลงมา ข้าพเจ้าเห็นเหมือนไฟ และมีความสุกใสที่อยู่รอบท่านผู้นั้น
อสค 8.2 แล้วข้าพเจ้าก็มองดู และดูเถิด มีสัณฐานอย่างไฟ เบื้องล่างของส่วนที่มองเห็นเป็นเอวนั้นเป็นไฟ เหนือเอวขึ้นไปเหมือนความสุกปลั่งประหนึ่งทองสัมฤทธิ์ที่แวบวาบ
อสค 8.5 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย บัดนี้จงเงยหน้าขึ้นไปดูทางทิศเหนือ” ข้าพเจ้าจึงเงยหน้าขึ้นมองไปดูทางทิศเหนือ และดูเถิด ทางทิศเหนือของประตูแท่นบูชาในทางเข้า รูปความหวงแหนนี้อยู่ที่นั่น
อสค 8.11 และมีพวกผู้ใหญ่แห่งวงศ์วานอิสราเอลเจ็ดสิบคนยืนอยู่ข้างหน้ารูปเหล่านั้น และมียาอาซันยาห์ บุตรชายชาฟานยืนอยู่ในหมู่พวกเขาทั้งหลาย ต่างก็มีกระถางไฟอยู่ในมือ และควันหนาทึบแห่งเครื่องบูชาก็ขึ้นไปข้างบน
อสค 9.3 สง่าราศีของพระเจ้าของอิสราเอลได้เหาะขึ้นไปจากเครูบ แล้วซึ่งเป็นที่เคยสถิตไปยังธรณีประตูพระนิเวศ และพระองค์ตรัสเรียกชายผู้ที่นุ่งห่มผ้าป่าน ผู้ที่หนีบหีบเครื่องเขียน
อสค 10.17 เมื่อเหล่าเครูบหยุดนิ่ง เหล่าวงล้อก็หยุดนิ่ง เมื่อเหล่าเครูบเหาะขึ้น เหล่าวงล้อก็เหาะขึ้นไปด้วย เพราะว่าวิญญาณของสิ่งที่มีชีวิตอยู่นั้นอยู่ในวงล้อ
อสค 10.19 เมื่อเหล่าเครูบออกไปก็กางปีกออกบินขึ้นไปจากพิภพท่ามกลางสายตาของข้าพเจ้า วงล้อก็ตามข้างไปด้วย และไปยืนอยู่ที่ทางเข้าประตูด้านตะวันออกของพระนิเวศแห่งพระเยโฮวาห์ และสง่าราศีของพระเจ้าของอิสราเอลก็อยู่เหนือเครูบเหล่านั้น
อสค 11.23 สง่าราศีของพระเยโฮวาห์ขึ้นไปจากกลางนคร ไปสถิตอยู่บนภูเขาซึ่งอยู่ทางด้านตะวันออกของนครนั้น
อสค 11.24 ต่อมาพระวิญญาณได้ยกข้าพเจ้าขึ้น และนำข้าพเจ้ามาด้วยนิมิตโดยพระวิญญาณของพระเจ้าถึงเมืองเคลเดีย มาสู่พวกที่ถูกกวาดไปเป็นเชลย แล้วนิมิตที่ข้าพเจ้าได้เห็นนั้นก็ขึ้นไปจากข้าพเจ้า
อสค 13.5 เจ้าไม่ได้ขึ้นไปถึงที่ชำรุด และไม่ได้สร้างรั้วต้นไม้เพื่อวงศ์วานอิสราเอล เพื่อให้ตั้งอยู่ได้ในสงครามในวันแห่งพระเยโฮวาห์
อสค 40.6 แล้วท่านเข้าไปตามหอประตูซึ่งหันหน้าไปทิศตะวันออกขึ้นไปตามบันได และวัดธรณีหอประตูได้ลึกหนึ่งไม้วัดและอีกธรณีหนึ่งได้ลึกหนึ่งไม้วัด
อสค 40.22 หน้าต่าง มุข ต้นอินทผลัมของหอประตูนี้มีขนาดเดียวกับของหอประตูซึ่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก และมีบันไดเจ็ดขั้นนำขึ้นไปถึง และมุขนั้นอยู่ข้างใน
อสค 40.26 มีบันไดเจ็ดขั้นนำขึ้นไปถึง และมุขนั้นอยู่ข้างใน มีต้นอินทผลัมอยู่ที่เสาด้านละต้น
อสค 40.40 และทางด้านนอก ทางที่เขาขึ้นไปถึงทางเข้าหอประตูเหนือมีโต๊ะสองโต๊ะ อีกด้านหนึ่งของมุมของหอประตูมีโต๊ะสองโต๊ะ
อสค 41.7 ห้องระเบียงนั้นยิ่งสูงขึ้นไปก็ยิ่งกว้างออก ตามส่วนขยายของหยักบ่าจากห้องหนึ่งซ้อนอยู่บนอีกห้องหนึ่งโดยรอบ ที่ข้างพระนิเวศมีบันไดนำขึ้นข้างบน ดังนี้แหละผู้ใดที่ขึ้นไปจากห้องต่ำที่สุดถึงห้องบนก็ต้องลอดผ่านห้องกลาง
ดนล 4.11 ต้นไม้เติบโตและแข็งแรง ยอดของมันขึ้นไปถึงฟ้าสวรรค์ และประจักษ์ไปถึงที่สุดปลายพิภพ
ดนล 4.20 ต้นไม้ที่พระองค์ทอดพระเนตร ซึ่งเติบโตขึ้นและแข็งแรง จนยอดขึ้นไปถึงฟ้าสวรรค์ ประจักษ์ไปทั่วพิภพทั้งสิ้น
ดนล 4.22 โอ ข้าแต่กษัตริย์ นี่คือพระองค์เอง ผู้ทรงเจริญและเข้มแข็ง ความยิ่งใหญ่ของพระองค์ได้เจริญ และขึ้นไปถึงฟ้าสวรรค์ และราชอาณาจักรของพระองค์ก็ไปถึงสุดปลายพิภพ
ฮชย 1.11 และวงศ์วานยูดาห์กับวงศ์วานอิสราเอลจะรวมเข้าด้วยกัน และเขาทั้งหลายจะตั้งผู้หนึ่งให้เป็นประมุข และจะพากันขึ้นไปจากแผ่นดินนั้น เพราะวันของยิสเรเอลจะสำคัญมาก
ฮชย 4.15 อิสราเอลเอ๋ย ถึงเจ้าจะเล่นชู้ก็อย่าให้ยูดาห์มีความผิด อย่าเข้าไปในเมืองกิลกาลหรือขึ้นไปยังเบธาเวน และอย่าปฏิญาณว่า “พระเยโฮวาห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด”
อบด 1.4 แม้ว่าเจ้าเหินขึ้นไปสูงเหมือนนกอินทรี แม้ว่ารังของเจ้าอยู่ในหมู่ดวงดาวทั้งหลาย เราจะฉุดเจ้าลงมาจากที่นั่น พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
อบด 1.21 พวกผู้ช่วยให้พ้นจะขึ้นไปที่ภูเขาศิโยนเพื่อปกครองภูเขาเอซาว และราชอาณาจักรนั้นจะตกเป็นของพระเยโฮวาห์
มคา 2.13 ผู้ที่ทะลวงออกได้จะขึ้นไปก่อนเขาทั้งหลาย เขาทั้งหลายจะทะลวงออกไปและผ่านออกประตูเมือง เขาจะออกไปทางนี้ กษัตริย์ของเขาทั้งหลายจะเสด็จไปก่อน และพระเยโฮวาห์จะทรงนำหน้าเขา
มคา 4.2 และประชาชาติเป็นอันมากจะมากล่าวว่า “มาเถิด ให้เราขึ้นไปยังภูเขาของพระเยโฮวาห์ ยังพระนิเวศแห่งพระเจ้าของยาโคบ เพื่อพระองค์จะทรงสอนวิถีของพระองค์แก่เรา และเพื่อเราจะเดินในมรรคาของพระองค์” เพราะว่าพระราชบัญญัติจะออกมาจากศิโยน และพระวจนะของพระเยโฮวาห์จะออกมาจากเยรูซาเล็ม
นฮม 2.7 ฮัสซาปจะถูกนำไปเป็นเชลย นางจะถูกนำขึ้นไป บรรดาสาวใช้จะนำหน้านางไปด้วยเสียงนกเขา ตีอกชกใจของตน
ฮกก 1.8 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า จงขึ้นไปที่เนินเขาและนำไม้มาสร้างพระนิเวศ เราจะมีความพอใจในพระนิเวศนั้น และเราจะได้รับเกียรติ
ศคย 14.16 และอยู่มาบรรดาคนที่เหลืออยู่ในประชาชาติทั้งปวงซึ่งยกขึ้นมาสู้รบกับเยรูซาเล็ม จะขึ้นไปนมัสการกษัตริย์ปีแล้วปีเล่า คือพระเยโฮวาห์จอมโยธา และจะถือเทศกาลอยู่เพิง
ศคย 14.17 ถ้าครอบครัวใดในพื้นพิภพไม่ขึ้นไปยังเยรูซาเล็มเพื่อนมัสการกษัตริย์ คือพระเยโฮวาห์จอมโยธา ฝนก็จะไม่ตกเหนือเขาเหล่านั้น
ศคย 14.18 และถ้าครอบครัวแห่งอียิปต์ ซึ่งขาดฝนแล้ว ไม่ขึ้นไปปรากฏตัวที่นั่น ก็จะบังเกิดภัยพิบัติด้วย ซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงใช้โจมตีประชาชาติอื่นๆซึ่งไม่ขึ้นไปถือเทศกาลอยู่เพิง
ศคย 14.19 ที่กล่าวนี้จะเป็นการลงทัณฑ์อียิปต์และเป็นการลงทัณฑ์ประชาชาติทั้งสิ้น ซึ่งไม่ขึ้นไปถือเทศกาลอยู่เพิง
มธ 4.5 แล้วพญามารก็นำพระองค์ขึ้นไปยังนครบริสุทธิ์ และให้พระองค์ประทับที่ยอดหลังคาพระวิหาร
มธ 4.8 อีกครั้งหนึ่งพญามารได้นำพระองค์ขึ้นไปบนภูเขาอันสูงยิ่งนัก และได้แสดงบรรดาราชอาณาจักรในโลก ทั้งความรุ่งเรืองของราชอาณาจักรเหล่านั้นให้พระองค์ทอดพระเนตร
มธ 5.1 ครั้นทอดพระเนตรเห็นคนมากดังนั้น พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปบนภูเขา และเมื่อประทับแล้ว เหล่าสาวกของพระองค์มาเฝ้าพระองค์
มธ 14.23 และเมื่อให้ประชาชนเหล่านั้นไปหมดแล้ว พระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขาโดยลำพังเพื่อจะอธิษฐาน เมื่อถึงเวลาค่ำ พระองค์ยังทรงอยู่ที่นั่นแต่ผู้เดียว
มธ 15.29 พระเยซูจึงเสด็จจากที่นั่นมายังทะเลกาลิลี แล้วเสด็จขึ้นไปบนภูเขาทรงประทับที่นั่น
มธ 18.12 ท่านทั้งหลายคิดเห็นอย่างไร ถ้าผู้หนึ่งมีแกะอยู่ร้อยตัว และตัวหนึ่งหลงหายไปจากฝูง ผู้นั้นจะไม่ละแกะเก้าสิบเก้าตัวไว้แล้วขึ้นไปบนภูเขาเที่ยวหาตัวที่หายนั้นหรือ
มธ 20.17 เมื่อพระเยซูจะเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ขณะอยู่ตามหนทางได้พาเหล่าสาวกสิบสองคนไปแต่ลำพัง และตรัสกับเขาว่า
มธ 20.18 “ดูเถิด เราทั้งหลายจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และบุตรมนุษย์จะถูกทรยศให้อยู่กับพวกปุโรหิตใหญ่และพวกธรรมาจารย์ และเขาเหล่านั้นจะปรับโทษท่านถึงตาย
มก 10.32 เมื่อกำลังเดินทางจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม พระเยซูก็เสด็จนำหน้าเขา ฝ่ายเหล่าสาวกก็พากันคิดประหลาดใจ และขณะที่เขาตามมาก็หวาดกลัว พระองค์จึงทรงเรียกสาวกสิบสองคนอีก แล้วเริ่มตรัสสำแดงให้เขาทราบถึงเหตุการณ์ซึ่งจะเกิดแก่พระองค์นั้น
มก 10.33 ว่า “ดูเถิด เราทั้งหลายจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และเขาจะมอบบุตรมนุษย์ไว้กับพวกปุโรหิตใหญ่และพวกธรรมาจารย์ และเขาเหล่านั้นจะปรับโทษท่านถึงตาย และจะมอบท่านไว้กับคนต่างชาติ
มก 16.19 ครั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งเขาแล้ว พระองค์ทรงถูกรับขึ้นไปในสวรรค์ ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า
ลก 2.4 ฝ่ายโยเซฟก็ขึ้นไปจากเมืองนาซาเร็ธแคว้นกาลิลีถึงเมืองของดาวิด ชื่อเบธเลเฮมแคว้นยูเดียด้วย (เพราะว่าเขาเป็นวงศ์วานและเชื้อสายของดาวิด)
ลก 2.41 ฝ่ายบิดามารดาเคยขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มในการเลี้ยงเทศกาลปัสกาทุกปีๆ
ลก 2.42 เมื่อพระกุมารมีพระชนมายุสิบสองพรรษา เขาทั้งหลายก็ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มตามธรรมเนียมการเลี้ยงนั้น
ลก 4.5 แล้วพญามารจึงนำพระองค์ขึ้นไปยังภูเขาที่สูง สำแดงบรรดาราชอาณาจักรทั่วพิภพในขณะเดียวให้พระองค์ทอดพระเนตร
ลก 5.19 เมื่อหาช่องเอาเข้ามาไม่ได้เพราะคนมาก เขาจึงขึ้นไปบนดาดฟ้าหลังคาบ้านหย่อนคนอัมพาตลงมา ทั้งที่นอนตามช่องกระเบื้องตรงกลางหมู่คนต่อพระพักตร์พระเยซู
ลก 9.28 ต่อมาภายหลังพระองค์ได้ตรัสคำเหล่านั้นประมาณแปดวัน พระองค์จึงทรงพาเปโตร ยอห์น และยากอบขึ้นไปบนภูเขาเพื่อจะอธิษฐาน
ลก 9.51 ต่อมาครั้นจวนเวลาที่พระองค์จะทรงถูกรับขึ้นไป พระองค์ทรงมุ่งพระพักตร์แน่วไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
ลก 18.10 “มีชายสองคนขึ้นไปอธิษฐานในพระวิหาร คนหนึ่งเป็นพวกฟาริสี และคนหนึ่งเป็นพวกเก็บภาษี
ลก 18.31 พระองค์ทรงพาสาวกสิบสองคนไปกับพระองค์แล้วตรัสกับเขาว่า “ดูเถิด เราทั้งหลายจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และสิ่งสารพัดซึ่งเหล่าศาสดาพยากรณ์ได้เขียนไว้ว่าด้วยบุตรมนุษย์นั้นจะสำเร็จ
ลก 19.28 เมื่อพระองค์ตรัสคำเหล่านั้นแล้ว พระองค์ทรงดำเนินนำหน้าเขาไปจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
ลก 24.51 ต่อมาเมื่อทรงอวยพรอยู่นั้น พระองค์จึงไปจากเขา แล้วทรงถูกรับขึ้นไปสู่สวรรค์
ยน 2.13 เทศกาลปัสกาของพวกยิวใกล้เข้ามาแล้ว และพระเยซูเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
ยน 3.13 ไม่มีผู้ใดได้ขึ้นไปสู่สวรรค์นอกจากท่านที่ลงมาจากสวรรค์ คือบุตรมนุษย์ผู้ทรงสถิตในสวรรค์นั้น
ยน 5.1 หลังจากนั้นก็ถึงเทศกาลเลี้ยงของพวกยิว และพระเยซูก็เสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
ยน 6.3 พระเยซูเสด็จขึ้นไปบนภูเขาและประทับกับเหล่าสาวกของพระองค์ที่นั่น
ยน 6.62 ถ้าท่านจะได้เห็นบุตรมนุษย์เสด็จขึ้นไปยังที่ที่ท่านอยู่แต่ก่อนนั้น ท่านจะว่าอย่างไร
ยน 7.8 พวกท่านจงขึ้นไปในเทศกาลนั้นเถิด เราจะยังไม่ขึ้นไปในเทศกาลนั้น เพราะว่ายังไม่ถึงกำหนดเวลาของเรา”
ยน 7.10 แต่เมื่อพวกน้องๆของพระองค์ขึ้นไปในเทศกาลนั้นแล้ว พระองค์ก็เสด็จตามขึ้นไปด้วย แต่ไปอย่างลับๆ ไม่เปิดเผย
ยน 7.14 ครั้นถึงวันกลางเทศกาลนั้น พระเยซูได้เสด็จขึ้นไปในพระวิหารและทรงสั่งสอน
ยน 11.55 ขณะนั้นใกล้จะถึงเทศกาลปัสกาของพวกยิวแล้ว และคนเป็นอันมากได้ออกจากหัวเมืองนั้นขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มก่อนเทศกาลปัสกาเพื่อจะชำระตัว
ยน 12.20 ในหมู่คนทั้งหลายที่ขึ้นไปนมัสการในเทศกาลเลี้ยงนั้นมีพวกกรีกบ้าง
กจ 1.2 จนถึงวันที่พระองค์ทรงถูกรับขึ้นไป ในเมื่อได้ตรัสสั่งโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่อัครสาวก ซึ่งพระองค์ทรงเลือกไว้แล้วนั้น
กจ 1.9 เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนั้นแล้ว ในขณะที่เขาทั้งหลายกำลังพินิจดู พระองค์ก็ถูกรับขึ้นไป และมีเมฆคลุมพระองค์ให้พ้นสายตาของเขา
กจ 1.10 เมื่อเขากำลังเขม้นดูฟ้าเวลาที่พระองค์เสด็จขึ้นไปนั้น ดูเถิด มีชายสองคนสวมเสื้อขาวมายืนอยู่ข้างๆเขา
กจ 1.11 สองคนนั้นกล่าวว่า “ชาวกาลิลีเอ๋ย เหตุไฉนท่านจึงยืนเขม้นดูฟ้าสวรรค์ พระเยซูองค์นี้ซึ่งทรงรับไปจากท่านขึ้นไปยังสวรรค์นั้น จะเสด็จมาอีกเหมือนอย่างที่ท่านทั้งหลายได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์นั้น”
กจ 1.13 เมื่อเข้ากรุงแล้วเขาเหล่านั้นจึงขึ้นไปยังห้องชั้นบน ซึ่งมีทั้งเปโตร ยากอบ ยอห์นกับอันดรูว์ ฟีลิปกับโธมัส บารโธโลมิวกับมัทธิว ยากอบบุตรชายอัลเฟอัส ซีโมนเศโลเท กับยูดาสน้องชายของยากอบ พักอยู่นั้น
กจ 1.22 คือตั้งแต่บัพติศมาของยอห์น จนถึงวันที่พระองค์ทรงถูกรับขึ้นไปจากเรา คนหนึ่งในพวกนี้จะต้องตั้งไว้ให้เป็นพยานกับเราถึงการคืนพระชนม์ของพระองค์”
กจ 2.34 เหตุว่าท่านดาวิดไม่ได้ขึ้นไปยังสวรรค์ แต่ท่านได้กล่าวว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า จงนั่งที่ขวามือของเรา
กจ 3.1 ฝ่ายเปโตรกับยอห์นกำลังขึ้นไปจะเข้าพระวิหารในเวลาอธิษฐาน เป็นเวลาบ่ายสามโมง
กจ 9.39 ฝ่ายเปโตรจึงลุกขึ้นไปกับเขา เมื่อถึงแล้วเขาพาท่านขึ้นไปในห้องชั้นบน และบรรดาหญิงม่ายได้ยืนอยู่กับท่านพากันร้องไห้และชี้ให้ท่านดูเสื้อคลุมกับเสื้อผ้าต่างๆซึ่งโดรคัสทำเมื่อยังมีชีวิตอยู่
กจ 10.4 และเมื่อโครเนลิอัสเขม้นดูทูตสวรรค์องค์นั้นด้วยความตกใจกลัว จึงถามว่า “นี่เป็นประการใด พระองค์เจ้าข้า” ทูตสวรรค์จึงตอบท่านว่า “คำอธิษฐานและทานของท่านนั้น ได้ขึ้นไปเป็นที่ระลึกถึงจำเพาะพระพักตร์พระเจ้าแล้ว
กจ 10.9 วันรุ่งขึ้นคนเหล่านั้นกำลังเดินทางไปใกล้เมืองยัฟฟาแล้ว ประมาณเวลาเที่ยงวันเปโตรก็ขึ้นไปบนหลังคาบ้านเพื่อจะอธิษฐาน
กจ 10.16 เห็นอย่างนั้นถึงสามครั้ง แล้วสิ่งนั้นก็ถูกรับขึ้นไปอีกในท้องฟ้า
กจ 11.2 เมื่อเปโตรขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มแล้ว พวกที่เข้าสุหนัตจึงต่อว่าท่าน
กจ 11.10 เป็นอย่างนั้นถึงสามครั้ง แล้วสิ่งนั้นทั้งสิ้นก็ถูกรับขึ้นไปบนฟ้าอีก
กจ 15.2 เหตุฉะนั้นเมื่อเกิดการโต้แย้งและไล่เลียงกันระหว่างเปาโลและบารนาบัสกับคนเหล่านั้นมากมายแล้ว เขาทั้งหลายได้ตั้งเปาโลและบารนาบัสกับคนอื่นๆในพวกนั้นให้ขึ้นไป หารือกับอัครสาวกและผู้ปกครองในกรุงเยรูซาเล็มในเรื่องที่เถียงกันนั้น
กจ 18.22 ครั้นมาถึงเมืองซีซารียา ท่านได้ขึ้นไปคำนับคริสตจักรแล้วลงไปยังเมืองอันทิโอก
กจ 20.11 ครั้นเปาโลขึ้นไปห้องชั้นบนหักขนมปังและรับประทานแล้ว ก็สนทนาต่อไปอีกช้านานจนสว่าง ท่านก็ลาเขาไป
กจ 21.4 เมื่อไปหาพวกสาวกพบแล้ว เราจึงพักอยู่ที่นั่นเจ็ดวัน สาวกได้เตือนเปาโลโดยพระวิญญาณ มิให้ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
กจ 21.12 ครั้นเราได้ยินดังนั้น เรากับคนทั้งหลายที่อยู่ที่นั่น จึงอ้อนวอนเปาโลมิให้ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
กจ 21.15 ภายหลังวันเหล่านั้นเราก็จัดแจงข้าวของ และขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
กจ 22.23 เมื่อเขาทั้งหลายกำลังโห่ร้องและถอดเสื้อเอาผงคลีดินซัดขึ้นไปในอากาศ
กจ 24.11 ท่านสืบทราบได้ว่า ตั้งแต่ข้าพเจ้าขึ้นไปนมัสการในกรุงเยรูซาเล็มนั้นยังไม่เกินสิบสองวัน
กจ 25.1 เมื่อเฟสทัสเข้ารับตำแหน่งราชการได้สามวันแล้ว จึงออกจากเมืองซีซารียาขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
กจ 25.9 ฝ่ายเฟสทัสอยากได้ความชอบจากพวกยิวจึงถามเปาโลว่า “เจ้าจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มให้เราชำระความเรื่องนี้ที่นั่นหรือ”
กจ 25.20 เมื่อข้าพเจ้ายังงงงวยอยู่ว่าจะพิจารณาปัญหานั้นอย่างไรดี จึงถามเปาโลว่า จะยอมขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มให้ชำระความนั้นที่นั่นหรือไม่
รม 10.6 แต่ความชอบธรรมที่มีความเชื่อเป็นมูลฐานว่าอย่างนี้ว่า “อย่านึกในใจของตัวว่า ใครจะขึ้นไปบนสวรรค์” (คือจะเชิญพระคริสต์ลงมาจากเบื้องบน)
รม 15.25 ขณะนี้ข้าพเจ้าจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อช่วยสงเคราะห์วิสุทธิชน
2คร 3.18 แต่เราทั้งหลายไม่มีผ้าคลุมหน้าไว้ จึงแลดูสง่าราศีขององค์พระผู้เป็นเจ้าเหมือนมองดูในกระจก และตัวเราก็เปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระฉายขององค์พระผู้เป็นเจ้าคือมีสง่าราศีเป็นลำดับขึ้นไป เช่นอย่างสง่าราศีที่มาจากพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้า
2คร 12.2 สิบสี่ปีมาแล้วข้าพเจ้าได้รู้จักชายคนหนึ่งในพระคริสต์ เขาถูกรับขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นที่สาม (แต่จะไปทั้งกาย ข้าพเจ้าไม่ทราบ หรือไปโดยไม่มีกาย ข้าพเจ้าไม่ทราบ พระเจ้าทรงทราบ)
2คร 12.4 คือว่าคนนั้นถูกรับขึ้นไปยังเมืองบรมสุขเกษม และได้ยินวาจาซึ่งจะพูดเป็นคำไม่ได้ และมนุษย์จะพูดออกมาก็ต้องห้าม
กท 1.17 และข้าพเจ้าก็ไม่ได้ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อพบกับผู้ที่เป็นอัครสาวกก่อนข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าได้ออกไปยังประเทศอาระเบีย แล้วก็กลับมายังเมืองดามัสกัสอีก
กท 2.1 แล้วสิบสี่ปีต่อมา ข้าพเจ้ากับบารนาบัสได้ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มอีกและพาทิตัสไปด้วย
กท 2.2 ข้าพเจ้าขึ้นไปตามที่พระเจ้าได้ทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้เล่าข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าประกาศแก่ชนต่างชาติให้เขาฟัง แต่ได้เล่าให้คนสำคัญฟังเป็นส่วนตัวเกรงว่าข้าพเจ้าอาจจะวิ่งแข่งกัน หรือวิ่งแล้วโดยไร้ประโยชน์
อฟ 4.9 (ที่กล่าวว่าพระองค์เสด็จขึ้นไปนั้น จะหมายความอย่างอื่นประการใดเล่า นอกจากว่าพระองค์ได้เสด็จลงไปสู่เบื้องต่ำของแผ่นดินโลกก่อนด้วย
อฟ 4.10 พระองค์ผู้เสด็จลงไปนั้น ก็คือพระองค์ผู้ที่เสด็จขึ้นไปสู่เบื้องสูงเหนือฟ้าสวรรค์ทั้งปวงนั่นเอง เพื่อจะได้ทำให้สิ่งสารพัดสำเร็จ)
1ธส 4.1 พี่น้องทั้งหลาย ในที่สุดนี้ เราขอวิงวอนและเตือนสติท่านในพระเยซูเจ้าว่า ท่านได้เรียนจากเราแล้วว่าควรจะดำเนินชีวิตอย่างไร จึงจะเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้า ขอให้ท่านดำเนินตามอย่างนั้นยิ่งๆขึ้นไป
1ธส 4.17 หลังจากนั้นเราทั้งหลายซึ่งยังเป็นอยู่และเหลืออยู่ จะถูกรับขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น เพื่อจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหละเราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์
1ทธ 3.16 ทางของพระเจ้าอันยิ่งใหญ่และลึกลับซึ่งไม่มีใครปฏิเสธได้ก็คือ พระเจ้าทรงปรากฏในเนื้อหนัง พระวิญญาณได้ทรงพิสูจน์แล้ว หมู่ทูตสวรรค์ก็เห็น และมีผู้ประกาศพระองค์แก่ชนต่างชาติ มีชาวโลกเชื่อถือพระองค์ และพระองค์ทรงถูกรับขึ้นไปในสง่าราศี
ฮบ 11.5 โดยความเชื่อ เอโนคจึงถูกรับขึ้นไป เพื่อไม่ให้ท่านประสบกับความตาย ไม่มีผู้ใดพบท่าน เพราะพระเจ้าทรงรับท่านไปแล้ว ก่อนที่ทรงรับท่านขึ้นไปนั้นมีพยานว่า ท่านเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า
วว 6.14 ท้องฟ้าก็หายไปเหมือนกับหนังสือที่เขาม้วนขึ้นไปหมด และภูเขาทุกลูกและเกาะทุกเกาะก็เลื่อนไปจากที่เดิม
วว 8.4 และควันเครื่องหอมนั้นก็ลอยขึ้นไปพร้อมกับคำอธิษฐานของวิสุทธิชนทั้งหลาย จากมือทูตสวรรค์สู่เบื้องพระพักตร์ของพระเจ้า
วว 11.12 คนทั้งหลายได้ยินพระสุรเสียงดังมาจากสวรรค์ ตรัสแก่เขาว่า “จงขึ้นมาที่นี่เถิด” และพวกศัตรูก็เห็นเขาขึ้นไปในหมู่เมฆสู่สวรรค์
วว 12.5 หญิงนั้นคลอดบุตรชาย ผู้ซึ่งจะครอบครองประชาชาติทั้งปวงด้วยคทาเหล็ก และบุตรนั้นได้ขึ้นไปถึงพระเจ้า ถึงพระที่นั่งของพระองค์
วว 21.10 ท่านได้นำข้าพเจ้าโดยพระวิญญาณขึ้นไปบนภูเขาสูงใหญ่ และได้สำแดงให้ข้าพเจ้าเห็นเมืองใหญ่นั้น คือกรุงเยรูซาเล็มอันบริสุทธิ์ ซึ่งกำลังลอยลงมาจากสวรรค์และจากพระเจ้า

ขึ้นมา ( 431 )
ปฐก 2.6 แต่มีหมอกขึ้นมาจากแผ่นดินโลก ทำให้พื้นแผ่นดินเปียกทั่วไป
ปฐก 4.17 คาอินได้สมสู่กับภรรยาของเขา นางได้ตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชื่อเอโนค เขาสร้างเมืองขึ้นมาเมืองหนึ่งและเรียกชื่อเมืองนั้นตามชื่อบุตรชายของเขาว่าเอโนค
ปฐก 7.11 เมื่อโนอาห์มีชีวิตอยู่ได้หกร้อยปี ในเดือนที่สอง วันที่สิบเจ็ดของเดือนนั้น ในวันเดียวกันนั้นเอง น้ำพุทั้งหลายที่อยู่ที่ลึกใต้บาดาลก็พลุ่งขึ้นมา และช่องฟ้าก็เปิดออก
ปฐก 8.5 น้ำก็ค่อยๆลดลงจนถึงเดือนที่สิบ ในเดือนที่สิบ ณ วันที่หนึ่งของเดือนนั้น ยอดภูเขาต่างๆโผล่ขึ้นมา
ปฐก 19.23 เมื่อโลทเข้าไปยังเมืองโศอาร์ ตะวันก็ขึ้นมาเหนือแผ่นดินโลกแล้ว
ปฐก 19.25 พระองค์ทรงทำลายล้างเมืองทั้งหลายเหล่านั้น บรรดาที่ราบลุ่ม ชาวเมืองทั้งปวงและสิ่งที่งอกขึ้นมาบนแผ่นดิน
ปฐก 24.16 หญิงสาวนั้นงามมาก เป็นพรหมจารียังไม่มีชายใดสมสู่นาง นางก็ลงไปที่บ่อน้ำเติมน้ำเต็มไหน้ำแล้วก็ขึ้นมา
ปฐก 26.19 และคนใช้ของอิสอัคขุดในหุบเขาและพบบ่อน้ำพุพลุ่งขึ้นมา
ปฐก 41.2 ดูเถิด มีวัวเจ็ดตัวอ้วนพีงามน่าดูขึ้นมาจากแม่น้ำนั้น กินหญ้าอยู่ในทุ่งหญ้าแห่งหนึ่ง
ปฐก 41.3 แล้วดูเถิด มีวัวอีกเจ็ดตัวซูบผอมน่าเกลียดตามขึ้นมาจากแม่น้ำ มายืนอยู่กับวัวอื่นๆที่ริมฝั่งแม่น้ำ
ปฐก 41.6 แล้วดูเถิด มีรวงข้าวเจ็ดรวงงอกขึ้นมาภายหลัง เป็นข้าวลีบและเกรียมเพราะลมตะวันออก
ปฐก 41.18 และดูเถิด มีวัวเจ็ดตัวอ้วนพีงามน่าดูขึ้นมาจากแม่น้ำ กินหญ้าอยู่ในทุ่งหญ้าแห่งหนึ่ง
ปฐก 41.19 แล้วดูเถิด วัวอีกเจ็ดตัวตามขึ้นมาไม่งาม น่าเกลียดมากและซูบผอม เราไม่เคยเห็นมีวัวเลวอย่างนี้ทั่วแผ่นดินอียิปต์เลย
ปฐก 41.22 เราเห็นในความฝันของเรา ดูเถิด ต้นข้าวต้นหนึ่ง มีรวงเจ็ดรวงงอกขึ้นมา เป็นข้าวเมล็ดเต่งและงามดี
ปฐก 41.23 และดูเถิด ข้าวอีกเจ็ดรวงงอกขึ้นมาภายหลังเป็นข้าวเหี่ยวลีบ และเกรียมเพราะลมตะวันออก
ปฐก 41.27 วัวเจ็ดตัวซูบผอมน่าเกลียดที่ขึ้นมาภายหลังคือเจ็ดปี กับรวงข้าวเจ็ดรวงลีบและเกรียมเพราะลมตะวันออกนั้น คือเจ็ดปีที่กันดารอาหาร
ปฐก 46.4 เราจะลงไปกับเจ้าถึงอียิปต์ และเราจะพาเจ้าขึ้นมาอีกด้วยแน่ และโยเซฟจะวางมือบนตาเจ้า”
อพย 2.10 แล้วทารกนั้นก็โตขึ้น และนางก็พาเขามาถวายพระราชธิดาของฟาโรห์ และเขากลายเป็นบุตรเลี้ยงของพระนาง และพระนางประทานชื่อว่า โมเสส และตรัสว่า “เพราะเราได้ฉุดเขาขึ้นมาจากน้ำ”
อพย 8.2 ถ้าท่านไม่ยอมให้เขาไป ดูเถิด เราจะให้ฝูงกบขึ้นมารังควานทั่วเขตแดนของท่าน
อพย 8.3 ฝูงกบจะเต็มไปทั้งแม่น้ำ จะขึ้นมาอยู่ในวัง ในห้องบรรทม และบนแท่นบรรทมของท่าน ในเรือนข้าราชการ ตามตัวพลเมือง ในเตาปิ้งขนมและในอ่างขยำแป้งของท่านด้วย
อพย 8.4 ฝูงกบนั้นจะขึ้นมาที่ตัวฟาโรห์ ที่ตัวพลเมืองและที่ตัวข้าราชการทั้งปวงของท่าน”’”
อพย 8.5 แล้วพระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงบอกอาโรนว่า ‘ให้เหยียดมือที่ถือไม้เท้าออกเหนือลำคลอง เหนือแม่น้ำ และเหนือบึงให้ฝูงกบขึ้นมาบนแผ่นดินอียิปต์’”
อพย 8.6 อาโรนก็เหยียดมือออกเหนือพื้นน้ำทั้งหลายในอียิปต์ ฝูงกบก็ขึ้นมาเต็มแผ่นดินอียิปต์
อพย 8.7 ฝ่ายพวกนักแสดงกลก็ทำตามเล่ห์กลของเขา ให้มีฝูงกบขึ้นมาบนแผ่นดินอียิปต์เหมือนกัน
อพย 19.23 ฝ่ายโมเสสกราบทูลพระเยโฮวาห์ว่า “พลไพร่ขึ้นมาบนภูเขาซีนายไม่ได้เพราะพระองค์ทรงสั่งข้าพระองค์ทั้งหลายว่า ‘จงกั้นเขตรอบภูเขานั้น ชำระให้เป็นที่บริสุทธิ์’”
อพย 19.24 พระเยโฮวาห์จึงตรัสกับโมเสสว่า “ลงไปเถิด แล้วกลับขึ้นมาอีก พาอาโรนขึ้นมาด้วย แต่อย่าให้พวกปุโรหิตและพลไพร่ล่วงล้ำขึ้นมาถึงพระเยโฮวาห์ เกรงว่าพระองค์จะลงโทษเขา”
อพย 24.1 พระองค์ตรัสกับโมเสสว่า “เจ้ากับอาโรน นาดับ และอาบีฮู กับพวกผู้ใหญ่เจ็ดสิบคนของอิสราเอลจงขึ้นมาเฝ้าพระเยโฮวาห์ แล้วนมัสการอยู่แต่ไกล
อพย 24.2 ให้เฉพาะโมเสสผู้เดียวเข้ามาใกล้พระเยโฮวาห์ ส่วนคนอื่นๆอย่าให้เข้ามาใกล้และอย่าให้ประชาชนขึ้นมากับโมเสสเลย”
อพย 33.1 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “ไปเถิด จงยกไปจากที่นี่ เจ้ากับพลไพร่ซึ่งเจ้านำขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์ ไปยังแผ่นดินซึ่งเราปฏิญาณกับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบว่า ‘แผ่นดินนั้นเราจะให้แก่เชื้อสายของเจ้า’
อพย 34.2 จงเตรียมให้พร้อมเวลาเช้า แล้วจงขึ้นมาบนภูเขาซีนายแต่เช้า จงคอยเฝ้าเราบนยอดภูเขานั้น
อพย 34.3 อย่าให้ผู้ใดขึ้นมาด้วย และอย่าให้ผู้ใดมาอยู่ตลอดทั่วทั้งภูเขา อย่าให้ฝูงแพะแกะ ฝูงวัวกินหญ้าอยู่หน้าภูเขานี้เลย”
ลนต 10.2 ไฟก็พุ่งขึ้นมาจากพระเยโฮวาห์ ไหม้เขาทั้งสองและเขาก็ตายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
ลนต 13.14 ถ้ามีเนื้อแผลสดปรากฏขึ้นมาเมื่อไร เขาก็เป็นมลทิน
ลนต 13.19 ถ้าที่แผลเป็นนั้นมีสีขาวบวมขึ้นมาหรือมีที่ด่างขึ้นสีแดงเรื่อๆปรากฏ ก็ให้ผู้นั้นไปสำแดงตัวต่อปุโรหิต
ลนต 13.20 และปุโรหิตจะตรวจดู ดูเถิด ถ้าที่เป็นนั้นลึกกว่าผิวหนัง และขนที่บริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นสีขาว ให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาเป็นมลทิน โรคนั้นเป็นโรคเรื้อน มันพุขึ้นมาที่แผลฝี
ลนต 13.25 ให้ปุโรหิตตรวจดู และดูเถิด ถ้าขนในบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นสีขาวและปรากฏว่าเป็นลึกกว่าผิวหนังก็เป็นโรคเรื้อน มันพุขึ้นมาที่แผลไฟลวก และให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เขาเป็นโรคเรื้อน
ลนต 25.5 สิ่งใดที่งอกขึ้นมาเอง เจ้าอย่าเก็บเกี่ยว องุ่นอันเกิดอยู่ที่เถาอันเจ้ามิได้ตกแต่งก็อย่าเก็บ ให้เป็นปีที่แผ่นดินหยุดพักสงบ
กดว 14.1 แล้วบรรดาชุมนุมชนนั้นก็ร้องลั่นขึ้นมา ประชาชนร้องไห้ในคืนวันนั้น
กดว 20.25 จงนำอาโรนและเอเลอาซาร์บุตรชายของเขา นำเขาขึ้นมาบนภูเขาโฮร์
กดว 21.17 แล้วอิสราเอลจึงร้องเพลงนี้ว่า “โอ บ่อน้ำเอ๋ย จงมีน้ำพลุ่งขึ้นมา ให้เรามาร้องเพลงกัน
กดว 24.17 ข้าพเจ้าจะเห็นเขา แต่ไม่ใช่อย่างเดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้าจะดูเขา แต่ไม่ใช่อย่างใกล้ๆนี้ ดาวดวงหนึ่งจะเดินออกมาจากยาโคบ และธารพระกรอันหนึ่งจะขึ้นมาจากอิสราเอล จะตีเขตแดนของโมอับและทำลายบรรดาลูกหลานของเชท
กดว 32.14 และดูเถิด ท่านได้เติบโตขึ้นมาแทนบิดาของท่าน เป็นเชื้อสายคนบาปที่จะทวีพระพิโรธของพระเยโฮวาห์ต่ออิสราเอลให้มากยิ่งขึ้น
พบญ 13.16 ท่านจงเก็บข้าวของทั้งสิ้นในเมืองนั้นไปกองไว้ที่กลางถนน และเผาเมืองนั้นกับบรรดาข้าวของในเมืองนั้นเสียด้วยไฟ เพื่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ให้เมืองนั้นร้างอยู่เป็นนิตย์ อย่าสร้างขึ้นมาใหม่อีกเลย
พบญ 20.1 “เมื่อท่านทั้งหลายจะยกไปทำสงครามกับพวกศัตรูของท่าน เห็นม้า รถรบ และกองทัพมากมายใหญ่โตกว่าของท่าน ท่านอย่ากลัวเขาเลย เพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงสถิตอยู่กับท่าน ผู้ทรงนำท่านขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์
พบญ 31.21 และต่อมาเมื่อสิ่งร้ายและความลำบากหลายอย่างมาถึงเขาแล้ว เพลงบทนี้จะเผชิญหน้าเป็นพยาน เพราะว่าเพลงนี้จะอยู่ที่ปากเชื้อสายของเขาไม่มีวันลืม เพราะแม้แต่เวลานี้เองเรารู้ถึงความมุ่งหมายที่เขากำลังจะก่อขึ้นมาแล้ว ก่อนที่เราจะนำเขาเข้าไปในแผ่นดินซึ่งเราปฏิญาณไว้นั้น”
ยชว 4.16 “จงบัญชาปุโรหิตผู้หามหีบพระโอวาทให้ขึ้นมาจากจอร์แดน”
ยชว 4.17 โยชูวาจึงบัญชาแก่ปุโรหิตว่า “จงขึ้นมาจากจอร์แดนเถิด”
ยชว 4.18 ต่อมาเมื่อปุโรหิตผู้หามหีบพันธสัญญาแห่งพระเยโฮวาห์ขึ้นมาจากกลางจอร์แดน เมื่อฝ่าเท้าของปุโรหิตยกขึ้นเหยียบแผ่นดินแห้ง น้ำในจอร์แดนก็กลับมายังที่เก่าไหลท่วมฝั่งอย่างเดิม
ยชว 10.6 ฝ่ายชาวเมืองกิเบโอนจึงใช้คนไปหาโยชูวาที่ค่ายในกิลกาล กล่าวว่า “ขอท่านอย่าได้หย่อนมือจากผู้รับใช้ของท่านเลย ขอเร่งขึ้นมาช่วยข้าพเจ้าให้รอดและช่วยข้าพเจ้าทั้งหลาย เพราะว่าบรรดากษัตริย์ของคนอาโมไรต์ ซึ่งอยู่ในแดนเทือกเขา ได้รวมกำลังกันต่อสู้ข้าพเจ้าทั้งหลาย”
ยชว 10.33 ครั้งนั้นโฮรามกษัตริย์เมืองเกเซอร์ได้ขึ้นมาช่วยเมืองลาคีช และโยชูวาได้ประหารเขาและคนของเขาเสีย จนไม่เหลือให้เขาสักคนเดียว
ยชว 18.11 จับได้สลากของตระกูลคนเบนยามินตามครอบครัวของเขาขึ้นมา และอาณาเขตที่เป็นส่วนของเขาอยู่ระหว่างคนยูดาห์ และคนโยเซฟ
ยชว 19.10 สลากที่สามขึ้นมาเป็นของคนเศบูลุนตามครอบครัวของเขา และอาณาเขตที่เป็นมรดกของเขาก็ยื่นออกไปถึงสาริด
ยชว 24.17 เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์นั้นทรงนำข้าพเจ้าทั้งหลายและบรรพบุรุษของข้าพเจ้าขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์ และออกจากเรือนทาสนั้น และเป็นผู้ทรงกระทำหมายสำคัญยิ่งใหญ่ทั้งหลายท่ามกลางสายตาของพวกข้าพเจ้า และทรงคุ้มครองข้าพเจ้าทั้งหลายไว้ตลอดทางที่ข้าพเจ้าได้เดินไป และท่ามกลางชนชาติทั้งหลายซึ่งพวกข้าพเจ้าผ่านไป
วนฉ 5.7 ชาวไร่ชาวนาในอิสราเอลก็หยุดยั้ง เขาหยุดยั้งจนดิฉันเดโบราห์ขึ้นมา จนดิฉันขึ้นมาเป็นอย่างมารดาอิสราเอล
วนฉ 6.3 เพราะว่าคนอิสราเอลหว่านพืชเมื่อไร คนมีเดียนและคนอามาเลขและชาวตะวันออกก็ขึ้นมาสู้รบกับเขา
วนฉ 6.5 เพราะว่าคนเหล่านั้นจะขึ้นมาพร้อมทั้งฝูงสัตว์และเต็นท์ เขามาเหมือนตั๊กแตนเป็นฝูงๆ ทั้งคนและอูฐก็นับไม่ถ้วน เมื่อเขาเข้ามา เขาก็ทำลายแผ่นดินเสียอย่างนี้แหละ
วนฉ 6.8 พระเยโฮวาห์ก็ทรงใช้ผู้พยากรณ์คนหนึ่งให้มาหาคนอิสราเอล ผู้นั้นพูดกับเขาทั้งหลายว่า “พระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘เราได้นำพวกเจ้าขึ้นมาจากอียิปต์ นำเจ้าออกมาจากเรือนทาส
วนฉ 6.35 และท่านส่งผู้สื่อสารไปทั่วมนัสเสห์ เรียกให้เขายกติดตามท่านไปด้วย และท่านส่งผู้สื่อสารไปยังอาเชอร์ เศบูลุน และนัฟทาลี คนเหล่านี้ก็ขึ้นมาปะทะข้าศึกด้วย
วนฉ 10.1 ต่อจากอาบีเมเลคมีคนขึ้นมาช่วยอิสราเอลให้พ้นชื่อโทลาบุตรชายของปูวาห์ผู้เป็นบุตรชายของโดโด คนอิสสาคาร์ และเขาอยู่ที่เมืองชามีร์ในแดนเทือกเขาเอฟราอิม
วนฉ 10.3 ต่อมายาอีร์คนกิเลอาดได้ขึ้นมาและท่านวินิจฉัยอิสราเอลอยู่ยี่สิบสองปี
วนฉ 12.3 เมื่อข้าพเจ้าเห็นว่าท่านไม่ช่วยข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าก็เสี่ยงชีวิตของข้าพเจ้าข้ามไปรบกับคนอัมโมน และพระเยโฮวาห์ทรงมอบเขาไว้ในมือของข้าพเจ้า วันนี้ท่านจะขึ้นมาทำศึกกับข้าพเจ้าด้วยเหตุอันใด”
วนฉ 14.2 แล้วท่านจึงขึ้นมาบอกบิดามารดาของตนว่า “ฉันเห็นผู้หญิงคนฟีลิสเตียคนหนึ่งที่เมืองทิมนาห์ ฉะนั้นไปขอเขาให้เป็นภรรยาฉันที”
วนฉ 15.6 คนฟีลิสเตียจึงถามว่า “ใครทำอย่างนี้” เขาตอบว่า “แซมสันบุตรเขยชาวทิมนาห์ เพราะว่าพ่อตาเอาภรรยาของแซมสันยกให้เพื่อนเสีย” ชาวฟีลิสเตียก็ขึ้นมาเผานางกับบิดาของนางเสียด้วยไฟ
วนฉ 15.10 พวกคนยูดาห์จึงถามว่า “ท่านทั้งหลายขึ้นมารบกับเราทำไม” พวกเหล่านั้นตอบว่า “เราขึ้นมามัดแซมสัน เพื่อจะได้กระทำแก่เขาอย่างที่เขาได้กระทำแก่เรา”
วนฉ 15.13 เขาทั้งหลายจึงตอบท่านว่า “เราจะไม่ทำร้ายท่าน เราจะมัดท่านมอบไว้ในมือของเขาเท่านั้น เราจะไม่ฆ่าท่านเสีย” เขาจึงเอาเชือกพวนใหม่สองเส้นมัดแซมสันไว้ และพาขึ้นมาจากศิลานั้น
วนฉ 16.18 เมื่อเดลิลาห์เห็นว่าท่านบอกความจริงในใจแก่นางจนสิ้นแล้ว นางจึงใช้คนไปเรียกเจ้านายฟีลิสเตียว่า “ขอจงขึ้นมาอีกครั้งเดียว เพราะเขาบอกความจริงในใจแก่ฉันจนสิ้นแล้ว” แล้วเจ้านายฟีลิสเตียก็ขึ้นมาหานางถือเงินมาด้วย
วนฉ 16.22 ตั้งแต่โกนผมแล้ว ผมที่ศีรษะของท่านก็ค่อยๆงอกขึ้นมา
วนฉ 20.38 คนอิสราเอลและคนที่ซุ่มซ่อนอยู่นัดให้อาณัติสัญญาณว่า ถ้าเห็นควันกลุ่มใหญ่พลุ่งขึ้นมาจากในเมือง
วนฉ 20.40 แต่อาณัติสัญญาณเป็นควันไฟลุกพลุ่งขึ้นมาจากในเมือง คนเบนยามินก็เหลียวหลังมาดู ดูเถิด ทั้งเมืองก็มีควันพลุ่งขึ้นถึงท้องฟ้า
วนฉ 21.5 และคนอิสราเอลกล่าวว่า “คนใดในบรรดาตระกูลของอิสราเอลที่มิได้ขึ้นมาประชุมต่อพระเยโฮวาห์” เพราะเขาได้ปฏิญาณไว้แข็งแรงถึงผู้ที่มิได้มาประชุมต่อพระเยโฮวาห์ที่มิสปาห์ว่า “ผู้นั้นจะต้องถูกโทษถึงตายเป็นแน่”
วนฉ 21.8 เขาทั้งหลายถามขึ้นว่า “มีตระกูลใดในอิสราเอลที่มิได้ขึ้นมาเฝ้าพระเยโฮวาห์ที่มิสปาห์” ดูเถิด ไม่มีคนใดจากยาเบชกิเลอาดมาประชุมที่ค่ายเลยสักคนเดียว
1ซมอ 2.6 พระเยโฮวาห์ทรงประหารและทรงให้มีชีวิต พระองค์ทรงนำลงไปถึงแดนคนตายและก็นำขึ้นมา
1ซมอ 2.14 เขาจะเอาขอเกี่ยวเนื้อแทงเข้าไปในกระทะ หรือหม้อหู หรือหม้อขนาดใหญ่ หรือหม้อธรรมดา ขอเกี่ยวเนื้อติดอะไรขึ้นมา ปุโรหิตก็เอาสิ่งนั้นไปเป็นของตน ที่เมืองชีโลห์เขาก็กระทำเช่นนั้นแก่คนอิสราเอลทุกคนที่มาที่นั่น
1ซมอ 12.6 และซามูเอลก็กล่าวแก่ประชาชนว่า “พระเยโฮวาห์ทรงเป็นผู้แต่งตั้งโมเสสกับอาโรน และทรงนำบรรพบุรุษของท่านขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์
1ซมอ 13.5 และคนฟีลิสเตียชุมนุมกันเพื่อจะต่อสู้คนอิสราเอล มีรถรบสามหมื่น และพลม้าหกพัน และกองทหารนั้นก็มากมายเหมือนเม็ดทรายที่ฝั่งทะเล เขาก็ยกขึ้นมาตั้งค่ายอยู่ที่มิคมาช ทางตะวันออกของเบธาเวน
1ซมอ 14.12 และคนที่กองทหารรักษาการจึงร้องบอกโยนาธานและผู้ถือเครื่องอาวุธของท่านว่า “จงขึ้นมาหาเรา แล้วเราจะแจ้งให้เจ้าทราบสักเรื่องหนึ่ง” และโยนาธานบอกผู้ถือเครื่องอาวุธของท่านว่า “จงตามข้าขึ้นมา เพราะพระเยโฮวาห์ได้ทรงมอบเขาไว้ในมืออิสราเอลแล้ว”
1ซมอ 28.8 ซาอูลจึงปลอมพระองค์และทรงฉลองพระองค์อย่างอื่นเสด็จออกไปพร้อมกับชายสองคนไปหาหญิงคนทรงในเวลากลางคืน พระองค์ตรัสว่า “ขอทำนายให้ฉันโดยวิญญาณของคนตาย ฉันจะออกชื่อผู้ใดก็ให้เรียกผู้นั้นขึ้นมา”
1ซมอ 28.11 หญิงนั้นจึงทูลถามว่า “ท่านจะให้ข้าพเจ้าเรียกใครขึ้นมา” ซาอูลตรัสว่า “เรียกซามูเอลขึ้นมาให้ฉัน”
1ซมอ 28.13 กษัตริย์ตรัสแก่นางว่า “อย่ากลัวเลย เจ้าได้เห็นอะไร” และหญิงนั้นกราบทูลซาอูลว่า “หม่อมฉันเห็นเทพเจ้าองค์หนึ่งเสด็จขึ้นมาจากแผ่นดิน”
1ซมอ 28.14 พระองค์ถามนางว่า “รูปร่างของเขาเป็นอย่างไร” และนางตอบว่า “เป็นผู้ชายแก่ขึ้นมา มีเสื้อคลุมกายอยู่” ซาอูลก็ทรงทราบว่าเป็นซามูเอล พระองค์ทรงโน้มพระกายลงถึงดินกราบไหว้
1ซมอ 28.15 แล้วซามูเอลพูดกับซาอูลว่า “ท่านรบกวนเราด้วยเรียกเราขึ้นมาทำไม” ซาอูลทรงตอบว่า “ข้าพเจ้ามีความทุกข์หนัก เพราะคนฟีลิสเตียกำลังมาทำสงครามกับข้าพเจ้า และพระเจ้าทรงหันจากข้าพเจ้าเสียแล้ว มิได้ทรงตอบข้าพเจ้าอีกเลย ไม่ว่าโดยผู้พยากรณ์ หรือโดยความฝัน เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงขอเรียกท่านขึ้นมาเพื่อท่านจะได้แจ้งว่า ข้าพเจ้าจะกระทำประการใดดี”
2ซมอ 5.18 ฝ่ายคนฟีลิสเตียยกขึ้นมาและขยายแนวออกที่หุบเขาเรฟาอิม
2ซมอ 5.22 คนฟีลิสเตียยกขึ้นมาอีกและขยายแนวอยู่ในหุบเขาเรฟาอิม
2ซมอ 6.2 และดาวิดก็ทรงลุกขึ้นไปกับประชาชนทั้งสิ้นที่อยู่กับพระองค์จากบาอาเลยูดาห์ เพื่อทรงนำหีบของพระเจ้าขึ้นมาจากที่นั่น ซึ่งเรียกตามพระนามคือพระนามของพระเยโฮวาห์จอมโยธาผู้ประทับระหว่างพวกเครูบ
2ซมอ 6.12 มีคนไปกราบทูลกษัตริย์ดาวิดว่า “พระเยโฮวาห์ทรงอำนวยพระพรแก่ครัวเรือนของโอเบดเอโดม และทุกสิ่งที่เป็นของเขาเนื่องด้วยหีบของพระเจ้า” ดังนั้นดาวิดจึงเสด็จไปนำหีบของพระเจ้าขึ้นมาจากบ้านของโอเบดเอโดม ถึงเมืองดาวิดด้วยความชื่นชมยินดี
2ซมอ 6.15 ดังนั้นแหละดาวิดและวงศ์วานอิสราเอลทั้งสิ้นด้วยได้นำหีบของพระเยโฮวาห์ขึ้นมาด้วยเสียงโห่ร้องและด้วยเสียงเป่าแตร
2ซมอ 12.23 แต่เมื่อเขาสิ้นชีวิตแล้ว เราจะอดอาหารทำไม เราจะทำเด็กให้ฟื้นขึ้นมาอีกได้หรือ มีแต่เราจะตามทางเด็กนั้นไป เขาจะกลับมาหาเราหามิได้”
2ซมอ 15.24 และดูเถิด ศาโดกก็มาด้วย พร้อมกับคนเลวีทั้งสิ้น หามหีบพันธสัญญาของพระเจ้ามา และเขาวางหีบของพระเจ้าลง ฝ่ายอาบียาธาร์ก็ขึ้นมาจนประชาชนออกจากเมืองไปหมด
2ซมอ 17.21 อยู่มาเมื่อคนเหล่านั้นไปแล้ว ชายทั้งสองก็ขึ้นมาจากบ่อ ไปกราบทูลกษัตริย์ดาวิด เขาทูลดาวิดว่า “ขอทรงลุกขึ้น และรีบข้ามแม่น้ำไป เพราะอาหิโธเฟลได้ให้คำปรึกษาต่อสู้อย่างนั้นอย่างนี้”
2ซมอ 21.13 พระองค์ทรงนำอัฐิของซาอูลและอัฐิของโยนาธานราชโอรสขึ้นมาจากที่นั่น และรวบรวมกระดูกของผู้ที่ถูกแขวนไว้ให้ตายนั้น
1พกษ 1.35 แล้วท่านทั้งหลายจงติดตามเขาขึ้นมา และเขาจะมานั่งบนบัลลังก์ของเรา เพราะว่าเขาจะได้เป็นกษัตริย์แทนเรา เราได้กำหนดตั้งเขาไว้ให้เป็นผู้ครอบครองเหนืออิสราเอลและเหนือยูดาห์”
1พกษ 1.45 และศาโดกปุโรหิต กับนาธันผู้พยากรณ์ได้เจิมตั้งท่านไว้ให้เป็นกษัตริย์ ณ กีโฮน และเขาทั้งหลายก็ขึ้นมาจากที่นั่นด้วยความเปรมปรีดิ์ เพราะฉะนั้นในกรุงจึงอึกทึกครึกโครม นี่เป็นเสียงที่ท่านทั้งหลายได้ยิน
1พกษ 3.12 ดูเถิด เราจะกระทำตามคำของเจ้า ดูเถิด เราให้จิตใจอันประกอบด้วยปัญญาและความเข้าใจ เพื่อว่าจะไม่มีใครที่เป็นอยู่ก่อนเจ้าเหมือนเจ้า และจะไม่มีใครที่ขึ้นมาภายหลังเจ้าเหมือนเจ้า
1พกษ 8.1 แล้วซาโลมอนทรงประชุมพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอล และบรรดาหัวหน้าของตระกูล คือประมุขของบรรพบุรุษคนอิสราเอล ต่อพระพักตร์กษัตริย์ซาโลมอนในกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อจะนำหีบพันธสัญญาของพระเยโฮวาห์ขึ้นมาจากนครดาวิด คือเมืองศิโยน
1พกษ 8.4 และเขาทั้งหลายนำหีบของพระเยโฮวาห์ และพลับพลาแห่งชุมนุม และเครื่องใช้บริสุทธิ์ทั้งสิ้นซึ่งอยู่ในพลับพลาขึ้นมา ของเหล่านี้บรรดาปุโรหิตและคนเลวีหามขึ้นมา
1พกษ 8.20 บัดนี้พระเยโฮวาห์ทรงให้พระดำรัสของพระองค์ ซึ่งพระองค์ตรัสนั้นสำเร็จ เพราะข้าพเจ้าได้ขึ้นมาแทนดาวิดราชบิดาของข้าพเจ้า และนั่งอยู่บนบัลลังก์ของอิสราเอล ดังที่พระเยโฮวาห์ได้ทรงสัญญาไว้ และข้าพเจ้าได้สร้างพระนิเวศสำหรับพระนามของพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล
1พกษ 9.16 ฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์ได้ยกทัพขึ้นมายึดเมืองเกเซอร์และเอาไฟเผาเสีย และได้ฆ่าคนคานาอันซึ่งอยู่ในเมืองนั้น และได้ยกเมืองนั้นให้แก่ธิดาของท่านเป็นสินสมรสคือ มเหสีของซาโลมอน
1พกษ 12.8 แต่พระองค์ทรงทอดทิ้งคำปรึกษาซึ่งผู้เฒ่าถวายนั้นเสีย และไปปรึกษากับคนหนุ่มซึ่งเติบโตขึ้นมาพร้อมกับพระองค์ และอยู่งานประจำพระองค์
1พกษ 14.25 ต่อมาในปีที่ห้าแห่งกษัตริย์เรโหโบอัม ชิชักกษัตริย์อียิปต์ได้ขึ้นมารบกรุงเยรูซาเล็ม
1พกษ 16.2 “ในเมื่อเราได้เชิดชูเจ้าขึ้นมาจากผงคลี และกระทำให้เจ้าเป็นประมุขเหนืออิสราเอลประชาชนของเรา และเจ้าได้ดำเนินตามมรรคาของเยโรโบอัม และได้กระทำให้อิสราเอลประชาชนของเราทำบาปด้วย กระทำให้เราโกรธด้วยบาปของเขาทั้งหลาย
1พกษ 18.44 และอยู่มาเมื่อถึงครั้งที่เจ็ดเขาบอกว่า “ดูเถิด มีเมฆก้อนหนึ่งเล็กเท่าฝ่ามือคนขึ้นมาจากทะเล” และท่านก็บอกว่า “จงไปทูลอาหับว่า ‘ขอทรงเตรียมราชรถและเสด็จลงไปเพื่อพระองค์จะไม่ติดฝน’”
2พกษ 4.34 แล้วท่านขึ้นไปนอนทับเด็ก ให้ปากทับปาก ตาทับตา และมือทับมือ และเมื่อท่านเหยียดตัวของท่านบนเด็ก เนื้อของเด็กนั้นก็อุ่นขึ้นมา
2พกษ 6.6 แล้วคนแห่งพระเจ้าถามว่า “ขวานนั้นตกที่ไหน” เมื่อเขาชี้ที่ให้ท่านแล้ว ท่านก็ตัดไม้อันหนึ่งทิ้งลงไปที่นั่น ทำให้ขวานเหล็กนั้นลอยขึ้นมา
2พกษ 6.7 และท่านบอกว่า “หยิบขึ้นมาซิ” เขาก็เอื้อมมือไปหยิบขึ้นมา
2พกษ 10.15 และเมื่อพระองค์เสด็จจากที่นั่นก็ทรงพบเยโฮนาดับบุตรชายเรคาบมาหาพระองค์ พระองค์ทรงต้อนรับเขาและตรัสกับเขาว่า “จิตใจของท่านซื่อตรงต่อจิตใจของฉัน อย่างจิตใจของฉันตรงต่อจิตใจของท่านหรือ” และเยโฮนาดับทูลว่า “ตรง พระเจ้าข้า” เยฮูตรัสว่า “ถ้าตรงก็ยื่นมือมาให้เรา” เขาจึงยื่นมือของเขา และเยฮูก็จับเขาขึ้นมาบนรถรบ
2พกษ 15.14 แล้วเมนาเฮมบุตรชายกาดีได้ขึ้นมาจากเมืองทีรซาห์และมายังสะมาเรีย และท่านก็ล้มชัลลูมบุตรชายยาเบชเสียที่ในสะมาเรีย และประหารชีวิตท่านเสีย และได้ขึ้นครอบครองแทนท่าน
2พกษ 15.19 ปูลกษัตริย์แห่งอัสซีเรียได้ยกขึ้นมาต่อสู้แผ่นดินนั้น และเมนาเฮมได้ถวายเงินหนึ่งพันตะลันต์แก่ปูล เพื่อจะให้ปูลช่วยให้พระองค์ยึดพระราชอาณาจักรไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ได้
2พกษ 16.5 แล้วเรซีนกษัตริย์แห่งซีเรียและเปคาห์บุตรชายเรมาลิยาห์กษัตริย์แห่งอิสราเอลทรงยกขึ้นมาทำสงครามกับกรุงเยรูซาเล็ม และกษัตริย์ทั้งสองได้ล้อมอาหัสไว้ แต่ทรงเอาชัยชนะยังไม่ได้
2พกษ 16.7 อาหัสจึงทรงส่งผู้สื่อสารไปยังทิกลัทปิเลเสอร์กษัตริย์แห่งอัสซีเรียว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนใช้ของท่าน และเป็นบุตรของท่าน ขอเชิญขึ้นมาช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากมือของกษัตริย์แห่งซีเรีย และจากมือของกษัตริย์แห่งอิสราเอล ผู้ซึ่งลุกขึ้นต่อสู้ข้าพเจ้า”
2พกษ 17.8 และได้ดำเนินตามกฎเกณฑ์แห่งประชาชาติทั้งหลาย ซึ่งพระเยโฮวาห์ได้ทรงขับไล่ไปเสียให้พ้นหน้าประชาชนอิสราเอล และตามกฎเกณฑ์ซึ่งกษัตริย์แห่งอิสราเอลทรงทำขึ้นมา
2พกษ 17.19 ยูดาห์มิได้รักษาพระบัญญัติของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขาด้วย แต่ดำเนินตามกฎเกณฑ์ซึ่งอิสราเอลทำขึ้นมา
2พกษ 18.9 และอยู่มาในปีที่สี่แห่งรัชกาลกษัตริย์เฮเซคียาห์ ซึ่งเป็นปีที่เจ็ดแห่งรัชกาลโฮเชยาบุตรชายเอลาห์กษัตริย์แห่งอิสราเอล แชลมาเนเสอร์กษัตริย์แห่งอัสซีเรียได้ทรงยกขึ้นมารบสะมาเรียและล้อมเมืองไว้
2พกษ 18.13 ในปีที่สิบสี่แห่งรัชกาลกษัตริย์เฮเซคียาห์ เซนนาเคอริบกษัตริย์แห่งอัสซีเรียได้ทรงยกขึ้นมาต่อสู้บรรดานครที่มีป้อมของยูดาห์ และยึดได้
2พกษ 18.17 และกษัตริย์แห่งอัสซีเรียได้รับสั่งให้ทารทาน รับสารีสและรับชาเคห์ไปพร้อมกับกองทัพใหญ่จากเมืองลาคีชถึงกรุงเยรูซาเล็มเข้าเฝ้ากษัตริย์เฮเซคียาห์ เขาก็ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อเขาขึ้นมาเขาก็มายืนอยู่ทางรางระบายน้ำสระบน ซึ่งอยู่ที่ถนนลานซักฟอก
2พกษ 18.25 ยิ่งกว่านั้นอีกที่เรามาต่อสู้สถานที่นี้เพื่อทำลายเสีย ก็ขึ้นมาโดยปราศจากพระเยโฮวาห์หรือ พระเยโฮวาห์ตรัสแก่ข้าว่า “จงขึ้นไปต่อสู้กับแผ่นดินนี้และทำลายเสีย”’”
2พกษ 24.1 ในรัชกาลของพระองค์ เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนยกขึ้นมา และเยโฮยาคิมเป็นคนใช้ของพระองค์สามปี แล้วท่านก็กลับกบฏต่อพระองค์
2พกษ 24.10 คราวนั้นข้าราชการของเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนยกขึ้นมายังกรุงเยรูซาเล็มล้อมกรุงไว้
2พกษ 25.6 แล้วเขาจึงจับกษัตริย์นำขึ้นมายังกษัตริย์แห่งบาบิโลนที่ริบลาห์ และพวกเขาได้พิพากษาพระองค์
1พศด 15.12 และตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “เจ้าทั้งหลายเป็นประมุขของบรรพบุรุษของคนเลวี จงชำระตัวของเจ้าเสีย ทั้งเจ้าและพี่น้องของเจ้า เพื่อเจ้าจะนำหีบของพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลขึ้นมายังสถานที่ซึ่งเราได้จัดเตรียมไว้ให้
1พศด 15.14 แล้วปุโรหิตและคนเลวีจึงได้ชำระตัวของเขาเพื่อจะเชิญหีบของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลขึ้นมา
1พศด 15.28 ดังนี้แหละคนอิสราเอลทั้งปวงได้นำหีบพันธสัญญาของพระเยโฮวาห์ขึ้นมาด้วยเสียงโห่ร้อง เสียงแตรทองเหลืองขนาดเล็ก เสียงแตร และฉาบ และทำเพลงเสียงดังด้วยพิณใหญ่และพิณเขาคู่
1พศด 17.5 เพราะเราไม่เคยอยู่ในนิเวศนับแต่วันที่เราพาอิสราเอลขึ้นมาจนกระทั่งวันนี้ แต่เราได้ไปจากเต็นท์นี้ถึงเต็นท์โน้น และจากพลับพลาแห่งนี้ถึงแห่งโน้น
2พศด 1.4 แต่ดาวิดได้ทรงนำหีบของพระเจ้าขึ้นมาจากคีริยาทเยอาริมถึงสถานที่ซึ่งดาวิดทรงเตรียมไว้ให้ เพราะพระองค์ได้ทรงตั้งเต็นท์ไว้ให้ในกรุงเยรูซาเล็ม
2พศด 5.2 แล้วซาโลมอนทรงประชุมพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอล และบรรดาหัวหน้าของตระกูล และบรรดาประมุขของบรรพบุรุษชนอิสราเอล ในกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อจะนำหีบพันธสัญญาของพระเยโฮวาห์ขึ้นมาจากนครดาวิด คือเมืองศิโยน
2พศด 5.5 และเขาทั้งหลายก็นำหีบ พลับพลาแห่งชุมนุม และเครื่องใช้บริสุทธิ์ทั้งสิ้นซึ่งอยู่ในพลับพลาขึ้นมา ของเหล่านี้บรรดาปุโรหิตและคนเลวีหามขึ้นมา
2พศด 6.10 บัดนี้พระเยโฮวาห์ทรงให้พระดำรัสของพระองค์ซึ่งพระองค์ทรงกระทำนั้นสำเร็จ เพราะข้าพเจ้าได้ขึ้นมาแทนดาวิดราชบิดาของข้าพเจ้า และนั่งอยู่บนบัลลังก์ของอิสราเอล ดังที่พระเยโฮวาห์ได้ทรงสัญญาไว้ และข้าพเจ้าได้สร้างพระนิเวศสำหรับพระนามของพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล
2พศด 8.11 ซาโลมอนทรงนำธิดาของฟาโรห์ขึ้นมาจากนครดาวิดยังพระราชวังซึ่งพระองค์ทรงสร้างไว้ให้พระนาง เพราะพระองค์ตรัสว่า “มเหสีของเราไม่ควรอยู่ในวังของดาวิดกษัตริย์แห่งอิสราเอล เพราะสถานที่ทั้งหลายซึ่งหีบของพระเยโฮวาห์มาถึงเป็นที่บริสุทธิ์”
2พศด 10.8 แต่พระองค์ทรงทอดทิ้งคำปรึกษาซึ่งผู้เฒ่าถวายนั้นเสีย และไปปรึกษากับคนหนุ่มซึ่งเติบโตขึ้นมาพร้อมกับพระองค์และอยู่งานประจำพระองค์
2พศด 12.2 อยู่มาในปีที่ห้าแห่งกษัตริย์เรโหโบอัม เพราะเขาทั้งหลายได้ละเมิดต่อพระเยโฮวาห์ ชิชักกษัตริย์แห่งอียิปต์เสด็จขึ้นมาสู้รบเยรูซาเล็ม
2พศด 12.9 ชิชักกษัตริย์แห่งอียิปต์จึงขึ้นมาต่อสู้เยรูซาเล็ม พระองค์ทรงเก็บเอาทรัพย์สินแห่งพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และทรัพย์สมบัติในพระราชวัง พระองค์ทรงเก็บเอาไปทุกอย่าง พระองค์ทรงเก็บเอาโล่ทองคำซึ่งซาโลมอนทรงสร้างไว้นั้นไปด้วย
2พศด 16.1 ในปีที่สามสิบหกแห่งรัชกาลอาสา บาอาชากษัตริย์แห่งอิสราเอลขึ้นมาต่อสู้กับยูดาห์และได้สร้างเมืองรามาห์ เพื่อว่าพระองค์จะมิทรงให้คนหนึ่งคนใดออกไปหรือเข้ามาหาอาสากษัตริย์ของยูดาห์
2พศด 20.1 และอยู่มาภายหลัง คนโมอับและคนอัมโมน และพร้อมกับเขามีคนอื่นนอกจากคนอัมโมนนั้นได้ขึ้นมาทำสงครามกับเยโฮชาฟัท
2พศด 20.9 ‘ถ้าเหตุชั่วร้ายขึ้นมาเหนือข้าพระองค์ทั้งหลาย จะเป็นดาบ การพิพากษา หรือโรคระบาด หรือการกันดารอาหาร ข้าพระองค์ทั้งหลายจะยืนอยู่ต่อหน้าพระนิเวศนี้ และต่อพระพักตร์พระองค์ (เพราะพระนามของพระองค์อยู่ในพระนิเวศนี้) และร้องทูลต่อพระองค์ในความทุกข์ใจของข้าพระองค์ทั้งหลาย และพระองค์จะทรงฟังและช่วยให้รอด’
2พศด 20.16 พรุ่งนี้ท่านทั้งหลายจงลงไปต่อสู้กับเขา ดูเถิด เขาจะขึ้นมาทางขึ้นที่ตำบลศิส ท่านจะพบเขาที่ปลายลำธาร ข้างหน้าถิ่นทุรกันดารเยรูเอล
2พศด 28.20 ฉะนั้นทิกลัทปิเลเสอร์กษัตริย์แห่งอัสซีเรียจึงยกขึ้นมาต่อสู้กับพระองค์ และกระทำให้พระองค์ทุกข์พระทัยแทนที่จะสนับสนุนพระองค์ให้เข้มแข็ง
2พศด 30.27 แล้วบรรดาปุโรหิตและคนเลวีได้ลุกขึ้นอวยพรประชาชน เสียงของเขาก็ถึงพระกรรณ และคำอธิษฐานของเขาก็ขึ้นมายังที่ประทับบริสุทธิ์ของพระองค์คือสวรรค์
2พศด 36.6 เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนเสด็จขึ้นมาต่อสู้กับพระองค์ และจองจำพระองค์ด้วยตรวนเพื่อพาพระองค์ไปยังบาบิโลน
อสร 1.11 ภาชนะที่ทำด้วยทองคำและทำด้วยเงินทั้งสิ้นรวมห้าพันสี่ร้อย ทั้งหมดนี้เชชบัสซาร์ได้นำขึ้นมา เมื่อได้นำพวกเชลยขึ้นมาจากบาบิโลนถึงกรุงเยรูซาเล็ม
อสร 2.1 ต่อไปนี้เป็นประชาชนแห่งมณฑลที่ขึ้นมาจากการเป็นเชลยในพวกที่ถูกกวาดไป ซึ่งเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้กวาดเอาไปเป็นเชลยยังบาบิโลน และกลับไปยังเยรูซาเล็มและยูดาห์ ต่างก็ไปยังเมืองของตน
อสร 2.59 ต่อไปนี้เป็นบรรดาผู้ที่ขึ้นมาจากเทลเมลาห์ เทลฮารชา เครูบ อัดดาน และอิมเมอร์ แต่เขาพิสูจน์เรือนบรรพบุรุษของเขาหรือเชื้อสายของเขาไม่ได้ ว่าเขาเป็นคนอิสราเอลหรือไม่
นหม 7.5 แล้วพระเจ้าทรงดลใจข้าพเจ้าให้เรียกชุมนุมพวกขุนนาง และเจ้าหน้าที่และประชาชนเพื่อจะขึ้นทะเบียนสำมะโนครัวเชื้อสาย ข้าพเจ้าพบหนังสือสำมะโนครัวเชื้อสายของคนที่ขึ้นมาครั้งก่อน ข้าพเจ้าเห็นเขียนไว้ว่า
นหม 7.6 ต่อไปนี้ เป็นประชาชนแห่งมณฑลที่ขึ้นมาจากการเป็นเชลยในพวกที่ถูกกวาดไป ซึ่งเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้กวาดไป เขาทั้งหลายกลับมายังเยรูซาเล็มและยูดาห์ ต่างกลับยังหัวเมืองของตน
นหม 7.61 ต่อไปนี้ เป็นบรรดาคนที่ขึ้นมาจากเทลเมลาห์ เทลฮารชา เครูบ อัดโดน และอิมเมอร์ แต่เขาพิสูจน์เรือนบรรพบุรุษของเขาหรือเชื้อสายของเขาไม่ได้ ว่าเขาเป็นคนอิสราเอลหรือไม่
นหม 9.18 แม้ว่าเขาทั้งหลายได้สร้างรูปวัวหล่อไว้สำหรับตัวและกล่าวว่า ‘นี่คือพระเจ้าของเจ้า ผู้ทรงนำเจ้าขึ้นมาจากอียิปต์’ และได้กระทำการหมิ่นประมาทอย่างใหญ่หลวง
นหม 12.1 ต่อไปนี้เป็นปุโรหิตและคนเลวีที่ขึ้นมากับเศรุบบาเบลบุตรชายเชอัลทิเอล และกับเยชูอาคือ เสไรอาห์ เยเรมีย์ เอสรา
โยบ 7.9 เมฆจางและหายไปฉันใด บุคคลที่ลงไปยังแดนคนตายก็มิได้ขึ้นมาฉันนั้น
โยบ 33.6 ดูเถิด ข้าพเจ้าอยู่อย่างท่านตรงพระพักตร์พระเจ้า พระองค์ทรงปั้นข้าพเจ้าขึ้นมาจากดินด้วยเหมือนกัน
โยบ 41.25 เมื่อมันลอยขึ้นมา ผู้ทรงอานุภาพก็กลัวมัน พอมันแว้ง เขาทั้งหลายก็มีใจฝ่อเสียแล้ว
สดด 19.6 ดวงอาทิตย์ขึ้นมาจากสุดปลายฟ้าสวรรค์ข้างหนึ่ง และโคจรไปถึงที่สุดปลายอีกข้างหนึ่ง ไม่มีสิ่งใดสามารถซ่อนให้พ้นจากความร้อนของมันได้
สดด 30.1 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ข้าพระองค์จะยอพระเกียรติพระองค์ เพราะพระองค์ทรงดึงข้าพระองค์ขึ้นมา และมิได้ทรงให้คู่อริของข้าพระองค์เปรมปรีดิ์เพราะข้าพระองค์
สดด 30.3 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระองค์ทรงนำจิตวิญญาณของข้าพระองค์ขึ้นมาจากแดนผู้ตาย ทรงให้ข้าพระองค์มีชีวิต เพื่อข้าพระองค์ไม่ต้องลงไปสู่ปากแดนผู้ตาย
สดด 33.6 โดยพระวจนะของพระเยโฮวาห์ฟ้าสวรรค์ก็ถูกสร้างขึ้นมา กับบริวารทั้งปวงก็ด้วยลมพระโอษฐ์ของพระองค์
สดด 40.2 พระองค์ทรงฉุดข้าพเจ้าขึ้นมาจากหลุมอันน่าสลด ออกมาจากเลนตม แล้ววางเท้าของข้าพเจ้าลงบนศิลา กระทำให้ย่างเท้าของข้าพเจ้ามั่นคง
สดด 71.20 พระองค์ผู้ทรงกระทำให้ข้าพระองค์ประสบความทุกข์ยากลำบากเป็นอันมากจะทรงรื้อข้าพระองค์ขึ้นมาอีก พระองค์จะทรงนำข้าพระองค์ขึ้นมาอีกจากที่ลึกของโลก
สดด 78.38 ถึงกระนั้นด้วยความสังเวชพระองค์ทรงอภัยความชั่วช้าของเขา และมิได้ทรงทำลายเขา พระองค์ทรงยับยั้งพระพิโรธของพระองค์บ่อยๆ และมิได้ทรงกวนพระพิโรธของพระองค์ทั้งสิ้นให้ขึ้นมา
สดด 80.2 ต่อหน้าเอฟราอิม และเบนยามิน และมนัสเสห์ ขอทรงปลุกพระราชอำนาจของพระองค์ขึ้นมาช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้รอด
สดด 85.11 ความจริงจะงอกขึ้นมาจากแผ่นดิน และความชอบธรรมจะมองลงมาจากฟ้าสวรรค์
สดด 104.10 พระองค์ทรงกระทำให้น้ำพุพลุ่งขึ้นมาในหุบเขา น้ำนั้นก็ไหลไประหว่างเขา
สดด 104.30 เมื่อพระองค์ทรงส่งวิญญาณของพระองค์ออกไป มันก็ถูกสร้างขึ้นมา และพระองค์ก็ทรงเปลี่ยนโฉมหน้าของพื้นดินเสียใหม่
สดด 104.32 ผู้ทรงทอดพระเนตรโลก มันก็สั่นสะท้าน ผู้ทรงแตะต้องภูเขา มันก็มีควันขึ้นมา
สดด 112.4 ความสว่างจะโผล่ขึ้นมาในความมืดให้คนเที่ยงธรรม เขามีความเมตตา เต็มไปด้วยความสงสารและชอบธรรม
สดด 113.7 พระองค์ทรงยกคนยากจนขึ้นมาจากผงคลี และทรงยกคนขัดสนขึ้นมาจากกองขี้เถ้า
สดด 119.169 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอเสียงร้องทูลของข้าพระองค์ขึ้นมาต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ ขอประทานความเข้าใจแก่ข้าพระองค์ตามพระวจนะของพระองค์
สดด 119.170 ขอคำวิงวอนของข้าพระองค์ขึ้นมาต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นตามพระดำรัสของพระองค์
สดด 132.17 ณ ที่นั้นเราจะกระทำให้มีเขาหนึ่งงอกขึ้นมาสำหรับดาวิด เราได้เตรียมประทีปดวงหนึ่งสำหรับผู้รับเจิมของเรา
สดด 135.7 พระองค์ทรงกระทำให้เมฆลอยขึ้นมาจากที่สุดปลายแผ่นดินโลก พระองค์ทรงกระทำฟ้าแลบให้แก่ฝนและทรงนำลมออกมาจากคลังของพระองค์
สดด 139.15 เมื่อข้าพระองค์ถูกสร้างอยู่ในที่ลับลี้ ประดิษฐ์ขึ้นมา ณ ภายในที่ลึกแห่งโลก โครงร่างของข้าพระองค์ไม่ปิดบังไว้จากพระองค์
สดด 148.5 ให้สิ่งเหล่านั้นสรรเสริญพระนามพระเยโฮวาห์ เพราะพระองค์ทรงบัญชา สิ่งเหล่านั้นก็ถูกเนรมิตขึ้นมา
สภษ 25.6 อย่าเอาตัวเจ้าขึ้นมาข้างหน้าต่อพระพักตร์กษัตริย์ หรือยืนอยู่ในที่ของผู้หลักผู้ใหญ่
สภษ 25.7 เพราะที่จะให้เขาว่า “เชิญขึ้นมาที่นี่” ก็ดีกว่าถูกไล่ลงไปที่ต่ำต่อหน้าเจ้านายผู้ซึ่งตาของเจ้าได้เห็นแล้ว
สภษ 27.25 หญ้าแห้งปรากฏแล้ว และหญ้างอกใหม่ปรากฏขึ้นมา และเขาเก็บผักหญ้าต่างๆที่ภูเขากันแล้ว
สภษ 31.28 ลูกๆของเธอตื่นขึ้นมาก็ชมเชยเธอ สามีของเธอก็สรรเสริญเธอ
ปญจ 1.5 ดวงอาทิตย์ขึ้น และดวงอาทิตย์ตก แล้วรีบไปถึงที่ซึ่งขึ้นมานั้น
พซม 3.6 ผู้ใดหนอที่กำลังขึ้นมาจากถิ่นทุรกันดารดูประดุจเสาควัน หอมไปด้วยกลิ่นมดยอบและกำยาน ทำด้วยบรรดาเครื่องหอมของพ่อค้า
พซม 4.2 ซี่ฟันของเธอดังฝูงแกะตัวเมียที่กำลังจะตัดขน เพิ่งขึ้นมาจากการชำระล้าง มีลูกแฝดติดมาทุกตัว และหามีตัวใดเป็นหมันไม่
พซม 6.6 ซี่ฟันของเธอดังฝูงแกะตัวเมียเพิ่งขึ้นมาจากการชำระล้าง มีลูกแฝดติดมาทุกตัว และหามีตัวใดเป็นหมันไม่
พซม 8.5 แม่คนนี้ที่ขึ้นมาจากถิ่นทุรกันดารอิงแอบแนบมากับคู่รัก คือใครที่ไหนหนอ ดิฉันได้ปลุกเธอเมื่อเธออยู่ใต้ต้นแอบเปิ้ล ที่นั่นแหละที่มารดาของเธอได้ให้กำเนิดเธอ ที่ตรงนั้นแหละผู้ที่คลอดเธอได้ให้กำเนิดเธอ
อสย 7.1 ต่อมาในรัชกาลของอาหัสโอรสของโยธาม โอรสของอุสซียาห์ กษัตริย์แห่งยูดาห์ เรซีนกษัตริย์แห่งซีเรีย และเปคาห์โอรสของเรมาลิยาห์ กษัตริย์แห่งอิสราเอลได้ขึ้นมายังเยรูซาเล็มเพื่อกระทำสงครามกับเมืองนั้น แต่รบไม่ชนะ
อสย 11.16 และจะมีถนนหลวงจากอัสซีเรียสำหรับคนที่เหลืออยู่จากชนชาติของพระองค์ ดั่งที่มีอยู่สำหรับอิสราเอลในวันที่เขาขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์
อสย 14.8 ต้นสนสามใบเปรมปรีดิ์เพราะเจ้า ต้นสนสีดาร์แห่งเลบานอนด้วย และกล่าวว่า ‘ตั้งแต่เจ้าตกต่ำ ก็ไม่มีผู้โค่นขึ้นมาต่อสู้เราแล้ว’
อสย 23.13 จงดูแผ่นดินแห่งคนเคลเดียเถิด ชนชาตินี้ยังไม่มีขึ้นมา จนกว่าคนอัสซีเรียสถาปนาแผ่นดินนั้นไว้สำหรับคนที่อาศัยอยู่ตามถิ่นทุรกันดาร พวกเขาได้ก่อเชิงเทินของเขาขึ้น พวกเขาก่อวังทั้งหลายของเขาขึ้น แต่ท่านกระทำให้มันเป็นที่ปรักหักพัง
อสย 27.4 เราไม่มีความพิโรธ ใครเล่าจะให้มีหนามย่อยหนามใหญ่ขึ้นมาสู้รบกับเรา เราจะออกรบกับมัน เราจะเผามันเสียด้วยกัน
อสย 35.6 แล้วคนง่อยจะกระโดดได้อย่างกวาง และลิ้นของคนใบ้จะร้องเพลง เพราะน้ำจะพลุ่งขึ้นมาในถิ่นทุรกันดาร และลำธารจะพลุ่งขึ้นในทะเลทราย
อสย 36.1 ต่อมาในปีที่สิบสี่แห่งรัชกาลกษัตริย์เฮเซคียาห์ เซนนาเคอริบกษัตริย์แห่งอัสซีเรียได้ยกขึ้นมาต่อสู้บรรดานครที่มีป้อมของยูดาห์และยึดได้
อสย 36.10 ยิ่งกว่านั้นอีกที่เรามาต่อสู้แผ่นดินนี้เพื่อทำลายเสีย ก็ขึ้นมาโดยปราศจากพระเยโฮวาห์หรือ พระเยโฮวาห์ตรัสแก่ข้าว่า “จงขึ้นไปต่อสู้แผ่นดินนี้และทำลายเสีย”’”
อสย 40.15 ดูเถิด บรรดาประชาชาติก็เหมือนน้ำหยดหนึ่งจากถัง และนับว่าเหมือนผงบนตาชั่ง ดูเถิด พระองค์ทรงหยิบเกาะทั้งหลายขึ้นมาเหมือนสิ่งเล็กน้อย
อสย 41.21 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “จงนำข้อคดีของเจ้าขึ้นมา” กษัตริย์ของยาโคบตรัสว่า “จงนำข้อพิสูจน์ของเจ้ามา”
อสย 43.19 ดูเถิด เราจะกระทำสิ่งใหม่ บัดนี้จะงอกขึ้นมาแล้ว เจ้าจะไม่เห็นหรือ เราจะทำทางในถิ่นทุรกันดารและแม่น้ำในที่แห้งแล้ง
อสย 44.4 เขาทั้งหลายจะงอกขึ้นมาท่ามกลางหญ้า เหมือนต้นหลิวข้างลำธารน้ำไหล
อสย 45.8 ฟ้าสวรรค์เอ๋ย จงโปรยฝนมาจากเบื้องบน และให้ท้องฟ้าหลั่งความชอบธรรมลงมา ให้แผ่นดินโลกเปิดออก เพื่อความรอดจะได้งอกขึ้นมา และยังความชอบธรรมให้พลุ่งขึ้นมาด้วย เรา คือพระเยโฮวาห์ได้สร้างมัน”
อสย 47.11 ฉะนั้นความชั่วร้ายจะมาเหนือเจ้า ซึ่งเจ้าจะไม่รู้ว่ามันขึ้นมาจากไหน ความเลวร้ายจะตกใส่เจ้า ซึ่งเจ้าจะไม่สามารถถอดถอนได้ และความพินาศจะมาถึงเจ้าทันทีทันใด ซึ่งเจ้าไม่รู้เรื่องเลย
อสย 57.20 แต่คนชั่วนั้นเหมือนทะเลที่กำเริบ เพราะมันนิ่งอยู่ไม่ได้ และน้ำของมันก็กวนตมและเลนขึ้นมา
อสย 58.8 แล้วความสว่างของเจ้าจะพุ่งออกมาอย่างอรุณ และแผลของเจ้าจะเรียกเนื้อขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ความชอบธรรมของเจ้าจะเดินนำหน้าเจ้า และสง่าราศีของพระเยโฮวาห์จะระวังหลังเจ้า
อสย 59.5 เขาฟักไข่งูทับทาง เขาทอใยแมงมุม เขาผู้กินไข่นั้นก็ตาย แม้ไข่ลูกใดถูกทุบ งูร้ายก็เป็นตัวขึ้นมา
อสย 60.1 “จงลุกขึ้น ฉายแสง เพราะว่าความสว่างของเจ้ามาแล้ว และสง่าราศีของพระเยโฮวาห์ขึ้นมาเหนือเจ้า
อสย 60.2 เพราะว่า ดูเถิด ความมืดจะคลุมแผ่นดินโลก และความมืดทึบจะคลุมชนชาติทั้งหลาย แต่พระเยโฮวาห์จะทรงขึ้นมาเหนือเจ้า และเขาจะเห็นสง่าราศีของพระองค์เหนือเจ้า
อสย 61.4 เขาทั้งหลายจะสร้างที่ที่ถูกทิ้งไว้เสียเปล่าแต่โบราณขึ้นใหม่ เขาจะก่อซากปรักหักพังแต่ก่อนขึ้นมาอีก เขาจะซ่อมหัวเมืองที่ถูกทิ้งไว้เสียเปล่านั้น คือที่ที่รกร้างมาหลายชั่วอายุคนแล้ว
อสย 61.11 เพราะแผ่นดินโลกได้เกิดหน่อของมัน และสวนทำให้สิ่งที่หว่านในนั้นงอกขึ้นมาฉันใด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจะทรงทำให้ความชอบธรรมและความสรรเสริญงอกขึ้นมาต่อหน้าบรรดาประชาชาติฉันนั้น
อสย 63.11 แล้วพระองค์ทรงระลึกถึงสมัยเก่าก่อน ถึงโมเสส ถึงชนชาติของพระองค์ว่า “พระองค์ผู้ทรงนำเขาทั้งหลายขึ้นมาจากทะเลพร้อมกับผู้เลี้ยงแพะแกะของพระองค์อยู่ที่ไหน พระองค์ทรงอยู่ที่ไหน ผู้ซึ่งบรรจุพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ท่ามกลางเขา
อสย 66.2 สิ่งเหล่านี้มือของเราได้กระทำทั้งสิ้น บรรดาสิ่งเหล่านั้นจึงเป็นขึ้นมา” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ “แต่คนนี้ต่างหากที่เราจะมอง คือเขาผู้ที่ถ่อมและสำนึกผิดในใจ และตัวสั่นเพราะคำของเรา
ยรม 2.6 เขาทั้งหลายมิได้กล่าวว่า ‘พระเยโฮวาห์ประทับที่ไหน ผู้ได้พาเราขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์ ผู้ได้นำเราอยู่ในป่าถิ่นทุรกันดาร ในแดนทะเลทรายมีหลุม ในแดนที่กันดารน้ำและมีเงามัจจุราช ในแผ่นดินที่ไม่มีผู้ใดผ่านไปได้ และไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่ที่นั่น’
ยรม 2.37 เจ้าจะออกมาจากที่นั่นด้วย โดยเอามือกุมศีรษะของเจ้าไว้ เพราะพระเยโฮวาห์ทรงทอดทิ้งบรรดาความไว้วางใจของเจ้าเสีย เจ้าจะเจริญขึ้นมาเพราะเขาก็ไม่ได้”
ยรม 4.13 ดูเถิด เขาจะขึ้นมาเหมือนเมฆ รถรบของเขาจะเหมือนลมหมุน ม้าทั้งหลายของเขาเร็วยิ่งกว่านกอินทรี วิบัติแก่เราทั้งหลาย เพราะว่าเราจะต้องพินาศ
ยรม 9.21 เพราะความตายได้ขึ้นมาเข้าหน้าต่างของเรา มันเข้ามาในวังทั้งหลายของเรา ตัดพวกเด็กๆออกเสียจากข้างนอก และตัดคนหนุ่มๆออกเสียจากถนนทั้งหลาย
ยรม 11.7 เพราะเราได้กล่าวตักเตือนอย่างแข็งแรงต่อบรรพบุรุษของเจ้า ในวันที่เรานำเขาขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์ แม้จนถึงทุกวันนี้อย่างไม่หยุดยั้งกล่าวตักเตือนว่า จงเชื่อฟังเสียงของเรา
ยรม 16.14 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เพราะฉะนั้น ดูเถิด วันเดือนจะมาถึง เมื่อไม่มีใครกล่าวต่อไปอีกว่า ‘พระเยโฮวาห์ผู้ทรงนำประชาชนอิสราเอลขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด’
ยรม 16.15 แต่จะพูดว่า ‘พระเยโฮวาห์ผู้ทรงนำประชาชนอิสราเอลขึ้นมาจากแดนเหนือ และขึ้นมาจากบรรดาประเทศซึ่งพระองค์ได้ทรงขับไล่เขาให้ไปอยู่นั้น ทรงพระชนม์อยู่ฉันใด’ เพราะเราจะนำเขาทั้งหลายกลับมาสู่แผ่นดินของเขาเอง ซึ่งเราได้ยกให้บรรพบุรุษของเขาแล้วนั้น
ยรม 25.32 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า ‘ดูเถิด ความร้ายจะไปจากประชาชาตินี้ถึงประชาชาตินั้น และลมหมุนใหญ่จะปั่นป่วนขึ้นมาจากส่วนพิภพโลกที่ไกลที่สุด
ยรม 26.10 เมื่อบรรดาเจ้านายแห่งยูดาห์ได้ยินสิ่งเหล่านี้แล้ว ท่านก็ขึ้นมาจากพระราชวังถึงพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ และมานั่งในทางเข้าประตูใหม่แห่งพระนิเวศของพระเยโฮวาห์
ยรม 27.22 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เครื่องใช้เหล่านี้จะถูกขนไปยังบาบิโลน และจะค้างอยู่ที่นั่นจนถึงวันที่เราเอาใจใส่มัน แล้วเราจึงจะนำมันกลับขึ้นมา และให้กลับสู่สถานที่นี้”
ยรม 38.13 แล้วเขาก็ฉุดเยเรมีย์ขึ้นมาด้วยเชือก และยกท่านขึ้นมาจากคุกใต้ดิน และเยเรมีย์ก็ยังค้างอยู่ในบริเวณทหารรักษาพระองค์
ยรม 46.7 นี่ใครนะ โผล่ขึ้นมาดั่งน้ำท่วม เหมือนแม่น้ำซึ่งน้ำของมันซัดขึ้น
ยรม 46.8 อียิปต์โผล่ขึ้นมาอย่างน้ำท่วม เหมือนแม่น้ำของมันซัดขึ้น เขาว่า ‘ข้าจะขึ้น ข้าจะคลุมโลก ข้าจะทำลายหัวเมืองและชาวเมืองนั้นเสีย’
ยรม 47.2 “พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด น้ำทั้งหลายกำลังขึ้นมาจากทิศเหนือ และจะกลายเป็นกระแสน้ำท่วม มันจะท่วมแผ่นดินและสารพัดซึ่งอยู่ในนั้น ทั้งเมืองและผู้ที่อาศัยอยู่ในเมือง คนจะร้องร่ำไร และชาวแผ่นดินนั้นทุกคนจะคร่ำครวญ
ยรม 49.19 ดูเถิด เขาจะขึ้นมาอย่างสิงโตจากคลื่นของลุ่มแม่น้ำจอร์แดนโจนเข้าใส่คอกของแกะที่แข็งแรง แต่เราจะกระทำให้เขาวิ่งหนีเธอไปอย่างฉับพลัน และใครเป็นผู้ที่เลือกสรรไว้ ที่เราจะแต่งตั้งไว้เหนือเธอ ใครเป็นอย่างเราเล่า ใครจะนัดเราเล่า ผู้เลี้ยงแกะคนใดจะทนยืนอยู่ต่อหน้าเราได้
ยรม 50.44 ดูเถิด เขาจะขึ้นมาอย่างสิงโตจากคลื่นของลุ่มแม่น้ำจอร์แดนโจนเข้าใส่คอกของแกะที่แข็งแรง แต่เราจะกระทำให้เขาวิ่งหนีเธอไปอย่างฉับพลัน และใครเป็นผู้ที่เลือกสรรไว้ ที่เราจะแต่งตั้งไว้เหนือเธอ ใครเป็นอย่างเราเล่า ใครจะนัดเราเล่า ผู้เลี้ยงแกะคนใดจะทนยืนอยู่ต่อหน้าเราได้
ยรม 51.11 จงฝนลูกธนู จงหยิบโล่ขึ้นมา พระเยโฮวาห์ทรงเร้าใจบรรดากษัตริย์คนมีเดีย เพราะว่าพระประสงค์ของพระองค์เกี่ยวด้วยเรื่องบาบิโลน ก็คือการทำลายมันเสีย เพราะนั่นแหละเป็นการแก้แค้นของพระเยโฮวาห์ คือการแก้แค้นแทนพระวิหารของพระองค์
ยรม 51.42 ทะเลขึ้นมาเหนือบาบิโลน คลื่นอย่างมากมายคลุมเธอไว้
ยรม 52.9 และเขาก็จับกษัตริย์ นำขึ้นมาถวายแก่กษัตริย์แห่งบาบิโลนที่ตำบลริบลาห์ในแผ่นดินฮามัท และกษัตริย์ก็ได้พิพากษาโทษท่าน
พคค 3.21 ข้าพเจ้าหวนคิดขึ้นมาได้ ข้าพเจ้าจึงมีความหวัง
อสค 3.12 พระวิญญาณจึงยกข้าพเจ้าขึ้น และข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงกระหึ่มอยู่ข้างหลังข้าพเจ้าว่า “จงสรรเสริญแด่สง่าราศีของพระเยโฮวาห์ซึ่งขึ้นมาจากสถานที่ของพระองค์”
อสค 10.7 เครูบตนหนึ่งได้ยื่นมือของตนออกมาระหว่างเหล่าเครูบไปยังไฟซึ่งอยู่ระหว่างเหล่าเครูบ หยิบไฟขึ้นมาบ้าง และใส่มือของชายที่นุ่งห่มผ้าป่าน ชายนั้นก็นำไฟออกไป
อสค 16.7 เราได้กระทำให้เจ้าทวีคูณเหมือนอย่างพืชในท้องนา เจ้าก็เติบโตและสูงขึ้นจนเป็นสาวเต็มตัว ถันของเจ้าก็ก่อรูปขึ้นมา และขนของเจ้าก็งอก ทั้งๆที่เจ้าเคยเปลือยเปล่าและล่อนจ้อน
อสค 17.6 เมล็ดก็งอกขึ้นมาและเติบโตขึ้นเป็นเถาองุ่นเตี้ย แผ่แขนงไพศาล แขนงทั้งหลายของต้นนี้ก็ทอดมายังตัวนกอินทรี และรากก็ยังคงอยู่ใต้มัน เมล็ดจึงบังเกิดเป็นเถา แตกแขนงสาขาและออกใบ
อสค 26.3 เพราะฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด โอ เมืองไทระเอ๋ย เราเป็นปฏิปักษ์กับเจ้า และจะนำประชาชาติเป็นอันมากมาต่อสู้เจ้า ดังทะเลกระทำให้คลื่นของมันขึ้นมา
อสค 28.13 เจ้าเคยอยู่ในเอเดน พระอุทยานของพระเจ้า เพชรพลอยทุกอย่างเป็นเสื้อของเจ้า คือทับทิม บุษราคัม เพชร พลอยเขียว พลอยสีน้ำข้าว และหยก ไพทูรย์ มรกต พลอยสีแดงเข้มและทองคำ ความเชี่ยวชาญแห่งรำมะนาและปี่ของเจ้าได้จัดเตรียมไว้ในวันที่สร้างเจ้าขึ้นมา
อสค 28.15 เจ้าก็ปราศจากตำหนิในวิธีการทั้งหลายของเจ้า ตั้งแต่วันที่เจ้าได้ถูกสร้างขึ้นมาจนพบความชั่วช้าในตัวเจ้า
อสค 29.4 เราจะเอาเบ็ดเกี่ยวขากรรไกรของเจ้า และจะกระทำให้ปลาในแม่น้ำทั้งหลายของเจ้าติดกับเกล็ดของเจ้า และเราจะลากเจ้าขึ้นมาจากกลางแม่น้ำทั้งหลายของเจ้า และบรรดาปลาในแม่น้ำทั้งหลายของเจ้าจะติดอยู่กับเกล็ดของเจ้า
อสค 29.9 แผ่นดินอียิปต์จะเป็นที่รกร้างและถูกทิ้งไว้เสียเปล่า แล้วเขาทั้งหลายจะทราบว่า เราคือพระเยโฮวาห์ เพราะเขาได้กล่าวว่า ‘แม่น้ำเป็นของข้า และข้าสร้างมันขึ้นมา’
อสค 29.21 ในวันนั้นเราจะกระทำให้มีเขางอกขึ้นมาที่วงศ์วานอิสราเอล และเราจะให้เจ้าอ้าปากพูดท่ามกลางเขาทั้งหลาย แล้วเขาจะทราบว่าเราคือพระเยโฮวาห์”
อสค 32.3 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เราจะกางข่ายของเราคลุมท่านโดยกองทัพชนชาติทั้งหลายเป็นอันมาก และเขาเหล่านั้นจะลากท่านขึ้นมาด้วยอวนของเรา
อสค 39.2 เราจะให้เจ้าหันกลับ และเจ้าจะเหลือแค่หนึ่งในหกส่วน และให้เจ้าขึ้นมาจากส่วนเหนือที่สุด และให้เจ้าเข้าไปต่อสู้ภูเขาทั้งหลายแห่งอิสราเอล
ดนล 6.23 ฝ่ายกษัตริย์ก็โสมนัสในพระทัยเป็นล้นพ้น และทรงบัญชาให้นำดาเนียลขึ้นมาจากถ้ำ เขาจึงเอาดาเนียลขึ้นมาจากถ้ำ ไม่ปรากฏว่ามีอันตรายอย่างไรบนตัวท่านเลย เพราะท่านได้เชื่อในพระเจ้าของท่าน
ดนล 7.3 และสัตว์มหึมาสี่ตัวได้ขึ้นมาจากทะเล แต่ละตัวก็ต่างกัน
ดนล 7.8 ข้าพเจ้าพิเคราะห์เรื่องเขาเหล่านั้น ดูเถิด มีอีกเขาหนึ่งเล็กๆงอกขึ้นมาท่ามกลางเขาเหล่านั้น เขารุ่นแรกสามเขาได้ถูกถอนรากออกไปต่อหน้ามัน และดูเถิด ในเขาอันนี้มีตาเหมือนตามนุษย์ มีปากพูดเรื่องใหญ่โต
ดนล 7.20 และเกี่ยวกับเขาสิบเขาซึ่งอยู่บนหัวของมัน และเขาอีกเขาหนึ่งซึ่งงอกขึ้นมาต่อหน้าเขารุ่นแรกสามเขาที่หลุดไป เขาซึ่งมีตาและมีปากซึ่งพูดสิ่งใหญ่โต และซึ่งดูเหมือนจะใหญ่โตกว่าเพื่อนเขาด้วยกัน
ดนล 11.2 และบัดนี้ ข้าพเจ้าจะสำแดงความจริงให้แก่ท่าน ดูเถิด จะมีกษัตริย์อีกสามองค์ขึ้นมาในเปอร์เซีย และองค์ที่สี่จะร่ำรวยยิ่งกว่าองค์อื่นทั้งหมดเป็นอันมาก เมื่อท่านเข้มแข็งด้วยทรัพย์ร่ำรวยของท่านแล้ว ท่านก็จะปลุกปั่นให้ทุกคนต่อสู้กับราชอาณาจักรกรีก
ดนล 11.3 แล้วจะมีกษัตริย์ที่มีอานุภาพมากขึ้นมา ท่านจะปกครองด้วยราชอำนาจยิ่งใหญ่ และกระทำตามความพอใจของท่านเอง
ดนล 11.4 และเมื่อท่านขึ้นมาแล้ว ราชอาณาจักรของท่านจะแตกและแบ่งแยกออกไปตามทางลมทั้งสี่แห่งฟ้าสวรรค์ แต่จะไม่ตกอยู่กับทายาทของท่าน และจะไม่มีราชอำนาจอย่างที่ท่านปกครองอยู่ เพราะว่าราชอาณาจักรของท่านจะถูกถอนขึ้น ตกไปเป็นของผู้อื่นนอกเหนือคนเหล่านี้
ดนล 11.7 จะมีกิ่งจากรากของเธอขึ้นมาแทนที่ของกษัตริย์ ท่านจะยกมาต่อสู้กับกองทัพ และจะเข้าไปในป้อมของกษัตริย์แห่งถิ่นเหนือ และจะรบกับเขาและจะชนะ
ดนล 11.20 แล้วจะมีผู้หนึ่งขึ้นมาแทนที่ของท่าน ผู้นี้จะส่งเจ้าพนักงานเก็บส่วยให้ไปตลอดทั่วราชอาณาจักรอันรุ่งโรจน์ แต่ไม่กี่วันเขาก็ประสบหายนะ มิใช่ด้วยความโกรธหรือสงคราม
ดนล 11.23 ตั้งแต่เวลาที่กระทำพันธมิตรกับเขา เขาจะประกอบกิจล่อลวงอยู่เสมอ เพราะเขาจะขึ้นมา และเขาจะเข้มแข็งขึ้นด้วยชนชาติเล็กๆ
ฮชย 2.15 เราจะให้นางมีสวนองุ่นที่นั่น กระทำให้หุบเขาอาโคร์เป็นประตูแห่งความหวัง แล้วนางจะร้องเพลงที่นั่นอย่างสมัยเมื่อนางยังสาวอยู่ ดังในสมัยเมื่อนางขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์
ฮชย 10.4 เขาพูดพล่อยๆ เขาทำพันธสัญญาด้วยคำปฏิญาณลมๆแล้งๆ การพิพากษาจึงงอกงามขึ้นมาเหมือนดีหมีอยู่ในร่องรอยไถที่ในทุ่งนา
ฮชย 12.13 พระเยโฮวาห์ทรงนำคนอิสราเอลขึ้นมาจากอียิปต์โดยผู้พยากรณ์คนหนึ่ง พระองค์ทรงรักษาเขาไว้โดยผู้พยากรณ์คนหนึ่ง
ฮชย 13.15 แม้ว่าเขาจะงอกงามขึ้นท่ามกลางพี่น้อง ลมตะวันออก คือลมของพระเยโฮวาห์จะพัดมา ขึ้นมาจากถิ่นทุรกันดาร และตาน้ำของเขาจะแห้งไป และน้ำพุของเขาก็จะแห้งผาก ลมนั้นจะริบของมีค่าทั้งหมดเอาไปจากคลังของเขา
ยอล 1.6 เพราะว่าประชาชาติหนึ่งได้ขึ้นมาสู้กับแผ่นดินของข้าพเจ้า เขามีทั้งกำลังมากและมีจำนวนนับไม่ถ้วน ฟันของมันเหมือนฟันสิงโต เขี้ยวของมันเหมือนเขี้ยวสิงโตผู้ยิ่งใหญ่
ยอล 2.20 แต่เราจะถอนกองทัพทางทิศเหนือไปให้ห่างไกลจากเจ้า และขับไล่มันเข้าไปในแผ่นดินที่แห้งแล้งและรกร้าง กองหน้าของมันจะหันไปทางทะเลด้านตะวันออก และกองหลังของมันจะหันไปทางทะเลที่อยู่ไกลออกไป กลิ่นเหม็นคลุ้งของมันจะลอยขึ้นมา และกลิ่นเหม็นเน่าของมันจะลอยขึ้นมา เพราะมันทำการใหญ่หลายอย่าง
ยอล 3.9 จงประกาศข้อความต่อไปนี้ให้นานาประชาชาติทราบว่า จงเตรียมทำการรบ จงปลุกใจชายฉกรรจ์ทั้งหลาย ให้พลรบทั้งสิ้นเข้ามาใกล้ ให้เขาขึ้นมาเถิด
ยอล 3.12 ให้บรรดาประชาชาติตื่นตัวและขึ้นมายังหุบเขาเยโฮชาฟัท เพราะที่นั่นเราจะนั่งพิพากษาบรรดาประชาชาติทั้งสิ้นที่อยู่ล้อมรอบ
อมส 2.10 เรานำเจ้าขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์ และได้นำเจ้าถึงสี่สิบปีในถิ่นทุรกันดาร เพื่อจะได้กรรมสิทธิ์ที่ดินของคนอาโมไรต์
อมส 7.1 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าดังนี้ว่า ดูเถิด พระองค์ทรงสร้างตั๊กแตน เมื่อพืชรุ่นหลังเริ่มงอกขึ้นมา และดูเถิด เป็นพืชรุ่นหลังจากที่กษัตริย์ได้เกี่ยวแล้ว
อมส 8.8 แผ่นดินจะไม่หวั่นไหวเพราะเรื่องนี้หรือ ทุกคนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้นจะไม่ไว้ทุกข์หรือ และแผ่นดินนั้นทั้งหมดก็เอ่อขึ้นมาอย่างแม่น้ำ ถูกซัดไปซัดมาและยุบลงอีก เหมือนแม่น้ำแห่งอียิปต์มิใช่หรือ”
อมส 9.5 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจอมโยธา พระองค์ผู้ทรงแตะต้องแผ่นดิน และแผ่นดินก็ละลายไป และบรรดาที่อาศัยอยู่ในนั้นก็ไว้ทุกข์ และแผ่นดินนั้นทั้งหมดก็เอ่อขึ้นมาอย่างแม่น้ำ และยุบลงอีกเหมือนแม่น้ำแห่งอียิปต์
อมส 9.7 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “โอ คนอิสราเอลเอ๋ย แก่เราเจ้าไม่เป็นเหมือนคนเอธิโอเปียดอกหรือ เรามิได้พาอิสราเอลขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์หรือ และพาคนฟีลิสเตียมาจากคัฟโทร์ และพาคนซีเรียมาจากคีร์หรือ
ยนา 1.2 “จงลุกขึ้นไปยังนีนะเวห์นครใหญ่ และร้องกล่าวโทษชาวเมืองนั้น เหตุความชั่วของเขาทั้งหลายได้ขึ้นมาเบื้องหน้าเราแล้ว”
ยนา 2.6 ข้าพระองค์ลงไปยังที่รากแห่งภูเขาทั้งหลาย แผ่นดินกับดาลประตูปิดกั้นข้าพระองค์ไว้เป็นนิตย์ แต่กระนั้นก็ดี โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ พระองค์ยังทรงนำชีวิตของข้าพระองค์ขึ้นมาจากความเปื่อยเน่า
ยนา 4.6 และพระเยโฮวาห์พระเจ้าทรงกำหนดให้ต้นละหุ่งต้นหนึ่งงอกขึ้นมาเหนือโยนาห์ ให้เป็นที่กำบังศีรษะของท่าน เพื่อให้บรรเทาความร้อนรุ่มกลุ้มใจในเรื่องนี้ เพราะเหตุต้นละหุ่งต้นนี้โยนาห์จึงมีความยินดียิ่งนัก
มคา 6.4 ด้วยว่าเราได้นำเจ้าขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์ และไถ่เจ้ามาจากเรือนทาส และเราใช้ให้โมเสส อาโรน และมิเรียม นำหน้าเจ้าไป
นฮม 2.1 ผู้ที่ฟาดให้แหลกเป็นชิ้นๆได้ขึ้นมาต่อสู้กับเจ้าแล้ว จงเข้าประจำป้อม จงเฝ้าทางไว้ จงคาดเอวไว้ จงรวมกำลังไว้ให้หมด
ศคย 11.15 แล้วพระเยโฮวาห์จึงตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงหยิบเครื่องใช้ของเมษบาลโง่เขลาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ศคย 14.16 และอยู่มาบรรดาคนที่เหลืออยู่ในประชาชาติทั้งปวงซึ่งยกขึ้นมาสู้รบกับเยรูซาเล็ม จะขึ้นไปนมัสการกษัตริย์ปีแล้วปีเล่า คือพระเยโฮวาห์จอมโยธา และจะถือเทศกาลอยู่เพิง
มลค 4.2 แต่ดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมซึ่งมีปีกรักษาโรคภัยได้จะขึ้นมาสำหรับคนเหล่านั้นที่ยำเกรงนามของเรา เจ้าจะกระโดดโลดเต้นออกไปเหมือนลูกวัวออกไปจากคอก
มธ 11.5 คือว่าคนตาบอดก็หายบอด คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายสะอาด คนหูหนวกได้ยินได้ คนตายแล้วเป็นขึ้นมา และข่าวประเสริฐก็ประกาศแก่คนอนาถา
มธ 14.2 จึงกล่าวแก่พวกคนใช้ของท่านว่า “ผู้นี้แหละเป็นยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา ท่านได้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว เหตุฉะนั้นท่านจึงกระทำการอิทธิฤทธิ์ได้”
มธ 16.21 ตั้งแต่เวลานั้นมา พระเยซูทรงเริ่มเผยแก่เหล่าสาวกของพระองค์ว่า พระองค์จะต้องเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็ม และจะต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการจากพวกผู้ใหญ่และพวกปุโรหิตใหญ่และพวกธรรมาจารย์ จนต้องถูกประหารเสีย แต่ในวันที่สามจะทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่
มธ 17.9 ขณะที่ลงมาจากภูเขา พระเยซูตรัสกำชับเหล่าสาวกว่า “นิมิตซึ่งพวกท่านได้เห็นนั้น อย่าบอกเล่าแก่ผู้ใดจนกว่าบุตรมนุษย์จะฟื้นขึ้นมาจากความตาย”
มธ 17.23 และเขาทั้งหลายจะประหารชีวิตท่านเสีย ในวันที่สามท่านจะกลับฟื้นขึ้นมาใหม่” พวกสาวกก็พากันเป็นทุกข์ยิ่งนัก
มธ 17.27 แต่เพื่อมิให้เราทั้งหลายทำให้เขาสะดุด ท่านจงไปตกเบ็ดที่ทะเล เมื่อได้ปลาตัวแรกขึ้นมาก็ให้เปิดปากมัน แล้วจะพบเงินแผ่นหนึ่ง จงเอาเงินนั้นไปจ่ายให้แก่เขาสำหรับเรากับท่านเถิด”
มธ 20.19 และจะมอบท่านไว้กับคนต่างชาติให้เยาะเย้ยเฆี่ยนตี และให้ตรึงไว้ที่กางเขน และวันที่สามท่านจึงจะกลับฟื้นขึ้นมาใหม่”
มธ 22.23 ในวันนั้นมีพวกสะดูสีมาหาพระองค์ พวกนี้เป็นผู้ที่กล่าวว่า การฟื้นขึ้นมาจากความตายไม่มี เขาจึงทูลถามพระองค์
มธ 22.28 เหตุฉะนั้นในวันที่จะฟื้นขึ้นมาจากความตาย หญิงนั้นจะเป็นภรรยาของผู้ใดในเจ็ดคนนั้น ด้วยนางได้เป็นภรรยาของชายทั้งเจ็ดคนแล้ว”
มธ 22.30 ด้วยว่าเมื่อมนุษย์ฟื้นขึ้นมาจากความตายนั้น จะไม่มีการสมรสหรือยกให้เป็นสามีภรรยากันอีก แต่จะเป็นเหมือนพวกทูตสวรรค์ของพระเจ้าในสวรรค์
มธ 26.32 แต่เมื่อเราฟื้นขึ้นมาแล้ว เราจะไปยังแคว้นกาลิลีก่อนหน้าท่าน”
มธ 27.52 อุโมงค์ฝังศพก็เปิดออก ศพของพวกวิสุทธิชนหลายคนที่ล่วงหลับไปแล้วได้เป็นขึ้นมา
มธ 27.53 ภายหลังที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว เขาทั้งหลายก็ออกจากอุโมงค์พากันเข้าไปในนครบริสุทธิ์ปรากฏแก่คนเป็นอันมาก
มธ 27.63 เรียนว่า “เจ้าคุณขอรับ ข้าพเจ้าทั้งหลายจำได้ว่า คนล่อลวงผู้นั้น เมื่อเขายังมีชีวิตอยู่ได้พูดว่า ‘ล่วงไปสามวันแล้วเราจะเป็นขึ้นมาใหม่’
มธ 27.64 เหตุฉะนั้น ขอได้มีบัญชาสั่งเฝ้าอุโมงค์ให้แข็งแรงจนถึงวันที่สาม เกลือกว่าสาวกของเขาจะมาในตอนกลางคืน และลักเอาศพไป แล้วจะประกาศแก่ประชาชนว่า เขาเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และการหลอกลวงครั้งนี้จะร้ายแรงยิ่งกว่าครั้งก่อนอีก”
มธ 28.6 พระองค์หาได้ประทับอยู่ที่นี่ไม่ เพราะพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาแล้วตามที่พระองค์ได้ตรัสไว้นั้น มาดูที่ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าได้บรรทมอยู่นั้น
มธ 28.7 แล้วจงรีบไปบอกพวกสาวกของพระองค์เถิดว่า พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และดูเถิด พระองค์เสด็จไปยังแคว้นกาลิลีก่อนท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะเห็นพระองค์ที่นั่น ดูเถิด เราได้บอกท่านแล้ว”
มก 1.10 พอพระองค์เสด็จขึ้นมาจากน้ำ ในทันใดนั้นก็ทอดพระเนตรเห็นท้องฟ้าแหวกออก และพระวิญญาณดุจนกเขาเสด็จลงมาบนพระองค์
มก 6.14 ฝ่ายกษัตริย์เฮโรดทรงได้ยินเรื่องของพระองค์ (เพราะว่าพระนามของพระองค์ได้เลื่องลือไป) แล้วท่านตรัสว่า “ยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว เหตุฉะนั้นจึงทำการมหัศจรรย์ได้”
มก 6.16 ฝ่ายเฮโรดเมื่อทรงได้ยินแล้วจึงตรัสว่า “คือยอห์นนั้นเองที่เราได้ตัดศีรษะเสีย ท่านได้เป็นขึ้นมาจากความตาย”
มก 8.31 พระองค์จึงทรงเริ่มกล่าวสอนสาวกว่า บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการ พวกผู้ใหญ่ พวกปุโรหิตใหญ่ และพวกธรรมาจารย์จะปฏิเสธพระองค์ และพระองค์จะต้องถูกประหารชีวิต แต่ในวันที่สามพระองค์จะทรงเป็นขึ้นมาใหม่
มก 9.9 เมื่อกำลังลงมาจากภูเขา พระองค์ตรัสกำชับเหล่าสาวกไม่ให้นำสิ่งที่ได้เห็นนั้นไปบอกแก่ผู้ใดเลย จนกว่าบุตรมนุษย์จะเป็นขึ้นมาจากความตาย
มก 9.10 เหตุการณ์นั้นเหล่าสาวกก็เก็บงำไว้ แต่ซักถามกันว่า ที่ตรัสว่าจะเป็นขึ้นมาจากความตายนั้น จะหมายความว่าอย่างไร
มก 9.31 ด้วยว่าพระองค์ตรัสพร่ำสอนสาวกของพระองค์ว่า “บุตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในเงื้อมมือของคนทั้งหลาย และเขาจะประหารท่านเสีย เมื่อประหารแล้ว ในวันที่สามท่านจะเป็นขึ้นมาใหม่”
มก 10.34 คนต่างชาตินั้นจะเยาะเย้ยท่าน จะเฆี่ยนตีท่าน จะถ่มน้ำลายรดท่าน และจะฆ่าท่านเสีย และวันที่สามท่านจะเป็นขึ้นมาใหม่”
มก 12.18 มีพวกสะดูสีมาหาพระองค์ พวกนี้เป็นผู้ที่กล่าวว่าการฟื้นขึ้นมาจากความตายนั้นไม่มี เขาทูลถามพระองค์ว่า
มก 12.23 เหตุฉะนั้น ในวันที่จะฟื้นขึ้นมาจากความตาย เมื่อเขาทั้งเจ็ดเป็นขึ้นมาแล้ว หญิงนั้นจะเป็นภรรยาของใครด้วยนางได้เป็นภรรยาของชายทั้งเจ็ดแล้ว”
มก 12.25 ด้วยว่าเมื่อมนุษย์จะฟื้นขึ้นมาจากความตายนั้น เขาจะไม่มีการสมรส หรือยกให้เป็นสามีภรรยากันอีก แต่จะเป็นเหมือนทูตสวรรค์ในฟ้าสวรรค์
มก 14.28 แต่เมื่อทรงชุบให้เราฟื้นขึ้นมาแล้ว เราจะไปยังแคว้นกาลิลีก่อนหน้าท่าน”
มก 15.41 (ผู้หญิงเหล่านั้นได้ติดตามและปรนนิบัติพระองค์ เมื่อพระองค์ยังอยู่ในแคว้นกาลิลี) และผู้หญิงอื่นอีกหลายคนที่ได้ขึ้นมายังกรุงเยรูซาเล็มกับพระองค์ได้อยู่ที่นั่น
มก 16.6 ฝ่ายคนหนุ่มนั้นบอกเขาว่า “อย่าตกตะลึงเลย พวกท่านทั้งหลายมาหาพระเยซูชาวนาซาเร็ธซึ่งต้องตรึงไว้ที่กางเขน พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว พระองค์หาได้ประทับที่นี่ไม่ จงดูที่ที่เขาได้วางพระศพของพระองค์เถิด
มก 16.9 ครั้นรุ่งเช้าวันต้นสัปดาห์ เมื่อพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาแล้ว พระองค์ทรงสำแดงพระองค์ให้ปรากฏแก่มารีย์ชาวมักดาลาก่อน คือมารีย์คนที่พระองค์ได้ขับผีออกเจ็ดผี
มก 16.14 ภายหลังพระองค์ทรงปรากฏแก่สาวกสิบเอ็ดคนเมื่อเขาเอนกายลงรับประทานอยู่ และทรงติเตียนเขาเพราะเขาไม่เชื่อและใจดื้อดึง ด้วยเหตุที่เขามิได้เชื่อคนซึ่งได้เห็นพระองค์เมื่อพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว
ลก 1.69 และได้ทรงชูเขาแห่งความรอดขึ้นมาเพื่อเราในวงศ์วานของดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์
ลก 7.22 แล้วพระเยซูตรัสตอบศิษย์สองคนนั้นว่า “จงไปแจ้งแก่ยอห์นตามซึ่งท่านได้เห็นและได้ยินคือว่า คนตาบอดก็หายบอด คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายสะอาด คนหูหนวกได้ยิน คนตายแล้วเป็นขึ้นมา และข่าวประเสริฐก็ประกาศแก่คนอนาถา
ลก 8.7 บ้างก็ตกที่กลางต้นหนาม ต้นหนามก็งอกขึ้นมาด้วยปกคลุมเสีย
ลก 9.7 ฝ่ายเฮโรดเจ้าเมืองได้ยินเรื่องเหตุการณ์ทั้งปวงซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำนั้น จึงคิดสงสัยมาก เพราะบางคนว่ายอห์นเป็นขึ้นมาจากความตาย
ลก 9.8 บางคนก็ว่าเป็นเอลียาห์มาปรากฏ คนอื่นว่าเป็นศาสดาพยากรณ์โบราณกลับเป็นขึ้นมาอีก
ลก 9.19 เหล่าสาวกทูลตอบว่า “เขาว่าเป็นยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา บางคนว่าเป็นเอลียาห์ แต่คนอื่นว่าเป็นคนหนึ่งในพวกศาสดาพยากรณ์โบราณเป็นขึ้นมาใหม่”
ลก 9.22 ตรัสว่า “บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการ พวกผู้ใหญ่ พวกปุโรหิตใหญ่ และพวกธรรมาจารย์จะปฏิเสธท่าน ในที่สุดท่านจะต้องถูกประหารชีวิต แต่ในวันที่สามท่านจะทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่”
ลก 14.14 และท่านจะเป็นสุขเพราะว่าเขาไม่มีอะไรจะตอบแทนท่าน ด้วยว่าท่านจะได้รับตอบแทนเมื่อคนชอบธรรมเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว”
ลก 16.31 อับราฮัมจึงตอบเขาว่า ‘ถ้าเขาไม่ฟังโมเสสและพวกศาสดาพยากรณ์ แม้คนหนึ่งจะเป็นขึ้นมาจากความตาย เขาก็จะยังไม่เชื่อ’”
ลก 18.33 เขาจะโบยตีและฆ่าท่านเสีย แล้วในวันที่สามท่านจะเป็นขึ้นมาใหม่”
ลก 20.27 ยังมีพวกสะดูสีบางคนมาหาพระองค์ ซึ่งเขาทั้งหลายว่าการฟื้นขึ้นมาจากความตายนั้นไม่มี เขาจึงทูลถามพระองค์
ลก 20.33 เหตุฉะนั้น ในวันที่จะฟื้นขึ้นมาจากความตาย หญิงนั้นจะเป็นภรรยาของใคร ด้วยนางได้เป็นภรรยาของชายทั้งเจ็ดนั้นแล้ว”
ลก 20.35 แต่เขาเหล่านั้นที่สมควรจะลุถึงโลกหน้า และลุถึงการฟื้นขึ้นมาจากความตาย ไม่มีการสมรสกัน หรือยกให้เป็นสามีภรรยากัน
ลก 20.36 และเขาจะตายอีกไม่ได้ เพราะเขาเป็นเหมือนทูตสวรรค์ เป็นบุตรของพระเจ้า ด้วยว่าเป็นลูกแห่งการฟื้นขึ้นมาจากความตาย
ลก 20.37 แต่คนที่ตายจะถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่นั้น โมเสสก็ยังได้สำแดงในเรื่องพุ่มไม้ คือที่ได้เรียกองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า ‘เป็นพระเจ้าของอับราฮัม เป็นพระเจ้าของอิสอัค และเป็นพระเจ้าของยาโคบ’
ลก 24.6 พระองค์ไม่อยู่ที่นี่ แต่ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว จงระลึกถึงคำที่พระองค์ได้ตรัสกับท่านทั้งหลายเมื่อพระองค์ยังอยู่ในแคว้นกาลิลี
ลก 24.7 ว่า ‘บุตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในมือของคนบาป และต้องถูกตรึงที่กางเขน และวันที่สามจะเป็นขึ้นมาใหม่’”
ลก 24.34 กำลังพูดกันว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นขึ้นมาแล้วจริงๆ และได้ปรากฏแก่ซีโมน”
ลก 24.46 พระองค์ตรัสกับเขาว่า “มีคำเขียนไว้อย่างนั้นว่า พระคริสต์จะต้องทนทุกข์ทรมาน และเป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่สาม
ยน 1.3 พระองค์ทรงสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นมา และในบรรดาสิ่งที่เป็นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ได้เป็นมานอกเหนือพระองค์
ยน 2.22 เหตุฉะนั้นเมื่อพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว พวกสาวกของพระองค์ก็ระลึกได้ว่าพระองค์ได้ตรัสดังนี้ไว้แก่เขา และเขาก็เชื่อพระคัมภีร์และพระดำรัสที่พระเยซูได้ตรัสแล้วนั้น
ยน 5.21 เพราะพระบิดาทรงทำให้คนที่ตายแล้วฟื้นขึ้นมาและมีชีวิตฉันใด ถ้าพระบุตรปรารถนาจะกระทำให้ผู้ใดมีชีวิตก็จะกระทำเหมือนกันฉันนั้น
ยน 6.39 และพระประสงค์ของพระบิดาผู้ทรงใช้เรามานั้น ก็คือให้เรารักษาบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงมอบไว้กับเรา มิให้หายไปสักคนเดียว แต่ให้ฟื้นขึ้นมาในวันที่สุด
ยน 6.40 เพราะนี่แหละเป็นพระประสงค์ของผู้ที่ทรงใช้เรามานั้น ที่จะให้ทุกคนที่เห็นพระบุตร และเชื่อในพระบุตรได้มีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้ผู้นั้นฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย”
ยน 6.44 ไม่มีผู้ใดมาถึงเราได้นอกจากพระบิดาผู้ทรงใช้เรามาจะทรงชักนำให้เขามา และเราจะให้ผู้นั้นฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย
ยน 6.54 ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเราก็มีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้ผู้นั้นฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย
ยน 10.31 พวกยิวจึงหยิบก้อนหินขึ้นมาอีกจะขว้างพระองค์ให้ตาย
ยน 11.23 พระเยซูตรัสกับเธอว่า “น้องชายของเจ้าจะฟื้นขึ้นมาอีก”
ยน 11.24 มารธาทูลพระองค์ว่า “ข้าพระองค์ทราบแล้วว่า เขาจะฟื้นขึ้นมาอีกในวันสุดท้ายเมื่อคนทั้งปวงจะฟื้นขึ้นมา”
ยน 12.9 ฝ่ายพวกยิวเป็นอันมากรู้ว่าพระองค์ประทับอยู่ที่นั่นจึงมาเฝ้าพระองค์ ไม่ใช่เพราะเห็นแก่พระเยซูเท่านั้น แต่อยากเห็นลาซารัสผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงให้ฟื้นขึ้นมาจากตายด้วย
ยน 12.17 เหตุฉะนั้นคนทั้งปวงซึ่งได้อยู่กับพระองค์ เมื่อพระองค์ได้ทรงเรียกลาซารัสให้ออกมาจากอุโมงค์ฝังศพ และทรงให้เขาฟื้นขึ้นมาจากความตาย ก็เป็นพยานในสิ่งเหล่านี้
ยน 20.9 เพราะว่าขณะนั้นเขายังไม่เข้าใจข้อพระคัมภีร์ที่ว่า พระองค์จะต้องฟื้นขึ้นมาจากความตาย
ยน 21.9 เมื่อเขาขึ้นมาบนฝั่ง เขาก็เห็นถ่านติดไฟอยู่ และมีปลาวางอยู่ข้างบนและมีขนมปัง
กจ 3.15 จึงฆ่าพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าชีวิตเสีย ผู้ซึ่งพระเจ้าได้ทรงโปรดให้เป็นขึ้นมาจากความตาย เราเป็นพยานในเรื่องนี้
กจ 5.30 พระเยซูซึ่งท่านทั้งหลายได้ฆ่าเสียโดยแขวนไว้ที่ต้นไม้นั้น พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเราได้ทรงบันดาลให้เป็นขึ้นมาใหม่
กจ 13.37 แต่พระองค์ซึ่งพระเจ้าได้ทรงให้เป็นขึ้นมานั้น มิได้ประสบความเปื่อยเน่าเลย
กจ 17.32 ครั้นคนทั้งหลายได้ยินถึงเรื่องการซึ่งเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว บางคนก็เยาะเย้ย แต่คนอื่นๆว่า “เราจะฟังท่านกล่าวเรื่องนี้อีกต่อไป”
กจ 23.8 ด้วยพวกสะดูสีถือว่า การที่เป็นขึ้นมาจากความตายนั้นไม่มีและทูตสวรรค์หรือวิญญาณก็ไม่มี แต่พวกฟาริสีถือว่ามีทั้งนั้น
กจ 24.15 ข้าพเจ้ามีความหวังใจในพระเจ้าตามซึ่งเขาเองก็มีความหวังใจด้วย คือหวังใจว่าคนทั้งปวงทั้งคนที่ชอบธรรมและคนที่ไม่ชอบธรรมจะเป็นขึ้นมาจากความตาย
กจ 26.8 เหตุไฉนท่านทั้งหลายจึงพากันถือว่า การที่พระเจ้าจะทรงให้คนตายเป็นขึ้นมาเป็นการที่เชื่อไม่ได้
รม 4.17 (ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า ‘เราได้ให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติมากมาย’) ต่อพระพักตร์พระองค์ที่ท่านเชื่อ คือพระเจ้าผู้ทรงให้คนที่ตายแล้วฟื้นชีวิตขึ้นมา และทรงเรียกสิ่งของที่ยังมิได้เป็นให้เป็นขึ้น
รม 6.4 เหตุฉะนั้นเราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้วโดยการรับบัพติศมาเข้าส่วนในความตายนั้น เหมือนกับที่พระคริสต์ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย โดยเดชพระรัศมีของพระบิดาอย่างไร เราก็จะได้ดำเนินตามชีวิตใหม่ด้วยอย่างนั้น
รม 6.5 เพราะว่าถ้าเราเข้าสนิทกับพระองค์แล้วในการตายอย่างพระองค์ เราก็จะเป็นขึ้นมาอย่างพระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายด้วย
รม 6.9 เราทั้งหลายรู้อยู่ว่า พระคริสต์ที่ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากตายแล้วนั้นจะหาตายอีกไม่ ความตายหาครอบงำพระองค์ต่อไปไม่
รม 6.13 อย่ายกอวัยวะของท่านให้แก่บาป ให้เป็นเครื่องใช้ในการอธรรม แต่จงถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า เหมือนหนึ่งคนที่เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และจงให้อวัยวะของท่านเป็นเครื่องใช้ในการชอบธรรมถวายแด่พระเจ้า
รม 7.4 เช่นนั้นแหละ พี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้า ท่านทั้งหลายได้ตายจากพระราชบัญญัติทางพระกายของพระคริสต์ด้วย เพื่อท่านจะตกเป็นของผู้อื่น คือของพระองค์ผู้ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตายแล้ว เพื่อเราทั้งหลายจะได้เกิดผลถวายแด่พระเจ้า
รม 8.11 แต่ถ้าพระวิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงชุบให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตายทรงสถิตอยู่ในท่านทั้งหลาย พระองค์ผู้ทรงชุบให้พระคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตายแล้วนั้น จะทรงกระทำให้กายซึ่งต้องตายของท่าน เป็นขึ้นมาใหม่ด้วย โดยพระวิญญาณของพระองค์ซึ่งทรงสถิตอยู่ในท่านทั้งหลาย
รม 10.7 หรือ “ใครจะลงไปยังที่ลึก” (คือจะเชิญพระคริสต์ขึ้นมาจากความตายอีก)
รม 10.9 คือว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจของท่านว่าพระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด
รม 14.9 เพราะเหตุนี้เองพระคริสต์จึงได้ทรงสิ้นพระชนม์และได้ทรงเป็นขึ้นมาและทรงพระชนม์อีก เพื่อจะได้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของทั้งคนตายและคนเป็น
1คร 3.10 โดยพระคุณของพระเจ้าซึ่งได้ทรงโปรดประทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้วางรากลงแล้วเหมือนนายช่างผู้ชำนาญ และอีกคนหนึ่งก็มาก่อขึ้น ขอทุกคนจงระวังให้ดีว่าเขาจะก่อขึ้นมาอย่างไร
1คร 6.14 พระเจ้าได้ทรงชุบให้องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นขึ้นมาใหม่ และพระองค์จะทรงชุบให้เราทั้งหลายเป็นขึ้นมาใหม่โดยฤทธิ์เดชของพระองค์ด้วย
1คร 15.4 และทรงถูกฝังไว้ แล้ววันที่สามพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์นั้น
1คร 15.12 แต่ถ้าเทศนาว่าพระคริสต์ได้ทรงฟื้นขึ้นมาจากตายแล้ว เหตุใดพวกท่านบางคนยังกล่าวว่า การฟื้นขึ้นมาจากตายไม่มี
1คร 15.13 แต่ถ้าการฟื้นขึ้นมาจากตายไม่มี พระคริสต์ก็หาได้ทรงเป็นขึ้นมาไม่
1คร 15.14 ถ้าพระคริสต์มิได้ทรงเป็นขึ้นมา การเทศนาของเรานั้นก็เปล่าประโยชน์ ทั้งความเชื่อของท่านทั้งหลายก็เปล่าประโยชน์ด้วย
1คร 15.15 และก็จะปรากฏว่าเราอ้างพยานเท็จในเรื่องพระเจ้า เพราะเราอ้างพยานถึงพระเจ้าว่าพระองค์ได้ทรงบันดาลให้พระคริสต์เป็นขึ้นมา แต่ถ้าคนตายไม่เป็นขึ้นมาแล้ว พระองค์ก็ไม่ได้ทรงบันดาลให้พระคริสต์เป็นขึ้นมา
1คร 15.16 เพราะว่าถ้าคนตายไม่เป็นขึ้นมา พระคริสต์ก็ไม่ได้ทรงเป็นขึ้นมา
1คร 15.17 และถ้าพระคริสต์ไม่ได้ทรงเป็นขึ้นมา ความเชื่อของท่านก็ไร้ประโยชน์ ท่านก็ยังตกอยู่ในบาปของตน
1คร 15.20 แต่บัดนี้พระคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และทรงเป็นผลแรกในพวกคนทั้งหลายที่ได้ล่วงหลับไปแล้วนั้น
1คร 15.29 มิฉะนั้น คนเหล่านั้นที่รับบัพติศมาสำหรับคนตายเขาทำอะไรกัน ถ้าคนตายจะไม่เป็นขึ้นมา เหตุไฉนจึงมีคนรับบัพติศมาสำหรับคนตายเล่า
1คร 15.32 ถ้าตามลักษณะของมนุษย์ ข้าพเจ้าต่อสู้กับสัตว์ป่าในเมืองเอเฟซัสนั้น จะเป็นประโยชน์อะไรแก่ข้าพเจ้า ถ้าคนตายไม่ได้เป็นขึ้นมาอีก ‘ให้เรากินและดื่มเถิด เพราะว่าพรุ่งนี้เราจะตาย’
1คร 15.35 แต่บางคนจะถามว่า “คนตายจะเป็นขึ้นมาอย่างไรได้ เมื่อเขาเป็นขึ้นมาจะมีรูปกายเป็นอย่างไร”
1คร 15.37 เมล็ดข้าวที่ท่านหว่านนั้น จะเป็นข้าวสาลีหรือพืชอื่นๆก็ดี ท่านมิได้หว่านสิ่งที่เป็นรูปร่างของต้นที่จะงอกขึ้นมา แต่ได้หว่านเมล็ดเท่านั้น
1คร 15.42 การซึ่งจะเป็นขึ้นมาจากความตายนั้นก็เหมือนกัน สิ่งที่หว่านลงนั้นเป็นของที่จะเปื่อยเน่า สิ่งที่เป็นขึ้นมาใหม่นั้นก็จะไม่รู้จักเปื่อยเน่า
1คร 15.43 สิ่งที่หว่านลงนั้นไร้เกียรติ สิ่งที่เป็นขึ้นมาใหม่ก็จะมีสง่าราศี สิ่งที่หว่านลงนั้นอ่อนกำลัง สิ่งที่เป็นขึ้นมาใหม่ก็จะมีอำนาจ
1คร 15.44 สิ่งที่หว่านลงนั้นก็เป็นกายธรรมดา สิ่งที่เป็นขึ้นมาก็จะเป็นกายวิญญาณ กายธรรมดามี และกายวิญญาณก็มี
1คร 15.52 ในชั่วขณะเดียว ในพริบตาเดียว เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เพราะว่าจะมีเสียงแตร และคนที่ตายแล้วจะเป็นขึ้นมาปราศจากเปื่อยเน่า แล้วเราทั้งหลายจะถูกเปลี่ยนแปลงใหม่
2คร 4.14 เรารู้ว่าพระองค์ผู้ทรงให้พระเยซูเจ้าคืนพระชนม์ จะทรงโปรดให้เราเป็นขึ้นมาเช่นกันโดยพระเยซู และจะทรงพาเราเข้ามาเฝ้าพร้อมกับท่านทั้งหลาย
2คร 5.15 และพระองค์ได้ทรงวายพระชนม์เพื่อคนทั้งปวง เพื่อคนเหล่านั้นที่มีชีวิตอยู่จะมิได้เป็นอยู่เพื่อประโยชน์แก่ตัวเองอีกต่อไป แต่จะอยู่เพื่อพระองค์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ และทรงเป็นขึ้นมาเพราะเห็นแก่เขาทั้งหลาย
กท 1.1 เปาโล ผู้เป็นอัครสาวก (มิใช่มนุษย์แต่งตั้ง หรือมนุษย์เป็นตัวแทนแต่งตั้ง แต่พระเยซูคริสต์และพระเจ้าพระบิดา ผู้ได้ทรงโปรดให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตายได้ทรงแต่งตั้ง)
กท 2.18 เพราะว่าถ้าข้าพเจ้าก่อสิ่งซึ่งข้าพเจ้าได้รื้อทำลายลงแล้วขึ้นมาอีก ข้าพเจ้าก็ส่อตัวเองว่าเป็นผู้ละเมิด
อฟ 1.20 ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำในพระคริสต์ เมื่อทรงบันดาลให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย และให้สถิตเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์เองในสวรรคสถาน
อฟ 2.6 และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระองค์ และทรงโปรดให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระองค์ในพระเยซูคริสต์
อฟ 5.14 เหตุฉะนั้นพระองค์ตรัสแล้วว่า ‘คนที่หลับอยู่จงตื่นขึ้นและจงฟื้นขึ้นมาจากความตาย และพระคริสต์จะทรงส่องสว่างแก่ท่าน’
ฟป 3.11 ถ้าโดยวิธีหนึ่งวิธีใดข้าพเจ้าก็จะได้เป็นขึ้นมาจากความตายด้วย
ฟป 3.19 ปลายทางของคนเหล่านั้นคือความพินาศ พระของเขาคือกระเพาะ เขายกความที่น่าอับอายของเขาขึ้นมาโอ้อวด เขาสนใจในวัตถุทางโลก)
คส 1.18 พระองค์ทรงเป็นศีรษะของกายคือคริสตจักร พระองค์ทรงเป็นที่เริ่มต้น เป็นบุตรหัวปีที่ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย เพื่อพระองค์จะได้ทรงเป็นเอกในสรรพสิ่งทั้งปวง
คส 2.12 ได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ในบัพติศมา ซึ่งท่านได้เป็นขึ้นมากับพระองค์ด้วย โดยความเชื่อในการกระทำของพระเจ้า ผู้ได้ทรงบันดาลให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย
คส 3.1 ถ้าท่านรับการทรงชุบให้เป็นขึ้นมาด้วยกันกับพระคริสต์แล้ว ก็จงแสวงหาสิ่งซึ่งอยู่เบื้องบนในที่ซึ่งพระคริสต์ทรงประทับข้างขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า
1ธส 1.10 และรอคอยพระบุตรของพระองค์จากสวรรค์ ซึ่งพระองค์ทรงให้เป็นขึ้นมาจากความตาย คือพระเยซูผู้ทรงช่วยให้เราพ้นจากพระอาชญาที่จะมีมาภายหน้านั้น
1ธส 4.16 ด้วยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเองจะเสด็จมาจากสวรรค์ ด้วยเสียงกู่ก้อง ด้วยสำเนียงของเทพบดี และด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และคนทั้งปวงที่ตายแล้วในพระคริสต์จะเป็นขึ้นมาก่อน
2ทธ 2.8 จงระลึกถึงพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสืบเชื้อสายจากดาวิด ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ตามข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าประกาศนั้น
ทต 3.5 พระองค์ได้ทรงช่วยเราให้รอด มิใช่ด้วยการกระทำที่ชอบธรรมของเราเอง แต่พระองค์ทรงพระกรุณาชำระให้เรามีใจบังเกิดใหม่ และทรงสร้างเราขึ้นมาใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์
ฮบ 6.7 ด้วยว่าพื้นแผ่นดินที่ได้ดูดดื่มน้ำฝนที่ตกลงมาเนืองๆและงอกขึ้นมาเป็นต้นผักให้ประโยชน์แก่คนทั้งหลายที่ได้พรวนดินด้วยนั้น ก็รับพระพรมาจากพระเจ้า
ฮบ 11.19 ท่านเชื่อว่าพระเจ้าทรงฤทธิ์สามารถให้อิสอัคเป็นขึ้นมาจากความตายได้ และท่านได้รับบุตรนั้นกลับคืนมาอีก ประหนึ่งว่าบุตรนั้นเป็นขึ้นมาจากตาย
ฮบ 11.35 พวกผู้หญิงก็ได้รับคนพวกของนางที่ตายแล้วกลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีก บางคนก็ถูกทรมาน แต่ก็ไม่ยอมรับการปลดปล่อย เพื่อเขาจะได้รับการเป็นขึ้นมาจากความตายอันประเสริฐกว่า
ฮบ 12.15 และจงระวังให้ดีเกรงว่าจะมีบางคนกำลังเสื่อมจากพระกรุณาคุณของพระเจ้า และเกรงว่าจะมีรากขมขื่นแซมขึ้นมาทำให้เกิดความยุ่งยากแก่ท่าน และเป็นเหตุให้คนเป็นอันมากมลทินไป
ฮบ 13.20 บัดนี้ขอพระเจ้าแห่งสันติสุข ผู้ทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้าของเราเป็นขึ้นมาจากความตาย คือผู้ทรงเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ยิ่งใหญ่ โดยพระโลหิตแห่งพันธสัญญานิรันดร์นั้น
1ปต 3.21 เช่นเดียวกัน บัดนี้พิธีบัพติศมาก็เป็นภาพที่รอดแก่เราทั้งหลาย (ไม่ใช่ด้วยชำระราคีแห่งเนื้อหนัง แต่โดยให้มีใจวินิจฉัยผิดและชอบอันดีจำเพาะพระเจ้า) โดยซึ่งพระเยซูคริสต์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากตาย
ยด 1.13 เป็นคลื่นที่บ้าคลั่งในมหาสมุทร ที่ซัดฟองของความบัดสีของตนเองขึ้นมา เขาเป็นดาวที่ลอยลับไป เป็นผู้ที่ตกอยู่ในความมืดทึบตลอดกาล
วว 4.1 ต่อจากนั้น ดูเถิด ข้าพเจ้าได้เห็นประตูสวรรค์เปิดอ้าอยู่ และพระสุรเสียงแรกซึ่งข้าพเจ้าได้ยินนั้นได้ตรัสกับข้าพเจ้าดุจเสียงแตรว่า “จงขึ้นมาบนนี้เถิด และเราจะสำแดงให้เจ้าเห็นเหตุการณ์ที่จะต้องเกิดขึ้นในภายหน้า”
วว 7.2 แล้วข้าพเจ้าก็เห็นทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งปรากฏขึ้นมาจากทิศตะวันออก ถือดวงตราของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ และท่านได้ร้องประกาศด้วยเสียงอันดังแก่ทูตสวรรค์ทั้งสี่ ผู้ได้รับมอบอำนาจให้ทำอันตรายแก่แผ่นดินและทะเลนั้น
วว 9.2 เมื่อเขาเปิดเหวที่ไม่มีก้นเหวนั้น ก็มีควันพลุ่งขึ้นมาจากเหวนั้นดุจควันที่เตาใหญ่ และดวงอาทิตย์และอากาศก็มืดไป เพราะเหตุควันที่ขึ้นมาจากเหวนั้น
วว 11.7 และเมื่อเสร็จสิ้นการเป็นพยานแล้ว สัตว์ร้ายที่ขึ้นมาจากเหวที่ไม่มีก้นเหวก็จะสู้รบกับเขา จะชนะเขาและจะฆ่าเขาเสีย
วว 11.12 คนทั้งหลายได้ยินพระสุรเสียงดังมาจากสวรรค์ ตรัสแก่เขาว่า “จงขึ้นมาที่นี่เถิด” และพวกศัตรูก็เห็นเขาขึ้นไปในหมู่เมฆสู่สวรรค์
วว 13.1 และข้าพเจ้าได้ยืนอยู่ที่หาดทรายชายทะเล และเห็นสัตว์ร้ายตัวหนึ่งขึ้นมาจากทะเล มันมีเจ็ดหัวและสิบเขา ที่เขาทั้งสิบนั้นมีมงกุฎสิบอัน และมีชื่อที่เป็นคำหมิ่นประมาทจารึกไว้ที่หัวทั้งหลายของมัน
วว 13.11 และข้าพเจ้าเห็นสัตว์ร้ายอีกตัวหนึ่งขึ้นมาจากแผ่นดิน มีสองเขาเหมือนลูกแกะ และพูดเหมือนพญานาค
วว 17.8 สัตว์ร้ายที่ท่านได้เห็นนั้นเป็นอยู่ในกาลก่อน แต่บัดนี้มิได้เป็น และมันจะขึ้นมาจากเหวที่ไม่มีก้นเหวเพื่อไปสู่ความพินาศแล้ว และคนทั้งหลายที่อยู่ในโลก ซึ่งไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตตั้งแต่แรกทรงสร้างโลกนั้น ก็จะอัศจรรย์ใจ เมื่อเขาเห็นสัตว์ร้าย ซึ่งได้เป็นอยู่ในกาลก่อน แต่บัดนี้มิได้เป็น และกำลังจะเป็น
วว 17.10 และมีกษัตริย์เจ็ดองค์ ซึ่งห้าองค์ได้ล่วงไปแล้ว องค์หนึ่งกำลังเป็นอยู่ และอีกองค์หนึ่งนั้นยังไม่ได้เป็นขึ้น และเมื่อเป็นขึ้นมาแล้ว จะต้องดำรงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
วว 20.4 ข้าพเจ้าได้เห็นบัลลังก์หลายบัลลังก์ และผู้ที่นั่งบนบัลลังก์นั้น ทรงมอบให้เป็นผู้ที่จะพิพากษา และข้าพเจ้ายังได้เห็นดวงวิญญาณของคนทั้งปวงที่ถูกตัดศีรษะ เพราะเป็นพยานของพระเยซู และเพราะพระวจนะของพระเจ้า และเป็นผู้ที่ไม่ได้บูชาสัตว์ร้ายนั้นหรือรูปของมัน และไม่ได้รับเครื่องหมายของมันไว้ที่หน้าผากหรือที่มือของเขา คนเหล่านั้นกลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่ และได้ครอบครองร่วมกับพระคริสต์เป็นเวลาพันปี

ขึ้นเสียง ( 2 )
2พกษ 19.22 เจ้าเย้ยและกล่าวหยาบช้าต่อผู้ใด เจ้าขึ้นเสียงของเจ้าต่อผู้ใด แล้วเบิ่งตาของเจ้าอย่างเย่อหยิ่งต่อผู้ใด ต่อองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอลน่ะซิ
อสย 37.23 เจ้าเย้ยและกล่าวหยาบช้าต่อผู้ใด เจ้าขึ้นเสียงของเจ้าต่อผู้ใด และเบิ่งตาของเจ้าอย่างเย่อหยิ่งต่อผู้ใด ต่อองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอลน่ะซิ

ขึ้นหนึ่งค่ำ ( 1 )
ฮชย 2.11 เราจะให้บรรดาความร่าเริงของนางสิ้นสุดลง ทั้งเทศกาลเลี้ยง เทศกาลขึ้นหนึ่งค่ำ วันสะบาโตและบรรดาเทศกาลตามกำหนดทั้งสิ้นของนาง

ขึ้นอยู่กับ ( 6 )
1พกษ 4.10 เบนเฮเสด ประจำในอารุบโบท โสโคห์และแผ่นดินเฮเฟอร์ทั้งสิ้นขึ้นอยู่กับเขา
ดนล 5.23 แต่ทรงยกองค์พระองค์ขึ้นสู้กับองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ และทรงให้นำภาชนะแห่งพระนิเวศของพระองค์มาต่อพระพักตร์พระองค์ แล้วพระองค์ พวกเจ้านายของพระองค์ พระสนม และนางห้ามของพระองค์ก็ดื่มเหล้าองุ่นจากภาชนะเหล่านั้น และพระองค์ทรงสรรเสริญพระที่ทำด้วยเงิน ทองคำ ทองสัมฤทธิ์ เหล็ก ไม้ และหิน ซึ่งจะดูหรือฟัง หรือรู้เรื่องก็ไม่ได้ แต่พระองค์มิได้ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าซึ่งลมปราณของพระองค์อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และทางทั้งสิ้นของพระองค์ก็ขึ้นอยู่กับพระองค์
มธ 22.40 พระราชบัญญัติและคำพยากรณ์ทั้งสิ้นก็ขึ้นอยู่กับพระบัญญัติสองข้อนี้”
รม 4.16 ด้วยเหตุนี้เองการที่ได้รับมรดกนั้นจึงขึ้นอยู่กับความเชื่อ เพื่อจะได้เป็นตามพระคุณ เพื่อพระสัญญานั้นจะเป็นที่แน่ใจแก่ผู้สืบเชื้อสายของท่านทุกคน มิใช่แก่ผู้สืบเชื้อสายที่ถือพระราชบัญญัติพวกเดียว แต่แก่คนที่มีความเชื่อเช่นเดียวกับอับราฮัมผู้เป็นบิดาของพวกเราทุกคน
รม 9.16 เพราะฉะนั้นจึงไม่ขึ้นแก่ความตั้งใจหรือการตะเกียกตะกายของเขา แต่ขึ้นอยู่กับพระเจ้าผู้ทรงสำแดงพระกรุณา
รม 12.18 ถ้าเป็นได้คือเรื่องที่ขึ้นอยู่กับท่าน จงอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน

ขืน ( 9 )
อพย 12.15 เจ้าทั้งหลายจงกินขนมปังไร้เชื้อให้ครบเจ็ดวัน วันแรกจงชำระบ้านเจ้าให้ปราศจากเชื้อ ถ้าผู้ใดขืนกินขนมปังที่มีเชื้อตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่เจ็ด ผู้นั้นจะต้องถูกตัดขาดจากอิสราเอล
อพย 12.19 ในเจ็ดวันนั้นอย่าให้พบเชื้อในบ้านของเจ้าเลย เพราะว่าถ้าผู้ใดที่เป็นคนต่างด้าวก็ดีหรือคนเกิดในเมืองก็ดี ขืนกินสิ่งใดๆที่มีเชื้อ ผู้นั้นจะต้องถูกตัดขาดจากที่ชุมนุมของอิสราเอล
ยชว 17.12 แต่คนมนัสเสห์ยังขับไล่ชาวเมืองเหล่านั้นไม่ได้ ด้วยคนคานาอันยังขืนอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น
วนฉ 1.27 มนัสเสห์มิได้ขับไล่ชาวเมืองเบธชานและชาวชนบทของเมืองนั้นให้ออกไป หรือชาวเมืองทาอานาคกับชาวชนบทของเมืองนั้น หรือชาวเมืองโดร์กับชาวชนบทของเมืองนั้น หรือชาวเมืองอิบเลอัมกับชาวชนบทของเมืองนั้น หรือชาวเมืองเมกิดโดกับชาวชนบทของเมืองนั้น แต่คนคานาอันยังขืนอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น
วนฉ 1.35 คนอาโมไรต์ยังขืนอาศัยอยู่ที่ภูเขาเฮเรสในเมืองอัยยาโลน และในเมืองชาอัลบิม แต่มือของวงศ์วานโยเซฟเหนือกว่ามือเขาทั้งหลาย เขาจึงถูกเกณฑ์ให้ทำงานโยธา
1ซมอ 12.25 แต่ถ้าท่านทั้งหลายขืนกระทำความชั่วอยู่ ท่านจะต้องพินาศ ทั้งตัวท่านทั้งหลายเองและกษัตริย์ของท่านด้วย”
สดด 68.21 แต่พระเจ้าจะทรงตีศีรษะของศัตรูของพระองค์ให้แตก คือกระหม่อมมีผมของผู้ที่ขืนดำเนินในทางละเมิดของเขา
อสย 45.9 วิบัติแก่ผู้ที่ขืนสู้กับผู้สร้างของเขา จงให้หม้อดินสู้กับบรรดาช่างปั้นหม้อแห่งแผ่นดินโลก ดินเหนียวจะพูดกับผู้ที่ปั้นมันหรือว่า “ท่านกำลังทำอะไร” หรือผลงานของท่านจะว่า “ท่านไร้มือ”
ฮบ 10.26 เมื่อเราได้รับความรู้เรื่องความจริงแล้ว แต่เรายังขืนทำผิดอีก เครื่องบูชาไถ่บาปก็จะไม่มีเหลืออยู่เลย

ขืนใจ ( 2 )
อสย 13.16 เด็กเล็กๆของเขาจะถูกฟาดลงเป็นชิ้นๆต่อหน้าต่อตาเขา เรือนของเขาจะถูกปล้นและภรรยาของเขาจะถูกขืนใจ
พคค 5.11 เขาทั้งหลายขืนใจพวกผู้หญิงในกรุงศิโยน และข่มใจสาวพรหมจารีในหัวเมืองแห่งยูดาห์

ขื่อ ( 6 )
โยบ 13.27 พระองค์ทรงเอาเท้าของข้าพระองค์ใส่ขื่อไว้ และทรงเฝ้าดูทางทั้งสิ้นของข้าพระองค์ พระองค์ทรงจารึกเครื่องหมายไว้บนฝ่าเท้าของข้าพระองค์
โยบ 33.11 พระองค์ทรงเอาเท้าของข้าพเจ้าใส่ขื่อไว้ และทรงเฝ้าดูทางของข้าพเจ้าทั้งสิ้น’
สภษ 7.22 เขาก็ติดตามนางไปทันทีอย่างวัวตัวผู้ไปสู่การฆ่า หรืออย่างคนเขลาที่ไปรับโทษที่ขื่อ
พซม 1.17 ขื่อเรือนของเราทำด้วยไม้สนสีดาร์ และแปของเรานั้นทำด้วยไม้สนสามใบ
ฮบก 2.11 เพราะว่าศิลาจะตะโกนออกมาจากผนัง และขื่อก็จะตอบสนองมาจากหมู่ตัวไม้ในเรือน
กจ 16.24 นายคุกเมื่อรับคำสั่งอย่างนั้นแล้วจึงพาเปาโลกับสิลาสไปจำไว้ในห้องชั้นใน เอาเท้าใส่ขื่อไว้แน่นหนา

ขุด ( 48 )
ปฐก 21.30 ท่านทูลว่า “ขอพระองค์รับลูกแกะตัวเมียเจ็ดตัวนี้จากมือข้าพระองค์ เพื่อจะได้เป็นพยานแก่ข้าพระองค์ว่า ข้าพระองค์ได้ขุดบ่อน้ำนี้”
ปฐก 26.15 ฝ่ายชาวฟีลิสเตียได้อุดและเอาดินถมบ่อทุกบ่อ ซึ่งคนใช้ของบิดาท่านขุดไว้ในสมัยอับราฮัมบิดาของท่าน
ปฐก 26.18 อิสอัคขุดบ่อน้ำซึ่งขุดไว้ในสมัยของอับราฮัมบิดาของท่านอีก เพราะหลังจากที่อับราฮัมได้สิ้นชีพแล้วชาวฟีลิสเตียได้อุดเสีย แล้วท่านก็ตั้งชื่อตามชื่อที่บิดาของท่านตั้งไว้
ปฐก 26.19 และคนใช้ของอิสอัคขุดในหุบเขาและพบบ่อน้ำพุพลุ่งขึ้นมา
ปฐก 26.21 แล้วพวกเขาก็ขุดบ่อน้ำอีกบ่อหนึ่ง และทะเลาะกันเรื่องบ่อนั้นด้วย ท่านจึงเรียกชื่อบ่อนั้นว่า สิตนาห์
ปฐก 26.22 ท่านย้ายจากที่นั่นไปขุดอีกบ่อหนึ่ง แล้วเขาก็มิได้ทะเลาะกันเรื่องบ่อนั้น ท่านจึงเรียกชื่อบ่อนั้นว่า เรโหโบท ท่านกล่าวว่า “เพราะบัดนี้พระเยโฮวาห์ทรงประทานที่อยู่แก่เรา และเราจะทวีมากขึ้นในแผ่นดินนี้”
ปฐก 26.25 ท่านจึงสร้างแท่นบูชาที่นั่น และนมัสการออกพระนามพระเยโฮวาห์ และตั้งเต็นท์ของท่านที่นั่น แล้วคนใช้ของอิสอัคขุดบ่อน้ำที่นั่น
ปฐก 26.32 และต่อมาในวันนั้นเองคนใช้ของอิสอัคมาบอกท่านถึงเรื่องบ่อน้ำซึ่งเขาได้ขุดและกล่าวแก่ท่านว่า “เราพบน้ำแล้ว”
ปฐก 50.5 บิดาให้เราปฏิญาณไว้ โดยกล่าวว่า ‘ดูเถิด พ่อจวนจะตายแล้ว จงเอาศพพ่อไปฝังไว้ในอุโมงค์ที่พ่อได้ขุดไว้สำหรับพ่อ ณ แผ่นดินคานาอัน’ เหตุฉะนั้นบัดนี้ขออนุญาตให้ข้าพเจ้าขึ้นไปฝังศพบิดาแล้วข้าพเจ้าจะกลับมาอีก”
อพย 7.24 ชาวอียิปต์ทั้งปวงก็พากันขุดหลุมตามริมแม่น้ำหาน้ำดื่ม เพราะเขาดื่มน้ำในแม่น้ำไม่ได้
อพย 21.33 ถ้าผู้ใดเปิดบ่อหรือขุดบ่อแต่มิได้ปิดไว้ แล้วมีวัวหรือลาตกลงไปตายในบ่อนั้น
อพย 22.2 ถ้าผู้ใดเห็นขโมยกำลังขุดช่องเข้าไปแล้วตีขโมยนั้นตาย ไม่ต้องทำให้โลหิตตกเพราะการตีคนนั้น
กดว 21.18 เป็นบ่อน้ำที่เจ้านายได้ขุดไว้ เป็นบ่อที่ขุนนางของประชาชนเจาะไว้ ด้วยคทาและไม้เท้าของผู้ทรงตั้งพระราชบัญญัติ” และจากถิ่นทุรกันดารนั้นไป เขาก็มาถึงมัทธานาห์
พบญ 6.11 และเรือนที่มีของดีเต็ม ซึ่งพวกท่านมิได้สะสมไว้ และบ่อขังน้ำ ที่ท่านมิได้ขุด และสวนองุ่นกับต้นมะกอกเทศ ซึ่งท่านมิได้ปลูกไว้ และเมื่อท่านได้รับประทานก็อิ่มหนำ
พบญ 8.9 เป็นแผ่นดินที่ท่านจะรับประทานอาหารอย่างอุดมซึ่งท่านจะไม่ขาดสิ่งใดเลย เป็นแผ่นดินที่ศิลาเป็นเหล็ก และท่านจะขุดทองสัมฤทธิ์ได้จากภูเขา
พบญ 23.13 และท่านต้องมีไม้เสี้ยมรวมไว้กับเครื่องอาวุธ และเมื่อท่านนั่งลงในที่ข้างนอกนั้น ท่านจงใช้ไม้ขุดหลุมไว้ และหันไปกลบสิ่งปฏิกูลของท่านเสีย
1พกษ 18.32 และท่านได้สร้างแท่นบูชาด้วยศิลานั้นในพระนามของพระเยโฮวาห์ และท่านได้ขุดร่องรอบแท่นใหญ่พอจุเมล็ดพืชได้สองถัง
2พกษ 19.24 ข้าขุดบ่อและดื่มน้ำต่างด้าว ข้าเอาฝ่าเท้าของข้ากวาดธารน้ำทั้งสิ้นของสถานที่ที่ถูกล้อมโจมตีให้แห้งไป”
1พศด 20.3 พระองค์ทรงนำประชาชนที่อยู่ในเมืองนั้นออกมา ตั้งเขาให้ทำงานหนักอยู่กับเลื่อยและเหล็กขุดและขวาน และดาวิดทรงกระทำเช่นนั้นแก่หัวเมืองทั้งสิ้นของคนอัมโมน แล้วดาวิดกับประชาชนทั้งปวงก็กลับสู่เยรูซาเล็ม
2พศด 26.10 และพระองค์ทรงสร้างป้อมในถิ่นทุรกันดาร ทรงขุดบ่อน้ำหลายแห่ง เพราะพระองค์ทรงมีฝูงสัตว์ใหญ่โต ทั้งในหุบเขาและในที่ราบ และทรงมีชาวนาและคนแต่งต้นองุ่นในเนินเขา และในคารเมล เพราะพระองค์ทรงรักเกษตรกรรม
นหม 3.16 ถัดเขาไปเนหะมีย์บุตรชายอัสบูก ผู้ปกครองแขวงเบธซูร์ครึ่งหนึ่งได้ซ่อมแซม ไปจนถึงที่ตรงข้ามกับอุโมงค์ฝังศพของดาวิด ถึงสระขุดและถึงโรงทแกล้วทหาร
โยบ 3.21 ผู้คอยความตาย แต่มันไม่มา และขุดหามันมากกว่าหาทรัพย์ที่ซ่อนอยู่
โยบ 6.27 เออ ท่านทั้งหลายเอาเปรียบลูกกำพร้าพ่อ และขุดบ่อดักจับเพื่อนของท่าน
โยบ 24.16 ในยามมืดเขาขุดเข้าไปในเรือนซึ่งเขาหมายไว้สำหรับตนเองในเวลากลางวัน เขาไม่รู้จักความสว่าง
โยบ 28.4 เขาขุดปล่องไกลจากที่ฝูงคนอาศัยอยู่ คนสัญจรไปมาลืมเขาแล้ว เขาแขวนอยู่แกว่งไปแกว่งมาไกลจากฝูงคน
โยบ 28.10 เขาขุดลำรางไว้ในหิน และตาของเขาเห็นของประเสริฐทุกอย่าง
สดด 7.15 เขาขุดหลุมพรางไว้ และตกลงไปในหลุมที่เขาทำไว้นั้น
สดด 35.7 เพราะเขาเอาข่ายซ่อนดักข้าพระองค์ไว้อย่างไม่มีเหตุ เขาขุดหลุมพรางเอาชีวิตข้าพระองค์อย่างไม่มีเรื่อง
สดด 57.6 เขาทั้งหลายวางตาข่ายดักเท้าข้าพเจ้า จิตใจของข้าพเจ้าได้ค้อมลง เขาขุดบ่อไว้ต่อหน้าข้าพเจ้า แต่เขาก็ตกลงไปเสียเอง เซลาห์
สดด 94.13 เพื่อจะให้เขาพักจากวันลำบากจนกว่าจะขุดบ่อไว้ให้คนชั่ว
สดด 119.85 คนโอหังได้ขุดหลุมพรางดักข้าพระองค์ ซึ่งไม่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติของพระองค์
สภษ 26.27 บุคคลที่ขุดหลุมพราง เขาจะตกลงไปเอง ผู้ใดให้ก้อนหินกลิ้งมา มันจะกลับทับเขาเอง
ปญจ 10.8 ผู้ใดขุดบ่อไว้ ผู้นั้นจะตกลงในบ่อนั้น ผู้ใดพังรั้วต้นไม้ทะลุเข้าไป งูจะขบกัดผู้นั้น
อสย 7.25 ส่วนเนินเขาทั้งสิ้นที่เขาเคยขุดด้วยจอบ การกลัวหนามย่อยและหนามใหญ่จะไม่มาที่นั่น แต่เนินเขาเหล่านั้นจะกลายเป็นที่ซึ่งเขาปล่อยฝูงวัวและที่ซึ่งฝูงแกะจะเหยียบย่ำ”
อสย 37.25 ข้าขุดบ่อและดื่มน้ำ ข้าได้เอาฝ่าเท้าของข้ากวาดธารน้ำทั้งสิ้นของสถานที่ที่ถูกล้อมโจมตีให้แห้งไป”
อสย 51.1 “จงฟังเราซี เจ้าทั้งหลายผู้ติดตามความชอบธรรม เจ้าผู้แสวงหาพระเยโฮวาห์ จงมองดูหินซึ่งได้ทรงสกัดตัวเจ้ามา และจงมองดูบ่อหินซึ่งทรงขุดเอาตัวเจ้าทั้งหลายมา
ยรม 13.7 แล้วข้าพเจ้าก็ไปที่แม่น้ำยูเฟรติส และขุดเอาผ้าคาดเอวมาจากที่ซึ่งข้าพเจ้าได้ซ่อนไว้ ดูเถิด ผ้าคาดเอวนั้นเสียหมด จะใช้การสิ่งใดก็ไม่ได้
ยรม 18.20 ความชั่วเป็นของสำหรับตอบแทนความดีหรือ ถึงกระนั้น เขายังขุดหลุมไว้ปองชีวิตของข้าพระองค์ ขอทรงระลึกว่าข้าพระองค์ยืนเฝ้าพระองค์ทูลขอความดีเพื่อเขา เพื่อจะหันพระพิโรธของพระองค์ไปเสียจากเขา
ยรม 18.22 ขอให้ได้ยินเสียงร้องมาจากเรือนของเขาทั้งหลาย เมื่อพระองค์ทรงพากองทหารมาปล้นเขาอย่างฉับพลัน เพราะเขาทั้งหลายได้ขุดหลุมไว้ดักข้าพระองค์ และวางบ่วงดักเท้าของข้าพระองค์
อมส 9.2 แม้ว่าเขาจะขุดไปถึงนรก มือของเราจะจับเขามาจากที่นั่น ถ้าเขาจะปีนไปฟ้าสวรรค์ เราจะนำเขาลงมาจากที่นั่น
นฮม 1.14 พระเยโฮวาห์ตรัสบัญชาด้วยเรื่องเจ้าว่า “เขาจะไม่หว่านชื่อของเจ้าให้แพร่หลายอีกต่อไป เราจะขจัดรูปเคารพที่สลักและรูปเคารพที่หล่อออกเสียจากนิเวศแห่งพระของเจ้า เราจะขุดหลุมศพให้เจ้า เพราะเจ้าชั่วนัก”
มธ 6.19 อย่าสะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัวในโลก ที่ตัวมอดและสนิมอาจทำลายเสียได้ และที่ขโมยอาจขุดช่องลักเอาไปได้
มธ 6.20 แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัวในสวรรค์ ที่ตัวมอดและสนิมทำลายเสียไม่ได้ และที่ไม่มีขโมยขุดช่องลักเอาไปได้
มธ 25.18 แต่คนที่ได้รับตะลันต์เดียวได้ขุดหลุมซ่อนเงินของนายไว้
ลก 6.48 เขาเปรียบเหมือนคนหนึ่งที่สร้างเรือน เขาขุดลึกลงไป แล้วตั้งรากบนศิลา และเมื่อน้ำมาท่วม กระแสน้ำไหลเชี่ยวกระทบกระทั่ง แต่ทำให้เรือนนั้นหวั่นไหวไม่ได้ เพราะได้ตั้งรากบนศิลา
ลก 16.3 คนต้นเรือนนั้นคิดในใจว่า ‘เราจะทำอะไรดี เพราะนายจะถอดเราเสียจากหน้าที่ต้นเรือน จะขุดดินก็ไม่มีกำลัง จะขอทานก็อายเขา
รม 11.3 ‘พระองค์เจ้าข้า พวกเขาได้ฆ่าพวกศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ แท่นบูชาของพระองค์เขาก็ได้ขุดทำลายลงเสีย เหลืออยู่แต่ข้าพระองค์คนเดียวและเขาแสวงหาช่องทางที่จะประหารชีวิตของข้าพระองค์’

ขุดค้น ( 1 )
สภษ 16.27 คนอธรรมขุดค้นความชั่ว และในริมฝีปากของเขาเหมือนอย่างไฟลวก

ขุน ( 4 )
อสย 1.11 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เครื่องบูชาอันมากมายของเจ้านั้นจะเป็นประโยชน์อะไรแก่เรา เราเอือมแกะตัวผู้อันเป็นเครื่องเผาบูชา และไขมันของสัตว์ที่ขุนไว้นั้นแล้ว เรามิได้ปีติยินดีในเลือดของวัวผู้หรือลูกแกะหรือแพะผู้
อสย 14.13 เจ้ารำพึงในใจของเจ้าว่า ‘ข้าจะขึ้นไปยังฟ้าสวรรค์ ข้าจะตั้งพระที่นั่งของข้า ณ เหนือดวงดาวทั้งหลายของพระเจ้า ข้าจะนั่งบนขุนเขาชุมนุมสถาน ณ ด้านทิศเหนือ
ยรม 46.21 ทหารรับจ้างที่อยู่ท่ามกลางเธอ ก็เหมือนลูกวัวที่ได้ขุนไว้ให้อ้วน เออ ด้วยเขาทั้งหลายหันกลับและหนีไปด้วยกัน เขาทั้งหลายไม่ยอมยืนหยัด เพราะวันแห่งหายนะของเขาได้มาเหนือเขาทั้งหลาย และเป็นเวลาแห่งการลงโทษเขา
มธ 22.4 ท่านยังใช้พวกผู้รับใช้อื่นไปอีก รับสั่งว่า ‘ให้บอกผู้รับเชิญนั้นว่า ดูเถิด เราได้จัดการเลี้ยงไว้แล้ว วัวและสัตว์ขุนแล้วของเราก็ฆ่าไว้เสร็จ สิ่งสารพัดก็เตรียมไว้พร้อม จงมาในพิธีอภิเษกสมรสนี้เถิด’

ขุ่น ( 4 )
อสค 32.13 เราจะทำลายสัตว์ของเมืองนั้นทั้งสิ้น จากข้างน้ำมากหลายและไม่มีเท้ามนุษย์คนใดกระทำให้น้ำนั้นขุ่นอีก กีบสัตว์ก็จะไม่กระทำให้น้ำนั้นขุ่นอีกเช่นกัน
อสค 34.18 ที่จะหากินในลานหญ้าอย่างดีนั้นยังไม่พออีกหรือ เจ้าจึงต้องเอาเท้าเหยียบลานหญ้าที่เหลืออยู่ของเจ้า และดื่มน้ำจากแหล่งน้ำที่ลึกยังไม่พอหรือ จึงเอาเท้าของเจ้ากวนน้ำที่เหลืออยู่ให้ขุ่น
อสค 34.19 แกะของเราจะต้องกินสิ่งที่เท้าของเจ้าย่ำ และดื่มสิ่งที่เท้าของเจ้าทำให้ขุ่นหรือ

ขุ่นเคืองใจ ( 1 )
ยก 5.9 พี่น้องทั้งหลาย จงอย่าขุ่นเคืองใจต่อกัน เกรงว่าท่านจะถูกพิพากษา ดูเถิด องค์พระผู้พิพากษาทรงประทับยืนอยู่หน้าประตูแล้ว

ขุนนาง ( 44 )
กดว 21.18 เป็นบ่อน้ำที่เจ้านายได้ขุดไว้ เป็นบ่อที่ขุนนางของประชาชนเจาะไว้ ด้วยคทาและไม้เท้าของผู้ทรงตั้งพระราชบัญญัติ” และจากถิ่นทุรกันดารนั้นไป เขาก็มาถึงมัทธานาห์
วนฉ 5.13 ครั้งนั้นพระองค์ทรงกระทำให้ผู้ที่เหลืออยู่ปกครองพวกขุนนางของประชาชน พระเยโฮวาห์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้าปกครองผู้มีกำลัง
1พกษ 21.8 พระนางจึงทรงพระอักษรในพระนามของอาหับ ประทับตราของพระองค์ส่งไปยังพวกผู้ใหญ่และขุนนางผู้อยู่ในเมืองกับนาโบท
1พกษ 21.11 และพวกผู้ชายของเมืองนั้น คือพวกผู้ใหญ่และขุนนางผู้อาศัยอยู่ในเมืองนั้น ได้กระทำตามที่เยเซเบลมีไปถึงพวกเขา ตามที่ปรากฏในลายพระหัตถ์ซึ่งพระนางทรงมีไปถึงเขานั้น
2พศด 23.20 ท่านได้นำผู้บังคับกองร้อย ขุนนาง ผู้ปกครองประชาชน และบรรดาประชาชนแห่งแผ่นดิน และท่านได้เชิญกษัตริย์ลงมาจากพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ไปทางประตูบนไปสู่พระราชสำนัก และเขาก็เชิญกษัตริย์ประทับบนพระราชบัลลังก์แห่งราชอาณาจักร
นหม 2.16 ส่วนพวกเจ้าหน้าที่ก็ไม่ทราบว่าข้าพเจ้าไปไหน หรือข้าพเจ้าทำอะไร และข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้บอกพวกยิว บรรดาปุโรหิต พวกขุนนาง พวกเจ้าหน้าที่ และคนอื่นๆที่จะรับผิดชอบการงาน
นหม 3.5 และถัดเขาไปชาวเทโคอาได้ซ่อมแซม แต่พวกขุนนางของเขาไม่ยอมเอาคอมารับงานขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเขาทั้งหลาย
นหม 4.14 ข้าพเจ้ามองดู แล้วลุกขึ้นพูดกับขุนนางและเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย กับคนนอกนั้นว่า “อย่ากลัวเขาเลย จงระลึกถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งและน่าเกรงกลัว และต่อสู้เพื่อพี่น้องของท่าน บุตรชายบุตรสาวของท่าน ภรรยาและเรือนของท่าน”
นหม 4.19 ข้าพเจ้าพูดกับขุนนางและเจ้าหน้าที่ทั้งปวงกับคนนอกนั้นว่า “การงานก็ใหญ่โตและกระจายกันไปมาก เพราะเราแยกกันอยู่บนกำแพงห่างจากกัน
นหม 5.7 ข้าพเจ้าตรึกตรองแล้วก็นำความนี้ไปกล่าวหาพวกขุนนางและเจ้าหน้าที่ ข้าพเจ้าพูดกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายต่างคนต่างได้ให้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยจากพี่น้องของตน” และข้าพเจ้าก็เรียกชุมนุมใหญ่มาสู้กับเขา
นหม 6.17 ยิ่งกว่านั้นอีก ในครั้งนั้นขุนนางทั้งหลายของยูดาห์ก็ได้ส่งจดหมายหลายฉบับไปถึงโทบีอาห์ และจดหมายของโทบีอาห์ก็มาถึงเขา
นหม 7.5 แล้วพระเจ้าทรงดลใจข้าพเจ้าให้เรียกชุมนุมพวกขุนนาง และเจ้าหน้าที่และประชาชนเพื่อจะขึ้นทะเบียนสำมะโนครัวเชื้อสาย ข้าพเจ้าพบหนังสือสำมะโนครัวเชื้อสายของคนที่ขึ้นมาครั้งก่อน ข้าพเจ้าเห็นเขียนไว้ว่า
นหม 10.29 ได้สมทบกับพี่น้องของเขา กับขุนนางของเขา ได้เข้าในการสาปแช่งและในการปฏิญาณที่จะดำเนินตามพระราชบัญญัติของพระเจ้า ซึ่งทรงมอบไว้ทางโมเสสผู้รับใช้ของพระเจ้า และที่จะปฏิบัติและกระทำตามพระบัญญัติทั้งสิ้นของพระเยโฮวาห์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา และตามคำตัดสินและกฎเกณฑ์ของพระองค์
นหม 13.17 แล้วข้าพเจ้าได้ต่อว่าพวกขุนนางแห่งยูดาห์ และพูดกับเขาว่า “ทำไมท่านทั้งหลายกระทำความชั่วร้ายเช่นนี้ กระทำให้วันสะบาโตเป็นมลทิน
อสธ 1.3 ในปีที่สามแห่งรัชกาลของพระองค์ พระองค์พระราชทานการเลี้ยงแก่เจ้านาย และบรรดาข้าราชการของพระองค์ นายทัพนายกองทัพแห่งเปอร์เซียและมีเดีย และขุนนางกับผู้ว่าราชการมณฑลเฝ้าอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์
โยบ 29.10 เสียงของขุนนางก็สงบลง และลิ้นของเขาก็เกาะติดเพดานปาก
สดด 83.11 ขอทรงทำขุนนางของเขาเหมือนโอเรบและเศเอบ ทำเจ้านายทั้งสิ้นของเขาเหมือนเศบาห์และศัลมุนนา
สดด 149.8 เพื่อเอาตรวนล่ามบรรดากษัตริย์ของเขา และเอาเครื่องเหล็กจองจำล่ามบรรดาขุนนางของเขา
สภษ 8.16 โดยเรานี่แหละเจ้านายและขุนนางได้ครอบครอง คือบรรดาผู้พิพากษาของแผ่นดินโลก
ปญจ 10.17 โอ บ้านเมืองเอ๋ย ความสำราญจะมีแก่เจ้า เมื่อกษัตริย์ของเจ้าเป็นบุตรชายของขุนนาง และเจ้านายของเจ้ามีการเลี้ยงตามกาลเทศะ เพื่อจะมีกำลังวังชา มิใช่จะดื่มให้มึนเมา
อสย 13.2 จงชูธงสัญญาณขึ้นบนภูเขาสูง จงเปล่งเสียงร้องเรียกเขาทั้งหลาย จงโบกมือให้เขาเข้าไปในประตูเมืองของขุนนาง
อสย 34.12 เขาจะเรียกพวกขุนนางมายังราชอาณาจักร แต่ไม่มีเลย และบรรดาเจ้านายของมันจะไม่มีค่าเลย
อสย 43.14 พระเยโฮวาห์ผู้ไถ่ของเจ้า องค์บริสุทธิ์ของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า “เพื่อเห็นแก่เจ้า เราจะส่งไปยังบาบิโลน และเราจะนำบรรดาขุนนางของเขาลงมา คือพวกเคลเดียในกำปั่นที่เขาทั้งหลายเคยโห่ร้อง
ยรม 14.3 ขุนนางของเธอส่งผู้น้อยของเขาให้ไปตักน้ำ เขาทั้งหลายไปยังที่ขังน้ำเห็นว่าไม่มีน้ำ เขาทั้งหลายก็กลับไปด้วยภาชนะเปล่า เขาทั้งหลายได้อายและขายหน้า เขาจึงคลุมศีรษะของเขาทั้งหลายเสีย
ยรม 27.20 ที่เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนมิได้ริบเอาไป เมื่อท่านได้จับเอาเยโคนิยาห์ราชบุตรของเยโฮยาคิมกษัตริย์ของยูดาห์ และบรรดาขุนนางของยูดาห์และเยรูซาเล็มถูกกวาดต้อนจากกรุงเยรูซาเล็มไปเป็นเชลยยังกรุงบาบิโลน
ยรม 30.21 ขุนนางของเขาจะเป็นคนหนึ่งในพวกเขาทั้งหลาย ผู้ครอบครองของเขาจะออกมาจากท่ามกลางเขาเอง เราจะกระทำให้ท่านนั้นเข้ามาใกล้ และท่านนั้นจะเข้าใกล้เรา เพราะใครเล่าตั้งใจเข้ามาใกล้เราได้เอง พระเยโฮวาห์ตรัส
ยรม 39.6 กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้ฆ่าบรรดาบุตรชายของเศเดคียาห์ที่ตำบลริบลาห์ต่อหน้าต่อตาของท่าน และกษัตริย์แห่งบาบิโลนได้ประหารพวกขุนนางทั้งสิ้นของยูดาห์เสีย
ยนา 3.7 พระองค์ทรงออกพระราชกฤษฎีกา ประกาศไปทั่วนครนีนะเวห์ โดยอำนาจกษัตริย์และบรรดาขุนนางทั้งหลายว่า “คนหรือสัตว์ ไม่ว่าฝูงสัตว์ใหญ่หรือฝูงสัตว์เล็ก ห้ามลิ้มรสสิ่งใดๆ อย่าให้กินอาหาร อย่าให้ดื่มน้ำ
นฮม 3.18 โอ กษัตริย์แห่งอัสซีเรียเอ๋ย ผู้เลี้ยงแกะของเจ้าหลับเสียแล้ว ขุนนางของเจ้าจะอาศัยในผงคลี ชนชาติของเจ้ากระจัดกระจายอยู่บนภูเขา ไม่มีผู้ใดรวบรวมเอามาได้
มธ 9.18 เมื่อพระองค์กำลังตรัสคำเหล่านี้แก่เขานั้น ดูเถิด มีขุนนางคนหนึ่งมานมัสการพระองค์แล้วทูลว่า “ลูกสาวของข้าพระองค์พึ่งตาย ขอพระองค์เสด็จไปวางพระหัตถ์ของพระองค์บนตัวเขา แล้วเขาจะฟื้นขึ้นอีก”
มธ 9.23 ครั้นพระเยซูเสด็จเข้าไปในเรือนของขุนนางนั้น ทอดพระเนตรเห็นพวกเป่าปี่และคนเป็นอันมากชุลมุนกันอยู่
มก 6.21 ครั้นอยู่มาวันหนึ่งเป็นโอกาสดีคือเป็นวันฉลองวันกำเนิดของเฮโรด เฮโรดให้จัดการเลี้ยงขุนนางกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ และคนสำคัญๆทั้งปวงในแคว้นกาลิลี
ลก 14.1 ต่อมาเมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในบ้านของขุนนางคนหนึ่งในพวกฟาริสีในวันสะบาโต จะเสวยพระกระยาหาร เขาทั้งหลายคอยมองดูพระองค์
ลก 18.18 มีขุนนางผู้หนึ่งทูลถามพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าจะทำประการใดจึงจะได้ชีวิตนิรันดร์เป็นมรดก”
ลก 23.13 ปีลาตจึงสั่งพวกปุโรหิตใหญ่ พวกขุนนางและประชาชนให้ประชุมพร้อมกัน
ลก 23.35 คนทั้งปวงก็ยืนมองดู พวกขุนนางก็เยาะเย้ยพระองค์ด้วยว่า “เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ ถ้าเขาเป็นพระคริสต์ของพระเจ้าที่ทรงเลือกไว้ ให้เขาช่วยตัวเองเถิด”
ลก 24.20 และพวกปุโรหิตใหญ่กับขุนนางทั้งหลายของเรา ได้มอบพระองค์ไว้ให้ปรับโทษถึงตาย และตรึงพระองค์ที่กางเขน
ยน 3.1 มีชายคนหนึ่งในพวกฟาริสีชื่อนิโคเดมัสเป็นขุนนางของพวกยิว
ยน 4.46 ฉะนั้นพระเยซูจึงได้เสด็จไปยังหมู่บ้านคานาแคว้นกาลิลีอีก อันเป็นที่ซึ่งพระองค์ทรงกระทำให้น้ำกลายเป็นน้ำองุ่น และที่เมืองคาเปอรนาอุมมีขุนนางคนหนึ่ง บุตรชายของท่านป่วยหนัก
ยน 4.49 ขุนนางผู้นั้นทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอเสด็จไปก่อนที่บุตรของข้าพระองค์จะตาย”
ยน 7.26 แต่ดูเถิด ท่านกำลังพูดอย่างกล้าหาญและเขาทั้งหลายก็ไม่ได้ว่าอะไรท่านเลย พวกขุนนางรู้แน่แล้วหรือว่า คนนี้เป็นพระคริสต์แท้
ยน 7.48 มีผู้ใดในพวกขุนนางหรือพวกฟาริสีเชื่อในผู้นั้นหรือ
ยน 12.42 อย่างไรก็ดีแม้ในพวกขุนนางก็มีหลายคนเชื่อในพระองค์ด้วย แต่เขาไม่ยอมรับพระองค์อย่างเปิดเผยเพราะกลัวพวกฟาริสี เกรงว่าเขาจะถูกไล่ออกจากธรรมศาลา
กจ 13.27 ฝ่ายชาวกรุงเยรูซาเล็มกับพวกขุนนางมิได้รู้จักพระองค์ หรือเข้าใจคำของศาสดาพยากรณ์ทั้งหลาย ซึ่งเคยอ่านกันทุกวันสะบาโต จึงทำให้สำเร็จตามคำเหล่านั้นโดยพิพากษาลงโทษพระองค์

ขุ่นมัว ( 2 )
1พกษ 20.43 และกษัตริย์แห่งอิสราเอลก็เสด็จเข้าไปในพระราชวังด้วยอารมณ์ขุ่นมัวและไม่พอพระทัยยิ่งนัก และเสด็จมาสะมาเรีย
1พกษ 21.4 อาหับก็เสด็จเข้าในวังด้วยอารมณ์ขุ่นมัวและไม่พอพระทัยยิ่งนัก ด้วยเรื่องที่นาโบทชาวยิสเรเอลทูลตอบพระองค์ เพราะเขาได้กล่าวว่า “ข้าพระองค์จะไม่ให้มรดกแห่งบรรพบุรุษของข้าพระองค์แก่พระองค์” และพระองค์ก็เอนพระกายลงบนพระแท่น ทรงเบือนพระพักตร์ไม่เสวยพระกระยาหาร

ขุม ( 3 )
อสค 30.15 เราจะเทความเดือดดาลของเราลงบนเมืองสีนซึ่งเป็นขุมกำลังของอียิปต์ และจะตัดเหล่าฝูงชนออกเสียจากเมืองโน
อมส 3.11 เพราะฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจึงตรัสดังนี้ว่า “จะมีปฏิปักษ์ผู้หนึ่งมาล้อมแผ่นดินไว้ และเขาจะบั่นทอนขุมกำลังเสียจากเจ้า และปราสาททั้งหลายของเจ้าจะถูกปล้น”
ลก 8.31 ผีนั้นจึงอ้อนวอนขอพระองค์มิให้สั่งให้มันลงไปยังนรกขุมลึก

ขุมทรัพย์ ( 4 )
พบญ 33.19 เขาจะเรียกชนชาติทั้งหลายมาที่ภูเขา และถวายเครื่องสัตวบูชาแห่งความชอบธรรมที่นั่น เพราะเขาจะดูดความอุดมจากทะเลและได้ขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในทราย”
สภษ 2.4 ถ้าเจ้าแสวงหาปัญญาดุจหาเงิน และเสาะหาปัญญาอย่างหาขุมทรัพย์ที่ซ่อนไว้
อสย 45.3 เราจะให้ทรัพย์สมบัติแห่งความมืดแก่เจ้า และขุมทรัพย์ในที่ลี้ลับ เพื่อเจ้าจะได้รู้ว่า คือเรา พระเยโฮวาห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล ซึ่งเรียกเจ้าตามชื่อของเจ้า
มธ 13.44 อีกประการหนึ่ง อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ซ่อนไว้ในทุ่งนา เมื่อมีผู้ใดพบแล้วก็กลับซ่อนเสียอีก และเพราะความปรีดีจึงไปขายสรรพสิ่งซึ่งเขามีอยู่ แล้วไปซื้อทุ่งนานั้น

ขู่ ( 7 )
อพย 11.7 ฝ่ายคนหรือสัตว์ของชนชาติอิสราเอลทั้งปวงจะไม่มีแม้แต่เสียงสุนัขขู่ เพื่อให้ทราบว่าพระเยโฮวาห์ทรงกระทำต่อชาวอียิปต์ต่างกับชนชาติอิสราเอล
2ซมอ 14.15 ฉะนั้นบัดนี้ที่หม่อมฉันมากราบทูลเรื่องนี้ต่อกษัตริย์เจ้านายของหม่อมฉัน เพราะประชาชนขู่หม่อมฉันให้กลัว และสาวใช้ของพระองค์คิดว่า ‘หม่อมฉันจะกราบทูลกษัตริย์ หวังว่ากษัตริย์จะโปรดตามคำขอของหญิงผู้รับใช้ของพระองค์
สดด 59.15 ให้เขาเที่ยวไปหาอาหาร ถ้าไม่ได้กินอิ่มก็ขู่คำราม
สดด 73.8 เขาเย้ยและพูดด้วยความมุ่งร้าย เขาใฝ่สูงขู่ว่าจะบีบบังคับ
กจ 4.17 แต่ให้เราขู่เขาอย่างแข็งแรงห้ามไม่ให้พูดอ้างชื่อนั้นกับผู้หนึ่งผู้ใดเลย เพื่อเรื่องนี้จะไม่ได้เลื่องลือแพร่หลายไปในหมู่คนทั้งปวง”
กจ 4.21 เมื่อเขาขู่สำทับท่านทั้งสองนั้นอีกแล้วก็ปล่อยไป ไม่เห็นมีเหตุที่จะทำโทษท่านอย่างไรได้เพราะกลัวคนเหล่านั้น เหตุว่าคนทั้งหลายได้สรรเสริญพระเจ้าเนื่องด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น
กจ 9.1 ฝ่ายเซาโลยังขู่คำรามกล่าวว่าจะฆ่าศิษย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเสีย จึงไปหามหาปุโรหิต

ขู่เข็ญ ( 1 )
อฟ 6.9 ฝ่ายนายจงกระทำต่อทาสในทำนองเดียวกัน คืออย่าขู่เข็ญเขา เพราะท่านก็รู้แล้วว่านายของท่านทรงประทับอยู่ในสวรรค์ และพระองค์ไม่ทรงเลือกหน้าผู้ใดเลย

ขูด ( 5 )
ลนต 14.41 และสั่งให้ขูดข้างในเรือนทั่วๆไป ผงปูนที่ขูดออกมานั้นให้นำไปทิ้งเสียในที่มลทินภายนอกเมือง
ลนต 14.43 เมื่อเขาเอาหินออก ขูดเรือนและโบกปูนใหม่แล้ว ยังเกิดโรคขึ้นในเรือนนั้นอีก
โยบ 2.8 และท่านก็เอาชิ้นหม้อแตกขูดตัวของท่าน และนั่งอยู่ในกองขี้เถ้า
อสค 26.4 เขาทั้งหลายจะทำลายกำแพงเมืองไทระ และพังทลายหอคอยของเมืองนั้นเสีย และเราจะขูดดินเสียจากเมืองนั้น กระทำให้อยู่บนยอดของศิลา

เข่ง ( 1 )
กจ 9.25 แต่เหล่าสาวกได้ให้เซาโลนั่งในเข่งใหญ่ แล้วหย่อนลงจากกำแพงเมืองในเวลากลางคืน

เข็ญใจ ( 1 )
รม 7.24 โอ ข้าพเจ้าเป็นคนเข็ญใจจริง ใครจะช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากร่างกายแห่งความตายนี้ได้

เข็ดฟัน ( 3 )
ยรม 31.29 “ในสมัยนั้น เขาจะไม่กล่าวต่อไปอีกว่า ‘บิดารับประทานองุ่นเปรี้ยวและบุตรก็เข็ดฟัน’
ยรม 31.30 แต่ทุกคนจะต้องตายเพราะความชั่วช้าของตนเอง มนุษย์ทุกคนที่รับประทานองุ่นเปรี้ยว ก็จะเข็ดฟัน”
อสค 18.2 “เจ้าทั้งหลายมีเจตนาอย่างไรในการกล่าวสุภาษิตข้อนี้อันเกี่ยวกับแผ่นดินอิสราเอลว่า ‘บิดารับประทานองุ่นเปรี้ยวและบุตรก็เข็ดฟัน’

เขต ( 50 )
อพย 8.25 ฟาโรห์จึงตรัสเรียกโมเสสกับอาโรนมา รับสั่งว่า “จงไปถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าของเจ้าในเขตแผ่นดินนี้”
อพย 13.7 จงกินขนมปังไร้เชื้อให้ครบกำหนดเจ็ดวัน อย่าให้เห็นขนมปังซึ่งมีเชื้อ หรือให้เห็นเชื้อขนมปังในเขตของพวกท่าน
อพย 19.12 จงกำหนดเขตให้พลไพร่อยู่รอบภูเขา แล้วกำชับเขาว่า ‘เจ้าทั้งหลายจงระวังตัวให้ดีอย่าล่วงล้ำเขตขึ้นไปหรือถูกต้องเชิงภูเขานั้น ผู้ใดถูกภูเขาต้องมีโทษถึงตายเป็นแน่
อพย 19.23 ฝ่ายโมเสสกราบทูลพระเยโฮวาห์ว่า “พลไพร่ขึ้นมาบนภูเขาซีนายไม่ได้เพราะพระองค์ทรงสั่งข้าพระองค์ทั้งหลายว่า ‘จงกั้นเขตรอบภูเขานั้น ชำระให้เป็นที่บริสุทธิ์’”
กดว 34.2 “จงบัญชาคนอิสราเอลว่า เมื่อเจ้าเข้าไปในแผ่นดินคานาอัน (อันเป็นแผ่นดินที่เราให้แก่เจ้าเป็นมรดก คือแผ่นดินคานาอันตามเขตพรมแดนทั้งหมด) นั้น
กดว 34.3 เขตด้านใต้ของเจ้านับจากถิ่นทุรกันดารศินตามด้านเอโดม และอาณาเขตด้านใต้ของเจ้านั้นนับจากปลายทะเลเกลือทางด้านตะวันออก
กดว 34.6 อาณาเขตตะวันตกเจ้าจะได้ทะเลใหญ่และฝั่งทะเลนั้น นี่จะเป็นเขตด้านตะวันตกของเจ้า
กดว 35.4 ทุ่งหญ้าของเมืองที่เจ้ายกให้แก่คนเลวีนั้นให้มีเขตจากกำแพงเมืองและห่างออกไปหนึ่งพันศอกโดยรอบ
พบญ 32.8 เมื่อผู้สูงสุดประทานมรดกแก่บรรดาประชาชาติ เมื่อพระองค์ทรงแยกลูกหลานของอาดัม พระองค์ทรงกั้นเขตของชนชาติทั้งหลายตามจำนวนคนอิสราเอล
ยชว 13.4 ซึ่งอยู่ทิศใต้คือแผ่นดินทั้งสิ้นของคนคานาอัน และเขตเมอาราห์ ซึ่งเป็นของชาวไซดอนถึงเมืองอาเฟก ถึงเขตแดนของคนอาโมไรต์
ยชว 13.11 กับเขตกิเลอาดและท้องถิ่นของคนเกชูร์และคนมาอาคาห์ และภูเขาเฮอร์โมนทั้งหมด และเมืองบาชานทั้งสิ้นจนถึงเมืองสาเลคาห์
ยชว 15.1 ที่ดินส่วนของตระกูลคนยูดาห์ตามครอบครัวของเขานั้น ด้านใต้ถึงพรมแดนเมืองเอโดม คือถึงถิ่นทุรกันดารศินเป็นที่สุดปลายเขตด้านใต้
ยชว 15.13 ตามพระดำรัสของพระเยโฮวาห์ที่ตรัสแก่โยชูวา ท่านยกที่ดินส่วนหนึ่งในเขตของคนยูดาห์ให้แก่คาเลบบุตรชายเยฟุนเนห์ คือเมืองอารบาที่เรียกเมืองเฮโบรน อารบาเป็นบิดาของอานาค
ยชว 16.2 จากเมืองเบธเอลไปยังเมืองลูส ผ่านเรื่อยไปถึงเมืองอาทาโรท ยังเขตของคนอารคี
ยชว 16.3 แล้วลงไปทางทิศตะวันตกถึงเขตของคนยาฟเลที ไกลไปจนเขตเมืองเบธโฮโรนล่างถึงเมืองเกเซอร์ไปสิ้นสุดลงที่ทะเล
ยชว 16.5 เขตของคนเอฟราอิมตามครอบครัวของเขาเป็นดังนี้ พรมแดนมรดกของเขาด้านตะวันออก เริ่มแต่เมืองอาทาโรทอัดดาร์ ไกลไปจนถึงเบธโฮโรนบน
ยชว 17.11 ในเขตอิสสาคาร์และในอาเชอร์นั้น มนัสเสห์ยังมีเมืองเบธชานกับชนบทของเมืองนั้น และเมืองอิบเลอัมกับชนบทของเมืองนั้น และชาวเมืองโดร์กับชนบทของเมืองนั้น และชาวเมืองเอนโดร์กับชนบทของเมืองนั้น และชาวเมืองทาอานาคกับชนบทของเมืองนั้น และชาวเมืองเมกิดโดกับชนบทของเมืองนั้น คือภูเขาทั้งสามยอด
ยชว 17.18 แดนเทือกเขาเหล่านั้นจะเป็นของพวกท่าน ถึงแม้ว่าเป็นป่าดอนท่านจงแผ้วถางและยึดครองไปจนสุดเขตเถิด แม้ว่าคนคานาอันจะมีรถรบทำด้วยเหล็กและเป็นคนเข้มแข็ง ท่านทั้งหลายก็จะขับไล่เขาออกไปได้”
ยชว 19.27 แล้วเลี้ยวไปทางดวงอาทิตย์ขึ้นไปยังเบธดาโกนจดเขตเศบูลุนและหุบเขายิฟทาห์เอล ไปทางด้านเหนือถึงเมืองเบธเอเมคและเนอีเอลเรื่อยไปทางด้านซ้ายถึงเมืองคาบูล
ยชว 19.34 แล้วพรมแดนก็เลี้ยวไปทางด้านตะวันตกถึงเมืองอัสโนททาโบร์ จากที่นั่นไปถึงหุกกอกจดเขตเศบูลุนทางทิศใต้ และเขตอาเชอร์ทางทิศตะวันตก และเขตยูดาห์ทางดวงอาทิตย์ขึ้นที่แม่น้ำจอร์แดน
วนฉ 15.9 ฝ่ายคนฟีลิสเตียก็ขึ้นไปตั้งค่ายอยู่ในเขตยูดาห์ และกระจายกันเข้าโจมตีเมืองเลฮี
1ซมอ 17.1 ฝ่ายคนฟีลิสเตียก็รวบรวมกองทัพเพื่อจะทำสงคราม เขามาชุมนุมกันอยู่ที่ตำบลโสโคห์ ซึ่งเป็นเขตยูดาห์ และตั้งค่ายอยู่ระหว่างตำบลโสโคห์กับตำบลอาเซคาห์ที่เอเฟสดัมมิม
1ซมอ 17.20 ดาวิดจึงลุกขึ้นแต่เช้ามืด และทิ้งแกะไว้กับผู้ดูแลนำเสบียงอาหารเดินทางไปตามที่เจสซีได้บัญชาแก่เขา และเขาก็มาถึงเขตค่ายขณะเมื่อกองทัพกำลังยกออกไปสู่แนวรบพลางร้องกราวศึก
1ซมอ 23.23 เพราะฉะนั้นจงไปสังเกตดูที่ซุ่มว่าเขาซ่อนตัวอยู่ที่ไหน และกลับมาเอาเนื้อความแน่นอนมาบอกเรา แล้วเราจะไปกับท่าน ต่อมาถ้าเขาอยู่ในเขตแผ่นดิน เราจะค้นหาเขาในบรรดาคนยูดาห์ที่นับเป็นพันๆ”
1ซมอ 26.5 แล้วดาวิดก็ลุกขึ้นมายังที่ซึ่งซาอูลทรงตั้งค่ายอยู่ และดาวิดก็เห็นที่ที่ซาอูลบรรทมพร้อมกับอับเนอร์บุตรชายเนอร์แม่ทัพ ซาอูลบรรทมอยู่กลางเขตค่าย ฝ่ายกองทัพก็ตั้งค่ายอยู่รอบพระองค์
1ซมอ 26.7 ดาวิดและอาบีชัยจึงลงไปที่กองทัพในเวลากลางคืน และดูเถิด ซาอูลบรรทมอยู่กลางเขตค่าย หอกของพระองค์ปักอยู่ที่ที่ดินตรงพระเศียร อับเนอร์กับพวกพลก็นอนล้อมพระองค์อยู่
1พกษ 19.3 เมื่อท่านทราบแล้วก็ลุกขึ้นหนีไปเอาชีวิตรอด และมาถึงเบเออร์เชบาเขตประเทศยูดาห์ และละคนใช้ของท่านไว้ที่นั่น
1พศด 5.16 และเขาทั้งหลายอาศัยอยู่ในกิเลอาด ในบาชาน และตามหัวเมือง และในเขตทุ่งหญ้าทั้งสิ้นของชาโรนจนสุดเขต
นหม 12.29 ทั้งมาจากวงศ์วานกิลกาล และจากเขตเกบาและอัสมาเวท เพราะบรรดานักร้องได้สร้างชนบทของตนรอบเยรูซาเล็ม
โยบ 26.10 พระองค์ทรงขีดปริมณฑลไว้บนพื้นน้ำ ณ เขตระหว่างความสว่างและความมืด
โยบ 28.3 มนุษย์กำจัดความมืด และค้นหาไปยังเขตไกลที่สุด ค้นแร่ดิบในที่มืดครึ้มและเงามัจจุราช
โยบ 38.10 แล้วกำหนดเขตให้มัน และวางดาลและประตู
สดด 65.8 ผู้ที่อยู่ในเขตแผ่นดินโลกไกลโพ้นจึงเกรงกลัวต่อหมายสำคัญของพระองค์ พระองค์ทรงกระทำให้เช้าขึ้นและเย็นลงกู่ก้องด้วยความชื่นบาน
สดด 74.17 พระองค์ทรงจัดเขตทั้งสิ้นของแผ่นดินโลก พระองค์ทรงสร้างฤดูร้อนและฤดูหนาว
สดด 148.6 และพระองค์ทรงสถาปนามันไว้เป็นนิจกาล พระองค์ทรงกำหนดเขตซึ่งมันข้ามไปไม่ได้
สภษ 8.29 เมื่อพระองค์ทรงกำหนดเขตจำกัดให้แก่ทะเล เพื่อว่าน้ำจะไม่ละเมิดพระบัญชาของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงปักผังรากฐานของพิภพ
ยรม 5.22 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “เจ้าไม่ยำเกรงเราหรือ เจ้าไม่ตัวสั่นอยู่ต่อหน้าเราหรือ คือเราผู้วางกองทรายไว้เป็นเขตล้อมทะเล เป็นเครื่องกีดขวางเป็นนิตย์มิให้ผ่านไปได้ แม้ว่าคลื่นจะซัด ก็เอาชนะไม่ได้ แม้คลื่นจะคะนอง ก็ข้ามไปไม่ได้
อสค 47.18 ทางด้านตะวันออก เขตแดนจะยื่นจากเมืองเฮารานและดามัสกัส ระหว่างกิเลอาดกับแผ่นดินอิสราเอล เรื่อยไปตามแม่น้ำจอร์แดน ไปถึงทะเลด้านตะวันออก ท่านทั้งหลายจงวัด นี่เป็นเขตด้านตะวันออก
อสค 47.19 ทางด้านใต้เขตแดนจะยื่นจากทามาร์จนถึงน้ำแห่งการโต้เถียงในคาเดช แล้วเรื่อยไปตามแม่น้ำถึงทะเลใหญ่ นี่เป็นเขตด้านใต้
อสค 47.23 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า ต่อมาคนต่างด้าวจะอยู่ในเขตของคนตระกูลใดก็ได้ เจ้าจงกำหนดที่ดินให้เป็นมรดกของเขาที่นั่น”
ดนล 11.9 แล้วกษัตริย์แห่งถิ่นใต้จะเข้ามาในเขตกษัตริย์แห่งถิ่นเหนือ แต่จะกลับไปสู่แผ่นดินของท่านเอง
กจ 16.12 เมื่อออกจากที่นั่นแล้ว ก็ได้ไปยังเมืองฟีลิปปีซึ่งเป็นเมืองเอกในเขตแคว้นมาซิโดเนีย และเป็นเมืองขึ้น เราจึงพักอยู่ในเมืองนั้นหลายวัน
2คร 10.15 เรามิได้โอ้อวดเกินขอบเขต ไม่ได้อวดในการงานที่คนอื่นได้กระทำ แต่เราหวังใจว่า เมื่อความเชื่อของท่านจำเริญมากขึ้นแล้ว ท่านจะช่วยเราให้ขยายเขตกว้างขวางออกไปอีกเป็นอันมากตามขนาดของเรา
2คร 10.16 เพื่อเราจะได้ประกาศข่าวประเสริฐในเขตที่อยู่นอกท้องถิ่นของพวกท่าน โดยไม่โอ้อวดเรื่องการงานที่คนอื่นได้ทำไว้พร้อมแล้วนั้น
2คร 11.10 ความจริงของพระคริสต์มีอยู่ในข้าพเจ้าแน่ฉันใด จึงไม่มีผู้ใดในเขตแคว้นอาคายาสามารถที่จะห้ามข้าพเจ้าไม่ให้อวดเรื่องนี้ได้ฉันนั้น
กท 3.23 แต่ก่อนที่ความเชื่อมานั้น เราถูกพระราชบัญญัติกักตัวไว้ ถูกกั้นเขตไว้จนความเชื่อจะปรากฏภายหลัง

เขตแดน ( 97 )
ปฐก 10.19 เขตแดนของคนคานาอันจากเมืองไซดอน ไปทางเมืองเก-ราร์ จนถึงเมืองกาซา ไปทางเมืองโสโดม เมืองโกโมราห์ เมืองอัดมาห์ และเมืองเศโบยิมจนถึงเมืองลาชา
ปฐก 49.13 เศบูลุนจะอาศัยอยู่ที่ท่าเรือริมทะเล เขาจะเป็นท่าจอดเรือ เขตแดนของเขาจะต่อกันไปถึงเมืองไซดอน
อพย 8.2 ถ้าท่านไม่ยอมให้เขาไป ดูเถิด เราจะให้ฝูงกบขึ้นมารังควานทั่วเขตแดนของท่าน
อพย 8.23 เราจะแบ่งเขตแดนในระหว่างชนชาติของเรากับชนชาติของเจ้า หมายสำคัญนี้จะบังเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้”’”
อพย 10.4 มิฉะนั้นถ้าเจ้าไม่ยอมปล่อยพลไพร่ของเราไป ดูเถิด พรุ่งนี้เราจะให้ตั๊กแตนเข้ามาในเขตแดนของเจ้า
อพย 10.14 ฝูงตั๊กแตนลงทั่วแผ่นดินอียิปต์ และจับอยู่ทั่วเขตแดนอียิปต์ทั้งหมด มันรุนแรงมาก แต่ก่อนไม่เคยมีตั๊กแตนอย่างนี้เลย และต่อไปข้างหน้าจะหามีอย่างนั้นอีกไม่
อพย 10.19 พระเยโฮวาห์จึงทรงบันดาลให้ลมพายุพัดกลับมาจากทิศตะวันตกหอบฝูงตั๊กแตนไปตกในทะเลแดง จนไม่มีตั๊กแตนเหลือเลยสักตัวเดียวตลอดเขตแดนอียิปต์
อพย 23.31 เราจะกำหนดเขตแดนของพวกเจ้าไว้ตั้งแต่ทะเลแดงจนถึงทะเลของชาวฟีลิสเตีย ตั้งแต่ถิ่นทุรกันดารจนจดแม่น้ำ เพราะเราจะมอบชาวเมืองนั้นไว้ในมือของพวกเจ้าให้พวกเจ้าไล่เขาไปเสียให้พ้นหน้า
อพย 34.24 เพราะเราจะขับไล่ชนชาติทั้งหลายออกไปให้พ้นหน้าพวกเจ้าและจะขยายเขตแดนเมืองของเจ้าให้กว้างออกไป เมื่อพวกเจ้าจะขึ้นไปเฝ้าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าปีละสามครั้งนั้น จะไม่มีใครอยากได้แผ่นดินของเจ้าเลย
กดว 20.17 ขอให้เรายกผ่านเขตแดนของท่าน เราจะไม่ผ่านไร่นาหรือสวนองุ่นของท่าน เราจะไม่ดื่มน้ำจากบ่อ เราจะเดินไปตามทางหลวง เราจะไม่หันไปทางขวามือหรือทางซ้ายมือ จนกว่าเราจะผ่านพ้นเขตแดนของท่าน”
กดว 20.23 ที่ภูเขาโฮร์นี้พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสและอาโรนริมเขตแดนแผ่นดินเอโดมว่า
กดว 24.17 ข้าพเจ้าจะเห็นเขา แต่ไม่ใช่อย่างเดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้าจะดูเขา แต่ไม่ใช่อย่างใกล้ๆนี้ ดาวดวงหนึ่งจะเดินออกมาจากยาโคบ และธารพระกรอันหนึ่งจะขึ้นมาจากอิสราเอล จะตีเขตแดนของโมอับและทำลายบรรดาลูกหลานของเชท
กดว 24.24 แต่กำปั่นจะมาจากเขตแดนเมืองคิทธิมทำลายอัสชูรและเอเบอร์ และเขาจะถูกทำลายอันถาวรด้วย”
พบญ 2.4 และจงบัญชาคนทั้งปวงว่า เจ้าทั้งหลายจวนจะเดินผ่านเขตแดนเมืองพี่น้องของเจ้า คือลูกหลานของเอซาวที่อยู่ตำบลเสอีร์แล้ว และเขาทั้งหลายจะกลัวพวกเจ้า ฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงระวังตัว
พบญ 2.18 ‘วันนี้เจ้าทั้งหลายจะเดินข้ามตำบลอาร์เขตแดนของคนโมอับ
พบญ 3.14 ยาอีร์คนมนัสเสห์ก็ตีได้ดินแดนอารโกบทั้งหมด จนถึงเขตแดนเมืองชาวเกชูร์ และเมืองมาอาคาห์ และได้เรียกชื่อเมืองเหล่านั้นตามชื่อของตนว่า บาชานฮาโวทยาอีร์ จนถึงทุกวันนี้
พบญ 12.5 ท่านจงแสวงหาสถานที่จากเขตแดนของบรรดาตระกูลของท่าน ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายจะทรงเลือก เพื่อสถาปนาพระนามของพระองค์ไว้ คือให้เป็นที่ประทับของพระองค์ ท่านทั้งหลายจงไปเฝ้าพระองค์ที่นั่น
ยชว 12.2 คือสิโหนกษัตริย์คนอาโมไรต์ผู้อยู่ที่เฮชโบน และปกครองจากอาโรเออร์ ซึ่งอยู่ ณ ริมลุ่มแม่น้ำอารโนน และจากกลางที่ลุ่มไกลไปจนถึงแม่น้ำยับบอก เขตแดนคนอัมโมน คือครึ่งหนึ่งของกิเลอาด
ยชว 12.4 และเขตแดนของโอกกษัตริย์เมืองบาชาน เป็นพวกมนุษย์ยักษ์ที่เหลืออยู่ อยู่ที่อัชทาโรท และเอเดรอี
ยชว 12.5 และปกครองที่ภูเขาเฮอร์โมน และสาเลคาห์ และทั่วบาชาน ถึงเขตแดนคนเกชูร์และคนมาอาคาห์ และปกครองครึ่งหนึ่งของแดนกิเลอาด ถึงเขตแดนของสิโหนกษัตริย์เมืองเฮชโบน
ยชว 13.3 ตั้งแต่ชิโหร์ซึ่งอยู่หน้าอียิปต์ เหนือขึ้นไปถึงเขตแดนเอโครน นับกันว่าเป็นของคนคานาอัน ผู้ครอบครองฟีลิสเตียมีอยู่ห้าคนด้วยกัน คือ ผู้ครอบครองเมืองกาซา เมืองอัชโดด เมืองอัชเคโลน เมืองกัท และเมืองเอโครน และเมืองของคนอิฟวาห์ด้วย
ยชว 13.4 ซึ่งอยู่ทิศใต้คือแผ่นดินทั้งสิ้นของคนคานาอัน และเขตเมอาราห์ ซึ่งเป็นของชาวไซดอนถึงเมืองอาเฟก ถึงเขตแดนของคนอาโมไรต์
ยชว 13.10 และหัวเมืองทั้งสิ้นของสิโหนกษัตริย์คนอาโมไรต์ ผู้ซึ่งครอบครองอยู่ในเฮชโบน ไกลออกไปจนถึงเขตแดนคนอัมโมน
ยชว 13.16 ดังนั้นเขตแดนของเขาจึงตั้งแต่อาโรเออร์ซึ่งอยู่ริมลุ่มแม่น้ำอารโนนและเมืองซึ่งอยู่กลางลุ่มแม่น้ำนั้นและที่ราบเมืองเมเดบาทั้งสิ้น
ยชว 13.26 ตั้งแต่เมืองเฮชโบน จนถึงเมืองรามัทมิสเปห์และเบโทนิม และตั้งแต่มาหะนาอิมจนถึงเขตแดนเดบีร์
ยชว 17.7 เขตแดนของมนัสเสห์ตั้งต้นจากอาเชอร์จนถึงมิคเมธัท ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองเชเคมแล้ว พรมแดนก็ยื่นไปทางมือขวาถึงที่ของชาวเมืองเอนทัปปูวาห์
วนฉ 1.3 ยูดาห์จึงพูดกับสิเมโอนพี่ของตนว่า “จงขึ้นไปกับฉันในเขตแดนที่กำหนดให้แก่ฉัน เพื่อเราจะได้รบสู้กับคนคานาอัน และฉันจะไปร่วมรบในเขตแดนที่กำหนดให้แก่ท่านนั้นด้วย” สิเมโอนก็ไปกับเขา
วนฉ 11.18 แล้วเขาก็เดินไปในถิ่นทุรกันดารอ้อมแผ่นดินเอโดม และแผ่นดินโมอับ และมาทางด้านตะวันออกของแผ่นดินโมอับ และตั้งค่ายอยู่ที่ฟากแม่น้ำอารโนนข้างโน้น แต่เขามิได้เข้าไปในเขตแดนของโมอับ เพราะว่าแม่น้ำอารโนนเป็นพรมแดนของโมอับ
วนฉ 11.20 แต่สิโหนไม่วางใจที่จะให้อิสราเอลยกผ่านเขตแดนของตน ฉะนั้นสิโหนจึงได้รวบรวมประชาชนทั้งหมดของท่าน ตั้งค่ายอยู่ที่ยาฮาส และสู้รบกับอิสราเอล
วนฉ 11.22 และเขายึดเขตแดนทั้งหมดของคนอาโมไรต์ตั้งแต่แม่น้ำอารโนนถึงแม่น้ำยับบอก และตั้งแต่ถิ่นทุรกันดารถึงแม่น้ำจอร์แดน
วนฉ 12.12 แล้วเอโลนคนเศบูลุนก็สิ้นชีวิต และถูกฝังไว้ที่อัยยาโลนในเขตแดนของคนเศบูลุน
วนฉ 12.15 แล้วอับโดนบุตรชายฮิลเลลชาวปิราโธนก็สิ้นชีวิตถูกฝังไว้ที่ปิราโธนในเขตแดนของเอฟราอิมในแดนเทือกเขาของคนอามาเลข
วนฉ 19.29 เมื่อถึงบ้านแล้ว ก็เอามีดฟันศพภรรยาน้อยออกเป็นท่อนๆพร้อมกับกระดูก สิบสองท่อนด้วยกันส่งไปทั่วเขตแดนอิสราเอล
1ซมอ 5.6 พระหัตถ์ของพระเยโฮวาห์อยู่เหนือประชาชนอัชโดดอย่างหนัก พระองค์ทรงทำลายเขาและทรงเฆี่ยนเขาด้วยริดสีดวงทวารขั้นรุนแรง ทั้งชาวอัชโดดและเขตแดนของชาวเมืองนั้น
1ซมอ 10.2 เมื่อท่านจากฉันไปในวันนี้ ท่านจะพบชายสองคนริมที่ฝังศพของนางราเชลในเขตแดนเบนยามินที่เศลซาห์ และเขาทั้งสองจะบอกท่านว่า ‘ลาซึ่งท่านไปหานั้นพบแล้ว ดูเถิด บัดนี้บิดาของท่านเลิกกังวลเรื่องลาแล้ว และร้อนใจเรื่องของท่าน กล่าวว่า “เราจะทำอย่างไรเรื่องบุตรชายของเราดี”’
1ซมอ 11.7 ท่านจึงเอาวัวมาคู่หนึ่งฟันออกเป็นท่อนๆ ส่งไปทั่วเขตแดนทั้งสิ้นของอิสราเอลโดยมือของผู้สื่อสาร กล่าวว่า “ผู้หนึ่งผู้ใดที่ไม่ออกมาตามซาอูลและซามูเอล จะกระทำอย่างนี้แก่วัวของเขา” และความเกรงกลัวพระเยโฮวาห์ก็มาเหนือประชาชน เขาทั้งหลายพากันออกมาเป็นใจเดียวกัน
2ซมอ 21.5 เขากราบทูลกษัตริย์ว่า “ชายผู้ที่เผาผลาญพวกข้าพระองค์ และวางแผนการทำลายพวกข้าพระองค์เพื่อมิให้พวกข้าพระองค์มีที่อยู่ในเขตแดนอิสราเอล
2พกษ 9.36 เมื่อเขากลับมาทูลพระองค์ พระองค์ตรัสว่า “นี่เป็นไปตามพระวจนะของพระเยโฮวาห์ ซึ่งพระองค์ตรัสทางเอลียาห์ชาวทิชบีผู้รับใช้ของพระองค์ว่า ‘สุนัขจะกินเนื้อของเยเซเบลในเขตแดนยิสเรเอล’
2พกษ 9.37 และศพของเยเซเบลจะเป็นเหมือนมูลสัตว์บนพื้นทุ่งในเขตแดนยิสเรเอล เพื่อว่าจะไม่มีใครกล่าวว่า ‘นี่คือเยเซเบล’”
1พศด 4.10 ยาเบสทูลพระเจ้าของอิสราเอลว่า “โอ ขอพระองค์ทรงอวยพระพรแก่ข้าพระองค์ และขยายเขตแดนของข้าพระองค์ และขอพระหัตถ์ของพระองค์อยู่กับข้าพระองค์ และขอพระองค์ทรงรักษาข้าพระองค์ให้พ้นจากเหตุร้าย เพื่อมิให้ข้าพระองค์เจ็บใจปวดกาย” และพระเจ้าทรงประสาทตามที่เขาทูลขอ
1พศด 6.54 ต่อไปนี้เป็นที่อาศัยของเขาตามค่ายในเขตแดนของเขา คือลูกหลานของอาโรน ครอบครัวคนโคฮาท เพราะสลากตกเป็นของเขา
2พศด 11.13 และปุโรหิตกับคนเลวีซึ่งอยู่ในอิสราเอลทั้งสิ้นได้เข้ามาหาพระองค์จากเขตแดนซึ่งเขาอาศัยอยู่
2พศด 26.6 พระองค์เสด็จออกไปทำสงครามต่อสู้กับคนฟีลิสเตีย และพังกำแพงเมืองกัท และกำแพงเมืองยับเนห์ และกำแพงเมืองอัชโดด และพระองค์ทรงสร้างหัวเมืองในเขตแดนอัชโดด และที่อื่นๆอีกท่ามกลางคนฟีลิสเตีย
2พศด 26.8 ชนอัมโมนได้ถวายบรรณาการแก่อุสซียาห์ และพระนามของพระองค์ก็แผ่แพร่ออกไปถึงเขตแดนอียิปต์ เพราะพระองค์ทรงเข้มแข็งขึ้นยิ่งนัก
นหม 9.22 และยิ่งกว่านั้นอีก พระองค์ทรงมอบราชอาณาจักรและชนชาติทั้งหลายแก่เขา และทรงปันให้เขาตามเขตแดน เขาจึงได้ยึดแผ่นดินแห่งสิโหน และแผ่นดินของกษัตริย์แห่งเมืองเฮชโบน และแผ่นดินของโอกกษัตริย์แห่งเมืองบาชาน
สดด 16.6 เขตแดนของข้าพเจ้าเป็นที่ที่ร่มรื่น เออ ข้าพเจ้ามีมรดกที่ดี
สดด 78.54 และพระองค์ทรงพาเขามายังเขตแดนแห่งสถานบริสุทธิ์ของพระองค์ ยังภูเขานี้ ซึ่งพระหัตถ์ขวาของพระองค์ได้ทรงไถ่ไว้
สดด 147.14 พระองค์ทรงกระทำสันติภาพในเขตแดนของเธอ ทรงให้เธออิ่มด้วยข้าวสาลีที่ดีที่สุด
อสย 10.13 เพราะเขาว่า “ข้าได้กระทำการนี้ด้วยกำลังมือของข้า และด้วยสติปัญญาของข้า เพราะข้ามีความเข้าใจ ข้าได้รื้อเขตแดนของชนชาติทั้งหลาย และได้ปล้นทรัพย์สมบัติของเขา ข้าได้โยนบรรดาชาวเมืองลงมาอย่างคนกล้าหาญ
อสย 26.15 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ แต่พระองค์ทรงเพิ่มประชาชนขึ้น พระองค์ทรงเพิ่มประชาชนขึ้น พระองค์ได้ทรงรับสง่าราศี พระองค์ทรงขยายเขตแดนของแผ่นดินไกลไปถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก
อสย 60.18 ในแผ่นดินของเจ้าเขาจะไม่ได้ยินถึงความทารุณอีก ในเขตแดนของเจ้า ถึงการล้างผลาญหรือการทำลาย แต่เจ้าจะเรียกกำแพงของเจ้าว่า ‘ความรอด’ และประตูเมืองของเจ้าว่า ‘ความสรรเสริญ’
อสค 45.7 แผ่นดินทั้งสองข้างของตำบลบริสุทธิ์และส่วนของเมืองนั้น ให้ยกเป็นที่ดินของเจ้านายเคียงข้างกับตำบลบริสุทธิ์ และส่วนของเมืองด้านตะวันตกและตะวันออกมีส่วนยาวเท่ากับส่วนที่ยกให้คนตระกูลหนึ่ง ยืดออกไปตามทางตะวันตกและทางตะวันออกของเขตแดนแผ่นดิน
อสค 47.13 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “นี่เป็นเขตแดนซึ่งเจ้าจะใช้แบ่งแผ่นดินสำหรับเป็นมรดกท่ามกลางอิสราเอลทั้งสิบสองตระกูล โยเซฟจะได้สองส่วน
อสค 47.15 ต่อไปนี้เป็นเขตแดนของแผ่นดินนี้ ด้านทิศเหนือจากทะเลใหญ่ไปตามทางเมืองเฮทโลน และต่อไปถึงเมืองเศดัด
อสค 47.17 ดังนั้น เขตแดนจะยื่นจากทะเลถึงเมืองฮาซาเรโนน ซึ่งอยู่ที่พรมแดนด้านเหนือของเมืองดามัสกัส ทางทิศเหนือมีพรมแดนของเมืองฮามัท นี่เป็นแดนด้านเหนือ
อสค 47.18 ทางด้านตะวันออก เขตแดนจะยื่นจากเมืองเฮารานและดามัสกัส ระหว่างกิเลอาดกับแผ่นดินอิสราเอล เรื่อยไปตามแม่น้ำจอร์แดน ไปถึงทะเลด้านตะวันออก ท่านทั้งหลายจงวัด นี่เป็นเขตด้านตะวันออก
อสค 47.19 ทางด้านใต้เขตแดนจะยื่นจากทามาร์จนถึงน้ำแห่งการโต้เถียงในคาเดช แล้วเรื่อยไปตามแม่น้ำถึงทะเลใหญ่ นี่เป็นเขตด้านใต้
อสค 47.20 ทางด้านตะวันตก ทะเลใหญ่เป็นเขตแดนเรื่อยไปจนถึงตำบลที่อยู่ตรงข้ามทางเข้าเมืองฮามัท นี่เป็นเขตแดนด้านตะวันตก
อสค 48.2 ประชิดกับเขตแดนของดานจากด้านตะวันออกไปถึงด้านตะวันตก เป็นส่วนของคนอาเชอร์
อสค 48.3 ประชิดกับเขตแดนของอาเชอร์จากด้านตะวันออกไปถึงด้านตะวันตก เป็นส่วนของคนนัฟทาลี
อสค 48.4 ประชิดกับเขตแดนของนัฟทาลีจากด้านตะวันออกไปถึงด้านตะวันตก เป็นส่วนของคนมนัสเสห์
อสค 48.5 ประชิดกับเขตแดนของมนัสเสห์จากด้านตะวันออกไปถึงด้านตะวันตก เป็นส่วนของคนเอฟราอิม
อสค 48.6 ประชิดกับเขตแดนเอฟราอิมจากด้านตะวันออกไปถึงด้านตะวันตก เป็นส่วนของคนรูเบน
อสค 48.7 ประชิดกับเขตแดนรูเบนจากด้านตะวันออกไปถึงด้านตะวันตก เป็นส่วนของคนยูดาห์
อสค 48.8 ประชิดกับเขตแดนยูดาห์จากด้านตะวันออกไปถึงด้านตะวันตก จะเป็นส่วนซึ่งเจ้าจะต้องแยกไว้ต่างหาก กว้างสองหมื่นห้าพันศอก และยาวเท่ากับส่วนของคนตระกูลหนึ่ง จากด้านตะวันออกไปถึงด้านตะวันตก เป็นที่มีสถานบริสุทธิ์อยู่กลาง
อสค 48.12 และให้ที่ดินนี้ตกแก่เขาทั้งหลายเป็นส่วนหนึ่งจากส่วนถวายของแผ่นดิน เป็นสถานที่บริสุทธิ์ที่สุด ประชิดกับเขตแดนของคนเลวี
อสค 48.13 เคียงข้างกับเขตแดนของปุโรหิตนั้นให้คนเลวีมีส่วนแบ่งยาวสองหมื่นห้าพันศอก กว้างหนึ่งหมื่นศอก ส่วนยาวทั้งสิ้นจะเป็นสองหมื่นห้าพันศอกและส่วนกว้างหนึ่งหมื่น
อสค 48.22 นอกจากส่วนที่ตกเป็นของคนเลวีและส่วนของนครนั้น ซึ่งอยู่กลางส่วนอันตกเป็นของเจ้านาย ระหว่างเขตแดนยูดาห์และเขตแดนเบนยามิน ให้เป็นส่วนของเจ้านายทั้งหมด
อสค 48.24 ประชิดกับเขตแดนของเบนยามินจากด้านตะวันออกไปถึงด้านตะวันตก เป็นส่วนของคนสิเมโอน
อสค 48.25 ประชิดกับเขตแดนของสิเมโอนจากด้านตะวันออกไปถึงด้านตะวันตก เป็นส่วนของคนอิสสาคาร์
อสค 48.26 ประชิดกับเขตแดนของอิสสาคาร์จากด้านตะวันออกไปถึงด้านตะวันตก เป็นส่วนของคนเศบูลุน
อสค 48.27 ประชิดกับเขตแดนของเศบูลุนจากด้านตะวันออกไปถึงด้านตะวันตก เป็นส่วนของคนกาด
อสค 48.28 ประชิดกับเขตแดนของกาดทางทิศใต้เขตแดนนั้นจะยื่นจากเมืองทามาร์ ถึงน้ำแห่งการโต้เถียงในคาเดช แล้วเรื่อยไปตามแม่น้ำถึงทะเลใหญ่
มคา 5.6 เขาทั้งหลายจะทำลายแผ่นดินอัสซีเรียด้วยดาบ และแผ่นดินนิมโรดในทางเข้า และพระองค์จะทรงช่วยเราให้พ้นจากชาวอัสซีเรียเมื่อชาวอัสซีเรียยกเข้ามาในแผ่นดินของเรา และเหยียบย่ำภายในเขตแดนของเรา
ศฟย 2.8 “เราได้ยินคำด่าของโมอับ และคำครหาของคนอัมโมนแล้ว ซึ่งเขาด่าประชาชนของเรา และอวดอ้างเรื่องเขตแดนของเขาทั้งหลาย”
ศคย 9.2 เมืองฮามัทซึ่งมีเขตแดนติดกันก็รวมอยู่ด้วย ไทระกับไซดอน แม้จะเป็นเมืองฉลาดก็ตาม
มลค 1.4 เมื่อเอโดมกล่าวว่า “เราถูกบั่นทอนเสียแล้ว แต่เราจะกลับมาสร้างที่ปรักหักพังขึ้นใหม่” พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า “เขาทั้งหลายจะสร้างขึ้น แต่เราจะรื้อลงเสีย และผู้คนจะเรียกเขาเหล่านี้ว่า ‘เป็นเขตแดนแห่งความชั่วร้าย’ และ ‘เป็นชนชาติที่พระเยโฮวาห์ทรงกริ้วอยู่เป็นนิตย์’”
มลค 1.5 ตาของเจ้าเองจะเห็นสิ่งนี้และเจ้าจะกล่าวว่า “พระเยโฮวาห์นี้จะใหญ่ยิ่งนักแม้กระทั่งนอกเขตแดนของอิสราเอล”
มธ 4.13 เมื่อเสด็จออกจากเมืองนาซาเร็ธแล้ว พระองค์ก็มาประทับที่เมืองคาเปอรนาอุม ซึ่งอยู่ริมทะเลที่เขตแดนเศบูลุนและนัฟทาลี
มธ 8.34 ดูเถิด คนทั้งนครพากันออกมาพบพระเยซู เมื่อพบพระองค์แล้ว เขาจึงอ้อนวอนขอให้พระองค์ไปเสียจากเขตแดนของเขา
มธ 15.21 แล้วพระเยซูเสด็จไปจากที่นั่นเข้าไปในเขตแดนเมืองไทระและเมืองไซดอน
มธ 15.22 ดูเถิด มีหญิงชาวคานาอันคนหนึ่งมาจากเขตแดนนั้นร้องทูลพระองค์ว่า “โอ พระองค์ผู้ทรงเป็นบุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงโปรดเมตตาข้าพระองค์เถิด ลูกสาวของข้าพระองค์มีผีสิงอยู่เป็นทุกข์ลำบากยิ่งนัก”
มธ 19.1 ต่อมาเมื่อพระเยซูตรัสถ้อยคำเหล่านี้เสร็จแล้ว พระองค์ได้เสด็จจากแคว้นกาลิลี เข้าไปในเขตแดนแคว้นยูเดียฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น
มก 5.17 คนทั้งหลายจึงเริ่มพากันอ้อนวอนพระองค์ให้เสด็จไปเสียจากเขตแดนเมืองของเขา
มก 7.24 พระองค์จึงทรงลุกขึ้นจากที่นั่นไปยังเขตแดนเมืองไทระและเมืองไซดอน แล้วเข้าไปในเรือนแห่งหนึ่งประสงค์จะมิให้ผู้ใดรู้ แต่พระองค์จะซ่อนอยู่มิได้
มก 7.31 ต่อมาพระองค์จึงเสด็จจากเขตแดนเมืองไทระและเมืองไซดอน ดำเนินตามทางแคว้นทศบุรี มายังทะเลกาลิลี
มก 10.1 ฝ่ายพระองค์ได้ทรงลุกขึ้นเสด็จจากที่นั่น เข้าในเขตแดนแคว้นยูเดีย ไปตามทางแม่น้ำจอร์แดนฟากข้างโน้น และประชาชนพากันมาหาพระองค์อีก พระองค์จึงตรัสสั่งสอนเขาอีกตามที่พระองค์ทรงเคยสอนนั้น
กจ 2.9 เช่นชาวปารเธียและมีเดีย ชาวเอลามและคนที่อยู่ในเขตแดนเมโสโปเตเมีย และแคว้นยูเดียและแคว้นคัปปาโดเซีย ในแคว้นปอนทัสและเอเชีย
กจ 13.49 พระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าจึงแพร่ไปตลอดทั่วเขตแดนนั้น
กจ 17.26 พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ทุกชาติสืบสายโลหิตอันเดียวกันให้อยู่ทั่วพื้นพิภพโลก และได้ทรงกำหนดเวลาและเขตแดนให้เขาอยู่
กท 1.21 หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็เข้าไปในเขตแดนซีเรียและซีลีเซีย

เขตภูเขา ( 1 )
ยชว 18.16 แล้วพรมแดนก็ยื่นลงไปสุดเขตภูเขาซึ่งอยู่ตรงหน้าหุบเขาแห่งบุตรชายของฮินโนม ซึ่งอยู่ทางปลายเหนือสุดของหุบเขาแห่งพวกมนุษย์ยักษ์ แล้วก็ลงไปที่หุบเขาฮินโนมใต้ไหล่เขาของคนเยบุสแล้วลงไปถึงเมืองเอนโรเกล

เขตเมือง ( 13 )
กดว 35.26 แต่ถ้าผู้ฆ่าคนออกไปพ้นเขตเมืองลี้ภัย ซึ่งเขาหนีเข้าไปอยู่ในเวลาใด
กดว 35.27 และผู้อาฆาตโลหิตพบเขานอกเขตเมืองลี้ภัย และผู้อาฆาตโลหิตได้ฆ่าผู้ฆ่าคนนั้นเสีย ผู้อาฆาตโลหิตจะไม่มีความผิดเนื่องด้วยโลหิตตกของเขา
กดว 35.28 เพราะว่าชายผู้นั้นต้องอยู่ในเขตเมืองลี้ภัยจนมหาปุโรหิตถึงแก่ความตาย ภายหลังเมื่อมหาปุโรหิตถึงแก่ความตายแล้ว ผู้ฆ่าคนนั้นจะกลับไปยังแผ่นดินที่เขาถือกรรมสิทธิ์อยู่ก็ได้
พบญ 3.19 แต่ภรรยาของท่าน บุตรเล็กๆทั้งหลายของท่านกับฝูงสัตว์ของท่าน (เพราะข้าพเจ้าทราบอยู่แล้วว่า ท่านทั้งหลายมีฝูงสัตว์เป็นอันมาก) จงอยู่ในเขตเมืองที่เรายกให้นั้นก่อน
ยชว 4.13 มีคนถืออาวุธไว้พร้อมที่จะเข้าสงครามประมาณสี่หมื่นคนได้ข้ามไปต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์เพื่อทำศึก ไปถึงที่ราบเขตเมืองเยรีโค
ยชว 4.19 ประชาชนได้ขึ้นจากจอร์แดนในวันที่สิบเดือนที่หนึ่ง ไปตั้งค่ายอยู่ที่กิลกาล ริมเขตเมืองเยรีโคข้างทิศตะวันออก
ยชว 16.3 แล้วลงไปทางทิศตะวันตกถึงเขตของคนยาฟเลที ไกลไปจนเขตเมืองเบธโฮโรนล่างถึงเมืองเกเซอร์ไปสิ้นสุดลงที่ทะเล
วนฉ 7.22 เมื่อเขาเป่าแตรทั้งสามร้อยอันนั้น พระเยโฮวาห์ทรงบันดาลให้เขาฆ่าฟันกันทั่วทุกกอง กองทัพก็แตกตื่นหนีไปถึงตำบลเบธชิทธาห์ทางไปเมืองเศเรราห์ไกลไปจนถึงเขตเมืองอาเบลเมโฮลาห์ที่ตำบลทับบาท
มธ 15.39 พระองค์ตรัสสั่งให้ประชาชนไปแล้ว ก็เสด็จลงเรือมาถึงเขตเมืองมักดาลา
มธ 16.13 ครั้นพระเยซูเสด็จเข้าไปในเขตเมืองซีซารียาฟีลิปปี พระองค์จึงตรัสถามพวกสาวกของพระองค์ว่า “คนทั้งหลายพูดกันว่าเราซึ่งเป็นบุตรมนุษย์คือผู้ใด”
มก 8.10 ในทันใดนั้น พระองค์ก็เสด็จลงเรือกับเหล่าสาวกของพระองค์ มาถึงเขตเมืองดาลมานูธา
ลก 6.17 แล้วพระองค์กับอัครสาวกก็ลงมายืน ณ ที่ราบแห่งหนึ่ง พร้อมกับหมู่สาวกของพระองค์ และประชาชนเป็นอันมากซึ่งมาจากทั่วแคว้นยูเดีย กรุงเยรูซาเล็ม และจากตำบลชายทะเลในเขตเมืองไทระและเมืองไซดอน เพื่อจะฟังพระองค์และให้พระองค์ทรงรักษาโรคของเขา
กจ 13.51 ฝ่ายเปาโลกับบารนาบัสจึงสะบัดผงคลีดินจากเท้าของท่านออกเพื่อต่อว่าพวกเขา แล้วก็ไปยังเขตเมืองอิโคนียูม

เข่นฆ่า ( 4 )
1พกษ 11.24 เมื่อดาวิดเข่นฆ่าชาวโศบาห์เขาก็รวบรวมผู้คนให้อยู่กับเขา กลายเป็นหัวหน้าของกองปล้น และเขาทั้งหลายก็ไปยังเมืองดามัสกัสอาศัยอยู่ที่นั่น และครอบครองเมืองดามัสกัส
สดด 17.9 ให้พ้นจากคนชั่วผู้ล้างผลาญและจากศัตรูผู้คอยเข่นฆ่าซึ่งล้อมข้าพระองค์ไว้โดยรอบ
อสค 21.10 ลับให้คมเพื่อจะเข่นฆ่า ขัดมันไว้เพื่อจะให้วาววับ เราจะร่าเริงหรือ ดาบนั้นได้ประมาทไม้เรียวแห่งบุตรชายของเรา เหมือนต้นไม้ทุกอย่าง
อสค 21.15 เพื่อว่าใจของเขาจะละลาย และเพื่อซากปรักหักพังของเขาจะทวีคูณขึ้นอีก เราได้จ่อดาบนั้นไปที่ประตูเมืองทั้งหลายของเขาแล้ว เออ ทำเสียเหมือนอย่างกับฟ้าแลบ เขาขัดมันเพื่อจะเข่นฆ่า

เข็ม ( 3 )
มธ 19.24 เราบอกท่านทั้งหลายอีกว่า ตัวอูฐจะลอดรูเข็มก็ง่ายกว่าคนมั่งมีจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้า”
มก 10.25 ตัวอูฐจะลอดรูเข็มก็ง่ายกว่าคนมั่งมีจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้า”
ลก 18.25 เพราะว่าตัวอูฐจะรอดรูเข็มก็ง่ายกว่าคนมั่งมีจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้า”

เข็มกลัด ( 1 )
อพย 35.22 เขาจึงพากันมาทั้งชายและหญิง บรรดาผู้มีน้ำใจสมัครนำมาซึ่งเข็มกลัด ตุ้มหู แหวนตราและกำไล เป็นทองรูปพรรณทั้งนั้น คือทุกคนนำทองคำมาแกว่งไปแกว่งมาถวายพระเยโฮวาห์

เข็มขัด ( 4 )
1ซมอ 18.4 โยนาธานก็ถอดเสื้อคลุมออกมอบให้แก่ดาวิดพร้อมทั้งเครื่องแต่งตัว ดาบ คันธนู และเข็มขัดด้วย
2ซมอ 20.8 เมื่อเขาทั้งหลายมาถึงศิลาใหญ่ที่อยู่ในเมืองกิเบโอน อามาสาก็มาพบกับเขาทั้งหลาย ฝ่ายโยอาบสวมเครื่องแต่งกายทหารมีเข็มขัดติดดาบที่อยู่ในฝักคาดอยู่ที่บั้นเอว เมื่อท่านเดินไปดาบก็ตกลง
สดด 109.19 ให้เหมือนเครื่องแต่งกายที่คลุมเขาอยู่ เหมือนเข็มขัดที่คาดเขาไว้เสมอ
อสค 23.15 มีเข็มขัดคาดเอว มีผ้าโพกศีรษะชายห้อยอยู่ ทุกคนเป็นเหมือนนายทหาร เป็นรูปชาวบาบิโลน ซึ่งแผ่นดินเดิมของเขาคือเคลเดีย

เข้มแข็ง ( 144 )
อพย 1.20 เพราะฉะนั้น พระเจ้าทรงโปรดปรานนางผดุงครรภ์นั้น พลไพร่ยิ่งทวีมากขึ้น และมีกำลังเข้มแข็งมาก
อพย 6.1 พระเยโฮวาห์จึงตรัสกับโมเสสว่า “บัดนี้เจ้าจะได้เห็นเหตุการณ์ซึ่งเราจะกระทำแก่ฟาโรห์ คือด้วยมืออันทรงฤทธิ์ เขาจะปล่อยพลไพร่ไป และด้วยมืออันเข้มแข็ง เขาจะไล่พลไพร่ออกจากแผ่นดินของเขา”
กดว 13.19 ดูว่าแผ่นดินที่เขาอาศัยอยู่เป็นอย่างไรบ้าง เป็นแผ่นดินที่ดีหรือเลวอย่างไร และบ้านเมืองที่เขาอาศัยอยู่เป็นอย่างไร เป็นเต็นท์หรือเป็นป้อมปราการที่เข้มแข็ง
กดว 20.20 แต่ท่านตอบว่า “เจ้าจะยกผ่านไปไม่ได้” แล้วเอโดมก็ยกพลเป็นอันมากมาต่อสู้เขาทั้งหลายด้วยมืออันเข้มแข็ง
กดว 21.24 และอิสราเอลได้ประหารท่านเสียด้วยคมดาบ ยึดเอาแผ่นดินของท่านจากแม่น้ำอารโนนจนถึงแถวยับบอก ไกลไปจนถึงแดนคนอัมโมนเพราะว่าพรมแดนของคนอัมโมนเข้มแข็ง
กดว 22.6 ฉะนั้น ขอเชิญมาเถิด บัดนี้ขอสาปแช่งชนชาตินี้ให้แก่ข้าพเจ้า เพราะเขาเข้มแข็งกว่าข้าพเจ้ามาก ชะรอยข้าพเจ้าจะสามารถรบชนะเขาและขับไล่เขาออกไปจากแผ่นดินได้ เพราะข้าพเจ้าทราบอยู่ว่า ถ้าท่านอวยพรแก่ผู้ใด ผู้นั้นจะเป็นไปตามพรนั้น และท่านสาปแช่งผู้ใด ผู้นั้นก็ถูกสาปแช่ง”
กดว 24.21 และเขามองดูคนเคไนต์ และกล่าวกลอนภาษิตของเขาว่า “ที่อาศัยของท่านเข้มแข็งมาก และรังของท่านก็วางอยู่ในศิลา
พบญ 3.28 แต่เจ้าจงกำชับโยชูวา จงสนับสนุนและชูใจของเขาให้เข้มแข็ง เพราะเขาจะต้องนำหน้าชนชาตินี้ข้ามไป และจะให้เขาทั้งหลายเข้าถือกรรมสิทธิ์ในแผ่นดินที่เจ้าแลเห็นนั้น’
พบญ 11.8 เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงรักษาบัญญัติทั้งสิ้นซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาแก่ท่านทั้งหลายในวันนี้ เพื่อท่านทั้งหลายจะเข้มแข็ง และเข้าไปยึดครองแผ่นดินซึ่งท่านทั้งหลายกำลังจะข้ามไปครอบครองนั้นมาเป็นกรรมสิทธิ์
พบญ 28.52 เขาจะล้อมท่านไว้ทุกประตูเมืองจนกำแพงสูงและเข้มแข็งซึ่งท่านไว้วางใจนั้นพังทลายลงทั่วแผ่นดินของท่าน คือเขาจะล้อมท่านไว้ทุกประตูเมืองทั่วแผ่นดินของท่านซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน
พบญ 31.6 จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่ากลัวหรืออย่าครั่นคร้ามเขาเลย เพราะว่าผู้ที่ไปกับท่านคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน พระองค์จะไม่ทรงปล่อยท่านให้ล้มเหลวหรือทอดทิ้งท่านเสีย”
พบญ 31.7 แล้วโมเสสเรียกโยชูวาเข้ามาและกล่าวแก่ท่านท่ามกลางสายตาของบรรดาคนอิสราเอลว่า “จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด เพราะท่านจะต้องไปกับชนชาตินี้เข้าไปในแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงปฏิญาณแก่บรรพบุรุษว่าจะประทานแก่เขา ท่านจงกระทำให้เขาได้แผ่นดินนั้นมาเป็นมรดก
พบญ 31.23 พระองค์ตรัสสั่งโยชูวาบุตรชายนูนว่า “จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด เพราะเจ้าจะนำคนอิสราเอลเข้าไปในแผ่นดินซึ่งเราปฏิญาณว่าจะให้แก่เขา เราจะอยู่กับเจ้า”
ยชว 1.6 จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด เพราะเจ้าจะกระทำให้ชนชาตินี้แบ่งมรดกในแผ่นดินนั้น ซึ่งเราปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของเขาทั้งหลายว่าจะยกให้เขา
ยชว 1.7 เพียงแต่จงเข้มแข็งและกล้าหาญยิ่งเถิด ระวังที่จะกระทำตามพระราชบัญญัติทั้งหมดซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของเราได้บัญชาเจ้าไว้นั้น อย่าหลีกเลี่ยงจากพระราชบัญญัตินั้นไปทางขวามือหรือทางซ้าย เพื่อว่าเจ้าจะไปในถิ่นฐานใด เจ้าจะได้รับความสำเร็จอย่างดี
ยชว 1.9 เราสั่งเจ้าไว้แล้วมิใช่หรือว่า จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่าตกใจหรือคร้ามกลัวเลย เพราะว่าเจ้าไปในถิ่นฐานใด พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าทรงสถิตกับเจ้า”
ยชว 1.18 ผู้ใดที่ขัดขืนคำบัญชาของท่าน และไม่เชื่อฟังถ้อยคำของท่าน ไม่ว่าท่านจะบัญชาเขาอย่างไร ผู้นั้นจะต้องถึงตาย ขอเพียงให้เข้มแข็งและกล้าหาญเถิด”
ยชว 10.25 และโยชูวากล่าวแก่เขาว่า “อย่ากลัวหรือขยาดเลย จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด เพราะว่าพระเยโฮวาห์จะทรงกระทำแก่บรรดาศัตรูของท่านซึ่งท่านสู้รบอย่างนี้แหละ”
ยชว 14.12 ฉะนั้นบัดนี้ขอมอบแดนเทือกเขานี้ ซึ่งพระเยโฮวาห์ตรัสในวันนั้นให้แก่ข้าพเจ้า เพราะท่านได้ยินในวันนั้นแล้วว่าคนอานาคอยู่ที่นั่น มีหัวเมืองใหญ่ที่มีกำแพงล้อมอย่างเข้มแข็ง ชะรอยพระเยโฮวาห์จะทรงสถิตกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะขับไล่เขาออกไปได้ ดังที่พระเยโฮวาห์ตรัสไว้แล้ว”
ยชว 17.13 ต่อมาเมื่อคนอิสราเอลเข้มแข็งขึ้นแล้ว ก็ได้เกณฑ์คนคานาอันให้ทำงานโยธา และมิได้ขับไล่ให้เขาออกไปเสียทีเดียว
วนฉ 1.28 อยู่มาเมื่อคนอิสราเอลมีกำลังเข้มแข็งขึ้นก็บังคับคนคานาอันให้ทำงานโยธา แต่มิได้ขับไล่ให้เขาออกไปเสียอย่างสิ้นเชิง
วนฉ 6.2 และมือของคนมีเดียนก็มีชัยชนะต่ออิสราเอล เพราะเหตุคนมีเดียน ประชาชนอิสราเอลจึงต้องทำที่หลบซ่อนซึ่งอยู่ในภูเขาให้แก่ตนเอง คือถ้ำ และที่กำบังที่เข้มแข็ง
1ซมอ 22.4 และท่านก็นำบิดามารดามาเฝ้ากษัตริย์แห่งโมอับ และท่านทั้งสองก็อาศัยอยู่กับกษัตริย์ตลอดเวลาที่ดาวิดอยู่ในที่กำบังเข้มแข็ง
1ซมอ 22.5 แล้วผู้พยากรณ์กาดกล่าวแก่ดาวิดว่า “ท่านอย่าอยู่ในที่กำบังเข้มแข็งนี้เลย จงไปเข้าในแผ่นดินยูดาห์เถิด” ดาวิดก็ไปและมาอยู่ในป่าเฮเรท
1ซมอ 23.14 และดาวิดก็อยู่ในถิ่นทุรกันดารตามที่กำบังเข้มแข็งและอยู่ในแดนเทือกเขาแห่งถิ่นทุรกันดารศิฟ และซาอูลก็ทรงแสวงหาท่านทุกวัน แต่พระเจ้ามิได้มอบท่านไว้ในมือของซาอูล
1ซมอ 23.16 และโยนาธานราชบุตรของซาอูลได้ลุกขึ้นไปหาดาวิดที่ป่าไม้ และสนับสนุนมือของเธอให้เข้มแข็งขึ้นในพระเจ้า
1ซมอ 23.19 ฝ่ายชาวศิฟได้ขึ้นไปหาซาอูลที่กิเบอาห์ทูลว่า “ดาวิดได้ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางพวกข้าพระองค์ ในที่กำบังเข้มแข็งที่ป่าไม้ บนเนินเขาฮาคีลาห์ ซึ่งอยู่ใต้เยชิโมนมิใช่หรือ
1ซมอ 23.29 ดาวิดก็ขึ้นไปจากที่นั่นไปอาศัยอยู่ในที่กำบังเข้มแข็งแห่งเอนเกดี
1ซมอ 24.22 ดาวิดก็ปฏิญาณให้แก่ซาอูล แล้วซาอูลก็เสด็จกลับพระราชวัง และดาวิดกับคนของท่านก็ขึ้นไปยังที่กำบังเข้มแข็ง
2ซมอ 2.7 เพราะฉะนั้น บัดนี้ขอให้มือของท่านทั้งหลายเข้มแข็ง และขอให้ท่านกล้าหาญเถิด เพราะว่าซาอูลเจ้านายของท่านสิ้นพระชนม์เสียแล้ว และวงศ์วานยูดาห์ได้เจิมตั้งข้าพเจ้าไว้เป็นกษัตริย์เหนือเขาทั้งหลาย”
2ซมอ 3.1 มีสงครามระหว่างวงศ์วานของซาอูลกับวงศ์วานของดาวิดอยู่นาน และดาวิดก็เข้มแข็งยิ่งขึ้น ฝ่ายวงศ์วานของซาอูลก็เสื่อมกำลังลงทุกที
2ซมอ 3.6 อยู่มาเมื่อมีการต่อสู้ระหว่างวงศ์วานของซาอูลกับวงศ์วานของดาวิดนั้น อับเนอร์ได้กระทำตัวให้เข้มแข็งยิ่งขึ้นในวงศ์วานของซาอูล
2ซมอ 5.7 แต่อย่างไรก็ตาม ดาวิดทรงยึดที่กำบังเข้มแข็งชื่อศิโยนได้ คือเมืองของดาวิด
2ซมอ 5.9 ดาวิดก็ทรงประทับอยู่ในที่กำบังเข้มแข็ง และเรียกที่นั้นว่า เมืองของดาวิด และดาวิดทรงสร้างเมืองรอบตั้งแต่มิลโลเข้าไปข้างใน
2ซมอ 5.17 เมื่อคนฟีลิสเตียได้ยินข่าวว่าดาวิดได้รับการเจิมเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล คนฟีลิสเตียทั้งปวงก็ขึ้นไปแสวงหาดาวิด แต่ดาวิดทรงได้ยินข่าวนั้นจึงลงไปยังที่กำบังเข้มแข็ง
2ซมอ 11.16 อยู่มาเมื่อโยอาบกำลังเฝ้าล้อมเมืองอยู่ ท่านจึงกำหนดให้อุรีอาห์ไปรบตรงที่ที่ท่านทราบว่ามีทหารเข้มแข็งมาก
2ซมอ 16.21 อาหิโธเฟลกราบทูลอับซาโลมว่า “จงเข้าหานางสนมของเสด็จพ่อของพระองค์ซึ่งเสด็จพ่อทิ้งไว้ให้เฝ้าพระราชวัง เมื่อคนอิสราเอลทั้งสิ้นได้ยินว่าพระองค์เป็นที่เกลียดชังของเสด็จพ่อแล้ว บรรดามือเหล่านั้นที่อยู่ฝ่ายพระองค์ก็จะเข้มแข็งขึ้น”
2ซมอ 22.3 เป็นพระเจ้าซึ่งทรงเป็นศิลาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะวางใจในพระองค์ พระองค์เป็นโล่และเป็นเขาแห่งความรอดของข้าพเจ้า เป็นที่กำบังเข้มแข็งและเป็นที่ลี้ภัยของข้าพเจ้า องค์พระผู้ช่วยของข้าพระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดจากความทารุณ
2ซมอ 22.18 พระองค์ทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้นจากศัตรูที่เข้มแข็งของข้าพเจ้า จากบรรดาผู้ที่เกลียดชังข้าพเจ้า เพราะเขามีกำลังมากกว่าข้าพเจ้า
2ซมอ 22.33 พระเจ้าทรงเป็นป้อมเข้มแข็งของข้าพเจ้า และพระองค์ทรงทำให้ทางของข้าพเจ้าสมบูรณ์
2ซมอ 23.14 คราวนั้นดาวิดประทับในที่กำบังเข้มแข็ง และทหารประจำป้อมของฟีลิสเตียก็อยู่ที่เบธเลเฮม
1พกษ 2.2 “เรากำลังจะเป็นไปตามทางของโลกแล้ว จงเข้มแข็งและสำแดงตัวของเจ้าให้เป็นลูกผู้ชาย
1พศด 11.5 ชาวเมืองเยบุสทูลดาวิดว่า “พระองค์จะเสด็จเข้ามาที่นี่ไม่ได้” อย่างไรก็ดี ดาวิดทรงยึดที่กำบังเข้มแข็งแห่งศิโยนไว้ คือนครของดาวิด
1พศด 11.7 และดาวิดทรงประทับอยู่ในที่กำบังเข้มแข็ง เพราะฉะนั้นเขาจึงเรียกว่า นครของดาวิด
1พศด 11.16 คราวนั้นดาวิดอยู่ในที่กำบังเข้มแข็ง และทหารประจำป้อมของคนฟีลิสเตียอยู่ที่เบธเลเฮม
1พศด 12.8 มีทแกล้วทหารและผู้ชำนาญศึกจากคนกาดหนีเข้าไปหาดาวิด ณ ที่กำบังเข้มแข็งในถิ่นทุรกันดาร เขาชำนาญโล่และดั้ง ผู้ซึ่งหน้าของเขาเหมือนหน้าสิงโต และผู้ซึ่งรวดเร็วเหมือนละมั่งบนภูเขา
1พศด 12.16 มีคนเบนยามินและยูดาห์มาเฝ้าดาวิด ณ ที่กำบังเข้มแข็ง
1พศด 22.13 แล้วเจ้าจะทำสำเร็จ ถ้าเจ้าจะระมัดระวังที่จะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และคำตัดสินซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงบัญชากับโมเสสเกี่ยวกับอิสราเอล จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่ากลัวและอย่าท้อถอยเลย
1พศด 28.10 บัดนี้จงฟังให้ดี เพราะว่าพระเยโฮวาห์ทรงเลือกเจ้าให้สร้างพระนิเวศเพื่อเป็นสถานบริสุทธิ์ จงเข้มแข็งและทำให้สำเร็จเถิด”
1พศด 28.20 แล้วดาวิดตรัสกับซาโลมอนโอรสของพระองค์ว่า “จงเข้มแข็งและกล้าหาญ และทำให้สำเร็จเถิด อย่ากลัวเลย อย่าขยาด เพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้า คือพระเจ้าของข้าจะทรงสถิตกับเจ้า พระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้เจ้าล้มเหลวหรือทอดทิ้งเจ้า จนกว่างานทั้งสิ้นสำหรับงานปรนนิบัติแห่งพระนิเวศของพระเยโฮวาห์จะสำเร็จ
2พศด 11.17 เขาทั้งหลายได้เสริมกำลังให้ราชอาณาจักรของยูดาห์ และได้กระทำให้เรโหโบอัมโอรสของซาโลมอนเข้มแข็งอยู่ได้สามปี เพราะเขาทั้งหลายดำเนินอยู่สามปีในวิถีของดาวิดและซาโลมอน
2พศด 17.6 พระทัยของพระองค์เข้มแข็งขึ้นในพระมรรคาของพระเยโฮวาห์ พระองค์จึงทรงกำจัดปูชนียสถานสูงและบรรดาเสารูปเคารพเสียจากยูดาห์
2พศด 25.8 แต่ถ้าพระองค์คาดหมายว่าโดยวิธีนี้ พระองค์จะเข้มแข็งพอที่จะเข้าสงคราม พระเจ้าจะทรงเหวี่ยงพระองค์ลงต่อหน้าศัตรู เพราะว่าพระเจ้าทรงฤทธิ์ที่จะช่วยไว้หรือทิ้งไปได้”
2พศด 26.8 ชนอัมโมนได้ถวายบรรณาการแก่อุสซียาห์ และพระนามของพระองค์ก็แผ่แพร่ออกไปถึงเขตแดนอียิปต์ เพราะพระองค์ทรงเข้มแข็งขึ้นยิ่งนัก
2พศด 26.15 ในเยรูซาเล็มพระองค์ทรงกระทำเครื่องกลไกโดยคนช่างประดิษฐ์ทำขึ้น ไว้บนป้อมและตามมุม เพื่อยิงลูกธนูและโยนก้อนหินใหญ่ๆ และพระนามของพระองค์ก็ลือไปไกล เพราะพระองค์ทรงรับความช่วยเหลืออย่างมหัศจรรย์จนพระองค์เข้มแข็ง
2พศด 28.20 ฉะนั้นทิกลัทปิเลเสอร์กษัตริย์แห่งอัสซีเรียจึงยกขึ้นมาต่อสู้กับพระองค์ และกระทำให้พระองค์ทุกข์พระทัยแทนที่จะสนับสนุนพระองค์ให้เข้มแข็ง
2พศด 31.4 และพระองค์ทรงบัญชาประชาชนผู้อยู่ในเยรูซาเล็มให้บริจาคส่วนที่เป็นของปุโรหิตและของคนเลวี เพื่อเขาเหล่านั้นจะได้เข้มแข็งขึ้นในพระราชบัญญัติของพระเยโฮวาห์
2พศด 32.7 “จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่ากลัวหรือท้อถอยต่อกษัตริย์อัสซีเรีย และต่อกองทัพทั้งสิ้นที่อยู่กับเขานั้น เพราะมีผู้หนึ่งฝ่ายเราที่ใหญ่กว่าฝ่ายเขา
อสร 10.4 จงลุกขึ้นเถิด เพราะเป็นหน้าที่ของท่าน และเราทั้งหลายจะสนับสนุนท่าน ขอจงเข้มแข็งและกระทำเสียเถิด”
โยบ 39.28 มันอยู่ที่หน้าผาและทำรังของมันบนชะโงกผาและบนที่เข้มแข็ง
สดด 18.2 พระเยโฮวาห์เป็นศิลา ป้อมปราการ และผู้ช่วยให้พ้นของข้าพระองค์ เป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ เป็นกำลังของข้าพระองค์ ซึ่งข้าพระองค์จะวางใจในพระองค์ เป็นดั้ง เป็นเขาแห่งความรอดของข้าพระองค์ เป็นที่กำบังเข้มแข็งของข้าพระองค์
สดด 18.17 พระองค์ทรงช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากศัตรูเข้มแข็งของข้าพเจ้า และจากบรรดาผู้ที่เกลียดชังข้าพเจ้า เพราะเขามีอานุภาพเกินกว่าข้าพเจ้ามากนัก
สดด 18.45 ชนต่างด้าวนั้นจะเสียกำลังใจ และตัวสั่นออกมาจากที่กำบังอันเข้มแข็งของเขาเหล่านั้น
สดด 27.1 พระเยโฮวาห์ทรงเป็นความสว่างและความรอดของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะกลัวผู้ใดเล่า พระเยโฮวาห์ทรงเป็นที่กำบังเข้มแข็งแห่งชีวิตข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะต้องเกรงใคร
สดด 27.14 จงรอคอยพระเยโฮวาห์ จงเข้มแข็ง และพระองค์จะทำให้จิตใจของท่านกล้าหาญ เออ จงรอคอยพระเยโฮวาห์เถิด
สดด 30.7 ข้าแต่พระเยโฮวาห์ โดยความโปรดปรานของพระองค์ พระองค์ทรงสถาปนาข้าพระองค์ไว้อย่างภูเขาเข้มแข็ง พอพระองค์ทรงซ่อนพระพักตร์ของพระองค์ ข้าพระองค์ก็ลำบากใจ
สดด 31.2 ขอทรงเงี่ยพระกรรณให้แก่ข้าพระองค์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดอย่างรวดเร็วเถิด ขอพระองค์ทรงเป็นศิลาเข้มแข็งของข้าพระองค์ เป็นป้อมปราการเข้มแข็งที่จะช่วยข้าพระองค์ให้รอด
สดด 31.21 สาธุการแด่พระเยโฮวาห์ เพราะพระองค์ทรงสำแดงความเมตตาอย่างมหัศจรรย์ของพระองค์แก่ข้าพระองค์ในเมืองเข้มแข็ง
สดด 31.24 จงเข้มแข็ง และพระองค์จะให้ใจของท่านกล้าหาญเถิด ท่านทั้งปวงผู้หวังใจในพระเยโฮวาห์
สดด 35.10 กระดูกทั้งสิ้นของข้าพระองค์จะกล่าวว่า “ข้าแต่พระเยโฮวาห์ มีผู้ใดเหมือนพระองค์ พระองค์ผู้ทรงช่วยคนยากจนให้พ้นจากผู้ที่เข้มแข็งเกินกำลังของเขา คนยากจนและคนขัดสนจากผู้ที่ปล้นเขา”
สดด 60.12 โดยพระเจ้าเอง ข้าพเจ้าทั้งหลายจะปฏิบัติอย่างเข้มแข็ง พระองค์เองจะทรงเป็นผู้เหยียบคู่อริของข้าพเจ้าทั้งหลายลง
สดด 61.3 เพราะพระองค์ทรงเป็นที่ลี้ภัยของข้าพระองค์ เป็นหอคอยเข้มแข็งที่ประจันหน้าศัตรู
สดด 71.3 ขอพระองค์ทรงเป็นที่ลี้ภัยเข้มแข็งของข้าพระองค์ที่ข้าพระองค์อาศัยเสมอ พระองค์ทรงบัญชาที่จะช่วยข้าพระองค์ให้รอด เพราะพระองค์ทรงเป็นศิลาและเป็นป้อมปราการของข้าพระองค์
สดด 71.7 ข้าพระองค์เป็นที่อัศจรรย์ใจของคนเป็นอันมาก แต่พระองค์ทรงเป็นที่ลี้ภัยเข้มแข็งของข้าพระองค์
สดด 76.5 ด้วยว่าคนใจเข้มแข็งถูกริบข้าวของ เขาหลับไป ชายฉกรรจ์ทั้งสิ้นไม่สามารถใช้มือของเขาได้อีกแล้ว
สดด 89.40 พระองค์ได้พังรั้วต้นไม้ของท่านทั้งสิ้น พระองค์ทรงให้ที่กำบังเข้มแข็งของท่านปรักหักพังลง
สดด 94.22 แต่พระเยโฮวาห์ทรงเป็นที่กำบังเข้มแข็งของข้าพเจ้าแล้ว และพระเจ้าของข้าพเจ้าเป็นศิลาที่ลี้ภัยของข้าพเจ้า
สดด 108.13 โดยพระเจ้าเอง ข้าพเจ้าทั้งหลายจะปฏิบัติอย่างเข้มแข็ง พระองค์เองจะทรงเป็นผู้เหยียบคู่อริของข้าพเจ้าทั้งหลายลง
สดด 136.12 ด้วยพระหัตถ์เข้มแข็งและพระกรที่เหยียดออก เพราะความเมตตาของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์
สดด 144.2 ทรงเป็นความดีและป้อมปราการของข้าพระองค์ เป็นที่กำบังเข้มแข็ง และเป็นผู้ช่วยให้พ้นของข้าพระองค์ เป็นโล่ของข้าพระองค์ และเป็นผู้ซึ่งข้าพระองค์วางใจอยู่ ผู้ทรงปราบชนชาติทั้งหลายไว้ใต้ข้าพระองค์
สภษ 10.15 ทรัพย์ศฤงคารของคนมั่งคั่งคือเมืองเข้มแข็งของเขา แต่ความยากจนของคนจนคือความพินาศของเขา
สภษ 18.10 พระนามของพระเยโฮวาห์เป็นป้อมเข้มแข็ง คนชอบธรรมวิ่งเข้าไปในนั้นและปลอดภัย
สภษ 18.11 ทรัพย์ศฤงคารของเศรษฐีเป็นเมืองเข้มแข็งของเขา และเป็นเหมือนกำแพงสูงตามความคิดเห็นของเขา
สภษ 18.19 การคืนดีกันกับพี่น้องที่สะดุดกันแล้วก็ยากกว่าการชนะเมืองที่เข้มแข็ง และการทะเลาะวิวาทของเขาเหมือนดาลที่ป้อมปราการ
สภษ 21.22 ปราชญ์ปีนเข้าไปในเมืองของคนที่มีกำลัง และพังทลายที่กำบังเข้มแข็งที่เขาไว้วางใจ
สภษ 31.17 เธอคาดเอวของเธอด้วยกำลัง และกระทำให้แขนของเธอเข้มแข็ง
พซม 8.6 จงแนบดิฉันไว้ดุจดวงตราแขวนอยู่ที่ใจของเธอ ประดุจดวงตราบนแขนของเธอ เพราะความรักนั้นเข้มแข็งอย่างความตาย ความริษยาก็ดุเดือดเหมือนแดนคนตาย และประกายแห่งความริษยานั้นก็คือประกายเพลิง คือประกายเพลิงที่แสนรุนแรง
อสย 2.15 สู้หอคอยสูงทุกแห่ง และสู้กำแพงที่เข้มแข็งทุกแห่ง
อสย 8.11 เพราะว่าพระเยโฮวาห์ตรัสดังต่อไปนี้กับข้าพเจ้าพร้อมด้วยพระหัตถ์อันเข้มแข็ง และทรงสั่งสอนข้าพเจ้ามิให้ดำเนินในทางของชนชาตินี้ พระองค์ตรัสว่า
อสย 17.9 ในวันนั้นเมืองเข้มแข็งของเขาจะเป็นเหมือนกิ่งไม้ที่ถูกทอดทิ้ง และกิ่งก้านที่อยู่บนยอดสูงที่สุดซึ่งเขาได้ละทิ้งเพราะคนอิสราเอล และจะมีการรกร้างว่างเปล่าเกิดขึ้น
อสย 17.10 เพราะเจ้าได้หลงลืมพระเจ้าแห่งความรอดของเจ้าเสีย และมิได้จดจำศิลาเข้มแข็งของเจ้า ฉะนั้นเจ้าจะปลูกต้นอภิรมย์ และจะปลูกกิ่งไม้ต่างชาติลง
อสย 18.2 ซึ่งส่งทูตไปโดยทางทะเล โดยเรือต้นกกบนน้ำ กล่าวว่า “เจ้าผู้สื่อสารที่รวดเร็วเอ๋ย จงไปยังประชาชาติที่ถูกกระจัดกระจายและถูกปอกเปลือก ยังชนชาติที่เขากลัวตั้งแต่แรก ยังประชาชาติที่เข้มแข็งและมักชนะ ซึ่งแผ่นดินของเขามีแม่น้ำแบ่ง”
อสย 18.7 ในครั้งนั้น เขาจะนำของกำนัลมาถวายแด่พระเยโฮวาห์จอมโยธาจากชนชาติที่ถูกกระจัดกระจายและถูกปอกเปลือก จากชนชาติที่เขากลัวตั้งแต่แรก จากประชาชาติที่เข้มแข็งและมักชนะ ซึ่งแผ่นดินของเขามีแม่น้ำแบ่ง ยังสถานที่แห่งพระนามของพระเยโฮวาห์จอมโยธา คือภูเขาศิโยน
อสย 23.4 โอ ไซดอนเอ๋ย จงอับอายเถิด เพราะทะเลได้พูดแล้ว ที่กำบังเข้มแข็งของทะเลพูดว่า “ข้ามิได้ปวดครรภ์ หรือข้ามิได้คลอดบุตร ข้ามิได้เลี้ยงดูคนหนุ่ม หรือบำรุงเลี้ยงหญิงพรหมจารี”
อสย 23.11 พระองค์ทรงเหยียดพระหัตถ์ของพระองค์เหนือทะเล พระองค์ทรงบันดาลให้บรรดาราชอาณาจักรสั่นสะเทือน พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาเกี่ยวกับเรื่องเมืองแห่งพาณิชย์ เพื่อจะทำลายที่กำบังเข้มแข็งของมันเสีย
อสย 23.14 บรรดากำปั่นแห่งทารชิชเอ๋ย จงคร่ำครวญเถิด เพราะว่าที่กำบังเข้มแข็งของเจ้าถูกทิ้งร้างเสียแล้ว
อสย 25.4 เพราะพระองค์ได้ทรงเป็นที่กำบังเข้มแข็งของคนยากจน ทรงเป็นที่กำบังเข้มแข็งของคนขัดสนเมื่อเขาทุกข์ใจ ทรงเป็นที่ลี้ภัยจากพายุ และเป็นร่มกันความร้อน เมื่อลมของผู้ที่ทารุณก็เหมือนพายุพัดกำแพง
อสย 26.1 ในวันนั้นเขาจะร้องเพลงนี้ในแผ่นดินยูดาห์ “เรามีเมืองเข้มแข็งเมืองหนึ่ง พระเจ้าจะทรงตั้งความรอดไว้เป็นกำแพงและป้อมปราการ
อสย 29.7 และมวลประชาชาติทั้งสิ้นที่ต่อสู้กับอารีเอล ทั้งหมดที่ต่อสู้กับเขาและกับที่กำบังเข้มแข็งของเขาและทำให้เขาทุกข์ใจ จะเป็นเหมือนความฝันคือนิมิตในกลางคืน
อสย 30.2 ผู้ออกเดินลงไปยังอียิปต์ โดยไม่ขอคำปรึกษาจากปากของเรา เพื่อจะเข้มแข็งในการลี้ภัยกับฟาโรห์ เพื่อจะวางใจในร่มเงาของอียิปต์
อสย 40.10 ดูเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจะเสด็จมาด้วยพระหัตถ์อันเข้มแข็ง และพระกรของพระองค์จะครอบครองเพื่อพระองค์ ดูเถิด รางวัลของพระองค์ก็อยู่กับพระองค์ และพระราชกิจของพระองค์ก็อยู่ต่อพระพักตร์พระองค์
อสย 40.26 จงแหงนหน้าขึ้นดูว่า ผู้ใดสร้างสิ่งเหล่านี้ พระองค์ผู้ทรงนำบริวารออกมาตามจำนวน เรียกชื่อมันทั้งหมดโดยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ และเพราะพระองค์ทรงฤทธิ์เข้มแข็งจึงไม่ขาดไปสักดวงเดียว
ยรม 16.19 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ กำลังและที่กำบังเข้มแข็งของข้าพระองค์ เป็นที่ลี้ภัยของข้าพระองค์ในวันยากลำบาก บรรดาประชาชาติจะมาเฝ้าพระองค์จากที่สุดปลายโลก และทูลว่า “บรรพบุรุษของเราไม่ได้รับมรดกอันใด นอกจากสิ่งมุสา สิ่งไร้ค่า และสิ่งซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรในตัว
ยรม 32.21 พระองค์ได้ทรงนำอิสราเอลประชาชนของพระองค์ออกจากแผ่นดินอียิปต์ ด้วยหมายสำคัญและการมหัศจรรย์ และด้วยพระหัตถ์เข้มแข็ง และพระกรที่เหยียดออก และด้วยความสยดสยองยิ่งนัก
ยรม 48.18 ธิดาผู้อาศัยเมืองดีโบนเอ๋ย จงลงมาจากสง่าราศีของเจ้าและนั่งด้วยความกระหาย เพราะผู้ทำลายโมอับจะมาสู้กับเจ้า เขาจะทำลายที่กำบังเข้มแข็งของเจ้า
ยรม 48.41 เคริโอทถูกจับไปและที่กำบังเข้มแข็งถูกยึด จิตใจของบรรดานักรบแห่งโมอับในวันนั้นจะเหมือนจิตใจของผู้หญิงซึ่งกำลังเจ็บครรภ์คลอดบุตร
ยรม 50.34 พระผู้ไถ่ของเขาทั้งหลายนั้นเข้มแข็ง พระนามของพระองค์คือพระเยโฮวาห์จอมโยธา พระองค์จะทรงแก้คดีของเขาโดยตลอด เพื่อพระองค์จะประทานความสงบแก่แผ่นดิน แต่ประทานความไม่สงบแก่ชาวเมืองบาบิโลน
ยรม 50.41 ดูเถิด ชนชาติหนึ่งจะมาจากทิศเหนือ ประชาชาติอันเข้มแข็งชาติหนึ่ง และกษัตริย์หลายองค์จะถูกเร้าให้มาจากที่ไกลที่สุดของแผ่นดินโลก
ยรม 51.12 จงปักธงชิดบรรดากำแพงของบาบิโลน จงทำคนเฝ้าให้เข้มแข็ง จงตั้งคนยามขึ้น จงเตรียมกองซุ่มไว้ เพราะพระเยโฮวาห์ทรงวางแผนงานและทั้งทรงกระทำเสร็จตามที่พระองค์ทรงลั่นพระวาจาเกี่ยวด้วยชาวเมืองบาบิโลน
ยรม 51.30 นักรบแห่งบาบิโลนหยุดรบแล้ว เขาทั้งหลายค้างอยู่ในที่กำบังเข้มแข็งของเขา กำลังของเขาถอยเสียแล้ว เขาทั้งหลายกลายเป็นเหมือนผู้หญิง เขาได้เผาที่อาศัยของเธอแล้ว และดาลประตูของเธอก็หัก
ยรม 51.53 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า ถึงแม้บาบิโลนจะขึ้นไปบนสวรรค์ และถึงแม้เธอจะสร้างป้อมกันที่สูงอันเข้มแข็งของเธอไว้ บรรดาผู้ทำลายก็ยังจะมาจากเราเหนือเธอ
อสค 19.9 เขาล่ามโซ่ขังมันไว้ในกรง และนำมันมายังกษัตริย์บาบิโลน เขาก็ขังมันไว้ในที่กำบังเข้มแข็ง เพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงของมันอีกที่บนภูเขาแห่งอิสราเอล
อสค 24.25 และเจ้า บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ในวันที่เราเอาที่กำบังเข้มแข็งของเขาทั้งหลายออกไป อันเป็นความร่าเริงและเป็นสง่าราศีของเขา สิ่งที่พอตาของเขาทั้งหลาย และสิ่งที่ใจของเขาปรารถนา ทั้งบุตรชายและบุตรสาวของเขา
อสค 30.21 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เราได้กระทำให้แขนของฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์หัก และดูเถิด ไม่มีผู้ใดพันแขนให้ ไม่มีผู้ใดเอาผ้ามาพันแขนเพื่อจะรักษาให้หาย เพื่อให้เข้มแข็งที่จะถือดาบได้อีก
อสค 33.27 จงกล่าวเช่นนี้แก่เขาว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด บรรดาคนที่อยู่ในที่ร้างเปล่าจะต้องล้มลงด้วยดาบ และคนที่อยู่ที่พื้นทุ่ง เราจะมอบให้เป็นอาหารแก่สัตว์ป่า และบรรดาคนเหล่านั้นที่อยู่ในที่กำบังเข้มแข็งและอยู่ในถ้ำจะตายด้วยโรคระบาด
อสค 34.16 เราจะเที่ยวหาแกะที่หาย และเราจะนำแกะที่ถูกขับไล่ออกไปกลับมาอีก และเราจะพันผ้าให้แกะที่กระดูกหัก และเราจะเสริมกำลังแกะที่อ่อนเพลีย แต่ตัวที่อ้วนและเข้มแข็งเราจะทำลาย เราจะเลี้ยงเขาด้วยความยุติธรรม
ดนล 4.22 โอ ข้าแต่กษัตริย์ นี่คือพระองค์เอง ผู้ทรงเจริญและเข้มแข็ง ความยิ่งใหญ่ของพระองค์ได้เจริญ และขึ้นไปถึงฟ้าสวรรค์ และราชอาณาจักรของพระองค์ก็ไปถึงสุดปลายพิภพ
ดนล 10.19 ท่านกล่าวว่า “โอ บุรุษผู้เป็นที่รักอย่างยิ่ง อย่ากลัวเลย สันติภาพจงมีแก่ท่าน จงเข้มแข็ง เออ จงเข้มแข็งเถิด” เมื่อท่านพูดกับข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้ามีกำลังขึ้นและกล่าวว่า “ขอเจ้านายของข้าพเจ้าจงพูดไปเถิด เพราะท่านได้ให้กำลังข้าพเจ้าแล้ว”
ดนล 11.2 และบัดนี้ ข้าพเจ้าจะสำแดงความจริงให้แก่ท่าน ดูเถิด จะมีกษัตริย์อีกสามองค์ขึ้นมาในเปอร์เซีย และองค์ที่สี่จะร่ำรวยยิ่งกว่าองค์อื่นทั้งหมดเป็นอันมาก เมื่อท่านเข้มแข็งด้วยทรัพย์ร่ำรวยของท่านแล้ว ท่านก็จะปลุกปั่นให้ทุกคนต่อสู้กับราชอาณาจักรกรีก
ดนล 11.5 แล้วกษัตริย์แห่งถิ่นใต้จะเข้มแข็ง แต่เจ้านายของท่านองค์หนึ่งจะเข้มแข็งกว่าท่านและมีอำนาจ และราชอำนาจของท่านจะเป็นราชอำนาจมหึมา
ดนล 11.23 ตั้งแต่เวลาที่กระทำพันธมิตรกับเขา เขาจะประกอบกิจล่อลวงอยู่เสมอ เพราะเขาจะขึ้นมา และเขาจะเข้มแข็งขึ้นด้วยชนชาติเล็กๆ
ดนล 11.24 เขาจะยกมาอย่างสงบในส่วนของประเทศที่อุดมที่สุด และเขาจะกระทำสิ่งที่ปู่ทวดหรือบรรพบุรุษของเขาไม่กระทำ เขาจะเอาทรัพย์ที่ปล้นมา ของที่ริบมาได้ และทรัพย์สมบัติมาแจกกัน เขาจะออกอุบายต่อสู้กับที่กำบังเข้มแข็ง แต่ก็ชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น
ดนล 11.25 และเขาจะปลุกปั่นกำลังของเขา และความกล้าหาญของเขาด้วยกองทัพมหึมายกไปสู้กับกษัตริย์แห่งถิ่นใต้ และกษัตริย์แห่งถิ่นใต้จะทำสงครามด้วยกองทัพเข้มแข็งมหึมายิ่งนัก แต่เขาก็สู้ไม่ได้ เพราะจะมีการปองร้ายเขา
ยอล 2.5 เหมือนอย่างเสียงรถรบ มันจะเผ่นอยู่บนยอดเขา เหมือนเสียงแตกของเปลวไฟที่ไหม้ตอข้าว เหมือนกองทัพอันเข้มแข็งแปรกระบวนเข้าสงคราม
ยอล 3.16 พระเยโฮวาห์จะทรงเปล่งพระสิงหนาทจากศิโยน ทรงเปล่งพระสุรเสียงของพระองค์จากเยรูซาเล็ม และฟ้าสวรรค์กับพิภพก็จะหวั่นไหว แต่พระเยโฮวาห์จะทรงเป็นความหวังแห่งประชาชนของพระองค์ เป็นที่กำบังเข้มแข็งของคนอิสราเอล
อมส 2.16 และผู้ที่มีใจกล้าหาญท่ามกลางผู้มีกำลังเข้มแข็งเหล่านั้นจะหนีไปอย่างเปลือยเปล่าในวันนั้น” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
มคา 4.7 คนที่ขาพิการนั้นเราจะให้เป็นคนที่เหลืออยู่ คนที่ถูกทิ้งไปนั้นเราจะให้เป็นชนชาติที่เข้มแข็ง และพระเยโฮวาห์จะทรงปกครองเหนือเขาที่ภูเขาศิโยนตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนชั่วกัลปาวสาน
มคา 5.11 และเราจะขจัดเมืองให้หมดไปจากแผ่นดินของเจ้า และจะโค่นที่กำบังเข้มแข็งของเจ้าทั้งสิ้น
นฮม 1.7 พระเยโฮวาห์ประเสริฐ ทรงเป็นที่กำบังเข้มแข็งในวันยากลำบาก พระองค์ทรงรู้จักผู้ที่วางใจในพระองค์
ศคย 8.22 เออ ชนชาติทั้งหลายเป็นอันมาก และบรรดาประชาชาติที่เข้มแข็งจะมาแสวงหาพระเยโฮวาห์จอมโยธาในเยรูซาเล็ม และทูลขอจำเพาะพระพักตร์พระเยโฮวาห์
ศคย 9.12 นักโทษที่มีความหวังเอ๋ย จงกลับไปยังที่กำบังเข้มแข็งของเจ้า คือวันนี้เองเราประกาศว่า เราจะคืนแก่เจ้าสองเท่า
ศคย 10.12 เราจะกระทำให้เขาทั้งหลายเข้มแข็งในพระเยโฮวาห์ และเขาจะดำเนินในพระนามของพระองค์” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ลก 2.40 พระกุมารนั้นก็เจริญวัย และเข้มแข็งขึ้นฝ่ายจิตวิญญาณ ประกอบด้วยสติปัญญา และพระคุณของพระเจ้าอยู่กับท่าน
กจ 16.5 คริสตจักรทั้งปวงจึงเข้มแข็งในความเชื่อ และจำนวนคนได้ทวีขึ้นทุกๆวัน
รม 15.1 พวกเราที่มีความเชื่อเข้มแข็งควรจะอดทนในข้อเคร่งหยุมๆหยิมๆของคนที่อ่อนในความเชื่อ และไม่ควรกระทำสิ่งใดตามความพอใจของตัวเอง
1คร 1.25 เพราะความเขลาของพระเจ้ายังมีปัญญายิ่งกว่าปัญญาของมนุษย์ และความอ่อนแอของพระเจ้าก็ยังเข้มแข็งยิ่งกว่ากำลังของมนุษย์
1คร 16.13 ท่านทั้งหลายจงระมัดระวัง จงมั่นคงในความเชื่อ จงเป็นลูกผู้ชายแท้ จงเข้มแข็ง
2คร 13.9 เพราะว่าเมื่อเราอ่อนแอ และท่านเข้มแข็ง เราก็ยินดี เราปรารถนาสิ่งนี้ด้วย คือขอให้ท่านทั้งหลายบรรลุถึงความบริบูรณ์
2ทธ 2.1 เหตุฉะนั้นบุตรของข้าพเจ้าเอ๋ย จงเข้มแข็งขึ้นในพระคุณซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์
ฮบ 13.9 อย่าหลงไปตามคำสอนต่างๆที่แปลกๆ เพราะว่าเป็นการดีอยู่แล้วที่จะให้กำลังใจเข้มแข็งขึ้นด้วยพระคุณ ไม่ใช่ด้วยอาหารการกิน ซึ่งไม่เคยเป็นประโยชน์แก่คนที่หลงติดอยู่เลย

เข้มงวด ( 4 )
อสย 28.22 เพราะฉะนั้นบัดนี้อย่าเป็นคนเยาะเย้ย เกลือกว่าพันธะของเจ้าจะเข้มงวดขึ้น เพราะข้าพเจ้าได้ยินกฤษฎีกากำหนดการทำลายเหนือแผ่นดินทั้งสิ้นแล้ว จากองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจอมโยธา
ดนล 3.22 ฉะนั้นเพราะว่าคำรับสั่งของกษัตริย์นั้นเข้มงวดมากและเตาไฟก็ร้อนจัด เปลวไฟจึงได้ฆ่าคนที่โยนชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก
รม 11.22 เหตุฉะนั้นจงพิจารณาดูทั้งพระกรุณาและความเข้มงวดของพระเจ้า กับคนเหล่านั้นที่หลงผิดไปก็ทรงเข้มงวด แต่สำหรับท่านก็ทรงพระกรุณา ถ้าท่านจะดำรงอยู่ในพระกรุณาของพระองค์นั้นต่อไป มิฉะนั้นท่านก็จะถูกตัดออกเสียด้วย
ยก 3.1 พี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้า อย่าเป็นอาจารย์กันมากมายหลายคนนักเลย เพราะท่านก็รู้ว่าเราทั้งหลายจะได้รับการพิพากษาที่เข้มงวดกว่าผู้อื่น

เขม้น ( 10 )
มก 14.67 เมื่อเห็นเปโตรผิงไฟอยู่เขาเขม้นดู แล้วพูดว่า “เจ้าได้อยู่กับเยซูชาวนาซาเร็ธด้วย”
กจ 1.10 เมื่อเขากำลังเขม้นดูฟ้าเวลาที่พระองค์เสด็จขึ้นไปนั้น ดูเถิด มีชายสองคนสวมเสื้อขาวมายืนอยู่ข้างๆเขา
กจ 1.11 สองคนนั้นกล่าวว่า “ชาวกาลิลีเอ๋ย เหตุไฉนท่านจึงยืนเขม้นดูฟ้าสวรรค์ พระเยซูองค์นี้ซึ่งทรงรับไปจากท่านขึ้นไปยังสวรรค์นั้น จะเสด็จมาอีกเหมือนอย่างที่ท่านทั้งหลายได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์นั้น”
กจ 3.5 คนขอทานนั้นได้เขม้นดู คาดว่าจะได้อะไรจากท่าน
กจ 3.12 พอเปโตรแลเห็นก็กล่าวแก่คนเหล่านั้นว่า “ท่านชนชาติอิสราเอลทั้งหลาย ไฉนท่านพากันประหลาดใจด้วยคนนี้ เขม้นดูเราทำไมเล่า อย่างกับว่าเราทำให้คนนี้เดินได้โดยฤทธิ์หรือความบริสุทธิ์ของเราเอง
กจ 7.55 ฝ่ายสเทเฟนประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้เขม้นดูสวรรค์เห็นสง่าราศีของพระเจ้า และพระเยซูทรงยืนอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า
กจ 10.4 และเมื่อโครเนลิอัสเขม้นดูทูตสวรรค์องค์นั้นด้วยความตกใจกลัว จึงถามว่า “นี่เป็นประการใด พระองค์เจ้าข้า” ทูตสวรรค์จึงตอบท่านว่า “คำอธิษฐานและทานของท่านนั้น ได้ขึ้นไปเป็นที่ระลึกถึงจำเพาะพระพักตร์พระเจ้าแล้ว
กจ 11.6 ครั้นข้าพเจ้าเขม้นดูผ้านั้น ข้าพเจ้าได้พินิจพิจารณาก็ได้เห็นสัตว์สี่เท้าของแผ่นดิน กับสัตว์ป่า สัตว์เลื้อยคลาน และนกที่อยู่ในท้องฟ้า
กจ 13.9 แต่เซาโล (ที่มีชื่ออีกว่าเปาโล) ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์เขม้นดูเอลีมาส
กจ 14.9 คนนั้นได้ฟังเปาโลพูดอยู่ เปาโลจึงเขม้นดูเขา เห็นว่ามีความเชื่อพอจะหายโรคได้

เขมือบ ( 2 )
ยรม 10.25 ขอพระองค์ทรงเทพระพิโรธของพระองค์เหนือเหล่าประชาชาติที่ไม่รู้จักพระองค์ และเหนือครอบครัวทั้งหลายที่ไม่ออกพระนามของพระองค์ เพราะเขาทั้งหลายได้กินเผาผลาญยาโคบ เขาได้เขมือบท่านเสีย และเผาผลาญท่านเสีย และกระทำที่อาศัยของท่านให้รกร้างไป
ฮชย 7.7 ทุกคนก็ร้อนอย่างกับเตาอบ และเขมือบผู้ครอบครองทั้งหลายของเขา กษัตริย์ทั้งสิ้นของเขาก็ล้มลง แต่ไม่มีใครท่ามกลางพวกเขาที่ร้องถึงเรา

เขย่า ( 11 )
โยบ 15.33 เขาจะเป็นประดุจเถาองุ่นที่เขย่าลูกองุ่นดิบของมัน และเป็นดังต้นมะกอกเทศที่สลัดทิ้งดอกบานของมัน
อสย 14.16 บรรดาผู้ที่เห็นเจ้าจะเพ่งดูเจ้า และจะพิจารณาเจ้าว่า ‘ชายคนนี้หรือที่ทำให้โลกสั่นสะเทือน ผู้เขย่าราชอาณาจักรทั้งหลาย
อสย 24.13 เพราะจะเป็นเช่นนี้อยู่ท่ามกลางแผ่นดิน ท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย อย่างกับเมื่อต้นมะกอกเทศถูกเขย่า อย่างเมื่อการเก็บเล็มตามเถาองุ่นสิ้นลง
อสย 24.19 โลกแตกสลายสิ้นเชิงแล้ว โลกแตกเป็นเสี่ยงๆ โลกถูกเขย่าอย่างรุนแรง
อสย 66.12 เพราะพระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “ดูเถิด เราจะนำสันติภาพมาถึงเธออย่างกับแม่น้ำ และสง่าราศีของบรรดาประชาชาติ เหมือนลำน้ำที่กำลังล้น และเจ้าทั้งหลายจะได้ดูด เธอจะอุ้มเจ้าไว้ที่บั้นเอวของเธอ และเขย่าขึ้นลงที่เข่าของเธอ
อสค 21.21 เพราะว่ากษัตริย์บาบิโลนยืนอยู่ที่ทางแพร่ง อยู่ที่หัวถนนสองถนน กำหนดหาคำทำนาย ท่านเขย่าลูกธนู และปรึกษาเทราฟิม ท่านมองดูที่ตับ
นฮม 3.12 ป้อมปราการทั้งสิ้นของเจ้าจะเป็นเหมือนต้นมะเดื่อที่มีผลมะเดื่อสุกรุ่นแรก ถ้าถูกเขย่า ก็จะร่วงลงไปในปากของผู้กิน
ฮบก 3.6 พระองค์ประทับยืนและทรงวัดพิภพ พระองค์ทอดพระเนตรและทรงเขย่าประชาชาติ แล้วภูเขานิรันดร์กาลก็กระจัดกระจาย และเนินเขาอันอยู่เนืองนิตย์ก็ยุบต่ำลง การเสด็จของพระองค์ก็เป็นดังดั้งเดิม
ฮกก 2.6 เพราะพระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า อีกสักหน่อย เราจะเขย่าท้องฟ้าและโลก ทะเลและแผ่นดินแห้ง อีกครั้งหนึ่ง
ฮกก 2.7 เราจะเขย่าประชาชาติทั้งสิ้น เพื่อความปรารถนาของประชาชาติทั้งสิ้นจะได้เข้ามา เราจะบรรจุนิเวศนี้ให้เต็มด้วยสง่าราศี พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้แหละ
ฮกก 2.21 “จงพูดกับเศรุบบาเบลผู้ว่าราชการเมืองยูดาห์ว่า เราจะเขย่าท้องฟ้าและโลก

เขลา ( 7 )
พบญ 32.21 เขาทำให้เราอิจฉาด้วยสิ่งที่ไม่ใช่พระเจ้า เขาได้ยั่วโทสะเราด้วยความไร้ประโยชน์ของเขา ดังนั้นเราจึงทำให้เขาอิจฉาผู้ที่ไม่ใช่ชนชาติ และจะยั่วโทสะเขาด้วยประชาชาติที่เขลาชาติหนึ่ง
สภษ 30.2 แท้จริงข้าก็เขลากว่าคนใด ข้าไม่มีความเข้าใจอย่างมนุษย์
อสย 44.25 ผู้กระทำให้ลางของคนมุสาไม่ขลัง และกระทำพวกโหรให้บ้าๆบอๆ ผู้หันคนฉลาดให้กลับหลัง และกระทำให้ความรู้ของเขาเขลาไป
ฮชย 13.13 การเจ็บท้องเตือนให้เขาคลอดก็มาถึงเขา แต่เขาเป็นบุตรชายที่เขลา ด้วยว่าถึงเวลาแล้วเขาก็ไม่ยอมคลอดออกมา
รม 10.19 ข้าพเจ้าจึงถามว่า “พลอิสราเอลไม่เข้าใจหรือ” ตอนแรกโมเสสกล่าวว่า ‘เราจะให้เจ้าทั้งหลายอิจฉาผู้ที่ไม่ใช่ชนชาติ เราจะยั่วโทสะเจ้าด้วยประชาชาติที่เขลาชาติหนึ่ง’
รม 11.25 เหตุฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่านทั้งหลายเขลาในข้อความลึกลับนี้ เกลือกว่าท่านจะอวดรู้ คือเรื่องที่บางคนในพวกอิสราเอลได้มีใจแข็งกระด้างไป จนถึงพวกต่างชาติได้เข้ามาครบจำนวน
กท 3.3 ท่านเขลาถึงเพียงนั้นทีเดียวหรือ เมื่อท่านเริ่มต้นด้วยพระวิญญาณแล้ว บัดนี้ท่านจะให้สำเร็จด้วยเนื้อหนังหรือ

เขว ( 2 )
กจ 13.10 และพูดว่า “โอ เจ้าเป็นคนเต็มไปด้วยอุบายและใจร้ายทุกอย่าง ลูกของพญามาร เป็นศัตรูต่อบรรดาความชอบธรรม เจ้าจะไม่หยุดพยายามทำทางตรงขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้เขวไปหรือ
2ทธ 2.14 จงเตือนเขาทั้งหลายให้ระลึกถึงข้อความเหล่านี้ และกำชับเขาต่อพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ให้เขาโต้เถียงกันในเรื่องถ้อยคำ ซึ่งไม่เป็นประโยชน์เลย แต่กลับเป็นเหตุให้คนที่ฟังเขวไป

เขา ( 17093 )
ปฐก 1.26; ปฐก 1.27; ปฐก 1.28; ปฐก 2.7; ปฐก 2.18; ปฐก 2.19; ปฐก 2.21; ปฐก 2.24; ปฐก 2.25; ปฐก 3.6; ปฐก 3.7; ปฐก 3.8; ปฐก 3.9; ปฐก 3.10; ปฐก 3.16; ปฐก 3.20; ปฐก 3.21; ปฐก 3.22; ปฐก 3.23; ปฐก 4.1; ปฐก 4.2; ปฐก 4.4; ปฐก 4.5; ปฐก 4.8; ปฐก 4.9; ปฐก 4.15; ปฐก 4.17; ปฐก 4.20; ปฐก 4.21; ปฐก 4.23; ปฐก 4.25; ปฐก 4.26; ปฐก 5.2; ปฐก 5.3; ปฐก 5.4; ปฐก 5.5; ปฐก 5.8; ปฐก 5.11; ปฐก 5.14; ปฐก 5.17; ปฐก 5.20; ปฐก 5.24; ปฐก 5.27; ปฐก 5.29; ปฐก 5.31; ปฐก 6.1; ปฐก 6.2; ปฐก 6.3; ปฐก 6.4; ปฐก 6.5; ปฐก 6.7; ปฐก 6.13; ปฐก 7.14; ปฐก 8.21; ปฐก 9.1; ปฐก 9.20; ปฐก 9.22; ปฐก 9.23; ปฐก 9.24; ปฐก 9.25; ปฐก 9.26; ปฐก 9.27; ปฐก 10.1; ปฐก 10.5; ปฐก 10.8; ปฐก 10.9; ปฐก 10.10; ปฐก 10.14; ปฐก 10.20; ปฐก 10.21; ปฐก 10.25; ปฐก 10.30; ปฐก 10.31; ปฐก 10.32; ปฐก 11.2; ปฐก 11.3; ปฐก 11.4; ปฐก 11.6; ปฐก 11.7; ปฐก 11.8; ปฐก 11.9; ปฐก 11.28; ปฐก 11.31; ปฐก 12.5; ปฐก 12.12; ปฐก 12.20; ปฐก 13.6; ปฐก 13.11; ปฐก 14.6; ปฐก 14.12; ปฐก 14.16; ปฐก 14.24; ปฐก 15.13; ปฐก 15.14; ปฐก 15.16; ปฐก 16.6; ปฐก 16.9; ปฐก 16.11; ปฐก 16.12; ปฐก 17.7; ปฐก 17.8; ปฐก 17.9; ปฐก 17.14; ปฐก 17.19; ปฐก 17.20; ปฐก 17.23; ปฐก 17.25; ปฐก 18.1; ปฐก 18.2; ปฐก 18.7; ปฐก 18.8; ปฐก 18.9; ปฐก 18.18; ปฐก 18.19; ปฐก 18.20; ปฐก 18.21; ปฐก 18.26; ปฐก 18.29; ปฐก 18.30; ปฐก 18.31; ปฐก 18.32; ปฐก 19.1; ปฐก 19.2; ปฐก 19.3; ปฐก 19.5; ปฐก 19.6; ปฐก 19.8; ปฐก 19.9; ปฐก 19.11; ปฐก 19.13; ปฐก 19.14; ปฐก 19.16; ปฐก 19.17; ปฐก 19.21; ปฐก 19.26; ปฐก 19.30; ปฐก 19.33; ปฐก 19.35; ปฐก 19.37; ปฐก 19.38; ปฐก 20.5; ปฐก 20.7; ปฐก 20.8; ปฐก 20.11; ปฐก 20.13; ปฐก 20.17; ปฐก 21.12; ปฐก 21.13; ปฐก 21.17; ปฐก 21.18; ปฐก 21.20; ปฐก 21.21; ปฐก 22.2; ปฐก 22.9; ปฐก 22.12; ปฐก 22.13; ปฐก 22.14; ปฐก 22.19; ปฐก 22.21; ปฐก 22.24; ปฐก 23.6; ปฐก 23.8; ปฐก 23.9; ปฐก 23.10; ปฐก 23.16; ปฐก 23.18; ปฐก 24.3; ปฐก 24.6; ปฐก 24.9; ปฐก 24.10; ปฐก 24.11; ปฐก 24.12; ปฐก 24.15; ปฐก 24.18; ปฐก 24.19; ปฐก 24.20; ปฐก 24.24; ปฐก 24.30; ปฐก 24.32; ปฐก 24.33; ปฐก 24.34; ปฐก 24.37; ปฐก 24.41; ปฐก 24.47; ปฐก 24.53; ปฐก 24.54; ปฐก 24.56; ปฐก 24.57; ปฐก 24.58; ปฐก 24.59; ปฐก 24.60; ปฐก 24.66; ปฐก 25.6; ปฐก 25.10; ปฐก 25.16; ปฐก 25.18; ปฐก 25.25; ปฐก 25.26; ปฐก 25.28; ปฐก 25.30; ปฐก 25.33; ปฐก 25.34; ปฐก 26.11; ปฐก 26.20; ปฐก 26.21; ปฐก 26.22; ปฐก 26.27; ปฐก 26.28; ปฐก 26.30; ปฐก 26.31; ปฐก 26.32; ปฐก 27.1; ปฐก 27.13; ปฐก 27.14; ปฐก 27.16; ปฐก 27.18; ปฐก 27.22; ปฐก 27.23; ปฐก 27.24; ปฐก 27.26; ปฐก 27.27; ปฐก 27.31; ปฐก 27.32; ปฐก 27.33; ปฐก 27.36; ปฐก 27.37; ปฐก 27.39; ปฐก 27.41; ปฐก 27.42; ปฐก 27.44; ปฐก 27.45; ปฐก 28.1; ปฐก 28.6; ปฐก 28.9; ปฐก 28.11; ปฐก 28.12; ปฐก 28.17; ปฐก 28.19; ปฐก 29.2; ปฐก 29.4; ปฐก 29.5; ปฐก 29.6; ปฐก 29.8; ปฐก 29.9; ปฐก 29.12; ปฐก 29.13; ปฐก 29.14; ปฐก 29.20; ปฐก 29.30; ปฐก 29.33; ปฐก 29.34; ปฐก 29.35; ปฐก 30.2; ปฐก 30.15; ปฐก 30.16; ปฐก 30.20; ปฐก 30.26; ปฐก 30.27; ปฐก 30.28; ปฐก 30.29; ปฐก 30.35; ปฐก 30.36; ปฐก 30.38; ปฐก 31.1; ปฐก 31.7; ปฐก 31.14; ปฐก 31.18; ปฐก 31.24; ปฐก 31.37; ปฐก 31.43; ปฐก 31.46; ปฐก 31.48; ปฐก 31.49; ปฐก 31.54; ปฐก 31.55; ปฐก 32.1; ปฐก 32.2; ปฐก 32.4; ปฐก 32.6; ปฐก 32.7; ปฐก 32.11; ปฐก 32.19; ปฐก 32.20; ปฐก 32.21; ปฐก 32.24; ปฐก 32.28; ปฐก 32.31; ปฐก 33.2; ปฐก 33.3; ปฐก 33.4; ปฐก 33.7; ปฐก 33.11; ปฐก 33.13; ปฐก 33.17; ปฐก 33.18; ปฐก 34.2; ปฐก 34.3; ปฐก 34.8; ปฐก 34.13; ปฐก 34.14; ปฐก 34.18; ปฐก 34.19; ปฐก 34.21; ปฐก 34.22; ปฐก 34.23; ปฐก 34.26; ปฐก 34.27; ปฐก 34.28; ปฐก 34.29; ปฐก 34.30; ปฐก 34.31; ปฐก 35.4; ปฐก 35.5; ปฐก 35.6; ปฐก 35.8; ปฐก 35.9; ปฐก 35.10; ปฐก 35.11; ปฐก 35.13; ปฐก 35.14; ปฐก 35.16; ปฐก 35.18; ปฐก 35.19; ปฐก 36.7; ปฐก 36.16; ปฐก 36.17; ปฐก 36.19; ปฐก 36.24; ปฐก 36.30; ปฐก 37.4; ปฐก 37.8; ปฐก 37.14; ปฐก 37.16; ปฐก 37.17; ปฐก 37.18; ปฐก 37.19; ปฐก 37.22; ปฐก 37.23; ปฐก 37.25; ปฐก 37.27; ปฐก 37.31; ปฐก 37.33; ปฐก 37.35; ปฐก 38.5; ปฐก 38.7; ปฐก 38.9; ปฐก 38.10; ปฐก 38.11; ปฐก 38.14; ปฐก 38.18; ปฐก 38.20; ปฐก 38.21; ปฐก 38.25; ปฐก 38.26; ปฐก 39.1; ปฐก 39.2; ปฐก 39.5; ปฐก 39.11; ปฐก 39.21; ปฐก 40.4; ปฐก 40.6; ปฐก 40.8; ปฐก 40.15; ปฐก 40.21; ปฐก 40.23; ปฐก 41.8; ปฐก 41.11; ปฐก 41.12; ปฐก 41.13; ปฐก 41.14; ปฐก 42.4; ปฐก 42.7; ปฐก 42.9; ปฐก 42.10; ปฐก 42.12; ปฐก 42.14; ปฐก 42.18; ปฐก 42.21; ปฐก 42.23; ปฐก 42.24; ปฐก 42.25; ปฐก 42.26; ปฐก 42.27; ปฐก 42.29; ปฐก 42.35; ปฐก 42.36; ปฐก 42.37; ปฐก 42.38; ปฐก 43.2; ปฐก 43.7; ปฐก 43.8; ปฐก 43.9; ปฐก 43.11; ปฐก 43.12; ปฐก 43.18; ปฐก 43.19; ปฐก 43.23; ปฐก 43.24; ปฐก 43.25; ปฐก 43.26; ปฐก 43.27; ปฐก 43.28; ปฐก 43.32; ปฐก 43.34; ปฐก 44.1; ปฐก 44.2; ปฐก 44.3; ปฐก 44.4; ปฐก 44.6; ปฐก 44.7; ปฐก 44.11; ปฐก 44.13; ปฐก 44.14; ปฐก 44.15; ปฐก 44.16; ปฐก 44.17; ปฐก 44.28; ปฐก 44.29; ปฐก 45.4; ปฐก 45.21; ปฐก 45.24; ปฐก 45.26; ปฐก 45.27; ปฐก 46.5; ปฐก 46.6; ปฐก 46.17; ปฐก 46.28; ปฐก 46.32; ปฐก 47.1; ปฐก 47.3; ปฐก 47.4; ปฐก 47.6; ปฐก 47.17; ปฐก 47.18; ปฐก 47.20; ปฐก 47.21; ปฐก 47.22; ปฐก 47.27; ปฐก 48.6; ปฐก 48.9; ปฐก 48.10; ปฐก 48.16; ปฐก 48.19; ปฐก 49.4; ปฐก 49.5; ปฐก 49.6; ปฐก 49.7; ปฐก 49.9; ปฐก 49.10; ปฐก 49.11; ปฐก 49.12; ปฐก 49.13; ปฐก 49.15; ปฐก 49.19; ปฐก 49.20; ปฐก 49.21; ปฐก 49.23; ปฐก 49.24; ปฐก 49.27; ปฐก 49.28; ปฐก 49.29; ปฐก 49.31; ปฐก 50.3; ปฐก 50.8; ปฐก 50.10; ปฐก 50.11; ปฐก 50.12; ปฐก 50.15; ปฐก 50.19; ปฐก 50.21; ปฐก 50.26; อพย 1.7; อพย 1.10; อพย 1.11; อพย 1.14; อพย 1.16; อพย 1.17; อพย 1.18; อพย 1.19; อพย 1.21; อพย 2.10; อพย 2.11; อพย 2.14; อพย 2.20; อพย 2.23; อพย 2.24; อพย 2.25; อพย 3.1; อพย 3.4; อพย 3.7; อพย 3.8; อพย 3.9; อพย 3.13; อพย 3.16; อพย 3.18; อพย 3.22; อพย 4.1; อพย 4.5; อพย 4.8; อพย 4.9; อพย 4.14; อพย 4.15; อพย 4.16; อพย 4.18; อพย 4.21; อพย 4.23; อพย 4.27; อพย 4.31; อพย 5.1; อพย 5.3; อพย 5.4; อพย 5.5; อพย 5.7; อพย 5.8; อพย 5.9; อพย 5.14; อพย 5.16; อพย 5.20; อพย 5.21; อพย 6.1; อพย 6.3; อพย 6.4; อพย 6.6; อพย 6.9; อพย 6.11; อพย 6.14; อพย 6.16; อพย 6.17; อพย 6.19; อพย 6.20; อพย 6.23; อพย 6.25; อพย 6.26; อพย 7.2; อพย 7.5; อพย 7.6; อพย 7.7; อพย 7.10; อพย 7.11; อพย 7.12; อพย 7.13; อพย 7.15; อพย 7.16; อพย 7.19; อพย 7.22; อพย 7.24; อพย 8.1; อพย 8.2; อพย 8.7; อพย 8.8; อพย 8.14; อพย 8.17; อพย 8.18; อพย 8.19; อพย 8.20; อพย 8.21; อพย 8.26; อพย 9.1; อพย 9.2; อพย 9.10; อพย 9.13; อพย 9.17; อพย 10.1; อพย 10.2; อพย 10.3; อพย 10.7; อพย 10.8; อพย 10.10; อพย 10.23; อพย 10.27; อพย 11.1; อพย 12.4; อพย 12.6; อพย 12.7; อพย 12.8; อพย 12.28; อพย 12.33; อพย 12.36; อพย 12.39; อพย 12.42; อพย 12.44; อพย 12.48; อพย 12.50; อพย 13.14; อพย 13.17; อพย 13.18; อพย 13.21; อพย 14.3; อพย 14.4; อพย 14.5; อพย 14.10; อพย 14.11; อพย 14.17; อพย 14.18; อพย 14.19; อพย 14.22; อพย 14.23; อพย 14.25; อพย 14.26; อพย 14.28; อพย 14.29; อพย 14.31; อพย 15.5; อพย 15.7; อพย 15.9; อพย 15.10; อพย 15.12; อพย 15.13; อพย 15.16; อพย 15.17; อพย 15.23; อพย 15.25; อพย 15.27; อพย 16.1; อพย 16.4; อพย 16.5; อพย 16.10; อพย 16.12; อพย 16.15; อพย 16.18; อพย 16.20; อพย 16.21; อพย 16.22; อพย 16.23; อพย 16.24; อพย 16.32; อพย 16.35; อพย 17.2; อพย 17.4; อพย 17.12; อพย 17.13; อพย 18.5; อพย 18.8; อพย 18.9; อพย 18.16; อพย 18.20; อพย 18.22; อพย 18.23; อพย 18.24; อพย 18.26; อพย 18.27; อพย 19.1; อพย 19.2; อพย 19.7; อพย 19.10; อพย 19.12; อพย 19.13; อพย 19.17; อพย 19.21; อพย 19.22; อพย 19.24; อพย 20.14; อพย 20.17; อพย 20.19; อพย 21.1; อพย 21.2; อพย 21.3; อพย 21.4; อพย 21.6; อพย 21.9; อพย 21.10; อพย 21.11; อพย 21.13; อพย 21.14; อพย 21.19; อพย 21.22; อพย 21.26; อพย 21.27; อพย 21.30; อพย 21.34; อพย 21.35; อพย 22.3; อพย 22.4; อพย 22.5; อพย 22.11; อพย 22.17; อพย 22.23; อพย 22.25; อพย 22.26; อพย 22.27; อพย 23.2; อพย 23.3; อพย 23.5; อพย 23.6; อพย 23.21; อพย 23.22; อพย 23.24; อพย 23.29; อพย 23.30; อพย 23.31; อพย 23.32; อพย 23.33; อพย 24.7; อพย 24.10; อพย 24.11; อพย 24.12; อพย 25.3; อพย 25.8; อพย 25.10; อพย 26.33; อพย 27.8; อพย 27.21; อพย 28.1; อพย 28.3; อพย 28.4; อพย 28.5; อพย 28.6; อพย 28.12; อพย 28.29; อพย 28.35; อพย 28.41; อพย 28.42; อพย 28.43; อพย 29.1; อพย 29.4; อพย 29.7; อพย 29.8; อพย 29.9; อพย 29.10; อพย 29.15; อพย 29.19; อพย 29.20; อพย 29.21; อพย 29.24; อพย 29.25; อพย 29.27; อพย 29.28; อพย 29.29; อพย 29.30; อพย 29.32; อพย 29.33; อพย 29.35; อพย 29.44; อพย 29.45; อพย 29.46; อพย 30.7; อพย 30.10; อพย 30.12; อพย 30.19; อพย 30.20; อพย 30.21; อพย 30.30; อพย 30.33; อพย 30.38; อพย 31.3; อพย 31.6; อพย 31.10; อพย 31.11; อพย 31.14; อพย 31.16; อพย 32.2; อพย 32.4; อพย 32.6; อพย 32.8; อพย 32.9; อพย 32.10; อพย 32.12; อพย 32.13; อพย 32.17; อพย 32.21; อพย 32.22; อพย 32.23; อพย 32.24; อพย 32.25; อพย 32.27; อพย 32.31; อพย 32.32; อพย 32.34; อพย 32.35; อพย 33.4; อพย 33.6; อพย 34.7; อพย 34.10; อพย 34.13; อพย 34.15; อพย 34.16; อพย 34.30; อพย 34.31; อพย 34.32; อพย 35.1; อพย 35.22; อพย 35.35; อพย 36.2; อพย 36.7; อพย 36.10; อพย 36.11; อพย 36.12; อพย 36.13; อพย 36.14; อพย 36.16; อพย 36.17; อพย 36.18; อพย 36.19; อพย 36.20; อพย 36.22; อพย 36.23; อพย 36.24; อพย 36.25; อพย 36.26; อพย 36.27; อพย 36.28; อพย 36.29; อพย 36.31; อพย 36.33; อพย 36.34; อพย 36.35; อพย 36.36; อพย 36.37; อพย 37.2; อพย 37.3; อพย 37.4; อพย 37.5; อพย 37.6; อพย 37.7; อพย 37.8; อพย 37.10; อพย 37.11; อพย 37.12; อพย 37.13; อพย 37.15; อพย 37.16; อพย 37.17; อพย 37.23; อพย 37.24; อพย 37.25; อพย 37.26; อพย 37.27; อพย 37.28; อพย 37.29; อพย 38.1; อพย 38.2; อพย 38.3; อพย 38.4; อพย 38.5; อพย 38.6; อพย 38.7; อพย 38.8; อพย 38.9; อพย 38.21; อพย 38.23; อพย 38.24; อพย 38.27; อพย 38.28; อพย 38.29; อพย 38.30; อพย 39.1; อพย 39.2; อพย 39.3; อพย 39.4; อพย 39.5; อพย 39.6; อพย 39.7; อพย 39.8; อพย 39.9; อพย 39.10; อพย 39.13; อพย 39.15; อพย 39.16; อพย 39.17; อพย 39.18; อพย 39.19; อพย 39.20; อพย 39.21; อพย 39.22; อพย 39.23; อพย 39.24; อพย 39.25; อพย 39.27; อพย 39.30; อพย 39.31; อพย 39.32; อพย 39.33; อพย 39.43; อพย 40.12; อพย 40.13; อพย 40.15; อพย 40.32; อพย 40.36; อพย 40.37; อพย 40.38; ลนต 1.2; ลนต 1.3; ลนต 1.4; ลนต 1.5; ลนต 1.6; ลนต 1.9; ลนต 1.11; ลนต 1.12; ลนต 1.17; ลนต 2.1; ลนต 2.3; ลนต 3.1; ลนต 3.2; ลนต 3.7; ลนต 3.8; ลนต 3.9; ลนต 3.12; ลนต 3.13; ลนต 3.14; ลนต 4.2; ลนต 4.3; ลนต 4.4; ลนต 4.7; ลนต 4.8; ลนต 4.13; ลนต 4.14; ลนต 4.18; ลนต 4.19; ลนต 4.20; ลนต 4.21; ลนต 4.22; ลนต 4.23; ลนต 4.24; ลนต 4.26; ลนต 4.27; ลนต 4.28; ลนต 4.29; ลนต 4.31; ลนต 4.32; ลนต 4.33; ลนต 4.35; ลนต 5.1; ลนต 5.2; ลนต 5.3; ลนต 5.4; ลนต 5.5; ลนต 5.6; ลนต 5.7; ลนต 5.8; ลนต 5.10; ลนต 5.11; ลนต 5.12; ลนต 5.13; ลนต 5.16; ลนต 5.17; ลนต 5.18; ลนต 5.19; ลนต 6.2; ลนต 6.4; ลนต 6.5; ลนต 6.7; ลนต 6.9; ลนต 6.16; ลนต 6.17; ลนต 6.20; ลนต 6.22; ลนต 6.25; ลนต 6.26; ลนต 7.12; ลนต 7.13; ลนต 7.14; ลนต 7.15; ลนต 7.16; ลนต 7.18; ลนต 7.29; ลนต 7.30; ลนต 7.31; ลนต 7.33; ลนต 7.34; ลนต 7.35; ลนต 7.36; ลนต 8.2; ลนต 8.6; ลนต 8.7; ลนต 8.12; ลนต 8.14; ลนต 8.18; ลนต 8.22; ลนต 8.23; ลนต 8.24; ลนต 8.27; ลนต 8.28; ลนต 8.30; ลนต 8.31; ลนต 8.36; ลนต 9.1; ลนต 9.5; ลนต 9.7; ลนต 9.9; ลนต 9.10; ลนต 9.11; ลนต 9.12; ลนต 9.16; ลนต 9.17; ลนต 9.18; ลนต 9.20; ลนต 9.23; ลนต 10.1; ลนต 10.2; ลนต 10.3; ลนต 10.4; ลนต 10.5; ลนต 10.7; ลนต 10.11; ลนต 10.12; ลนต 10.15; ลนต 10.16; ลนต 10.17; ลนต 10.19; ลนต 11.40; ลนต 13.2; ลนต 13.3; ลนต 13.5; ลนต 13.6; ลนต 13.7; ลนต 13.8; ลนต 13.9; ลนต 13.10; ลนต 13.11; ลนต 13.13; ลนต 13.14; ลนต 13.15; ลนต 13.16; ลนต 13.17; ลนต 13.20; ลนต 13.21; ลนต 13.22; ลนต 13.23; ลนต 13.25; ลนต 13.26; ลนต 13.27; ลนต 13.28; ลนต 13.30; ลนต 13.34; ลนต 13.35; ลนต 13.36; ลนต 13.37; ลนต 13.39; ลนต 13.40; ลนต 13.41; ลนต 13.42; ลนต 13.43; ลนต 13.44; ลนต 13.45; ลนต 13.46; ลนต 13.54; ลนต 14.2; ลนต 14.4; ลนต 14.7; ลนต 14.8; ลนต 14.9; ลนต 14.10; ลนต 14.13; ลนต 14.14; ลนต 14.16; ลนต 14.18; ลนต 14.19; ลนต 14.20; ลนต 14.21; ลนต 14.22; ลนต 14.23; ลนต 14.25; ลนต 14.28; ลนต 14.29; ลนต 14.30; ลนต 14.31; ลนต 14.36; ลนต 14.43; ลนต 14.45; ลนต 14.47; ลนต 14.49; ลนต 14.52; ลนต 14.53; ลนต 15.2; ลนต 15.3; ลนต 15.4; ลนต 15.5; ลนต 15.10; ลนต 15.13; ลนต 15.14; ลนต 15.15; ลนต 15.16; ลนต 15.24; ลนต 15.27; ลนต 15.31; ลนต 16.1; ลนต 16.2; ลนต 16.4; ลนต 16.5; ลนต 16.7; ลนต 16.11; ลนต 16.13; ลนต 16.14; ลนต 16.16; ลนต 16.17; ลนต 16.18; ลนต 16.20; ลนต 16.22; ลนต 16.23; ลนต 16.24; ลนต 16.25; ลนต 16.27; ลนต 16.28; ลนต 16.33; ลนต 16.34; ลนต 17.2; ลนต 17.4; ลนต 17.5; ลนต 17.7; ลนต 17.8; ลนต 17.10; ลนต 17.16; ลนต 18.3; ลนต 18.6; ลนต 18.10; ลนต 18.14; ลนต 18.30; ลนต 19.8; ลนต 19.13; ลนต 19.17; ลนต 19.21; ลนต 19.22; ลนต 19.31; ลนต 19.33; ลนต 19.34; ลนต 20.2; ลนต 20.3; ลนต 20.4; ลนต 20.5; ลนต 20.6; ลนต 20.9; ลนต 20.10; ลนต 20.12; ลนต 20.13; ลนต 20.17; ลนต 20.18; ลนต 20.19; ลนต 20.20; ลนต 20.21; ลนต 20.23; ลนต 21.1; ลนต 21.3; ลนต 21.4; ลนต 21.5; ลนต 21.6; ลนต 21.7; ลนต 21.8; ลนต 21.11; ลนต 21.12; ลนต 21.13; ลนต 21.14; ลนต 21.15; ลนต 21.17; ลนต 21.21; ลนต 21.22; ลนต 21.23; ลนต 22.2; ลนต 22.3; ลนต 22.4; ลนต 22.5; ลนต 22.6; ลนต 22.7; ลนต 22.8; ลนต 22.9; ลนต 22.14; ลนต 22.16; ลนต 23.4; ลนต 23.30; ลนต 23.43; ลนต 24.9; ลนต 24.11; ลนต 24.12; ลนต 24.14; ลนต 24.15; ลนต 24.16; ลนต 24.19; ลนต 24.20; ลนต 24.23; ลนต 25.15; ลนต 25.16; ลนต 25.25; ลนต 25.26; ลนต 25.27; ลนต 25.28; ลนต 25.29; ลนต 25.30; ลนต 25.32; ลนต 25.33; ลนต 25.34; ลนต 25.35; ลนต 25.36; ลนต 25.37; ลนต 25.39; ลนต 25.40; ลนต 25.41; ลนต 25.42; ลนต 25.43; ลนต 25.45; ลนต 25.46; ลนต 25.47; ลนต 25.48; ลนต 25.49; ลนต 25.50; ลนต 25.51; ลนต 25.52; ลนต 25.53; ลนต 25.54; ลนต 25.55; ลนต 26.7; ลนต 26.13; ลนต 26.36; ลนต 26.37; ลนต 26.39; ลนต 26.40; ลนต 26.41; ลนต 26.43; ลนต 26.44; ลนต 26.45; ลนต 27.8; ลนต 27.10; ลนต 27.13; ลนต 27.15; ลนต 27.16; ลนต 27.17; ลนต 27.18; ลนต 27.19; ลนต 27.20; ลนต 27.22; ลนต 27.24; ลนต 27.27; ลนต 27.28; ลนต 27.31; ลนต 27.33; กดว 1.1; กดว 1.3; กดว 1.4; กดว 1.16; กดว 1.20; กดว 1.22; กดว 1.24; กดว 1.26; กดว 1.28; กดว 1.30; กดว 1.32; กดว 1.34; กดว 1.36; กดว 1.38; กดว 1.40; กดว 1.42; กดว 1.50; กดว 1.54; กดว 2.3; กดว 2.9; กดว 2.10; กดว 2.16; กดว 2.17; กดว 2.18; กดว 2.24; กดว 2.25; กดว 2.34; กดว 3.4; กดว 3.6; กดว 3.7; กดว 3.8; กดว 3.9; กดว 3.16; กดว 3.20; กดว 4.9; กดว 4.11; กดว 4.12; กดว 4.15; กดว 4.19; กดว 4.20; กดว 4.22; กดว 4.25; กดว 4.26; กดว 4.27; กดว 4.29; กดว 4.31; กดว 4.32; กดว 4.33; กดว 4.36; กดว 4.44; กดว 4.49; กดว 5.3; กดว 5.7; กดว 5.8; กดว 5.10; กดว 5.14; กดว 5.15; กดว 5.30; กดว 6.3; กดว 6.4; กดว 6.5; กดว 6.6; กดว 6.7; กดว 6.8; กดว 6.9; กดว 6.10; กดว 6.11; กดว 6.12; กดว 6.13; กดว 6.14; กดว 6.21; กดว 6.23; กดว 6.27; กดว 7.5; กดว 7.7; กดว 7.8; กดว 7.9; กดว 7.11; กดว 7.13; กดว 7.19; กดว 7.25; กดว 7.31; กดว 7.37; กดว 7.43; กดว 7.49; กดว 7.55; กดว 7.61; กดว 7.67; กดว 7.73; กดว 7.79; กดว 8.4; กดว 8.6; กดว 8.7; กดว 8.8; กดว 8.10; กดว 8.11; กดว 8.13; กดว 8.15; กดว 8.16; กดว 8.17; กดว 8.21; กดว 8.22; กดว 8.25; กดว 8.26; กดว 9.1; กดว 9.5; กดว 9.6; กดว 9.7; กดว 9.8; กดว 9.11; กดว 9.12; กดว 9.13; กดว 9.14; กดว 9.18; กดว 9.20; กดว 9.21; กดว 9.22; กดว 9.23; กดว 10.13; กดว 10.21; กดว 10.28; กดว 10.30; กดว 10.33; กดว 10.34; กดว 11.1; กดว 11.3; กดว 11.4; กดว 11.12; กดว 11.13; กดว 11.16; กดว 11.17; กดว 11.21; กดว 11.22; กดว 11.24; กดว 11.25; กดว 11.26; กดว 11.28; กดว 11.29; กดว 11.32; กดว 11.33; กดว 11.34; กดว 12.2; กดว 12.4; กดว 12.5; กดว 12.6; กดว 12.7; กดว 12.8; กดว 12.9; กดว 13.3; กดว 13.17; กดว 13.19; กดว 13.22; กดว 13.23; กดว 13.24; กดว 13.25; กดว 13.26; กดว 13.27; กดว 13.28; กดว 13.31; กดว 13.32; กดว 13.33; กดว 14.4; กดว 14.9; กดว 14.10; กดว 14.11; กดว 14.12; กดว 14.13; กดว 14.14; กดว 14.16; กดว 14.23; กดว 14.24; กดว 14.27; กดว 14.28; กดว 14.31; กดว 14.33; กดว 14.35; กดว 14.44; กดว 14.45; กดว 15.14; กดว 15.25; กดว 15.26; กดว 15.28; กดว 15.29; กดว 15.30; กดว 15.31; กดว 15.32; กดว 15.33; กดว 15.34; กดว 15.35; กดว 15.36; กดว 15.38; กดว 16.3; กดว 16.5; กดว 16.6; กดว 16.9; กดว 16.11; กดว 16.12; กดว 16.15; กดว 16.18; กดว 16.19; กดว 16.21; กดว 16.22; กดว 16.26; กดว 16.27; กดว 16.29; กดว 16.30; กดว 16.31; กดว 16.32; กดว 16.33; กดว 16.34; กดว 16.40; กดว 16.42; กดว 16.45; กดว 17.2; กดว 17.5; กดว 17.9; กดว 17.10; กดว 18.2; กดว 18.3; กดว 18.4; กดว 18.9; กดว 18.11; กดว 18.12; กดว 18.13; กดว 18.15; กดว 18.20; กดว 18.21; กดว 18.22; กดว 18.23; กดว 18.24; กดว 18.26; กดว 18.30; กดว 19.3; กดว 19.5; กดว 19.8; กดว 19.10; กดว 19.12; กดว 19.13; กดว 19.19; กดว 19.20; กดว 19.21; กดว 20.2; กดว 20.6; กดว 20.8; กดว 20.10; กดว 20.11; กดว 20.12; กดว 20.13; กดว 20.20; กดว 20.24; กดว 20.25; กดว 20.26; กดว 20.28; กดว 21.2; กดว 21.3; กดว 21.4; กดว 21.8; กดว 21.9; กดว 21.11; กดว 21.12; กดว 21.13; กดว 21.16; กดว 21.18; กดว 21.30; กดว 21.32; กดว 21.33; กดว 21.34; กดว 21.35; กดว 22.3; กดว 22.5; กดว 22.6; กดว 22.7; กดว 22.10; กดว 22.11; กดว 22.12; กดว 22.16; กดว 22.20; กดว 22.22; กดว 22.27; กดว 22.31; กดว 22.40; กดว 23.3; กดว 23.7; กดว 23.9; กดว 23.10; กดว 23.11; กดว 23.12; กดว 23.13; กดว 23.16; กดว 23.17; กดว 23.18; กดว 23.21; กดว 23.22; กดว 23.25; กดว 23.27; กดว 24.2; กดว 24.3; กดว 24.7; กดว 24.8; กดว 24.9; กดว 24.10; กดว 24.13; กดว 24.15; กดว 24.17; กดว 24.18; กดว 24.20; กดว 24.21; กดว 24.23; กดว 24.24; กดว 24.25; กดว 25.6; กดว 25.8; กดว 25.11; กดว 25.12; กดว 25.13; กดว 25.17; กดว 25.18; กดว 26.2; กดว 26.3; กดว 26.9; กดว 26.10; กดว 26.12; กดว 26.15; กดว 26.18; กดว 26.20; กดว 26.22; กดว 26.23; กดว 26.25; กดว 26.26; กดว 26.27; กดว 26.28; กดว 26.34; กดว 26.35; กดว 26.37; กดว 26.38; กดว 26.41; กดว 26.42; กดว 26.43; กดว 26.44; กดว 26.47; กดว 26.48; กดว 26.50; กดว 26.55; กดว 26.56; กดว 26.57; กดว 26.59; กดว 26.61; กดว 26.62; กดว 26.65; กดว 27.1; กดว 27.2; กดว 27.5; กดว 27.7; กดว 27.8; กดว 27.9; กดว 27.10; กดว 27.11; กดว 27.14; กดว 27.17; กดว 27.18; กดว 27.19; กดว 27.20; กดว 27.21; กดว 27.23; กดว 28.2; กดว 28.3; กดว 30.2; กดว 30.5; กดว 30.7; กดว 30.8; กดว 30.12; กดว 30.14; กดว 30.15; กดว 30.16; กดว 31.5; กดว 31.7; กดว 31.8; กดว 31.10; กดว 31.12; กดว 31.13; กดว 31.15; กดว 31.29; กดว 31.51; กดว 31.52; กดว 32.1; กดว 32.5; กดว 32.7; กดว 32.8; กดว 32.9; กดว 32.10; กดว 32.11; กดว 32.12; กดว 32.13; กดว 32.15; กดว 32.16; กดว 32.17; กดว 32.18; กดว 32.19; กดว 32.20; กดว 32.28; กดว 32.29; กดว 32.30; กดว 32.38; กดว 32.40; กดว 32.41; กดว 32.42; กดว 33.1; กดว 33.2; กดว 33.3; กดว 33.4; กดว 33.6; กดว 33.7; กดว 33.8; กดว 33.9; กดว 33.10; กดว 33.11; กดว 33.12; กดว 33.13; กดว 33.14; กดว 33.15; กดว 33.16; กดว 33.17; กดว 33.18; กดว 33.19; กดว 33.20; กดว 33.21; กดว 33.22; กดว 33.23; กดว 33.24; กดว 33.25; กดว 33.26; กดว 33.27; กดว 33.28; กดว 33.29; กดว 33.30; กดว 33.31; กดว 33.32; กดว 33.33; กดว 33.34; กดว 33.35; กดว 33.36; กดว 33.41; กดว 33.42; กดว 33.43; กดว 33.44; กดว 33.45; กดว 33.46; กดว 33.47; กดว 33.48; กดว 33.49; กดว 33.52; กดว 33.55; กดว 33.56; กดว 34.14; กดว 34.15; กดว 35.2; กดว 35.3; กดว 35.6; กดว 35.8; กดว 35.12; กดว 35.15; กดว 35.16; กดว 35.17; กดว 35.18; กดว 35.19; กดว 35.20; กดว 35.21; กดว 35.22; กดว 35.23; กดว 35.25; กดว 35.26; กดว 35.27; กดว 35.28; กดว 35.30; กดว 35.31; กดว 35.32; กดว 36.2; กดว 36.8; พบญ 1.3; พบญ 1.8; พบญ 1.13; พบญ 1.25; พบญ 1.29; พบญ 1.36; พบญ 1.38; พบญ 1.39; พบญ 2.4; พบญ 2.5; พบญ 2.6; พบญ 2.9; พบญ 2.12; พบญ 2.14; พบญ 2.15; พบญ 2.19; พบญ 2.20; พบญ 2.21; พบญ 2.22; พบญ 2.23; พบญ 2.24; พบญ 2.30; พบญ 2.31; พบญ 3.2; พบญ 3.3; พบญ 3.4; พบญ 3.20; พบญ 3.22; พบญ 3.28; พบญ 4.6; พบญ 4.10; พบญ 4.37; พบญ 4.38; พบญ 4.42; พบญ 4.45; พบญ 5.1; พบญ 5.18; พบญ 5.21; พบญ 5.28; พบญ 5.29; พบญ 5.30; พบญ 5.31; พบญ 7.2; พบญ 7.3; พบญ 7.4; พบญ 7.5; พบญ 7.10; พบญ 7.16; พบญ 7.17; พบญ 7.18; พบญ 7.20; พบญ 7.21; พบญ 7.22; พบญ 7.23; พบญ 7.24; พบญ 7.25; พบญ 9.2; พบญ 9.3; พบญ 9.4; พบญ 9.5; พบญ 9.12; พบญ 9.13; พบญ 9.14; พบญ 9.20; พบญ 9.26; พบญ 9.28; พบญ 9.29; พบญ 10.6; พบญ 10.7; พบญ 10.9; พบญ 10.11; พบญ 10.15; พบญ 10.18; พบญ 11.4; พบญ 11.6; พบญ 11.9; พบญ 12.2; พบญ 12.3; พบญ 12.12; พบญ 12.30; พบญ 12.31; พบญ 13.2; พบญ 13.5; พบญ 13.8; พบญ 13.9; พบญ 13.10; พบญ 14.27; พบญ 14.29; พบญ 15.6; พบญ 15.8; พบญ 15.9; พบญ 15.10; พบญ 15.12; พบญ 15.13; พบญ 15.14; พบญ 15.16; พบญ 15.17; พบญ 15.18; พบญ 16.16; พบญ 16.17; พบญ 16.18; พบญ 17.7; พบญ 17.9; พบญ 17.10; พบญ 17.11; พบญ 17.17; พบญ 17.19; พบญ 17.20; พบญ 18.1; พบญ 18.2; พบญ 18.3; พบญ 18.5; พบญ 18.6; พบญ 18.7; พบญ 18.8; พบญ 18.10; พบญ 18.12; พบญ 18.15; พบญ 18.17; พบญ 18.18; พบญ 18.22; พบญ 19.1; พบญ 19.4; พบญ 19.5; พบญ 19.6; พบญ 19.11; พบญ 19.12; พบญ 19.13; พบญ 19.15; พบญ 19.19; พบญ 20.1; พบญ 20.5; พบญ 20.6; พบญ 20.7; พบญ 20.8; พบญ 20.11; พบญ 20.17; พบญ 20.18; พบญ 21.1; พบญ 21.5; พบญ 21.6; พบญ 21.7; พบญ 21.8; พบญ 21.10; พบญ 21.16; พบญ 21.17; พบญ 21.18; พบญ 21.19; พบญ 21.20; พบญ 21.21; พบญ 21.22; พบญ 21.23; พบญ 22.2; พบญ 22.16; พบญ 22.17; พบญ 22.19; พบญ 22.21; พบญ 22.24; พบญ 22.27; พบญ 22.28; พบญ 22.29; พบญ 23.2; พบญ 23.4; พบญ 23.6; พบญ 23.7; พบญ 23.10; พบญ 23.11; พบญ 23.15; พบญ 23.16; พบญ 24.1; พบญ 24.5; พบญ 24.6; พบญ 24.7; พบญ 24.8; พบญ 24.10; พบญ 24.12; พบญ 24.13; พบญ 24.14; พบญ 24.15; พบญ 25.1; พบญ 25.2; พบญ 25.3; พบญ 25.6; พบญ 25.7; พบญ 25.8; พบญ 25.10; พบญ 25.18; พบญ 26.3; พบญ 26.12; พบญ 27.20; พบญ 28.7; พบญ 28.10; พบญ 28.12; พบญ 28.25; พบญ 28.31; พบญ 28.32; พบญ 28.33; พบญ 28.41; พบญ 28.44; พบญ 28.49; พบญ 28.51; พบญ 28.52; พบญ 28.54; พบญ 28.55; พบญ 28.56; พบญ 29.1; พบญ 29.2; พบญ 29.7; พบญ 29.8; พบญ 29.17; พบญ 29.18; พบญ 29.20; พบญ 29.21; พบญ 29.22; พบญ 29.25; พบญ 29.26; พบญ 29.28; พบญ 31.2; พบญ 31.3; พบญ 31.4; พบญ 31.5; พบญ 31.6; พบญ 31.7; พบญ 31.10; พบญ 31.12; พบญ 31.13; พบญ 31.14; พบญ 31.16; พบญ 31.17; พบญ 31.18; พบญ 31.20; พบญ 31.21; พบญ 31.23; พบญ 31.28; พบญ 32.5; พบญ 32.7; พบญ 32.10; พบญ 32.12; พบญ 32.13; พบญ 32.15; พบญ 32.16; พบญ 32.17; พบญ 32.19; พบญ 32.20; พบญ 32.21; พบญ 32.23; พบญ 32.24; พบญ 32.26; พบญ 32.28; พบญ 32.29; พบญ 32.30; พบญ 32.31; พบญ 32.32; พบญ 32.33; พบญ 32.35; พบญ 32.36; พบญ 32.37; พบญ 32.38; พบญ 32.46; พบญ 32.50; พบญ 33.2; พบญ 33.3; พบญ 33.6; พบญ 33.7; พบญ 33.9; พบญ 33.10; พบญ 33.11; พบญ 33.12; พบญ 33.13; พบญ 33.17; พบญ 33.19; พบญ 33.20; พบญ 33.21; พบญ 33.24; พบญ 33.29; พบญ 34.9; ยชว 1.2; ยชว 1.6; ยชว 1.15; ยชว 1.16; ยชว 1.18; ยชว 2.3; ยชว 2.4; ยชว 2.5; ยชว 2.6; ยชว 2.7; ยชว 2.8; ยชว 2.15; ยชว 2.16; ยชว 2.21; ยชว 2.24; ยชว 3.1; ยชว 3.6; ยชว 3.7; ยชว 3.14; ยชว 4.3; ยชว 4.5; ยชว 4.7; ยชว 4.8; ยชว 4.12; ยชว 4.14; ยชว 4.20; ยชว 4.21; ยชว 5.1; ยชว 5.4; ยชว 5.6; ยชว 5.7; ยชว 5.8; ยชว 5.10; ยชว 5.11; ยชว 5.12; ยชว 5.13; ยชว 6.5; ยชว 6.8; ยชว 6.11; ยชว 6.13; ยชว 6.14; ยชว 6.15; ยชว 6.20; ยชว 6.21; ยชว 6.23; ยชว 6.24; ยชว 7.2; ยชว 7.3; ยชว 7.5; ยชว 7.11; ยชว 7.12; ยชว 7.15; ยชว 7.22; ยชว 7.23; ยชว 7.24; ยชว 7.25; ยชว 7.26; ยชว 8.1; ยชว 8.4; ยชว 8.5; ยชว 8.6; ยชว 8.9; ยชว 8.11; ยชว 8.12; ยชว 8.13; ยชว 8.15; ยชว 8.16; ยชว 8.17; ยชว 8.19; ยชว 8.20; ยชว 8.21; ยชว 8.22; ยชว 8.24; ยชว 8.29; ยชว 8.31; ยชว 8.33; ยชว 8.35; ยชว 9.4; ยชว 9.6; ยชว 9.8; ยชว 9.9; ยชว 9.11; ยชว 9.14; ยชว 9.15; ยชว 9.16; ยชว 9.17; ยชว 9.18; ยชว 9.19; ยชว 9.20; ยชว 9.21; ยชว 9.22; ยชว 9.24; ยชว 9.26; ยชว 9.27; ยชว 10.1; ยชว 10.8; ยชว 10.10; ยชว 10.11; ยชว 10.13; ยชว 10.19; ยชว 10.23; ยชว 10.24; ยชว 10.25; ยชว 10.27; ยชว 10.28; ยชว 10.33; ยชว 10.35; ยชว 10.39; ยชว 10.41; ยชว 10.42; ยชว 11.6; ยชว 11.7; ยชว 11.8; ยชว 11.9; ยชว 11.11; ยชว 11.12; ยชว 11.14; ยชว 11.19; ยชว 11.20; ยชว 11.21; ยชว 12.6; ยชว 12.7; ยชว 13.6; ยชว 13.8; ยชว 13.14; ยชว 13.15; ยชว 13.16; ยชว 13.22; ยชว 13.24; ยชว 13.25; ยชว 13.28; ยชว 13.29; ยชว 13.30; ยชว 13.31; ยชว 13.33; ยชว 14.1; ยชว 14.2; ยชว 14.4; ยชว 14.5; ยชว 14.12; ยชว 15.1; ยชว 15.7; ยชว 15.12; ยชว 15.20; ยชว 16.4; ยชว 16.5; ยชว 16.8; ยชว 16.10; ยชว 17.1; ยชว 17.2; ยชว 17.3; ยชว 17.4; ยชว 17.13; ยชว 17.15; ยชว 17.18; ยชว 18.1; ยชว 18.5; ยชว 18.7; ยชว 18.10; ยชว 18.11; ยชว 18.12; ยชว 18.17; ยชว 18.20; ยชว 18.21; ยชว 18.28; ยชว 19.1; ยชว 19.8; ยชว 19.10; ยชว 19.11; ยชว 19.16; ยชว 19.17; ยชว 19.18; ยชว 19.23; ยชว 19.24; ยชว 19.25; ยชว 19.31; ยชว 19.32; ยชว 19.33; ยชว 19.39; ยชว 19.40; ยชว 19.41; ยชว 19.47; ยชว 19.48; ยชว 19.49; ยชว 19.50; ยชว 19.51; ยชว 20.4; ยชว 20.5; ยชว 20.6; ยชว 20.7; ยชว 20.8; ยชว 20.9; ยชว 21.2; ยชว 21.3; ยชว 21.7; ยชว 21.9; ยชว 21.10; ยชว 21.11; ยชว 21.13; ยชว 21.20; ยชว 21.21; ยชว 21.27; ยชว 21.34; ยชว 21.40; ยชว 21.43; ยชว 21.44; ยชว 22.2; ยชว 22.4; ยชว 22.6; ยชว 22.7; ยชว 22.8; ยชว 22.9; ยชว 22.10; ยชว 22.12; ยชว 22.15; ยชว 22.20; ยชว 22.32; ยชว 22.33; ยชว 23.2; ยชว 23.5; ยชว 23.7; ยชว 23.12; ยชว 23.13; ยชว 24.1; ยชว 24.2; ยชว 24.3; ยชว 24.4; ยชว 24.5; ยชว 24.7; ยชว 24.8; ยชว 24.9; ยชว 24.10; ยชว 24.11; ยชว 24.22; ยชว 24.25; ยชว 24.30; ยชว 24.32; ยชว 24.33; วนฉ 1.2; วนฉ 1.3; วนฉ 1.4; วนฉ 1.5; วนฉ 1.6; วนฉ 1.7; วนฉ 1.10; วนฉ 1.11; วนฉ 1.16; วนฉ 1.17; วนฉ 1.19; วนฉ 1.20; วนฉ 1.22; วนฉ 1.24; วนฉ 1.25; วนฉ 1.28; วนฉ 1.29; วนฉ 1.30; วนฉ 1.32; วนฉ 1.35; วนฉ 1.36; วนฉ 2.2; วนฉ 2.3; วนฉ 2.5; วนฉ 2.9; วนฉ 2.10; วนฉ 2.12; วนฉ 2.13; วนฉ 2.14; วนฉ 2.15; วนฉ 2.16; วนฉ 2.17; วนฉ 2.18; วนฉ 2.19; วนฉ 2.20; วนฉ 2.21; วนฉ 2.22; วนฉ 2.23; วนฉ 3.4; วนฉ 3.6; วนฉ 3.8; วนฉ 3.9; วนฉ 3.12; วนฉ 3.15; วนฉ 3.17; วนฉ 3.24; วนฉ 3.25; วนฉ 3.26; วนฉ 3.27; วนฉ 3.28; วนฉ 3.29; วนฉ 4.2; วนฉ 4.6; วนฉ 4.7; วนฉ 4.24; วนฉ 5.7; วนฉ 5.11; วนฉ 5.14; วนฉ 5.15; วนฉ 5.16; วนฉ 5.17; วนฉ 5.21; วนฉ 5.22; วนฉ 5.23; วนฉ 5.25; วนฉ 5.26; วนฉ 5.27; วนฉ 5.28; วนฉ 5.30; วนฉ 6.1; วนฉ 6.3; วนฉ 6.4; วนฉ 6.5; วนฉ 6.8; วนฉ 6.9; วนฉ 6.10; วนฉ 6.12; วนฉ 6.14; วนฉ 6.16; วนฉ 6.17; วนฉ 6.19; วนฉ 6.20; วนฉ 6.21; วนฉ 6.27; วนฉ 6.29; วนฉ 6.30; วนฉ 6.32; วนฉ 6.35; วนฉ 6.38; วนฉ 7.1; วนฉ 7.2; วนฉ 7.4; วนฉ 7.5; วนฉ 7.9; วนฉ 7.11; วนฉ 7.12; วนฉ 7.14; วนฉ 7.15; วนฉ 7.17; วนฉ 7.19; วนฉ 7.20; วนฉ 7.22; วนฉ 7.24; วนฉ 7.25; วนฉ 8.1; วนฉ 8.2; วนฉ 8.3; วนฉ 8.5; วนฉ 8.8; วนฉ 8.14; วนฉ 8.18; วนฉ 8.19; วนฉ 8.20; วนฉ 8.21; วนฉ 8.23; วนฉ 8.25; วนฉ 8.32; วนฉ 8.33; วนฉ 8.34; วนฉ 8.35; วนฉ 9.1; วนฉ 9.3; วนฉ 9.4; วนฉ 9.5; วนฉ 9.7; วนฉ 9.8; วนฉ 9.9; วนฉ 9.11; วนฉ 9.13; วนฉ 9.18; วนฉ 9.19; วนฉ 9.24; วนฉ 9.25; วนฉ 9.26; วนฉ 9.27; วนฉ 9.28; วนฉ 9.29; วนฉ 9.31; วนฉ 9.33; วนฉ 9.36; วนฉ 9.38; วนฉ 9.41; วนฉ 9.43; วนฉ 9.51; วนฉ 9.54; วนฉ 9.57; วนฉ 10.1; วนฉ 10.2; วนฉ 10.7; วนฉ 10.8; วนฉ 10.12; วนฉ 10.16; วนฉ 10.17; วนฉ 11.3; วนฉ 11.6; วนฉ 11.9; วนฉ 11.11; วนฉ 11.16; วนฉ 11.18; วนฉ 11.21; วนฉ 11.22; วนฉ 11.25; วนฉ 11.32; วนฉ 11.33; วนฉ 12.2; วนฉ 12.3; วนฉ 12.4; วนฉ 12.5; วนฉ 12.6; วนฉ 13.1; วนฉ 13.5; วนฉ 13.11; วนฉ 13.12; วนฉ 13.20; วนฉ 13.21; วนฉ 13.23; วนฉ 13.24; วนฉ 13.25; วนฉ 14.2; วนฉ 14.10; วนฉ 14.12; วนฉ 14.13; วนฉ 14.14; วนฉ 14.15; วนฉ 14.18; วนฉ 15.3; วนฉ 15.6; วนฉ 15.8; วนฉ 15.10; วนฉ 15.11; วนฉ 15.12; วนฉ 15.13; วนฉ 16.2; วนฉ 16.5; วนฉ 16.7; วนฉ 16.18; วนฉ 16.23; วนฉ 16.24; วนฉ 16.25; วนฉ 17.2; วนฉ 17.3; วนฉ 17.5; วนฉ 17.8; วนฉ 17.9; วนฉ 17.10; วนฉ 17.11; วนฉ 17.12; วนฉ 18.1; วนฉ 18.2; วนฉ 18.3; วนฉ 18.4; วนฉ 18.5; วนฉ 18.6; วนฉ 18.7; วนฉ 18.8; วนฉ 18.9; วนฉ 18.12; วนฉ 18.13; วนฉ 18.15; วนฉ 18.18; วนฉ 18.19; วนฉ 18.20; วนฉ 18.21; วนฉ 18.23; วนฉ 18.24; วนฉ 18.25; วนฉ 18.26; วนฉ 18.27; วนฉ 18.28; วนฉ 18.29; วนฉ 18.30; วนฉ 18.31; วนฉ 19.1; วนฉ 19.3; วนฉ 19.4; วนฉ 19.5; วนฉ 19.7; วนฉ 19.8; วนฉ 19.9; วนฉ 19.10; วนฉ 19.11; วนฉ 19.12; วนฉ 19.13; วนฉ 19.14; วนฉ 19.15; วนฉ 19.16; วนฉ 19.17; วนฉ 19.18; วนฉ 19.21; วนฉ 19.22; วนฉ 19.23; วนฉ 19.24; วนฉ 19.25; วนฉ 19.27; วนฉ 19.28; วนฉ 20.5; วนฉ 20.6; วนฉ 20.9; วนฉ 20.10; วนฉ 20.20; วนฉ 20.22; วนฉ 20.23; วนฉ 20.26; วนฉ 20.28; วนฉ 20.31; วนฉ 20.32; วนฉ 20.36; วนฉ 20.39; วนฉ 20.41; วนฉ 20.42; วนฉ 20.43; วนฉ 20.45; วนฉ 20.48; วนฉ 21.2; วนฉ 21.3; วนฉ 21.5; วนฉ 21.7; วนฉ 21.8; วนฉ 21.9; วนฉ 21.10; วนฉ 21.12; วนฉ 21.14; วนฉ 21.15; วนฉ 21.17; วนฉ 21.18; วนฉ 21.19; วนฉ 21.20; วนฉ 21.22; วนฉ 21.23; นรธ 1.1; นรธ 1.2; นรธ 1.4; นรธ 1.6; นรธ 1.15; นรธ 1.20; นรธ 1.22; นรธ 2.4; นรธ 2.9; นรธ 2.11; นรธ 2.20; นรธ 2.21; นรธ 2.22; นรธ 3.2; นรธ 3.4; นรธ 3.13; นรธ 4.1; นรธ 4.2; นรธ 4.5; นรธ 4.7; นรธ 4.8; นรธ 4.10; นรธ 4.17; 1ซมอ 1.11; 1ซมอ 1.19; 1ซมอ 1.22; 1ซมอ 1.23; 1ซมอ 1.24; 1ซมอ 1.25; 1ซมอ 1.28; 1ซมอ 2.1; 1ซมอ 2.8; 1ซมอ 2.10; 1ซมอ 2.12; 1ซมอ 2.14; 1ซมอ 2.15; 1ซมอ 2.16; 1ซมอ 2.19; 1ซมอ 2.20; 1ซมอ 2.22; 1ซมอ 2.23; 1ซมอ 2.25; 1ซมอ 2.27; 1ซมอ 2.28; 1ซมอ 2.29; 1ซมอ 2.33; 1ซมอ 2.35; 1ซมอ 2.36; 1ซมอ 3.5; 1ซมอ 3.7; 1ซมอ 3.13; 1ซมอ 3.15; 1ซมอ 4.4; 1ซมอ 4.6; 1ซมอ 4.7; 1ซมอ 4.9; 1ซมอ 4.12; 1ซมอ 4.13; 1ซมอ 4.18; 1ซมอ 4.19; 1ซมอ 4.21; 1ซมอ 4.22; 1ซมอ 5.2; 1ซมอ 5.3; 1ซมอ 5.4; 1ซมอ 5.6; 1ซมอ 5.7; 1ซมอ 5.8; 1ซมอ 5.9; 1ซมอ 5.10; 1ซมอ 5.11; 1ซมอ 6.3; 1ซมอ 6.4; 1ซมอ 6.6; 1ซมอ 6.11; 1ซมอ 6.13; 1ซมอ 6.14; 1ซมอ 6.16; 1ซมอ 6.18; 1ซมอ 6.19; 1ซมอ 6.21; 1ซมอ 7.1; 1ซมอ 7.4; 1ซมอ 7.6; 1ซมอ 7.7; 1ซมอ 7.11; 1ซมอ 8.3; 1ซมอ 8.6; 1ซมอ 8.7; 1ซมอ 8.8; 1ซมอ 8.9; 1ซมอ 8.12; 1ซมอ 8.19; 1ซมอ 8.22; 1ซมอ 9.2; 1ซมอ 9.4; 1ซมอ 9.5; 1ซมอ 9.6; 1ซมอ 9.9; 1ซมอ 9.10; 1ซมอ 9.11; 1ซมอ 9.14; 1ซมอ 9.16; 1ซมอ 9.17; 1ซมอ 9.20; 1ซมอ 9.25; 1ซมอ 9.26; 1ซมอ 9.27; 1ซมอ 10.2; 1ซมอ 10.4; 1ซมอ 10.10; 1ซมอ 10.12; 1ซมอ 10.16; 1ซมอ 10.21; 1ซมอ 10.22; 1ซมอ 10.23; 1ซมอ 10.27; 1ซมอ 11.2; 1ซมอ 11.4; 1ซมอ 11.5; 1ซมอ 11.7; 1ซมอ 11.9; 1ซมอ 11.12; 1ซมอ 11.15; 1ซมอ 12.4; 1ซมอ 12.5; 1ซมอ 12.8; 1ซมอ 12.9; 1ซมอ 12.10; 1ซมอ 13.4; 1ซมอ 13.5; 1ซมอ 13.20; 1ซมอ 13.21; 1ซมอ 14.3; 1ซมอ 14.4; 1ซมอ 14.8; 1ซมอ 14.9; 1ซมอ 14.10; 1ซมอ 14.12; 1ซมอ 14.13; 1ซมอ 14.17; 1ซมอ 14.21; 1ซมอ 14.22; 1ซมอ 14.26; 1ซมอ 14.30; 1ซมอ 14.31; 1ซมอ 14.33; 1ซมอ 14.34; 1ซมอ 14.36; 1ซมอ 14.37; 1ซมอ 14.39; 1ซมอ 14.45; 1ซมอ 14.47; 1ซมอ 14.48; 1ซมอ 15.2; 1ซมอ 15.3; 1ซมอ 15.6; 1ซมอ 15.9; 1ซมอ 15.11; 1ซมอ 15.15; 1ซมอ 15.18; 1ซมอ 15.24; 1ซมอ 16.1; 1ซมอ 16.2; 1ซมอ 16.5; 1ซมอ 16.6; 1ซมอ 16.7; 1ซมอ 16.11; 1ซมอ 16.12; 1ซมอ 16.13; 1ซมอ 16.16; 1ซมอ 16.17; 1ซมอ 16.18; 1ซมอ 16.22; 1ซมอ 17.1; 1ซมอ 17.5; 1ซมอ 17.7; 1ซมอ 17.8; 1ซมอ 17.9; 1ซมอ 17.11; 1ซมอ 17.18; 1ซมอ 17.19; 1ซมอ 17.20; 1ซมอ 17.23; 1ซมอ 17.24; 1ซมอ 17.25; 1ซมอ 17.26; 1ซมอ 17.27; 1ซมอ 17.28; 1ซมอ 17.30; 1ซมอ 17.31; 1ซมอ 17.33; 1ซมอ 17.36; 1ซมอ 17.38; 1ซมอ 17.39; 1ซมอ 17.40; 1ซมอ 17.42; 1ซมอ 17.49; 1ซมอ 17.50; 1ซมอ 17.51; 1ซมอ 17.53; 1ซมอ 17.54; 1ซมอ 17.57; 1ซมอ 17.58; 1ซมอ 18.8; 1ซมอ 18.16; 1ซมอ 18.17; 1ซมอ 18.30; 1ซมอ 19.1; 1ซมอ 19.8; 1ซมอ 19.14; 1ซมอ 19.15; 1ซมอ 19.17; 1ซมอ 19.20; 1ซมอ 19.21; 1ซมอ 19.22; 1ซมอ 19.24; 1ซมอ 20.3; 1ซมอ 20.11; 1ซมอ 20.18; 1ซมอ 20.26; 1ซมอ 20.29; 1ซมอ 20.31; 1ซมอ 20.32; 1ซมอ 20.40; 1ซมอ 21.7; 1ซมอ 21.11; 1ซมอ 21.13; 1ซมอ 21.14; 1ซมอ 22.1; 1ซมอ 22.2; 1ซมอ 22.10; 1ซมอ 22.12; 1ซมอ 22.13; 1ซมอ 22.15; 1ซมอ 22.17; 1ซมอ 22.18; 1ซมอ 22.19; 1ซมอ 22.22; 1ซมอ 23.1; 1ซมอ 23.5; 1ซมอ 23.6; 1ซมอ 23.7; 1ซมอ 23.11; 1ซมอ 23.12; 1ซมอ 23.13; 1ซมอ 23.20; 1ซมอ 23.22; 1ซมอ 23.23; 1ซมอ 23.24; 1ซมอ 23.28; 1ซมอ 24.4; 1ซมอ 24.7; 1ซมอ 24.19; 1ซมอ 25.1; 1ซมอ 25.4; 1ซมอ 25.5; 1ซมอ 25.6; 1ซมอ 25.7; 1ซมอ 25.8; 1ซมอ 25.9; 1ซมอ 25.15; 1ซมอ 25.16; 1ซมอ 25.17; 1ซมอ 25.20; 1ซมอ 25.21; 1ซมอ 25.22; 1ซมอ 25.25; 1ซมอ 25.31; 1ซมอ 25.39; 1ซมอ 25.40; 1ซมอ 26.1; 1ซมอ 26.3; 1ซมอ 26.8; 1ซมอ 26.12; 1ซมอ 26.19; 1ซมอ 26.23; 1ซมอ 27.5; 1ซมอ 27.11; 1ซมอ 27.12; 1ซมอ 28.4; 1ซมอ 28.7; 1ซมอ 28.14; 1ซมอ 28.23; 1ซมอ 28.25; 1ซมอ 29.3; 1ซมอ 29.4; 1ซมอ 29.5; 1ซมอ 29.9; 1ซมอ 30.1; 1ซมอ 30.2; 1ซมอ 30.3; 1ซมอ 30.4; 1ซมอ 30.6; 1ซมอ 30.8; 1ซมอ 30.9; 1ซมอ 30.11; 1ซมอ 30.12; 1ซมอ 30.13; 1ซมอ 30.15; 1ซมอ 30.16; 1ซมอ 30.17; 1ซมอ 30.19; 1ซมอ 30.20; 1ซมอ 30.21; 1ซมอ 30.22; 1ซมอ 30.24; 1ซมอ 31.4; 1ซมอ 31.5; 1ซมอ 31.7; 1ซมอ 31.9; 1ซมอ 31.10; 1ซมอ 31.13; 2ซมอ 1.2; 2ซมอ 1.3; 2ซมอ 1.4; 2ซมอ 1.12; 2ซมอ 1.13; 2ซมอ 1.14; 2ซมอ 1.15; 2ซมอ 2.3; 2ซมอ 2.5; 2ซมอ 2.7; 2ซมอ 2.13; 2ซมอ 2.14; 2ซมอ 2.15; 2ซมอ 2.16; 2ซมอ 2.20; 2ซมอ 2.21; 2ซมอ 2.23; 2ซมอ 2.24; 2ซมอ 2.26; 2ซมอ 2.27; 2ซมอ 2.29; 2ซมอ 2.32; 2ซมอ 3.16; 2ซมอ 3.18; 2ซมอ 3.21; 2ซมอ 3.23; 2ซมอ 3.24; 2ซมอ 3.26; 2ซมอ 3.29; 2ซมอ 3.30; 2ซมอ 3.32; 2ซมอ 3.39; 2ซมอ 4.6; 2ซมอ 4.7; 2ซมอ 4.8; 2ซมอ 4.10; 2ซมอ 4.11; 2ซมอ 4.12; 2ซมอ 5.3; 2ซมอ 5.8; 2ซมอ 5.19; 2ซมอ 5.23; 2ซมอ 6.3; 2ซมอ 6.7; 2ซมอ 6.11; 2ซมอ 6.12; 2ซมอ 6.17; 2ซมอ 6.22; 2ซมอ 7.7; 2ซมอ 7.10; 2ซมอ 7.12; 2ซมอ 7.13; 2ซมอ 7.14; 2ซมอ 7.15; 2ซมอ 7.23; 2ซมอ 7.24; 2ซมอ 7.25; 2ซมอ 8.2; 2ซมอ 9.2; 2ซมอ 9.3; 2ซมอ 9.4; 2ซมอ 9.5; 2ซมอ 9.6; 2ซมอ 9.9; 2ซมอ 9.10; 2ซมอ 10.2; 2ซมอ 10.4; 2ซมอ 10.5; 2ซมอ 10.6; 2ซมอ 10.10; 2ซมอ 10.13; 2ซมอ 10.14; 2ซมอ 10.16; 2ซมอ 10.18; 2ซมอ 10.19; 2ซมอ 11.1; 2ซมอ 11.9; 2ซมอ 11.10; 2ซมอ 11.13; 2ซมอ 11.15; 2ซมอ 11.20; 2ซมอ 11.21; 2ซมอ 11.22; 2ซมอ 11.23; 2ซมอ 12.3; 2ซมอ 12.4; 2ซมอ 12.6; 2ซมอ 12.9; 2ซมอ 12.17; 2ซมอ 12.18; 2ซมอ 12.19; 2ซมอ 12.20; 2ซมอ 12.23; 2ซมอ 12.30; 2ซมอ 13.4; 2ซมอ 13.7; 2ซมอ 13.8; 2ซมอ 13.12; 2ซมอ 13.20; 2ซมอ 13.26; 2ซมอ 13.28; 2ซมอ 13.32; 2ซมอ 13.34; 2ซมอ 13.36; 2ซมอ 14.7; 2ซมอ 14.10; 2ซมอ 14.11; 2ซมอ 14.19; 2ซมอ 14.24; 2ซมอ 14.30; 2ซมอ 15.2; 2ซมอ 15.3; 2ซมอ 15.4; 2ซมอ 15.5; 2ซมอ 15.12; 2ซมอ 15.14; 2ซมอ 15.22; 2ซมอ 15.24; 2ซมอ 15.33; 2ซมอ 15.36; 2ซมอ 16.5; 2ซมอ 16.10; 2ซมอ 16.11; 2ซมอ 16.12; 2ซมอ 16.13; 2ซมอ 16.22; 2ซมอ 17.5; 2ซมอ 17.6; 2ซมอ 17.8; 2ซมอ 17.17; 2ซมอ 17.18; 2ซมอ 17.20; 2ซมอ 17.21; 2ซมอ 17.23; 2ซมอ 17.29; 2ซมอ 18.3; 2ซมอ 18.4; 2ซมอ 18.11; 2ซมอ 18.16; 2ซมอ 18.17; 2ซมอ 18.18; 2ซมอ 18.20; 2ซมอ 18.23; 2ซมอ 18.25; 2ซมอ 18.26; 2ซมอ 18.27; 2ซมอ 18.28; 2ซมอ 18.30; 2ซมอ 19.1; 2ซมอ 19.5; 2ซมอ 19.8; 2ซมอ 19.14; 2ซมอ 19.18; 2ซมอ 19.21; 2ซมอ 19.23; 2ซมอ 19.26; 2ซมอ 19.27; 2ซมอ 19.37; 2ซมอ 19.38; 2ซมอ 20.1; 2ซมอ 20.2; 2ซมอ 20.5; 2ซมอ 20.6; 2ซมอ 20.7; 2ซมอ 20.8; 2ซมอ 20.9; 2ซมอ 20.10; 2ซมอ 20.12; 2ซมอ 20.14; 2ซมอ 20.15; 2ซมอ 20.17; 2ซมอ 20.18; 2ซมอ 20.21; 2ซมอ 20.22; 2ซมอ 21.1; 2ซมอ 21.2; 2ซมอ 21.5; 2ซมอ 21.6; 2ซมอ 21.9; 2ซมอ 21.10; 2ซมอ 21.12; 2ซมอ 21.14; 2ซมอ 21.17; 2ซมอ 21.20; 2ซมอ 21.21; 2ซมอ 21.22; 2ซมอ 22.3; 2ซมอ 22.15; 2ซมอ 22.18; 2ซมอ 22.19; 2ซมอ 22.28; 2ซมอ 22.38; 2ซมอ 22.39; 2ซมอ 22.42; 2ซมอ 22.43; 2ซมอ 22.45; 2ซมอ 22.46; 2ซมอ 23.4; 2ซมอ 23.8; 2ซมอ 23.9; 2ซมอ 23.17; 2ซมอ 23.19; 2ซมอ 23.21; 2ซมอ 24.1; 2ซมอ 24.5; 2ซมอ 24.6; 2ซมอ 24.7; 2ซมอ 24.8; 2ซมอ 24.13; 2ซมอ 24.17; 1พกษ 1.1; 1พกษ 1.3; 1พกษ 1.7; 1พกษ 1.17; 1พกษ 1.20; 1พกษ 1.23; 1พกษ 1.25; 1พกษ 1.32; 1พกษ 1.33; 1พกษ 1.34; 1พกษ 1.35; 1พกษ 1.39; 1พกษ 1.40; 1พกษ 1.42; 1พกษ 1.44; 1พกษ 1.45; 1พกษ 1.52; 1พกษ 2.4; 1พกษ 2.5; 1พกษ 2.6; 1พกษ 2.7; 1พกษ 2.8; 1พกษ 2.9; 1พกษ 2.10; 1พกษ 2.22; 1พกษ 2.23; 1พกษ 2.25; 1พกษ 2.29; 1พกษ 2.30; 1พกษ 2.31; 1พกษ 2.32; 1พกษ 2.33; 1พกษ 2.34; 1พกษ 2.36; 1พกษ 2.39; 1พกษ 2.42; 1พกษ 2.46; 1พกษ 3.19; 1พกษ 3.20; 1พกษ 3.21; 1พกษ 3.22; 1พกษ 3.24; 1พกษ 3.26; 1พกษ 3.27; 1พกษ 3.28; 1พกษ 4.8; 1พกษ 4.10; 1พกษ 4.11; 1พกษ 4.13; 1พกษ 4.15; 1พกษ 4.20; 1พกษ 4.21; 1พกษ 4.27; 1พกษ 4.28; 1พกษ 5.1; 1พกษ 5.3; 1พกษ 5.14; 1พกษ 5.17; 1พกษ 7.25; 1พกษ 7.31; 1พกษ 7.33; 1พกษ 7.40; 1พกษ 8.4; 1พกษ 8.5; 1พกษ 8.8; 1พกษ 8.9; 1พกษ 8.21; 1พกษ 8.23; 1พกษ 8.25; 1พกษ 8.30; 1พกษ 8.31; 1พกษ 8.32; 1พกษ 8.33; 1พกษ 8.34; 1พกษ 8.35; 1พกษ 8.36; 1พกษ 8.37; 1พกษ 8.38; 1พกษ 8.39; 1พกษ 8.40; 1พกษ 8.41; 1พกษ 8.42; 1พกษ 8.43; 1พกษ 8.44; 1พกษ 8.45; 1พกษ 8.46; 1พกษ 8.47; 1พกษ 8.48; 1พกษ 8.49; 1พกษ 8.50; 1พกษ 8.51; 1พกษ 8.52; 1พกษ 8.53; 1พกษ 8.66; 1พกษ 9.7; 1พกษ 9.8; 1พกษ 9.9; 1พกษ 9.13; 1พกษ 9.21; 1พกษ 9.22; 1พกษ 9.28; 1พกษ 10.5; 1พกษ 10.7; 1พกษ 10.20; 1พกษ 10.25; 1พกษ 10.29; 1พกษ 11.2; 1พกษ 11.8; 1พกษ 11.15; 1พกษ 11.16; 1พกษ 11.18; 1พกษ 11.19; 1พกษ 11.24; 1พกษ 11.32; 1พกษ 11.33; 1พกษ 11.34; 1พกษ 11.35; 1พกษ 11.36; 1พกษ 11.43; 1พกษ 12.3; 1พกษ 12.5; 1พกษ 12.7; 1พกษ 12.9; 1พกษ 12.10; 1พกษ 12.14; 1พกษ 12.16; 1พกษ 12.20; 1พกษ 12.24; 1พกษ 12.27; 1พกษ 13.2; 1พกษ 13.3; 1พกษ 13.4; 1พกษ 13.11; 1พกษ 13.12; 1พกษ 13.13; 1พกษ 13.14; 1พกษ 13.15; 1พกษ 13.18; 1พกษ 13.19; 1พกษ 13.20; 1พกษ 13.21; 1พกษ 13.23; 1พกษ 13.25; 1พกษ 13.26; 1พกษ 13.27; 1พกษ 13.28; 1พกษ 13.30; 1พกษ 13.31; 1พกษ 13.33; 1พกษ 14.5; 1พกษ 14.8; 1พกษ 14.15; 1พกษ 14.16; 1พกษ 14.22; 1พกษ 14.23; 1พกษ 14.24; 1พกษ 14.31; 1พกษ 15.8; 1พกษ 15.18; 1พกษ 15.19; 1พกษ 15.22; 1พกษ 15.24; 1พกษ 16.2; 1พกษ 16.3; 1พกษ 16.6; 1พกษ 16.16; 1พกษ 16.17; 1พกษ 16.26; 1พกษ 16.28; 1พกษ 17.19; 1พกษ 17.21; 1พกษ 17.22; 1พกษ 17.23; 1พกษ 18.4; 1พกษ 18.6; 1พกษ 18.7; 1พกษ 18.8; 1พกษ 18.9; 1พกษ 18.10; 1พกษ 18.13; 1พกษ 18.23; 1พกษ 18.26; 1พกษ 18.27; 1พกษ 18.28; 1พกษ 18.29; 1พกษ 18.34; 1พกษ 18.37; 1พกษ 18.39; 1พกษ 18.40; 1พกษ 18.43; 1พกษ 18.44; 1พกษ 19.10; 1พกษ 19.14; 1พกษ 19.21; 1พกษ 20.6; 1พกษ 20.7; 1พกษ 20.12; 1พกษ 20.14; 1พกษ 20.16; 1พกษ 20.17; 1พกษ 20.18; 1พกษ 20.20; 1พกษ 20.23; 1พกษ 20.25; 1พกษ 20.27; 1พกษ 20.29; 1พกษ 20.32; 1พกษ 20.33; 1พกษ 20.36; 1พกษ 20.39; 1พกษ 20.40; 1พกษ 20.42; 1พกษ 21.4; 1พกษ 21.6; 1พกษ 21.10; 1พกษ 21.11; 1พกษ 21.12; 1พกษ 21.13; 1พกษ 21.14; 1พกษ 21.15; 1พกษ 21.18; 1พกษ 21.19; 1พกษ 21.24; 1พกษ 21.29; 1พกษ 22.6; 1พกษ 22.8; 1พกษ 22.11; 1พกษ 22.17; 1พกษ 22.18; 1พกษ 22.20; 1พกษ 22.21; 1พกษ 22.22; 1พกษ 22.26; 1พกษ 22.32; 1พกษ 22.35; 1พกษ 22.37; 1พกษ 22.38; 1พกษ 22.50; 2พกษ 1.3; 2พกษ 1.5; 2พกษ 1.6; 2พกษ 1.7; 2พกษ 1.8; 2พกษ 1.9; 2พกษ 1.10; 2พกษ 1.11; 2พกษ 1.12; 2พกษ 1.13; 2พกษ 1.14; 2พกษ 1.15; 2พกษ 2.15; 2พกษ 2.16; 2พกษ 2.17; 2พกษ 2.18; 2พกษ 2.20; 2พกษ 2.24; 2พกษ 3.22; 2พกษ 3.23; 2พกษ 3.24; 2พกษ 3.25; 2พกษ 3.27; 2พกษ 4.1; 2พกษ 4.6; 2พกษ 4.12; 2พกษ 4.15; 2พกษ 4.18; 2พกษ 4.19; 2พกษ 4.20; 2พกษ 4.23; 2พกษ 4.27; 2พกษ 4.29; 2พกษ 4.31; 2พกษ 4.35; 2พกษ 4.36; 2พกษ 4.39; 2พกษ 4.40; 2พกษ 4.42; 2พกษ 4.43; 2พกษ 4.44; 2พกษ 5.6; 2พกษ 5.7; 2พกษ 5.8; 2พกษ 5.11; 2พกษ 5.20; 2พกษ 5.21; 2พกษ 5.22; 2พกษ 5.23; 2พกษ 5.24; 2พกษ 5.25; 2พกษ 5.26; 2พกษ 5.27; 2พกษ 6.4; 2พกษ 6.5; 2พกษ 6.6; 2พกษ 6.7; 2พกษ 6.13; 2พกษ 6.14; 2พกษ 6.16; 2พกษ 6.17; 2พกษ 6.18; 2พกษ 6.19; 2พกษ 6.20; 2พกษ 6.21; 2พกษ 6.22; 2พกษ 6.23; 2พกษ 6.25; 2พกษ 6.31; 2พกษ 6.32; 2พกษ 6.33; 2พกษ 7.1; 2พกษ 7.3; 2พกษ 7.4; 2พกษ 7.5; 2พกษ 7.6; 2พกษ 7.7; 2พกษ 7.8; 2พกษ 7.9; 2พกษ 7.10; 2พกษ 7.11; 2พกษ 7.12; 2พกษ 7.14; 2พกษ 7.15; 2พกษ 7.17; 2พกษ 7.20; 2พกษ 8.5; 2พกษ 8.9; 2พกษ 8.10; 2พกษ 8.11; 2พกษ 8.12; 2พกษ 8.14; 2พกษ 8.15; 2พกษ 8.24; 2พกษ 9.1; 2พกษ 9.2; 2พกษ 9.3; 2พกษ 9.5; 2พกษ 9.10; 2พกษ 9.11; 2พกษ 9.12; 2พกษ 9.13; 2พกษ 9.17; 2พกษ 9.18; 2พกษ 9.19; 2พกษ 9.20; 2พกษ 9.21; 2พกษ 9.23; 2พกษ 9.25; 2พกษ 9.26; 2พกษ 9.27; 2พกษ 9.31; 2พกษ 9.33; 2พกษ 9.35; 2พกษ 9.36; 2พกษ 10.4; 2พกษ 10.6; 2พกษ 10.7; 2พกษ 10.8; 2พกษ 10.13; 2พกษ 10.14; 2พกษ 10.15; 2พกษ 10.16; 2พกษ 10.18; 2พกษ 10.20; 2พกษ 10.21; 2พกษ 10.22; 2พกษ 10.24; 2พกษ 10.25; 2พกษ 10.26; 2พกษ 10.27; 2พกษ 10.35; 2พกษ 11.4; 2พกษ 11.5; 2พกษ 11.12; 2พกษ 11.16; 2พกษ 11.17; 2พกษ 11.18; 2พกษ 11.19; 2พกษ 12.3; 2พกษ 12.4; 2พกษ 12.5; 2พกษ 12.7; 2พกษ 12.8; 2พกษ 12.9; 2พกษ 12.10; 2พกษ 12.11; 2พกษ 12.14; 2พกษ 12.15; 2พกษ 12.21; 2พกษ 13.3; 2พกษ 13.4; 2พกษ 13.5; 2พกษ 13.6; 2พกษ 13.7; 2พกษ 13.9; 2พกษ 13.13; 2พกษ 13.17; 2พกษ 13.19; 2พกษ 13.20; 2พกษ 13.21; 2พกษ 13.23; 2พกษ 14.16; 2พกษ 14.19; 2พกษ 14.20; 2พกษ 14.27; 2พกษ 15.7; 2พกษ 15.16; 2พกษ 16.15; 2พกษ 16.18; 2พกษ 16.20; 2พกษ 17.6; 2พกษ 17.7; 2พกษ 17.9; 2พกษ 17.10; 2พกษ 17.11; 2พกษ 17.12; 2พกษ 17.14; 2พกษ 17.15; 2พกษ 17.16; 2พกษ 17.17; 2พกษ 17.18; 2พกษ 17.19; 2พกษ 17.20; 2พกษ 17.21; 2พกษ 17.22; 2พกษ 17.24; 2พกษ 17.25; 2พกษ 17.26; 2พกษ 17.27; 2พกษ 17.28; 2พกษ 17.29; 2พกษ 17.32; 2พกษ 17.33; 2พกษ 17.34; 2พกษ 17.35; 2พกษ 17.40; 2พกษ 17.41; 2พกษ 18.4; 2พกษ 18.10; 2พกษ 18.12; 2พกษ 18.17; 2พกษ 18.18; 2พกษ 18.19; 2พกษ 18.21; 2พกษ 18.27; 2พกษ 18.29; 2พกษ 18.32; 2พกษ 18.34; 2พกษ 18.36; 2พกษ 19.3; 2พกษ 19.4; 2พกษ 19.6; 2พกษ 19.7; 2พกษ 19.8; 2พกษ 19.9; 2พกษ 19.12; 2พกษ 19.16; 2พกษ 19.18; 2พกษ 19.19; 2พกษ 19.26; 2พกษ 20.7; 2พกษ 20.13; 2พกษ 20.14; 2พกษ 20.15; 2พกษ 20.18; 2พกษ 21.8; 2พกษ 21.9; 2พกษ 21.12; 2พกษ 21.13; 2พกษ 21.14; 2พกษ 21.15; 2พกษ 21.18; 2พกษ 21.26; 2พกษ 22.4; 2พกษ 22.5; 2พกษ 22.7; 2พกษ 22.14; 2พกษ 22.15; 2พกษ 22.17; 2พกษ 22.18; 2พกษ 22.19; 2พกษ 22.20; 2พกษ 23.2; 2พกษ 23.9; 2พกษ 23.18; 2พกษ 24.2; 2พกษ 24.3; 2พกษ 25.1; 2พกษ 25.6; 2พกษ 25.7; 2พกษ 25.14; 2พกษ 25.21; 2พกษ 25.23; 2พกษ 25.24; 2พกษ 25.26; 1พศด 1.10; 1พศด 1.12; 1พศด 1.19; 1พศด 1.29; 1พศด 2.3; 1พศด 2.16; 1พศด 2.23; 1พศด 2.24; 1พศด 2.35; 1พศด 3.19; 1พศด 4.3; 1พศด 4.6; 1พศด 4.9; 1พศด 4.10; 1พศด 4.14; 1พศด 4.23; 1พศด 4.27; 1พศด 4.28; 1พศด 4.31; 1พศด 4.32; 1พศด 4.33; 1พศด 4.38; 1พศด 4.39; 1พศด 4.40; 1พศด 4.41; 1พศด 4.42; 1พศด 4.43; 1พศด 5.1; 1พศด 5.2; 1พศด 5.9; 1พศด 5.10; 1พศด 5.11; 1พศด 5.13; 1พศด 5.15; 1พศด 5.16; 1พศด 5.19; 1พศด 5.20; 1พศด 5.21; 1พศด 5.22; 1พศด 5.23; 1พศด 5.24; 1พศด 5.25; 1พศด 5.26; 1พศด 6.19; 1พศด 6.28; 1พศด 6.32; 1พศด 6.33; 1พศด 6.39; 1พศด 6.44; 1พศด 6.48; 1พศด 6.54; 1พศด 6.55; 1พศด 6.56; 1พศด 6.57; 1พศด 6.60; 1พศด 6.62; 1พศด 6.63; 1พศด 6.66; 1พศด 7.2; 1พศด 7.4; 1พศด 7.5; 1พศด 7.7; 1พศด 7.9; 1พศด 7.11; 1พศด 7.15; 1พศด 7.16; 1พศด 7.18; 1พศด 7.21; 1พศด 7.22; 1พศด 7.23; 1พศด 7.28; 1พศด 7.30; 1พศด 7.32; 1พศด 7.35; 1พศด 7.40; 1พศด 8.1; 1พศด 8.6; 1พศด 8.7; 1พศด 8.8; 1พศด 8.9; 1พศด 8.10; 1พศด 8.11; 1พศด 8.13; 1พศด 8.28; 1พศด 8.32; 1พศด 8.38; 1พศด 8.39; 1พศด 9.1; 1พศด 9.2; 1พศด 9.5; 1พศด 9.6; 1พศด 9.9; 1พศด 9.13; 1พศด 9.17; 1พศด 9.19; 1พศด 9.20; 1พศด 9.22; 1พศด 9.23; 1พศด 9.25; 1พศด 9.27; 1พศด 9.32; 1พศด 9.33; 1พศด 9.34; 1พศด 9.38; 1พศด 9.44; 1พศด 10.4; 1พศด 10.5; 1พศด 10.7; 1พศด 10.8; 1พศด 10.9; 1พศด 10.10; 1พศด 10.12; 1พศด 11.3; 1พศด 11.7; 1พศด 11.11; 1พศด 11.12; 1พศด 11.13; 1พศด 11.14; 1พศด 11.19; 1พศด 11.21; 1พศด 11.22; 1พศด 11.23; 1พศด 11.25; 1พศด 11.42; 1พศด 11.45; 1พศด 12.1; 1พศด 12.2; 1พศด 12.8; 1พศด 12.17; 1พศด 12.18; 1พศด 12.19; 1พศด 12.21; 1พศด 12.28; 1พศด 12.30; 1พศด 12.31; 1พศด 12.32; 1พศด 12.39; 1พศด 12.40; 1พศด 13.2; 1พศด 13.4; 1พศด 13.7; 1พศด 13.8; 1พศด 13.9; 1พศด 13.10; 1พศด 13.14; 1พศด 14.8; 1พศด 14.10; 1พศด 14.11; 1พศด 14.12; 1พศด 14.14; 1พศด 14.16; 1พศด 15.2; 1พศด 15.5; 1พศด 15.6; 1พศด 15.7; 1พศด 15.8; 1พศด 15.9; 1พศด 15.10; 1พศด 15.12; 1พศด 15.14; 1พศด 15.15; 1พศด 15.16; 1พศด 15.17; 1พศด 15.18; 1พศด 15.22; 1พศด 15.26; 1พศด 16.1; 1พศด 16.21; 1พศด 16.31; 1พศด 16.41; 1พศด 16.42; 1พศด 17.6; 1พศด 17.9; 1พศด 17.11; 1พศด 17.12; 1พศด 17.13; 1พศด 17.14; 1พศด 17.22; 1พศด 18.1; 1พศด 19.4; 1พศด 19.5; 1พศด 19.6; 1พศด 19.7; 1พศด 19.14; 1พศด 19.15; 1พศด 19.16; 1พศด 19.17; 1พศด 19.18; 1พศด 19.19; 1พศด 20.2; 1พศด 20.3; 1พศด 20.6; 1พศด 20.7; 1พศด 20.8; 1พศด 21.2; 1พศด 21.17; 1พศด 22.9; 1พศด 22.10; 1พศด 23.13; 1พศด 23.22; 1พศด 23.24; 1พศด 23.25; 1พศด 23.28; 1พศด 23.30; 1พศด 23.32; 1พศด 24.3; 1พศด 24.4; 1พศด 24.5; 1พศด 24.6; 1พศด 24.19; 1พศด 24.30; 1พศด 24.31; 1พศด 25.1; 1พศด 25.3; 1พศด 25.6; 1พศด 25.7; 1พศด 25.8; 1พศด 25.9; 1พศด 25.10; 1พศด 25.11; 1พศด 25.12; 1พศด 25.13; 1พศด 25.14; 1พศด 25.15; 1พศด 25.16; 1พศด 25.17; 1พศด 25.18; 1พศด 25.19; 1พศด 25.20; 1พศด 25.21; 1พศด 25.22; 1พศด 25.23; 1พศด 25.24; 1พศด 25.25; 1พศด 25.26; 1พศด 25.27; 1พศด 25.28; 1พศด 25.29; 1พศด 25.30; 1พศด 25.31; 1พศด 26.5; 1พศด 26.6; 1พศด 26.7; 1พศด 26.8; 1พศด 26.10; 1พศด 26.12; 1พศด 26.13; 1พศด 26.14; 1พศด 26.15; 1พศด 26.22; 1พศด 26.25; 1พศด 26.26; 1พศด 26.27; 1พศด 26.28; 1พศด 26.29; 1พศด 26.30; 1พศด 26.31; 1พศด 27.2; 1พศด 27.3; 1พศด 27.4; 1พศด 27.5; 1พศด 27.6; 1พศด 27.7; 1พศด 27.8; 1พศด 27.9; 1พศด 27.10; 1พศด 27.11; 1พศด 27.12; 1พศด 27.13; 1พศด 27.14; 1พศด 27.15; 1พศด 28.6; 1พศด 28.7; 1พศด 29.7; 1พศด 29.9; 1พศด 29.18; 1พศด 29.20; 1พศด 29.21; 1พศด 29.22; 2พศด 1.2; 2พศด 1.11; 2พศด 1.17; 2พศด 2.2; 2พศด 2.10; 2พศด 2.11; 2พศด 2.14; 2พศด 4.6; 2พศด 4.14; 2พศด 5.5; 2พศด 5.6; 2พศด 5.9; 2พศด 5.10; 2พศด 5.12; 2พศด 5.13; 2พศด 6.14; 2พศด 6.16; 2พศด 6.21; 2พศด 6.22; 2พศด 6.23; 2พศด 6.24; 2พศด 6.25; 2พศด 6.26; 2พศด 6.27; 2พศด 6.28; 2พศด 6.29; 2พศด 6.30; 2พศด 6.31; 2พศด 6.32; 2พศด 6.33; 2พศด 6.34; 2พศด 6.35; 2พศด 6.36; 2พศด 6.37; 2พศด 6.38; 2พศด 6.39; 2พศด 7.3; 2พศด 7.6; 2พศด 7.9; 2พศด 7.14; 2พศด 7.15; 2พศด 7.20; 2พศด 7.22; 2พศด 8.8; 2พศด 8.9; 2พศด 8.15; 2พศด 8.18; 2พศด 9.4; 2พศด 9.6; 2พศด 9.8; 2พศด 9.19; 2พศด 9.24; 2พศด 9.28; 2พศด 9.31; 2พศด 10.3; 2พศด 10.5; 2พศด 10.7; 2พศด 10.9; 2พศด 10.10; 2พศด 10.13; 2พศด 10.14; 2พศด 10.16; 2พศด 11.4; 2พศด 11.13; 2พศด 11.14; 2พศด 11.16; 2พศด 11.17; 2พศด 12.2; 2พศด 12.5; 2พศด 12.7; 2พศด 12.8; 2พศด 12.16; 2พศด 13.7; 2พศด 13.10; 2พศด 13.11; 2พศด 13.13; 2พศด 13.14; 2พศด 13.16; 2พศด 13.17; 2พศด 13.18; 2พศด 14.1; 2พศด 14.7; 2พศด 14.9; 2พศด 14.10; 2พศด 14.13; 2พศด 14.14; 2พศด 14.15; 2พศด 15.4; 2พศด 15.6; 2พศด 15.9; 2พศด 15.10; 2พศด 15.11; 2พศด 15.12; 2พศด 15.14; 2พศด 15.15; 2พศด 16.3; 2พศด 16.4; 2พศด 16.6; 2พศด 16.8; 2พศด 16.10; 2พศด 16.14; 2พศด 17.8; 2พศด 17.9; 2พศด 17.10; 2พศด 17.14; 2พศด 17.15; 2พศด 17.16; 2พศด 17.18; 2พศด 18.5; 2พศด 18.7; 2พศด 18.10; 2พศด 18.14; 2พศด 18.16; 2พศด 18.17; 2พศด 18.19; 2พศด 18.20; 2พศด 18.21; 2พศด 18.25; 2พศด 18.31; 2พศด 19.4; 2พศด 19.8; 2พศด 19.9; 2พศด 19.10; 2พศด 20.1; 2พศด 20.2; 2พศด 20.4; 2พศด 20.8; 2พศด 20.10; 2พศด 20.11; 2พศด 20.12; 2พศด 20.13; 2พศด 20.15; 2พศด 20.16; 2พศด 20.17; 2พศด 20.20; 2พศด 20.21; 2พศด 20.22; 2พศด 20.23; 2พศด 20.24; 2พศด 20.25; 2พศด 20.26; 2พศด 20.27; 2พศด 20.28; 2พศด 20.29; 2พศด 20.36; 2พศด 21.1; 2พศด 21.3; 2พศด 21.13; 2พศด 21.17; 2พศด 21.20; 2พศด 22.4; 2พศด 22.5; 2พศด 22.8; 2พศด 22.9; 2พศด 22.12; 2พศด 23.2; 2พศด 23.3; 2พศด 23.6; 2พศด 23.8; 2พศด 23.11; 2พศด 23.13; 2พศด 23.14; 2พศด 23.15; 2พศด 23.16; 2พศด 23.17; 2พศด 23.20; 2พศด 23.21; 2พศด 24.5; 2พศด 24.8; 2พศด 24.10; 2พศด 24.11; 2พศด 24.12; 2พศด 24.13; 2พศด 24.14; 2พศด 24.16; 2พศด 24.17; 2พศด 24.18; 2พศด 24.19; 2พศด 24.20; 2พศด 24.21; 2พศด 24.22; 2พศด 24.23; 2พศด 24.24; 2พศด 24.25; 2พศด 25.4; 2พศด 25.5; 2พศด 25.10; 2พศด 25.12; 2พศด 25.13; 2พศด 25.16; 2พศด 25.20; 2พศด 25.27; 2พศด 25.28; 2พศด 26.18; 2พศด 26.20; 2พศด 26.23; 2พศด 27.9; 2พศด 28.6; 2พศด 28.8; 2พศด 28.9; 2พศด 28.13; 2พศด 28.15; 2พศด 28.18; 2พศด 28.23; 2พศด 28.26; 2พศด 28.27; 2พศด 29.4; 2พศด 29.5; 2พศด 29.6; 2พศด 29.7; 2พศด 29.8; 2พศด 29.15; 2พศด 29.16; 2พศด 29.17; 2พศด 29.18; 2พศด 29.21; 2พศด 29.22; 2พศด 29.23; 2พศด 29.30; 2พศด 29.34; 2พศด 30.1; 2พศด 30.3; 2พศด 30.5; 2พศด 30.7; 2พศด 30.9; 2พศด 30.10; 2พศด 30.12; 2พศด 30.14; 2พศด 30.15; 2พศด 30.16; 2พศด 30.18; 2พศด 30.19; 2พศด 30.21; 2พศด 30.22; 2พศด 30.23; 2พศด 30.27; 2พศด 31.1; 2พศด 31.4; 2พศด 31.5; 2พศด 31.6; 2พศด 31.7; 2พศด 31.11; 2พศด 31.12; 2พศด 31.13; 2พศด 31.15; 2พศด 31.16; 2พศด 31.17; 2พศด 31.18; 2พศด 31.19; 2พศด 32.3; 2พศด 32.4; 2พศด 32.6; 2พศด 32.7; 2พศด 32.8; 2พศด 32.11; 2พศด 32.13; 2พศด 32.15; 2พศด 32.18; 2พศด 32.19; 2พศด 32.22; 2พศด 32.26; 2พศด 32.33; 2พศด 33.8; 2พศด 33.9; 2พศด 33.10; 2พศด 33.11; 2พศด 33.17; 2พศด 33.19; 2พศด 33.20; 2พศด 34.4; 2พศด 34.9; 2พศด 34.10; 2พศด 34.11; 2พศด 34.14; 2พศด 34.16; 2พศด 34.17; 2พศด 34.23; 2พศด 34.25; 2พศด 34.28; 2พศด 34.30; 2พศด 34.32; 2พศด 34.33; 2พศด 35.1; 2พศด 35.2; 2พศด 35.6; 2พศด 35.9; 2พศด 35.11; 2พศด 35.12; 2พศด 35.13; 2พศด 35.14; 2พศด 35.15; 2พศด 35.16; 2พศด 35.19; 2พศด 35.24; 2พศด 35.25; 2พศด 36.14; 2พศด 36.15; 2พศด 36.16; 2พศด 36.17; 2พศด 36.19; 2พศด 36.20; 2พศด 36.23; อสร 1.3; อสร 1.4; อสร 1.5; อสร 1.6; อสร 2.2; อสร 2.59; อสร 2.62; อสร 2.63; อสร 2.65; อสร 2.66; อสร 2.67; อสร 2.68; อสร 2.69; อสร 2.70; อสร 3.2; อสร 3.3; อสร 3.4; อสร 3.6; อสร 3.7; อสร 3.8; อสร 3.9; อสร 3.11; อสร 3.12; อสร 4.2; อสร 4.3; อสร 4.4; อสร 4.5; อสร 4.6; อสร 4.7; อสร 4.11; อสร 4.12; อสร 4.13; อสร 4.17; อสร 4.20; อสร 4.23; อสร 5.1; อสร 5.3; อสร 5.4; อสร 5.5; อสร 5.8; อสร 5.10; อสร 5.11; อสร 6.3; อสร 6.8; อสร 6.9; อสร 6.10; อสร 6.11; อสร 6.14; อสร 6.17; อสร 6.18; อสร 6.20; อสร 6.21; อสร 6.22; อสร 7.13; อสร 7.16; อสร 7.21; อสร 7.26; อสร 8.1; อสร 8.13; อสร 8.14; อสร 8.15; อสร 8.17; อสร 8.18; อสร 8.19; อสร 8.24; อสร 8.25; อสร 8.26; อสร 8.28; อสร 8.33; อสร 8.34; อสร 8.36; อสร 9.1; อสร 9.2; อสร 9.11; อสร 9.12; อสร 10.3; อสร 10.5; อสร 10.7; อสร 10.8; อสร 10.10; อสร 10.15; อสร 10.16; อสร 10.17; อสร 10.19; นหม 1.3; นหม 1.10; นหม 1.11; นหม 2.7; นหม 2.8; นหม 2.9; นหม 2.10; นหม 2.17; นหม 2.18; นหม 2.19; นหม 2.20; นหม 3.1; นหม 3.2; นหม 3.3; นหม 3.4; นหม 3.5; นหม 3.6; นหม 3.7; นหม 3.8; นหม 3.9; นหม 3.10; นหม 3.12; นหม 3.13; นหม 3.14; นหม 3.16; นหม 3.17; นหม 3.18; นหม 3.19; นหม 3.20; นหม 3.21; นหม 3.22; นหม 3.23; นหม 3.24; นหม 3.25; นหม 3.27; นหม 3.29; นหม 3.30; นหม 3.31; นหม 4.1; นหม 4.2; นหม 4.3; นหม 4.4; นหม 4.5; นหม 4.7; นหม 4.8; นหม 4.9; นหม 4.11; นหม 4.12; นหม 4.13; นหม 4.14; นหม 4.15; นหม 4.18; นหม 4.22; นหม 5.1; นหม 5.5; นหม 5.6; นหม 5.7; นหม 5.8; นหม 5.10; นหม 5.11; นหม 5.12; นหม 5.13; นหม 5.15; นหม 5.18; นหม 6.2; นหม 6.3; นหม 6.4; นหม 6.6; นหม 6.8; นหม 6.9; นหม 6.10; นหม 6.12; นหม 6.13; นหม 6.14; นหม 6.16; นหม 6.17; นหม 6.18; นหม 6.19; นหม 7.2; นหม 7.3; นหม 7.6; นหม 7.7; นหม 7.61; นหม 7.64; นหม 7.65; นหม 7.67; นหม 7.68; นหม 7.69; นหม 7.73; นหม 8.1; นหม 8.4; นหม 8.6; นหม 8.8; นหม 8.9; นหม 8.10; นหม 8.12; นหม 8.14; นหม 8.15; นหม 8.17; นหม 8.18; นหม 9.2; นหม 9.3; นหม 9.4; นหม 9.9; นหม 9.10; นหม 9.11; นหม 9.12; นหม 9.13; นหม 9.14; นหม 9.15; นหม 9.16; นหม 9.17; นหม 9.18; นหม 9.19; นหม 9.20; นหม 9.21; นหม 9.22; นหม 9.23; นหม 9.24; นหม 9.25; นหม 9.26; นหม 9.27; นหม 9.28; นหม 9.29; นหม 9.30; นหม 9.31; นหม 9.34; นหม 9.35; นหม 9.37; นหม 9.38; นหม 10.1; นหม 10.10; นหม 10.28; นหม 10.29; นหม 10.30; นหม 10.31; นหม 11.8; นหม 11.9; นหม 11.12; นหม 11.13; นหม 11.14; นหม 11.17; นหม 11.19; นหม 11.20; นหม 11.23; นหม 11.30; นหม 12.7; นหม 12.8; นหม 12.9; นหม 12.24; นหม 12.27; นหม 12.30; นหม 12.32; นหม 12.36; นหม 12.37; นหม 12.38; นหม 12.39; นหม 12.42; นหม 12.43; นหม 12.44; นหม 12.45; นหม 12.47; นหม 13.1; นหม 13.2; นหม 13.3; นหม 13.5; นหม 13.7; นหม 13.9; นหม 13.10; นหม 13.11; นหม 13.13; นหม 13.15; นหม 13.17; นหม 13.21; นหม 13.22; นหม 13.24; นหม 13.25; นหม 13.28; นหม 13.29; นหม 13.30; อสธ 1.17; อสธ 1.22; อสธ 2.8; อสธ 2.9; อสธ 2.16; อสธ 2.19; อสธ 2.20; อสธ 3.4; อสธ 3.7; อสธ 3.8; อสธ 3.9; อสธ 3.11; อสธ 3.12; อสธ 3.13; อสธ 4.8; อสธ 4.12; อสธ 4.13; อสธ 4.15; อสธ 5.8; อสธ 6.1; อสธ 6.6; อสธ 6.9; อสธ 6.13; อสธ 6.14; อสธ 7.8; อสธ 7.10; อสธ 8.7; อสธ 8.9; อสธ 8.11; อสธ 8.17; อสธ 9.1; อสธ 9.2; อสธ 9.3; อสธ 9.5; อสธ 9.10; อสธ 9.12; อสธ 9.15; อสธ 9.16; อสธ 9.17; อสธ 9.19; อสธ 9.21; อสธ 9.22; อสธ 9.23; อสธ 9.24; อสธ 9.26; อสธ 9.27; อสธ 9.28; อสธ 9.31; โยบ 1.4; โยบ 1.5; โยบ 1.6; โยบ 1.8; โยบ 1.10; โยบ 1.11; โยบ 1.12; โยบ 1.13; โยบ 1.16; โยบ 1.17; โยบ 1.18; โยบ 1.19; โยบ 2.1; โยบ 2.3; โยบ 2.4; โยบ 2.5; โยบ 2.6; โยบ 2.11; โยบ 2.12; โยบ 2.13; โยบ 3.18; โยบ 3.19; โยบ 3.22; โยบ 3.23; โยบ 4.9; โยบ 4.17; โยบ 4.18; โยบ 4.19; โยบ 4.20; โยบ 4.21; โยบ 5.3; โยบ 5.4; โยบ 5.5; โยบ 5.12; โยบ 5.13; โยบ 5.14; โยบ 5.15; โยบ 6.14; โยบ 6.18; โยบ 6.20; โยบ 7.1; โยบ 7.3; โยบ 7.10; โยบ 7.17; โยบ 7.18; โยบ 8.4; โยบ 8.10; โยบ 8.14; โยบ 8.15; โยบ 8.16; โยบ 8.17; โยบ 8.18; โยบ 8.19; โยบ 11.20; โยบ 12.4; โยบ 12.6; โยบ 12.20; โยบ 12.23; โยบ 12.24; โยบ 12.25; โยบ 14.2; โยบ 14.5; โยบ 14.6; โยบ 14.10; โยบ 14.12; โยบ 14.14; โยบ 14.20; โยบ 14.21; โยบ 14.22; โยบ 15.3; โยบ 15.14; โยบ 15.18; โยบ 15.19; โยบ 15.20; โยบ 15.21; โยบ 15.22; โยบ 15.23; โยบ 15.24; โยบ 15.25; โยบ 15.26; โยบ 15.27; โยบ 15.29; โยบ 15.30; โยบ 15.31; โยบ 15.32; โยบ 15.33; โยบ 15.35; โยบ 16.10; โยบ 16.21; โยบ 17.2; โยบ 17.4; โยบ 17.5; โยบ 17.9; โยบ 17.12; โยบ 18.5; โยบ 18.6; โยบ 18.7; โยบ 18.8; โยบ 18.9; โยบ 18.10; โยบ 18.11; โยบ 18.12; โยบ 18.13; โยบ 18.14; โยบ 18.15; โยบ 18.16; โยบ 18.17; โยบ 18.18; โยบ 18.19; โยบ 18.20; โยบ 19.12; โยบ 19.15; โยบ 19.16; โยบ 19.18; โยบ 19.19; โยบ 20.6; โยบ 20.7; โยบ 20.8; โยบ 20.9; โยบ 20.10; โยบ 20.11; โยบ 20.12; โยบ 20.13; โยบ 20.14; โยบ 20.15; โยบ 20.16; โยบ 20.17; โยบ 20.18; โยบ 20.19; โยบ 20.20; โยบ 20.21; โยบ 20.22; โยบ 20.23; โยบ 20.24; โยบ 20.25; โยบ 20.26; โยบ 20.27; โยบ 20.28; โยบ 20.29; โยบ 21.8; โยบ 21.9; โยบ 21.10; โยบ 21.11; โยบ 21.12; โยบ 21.13; โยบ 21.14; โยบ 21.15; โยบ 21.16; โยบ 21.17; โยบ 21.18; โยบ 21.19; โยบ 21.20; โยบ 21.21; โยบ 21.24; โยบ 21.26; โยบ 21.29; โยบ 21.30; โยบ 21.31; โยบ 21.32; โยบ 21.33; โยบ 22.16; โยบ 22.17; โยบ 22.18; โยบ 24.2; โยบ 24.3; โยบ 24.4; โยบ 24.5; โยบ 24.6; โยบ 24.7; โยบ 24.8; โยบ 24.10; โยบ 24.11; โยบ 24.12; โยบ 24.13; โยบ 24.14; โยบ 24.15; โยบ 24.16; โยบ 24.17; โยบ 24.18; โยบ 24.20; โยบ 24.21; โยบ 24.22; โยบ 24.23; โยบ 24.24; โยบ 27.8; โยบ 27.9; โยบ 27.10; โยบ 27.14; โยบ 27.15; โยบ 27.16; โยบ 27.17; โยบ 27.18; โยบ 27.19; โยบ 27.20; โยบ 27.21; โยบ 27.22; โยบ 27.23; โยบ 28.1; โยบ 28.2; โยบ 28.4; โยบ 28.10; โยบ 28.11; โยบ 29.6; โยบ 29.10; โยบ 29.12; โยบ 29.17; โยบ 29.22; โยบ 29.23; โยบ 29.24; โยบ 29.25; โยบ 30.1; โยบ 30.2; โยบ 30.3; โยบ 30.4; โยบ 30.5; โยบ 30.6; โยบ 30.7; โยบ 30.8; โยบ 30.9; โยบ 30.10; โยบ 30.11; โยบ 30.12; โยบ 30.13; โยบ 30.14; โยบ 30.15; โยบ 30.24; โยบ 30.25; โยบ 31.13; โยบ 31.15; โยบ 31.18; โยบ 31.20; โยบ 31.29; โยบ 31.30; โยบ 32.2; โยบ 32.3; โยบ 32.4; โยบ 32.5; โยบ 32.8; โยบ 32.13; โยบ 32.14; โยบ 32.15; โยบ 32.16; โยบ 33.15; โยบ 33.16; โยบ 33.17; โยบ 33.18; โยบ 33.19; โยบ 33.20; โยบ 33.21; โยบ 33.22; โยบ 33.23; โยบ 33.24; โยบ 33.25; โยบ 33.26; โยบ 33.28; โยบ 33.30; โยบ 34.9; โยบ 34.11; โยบ 34.14; โยบ 34.20; โยบ 34.21; โยบ 34.25; โยบ 34.26; โยบ 34.27; โยบ 34.28; โยบ 34.30; โยบ 34.35; โยบ 34.36; โยบ 34.37; โยบ 35.9; โยบ 35.12; โยบ 36.7; โยบ 36.8; โยบ 36.9; โยบ 36.10; โยบ 36.11; โยบ 36.12; โยบ 36.13; โยบ 36.14; โยบ 36.15; โยบ 36.20; โยบ 37.20; โยบ 38.15; โยบ 38.17; โยบ 40.2; โยบ 40.11; โยบ 40.12; โยบ 40.13; โยบ 41.6; โยบ 41.11; โยบ 41.25; โยบ 42.8; โยบ 42.11; โยบ 42.15; สดด 1.2; สดด 1.3; สดด 2.3; สดด 2.4; สดด 2.5; สดด 2.9; สดด 3.2; สดด 4.7; สดด 5.9; สดด 5.10; สดด 5.11; สดด 5.12; สดด 6.10; สดด 7.2; สดด 7.5; สดด 7.15; สดด 7.16; สดด 8.4; สดด 8.5; สดด 8.6; สดด 9.3; สดด 9.5; สดด 9.6; สดด 9.12; สดด 9.15; สดด 9.16; สดด 9.20; สดด 10.2; สดด 10.3; สดด 10.4; สดด 10.5; สดด 10.6; สดด 10.7; สดด 10.8; สดด 10.9; สดด 10.10; สดด 10.11; สดด 10.15; สดด 10.17; สดด 10.18; สดด 11.6; สดด 12.2; สดด 12.5; สดด 12.7; สดด 13.4; สดด 14.1; สดด 14.3; สดด 14.5; สดด 14.6; สดด 15.4; สดด 15.5; สดด 16.4; สดด 17.7; สดด 17.10; สดด 17.11; สดด 17.12; สดด 17.13; สดด 17.14; สดด 18.2; สดด 18.14; สดด 18.17; สดด 18.18; สดด 18.37; สดด 18.38; สดด 18.41; สดด 18.42; สดด 18.44; สดด 18.45; สดด 19.5; สดด 20.6; สดด 20.8; สดด 21.9; สดด 21.10; สดด 21.11; สดด 21.12; สดด 22.4; สดด 22.5; สดด 22.7; สดด 22.8; สดด 22.16; สดด 22.17; สดด 22.18; สดด 22.21; สดด 22.24; สดด 22.31; สดด 24.5; สดด 25.12; สดด 25.13; สดด 25.14; สดด 25.19; สดด 25.22; สดด 26.10; สดด 27.2; สดด 27.12; สดด 28.3; สดด 28.4; สดด 28.5; สดด 28.8; สดด 28.9; สดด 29.6; สดด 31.4; สดด 31.12; สดด 31.13; สดด 31.17; สดด 31.20; สดด 32.2; สดด 33.12; สดด 33.15; สดด 33.19; สดด 34.5; สดด 34.6; สดด 34.7; สดด 34.12; สดด 34.15; สดด 34.16; สดด 34.17; สดด 34.19; สดด 34.20; สดด 35.4; สดด 35.5; สดด 35.6; สดด 35.7; สดด 35.8; สดด 35.10; สดด 35.11; สดด 35.12; สดด 35.13; สดด 35.14; สดด 35.15; สดด 35.16; สดด 35.17; สดด 35.20; สดด 35.21; สดด 35.24; สดด 35.25; สดด 35.26; สดด 36.1; สดด 36.2; สดด 36.3; สดด 36.4; สดด 36.8; สดด 36.12; สดด 37.2; สดด 37.7; สดด 37.10; สดด 37.11; สดด 37.12; สดด 37.13; สดด 37.15; สดด 37.18; สดด 37.19; สดด 37.20; สดด 37.23; สดด 37.24; สดด 37.25; สดด 37.26; สดด 37.30; สดด 37.31; สดด 37.32; สดด 37.33; สดด 37.36; สดด 37.39; สดด 37.40; สดด 38.13; สดด 38.14; สดด 38.16; สดด 39.6; สดด 39.11; สดด 40.15; สดด 41.1; สดด 41.2; สดด 41.3; สดด 41.5; สดด 41.6; สดด 41.7; สดด 41.8; สดด 41.10; สดด 42.4; สดด 42.10; สดด 44.1; สดด 44.3; สดด 45.14; สดด 45.15; สดด 49.7; สดด 49.8; สดด 49.9; สดด 49.10; สดด 49.11; สดด 49.12; สดด 49.13; สดด 49.14; สดด 49.16; สดด 49.17; สดด 49.18; สดด 49.19; สดด 49.20; สดด 50.18; สดด 50.23; สดด 51.14; สดด 51.19; สดด 52.6; สดด 52.7; สดด 53.1; สดด 53.3; สดด 53.5; สดด 54.3; สดด 54.5; สดด 55.3; สดด 55.9; สดด 55.10; สดด 55.12; สดด 55.15; สดด 55.19; สดด 55.20; สดด 55.21; สดด 55.23; สดด 56.1; สดด 56.5; สดด 56.6; สดด 56.7; สดด 57.4; สดด 57.6; สดด 58.3; สดด 58.4; สดด 58.7; สดด 58.8; สดด 58.10; สดด 59.3; สดด 59.4; สดด 59.6; สดด 59.7; สดด 59.8; สดด 59.11; สดด 59.12; สดด 59.13; สดด 59.14; สดด 59.15; สดด 62.4; สดด 62.9; สดด 62.12; สดด 63.10; สดด 64.3; สดด 64.4; สดด 64.5; สดด 64.6; สดด 64.7; สดด 64.8; สดด 64.9; สดด 65.1; สดด 65.13; สดด 66.4; สดด 68.2; สดด 68.3; สดด 68.17; สดด 68.18; สดด 68.21; สดด 68.22; สดด 68.30; สดด 68.31; สดด 69.11; สดด 69.19; สดด 69.21; สดด 69.22; สดด 69.23; สดด 69.24; สดด 69.25; สดด 69.26; สดด 69.27; สดด 69.28; สดด 69.31; สดด 69.35; สดด 70.3; สดด 71.11; สดด 71.13; สดด 72.5; สดด 72.12; สดด 72.14; สดด 72.15; สดด 73.4; สดด 73.5; สดด 73.6; สดด 73.7; สดด 73.8; สดด 73.9; สดด 73.10; สดด 73.11; สดด 73.12; สดด 73.17; สดด 73.18; สดด 73.19; สดด 73.20; สดด 74.4; สดด 74.6; สดด 74.7; สดด 74.8; สดด 75.4; สดด 75.5; สดด 75.10; สดด 76.1; สดด 76.5; สดด 76.11; สดด 78.4; สดด 78.5; สดด 78.6; สดด 78.7; สดด 78.8; สดด 78.10; สดด 78.11; สดด 78.12; สดด 78.13; สดด 78.14; สดด 78.15; สดด 78.17; สดด 78.18; สดด 78.19; สดด 78.22; สดด 78.24; สดด 78.25; สดด 78.27; สดด 78.28; สดด 78.29; สดด 78.30; สดด 78.31; สดด 78.32; สดด 78.33; สดด 78.34; สดด 78.35; สดด 78.36; สดด 78.37; สดด 78.38; สดด 78.39; สดด 78.40; สดด 78.41; สดด 78.42; สดด 78.44; สดด 78.45; สดด 78.46; สดด 78.47; สดด 78.48; สดด 78.49; สดด 78.50; สดด 78.51; สดด 78.52; สดด 78.53; สดด 78.54; สดด 78.55; สดด 78.56; สดด 78.57; สดด 78.58; สดด 78.63; สดด 78.64; สดด 78.66; สดด 78.72; สดด 79.1; สดด 79.2; สดด 79.3; สดด 79.7; สดด 79.10; สดด 79.12; สดด 80.5; สดด 80.16; สดด 81.6; สดด 81.12; สดด 81.14; สดด 81.15; สดด 81.16; สดด 82.4; สดด 82.5; สดด 83.2; สดด 83.3; สดด 83.4; สดด 83.5; สดด 83.8; สดด 83.9; สดด 83.11; สดด 83.13; สดด 83.15; สดด 83.16; สดด 83.17; สดด 84.4; สดด 84.5; สดด 84.6; สดด 84.7; สดด 85.2; สดด 85.8; สดด 86.14; สดด 87.3; สดด 87.4; สดด 87.5; สดด 88.4; สดด 88.5; สดด 88.8; สดด 88.11; สดด 88.12; สดด 89.15; สดด 89.16; สดด 89.17; สดด 89.20; สดด 89.21; สดด 89.22; สดด 89.23; สดด 89.24; สดด 89.25; สดด 89.26; สดด 89.27; สดด 89.28; สดด 89.29; สดด 89.30; สดด 89.31; สดด 89.32; สดด 89.33; สดด 89.36; สดด 89.48; สดด 89.51; สดด 90.5; สดด 90.16; สดด 91.12; สดด 91.14; สดด 91.15; สดด 91.16; สดด 92.7; สดด 92.10; สดด 92.12; สดด 92.14; สดด 94.2; สดด 94.4; สดด 94.5; สดด 94.6; สดด 94.7; สดด 94.13; สดด 94.21; สดด 94.23; สดด 95.10; สดด 95.11; สดด 97.7; สดด 97.10; สดด 99.3; สดด 101.5; สดด 101.6; สดด 102.17; สดด 102.28; สดด 103.15; สดด 104.10; สดด 104.14; สดด 104.15; สดด 104.23; สดด 105.12; สดด 105.14; สดด 105.17; สดด 105.18; สดด 105.19; สดด 105.20; สดด 105.21; สดด 105.24; สดด 105.25; สดด 105.27; สดด 105.28; สดด 105.29; สดด 105.30; สดด 105.31; สดด 105.32; สดด 105.33; สดด 105.35; สดด 105.36; สดด 105.38; สดด 105.40; สดด 105.44; สดด 105.45; สดด 106.11; สดด 106.27; สดด 106.31; สดด 106.33; สดด 106.35; สดด 106.36; สดด 106.42; สดด 107.4; สดด 107.5; สดด 107.6; สดด 107.7; สดด 107.8; สดด 107.9; สดด 107.11; สดด 107.12; สดด 107.13; สดด 107.14; สดด 107.15; สดด 107.17; สดด 107.18; สดด 107.19; สดด 107.20; สดด 107.21; สดด 107.22; สดด 107.24; สดด 107.26; สดด 107.27; สดด 107.28; สดด 107.30; สดด 107.31; สดด 107.32; สดด 107.36; สดด 107.37; สดด 107.38; สดด 107.39; สดด 107.40; สดด 107.41; สดด 109.2; สดด 109.3; สดด 109.4; สดด 109.5; สดด 109.6; สดด 109.7; สดด 109.8; สดด 109.9; สดด 109.10; สดด 109.11; สดด 109.12; สดด 109.13; สดด 109.14; สดด 109.15; สดด 109.16; สดด 109.17; สดด 109.18; สดด 109.19; สดด 109.25; สดด 109.27; สดด 109.28; สดด 109.29; สดด 109.31; สดด 110.3; สดด 111.6; สดด 112.2; สดด 112.3; สดด 112.4; สดด 112.5; สดด 112.6; สดด 112.7; สดด 112.8; สดด 112.9; สดด 112.10; สดด 113.8; สดด 115.2; สดด 115.9; สดด 115.10; สดด 115.11; สดด 118.10; สดด 118.11; สดด 118.12; สดด 119.1; สดด 119.70; สดด 119.78; สดด 119.86; สดด 119.87; สดด 119.118; สดด 119.126; สดด 119.150; สดด 119.155; สดด 119.158; สดด 119.165; สดด 120.7; สดด 122.1; สดด 122.3; สดด 124.3; สดด 124.6; สดด 125.4; สดด 125.5; สดด 126.2; สดด 127.4; สดด 127.5; สดด 129.1; สดด 129.2; สดด 129.3; สดด 129.6; สดด 129.7; สดด 130.4; สดด 130.8; สดด 132.12; สดด 132.17; สดด 135.12; สดด 136.11; สดด 136.21; สดด 137.3; สดด 139.20; สดด 139.22; สดด 140.2; สดด 140.3; สดด 140.5; สดด 140.8; สดด 140.9; สดด 140.10; สดด 140.11; สดด 141.4; สดด 141.5; สดด 141.6; สดด 141.9; สดด 142.3; สดด 142.6; สดด 144.3; สดด 144.4; สดด 144.6; สดด 144.8; สดด 144.11; สดด 144.12; สดด 144.15; สดด 145.7; สดด 145.11; สดด 145.19; สดด 146.3; สดด 146.4; สดด 146.5; สดด 147.3; สดด 147.11; สดด 147.20; สดด 148.14; สดด 149.2; สดด 149.3; สดด 149.5; สดด 149.6; สดด 149.8; สดด 149.9; สภษ 1.6; สภษ 1.11; สภษ 1.12; สภษ 1.15; สภษ 1.16; สภษ 1.18; สภษ 1.28; สภษ 1.29; สภษ 1.30; สภษ 1.31; สภษ 1.32; สภษ 1.33; สภษ 2.15; สภษ 3.12; สภษ 3.30; สภษ 3.31; สภษ 4.16; สภษ 4.17; สภษ 4.19; สภษ 5.21; สภษ 5.22; สภษ 5.23; สภษ 6.13; สภษ 6.15; สภษ 6.27; สภษ 6.28; สภษ 6.30; สภษ 6.31; สภษ 6.33; สภษ 6.34; สภษ 6.35; สภษ 7.10; สภษ 7.13; สภษ 7.19; สภษ 7.20; สภษ 7.21; สภษ 7.22; สภษ 7.23; สภษ 8.21; สภษ 9.4; สภษ 9.8; สภษ 9.9; สภษ 9.15; สภษ 9.16; สภษ 9.18; สภษ 10.1; สภษ 10.15; สภษ 10.17; สภษ 10.18; สภษ 10.19; สภษ 10.24; สภษ 10.26; สภษ 11.3; สภษ 11.5; สภษ 11.6; สภษ 11.7; สภษ 11.9; สภษ 11.20; สภษ 11.25; สภษ 11.29; สภษ 12.8; สภษ 12.10; สภษ 12.14; สภษ 12.15; สภษ 12.18; สภษ 12.25; สภษ 12.26; สภษ 12.27; สภษ 13.3; สภษ 13.6; สภษ 13.8; สภษ 13.24; สภษ 14.2; สภษ 14.3; สภษ 14.7; สภษ 14.8; สภษ 14.14; สภษ 14.15; สภษ 14.26; สภษ 14.31; สภษ 14.32; สภษ 15.12; สภษ 15.24; สภษ 16.2; สภษ 16.5; สภษ 16.7; สภษ 16.9; สภษ 16.17; สภษ 16.23; สภษ 16.26; สภษ 16.27; สภษ 16.29; สภษ 16.30; สภษ 16.33; สภษ 17.5; สภษ 17.6; สภษ 17.11; สภษ 17.12; สภษ 17.16; สภษ 17.19; สภษ 17.24; สภษ 17.27; สภษ 17.28; สภษ 18.6; สภษ 18.7; สภษ 18.11; สภษ 18.13; สภษ 18.16; สภษ 18.17; สภษ 18.19; สภษ 18.20; สภษ 19.1; สภษ 19.3; สภษ 19.4; สภษ 19.7; สภษ 19.11; สภษ 19.13; สภษ 19.17; สภษ 19.18; สภษ 19.19; สภษ 19.23; สภษ 19.25; สภษ 19.26; สภษ 20.4; สภษ 20.6; สภษ 20.7; สภษ 20.11; สภษ 20.14; สภษ 20.16; สภษ 20.17; สภษ 20.20; สภษ 20.24; สภษ 20.26; สภษ 20.27; สภษ 20.29; สภษ 21.7; สภษ 21.10; สภษ 21.11; สภษ 21.12; สภษ 21.13; สภษ 21.22; สภษ 21.23; สภษ 21.25; สภษ 21.26; สภษ 21.27; สภษ 22.2; สภษ 22.3; สภษ 22.6; สภษ 22.8; สภษ 22.9; สภษ 22.11; สภษ 22.15; สภษ 22.22; สภษ 22.23; สภษ 22.25; สภษ 22.27; สภษ 22.29; สภษ 23.6; สภษ 23.7; สภษ 23.9; สภษ 23.11; สภษ 23.13; สภษ 23.14; สภษ 23.24; สภษ 23.35; สภษ 24.1; สภษ 24.2; สภษ 24.3; สภษ 24.7; สภษ 24.8; สภษ 24.12; สภษ 24.15; สภษ 24.17; สภษ 24.18; สภษ 24.25; สภษ 24.29; สภษ 25.7; สภษ 25.9; สภษ 25.13; สภษ 25.17; สภษ 25.18; สภษ 25.21; สภษ 25.22; สภษ 26.4; สภษ 26.5; สภษ 26.6; สภษ 26.14; สภษ 26.15; สภษ 26.17; สภษ 26.19; สภษ 26.25; สภษ 26.26; สภษ 26.27; สภษ 27.12; สภษ 27.13; สภษ 27.14; สภษ 27.22; สภษ 27.25; สภษ 28.4; สภษ 28.6; สภษ 28.7; สภษ 28.8; สภษ 28.9; สภษ 28.10; สภษ 28.11; สภษ 28.16; สภษ 28.17; สภษ 28.18; สภษ 28.22; สภษ 28.23; สภษ 28.24; สภษ 28.27; สภษ 28.28; สภษ 29.3; สภษ 29.5; สภษ 29.9; สภษ 29.10; สภษ 29.11; สภษ 29.16; สภษ 29.17; สภษ 29.19; สภษ 29.20; สภษ 29.21; สภษ 29.23; สภษ 29.24; สภษ 29.27; สภษ 30.1; สภษ 30.6; สภษ 30.10; สภษ 30.13; สภษ 30.14; สภษ 31.5; สภษ 31.7; สภษ 31.12; สภษ 31.29; ปญจ 1.3; ปญจ 1.10; ปญจ 1.14; ปญจ 2.3; ปญจ 2.12; ปญจ 2.14; ปญจ 2.17; ปญจ 2.19; ปญจ 2.22; ปญจ 2.23; ปญจ 2.24; ปญจ 2.26; ปญจ 3.9; ปญจ 3.12; ปญจ 3.13; ปญจ 3.18; ปญจ 3.22; ปญจ 4.1; ปญจ 4.8; ปญจ 4.9; ปญจ 4.10; ปญจ 4.11; ปญจ 4.12; ปญจ 5.1; ปญจ 5.8; ปญจ 5.9; ปญจ 5.12; ปญจ 5.14; ปญจ 5.15; ปญจ 5.16; ปญจ 5.17; ปญจ 5.20; ปญจ 6.2; ปญจ 6.3; ปญจ 6.4; ปญจ 6.6; ปญจ 6.7; ปญจ 6.10; ปญจ 7.14; ปญจ 8.1; ปญจ 8.6; ปญจ 8.7; ปญจ 8.9; ปญจ 8.10; ปญจ 8.11; ปญจ 8.12; ปญจ 8.13; ปญจ 8.16; ปญจ 8.17; ปญจ 9.1; ปญจ 9.3; ปญจ 9.5; ปญจ 9.6; ปญจ 9.11; ปญจ 9.12; ปญจ 9.16; ปญจ 10.1; ปญจ 10.3; ปญจ 10.10; ปญจ 10.13; ปญจ 10.14; ปญจ 10.15; ปญจ 10.19; ปญจ 11.8; ปญจ 12.4; ปญจ 12.5; พซม 1.2; พซม 1.6; พซม 2.3; พซม 2.4; พซม 2.6; พซม 2.7; พซม 2.8; พซม 2.9; พซม 2.14; พซม 2.16; พซม 3.1; พซม 3.2; พซม 3.3; พซม 3.4; พซม 3.5; พซม 3.8; พซม 4.8; พซม 4.16; พซม 5.4; พซม 5.6; พซม 5.7; พซม 5.8; พซม 5.10; พซม 5.11; พซม 5.12; พซม 5.13; พซม 5.14; พซม 5.15; พซม 5.16; พซม 6.2; พซม 6.3; พซม 7.10; พซม 8.3; พซม 8.4; พซม 8.8; พซม 8.10; อสย 1.2; อสย 1.4; อสย 1.23; อสย 1.26; อสย 2.4; อสย 2.6; อสย 2.7; อสย 2.8; อสย 2.9; อสย 2.12; อสย 2.20; อสย 2.21; อสย 2.22; อสย 3.4; อสย 3.6; อสย 3.7; อสย 3.8; อสย 3.9; อสย 3.10; อสย 3.11; อสย 3.12; อสย 3.16; อสย 3.17; อสย 4.1; อสย 4.3; อสย 5.8; อสย 5.11; อสย 5.12; อสย 5.13; อสย 5.14; อสย 5.23; อสย 5.24; อสย 5.25; อสย 5.26; อสย 5.27; อสย 5.28; อสย 5.29; อสย 5.30; อสย 6.6; อสย 6.7; อสย 6.10; อสย 7.2; อสย 7.4; อสย 7.6; อสย 7.14; อสย 7.22; อสย 7.25; อสย 8.7; อสย 8.12; อสย 8.15; อสย 8.19; อสย 8.20; อสย 8.21; อสย 8.22; อสย 9.2; อสย 9.3; อสย 9.4; อสย 9.11; อสย 9.12; อสย 9.13; อสย 9.16; อสย 9.17; อสย 9.20; อสย 10.2; อสย 10.4; อสย 10.5; อสย 10.6; อสย 10.7; อสย 10.8; อสย 10.10; อสย 10.11; อสย 10.12; อสย 10.13; อสย 10.16; อสย 10.17; อสย 10.18; อสย 10.19; อสย 10.20; อสย 10.24; อสย 10.25; อสย 10.26; อสย 10.27; อสย 10.28; อสย 10.29; อสย 10.30; อสย 10.32; อสย 11.1; อสย 11.14; อสย 11.16; อสย 13.2; อสย 13.5; อสย 13.8; อสย 13.11; อสย 13.15; อสย 13.16; อสย 13.17; อสย 13.18; อสย 13.20; อสย 14.1; อสย 14.2; อสย 14.7; อสย 14.9; อสย 14.13; อสย 14.17; อสย 14.20; อสย 14.21; อสย 14.22; อสย 14.25; อสย 14.31; อสย 15.2; อสย 15.3; อสย 15.4; อสย 15.5; อสย 15.7; อสย 16.4; อสย 16.6; อสย 16.10; อสย 16.12; อสย 16.14; อสย 17.3; อสย 17.4; อสย 17.5; อสย 17.7; อสย 17.8; อสย 17.9; อสย 17.14; อสย 18.2; อสย 18.3; อสย 18.6; อสย 18.7; อสย 19.1; อสย 19.2; อสย 19.3; อสย 19.4; อสย 19.10; อสย 19.12; อสย 19.14; อสย 19.16; อสย 19.17; อสย 19.18; อสย 19.20; อสย 19.21; อสย 19.22; อสย 20.5; อสย 21.2; อสย 21.6; อสย 21.7; อสย 21.8; อสย 21.9; อสย 21.14; อสย 21.15; อสย 22.3; อสย 22.15; อสย 22.21; อสย 22.22; อสย 22.23; อสย 22.24; อสย 23.1; อสย 23.5; อสย 23.13; อสย 23.15; อสย 23.16; อสย 24.2; อสย 24.5; อสย 24.9; อสย 24.14; อสย 24.22; อสย 25.4; อสย 25.9; อสย 25.11; อสย 26.1; อสย 26.3; อสย 26.10; อสย 26.11; อสย 26.14; อสย 26.16; อสย 26.19; อสย 26.21; อสย 27.5; อสย 27.7; อสย 27.8; อสย 27.9; อสย 27.11; อสย 27.13; อสย 28.1; อสย 28.4; อสย 28.6; อสย 28.7; อสย 28.9; อสย 28.12; อสย 28.13; อสย 28.16; อสย 28.24; อสย 28.25; อสย 28.26; อสย 28.27; อสย 28.28; อสย 29.7; อสย 29.8; อสย 29.9; อสย 29.11; อสย 29.12; อสย 29.13; อสย 29.14; อสย 29.15; อสย 29.16; อสย 29.18; อสย 29.21; อสย 29.22; อสย 29.23; อสย 30.1; อสย 30.4; อสย 30.5; อสย 30.6; อสย 30.7; อสย 30.8; อสย 30.9; อสย 30.26; อสย 30.32; อสย 31.1; อสย 31.3; อสย 31.4; อสย 31.8; อสย 31.9; อสย 32.5; อสย 32.6; อสย 32.7; อสย 32.8; อสย 32.12; อสย 33.1; อสย 33.2; อสย 33.6; อสย 33.7; อสย 33.8; อสย 33.9; อสย 33.15; อสย 33.16; อสย 33.18; อสย 33.23; อสย 33.24; อสย 34.2; อสย 34.3; อสย 34.7; อสย 34.12; อสย 35.1; อสย 35.8; อสย 35.10; อสย 36.4; อสย 36.6; อสย 36.12; อสย 36.14; อสย 36.19; อสย 36.21; อสย 37.3; อสย 37.4; อสย 37.6; อสย 37.7; อสย 37.8; อสย 37.9; อสย 37.12; อสย 37.17; อสย 37.18; อสย 37.19; อสย 37.20; อสย 37.27; อสย 38.19; อสย 38.21; อสย 39.2; อสย 39.3; อสย 39.4; อสย 39.7; อสย 40.6; อสย 40.17; อสย 40.19; อสย 40.20; อสย 40.24; อสย 40.25; อสย 40.31; อสย 41.1; อสย 41.2; อสย 41.3; อสย 41.5; อสย 41.7; อสย 41.11; อสย 41.12; อสย 41.17; อสย 41.20; อสย 41.22; อสย 41.25; อสย 41.26; อสย 41.27; อสย 42.11; อสย 42.12; อสย 42.16; อสย 42.17; อสย 42.20; อสย 42.22; อสย 42.24; อสย 42.25; อสย 43.7; อสย 43.8; อสย 43.9; อสย 43.14; อสย 43.17; อสย 43.21; อสย 44.4; อสย 44.6; อสย 44.7; อสย 44.9; อสย 44.11; อสย 44.12; อสย 44.13; อสย 44.14; อสย 44.15; อสย 44.16; อสย 44.17; อสย 44.18; อสย 44.20; อสย 44.25; อสย 44.28; อสย 45.9; อสย 45.11; อสย 45.14; อสย 45.16; อสย 45.20; อสย 45.21; อสย 46.6; อสย 46.7; อสย 47.1; อสย 47.3; อสย 47.5; อสย 47.6; อสย 47.13; อสย 47.14; อสย 47.15; อสย 48.1; อสย 48.2; อสย 48.8; อสย 48.19; อสย 48.21; อสย 49.9; อสย 49.10; อสย 49.18; อสย 49.22; อสย 49.23; อสย 49.26; อสย 50.8; อสย 50.9; อสย 50.10; อสย 51.2; อสย 51.5; อสย 51.6; อสย 51.7; อสย 51.8; อสย 51.11; อสย 51.13; อสย 51.14; อสย 51.20; อสย 51.23; อสย 52.4; อสย 52.5; อสย 52.6; อสย 52.8; อสย 52.15; อสย 53.1; อสย 53.9; อสย 53.11; อสย 54.2; อสย 54.4; อสย 54.5; อสย 54.15; อสย 54.17; อสย 55.7; อสย 56.2; อสย 56.5; อสย 56.7; อสย 56.8; อสย 56.10; อสย 56.11; อสย 56.12; อสย 57.2; อสย 57.17; อสย 57.18; อสย 57.19; อสย 58.1; อสย 58.2; อสย 58.3; อสย 58.5; อสย 58.7; อสย 59.4; อสย 59.5; อสย 59.6; อสย 59.7; อสย 59.8; อสย 59.18; อสย 59.19; อสย 59.21; อสย 60.2; อสย 60.4; อสย 60.6; อสย 60.9; อสย 60.10; อสย 60.14; อสย 60.18; อสย 60.21; อสย 61.3; อสย 61.4; อสย 61.6; อสย 61.7; อสย 61.8; อสย 61.9; อสย 62.2; อสย 62.4; อสย 62.6; อสย 62.12; อสย 63.3; อสย 63.6; อสย 63.8; อสย 63.9; อสย 63.10; อสย 63.11; อสย 63.12; อสย 63.13; อสย 63.14; อสย 63.19; อสย 64.5; อสย 65.1; อสย 65.4; อสย 65.6; อสย 65.7; อสย 65.8; อสย 65.21; อสย 65.22; อสย 65.23; อสย 65.24; อสย 66.2; อสย 66.3; อสย 66.4; อสย 66.5; อสย 66.14; อสย 66.15; อสย 66.18; อสย 66.19; อสย 66.20; อสย 66.21; อสย 66.24; ยรม 1.8; ยรม 1.15; ยรม 1.16; ยรม 1.17; ยรม 1.19; ยรม 2.3; ยรม 2.5; ยรม 2.6; ยรม 2.11; ยรม 2.13; ยรม 2.14; ยรม 2.15; ยรม 2.26; ยรม 2.27; ยรม 2.30; ยรม 2.37; ยรม 3.1; ยรม 3.16; ยรม 3.17; ยรม 3.18; ยรม 3.21; ยรม 3.24; ยรม 4.2; ยรม 4.7; ยรม 4.10; ยรม 4.11; ยรม 4.12; ยรม 4.13; ยรม 4.16; ยรม 4.17; ยรม 4.22; ยรม 4.29; ยรม 4.30; ยรม 5.2; ยรม 5.3; ยรม 5.4; ยรม 5.5; ยรม 5.6; ยรม 5.7; ยรม 5.8; ยรม 5.9; ยรม 5.12; ยรม 5.13; ยรม 5.14; ยรม 5.15; ยรม 5.16; ยรม 5.17; ยรม 5.19; ยรม 5.23; ยรม 5.24; ยรม 5.26; ยรม 5.27; ยรม 5.28; ยรม 5.29; ยรม 5.31; ยรม 6.3; ยรม 6.9; ยรม 6.10; ยรม 6.12; ยรม 6.14; ยรม 6.15; ยรม 6.16; ยรม 6.17; ยรม 6.18; ยรม 6.19; ยรม 6.21; ยรม 6.23; ยรม 6.27; ยรม 6.28; ยรม 6.29; ยรม 6.30; ยรม 7.5; ยรม 7.16; ยรม 7.17; ยรม 7.18; ยรม 7.19; ยรม 7.22; ยรม 7.23; ยรม 7.24; ยรม 7.25; ยรม 7.26; ยรม 7.27; ยรม 7.28; ยรม 7.30; ยรม 7.31; ยรม 7.32; ยรม 8.1; ยรม 8.2; ยรม 8.3; ยรม 8.4; ยรม 8.5; ยรม 8.6; ยรม 8.8; ยรม 8.9; ยรม 8.10; ยรม 8.11; ยรม 8.12; ยรม 8.13; ยรม 8.16; ยรม 8.19; ยรม 9.2; ยรม 9.3; ยรม 9.5; ยรม 9.6; ยรม 9.7; ยรม 9.8; ยรม 9.9; ยรม 9.12; ยรม 9.13; ยรม 9.14; ยรม 9.15; ยรม 9.16; ยรม 9.18; ยรม 9.24; ยรม 10.3; ยรม 10.4; ยรม 10.7; ยรม 10.8; ยรม 10.9; ยรม 10.11; ยรม 10.14; ยรม 10.18; ยรม 10.20; ยรม 10.21; ยรม 10.23; ยรม 10.25; ยรม 11.3; ยรม 11.4; ยรม 11.5; ยรม 11.7; ยรม 11.8; ยรม 11.10; ยรม 11.11; ยรม 11.12; ยรม 11.14; ยรม 11.17; ยรม 11.18; ยรม 11.19; ยรม 11.20; ยรม 11.22; ยรม 11.23; ยรม 12.2; ยรม 12.3; ยรม 12.4; ยรม 12.5; ยรม 12.6; ยรม 12.8; ยรม 12.10; ยรม 12.11; ยรม 12.13; ยรม 12.14; ยรม 12.15; ยรม 12.16; ยรม 12.17; ยรม 13.11; ยรม 13.12; ยรม 13.13; ยรม 13.14; ยรม 13.20; ยรม 13.21; ยรม 13.24; ยรม 14.3; ยรม 14.4; ยรม 14.8; ยรม 14.9; ยรม 14.10; ยรม 14.12; ยรม 14.13; ยรม 14.14; ยรม 14.15; ยรม 14.16; ยรม 14.17; ยรม 14.18; ยรม 15.1; ยรม 15.2; ยรม 15.3; ยรม 15.4; ยรม 15.7; ยรม 15.8; ยรม 15.9; ยรม 15.10; ยรม 15.16; ยรม 15.19; ยรม 15.20; ยรม 16.4; ยรม 16.6; ยรม 16.7; ยรม 16.8; ยรม 16.10; ยรม 16.11; ยรม 16.15; ยรม 16.16; ยรม 16.17; ยรม 16.18; ยรม 16.21; ยรม 17.1; ยรม 17.2; ยรม 17.5; ยรม 17.6; ยรม 17.7; ยรม 17.8; ยรม 17.10; ยรม 17.11; ยรม 17.13; ยรม 17.15; ยรม 17.18; ยรม 17.20; ยรม 17.23; ยรม 18.3; ยรม 18.4; ยรม 18.12; ยรม 18.15; ยรม 18.16; ยรม 18.17; ยรม 18.18; ยรม 18.20; ยรม 18.21; ยรม 18.22; ยรม 18.23; ยรม 19.4; ยรม 19.5; ยรม 19.7; ยรม 19.8; ยรม 19.9; ยรม 19.11; ยรม 19.13; ยรม 19.15; ยรม 20.4; ยรม 20.5; ยรม 20.6; ยรม 20.7; ยรม 20.10; ยรม 20.11; ยรม 20.12; ยรม 20.15; ยรม 20.16; ยรม 20.17; ยรม 21.3; ยรม 21.7; ยรม 22.7; ยรม 22.9; ยรม 22.10; ยรม 22.12; ยรม 22.13; ยรม 22.16; ยรม 22.18; ยรม 22.25; ยรม 22.27; ยรม 22.28; ยรม 22.30; ยรม 23.3; ยรม 23.4; ยรม 23.7; ยรม 23.8; ยรม 23.10; ยรม 23.11; ยรม 23.12; ยรม 23.13; ยรม 23.14; ยรม 23.15; ยรม 23.16; ยรม 23.17; ยรม 23.21; ยรม 23.22; ยรม 23.24; ยรม 23.26; ยรม 23.27; ยรม 23.31; ยรม 23.32; ยรม 23.33; ยรม 23.34; ยรม 24.1; ยรม 24.6; ยรม 24.7; ยรม 24.8; ยรม 24.9; ยรม 24.10; ยรม 25.9; ยรม 25.12; ยรม 25.14; ยรม 25.16; ยรม 25.27; ยรม 25.28; ยรม 25.30; ยรม 25.33; ยรม 25.36; ยรม 25.38; ยรม 26.2; ยรม 26.3; ยรม 26.4; ยรม 26.5; ยรม 26.11; ยรม 26.16; ยรม 26.19; ยรม 26.23; ยรม 27.4; ยรม 27.6; ยรม 27.7; ยรม 27.8; ยรม 27.10; ยรม 27.11; ยรม 27.12; ยรม 27.14; ยรม 27.15; ยรม 27.16; ยรม 27.17; ยรม 27.18; ยรม 28.13; ยรม 28.14; ยรม 29.4; ยรม 29.8; ยรม 29.9; ยรม 29.17; ยรม 29.18; ยรม 29.19; ยรม 29.21; ยรม 29.22; ยรม 29.23; ยรม 29.26; ยรม 29.28; ยรม 29.31; ยรม 29.32; ยรม 30.3; ยรม 30.7; ยรม 30.8; ยรม 30.9; ยรม 30.10; ยรม 30.11; ยรม 30.14; ยรม 30.16; ยรม 30.17; ยรม 30.18; ยรม 30.19; ยรม 30.20; ยรม 30.21; ยรม 31.1; ยรม 31.2; ยรม 31.8; ยรม 31.9; ยรม 31.10; ยรม 31.11; ยรม 31.12; ยรม 31.13; ยรม 31.16; ยรม 31.17; ยรม 31.20; ยรม 31.23; ยรม 31.24; ยรม 31.28; ยรม 31.29; ยรม 31.32; ยรม 31.33; ยรม 31.34; ยรม 31.37; ยรม 32.3; ยรม 32.5; ยรม 32.9; ยรม 32.13; ยรม 32.19; ยรม 32.22; ยรม 32.23; ยรม 32.28; ยรม 32.29; ยรม 32.30; ยรม 32.32; ยรม 32.33; ยรม 32.34; ยรม 32.35; ยรม 32.37; ยรม 32.38; ยรม 32.39; ยรม 32.40; ยรม 32.41; ยรม 32.42; ยรม 32.44; ยรม 33.5; ยรม 33.6; ยรม 33.7; ยรม 33.8; ยรม 33.9; ยรม 33.11; ยรม 33.12; ยรม 33.16; ยรม 33.24; ยรม 33.26; ยรม 34.2; ยรม 34.3; ยรม 34.5; ยรม 34.8; ยรม 34.10; ยรม 34.11; ยรม 34.13; ยรม 34.14; ยรม 34.16; ยรม 34.18; ยรม 34.20; ยรม 34.21; ยรม 34.22; ยรม 35.2; ยรม 35.3; ยรม 35.4; ยรม 35.5; ยรม 35.6; ยรม 35.14; ยรม 35.15; ยรม 35.16; ยรม 35.17; ยรม 36.3; ยรม 36.6; ยรม 36.7; ยรม 36.8; ยรม 36.9; ยรม 36.14; ยรม 36.15; ยรม 36.16; ยรม 36.17; ยรม 36.18; ยรม 36.20; ยรม 36.21; ยรม 36.31; ยรม 37.5; ยรม 37.7; ยรม 37.8; ยรม 37.9; ยรม 37.10; ยรม 37.15; ยรม 37.21; ยรม 38.2; ยรม 38.4; ยรม 38.6; ยรม 38.7; ยรม 38.9; ยรม 38.10; ยรม 38.11; ยรม 38.13; ยรม 38.17; ยรม 38.18; ยรม 38.19; ยรม 38.20; ยรม 38.22; ยรม 38.23; ยรม 38.26; ยรม 38.27; ยรม 39.4; ยรม 39.5; ยรม 39.10; ยรม 39.14; ยรม 39.17; ยรม 40.1; ยรม 40.5; ยรม 40.6; ยรม 40.7; ยรม 40.8; ยรม 40.9; ยรม 40.11; ยรม 40.12; ยรม 40.14; ยรม 40.15; ยรม 41.1; ยรม 41.2; ยรม 41.6; ยรม 41.7; ยรม 41.8; ยรม 41.9; ยรม 41.10; ยรม 41.11; ยรม 41.12; ยรม 41.13; ยรม 41.14; ยรม 41.17; ยรม 41.18; ยรม 42.4; ยรม 42.5; ยรม 42.9; ยรม 42.11; ยรม 42.12; ยรม 42.17; ยรม 43.1; ยรม 43.3; ยรม 43.5; ยรม 43.7; ยรม 43.10; ยรม 44.3; ยรม 44.4; ยรม 44.5; ยรม 44.9; ยรม 44.10; ยรม 44.12; ยรม 44.14; ยรม 44.27; ยรม 44.28; ยรม 44.30; ยรม 45.1; ยรม 45.4; ยรม 46.5; ยรม 46.6; ยรม 46.8; ยรม 46.10; ยรม 46.12; ยรม 46.15; ยรม 46.16; ยรม 46.17; ยรม 46.18; ยรม 46.21; ยรม 46.23; ยรม 46.26; ยรม 46.27; ยรม 47.3; ยรม 47.5; ยรม 48.5; ยรม 48.7; ยรม 48.12; ยรม 48.13; ยรม 48.16; ยรม 48.17; ยรม 48.18; ยรม 48.25; ยรม 48.26; ยรม 48.27; ยรม 48.29; ยรม 48.30; ยรม 48.34; ยรม 48.35; ยรม 48.36; ยรม 48.39; ยรม 48.42; ยรม 48.44; ยรม 49.1; ยรม 49.2; ยรม 49.3; ยรม 49.5; ยรม 49.7; ยรม 49.8; ยรม 49.9; ยรม 49.10; ยรม 49.11; ยรม 49.13; ยรม 49.19; ยรม 49.20; ยรม 49.21; ยรม 49.23; ยรม 49.29; ยรม 49.32; ยรม 49.35; ยรม 49.36; ยรม 49.37; ยรม 49.38; ยรม 50.4; ยรม 50.5; ยรม 50.6; ยรม 50.7; ยรม 50.9; ยรม 50.17; ยรม 50.19; ยรม 50.21; ยรม 50.24; ยรม 50.28; ยรม 50.32; ยรม 50.33; ยรม 50.34; ยรม 50.36; ยรม 50.37; ยรม 50.38; ยรม 50.42; ยรม 50.43; ยรม 50.44; ยรม 50.45; ยรม 51.2; ยรม 51.3; ยรม 51.4; ยรม 51.5; ยรม 51.14; ยรม 51.17; ยรม 51.23; ยรม 51.24; ยรม 51.26; ยรม 51.30; ยรม 51.38; ยรม 51.39; ยรม 51.40; ยรม 51.55; ยรม 51.56; ยรม 51.57; ยรม 51.59; ยรม 51.64; ยรม 52.3; ยรม 52.7; ยรม 52.9; ยรม 52.13; ยรม 52.18; ยรม 52.27; พคค 1.1; พคค 1.2; พคค 1.8; พคค 1.10; พคค 1.11; พคค 1.14; พคค 1.17; พคค 1.19; พคค 1.21; พคค 1.22; พคค 2.3; พคค 2.5; พคค 2.7; พคค 2.10; พคค 2.12; พคค 2.14; พคค 2.15; พคค 2.16; พคค 2.17; พคค 2.18; พคค 2.21; พคค 3.14; พคค 3.28; พคค 3.29; พคค 3.30; พคค 3.53; พคค 3.59; พคค 3.60; พคค 3.63; พคค 3.64; พคค 3.65; พคค 3.66; พคค 4.4; พคค 4.7; พคค 4.8; พคค 4.14; พคค 4.15; พคค 4.16; พคค 4.19; พคค 4.20; พคค 5.4; พคค 5.7; พคค 5.8; พคค 5.11; อสค 2.3; อสค 2.4; อสค 2.5; อสค 2.6; อสค 2.7; อสค 3.4; อสค 3.6; อสค 3.7; อสค 3.8; อสค 3.9; อสค 3.11; อสค 3.15; อสค 3.17; อสค 3.18; อสค 3.19; อสค 3.20; อสค 3.21; อสค 3.25; อสค 3.26; อสค 3.27; อสค 4.5; อสค 4.12; อสค 4.13; อสค 4.16; อสค 4.17; อสค 5.10; อสค 5.12; อสค 5.13; อสค 5.15; อสค 6.5; อสค 6.9; อสค 6.10; อสค 6.11; อสค 6.12; อสค 6.13; อสค 6.14; อสค 7.11; อสค 7.13; อสค 7.14; อสค 7.18; อสค 7.19; อสค 7.20; อสค 7.21; อสค 7.22; อสค 7.24; อสค 7.25; อสค 7.26; อสค 7.27; อสค 8.6; อสค 8.9; อสค 8.11; อสค 8.12; อสค 8.13; อสค 8.16; อสค 8.17; อสค 8.18; อสค 9.2; อสค 9.4; อสค 9.6; อสค 9.7; อสค 9.8; อสค 9.9; อสค 9.10; อสค 10.13; อสค 11.4; อสค 11.7; อสค 11.16; อสค 11.18; อสค 11.19; อสค 11.20; อสค 11.21; อสค 12.2; อสค 12.3; อสค 12.4; อสค 12.5; อสค 12.6; อสค 12.7; อสค 12.10; อสค 12.11; อสค 12.12; อสค 12.14; อสค 12.15; อสค 12.16; อสค 12.19; อสค 12.23; อสค 12.27; อสค 12.28; อสค 13.6; อสค 13.9; อสค 13.10; อสค 13.12; อสค 13.17; อสค 13.20; อสค 13.21; อสค 13.22; อสค 14.3; อสค 14.4; อสค 14.5; อสค 14.7; อสค 14.8; อสค 14.9; อสค 14.10; อสค 14.11; อสค 14.14; อสค 14.16; อสค 14.18; อสค 14.20; อสค 14.22; อสค 14.23; อสค 15.3; อสค 15.4; อสค 15.7; อสค 15.8; อสค 16.4; อสค 16.27; อสค 16.28; อสค 16.33; อสค 16.37; อสค 16.38; อสค 16.39; อสค 16.40; อสค 16.41; อสค 16.47; อสค 16.48; อสค 16.50; อสค 16.51; อสค 16.52; อสค 16.53; อสค 16.54; อสค 17.12; อสค 17.13; อสค 17.17; อสค 17.19; อสค 17.20; อสค 17.21; อสค 18.7; อสค 18.8; อสค 18.9; อสค 18.10; อสค 18.13; อสค 18.14; อสค 18.17; อสค 18.18; อสค 18.19; อสค 18.21; อสค 18.22; อสค 18.23; อสค 18.24; อสค 18.26; อสค 18.27; อสค 18.28; อสค 19.4; อสค 19.7; อสค 19.8; อสค 19.9; อสค 20.3; อสค 20.4; อสค 20.5; อสค 20.6; อสค 20.7; อสค 20.8; อสค 20.9; อสค 20.10; อสค 20.11; อสค 20.12; อสค 20.13; อสค 20.14; อสค 20.15; อสค 20.16; อสค 20.17; อสค 20.18; อสค 20.21; อสค 20.22; อสค 20.23; อสค 20.24; อสค 20.25; อสค 20.26; อสค 20.27; อสค 20.28; อสค 20.29; อสค 20.30; อสค 20.38; อสค 20.40; อสค 20.49; อสค 21.6; อสค 21.7; อสค 21.9; อสค 21.15; อสค 21.23; อสค 21.28; อสค 21.29; อสค 22.6; อสค 22.10; อสค 22.11; อสค 22.18; อสค 22.20; อสค 22.25; อสค 22.26; อสค 22.28; อสค 22.29; อสค 22.30; อสค 22.31; อสค 23.8; อสค 23.10; อสค 23.15; อสค 23.16; อสค 23.17; อสค 23.20; อสค 23.22; อสค 23.24; อสค 23.25; อสค 23.26; อสค 23.27; อสค 23.29; อสค 23.30; อสค 23.36; อสค 23.37; อสค 23.40; อสค 23.42; อสค 23.43; อสค 23.44; อสค 23.47; อสค 24.3; อสค 24.14; อสค 24.20; อสค 24.24; อสค 24.25; อสค 24.27; อสค 25.2; อสค 25.4; อสค 25.9; อสค 25.11; อสค 25.12; อสค 25.14; อสค 25.17; อสค 26.4; อสค 26.6; อสค 26.12; อสค 26.17; อสค 26.21; อสค 27.5; อสค 27.8; อสค 27.10; อสค 27.11; อสค 27.12; อสค 27.13; อสค 27.15; อสค 27.16; อสค 27.17; อสค 27.19; อสค 27.21; อสค 27.22; อสค 27.29; อสค 27.30; อสค 27.31; อสค 27.32; อสค 27.35; อสค 28.7; อสค 28.8; อสค 28.19; อสค 28.22; อสค 28.23; อสค 28.24; อสค 28.25; อสค 28.26; อสค 29.7; อสค 29.9; อสค 29.12; อสค 29.13; อสค 29.14; อสค 29.15; อสค 29.16; อสค 29.19; อสค 29.20; อสค 29.21; อสค 30.4; อสค 30.5; อสค 30.6; อสค 30.8; อสค 30.9; อสค 30.11; อสค 30.19; อสค 30.22; อสค 30.23; อสค 30.24; อสค 30.25; อสค 30.26; อสค 31.17; อสค 32.3; อสค 32.10; อสค 32.12; อสค 32.14; อสค 32.15; อสค 32.16; อสค 32.18; อสค 32.20; อสค 32.21; อสค 32.24; อสค 32.25; อสค 32.26; อสค 32.27; อสค 32.29; อสค 32.30; อสค 32.32; อสค 33.2; อสค 33.3; อสค 33.5; อสค 33.6; อสค 33.8; อสค 33.9; อสค 33.11; อสค 33.12; อสค 33.13; อสค 33.14; อสค 33.15; อสค 33.16; อสค 33.17; อสค 33.18; อสค 33.19; อสค 33.25; อสค 33.27; อสค 33.29; อสค 33.31; อสค 33.32; อสค 33.33; อสค 34.2; อสค 34.4; อสค 34.10; อสค 34.12; อสค 34.13; อสค 34.14; อสค 34.15; อสค 34.16; อสค 34.20; อสค 34.21; อสค 34.22; อสค 34.23; อสค 34.24; อสค 34.25; อสค 34.26; อสค 34.27; อสค 34.28; อสค 34.29; อสค 34.30; อสค 35.5; อสค 35.8; อสค 35.10; อสค 35.11; อสค 35.15; อสค 36.3; อสค 36.5; อสค 36.8; อสค 36.12; อสค 36.17; อสค 36.18; อสค 36.19; อสค 36.20; อสค 36.21; อสค 36.23; อสค 36.35; อสค 36.38; อสค 37.9; อสค 37.11; อสค 37.12; อสค 37.19; อสค 37.20; อสค 37.21; อสค 37.22; อสค 37.23; อสค 37.24; อสค 37.25; อสค 37.26; อสค 37.27; อสค 37.28; อสค 38.2; อสค 38.5; อสค 38.6; อสค 38.7; อสค 38.16; อสค 38.17; อสค 38.21; อสค 38.22; อสค 38.23; อสค 39.6; อสค 39.9; อสค 39.10; อสค 39.11; อสค 39.12; อสค 39.13; อสค 39.14; อสค 39.15; อสค 39.16; อสค 39.21; อสค 39.22; อสค 39.23; อสค 39.24; อสค 39.26; อสค 39.27; อสค 39.28; อสค 39.29; อสค 40.1; อสค 40.3; อสค 40.40; อสค 40.41; อสค 40.42; อสค 40.43; อสค 42.13; อสค 42.14; อสค 43.7; อสค 43.8; อสค 43.9; อสค 43.10; อสค 43.11; อสค 43.26; อสค 43.27; อสค 44.10; อสค 44.11; อสค 44.12; อสค 44.13; อสค 44.14; อสค 44.15; อสค 44.16; อสค 44.17; อสค 44.18; อสค 44.19; อสค 44.20; อสค 44.23; อสค 44.24; อสค 44.25; อสค 44.26; อสค 44.27; อสค 44.28; อสค 44.29; อสค 45.4; อสค 45.5; อสค 45.9; อสค 45.15; อสค 45.17; อสค 46.9; อสค 46.16; อสค 46.18; อสค 46.20; อสค 47.22; อสค 47.23; อสค 48.12; อสค 48.14; อสค 48.19; อสค 48.29; ดนล 1.4; ดนล 1.5; ดนล 1.8; ดนล 1.12; ดนล 1.14; ดนล 1.16; ดนล 1.18; ดนล 1.19; ดนล 1.20; ดนล 2.2; ดนล 2.3; ดนล 2.7; ดนล 2.13; ดนล 2.18; ดนล 3.3; ดนล 3.9; ดนล 3.12; ดนล 3.13; ดนล 3.14; ดนล 3.20; ดนล 3.21; ดนล 3.24; ดนล 3.25; ดนล 3.27; ดนล 3.28; ดนล 3.29; ดนล 4.7; ดนล 4.8; ดนล 4.15; ดนล 4.16; ดนล 4.23; ดนล 5.3; ดนล 5.4; ดนล 5.8; ดนล 5.11; ดนล 5.12; ดนล 5.13; ดนล 5.15; ดนล 5.29; ดนล 6.5; ดนล 6.12; ดนล 6.13; ดนล 6.16; ดนล 6.17; ดนล 6.23; ดนล 6.24; ดนล 7.7; ดนล 7.8; ดนล 7.11; ดนล 7.13; ดนล 7.20; ดนล 7.21; ดนล 7.24; ดนล 7.25; ดนล 8.3; ดนล 8.5; ดนล 8.6; ดนล 8.7; ดนล 8.8; ดนล 8.9; ดนล 8.12; ดนล 8.20; ดนล 8.21; ดนล 8.22; ดนล 8.23; ดนล 9.7; ดนล 9.17; ดนล 10.7; ดนล 10.20; ดนล 11.6; ดนล 11.7; ดนล 11.8; ดนล 11.14; ดนล 11.18; ดนล 11.20; ดนล 11.21; ดนล 11.22; ดนล 11.23; ดนล 11.24; ดนล 11.25; ดนล 11.26; ดนล 11.27; ดนล 11.28; ดนล 11.29; ดนล 11.30; ดนล 11.31; ดนล 11.32; ดนล 11.33; ดนล 11.34; ดนล 11.35; ดนล 11.36; ดนล 11.37; ดนล 11.38; ดนล 11.39; ดนล 11.40; ดนล 11.41; ดนล 11.42; ดนล 11.43; ดนล 11.44; ดนล 11.45; ดนล 12.6; ฮชย 1.4; ฮชย 1.6; ฮชย 1.7; ฮชย 1.10; ฮชย 1.11; ฮชย 2.4; ฮชย 2.5; ฮชย 2.7; ฮชย 2.8; ฮชย 2.18; ฮชย 2.23; ฮชย 3.1; ฮชย 3.5; ฮชย 4.2; ฮชย 4.7; ฮชย 4.8; ฮชย 4.9; ฮชย 4.10; ฮชย 4.12; ฮชย 4.13; ฮชย 4.16; ฮชย 4.17; ฮชย 4.18; ฮชย 4.19; ฮชย 5.2; ฮชย 5.4; ฮชย 5.5; ฮชย 5.6; ฮชย 5.7; ฮชย 5.10; ฮชย 5.11; ฮชย 5.15; ฮชย 6.5; ฮชย 6.7; ฮชย 6.9; ฮชย 7.1; ฮชย 7.2; ฮชย 7.3; ฮชย 7.4; ฮชย 7.6; ฮชย 7.7; ฮชย 7.9; ฮชย 7.10; ฮชย 7.12; ฮชย 7.13; ฮชย 7.14; ฮชย 7.15; ฮชย 7.16; ฮชย 8.1; ฮชย 8.3; ฮชย 8.4; ฮชย 8.5; ฮชย 8.7; ฮชย 8.9; ฮชย 8.10; ฮชย 8.11; ฮชย 8.12; ฮชย 8.13; ฮชย 8.14; ฮชย 9.2; ฮชย 9.3; ฮชย 9.4; ฮชย 9.6; ฮชย 9.8; ฮชย 9.9; ฮชย 9.10; ฮชย 9.11; ฮชย 9.12; ฮชย 9.14; ฮชย 9.15; ฮชย 9.16; ฮชย 9.17; ฮชย 10.1; ฮชย 10.2; ฮชย 10.3; ฮชย 10.4; ฮชย 10.6; ฮชย 10.7; ฮชย 10.8; ฮชย 10.9; ฮชย 10.10; ฮชย 11.1; ฮชย 11.2; ฮชย 11.3; ฮชย 11.4; ฮชย 11.5; ฮชย 11.6; ฮชย 11.7; ฮชย 11.10; ฮชย 11.11; ฮชย 12.1; ฮชย 12.2; ฮชย 12.3; ฮชย 12.4; ฮชย 12.5; ฮชย 12.7; ฮชย 12.8; ฮชย 12.11; ฮชย 12.13; ฮชย 12.14; ฮชย 13.1; ฮชย 13.2; ฮชย 13.3; ฮชย 13.6; ฮชย 13.7; ฮชย 13.8; ฮชย 13.10; ฮชย 13.12; ฮชย 13.13; ฮชย 13.14; ฮชย 13.15; ฮชย 13.16; ฮชย 14.4; ฮชย 14.5; ฮชย 14.6; ฮชย 14.7; ฮชย 14.8; ฮชย 14.9; ยอล 1.6; ยอล 2.17; ยอล 2.19; ยอล 3.2; ยอล 3.6; ยอล 3.7; ยอล 3.8; ยอล 3.9; ยอล 3.13; ยอล 3.19; ยอล 3.21; อมส 1.3; อมส 1.6; อมส 1.9; อมส 1.11; อมส 1.13; อมส 1.15; อมส 2.1; อมส 2.4; อมส 2.6; อมส 2.7; อมส 2.8; อมส 2.9; อมส 2.14; อมส 3.6; อมส 3.10; อมส 3.11; อมส 3.14; อมส 4.2; อมส 4.11; อมส 5.10; อมส 5.11; อมส 5.16; อมส 6.7; อมส 6.8; อมส 6.9; อมส 6.10; อมส 6.14; อมส 7.2; อมส 7.5; อมส 7.8; อมส 7.10; อมส 7.11; อมส 7.17; อมส 8.2; อมส 8.7; อมส 8.10; อมส 8.12; อมส 8.14; อมส 9.2; อมส 9.3; อมส 9.4; อมส 9.12; อมส 9.14; อมส 9.15; อบด 1.5; อบด 1.7; อบด 1.11; อบด 1.12; อบด 1.13; อบด 1.14; อบด 1.15; อบด 1.16; อบด 1.17; อบด 1.19; ยนา 1.2; ยนา 1.3; ยนา 1.5; ยนา 1.7; ยนา 1.8; ยนา 1.9; ยนา 1.10; ยนา 1.11; ยนา 1.12; ยนา 1.13; ยนา 1.14; ยนา 1.15; ยนา 1.16; ยนา 3.5; ยนา 3.8; ยนา 3.10; มคา 1.16; มคา 2.1; มคา 2.2; มคา 2.6; มคา 2.9; มคา 2.11; มคา 2.12; มคา 2.13; มคา 3.2; มคา 3.3; มคา 3.4; มคา 3.5; มคา 3.6; มคา 3.7; มคา 3.8; มคา 3.11; มคา 4.3; มคา 4.4; มคา 4.7; มคา 4.12; มคา 4.13; มคา 5.1; มคา 5.3; มคา 5.4; มคา 5.5; มคา 5.6; มคา 6.5; มคา 6.12; มคา 7.1; มคา 7.3; มคา 7.4; มคา 7.6; มคา 7.12; มคา 7.13; มคา 7.14; มคา 7.15; มคา 7.16; มคา 7.17; มคา 7.19; นฮม 1.10; นฮม 1.12; นฮม 1.13; นฮม 1.14; นฮม 1.15; นฮม 2.2; นฮม 2.3; นฮม 2.5; นฮม 2.8; นฮม 3.3; นฮม 3.10; นฮม 3.19; ฮบก 1.7; ฮบก 1.8; ฮบก 1.9; ฮบก 1.10; ฮบก 1.11; ฮบก 1.12; ฮบก 1.13; ฮบก 1.15; ฮบก 1.16; ฮบก 1.17; ฮบก 2.5; ฮบก 2.6; ฮบก 2.7; ฮบก 2.15; ฮบก 2.17; ฮบก 2.18; ฮบก 3.4; ฮบก 3.14; ฮบก 3.16; ศฟย 1.13; ศฟย 1.17; ศฟย 1.18; ศฟย 2.7; ศฟย 2.8; ศฟย 2.9; ศฟย 2.10; ศฟย 2.11; ศฟย 2.15; ศฟย 3.1; ศฟย 3.4; ศฟย 3.6; ศฟย 3.7; ศฟย 3.8; ศฟย 3.12; ศฟย 3.13; ศฟย 3.16; ศฟย 3.19; ฮกก 1.12; ฮกก 1.14; ฮกก 2.14; ฮกก 2.22; ศคย 1.3; ศคย 1.4; ศคย 1.5; ศคย 1.6; ศคย 1.11; ศคย 1.15; ศคย 1.18; ศคย 1.19; ศคย 1.21; ศคย 2.2; ศคย 2.9; ศคย 3.5; ศคย 4.1; ศคย 4.9; ศคย 4.10; ศคย 5.8; ศคย 6.12; ศคย 7.2; ศคย 7.11; ศคย 7.12; ศคย 7.13; ศคย 7.14; ศคย 8.3; ศคย 8.8; ศคย 8.13; ศคย 9.7; ศคย 9.8; ศคย 9.14; ศคย 9.15; ศคย 9.16; ศคย 10.2; ศคย 10.3; ศคย 10.4; ศคย 10.5; ศคย 10.6; ศคย 10.7; ศคย 10.8; ศคย 10.9; ศคย 10.10; ศคย 10.12; ศคย 11.3; ศคย 11.6; ศคย 11.12; ศคย 11.13; ศคย 11.17; ศคย 12.2; ศคย 12.5; ศคย 12.6; ศคย 12.8; ศคย 12.10; ศคย 12.12; ศคย 12.13; ศคย 12.14; ศคย 13.1; ศคย 13.2; ศคย 13.3; ศคย 13.4; ศคย 13.5; ศคย 13.6; ศคย 13.9; ศคย 14.1; ศคย 14.12; ศคย 14.13; ศคย 14.17; มลค 1.3; มลค 1.4; มลค 1.6; มลค 1.8; มลค 1.11; มลค 2.5; มลค 2.6; มลค 2.7; มลค 2.11; มลค 2.12; มลค 2.15; มลค 3.3; มลค 3.5; มลค 3.15; มลค 3.17; มลค 4.1; มลค 4.3; มลค 4.4; มธ 1.2; มธ 1.11; มธ 1.12; มธ 1.21; มธ 1.23; มธ 1.24; มธ 2.4; มธ 2.5; มธ 2.7; มธ 2.9; มธ 2.10; มธ 2.11; มธ 2.12; มธ 2.13; มธ 2.23; มธ 3.7; มธ 4.16; มธ 4.18; มธ 4.19; มธ 4.20; มธ 4.21; มธ 4.22; มธ 4.23; มธ 4.24; มธ 5.2; มธ 5.4; มธ 5.5; มธ 5.6; มธ 5.7; มธ 5.8; มธ 5.9; มธ 5.10; มธ 5.11; มธ 5.12; มธ 5.16; มธ 5.27; มธ 5.31; มธ 5.39; มธ 5.40; มธ 5.41; มธ 5.42; มธ 6.1; มธ 6.2; มธ 6.5; มธ 6.7; มธ 6.8; มธ 6.16; มธ 6.24; มธ 7.1; มธ 7.2; มธ 7.8; มธ 7.9; มธ 7.12; มธ 7.15; มธ 7.16; มธ 7.20; มธ 7.23; มธ 7.24; มธ 7.26; มธ 7.29; มธ 8.3; มธ 8.4; มธ 8.7; มธ 8.9; มธ 8.13; มธ 8.15; มธ 8.16; มธ 8.20; มธ 8.22; มธ 8.26; มธ 8.28; มธ 8.29; มธ 8.34; มธ 9.2; มธ 9.4; มธ 9.7; มธ 9.8; มธ 9.9; มธ 9.12; มธ 9.15; มธ 9.17; มธ 9.18; มธ 9.19; มธ 9.24; มธ 9.28; มธ 9.29; มธ 9.30; มธ 9.31; มธ 9.35; มธ 9.36; มธ 10.1; มธ 10.2; มธ 10.5; มธ 10.17; มธ 10.18; มธ 10.19; มธ 10.23; มธ 10.25; มธ 10.26; มธ 10.29; มธ 11.1; มธ 11.4; มธ 11.18; มธ 11.19; มธ 11.20; มธ 12.2; มธ 12.3; มธ 12.9; มธ 12.10; มธ 12.11; มธ 12.13; มธ 12.15; มธ 12.16; มธ 12.22; มธ 12.25; มธ 12.29; มธ 12.39; มธ 12.41; มธ 12.42; มธ 13.3; มธ 13.4; มธ 13.10; มธ 13.11; มธ 13.12; มธ 13.13; มธ 13.15; มธ 13.17; มธ 13.19; มธ 13.21; มธ 13.22; มธ 13.24; มธ 13.28; มธ 13.31; มธ 13.33; มธ 13.34; มธ 13.37; มธ 13.40; มธ 13.43; มธ 13.44; มธ 13.46; มธ 13.48; มธ 13.51; มธ 13.52; มธ 13.54; มธ 13.55; มธ 13.56; มธ 13.57; มธ 13.58; มธ 14.5; มธ 14.6; มธ 14.11; มธ 14.13; มธ 14.14; มธ 14.15; มธ 14.16; มธ 14.20; มธ 14.26; มธ 14.27; มธ 14.29; มธ 14.30; มธ 14.31; มธ 14.33; มธ 14.34; มธ 14.36; มธ 15.2; มธ 15.3; มธ 15.8; มธ 15.9; มธ 15.10; มธ 15.12; มธ 15.14; มธ 15.23; มธ 15.28; มธ 15.30; มธ 15.31; มธ 15.32; มธ 15.34; มธ 15.37; มธ 16.1; มธ 16.2; มธ 16.4; มธ 16.6; มธ 16.8; มธ 16.12; มธ 16.14; มธ 16.15; มธ 16.17; มธ 17.2; มธ 17.5; มธ 17.7; มธ 17.8; มธ 17.11; มธ 17.12; มธ 17.13; มธ 17.15; มธ 17.16; มธ 17.18; มธ 17.20; มธ 17.22; มธ 17.23; มธ 17.25; มธ 17.26; มธ 17.27; มธ 18.2; มธ 18.10; มธ 18.13; มธ 18.15; มธ 18.16; มธ 18.17; มธ 18.20; มธ 18.21; มธ 18.22; มธ 18.24; มธ 18.25; มธ 18.27; มธ 18.28; มธ 18.30; มธ 18.32; มธ 18.34; มธ 19.2; มธ 19.4; มธ 19.5; มธ 19.6; มธ 19.7; มธ 19.8; มธ 19.10; มธ 19.11; มธ 19.13; มธ 19.14; มธ 19.17; มธ 19.18; มธ 19.21; มธ 19.22; มธ 19.26; มธ 19.28; มธ 20.2; มธ 20.4; มธ 20.6; มธ 20.7; มธ 20.8; มธ 20.10; มธ 20.11; มธ 20.12; มธ 20.17; มธ 20.18; มธ 20.22; มธ 20.23; มธ 20.24; มธ 20.25; มธ 20.30; มธ 20.31; มธ 20.32; มธ 20.33; มธ 20.34; มธ 21.2; มธ 21.3; มธ 21.6; มธ 21.7; มธ 21.13; มธ 21.14; มธ 21.15; มธ 21.16; มธ 21.17; มธ 21.21; มธ 21.24; มธ 21.25; มธ 21.27; มธ 21.31; มธ 21.33; มธ 21.34; มธ 21.35; มธ 21.36; มธ 21.37; มธ 21.38; มธ 21.39; มธ 21.40; มธ 21.41; มธ 21.42; มธ 21.45; มธ 21.46; มธ 22.1; มธ 22.3; มธ 22.5; มธ 22.7; มธ 22.12; มธ 22.15; มธ 22.16; มธ 22.18; มธ 22.19; มธ 22.20; มธ 22.21; มธ 22.22; มธ 22.23; มธ 22.29; มธ 22.35; มธ 22.37; มธ 22.41; มธ 22.42; มธ 22.43; มธ 23.3; มธ 23.4; มธ 23.5; มธ 23.6; มธ 23.7; มธ 23.15; มธ 23.30; มธ 24.2; มธ 24.4; มธ 24.5; มธ 24.9; มธ 24.30; มธ 24.39; มธ 24.43; มธ 24.46; มธ 24.47; มธ 24.50; มธ 24.51; มธ 25.14; มธ 25.21; มธ 25.23; มธ 25.26; มธ 25.28; มธ 25.29; มธ 25.40; มธ 25.44; มธ 25.45; มธ 26.5; มธ 26.10; มธ 26.13; มธ 26.15; มธ 26.18; มธ 26.25; มธ 26.27; มธ 26.30; มธ 26.34; มธ 26.38; มธ 26.40; มธ 26.43; มธ 26.44; มธ 26.48; มธ 26.50; มธ 26.52; มธ 26.64; มธ 26.65; มธ 26.66; มธ 26.67; มธ 26.69; มธ 26.75; มธ 27.2; มธ 27.5; มธ 27.7; มธ 27.9; มธ 27.13; มธ 27.16; มธ 27.17; มธ 27.18; มธ 27.21; มธ 27.22; มธ 27.23; มธ 27.25; มธ 27.26; มธ 27.28; มธ 27.29; มธ 27.30; มธ 27.31; มธ 27.32; มธ 27.33; มธ 27.34; มธ 27.35; มธ 27.36; มธ 27.39; มธ 27.42; มธ 27.43; มธ 27.48; มธ 27.49; มธ 27.53; มธ 27.58; มธ 27.59; มธ 27.60; มธ 27.63; มธ 27.64; มธ 27.65; มธ 27.66; มธ 28.9; มธ 28.10; มธ 28.13; มธ 28.17; มธ 28.18; มธ 28.20; มก 1.4; มก 1.16; มก 1.17; มก 1.18; มก 1.19; มก 1.20; มก 1.22; มก 1.23; มก 1.25; มก 1.26; มก 1.30; มก 1.31; มก 1.37; มก 1.38; มก 1.39; มก 1.41; มก 1.43; มก 1.44; มก 2.2; มก 2.4; มก 2.5; มก 2.6; มก 2.8; มก 2.13; มก 2.14; มก 2.17; มก 2.18; มก 2.19; มก 2.24; มก 2.25; มก 2.27; มก 3.2; มก 3.5; มก 3.6; มก 3.8; มก 3.13; มก 3.14; มก 3.21; มก 3.22; มก 3.23; มก 3.27; มก 3.28; มก 3.30; มก 3.32; มก 3.33; มก 4.2; มก 4.4; มก 4.9; มก 4.11; มก 4.12; มก 4.13; มก 4.15; มก 4.21; มก 4.24; มก 4.25; มก 4.27; มก 4.29; มก 4.33; มก 4.34; มก 4.35; มก 4.36; มก 4.40; มก 4.41; มก 5.3; มก 5.4; มก 5.5; มก 5.6; มก 5.15; มก 5.16; มก 5.17; มก 5.19; มก 5.20; มก 5.22; มก 5.23; มก 5.36; มก 5.39; มก 5.40; มก 5.41; มก 5.43; มก 6.2; มก 6.3; มก 6.4; มก 6.6; มก 6.7; มก 6.8; มก 6.10; มก 6.11; มก 6.13; มก 6.30; มก 6.31; มก 6.34; มก 6.36; มก 6.37; มก 6.38; มก 6.41; มก 6.42; มก 6.43; มก 6.46; มก 6.48; มก 6.49; มก 6.50; มก 6.51; มก 6.52; มก 6.53; มก 6.55; มก 6.56; มก 7.2; มก 7.3; มก 7.4; มก 7.6; มก 7.7; มก 7.9; มก 7.14; มก 7.18; มก 7.22; มก 7.32; มก 7.35; มก 7.36; มก 7.37; มก 8.1; มก 8.2; มก 8.3; มก 8.4; มก 8.5; มก 8.6; มก 8.7; มก 8.8; มก 8.9; มก 8.13; มก 8.14; มก 8.17; มก 8.19; มก 8.20; มก 8.21; มก 8.22; มก 8.23; มก 8.25; มก 8.28; มก 8.29; มก 8.34; มก 9.1; มก 9.2; มก 9.6; มก 9.7; มก 9.8; มก 9.11; มก 9.12; มก 9.13; มก 9.14; มก 9.16; มก 9.18; มก 9.20; มก 9.25; มก 9.26; มก 9.29; มก 9.31; มก 9.34; มก 9.35; มก 9.38; มก 9.39; มก 10.1; มก 10.3; มก 10.4; มก 10.5; มก 10.6; มก 10.7; มก 10.8; มก 10.11; มก 10.13; มก 10.14; มก 10.16; มก 10.19; มก 10.21; มก 10.22; มก 10.24; มก 10.32; มก 10.33; มก 10.36; มก 10.37; มก 10.38; มก 10.39; มก 10.42; มก 10.48; มก 10.49; มก 10.51; มก 10.52; มก 11.2; มก 11.4; มก 11.5; มก 11.6; มก 11.17; มก 11.18; มก 11.29; มก 11.31; มก 11.32; มก 11.33; มก 12.1; มก 12.2; มก 12.5; มก 12.6; มก 12.7; มก 12.8; มก 12.12; มก 12.13; มก 12.15; มก 12.16; มก 12.17; มก 12.18; มก 12.23; มก 12.24; มก 12.25; มก 12.26; มก 12.28; มก 12.34; มก 12.38; มก 12.40; มก 12.43; มก 12.44; มก 13.5; มก 13.9; มก 13.11; มก 13.26; มก 13.34; มก 14.2; มก 14.5; มก 14.6; มก 14.7; มก 14.8; มก 14.9; มก 14.10; มก 14.11; มก 14.12; มก 14.13; มก 14.14; มก 14.16; มก 14.20; มก 14.23; มก 14.24; มก 14.30; มก 14.40; มก 14.41; มก 14.44; มก 14.45; มก 14.47; มก 14.51; มก 14.52; มก 14.53; มก 14.56; มก 14.60; มก 14.64; มก 14.67; มก 14.69; มก 14.70; มก 14.72; มก 15.4; มก 15.6; มก 15.8; มก 15.9; มก 15.12; มก 15.13; มก 15.14; มก 15.15; มก 15.17; มก 15.19; มก 15.20; มก 15.21; มก 15.22; มก 15.23; มก 15.24; มก 15.25; มก 15.27; มก 15.29; มก 15.31; มก 15.35; มก 15.36; มก 15.44; มก 16.2; มก 16.3; มก 16.4; มก 16.5; มก 16.6; มก 16.8; มก 16.10; มก 16.11; มก 16.12; มก 16.13; มก 16.14; มก 16.17; มก 16.18; มก 16.19; มก 16.20; ลก 1.2; ลก 1.6; ลก 1.7; ลก 1.15; ลก 1.16; ลก 1.17; ลก 1.22; ลก 1.36; ลก 1.41; ลก 1.45; ลก 1.58; ลก 1.59; ลก 1.61; ลก 1.62; ลก 1.66; ลก 1.69; ลก 1.76; ลก 1.77; ลก 2.4; ลก 2.5; ลก 2.6; ลก 2.7; ลก 2.8; ลก 2.9; ลก 2.10; ลก 2.15; ลก 2.16; ลก 2.17; ลก 2.18; ลก 2.20; ลก 2.21; ลก 2.22; ลก 2.34; ลก 2.42; ลก 2.43; ลก 2.44; ลก 2.45; ลก 2.48; ลก 2.49; ลก 2.50; ลก 2.51; ลก 3.11; ลก 3.13; ลก 3.14; ลก 3.16; ลก 4.15; ลก 4.17; ลก 4.21; ลก 4.23; ลก 4.29; ลก 4.30; ลก 4.31; ลก 4.33; ลก 4.35; ลก 4.38; ลก 4.39; ลก 4.40; ลก 4.42; ลก 4.43; ลก 5.3; ลก 5.6; ลก 5.7; ลก 5.9; ลก 5.11; ลก 5.12; ลก 5.13; ลก 5.14; ลก 5.15; ลก 5.17; ลก 5.18; ลก 5.19; ลก 5.20; ลก 5.22; ลก 5.25; ลก 5.27; ลก 5.28; ลก 5.30; ลก 5.31; ลก 5.33; ลก 5.34; ลก 5.36; ลก 5.39; ลก 6.2; ลก 6.3; ลก 6.5; ลก 6.7; ลก 6.8; ลก 6.9; ลก 6.10; ลก 6.17; ลก 6.18; ลก 6.19; ลก 6.22; ลก 6.23; ลก 6.26; ลก 6.29; ลก 6.31; ลก 6.32; ลก 6.34; ลก 6.35; ลก 6.37; ลก 6.38; ลก 6.39; ลก 6.44; ลก 6.47; ลก 6.48; ลก 7.4; ลก 7.6; ลก 7.8; ลก 7.13; ลก 7.15; ลก 7.16; ลก 7.19; ลก 7.20; ลก 7.29; ลก 7.30; ลก 7.31; ลก 7.33; ลก 7.36; ลก 7.40; ลก 7.42; ลก 7.43; ลก 8.3; ลก 8.5; ลก 8.10; ลก 8.12; ลก 8.13; ลก 8.14; ลก 8.18; ลก 8.21; ลก 8.22; ลก 8.24; ลก 8.25; ลก 8.26; ลก 8.28; ลก 8.29; ลก 8.30; ลก 8.35; ลก 8.36; ลก 8.37; ลก 8.38; ลก 8.40; ลก 8.41; ลก 8.42; ลก 8.48; ลก 8.49; ลก 8.50; ลก 8.52; ลก 8.55; ลก 8.56; ลก 9.1; ลก 9.2; ลก 9.3; ลก 9.5; ลก 9.9; ลก 9.10; ลก 9.11; ลก 9.13; ลก 9.15; ลก 9.16; ลก 9.17; ลก 9.18; ลก 9.19; ลก 9.20; ลก 9.21; ลก 9.23; ลก 9.32; ลก 9.34; ลก 9.36; ลก 9.39; ลก 9.40; ลก 9.42; ลก 9.43; ลก 9.45; ลก 9.46; ลก 9.47; ลก 9.48; ลก 9.49; ลก 9.50; ลก 9.52; ลก 9.54; ลก 9.55; ลก 9.56; ลก 9.58; ลก 9.60; ลก 9.62; ลก 10.1; ลก 10.2; ลก 10.6; ลก 10.7; ลก 10.8; ลก 10.9; ลก 10.10; ลก 10.18; ลก 10.23; ลก 10.24; ลก 10.26; ลก 10.27; ลก 10.28; ลก 10.30; ลก 10.34; ลก 10.35; ลก 10.37; ลก 10.40; ลก 11.2; ลก 11.5; ลก 11.6; ลก 11.8; ลก 11.10; ลก 11.11; ลก 11.12; ลก 11.15; ลก 11.17; ลก 11.21; ลก 11.22; ลก 11.29; ลก 11.37; ลก 11.39; ลก 11.43; ลก 11.48; ลก 11.49; ลก 11.53; ลก 11.54; ลก 12.6; ลก 12.11; ลก 12.14; ลก 12.15; ลก 12.16; ลก 12.18; ลก 12.20; ลก 12.36; ลก 12.37; ลก 12.39; ลก 12.43; ลก 12.44; ลก 12.46; ลก 12.58; ลก 13.1; ลก 13.2; ลก 13.4; ลก 13.6; ลก 13.7; ลก 13.8; ลก 13.12; ลก 13.13; ลก 13.15; ลก 13.16; ลก 13.22; ลก 13.23; ลก 13.32; ลก 14.1; ลก 14.4; ลก 14.5; ลก 14.6; ลก 14.7; ลก 14.8; ลก 14.12; ลก 14.14; ลก 14.16; ลก 14.17; ลก 14.18; ลก 14.23; ลก 14.25; ลก 14.29; ลก 14.35; ลก 15.2; ลก 15.3; ลก 15.5; ลก 15.6; ลก 15.14; ลก 15.15; ลก 15.16; ลก 15.17; ลก 15.20; ลก 15.22; ลก 15.24; ลก 15.25; ลก 15.26; ลก 15.27; ลก 15.28; ลก 15.29; ลก 15.30; ลก 15.31; ลก 16.2; ลก 16.3; ลก 16.4; ลก 16.6; ลก 16.7; ลก 16.8; ลก 16.9; ลก 16.15; ลก 16.16; ลก 16.21; ลก 16.22; ลก 16.25; ลก 16.28; ลก 16.29; ลก 16.30; ลก 16.31; ลก 17.2; ลก 17.3; ลก 17.4; ลก 17.7; ลก 17.8; ลก 17.14; ลก 17.20; ลก 17.21; ลก 17.23; ลก 17.27; ลก 17.28; ลก 17.29; ลก 17.31; ลก 17.37; ลก 18.1; ลก 18.4; ลก 18.5; ลก 18.8; ลก 18.15; ลก 18.16; ลก 18.20; ลก 18.22; ลก 18.23; ลก 18.24; ลก 18.29; ลก 18.31; ลก 18.32; ลก 18.33; ลก 18.34; ลก 18.36; ลก 18.37; ลก 18.39; ลก 18.40; ลก 18.41; ลก 18.42; ลก 18.43; ลก 19.3; ลก 19.4; ลก 19.5; ลก 19.6; ลก 19.7; ลก 19.8; ลก 19.9; ลก 19.11; ลก 19.13; ลก 19.15; ลก 19.17; ลก 19.19; ลก 19.22; ลก 19.24; ลก 19.25; ลก 19.26; ลก 19.27; ลก 19.28; ลก 19.31; ลก 19.32; ลก 19.33; ลก 19.34; ลก 19.35; ลก 19.36; ลก 19.37; ลก 19.40; ลก 19.44; ลก 19.46; ลก 19.48; ลก 20.3; ลก 20.5; ลก 20.6; ลก 20.7; ลก 20.8; ลก 20.10; ลก 20.12; ลก 20.13; ลก 20.14; ลก 20.15; ลก 20.17; ลก 20.19; ลก 20.20; ลก 20.23; ลก 20.24; ลก 20.25; ลก 20.26; ลก 20.27; ลก 20.30; ลก 20.34; ลก 20.35; ลก 20.36; ลก 20.40; ลก 20.41; ลก 20.47; ลก 21.4; ลก 21.7; ลก 21.8; ลก 21.10; ลก 21.12; ลก 21.16; ลก 21.24; ลก 21.27; ลก 21.29; ลก 22.2; ลก 22.4; ลก 22.6; ลก 22.7; ลก 22.9; ลก 22.10; ลก 22.13; ลก 22.15; ลก 22.19; ลก 22.23; ลก 22.24; ลก 22.25; ลก 22.33; ลก 22.35; ลก 22.36; ลก 22.38; ลก 22.40; ลก 22.41; ลก 22.45; ลก 22.46; ลก 22.47; ลก 22.48; ลก 22.49; ลก 22.50; ลก 22.51; ลก 22.54; ลก 22.55; ลก 22.59; ลก 22.61; ลก 22.64; ลก 22.65; ลก 22.66; ลก 22.67; ลก 22.70; ลก 22.71; ลก 23.1; ลก 23.2; ลก 23.5; ลก 23.14; ลก 23.15; ลก 23.16; ลก 23.17; ลก 23.20; ลก 23.21; ลก 23.22; ลก 23.23; ลก 23.24; ลก 23.25; ลก 23.26; ลก 23.28; ลก 23.29; ลก 23.30; ลก 23.31; ลก 23.32; ลก 23.33; ลก 23.34; ลก 23.35; ลก 23.40; ลก 23.43; ลก 23.51; ลก 23.53; ลก 23.55; ลก 23.56; ลก 24.1; ลก 24.2; ลก 24.4; ลก 24.5; ลก 24.8; ลก 24.10; ลก 24.14; ลก 24.15; ลก 24.16; ลก 24.17; ลก 24.19; ลก 24.24; ลก 24.27; ลก 24.28; ลก 24.29; ลก 24.30; ลก 24.31; ลก 24.32; ลก 24.35; ลก 24.36; ลก 24.37; ลก 24.38; ลก 24.40; ลก 24.41; ลก 24.42; ลก 24.43; ลก 24.44; ลก 24.45; ลก 24.46; ลก 24.50; ลก 24.51; ลก 24.52; ลก 24.53; ยน 1.21; ยน 1.25; ยน 1.26; ยน 1.37; ยน 1.38; ยน 1.39; ยน 1.41; ยน 1.42; ยน 1.43; ยน 1.45; ยน 1.46; ยน 1.47; ยน 1.48; ยน 1.50; ยน 1.51; ยน 2.3; ยน 2.7; ยน 2.8; ยน 2.10; ยน 2.19; ยน 2.20; ยน 2.22; ยน 2.23; ยน 3.2; ยน 3.3; ยน 3.10; ยน 3.18; ยน 3.19; ยน 3.22; ยน 3.27; ยน 3.36; ยน 4.14; ยน 4.27; ยน 4.32; ยน 4.34; ยน 4.38; ยน 4.40; ยน 4.42; ยน 4.45; ยน 4.48; ยน 5.4; ยน 5.6; ยน 5.8; ยน 5.9; ยน 5.11; ยน 5.12; ยน 5.14; ยน 5.15; ยน 5.17; ยน 5.19; ยน 5.23; ยน 5.43; ยน 6.2; ยน 6.7; ยน 6.11; ยน 6.12; ยน 6.13; ยน 6.14; ยน 6.15; ยน 6.17; ยน 6.19; ยน 6.20; ยน 6.21; ยน 6.23; ยน 6.24; ยน 6.25; ยน 6.26; ยน 6.28; ยน 6.29; ยน 6.30; ยน 6.31; ยน 6.32; ยน 6.34; ยน 6.35; ยน 6.37; ยน 6.42; ยน 6.43; ยน 6.44; ยน 6.52; ยน 6.53; ยน 6.56; ยน 6.61; ยน 6.70; ยน 6.71; ยน 7.6; ยน 7.9; ยน 7.12; ยน 7.16; ยน 7.18; ยน 7.21; ยน 7.25; ยน 7.26; ยน 7.30; ยน 7.33; ยน 7.35; ยน 7.36; ยน 7.45; ยน 7.47; ยน 7.50; ยน 7.51; ยน 7.52; ยน 8.2; ยน 8.3; ยน 8.4; ยน 8.6; ยน 8.7; ยน 8.9; ยน 8.10; ยน 8.12; ยน 8.14; ยน 8.19; ยน 8.21; ยน 8.22; ยน 8.23; ยน 8.25; ยน 8.27; ยน 8.28; ยน 8.33; ยน 8.34; ยน 8.39; ยน 8.41; ยน 8.42; ยน 8.58; ยน 8.59; ยน 9.2; ยน 9.3; ยน 9.7; ยน 9.9; ยน 9.10; ยน 9.11; ยน 9.12; ยน 9.13; ยน 9.15; ยน 9.16; ยน 9.17; ยน 9.18; ยน 9.19; ยน 9.20; ยน 9.21; ยน 9.22; ยน 9.23; ยน 9.24; ยน 9.25; ยน 9.26; ยน 9.27; ยน 9.28; ยน 9.29; ยน 9.30; ยน 9.34; ยน 9.35; ยน 9.37; ยน 9.38; ยน 9.41; ยน 10.5; ยน 10.6; ยน 10.7; ยน 10.8; ยน 10.9; ยน 10.10; ยน 10.12; ยน 10.13; ยน 10.20; ยน 10.25; ยน 10.32; ยน 10.34; ยน 10.39; ยน 11.9; ยน 11.10; ยน 11.11; ยน 11.12; ยน 11.14; ยน 11.15; ยน 11.17; ยน 11.24; ยน 11.25; ยน 11.34; ยน 11.36; ยน 11.39; ยน 11.41; ยน 11.42; ยน 11.44; ยน 11.46; ยน 11.48; ยน 11.49; ยน 11.51; ยน 11.53; ยน 11.56; ยน 11.57; ยน 12.2; ยน 12.6; ยน 12.7; ยน 12.11; ยน 12.13; ยน 12.16; ยน 12.17; ยน 12.18; ยน 12.19; ยน 12.23; ยน 12.35; ยน 12.36; ยน 12.37; ยน 12.38; ยน 12.39; ยน 12.40; ยน 12.42; ยน 12.43; ยน 12.48; ยน 13.1; ยน 13.7; ยน 13.8; ยน 13.10; ยน 13.12; ยน 13.16; ยน 13.24; ยน 13.27; ยน 13.28; ยน 13.29; ยน 13.30; ยน 13.31; ยน 13.36; ยน 13.38; ยน 14.6; ยน 14.9; ยน 14.12; ยน 14.21; ยน 14.23; ยน 15.5; ยน 15.6; ยน 15.15; ยน 15.20; ยน 15.21; ยน 15.22; ยน 15.24; ยน 15.25; ยน 16.2; ยน 16.3; ยน 16.9; ยน 16.18; ยน 16.19; ยน 16.31; ยน 17.3; ยน 17.6; ยน 17.7; ยน 17.8; ยน 17.9; ยน 17.11; ยน 17.12; ยน 17.13; ยน 17.14; ยน 17.15; ยน 17.16; ยน 17.17; ยน 17.18; ยน 17.19; ยน 17.20; ยน 17.21; ยน 17.22; ยน 17.23; ยน 17.24; ยน 17.26; ยน 18.4; ยน 18.5; ยน 18.6; ยน 18.7; ยน 18.15; ยน 18.17; ยน 18.18; ยน 18.21; ยน 18.22; ยน 18.23; ยน 18.28; ยน 18.29; ยน 18.30; ยน 18.31; ยน 18.38; ยน 19.3; ยน 19.4; ยน 19.5; ยน 19.6; ยน 19.7; ยน 19.15; ยน 19.16; ยน 19.18; ยน 19.20; ยน 19.23; ยน 19.24; ยน 19.29; ยน 19.33; ยน 19.35; ยน 19.37; ยน 19.39; ยน 19.40; ยน 19.42; ยน 20.2; ยน 20.4; ยน 20.5; ยน 20.8; ยน 20.9; ยน 20.12; ยน 20.13; ยน 20.17; ยน 20.19; ยน 20.20; ยน 20.21; ยน 20.22; ยน 20.24; ยน 20.25; ยน 20.26; ยน 20.29; ยน 21.3; ยน 21.5; ยน 21.6; ยน 21.7; ยน 21.8; ยน 21.9; ยน 21.10; ยน 21.12; ยน 21.13; ยน 21.15; ยน 21.16; ยน 21.17; ยน 21.22; ยน 21.23; ยน 21.24; กจ 1.3; กจ 1.4; กจ 1.6; กจ 1.7; กจ 1.9; กจ 1.10; กจ 1.13; กจ 1.14; กจ 1.19; กจ 1.20; กจ 1.23; กจ 1.26; กจ 2.2; กจ 2.3; กจ 2.4; กจ 2.6; กจ 2.8; กจ 2.12; กจ 2.38; กจ 2.40; กจ 2.42; กจ 2.43; กจ 2.44; กจ 2.45; กจ 2.46; กจ 3.2; กจ 3.4; กจ 3.7; กจ 3.8; กจ 3.9; กจ 3.10; กจ 3.13; กจ 3.14; กจ 3.23; กจ 4.2; กจ 4.3; กจ 4.7; กจ 4.8; กจ 4.9; กจ 4.13; กจ 4.14; กจ 4.15; กจ 4.16; กจ 4.17; กจ 4.18; กจ 4.19; กจ 4.21; กจ 4.23; กจ 4.24; กจ 4.29; กจ 4.31; กจ 4.33; กจ 5.2; กจ 5.6; กจ 5.7; กจ 5.9; กจ 5.13; กจ 5.15; กจ 5.25; กจ 5.27; กจ 5.31; กจ 5.33; กจ 5.35; กจ 5.36; กจ 5.37; กจ 5.38; กจ 5.40; กจ 5.42; กจ 6.1; กจ 6.2; กจ 6.3; กจ 6.6; กจ 6.10; กจ 6.11; กจ 6.12; กจ 6.14; กจ 7.6; กจ 7.7; กจ 7.9; กจ 7.16; กจ 7.19; กจ 7.20; กจ 7.25; กจ 7.26; กจ 7.31; กจ 7.34; กจ 7.35; กจ 7.36; กจ 7.39; กจ 7.41; กจ 7.42; กจ 7.52; กจ 7.54; กจ 7.57; กจ 7.59; กจ 7.60; กจ 8.1; กจ 8.6; กจ 8.9; กจ 8.11; กจ 8.14; กจ 8.15; กจ 8.16; กจ 8.17; กจ 8.32; กจ 9.3; กจ 9.4; กจ 9.6; กจ 9.8; กจ 9.11; กจ 9.12; กจ 9.13; กจ 9.14; กจ 9.16; กจ 9.21; กจ 9.22; กจ 9.24; กจ 9.26; กจ 9.27; กจ 9.33; กจ 9.34; กจ 9.37; กจ 9.38; กจ 9.39; กจ 9.41; กจ 10.6; กจ 10.8; กจ 10.10; กจ 10.20; กจ 10.22; กจ 10.23; กจ 10.24; กจ 10.39; กจ 10.43; กจ 10.46; กจ 10.47; กจ 10.48; กจ 11.3; กจ 11.4; กจ 11.12; กจ 11.15; กจ 11.17; กจ 11.20; กจ 11.21; กจ 11.22; กจ 11.26; กจ 11.30; กจ 12.15; กจ 12.16; กจ 12.17; กจ 12.20; กจ 12.21; กจ 13.2; กจ 13.3; กจ 13.8; กจ 13.17; กจ 13.18; กจ 13.19; กจ 13.20; กจ 13.21; กจ 13.22; กจ 13.28; กจ 13.29; กจ 13.42; กจ 13.43; กจ 13.50; กจ 13.51; กจ 14.8; กจ 14.9; กจ 14.12; กจ 14.18; กจ 14.19; กจ 14.22; กจ 14.23; กจ 14.27; กจ 15.2; กจ 15.4; กจ 15.5; กจ 15.7; กจ 15.8; กจ 15.9; กจ 15.11; กจ 15.12; กจ 15.14; กจ 15.17; กจ 15.20; กจ 15.22; กจ 15.23; กจ 15.24; กจ 15.25; กจ 15.27; กจ 15.29; กจ 15.36; กจ 16.3; กจ 16.14; กจ 16.15; กจ 16.16; กจ 16.18; กจ 16.19; กจ 16.26; กจ 16.32; กจ 16.33; กจ 16.34; กจ 16.37; กจ 16.40; กจ 17.2; กจ 17.4; กจ 17.7; กจ 17.11; กจ 17.12; กจ 17.13; กจ 17.15; กจ 17.18; กจ 17.19; กจ 17.25; กจ 17.26; กจ 17.27; กจ 17.33; กจ 18.3; กจ 18.6; กจ 18.7; กจ 18.11; กจ 18.20; กจ 18.21; กจ 18.26; กจ 18.27; กจ 19.2; กจ 19.3; กจ 19.5; กจ 19.6; กจ 19.9; กจ 19.12; กจ 19.15; กจ 19.16; กจ 19.18; กจ 19.29; กจ 19.32; กจ 19.34; กจ 19.35; กจ 19.38; กจ 20.1; กจ 20.2; กจ 20.7; กจ 20.8; กจ 20.10; กจ 20.11; กจ 20.18; กจ 20.30; กจ 20.37; กจ 20.38; กจ 21.1; กจ 21.6; กจ 21.7; กจ 21.11; กจ 21.13; กจ 21.16; กจ 21.21; กจ 21.22; กจ 21.24; กจ 21.25; กจ 21.26; กจ 21.28; กจ 21.29; กจ 21.31; กจ 21.32; กจ 21.36; กจ 21.40; กจ 22.2; กจ 22.4; กจ 22.9; กจ 22.10; กจ 22.18; กจ 22.20; กจ 22.22; กจ 22.23; กจ 22.24; กจ 22.30; กจ 23.3; กจ 23.9; กจ 23.10; กจ 23.12; กจ 23.16; กจ 23.17; กจ 23.18; กจ 23.20; กจ 23.21; กจ 23.27; กจ 23.28; กจ 23.29; กจ 23.30; กจ 23.32; กจ 24.1; กจ 24.6; กจ 24.7; กจ 24.8; กจ 24.12; กจ 24.13; กจ 24.14; กจ 24.15; กจ 24.18; กจ 24.19; กจ 24.20; กจ 24.21; กจ 25.3; กจ 25.11; กจ 25.15; กจ 25.16; กจ 25.17; กจ 25.18; กจ 25.19; กจ 25.21; กจ 25.22; กจ 25.24; กจ 25.25; กจ 25.26; กจ 26.5; กจ 26.10; กจ 26.11; กจ 26.18; กจ 26.20; กจ 26.32; กจ 27.1; กจ 27.9; กจ 27.13; กจ 27.14; กจ 27.21; กจ 27.29; กจ 27.39; กจ 27.40; กจ 27.44; กจ 28.1; กจ 28.2; กจ 28.6; กจ 28.9; กจ 28.10; กจ 28.14; กจ 28.15; กจ 28.16; กจ 28.17; กจ 28.21; กจ 28.23; กจ 28.25; กจ 28.27; กจ 28.28; รม 1.19; รม 1.20; รม 1.21; รม 1.22; รม 1.23; รม 1.24; รม 1.25; รม 1.26; รม 1.27; รม 1.28; รม 1.29; รม 1.32; รม 2.1; รม 2.3; รม 2.6; รม 2.15; รม 2.26; รม 2.27; รม 3.3; รม 3.4; รม 3.7; รม 3.9; รม 3.12; รม 3.13; รม 3.14; รม 3.15; รม 3.16; รม 3.17; รม 3.18; รม 4.7; รม 4.8; รม 4.11; รม 4.14; รม 8.24; รม 9.4; รม 9.5; รม 9.6; รม 9.7; รม 9.8; รม 9.16; รม 9.25; รม 9.26; รม 9.32; รม 10.1; รม 10.2; รม 10.3; รม 10.14; รม 10.15; รม 10.16; รม 10.18; รม 11.3; รม 11.7; รม 11.8; รม 11.9; รม 11.10; รม 11.11; รม 11.12; รม 11.14; รม 11.15; รม 11.20; รม 11.23; รม 11.27; รม 11.28; รม 11.30; รม 11.31; รม 11.32; รม 11.35; รม 12.13; รม 12.20; รม 13.7; รม 13.9; รม 14.1; รม 14.3; รม 14.4; รม 14.6; รม 14.16; รม 14.23; รม 15.2; รม 15.27; รม 15.28; รม 16.4; รม 16.5; รม 16.7; รม 16.13; รม 16.14; รม 16.15; รม 16.26; 1คร 1.2; 1คร 1.13; 1คร 1.17; 1คร 2.14; 1คร 3.5; 1คร 3.10; 1คร 3.15; 1คร 3.19; 1คร 4.19; 1คร 5.5; 1คร 6.7; 1คร 6.16; 1คร 7.8; 1คร 7.9; 1คร 7.15; 1คร 7.17; 1คร 7.18; 1คร 7.20; 1คร 7.26; 1คร 7.30; 1คร 7.36; 1คร 7.37; 1คร 8.1; 1คร 8.4; 1คร 8.5; 1คร 8.7; 1คร 8.10; 1คร 8.11; 1คร 8.12; 1คร 9.10; 1คร 9.12; 1คร 9.15; 1คร 9.22; 1คร 9.25; 1คร 10.4; 1คร 10.5; 1คร 10.6; 1คร 10.7; 1คร 10.8; 1คร 10.9; 1คร 10.10; 1คร 10.11; 1คร 10.20; 1คร 10.25; 1คร 10.27; 1คร 10.28; 1คร 10.30; 1คร 10.33; 1คร 11.15; 1คร 11.23; 1คร 11.34; 1คร 13.7; 1คร 14.2; 1คร 14.3; 1คร 14.5; 1คร 14.7; 1คร 14.9; 1คร 14.13; 1คร 14.16; 1คร 14.21; 1คร 14.23; 1คร 14.24; 1คร 14.25; 1คร 14.29; 1คร 14.34; 1คร 14.35; 1คร 14.37; 1คร 14.38; 1คร 14.39; 1คร 15.10; 1คร 15.11; 1คร 15.29; 1คร 15.35; 1คร 16.10; 1คร 16.11; 1คร 16.15; 1คร 16.17; 1คร 16.18; 1คร 16.19; 2คร 2.7; 2คร 3.14; 2คร 3.15; 2คร 4.4; 2คร 5.15; 2คร 5.19; 2คร 6.3; 2คร 6.8; 2คร 6.9; 2คร 6.16; 2คร 6.17; 2คร 7.15; 2คร 8.2; 2คร 8.3; 2คร 8.4; 2คร 8.5; 2คร 8.6; 2คร 8.12; 2คร 8.14; 2คร 8.17; 2คร 8.22; 2คร 8.23; 2คร 8.24; 2คร 9.7; 2คร 9.9; 2คร 9.13; 2คร 9.14; 2คร 10.7; 2คร 10.10; 2คร 10.12; 2คร 11.4; 2คร 11.8; 2คร 11.12; 2คร 11.15; 2คร 11.16; 2คร 11.22; 2คร 11.23; 2คร 11.25; 2คร 11.33; 2คร 12.2; 2คร 12.6; 2คร 12.21; 2คร 13.2; กท 1.14; กท 1.23; กท 1.24; กท 2.2; กท 2.3; กท 2.4; กท 2.5; กท 2.6; กท 2.7; กท 2.9; กท 2.14; กท 4.1; กท 4.2; กท 4.17; กท 5.3; กท 6.1; กท 6.3; กท 6.12; กท 6.13; อฟ 1.21; อฟ 4.17; อฟ 4.18; อฟ 4.19; อฟ 5.12; อฟ 5.31; อฟ 6.8; อฟ 6.9; อฟ 6.22; ฟป 1.14; ฟป 1.18; ฟป 1.28; ฟป 2.15; ฟป 2.22; ฟป 2.23; ฟป 2.26; ฟป 2.27; ฟป 2.28; ฟป 2.29; ฟป 2.30; ฟป 3.4; ฟป 3.18; ฟป 3.19; ฟป 4.3; คส 1.7; คส 2.2; คส 2.15; คส 2.18; คส 3.21; คส 3.25; คส 4.8; คส 4.9; คส 4.10; คส 4.12; คส 4.13; คส 4.15; 1ธส 2.14; 1ธส 2.15; 1ธส 2.16; 1ธส 5.3; 1ธส 5.13; 2ธส 2.4; 2ธส 2.10; 2ธส 2.11; 2ธส 3.6; 2ธส 3.10; 2ธส 3.12; 2ธส 3.14; 2ธส 3.15; 1ทธ 1.3; 1ทธ 1.4; 1ทธ 1.7; 1ทธ 1.19; 1ทธ 1.20; 1ทธ 2.12; 1ทธ 2.15; 1ทธ 3.6; 1ทธ 3.7; 1ทธ 3.10; 1ทธ 3.11; 1ทธ 4.2; 1ทธ 4.3; 1ทธ 5.1; 1ทธ 5.7; 1ทธ 5.11; 1ทธ 5.12; 1ทธ 5.13; 1ทธ 5.16; 1ทธ 5.20; 1ทธ 5.24; 1ทธ 6.2; 1ทธ 6.10; 1ทธ 6.17; 1ทธ 6.18; 1ทธ 6.19; 2ทธ 1.16; 2ทธ 1.17; 2ทธ 1.18; 2ทธ 2.4; 2ทธ 2.5; 2ทธ 2.10; 2ทธ 2.14; 2ทธ 2.17; 2ทธ 2.21; 2ทธ 2.25; 2ทธ 2.26; 2ทธ 3.5; 2ทธ 3.8; 2ทธ 3.9; 2ทธ 4.3; 2ทธ 4.4; 2ทธ 4.11; 2ทธ 4.14; 2ทธ 4.15; 2ทธ 4.16; 2ทธ 4.20; ทต 1.9; ทต 1.11; ทต 1.12; ทต 1.13; ทต 1.15; ทต 1.16; ทต 2.3; ทต 2.4; ทต 2.6; ทต 2.10; ทต 2.15; ทต 3.1; ทต 3.10; ทต 3.11; ทต 3.13; ทต 3.14; ฟม 1.11; ฟม 1.12; ฟม 1.13; ฟม 1.15; ฟม 1.16; ฟม 1.17; ฟม 1.18; ฮบ 1.5; ฮบ 2.6; ฮบ 2.7; ฮบ 2.8; ฮบ 2.10; ฮบ 2.11; ฮบ 2.15; ฮบ 3.10; ฮบ 3.11; ฮบ 3.16; ฮบ 3.17; ฮบ 3.18; ฮบ 3.19; ฮบ 4.2; ฮบ 4.3; ฮบ 4.5; ฮบ 4.6; ฮบ 4.8; ฮบ 4.11; ฮบ 5.13; ฮบ 5.14; ฮบ 6.6; ฮบ 7.6; ฮบ 7.10; ฮบ 7.21; ฮบ 8.8; ฮบ 8.9; ฮบ 8.10; ฮบ 8.11; ฮบ 8.12; ฮบ 9.28; ฮบ 10.1; ฮบ 10.2; ฮบ 10.8; ฮบ 10.16; ฮบ 10.17; ฮบ 10.29; ฮบ 11.13; ฮบ 11.14; ฮบ 11.15; ฮบ 11.16; ฮบ 11.18; ฮบ 11.35; ฮบ 11.38; ฮบ 11.39; ฮบ 11.40; ฮบ 12.7; ฮบ 12.10; ฮบ 12.17; ฮบ 12.19; ฮบ 12.20; ฮบ 12.25; ฮบ 13.3; ฮบ 13.4; ฮบ 13.7; ฮบ 13.17; ฮบ 13.23; ยก 1.9; ยก 1.10; ยก 1.11; ยก 1.12; ยก 2.3; ยก 2.7; ยก 2.11; ยก 2.16; ยก 2.25; ยก 5.6; ยก 5.14; ยก 5.15; ยก 5.19; ยก 5.20; 1ปต 1.11; 1ปต 1.12; 1ปต 1.17; 1ปต 2.8; 1ปต 2.12; 1ปต 2.23; 1ปต 3.1; 1ปต 3.2; 1ปต 3.9; 1ปต 3.11; 1ปต 3.12; 1ปต 3.14; 1ปต 3.16; 1ปต 4.2; 1ปต 4.4; 1ปต 4.6; 1ปต 4.14; 1ปต 4.16; 2ปต 1.16; 2ปต 1.21; 2ปต 2.1; 2ปต 2.2; 2ปต 2.3; 2ปต 2.4; 2ปต 2.8; 2ปต 2.9; 2ปต 2.10; 2ปต 2.12; 2ปต 2.13; 2ปต 2.14; 2ปต 2.15; 2ปต 2.16; 2ปต 2.18; 2ปต 2.19; 2ปต 2.20; 2ปต 2.21; 2ปต 2.22; 2ปต 3.5; 2ปต 3.16; 1ยน 2.11; 1ยน 2.19; 1ยน 3.1; 1ยน 3.9; 1ยน 3.12; 1ยน 3.15; 1ยน 3.17; 1ยน 4.4; 1ยน 4.5; 1ยน 4.20; 1ยน 5.10; 1ยน 5.16; 1ยน 5.18; 2ยน 1.10; 2ยน 1.11; 3ยน 1.6; 3ยน 1.7; 3ยน 1.9; 3ยน 1.10; 3ยน 1.14; ยด 1.10; ยด 1.11; ยด 1.12; ยด 1.13; ยด 1.15; ยด 1.16; ยด 1.18; ยด 1.23; วว 2.2; วว 2.9; วว 2.14; วว 2.16; วว 2.24; วว 3.4; วว 3.9; วว 3.20; วว 5.6; วว 5.9; วว 6.8; วว 6.9; วว 6.10; วว 6.11; วว 6.14; วว 6.16; วว 7.14; วว 7.15; วว 7.16; วว 7.17; วว 9.2; วว 9.4; วว 9.5; วว 9.6; วว 9.20; วว 9.21; วว 11.2; วว 11.3; วว 11.5; วว 11.6; วว 11.7; วว 11.8; วว 11.9; วว 11.10; วว 11.11; วว 11.12; วว 12.3; วว 12.9; วว 12.11; วว 13.1; วว 13.4; วว 13.7; วว 13.10; วว 13.11; วว 13.16; วว 14.1; วว 14.4; วว 14.5; วว 14.10; วว 14.11; วว 14.13; วว 15.2; วว 15.3; วว 16.6; วว 16.9; วว 16.11; วว 16.15; วว 16.16; วว 17.3; วว 17.7; วว 17.8; วว 17.12; วว 17.14; วว 17.16; วว 17.17; วว 18.11; วว 18.15; วว 18.19; วว 18.24; วว 19.15; วว 20.4; วว 20.6; วว 20.10; วว 20.12; วว 21.3; วว 21.4; วว 21.7; วว 22.4; วว 22.5; วว 22.11; วว 22.14

เข่า ( 11 )
ปฐก 48.12 โยเซฟเอาบุตรออกมาจากระหว่างเข่าของท่าน แล้วกราบลงถึงดิน
ปฐก 50.23 โยเซฟได้เห็นลูกหลานเหลนของเอฟราอิม บุตรของมาคีร์ผู้เป็นบุตรชายของมนัสเสห์ก็เกิดมาบนเข่าของโยเซฟ
1พกษ 18.42 อาหับก็เสด็จขึ้นไปเสวยและดื่ม และเอลียาห์ก็ขึ้นไปที่ยอดภูเขาคารเมล ท่านก็โน้มตัวลงถึงดิน ซบหน้าระหว่างเข่า
1พกษ 19.18 แต่เรายังมีเหลือเจ็ดพันคนไว้ในอิสราเอล คือทุกเข่าซึ่งมิได้คุกลงต่อพระบาอัล และทุกปากซึ่งมิได้จุบรูปนั้น”
โยบ 4.4 ถ้อยคำของท่านหนุนใจคนที่กำลังสะดุด และท่านได้ทำเข่าที่อ่อนเปลี้ยให้มั่นคง
สดด 109.24 เข่าของข้าพระองค์ก็อ่อนเปลี้ยเพราะการอดอาหาร ร่างกายของข้าพระองค์ก็ซูบผอมไป
อสย 66.12 เพราะพระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “ดูเถิด เราจะนำสันติภาพมาถึงเธออย่างกับแม่น้ำ และสง่าราศีของบรรดาประชาชาติ เหมือนลำน้ำที่กำลังล้น และเจ้าทั้งหลายจะได้ดูด เธอจะอุ้มเจ้าไว้ที่บั้นเอวของเธอ และเขย่าขึ้นลงที่เข่าของเธอ
อสค 7.17 มือทั้งสิ้นจะอ่อนแอ และเข่าทั้งหมดจะอ่อนเหมือนน้ำ
อสค 21.7 และเมื่อเขาทั้งหลายกล่าวแก่เจ้าว่า ‘ทำไมเจ้าถอนหายใจ’ เจ้าจงกล่าวว่า ‘เพราะเรื่องข่าวนั้น เมื่อข่าวนั้นมาถึงหัวใจทุกดวงจะละลายและมือทั้งสิ้นจะอ่อนเปลี้ยไป และบรรดาจิตวิญญาณจะแน่นิ่งไป และหัวเข่าทุกเข่าจะอ่อนเปลี้ยดั่งน้ำ ดูเถิด ข่าวนั้นมาถึงและจะสำเร็จ’ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ”
อสค 47.4 แล้วท่านก็วัดได้อีกหนึ่งพัน แล้วนำข้าพเจ้าลุยน้ำไปและน้ำลึกถึงเข่า แล้วท่านก็วัดได้อีกหนึ่งพัน แล้วนำข้าพเจ้าลุยน้ำไป น้ำนั้นลึกเพียงเอว
ดนล 10.10 และดูเถิด มีมือมาแตะต้องข้าพเจ้า พยุงให้ข้าพเจ้ายันตัวด้วยฝ่ามือและเข่า

เข้า ( 530 )
ปฐก 1.9; ปฐก 1.10; ปฐก 2.7; ปฐก 6.18; ปฐก 12.11; ปฐก 14.15; ปฐก 49.10; อพย 4.7; อพย 7.23; อพย 9.19; อพย 9.20; อพย 13.17; อพย 25.14; อพย 26.11; อพย 28.31; อพย 36.18; อพย 37.5; อพย 39.3; อพย 39.22; อพย 39.37; ลนต 6.4; ลนต 6.21; ลนต 14.8; ลนต 14.34; ลนต 15.8; ลนต 15.23; ลนต 16.26; ลนต 16.28; ลนต 23.42; ลนต 25.2; ลนต 25.27; ลนต 25.31; ลนต 26.41; กดว 2.9; กดว 2.16; กดว 2.24; กดว 2.31; กดว 2.33; กดว 3.39; กดว 4.3; กดว 4.23; กดว 4.30; กดว 4.35; กดว 4.39; กดว 4.43; กดว 4.47; กดว 5.22; กดว 5.27; กดว 8.15; กดว 15.2; กดว 19.2; กดว 21.16; กดว 21.25; กดว 21.35; กดว 22.5; กดว 22.25; กดว 23.9; กดว 25.3; กดว 25.5; กดว 26.2; กดว 29.39; กดว 31.4; กดว 31.5; กดว 32.40; กดว 33.55; กดว 35.10; กดว 35.23; กดว 36.4; พบญ 1.40; พบญ 2.1; พบญ 2.21; พบญ 2.31; พบญ 3.28; พบญ 4.47; พบญ 7.1; พบญ 11.23; พบญ 12.29; พบญ 12.32; พบญ 20.12; พบญ 22.3; พบญ 22.10; พบญ 22.14; พบญ 22.26; พบญ 23.1; พบญ 23.2; พบญ 23.3; พบญ 23.8; พบญ 26.1; พบญ 27.3; พบญ 28.30; พบญ 33.7; ยชว 2.16; ยชว 4.13; ยชว 6.11; ยชว 6.14; ยชว 6.20; ยชว 8.7; ยชว 8.8; ยชว 8.24; ยชว 10.9; ยชว 10.19; ยชว 10.29; ยชว 10.31; ยชว 10.34; ยชว 10.36; ยชว 10.38; ยชว 11.5; ยชว 11.7; ยชว 11.20; ยชว 14.4; ยชว 19.50; ยชว 22.9; ยชว 24.13; วนฉ 1.8; วนฉ 4.21; วนฉ 5.26; วนฉ 6.19; วนฉ 8.11; วนฉ 9.23; วนฉ 9.33; วนฉ 9.44; วนฉ 10.18; วนฉ 12.5; วนฉ 15.9; วนฉ 16.13; วนฉ 16.14; วนฉ 18.9; วนฉ 18.15; วนฉ 18.22; วนฉ 18.25; วนฉ 19.3; วนฉ 20.23; วนฉ 20.24; วนฉ 20.34; นรธ 1.9; 1ซมอ 4.2; 1ซมอ 4.9; 1ซมอ 6.7; 1ซมอ 6.10; 1ซมอ 9.4; 1ซมอ 9.12; 1ซมอ 9.17; 1ซมอ 12.19; 1ซมอ 14.21; 1ซมอ 14.48; 1ซมอ 16.21; 1ซมอ 22.5; 1ซมอ 23.8; 1ซมอ 24.3; 1ซมอ 25.20; 1ซมอ 26.10; 1ซมอ 31.3; 2ซมอ 2.16; 2ซมอ 2.30; 2ซมอ 4.2; 2ซมอ 10.9; 2ซมอ 10.10; 2ซมอ 10.15; 2ซมอ 10.17; 2ซมอ 11.15; 2ซมอ 11.20; 2ซมอ 12.28; 2ซมอ 12.29; 2ซมอ 15.23; 2ซมอ 15.37; 2ซมอ 16.8; 2ซมอ 17.3; 2ซมอ 17.12; 2ซมอ 17.17; 2ซมอ 18.9; 2ซมอ 18.10; 2ซมอ 23.8; 1พกษ 2.26; 1พกษ 6.31; 1พกษ 14.12; 1พกษ 16.17; 1พกษ 17.21; 1พกษ 17.22; 1พกษ 19.4; 1พกษ 19.9; 1พกษ 20.25; 1พกษ 20.30; 1พกษ 21.4; 1พกษ 22.30; 1พกษ 22.34; 2พกษ 2.8; 2พกษ 2.11; 2พกษ 3.21; 2พกษ 4.29; 2พกษ 6.21; 2พกษ 9.21; 2พกษ 9.31; 2พกษ 11.8; 2พกษ 11.16; 2พกษ 15.16; 2พกษ 16.6; 2พกษ 17.5; 2พกษ 17.24; 2พกษ 19.18; 2พกษ 19.32; 2พกษ 23.3; 2พกษ 25.1; 1พศด 5.18; 1พศด 10.3; 1พศด 12.19; 1พศด 12.22; 1พศด 12.33; 1พศด 19.11; 1พศด 19.17; 1พศด 22.14; 1พศด 23.11; 2พศด 15.12; 2พศด 18.29; 2พศด 18.33; 2พศด 18.34; 2พศด 20.34; 2พศด 25.5; 2พศด 25.8; 2พศด 25.13; 2พศด 28.13; 2พศด 28.18; 2พศด 30.16; 2พศด 32.6; 2พศด 32.21; 2พศด 34.32; 2พศด 35.22; อสร 9.14; นหม 2.8; นหม 2.15; นหม 7.70; นหม 9.25; นหม 9.29; นหม 10.29; นหม 11.1; อสธ 4.2; อสธ 6.10; โยบ 3.6; โยบ 4.5; โยบ 18.7; โยบ 22.8; โยบ 34.8; โยบ 34.37; โยบ 40.17; โยบ 41.9; สดด 36.7; สดด 49.4; สดด 50.18; สดด 68.24; สดด 82.1; สดด 95.9; สดด 100.4; สดด 102.9; สดด 102.23; สดด 105.18; สดด 107.4; สดด 118.19; สดด 132.3; สดด 139.13; สดด 139.17; สภษ 1.14; สภษ 2.19; สภษ 6.30; สภษ 10.27; สภษ 14.10; สภษ 20.3; สภษ 20.19; สภษ 22.25; สภษ 24.6; สภษ 24.21; สภษ 26.4; สภษ 26.9; สภษ 26.17; สภษ 28.15; สภษ 29.8; สภษ 29.24; สภษ 30.6; ปญจ 7.27; พซม 2.4; พซม 8.14; อสย 2.21; อสย 3.13; อสย 3.14; อสย 5.8; อสย 8.8; อสย 9.10; อสย 9.18; อสย 13.4; อสย 13.15; อสย 13.20; อสย 21.2; อสย 26.20; อสย 28.4; อสย 29.1; อสย 30.32; อสย 37.1; อสย 37.19; อสย 37.33; อสย 45.20; อสย 47.2; อสย 53.12; อสย 65.21; อสย 65.22; ยรม 2.2; ยรม 6.5; ยรม 6.23; ยรม 7.21; ยรม 9.21; ยรม 17.19; ยรม 17.20; ยรม 17.21; ยรม 17.25; ยรม 17.27; ยรม 22.7; ยรม 22.28; ยรม 25.31; ยรม 34.10; ยรม 41.6; ยรม 42.15; ยรม 45.3; ยรม 46.3; ยรม 46.9; ยรม 47.6; ยรม 48.46; ยรม 49.14; ยรม 50.7; ยรม 50.42; ยรม 51.51; พคค 1.4; พคค 1.14; พคค 3.13; พคค 3.58; พคค 5.9; อสค 3.24; อสค 7.12; อสค 7.14; อสค 13.9; อสค 16.43; อสค 17.10; อสค 20.37; อสค 20.42; อสค 21.22; อสค 21.30; อสค 26.10; อสค 37.17; อสค 37.19; อสค 39.15; อสค 44.17; ดนล 2.2; ดนล 2.43; ดนล 8.7; ดนล 10.3; ดนล 11.28; ดนล 11.34; ฮชย 1.11; ฮชย 7.8; ฮชย 10.11; ฮชย 11.9; ยอล 2.5; ยอล 2.9; อมส 4.10; อมส 5.9; อมส 9.14; อบด 1.13; ยนา 1.13; มคา 1.13; มคา 7.3; นฮม 2.1; นฮม 3.3; นฮม 3.14; ศฟย 3.20; ฮกก 2.13; ศคย 2.11; มธ 4.24; มธ 5.20; มธ 6.6; มธ 7.21; มธ 8.8; มธ 8.31; มธ 9.16; มธ 12.2; มธ 18.3; มธ 19.17; มธ 19.23; มธ 19.24; มธ 24.22; มธ 24.38; มธ 24.51; มธ 26.41; มก 2.21; มก 5.12; มก 6.10; มก 7.19; มก 7.33; มก 9.28; มก 9.47; มก 10.1; มก 10.15; มก 10.23; มก 10.24; มก 10.25; มก 11.11; มก 13.20; มก 15.28; ลก 7.6; ลก 8.23; ลก 8.33; ลก 8.55; ลก 9.34; ลก 11.8; ลก 12.11; ลก 13.24; ลก 17.27; ลก 18.15; ลก 18.17; ลก 18.24; ลก 18.25; ลก 19.1; ลก 19.45; ลก 22.3; ลก 22.37; ลก 22.40; ลก 22.46; ลก 23.42; ลก 24.26; ยน 3.4; ยน 3.5; ยน 8.2; ยน 10.2; ยน 11.52; ยน 15.4; ยน 15.5; ยน 15.6; ยน 15.7; กจ 1.13; กจ 1.17; กจ 1.26; กจ 2.41; กจ 2.47; กจ 3.1; กจ 7.45; กจ 10.28; กจ 11.8; กจ 11.24; กจ 14.22; กจ 16.16; กจ 17.4; กจ 17.5; กจ 25.1; กจ 27.39; รม 2.25; รม 5.2; รม 6.3; รม 6.4; รม 6.5; รม 8.20; รม 8.21; รม 11.17; รม 11.23; รม 11.24; รม 15.27; 1คร 7.23; 1คร 10.2; 1คร 12.13; 1คร 14.8; 2คร 6.14; 2คร 10.5; กท 1.6; กท 5.1; อฟ 5.11; คส 1.12; คส 2.2; 2ธส 3.5; 1ทธ 1.18; 2ทธ 2.4; 2ทธ 2.5; ฮบ 3.1; ฮบ 3.9; ฮบ 4.1; ฮบ 4.3; ฮบ 4.6; ฮบ 4.11; ฮบ 7.21; ฮบ 9.24; ฮบ 12.10; 1ปต 3.22; 1ปต 5.10; 2ปต 1.11; 2ยน 1.11; วว 9.9

เขาแกะตัวผู้ ( 5 )
ยชว 6.4 ให้ปุโรหิตเจ็ดคนถือแตรเขาแกะตัวผู้เจ็ดคันนำหน้าหีบ และในวันที่เจ็ดนั้นเจ้าทั้งหลายจงเดินรอบเมืองเจ็ดครั้ง ให้ปุโรหิตเป่าแตรไปด้วย
ยชว 6.5 และต่อมาเมื่อเขาเป่าเขาแกะตัวผู้เป็นเสียงยาว พอเจ้าได้ยินเสียงแตรนั้น ก็ให้ประชาชนทั้งปวงโห่ร้องขึ้นด้วยเสียงอันดัง กำแพงเมืองนั้นก็จะพังลงราบ และประชาชนจะขึ้นไปทุกคนต่างตรงไปข้างหน้าตน”
ยชว 6.6 ฝ่ายโยชูวาบุตรชายนูนจึงเรียกปุโรหิตมาสั่งว่า “จงยกหีบพันธสัญญาขึ้นหามไป ให้ปุโรหิตเจ็ดคนถือแตรเขาแกะตัวผู้เจ็ดคันเดินนำหน้าหีบแห่งพระเยโฮวาห์”
ยชว 6.8 ต่อมาเมื่อโยชูวาบัญชาแก่ประชาชนแล้ว ปุโรหิตเจ็ดคนที่ถือเขาแกะตัวผู้เจ็ดคันก็เดินผ่านไปข้างหน้าต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์และเป่าแตรไปด้วย และมีหีบพันธสัญญาแห่งพระเยโฮวาห์ตามเขามา
ยชว 6.13 และปุโรหิตเจ็ดคนถือแตรเขาแกะตัวผู้เจ็ดคันเดินนำหน้าหีบแห่งพระเยโฮวาห์เรื่อยไปและเป่าแตรไปด้วย และทหารถืออาวุธก็เดินอยู่ข้างหน้าเขา และกองหลังก็เดินอยู่ข้างหลังหีบแห่งพระเยโฮวาห์ ฝ่ายปุโรหิตนั้นก็เดินเป่าแตรไปเรื่อยๆ

เข้าใกล้ ( 24 )
ปฐก 20.4 แต่อาบีเมเลคยังไม่ได้เข้าใกล้นาง ท่านจึงทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะประหารชนชาติที่ชอบธรรมด้วยหรือ
อพย 14.20 คือเสานั้นมาอยู่ระหว่างค่ายของชาติอียิปต์และค่ายของชนชาติอิสราเอล และเป็นเมฆมืดแก่ชาวอียิปต์ แต่มีแสงส่องสว่างในเวลากลางคืนแก่ชนชาติอิสราเอล ทั้งสองฝ่ายมิได้เข้าใกล้กันตลอดคืน
อพย 19.15 แล้วท่านกล่าวแก่พลไพร่ว่า “ท่านทั้งหลายจงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมในวันที่สาม อย่าเข้าใกล้ภรรยาของท่านเลย”
อพย 28.43 ให้อาโรนกับบุตรชายทั้งหลายของเขาสวมเมื่อเข้าไปในพลับพลาแห่งชุมนุม และเมื่อเข้าใกล้แท่นจะปรนนิบัติ ณ ที่บริสุทธิ์ เกลือกว่าเขาจะก่อความชั่วช้าและถึงตาย เรื่องนี้ให้เป็นกฎเกณฑ์เนืองนิตย์ที่เขาและเชื้อสายของเขาที่มาภายหลังเขาจะต้องปฏิบัติตาม”
ลนต 18.6 อย่าให้ผู้ใดในพวกเจ้าเข้าใกล้ญาติสนิทของตนเพื่อเปิดกายที่เปลือยเปล่าของเขา เราคือพระเยโฮวาห์
ลนต 18.19 และเจ้าอย่าเข้าใกล้ผู้หญิงคนใดคนหนึ่งเพื่อเปิดกายที่เปลือยเปล่าของนาง ตราบใดที่นางยังถูกแยกไว้ต่างหากเพราะมลทินของนาง
ลนต 20.16 ถ้าหญิงคนใดเข้าใกล้สัตว์เดียรัจฉาน และเข้านอนกับมัน เจ้าจงฆ่าหญิงนั้นและสัตว์เดียรัจฉานนั้นเสียให้ตาย ทั้งสองต้องมีโทษถึงตายเป็นแน่ ให้โลหิตของผู้นั้นตกอยู่บนผู้นั้นเอง
ลนต 21.18 เพราะว่าผู้ใดที่มีตำหนิจะเข้าใกล้ไม่ได้ ไม่ว่าเป็นคนตาบอดหรือเป็นคนง่อย หรือที่หน้ามีแผลเป็น หรือแขนขายาวเกิน
ลนต 22.3 จงกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า ‘คนใดก็ตามในเชื้อสายของเจ้าตลอดชั่วอายุเข้าใกล้ของบริสุทธิ์ ซึ่งคนอิสราเอลถวายแด่พระเยโฮวาห์ ขณะที่เขามีมลทินอยู่ คนนั้นจะต้องถูกตัดขาดให้พ้นหน้าเรา เราคือพระเยโฮวาห์
กดว 6.6 ตลอดเวลาที่เขาปลีกตัวออกมาถวายแด่พระเยโฮวาห์ เขาต้องไม่เข้าใกล้ศพ
กดว 16.5 ท่านจึงพูดกับโคราห์และพรรคพวกทั้งหมดของเขาว่า “พรุ่งนี้เช้าพระเยโฮวาห์จะทรงสำแดงให้เห็นว่า ผู้ใดเป็นของพระองค์และใครเป็นคนบริสุทธิ์ และจะทรงให้ผู้นั้นเข้าใกล้พระองค์ ผู้ใดที่พระองค์ทรงเลือก พระองค์จะทรงให้เข้าไปใกล้พระองค์
กดว 18.3 เขาทั้งหลายจะคอยรับใช้เจ้า และรับใช้บรรดาหน้าที่ต่างๆของพลับพลา แต่อย่าให้เข้าใกล้เครื่องใช้ของสถานบริสุทธิ์หรือแท่นบูชา เกลือกว่าเขาทั้งหลายและเจ้าจะต้องตาย
พบญ 2.19 และเมื่อเข้าใกล้แนวหน้าของคนอัมโมนอย่าราวีหรือรบกับเขาเลย เพราะเราจะไม่ให้ที่อยู่ของลูกหลานคนอัมโมนแก่เจ้าให้ยึดครองเลย ด้วยเราได้ให้ที่นั่นแก่ลูกหลานของโลทเป็นผู้ยึดครองแล้ว’
พบญ 2.37 แต่ท่านทั้งหลายมิได้เข้าใกล้แผ่นดินคนอัมโมน คือฝั่งแม่น้ำยับบอกและเมืองที่อยู่บนภูเขา และที่ใดๆซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราตรัสห้ามเรานั้น”
2ซมอ 10.13 ดังนั้น โยอาบกับประชาชนที่อยู่กับท่านก็ยกเข้าใกล้ต่อสู้กับคนซีเรีย ข้าศึกก็แตกหนีไปต่อหน้าเขา
สดด 73.28 แต่ส่วนข้าพระองค์ ที่จะเข้าใกล้พระเจ้านั้นดี ข้าพระองค์ได้วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า เพื่อข้าพระองค์จะได้เล่าถึงพระราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์
สดด 88.3 เพราะจิตใจของข้าพระองค์ลำบากเต็มที และชีวิตของข้าพระองค์เข้าใกล้แดนผู้ตาย
ยรม 30.21 ขุนนางของเขาจะเป็นคนหนึ่งในพวกเขาทั้งหลาย ผู้ครอบครองของเขาจะออกมาจากท่ามกลางเขาเอง เราจะกระทำให้ท่านนั้นเข้ามาใกล้ และท่านนั้นจะเข้าใกล้เรา เพราะใครเล่าตั้งใจเข้ามาใกล้เราได้เอง พระเยโฮวาห์ตรัส
อสค 9.6 จงฆ่าให้ตายทั้งคนแก่ คนหนุ่มๆ สาวๆ ทั้งเด็กๆ และผู้หญิง แต่อย่าเข้าใกล้ผู้ที่มีเครื่องหมาย และจงเริ่มต้นที่สถานบริสุทธิ์ของเรา” ดังนั้นเขาจึงตั้งต้นกับพวกคนแก่ผู้ซึ่งอยู่หน้าพระนิเวศนั้น
อสค 18.6 ถ้าคนนั้นมิได้รับประทานที่บนภูเขาหรือเงยหน้าขึ้นนมัสการรูปเคารพแห่งวงศ์วานอิสราเอล มิได้กระทำให้ภรรยาของเพื่อนบ้านมลทิน หรือเข้าใกล้ผู้หญิงในเวลาที่เธอมีมลทินประจำเดือน
อสค 42.13 แล้วท่านกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า “ห้องด้านเหนือและห้องด้านใต้ตรงข้ามสนามเป็นห้องบริสุทธิ์ ที่ปุโรหิตผู้เข้าใกล้พระเยโฮวาห์จะรับประทานของถวายอันบริสุทธิ์ที่สุด เขาจะวางของถวายอันบริสุทธิ์ที่สุดนั้นไว้ที่นั่น และธัญญบูชา เครื่องบูชาไถ่บาป เครื่องบูชาไถ่การละเมิดเพราะว่าที่นั่นบริสุทธิ์
อสค 45.4 ให้เป็นส่วนแผ่นดินที่บริสุทธิ์ ให้เป็นของปุโรหิต ผู้ปรนนิบัติอยู่ในสถานบริสุทธิ์ และเข้าใกล้พระเยโฮวาห์เพื่อจะปรนนิบัติพระองค์ ให้เป็นที่สำหรับปลูกบ้านเรือนของเขาและเป็นที่บริสุทธิ์สำหรับสถานบริสุทธิ์
มก 2.2 และในเวลานั้นคนเป็นอันมากมาชุมนุมกันจนไม่มีที่จะรับ จะเข้าใกล้ประตูก็ไม่ได้ พระองค์จึงเทศนาพระวจนะนั้นให้เขาฟัง
ยก 4.8 จงเข้าใกล้พระเจ้า และพระองค์จะสถิตอยู่ใกล้ท่าน คนบาปทั้งหลายเอ๋ย จงชำระมือให้สะอาด และคนสองใจเอ๋ย จงชำระใจของตนให้บริสุทธิ์

เข้าข้าง ( 10 )
อพย 23.2 อย่าทำชั่วตามอย่างคนจำนวนมากที่เขาทำกันนั้นเลย อย่าอ้างพยานลำเอียงเข้าข้างหมู่มาก จะทำให้ขาดความยุติธรรมไป
อพย 23.3 ทั้งอย่าลำเอียงเข้าข้างคนจนในคดีของเขา
ลนต 19.15 เจ้าอย่าพิพากษาด้วยความอยุติธรรม เจ้าอย่าลำเอียงเข้าข้างคนจนหรือเห็นแก่หน้าผู้เป็นใหญ่ แต่เจ้าจงพิพากษาเพื่อนบ้านของเจ้าด้วยความชอบธรรม
วนฉ 9.3 ฝ่ายญาติของมารดาของเขาก็กล่าวคำทั้งหมดเหล่านี้ให้เข้าหูบรรดาชาวเชเคม จิตใจของชาวเมืองก็เอนเอียงเข้าข้างอาบีเมเลค ด้วยเขากล่าวกันว่า “เขาเป็นญาติของเรา”
2พกษ 20.2 แล้วเฮเซคียาห์ทรงหันพระพักตร์เข้าข้างฝา และอธิษฐานต่อพระเยโฮวาห์ว่า
โยบ 13.8 ท่านทั้งหลายจะแสดงความลำเอียงเข้าข้างพระองค์หรือ ท่านจะว่าความฝ่ายพระเจ้าหรือ
สดด 26.1 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงตัดสินเข้าข้างข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์ดำเนินอยู่ในความสุจริตของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ได้วางใจในพระเยโฮวาห์ ฉะนั้นข้าพระองค์จะไม่พลาด
สภษ 18.5 ที่จะลำเอียงเข้าข้างคนชั่วร้ายเพื่อจะบังคับคนชอบธรรมเรื่องความยุติธรรมก็ไม่ดี
อสย 38.2 แล้วเฮเซคียาห์ทรงหันพระพักตร์เข้าข้างฝา และอธิษฐานต่อพระเยโฮวาห์
2ทธ 4.16 ในการแก้คดีครั้งแรกของข้าพเจ้านั้น ไม่มีใครเข้าข้างข้าพเจ้าสักคนเดียว เขาได้ละทิ้งข้าพเจ้าไปหมด ข้าพเจ้าอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า ขอโปรดอย่าให้พวกเขาต้องได้รับโทษเลย

เข้าจารีต ( 2 )
อสธ 9.27 พวกยิวก็กำหนดและรับว่าตัวเขาเอง เชื้อสายของเขา และบรรดาผู้ที่เข้าจารีตยิวจะถือสองวันนี้ดังที่เขียนไว้ และตามเวลาที่กำหนดไว้ทุกปีมิได้ขาด
มธ 23.15 วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าเที่ยวไปตามทางทะเลและทางบกทั่วไปเพื่อจะได้แม้แต่คนเดียวเข้าจารีต เมื่อได้แล้วเจ้าก็ทำให้เขากลายเป็นลูกแห่งนรกยิ่งกว่าตัวเจ้าเองถึงสองเท่า

เข้าใจ ( 196 )
ปฐก 11.7 มาเถิด ให้พวกเราลงไปและทำให้ภาษาของเขาวุ่นวายที่นั่น เพื่อไม่ให้พวกเขาพูดเข้าใจกันได้”
ปฐก 41.15 ฟาโรห์ตรัสแก่โยเซฟว่า “เราฝันไป และหามีผู้ใดแก้ฝันได้ไม่ เราได้ยินถึงเจ้าว่าเจ้าสามารถเข้าใจความฝันเพื่อแก้ฝันนั้นได้”
อพย 21.5 ถ้าทาสนั้นมากล่าวเป็นที่เข้าใจชัดเจนว่า ‘ข้าพเจ้ารักนายและลูกเมียของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่อยากออกไปเป็นไทย’
พบญ 9.3 วันนี้ท่านทั้งหลายจงเข้าใจเถอะว่า ผู้ที่ไปข้างหน้าท่านนั้นคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน พระองค์จะทรงทำลายเขาดังเพลิงเผาผลาญและทรงกระทำให้เขาพ่ายแพ้ต่อหน้าท่าน ดังนั้นท่านจะได้ขับไล่เขาออกไป กระทำให้เขาพินาศโดยเร็ว ดังที่พระเยโฮวาห์ทรงตรัสไว้กับท่านทั้งหลายแล้วนั้น
พบญ 9.6 เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงเข้าใจเถิดว่า ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแผ่นดินดีนี้ให้ท่านยึดครองนั้น มิใช่เพราะความชอบธรรมของท่าน เพราะว่าท่านทั้งหลายเป็นชนชาติคอแข็ง
พบญ 29.4 แต่จนกระทั่งวันนี้พระเยโฮวาห์มิได้ประทานจิตใจที่เข้าใจ ตาที่มองเห็นได้ และหูที่ยินได้ให้แก่ท่าน
พบญ 32.29 โอ ถ้าเขาฉลาดแล้วเขาจะเข้าใจเรื่องนี้และทราบเรื่องสุดท้ายปลายมือ
วนฉ 3.2 แต่เพียงทรงให้เชื้อสายคนอิสราเอลเข้าใจเรื่องการสงคราม เพื่ออย่างน้อยพระองค์จะได้ทรงสอนแก่ผู้ที่ยังไม่ทราบมาก่อน
วนฉ 15.2 พ่อตาจึงว่า “ข้าเข้าใจจริงๆว่าเจ้าเกลียดชังนางเหลือเกิน ข้าจึงยกนางให้แก่เพื่อนของเจ้าไป น้องสาวของนางก็สวยกว่านางมิใช่หรือ ขอจงรับน้องแทนพี่เถิด”
1ซมอ 28.1 อยู่มาในครั้งนั้นคนฟีลิสเตียได้รวบรวมกำลังเพื่อทำสงครามสู้รบกับอิสราเอล และอาคีชตรัสกับดาวิดว่า “จงเข้าใจเถิดว่า ท่านกับคนของท่านจะออกทัพไปกับเรา”
2ซมอ 3.37 ประชาชนทั้งสิ้นและชนอิสราเอลทั้งปวงจึงเข้าใจในวันนั้นว่าไม่เป็นพระประสงค์ของกษัตริย์ที่จะให้ฆ่าอับเนอร์บุตรชายเนอร์เสีย
2พกษ 18.26 แล้วเอลียาคิมบุตรชายฮิลคียาห์และเชบนาห์และโยอาห์ เรียนรับชาเคห์ว่า “ขอทีเถอะ ขอพูดกับผู้รับใช้ของท่านเป็นภาษาอารัมเถิด เพราะเราเข้าใจภาษานั้น ขออย่าพูดกับเราเป็นภาษาฮีบรูให้ประชาชนผู้อยู่บนกำแพงนั้นได้ยินเลย”
1พศด 15.22 เคนานิยาห์หัวหน้าของคนเลวีในเรื่องเพลงเป็นผู้อำนวยการเพลง เพราะเขาเข้าใจดี
1พศด 28.9 ซาโลมอนบุตรของเราเอ๋ย เจ้าจงรู้จักพระเจ้าของบิดาเจ้า และจงปรนนิบัติพระองค์ด้วยใจจริงและด้วยความเต็มใจของเจ้า เพราะพระเยโฮวาห์ทรงพิจารณาจิตใจทั้งปวง และทรงเข้าใจในแผนงานแห่งความคิดทั้งปวง ถ้าเจ้าแสวงหาพระองค์ เจ้าจะพบพระองค์ แต่ถ้าเจ้าทอดทิ้งพระองค์ พระองค์จะทรงเหวี่ยงเจ้าออกไปเสียเป็นนิตย์
1พศด 28.19 ดาวิดตรัสว่า “สิ่งทั้งปวงเหล่านี้พระเยโฮวาห์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจโดยอาศัยลายพระหัตถ์ของพระองค์เหนือข้าพเจ้า คืองานทุกอย่างซึ่งจะต้องกระทำตามแผนผังนั้น”
2พศด 26.5 และพระองค์ทรงแสวงหาพระเจ้าในสมัยของเศคาริยาห์ ผู้เข้าใจในนิมิตต่างๆจากพระเจ้า และตราบใดที่พระองค์แสวงหาพระเยโฮวาห์ พระเจ้าทรงกระทำให้พระองค์เจริญ
นหม 6.12 และดูเถิด ข้าพเจ้าเข้าใจและเห็นว่า พระเจ้ามิได้ทรงใช้เขา แต่เขาได้พยากรณ์ใส่ร้ายข้าพเจ้า เพราะโทบีอาห์และสันบาลลัทได้จ้างเขา
นหม 8.2 เอสราปุโรหิตได้นำพระราชบัญญัติมาหน้าชุมนุมชน ทั้งชายและหญิง และบรรดาผู้ที่ฟังเข้าใจได้ ณ วันต้นของเดือนที่เจ็ด
นหม 8.3 และท่านหันหน้าไปทางถนนซึ่งอยู่หน้าประตูน้ำ อ่านตั้งแต่เช้าตรู่จนเที่ยงวัน ต่อหน้าผู้ชายผู้หญิงกับบรรดาผู้ที่ฟังเข้าใจได้ และประชาชนก็ตะแคงหูฟังหนังสือพระราชบัญญัติ
นหม 8.7 อนึ่งเยชูอา บานี เชเรบิยาห์ ยามีน อักขูบ ชับเบธัย โฮดียาห์ มาอาเสอาห์ เคลิทา อาซาริยาห์ โยซาบาด ฮานัน เปไลยาห์และพวกคนเลวี ได้ช่วยประชาชนให้เข้าใจพระราชบัญญัติ ฝ่ายประชาชนก็ยังอยู่ในที่ของตน
นหม 8.8 และเขาทั้งหลายอ่านจากหนังสือ จากพระราชบัญญัติของพระเจ้าเป็นตอนๆ และเขาก็แปลความ ประชาชนจึงเข้าใจข้อความที่อ่านนั้น
นหม 8.12 และประชาชนทั้งปวงจึงไปกินและดื่มและส่งส่วนอาหาร เปรมปรีดิ์กันเป็นที่ยิ่ง เพราะเขาทั้งหลายเข้าใจถ้อยคำซึ่งประกาศให้เขาฟังนั้น
โยบ 6.24 สอนข้าซี และข้าจะเงียบ ขอทำให้ข้าเข้าใจว่าข้าผิดตรงไหน
โยบ 9.10 ผู้ทรงกระทำมหกิจเหลือที่จะเข้าใจได้ และการมหัศจรรย์อย่างนับไม่ถ้วน
โยบ 9.21 ถึงแม้ข้าดีรอบคอบ ข้าก็ไม่เข้าใจตัวข้าเอง ข้าจะเกลียดชีวิตของข้า
โยบ 13.1 “ดูเถิด ตาของข้าได้เห็นสิ่งทั้งหมดนี้แล้ว หูของข้าได้ยินและเข้าใจเรื่องนี้แล้ว
โยบ 15.9 ท่านทราบอะไรที่พวกเราไม่ทราบบ้าง ท่านเข้าใจอะไรที่ไม่กระจ่างแก่เราเล่า
โยบ 23.5 ข้าจะทราบคำตอบของพระองค์ และเข้าใจสิ่งที่พระองค์จะตรัสกับข้า
โยบ 26.14 ดูเถิด เหล่านี้เป็นเพียงพระราชกิจผิวเผินของพระองค์ เราได้ยินถึงพระองค์ก็เป็นเพียงเสียงกระซิบ ใครจะเข้าใจถึงฤทธิ์กัมปนาทอันเกรียงไกรของพระองค์ได้”
โยบ 32.8 แต่มีจิตวิญญาณในมนุษย์ การดลใจจากองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กระทำให้เขาเข้าใจ
โยบ 32.9 ไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้นที่เป็นคนฉลาด หรือคนสูงอายุเข้าใจความยุติธรรม
โยบ 34.34 จงให้คนที่เข้าใจพูดกับข้าพเจ้า และให้คนฉลาดฟังข้าพเจ้า
โยบ 36.29 เออ มีคนใดเข้าใจการแผ่ของเมฆหรือ และการคะนองแห่งพลับพลาของพระองค์หรือ
โยบ 37.5 พระเจ้าทรงสำแดงกัมปนาทอย่างประหลาดด้วยพระสุรเสียงของพระองค์ พระองค์ทรงกระทำการใหญ่โตซึ่งเราเข้าใจไม่ได้
โยบ 42.3 ‘นี่ใครหนอที่ซ่อนคำปรึกษาด้วยไร้ความรู้’ เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จึงกล่าวถึงสิ่งที่ข้าพระองค์ไม่เข้าใจ สิ่งที่ประหลาดเกินแก่ข้าพระองค์ ซึ่งข้าพระองค์ไม่ทราบ
สดด 14.2 พระเยโฮวาห์ทรงมองลงมาจากฟ้าสวรรค์ ดูบุตรทั้งหลายของมนุษย์ว่าจะมีคนใดบ้างที่เข้าใจที่เสาะแสวงหาพระเจ้า
สดด 19.12 แต่ผู้ใดเล่าจะเข้าใจเรื่องความผิดพลาดของตนได้ ขอพระองค์ทรงชำระข้าพระองค์ให้พ้นจากความผิดที่ซ่อนเร้นอยู่
สดด 53.2 พระเจ้าทรงมองลงมาจากฟ้าสวรรค์ ดูบุตรทั้งหลายของมนุษย์ว่าจะมีคนใดบ้างที่เข้าใจที่เสาะแสวงหาพระเจ้า
สดด 73.16 แต่เมื่อข้าพระองค์ตริตรองว่า จะเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างไร ข้าพระองค์รู้สึกว่า เป็นงานที่เหน็ดเหนื่อย
สดด 82.5 เขาทั้งหลายไม่รู้และไม่เข้าใจ เขาเดินไปมาในความมืด รากทั้งสิ้นของแผ่นดินโลกก็หวั่นไหว
สดด 92.6 คนเขลาจะทราบไม่ได้ คนโฉดเข้าใจเรื่องนี้ไม่ได้
สดด 94.8 คนเขลาที่สุดของประชาชนเอ๋ย จงเข้าใจเถิด คนโง่ทั้งหลาย เมื่อไรเจ้าจึงจะฉลาด
สดด 106.7 บรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลายเมื่อท่านอยู่ในอียิปต์ท่านมิได้เข้าใจการมหัศจรรย์ของพระองค์ ท่านมิได้ระลึกถึงความเมตตาอันอุดมของพระองค์ แต่ได้กบฏต่อพระองค์ที่ทะเล ที่ทะเลแดง
สดด 107.43 ผู้ใดฉลาดและจะรักษาสิ่งเหล่านี้ ก็จะเข้าใจถึงความเมตตาของพระเยโฮวาห์
สดด 119.27 ขอทรงกระทำให้ข้าพระองค์เข้าใจทางแห่งข้อบังคับของพระองค์ และข้าพระองค์จะกล่าวถึงพระราชกิจอันมหัศจรรย์ของพระองค์
สดด 119.100 ข้าพระองค์เข้าใจมากกว่าคนสูงอายุ เพราะข้าพระองค์รักษาข้อบังคับของพระองค์
สภษ 1.2 เพื่อให้บรรลุปัญญาและคำสั่งสอน เพื่อให้เข้าใจถ้อยคำแห่งความเข้าใจ
สภษ 1.6 เพื่อให้เข้าใจสุภาษิตและปริศนา ทั้งถ้อยคำของปราชญ์และปริศนาที่ลึกลับของเขา
สภษ 2.5 นั่นแหละ เจ้าจะเข้าใจความยำเกรงพระเยโฮวาห์ และพบความรู้ของพระเจ้า
สภษ 2.9 แล้วเจ้าจะเข้าใจความชอบธรรมและความยุติธรรม และความเที่ยงตรง คือวิถีที่ดีทุกสาย
สภษ 8.5 โอ คนเขลา จงเข้าใจสติปัญญา คนโง่ทั้งหลาย จงมีใจที่เข้าใจ
สภษ 8.9 คำเหล่านั้นสำหรับผู้ที่เข้าใจก็ตรงหมด สำหรับผู้พบความรู้ก็ถูกต้อง
สภษ 19.25 จงตีคนที่มักเยาะเย้ย และคนเขลาจะเรียนความหยั่งรู้เอง จงตักเตือนคนที่มีความเข้าใจและเขาจะเข้าใจความรู้
สภษ 20.24 ย่างเท้าของมนุษย์นั้นพระเยโฮวาห์ทรงเป็นผู้สั่ง แล้วคนจะเข้าใจทางของเขาเองได้อย่างไร
สภษ 28.5 คนชั่วร้ายไม่เข้าใจความยุติธรรม แต่บรรดาผู้ที่แสวงหาพระเยโฮวาห์เข้าใจสิ่งสารพัด
สภษ 29.7 คนชอบธรรมรู้จักสิทธิของคนยากจน แต่คนชั่วร้ายไม่เข้าใจความรู้อย่างนี้
สภษ 29.19 สักแต่ใช้คำพูดเท่านั้นจะฝึกสอนคนใช้ไม่ได้ เพราะถึงแม้เขาเข้าใจ แต่เขาก็จะไม่ตอบ
สภษ 30.18 มีสามสิ่งที่ประหลาดเหลือสำหรับข้า เออ สี่สิ่งที่ข้าไม่เข้าใจ
ปญจ 8.5 ผู้ที่รักษาพระบัญชาจะไม่ประสบความชั่วร้าย และจิตใจของคนที่มีสติปัญญาก็เข้าใจทั้งวาระและคำตัดสิน
ปญจ 8.16 เมื่อข้าพเจ้าตั้งใจจะเข้าใจสติปัญญาและทราบธุรกิจที่กระทำกันในโลก (ที่เขาอดหลับอดนอนทำกันตลอดวันตลอดคืน)
ปญจ 8.17 แล้วข้าพเจ้าจึงเห็นบรรดาพระราชกิจของพระเจ้าว่า มนุษย์จะค้นหาความเข้าใจในพระราชกิจที่บังเกิดอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์หาได้ไม่ เพราะว่าถึงแม้มนุษย์จะออกแรงค้นหาสักปานใดก็ยังจะค้นหาให้พบไม่ได้ เออ ยิ่งกว่านั้นอีก แม้ว่านักปราชญ์คนใดนึกเอาว่าเขาจะเข้าใจแล้ว เขาก็ยังค้นหาไม่พบ
อสย 6.9 และพระองค์ตรัสว่า “ไปเถอะ และกล่าวแก่ชนชาตินี้ว่า ‘ฟังแล้วฟังเล่า แต่อย่าเข้าใจ ดูแล้วดูเล่า แต่อย่ามองเห็น’
อสย 6.10 จงกระทำให้จิตใจของชนชาตินี้มึนงง และให้หูทั้งหลายของเขาหนัก และปิดตาของเขาทั้งหลายเสีย เกรงว่าเขาจะเห็นด้วยตาของเขา และได้ยินด้วยหูของเขา และเข้าใจด้วยจิตใจของเขา และหันกลับมาได้รับการรักษาให้หาย”
อสย 28.9 เขาจะสอนความรู้ให้แก่ใคร เขาจะให้ผู้ใดเข้าใจหลักคำสอน ให้แก่คนเหล่านั้นที่หย่านมหรือ หรือให้แก่คนเอามาจากอก
อสย 28.19 มันผ่านไปบ่อยเท่าใด มันก็จะเอาตัวเจ้า เพราะมันจะผ่านไปเช้าแล้วเช้าเล่า ทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่อเข้าใจข่าว ก็จะเกิดแต่ความสยดสยองเท่านั้น
อสย 29.14 เพราะฉะนั้น ดูเถิด เราจะกระทำสิ่งมหัศจรรย์กับชนชาตินี้ อีกทั้งการประหลาดและอัศจรรย์ สติปัญญาของคนมีปัญญาของเขาจะพินาศไป และความเข้าใจของคนที่เข้าใจจะถูกปิดบังไว้”
อสย 32.4 จิตใจของคนที่หุนหันจะเข้าใจความรู้ และลิ้นของคนติดอ่างจะพูดฉะฉานอย่างทันควัน
อสย 33.19 ท่านจะไม่เห็นชนชาติที่ดุร้ายอีก ชนชาติที่พูดคลุมเครือซึ่งท่านฟังไม่ออก ที่พูดต่างภาษาซึ่งท่านเข้าใจไม่ได้
อสย 36.11 แล้วเอลียาคิม เชบนาห์ และโยอาห์ เรียนรับชาเคห์ว่า “ขอทีเถอะ ขอพูดกับผู้รับใช้ของท่านเป็นภาษาอารัมเถิด เพราะเราเข้าใจภาษานั้น ขออย่าพูดกับเราเป็นภาษาฮีบรูให้ประชาชนผู้อยู่บนกำแพงนั้นได้ยินเลย”
อสย 40.21 ท่านทั้งหลายไม่เคยรู้หรือ ท่านไม่เคยได้ยินหรือ ไม่มีผู้ใดบอกท่านตั้งแต่แรกแล้วหรือ ท่านไม่เข้าใจตั้งแต่รากฐานของแผ่นดินโลกหรือ
อสย 41.20 เพื่อคนจะได้เห็นและทราบ เขาจะใคร่ครวญและเข้าใจด้วยกัน ว่าพระหัตถ์ของพระเยโฮวาห์ได้ทรงกระทำการนี้ องค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอลได้สร้างสิ่งนี้
อสย 43.10 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เจ้าทั้งหลายเป็นพยานของเรา และเป็นผู้รับใช้ของเราซึ่งเราได้เลือกไว้แล้ว เพื่อเจ้าจะรู้จักและเชื่อถือเรา และเข้าใจว่าเราเป็นผู้นั้นแหละ ก่อนหน้าเรา ไม่มีพระเจ้าใดถูกปั้นขึ้น และภายหลังเราก็จะไม่มี
อสย 44.18 เขาทั้งหลายไม่รู้ หรือเขาทั้งหลายไม่เข้าใจ เพราะตาของเขาถูกปิด เขาจึงเห็นอะไรไม่ได้ และจิตใจของเขาเล่าก็ถูกปิด เขาจึงเข้าใจไม่ได้
อสย 56.11 เออ เขาเป็นสุนัขตะกละซึ่งไม่รู้จักอิ่ม เขาเป็นผู้เลี้ยงแกะที่เข้าใจไม่ได้ เขาทุกคนกลับไปตามทางเขาเอง ต่างก็หากำไรใส่ตนเอง ไม่เว้นสักคน
ยรม 4.22 “เพราะประชาชนของเราโง่เขลา เขาทั้งหลายไม่รู้จักเรา เขาทั้งหลายเป็นลูกหลานที่โง่ทึบ เขาทั้งหลายไม่มีความเข้าใจ เขาทั้งหลายทำความชั่วเก่ง แต่เขาไม่เข้าใจที่จะทำดี”
ยรม 5.15 ดูเถิด โอ วงศ์วานของอิสราเอลเอ๋ย เราจะนำประชาชาติจากแดนไกลมาสู้เจ้าทั้งหลาย” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ “เป็นประชาชาติที่มีอำนาจใหญ่โต เป็นประชาชาติดึกดำบรรพ์ เป็นประชาชาติที่เจ้าไม่รู้ภาษาของเขา เขาจะพูดอะไรเจ้าก็ไม่เข้าใจ
ยรม 9.12 ใครเป็นคนมีปัญญาที่จะเข้าใจความนี้ได้ และมีผู้ใดที่พระโอษฐ์ของพระเยโฮวาห์ได้ตรัสแก่เขา เขาจึงประกาศความนั้นได้ เหตุไฉนแผ่นดินจึงพังทำลายและถูกเผาเสียเหมือนถิ่นทุรกันดาร จึงไม่มีใครผ่านไปมา
ยรม 9.24 แต่ให้ผู้อวดอวดในสิ่งนี้คือในการที่เขาเข้าใจและรู้จักเราว่าเราคือพระเยโฮวาห์ ทรงสำแดงความเมตตา ความยุติธรรม และความชอบธรรมในโลก เพราะว่าเราพอใจในสิ่งเหล่านี้” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ยรม 23.20 ความกริ้วของพระเยโฮวาห์จะไม่หันกลับ จนกว่าพระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จ และจนกว่าพระองค์ทรงกระทำตามพระเจตนาแห่งพระหฤทัยของพระองค์ ในวันหลังๆเจ้าทั้งหลายจะเข้าใจเรื่องนี้แจ่มแจ้ง
อสค 3.6 มิใช่ให้ไปหาชนชาติทั้งหลายเป็นอันมากที่พูดภาษาต่างด้าวและภาษาที่พูดยาก เป็นคำที่เจ้าจะเข้าใจไม่ได้ ที่จริงถ้าเราใช้เจ้าไปหาคนเช่นนั้น เขาทั้งหลายจะฟังเจ้า
ดนล 1.4 พวกหนุ่มๆที่ปราศจากตำหนิ มีรูปร่างงามและเชี่ยวชาญในสรรพปัญญา กอปรด้วยความรู้และเข้าใจในสรรพวิทยา กับสามารถที่จะรับราชการในพระราชวัง และทรงให้สอนวิชาและภาษาของคนเคลเดียให้เขาทั้งหลาย
ดนล 1.17 ฝ่ายอนุชนทั้งสี่คนนี้ พระเจ้าทรงประทานสรรพวิทยา และความชำนาญในเรื่องวิชาทั้งปวงและปัญญา และดาเนียลเข้าใจในนิมิตและความฝันทุกประการ
ดนล 8.15 และอยู่มาเมื่อข้าพเจ้าดาเนียลได้เห็นนิมิตนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็พยายามเข้าใจ และดูเถิด มีเหมือนมนุษย์ยืนอยู่หน้าข้าพเจ้า
ดนล 8.16 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงของชายผู้หนึ่งระหว่างฝั่งแม่น้ำอุลัย และเสียงนั้นร้องเรียกและกล่าวว่า “กาเบรียลเอ๋ย จงทำให้ชายผู้นี้เข้าใจในนิมิตนั้นเถิด”
ดนล 8.17 ดังนั้นท่านจึงมาใกล้ที่ที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ และเมื่อท่านมาแล้ว ข้าพเจ้าก็ตกใจซบหน้าลงถึงดิน แต่ท่านกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า “โอ บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงเข้าใจเถิดว่า นิมิตนั้นเป็นเรื่องของกาลอวสาน”
ดนล 8.27 และข้าพเจ้าดาเนียลก็อ่อนเพลีย และนอนเจ็บอยู่หลายวัน แล้วข้าพเจ้าก็ลุกขึ้นไปปฏิบัติราชการของกษัตริย์ต่อไป แต่ข้าพเจ้าก็งงงันโดยนิมิตนั้น และไม่เข้าใจเรื่องราวเลย
ดนล 9.2 ในปีแรกแห่งรัชกาลของท่าน ข้าพเจ้าดาเนียลได้เข้าใจถึงจำนวนปีจากหนังสือ ซึ่งพระวจนะของพระเยโฮวาห์ได้มีมาถึงเยเรมีย์ผู้พยากรณ์ว่า พระองค์จะทรงกระทำให้ครบกำหนดเจ็ดสิบปีในการรกร้างของกรุงเยรูซาเล็ม
ดนล 9.13 ดังที่ได้จารึกไว้ในพระราชบัญญัติของโมเสสแล้ว วิบัติทั้งสิ้นก็ได้ตกอยู่เหนือข้าพระองค์ทั้งหลายแล้ว แต่ข้าพระองค์ทั้งหลายยังมิได้อธิษฐานต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย โดยหันเสียจากความชั่วช้าของข้าพระองค์ และเข้าใจความจริงของพระองค์
ดนล 9.23 ในตอนต้นแห่งคำวิงวอนของท่านก็มีพระบัญชาออกไป ข้าพเจ้าจึงมาบอกให้ท่านทราบเพราะท่านเป็นผู้ที่ทรงรักมาก เพราะฉะนั้นจงเข้าใจพระบัญชานั้นและพิจารณานิมิตนั้น
ดนล 9.25 เพราะฉะนั้นจงทราบและเข้าใจว่า นับตั้งแต่การที่พระบัญชานั้นออกไปให้สร้างกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ จนถึงสมัยพระเมสสิยาห์ ผู้เป็นประมุขก็เป็นเวลาเจ็ดสัปดาห์และเป็นเวลาหกสิบสองสัปดาห์ และถนนจะถูกสร้างขึ้นพร้อมด้วยกำแพงเมือง แต่ในยุคลำบาก
ดนล 10.1 ในปีที่สามแห่งรัชกาลไซรัสกษัตริย์แห่งประเทศเปอร์เซีย มีอยู่สิ่งหนึ่งทรงสำแดงแก่ดาเนียล ผู้ได้ชื่อว่าเบลเทชัสซาร์ และสิ่งนั้นก็จริง แต่เวลาที่กำหนดไว้ก็อีกนาน ท่านเข้าใจสิ่งนั้นและมีความเข้าใจในนิมิตนั้น
ดนล 10.11 ท่านกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า “โอ ดาเนียล บุรุษผู้เป็นที่รักอย่างยิ่ง จงเข้าใจถ้อยคำที่เราพูดกับท่าน และยืนตรง เพราะบัดนี้ข้าพเจ้าได้รับใช้ให้มาหาท่าน” ขณะที่ท่านกล่าวคำนี้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ยืนสั่นสะท้านอยู่
ดนล 10.12 แล้วท่านพูดกับข้าพเจ้าว่า “ดาเนียลเอ๋ย อย่ากลัวเลย เพราะตั้งแต่วันแรกที่ท่านได้ตั้งใจจะเข้าใจและถ่อมตัวลงต่อพระพักตร์พระเจ้าของท่านนั้น พระเจ้าทรงฟังถ้อยคำของท่าน และข้าพเจ้ามาด้วยเรื่องถ้อยคำของท่าน
ดนล 10.14 บัดนี้ข้าพเจ้ามากระทำให้ท่านเข้าใจถึงสิ่งซึ่งจะตกกับชนชาติของท่านในกาลภายหน้า เพราะนิมิตนั้นยังมีไว้สำหรับวันเวลาอีกเป็นอันมาก”
ดนล 11.33 และในหมู่ประชาชนคนเหล่านั้นที่ฉลาดจะกระทำให้คนเป็นอันมากเข้าใจ แม้ว่าเขาจะล้มลงด้วยดาบหรือด้วยเปลวไฟ ด้วยการเป็นเชลย ด้วยถูกปล้นหลายวันเวลา
ดนล 12.8 ข้าพเจ้าได้ยินแต่ไม่เข้าใจ แล้วข้าพเจ้าจึงพูดว่า “โอ นายเจ้าข้า สิ่งเหล่านี้จะลงเอยอย่างไร”
ดนล 12.10 คนเป็นอันมากจะได้รับการชำระแล้วจะขาวสะอาด และจะถูกถลุง แต่คนชั่วจะยังกระทำการชั่ว และไม่มีคนชั่วสักคนหนึ่งจะเข้าใจ แต่บรรดาคนที่ฉลาดจะเข้าใจ
ฮชย 14.9 ผู้ใดที่ฉลาด ก็ให้เข้าใจสิ่งเหล่านี้เถิด ผู้ใดที่ช่างสังเกต ก็ให้เขารู้ เพราะว่าพระมรรคาของพระเยโฮวาห์ก็เที่ยงตรง ผู้ชอบธรรมทั้งหลายก็เดินในทางนี้ แต่ผู้ทรยศก็สะดุดอยู่ในทางนี้
อบด 1.7 พันธมิตรทั้งสิ้นของเจ้าได้ขับเจ้าไปถึงพรมแดน สหมิตรของเจ้าได้ล่อลวงเจ้า เขากลับสู้ชนะเจ้าเสียแล้ว มิตรที่กินข้าวหม้อเดียวกับเจ้าก็วางกับดักเจ้า เรื่องนี้ไม่มีใครเข้าใจอะไรเสียเลย
มคา 4.12 แต่เขาทั้งหลายไม่ทราบถึงพระดำริของพระเยโฮวาห์ เขาทั้งหลายไม่เข้าใจในแผนการของพระองค์ ที่พระองค์จะทรงรวบรวมเขาทั้งหลายเข้ามา ดังรวมฟ่อนข้าวไว้ที่ลานนวดข้าว
มธ 12.7 แต่ถ้าท่านทั้งหลายได้เข้าใจความหมายของข้อที่ว่า ‘เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา’ ท่านก็คงจะไม่กล่าวโทษคนที่ไม่มีความผิด
มธ 13.13 เหตุฉะนั้น เราจึงกล่าวแก่เขาเป็นคำอุปมา เพราะว่าถึงเขาเห็นก็เหมือนไม่เห็น ถึงได้ยินก็เหมือนไม่ได้ยินและไม่เข้าใจ
มธ 13.14 คำพยากรณ์ของอิสยาห์ก็สำเร็จในคนเหล่านั้นที่ว่า ‘พวกเจ้าจะได้ยินก็จริง แต่จะไม่เข้าใจ จะดูก็จริง แต่จะไม่รับรู้
มธ 13.15 เพราะว่าชนชาตินี้กลายเป็นคนมีใจเฉื่อยชา หูก็ตึง และตาเขาเขาก็ปิด เกรงว่าในเวลาใดเขาจะเห็นด้วยตาของเขา และได้ยินด้วยหูของเขา และเข้าใจด้วยจิตใจของเขา และจะหันกลับมา และเราจะได้รักษาเขาให้หาย’
มธ 13.19 เมื่อผู้ใดได้ยินพระวจนะแห่งอาณาจักรนั้นแต่ไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาฉวยเอาพืชซึ่งหว่านในใจเขานั้นไปเสีย นั่นแหละได้แก่ผู้ซึ่งรับเมล็ดริมหนทาง
มธ 13.23 ส่วนผู้ที่รับเมล็ดซึ่งตกในดินดีนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะและเข้าใจ คนนั้นก็เกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง”
มธ 13.36 แล้วพระเยซูจึงทรงให้ฝูงชนเหล่านั้นจากไปและเสด็จเข้าไปในเรือน พวกสาวกของพระองค์ก็มาเฝ้าพระองค์ทูลว่า “ขอพระองค์ทรงโปรดอธิบายให้พวกข้าพระองค์เข้าใจคำอุปมาที่ว่าด้วยข้าวละมานในนานั้น”
มธ 13.51 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ข้อความเหล่านี้ท่านทั้งหลายเข้าใจแล้วหรือ” เขาทูลตอบพระองค์ว่า “เข้าใจ พระเจ้าข้า”
มธ 15.10 แล้วพระองค์ทรงเรียกประชาชนและตรัสกับเขาว่า “จงฟังและเข้าใจเถิด
มธ 15.16 ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านทั้งหลายยังไม่เข้าใจด้วยหรือ
มธ 15.17 ท่านยังไม่เข้าใจหรือว่า สิ่งใดๆซึ่งเข้าไปในปากก็ลงไปในท้อง แล้วก็ถ่ายออกลงส้วมไป
มธ 16.3 ในเวลาเช้าท่านพูดว่า ‘วันนี้จะเกิดพายุฝนเพราะฟ้าแดงและมัว’ โอ คนหน้าซื่อใจคด ท้องฟ้านั้นท่านทั้งหลายยังอาจสังเกตรู้และเข้าใจได้ แต่หมายสำคัญแห่งกาลนี้ท่านกลับไม่เข้าใจ
มธ 16.9 ท่านยังไม่เข้าใจและจำไม่ได้หรือ เรื่องขนมปังห้าก้อนกับคนห้าพันคนนั้น ท่านเก็บที่เหลือได้กี่กระบุง
มธ 16.11 เป็นไฉนพวกท่านถึงไม่เข้าใจว่า เรามิได้พูดกับท่านด้วยเรื่องขนมปัง แต่ได้ว่าให้ท่านระวังเชื้อแห่งพวกฟาริสีและพวกสะดูสีให้ดี”
มธ 16.12 แล้วพวกสาวกก็เข้าใจว่า พระองค์มิได้ตรัสสั่งเขาให้ระวังเชื้อขนมปัง แต่ให้ระวังคำสอนของพวกฟาริสีและพวกสะดูสี
มธ 17.13 แล้วเหล่าสาวกจึงเข้าใจว่าพระองค์ได้ตรัสแก่เขาเล็งถึงยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา
มธ 20.22 แต่พระเยซูตรัสตอบว่า “ที่ท่านขอนั้นท่านไม่เข้าใจ ถ้วยซึ่งเราจะดื่มนั้นท่านจะดื่มได้หรือ และบัพติศมานั้นซึ่งเราจะรับ ท่านจะรับได้หรือ” เขาทูลพระองค์ว่า “พวกข้าพระองค์ทำได้”
มธ 24.15 เหตุฉะนั้น เมื่อท่านทั้งหลายเห็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนซึ่งกระทำให้เกิดการรกร้างว่างเปล่า ที่ดาเนียลศาสดาพยากรณ์ได้กล่าวถึงนั้น ตั้งอยู่ในสถานบริสุทธิ์” (ผู้ใดก็ตามที่ได้อ่านก็ให้ผู้นั้นเข้าใจเอาเถิด)
มก 4.12 เพื่อว่าเขาจะดูแล้วดูเล่า แต่มองไม่เห็น และฟังแล้วฟังเล่า แต่ไม่เข้าใจ เกลือกว่าในเวลาหนึ่งเวลาใดเขาจะกลับใจเสียใหม่ และความผิดบาปของเขาจะได้ยกโทษเสีย”
มก 4.13 พระองค์ตรัสกับเขาว่า “คำอุปมานั้นพวกท่านยังไม่เข้าใจหรือ ถ้ากระนั้นท่านทั้งหลายจะเข้าใจคำอุปมาทั้งปวงอย่างไรได้
มก 6.52 ด้วยว่าการอัศจรรย์เรื่องขนมปังนั้นเขายังไม่เข้าใจ เพราะใจเขายังแข็งกระด้าง
มก 7.14 แล้วเมื่อพระองค์ได้ทรงเรียกประชาชนทั้งหลายเข้ามาก็ตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงฟังเราและเข้าใจเถิด
มก 7.18 พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า “ถึงท่านทั้งหลายก็ยังไม่เข้าใจหรือ ท่านยังไม่เห็นหรือว่าสิ่งใดๆแต่ภายนอกที่เข้าไปภายในมนุษย์จะกระทำให้มนุษย์เป็นมลทินไม่ได้
มก 8.17 เมื่อพระเยซูทรงทราบจึงตรัสแก่เขาว่า “เหตุไฉนพวกท่านจึงปรึกษากันและกันถึงเรื่องไม่มีขนมปัง ท่านยังไม่รู้และไม่เข้าใจหรือ ใจของท่านยังแข็งกระด้างหรือ
มก 8.21 พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า “เป็นไฉนพวกท่านยังไม่เข้าใจ”
มก 9.32 แต่ถ้อยคำนี้เหล่าสาวกหาเข้าใจไม่ ครั้นจะทูลถามพระองค์ก็เกรงใจ
มก 10.38 พระเยซูจึงตรัสแก่เขาว่า “ที่ท่านขอนั้นท่านไม่เข้าใจ ถ้วยซึ่งเราจะดื่มนั้นท่านจะดื่มได้หรือ และบัพติศมานั้นซึ่งเราจะรับ ท่านจะรับได้หรือ”
มก 13.14 แต่เมื่อท่านทั้งหลายจะเห็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนซึ่งกระทำให้เกิดการรกร้างว่างเปล่า ที่ดาเนียลศาสดาพยากรณ์ได้กล่าวถึงนั้น ตั้งอยู่ในที่ซึ่งไม่สมควรจะตั้ง” (ให้ผู้อ่านเข้าใจเอาเถิด) “เวลานั้นให้ผู้ที่อยู่ในแคว้นยูเดียหนีไปยังภูเขาทั้งหลาย
มก 14.68 แต่เปโตรปฏิเสธว่า “ที่เจ้าว่านั้นข้าไม่รู้เรื่องและไม่เข้าใจ” เปโตรจึงออกไปที่ระเบียงบ้าน แล้วไก่ก็ขัน
ลก 2.50 เขาทั้งสองก็ไม่เข้าใจคำซึ่งพระกุมารกล่าวแก่เขา
ลก 3.23 เมื่อพระเยซูทรงมีพระชนมายุประมาณสามสิบพรรษา (ตามความคาดหมายของคนทั้งหลาย) เข้าใจว่าเป็นบุตรโยเซฟ ซึ่งเป็นบุตรเฮลี
ลก 8.10 พระองค์จึงตรัสว่า “ข้อความลึกลับแห่งอาณาจักรของพระเจ้าทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่สำหรับคนอื่นนั้นได้ให้เป็นคำอุปมา เพื่อเมื่อเขาดูก็ไม่เห็น และเมื่อเขาได้ยินก็ไม่เข้าใจ
ลก 9.33 ต่อมาเมื่อสองคนนั้นกำลังลาไปจากพระองค์ เปโตรจึงทูลพระเยซูว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ซึ่งเราอยู่ที่นี่ก็ดี ให้พวกข้าพระองค์ทำพลับพลาสามหลัง สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง สำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง” เปโตรไม่เข้าใจว่าตัวได้พูดอะไร
ลก 9.45 แต่คำเหล่านั้นสาวกหาได้เข้าใจไม่ ความก็ถูกซ่อนไว้จากเขา เพื่อเขาจะไม่ได้เข้าใจ และเขาไม่กล้าถามพระองค์ถึงคำนั้น
ลก 10.11 ‘ถึงแม้ผงคลีดินแห่งเมืองของเจ้าทั้งหลายที่ติดอยู่กับเรา เราก็จะสะบัดออกเป็นที่แสดงว่า เราไม่เห็นพ้องกับเจ้า แต่เจ้าทั้งหลายจงเข้าใจความนี้เถิด คืออาณาจักรของพระเจ้ามาใกล้เจ้าทั้งหลายแล้ว’
ลก 10.26 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “ในพระราชบัญญัติมีคำเขียนว่าอย่างไร ท่านได้อ่านเข้าใจอย่างไร”
ลก 12.39 ให้เข้าใจอย่างนี้เถอะว่า ถ้าเจ้าของบ้านล่วงรู้ได้ว่าขโมยจะมาเวลาไหน เขาจะตื่นอยู่และระวังไม่ให้ทะลวงเรือนของเขาได้
ลก 18.34 ฝ่ายเหล่าสาวกมิได้เข้าใจในสิ่งเหล่านั้นเลย และคำนั้นก็ถูกซ่อนไว้จากเขา และเขาไม่รู้เนื้อความซึ่งพระองค์ตรัสนั้น
ลก 24.45 ครั้งนั้น พระองค์ทรงบันดาลให้ใจเขาทั้งหลายเกิดความสว่างขึ้นเพื่อจะได้เข้าใจพระคัมภีร์
ยน 1.5 ความสว่างนั้นส่องเข้ามาในความมืด และความมืดหาได้เข้าใจความสว่างไม่
ยน 3.10 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ท่านเป็นอาจารย์ของชนอิสราเอล และยังไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือ
ยน 8.27 เขาทั้งหลายไม่เข้าใจว่าพระองค์ตรัสกับเขาถึงเรื่องพระบิดา
ยน 8.43 เหตุไฉนท่านจึงไม่เข้าใจถ้อยคำที่เราพูด นั่นเป็นเพราะท่านทนฟังคำของเราไม่ได้
ยน 10.6 คำอุปมานั้นพระเยซูได้ตรัสกับเขาทั้งหลาย แต่เขาไม่เข้าใจความหมายของพระดำรัสที่พระองค์ตรัสกับเขาเลย
ยน 12.16 ทีแรกพวกสาวกของพระองค์ไม่เข้าใจในเหตุการณ์เหล่านั้น แต่เมื่อพระเยซูทรงรับสง่าราศีแล้ว เขาจึงระลึกได้ว่า มีคำเช่นนั้นเขียนไว้กล่าวถึงพระองค์ และคนทั้งหลายได้กระทำอย่างนั้นถวายพระองค์
ยน 12.40 ‘พระองค์ได้ทรงปิดตาของเขาทั้งหลาย และทำใจของเขาให้แข็งกระด้างไป เกรงว่าเขาจะเห็นด้วยตาของเขา และเข้าใจด้วยจิตใจของเขา และหันกลับมาและเราจะรักษาเขาให้หาย’
ยน 13.7 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “สิ่งที่เรากระทำในขณะนี้ท่านยังไม่เข้าใจ แต่ภายหลังท่านจะเข้าใจ”
ยน 13.12 เมื่อพระองค์ทรงล้างเท้าเขาทั้งหลายแล้ว พระองค์ก็ทรงฉลองพระองค์ และเอนพระกายลงอีกตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายเข้าใจในสิ่งที่เราได้กระทำแก่ท่านหรือ
ยน 13.28 ไม่มีผู้ใดในพวกนั้นที่เอนกายลงรับประทานเข้าใจว่า เหตุใดพระองค์จึงตรัสกับเขาเช่นนั้น
ยน 20.9 เพราะว่าขณะนั้นเขายังไม่เข้าใจข้อพระคัมภีร์ที่ว่า พระองค์จะต้องฟื้นขึ้นมาจากความตาย
กจ 7.25 ด้วยคาดว่าญาติพี่น้องคงเข้าใจว่า พระเจ้าจะทรงช่วยเขาให้รอดด้วยมือของตน แต่เขาหาเข้าใจดังนั้นไม่
กจ 8.30 ฟีลิปจึงวิ่งเข้าไปใกล้ และได้ยินท่านอ่านหนังสืออิสยาห์ศาสดาพยากรณ์ จึงถามว่า “ซึ่งท่านอ่านนั้นท่านเข้าใจหรือ”
กจ 8.31 ขันทีจึงตอบว่า “ถ้าไม่มีใครอธิบายให้ ที่ไหนจะเข้าใจได้” ท่านจึงเชิญฟีลิปขึ้นนั่งรถกับท่าน
กจ 13.27 ฝ่ายชาวกรุงเยรูซาเล็มกับพวกขุนนางมิได้รู้จักพระองค์ หรือเข้าใจคำของศาสดาพยากรณ์ทั้งหลาย ซึ่งเคยอ่านกันทุกวันสะบาโต จึงทำให้สำเร็จตามคำเหล่านั้นโดยพิพากษาลงโทษพระองค์
กจ 13.38 เหตุฉะนั้นท่านพี่น้องทั้งหลาย จงเข้าใจเถิดว่า โดยพระองค์นั้นแหละจึงได้ประกาศการยกความผิดแก่ท่านทั้งหลาย
กจ 16.13 ในวันสะบาโตเราได้ออกจากเมืองไปยังฝั่งแม่น้ำ เข้าใจว่ามีที่สำหรับอธิษฐาน จึงได้นั่งสนทนากับพวกผู้หญิงที่ประชุมกันที่นั่น
กจ 23.15 ฉะนั้น บัดนี้ท่านทั้งหลายกับพวกสมาชิกสภาจงพูดให้นายพันเข้าใจว่า พวกท่านต้องการให้พาเปาโลลงมาหาท่านทั้งหลายพรุ่งนี้ เพื่อจะได้ซักถามความให้ถ้วนถี่ยิ่งกว่าแต่ก่อน ฝ่ายพวกข้าพเจ้าจะได้เตรียมตัวไว้พร้อมที่จะฆ่าเปาโลเสียเมื่อยังไม่ทันจะมาถึง”
กจ 23.27 พวกยิวได้จับคนนี้ไว้และเกือบจะฆ่าเขาเสียแล้ว แต่ข้าพเจ้าพาพวกทหารไปช่วยเขาไว้ได้ ด้วยข้าพเจ้าได้เข้าใจว่าเขาเป็นคนสัญชาติโรม
กจ 28.26 ว่า ‘จงไปหาชนชาตินี้และกล่าวว่า พวกเจ้าจะได้ยินก็จริง แต่จะไม่เข้าใจ จะดูก็จริง แต่จะไม่สังเกต
กจ 28.27 เพราะว่าจิตใจของชนชาตินี้ก็เฉื่อยชา หูก็ตึง และตาเขาเขาก็ปิด เกรงว่าเขาจะเห็นด้วยตาของเขา และได้ยินด้วยหูของเขา และเข้าใจด้วยจิตใจของเขา และจะหันกลับมา และเราจะรักษาเขาให้หาย’
รม 3.11 ไม่มีคนที่เข้าใจ ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้า
รม 7.15 ข้าพเจ้าไม่เข้าใจการกระทำของข้าพเจ้าเอง เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ทำสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะทำ แต่กลับทำสิ่งที่ข้าพเจ้าเกลียดชังนั้น
รม 10.19 ข้าพเจ้าจึงถามว่า “พลอิสราเอลไม่เข้าใจหรือ” ตอนแรกโมเสสกล่าวว่า ‘เราจะให้เจ้าทั้งหลายอิจฉาผู้ที่ไม่ใช่ชนชาติ เราจะยั่วโทสะเจ้าด้วยประชาชาติที่เขลาชาติหนึ่ง’
รม 15.21 ตามที่มีคำเขียนไว้ว่า ‘คนที่ไม่เคยได้รับคำบอกเล่าเรื่องพระองค์ก็จะได้เห็น และคนที่ไม่เคยได้ฟังจะได้เข้าใจ’
1คร 1.19 เพราะมีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘เราจะทำลายสติปัญญาของคนมีปัญญา และจะทำให้ความเข้าใจของคนที่เข้าใจสูญสิ้นไป’
1คร 2.14 แต่มนุษย์ธรรมดาจะรับสิ่งเหล่านั้นซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้าไม่ได้ เพราะเขาเห็นว่าเป็นสิ่งโง่เขลา และเขาไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะว่าจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ก็ต้องสังเกตด้วยจิตวิญญาณ
1คร 10.1 พี่น้องทั้งหลาย ยิ่งกว่านี้ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทั้งหลายเข้าใจว่าบรรพบุรุษของเราทั้งสิ้นได้อยู่ใต้เมฆ และได้ผ่านทะเลไปทุกคน
1คร 11.3 แต่ข้าพเจ้าใคร่ให้ท่านทั้งหลายเข้าใจว่า พระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของชายทุกคน และชายเป็นศีรษะของหญิง และพระเจ้าทรงเป็นพระเศียรของพระคริสต์
1คร 12.1 พี่น้องทั้งหลาย บัดนี้ข้าพเจ้าอยากให้ท่านเข้าใจเรื่องของประทานฝ่ายจิตวิญญาณนั้น
1คร 13.2 แม้ข้าพเจ้ามีของประทานแห่งการพยากรณ์ และเข้าใจในความลึกลับทั้งปวงและมีความรู้ทั้งสิ้น และแม้ข้าพเจ้ามีความเชื่อทั้งหมดพอจะยกภูเขาไปได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย
1คร 14.2 เพราะว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่พูดภาษาต่างๆได้ ไม่ได้พูดกับมนุษย์ แต่ทูลต่อพระเจ้า เพราะว่าไม่มีมนุษย์คนใดเข้าใจได้ แต่เขาพูดเป็นความลึกลับฝ่ายจิตวิญญาณ
1คร 14.9 ท่านทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น ถ้าท่านไม่ใช้ภาษาพูดที่เข้าใจได้ง่าย เขาจะเข้าใจคำพูดนั้นได้อย่างไร ท่านก็จะพูดเพ้อตามลมไป
1คร 14.11 เหตุฉะนั้นถ้าข้าพเจ้าไม่เข้าใจเนื้อความของภาษานั้นๆ ข้าพเจ้าจะเป็นคนต่างภาษากับคนที่พูด และคนที่พูดนั้นจะเป็นคนต่างภาษากับข้าพเจ้าด้วย
1คร 14.14 เพราะถ้าข้าพเจ้าอธิษฐานเป็นภาษาต่างๆ จิตวิญญาณของข้าพเจ้าอธิษฐานก็จริง แต่ข้าพเจ้าเองก็ไม่เข้าใจ
1คร 14.16 มิฉะนั้นเมื่อท่านขอบพระคุณด้วยจิตวิญญาณแล้ว คนที่อยู่ในพวกที่รู้ไม่ถึงจะว่า “เอเมน” เมื่อท่านขอบพระคุณอย่างไรได้ ในเมื่อเขาไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านพูด
2คร 10.11 จงให้คนเหล่านั้นเข้าใจอย่างนี้ว่า เมื่อเราไม่อยู่เราพูดไว้ในจดหมายของเราว่าอย่างไร เมื่อเรามาแล้วเราก็จะกระทำอย่างนั้นด้วย
อฟ 3.19 และให้เข้าใจถึงความรักของพระคริสต์ซึ่งเกินความรู้ เพื่อท่านจะได้รับความไพบูลย์ของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม
อฟ 5.17 เหตุฉะนั้นอย่าเป็นคนโง่เขลา แต่จงเข้าใจน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นอย่างไร
1ทธ 1.7 และแม้ว่าเขาไม่เข้าใจคำที่เขากล่าวทั้งสิ่งที่เขายืนยัน เขาก็ยังปรารถนาเป็นอาจารย์ฝ่ายพระราชบัญญัติ
2ทธ 3.1 แต่จงเข้าใจข้อนี้ด้วย คือว่าในวันสุดท้ายนั้น จะเกิดเหตุการณ์กลียุค
ฮบ 5.11 เรื่องเกี่ยวกับพระองค์นั้นมีมากและยากที่จะอธิบายให้เข้าใจได้ เพราะว่าท่านทั้งหลายกลายเป็นคนหูตึงเสียแล้ว
ฮบ 11.3 โดยความเชื่อนี้เอง เราจึงเข้าใจว่า พระเจ้าได้ทรงสร้างกัลปจักรวาลด้วยพระดำรัสของพระองค์ ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นจึงเป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น
2ปต 2.12 แต่ว่าคนเหล่านั้นเป็นเหมือนสัตว์เดียรัจฉานที่ปราศจากความคิด เป็นสัตว์ที่ทำตามสัญชาตญาณ เกิดมาเพื่อถูกจับและถูกฆ่า เขากล่าวประณามสิ่งที่เขาไม่เข้าใจเลย เขาจะต้องพินาศในการชั่วร้ายของตนเอง
2ปต 3.16 เหมือนในจดหมายของท่านทุกฉบับ ท่านได้กล่าวถึงเหตุการณ์เหล่านั้น และในจดหมายนั้นมีบางข้อที่เข้าใจยาก ซึ่งคนทั้งหลายที่ไม่ได้เรียนรู้และไม่แน่นอนมั่นคงนั้นได้เปลี่ยนแปลงเสีย เหมือนเขาได้เปลี่ยนแปลงข้ออื่นๆในพระคัมภีร์ จึงเป็นเหตุกระทำให้ตัวพินาศ

เข้าแถว ( 1 )
2ซมอ 8.2 พระองค์ทรงชนะโมอับ ทรงวัดเขาด้วยเชือกวัด คือบังคับให้เรียงตัวเข้าแถวนอนลงที่พื้นดิน ทรงวัดดูแล้วให้ประหารเสียสองแถว และไว้ชีวิตเต็มหนึ่งแถว คนโมอับก็เป็นไพร่ของดาวิด และได้นำเครื่องบรรณาการมาถวาย

เข้านอกออกใน ( 5 )
กดว 27.17 ผู้ซึ่งจะเข้านอกออกในต่อหน้าเขา ผู้ซึ่งจะนำเขาเข้าออก เพื่อว่าชุมนุมชนของพระเยโฮวาห์จะมิได้เหมือนกับฝูงแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง”
1พกษ 3.7 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ ถึงแม้ว่าข้าพระองค์เป็นแต่เด็ก บัดนี้พระองค์ทรงกระทำให้ผู้รับใช้ของพระองค์เป็นกษัตริย์แทนดาวิดเสด็จพ่อของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ไม่ทราบว่าจะเข้านอกออกในอย่างไรถูก
2พศด 1.10 ขอทรงประทานสติปัญญาและความรู้แก่ข้าพระองค์ที่จะเข้านอกออกในต่อหน้าชนชาตินี้ เพราะผู้ใดเล่าที่จะวินิจฉัยประชาชนของพระองค์ได้ ซึ่งใหญ่โตนัก”
ยรม 37.4 ฝ่ายเยเรมีย์นั้นยังเข้านอกออกในท่ามกลางประชาชนอยู่ เพราะท่านยังมิได้ถูกจำขัง
กจ 9.28 แล้วเซาโลเข้านอกออกในอยู่กับพวกอัครสาวกในกรุงเยรูซาเล็ม

เข้านอน ( 8 )
ปฐก 19.4 แต่ก่อนที่ทูตเหล่านั้นเข้านอน พวกผู้ชายเมืองนั้นคือพวกผู้ชายชาวเมืองโสโดม ทั้งแก่และหนุ่ม ทุกคนจากทุกสารทิศ มาล้อมเรือนนั้นไว้
ปฐก 38.16 ยูดาห์จึงได้เข้าไปพูดกับหญิงริมทางนั้นว่า “มาเถิด ให้เราเข้านอนด้วย” (เพราะไม่ทราบว่านางเป็นสะใภ้ของตน) นางจึงว่า “ท่านจะให้อะไรสำหรับการที่เข้าหาข้าพเจ้า”
ลนต 19.20 ถ้าผู้ใดเข้านอนกับผู้หญิงที่เป็นทาสี ที่ชายอีกคนหนึ่งสู่ขอไว้แล้วแต่ยังมิได้ไถ่ถอนหรือปล่อยเป็นอิสระ ต้องลงโทษเธอ แต่อย่าให้ถึงตาย เพราะว่าทาสีนั้นยังไม่เป็นอิสระ
ลนต 20.12 ถ้าผู้ใดเข้านอนกับลูกสะใภ้ ต้องให้ทั้งสองคนนั้นมีโทษถึงตายเป็นแน่ เพราะเขาได้กระทำกามวิปลาส ให้โลหิตของผู้นั้นตกอยู่บนผู้นั้นเอง
ลนต 20.16 ถ้าหญิงคนใดเข้าใกล้สัตว์เดียรัจฉาน และเข้านอนกับมัน เจ้าจงฆ่าหญิงนั้นและสัตว์เดียรัจฉานนั้นเสียให้ตาย ทั้งสองต้องมีโทษถึงตายเป็นแน่ ให้โลหิตของผู้นั้นตกอยู่บนผู้นั้นเอง
ลนต 20.18 ถ้าชายใดเข้านอนกับหญิงผู้มีประจำเดือน และเปิดกายที่เปลือยเปล่าของเธอ เขาได้กระทำให้แหล่งโลหิตของเธอเปิด ส่วนเธอก็เปิดแหล่งโลหิตของเธอ เขาทั้งสองจะต้องถูกตัดขาดจากชนชาติของเขา
กดว 5.20 แต่ถ้าเจ้าได้หลงไปแม้เจ้าอยู่ในอำนาจของสามีและได้กระทำตัวเองให้เป็นมลทินและชายอื่นนอกจากสามีได้เข้านอนด้วยแล้ว’
อสค 23.8 เธอมิได้เลิกการเล่นชู้ซึ่งเธอได้นำมาจากอียิปต์ เพราะว่าเมื่อยังสาวอยู่คนหนุ่มก็เข้านอนกับเธอ และจับต้องอกพรหมจารีของเธอ และเทราคะของเขาให้แก่เธอ

เข้าใน ( 1 )
สดด 79.1 โอ ข้าแต่พระเจ้า พวกต่างชาติได้เข้าในมรดกของพระองค์ เขาได้ทำให้พระวิหารบริสุทธิ์ของพระองค์มีมลทิน เขาได้ทำให้เยรูซาเล็มเป็นที่ปรักหักพัง

เข้าประจำที่ ( 5 )
1พกษ 20.12 ต่อมาเมื่อเบนฮาดัดได้ยินข่าวนี้ขณะที่ดื่มอยู่กับบรรดากษัตริย์ทั้งหลายที่ในทับอาศัย ท่านก็สั่งข้าราชการของท่านว่า “จงเข้าประจำที่” และเขาทั้งหลายก็เข้าประจำที่เพื่อต่อสู้กับเมืองนั้น
2พศด 20.17 ไม่จำเป็นที่ท่านจะต้องสู้รบในสงครามครั้งนี้ โอ ยูดาห์และเยรูซาเล็ม จงเข้าประจำที่ ยืนนิ่งอยู่และดูชัยชนะของพระเยโฮวาห์เพื่อท่าน’ อย่ากลัวเลย อย่าท้อถอย พรุ่งนี้จงออกไปสู้กับเขา เพราะพระเยโฮวาห์จะทรงสถิตอยู่กับท่าน”
อสย 22.7 ต่อมาที่ลุ่มที่ดีที่สุดของท่านจะเต็มไปด้วยรถรบ และพลม้าจะเข้าประจำที่ประตูเมือง
ยรม 46.4 จงผูกอานม้า พลม้าเอ๋ย จงขึ้นม้าเถิด จงสวมหมวกเหล็กของเจ้าเข้าประจำที่ จงขัดหอกของเจ้า จงสวมเสื้อเกราะของเจ้าไว้

เข้าไป ( 765 )
ปฐก 3.6; ปฐก 6.19; ปฐก 7.1; ปฐก 7.7; ปฐก 7.9; ปฐก 7.13; ปฐก 7.15; ปฐก 7.16; ปฐก 9.23; ปฐก 11.31; ปฐก 12.5; ปฐก 12.14; ปฐก 13.1; ปฐก 16.2; ปฐก 16.4; ปฐก 18.6; ปฐก 19.3; ปฐก 19.23; ปฐก 19.33; ปฐก 19.34; ปฐก 23.10; ปฐก 23.18; ปฐก 24.32; ปฐก 26.10; ปฐก 27.18; ปฐก 27.22; ปฐก 29.10; ปฐก 29.21; ปฐก 29.23; ปฐก 29.30; ปฐก 30.3; ปฐก 30.4; ปฐก 31.33; ปฐก 34.25; ปฐก 34.27; ปฐก 38.2; ปฐก 38.8; ปฐก 38.9; ปฐก 38.16; ปฐก 38.18; ปฐก 38.29; ปฐก 39.11; ปฐก 41.21; ปฐก 43.16; ปฐก 43.17; ปฐก 43.18; ปฐก 43.19; ปฐก 43.24; ปฐก 43.30; ปฐก 44.18; ปฐก 45.25; ปฐก 46.7; ปฐก 46.8; ปฐก 47.1; ปฐก 48.13; ปฐก 49.4; ปฐก 49.6; อพย 3.3; อพย 6.8; อพย 6.11; อพย 7.10; อพย 8.24; อพย 10.1; อพย 10.3; อพย 10.6; อพย 12.23; อพย 14.23; อพย 14.28; อพย 18.7; อพย 20.21; อพย 22.2; อพย 24.18; อพย 28.29; อพย 28.43; อพย 30.20; อพย 33.8; อพย 33.9; อพย 34.35; อพย 40.21; อพย 40.32; อพย 40.35; ลนต 6.30; ลนต 9.7; ลนต 9.8; ลนต 9.23; ลนต 10.9; ลนต 12.4; ลนต 14.6; ลนต 14.34; ลนต 14.36; ลนต 14.46; ลนต 16.2; ลนต 16.15; ลนต 16.17; ลนต 16.22; ลนต 16.23; ลนต 19.23; ลนต 21.11; ลนต 21.17; กดว 4.5; กดว 4.19; กดว 4.20; กดว 5.24; กดว 7.89; กดว 8.22; กดว 8.24; กดว 14.8; กดว 14.31; กดว 14.34; กดว 14.40; กดว 16.5; กดว 16.14; กดว 16.18; กดว 16.30; กดว 16.40; กดว 16.47; กดว 17.8; กดว 19.6; กดว 19.7; กดว 19.17; กดว 20.12; กดว 20.24; กดว 21.22; กดว 22.23; กดว 25.8; กดว 32.9; กดว 32.39; กดว 33.8; กดว 33.51; กดว 33.53; กดว 34.2; กดว 35.26; พบญ 1.8; พบญ 1.37; พบญ 1.38; พบญ 1.39; พบญ 2.29; พบญ 4.1; พบญ 4.5; พบญ 4.21; พบญ 4.27; พบญ 5.27; พบญ 6.18; พบญ 6.23; พบญ 7.26; พบญ 8.1; พบญ 8.7; พบญ 9.1; พบญ 9.5; พบญ 9.28; พบญ 10.11; พบญ 11.6; พบญ 11.8; พบญ 11.10; พบญ 11.29; พบญ 12.29; พบญ 18.9; พบญ 19.1; พบญ 19.5; พบญ 19.11; พบญ 20.10; พบญ 21.13; พบญ 23.20; พบญ 23.24; พบญ 23.25; พบญ 24.10; พบญ 25.5; พบญ 25.9; พบญ 26.1; พบญ 28.21; พบญ 28.63; พบญ 30.16; พบญ 30.18; พบญ 31.7; พบญ 31.14; พบญ 31.21; พบญ 31.23; พบญ 32.52; พบญ 34.4; ยชว 1.11; ยชว 2.1; ยชว 3.4; ยชว 5.13; ยชว 6.22; ยชว 6.23; ยชว 8.5; ยชว 8.11; ยชว 8.19; ยชว 10.20; ยชว 16.1; ยชว 17.15; ยชว 18.3; ยชว 20.4; ยชว 21.43; วนฉ 1.16; วนฉ 1.26; วนฉ 1.34; วนฉ 2.6; วนฉ 3.20; วนฉ 3.21; วนฉ 3.22; วนฉ 4.18; วนฉ 4.22; วนฉ 9.26; วนฉ 9.46; วนฉ 9.51; วนฉ 11.18; วนฉ 15.1; วนฉ 15.5; วนฉ 15.8; วนฉ 16.1; วนฉ 17.10; วนฉ 18.3; วนฉ 18.17; วนฉ 18.18; วนฉ 19.11; วนฉ 19.12; วนฉ 19.13; วนฉ 19.15; วนฉ 19.18; วนฉ 19.21; วนฉ 20.14; วนฉ 20.33; วนฉ 20.37; วนฉ 20.42; วนฉ 20.45; วนฉ 20.47; นรธ 1.2; นรธ 2.3; นรธ 2.18; นรธ 3.15; 1ซมอ 2.14; 1ซมอ 5.5; 1ซมอ 9.13; 1ซมอ 9.14; 1ซมอ 9.22; 1ซมอ 12.8; 1ซมอ 14.20; 1ซมอ 14.26; 1ซมอ 17.40; 1ซมอ 17.49; 1ซมอ 17.57; 1ซมอ 20.11; 1ซมอ 20.42; 1ซมอ 23.7; 1ซมอ 24.4; 1ซมอ 26.15; 1ซมอ 31.3; 2ซมอ 1.10; 2ซมอ 3.24; 2ซมอ 3.27; 2ซมอ 4.6; 2ซมอ 4.7; 2ซมอ 5.9; 2ซมอ 6.10; 2ซมอ 7.18; 2ซมอ 10.14; 2ซมอ 11.21; 2ซมอ 11.23; 2ซมอ 11.25; 2ซมอ 12.16; 2ซมอ 12.20; 2ซมอ 12.24; 2ซมอ 13.10; 2ซมอ 14.3; 2ซมอ 14.29; 2ซมอ 14.33; 2ซมอ 15.25; 2ซมอ 15.27; 2ซมอ 15.34; 2ซมอ 15.37; 2ซมอ 17.13; 2ซมอ 18.9; 2ซมอ 18.14; 2ซมอ 20.12; 2ซมอ 23.16; 2ซมอ 24.14; 1พกษ 1.14; 1พกษ 1.15; 1พกษ 1.47; 1พกษ 6.3; 1พกษ 6.6; 1พกษ 11.2; 1พกษ 11.40; 1พกษ 13.16; 1พกษ 14.28; 1พกษ 15.17; 1พกษ 16.18; 1พกษ 17.12; 1พกษ 17.23; 1พกษ 20.2; 1พกษ 20.28; 1พกษ 20.30; 1พกษ 20.39; 1พกษ 20.43; 1พกษ 22.25; 1พกษ 22.32; 2พกษ 3.24; 2พกษ 3.25; 2พกษ 4.4; 2พกษ 4.8; 2พกษ 4.10; 2พกษ 4.11; 2พกษ 4.27; 2พกษ 4.33; 2พกษ 5.25; 2พกษ 6.20; 2พกษ 7.4; 2พกษ 7.8; 2พกษ 7.12; 2พกษ 9.2; 2พกษ 9.6; 2พกษ 9.34; 2พกษ 10.21; 2พกษ 10.23; 2พกษ 10.24; 2พกษ 10.25; 2พกษ 11.13; 2พกษ 11.18; 2พกษ 12.9; 2พกษ 19.1; 2พกษ 19.23; 1พศด 7.23; 1พศด 10.3; 1พศด 11.18; 1พศด 12.8; 1พศด 17.16; 1พศด 19.10; 1พศด 19.15; 1พศด 21.13; 1พศด 24.19; 2พศด 7.2; 2พศด 12.11; 2พศด 15.18; 2พศด 18.24; 2พศด 18.31; 2พศด 21.17; 2พศด 23.6; 2พศด 23.7; 2พศด 23.12; 2พศด 23.19; 2พศด 26.16; 2พศด 26.17; 2พศด 27.2; 2พศด 29.15; 2พศด 29.16; 2พศด 29.18; 2พศด 31.16; อสร 9.11; อสร 10.6; นหม 6.10; นหม 6.11; นหม 9.15; นหม 9.23; นหม 9.24; นหม 13.1; อสธ 2.12; อสธ 2.13; อสธ 2.14; อสธ 2.16; อสธ 7.7; โยบ 16.14; โยบ 18.8; โยบ 24.16; โยบ 31.37; โยบ 33.22; โยบ 37.8; โยบ 38.16; โยบ 38.22; โยบ 41.13; โยบ 41.16; สดด 5.7; สดด 11.2; สดด 36.1; สดด 37.15; สดด 38.2; สดด 41.8; สดด 45.15; สดด 60.9; สดด 66.13; สดด 73.17; สดด 107.18; สดด 108.10; สดด 109.18; สดด 118.20; สดด 122.1; สดด 143.10; สภษ 4.14; สภษ 7.23; สภษ 11.8; สภษ 17.10; สภษ 18.10; สภษ 21.22; สภษ 23.8; สภษ 23.10; สภษ 27.10; สภษ 28.10; ปญจ 3.14; ปญจ 10.8; ปญจ 10.15; พซม 5.3; อสย 2.10; อสย 2.19; อสย 8.3; อสย 8.22; อสย 13.2; อสย 24.10; อสย 37.24; อสย 47.5; อสย 57.2; อสย 59.14; อสย 65.7; ยรม 4.5; ยรม 4.29; ยรม 8.6; ยรม 8.14; ยรม 14.18; ยรม 16.5; ยรม 16.8; ยรม 16.13; ยรม 23.12; ยรม 26.23; ยรม 32.23; ยรม 36.12; ยรม 36.20; ยรม 36.23; ยรม 37.16; ยรม 42.14; ยรม 42.18; ยรม 46.23; ยรม 49.28; ยรม 51.44; ยรม 52.12; พคค 1.13; พคค 4.12; อสค 2.2; อสค 4.3; อสค 4.14; อสค 5.4; อสค 8.8; อสค 8.9; อสค 8.10; อสค 9.2; อสค 10.2; อสค 10.3; อสค 10.6; อสค 12.13; อสค 14.15; อสค 17.20; อสค 20.29; อสค 20.35; อสค 20.38; อสค 21.14; อสค 21.19; อสค 22.15; อสค 24.4; อสค 24.10; อสค 29.5; อสค 30.26; อสค 35.7; อสค 36.22; อสค 37.5; อสค 37.9; อสค 37.21; อสค 38.8; อสค 39.2; อสค 40.6; อสค 40.16; อสค 41.3; อสค 41.11; อสค 42.6; อสค 42.9; อสค 42.14; อสค 43.4; อสค 44.2; อสค 44.9; อสค 44.21; อสค 44.25; อสค 44.27; อสค 46.8; อสค 46.10; ดนล 2.16; ดนล 2.24; ดนล 3.6; ดนล 3.11; ดนล 3.15; ดนล 3.20; ดนล 3.21; ดนล 3.24; ดนล 6.12; ดนล 7.16; ดนล 11.7; ฮชย 2.14; ฮชย 4.15; ฮชย 9.4; ยอล 1.13; ยอล 2.9; ยอล 2.20; ยอล 3.13; อมส 3.5; อมส 4.3; อมส 5.5; อมส 5.19; ยนา 1.5; ยนา 1.17; ยนา 3.4; นฮม 2.11; ศคย 3.7; ศคย 5.4; ศคย 5.8; ศคย 7.14; ศคย 11.6; มธ 2.11; มธ 4.1; มธ 6.13; มธ 7.13; มธ 8.5; มธ 8.14; มธ 8.33; มธ 9.23; มธ 9.25; มธ 9.28; มธ 10.5; มธ 12.4; มธ 12.9; มธ 12.29; มธ 12.45; มธ 13.36; มธ 15.11; มธ 15.17; มธ 15.21; มธ 16.13; มธ 17.25; มธ 19.1; มธ 21.2; มธ 21.10; มธ 21.12; มธ 21.19; มธ 21.23; มธ 21.31; มธ 23.13; มธ 23.24; มธ 25.10; มธ 25.41; มธ 26.18; มธ 26.58; มธ 27.53; มธ 27.58; มธ 28.11; มก 1.12; มก 1.21; มก 1.29; มก 1.45; มก 2.4; มก 2.26; มก 3.1; มก 3.19; มก 3.27; มก 3.31; มก 4.37; มก 5.39; มก 5.40; มก 6.25; มก 7.15; มก 7.17; มก 7.18; มก 7.24; มก 8.26; มก 9.33; มก 10.10; มก 11.2; มก 11.11; มก 11.13; มก 11.15; มก 13.15; มก 14.13; มก 14.14; มก 14.16; มก 14.54; มก 15.43; มก 16.5; ลก 1.9; ลก 1.40; ลก 2.27; ลก 4.16; ลก 4.38; ลก 6.4; ลก 6.6; ลก 7.1; ลก 7.14; ลก 7.36; ลก 8.19; ลก 8.41; ลก 8.51; ลก 9.4; ลก 9.52; ลก 10.1; ลก 10.5; ลก 10.8; ลก 10.10; ลก 10.34; ลก 10.38; ลก 11.4; ลก 11.26; ลก 11.37; ลก 11.52; ลก 12.58; ลก 13.24; ลก 14.1; ลก 15.28; ลก 16.16; ลก 17.12; ลก 19.7; ลก 19.30; ลก 22.10; ลก 22.54; ลก 22.66; ลก 23.52; ลก 24.3; ลก 24.29; ยน 3.22; ยน 4.8; ยน 4.28; ยน 10.1; ยน 10.9; ยน 11.7; ยน 11.30; ยน 18.1; ยน 18.15; ยน 18.16; ยน 18.28; ยน 18.33; ยน 19.9; ยน 20.5; ยน 20.6; ยน 20.8; ยน 20.25; กจ 3.2; กจ 3.3; กจ 3.8; กจ 5.7; กจ 5.21; กจ 7.24; กจ 7.31; กจ 7.57; กจ 8.3; กจ 8.29; กจ 8.30; กจ 9.6; กจ 9.17; กจ 10.25; กจ 10.27; กจ 11.12; กจ 12.10; กจ 12.14; กจ 13.14; กจ 14.1; กจ 14.14; กจ 14.20; กจ 16.29; กจ 16.34; กจ 16.40; กจ 17.2; กจ 17.10; กจ 18.7; กจ 18.19; กจ 19.8; กจ 19.29; กจ 19.30; กจ 19.31; กจ 21.8; กจ 21.18; กจ 21.26; กจ 21.30; กจ 21.33; กจ 21.34; กจ 21.37; กจ 21.38; กจ 22.10; กจ 22.11; กจ 22.24; กจ 23.10; กจ 25.23; กจ 27.40; กจ 28.8; รม 11.23; 1คร 2.9; กท 1.21; อฟ 3.12; 1ทธ 6.16; ฮบ 3.19; ฮบ 4.10; ฮบ 6.20; ฮบ 9.6; ฮบ 9.7; ฮบ 9.8; ฮบ 9.12; ฮบ 9.24; ฮบ 9.25; ฮบ 10.19; ฮบ 13.11; ยก 4.13; 1ปต 2.9; วว 3.20; วว 10.10; วว 12.6; วว 12.14; วว 15.8; วว 17.3; วว 21.27; วว 22.14; วว 22.18

เข้าเฝ้า ( 79 )
ปฐก 41.14 ฟาโรห์จึงรับสั่งให้เรียกโยเซฟมา เขาก็รีบไปเบิกตัวโยเซฟออกมาจากคุกใต้ดิน โยเซฟโกนหนวดผลัดเสื้อผ้าแล้วก็เข้าเฝ้าฟาโรห์
ปฐก 41.46 เมื่อโยเซฟเข้าเฝ้าฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์นั้น ท่านอายุได้สามสิบปี แล้วโยเซฟก็ออกจากที่เข้าเฝ้าฟาโรห์เที่ยวไปทั่วประเทศอียิปต์
ปฐก 43.15 คนเหล่านั้นก็เอาของกำนัลและเงินสองเท่าติดมือไปพร้อมกับเบนยามิน แล้วลุกขึ้นพากันเดินทางลงไปยังประเทศอียิปต์ และเข้าเฝ้าโยเซฟ
ปฐก 46.33 และต่อมาเมื่อฟาโรห์จะรับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้าและจะถามว่า ‘พวกเจ้าเคยทำมาหาเลี้ยงชีพอย่างไร’
ปฐก 47.7 โยเซฟก็พายาโคบบิดาของท่านเข้าเฝ้าฟาโรห์ ยาโคบก็ถวายพระพรแก่ฟาโรห์
อพย 1.18 กษัตริย์อียิปต์จึงรับสั่งให้นางผดุงครรภ์เข้าเฝ้า และตรัสแก่เขาว่า “เหตุไฉนเจ้าจึงทำอย่างนี้ คือปล่อยให้เด็กชายรอดชีวิต”
อพย 5.1 ต่อมาภายหลังโมเสสกับอาโรนเข้าเฝ้า และทูลฟาโรห์ว่า “พระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘จงปล่อยพลไพร่ของเราไป เพื่อเขาจะได้ทำการเลี้ยงนมัสการเราในถิ่นทุรกันดาร’”
อพย 9.1 ขณะนั้นพระเยโฮวาห์จึงตรัสกับโมเสสว่า “ไปเข้าเฝ้าฟาโรห์บอกฟาโรห์ว่า ‘พระเยโฮวาห์พระเจ้าของคนฮีบรูตรัสดังนี้ว่า “จงปล่อยให้พลไพร่ของเราไป เพื่อเขาจะได้ปรนนิบัติเรา
อพย 10.16 ฟาโรห์จึงรีบให้คนไปตามโมเสสและอาโรนเข้าเฝ้า แล้วฟาโรห์ตรัสว่า “เราได้ทำบาปต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า และต่อเจ้าทั้งสองด้วย
อพย 10.24 ฟาโรห์จึงให้ตามตัวโมเสสเข้าเฝ้า ตรัสว่า “พวกเจ้าจงไปปรนนิบัติพระเยโฮวาห์เถิด เพียงแต่ให้ฝูงแกะและฝูงวัวอยู่ ส่วนเด็กไปกับเจ้าได้ด้วย”
อพย 23.17 ให้ผู้ชายทั้งปวงเข้าเฝ้าพระเยโฮวาห์พระเจ้าปีละสามครั้ง
อพย 25.22 ณ ที่นั้น เราจะอยู่ให้เจ้าเข้าเฝ้า และจะสนทนากับเจ้าจากเหนือพระที่นั่งกรุณาระหว่างกลางเครูบทั้งสองซึ่งตั้งอยู่บนหีบพระโอวาท เราจะสนทนากับเจ้าทุกเรื่องซึ่งเราจะสั่งเจ้าให้ประกาศแก่ชนชาติอิสราเอล
อพย 28.30 จงใส่อูริมและทูมมิมไว้ในทับทรวงแห่งการพิพากษา และของสองสิ่งนี้จะอยู่ที่หัวใจของอาโรนเมื่อเข้าเฝ้าพระเยโฮวาห์ อาโรนจะรับภาระการพิพากษาเหล่าบุตรอิสราเอลไว้ที่หัวใจของตนเสมอเฉพาะพระพักตร์พระเยโฮวาห์
อพย 28.35 อาโรนจะสวมเสื้อตัวนั้นเมื่อทำงานปรนนิบัติ และจะได้ยินเสียงลูกพรวนเมื่อเข้าเฝ้าพระเยโฮวาห์ในที่บริสุทธิ์ และเมื่อเดินออกมา ด้วยเกรงว่าเขาจะต้องตาย
อพย 33.7 ฝ่ายโมเสสตั้งพลับพลาหลังหนึ่งไว้ข้างนอกไกลจากค่าย และเรียกว่าพลับพลาแห่งชุมนุม ต่อมาทุกคนซึ่งปรารถนาจะเข้าเฝ้าพระเยโฮวาห์ก็ออกไปยังพลับพลาแห่งชุมนุม ซึ่งตั้งอยู่นอกบริเวณค่าย
อพย 34.34 แต่เมื่อไรที่โมเสสเข้าเฝ้าทูลต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ท่านก็ปลดผ้านั้นออกเสีย จนกว่าจะกลับออกมา แล้วท่านออกมาเล่าให้คนอิสราเอลฟังตามที่ท่านรับพระบัญชามาแล้วนั้น
กดว 5.16 และปุโรหิตจะนำนางมาใกล้ให้เข้าเฝ้าพระเยโฮวาห์
กดว 5.18 และปุโรหิตจะให้นางเข้าเฝ้าพระเยโฮวาห์ และแก้มวยผมของนางออก และส่งธัญญบูชาแห่งความรำลึกให้นางถือไว้ อันเป็นธัญญบูชาแห่งความหึงหวง แล้วปุโรหิตจะถือน้ำแห่งความขมขื่นที่นำการสาปแช่งนั้นไว้เอง
กดว 5.30 หรือเมื่อจิตหึงหวงสิงผู้ชาย และเขาหึงหวงภรรยาของเขา แล้วเขาต้องให้นางไปเข้าเฝ้าพระเยโฮวาห์ และปุโรหิตจะปฏิบัติต่อนางตามพระราชบัญญัตินี้ทุกประการ
กดว 16.16 และโมเสสพูดกับโคราห์ว่า “ตัวท่านและพรรคพวกทั้งหมดของท่านจงเข้าเฝ้าพระเยโฮวาห์ในวันพรุ่งนี้ ทั้งตัวท่าน พรรคพวกของท่านและอาโรน
กดว 16.17 ให้ทุกคนนำกระถางไฟของตนไป ใส่เครื่องหอมในนั้น ให้ทุกคนนำกระถางไฟเข้าเฝ้าพระเยโฮวาห์ มีกระถางไฟสองร้อยห้าสิบด้วยกัน ตัวท่านด้วย และอาโรน ต่างจงเอากระถางไฟของตนไป”
พบญ 19.17 ก็ให้ทั้งสองฝ่ายที่ต่อสู้คดีกันนั้นเข้าเฝ้าพระเยโฮวาห์ ต่อหน้าปุโรหิตและผู้พิพากษาซึ่งประจำหน้าที่อยู่ในกาลนั้นๆ
พบญ 31.14 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “ดูเถิด วันซึ่งเจ้าต้องตายก็ใกล้เข้ามาแล้ว จงเรียกโยชูวามา และเจ้าทั้งสองจงมาเฝ้าเราในพลับพลาแห่งชุมนุม เพื่อเราจะได้กำชับเขา” โมเสสและโยชูวาก็เข้าไปและเข้าเฝ้าพระองค์ในพลับพลาแห่งชุมนุม
1ซมอ 10.19 แต่วันนี้ท่านละทิ้งพระเจ้าของท่านผู้ซึ่งช่วยท่านให้พ้นจากบรรดาความยากลำบากและความทุกข์ร้อน และท่านทั้งหลายกล่าวว่า ‘เราไม่ยอม แต่ขอตั้งกษัตริย์ไว้เหนือเรา’ เพราะฉะนั้นบัดนี้ท่านทั้งหลายจงเข้าเฝ้าพระเยโฮวาห์ตามตระกูลของท่าน และตามคนที่นับเป็นพันๆของท่าน”
1ซมอ 19.7 และโยนาธานก็เรียกดาวิด และโยนาธานแจ้งให้เธอทราบถึงสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้น และโยนาธานนำดาวิดเข้าเฝ้าซาอูล และดาวิดได้เข้าเฝ้าซาอูลอย่างแต่ก่อน
2ซมอ 11.7 เมื่ออุรีอาห์เข้าเฝ้าพระองค์ ดาวิดรับสั่งถามว่าโยอาบเป็นอย่างไรบ้าง พวกพลเป็นอย่างไร การสงครามคืบหน้าไปอย่างไร
2ซมอ 12.1 พระเยโฮวาห์ทรงใช้ให้นาธันไปหาดาวิด นาธันก็ไปเข้าเฝ้าและกราบทูลพระองค์ว่า “ในเมืองหนึ่งมีชายสองคน คนหนึ่งมั่งมี อีกคนหนึ่งยากจน
2ซมอ 12.17 บรรดาพวกผู้ใหญ่ในราชสำนักของพระองค์ก็ลุกขึ้นมายืนเข้าเฝ้าอยู่ หมายจะทูลเชิญให้พระองค์ทรงลุกจากพื้นดิน แต่พระองค์หาทรงยอมไม่ หรือหาทรงรับประทานกับเขาทั้งหลายไม่
2ซมอ 13.37 อับซาโลมได้หนีไปเข้าเฝ้าทัลมัย โอรสของอัมมีฮูด กษัตริย์เมืองเกชูร์ แต่ดาวิดทรงไว้ทุกข์ให้ราชโอรสของพระองค์วันแล้ววันเล่า
2ซมอ 14.24 และกษัตริย์รับสั่งว่า “ให้เขาไปอยู่วังของเขาเถิด อย่าให้เข้าเฝ้าเรา” อับซาโลมก็ไปอยู่วังของท่าน มิได้เข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์กษัตริย์
2ซมอ 14.28 อับซาโลมประทับในกรุงเยรูซาเล็มได้สองปีเต็ม โดยมิได้เข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์กษัตริย์
2ซมอ 14.32 อับซาโลมตอบโยอาบว่า “ดูเถิด เราส่งคนไปบอกท่านว่า ‘มานี่เถิด เราจะส่งท่านไปหากษัตริย์ทูลว่า “ให้ข้าพระองค์มาจากเกชูร์ทำไม ข้าพระองค์ยังอยู่ที่นั่นก็ดีกว่า ฉะนั้นบัดนี้ขอให้เราได้เข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์กษัตริย์”’ ถ้าเรามีความชั่วช้าประการใด ก็ขอพระองค์ทรงประหารเราเสีย”
2ซมอ 16.16 และอยู่มาเมื่อหุชัยชาวอารคี สหายของดาวิดเข้าเฝ้าอับซาโลม หุชัยกราบทูลอับซาโลมว่า “ขอกษัตริย์ทรงพระเจริญ ขอกษัตริย์ทรงพระเจริญ”
2ซมอ 24.13 กาดจึงเข้าเฝ้าดาวิดและกราบทูลพระองค์ว่า “จะให้เกิดกันดารอาหารในแผ่นดินของพระองค์สิ้นเจ็ดปีหรือ หรือพระองค์จะยอมหนีศัตรูสิ้นเวลาสามเดือนด้วยเขาไล่ติดตาม หรือจะให้โรคระบาดเกิดขึ้นในแผ่นดินของพระองค์สิ้นสามวัน บัดนี้ขอพระองค์ทรงตรึกตรอง และตัดสินในพระทัยว่า จะให้คำตอบประการใด เพื่อข้าพระองค์จะนำกลับไปกราบทูลพระองค์ผู้ทรงใช้ข้าพระองค์มา”
1พกษ 1.13 ขอเสด็จเข้าเฝ้ากษัตริย์ดาวิด และกราบทูลพระองค์ว่า ‘โอ กษัตริย์เจ้านายของหม่อมฉัน พระองค์ได้ทรงปฏิญาณกับสาวใช้ของพระองค์ไว้มิใช่หรือว่า “ซาโลมอนบุตรของเจ้าจะครองสมบัติต่อจากเราแน่นอน และจะนั่งบนบัลลังก์ของเรา” มิใช่หรือ ไฉนอาโดนียาห์จึงทรงครองเล่าเพคะ’
1พกษ 2.13 แล้วอาโดนียาห์โอรสของพระนางฮักกีทได้เข้าเฝ้าพระนางบัทเชบาพระชนนีของซาโลมอน พระนางมีพระเสาวนีย์ว่า “เจ้ามาอย่างสันติหรือ” ท่านทูลว่า “อย่างสันติขอรับกระหม่อม”
1พกษ 2.19 พระนางบัทเชบาจึงเข้าเฝ้ากษัตริย์ซาโลมอน เพื่อทูลพระองค์ให้อาโดนียาห์ และกษัตริย์ทรงลุกขึ้นต้อนรับพระนาง และทรงคำนับพระนาง แล้วก็เสด็จประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ รับสั่งให้นำพระเก้าอี้มาถวายพระชนนี พระนางก็เสด็จประทับที่เบื้องขวาของพระองค์
1พกษ 10.24 และทั่วทั้งโลกก็แสวงหาที่จะเข้าเฝ้าซาโลมอน เพื่อจะฟังพระสติปัญญาซึ่งพระเจ้าพระราชทานไว้ในใจของท่าน
2พกษ 1.15 แล้วทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์กล่าวแก่เอลียาห์ว่า “จงลงไปกับเขาเถิด อย่ากลัวเขาเลย” ท่านก็ลุกขึ้นลงไปกับเขาเข้าเฝ้ากษัตริย์
2พกษ 18.17 และกษัตริย์แห่งอัสซีเรียได้รับสั่งให้ทารทาน รับสารีสและรับชาเคห์ไปพร้อมกับกองทัพใหญ่จากเมืองลาคีชถึงกรุงเยรูซาเล็มเข้าเฝ้ากษัตริย์เฮเซคียาห์ เขาก็ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อเขาขึ้นมาเขาก็มายืนอยู่ทางรางระบายน้ำสระบน ซึ่งอยู่ที่ถนนลานซักฟอก
2พกษ 18.37 แล้วเอลียาคิมบุตรชายฮิลคียาห์ ผู้บัญชาการราชสำนัก และเชบนาห์ราชเลขา และโยอาห์บุตรชายอาสาฟเจ้ากรมสารบรรณ ได้เข้าเฝ้าเฮเซคียาห์ด้วยเสื้อผ้าฉีกขาด และกราบทูลถ้อยคำของรับชาเคห์
2พกษ 20.14 แล้วอิสยาห์ผู้พยากรณ์ก็เข้าเฝ้ากษัตริย์เฮเซคียาห์ และทูลพระองค์ว่า “คนเหล่านี้ทูลอะไรบ้าง และเขามาเฝ้าพระองค์แต่ไหน” และเฮเซคียาห์ตรัสว่า “เขาได้มาจากเมืองไกล จากบาบิโลน”
2พกษ 22.9 และชาฟานราชเลขาได้เข้าเฝ้ากษัตริย์และทูลรายงานต่อกษัตริย์อีกว่า “ผู้รับใช้ของพระองค์ได้เทเงินที่พบในพระนิเวศออก และได้มอบไว้ในมือของคนงานผู้ดูแลพระนิเวศของพระเยโฮวาห์”
1พศด 16.29 จงถวายสง่าราศีซึ่งควรแก่พระนามของพระองค์แด่พระเยโฮวาห์ จงนำเครื่องบูชาและมาเข้าเฝ้าพระองค์ จงนมัสการพระเยโฮวาห์ด้วยเครื่องประดับแห่งความบริสุทธิ์
1พศด 21.11 กาดจึงเข้าเฝ้าดาวิดและกราบทูลพระองค์ว่า “พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า จงเลือกเอาตามที่เจ้าพอใจ
2พศด 9.23 และกษัตริย์ทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินโลกก็แสวงหาที่จะเข้าเฝ้าซาโลมอน เพื่อจะฟังพระสติปัญญาซึ่งพระเจ้าพระราชทานไว้ในใจของท่าน
อสธ 1.14 ผู้ที่รองพระองค์คือ คารเชนา เชธาร์ อัดมาธา ทารชิช เมเรส มารเสนา และเมมูคาน เจ้านายทั้งเจ็ดของเปอร์เซียและมีเดีย ผู้เคยเข้าเฝ้ากษัตริย์ และนั่งก่อนในราชอาณาจักร)
อสธ 1.19 ถ้าเป็นที่พอพระทัยกษัตริย์ ขอให้มีพระราชโองการจากพระองค์ และให้บันทึกไว้ในกฎหมายของคนเปอร์เซียและคนมีเดีย อย่างที่คืนคำไม่ได้ว่า ‘วัชทีจะเข้าเฝ้ากษัตริย์อาหสุเอรัสอีกไม่ได้’ และขอกษัตริย์ประทานตำแหน่งราชินีให้แก่ผู้อื่นที่ดีกว่าพระนาง
อสธ 2.14 เธอเข้าไปเฝ้าเวลาเย็น และในเวลาเช้าเธอกลับออกมาในฮาเร็มที่สองในอารักขาของชาอัชกาสขันทีของกษัตริย์ผู้ดูแลนางห้าม เธอไม่ได้เข้าไปเฝ้ากษัตริย์อีก นอกจากกษัตริย์จะพอพระทัยในเธอ และทรงเรียกชื่อเธอให้เข้าเฝ้า
อสธ 2.15 บัดนี้เมื่อถึงเวรของเอสเธอร์ บุตรสาวของอาบีฮาอิล ลุงของโมรเดคัยผู้ซึ่งรับเธอไว้เป็นบุตรสาว จะเข้าเฝ้ากษัตริย์ เธอมิได้ขอสิ่งใด นอกจากสิ่งที่เฮกัยข้าราชสำนักของกษัตริย์ผู้ดูแลพวกสตรีแนะนำ ฝ่ายเอสเธอร์ได้รับความโปรดปรานในสายตาของทุกคนที่ได้พบเห็น
อสธ 4.8 โมรเดคัยยังได้ให้สำเนากฤษฎีกาเขียนที่ออกในสุสาสั่งให้ทำลายเขาทั้งหลายเพื่อนำไปแสดงแก่พระนางเอสเธอร์ อธิบายเรื่องให้พระนาง และกำชับให้พระนางเข้าเฝ้ากษัตริย์ เพื่อทูลอ้อนวอนพระองค์ และวิงวอนพระองค์เพื่อเห็นแก่ชนชาติของพระนาง
อสธ 4.11 “ข้าราชการของกษัตริย์ทั้งสิ้นและประชาชนในบรรดามณฑลของกษัตริย์ทราบอยู่ว่า ถ้าชายหรือหญิงคนใดเข้าเฝ้ากษัตริย์ภายในพระลานชั้นในโดยมิได้ทรงเรียก ก็มีกฎหมายอยู่ข้อเดียวเหมือนกันหมด ให้ลงโทษถึงตาย เว้นเสียแต่ผู้ซึ่งกษัตริย์ยื่นธารพระกรทองคำออกรับคนนั้นจึงจะมีชีวิตอยู่ได้ ส่วนฉันกษัตริย์ก็มิได้ตรัสเรียกให้เข้าเฝ้ามาสามสิบวันแล้ว”
อสธ 4.16 “ไปเถิด ให้รวบรวมพวกยิวทั้งสิ้นที่หาพบในสุสา และถืออดอาหารเพื่อฉัน อย่ารับประทาน อย่าดื่มสามวันกลางคืนหรือกลางวัน ฉันและสาวใช้ของฉันจะอดอาหารอย่างท่านด้วย แล้วฉันจะเข้าเฝ้ากษัตริย์แม้ว่าเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ถ้าฉันพินาศ ฉันก็พินาศ”
อสธ 8.1 ในวันนั้นกษัตริย์อาหสุเอรัสพระราชทานวงศ์วานของฮามานศัตรูของพวกยิวแก่พระราชินีเอสเธอร์ โมรเดคัยก็เข้าเฝ้ากษัตริย์ เพราะพระนางเอสเธอร์ได้ทูลว่าท่านเป็นอะไรกับพระนาง
อสธ 9.25 แต่เมื่อพระนางเอสเธอร์เข้าเฝ้ากษัตริย์ พระองค์ทรงบัญชาเป็นลายลักษณ์อักษรให้แผนการมุ่งร้ายของท่าน ซึ่งท่านได้คิดต่อพวกยิวนั้น กลับตกลงบนศีรษะของท่านเอง และให้ตัวท่านกับบุตรชายของท่านถูกแขวนบนตะแลงแกง
โยบ 34.23 เพราะพระองค์จะไม่ทรงกำหนดให้มนุษย์ทำเกินสิ่งที่สมควร ให้เข้าเฝ้าพระเจ้ารับการพิพากษา
สดด 45.14 เขาจะนำพระนางผู้ทรงเสื้อหลายสีเข้าเฝ้ากษัตริย์ และจะนำหญิงพรหมจารีผู้ติดตามคือเพื่อนเจ้าสาวมาถวายพระองค์
สดด 84.7 เขาไปด้วยมีกำลังมาเพิ่มขึ้นๆ เขาทั้งหลายจะเข้าเฝ้าพระเจ้าในศิโยน
สภษ 22.29 เจ้าเห็นคนที่ขยันในงานของเขาหรือ เขาจะได้เข้าเฝ้ากษัตริย์ เขาจะไม่ยืนอยู่ต่อหน้าคนต่ำต้อย
อสย 36.2 และกษัตริย์แห่งอัสซีเรียได้รับสั่งให้รับชาเคห์ ไปจากเมืองลาคีชถึงกรุงเยรูซาเล็ม เข้าเฝ้ากษัตริย์เฮเซคียาห์ พร้อมกับกองทัพใหญ่ และท่านมายืนอยู่ทางรางระบายน้ำสระบนที่ถนนลานซักฟอก
อสย 36.22 แล้วเอลียาคิมบุตรชายฮิลคียาห์ ผู้บัญชาการราชสำนัก และเชบนาห์ราชเลขา และโยอาห์บุตรชายอาสาฟ เจ้ากรมสารบรรณ ได้เข้าเฝ้าเฮเซคียาห์ด้วยเสื้อผ้าฉีกขาด และกราบทูลถ้อยคำของรับชาเคห์
อสย 39.3 แล้วอิสยาห์ผู้พยากรณ์ก็เข้าเฝ้ากษัตริย์เฮเซคียาห์และทูลพระองค์ว่า “คนเหล่านี้ทูลอะไรบ้าง และเขามาแต่ไหนเข้าเฝ้าพระองค์” เฮเซคียาห์ตรัสว่า “เขาได้มาหาเราจากเมืองไกล จากบาบิโลน”
ยรม 27.3 และส่งมันไปยังกษัตริย์แห่งเอโดม กษัตริย์แห่งโมอับและกษัตริย์แห่งคนอัมโมน กษัตริย์แห่งไทระ และกษัตริย์แห่งไซดอน ด้วยมือของทูตที่มาเข้าเฝ้าเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ที่กรุงเยรูซาเล็ม
ดนล 1.18 พอสิ้นกำหนดเวลาที่กษัตริย์ทรงบัญชาให้นำเขาทั้งหลายเข้าเฝ้า หัวหน้าขันทีจึงนำเขาทั้งหลายเข้ามาเฝ้าเนบูคัดเนสซาร์
ดนล 2.25 แล้วอารีโอคก็รีบนำตัวดาเนียลเข้าเฝ้ากษัตริย์ และกราบทูลพระองค์ว่า “ข้าพระองค์ได้พบชายคนหนึ่งในหมู่พวกที่ถูกกวาดเป็นเชลยมาจากยูดาห์ ชายผู้นี้จะให้กษัตริย์ทรงรู้คำแก้พระสุบินได้”
ดนล 3.8 เพราะฉะนั้น ในครั้งนั้นพวกเคลเดียบางคนมาเข้าเฝ้า และฟ้องพวกยิวด้วยใจคิดร้าย
ดนล 5.15 บัดนี้ เราให้พวกนักปราชญ์ พวกหมอดูมาเข้าเฝ้า เพื่อให้อ่านข้อความนี้ และแปลความหมายให้เรา แต่เขาแปลความหมายของเรื่องราวนี้ไม่ได้
ดนล 6.6 แล้วอภิรัฐมนตรีและอุปราชเหล่านี้ได้พากันเข้าเฝ้ากษัตริย์ทูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์ดาริอัส ขอทรงพระเจริญเป็นนิตย์
ดนล 6.15 แล้วคนเหล่านั้นก็พากันมาเข้าเฝ้ากษัตริย์และกราบทูลกษัตริย์ว่า “โอ ข้าแต่กษัตริย์ ขอพระองค์พึงทราบว่า กฎหมายของคนมีเดียและคนเปอร์เซียว่า พระราชกฤษฎีกาก็ดีหรือกฎหมายก็ดีซึ่งกษัตริย์ทรงประทับตราแล้วย่อมเปลี่ยนแปลงไม่ได้”
ดนล 7.10 ธารไฟพุ่งออกและไหลออกมาต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ คนนับแสนๆปรนนิบัติพระองค์ คนนับโกฏิๆเข้าเฝ้าพระองค์ ผู้พิพากษาก็ขึ้นนั่งบัลลังก์ บรรดาหนังสือก็เปิดขึ้น
มคา 6.6 “ข้าพเจ้าจะนำอะไรเข้ามาเฝ้าพระเยโฮวาห์ และกราบไหว้ต่อพระพักตร์พระเจ้าเบื้องสูง ควรข้าพเจ้าเข้าเฝ้าพระองค์ด้วยเครื่องเผาบูชาหรือ ด้วยลูกวัวอายุหนึ่งขวบหลายตัวหรือ
ลก 1.8 ต่อมาขณะที่เศคาริยาห์ทำหน้าที่ปุโรหิตเข้าเฝ้าพระเจ้า เมื่อท่านอยู่เวรประจำการของท่าน
กจ 27.24 ทูตนั้นกล่าวว่า ‘เปาโลเอ๋ย อย่ากลัวเลย ท่านจะต้องเข้าเฝ้าซีซาร์ ส่วนคนทั้งปวงที่อยู่ในเรือกับท่านนั้น ดูเถิด พระเจ้าจะทรงโปรดให้รอดตายเพราะเห็นแก่ท่าน’
อฟ 2.18 เพราะว่าพระองค์ทรงทำให้เราทั้งสองพวกมีโอกาสเข้าเฝ้าพระบิดา โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน

เข้าพระทัย ( 1 )
2ซมอ 12.19 แต่เมื่อดาวิดทอดพระเนตรเห็นข้าราชการกระซิบกระซาบกันอยู่ ดาวิดเข้าพระทัยว่าพระกุมารนั้นสิ้นพระชนม์แล้ว ดาวิดจึงรับสั่งถามข้าราชการของพระองค์ว่า “เด็กนั้นสิ้นชีวิตแล้วหรือ” เขาทูลตอบว่า “สิ้นชีวิตแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เข้ามา ( 562 )
ปฐก 8.9; ปฐก 18.23; ปฐก 19.8; ปฐก 19.9; ปฐก 19.10; ปฐก 19.31; ปฐก 24.31; ปฐก 24.67; ปฐก 27.26; ปฐก 27.27; ปฐก 27.35; ปฐก 27.41; ปฐก 30.16; ปฐก 33.3; ปฐก 33.6; ปฐก 33.7; ปฐก 39.14; ปฐก 39.17; ปฐก 40.6; ปฐก 40.20; ปฐก 45.4; ปฐก 46.26; ปฐก 46.27; ปฐก 47.29; ปฐก 48.9; ปฐก 48.10; อพย 1.1; อพย 3.4; อพย 3.5; อพย 9.19; อพย 10.4; อพย 10.8; อพย 14.10; อพย 15.17; อพย 16.9; อพย 19.21; อพย 19.22; อพย 24.2; อพย 26.33; อพย 30.20; อพย 32.19; อพย 34.30; อพย 34.32; อพย 40.4; ลนต 8.13; ลนต 8.14; ลนต 8.18; ลนต 8.22; ลนต 8.24; ลนต 9.5; ลนต 10.4; ลนต 10.5; ลนต 16.3; ลนต 16.23; ลนต 21.21; ลนต 21.23; ลนต 23.39; ลนต 25.22; ลนต 26.22; ลนต 26.25; กดว 1.18; กดว 1.51; กดว 3.6; กดว 3.10; กดว 3.38; กดว 4.15; กดว 4.19; กดว 7.2; กดว 8.19; กดว 12.14; กดว 12.15; กดว 14.3; กดว 18.7; กดว 18.22; กดว 19.14; กดว 20.1; กดว 25.6; กดว 27.1; กดว 27.21; กดว 31.24; กดว 31.48; กดว 32.16; กดว 36.1; พบญ 1.22; พบญ 4.10; พบญ 4.11; พบญ 4.38; พบญ 5.1; พบญ 5.23; พบญ 16.16; พบญ 21.5; พบญ 23.10; พบญ 23.11; พบญ 25.11; พบญ 26.3; พบญ 28.6; พบญ 28.19; พบญ 28.30; พบญ 28.38; พบญ 28.39; พบญ 29.12; พบญ 30.5; พบญ 31.2; พบญ 31.7; พบญ 31.14; พบญ 31.20; ยชว 2.2; ยชว 2.18; ยชว 7.14; ยชว 7.16; ยชว 7.17; ยชว 7.18; ยชว 10.24; ยชว 14.11; ยชว 17.4; ยชว 19.14; วนฉ 2.1; วนฉ 3.24; วนฉ 4.18; วนฉ 4.21; วนฉ 4.22; วนฉ 5.8; วนฉ 6.5; วนฉ 7.13; วนฉ 9.52; วนฉ 19.16; วนฉ 19.22; วนฉ 20.2; วนฉ 20.39; นรธ 2.12; นรธ 3.7; นรธ 4.11; 1ซมอ 2.13; 1ซมอ 2.15; 1ซมอ 4.5; 1ซมอ 4.6; 1ซมอ 4.13; 1ซมอ 4.14; 1ซมอ 6.14; 1ซมอ 7.10; 1ซมอ 7.13; 1ซมอ 9.18; 1ซมอ 9.25; 1ซมอ 10.20; 1ซมอ 10.21; 1ซมอ 11.11; 1ซมอ 14.25; 1ซมอ 14.36; 1ซมอ 15.32; 1ซมอ 17.48; 1ซมอ 19.9; 1ซมอ 19.16; 1ซมอ 20.21; 1ซมอ 21.15; 1ซมอ 28.21; 1ซมอ 29.6; 1ซมอ 29.8; 1ซมอ 30.21; 1ซมอ 31.4; 1ซมอ 31.7; 2ซมอ 1.6; 2ซมอ 1.15; 2ซมอ 5.2; 2ซมอ 5.6; 2ซมอ 5.8; 2ซมอ 6.16; 2ซมอ 6.17; 2ซมอ 9.10; 2ซมอ 10.2; 2ซมอ 13.10; 2ซมอ 13.11; 2ซมอ 15.5; 2ซมอ 15.32; 2ซมอ 16.1; 2ซมอ 17.5; 2ซมอ 17.6; 2ซมอ 18.25; 2ซมอ 19.3; 2ซมอ 19.5; 2ซมอ 20.17; 2ซมอ 21.17; 2ซมอ 24.18; 1พกษ 1.22; 1พกษ 1.23; 1พกษ 1.28; 1พกษ 1.32; 1พกษ 1.42; 1พกษ 2.1; 1พกษ 2.36; 1พกษ 7.51; 1พกษ 10.29; 1พกษ 11.2; 1พกษ 12.12; 1พกษ 14.5; 1พกษ 14.6; 1พกษ 16.10; 1พกษ 18.21; 1พกษ 18.30; 1พกษ 18.36; 1พกษ 20.13; 1พกษ 20.22; 1พกษ 21.5; 1พกษ 21.13; 1พกษ 22.9; 1พกษ 22.24; 2พกษ 2.5; 2พกษ 4.27; 2พกษ 4.32; 2พกษ 4.37; 2พกษ 5.13; 2พกษ 11.8; 2พกษ 16.12; 2พกษ 19.27; 2พกษ 19.32; 2พกษ 19.33; 2พกษ 20.1; 2พกษ 20.17; 2พกษ 20.20; 2พกษ 25.25; 1พศด 4.41; 1พศด 9.2; 1พศด 9.25; 1พศด 9.28; 1พศด 10.4; 1พศด 10.7; 1พศด 11.2; 1พศด 11.5; 1พศด 16.1; 1พศด 19.14; 1พศด 27.1; 2พศด 1.17; 2พศด 5.1; 2พศด 9.28; 2พศด 10.12; 2พศด 11.13; 2พศด 15.5; 2พศด 16.1; 2พศด 18.8; 2พศด 18.23; 2พศด 20.22; 2พศด 23.7; 2พศด 24.6; 2พศด 24.9; 2พศด 24.11; 2พศด 24.17; 2พศด 28.13; 2พศด 28.17; 2พศด 29.4; 2พศด 29.31; 2พศด 31.5; 2พศด 31.10; 2พศด 31.12; 2พศด 32.4; อสร 4.2; อสร 8.15; อสร 9.1; นหม 4.11; นหม 10.34; นหม 12.44; นหม 13.12; นหม 13.15; นหม 13.16; นหม 13.19; อสธ 2.8; อสธ 3.12; อสธ 5.2; อสธ 6.4; อสธ 6.5; อสธ 6.6; อสธ 8.9; โยบ 13.16; โยบ 19.12; โยบ 30.14; สดด 24.7; สดด 24.9; สดด 27.2; สดด 32.9; สดด 66.11; สดด 95.2; สดด 100.2; สดด 107.3; สดด 118.26; สดด 119.150; สดด 144.14; สภษ 2.10; สภษ 9.4; สภษ 9.16; ปญจ 11.9; ปญจ 12.1; พซม 2.9; พซม 3.4; พซม 4.16; พซม 5.1; พซม 5.4; พซม 8.2; อสย 1.12; อสย 2.2; อสย 13.22; อสย 16.12; อสย 19.23; อสย 26.2; อสย 27.12; อสย 29.13; อสย 34.1; อสย 37.28; อสย 37.33; อสย 37.34; อสย 38.1; อสย 39.6; อสย 41.1; อสย 41.5; อสย 48.16; อสย 49.5; อสย 51.5; อสย 52.1; อสย 57.3; อสย 58.2; อสย 58.7; อสย 65.5; ยรม 2.7; ยรม 3.17; ยรม 7.2; ยรม 8.17; ยรม 9.21; ยรม 13.21; ยรม 17.24; ยรม 21.13; ยรม 22.2; ยรม 22.4; ยรม 30.21; ยรม 35.2; ยรม 37.11; ยรม 39.3; ยรม 41.6; ยรม 41.7; ยรม 42.1; ยรม 46.22; ยรม 48.16; ยรม 50.14; ยรม 51.50; พคค 1.10; พคค 1.15; พคค 3.57; พคค 4.18; อสค 7.7; อสค 7.22; อสค 8.16; อสค 9.1; อสค 9.2; อสค 11.5; อสค 14.19; อสค 16.33; อสค 20.10; อสค 20.15; อสค 20.28; อสค 21.16; อสค 21.19; อสค 22.4; อสค 23.39; อสค 28.23; อสค 30.3; อสค 33.31; อสค 36.24; อสค 37.7; อสค 37.10; อสค 39.28; อสค 40.46; อสค 42.12; อสค 43.19; อสค 44.3; อสค 44.7; อสค 44.13; อสค 44.15; อสค 44.16; อสค 46.2; อสค 46.8; อสค 46.9; ดนล 1.18; ดนล 2.2; ดนล 3.2; ดนล 3.3; ดนล 3.13; ดนล 3.27; ดนล 4.7; ดนล 4.8; ดนล 5.7; ดนล 5.8; ดนล 5.10; ดนล 5.12; ดนล 5.13; ดนล 8.7; ดนล 9.24; ดนล 11.9; ดนล 11.21; ดนล 11.40; ดนล 11.41; ฮชย 7.1; ยอล 1.15; ยอล 2.1; ยอล 3.9; ยอล 3.14; อมส 1.4; อมส 6.3; อบด 1.5; อบด 1.11; อบด 1.15; มคา 4.1; มคา 4.12; มคา 5.5; มคา 5.6; มคา 6.6; ฮบก 2.5; ศฟย 1.14; ศฟย 3.2; ศฟย 3.20; ฮกก 2.7; ศคย 10.8; ศคย 12.9; มธ 2.7; มธ 9.10; มธ 9.28; มธ 15.8; มธ 19.14; มธ 21.34; มธ 26.47; มธ 26.50; มธ 28.18; มก 3.10; มก 4.19; มก 5.6; มก 6.22; มก 7.14; มก 8.34; มก 9.15; มก 9.25; มก 10.14; มก 10.35; มก 14.45; ลก 2.38; ลก 5.18; ลก 5.19; ลก 7.44; ลก 7.45; ลก 8.16; ลก 8.47; ลก 11.33; ลก 12.33; ลก 14.21; ลก 14.23; ลก 15.1; ลก 18.16; ลก 21.8; ลก 21.20; ลก 21.21; ลก 22.47; ลก 23.36; ลก 24.15; ยน 1.5; ยน 1.9; ยน 2.13; ยน 3.17; ยน 3.19; ยน 4.23; ยน 6.14; ยน 9.39; ยน 10.36; ยน 12.46; ยน 16.28; ยน 18.37; ยน 20.19; ยน 20.26; ยน 21.13; กจ 5.10; กจ 5.13; กจ 5.14; กจ 5.40; กจ 6.12; กจ 7.26; กจ 9.12; กจ 9.41; กจ 10.3; กจ 10.23; กจ 12.7; กจ 16.15; กจ 17.18; กจ 20.18; กจ 20.29; กจ 21.28; กจ 21.29; กจ 23.16; กจ 24.2; กจ 24.23; กจ 25.6; กจ 25.7; กจ 25.17; กจ 25.23; รม 5.12; รม 11.25; รม 13.12; รม 16.5; 1คร 14.23; 1คร 14.24; 2คร 4.6; 2คร 4.14; กท 2.4; กท 4.6; อฟ 2.13; 1ธส 1.9; 1ธส 2.12; 1ทธ 6.7; ฮบ 1.6; ฮบ 4.16; ฮบ 7.19; ฮบ 7.25; ฮบ 10.5; ฮบ 10.22; ฮบ 10.25; ยก 2.2; 2ปต 2.1; 1ยน 4.9; ยด 1.4; วว 1.3; วว 5.7; วว 21.24; วว 21.26; วว 22.17

เข้าร่วม ( 5 )
ปฐก 49.6 โอ จิตวิญญาณของเราเอ๋ย อย่าเข้าไปในที่ลึกลับของเขา ยศบรรดาศักดิ์ของเราเอ๋ย อย่าเข้าร่วมในที่ประชุมของเขาเลย เหตุว่าเขาฆ่าคนด้วยความโกรธ เขาทำลายกำแพงเมืองตามอำเภอใจเขา
อพย 12.48 เมื่อมีคนต่างด้าวมาอาศัยอยู่กับเจ้า และใคร่จะถือปัสกาถวายพระเยโฮวาห์ ก็ให้ชายพวกนั้นเข้าสุหนัตเสียก่อนทุกคนแล้วจึงให้เขามาใกล้ และถือพิธีนั้นได้ เขาจึงจะเป็นเหมือนคนเกิดในแผ่นดินนั้น แต่ผู้ใดที่ยังมิได้เข้าสุหนัต อย่าให้เข้าร่วมกินเลี้ยงในพิธีปัสกานั้นเลย
ยชว 23.12 เพราะว่าถ้าท่านหันกลับและเข้าร่วมกับประชาชาติเหล่านี้ที่เหลืออยู่ในหมู่พวกท่านโดยแต่งงานกับเขา คือท่านแต่งงานกับหญิงของเขา และเขาแต่งงานกับหญิงของท่าน
อสย 8.9 โอ ชนชาติทั้งหลายเอ๋ย จงเข้าร่วมกัน และเจ้าจะถูกทำให้แหลกเป็นชิ้นๆ บรรดาประเทศไกลๆทั้งหมด เจ้าเอ๋ยจงเงี่ยหู จงคาดเอวเจ้าไว้และเจ้าจะถูกทำให้แหลกเป็นชิ้นๆ จงคาดเอวเจ้าไว้และเจ้าจะถูกทำให้แหลกเป็นชิ้นๆ
กท 3.27 เพราะเหตุว่า ทุกคนในพวกท่านที่รับบัพติศมาเข้าร่วมในพระคริสต์แล้ว ก็ได้สวมชีวิตพระคริสต์

เข้าเวร ( 3 )
2พกษ 11.5 และท่านบัญชาเขาทั้งหลายว่า “นี่เป็นสิ่งที่ท่านทั้งหลายพึงกระทำ คือหนึ่งในสามของพวกท่าน ผู้เข้าเวรวันสะบาโต ให้เฝ้าพระราชวัง
2พกษ 11.9 นายทัพนายกองก็ได้กระทำตามที่เยโฮยาดาปุโรหิตสั่งทุกประการ ต่างก็นำคนของตนที่จะเข้าเวรวันสะบาโต พร้อมกับคนที่จะออกเวรวันสะบาโตนั้น มาหาเยโฮยาดาปุโรหิต
2พศด 23.8 คนเลวีและคนยูดาห์ทั้งปวงได้กระทำทุกสิ่งที่เยโฮยาดาปุโรหิตได้บัญชาไว้ เขาทั้งหลายต่างก็นำคนของเขามา คือทั้งคนที่ออกเวรในวันสะบาโต และบรรดาคนเหล่านั้นที่จะเข้าเวรในวันสะบาโต เพราะเยโฮยาดาปุโรหิตมิได้ปล่อยกองเวร

เขาสัตว์ ( 4 )
1ซมอ 16.1 พระเยโฮวาห์ตรัสกับซามูเอลว่า “เจ้าจะเป็นทุกข์เรื่องซาอูลนานเท่าใดเล่า เมื่อเราถอดเขาจากเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลแล้ว จงเติมน้ำมันให้เต็มเขาสัตว์ของเจ้า แล้วก็ไปเถอะ เราจะใช้เจ้าไปหาเจสซีชาวเบธเลเฮม เพราะว่าในหมู่พวกบุตรชายของเขาเราจัดเตรียมกษัตริย์องค์หนึ่งไว้แล้วสำหรับเรา”
1พกษ 1.39 แล้วศาโดกปุโรหิตได้นำเขาสัตว์ที่บรรจุน้ำมันมาจากพลับพลา และเจิมตั้งซาโลมอนไว้ และเขาทั้งหลายก็เป่าแตร และประชาชนทั้งปวงกล่าวว่า “ขอกษัตริย์ซาโลมอนทรงพระเจริญ”
โยบ 16.15 ข้าเย็บผ้ากระสอบติดหนังของข้า และทำให้เขาสัตว์ของข้าสกปรกด้วยผงคลีดิน
อมส 6.13 เจ้าทั้งหลายผู้เปรมปรีดิ์อยู่ในสิ่งอันไร้สาระ ผู้ซึ่งกล่าวว่า “เราได้ยึดเขาสัตว์มาเป็นของเราด้วยกำลังของเรามิใช่หรือ”

เข้าสิง ( 19 )
1ซมอ 18.10 อยู่มาในวันรุ่งขึ้นวิญญาณชั่วจากพระเจ้าก็เข้าสิงซาอูล ซาอูลก็ทรงพยากรณ์อยู่ในวังของพระองค์ ดาวิดก็กำลังดีดพิณอย่างที่เธอเคยดีดถวายทุกวันมา ซาอูลทรงถือหอกอยู่
มธ 8.16 พอค่ำลง เขาพาคนเป็นอันมากที่มีผีเข้าสิงมาหาพระองค์ พระองค์ก็ทรงขับผีออกด้วยพระดำรัสของพระองค์ และบรรดาคนเจ็บป่วยนั้น พระองค์ก็ได้ทรงรักษาให้หาย
มธ 8.32 พระองค์จึงตรัสแก่ผีเหล่านั้นว่า “ไปเถอะ” ผีเหล่านั้นก็ออกไปเข้าสิงอยู่ในฝูงสุกร ดูเถิด สุกรทั้งฝูงนั้นก็วิ่งกระโดดจากหน้าผาชันลงไปในทะเล และจมน้ำตายจนสิ้น
มธ 8.33 ฝ่ายคนเลี้ยงสุกรก็หนีเข้าไปในนคร เล่าบรรดาเหตุการณ์ซึ่งเป็นไปนั้น กับเหตุที่เกิดขึ้นแก่คนที่มีผีเข้าสิงอยู่นั้น
มธ 11.18 ด้วยว่ายอห์นมาก็ไม่ได้กินหรือดื่ม และเขาว่า ‘มีผีเข้าสิงอยู่’
มธ 12.22 ขณะนั้นเขาพาคนหนึ่งมีผีเข้าสิงอยู่ ทั้งตาบอดและเป็นใบ้มาหาพระองค์ พระองค์ทรงรักษาให้หาย คนตาบอดและใบ้นั้นจึงพูดจึงเห็นได้
มก 1.23 มีชายคนหนึ่งในธรรมศาลาของเขามีผีโสโครกเข้าสิง มันได้ร้องออกมา
มก 3.30 ที่ตรัสอย่างนั้นก็เพราะเขาทั้งหลายกล่าวว่า “พระองค์มีผีโสโครกเข้าสิง”
มก 5.13 พระเยซูก็ทรงอนุญาตทันที แล้วผีโสโครกนั้นจึงออกไปเข้าสิงอยู่ในสุกร สุกรทั้งฝูง (ประมาณสองพันตัว) ก็วิ่งกระโดดจากหน้าผาชันลงไปในทะเลสำลักน้ำตาย
มก 9.17 มีคนหนึ่งในหมู่ประชาชนทูลตอบว่า “อาจารย์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้พาบุตรชายของข้าพระองค์มาหาพระองค์เพราะผีใบ้เข้าสิง
มก 9.25 เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นประชาชนกำลังวิ่งเข้ามา พระองค์ตรัสสำทับผีโสโครกนั้นว่า “อ้ายผีใบ้หูหนวก เราสั่งเจ้าให้ออกมาจากเขา อย่าได้กลับเข้าสิงเขาอีกเลย”
ลก 4.33 มีชายคนหนึ่งในธรรมศาลาที่มีผีโสโครกเข้าสิง เขาร้องเสียงดัง
ลก 7.33 ด้วยว่ายอห์นผู้ให้รับบัพติศมาก็ไม่ได้รับประทานขนมปังหรือดื่มน้ำองุ่น และท่านทั้งหลายว่า ‘เขามีผีเข้าสิงอยู่’
ลก 8.27 เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นบกแล้ว มีชายคนหนึ่งจากเมืองนั้นมาพบพระองค์ คนนั้นมีผีเข้าสิงอยู่นานแล้ว และมิได้สวมเสื้อ มิได้อยู่เรือน แต่อยู่ตามอุโมงค์ฝังศพ
ลก 8.30 ฝ่ายพระเยซูตรัสถามมันว่า “เจ้าชื่ออะไร” มันทูลตอบว่า “ชื่อกอง” ด้วยว่ามีผีหลายตนเข้าสิงอยู่ในตัวเขา
ลก 8.32 ตำบลนั้นมีสุกรฝูงใหญ่กำลังหากินอยู่ที่ภูเขา ผีเหล่านั้นได้อ้อนวอนพระองค์ขออนุญาตให้มันเข้าสิงในฝูงสุกร พระองค์ก็ทรงอนุญาต
ลก 9.39 และ ดูเถิด ผีมักจะเข้าสิงเขา เด็กก็โห่ร้องขึ้นทันที ผีทำให้เด็กนั้นชักดิ้น น้ำลายฟูมปาก ทำให้ตัวฟกช้ำ ไม่ใคร่ออกจากเขาเลย
ลก 13.11 และดูเถิด มีหญิงคนหนึ่งซึ่งมีผีเข้าสิงทำให้พิการมาสิบแปดปีแล้ว หลังโกง ยืดตัวขึ้นไม่ได้เลย
ยน 13.27 เมื่อยูดาสรับประทานอาหารนั้นแล้ว ซาตานก็เข้าสิงในใจเขา พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “ท่านจะทำอะไรก็จงทำเร็วๆเถิด”

เข้าสุหนัต ( 126 )
ปฐก 17.10 นี่เป็นพันธสัญญาของเราซึ่งเจ้าจะรักษาระหว่างเรากับเจ้าและเชื้อสายของเจ้าที่มาภายหลังเจ้า คือเด็กผู้ชายทุกคนในท่ามกลางพวกเจ้าจะเข้าสุหนัต
ปฐก 17.11 เจ้าจะเข้าสุหนัตตัดหนังหุ้มปลายองคชาตของเจ้า และมันจะเป็นหมายสำคัญแห่งพันธสัญญาระหว่างเรากับเจ้า
ปฐก 17.12 ผู้ชายที่มีอายุแปดวันจะเข้าสุหนัตในท่ามกลางพวกเจ้า เด็กผู้ชายทุกคนตลอดชั่วอายุของพวกเจ้า ผู้ชายที่เกิดในบ้านหรือเอาเงินซื้อมาจากคนต่างด้าวใดๆซึ่งมิใช่เชื้อสายของเจ้า
ปฐก 17.13 ผู้ชายที่เกิดในบ้านของเจ้าและผู้ชายที่เอาเงินซื้อมาจำเป็นต้องเข้าสุหนัต และพันธสัญญาของเราจะอยู่ที่เนื้อของเจ้า เป็นพันธสัญญานิรันดร์
ปฐก 17.14 เด็กผู้ชายที่มิได้เข้าสุหนัต คือผู้ที่มิได้เข้าสุหนัตตัดหนังหุ้มปลายองคชาตของเขา ชีวิตนั้นจะถูกตัดขาดจากชนชาติของเขา เขาได้ละเมิดพันธสัญญาของเรา”
ปฐก 17.23 อับราฮัมจึงเอาอิชมาเอลบุตรชายของท่าน บรรดาคนทั้งปวงที่เกิดในบ้านของท่านและบรรดาคนทั้งปวงที่ได้ซื้อมาด้วยเงินของท่าน คือผู้ชายทุกคนท่ามกลางคนที่อยู่ในบ้านของอับราฮัม ให้เข้าสุหนัตตัดหนังหุ้มปลายองคชาตของพวกเขาในวันนั้นตามที่พระเจ้าตรัสไว้แก่ท่าน
ปฐก 17.24 เมื่อท่านเข้าสุหนัตตัดหนังหุ้มปลายองคชาตของท่าน อับราฮัมมีอายุเก้าสิบเก้าปี
ปฐก 17.25 และอิชมาเอลบุตรชายของท่านมีอายุสิบสามปีเมื่อเขาเข้าสุหนัตตัดหนังหุ้มปลายองคชาตของเขา
ปฐก 17.26 อับราฮัมและอิชมาเอลบุตรชายของท่านเข้าสุหนัตในวันเดียวกันนั้น
ปฐก 17.27 บรรดาผู้ชายในบ้านของท่าน ทั้งที่เกิดในบ้านของท่านและซื้อมาด้วยเงินจากคนต่างด้าวก็เข้าสุหนัตพร้อมกับท่าน
ปฐก 21.4 แล้วอับราฮัมทำพิธีเข้าสุหนัตให้แก่อิสอัคบุตรชายของตนเมื่อมีอายุแปดวัน ดังที่พระเจ้าทรงบัญชาแก่ท่าน
ปฐก 34.14 โดยบอกเขาว่า “เราทำสิ่งนี้ไม่ได้ คือยกน้องสาวของเราให้แก่คนที่ยังไม่ได้เข้าสุหนัตนั้น เพราะจะเป็นที่อับอายขายหน้าแก่เรา
ปฐก 34.15 แต่เราจะยอมดังนี้ ถ้าท่านจะยอมเป็นเหมือนพวกเรา โดยให้ผู้ชายทุกคนของท่านเข้าสุหนัต
ปฐก 34.17 แต่ถ้าท่านทั้งหลายไม่ฟังคำเรา ไม่เข้าสุหนัต เราจะเอาบุตรสาวของเราไปเสีย”
ปฐก 34.22 เพียงแต่เราที่เป็นชายทุกคนจะยอมเข้าสุหนัตเหมือนเขา ถ้ายอมกระทำดังนั้นพวกนั้นจะอาศัยอยู่เป็นชนชาติเดียวกับเรา
ปฐก 34.24 บรรดาชาวเมืองที่ออกไปจากประตูเมืองก็เห็นชอบด้วยฮาโมร์และเชเคมบุตรชาย และผู้ชายทั้งปวงที่ออกไปจากประตูเมืองก็เข้าสุหนัต
อพย 4.26 พระองค์จึงทรงละท่านไว้ นางจึงกล่าวว่า “ท่านเป็นสามีผู้ทำให้โลหิตตก” เนื่องจากพิธีเข้าสุหนัต
อพย 12.44 ส่วนทาสซึ่งนายเอาเงินซื้อมา เมื่อให้ทาสนั้นเข้าสุหนัตแล้วจึงให้เขากินได้
อพย 12.48 เมื่อมีคนต่างด้าวมาอาศัยอยู่กับเจ้า และใคร่จะถือปัสกาถวายพระเยโฮวาห์ ก็ให้ชายพวกนั้นเข้าสุหนัตเสียก่อนทุกคนแล้วจึงให้เขามาใกล้ และถือพิธีนั้นได้ เขาจึงจะเป็นเหมือนคนเกิดในแผ่นดินนั้น แต่ผู้ใดที่ยังมิได้เข้าสุหนัต อย่าให้เข้าร่วมกินเลี้ยงในพิธีปัสกานั้นเลย
ยชว 5.2 คราวนั้น พระเยโฮวาห์ตรัสกับโยชูวาว่า “จงทำมีดด้วยหินคมและให้คนอิสราเอลเข้าสุหนัตเป็นครั้งที่สอง”
ยชว 5.3 โยชูวาจึงทำมีดด้วยหินคมและให้คนอิสราเอลเข้าสุหนัตที่เนินเขาแห่งหนังหุ้มปลายองคชาต
ยชว 5.4 นี่แหละเป็นเหตุซึ่งโยชูวาให้เขาเข้าสุหนัต ในบรรดาประชาชนผู้ออกมาจากอียิปต์พวกผู้ชาย คือทหารทั้งหมดสิ้นชีวิตเสียตามทางในถิ่นทุรกันดารหลังจากที่ออกจากอียิปต์
ยชว 5.5 แม้ว่าประชาชนผู้ออกมาเหล่านั้นได้เข้าสุหนัตหมดทุกคนแล้ว แต่ประชาชนทุกคนที่เกิดมาใหม่ตามทางที่ในถิ่นทุรกันดารหลังจากที่ออกมาจากอียิปต์นั้น ยังไม่ได้เข้าสุหนัต
ยชว 5.7 แต่บุตรของเขาซึ่งพระองค์ทรงให้แทนเขานั้น โยชูวาก็ได้ให้เข้าสุหนัต เพราะว่าเขายังไม่เข้าสุหนัต เพราะว่าเขาไม่เคยได้เข้าสุหนัตเมื่อมาตามทาง
ยชว 5.8 ต่อมาเมื่อได้ให้ประชาชนเข้าสุหนัตเสร็จหมดแล้ว เขาก็พักอยู่ในที่อาศัยในค่ายจนกว่าจะหายเป็นปกติ
วนฉ 14.3 แต่บิดาและมารดาของท่านกล่าวแก่ท่านว่า “ไม่มีผู้หญิงสักคนหนึ่งในท่ามกลางบุตรสาวแห่งญาติพี่น้องของเจ้า หรือในท่ามกลางชนชาติของเราหรือ เจ้าจึงไปรับภรรยาจากคนฟีลิสเตียที่ไม่เข้าสุหนัต” แต่แซมสันกล่าวแก่บิดาว่า “ไปขอหญิงนั้นให้ฉันที เพราะเธอเป็นที่พอใจฉันมาก”
วนฉ 15.18 แซมสันกระหายน้ำมาก จึงร้องทุกข์ถึงพระเยโฮวาห์ว่า “การช่วยให้พ้นอันยิ่งใหญ่พระองค์ประทานให้สำเร็จด้วยมือผู้รับใช้ของพระองค์ บัดนี้ข้าพระองค์จะตายเพราะอดน้ำอยู่แล้ว และตกอยู่ในมือของผู้ไม่เข้าสุหนัตมิใช่หรือพระเจ้าข้า”
1ซมอ 14.6 โยนาธานกล่าวกับคนหนุ่มที่ถือเครื่องอาวุธของท่านว่า “มาเถิด ให้เราข้ามไปยังกองทหารรักษาการของคนเหล่านั้นที่มิได้เข้าสุหนัต บางทีพระเยโฮวาห์จะทรงประกอบกิจเพื่อเรา เพราะว่าไม่มีสิ่งใดที่ขัดขวางพระเยโฮวาห์ได้ในการที่พระองค์จะทรงช่วยให้พ้นไม่ว่าโดยคนมากหรือน้อย”
1ซมอ 31.4 แล้วซาอูลรับสั่งคนถืออาวุธของพระองค์ว่า “จงชักดาบออก แทงเราเสียให้ทะลุเถิด เกรงว่าคนที่มิได้เข้าสุหนัตเหล่านี้จะเข้ามาแทงเราทะลุ เป็นการลบหลู่เรา” แต่ผู้ถืออาวุธไม่ยอมกระทำตาม เพราะเขากลัวมาก ซาอูลจึงทรงชักดาบของพระองค์ออกทรงล้มทับดาบนั้น
2ซมอ 1.20 อย่าบอกเรื่องนี้ในเมืองกัท อย่าประกาศเรื่องนี้ในถนนเมืองเอชเคโลน เกรงว่าบุตรสาวคนฟีลิสเตียจะร่าเริง เกรงว่าบุตรสาวของผู้ที่มิได้เข้าสุหนัตจะลิงโลด
1พศด 10.4 แล้วซาอูลรับสั่งคนถืออาวุธของพระองค์ว่า “จงชักดาบออก แทงเราเสียให้ทะลุเถิด เกรงว่าคนที่มิได้เข้าสุหนัตเหล่านี้จะเข้ามาทำลบหลู่แก่เรา” แต่ผู้ถืออาวุธไม่ยอมกระทำตาม เพราะเขากลัวมาก ซาอูลจึงทรงชักดาบของพระองค์ออก ทรงล้มทับดาบนั้น
อสย 52.1 โอ ศิโยนเอ๋ย ตื่นเถิด ตื่นเถิด จงสวมกำลังของเจ้า โอ เยรูซาเล็ม กรุงบริสุทธิ์เอ๋ย จงสวมเสื้อผ้างามของเจ้า เพราะผู้ที่ไม่เข้าสุหนัตและผู้ไม่สะอาดจะไม่เข้ามาในเจ้าอีกเลย
ยรม 4.4 ดูก่อน คนยูดาห์และชาวกรุงเยรูซาเล็มเอ๋ย จงเอาตัวรับพิธีเข้าสุหนัตถวายแด่พระเยโฮวาห์ จงตัดหนังปลายหัวใจของเจ้าเสีย เกรงว่าความกริ้วของเราจะพลุ่งออกไปอย่างไฟและเผาไหม้ ไม่มีใครจะดับได้ เหตุด้วยความชั่วแห่งการกระทำทั้งหลายของเจ้า
ยรม 9.25 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “ดูเถิด วันเวลากำลังมาถึงแล้ว เมื่อเราจะลงโทษบรรดาผู้ที่รับพิธีเข้าสุหนัตพร้อมด้วยผู้ที่ไม่ได้รับพิธีเข้าสุหนัต คือ
ยรม 9.26 อียิปต์ ยูดาห์ เอโดม และคนอัมโมน โมอับและบรรดาคนที่อยู่ในมุมที่ไกลที่สุด ทุกคนที่อาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร เพราะบรรดาประชาชาติเหล่านี้มิได้รับพิธีเข้าสุหนัต และบรรดาวงศ์วานอิสราเอลก็มิได้รับพิธีเข้าสุหนัตทางใจ”
อสค 28.10 เจ้าจะตายอย่างคนที่มิได้เข้าสุหนัตตาย โดยมือของคนต่างด้าว เพราะเราได้ลั่นวาจาแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าได้ตรัส”
อสค 31.18 ดังนี้ เจ้าเหมือนผู้ใดในเรื่องสง่าราศีและความเป็นใหญ่ท่ามกลางต้นไม้แห่งเอเดน เจ้าจะถูกนำลงมาพร้อมกับต้นไม้แห่งเอเดนไปยังโลกบาดาล เจ้าจะนอนอยู่ท่ามกลางผู้ที่มิได้เข้าสุหนัต พร้อมกับผู้ที่ถูกฆ่าด้วยดาบ นี่คือฟาโรห์และบรรดาหมู่นิกรทั้งสิ้นของท่าน องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้”
อสค 32.19 ในเรื่องความงาม ท่านงามล้ำกว่าผู้ใดๆหรือ จงลงไป ไปนอนกับผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัต
อสค 32.21 เหล่าชายฉกรรจ์ในบรรดาผู้ที่แกล้วกล้าจะพูดเรื่องของเขากับผู้ช่วยของเขาจากกลางนรกว่า ‘เขาได้ลงมาแล้ว เขานอนอยู่ คือคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัต ที่ถูกฆ่าด้วยดาบ’
อสค 32.24 เอลามก็อยู่ที่นั่น ทั้งหมู่นิกรทั้งสิ้นก็อยู่รอบหลุมศพของเธอ ทุกคนถูกฆ่า และล้มลงด้วยดาบ ผู้ลงไปสู่โลกบาดาลโดยไม่เข้าสุหนัต เป็นพวกที่ให้เกิดความครั่นคร้ามในแผ่นดินของคนเป็น และเขาต้องทนรับความอับอายขายหน้ากับผู้ที่ลงไปปากแดนคนตาย
อสค 32.25 เขาได้ทำที่ให้เธอนอนในหมู่พวกผู้ที่ถูกฆ่าพร้อมกับหมู่นิกรทั้งสิ้นของเธอ มีหลุมศพอยู่รอบตัว เป็นผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตทุกคน ถูกฆ่าด้วยดาบ เพราะว่าเขาให้เกิดความครั่นคร้ามในแผ่นดินของคนเป็น และเขาต้องทนรับความอับอายขายหน้ากับผู้ที่ลงไปยังปากแดนคนตาย เขามีที่อยู่ในหมู่พวกผู้ถูกฆ่า
อสค 32.26 เมเชคกับทูบัลก็อยู่ที่นั่น ทั้งหมู่นิกรทั้งสิ้นของเธอ หลุมศพของเธอทั้งสองอยู่รอบเขา เป็นผู้ที่ไม่เข้าสุหนัตทุกคน ถูกฆ่าด้วยดาบ เพราะเขาให้เกิดความครั่นคร้ามในแผ่นดินของคนเป็น
อสค 32.27 เขาทั้งหลายจะไม่ได้นอนอยู่กับผู้แกล้วกล้าในจำพวกที่ไม่ได้เข้าสุหนัตที่ได้ล้มลง ลงไปยังนรกพร้อมกับยุทโธปกรณ์ของเขา ผู้ซึ่งมีดาบวางไว้ใต้ศีรษะของเขา และความชั่วช้าก็อยู่บนกระดูกของเขา เพราะว่าเขาให้ผู้แกล้วกล้าครั่นคร้ามอยู่ในแผ่นดินของคนเป็น
อสค 32.28 ดังนั้นท่านจะต้องถูกหักในหมู่พวกผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัต และนอนอยู่กับคนเหล่านั้นที่ถูกฆ่าด้วยดาบ
อสค 32.29 เอโดมก็อยู่ที่นั่น คือบรรดากษัตริย์และบรรดาเจ้านายทั้งหลายของเธอ แม้ว่าเขาทั้งหลายมีอานุภาพ เขายังถูกนำมาวางไว้กับบรรดาคนเหล่านั้นที่ถูกฆ่าด้วยดาบ เขาจะนอนอยู่กับผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัต กับบรรดาคนที่ได้ลงไปยังปากแดนคนตาย
อสค 32.30 เจ้านายจากทิศเหนือก็อยู่ที่นั่นอยู่กันหมด คนไซดอนทั้งหมด ผู้ที่ลงไปด้วยความอายพร้อมกับผู้ที่ถูกฆ่า เพราะเหตุความครั่นคร้ามทั้งสิ้นซึ่งเขาได้กระทำขึ้นด้วยกำลังของเขา เขานอนอยู่ที่นั่นไม่เข้าสุหนัตพร้อมกับผู้ที่ถูกฆ่าด้วยดาบ และทนรับความอับอายขายหน้ากับบรรดาผู้ที่ลงไปยังปากแดนคนตาย
อสค 32.32 เพราะเราได้ให้เกิดความครั่นคร้ามในแผ่นดินของคนเป็น เพราะฉะนั้นเขาจะถูกวางไว้ท่ามกลางผู้ไม่เข้าสุหนัต พร้อมกับผู้เหล่านั้นที่ถูกฆ่าด้วยดาบ ทั้งฟาโรห์และหมู่นิกรทั้งสิ้นของท่าน องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ”
อสค 44.7 คือการที่เจ้าพาคนต่างด้าวที่มิได้เข้าสุหนัตทางจิตใจและมิได้เข้าสุหนัตทางเนื้อหนังเข้ามาในสถานบริสุทธิ์ของเรา กระทำให้สถานนั้น คือพระนิเวศของเรามัวหมอง เมื่อเจ้าถวายอาหารของเราแก่เรา คือไขมันและเลือด สิ่งเหล่านี้ได้ทำลายพันธสัญญาของเราด้วยการอันน่าสะอิดสะเอียนทั้งสิ้นของเจ้า
อสค 44.9 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจึงตรัสดังนี้ว่า อย่าให้คนต่างด้าวที่มิได้เข้าสุหนัตทางจิตใจและมิได้เข้าสุหนัตทางเนื้อหนัง คือชนต่างด้าวทั้งสิ้นที่อยู่ท่ามกลางชนชาติอิสราเอลเข้าไปในสถานบริสุทธิ์ของเรา
ฮบก 2.16 เจ้าจะอิ่มไปด้วยความอับอาย ไม่ใช่อิ่มด้วยสง่าราศี เจ้าดื่มเองซิ แล้วให้เหมือนผู้ชายที่มิได้เข้าสุหนัต ถ้วยซึ่งอยู่ในพระหัตถ์ขวาของพระเยโฮวาห์จะเวียนมาถึงเจ้า แล้วความอับอายจะพ่นเหนือสง่าราศีของเจ้า
ลก 1.59 ต่อมาครั้นถึงวันที่แปดแล้ว เขาก็พากันมาให้ทารกนั้นเข้าสุหนัต และเขาจะให้ชื่อทารกนั้นว่า เศคาริยาห์ ตามชื่อบิดา
ลก 2.21 ครั้นครบแปดวันแล้ว เป็นวันให้พระกุมารนั้นเข้าสุหนัต เขาจึงให้นามว่า เยซู ตามซึ่งทูตสวรรค์ได้กล่าวไว้ก่อนยังมิได้ปฏิสนธิในครรภ์
ยน 7.22 โมเสสได้ให้ท่านทั้งหลายเข้าสุหนัต (มิใช่ได้มาจากโมเสส แต่มาจากบรรพบุรุษ) และในวันสะบาโตท่านทั้งหลายก็ยังให้คนเข้าสุหนัต
ยน 7.23 ถ้าในวันสะบาโตคนยังเข้าสุหนัต เพื่อมิให้ละเมิดพระราชบัญญัติของโมเสสแล้ว ท่านทั้งหลายจะโกรธเรา เพราะเราทำให้ชายผู้หนึ่งหายโรคเป็นปกติในวันสะบาโตหรือ
กจ 7.8 พระองค์ได้ทรงตั้งพันธสัญญาพิธีเข้าสุหนัตไว้กับอับราฮัม เหตุฉะนั้นเมื่ออับราฮัมให้กำเนิดบุตรชื่ออิสอัค จึงให้เข้าสุหนัตในวันที่แปด อิสอัคให้กำเนิดบุตรชื่อยาโคบ และยาโคบให้กำเนิดบุตรสิบสองคน ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของเรา
กจ 10.45 ฝ่ายพวกที่ได้เข้าสุหนัตซึ่งเชื่อถือแล้ว คือคนที่มาด้วยกันกับเปโตรก็ประหลาดใจ เพราะว่าของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ลงมาบนคนต่างชาติด้วย
กจ 11.2 เมื่อเปโตรขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มแล้ว พวกที่เข้าสุหนัตจึงต่อว่าท่าน
กจ 11.3 ว่า “ท่านไปหาคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัต และรับประทานอาหารกับเขา”
กจ 15.1 มีบางคนลงมาจากแคว้นยูเดียได้สั่งสอนพวกพี่น้องว่า “ถ้าไม่เข้าสุหนัตตามจารีตของโมเสส ท่านจะรอดไม่ได้”
กจ 15.5 แต่มีบางคนในพวกฟาริสีที่มีความเชื่อได้ยืนขึ้นกล่าวว่า คนต่างชาตินั้นควรต้องให้เขาเข้าสุหนัต และสั่งให้เขาถือตามพระราชบัญญัติของโมเสส
กจ 15.24 ด้วยพวกข้าพเจ้าได้ยินว่า มีบางคนในพวกข้าพเจ้าได้พูดให้ท่านทั้งหลายเกิดความไม่สบายใจ และทำให้ใจของท่านปั่นป่วนไป ด้วยสอนว่า ‘ท่านต้องเข้าสุหนัตและรักษาพระราชบัญญัติ’ แม้ว่าเขามิได้รับคำสั่งจากพวกข้าพเจ้า
กจ 16.3 เปาโลใคร่จะพาทิโมธีไปด้วยกัน จึงให้เข้าสุหนัตเพราะเห็นแก่พวกยิวที่อยู่ในเมืองนั้นๆ เพราะคนเหล่านั้นทุกคนรู้ว่าบิดาของเขาเป็นชาติกรีก
กจ 21.21 เขาทั้งหลายได้ยินถึงท่านว่า ท่านได้สั่งสอนพวกยิวทั้งปวงที่อยู่ในหมู่ชนต่างชาติให้ละทิ้งโมเสส และว่าไม่ต้องให้บุตรของตนเข้าสุหนัตหรือประพฤติตามธรรมเนียมเก่านั้น
รม 2.25 ถ้าท่านรักษาพระราชบัญญัติ พิธีเข้าสุหนัตก็เป็นประโยชน์จริง แต่ถ้าท่านละเมิดพระราชบัญญัติ การที่ท่านเข้าสุหนัตนั้นก็เหมือนกับว่าไม่ได้เข้าเลย
รม 2.26 เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตยังรักษาความชอบธรรมแห่งพระราชบัญญัติแล้ว การที่เขาไม่ได้เข้าสุหนัตนั้นจะถือเหมือนกับว่าเขาได้เข้าสุหนัตแล้วไม่ใช่หรือ
รม 2.27 และคนทั้งหลายที่ไม่เข้าสุหนัตซึ่งเป็นตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ได้ทำตามพระราชบัญญัติ เขาจะปรับโทษท่านผู้มีประมวลพระราชบัญญัติและได้เข้าสุหนัตแล้ว แต่ยังละเมิดพระราชบัญญัตินั้น
รม 3.30 เพราะว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าองค์เดียว และพระองค์จะทรงโปรดให้คนที่เข้าสุหนัตเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ และจะทรงโปรดให้คนที่ไม่ได้เข้าสุหนัตเป็นคนชอบธรรมก็เพราะความเชื่อดุจกัน
รม 4.9 ถ้าเช่นนั้นความสุขมีแก่คนที่เข้าสุหนัตพวกเดียวหรือ หรือว่ามีแก่พวกที่มิได้เข้าสุหนัตด้วย เพราะเรากล่าวว่า “เพราะความเชื่อนั้นเองทรงถือว่าอับราฮัมเป็นคนชอบธรรม”
รม 4.10 แต่พระเจ้าทรงถืออย่างไร เมื่อท่านเข้าสุหนัตแล้วหรือ หรือเมื่อยังไม่ได้เข้าสุหนัต มิใช่เมื่อท่านเข้าสุหนัตแล้วแต่เมื่อท่านยังไม่ได้เข้าสุหนัต
รม 4.11 และท่านได้เข้าสุหนัตเป็นเครื่องหมายสำคัญ เป็นตราแห่งความชอบธรรม ซึ่งเกิดโดยความเชื่อที่ท่านได้มีอยู่เมื่อท่านยังไม่ได้เข้าสุหนัต เพื่อท่านจะได้เป็นบิดาของคนทั้งปวงที่เชื่อ ทั้งที่เมื่อเขายังไม่ได้เข้าสุหนัต เพื่อจะถือว่าเป็นผู้ชอบธรรมด้วย
รม 4.12 และเพื่อท่านจะเป็นบิดาของคนเหล่านั้นที่เข้าสุหนัต ที่มิได้เพียงแต่เข้าสุหนัตเท่านั้น แต่มีความเชื่อตามแบบของอับราฮัมบิดาของเราทั้งหลาย ซึ่งท่านมีอยู่เมื่อท่านยังไม่ได้เข้าสุหนัต
รม 15.8 บัดนี้ข้าพเจ้าขอบอกว่า พระเยซูคริสต์ได้ทรงเป็นผู้รับใช้สำหรับพวกที่เข้าสุหนัตในเรื่องเกี่ยวกับความจริงของพระเจ้า เพื่อยืนยันถึงพระสัญญาเหล่านั้นที่ได้ทรงกระทำไว้กับบรรพบุรุษทั้งหลาย
1คร 7.18 มีชายคนใดที่พระเจ้าทรงเรียกเมื่อเขาได้รับพิธีเข้าสุหนัตแล้วหรือ อย่าให้เขากลับเป็นเหมือนคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัต หรือมีชายคนใดที่พระเจ้าทรงเรียกเมื่อเขามิได้เข้าสุหนัตหรือ อย่าให้เขาเข้าสุหนัตเลย
กท 2.3 แต่ถึงแม้ทิตัสซึ่งอยู่กับข้าพเจ้าจะเป็นชาวกรีก เขาก็ไม่ได้ถูกบังคับให้เข้าสุหนัต
กท 2.7 แต่ตรงกันข้าม เมื่อเขาเห็นว่า ข้าพเจ้าได้รับมอบให้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนเหล่านั้นที่ไม่ถือพิธีเข้าสุหนัต เช่นเดียวกับเปโตรได้รับมอบให้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนที่ถือพิธีเข้าสุหนัต
กท 2.8 (เพราะว่า พระองค์ผู้ได้ทรงดลใจเปโตรให้เป็นอัครสาวกไปหาพวกที่ถือพิธีเข้าสุหนัต ก็ได้ทรงดลใจข้าพเจ้าให้ไปหาคนต่างชาติเหมือนกัน)
กท 2.9 เมื่อยากอบ เคฟาสและยอห์น ผู้ที่เขานับถือว่าเป็นหลักได้เห็นพระคุณซึ่งประทานแก่ข้าพเจ้าแล้ว ก็ได้จับมือขวาของข้าพเจ้ากับบารนาบัสแสดงว่าเราเป็นเพื่อนร่วมงานกัน เพื่อให้เราไปหาคนต่างชาติ และท่านเหล่านั้นจะไปหาพวกที่ถือพิธีเข้าสุหนัต
กท 2.12 ด้วยว่าก่อนที่คนของยากอบมาถึงนั้น ท่านได้กินอยู่ด้วยกันกับคนต่างชาติ แต่พอคนพวกนั้นมาถึง ท่านก็ปลีกตัวออกไปอยู่เสียต่างหาก เพราะกลัวพวกที่ถือพิธีเข้าสุหนัต
กท 5.2 ดูเถิด ข้าพเจ้าเปาโลขอบอกท่านว่า ถ้าท่านรับพิธีเข้าสุหนัตพระคริสต์จะทรงทำประโยชน์อะไรให้แก่ท่านไม่ได้เลย
กท 5.3 ข้าพเจ้าเป็นพยานให้ทุกคนที่รับพิธีเข้าสุหนัตทราบอีกว่า เขาถูกผูกมัดให้ประพฤติตามพระราชบัญญัติทั้งสิ้น
กท 5.6 เพราะว่าในพระเยซูคริสต์นั้น การที่รับพิธีเข้าสุหนัตหรือไม่รับพิธีเข้าสุหนัต ก็หาเกิดประโยชน์อันใดไม่ แต่ความเชื่อต่างหากซึ่งกระทำกิจด้วยความรัก
กท 5.11 พี่น้องทั้งหลาย ถ้าข้าพเจ้ายังเทศนาชักชวนให้รับพิธีเข้าสุหนัต เหตุใดข้าพเจ้าจึงยังถูกข่มเหงอยู่อีกเล่า ถ้าเช่นนั้นกางเขนก็ไม่ใช่สิ่งที่ให้สะดุดแล้ว
กท 6.12 คนที่ปรารถนาได้หน้าตามเนื้อหนัง เขาบังคับให้ท่านรับพิธีเข้าสุหนัต เพื่อเขาจะได้ไม่ถูกข่มเหงเพราะเรื่องกางเขนของพระคริสต์เท่านั้น
กท 6.13 ถึงแม้คนที่เข้าสุหนัตแล้วก็มิได้รักษาพระราชบัญญัติ แต่เขาปรารถนาที่จะให้ท่านเข้าสุหนัต เพื่อเขาจะได้เอาเนื้อหนังของท่านไปอวด
กท 6.15 เพราะว่าในพระเยซูคริสต์ การที่ถือพิธีเข้าสุหนัตหรือไม่ถือพิธีเข้าสุหนัต ไม่เป็นของสำคัญอะไร แต่การที่ถูกสร้างใหม่นั้นสำคัญ
อฟ 2.11 เหตุฉะนั้นท่านจงระลึกว่า เมื่อก่อนท่านเคยเป็นคนต่างชาติตามเนื้อหนัง และพวกที่รับพิธีเข้าสุหนัตซึ่งกระทำแก่เนื้อหนังด้วยมือเคยเรียกท่านว่า เป็นพวกที่มิได้เข้าสุหนัต
ฟป 3.3 เพราะว่าเราทั้งหลายเป็นพวกถือพิธีเข้าสุหนัต คือเป็นผู้นมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณ และชื่นชมยินดีในพระเยซูคริสต์ และไม่ได้ไว้ใจในเนื้อหนัง
ฟป 3.5 คือเมื่อข้าพเจ้าเกิดมาได้แปดวันก็ได้เข้าสุหนัต ข้าพเจ้าเป็นชนชาติอิสราเอล ตระกูลเบนยามิน เป็นชาติฮีบรูเกิดจากชาวฮีบรู ในด้านพระราชบัญญัติก็อยู่ในคณะฟาริสี
คส 2.11 ในพระองค์นั้น ท่านได้รับเข้าสุหนัต ซึ่งเป็นการเข้าสุหนัตที่มือมนุษย์มิได้กระทำ โดยที่ท่านได้สละกายแห่งความบาปของเนื้อหนังเสีย โดยการเข้าสุหนัตแห่งพระคริสต์
คส 2.13 และท่านที่ตายแล้วด้วยความบาปทั้งหลายของท่านและด้วยเหตุที่เนื้อหนังของท่านมิได้เข้าสุหนัต พระองค์ได้ทรงให้ท่านมีชีวิตด้วยกันกับพระองค์และทรงโปรดยกโทษการละเมิดทั้งหลายของท่าน
คส 3.11 อย่างนี้ไม่เป็นพวกกรีกหรือพวกยิว ไม่เป็นผู้ที่เข้าสุหนัตหรือไม่ได้เข้าสุหนัต พวกคนต่างชาติหรือชาวสิเธีย ทาสหรือไทยก็ไม่เป็น แต่ว่าพระคริสต์ทรงเป็นสารพัดและทรงดำรงอยู่ในสารพัด
คส 4.11 และเยซูซึ่งมีชื่ออีกว่า ยุสทัส ก็เช่นกัน ซึ่งอยู่ในคณะที่เข้าสุหนัต จำเพาะคนเหล่านี้เท่านั้นเป็นเพื่อนร่วมการกับข้าพเจ้าในอาณาจักรของพระเจ้า ซึ่งเป็นที่หนุนใจของข้าพเจ้า
ทต 1.10 เพราะว่ามีคนเป็นอันมากที่ดื้อกระด้าง พูดมากไม่เป็นสาระ และหลอกลวง โดยเฉพาะบรรดาผู้ที่เข้าสุหนัต

เข้าสู่ ( 35 )
กดว 32.20 โมเสสจึงกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า “ถ้าท่านทั้งหลายจะกระทำเช่นนี้ คือหยิบอาวุธขึ้นเข้าสู่สงครามต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
พบญ 27.2 ในวันที่ท่านทั้งหลายจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าสู่แผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน ท่านจงตั้งศิลาก้อนใหญ่ๆขึ้น เอาปูนโบกเสีย
วนฉ 5.18 เศบูลุนกับนัฟทาลีเป็นคนที่เสี่ยงชีวิตเข้าสู่ความตาย ณ ที่สูงในสนามรบ
1พกษ 6.31 สำหรับทางเข้าสู่ห้องหลัง พระองค์ทรงสร้างประตูด้วยไม้มะกอกเทศ กรอบประตูชิ้นบนและวงกบประตูรวมเข้าเป็นหนึ่งในห้าของขนาดของผนัง
1พกษ 22.35 วันนั้นการรบก็ดุเดือดขึ้น เขาก็หนุนกษัตริย์ไว้ในราชรถให้หันพระพักตร์เข้าสู่ชนซีเรีย จนเวลาเย็นพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ และโลหิตที่บาดแผลก็ไหลออกนองท้องรถรบ
1พศด 6.15 และเยโฮซาดักถูกกวาดไปเป็นเชลย เมื่อพระเยโฮวาห์ได้ทรงให้ยูดาห์ และเยรูซาเล็มเข้าสู่การถูกกวาดไปเป็นเชลยด้วยหัตถ์ของเนบูคัดเนสซาร์
โยบ 18.18 เขาจะถูกผลักไสจากความสว่างเข้าสู่ความมืด และจะถูกไล่ออกไปจากแผ่นดินโลก
สดด 95.11 เพราะฉะนั้นเราจึงปฏิญาณด้วยความพิโรธของเราว่า “เขาจะไม่ได้เข้าสู่ที่สงบสุขของเรา”
ปญจ 12.14 ด้วยว่าพระเจ้าจะทรงเอาการงานทุกประการเข้าสู่การพิพากษา พร้อมด้วยสิ่งเร้นลับทุกอย่าง ไม่ว่าดีหรือชั่ว
อสย 13.14 คนทุกคนจะหันเข้าสู่ชนชาติของตนเอง และคนทุกคนจะหนีไปยังแผ่นดินของตนเอง ดั่งละมั่งที่ถูกล่าหรือเหมือนแกะที่ไม่มีผู้รวมฝูง
อสค 20.35 และเราจะนำเจ้าเข้าไปในถิ่นทุรกันดารแห่งชนชาติทั้งหลาย และที่นั่นเราจะเข้าสู่การพิพากษากับเจ้าหน้าต่อหน้า
อสค 20.36 เราเข้าสู่การพิพากษากับบรรพบุรุษของเจ้าในถิ่นทุรกันดารแห่งแผ่นดินอียิปต์อย่างไร องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า เราจะเข้าสู่การพิพากษากับเจ้าอย่างนั้น
อสค 27.3 และจงกล่าวแก่เมืองไทระ โอ ผู้อยู่ที่ทางเข้าสู่ทะเลเอ๋ย เป็นพ่อค้าแห่งชนชาติทั้งหลายที่อยู่ตามเกาะต่างๆ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า โอ เมืองไทระเอ๋ย เจ้าได้กล่าวว่า ‘ข้านี้มีความงดงามพร้อมสรรพ’
อสค 42.3 ติดต่อกับส่วนยี่สิบศอกซึ่งเป็นส่วนของลานชั้นใน หันหน้าเข้าสู่พื้นหินซึ่งเป็นส่วนของลานข้างนอก เป็นระเบียงซ้อนระเบียงสามชั้น
อสค 42.14 เมื่อปุโรหิตเข้าไปในที่บริสุทธิ์ เขาจะไม่ออกไปจากที่บริสุทธิ์เข้าสู่ลานข้างนอก แต่จะปลดเครื่องแต่งกายที่เขาสวมปฏิบัติหน้าที่วางไว้ที่นั่นเพราะสิ่งเหล่านี้บริสุทธิ์ เขาจะต้องสวมเครื่องแต่งกายอื่นก่อนที่เขาจะเข้าไปสู่ส่วนที่มีไว้สำหรับประชาชน”
ดนล 1.10 และหัวหน้าขันทีจึงกล่าวแก่ดาเนียลว่า “ข้าเกรงว่ากษัตริย์เจ้านายของข้าผู้ทรงกำหนดอาหารและเครื่องดื่มของเจ้า ทอดพระเนตรเห็นว่า พวกเจ้ามีหน้าซูบซีดกว่าบรรดาคนหนุ่มๆอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เจ้าก็จะกระทำให้ศีรษะของข้าเข้าสู่อันตรายเพราะกษัตริย์”
ดนล 12.2 และคนเป็นอันมากในพวกที่หลับในผงคลีแห่งแผ่นดินโลกจะตื่นขึ้น บ้างก็จะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ บ้างก็เข้าสู่ความอับอายและความขายหน้านิรันดร์
ยอล 3.2 เราจะรวบรวมบรรดาประชาชาติทั้งสิ้น และนำเขาลงมาที่หุบเขาเยโฮชาฟัท และเราจะเข้าสู่การพิพากษากับเขาที่นั่นด้วยเรื่องประชาชนของเรา คืออิสราเอลมรดกของเรา เพราะว่าเขาได้กระจายชนชาติของเราไปท่ามกลางประชาชาติ และได้แบ่งแผ่นดินของเรา
ยนา 2.7 เมื่อจิตใจอ่อนเพลียไปในตัวของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ระลึกถึงพระเยโฮวาห์ และคำอธิษฐานของข้าพระองค์มาถึงพระองค์ เข้าสู่พระวิหารบริสุทธิ์ของพระองค์
มธ 18.8 ด้วยเหตุนี้ถ้ามือหรือเท้าของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงตัดออกและโยนมันทิ้งเสียจากท่าน ซึ่งท่านจะเข้าสู่ชีวิตด้วยมือและเท้าด้วนยังดีกว่ามีสองมือสองเท้า และต้องถูกทิ้งในไฟซึ่งไหม้อยู่เป็นนิตย์
มธ 18.9 ถ้าตาของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงควักออกและโยนมันทิ้งเสียจากท่าน ซึ่งท่านจะเข้าสู่ชีวิตด้วยตาข้างเดียวยังดีกว่ามีสองตาและต้องถูกทิ้งไปในไฟนรก
มธ 25.46 และพวกเหล่านี้จะต้องออกไปรับโทษอยู่เป็นนิตย์ แต่ผู้ชอบธรรมจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์”
มก 9.43 และถ้ามือของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงตัดมันทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าสู่ชีวิตด้วยมือด้วนยังดีกว่ามีสองมือและต้องตกนรกในไฟที่ไม่มีวันดับ
มก 9.45 ถ้าเท้าของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงตัดมันทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าสู่ชีวิตด้วยเท้าด้วนยังดีกว่ามีเท้าสองเท้าและต้องถูกทิ้งลงในนรกในไฟที่ไม่มีวันดับ
ยน 8.37 เรารู้ว่าท่านทั้งหลายเป็นเชื้อสายของอับราฮัม แต่ท่านก็หาโอกาสที่จะฆ่าเราเสีย เพราะคำของเราไม่มีโอกาสเข้าสู่ใจของท่าน
รม 5.5 และความหวังใจมิได้ทำให้เกิดความละอาย เพราะเหตุว่าความรักของพระเจ้าได้หลั่งไหลเข้าสู่จิตใจของเรา โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่เราแล้ว
ฮบ 3.11 ดังนั้นเราจึงปฏิญาณด้วยความพิโรธของเราว่า “เขาจะไม่ได้เข้าสู่ที่สงบสุขของเรา”’)
ฮบ 3.18 และแก่ใครหนอที่พระองค์ได้ทรงปฏิญาณว่า เขาจะไม่ได้เข้าสู่ที่สงบสุขของพระองค์ ก็คนเหล่านั้นที่ไม่เชื่อมิใช่หรือ
ฮบ 4.3 เพราะว่าเราทั้งหลายที่เชื่อแล้วก็เข้าในที่สงบสุขนั้น เหมือนพระองค์ได้ตรัสไว้แล้วว่า ‘ตามที่เราได้ปฏิญาณด้วยความพิโรธของเราว่า “เขาจะไม่ได้เข้าสู่ที่สงบสุขของเรา”’ แม้ว่างานนั้นสำเร็จแล้วตั้งแต่วางรากสร้างโลก
ฮบ 4.5 และแห่งเดียวกันนั้นได้ตรัสอีกว่า ‘เขาจะไม่ได้เข้าสู่ที่สงบสุขของเรา’
ฮบ 4.8 เพราะว่าถ้าเยซูได้พาเขาเข้าสู่ที่สงบสุขนั้นแล้ว พระองค์ก็คงมิได้ตรัสในภายหลังถึงวันอื่นอีก
1ปต 1.3 จงถวายสรรเสริญแด่พระเจ้าพระบิดาแห่งพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้ได้ทรงพระมหากรุณาแก่เรา ทรงโปรดให้เราบังเกิดใหม่ เข้าสู่ความหวังใจอันมีชีวิตอยู่ โดยการคืนพระชนม์จากความตายของพระเยซูคริสต์
วว 11.11 เมื่อเวลาผ่านไปสามวันครึ่งแล้ว ลมปราณแห่งชีวิตจากพระเจ้าก็เข้าสู่ศพของเขาอีก และเขาก็ลุกขึ้นยืน คนทั้งหลายที่ได้เห็นเขาก็มีความหวาดกลัวเป็นอันมาก

เข้าใส่ ( 16 )
วนฉ 14.5 ฝ่ายแซมสันก็ลงไปที่เมืองทิมนาห์กับบิดามารดาของตน แซมสันมาถึงสวนองุ่นของทิมนาห์ ดูเถิด มีสิงโตหนุ่มตัวหนึ่งคำรามเข้าใส่ท่าน
1ซมอ 2.1 นางฮันนาห์ได้อธิษฐานและกล่าวว่า “จิตใจของข้าพเจ้าชื่นชมในพระเยโฮวาห์ ในพระเยโฮวาห์เขาของข้าพเจ้าถูกเชิดชูขึ้น ปากของข้าพเจ้าก็อ้ากว้างเข้าใส่ศัตรูของข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าเปรมปรีดิ์ในความรอดของพระองค์
โยบ 6.4 เพราะธนูขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็อยู่ในตัวข้า จิตใจของข้าดื่มพิษของมัน ความน่าหวาดเสียวจากพระเจ้าขยายแนวเข้าใส่ข้า
โยบ 15.26 เขาวิ่งเข้าใส่พระองค์อย่างดื้อดึงพร้อมกับดั้งปุ่มหนา
โยบ 16.14 พระองค์ทรงพังเข้าไปเป็นช่องๆ พระองค์ทรงวิ่งเข้าใส่ข้าอย่างมนุษย์ยักษ์
โยบ 40.23 ดูเถิด มันดื่มแม่น้ำจนหมดและไม่รีบหนีไป มันวางใจว่าจะดูดแม่น้ำจอร์แดนเข้าใส่ปากมัน
สดด 22.13 มันอ้าปากกว้างเข้าใส่ข้าพระองค์ดั่งสิงโตขณะกัดฉีกและคำรามร้อง
ยรม 2.15 สิงโตหนุ่มคำรามเข้าใส่เขา มันคำรามเสียงดังมาก และมันทั้งหลายได้กระทำให้แผ่นดินของเขาทิ้งร้างว่างเปล่า หัวเมืองทั้งหลายของเขาก็ถูกเผา ไม่มีคนอาศัยอยู่
ยรม 4.16 จงกล่าวแก่บรรดาประชาชาติ ดูเถิด จงโฆษณาแก่กรุงเยรูซาเล็มว่า บรรดาผู้ล้อมมาจากแผ่นดินไกล เขาทั้งหลายโห่ร้องเข้าใส่หัวเมืองยูดาห์
ยรม 12.8 มรดกของเราได้กลายเป็นเหมือนสิงโตในป่าต่อเรา เขาตะเบ็งเสียงของเขาเข้าใส่เรา เพราะฉะนั้นเราจึงเกลียดเขา
ยรม 49.19 ดูเถิด เขาจะขึ้นมาอย่างสิงโตจากคลื่นของลุ่มแม่น้ำจอร์แดนโจนเข้าใส่คอกของแกะที่แข็งแรง แต่เราจะกระทำให้เขาวิ่งหนีเธอไปอย่างฉับพลัน และใครเป็นผู้ที่เลือกสรรไว้ ที่เราจะแต่งตั้งไว้เหนือเธอ ใครเป็นอย่างเราเล่า ใครจะนัดเราเล่า ผู้เลี้ยงแกะคนใดจะทนยืนอยู่ต่อหน้าเราได้
ยรม 50.44 ดูเถิด เขาจะขึ้นมาอย่างสิงโตจากคลื่นของลุ่มแม่น้ำจอร์แดนโจนเข้าใส่คอกของแกะที่แข็งแรง แต่เราจะกระทำให้เขาวิ่งหนีเธอไปอย่างฉับพลัน และใครเป็นผู้ที่เลือกสรรไว้ ที่เราจะแต่งตั้งไว้เหนือเธอ ใครเป็นอย่างเราเล่า ใครจะนัดเราเล่า ผู้เลี้ยงแกะคนใดจะทนยืนอยู่ต่อหน้าเราได้
ดนล 8.6 มันมาหาแกะผู้ที่มีเขาสองเขาซึ่งข้าพเจ้าเห็นยืนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำ มันวิ่งเข้าใส่แกะผู้ตัวนั้นด้วยเต็มกำลังความโกรธของมัน
ดนล 11.40 พอถึงเวลาวาระสุดท้ายกษัตริย์แห่งถิ่นใต้จะมาสู้กับเขา และกษัตริย์แห่งถิ่นเหนือจะพุ่งเข้าใส่ท่านอย่างลมหมุน พร้อมด้วยรถรบและพลม้าและเรือรบเป็นอันมาก เขาจะเข้ามาในประเทศต่างๆ แล้วไหลท่วมและผ่านไป
ศคย 7.11 แต่เขาปฏิเสธไม่ยอมฟังและหันบ่าดื้อเข้าใส่ และอุดหูของเขาเสียเพื่อเขาจะไม่ได้ยิน
กจ 7.54 เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกบาดใจ และขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเข้าใส่สเทเฟน

เข้าหา ( 29 )
ปฐก 38.16 ยูดาห์จึงได้เข้าไปพูดกับหญิงริมทางนั้นว่า “มาเถิด ให้เราเข้านอนด้วย” (เพราะไม่ทราบว่านางเป็นสะใภ้ของตน) นางจึงว่า “ท่านจะให้อะไรสำหรับการที่เข้าหาข้าพเจ้า”
อพย 25.20 ให้เครูบกางปีกออกไว้เบื้องบน ปกพระที่นั่งกรุณาไว้ด้วยปีก และให้หันหน้าเข้าหากัน ให้เครูบหันหน้ามาตรงพระที่นั่งกรุณา
อพย 37.9 ให้เครูบกางปีกออกเบื้องบน ปกพระที่นั่งกรุณาไว้ด้วยปีก และให้หันหน้าเข้าหากัน คือให้เครูบหันหน้ามาตรงพระที่นั่งกรุณา
ลนต 18.14 เจ้าอย่าเปิดกายที่เปลือยเปล่าของพี่ชายหรือน้องชายของบิดาเจ้า คือเจ้าอย่าเข้าหาภรรยาของเขา เพราะเธอเป็นป้าของเจ้า
กดว 2.2 “ให้คนอิสราเอลตั้งค่ายอยู่ตามธงของตนทุกคน ตามธงตราเรือนบรรพบุรุษของตน ให้ตั้งเต็นท์หันหน้าเข้าหาพลับพลาแห่งชุมนุมทุกด้าน
ยชว 19.13 จากที่นั่นพรมแดนผ่านไปทางตะวันออกถึงเมืองกัธเฮเฟอร์ และถึงเมืองเอทคาซิน เรื่อยไปจนถึงริมโมน พรมแดนก็โค้งเข้าหาเมืองเนอาห์
ยชว 24.23 ท่านจึงกล่าวว่า “เพราะฉะนั้น บัดนี้จงทิ้งพระอื่นซึ่งอยู่ในหมู่พวกท่านนั้นเสีย และโน้มจิตใจของท่านเข้าหาพระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอล”
นรธ 4.13 ดังนั้นโบอาสก็รับรูธมาเป็นภรรยาของท่าน และท่านก็เข้าหานางและพระเยโฮวาห์ประทานให้นางตั้งครรภ์คลอดบุตรชายคนหนึ่ง
1ซมอ 2.22 ฝ่ายเอลีชรามากแล้ว และท่านได้ยินถึงเรื่องราวทั้งสิ้นที่บุตรชายทั้งสองของท่านกระทำแก่คนอิสราเอล เช่นว่าเขาเข้าหาหญิงที่ปรนนิบัติอยู่ที่ทางเข้าพลับพลาแห่งชุมนุมด้วย
1ซมอ 14.32 และพวกพลก็วิ่งเข้าหาของที่ริบได้ เอาแกะและวัวและลูกวัวมาฆ่าเสีย ณ ที่นั้นเอง และพวกพลก็กินเนื้อพร้อมกับเลือด
1ซมอ 17.48 อยู่มาเมื่อคนฟีลิสเตียคนนั้นลุกขึ้นเข้ามาใกล้เพื่อปะทะดาวิด ดาวิดก็วิ่งเข้าหาแนวรบเพื่อปะทะกับคนฟีลิสเตียคนนั้นอย่างรวดเร็ว
2ซมอ 3.7 ฝ่ายซาอูลนั้นมีนางสนมคนหนึ่งชื่อริสปาห์บุตรสาวของอัยยาห์ และอิชโบเชทจึงตรัสกับอับเนอร์ว่า “เหตุใดท่านจึงเข้าหานางสนมของเสด็จพ่อของเรา”
2ซมอ 16.21 อาหิโธเฟลกราบทูลอับซาโลมว่า “จงเข้าหานางสนมของเสด็จพ่อของพระองค์ซึ่งเสด็จพ่อทิ้งไว้ให้เฝ้าพระราชวัง เมื่อคนอิสราเอลทั้งสิ้นได้ยินว่าพระองค์เป็นที่เกลียดชังของเสด็จพ่อแล้ว บรรดามือเหล่านั้นที่อยู่ฝ่ายพระองค์ก็จะเข้มแข็งขึ้น”
2ซมอ 16.22 เขาจึงกางเต็นท์ให้อับซาโลมไว้ที่บนดาดฟ้าหลังคา และอับซาโลมก็ทรงเข้าหานางสนมของพระราชบิดาของพระองค์ท่ามกลางสายตาของอิสราเอลทั้งสิ้น
1พกษ 13.4 และอยู่มาเมื่อกษัตริย์เยโรโบอัมทรงสดับคำกล่าวของคนของพระเจ้า ซึ่งร้องกล่าวโทษแท่นนั้นที่เบธเอล พระองค์ก็เหยียดพระหัตถ์ออกจากที่แท่น กล่าวว่า “จงจับเขาไว้” และพระหัตถ์ของพระองค์ซึ่งเหยียดออกต่อเขานั้นก็เหี่ยวแห้งไป พระองค์จะชักกลับเข้าหาตัวอีกก็ไม่ได้
1พกษ 13.6 และกษัตริย์ตรัสกับคนของพระเจ้าว่า “จงวิงวอนขอพระกรุณาแห่งพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ขอจงอธิษฐานเพื่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะชักมือกลับเข้าหาตัวได้อีก” และคนของพระเจ้าก็วิงวอนต่อพระเยโฮวาห์ และกษัตริย์ก็ทรงชักพระหัตถ์กลับเข้าหาพระองค์ได้อีกและเป็นเหมือนเดิม
1พศด 2.21 ภายหลังเฮสโรนได้เข้าหาบุตรสาวของมาคีร์บิดาของกิเลอาด และได้แต่งงานด้วยเมื่อท่านมีอายุหกสิบปี และนางได้กำเนิดบุตรให้ท่านชื่อ เสกุบ
สดด 125.5 แต่บรรดาผู้ที่หันเข้าหาทางคดของเขา พระเยโฮวาห์จะทรงพาเขาไปพร้อมกับคนทำความชั่วช้า แต่สันติภาพจะมีอยู่ในอิสราเอล
สภษ 2.2 กระทำหูของเจ้าให้ผึ่งเพื่อรับปัญญา และเอียงใจของเจ้าเข้าหาความเข้าใจ
สภษ 4.20 บุตรชายของเราเอ๋ย จงตั้งใจต่อถ้อยคำของเรา จงเอียงหูของเจ้าเข้าหาคำพูดของเรา
สภษ 6.29 บุคคลผู้เข้าหาภรรยาของเพื่อนบ้านก็เป็นอย่างนั้นแหละ ไม่มีผู้ใดที่แตะต้องนางแล้วจะไร้ความผิด
ยรม 50.16 จงตัดผู้หว่านเสียจากบาบิโลน และตัดผู้ที่ถือเคียวในฤดูเกี่ยว เหตุเพราะดาบของผู้บีบบังคับทุกคนจึงหันเข้าหาชนชาติของตน และทุกคนจะหนีไปยังแผ่นดินของตน
อสค 23.44 เพราะชายเหล่านั้นยังเข้าหาเธอ อย่างเดียวกับผู้ชายเข้าหาหญิงที่เป็นโสเภณี ดังนั้นเขาก็เข้าหาโอโฮลาห์กับโอโฮลีบาห์ซึ่งเป็นหญิงมีราคะ
อสค 40.17 แล้วท่านนำข้าพเจ้าออกมาที่ลานชั้นนอก และดูเถิด มีห้องหลายห้องและมีพื้นหินทำไว้รอบลาน มีห้องสามสิบห้องหันหน้าเข้าหาพื้นหิน
ฮชย 3.3 ข้าพเจ้าจึงพูดกับนางว่า “เธอต้องรอฉันให้หลายวันหน่อย อย่าเล่นชู้อีก อย่าไปเป็นของชายอื่นอีก ส่วนฉันก็จะไม่เข้าหาเธอด้วย”
อมส 2.7 ซึ่งกระหายหาฝุ่นละอองแห่งแผ่นดินโลกบนศีรษะของคนจน และผลักคนที่ถ่อมใจออกเสียจากหนทางของเขา บุตรชายและบิดาของเขาเข้าหาหญิงคนเดียวกัน เพื่อลบหลู่นามบริสุทธิ์ของเรา

เข้าหู ( 14 )
พบญ 5.1 โมเสสได้เรียกคนอิสราเอลทั้งหมดเข้ามาแล้วกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า “โอ คนอิสราเอลทั้งหลาย จงฟังกฎเกณฑ์และคำตัดสิน ซึ่งข้าพเจ้ากล่าวให้เข้าหูของท่านทั้งหลายในวันนี้ เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เรียนรู้ รักษาไว้และกระทำตาม
พบญ 31.30 โมเสสก็ได้กล่าวถ้อยคำในบทเพลงต่อไปนี้ให้เข้าหูประชุมชนอิสราเอลทั้งหมดจนจบ
วนฉ 7.3 เพราะฉะนั้นบัดนี้จงประกาศให้เข้าหูคนทั้งปวงว่า ‘ผู้ใดที่กลัวและสั่นเทิ้มอยู่ ก็ให้ผู้นั้นกลับเสีย และไปจากภูเขากิเลอาดโดยเร็ว’” และมีคนกลับไปสองหมื่นสองพันคน และยังเหลืออยู่หนึ่งหมื่นคน
วนฉ 9.2 “ขอบอกความนี้ให้เข้าหูบรรดาชาวเมืองเชเคมเถิดว่า ‘จะให้บุตรชายเยรุบบาอัลทั้งเจ็ดสิบคนครอบครองท่านทั้งหลายดี หรือจะให้ผู้เดียวปกครองดี’ ขอระลึกไว้ด้วยว่า ตัวข้าพเจ้านี้เป็นกระดูกและเนื้อเดียวกับท่านทั้งหลาย”
วนฉ 9.3 ฝ่ายญาติของมารดาของเขาก็กล่าวคำทั้งหมดเหล่านี้ให้เข้าหูบรรดาชาวเชเคม จิตใจของชาวเมืองก็เอนเอียงเข้าข้างอาบีเมเลค ด้วยเขากล่าวกันว่า “เขาเป็นญาติของเรา”
วนฉ 17.2 เขาพูดกับมารดาของเขาว่า “เงินหนึ่งพันหนึ่งร้อยแผ่น ซึ่งมีคนลักไปจากแม่และแม่ก็ได้สาปแช่ง และพูดเข้าหูฉันนั้น ดูเถิด เงินนั้นอยู่ที่ฉัน ฉันเอาไปเอง” มารดาของเขาจึงพูดว่า “ขอพระเยโฮวาห์ทรงอำนวยพระพรให้ลูกของแม่เถิด”
1ซมอ 11.4 เมื่อผู้สื่อสารมาถึงกิเบอาห์เมืองของซาอูล เขาทั้งหลายก็รายงานเรื่องราวให้เข้าหูของประชาชน และประชาชนทั้งปวงก็ร้องไห้เสียงดัง
1ซมอ 15.14 และซามูเอลกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นเสียงแกะที่ร้องเข้าหูข้าพเจ้ากับเสียงวัวที่ข้าพเจ้าได้ยินหมายความว่ากระไร”
2พกษ 19.28 เพราะเจ้าได้เกรี้ยวกราดต่อเรา และความจองหองของเจ้าได้มาเข้าหูของเรา ฉะนั้นเราจะเอาขอของเราเกี่ยวจมูกเจ้า และบังเหียนของเราใส่ริมฝีปากเจ้า และเราจะหันเจ้ากลับไปตามทางซึ่งเจ้ามานั้น
อสย 37.29 เพราะเจ้าได้เกรี้ยวกราดต่อเรา และความจองหองของเจ้าได้มาเข้าหูของเรา ฉะนั้น เราจะเอาขอของเราเกี่ยวจมูกเจ้า และบังเหียนของเราใส่ริมฝีปากเจ้า และเราจะหันเจ้ากลับไปตามทางซึ่งเจ้ามานั้น
ยรม 26.15 ขอแต่เพียงให้ทราบแน่ว่า ถ้าท่านประหารข้าพเจ้า ที่คนไร้ความผิดต้องตายนั้น ตัวท่านเองและเมืองนี้และชาวเมืองนี้ต้องรับผิดชอบ เพราะความจริงพระเยโฮวาห์ทรงใช้ให้ข้าพเจ้ามาพูดถ้อยคำเหล่านี้ทั้งสิ้นให้เข้าหูของท่าน”
อสค 9.1 แล้วพระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียงดังเข้าหูข้าพเจ้าว่า “เจ้าทั้งหลายผู้เป็นพนักงานทำโทษประจำเมือง จงเข้ามาใกล้ ให้ต่างคนถืออาวุธสำหรับทำลายมาด้วย”
ลก 1.44 เพราะดูเถิด พอเสียงปราศรัยของท่านเข้าหูข้าพเจ้า ทารกในครรภ์ของข้าพเจ้าก็ดิ้นด้วยความยินดี
ลก 9.44 “จงให้คำเหล่านี้เข้าหูของท่าน เพราะว่าบุตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในเงื้อมมือของคนทั้งหลาย”

เข้าออก ( 10 )
ปฐก 7.22 มนุษย์ทั้งปวงผู้ซึ่งมีลมปราณแห่งชีวิตเข้าออกทางจมูก สิ่งสารพัดที่อยู่บนบกตายสิ้น
กดว 27.17 ผู้ซึ่งจะเข้านอกออกในต่อหน้าเขา ผู้ซึ่งจะนำเขาเข้าออก เพื่อว่าชุมนุมชนของพระเยโฮวาห์จะมิได้เหมือนกับฝูงแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง”
ยชว 6.1 เพราะเหตุคนอิสราเอลเมืองเยรีโคต้องถูกปิดไว้ ไม่มีคนเข้าออกได้เลย
1ซมอ 18.13 ดังนั้นซาอูลจึงรับสั่งให้ย้ายดาวิดไปให้พ้นพระพักตร์ ตั้งเป็นผู้บังคับการกองพัน และเธอได้เข้าออกอยู่ต่อหน้าประชาชน
1ซมอ 18.16 แต่คนอิสราเอลและคนยูดาห์ทั้งสิ้นรักดาวิด เพราะเธอเข้าออกต่อหน้าเขาทั้งหลาย
2ซมอ 3.25 พระองค์ทรงทราบแล้วว่าอับเนอร์บุตรเนอร์มาเพื่อล่อลวงพระองค์ และเพื่อทราบถึงการเสด็จเข้าออกของพระองค์ และเพื่อทราบทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงกระทำ”
ปญจ 8.10 ข้าพเจ้าได้เห็นเขาฝังคนชั่วร้าย ผู้ซึ่งเคยเข้าออกที่สถานบริสุทธิ์ และมีคนลืมเขาในเมืองที่คนชั่วร้ายนั้นเองกระทำสิ่งเช่นนั้น นี่ก็อนิจจังด้วย
ศคย 8.10 เพราะว่าก่อนสมัยนั้นไม่มีค่าจ้างให้แก่คนหรือให้แก่สัตว์ ทั้งผู้ที่เข้าออกก็ไม่มีสันติภาพเพราะเหตุภัยพิบัตินั้น เพราะเราปล่อยให้คนทั้งหลายต่อสู้กับเพื่อนบ้านของตน
ยน 10.9 เราเป็นประตู ถ้าผู้ใดเข้าไปทางเรา ผู้นั้นจะรอด และเขาจะเข้าออก แล้วจะพบอาหาร
กจ 1.21 เหตุฉะนั้นในบรรดาชายเหล่านี้ที่เป็นพวกเดียวกับเราเสมอตลอดเวลาที่พระเยซูเจ้าได้เสด็จเข้าออกกับเรา

เขี่ย ( 4 )
มธ 7.4 หรือเหตุไฉนท่านจะกล่าวแก่พี่น้องของท่านว่า ‘ให้เราเขี่ยผงออกจากตาของท่าน’ แต่ดูเถิด ไม้ทั้งท่อนก็อยู่ในตาของท่านเอง
มธ 7.5 ท่านคนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน แล้วท่านจะเห็นได้ถนัด จึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้
ลก 6.42 เหตุไฉนท่านจึงจะพูดกับพี่น้องของท่านว่า ‘พี่น้องเอ๋ย ให้เราเขี่ยผงออกจากตาของเธอ’ แต่ที่จริงท่านเองยังไม่เห็นไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่าน ท่านคนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน แล้วท่านจะเห็นได้ถนัดจึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้

เขียน ( 301 )
อพย 17.14 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงเขียนข้อความต่อไปนี้ลงไว้ในหนังสือเพื่อเป็นที่ระลึก ทั้งเล่าให้โยชูวาฟังคือว่าเราจะลบล้างชื่อชนชาติอามาเลขไม่ให้ปรากฏในความทรงจำของพลไพร่ภายใต้ฟ้านี้เลย”
อพย 34.27 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “คำเหล่านี้จงเขียนไว้ เพราะเราทำพันธสัญญาไว้กับเจ้าและพวกอิสราเอลตามข้อความเหล่านี้แล้ว”
กดว 5.23 แล้วปุโรหิตจะเขียนคำสาปนี้ลงในหนังสือ และลบความนั้นออกเสียด้วยน้ำแห่งความขมขื่น
กดว 17.2 “จงพูดกับคนอิสราเอลและเอาไม้เท้ามาจากเขา เรือนบรรพบุรุษละอันจากประมุขทุกคนตามเรือนบรรพบุรุษ เป็นไม้เท้าสิบสองอัน เขียนชื่อชายเจ้าของไม้ไว้บนไม้เท้าทุกอัน
กดว 17.3 เขียนชื่อของอาโรนไว้บนไม้เท้าของคนเลวี เพราะจะมีไม้เท้าอันเดียวสำหรับหัวหน้าเรือนบรรพบุรุษหนึ่ง
พบญ 6.9 และเขียนไว้ที่เสาประตูเรือน และที่ประตูของท่าน
พบญ 11.20 ท่านจงเขียนคำเหล่านี้ไว้ที่เสาประตูเรือน และที่ประตูของท่าน
พบญ 28.58 ถ้าท่านทั้งหลายไม่ระวังที่จะกระทำตามถ้อยคำทั้งสิ้นของพระราชบัญญัติซึ่งเขียนไว้ในหนังสือม้วนนี้ ที่จะให้ยำเกรงพระนามที่ทรงสง่าราศีและที่น่าสะพรึงกลัวนี้ คือพระนามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน
พบญ 29.20 พระเยโฮวาห์จะมิได้ทรงให้อภัยแก่คนนั้น แต่พระพิโรธของพระเยโฮวาห์และความหวงแหนของพระองค์จะพลุ่งขึ้นต่อชายคนนั้น และคำสาปแช่งทั้งสิ้นซึ่งเขียนไว้ในหนังสือม้วนนี้จะตกอยู่เหนือเขา และพระเยโฮวาห์จะทรงลบชื่อของเขาเสียจากใต้ฟ้า
พบญ 31.9 โมเสสได้เขียนพระราชบัญญัตินี้ และมอบให้แก่ปุโรหิตลูกหลานของเลวี ผู้ซึ่งหามหีบพันธสัญญาของพระเยโฮวาห์ และแก่พวกผู้ใหญ่ทั้งปวงของคนอิสราเอล
พบญ 31.19 เพราะฉะนั้นบัดนี้เจ้าทั้งสองจงเขียนบทเพลงนี้ และสอนคนอิสราเอลให้ร้องจนติดปาก เพื่อบทเพลงนี้จะเป็นพยานของเราปรักปรำคนอิสราเอล
พบญ 31.22 โมเสสจึงได้เขียนบทเพลงนี้ในวันเดียวกันนั้น และสอนให้แก่ประชาชนอิสราเอล
พบญ 31.24 ต่อมาเมื่อโมเสสเขียนถ้อยคำของพระราชบัญญัตินี้ลงในหนังสือจนจบแล้ว
ยชว 1.8 อย่าให้หนังสือพระราชบัญญัตินี้ห่างเหินไปจากปากของเจ้า แต่เจ้าจงตรึกตรองตามนั้นทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อเจ้าจะได้ระวังที่จะกระทำตามข้อความที่เขียนไว้นั้นทุกประการ แล้วเจ้าจะมีความจำเริญ และเจ้าจะสำเร็จผลเป็นอย่างดี
ยชว 8.32 ณ ที่นั้นท่านคัดลอกพระราชบัญญัติของโมเสสบนหิน ซึ่งท่านได้เขียนไว้ต่อหน้าประชาชนอิสราเอล
ยชว 18.4 จงเลือกคนตระกูลละสามคน แล้วข้าพเจ้าจะใช้คนเหล่านั้นไปท่องเที่ยวขึ้นล่องอยู่ที่แผ่นดินนั้น ให้เขียนแนวเขตที่ดินที่จะมอบเป็นมรดก และกลับมาหาข้าพเจ้า
ยชว 18.6 ให้ท่านทั้งหลายเขียนแนวเขตที่ดินเป็นเจ็ดส่วน แล้วนำแนวเขตที่ดินนั้นมาให้ข้าพเจ้าที่นี่ และข้าพเจ้าจะจับสลากให้ท่านที่นี่ ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา
ยชว 18.8 ฝ่ายคนเหล่านั้นก็ขึ้นออกไปเดินทาง และโยชูวากำชับพวกที่จะเขียนแนวเขตที่ดินว่า “จงเที่ยวขึ้นเที่ยวล่องในแผ่นดิน และเขียนแนวเขตที่ดินนั้นแล้วกลับมาหาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะจับสลากให้ท่านต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ที่ชีโลห์”
ยชว 18.9 ดังนั้นคนเหล่านั้นก็ท่องเที่ยวไปมาที่แผ่นดิน แล้วเขียนเป็นหนังสือแนวเขตเมืองต่างๆแบ่งเป็นเจ็ดส่วนแล้วกลับมาหาโยชูวา ณ ค่ายที่ชีโลห์
ยชว 23.6 เพราะฉะนั้นจงมีความกล้าในการที่จะรักษาและกระทำตามสิ่งสารพัดซึ่งเขียนไว้ในหนังสือพระราชบัญญัติของโมเสส เพื่อจะไม่ได้หันไปทางขวามือหรือทางซ้ายมือ
วนฉ 8.14 จับชายหนุ่มชาวเมืองสุคคทได้คนหนึ่ง จึงซักถามเขา ชายคนนี้ก็เขียนชื่อเจ้านายและพวกผู้ใหญ่ของเมืองสุคคทให้ รวมเจ็ดสิบเจ็ดคนด้วยกัน
2พกษ 9.30 เมื่อเยฮูมาถึงเมืองยิสเรเอล เยเซเบลทรงได้ยินเรื่องนั้น พระนางก็ทรงเขียนตาและแต่งพระเศียรและทรงมองออกไปทางพระแกล
2พกษ 22.13 “จงไปทูลถามพระเยโฮวาห์ให้เรา ให้ประชาชนและให้ยูดาห์ทั้งหมดเกี่ยวกับถ้อยคำในหนังสือนี้ที่ได้พบ เพราะว่า พระพิโรธของพระเยโฮวาห์ซึ่งพลุ่งขึ้นต่อเราทั้งหลายนั้นใหญ่หลวงนัก เพราะว่าบรรพบุรุษของเรามิได้เชื่อฟังถ้อยคำของหนังสือนี้ กระทำทุกสิ่งซึ่งเขียนไว้เกี่ยวกับเราทั้งหลาย”
2พกษ 23.3 และกษัตริย์ทรงประทับยืนข้างเสา และทรงกระทำพันธสัญญาต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ว่า จะดำเนินตามพระเยโฮวาห์ และรักษาพระบัญญัติ พระโอวาทและกฎเกณฑ์ของพระองค์ด้วยสุดพระจิตสุดพระทัยของพระองค์ จะปฏิบัติตามถ้อยคำของพันธสัญญานี้ ซึ่งเขียนไว้ในหนังสือนี้ และประชาชนทั้งปวงก็เข้าส่วนในพันธสัญญานั้น
2พกษ 23.21 และกษัตริย์ทรงบัญชาประชาชนทั้งปวงว่า “จงถือเทศกาลปัสกาถวายแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ดังที่เขียนไว้ในหนังสือพันธสัญญานี้”
2พกษ 23.24 ยิ่งกว่านั้นอีกโยสิยาห์ได้กำจัดคนทรง และแม่มด และเทราฟิม และรูปเคารพ และบรรดาสิ่งน่าสะอิดสะเอียนซึ่งเห็นกันอยู่ในแผ่นดินยูดาห์และในกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อพระองค์จะทรงสถาปนาถ้อยคำแห่งพระราชบัญญัติซึ่งเขียนอยู่ในหนังสือที่ฮิลคียาห์ปุโรหิตได้พบในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์
2พศด 34.21 “จงไปทูลถามพระเยโฮวาห์ให้แก่เรา และให้แก่บรรดาผู้ที่เหลืออยู่ในอิสราเอลและในยูดาห์ เกี่ยวกับถ้อยคำในหนังสือซึ่งได้พบนั้น เพราะว่าพระพิโรธของพระเยโฮวาห์ซึ่งเทลงเหนือเรานั้นใหญ่ยิ่งนัก เพราะว่าบรรพบุรุษของเราไม่ได้รักษาพระวจนะของพระเยโฮวาห์ ตามซึ่งเขียนไว้ในหนังสือนี้ทุกประการ”
อสร 4.6 และในรัชกาลอาหสุเอรัส ต้นรัชกาลของพระองค์ เขาทั้งหลายได้เขียนฟ้องชาวยูดาห์และเยรูซาเล็ม
อสร 4.7 และในรัชสมัยของอารทาเซอร์ซีสนั้น บิชลาม มิทเรดาท และทาเบเอล และพวกภาคีทั้งปวงของเขาได้เขียนไปทูลอารทาเซอร์ซีสกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย ฎีกานั้นได้เขียนขึ้นเป็นอักขระอารัมแล้วก็แปลเป็นภาษาอารัม
อสร 4.8 เรฮูมผู้บังคับบัญชา และชิมชัยอาลักษณ์ได้เขียนหนังสือปรักปรำเยรูซาเล็มถวายกษัตริย์อารทาเซอร์ซีสดังต่อไปนี้
อสร 5.10 ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ถามชื่อของเขาด้วย เพื่อกราบทูลให้พระองค์ทรงทราบ เพื่อข้าพระองค์จะได้เขียนชื่อบุคคลเหล่านั้นที่เป็นหัวหน้าของเขาลงไว้
อสร 6.2 และได้มีการพบหนังสือม้วนหนึ่งที่อาคเมตาห์ในพระราชวังซึ่งอยู่ในมณฑลมีเดีย และมีข้อความเขียนอยู่ในหนังสือม้วนนั้นดังต่อไปนี้
นหม 6.6 ในนั้นมีเขียนไว้ว่า “เขากล่าวกันในท่ามกลางประชาชาติทั้งหลาย และเกเชมก็กล่าวด้วยว่า ท่านและพวกยิวเจตนาจะกบฏ เหตุนั้นแหละท่านจึงสร้างกำแพง และท่านปรารถนาจะเป็นกษัตริย์ของพวกเขา ตามถ้อยคำนี้
นหม 7.5 แล้วพระเจ้าทรงดลใจข้าพเจ้าให้เรียกชุมนุมพวกขุนนาง และเจ้าหน้าที่และประชาชนเพื่อจะขึ้นทะเบียนสำมะโนครัวเชื้อสาย ข้าพเจ้าพบหนังสือสำมะโนครัวเชื้อสายของคนที่ขึ้นมาครั้งก่อน ข้าพเจ้าเห็นเขียนไว้ว่า
นหม 8.14 และเขาเห็นเขียนไว้ในพระราชบัญญัติว่า พระเยโฮวาห์ได้ทรงบัญชาโดยทางโมเสสว่า ประชาชนอิสราเอลควรจะอยู่เพิงระหว่างเทศกาลเลี้ยงในเดือนที่เจ็ด
นหม 8.15 และเขาควรจะประกาศและป่าวร้องในหัวเมืองทั้งปวง และในเยรูซาเล็มว่า “จงออกไปที่ภูเขา และนำกิ่งมะกอกเทศ กิ่งไม้สน กิ่งต้นน้ำมันเขียว ใบอินทผลัม และกิ่งไม้ใบดกอื่นๆ เพื่อทำเพิง ดังที่ได้เขียนไว้”
นหม 13.1 ในวันนั้น เขาอ่านหนังสือของโมเสสให้ประชาชนฟัง และเขาพบที่มีเขียนไว้ว่า ไม่ควรให้คนอัมโมนหรือคนโมอับเข้าไปในที่ชุมนุมของพระเจ้าเป็นนิตย์
อสธ 3.12 แล้วทรงเรียกราชอาลักษณ์เข้ามาในวันที่สิบสามเดือนต้น ให้เขียนกฤษฎีกาตามที่ฮามานบัญชาไว้ทุกประการ ส่งไปยังสมุหเทศาภิบาลของกษัตริย์และของเจ้าเมืองมณฑลทั้งปวงและถึงเจ้านายแห่งชนชาติทั้งปวง ถึงทุกมณฑลเป็นอักขระของมณฑลนั้น และถึงชนทุกชาติเป็นภาษาของเขา เขียนในพระนามของกษัตริย์อาหสุเอรัส และประทับตราด้วยพระธำมรงค์ของกษัตริย์
อสธ 4.8 โมรเดคัยยังได้ให้สำเนากฤษฎีกาเขียนที่ออกในสุสาสั่งให้ทำลายเขาทั้งหลายเพื่อนำไปแสดงแก่พระนางเอสเธอร์ อธิบายเรื่องให้พระนาง และกำชับให้พระนางเข้าเฝ้ากษัตริย์ เพื่อทูลอ้อนวอนพระองค์ และวิงวอนพระองค์เพื่อเห็นแก่ชนชาติของพระนาง
อสธ 6.2 พระองค์ทรงเห็นเขียนไว้ว่า โมรเดคัยได้ทูลเรื่องบิกธานาและเทเรชอย่างไร คือเรื่องขันทีสองคนของกษัตริย์ผู้เฝ้าธรณีประตู หาช่องจะปลงพระชนม์กษัตริย์อาหสุเอรัส
อสธ 8.5 พระนางทูลว่า “ถ้าเป็นที่พอพระทัยกษัตริย์ และถ้าหม่อมฉันเป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระองค์ ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องต่อพระพักตร์กษัตริย์ และหม่อมฉันเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ขอทรงให้มีพระอักษรรับสั่งให้กลับความในจดหมายซึ่งฮามาน คนอากัก บุตรชายฮัมเมดาธาได้คิดขึ้น และเขียนเพื่อทำลายพวกยิวที่อยู่ในมณฑลทั้งสิ้นของกษัตริย์
อสธ 8.8 ท่านจะเขียนตามที่ท่านพอใจเกี่ยวกับเรื่องยิวในนามของกษัตริย์ และประทับตราด้วยพระธำมรงค์ เพราะว่ากฤษฎีกาที่เขียนในนามของกษัตริย์และประทับตราด้วยพระธำมรงค์จะเปลี่ยนกลับไม่ได้”
อสธ 8.9 แล้วพระองค์ทรงเรียกราชอาลักษณ์เข้ามาในเวลานั้นในเดือนที่สามซึ่งเป็นเดือนสิวัน ณ วันที่ยี่สิบสาม และให้เขียนกฤษฎีกาตามที่โมรเดคัยบัญชาทุกอย่างเกี่ยวกับพวกยิว ถึงบรรดาสมุหเทศาภิบาล และผู้ว่าราชการ และเจ้าหน้าที่ของมณฑล ตั้งแต่อินเดียถึงเอธิโอเปีย ร้อยยี่สิบเจ็ดมณฑล ไปถึงทุกมณฑลเป็นอักขระของมณฑลนั้น และถึงชนทุกชาติเป็นภาษาของเขา และถึงพวกยิวเป็นอักขระและในภาษาของเขา
อสธ 8.10 และท่านเขียนในพระนามของกษัตริย์อาหสุเอรัสและประทับตราพระธำมรงค์ของกษัตริย์ และส่งจดหมายนั้นไปทางผู้เดินข่าวขึ้นม้าเร็ว และผู้ขี่ล่อ อูฐและม้าอาชาไนยหนุ่ม
อสธ 8.13 สำเนาของหนังสือที่เขียนนั้นจะต้องเป็นกฤษฎีกาในทุกมณฑล และออกโดยการป่าวร้องแก่ชนชาติทั้งปวง พวกยิวจะต้องพร้อมกันในวันนั้นแก้แค้นศัตรูของตน
อสธ 9.23 พวกยิวจึงตกลงกระทำตามที่เขาตั้งต้นแล้ว และตามที่โมรเดคัยเขียนไปถึงเขา
อสธ 9.26 เพราะฉะนั้นเขาจึงเรียกวันเหล่านี้ว่า เปอร์ริม ตามคำเปอร์ ดังนั้น เพราะทุกอย่างที่เขียนไว้ในจดหมายนี้ และเพราะสิ่งที่พวกยิวต้องเผชิญในเรื่องนี้ และสิ่งที่อุบัติแก่เขา
อสธ 9.27 พวกยิวก็กำหนดและรับว่าตัวเขาเอง เชื้อสายของเขา และบรรดาผู้ที่เข้าจารีตยิวจะถือสองวันนี้ดังที่เขียนไว้ และตามเวลาที่กำหนดไว้ทุกปีมิได้ขาด
อสธ 9.29 แล้วพระราชินีเอสเธอร์ ธิดาของอาบีฮาอิล กับโมรเดคัยคนยิว ก็เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรรับรองจดหมายฉบับที่สองนี้เรื่องเทศกาลเปอร์ริม
โยบ 31.35 โอ ข้าอยากให้สักคนหนึ่งฟังข้า ดูเถิด ความปรารถนาของข้าคือ ขอองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตอบข้า ข้าอยากได้คำสำนวนฟ้องข้าซึ่งคู่ความเขียนขึ้น
สดด 40.7 แล้วข้าพระองค์ทูลว่า “ดูเถิด ข้าพระองค์มาแล้ว พระเจ้าข้า ในหนังสือม้วนก็มีเขียนเรื่องข้าพระองค์
สภษ 3.3 อย่าให้ความเมตตาและความจริงทอดทิ้งเจ้า จงผูกมันไว้ที่คอของเจ้า จงเขียนมันไว้ที่แผ่นจารึกแห่งหัวใจของเจ้า
สภษ 7.3 มัดมันไว้ที่นิ้วมือของเจ้า เขียนมันไว้บนแผ่นจารึกแห่งใจของเจ้า
สภษ 22.20 เราได้เขียนให้เจ้าถึงสิ่งวิเศษนัก ถึงเรื่องการปรึกษาและความรู้แล้วมิใช่หรือ
ปญจ 12.10 ปัญญาจารย์เสาะหาถ้อยคำที่เพราะหู และท่านเขียนถ้อยคำแห่งความจริงไว้อย่างเที่ยงตรง
อสย 8.1 แล้วพระเยโฮวาห์ตรัสกับข้าพเจ้าอีกว่า “จงเอาแผ่นจารึกใหญ่มาแผ่นหนึ่ง และจงเขียนด้วยปากกาของมนุษย์เรื่อง ‘มาเฮอร์ชาลาลหัชบัส’”
อสย 10.1 วิบัติแก่คนเหล่านั้นที่ออกกฎหมายอธรรม และแก่ผู้เขียนที่เขียนแต่การบีบคั้นเรื่อยไป
อสย 10.19 ต้นไม้แห่งป่าของเขาจะเหลือน้อยเต็มที จนเด็กๆจะเขียนลงได้
อสย 30.8 บัดนี้ ไปเถอะ เขียนลงไว้บนแผ่นจารึกต่อหน้าเขา และจดไว้ในหนังสือเพื่อในเวลาที่จะมาถึง จะเป็นสักขีพยานเป็นนิตย์
อสย 44.5 ผู้นี้จะว่า ‘ข้าเป็นของพระเยโฮวาห์’ และอีกผู้หนึ่งจะเรียกชื่อตนเองด้วยนามของยาโคบ และอีกผู้หนึ่งจะเขียนไว้บนมือของตนว่า ‘ของพระเยโฮวาห์’ และขนานนามสกุลของตนด้วยนามของอิสราเอล”
อสย 65.6 ดูเถิด มีเขียนไว้ต่อหน้าเราว่า ‘เราจะไม่นิ่งเฉย แต่เราจะตอบสนอง เออ เราจะตอบสนองไว้ในอกของเขา
ยรม 22.30 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “จงเขียนลงว่าชายคนนี้ไม่มีบุตร เป็นชายซึ่งไม่เจริญขึ้นในชั่วชีวิตของเขา เพราะไม่มีคนแห่งเชื้อสายของเขาสักคนหนึ่งที่จะเจริญขึ้น ในการประทับบนพระที่นั่งของดาวิด และปกครองในยูดาห์อีก”
ยรม 25.13 เราจะนำถ้อยคำทั้งสิ้นให้สำเร็จที่แผ่นดินนั้น คือถ้อยคำที่เราได้กล่าวสู้เมืองนั้น คือทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือนี้ ซึ่งเยเรมีย์ได้พยากรณ์แก่บรรดาประชาชาติทั้งสิ้น
ยรม 29.31 “จงเขียนไปถึงบรรดาผู้เป็นเชลยทั้งปวงว่า ‘พระเยโฮวาห์ตรัสเกี่ยวกับเชไมอาห์ชาวเนเฮลามว่า เพราะว่าเชไมอาห์ได้พยากรณ์แก่เจ้าเมื่อเรามิได้ใช้เขา และได้กระทำให้เจ้าวางใจในคำเท็จ
ยรม 30.2 “พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า จงเขียนถ้อยคำทั้งสิ้นที่เราได้บอกแก่เจ้าไว้ในหนังสือม้วนหนึ่ง
ยรม 36.2 “เจ้าจงเอาหนังสือม้วนม้วนหนึ่ง และเขียนถ้อยคำนี้ทั้งสิ้นลงไว้ เป็นคำที่เราได้พูดกับเจ้าปรักปรำอิสราเอลและยูดาห์ และบรรดาประชาชาติทั้งสิ้น ตั้งแต่วันที่เราได้พูดกับเจ้า ตั้งแต่รัชกาลโยสิยาห์จนถึงวันนี้
ยรม 36.4 แล้วเยเรมีย์จึงเรียกบารุคบุตรชายเนริยาห์ให้บารุคเขียนพระวจนะทั้งสิ้นของพระเยโฮวาห์ซึ่งพระองค์ตรัสแก่เยเรมีย์ ตามคำบอกของท่านไว้ในหนังสือม้วน
ยรม 36.6 ฉะนั้นเจ้าต้องไป และในวันถืออดอาหาร เจ้าจงอ่านพระวจนะของพระเยโฮวาห์จากหนังสือม้วน ซึ่งเจ้าเขียนไว้ตามคำบอกของเราให้ประชาชนทั้งสิ้นในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ได้ยิน เจ้าจงอ่านให้คนทั้งปวงแห่งยูดาห์ ผู้ออกมาจากหัวเมืองของเขาให้เขาได้ยินด้วย
ยรม 36.17 แล้วเขาทั้งหลายจึงถามบารุคว่า “จงบอกเราว่า เจ้าเขียนถ้อยคำเหล่านี้ทั้งสิ้นอย่างไร เขียนตามคำบอกของเขาหรือ”
ยรม 36.18 บารุคตอบเขาทั้งหลายว่า “ท่านได้บอกถ้อยคำเหล่านี้ทั้งสิ้นแก่ข้าพเจ้า ฝ่ายข้าพเจ้าก็เขียนมันไว้ด้วยหมึกในหนังสือม้วน”
ยรม 36.27 หลังจากที่กษัตริย์ทรงเผาหนังสือม้วนอันมีถ้อยคำซึ่งบารุคเขียนตามคำบอกของเยเรมีย์แล้ว พระวจนะของพระเยโฮวาห์มายังเยเรมีย์ว่า
ยรม 36.28 “จงเอาหนังสือม้วนอีกม้วนหนึ่งและจงเขียนถ้อยคำแรกซึ่งอยู่ในหนังสือม้วนก่อนลงไว้ทั้งหมด คือซึ่งเยโฮยาคิมกษัตริย์แห่งยูดาห์ทรงเผาเสียนั้น
ยรม 36.29 และเกี่ยวกับเรื่องเยโฮยาคิมกษัตริย์ยูดาห์นั้นเจ้าจงกล่าวดังนี้ว่า ‘พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า ท่านได้เผาหนังสือม้วนนี้เสียและกล่าวว่า ทำไมเจ้าจึงได้เขียนไว้ในนั้นว่า “กษัตริย์บาบิโลนจะมาทำลายแผ่นดินนี้เป็นแน่ และจะตัดมนุษย์และสัตว์ออกเสียจากแผ่นดินนั้น”
ยรม 45.1 ถ้อยคำซึ่งเยเรมีย์ผู้พยากรณ์บอกแก่บารุคบุตรชายเนริยาห์เมื่อเขาเขียนถ้อยคำเหล่านี้ลงในหนังสือตามคำบอกของเยเรมีย์ ในปีที่สี่แห่งรัชกาลเยโฮยาคิม ราชบุตรของโยสิยาห์ กษัตริย์แห่งยูดาห์ว่า
ยรม 51.60 เยเรมีย์ได้เขียนบรรดาความร้ายทั้งสิ้นซึ่งจะมาถึงบาบิโลนนั้นไว้ในหนังสือ บรรดาถ้อยคำเหล่านี้เป็นคำที่เขียนไว้เกี่ยวด้วยเรื่องบาบิโลน
อสค 2.10 พระองค์ทรงคลี่หนังสือม้วนนั้นออกต่อหน้าข้าพเจ้า และมีตัวหนังสือเขียนอยู่ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง มีบทคร่ำครวญ คำไว้ทุกข์และคำวิบัติเขียนอยู่บนนั้น
อสค 23.14 แต่เธอยังเล่นชู้ยิ่งขึ้น เมื่อเธอเห็นรูปคนอยู่บนผนัง เป็นรูปคนเคลเดียเขียนด้วยสีแดงเข้ม
อสค 24.2 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงเขียนชื่อของวันนี้ไว้ วันนี้ทีเดียว กษัตริย์บาบิโลนล้อมเยรูซาเล็มในวันนี้เอง
อสค 37.16 “เจ้า บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงเอาไม้มาอันหนึ่งเขียนลงว่า ‘สำหรับยูดาห์ และสำหรับชนอิสราเอลที่สังคมกับยูดาห์’ จงเอาไม้มาอีกอันหนึ่งเขียนลงว่า ‘สำหรับโยเซฟ ไม้ของเอฟราอิม และวงศ์วานอิสราเอลทั้งสิ้นที่สังคมกับโยเซฟ’
อสค 37.20 และไม้ซึ่งเจ้าเขียนไว้นั้นจะอยู่ในมือของเจ้าต่อหน้าต่อตาเขา
อสค 43.11 และถ้าเขาละอายในสิ่งทั้งหลายที่เขากระทำมาแล้ว จงสำแดงภาพแผนผังทางออกทางเข้า และลักษณะทั้งสิ้นของพระนิเวศนั้น และจงให้เขาทราบถึงกฎเกณฑ์ ลักษณะและกฎทั้งสิ้นของพระนิเวศ จงเขียนลงไว้ท่ามกลางสายตาของเขา เพื่อเขาจะได้รักษาลักษณะและกฎเกณฑ์ทั้งสิ้นของพระนิเวศ และกระทำตาม
ดนล 5.5 ในทันใดนั้น นิ้วมือคนได้ปรากฏขึ้น และเขียนลงที่ผนังของพระราชวังของกษัตริย์ตรงข้ามกับคันประทีป และกษัตริย์ก็ทอดพระเนตรมือที่เขียนนั้น
ฮชย 8.12 ถึงเราได้เขียนราชบัญญัติไว้ให้สักหมื่นข้อ เขาก็ถือว่าเป็นเพียงของแปลก
ฮบก 2.2 และพระเยโฮวาห์ตรัสตอบข้าพเจ้าว่า “จงเขียนนิมิตนั้นลงไป จงเขียนไว้บนแผ่นป้ายให้กระจ่าง เพื่อให้คนที่วิ่งอ่านได้คล่อง
มธ 2.5 เขาทูลท่านว่า “ที่บ้านเบธเลเฮมแคว้นยูเดีย เพราะว่าศาสดาพยากรณ์ได้เขียนไว้ดังนี้ว่า
มธ 4.4 ฝ่ายพระองค์ตรัสตอบว่า “มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า’”
มธ 4.6 แล้วทูลพระองค์ว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงโจนลงไปเถิด เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า ‘พระองค์จะรับสั่งให้เหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ในเรื่องท่าน และเหล่าทูตสวรรค์จะเอามือประคองชูท่านไว้ เกรงว่าในเวลาหนึ่งเวลาใดเท้าของท่านจะกระแทกหิน’”
มธ 4.7 พระเยซูจึงตรัสตอบมันว่า “พระคัมภีร์มีเขียนไว้อีกว่า ‘อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน’”
มธ 4.10 พระเยซูจึงตรัสตอบมันว่า “อ้ายซาตาน จงไปเสียให้พ้น เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า ‘จงนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว’”
มธ 11.10 คือผู้นั้นเองที่พระคัมภีร์ได้เขียนถึงว่า ‘ดูเถิด เราใช้ทูตของเราไปข้างหน้าท่าน ผู้นั้นจะเตรียมทางของท่านไว้ข้างหน้าท่าน’
มธ 21.13 และตรัสกับเขาว่า “มีพระวจนะเขียนไว้ว่า ‘นิเวศของเราเขาจะเรียกว่าเป็นนิเวศอธิษฐาน’ แต่เจ้าทั้งหลายมากระทำให้เป็น ‘ถ้ำของพวกโจร’”
มธ 26.24 บุตรมนุษย์จะเสด็จไปตามที่ได้เขียนไว้ว่าด้วยพระองค์นั้น แต่วิบัติแก่ผู้ที่ทรยศบุตรมนุษย์ ถ้าคนนั้นมิได้บังเกิดมาก็จะเป็นการดีต่อคนนั้นเอง”
มธ 26.31 ครั้งนั้นพระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกว่า “ในคืนวันนี้ท่านทุกคนจะสะดุดเพราะเรา ด้วยมีคำเขียนไว้ว่า ‘เราจะตีผู้เลี้ยงแกะ และแกะฝูงนั้นจะกระจัดกระจายไป’
มธ 26.56 แต่เหตุการณ์ทั้งสิ้นที่ได้บังเกิดขึ้นนี้ ก็เพื่อจะสำเร็จตามพระคัมภีร์ที่พวกศาสดาพยากรณ์ได้เขียนไว้” แล้วสาวกทั้งหมดก็ได้ละทิ้งพระองค์ไว้และพากันหนีไป
มก 1.2 ตามที่ได้เขียนไว้ในคำของศาสดาพยากรณ์ว่า ‘ดูเถิด เราใช้ทูตของเราไปข้างหน้าท่าน ผู้นั้นจะเตรียมมรรคาของท่านไว้ข้างหน้าท่าน
มก 7.6 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “อิสยาห์ได้พยากรณ์ถึงพวกเจ้าคนหน้าซื่อใจคดก็ถูก ตามที่ได้เขียนไว้ว่า ‘ประชาชนนี้ให้เกียรติเราด้วยริมฝีปากของเขา แต่ใจของเขาห่างไกลจากเรา
มก 9.12 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “เอลียาห์ต้องมาก่อนจริง และทำให้สิ่งทั้งปวงคืนสู่สภาพเดิม อนึ่งมีคำเขียนไว้อย่างไรถึงบุตรมนุษย์ว่า พระองค์จะต้องทนทุกข์เวทนาหลายประการ และคนจะดูหมิ่นละทิ้งพระองค์เสีย
มก 9.13 แต่เราบอกแก่ท่านทั้งหลายว่า เอลียาห์นั้นได้มาแล้ว และซึ่งเขาใคร่จะทำแก่ท่านอย่างไร เขาก็ได้กระทำแล้ว ตามที่มีคำเขียนกล่าวไว้ถึงท่าน”
มก 10.5 พระเยซูจึงตรัสตอบเขาว่า “โมเสสได้เขียนข้อบังคับนั้นเพราะเหตุใจพวกเจ้าแข็งกระด้าง
มก 11.17 พระองค์ตรัสสอนเขาว่า “มีพระวจนะเขียนไว้มิใช่หรือว่า ‘นิเวศของเราประชาชาติทั้งหลายจะเรียกว่า เป็นนิเวศอธิษฐาน’ แต่เจ้าทั้งหลายได้กระทำให้เป็น ‘ถ้ำของพวกโจร’”
มก 12.19 “อาจารย์เจ้าข้า โมเสสได้เขียนสั่งข้าพเจ้าทั้งหลายไว้ว่า ‘ถ้าชายผู้ใดตายและภรรยายังอยู่ แต่ไม่มีบุตร ก็ให้น้องชายรับพี่สะใภ้นั้นไว้เป็นภรรยาของตน เพื่อสืบเชื้อสายของพี่ชายไว้’
มก 14.21 เพราะบุตรมนุษย์จะเสด็จไปตามที่ได้มีคำเขียนไว้ถึงพระองค์นั้นจริง แต่วิบัติแก่ผู้ที่ทรยศบุตรมนุษย์ ถ้าคนนั้นมิได้บังเกิดมาก็จะเป็นการดีต่อคนนั้นเอง”
มก 14.27 พระเยซูจึงตรัสกับเหล่าสาวกว่า “ท่านทั้งหลายจะสะดุดใจเพราะเราในคืนนี้เอง ด้วยมีคำเขียนไว้ว่า ‘เราจะตีผู้เลี้ยงแกะ และแกะฝูงนั้นจะกระจัดกระจายไป’
มก 15.26 มีข้อหาที่ลงโทษพระองค์เขียนไว้ข้างบนว่า “กษัตริย์ของพวกยิว”
มก 15.28 คำซึ่งเขียนไว้ในพระคัมภีร์แล้วนั้นจึงสำเร็จ คือที่ว่า ‘ท่านถูกนับเข้ากับบรรดาผู้ละเมิด’
ลก 1.63 บิดาจึงขอกระดานชนวนมาเขียนว่า “ชื่อของบุตรคือยอห์น” คนทั้งหลายก็ประหลาดใจนัก
ลก 2.23 (ตามที่เขียนไว้แล้วในพระราชบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “บุตรชายทุกคนที่เบิกครรภ์ครั้งแรก จะได้เรียกว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า”)
ลก 3.4 ตามที่มีเขียนไว้แล้วในหนังสือถ้อยคำของอิสยาห์ศาสดาพยากรณ์ว่า “เสียงผู้ร้องในถิ่นทุรกันดารว่า ‘จงเตรียมมรรคาแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า จงกระทำหนทางของพระองค์ให้ตรงไป
ลก 4.4 ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบมารว่า “มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวก็หามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำของพระเจ้า’”
ลก 4.8 ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบมารว่า “อ้ายซาตาน จงถอยไปข้างหลังเรา เพราะมีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘จงนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว’”
ลก 4.10 เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า ‘พระองค์จะรับสั่งเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ในเรื่องท่าน ให้ป้องกันรักษาท่านไว้’
ลก 4.17 เขาจึงส่งพระคัมภีร์อิสยาห์ศาสดาพยากรณ์ให้แก่พระองค์ เมื่อพระองค์ทรงคลี่หนังสือนั้นออก ก็ค้นพบข้อที่เขียนไว้ว่า
ลก 7.27 คือผู้นั้นเองที่พระคัมภีร์ได้เขียนถึงว่า ‘ดูเถิด เราใช้ทูตของเราไปข้างหน้าท่าน ผู้นั้นจะเตรียมมรรคาของท่านไว้ข้างหน้าท่าน’
ลก 10.26 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “ในพระราชบัญญัติมีคำเขียนว่าอย่างไร ท่านได้อ่านเข้าใจอย่างไร”
ลก 18.31 พระองค์ทรงพาสาวกสิบสองคนไปกับพระองค์แล้วตรัสกับเขาว่า “ดูเถิด เราทั้งหลายจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และสิ่งสารพัดซึ่งเหล่าศาสดาพยากรณ์ได้เขียนไว้ว่าด้วยบุตรมนุษย์นั้นจะสำเร็จ
ลก 19.46 ตรัสแก่เขาว่า “มีพระวจนะเขียนไว้ว่า ‘นิเวศของเราเป็นนิเวศสำหรับอธิษฐาน’ แต่เจ้าทั้งหลายมากระทำให้เป็น ‘ถ้ำของพวกโจร’”
ลก 20.17 ฝ่ายพระองค์ทรงเพ่งดูเขาและตรัสว่า “เหตุฉะนั้นพระวจนะซึ่งเขียนไว้นั้นหมายความอย่างไรกันซึ่งว่า ‘ศิลาซึ่งช่างก่อได้ปฏิเสธเสีย ได้กลับกลายเป็นศิลามุมเอกแล้ว’
ลก 20.28 ว่า “อาจารย์เจ้าข้า โมเสสได้เขียนสั่งข้าพเจ้าทั้งหลายไว้ว่า ‘ถ้าชายผู้ใดตายและมีภรรยา แต่ไม่มีบุตร ก็ให้น้องชายรับพี่สะใภ้นั้นไว้เป็นภรรยาของตน เพื่อสืบเชื้อสายของพี่ชายไว้’
ลก 21.22 เพราะว่าเวลานั้นเป็นวันแห่งการแก้แค้นเพื่อจะให้สิ่งสารพัดที่เขียนไว้นั้นสำเร็จ
ลก 22.37 ด้วยเราบอกท่านทั้งหลายว่า พระวจนะซึ่งเขียนไว้แล้วนั้นต้องสำเร็จในเรา คือว่า ‘ท่านถูกนับเข้ากับบรรดาผู้ละเมิด’ เพราะว่าคำพยากรณ์ที่เล็งถึงเรานั้นจะสำเร็จ”
ลก 23.38 และมีคำเขียนไว้เหนือพระองค์ด้วยเป็นอักษรกรีก ลาติน และฮีบรูว่า “ผู้นี้เป็นกษัตริย์ของพวกยิว”
ลก 24.44 พระองค์ตรัสกับเขาว่า “นี่เป็นถ้อยคำของเรา ซึ่งเราได้บอกไว้แก่ท่านทั้งหลายเมื่อเรายังอยู่กับท่านว่า บรรดาคำที่เขียนไว้ในพระราชบัญญัติของโมเสส และในคัมภีร์ศาสดาพยากรณ์ และในหนังสือสดุดีกล่าวถึงเรานั้น จำเป็นจะต้องสำเร็จ”
ลก 24.46 พระองค์ตรัสกับเขาว่า “มีคำเขียนไว้อย่างนั้นว่า พระคริสต์จะต้องทนทุกข์ทรมาน และเป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่สาม
ยน 2.17 พวกสาวกของพระองค์ก็ระลึกขึ้นได้ถึงคำที่เขียนไว้ว่า ‘ความร้อนใจในเรื่องพระนิเวศของพระองค์ได้ท่วมท้นข้าพระองค์’
ยน 5.46 ถ้าท่านทั้งหลายเชื่อโมเสส ท่านทั้งหลายก็จะเชื่อเรา เพราะโมเสสได้เขียนกล่าวถึงเรา
ยน 5.47 แต่ถ้าท่านทั้งหลายไม่เชื่อเรื่องที่โมเสสเขียนแล้ว ท่านจะเชื่อถ้อยคำของเราอย่างไรได้”
ยน 6.31 บรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลายได้กินมานาในถิ่นทุรกันดารนั้น ตามที่มีคำเขียนไว้ว่า ‘ท่านได้ให้เขากินอาหารจากสวรรค์’”
ยน 6.45 มีคำเขียนไว้ในคัมภีร์ศาสดาพยากรณ์ว่า ‘ทุกคนจะเรียนรู้จากพระเจ้า’ เหตุฉะนั้นทุกคนที่ได้ยินได้ฟัง และได้เรียนรู้จากพระบิดาก็มาถึงเรา
ยน 8.6 เขาพูดอย่างนี้เพื่อทดลองพระองค์ หวังจะหาเหตุฟ้องพระองค์ แต่พระเยซูทรงน้อมพระกายลงเอานิ้วพระหัตถ์เขียนที่ดิน เหมือนดั่งว่าพระองค์ไม่ได้ยินพวกเขาเลย
ยน 8.8 แล้วพระองค์ก็ทรงน้อมพระกายลงและเอานิ้วพระหัตถ์เขียนที่ดินอีก
ยน 8.17 ในพระราชบัญญัติของท่านก็มีคำเขียนไว้ว่า ‘คำพยานของสองคนก็เป็นความจริง’
ยน 10.34 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ในพระราชบัญญัติของท่านมีคำเขียนไว้มิใช่หรือว่า ‘เราได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายเป็นพระ’
ยน 12.14 และเมื่อพระเยซูทรงพบลูกลาตัวหนึ่งจึงทรงลานั้นเหมือนดังที่มีคำเขียนไว้ว่า
ยน 12.16 ทีแรกพวกสาวกของพระองค์ไม่เข้าใจในเหตุการณ์เหล่านั้น แต่เมื่อพระเยซูทรงรับสง่าราศีแล้ว เขาจึงระลึกได้ว่า มีคำเช่นนั้นเขียนไว้กล่าวถึงพระองค์ และคนทั้งหลายได้กระทำอย่างนั้นถวายพระองค์
ยน 15.25 แต่การนี้เกิดขึ้นเพื่อคำที่เขียนไว้ในพระราชบัญญัติของพวกเขาจะสำเร็จ ซึ่งว่า ‘เขาได้เกลียดชังเราโดยไร้เหตุ’
ยน 19.19 ปีลาตให้เขียนคำประจานติดไว้บนกางเขน และคำประจานนั้นว่า “เยซูชาวนาซาเร็ธ กษัตริย์ของพวกยิว”
ยน 19.20 พวกยิวเป็นอันมากจึงได้อ่านคำประจานนี้ เพราะที่ซึ่งเขาตรึงพระเยซูนั้นอยู่ใกล้กับกรุง และคำนั้นเขียนไว้เป็นภาษาฮีบรู ภาษากรีก และภาษาลาติน
ยน 19.21 ฉะนั้นพวกปุโรหิตใหญ่ของพวกยิวจึงเรียนปีลาตว่า “ขออย่าเขียนว่า ‘กษัตริย์ของพวกยิว’ แต่ขอเขียนว่า ‘คนนี้บอกว่า เราเป็นกษัตริย์ของพวกยิว’”
ยน 19.22 ปีลาตตอบว่า “สิ่งใดที่เราเขียนแล้วก็แล้วไป”
ยน 21.24 สาวกคนนี้แหละ ที่เป็นพยานถึงเหตุการณ์เหล่านี้และเป็นผู้ที่เขียนสิ่งเหล่านี้ไว้ และเราทราบว่าคำพยานของเขาเป็นความจริง
ยน 21.25 มีอีกหลายสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำ ถ้าจะเขียนไว้ให้หมดทุกสิ่ง ข้าพเจ้าคาดว่า แม้หมดทั้งโลกก็น่าจะไม่พอไว้หนังสือที่จะเขียนนั้น เอเมน
กจ 1.20 ด้วยมีคำเขียนไว้ในหนังสือสดุดีว่า ‘ขอให้ที่อาศัยของเขารกร้างและอย่าให้ผู้ใดอาศัยอยู่ที่นั่น’ และ ‘ขอให้อีกผู้หนึ่งมายึดตำแหน่งของเขา’
กจ 7.42 แต่พระเจ้าทรงหันพระพักตร์ไปเสียและปล่อยให้เขานมัสการหมู่ดาวในท้องฟ้า ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์แห่งศาสดาพยากรณ์ว่า ‘โอ วงศ์วานอิสราเอลเอ๋ย เจ้าได้ฆ่าสัตว์บูชาเราและถวายเครื่องบูชาให้แก่เราในถิ่นทุรกันดารถึงสี่สิบปีหรือ
กจ 13.29 ครั้นทำจนสำเร็จทุกอย่างตามซึ่งมีเขียนไว้แล้วว่าด้วยพระองค์ เขาจึงเชิญพระศพของพระองค์ลงจากต้นไม้ไปประดิษฐานไว้ในอุโมงค์
กจ 13.33 พระเจ้าได้ทรงให้สำเร็จตามนั้นแก่เราผู้เป็นลูกหลานของคนเหล่านั้น คือในการที่พระองค์ทรงให้พระเยซูกลับคืนพระชนม์ เหมือนมีคำเขียนไว้ในหนังสือสดุดีบทที่สองว่า ‘ท่านเป็นบุตรของเรา วันนี้เราได้ให้กำเนิดแก่ท่านแล้ว’
กจ 15.15 คำของศาสดาพยากรณ์ก็สอดคล้องกับเรื่องนี้ ดังที่ได้เขียนไว้แล้วว่า
กจ 15.20 แต่เราจงเขียนหนังสือฝากไปถึงเขาว่า ให้งดเว้นเสียจากสิ่งที่มลทินเนื่องด้วยรูปเคารพ จากการล่วงประเวณี จากการรับประทานเนื้อสัตว์ที่รัดคอตาย และจากการรับประทานเลือด
กจ 15.23 เขาได้เขียนจดหมายมอบให้ท่านถือไปว่า “อัครสาวกและผู้ปกครองและพวกพี่น้องของท่าน คำนับมายังท่าน ผู้เป็นพวกพี่น้องซึ่งเป็นคนต่างชาติ ซึ่งอยู่ในเมืองอันทิโอก แคว้นซีเรีย และแคว้นซิลีเซียทราบ
กจ 18.27 ครั้นอปอลโลใคร่จะไปยังแคว้นอาคายา พวกพี่น้องก็เขียนจดหมายฝากไปถึงสาวกที่นั่นให้เขารับรองท่านไว้ ครั้นท่านไปถึงแล้ว ท่านได้ช่วยเหลือคนทั้งหลายที่ได้เชื่อโดยพระคุณนั้นอย่างมากมาย
กจ 21.25 แต่ฝ่ายคนต่างชาติที่เชื่อนั้น เราได้เขียนจดหมายตัดสินมิให้เขาถือเช่นนั้น แต่ให้เขาทั้งหลายงดไม่รับประทานของซึ่งบูชาแก่รูปเคารพ ไม่รับประทานเลือด ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ที่รัดคอตาย และไม่ล่วงประเวณี”
กจ 23.5 เปาโลจึงตอบว่า “พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านเป็นมหาปุโรหิต ด้วยมีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘อย่าพูดหยาบช้าต่อผู้ปกครองชนชาติของเจ้าเลย’”
กจ 23.25 แล้วนายพันจึงเขียนจดหมายมีใจความดังต่อไปนี้
กจ 24.14 แต่ว่าข้าพเจ้าขอรับต่อหน้าท่านอย่างหนึ่ง คือตามทางนั้นที่เขาถือว่าเป็นลัทธินอกรีต ข้าพเจ้านมัสการพระเจ้าแห่งบรรพบุรุษทั้งหลายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้เชื่อถือคำซึ่งมีเขียนไว้ในพระราชบัญญัติและในคัมภีร์ของศาสดาพยากรณ์ทั้งหมด
รม 1.17 เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้นความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้แสดงออก โดยเริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า ‘คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ’
รม 2.24 เพราะมีเขียนไว้แล้วว่า ‘คนต่างชาติพูดหมิ่นประมาทต่อพระนามของพระเจ้าก็เพราะท่านทั้งหลาย’
รม 3.4 ขอพระเจ้าอย่ายอมให้เป็นเช่นนั้นเลย ถึงแม้ทุกคนจะพูดมุสาก็ขอให้พระเจ้าทรงสัตย์จริงเถิด ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า ‘เพื่อพระองค์จะได้ปรากฏว่า ทรงเป็นผู้สัตย์ซื่อในพระดำรัสทั้งหลายของพระองค์ และทรงมีชัยเมื่อเขาวินิจฉัยพระองค์’
รม 3.10 ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า ‘ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย
รม 4.17 (ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า ‘เราได้ให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติมากมาย’) ต่อพระพักตร์พระองค์ที่ท่านเชื่อ คือพระเจ้าผู้ทรงให้คนที่ตายแล้วฟื้นชีวิตขึ้นมา และทรงเรียกสิ่งของที่ยังมิได้เป็นให้เป็นขึ้น
รม 4.23 แต่คำว่า ‘ทรงนับว่าเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน’ นั้น มิได้เขียนไว้สำหรับท่านแต่ผู้เดียว
รม 8.36 ตามที่เขียนไว้แล้วว่า ‘เพราะเห็นแก่พระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายจึงถูกประหารวันยังค่ำ และนับว่าเป็นเหมือนแกะสำหรับจะเอาไปฆ่า’
รม 9.13 ตามที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘เราก็ยังรักยาโคบ แต่เราได้เกลียดเอซาว’
รม 9.33 ดังที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘จงดูเถิด เราได้วางศิลาก้อนหนึ่งไว้ในศิโยนซึ่งจะทำให้สะดุด และหินก้อนหนึ่งซึ่งจะทำให้ล้ม แต่ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์นั้นก็จะไม่ได้รับความอับอาย’
รม 10.5 โมเสสได้เขียนเรื่องความชอบธรรมซึ่งมีพระราชบัญญัติเป็นมูลฐานว่า ‘คนใดที่ประพฤติตามสิ่งเหล่านั้นจะได้ชีวิตโดยการประพฤตินั้น’
รม 10.15 และถ้าไม่มีใครใช้เขาไป เขาจะไปประกาศอย่างไรได้ ตามที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘เท้าของคนเหล่านั้นที่ประกาศข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข และประกาศข่าวประเสริฐแห่งสิ่งอันประเสริฐ ก็งามสักเท่าใด’
รม 11.2 พระเจ้ามิได้ทรงทอดทิ้งชนชาติของพระองค์นั้นที่พระองค์ทรงทราบล่วงหน้าแล้ว ท่านไม่รู้เรื่องซึ่งเขียนไว้แล้วในพระคัมภีร์กล่าวถึงท่านเอลียาห์หรือ ท่านได้กล่าวโทษพวกอิสราเอลต่อพระเจ้าว่า
รม 11.8 (ตามที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘พระเจ้าได้ทรงประทานใจที่เซื่องซึม ประทานตาที่มองไม่เห็น หูที่ฟังไม่ได้ยินให้แก่เขา) จนทุกวันนี้’
รม 11.26 และเมื่อเป็นดังนั้น พวกอิสราเอลทั้งปวงก็จะได้รับความรอด ตามที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘พระผู้ช่วยให้รอดจะเสด็จมาจากเมืองศิโยน และจะทรงกำจัดอธรรมให้สูญสิ้นไปจากยาโคบ
รม 12.19 ท่านผู้เป็นที่รักของข้าพเจ้า อย่าทำการแก้แค้น แต่จงมอบการนั้นไว้แล้วแต่พระเจ้าจะทรงลงพระอาชญา เพราะมีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “การแก้แค้นเป็นของเรา เราเองจะตอบสนอง”
รม 14.11 เพราะมีคำเขียนไว้ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสว่า “เรามีชีวิตอยู่ฉันใด หัวเข่าทุกหัวเข่าจะต้องคุกกราบลงต่อเรา และลิ้นทุกลิ้นจะต้องร้องสรรเสริญพระเจ้า”’
รม 15.3 เพราะว่าพระคริสต์ก็มิได้ทรงกระทำสิ่งที่พอพระทัยพระองค์ ตามที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘คำพูดเยาะเย้ยของบรรดาผู้ที่เยาะเย้ยพระองค์ ตกอยู่แก่ข้าพระองค์’
รม 15.4 เพราะว่าสิ่งที่เขียนไว้ในสมัยก่อนนั้นก็เขียนไว้เพื่อสั่งสอนเรา เพื่อเราจะได้มีความหวังโดยความเพียรและความชูใจด้วยพระคัมภีร์
รม 15.9 และเพื่อให้คนต่างชาติได้ถวายพระเกียรติยศแด่พระเจ้าเพราะพระเมตตาของพระองค์ ตามที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘เพราะเหตุนี้ข้าพระองค์ขอสรรเสริญพระองค์ท่ามกลางประชาชาติทั้งหลาย และร้องเพลงสรรเสริญพระนามของพระองค์’
รม 15.15 แต่พี่น้องทั้งหลาย การที่ข้าพเจ้ากล้าเขียนบางเรื่องถึงท่านเพื่อเตือนความจำของท่าน ก็เพราะเหตุพระคุณที่พระเจ้าได้ทรงประทานแก่ข้าพเจ้า
รม 15.21 ตามที่มีคำเขียนไว้ว่า ‘คนที่ไม่เคยได้รับคำบอกเล่าเรื่องพระองค์ก็จะได้เห็น และคนที่ไม่เคยได้ฟังจะได้เข้าใจ’
รม 16.27 โดยพระเยซูคริสต์ ขอสง่าราศีมีแด่พระเจ้าผู้ทรงสัพพัญญูแต่องค์เดียว สืบๆไปเป็นนิตย์ เอเมน [เขียนถึงชาวโรมจากเมืองโครินธ์ และส่งโดยเฟบี ผู้เป็นผู้รับใช้ในคริสตจักรที่อยู่เมืองเคนเครีย]
1คร 1.19 เพราะมีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘เราจะทำลายสติปัญญาของคนมีปัญญา และจะทำให้ความเข้าใจของคนที่เข้าใจสูญสิ้นไป’
1คร 1.31 เพื่อให้เป็นไปตามที่เขียนว่า ‘ให้ผู้โอ้อวด อวดองค์พระผู้เป็นเจ้า’
1คร 2.9 ดังที่มีเขียนไว้แล้วว่า ‘สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และไม่เคยได้เข้าไปในใจมนุษย์ คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์’
1คร 3.19 เพราะว่าปัญญาของโลกนี้เป็นความโง่เขลาจำเพาะพระเจ้า ด้วยมีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘พระองค์ทรงจับคนที่มีปัญญาด้วยอุบายของเขาเอง’
1คร 4.6 พี่น้องทั้งหลาย สิ่งเหล่านั้นที่ข้าพเจ้าได้นำมากล่าวเปรียบเทียบถึงตัวข้าพเจ้าและอปอลโล ก็เพื่อประโยชน์ของท่านทั้งหลาย เพื่อให้ท่านทั้งหลายเรียนแบบของเรา มิให้ยกย่องคนหนึ่งคนใดเกินกว่าที่เขียนบอกไว้แล้ว มิให้ยกคนหนึ่งคนใดข่มผู้อื่น
1คร 4.14 ข้าพเจ้ามิได้เขียนข้อความเหล่านี้เพื่อจะให้ท่านได้อาย แต่เขียนเพื่อเตือนสติในฐานะที่ท่านเป็นลูกที่รักของข้าพเจ้า
1คร 5.9 ข้าพเจ้าได้เขียนจดหมายถึงท่านว่า อย่าคบกับคนที่ล่วงประเวณี
1คร 5.11 แต่บัดนี้ข้าพเจ้าเขียนบอกท่านว่าถ้าผู้ใดได้ชื่อว่าเป็นพี่น้องแล้ว แต่ยังล่วงประเวณี เป็นคนโลภ เป็นคนถือรูปเคารพ เป็นคนปากร้าย เป็นคนขี้เมา หรือเป็นคนฉ้อโกง อย่าคบกับคนอย่างนั้นแม้จะกินด้วยกันก็อย่าเลย
1คร 7.1 แล้วเรื่องที่พวกท่านเขียนมาถึงข้าพเจ้านั้น ขอตอบว่า การที่ผู้ชายไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงเลยก็ดีแล้ว
1คร 9.9 เพราะว่าในพระราชบัญญัติของโมเสสเขียนไว้ว่า ‘อย่าเอาตะกร้าครอบปากวัว เมื่อมันกำลังนวดข้าวอยู่’ พระเจ้าทรงเป็นห่วงวัวหรือ
1คร 9.10 หรือพระองค์ได้ตรัสเพื่อประโยชน์ของเราทั้งหลาย แท้จริงคำนั้นท่านเขียนไว้เพื่อประโยชน์ของเราทั้งหลาย ให้คนที่ไถนาไถด้วยความหวังใจ และให้คนที่นวดข้าวนวดด้วยความหวังใจว่าจะได้ประโยชน์ตามที่เขาหวัง
1คร 9.15 แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ใช้สิทธิ์เหล่านี้เลย ที่ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้ ก็มิใช่เพื่อจะให้เขากระทำอย่างนั้นแก่ข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้ายอมตายเสียดีกว่าที่จะให้ผู้ใดทำลายเกียรติอันนี้ของข้าพเจ้า
1คร 10.7 ท่านทั้งหลายอย่านับถือรูปเคารพ เหมือนอย่างที่บางคนในพวกเขาได้กระทำ ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า ‘ประชาชนก็นั่งลงกินและดื่ม แล้วก็ลุกขึ้นเล่นสนุกกัน’
1คร 14.21 ในพระราชบัญญัติมีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราจะพูดกับชนชาตินี้โดยคนต่างภาษาและโดยริมฝีปากของคนต่างด้าว ถึงกระนั้นเขาก็จะไม่ฟังเรา”’
1คร 14.37 ถ้าผู้ใดถือว่าตนเป็นผู้พยากรณ์หรืออยู่ฝ่ายจิตวิญญาณ ก็ให้เขายอมรับว่า ข้อความซึ่งข้าพเจ้าเขียนมาถึงท่านนั้นเป็นพระบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้า
1คร 15.3 เรื่องซึ่งข้าพเจ้ารับไว้นั้น ข้าพเจ้าได้ประกาศแก่ท่านทั้งหลายก่อน คือว่าพระคริสต์ได้ทรงวายพระชนม์เพราะบาปของเราทั้งหลาย ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์
1คร 15.4 และทรงถูกฝังไว้ แล้ววันที่สามพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์นั้น
1คร 15.45 เหมือนมีเขียนไว้แล้วว่า ‘ทรงสร้างมนุษย์คนเดิมคืออาดัมเป็นจิตวิญญาณมีชีวิตอยู่’ แต่อาดัมผู้ซึ่งมาภายหลังนั้นเป็นวิญญาณผู้ประสาทชีวิต
1คร 15.54 เมื่อสิ่งซึ่งเปื่อยเน่านี้จะสวมซึ่งไม่เปื่อยเน่า และซึ่งจะตายนี้จะสวมซึ่งไม่รู้จักตาย เมื่อนั้นตามซึ่งเขียนไว้แล้วจะสำเร็จว่า ‘ความตายก็ถูกกลืนไปด้วยการมีชัย’
1คร 16.24 ความรักของข้าพเจ้ามีอยู่ต่อท่านทั้งหลายในพระเยซูคริสต์เสมอ เอเมน [จดหมายฉบับแรกถึงชาวโครินธ์ ได้เขียนจากเมืองฟีลิปปี และส่งโดยสเทฟานัส ฟอร์ทูนาทัส อาคายคัสและทิโมธี]
2คร 1.13 เพราะว่าเราไม่ได้เขียนเรื่องอื่นถึงท่าน นอกจากเรื่องซึ่งท่านได้อ่านและยอมรับแล้ว และข้าพเจ้าก็หวังว่าท่านจะยอมรับโดยตลอด
2คร 2.3 และข้าพเจ้าได้เขียนข้อความนั้นมาถึงท่าน เพื่อว่าเมื่อข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าจะไม่ได้รับความทุกข์จากคนเหล่านั้น ที่ควรจะทำให้ข้าพเจ้ามีความชื่นชมยินดี ข้าพเจ้าไว้ใจในพวกท่านว่า ความยินดีของข้าพเจ้าก็เป็นความยินดีของท่านด้วย
2คร 2.4 เพราะว่าข้าพเจ้าเขียนถึงท่านเพราะข้าพเจ้ามีความทุกข์ระทมใจมาก และน้ำตาไหลมากมาย มิใช่เพื่อจะทำให้ท่านเป็นทุกข์ แต่เพื่อจะให้ท่านรู้จักความรักอย่างมากมายซึ่งข้าพเจ้ามีต่อท่านทั้งหลาย
2คร 2.9 นี่คือเหตุที่ข้าพเจ้าได้เขียนถึงท่าน หวังจะลองใจท่านดูว่า ท่านจะยอมเชื่อฟังทุกประการหรือไม่
2คร 3.3 ท่านปรากฏเป็นหนังสือของพระคริสต์ซึ่งเราเป็นผู้ปรนนิบัติ และได้เขียนไว้ มิใช่ด้วยน้ำหมึก แต่ด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ และมิได้เขียนไว้ที่แผ่นศิลา แต่เขียนไว้ที่แผ่นดวงใจมนุษย์
2คร 3.7 แต่ถ้าการปฏิบัติที่นำไปถึงความตายตามตัวอักษรซึ่งได้เขียนและจารึกไว้ที่แผ่นศิลานั้น ยังมีรัศมี จนชนชาติอิสราเอลไม่สามารถจ้องมองหน้าของโมเสสได้เพราะรัศมีจากใบหน้าของท่านซึ่งเป็นรัศมีที่กำลังเสื่อมสูญไป
2คร 4.13 เพราะเรามีใจเชื่อเช่นเดียวกัน ตามที่เขียนไว้ว่า ‘ข้าพเจ้าเชื่อแล้ว เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงพูด’ เราก็เชื่อเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราจึงพูด
2คร 7.12 เหตุฉะนี้ที่ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านก็มิใช่เพราะเห็นแก่คนที่ได้ทำผิด หรือเพราะเห็นแก่คนที่ต้องทนต่อการร้าย แต่เพื่อให้ความห่วงใยของเราที่มีต่อท่านปรากฏแก่ท่านในสายพระเนตรพระเจ้า
2คร 8.15 ตามที่มีเขียนไว้ว่า ‘คนที่เก็บได้มากก็ไม่มีเหลือ และคนที่เก็บได้น้อยก็หาขาดไม่’
2คร 9.1 ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องเขียนถึงท่านในเรื่องการสงเคราะห์วิสุทธิชน
2คร 9.9 (ตามที่เขียนไว้ว่า ‘เขาแจกจ่าย เขาได้ให้แก่คนยากจน ความชอบธรรมของเขาดำรงเป็นนิตย์’
2คร 13.2 ข้าพเจ้าได้บอกท่านแต่ก่อน และข้าพเจ้าจึงบอกท่านอีกเหมือนเมื่อข้าพเจ้าได้อยู่กับท่านครั้งที่สองนั้น เดี๋ยวนี้ถึงข้าพเจ้าไม่ได้อยู่กับท่าน ข้าพเจ้าก็ยังเขียนฝากถึงเขาเหล่านั้นซึ่งได้กระทำผิดแต่ก่อน และถึงคนอื่นทั้งปวงว่า ถ้าข้าพเจ้ามาอีก ข้าพเจ้าจะไม่เว้นการติโทษใครเลย
2คร 13.10 เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงเขียนข้อความนี้เมื่อข้าพเจ้าไม่อยู่ ด้วยเพื่อเมื่อข้าพเจ้ามาแล้ว จะได้ไม่ต้องกวดขันท่านโดยใช้อำนาจ ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรดประทานให้แก่ข้าพเจ้า เพื่อการก่อขึ้นมิใช่เพื่อการทำลายลง
2คร 13.14 ขอให้พระคุณของพระเยซูคริสต์เจ้า ความรักแห่งพระเจ้า และความสนิทสนมซึ่งมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ จงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด เอเมน [จดหมายฉบับที่สองถึงชาวโครินธ์ ได้เขียนจากเมืองฟีลิปปี แคว้นมาซิโดเนีย และส่งโดยทิตัสและลูกา]
กท 1.20 แต่เรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนมาถึงท่านนี้ ดูเถิด ต่อพระพักตร์พระเจ้า ข้าพเจ้าไม่มุสาเลย
กท 3.10 เพราะว่าคนทั้งหลายซึ่งพึ่งการกระทำตามพระราชบัญญัติก็ถูกสาปแช่ง เพราะมีคำเขียนไว้ว่า ‘ทุกคนที่มิได้ประพฤติตามทุกข้อความที่เขียนไว้ในหนังสือพระราชบัญญัติก็ถูกสาปแช่ง’
กท 3.13 พระคริสต์ทรงไถ่เราให้พ้นความสาปแช่งแห่งพระราชบัญญัติ โดยการที่พระองค์ทรงยอมถูกสาปแช่งเพื่อเรา เพราะมีคำเขียนไว้ว่า ‘ทุกคนที่ต้องถูกแขวนไว้บนต้นไม้ก็ต้องถูกสาปแช่ง’
กท 4.22 เพราะมีเขียนไว้ว่า อับราฮัมมีบุตรชายสองคน คนหนึ่งเกิดจากหญิงทาสี อีกคนหนึ่งเกิดจากหญิงที่เป็นไทย
กท 4.27 เพราะมีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘จงชื่นชมยินดีเถิด หญิงหมันผู้ไม่คลอดบุตร จงเปล่งเสียงโห่ร้อง เจ้าผู้ไม่ได้เจ็บครรภ์ ด้วยว่าหญิงที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวก็ยังมีบุตรมากกว่าหญิงที่ยังมีสามีอยู่กับนางมากมายนัก’
กท 6.11 ท่านจงสังเกตดูตัวอักษรที่ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านด้วยมือของข้าพเจ้าเองว่า ตัวโตเพียงใด
กท 6.18 พี่น้องทั้งหลาย ขอให้พระคุณของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา จงสถิตอยู่กับจิตวิญญาณของท่านทั้งหลายด้วยเถิด เอเมน [เขียนถึงชาวกาลาเทียจากกรุงโรม]
อฟ 3.3 และรู้ว่าพระองค์ได้ทรงสำแดงให้ข้าพเจ้ารู้ข้อลึกลับ (ตามที่ข้าพเจ้าได้เขียนไว้แล้วอย่างย่อๆ
อฟ 6.24 ขอพระคุณดำรงอยู่กับบรรดาคนที่รักพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราด้วยความจริงใจ เอเมน [เขียนถึงชาวเอเฟซัสจากกรุงโรม และส่งโดยทีคิกัส]
ฟป 3.1 สุดท้ายนี้ พวกพี่น้องของข้าพเจ้า จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า การที่ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้ถึงท่านซ้ำอีก ก็หาเป็นการลำบากแก่ข้าพเจ้าไม่ แต่เป็นการปลอดภัยสำหรับท่านทั้งหลาย
ฟป 4.23 ขอให้พระคุณแห่งพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด เอเมน [เขียนถึงชาวฟีลิปปีจากกรุงโรม และส่งโดยเอปาโฟรดิทัส]
คส 4.18 คำแสดงความคิดถึงนี้เป็นลายมือของข้าพเจ้า เปาโล ขอท่านจงระลึกถึงโซ่ตรวนของข้าพเจ้า ขอให้พระคุณดำรงอยู่กับท่านด้วยเถิด เอเมน [เขียนจากกรุงโรมถึงชาวโคโลสี และส่งโดยทีคิกัสและโอเนสิมัส]
1ธส 4.9 ส่วนเรื่องการรักพี่น้องทั้งหลายนั้น ไม่จำเป็นที่จะให้ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน เพราะว่าตัวท่านเองก็รับคำสอนจากพระเจ้าแล้วว่าให้รักซึ่งกันและกัน
1ธส 5.1 แต่พี่น้องทั้งหลาย เรื่องวันและเวลาที่ทรงกำหนดไว้นั้น ไม่จำเป็นจะต้องเขียนบอกให้ท่านรู้
1ธส 5.28 ขอให้พระคุณของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด เอเมน [จดหมายฉบับแรกถึงชาวเธสะโลนิกา ได้เขียนจากกรุงเอเธนส์]
2ธส 3.17 นี่แหละเป็นคำคำนับของข้าพเจ้าคือ เปาโล ที่เขียนด้วยมือของข้าพเจ้าเอง ซึ่งเป็นเครื่องหมายในจดหมายทุกฉบับ ข้าพเจ้าจึงเขียนเช่นนี้
2ธส 3.18 ขอให้พระคุณของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด เอเมน [จดหมายฉบับที่สองถึงชาวเธสะโลนิกา ได้เขียนจากกรุงเอเธนส์]
1ทธ 3.14 ข้อความเหล่านี้ข้าพเจ้าเขียนฝากมายังท่าน หวังใจว่าไม่ช้าไม่นานข้าพเจ้าจะมาหาท่าน
1ทธ 6.21 ซึ่งบางคนสำคัญผิดอย่างนั้น จึงได้พลาดไปจากความเชื่อ ขอพระคุณจงดำรงอยู่กับท่านเถิด เอเมน [จดหมายฉบับแรกถึงทิโมธี ได้เขียนจากเมืองเลาดีเซีย ซึ่งเป็นนครหลวงในแคว้นฟรีเจีย ปาคาทีอานา]
2ทธ 4.13 เมื่อท่านมาจงเอาเสื้อคลุมซึ่งข้าพเจ้าได้ฝากไว้กับคารปัสที่เมืองโตรอัสมาด้วย พร้อมกับหนังสือต่างๆ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือหนังสือที่เขียนบนแผ่นหนัง
2ทธ 4.22 ขอพระเยซูคริสต์เจ้าทรงสถิตอยู่กับจิตวิญญาณของท่าน ขอพระคุณจงดำรงอยู่กับท่านเถิด เอเมน [จดหมายฉบับที่สองถึงทิโมธี ผู้ได้รับการเจิมให้เป็นศิษยาภิบาลคนแรกแห่งคริสตจักรชาวเอเฟซัส ได้เขียนจากกรุงโรม เมื่อเปาโลถูกพิพากษาต่อหน้าจักรพรรดินีโรเป็นครั้งที่สอง]
ทต 3.15 คนทั้งหลายที่อยู่กับข้าพเจ้าฝากความคิดถึงมายังท่าน ขอฝากความคิดถึงมายังคนทั้งปวงที่รักเราในความเชื่อ ขอพระคุณดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด เอเมน [เขียนถึงทิตัส ผู้ได้รับการเจิมให้เป็นศิษยาภิบาลคนแรกแห่งคริสตจักรชาวครีต จากเมืองนิโคบุรี แคว้นมาซิโดเนีย]
ฟม 1.19 ข้าพเจ้า เปาโล ได้เขียนไว้ด้วยมือของข้าพเจ้าเองว่า ข้าพเจ้าจะใช้ให้ ข้าพเจ้าจะไม่อ้างถึงเรื่องที่ท่านเป็นหนี้ข้าพเจ้า และแม้แต่ตัวของท่านเองด้วย
ฟม 1.21 ข้าพเจ้ามั่นใจท่านจะเชื่อฟัง จึงได้เขียนมาถึงท่าน เพราะรู้อยู่ว่าท่านจะกระทำยิ่งกว่าที่ข้าพเจ้าขอเสียอีก
ฟม 1.25 ขอพระคุณของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา จงดำรงอยู่กับจิตวิญญาณของท่านเถิด เอเมน [เขียนจากกรุงโรมถึงฟีเลโมน และส่งโดยโอเนสิมัส ผู้เป็นทาสรับใช้]
ฮบ 10.7 แล้วข้าพระองค์ทูลว่า “ดูเถิด ข้าพระองค์มาแล้ว โอ พระเจ้าข้า เพื่อจะกระทำตามน้ำพระทัยพระองค์” (ในหนังสือม้วนก็มีเขียนเรื่องข้าพระองค์)’
ฮบ 13.22 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านให้เพียรฟังคำเตือนสตินี้ เพราะข้าพเจ้าได้เขียนจดหมายมาถึงท่านทั้งหลายเพียงไม่กี่คำเท่านั้น
ฮบ 13.25 ขอพระคุณจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด เอเมน [เขียนถึงชาวฮีบรูจากประเทศอิตาลี และส่งโดยทิโมธี]
1ปต 1.16 ดังที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘ท่านทั้งหลายจงเป็นคนบริสุทธิ์ เพราะเราเป็นผู้บริสุทธิ์’
1ปต 2.6 เพราะมีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ด้วยว่า ‘ดูเถิด เราวางศิลาก้อนหนึ่งลงในศิโยน เป็นศิลามุมเอกที่ทรงเลือกแล้ว และเป็นศิลาที่มีค่าอันประเสริฐ และผู้ใดที่เชื่อในพระองค์นั้นก็จะไม่ได้รับความอับอาย’
1ปต 5.12 ข้าพเจ้าได้เขียนอย่างย่อๆมาถึงท่านทั้งหลายผ่านทางสิลวานัส ซึ่งข้าพเจ้าถือว่าเป็นพี่น้องที่สัตย์ซื่อคนหนึ่ง เมื่อเตือนสติและเป็นพยานแก่ท่านทั้งหลายว่า พระคุณนั้นเป็นพระคุณที่แท้จริงของพระเจ้า ซึ่งท่านทั้งหลายก็ยืนหยัดอยู่ในพระคุณนั้น
2ปต 3.1 บัดนี้ พวกที่รัก นี่เป็นจดหมายฉบับที่สองที่ข้าพเจ้าได้เขียนถึงท่านทั้งหลาย และในจดหมายทั้งสองฉบับนั้น ข้าพเจ้าได้สะกิดใจอันบริสุทธิ์ของท่านให้ระลึก
2ปต 3.15 และจงถือว่า การที่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงอดกลั้นพระทัยไว้นานนั้นเป็นการช่วยให้รอด ดังที่เปาโลน้องที่รักของเราได้เขียนจดหมายถึงท่านทั้งหลายด้วย ตามสติปัญญาซึ่งพระองค์ได้ทรงโปรดประทานแก่ท่านนั้น
1ยน 1.4 และเราเขียนข้อความเหล่านี้ถึงท่านทั้งหลาย เพื่อความยินดีของท่านจะได้เต็มเปี่ยม
1ยน 2.1 ลูกเล็กๆของข้าพเจ้าเอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้ถึงท่านทั้งหลาย เพื่อท่านจะได้ไม่ทำบาป และถ้าผู้ใดทำบาป เราก็มีพระองค์ผู้ช่วยเหลือสถิตอยู่กับพระบิดา คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงชอบธรรมนั้น
1ยน 2.7 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนพระบัญญัติใหม่ถึงท่านทั้งหลาย แต่เป็นพระบัญญัติเก่าซึ่งท่านทั้งหลายได้มีอยู่ตั้งแต่เริ่มแรก พระบัญญัติเก่านั้นคือพระดำรัสซึ่งท่านทั้งหลายได้ยินตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว
1ยน 2.8 อีกนัยหนึ่ง ข้าพเจ้าเขียนพระบัญญัติใหม่ถึงท่านทั้งหลาย และข้อความนั้นก็เป็นความจริงทั้งฝ่ายพระองค์และฝ่ายท่านทั้งหลาย เพราะว่าความมืดนั้นล่วงไปแล้ว และบัดนี้ความสว่างแท้ก็ส่องอยู่
1ยน 2.12 ลูกเล็กๆทั้งหลายเอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะว่าบาปของท่านได้รับการอภัยแล้วเพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์
1ยน 2.13 ท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้รู้จักกับพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่เริ่มแรก ท่านทั้งหลายที่เป็นคนหนุ่มๆ ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้ชัยชนะแก่มารร้าย ท่านทั้งหลายผู้เป็นลูกเล็กๆ ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้รู้จักกับพระบิดา
1ยน 2.14 ท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้รู้จักกับพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่เริ่มแรก ท่านทั้งหลายที่เป็นคนหนุ่มๆ ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายมีกำลังมาก และพระวจนะของพระเจ้าดำรงอยู่ในท่านทั้งหลาย และท่านได้ชัยชนะแก่มารร้ายแล้ว
1ยน 2.21 ข้าพเจ้าเขียนมายังท่านทั้งหลายมิใช่เพราะท่านไม่รู้ความจริง แต่เพราะท่านทั้งหลายรู้แล้ว และรู้ว่าคำมุสาไม่ได้มาจากความจริงเลย
1ยน 2.26 ข้าพเจ้าเขียนข้อความนี้ถึงท่าน เกี่ยวกับคนเหล่านั้นที่ล่อลวงท่าน
1ยน 5.13 ข้อความเหล่านี้ข้าพเจ้าได้เขียนมาถึงท่านทั้งหลายที่เชื่อในพระนามของพระบุตรของพระเจ้า เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่าท่านมีชีวิตนิรันดร์ และเพื่อท่านจะได้เชื่อในพระนามของพระบุตรของพระเจ้า
2ยน 1.5 และท่านสุภาพสตรี บัดนี้ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่าน มิใช่เสมือนหนึ่งว่าข้าพเจ้าเขียนพระบัญญัติใหม่ให้แก่ท่าน แต่เป็นพระบัญญัติที่เราได้มีมาแล้วตั้งแต่เริ่มแรก นั่นก็คือให้เราทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน
2ยน 1.12 ข้าพเจ้ายังมีข้อความอีกหลายข้อที่จะเขียนมาถึงท่าน แต่ก็ไม่อยากจะเขียนด้วยกระดาษและน้ำหมึก ข้าพเจ้าหวังใจว่าจะมาหาท่าน และสนทนากันต่อหน้า เพื่อความปีติยินดีของเราจะได้เต็มเปี่ยม
3ยน 1.9 ข้าพเจ้าได้เขียนถึงคริสตจักร แต่ดิโอเตรเฟส ผู้อยากจะเป็นใหญ่เป็นโตท่ามกลางพวกเขาหาได้รับรองเราไว้ไม่
3ยน 1.13 ข้าพเจ้ามีหลายเรื่องที่จะเขียน แต่ไม่อยากจะเขียนถึงท่านด้วยน้ำหมึกและปากกา
ยด 1.3 ท่านที่รักทั้งหลาย เมื่อข้าพเจ้าพากเพียรเขียนถึงท่านทั้งหลายในเรื่องเกี่ยวกับความรอดสำหรับคนทั่วไปนั้น ข้าพเจ้าก็เห็นว่า ข้าพเจ้าจำเป็นต้องเขียนเตือนสติท่านให้ต่อสู้อย่างจริงจังเพื่อความเชื่อซึ่งครั้งหนึ่งได้ทรงโปรดมอบไว้แก่วิสุทธิชนแล้ว
วว 1.3 ขอความสุขจงมีแก่บรรดาผู้อ่านและผู้ฟังคำพยากรณ์เหล่านี้ และถือรักษาข้อความที่เขียนไว้ในคำพยากรณ์นี้ เพราะว่าเวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว
วว 1.11 ตรัสว่า “เราเป็นอัลฟาและโอเมกา เป็นเบื้องต้นและเป็นเบื้องปลาย และสิ่งซึ่งท่านได้เห็นจงเขียนไว้ในหนังสือ และฝากไปให้คริสตจักรทั้งเจ็ดที่อยู่ในแคว้นเอเชีย คือคริสตจักรที่เมืองเอเฟซัส เมืองสเมอร์นา เมืองเปอร์กามัม เมืองธิยาทิรา เมืองซาร์ดิส เมืองฟีลาเดลเฟีย และเมืองเลาดีเซีย”
วว 1.19 จงเขียนเหตุการณ์ซึ่งเจ้าได้เห็น และเหตุการณ์ที่กำลังเป็นอยู่ขณะนี้ กับทั้งเหตุการณ์ซึ่งจะเกิดขึ้นในภายหน้าด้วย
วว 2.1 “จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองเอเฟซัสว่า ‘พระองค์ผู้ทรงถือดาวทั้งเจ็ดไว้ในพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ และดำเนินอยู่ท่ามกลางคันประทีปทองคำทั้งเจ็ดนั้นตรัสดังนี้ว่า
วว 2.8 จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองสเมอร์นาว่า ‘พระองค์ผู้ทรงเป็นเบื้องต้นและเป็นเบื้องปลาย ผู้ซึ่งสิ้นพระชนม์แล้ว และกลับฟื้นขึ้นอีก ได้ตรัสดังนี้ว่า
วว 2.12 จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองเปอร์กามัมว่า ‘พระองค์ผู้ทรงถือดาบสองคมที่คมกริบตรัสดังนี้ว่า
วว 2.18 จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองธิยาทิรา ว่า ‘พระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระบุตรของพระเจ้า ผู้ทรงมีพระเนตรดุจเปลวไฟ และมีพระบาทดุจทองสัมฤทธิ์เงางาม ได้ตรัสดังนี้ว่า
วว 3.1 “จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองซาร์ดิสว่า ‘พระองค์ผู้ทรงมีพระวิญญาณทั้งเจ็ดของพระเจ้า และทรงมีดาราเจ็ดดวงนั้น ได้ตรัสดังนี้ว่า เรารู้จักแนวการกระทำของเจ้า เจ้าได้ชื่อว่ามีชีวิตอยู่ แต่ว่าเจ้าได้ตายเสียแล้ว
วว 3.7 จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองฟีลาเดลเฟีย ว่า ‘พระองค์ผู้บริสุทธิ์ ผู้สัตย์จริง ผู้ทรงถือลูกกุญแจของดาวิด ผู้ทรงเปิดแล้วจะไม่มีผู้ใดปิด ผู้ทรงปิดแล้วจะไม่มีผู้ใดเปิด ได้ตรัสดังนี้ว่า
วว 3.14 จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองเลาดีเซีย ว่า ‘พระองค์ผู้ทรงเป็นพระเอเมน ทรงเป็นพยานที่สัตย์ซื่อและสัตย์จริง และทรงเป็นปฐมเหตุแห่งสิ่งสารพัดซึ่งพระเจ้าทรงสร้าง ได้ตรัสดังนี้ว่า
วว 5.1 และในพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ผู้ทรงประทับบนพระที่นั่งนั้น ข้าพเจ้าได้เห็นหนังสือม้วนหนึ่งเขียนไว้ทั้งข้างในและข้างนอก มีตราประทับอยู่เจ็ดดวง
วว 10.4 เมื่อเสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดดังขึ้นแล้ว ข้าพเจ้าจึงลงมือจะเขียน แต่ข้าพเจ้าได้ยินพระสุรเสียงจากสวรรค์ตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า “จงประทับตราปิดข้อความซึ่งฟ้าร้องทั้งเจ็ดได้ร้องนั้น จงอย่าเขียนข้อความเหล่านั้น”
วว 14.1 ข้าพเจ้าได้แลเห็น และดูเถิด พระเมษโปดกทรงยืนอยู่ที่ภูเขาศิโยน และผู้ที่อยู่กับพระองค์มีจำนวนแสนสี่หมื่นสี่พันคน ซึ่งเป็นผู้ที่มีพระนามของพระบิดาของพระองค์เขียนไว้ที่หน้าผากของเขา
วว 14.13 และข้าพเจ้าได้ยินพระสุรเสียงจากสวรรค์สั่งข้าพเจ้าว่า “จงเขียนไว้เถิดว่า ตั้งแต่นี้สืบไปคนทั้งหลายที่ตายในองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเป็นสุข” และพระวิญญาณตรัสว่า “จริงอย่างนั้น เพื่อเขาจะได้หยุดพักจากความเหนื่อยยากของเขา และการงานที่เขาได้กระทำนั้นจะติดตามเขาไป”
วว 17.5 และที่หน้าผากของหญิงนั้นเขียนชื่อไว้ว่า “ความลึกลับ บาบิโลนมหานคร แม่ของหญิงแพศยาทั้งหลาย และแม่แห่งสิ่งทั้งปวงที่น่าสะอิดสะเอียนแห่งแผ่นดินโลก”
วว 19.9 และทูตสวรรค์องค์นั้นสั่งข้าพเจ้าว่า “จงเขียนไว้เถิดว่า ความสุขมีแก่คนทั้งหลายที่ได้รับเชิญมาในการมงคลสมรสของพระเมษโปดก” และท่านบอกข้าพเจ้าว่า “ถ้อยคำเหล่านี้เป็นพระดำรัสแท้ของพระเจ้า”
วว 21.5 พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งตรัสว่า “ดูเถิด เราสร้างสิ่งสารพัดขึ้นใหม่” และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงเขียนไว้เถิด เพราะว่าถ้อยคำเหล่านี้เป็นคำสัตย์จริงและสัตย์ซื่อ”
วว 22.18 ข้าพเจ้าเป็นพยานแก่ทุกคนที่ได้ยินคำพยากรณ์ในหนังสือนี้ว่า ถ้าผู้ใดจะเพิ่มเติมคำเข้าไปในหนังสือนี้ พระเจ้าก็จะทรงเพิ่มภัยพิบัติที่เขียนไว้ในหนังสือม้วนนี้แก่ผู้นั้น
วว 22.19 และถ้าผู้ใดตัดข้อความออกจากหนังสือพยากรณ์นี้ พระเจ้าก็จะทรงเอาส่วนแบ่งของผู้นั้นที่มีอยู่ในหนังสือแห่งชีวิต และที่มีอยู่ในเมืองบริสุทธิ์นั้น และจากสิ่งที่มีเขียนไว้ในหนังสือม้วนนี้ไปเสีย

เขียว ( 32 )
ปฐก 1.30 สำหรับบรรดาสัตว์ป่าบนแผ่นดินโลก บรรดานกในอากาศ และบรรดาสัตว์ที่เลื้อยคลานที่มีชีวิตบนแผ่นดินโลก เราให้บรรดาพืชผักเขียวสดเป็นอาหาร” ก็เป็นดังนั้น
ปฐก 8.11 ในเวลาเย็นนกเขาก็กลับมายังท่าน ดูเถิด มันคาบใบมะกอกเทศเขียวสดมา ดังนั้นโนอาห์จึงรู้ว่า น้ำได้ลดลงจากแผ่นดินโลกแล้ว
ปฐก 9.3 สิ่งทั้งปวงที่มีชีวิตเคลื่อนไหวไปมาจะเป็นอาหารของพวกเจ้า เช่นเดียวกับพืชผักเขียวสด เรายกทุกสิ่งให้แก่พวกเจ้า
อพย 10.15 เพราะมันปกคลุมพื้นแผ่นดินจนแลมืดไป มันกินผักในแผ่นดินทุกอย่าง และผลไม้ทุกอย่างซึ่งเหลือจากลูกเห็บทำลาย ไม่มีพืชใบเขียวเหลือเลย ไม่ว่าต้นไม้หรือผักในทุ่ง ทั่วแผ่นดินอียิปต์
พบญ 12.2 ท่านทั้งหลายจงทำลายบรรดาสถานที่ซึ่งประชาชาติที่ท่านจะยึดครองนั้นใช้เป็นที่ปรนนิบัติพระของเขา ซึ่งอยู่บนภูเขาสูงและบนเนินเขา และใต้ต้นไม้เขียวสดทุกต้น
1พกษ 14.23 เพราะเขาได้สร้างปูชนียสถานสูงด้วย และเสาศักดิ์สิทธิ์ และเสารูปเคารพสำหรับตัวเขาไว้บนเนินเขาสูงๆทุกเนิน และใต้ต้นไม้เขียวทุกต้น
2พกษ 17.10 เขาได้ตั้งเสาศักดิ์สิทธิ์และเสารูปเคารพบนเนินเขาสูงทุกแห่ง และใต้ต้นไม้เขียวทุกต้น
2พศด 28.4 พระองค์ทรงถวายสัตวบูชาและทรงเผาเครื่องหอมที่ปูชนียสถานสูง และบนเนินเขาและใต้ต้นไม้เขียวสดทุกต้น
โยบ 8.16 เขาเขียวสดอยู่ต่อหน้าดวงอาทิตย์ และแขนงของเขาก็แผ่ออกเหนือสวนของเขา
โยบ 15.32 จะชำระให้เขาเต็มก่อนเวลาของเขา และกิ่งก้านของเขาจะไม่เขียว
โยบ 39.8 มันตระเวนภูเขาอันเป็นลานหญ้าของมัน และมันแสวงหาหญ้าเขียวทุกอย่าง
สดด 23.2 พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ
สดด 52.8 ฝ่ายข้าพเจ้าเป็นเหมือนต้นมะกอกเทศเขียวสดในพระนิเวศของพระเจ้า ข้าพเจ้าวางใจในความเมตตาของพระเจ้าเป็นนิจกาล
สดด 92.14 เขาแก่แล้วก็ยังเกิดผล เขาจะมีน้ำเลี้ยงเต็มและเขียวสดอยู่
สภษ 11.28 บุคคลผู้วางใจในความมั่งคั่งของตนจะล้มละลาย แต่คนชอบธรรมจะรุ่งเรืองอย่างใบไม้เขียว
พซม 1.16 ดูเถิด ที่รักของฉัน เธอเป็นคนสวยงามจริงเจ้าค่ะ เธอเป็นคนน่าชมจริงๆ ที่นอนของเราเขียวสด
พซม 6.11 ดิฉันลงไปในสวนผลนัท เพื่อจะดูหมู่ไม้เขียวตามหุบเขาว่าเถาองุ่นมีดอกตูมออกหรือเปล่า และเพื่อจะดูว่าผลทับทิมมีดอกแล้วหรือยัง
อสย 15.6 เพราะธารน้ำที่นิมริมก็จะถูกทิ้งร้าง ฟางก็เหี่ยวแห้ง หญ้าก็ไม่งอก พืชที่เขียวชอุ่มไม่มีเลย
อสย 41.19 ในถิ่นทุรกันดารเราจะปลูกต้นสนสีดาร์ ต้นกระถินเทศ ต้นน้ำมันเขียว และต้นมะกอกเทศ ในทะเลทรายเราจะวางต้นสนสามใบ ทั้งต้นสนเขาและต้นไม้ที่เขียวชะอุ่มตลอดปีด้วยกัน
อสย 57.5 คือเจ้าผู้ร้อนเร่าด้วยรูปเคารพภายใต้ต้นไม้เขียวทุกต้น ผู้ฆ่าลูกของเจ้าในหุบเขาใต้ซอกหิน
อสย 60.13 สง่าราศีแห่งเลบานอนจะมายังเจ้า คือต้นสนสามใบ ต้นสนเขาและต้นไม้ที่เขียวชะอุ่มตลอดปีด้วยกัน เพื่อจะกระทำให้ที่แห่งสถานบริสุทธิ์ของเรางดงาม และเราจะกระทำให้ที่แห่งเท้าของเรารุ่งโรจน์
ยรม 2.20 “เพราะว่านานมาแล้วเราได้หักแอกของเจ้า และระเบิดพันธนะของเจ้าเสีย และเจ้าได้กล่าวว่า ‘ข้าจะไม่ละเมิด’ เออ เจ้าได้โน้มตัวลงเล่นชู้บนเนินเขาสูงทุกแห่งและใต้ต้นไม้เขียวสดทุกต้น
ยรม 3.6 พระเยโฮวาห์ตรัสกับข้าพเจ้าในรัชกาลของกษัตริย์โยสิยาห์ว่า “เธอทำอะไรเจ้าเห็นหรือ คืออิสราเอลผู้กลับสัตย์ เธอขึ้นไปบนภูเขาสูงทุกลูก และใต้ต้นไม้เขียวสดทุกต้น แล้วก็ไปเล่นชู้อยู่ที่นั่น
ยรม 3.13 เพียงแต่ยอมรับความชั่วช้าของเจ้าว่า เจ้าได้ละเมิดต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า และเที่ยวเอาใจพระอื่นที่ใต้ต้นไม้เขียวสดทุกต้น และเจ้ามิได้เชื่อฟังเสียงของเรา’” พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ
ยรม 17.8 เขาจะเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมน้ำ ซึ่งหยั่งรากของมันออกไปข้างลำน้ำ เมื่อแดดส่องมาถึงก็จะไม่สังเกต เพราะใบของมันเขียวอยู่เสมอ และจะไม่กระวนกระวายในปีที่แห้งแล้ง เพราะมันไม่หยุดที่จะออกผล”
อสค 6.13 และเจ้าจะทราบว่าเราคือพระเยโฮวาห์ เมื่อคนที่ถูกฆ่านอนอยู่ท่ามกลางรูปเคารพของเขารอบแท่นบูชาของเขา บนเนินเขาสูงทุกแห่ง บนยอดเขาทั้งสิ้น ที่ใต้ต้นไม้เขียวทุกต้น และใต้ต้นโอ๊กใบดกทุกต้น ไม่ว่าที่ใดๆที่เขาถวายกลิ่นที่พึงใจแก่รูปเคารพทั้งสิ้นของเขา
อสค 17.24 และต้นไม้ทุกต้นในทุ่งจะทราบว่าเราคือพระเยโฮวาห์กระทำต้นไม้สูงให้ต่ำลง และกระทำต้นไม้ต่ำให้สูงขึ้น ทำต้นไม้เขียวให้แห้งไป และทำต้นไม้แห้งให้งามสดชื่น เราคือพระเยโฮวาห์ได้ลั่นวาจาแล้ว เราได้กระทำเช่นนั้น”
อสค 20.47 จงกล่าวแก่ป่าไม้แห่งถิ่นใต้ว่า จงฟังพระวจนะของพระเยโฮวาห์ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะก่อไฟไว้ในเจ้า มันจะเผาผลาญต้นไม้เขียวและต้นไม้แห้งทุกต้นที่อยู่ในเจ้าเสีย จะดับเปลวเพลิงอันลุกโพลงนั้นไม่ได้ และดวงหน้าทุกหน้าตั้งแต่ทิศใต้จนทิศเหนือจะถูกไฟลวก
ฮชย 14.8 เอฟราอิมจะกล่าวว่า “เราต้องเกี่ยวข้องอะไรกับรูปเคารพต่อไป” เราเองได้ยินเขาและคอยดูเขา เราเป็นเหมือนต้นสนสามใบเขียวสด และผลของเจ้าก็ได้มาจากเรา
ยอล 2.22 เจ้าที่เป็นสัตว์ป่าเอ๋ย อย่ากลัวเลย เพราะว่าทุ่งหญ้าในถิ่นทุรกันดารนั้นเขียวสด ต้นไม้เกิดผล ต้นมะเดื่อและเถาองุ่นออกผลอย่างบริบูรณ์
วว 8.7 เมื่อทูตสวรรค์องค์แรกเป่าแตรขึ้น ลูกเห็บและไฟปนด้วยเลือดก็ถูกทิ้งลงบนแผ่นดิน ต้นไม้ไหม้ไปหนึ่งในสามส่วน และหญ้าเขียวสดไหม้ไปหมดสิ้น
วว 9.4 และมีคำสั่งแก่มันไม่ให้ทำร้ายหญ้าบนแผ่นดินโลก หรือพืชเขียว หรือต้นไม้ แต่ให้ทำร้ายคนเหล่านั้นที่ไม่มีตราของพระเจ้าบนหน้าผากของเขาเท่านั้น

เขี้ยว ( 4 )
สดด 58.6 โอ ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงหักฟันในปากของมันเสีย โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงฉีกเขี้ยวของสิงโตหนุ่มออกเสีย
สภษ 30.14 มีคนชั่วอายุหนึ่งที่ฟันของเขาเป็นเหมือนดาบ เขี้ยวของเขาเป็นเหมือนมีด เพื่อจะกลืนกินคนยากจนเสียจากแผ่นดินโลก และคนขัดสนเสียจากท่ามกลางมนุษย์
ยอล 1.6 เพราะว่าประชาชาติหนึ่งได้ขึ้นมาสู้กับแผ่นดินของข้าพเจ้า เขามีทั้งกำลังมากและมีจำนวนนับไม่ถ้วน ฟันของมันเหมือนฟันสิงโต เขี้ยวของมันเหมือนเขี้ยวสิงโตผู้ยิ่งใหญ่

เขื่อน ( 1 )
อสย 19.10 บรรดาผู้ที่ทำเขื่อนและสระน้ำสำหรับปลา เป้าหมายของเขาจะถูกบีบคั้น

แขก ( 14 )
อพย 12.45 ส่วนแขกหรือลูกจ้างอย่าให้กินเลย
อพย 20.10 แต่วันที่เจ็ดนั้นเป็นสะบาโตของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ในวันนั้นอย่ากระทำการงานใดๆ ไม่ว่าเจ้าเอง หรือบุตรชาย บุตรสาวของเจ้า หรือทาสทาสีของเจ้า หรือสัตว์ใช้งานของเจ้า หรือแขกที่อาศัยอยู่ในประตูเมืองของเจ้า
พบญ 5.14 แต่วันที่เจ็ดนั้นเป็นสะบาโตของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ในวันนั้นอย่ากระทำการงานใดๆ ไม่ว่าเจ้าเอง หรือบุตรชาย บุตรสาวของเจ้า หรือทาสทาสีของเจ้า หรือวัวของเจ้า หรือลาของเจ้า หรือสัตว์ใช้งานของเจ้า หรือแขกที่อาศัยอยู่ในประตูเมืองของเจ้า เพื่อทาสทาสีของเจ้าจะได้หยุดพักอย่างเจ้า
2ซมอ 12.4 ฝ่ายคนมั่งมีคนนั้นมีแขกคนหนึ่งมาเยี่ยม เขาเสียดายที่จะเอาแพะแกะหรือวัวของตนมาทำอาหารเลี้ยงคนที่เดินทางมาเยี่ยมนั้น จึงเอาแกะตัวเมียของชายคนจนนั้นเตรียมเป็นอาหารให้แก่ชายที่มาเยี่ยมตน”
1พกษ 1.41 อาโดนียาห์และบรรดาแขกที่อยู่กับท่านเมื่อรับประทานเสร็จแล้วก็ได้ยินเสียงนั้น และเมื่อโยอาบได้ยินเสียงแตรก็พูดว่า “เสียงอึกทึกครึกโครมนี้ที่ในกรุงหมายความว่ากระไร”
1พกษ 1.49 แล้วบรรดาแขกทั้งปวงของอาโดนียาห์ก็กลัว และลุกขึ้น ต่างคนต่างไปตามทางของตน
สดด 39.12 “โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงสดับคำอธิษฐานของข้าพระองค์ ขอทรงเงี่ยพระกรรณแก่การร้องทูลของข้าพระองค์ ขออย่าทรงเฉยเมยต่อน้ำตาของข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์เป็นแต่แขกที่ผ่านไปของพระองค์ เป็นคนที่อาศัยอยู่อย่างบรรพบุรุษทั้งหลายของข้าพระองค์
สภษ 9.18 แต่เขาไม่ทราบว่าคนตายอยู่ที่นั่น และแขกของนางก็อยู่ในห้วงลึกของนรก
ศฟย 1.7 จงนิ่งสงบอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า เพราะว่าวันแห่งพระเยโฮวาห์มาใกล้แล้ว พระเยโฮวาห์ทรงเตรียมเครื่องบูชา และทรงกระทำแขกของพระองค์ให้บริสุทธิ์
มธ 22.10 ผู้รับใช้เหล่านั้นจึงออกไปเชิญคนทั้งปวงตามทางหลวงแล้วแต่จะพบ ให้มาทั้งดีและชั่วจนงานสมรสนั้นเต็มด้วยแขก
มธ 22.11 แต่เมื่อกษัตริย์องค์นั้นเสด็จทอดพระเนตรแขก ก็เห็นผู้หนึ่งมิได้สวมเสื้อสำหรับงานสมรส
มก 6.22 เมื่อบุตรสาวของนางเฮโรเดียสเข้ามาเต้นรำ ทำให้เฮโรดและแขกทั้งปวงซึ่งเอนกายลงอยู่ด้วยกันนั้นชอบใจ กษัตริย์จึงตรัสกับหญิงสาวนั้นว่า “เธอจะขอสิ่งใดจากเรา เราก็จะให้สิ่งนั้นแก่เธอ”
มก 6.26 กษัตริย์ทรงเป็นทุกข์นัก แต่เพราะเหตุได้ทรงปฏิญาณไว้และเพราะเห็นแก่หน้าแขกทั้งปวงซึ่งเอนกายลงอยู่ด้วยกัน ก็ปฏิเสธไม่ได้
1ทธ 5.10 และจะต้องเป็นผู้ที่ได้ชื่อว่าได้กระทำดี เช่นได้เอาใจใส่เลี้ยงดูลูก ได้มีน้ำใจรับรองแขก ได้ล้างเท้าวิสุทธิชน ได้สงเคราะห์คนที่มีความทุกข์ยาก และได้บำเพ็ญคุณความดีทุกอย่าง

แขกแปลกหน้า ( 8 )
สดด 69.8 ข้าพระองค์กลายเป็นแขกแปลกหน้าของพี่น้อง และเป็นคนต่างด้าวของบุตรแห่งมารดาข้าพระองค์
สภษ 5.10 เกรงว่าแขกแปลกหน้าจะกินความอุดมสมบูรณ์ของเจ้าจนอิ่ม และแรงงานของเจ้าตกไปในเรือนของคนต่างด้าว
อสค 16.32 เป็นภรรยาที่แพศยาจัด ดูซิ ยอมรับรองแขกแปลกหน้าแทนที่จะรับรองสามี
มธ 25.35 เพราะว่าเมื่อเราหิว ท่านทั้งหลายก็ได้จัดหาให้เรากิน เรากระหายน้ำ ท่านก็ให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ได้ต้อนรับเราไว้
มธ 25.38 ที่ข้าพระองค์ได้เห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลกหน้า และได้ต้อนรับพระองค์ไว้แต่เมื่อไร หรือเปลือยพระกาย และได้สวมฉลองพระองค์ให้แต่เมื่อไร
มธ 25.43 เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ไม่ได้ต้อนรับเราไว้ เราเปลือยกาย ท่านก็ไม่ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เราเจ็บป่วยและต้องจำอยู่ในคุก ท่านไม่ได้เยี่ยมเรา’
มธ 25.44 เขาทั้งหลายจะทูลพระองค์ด้วยว่า ‘พระองค์เจ้าข้า ที่ข้าพระองค์ได้เห็นพระองค์ทรงหิวหรือทรงกระหายน้ำ หรือทรงเป็นแขกแปลกหน้าหรือเปลือยพระกาย หรือประชวร หรือต้องจำอยู่ในคุก และข้าพระองค์มิได้ปรนนิบัติพระองค์นั้นแต่เมื่อไร’
ฮบ 13.2 อย่าละเลยที่จะต้อนรับแขกแปลกหน้า เพราะว่าโดยการกระทำเช่นนั้น บางคนก็ได้ต้อนรับทูตสวรรค์โดยไม่รู้ตัว

แข็ง ( 38 )
ปฐก 11.3 แล้วพวกเขาต่างคนต่างก็พูดกันว่า “มาเถิด ให้พวกเราทำอิฐและเผามันให้แข็ง” พวกเขาจึงมีอิฐใช้ต่างหินและมียางมะตอยใช้ต่างปูนสอ
อพย 15.8 โดยลมที่ระบายจากช่องพระนาสิกน้ำก็ท่วมสูงขึ้นไป น้ำก็ท่วมท้นสูงขึ้น น้ำก็แข็งขึ้นในท้องทะเล
พบญ 2.30 แต่สิโหนกษัตริย์เมืองเฮชโบน ไม่ยอมให้เราทั้งหลายข้ามประเทศของท่าน เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงกระทำจิตใจของสิโหนให้กระด้าง กระทำใจของท่านให้แข็งไป เพื่อจะได้ทรงมอบเขาไว้ในมือของพวกท่าน ดังเป็นอยู่ทุกวันนี้
พบญ 8.15 ผู้ทรงนำท่านมาตลอดถิ่นทุรกันดารใหญ่น่ากลัว ซึ่งมีงูแมวเซาและแมลงป่อง และดินแห้งแล้งไม่มีน้ำ ผู้ทรงประทานน้ำจากหินแข็งให้แก่ท่าน
วนฉ 8.21 ฝ่ายเศบาห์กับศัลมุนนาจึงว่า “ท่านลุกขึ้นฟันเราเองซิ เป็นผู้ใหญ่เท่าใดกำลังก็แข็งเท่านั้น” กิเดโอนก็ลุกขึ้นฆ่าเศบาห์และศัลมุนนาเสีย แล้วเก็บเครื่องประดับที่คออูฐของเขาไว้
2ซมอ 10.11 ท่านกล่าวว่า “ถ้ากำลังคนซีเรียแข็งเหลือกำลังของเรา เจ้าจงยกไปช่วยเรา แต่ถ้ากำลังคนอัมโมนแข็งเกินกำลังของเจ้า เราจะยกมาช่วยเจ้า
2ซมอ 23.10 ท่านได้ลุกขึ้นฆ่าฟันคนฟีลิสเตียจนมือของท่านเมื่อยล้า มือของท่านเป็นเหน็บแข็งติดดาบ ในวันนั้นพระเยโฮวาห์ทรงกระทำให้ได้ชัยชนะอย่างใหญ่หลวง ทหารก็กลับตามท่านมาเพื่อปล้นข้าวของเท่านั้น
1พกษ 14.4 มเหสีของเยโรโบอัมก็กระทำดังนั้น พระนางลุกขึ้น เสด็จไปยังชีโลห์เสด็จมาถึงบ้านของอาหิยาห์ ฝ่ายอาหิยาห์มองไม่เห็น เพราะว่าตาของท่านแข็งด้วยอายุของท่าน
1พกษ 20.23 ข้าราชการของกษัตริย์แห่งซีเรียทูลท่านว่า “พระทั้งหลายของเขาเป็นพระแห่งภูเขา เขาทั้งหลายจึงแข็งกว่าเรา แต่ขอให้เราสู้รบกับเขาในที่ราบ แล้วเราจะต้องแข็งกว่าเขาแน่นอนทีเดียว
1พกษ 20.25 และเกณฑ์กองทัพเข้าแทนส่วนที่ล้มตายไปในคราวก่อน ม้าแทนม้า รถรบแทนรถรบ แล้วเราทั้งหลายจะสู้รบกับเขาในที่ราบ เราจะต้องแข็งกว่าเขาแน่นอนทีเดียว” และท่านก็ฟังเสียงของเขาทั้งหลายและกระทำตาม
2พกษ 17.14 เขาไม่ฟังแต่ทำให้คอของตนแข็ง ดังคอของบรรพบุรุษของเขาได้เป็นมาแล้ว ผู้ซึ่งมิได้เชื่อถือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขา
1พศด 19.12 และท่านพูดว่า “ถ้ากำลังคนซีเรียแข็งเหลือกำลังของเราแล้วเจ้าจงช่วยเรา แต่ถ้ากำลังคนอัมโมนแข็งเกินกำลังของเจ้า เราจะช่วยเจ้า
2พศด 23.1 แต่ในปีที่เจ็ดเยโฮยาดาได้กล้าแข็งขึ้น และให้พวกนายร้อยกระทำพันธสัญญากับท่าน มีอาซาริยาห์บุตรชายเยโรฮัม อิชมาเอลบุตรชายเยโฮฮานนัน อาซาริยาห์บุตรชายโอเบด มาอาเสอาห์บุตรชายอาดายาห์ และเอลีชาฟัทบุตรชายศิครี
2พศด 25.11 แต่อามาซิยาห์ทรงกล้าแข็งขึ้น และทรงนำพลของพระองค์ออกไปยังหุบเขาเกลือและโจมตีคนเสอีร์หนึ่งหมื่นคน
2พศด 28.6 เพราะว่าเปคาห์บุตรชายเรมาลิยาห์ได้ฆ่าเสียหนึ่งแสนสองหมื่นคนในยูดาห์ในวันเดียว ทั้งสิ้นเป็นทหารกล้าแข็ง เพราะเขาทั้งหลายได้ทอดทิ้งพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย
2พศด 36.13 พระองค์ทรงกบฏเช่นกันต่อกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ผู้ซึ่งทรงให้พระองค์ปฏิญาณในพระนามของพระเจ้า พระองค์ทรงแข็งพระศอของพระองค์ ทำพระทัยให้กระด้าง ไม่หันไปหาพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล
นหม 9.16 แต่เขาทั้งหลาย คือบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลายได้ประพฤติอย่างหยิ่งยโส และแข็งคอของเขาเสีย มิได้เชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์
นหม 9.17 เขาทั้งหลายปฏิเสธไม่เชื่อฟัง และไม่เอาใจใส่ในการมหัศจรรย์ซึ่งพระองค์ทรงประกอบขึ้นท่ามกลางเขา แต่เขาแข็งคอของเขา และในการกบฏนั้นได้แต่งตั้งหัวหน้าเพื่อจะกลับไปสู่ความเป็นทาสเขา แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าพร้อมที่จะทรงให้อภัย มีพระทัยเมตตาและกรุณา ทรงพระพิโรธช้า และทรงอุดมด้วยความเมตตา และมิได้ทรงละทิ้งเขาทั้งหลาย
โยบ 7.5 เนื้อของข้าห่มหนอนและก้อนฝุ่น หนังของข้าแข็งขึ้น แล้วก็น่ารังเกียจ
โยบ 10.10 พระองค์มิได้ทรงเทข้าพระองค์ออกอย่างน้ำนม และทำข้าพระองค์ให้แข็งเหมือนเนยแข็งหรือ
โยบ 28.9 คนยื่นมือที่หินแข็ง และทำลายภูเขาลงถึงราก
โยบ 37.18 ท่านแผ่ฟ้าออกไปพร้อมกับพระองค์ได้หรือ ให้แข็งอย่างคันฉ่องหลอม
โยบ 38.38 เมื่อผงคลีแข็งอย่างโลหะหลอม เมื่อก้อนดินเกาะกันแน่นหรือ
โยบ 40.17 มันขยับหางของมันให้แข็งเหมือนไม้สนสีดาร์ เอ็นโคนขาของมันก็สานเข้าด้วยกัน
โยบ 41.24 หัวใจของมันแข็งอย่างกับหิน เออ แข็งเหมือนอย่างแท่นหินโม่
สภษ 29.1 บุคคลที่ถูกตักเตือนบ่อยๆ แต่ยังแข็งคอ ประเดี๋ยวจะถูกทำลาย จึงรักษาไม่ได้
ยรม 7.26 ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ฟังเรา หรือเงี่ยหูฟัง แต่ได้กระทำให้คอของตนแข็ง เขาได้กระทำชั่วร้ายยิ่งกว่าบรรพบุรุษทั้งหลายของเขาเสียอีก
ยรม 17.23 ถึงกระนั้นเขาก็ไม่เชื่อฟังหรือเงี่ยหูฟัง แต่กระทำคอของเขาทั้งหลายให้แข็ง เพื่อจะไม่ได้ยินและไม่รับคำสั่งสอน
ยรม 19.15 “พระเยโฮวาห์จอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสว่า ดูเถิด เราจะนำสิ่งร้ายทั้งสิ้นซึ่งเราได้บอกกล่าวไว้ให้ตกอยู่บนเมืองนี้ และบรรดาหัวเมืองขึ้นทั้งสิ้น เพราะเขาทั้งหลายได้แข็งคอของเขา ปฏิเสธไม่ฟังถ้อยคำของเรา”
อสค 3.9 เราได้กระทำให้หน้าผากของเจ้าแข็งขันอย่างเพชรที่แข็งกว่าหินเหล็กไฟ อย่ากลัวเขาเลย อย่าท้อถอยเมื่อเห็นหน้าเขา เพราะเขาเป็นวงศ์วานที่มักกบฏ”
ศคย 7.12 เออ เขาได้กระทำใจของเขาเหมือนก้อนหินแข็ง เกรงว่าเขาจะได้ยินพระราชบัญญัติและพระวจนะ ซึ่งพระเยโฮวาห์จอมโยธาได้ทรงส่งไปทางผู้พยากรณ์รุ่นก่อนโดยพระวิญญาณของพระองค์ เหตุฉะนั้นพระพิโรธอันยิ่งใหญ่จึงได้มาจากพระเยโฮวาห์จอมโยธา
1คร 3.2 ข้าพเจ้าเลี้ยงท่านด้วยน้ำนมมิใช่ด้วยอาหารแข็ง เพราะว่าเมื่อก่อนนั้นท่านยังไม่สามารถรับและถึงแม้เดี๋ยวนี้ท่านก็ยังไม่สามารถ
ฮบ 5.12 ถึงแม้ว่าขณะนี้ท่านทั้งหลายควรจะเป็นครูได้แล้ว แต่ท่านก็ต้องให้คนอื่นสอนท่านอีกในเรื่องหลักเบื้องต้นแห่งพระวจนะของพระเจ้า และท่านทั้งหลายกลายเป็นคนที่ยังต้องกินน้ำนม ไม่ใช่อาหารแข็ง
ฮบ 5.14 แต่อาหารแข็งนั้นเป็นอาหารสำหรับผู้ใหญ่ คือผู้ที่เคยฝึกหัดความคิดของเขาจนสังเกตได้ว่าไหนดีไหนชั่ว

แข่ง ( 2 )
ยรม 12.5 “ถ้าเจ้าวิ่งแข่งกับทหารราบ และเขาทำให้เจ้าเหน็ดเหนื่อย เจ้าจะแข่งกับม้าได้อย่างไร และถ้าเจ้ายังเหน็ดเหนื่อยในแผ่นดินแห่งสันติภาพซึ่งเจ้าวางใจนั้น เจ้าจะทำอย่างไรในคลื่นของลุ่มแม่น้ำจอร์แดน
ยรม 22.15 เจ้าคิดว่าเจ้าจะครองราชสมบัติ เพราะเจ้าแข่งไม้สนสีดาร์กันหรือ ราชบิดาของเจ้ามิได้กินและดื่ม และกระทำความยุติธรรมและความเที่ยงธรรมดอกหรือ ฝ่ายราชบิดาก็อยู่เย็นเป็นสุข

แข็งกระด้าง ( 36 )
อพย 4.21 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “เมื่อเจ้ากลับไปถึงอียิปต์ จงกระทำมหัศจรรย์ต่างๆซึ่งเรามอบไว้ในมือของเจ้าแล้วนั้นต่อหน้าฟาโรห์ แต่เราจะทำให้ใจของฟาโรห์แข็งกระด้าง เพื่อเขาจะไม่ยอมให้พลไพร่ไป
อพย 7.3 เราจะทำให้ใจของฟาโรห์แข็งกระด้างไป และเราจะกระทำหมายสำคัญและมหัศจรรย์ของเราให้ทวีมากขึ้นในประเทศอียิปต์
อพย 7.13 และพระองค์ทรงทำให้พระทัยของฟาโรห์แข็งกระด้างเพื่อฟาโรห์หายอมเชื่อฟังเขาทั้งสองไม่ เหมือนที่พระเยโฮวาห์ได้ตรัสไว้แล้ว
อพย 7.14 พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “ใจของฟาโรห์แข็งกระด้าง ไม่ยอมปล่อยให้พลไพร่ไป
อพย 7.22 แต่พวกนักแสดงกลแห่งอียิปต์ก็กระทำได้เหมือนกันอาศัยเล่ห์กลของเขา และพระทัยของฟาโรห์ก็แข็งกระด้าง ฟาโรห์หาเชื่อฟังท่านทั้งสองไม่ เหมือนที่พระเยโฮวาห์ได้ตรัสไว้
อพย 8.15 แต่เมื่อฟาโรห์ทรงเห็นว่าความเดือดร้อนลดน้อยลงแล้ว ก็กลับมีพระทัยแข็งกระด้าง ไม่ยอมเชื่อฟังโมเสสและอาโรน เหมือนที่พระเยโฮวาห์ได้ตรัสไว้แล้ว
อพย 8.19 พวกนักแสดงกลจึงทูลฟาโรห์ว่า “นี่เป็นนิ้วพระหัตถ์พระเจ้า” ฝ่ายฟาโรห์มีพระทัยแข็งกระด้าง หาเชื่อฟังเขาไม่ เหมือนที่พระเยโฮวาห์ได้ตรัสไว้แล้ว
อพย 8.32 ฝ่ายฟาโรห์ก็กลับมีพระทัยแข็งกระด้างในคราวนี้อีก มิได้ทรงปล่อยบ่าวไพร่นั้นไป
อพย 9.7 ฟาโรห์ทรงใช้คนไปดู และดูเถิด สัตว์ของคนอิสราเอลไม่ตายสักตัวเดียว แต่พระทัยของฟาโรห์ก็แข็งกระด้าง พระองค์ไม่ยอมปล่อยให้บ่าวไพร่ไป
อพย 9.12 แต่พระเยโฮวาห์ทรงทำให้พระทัยของฟาโรห์แข็งกระด้าง ฟาโรห์ไม่ยอมเชื่อฟังโมเสสและอาโรน เหมือนที่พระเยโฮวาห์ได้ตรัสกับโมเสสไว้แล้ว
อพย 9.34 เมื่อฟาโรห์เห็นว่า ฝน ลูกเห็บและฟ้าร้องนั้นหยุดแล้ว พระองค์ก็กลับทรงกระทำผิดบาปต่อไปอีก พระทัยแข็งกระด้าง ทั้งพระองค์และข้าราชการ
อพย 9.35 พระทัยของฟาโรห์แข็งกระด้างและไม่ยอมปล่อยชนชาติอิสราเอลไปจริง เหมือนที่พระเยโฮวาห์ได้ตรัสไว้กับโมเสส
อพย 10.1 พระเยโฮวาห์จึงตรัสกับโมเสสว่า “จงเข้าไปหาฟาโรห์ เพราะเราได้ทำให้ใจของฟาโรห์ และใจของข้าราชการแข็งกระด้าง เพื่อเราจะได้แสดงหมายสำคัญเหล่านี้ของเราต่อหน้าพวกเขา
อพย 10.20 แต่พระเยโฮวาห์ทรงทำให้พระทัยของฟาโรห์แข็งกระด้างเพื่อพระองค์จะไม่ยอมปล่อยชนชาติอิสราเอลไป
อพย 10.27 แต่พระเยโฮวาห์ทรงทำให้พระทัยฟาโรห์แข็งกระด้าง พระองค์จึงไม่ยอมปล่อยเขาไป
อพย 11.10 โมเสสกับอาโรนก็ได้กระทำบรรดามหัศจรรย์เหล่านั้นต่อพระพักตร์ฟาโรห์ และพระเยโฮวาห์ทรงกระทำให้พระทัยของฟาโรห์แข็งกระด้างไป ท่านจึงไม่ยอมปล่อยชนชาติอิสราเอลให้ออกไปจากแผ่นดินของท่าน
อพย 14.4 เราจะบันดาลให้ใจฟาโรห์แข็งกระด้างไป ฟาโรห์จะไล่ตามมา แล้วเราจะได้รับเกียรติยศเพราะฟาโรห์และบรรดาพลโยธาของเขา แล้วชาวอียิปต์จะรู้ว่าเราคือพระเยโฮวาห์” เขาทั้งหลายก็กระทำตามรับสั่งนั้น
อพย 14.8 พระเยโฮวาห์ทรงให้พระทัยของฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์แข็งกระด้างไป ท่านจึงไล่ตามชนชาติอิสราเอล ซึ่งเดินทางไปโดยมีพระหัตถ์ของพระเจ้าคุ้มครอง
อพย 14.17 ดูเถิด ส่วนเราก็จะบันดาลให้ใจชาวอียิปต์แข็งกระด้างไล่ตามมา แล้วเราจะได้รับเกียรติเพราะฟาโรห์ พลโยธา รถรบ และพลม้าทั้งหมดของเขา
1ซมอ 6.6 ทำไมท่านจึงกระทำให้จิตใจของท่านแข็งกระด้างไปอย่างที่ชาวอียิปต์และฟาโรห์ได้กระทำจิตใจของเขาให้แข็งกระด้างนั้น เมื่อพระองค์ทรงกระทำเหตุการณ์สู้เขาทั้งหลายแล้ว เขาทั้งหลายก็ต้องปล่อยให้ประชาชนไปมิใช่หรือ แล้วเขาทั้งหลายก็จากไป
สดด 95.8 อย่าให้จิตใจของท่านแข็งกระด้างไปอย่างในครั้งกบฏนั้น เหมือนอย่างในวันที่ถูกทดลองในถิ่นทุรกันดาร
ปญจ 8.1 ใครผู้ใดจะเหมือนนักปราชญ์ หรือใครเล่าจะอธิบายอะไรๆก็ได้ สติปัญญาของมนุษย์กระทำให้ใบหน้าของเขาผ่องใส และใบหน้าของเขาที่แข็งกระด้างก็เปลี่ยนไป
อสย 19.4 และเราจะมอบคนอียิปต์ไว้ในมือของนายที่แข็งกระด้าง และกษัตริย์ดุร้ายคนหนึ่งจะปกครองเหนือเขา องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้แหละ
อสย 63.17 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ไฉนพระองค์ทรงกระทำให้ข้าพระองค์ทั้งหลายผิดไปจากพระมรรคาของพระองค์ และกระทำใจของข้าพระองค์ให้แข็งกระด้างจนข้าพระองค์ไม่ยำเกรงพระองค์ ขอพระองค์ทรงกลับมาเพื่อเห็นแก่บรรดาผู้รับใช้ของพระองค์คือ ตระกูลทั้งหลายอันเป็นมรดกของพระองค์
ดนล 5.20 แต่เมื่อพระทัยของพระบิดาผยองขึ้น ฝ่ายจิตวิญญาณของพระองค์ก็แข็งกระด้างไป จึงทรงประกอบกิจด้วยความเห่อเหิม พระเจ้าทรงถอดพระองค์จากราชบัลลังก์ และทรงริบสง่าราศีของพระองค์ไปเสีย
มธ 19.8 พระองค์ตรัสแก่เขาว่า “โมเสสได้ยอมให้ท่านทั้งหลายหย่าภรรยาของตน เพราะใจท่านทั้งหลายแข็งกระด้าง แต่เมื่อเดิมมิได้เป็นอย่างนั้น
มก 3.5 พระองค์มีพระทัยเป็นทุกข์เพราะใจเขาแข็งกระด้างนัก และได้ทอดพระเนตรดูรอบด้วยพระพิโรธ และพระองค์ตรัสกับชายคนนั้นว่า “จงเหยียดมือออกเถิด” เขาก็เหยียดออก และมือของเขาก็หายเป็นปกติเหมือนกับมืออีกข้างหนึ่ง
มก 6.52 ด้วยว่าการอัศจรรย์เรื่องขนมปังนั้นเขายังไม่เข้าใจ เพราะใจเขายังแข็งกระด้าง
มก 8.17 เมื่อพระเยซูทรงทราบจึงตรัสแก่เขาว่า “เหตุไฉนพวกท่านจึงปรึกษากันและกันถึงเรื่องไม่มีขนมปัง ท่านยังไม่รู้และไม่เข้าใจหรือ ใจของท่านยังแข็งกระด้างหรือ
มก 10.5 พระเยซูจึงตรัสตอบเขาว่า “โมเสสได้เขียนข้อบังคับนั้นเพราะเหตุใจพวกเจ้าแข็งกระด้าง
ยน 12.40 ‘พระองค์ได้ทรงปิดตาของเขาทั้งหลาย และทำใจของเขาให้แข็งกระด้างไป เกรงว่าเขาจะเห็นด้วยตาของเขา และเข้าใจด้วยจิตใจของเขา และหันกลับมาและเราจะรักษาเขาให้หาย’
อฟ 4.18 โดยที่ความเข้าใจของเขามืดมนไปและเขาอยู่ห่างจากชีวิตซึ่งมาจากพระเจ้า เพราะเหตุความโง่ซึ่งอยู่ในตัวเขา อันเนื่องจากใจที่แข็งกระด้างของเขา
ฮบ 3.8 อย่าให้จิตใจของท่านแข็งกระด้างไปอย่างในครั้งกบฏนั้น เหมือนอย่างในวันที่ถูกทดลองในถิ่นทุรกันดาร
ฮบ 3.15 เมื่อมีคำกล่าวไว้ว่า ‘วันนี้ ถ้าท่านทั้งหลายจะฟังพระสุรเสียงของพระองค์ อย่าให้จิตใจของท่านแข็งกระด้างไปอย่างในครั้งกบฏนั้น’
ฮบ 4.7 พระองค์จึงได้ทรงกำหนดวันหนึ่งไว้อีก คือกล่าวในคัมภีร์ของดาวิดครั้นล่วงไปช้านานแล้วว่า “วันนี้” เหมือนตรัสเมื่อคราวก่อนแล้วว่า ‘วันนี้ ถ้าท่านทั้งหลายจะฟังพระสุรเสียงของพระองค์ อย่าให้จิตใจของท่านแข็งกระด้างไป’

แข็งกล้า ( 7 )
พบญ 32.13 พระองค์ทรงโปรดเขาให้ขี่ไปบนโลกส่วนสูง ให้เขากินพืชผลที่ได้จากนา พระองค์ทรงให้เขาดูดน้ำผึ้งจากศิลา และให้ดื่มน้ำมันจากหินแข็งกล้า
2ซมอ 17.8 หุชัยกราบทูลต่อไปว่า “พระองค์ทรงทราบแล้วว่า เสด็จพ่อและคนที่อยู่ด้วยเป็นทหารแข็งกล้า และเขาทั้งหลายกำลังโกรธเหมือนหมีที่ลูกถูกลักเอาไปในป่า นอกจากนั้นเสด็จพ่อของพระองค์ทรงชำนาญศึก ท่านคงไม่พักอยู่กับพวกพล
2ซมอ 17.10 แม้คนที่กล้าหาญ ที่จิตใจเหมือนอย่างสิงโตก็จะละลายไปอย่างเต็มที่ เพราะอิสราเอลทั้งสิ้นทราบว่า เสด็จพ่อของพระองค์เป็นวีรบุรุษ และคนที่อยู่ก็เป็นทหารที่แข็งกล้า
2ซมอ 20.7 มีคนของโยอาบตามเขาไป และคนเคเรธี กับคนเปเลท กับทหารที่แข็งกล้าทั้งหมด และเขาทั้งหลายยกออกไปจากกรุงเยรูซาเล็มเพื่อไล่ตามเชบาบุตรชายบิครี
2ซมอ 24.9 และโยอาบก็ถวายจำนวนประชาชนที่นับได้แก่กษัตริย์ ในอิสราเอลมีทหารแข็งกล้าแปดแสนคนผู้ซึ่งชักดาบ และคนยูดาห์มีห้าแสนคน
โยบ 41.12 เราจะไม่งดพูดถึงอวัยวะต่างๆของมัน หรือกำลังอันแข็งกล้าของมัน หรือโครงร่างอันดีของมัน
อสค 26.17 ท่านเหล่านี้จะเปล่งเสียงบทคร่ำครวญเรื่องเจ้า และกล่าวแก่เจ้าว่า ‘ผู้มีพลเมืองเป็นชาวกะลาสีเอ๋ย เจ้าถูกทำลายแล้ว เจ้าเป็นเมืองที่มีชื่อเสียง เจ้าเป็นเมืองแข็งกล้าอยู่ที่ทะเล ทั้งเจ้าและชาวเมืองของเจ้า ว่าถึงคนที่นั่นแล้วเจ้าให้เขากลัว

แข็งแกร่ง ( 6 )
2พศด 11.11 พระองค์ทรงเสริมป้อมปราการให้แข็งแกร่ง และส่งผู้บังคับบัญชาไปประจำการในป้อมเหล่านั้น และทรงสะสมเสบียงอาหาร น้ำมัน และน้ำองุ่น
อสย 27.1 ในวันนั้น พระเยโฮวาห์จะทรงลงโทษด้วยพระแสงอันร้ายกาจ ยิ่งใหญ่ และแข็งแกร่งของพระองค์ต่อเลวีอาธาน ซึ่งเป็นพญานาคที่ฉกกัด คือเลวีอาธานพญานาคที่ขด และพระองค์จะทรงประหารมังกรที่อยู่ในทะเล
พคค 1.15 องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงเหยียบบรรดาผู้มีกำลังแข็งแกร่งของข้าพเจ้าไว้ใต้พระบาทท่ามกลางข้าพเจ้า พระองค์ได้ทรงเกณฑ์ชุมนุมชนเข้ามาต่อสู้ข้าพเจ้า เพื่อจะขยี้ชายฉกรรจ์ของข้าพเจ้าให้แหลกไป องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงย่ำบุตรสาวพรหมจารีแห่งยูดาห์ ดั่งเหยียบผลองุ่นลงในบ่อย่ำองุ่น
มคา 4.8 โอ หอคอยที่เฝ้าฝูงสัตว์เอ๋ย เจ้าผู้เป็นป้อมปราการอันแข็งแกร่งสำหรับบุตรสาวแห่งศิโยน อำนาจครอบครองดั้งเดิมจะมาสู่เจ้า ราชอาณาจักรจะมาสู่บุตรสาวแห่งเยรูซาเล็ม
นฮม 3.14 เจ้าจงชักน้ำขึ้นไว้สำหรับการถูกล้อมนั้น จงเสริมป้อมปราการของเจ้า จงลงไปในบ่อดินเหนียว ย่ำปูนสอให้เข้ากันดี และเสริมให้เตาเผาอิฐแข็งแกร่งขึ้น
2คร 10.4 (เพราะว่าศาสตราวุธแห่งการสงครามของเราไม่เป็นฝ่ายเนื้อหนัง แต่มีอานุภาพอันยิ่งใหญ่จากพระเจ้าที่จะทลายป้อมอันแข็งแกร่งลงได้)

แข็งข้อ ( 1 )
โยบ 9.4 พระองค์ฉลาดอยู่ในพระทัย และพระกำลังก็แข็งแรง ผู้ใดเคยได้แข็งข้อต่อพระองค์และเจริญขึ้นได้เล่า

แข็งขัน ( 3 )
วนฉ 5.21 แม่น้ำคีโชนพัดกวาดเขาไปเสีย คือแม่น้ำคีโชน แม่น้ำโบราณนั้น โอ จิตของข้าพเจ้าเอ๋ย เจ้าได้เหยียบย่ำด้วยกำลังแข็งขัน
อสค 3.9 เราได้กระทำให้หน้าผากของเจ้าแข็งขันอย่างเพชรที่แข็งกว่าหินเหล็กไฟ อย่ากลัวเขาเลย อย่าท้อถอยเมื่อเห็นหน้าเขา เพราะเขาเป็นวงศ์วานที่มักกบฏ”
มธ 9.30 แล้วตาของพวกเขาก็กลับเห็นดี พระเยซูได้ทรงกำชับเขาอย่างแข็งขันว่า “จงระวังอย่าให้ผู้ใดรู้เลย”

แข่งขัน ( 3 )
วนฉ 11.25 ฝ่ายท่านจะดีกว่าบาลาคบุตรชายสิปโปร์กษัตริย์เมืองโมอับหรือ ท่านเคยแข่งขันกับอิสราเอลหรือ ท่านเคยต่อสู้กับเขาทั้งหลายหรือ
2ทธ 2.5 และถ้าผู้ใดจะเข้าแข่งขันกัน เขาก็คงมิได้สวมมงกุฎ เว้นเสียแต่เขาได้ปฏิบัติตามกฎ
2ทธ 4.7 ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้แข่งขันจนถึงที่สุด ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว

แข็งใจ ( 1 )
ปฐก 43.31 โยเซฟล้างหน้าแล้วกลับออกมาแข็งใจกลั้นน้ำตาสั่งว่า “ยกอาหารมาเถิด”

แข็งตัว ( 2 )
โยบ 37.10 พระเจ้าประทานน้ำค้างแข็งด้วยลมหายใจของพระองค์ และน้ำกว้างใหญ่ก็แข็งตัว
โยบ 38.30 น้ำถูกซ่อนไว้เหมือนมีหินปิดบัง และผิวมหาสมุทรแข็งตัว

แข็งแรง ( 89 )
ปฐก 30.41 อยู่มาเมื่อสัตว์ที่แข็งแรงในฝูงจะตั้งท้อง ยาโคบก็จัดไม้วางไว้ที่รางน้ำให้ฝูงสัตว์เห็นเพื่อให้มันตั้งท้องกลางไม้นั้น
ปฐก 30.42 และเมื่อสัตว์อ่อนแอ ยาโคบก็ไม่ใส่ไม้นั้นไว้ เหตุฉะนั้นสัตว์ที่อ่อนแอจึงตกเป็นของลาบัน แต่สัตว์ที่แข็งแรงเป็นของยาโคบ
กดว 13.18 ตรวจดูแผ่นดินนั้นว่าเป็นอย่างไร และว่าคนที่อยู่ในแผ่นดินนั้นมีกำลังแข็งแรงหรืออ่อนแอ มีคนน้อยหรือมาก
กดว 14.12 เราจะประหารเขาเสียด้วยโรคร้ายและตัดเขาเสียจากการสืบมรดก เราจะกระทำให้เจ้าเป็นประเทศใหญ่โตและแข็งแรงกว่าเขาอีก”
พบญ 26.5 และท่านจงตอบสนองต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านว่า ‘บิดาของข้าพระองค์เป็นชาวซีเรียที่กำลังพินาศอยู่ ท่านลงไปในอียิปต์และอาศัยอยู่ที่นั่นมีแต่จำนวนน้อย ที่นั่นท่านก็กลายเป็นประชาชาติหนึ่งใหญ่โตแข็งแรงและมีพลเมืองมาก
ยชว 14.11 วันนี้ข้าพเจ้ายังมีกำลังแข็งแรงเช่นเดียวกับวันที่โมเสสใช้ให้ข้าพเจ้าไป กำลังของข้าพเจ้าในการทำศึกสงครามหรือออกไปและเข้ามาเดี๋ยวนี้ก็เป็นเหมือนครั้งนั้น
ยชว 23.9 เพราะว่าพระเยโฮวาห์ทรงขับไล่ประชาชาติที่ใหญ่โตและแข็งแรงออกไปให้พ้นหน้าท่าน ส่วนท่านเองก็ยังไม่มีผู้ใดต่อต้านท่านได้จนถึงวันนี้
วนฉ 14.14 ฝ่ายแซมสันจึงกล่าวแก่เขาว่า “มีของกินได้ออกมาจากตัวผู้กินเขา มีของหวานออกมาจากตัวที่แข็งแรง” ในสามวันเขาก็ยังแก้ปริศนานี้ไม่ได้
วนฉ 14.18 พอวันที่เจ็ดก่อนดวงอาทิตย์ตกชาวเมืองจึงบอกแซมสันว่า “มีอะไรหวานกว่าน้ำผึ้ง มีอะไรแข็งแรงกว่าสิงโต” แซมสันจึงบอกเขาว่า “ถ้าเจ้าไม่เอาแม่วัวของเราช่วยไถ เจ้าคงจะแก้ปริศนาของเราไม่ได้”
วนฉ 21.5 และคนอิสราเอลกล่าวว่า “คนใดในบรรดาตระกูลของอิสราเอลที่มิได้ขึ้นมาประชุมต่อพระเยโฮวาห์” เพราะเขาได้ปฏิญาณไว้แข็งแรงถึงผู้ที่มิได้มาประชุมต่อพระเยโฮวาห์ที่มิสปาห์ว่า “ผู้นั้นจะต้องถูกโทษถึงตายเป็นแน่”
2ซมอ 1.23 ซาอูลและโยนาธานเป็นที่รักและน่ารักเมื่อทรงพระชนม์อยู่ และเมื่อมรณาแล้วทั้งสองไม่แยกจากกัน ทั้งสองก็เร็วกว่านกอินทรี ทั้งสองแข็งแรงกว่าสิงโต
2พกษ 24.16 และกษัตริย์แห่งบาบิโลนทรงนำเชลยมายังบาบิโลน คือทแกล้วทหารทั้งหมดเจ็ดพันคน และช่างฝีมือและช่างเหล็กหนึ่งพัน ทุกคนแข็งแรง และเหมาะสำหรับการรบ
1พศด 11.10 ต่อไปนี้เป็นคนที่เด่นในพวกวีรบุรุษของดาวิด ผู้สนับสนุนพระองค์อย่างแข็งแรงในราชอาณาจักรของพระองค์ ด้วยกันกับอิสราเอลทั้งสิ้น เชิญพระองค์ให้เป็นกษัตริย์ ตามพระวจนะของพระเยโฮวาห์เกี่ยวด้วยเรื่องอิสราเอล
2พศด 11.12 และพระองค์ทรงเก็บโล่และหอกไว้ในหัวเมืองทั้งปวง และกระทำให้หัวเมืองเหล่านั้นแข็งแรงมาก พระองค์จึงทรงยึดยูดาห์และเบนยามินไว้ได้
2พศด 12.1 ต่อมาเมื่อราชอาณาจักรของเรโหโบอัมตั้งมั่นคงและแข็งแรงแล้ว พระองค์ทรงทอดทิ้งพระราชบัญญัติของพระเยโฮวาห์เสีย และอิสราเอลทั้งปวงก็ทิ้งพร้อมกับพระองค์ด้วย
2พศด 24.13 บรรดาคนที่รับจ้างทำงานจึงได้ทำงาน และงานซ่อมแซมก็ดำเนินก้าวหน้าในมือของเขา และเขาได้ซ่อมแซมพระนิเวศของพระเจ้าตามขนาดเดิมและเสริมให้แข็งแรงขึ้น
2พศด 26.9 ยิ่งกว่านั้นอีกอุสซียาห์ทรงสร้างป้อมในเยรูซาเล็มที่ประตูมุม ที่ประตูหุบเขาและที่หัวเลี้ยว และป้องกันไว้แข็งแรง
2พศด 26.16 แต่เมื่อพระองค์ทรงแข็งแรงแล้ว พระองค์ก็มีพระทัยผยองขึ้นจึงทรงกระทำความเสียหาย เพราะพระองค์ละเมิดต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพระองค์ และเข้าไปในพระวิหารของพระเยโฮวาห์เพื่อเผาเครื่องหอมบนแท่นเครื่องหอม
อสร 9.12 เพราะฉะนั้นบัดนี้ อย่ามอบพวกบุตรสาวของเจ้าแก่พวกบุตรชายของเขา หรืออย่ารับพวกบุตรสาวของเขาให้พวกบุตรชายของเจ้า หรืออย่าเสริมสันติภาพและความเจริญมั่งคั่งของเขาทั้งหลายเป็นนิตย์ เพื่อเจ้าทั้งหลายจะแข็งแรง และกินของดีๆแห่งแผ่นดินนั้น และมอบแผ่นดินนั้นไว้เป็นมรดกแก่ลูกหลานของเจ้าทั้งหลายเป็นนิตย์’
โยบ 4.11 สิงโตแก่พินาศเพราะขาดเหยื่อ และลูกของสิงโตที่แข็งแรงก็กระจัดกระจายไป
โยบ 9.4 พระองค์ฉลาดอยู่ในพระทัย และพระกำลังก็แข็งแรง ผู้ใดเคยได้แข็งข้อต่อพระองค์และเจริญขึ้นได้เล่า
โยบ 12.21 พระองค์ทรงเทความเหยียดหยามบนเจ้านาย และทรงกระทำให้ผู้ที่แข็งแรงอ่อนกำลัง
โยบ 17.9 คนชอบธรรมยังจะยึดมั่นอยู่กับทางของเขา และผู้ที่มีมือสะอาดก็จะแข็งแรงยิ่งขึ้นๆ
โยบ 18.7 ก้าวอันแข็งแรงของเขาก็จะสั้นเข้า และความคิดอ่านของเขาเองก็จะคว่ำเขาลง
โยบ 21.23 คนหนึ่งตายเมื่อยังแข็งแรงเต็มที่สบายและปลอดภัยทั้งสิ้น
โยบ 39.4 ลูกอ่อนของมันแข็งแรงขึ้น มันเติบโตใหญ่ด้วยมีข้าวกิน มันออกไปแล้วไม่กลับมาหาอีก
สดด 10.10 เขาหมอบลงและย่อตัวลง เพื่อคนยากจนจะจมลงด้วยพวกที่แข็งแรงของเขา
สดด 22.12 เหล่าวัวผู้ล้อมข้าพระองค์ วัวผู้แข็งแรงแห่งบาชานล้อมข้าพระองค์ไว้
สดด 38.19 บรรดาผู้ที่เป็นคู่อริของข้าพระองค์ก็ว่องไวและแข็งแรง และคนที่เกลียดข้าพระองค์โดยไร้เหตุทวีมากขึ้น
สดด 41.3 เมื่อเขาอยู่บนที่นอนด้วยความอิดโรยพระเยโฮวาห์จะทรงทำให้เขาแข็งแรงขึ้น เมื่อเขาอยู่บนที่นอนแห่งความเจ็บไข้พระองค์จะทรงรักษาเขาให้หายหมด
สดด 80.15 คือสวนองุ่นซึ่งพระหัตถ์ขวาของพระองค์ทรงปลูกไว้ และกิ่งที่พระองค์ทรงให้เจริญแข็งแรงเพื่อพระองค์เอง
สดด 80.17 ขอพระหัตถ์ของพระองค์จงอยู่เหนือผู้ที่อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ คือบุตรของมนุษย์ที่พระองค์ทรงกระทำให้แข็งแรงเพื่อพระองค์เอง
สดด 89.13 พระองค์มีพระกรอันทรงฤทธิ์ พระหัตถ์ของพระองค์ก็แข็งแรง พระหัตถ์ขวาของพระองค์ก็สูง
สดด 105.24 และพระเจ้าทรงกระทำให้ประชาชนของพระองค์มีลูกดก และทรงกระทำให้เขาแข็งแรงกว่าคู่อริของเขา
สดด 142.6 ขอทรงฟังคำร้องทูลของข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์ตกต่ำมากนัก ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากผู้ข่มเหงข้าพระองค์ เพราะเขาแข็งแรงเกินกำลังข้าพระองค์
สภษ 7.26 เพราะนางได้ฟัดเหยื่อลงเสียเป็นอันมาก เออ นางได้ฆ่าชายที่แข็งแรงจำนวนมากเสียแล้ว
สภษ 23.11 เพราะพระผู้ไถ่ของเขาแข็งแรง พระองค์จะว่าคดีของเขาต่อสู้เจ้า
สภษ 30.25 มด เป็นประชาชนที่ไม่แข็งแรง แต่มันยังเตรียมอาหารของมันไว้ในฤดูแล้ง
อสย 1.31 และผู้ที่แข็งแรงจะกลายเป็นใยป่าน และผู้ประกอบมันขึ้นจะเป็นเหมือนประกายไฟ และทั้งสองจะไหม้เสียด้วยกัน ไม่มีผู้ใดดับได้
อสย 25.3 เพราะฉะนั้นประชาชาติที่แข็งแรงจะถวายสง่าราศีแด่พระองค์ หัวเมืองของบรรดาประชาชาติที่ทารุณจะเกรงกลัวพระองค์
อสย 28.2 ดูเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมีผู้หนึ่งที่มีกำลังและแข็งแรง เหมือนพายุลูกเห็บ อันเป็นพายุทำลาย เหมือนพายุน้ำที่กำลังไหลท่วม ซึ่งจะเหวี่ยงลงถึงดินด้วยพระหัตถ์
อสย 31.1 วิบัติแก่คนเหล่านั้นผู้ลงไปที่อียิปต์เพื่อขอความช่วยเหลือ และหมายพึ่งม้า ผู้ที่วางใจในรถรบเพราะมีมาก และวางใจในพลม้า เพราะเขาทั้งหลายแข็งแรงนัก แต่มิได้หมายพึ่งองค์บริสุทธิ์ของอิสราเอล หรือแสวงหาพระเยโฮวาห์
อสย 35.4 จงกล่าวกับคนที่มีใจคร้ามกลัวว่า “จงแข็งแรงเถอะ อย่ากลัว ดูเถิด พระเจ้าของท่านทั้งหลายจะเสด็จมาด้วยการแก้แค้น พระองค์จะเสด็จมาและช่วยท่านให้รอด ด้วยการตอบแทนของพระเจ้า”
อสย 44.12 ช่างเหล็กใช้คีมทำงานอยู่เหนือก้อนถ่าน และใช้ค้อนทุบมันด้วยแขนที่แข็งแรงของเขา เออ เขาหิวและกำลังของเขาอ่อนลง เขาไม่ได้ดื่มน้ำเลย และอ่อนเปลี้ย
อสย 44.14 เขาตัดต้นสนสีดาร์ลง เขาเลือกต้นสนจีนและต้นโอ๊ก และปล่อยให้มันงอกขึ้นอย่างแข็งแรงท่ามกลางต้นไม้ในป่า เขาปลูกต้นแอชและฝนก็เลี้ยงมัน
ยรม 11.7 เพราะเราได้กล่าวตักเตือนอย่างแข็งแรงต่อบรรพบุรุษของเจ้า ในวันที่เรานำเขาขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์ แม้จนถึงทุกวันนี้อย่างไม่หยุดยั้งกล่าวตักเตือนว่า จงเชื่อฟังเสียงของเรา
ยรม 21.5 เราเองจะต่อสู้กับเจ้าด้วยมือที่เหยียดออกและด้วยแขนที่แข็งแรง ด้วยความกริ้ว ด้วยความเกรี้ยวกราดและพิโรธมากยิ่ง
ยรม 31.11 เพราะพระเยโฮวาห์ทรงไถ่ยาโคบไว้แล้ว และได้ไถ่เขามาจากมือที่แข็งแรงเกินกว่าเขา
ยรม 47.3 เมื่อได้ยินเสียงกีบม้าตัวแข็งแรงของเขากระทืบ และเสียงรถรบของเขากรูกันมา และเสียงล้อรถดังกึกก้อง พวกพ่อก็จะมิได้หันกลับมาดูลูกทั้งหลายของตน เพราะมือของเขาอ่อนเปลี้ยเต็มทีแล้ว
ยรม 49.19 ดูเถิด เขาจะขึ้นมาอย่างสิงโตจากคลื่นของลุ่มแม่น้ำจอร์แดนโจนเข้าใส่คอกของแกะที่แข็งแรง แต่เราจะกระทำให้เขาวิ่งหนีเธอไปอย่างฉับพลัน และใครเป็นผู้ที่เลือกสรรไว้ ที่เราจะแต่งตั้งไว้เหนือเธอ ใครเป็นอย่างเราเล่า ใครจะนัดเราเล่า ผู้เลี้ยงแกะคนใดจะทนยืนอยู่ต่อหน้าเราได้
ยรม 50.44 ดูเถิด เขาจะขึ้นมาอย่างสิงโตจากคลื่นของลุ่มแม่น้ำจอร์แดนโจนเข้าใส่คอกของแกะที่แข็งแรง แต่เราจะกระทำให้เขาวิ่งหนีเธอไปอย่างฉับพลัน และใครเป็นผู้ที่เลือกสรรไว้ ที่เราจะแต่งตั้งไว้เหนือเธอ ใครเป็นอย่างเราเล่า ใครจะนัดเราเล่า ผู้เลี้ยงแกะคนใดจะทนยืนอยู่ต่อหน้าเราได้
อสค 7.24 ฉะนั้นเราจะนำประชาชาติที่ชั่วร้ายที่สุดมาถือกรรมสิทธิ์บ้านเรือนของเขา และเราจะให้ทิฐิของคนที่แข็งแรงนั้นสิ้นสุดลง และสถานที่บริสุทธิ์ของเขาจะเป็นมลทิน
อสค 13.22 เพราะเจ้าได้กระทำให้คนชอบธรรมท้อใจด้วยการมุสา ทั้งที่เราไม่ได้กระทำให้เขาเศร้าใจเลย และเจ้าได้ทำให้มือของคนชั่วแข็งแรงขึ้น เพื่อมิให้เขาหันกลับจากทางชั่วของเขา โดยสัญญาว่าเขาจะได้ชีวิตรอด
อสค 19.11 เธอมีแขนงที่แข็งแรงซึ่งกลายเป็นไม้ธารพระกรของผู้ครอบครอง ความสูงของเธอชูขึ้นท่ามกลางแขนงที่หนาทึบ เธอปรากฏในที่สูงของเธอพร้อมกับแขนงมากมายของเธอ
อสค 19.12 แต่ว่าเธอถูกถอนออกด้วยความเกรี้ยวกราด เธอถูกทิ้งลงยังพื้นดิน ลมตะวันออกกระทำให้ผลของเธอเหี่ยวไป แขนงที่แข็งแรงก็หักเสียและเหี่ยวไป ไฟก็ไหม้เสีย
อสค 19.14 ไฟได้ออกมาจากแขนงใหญ่นั้น เผาผลาญแขนงอื่นและผลเสียหมด จึงไม่มีแขนงแข็งแรงเหลืออยู่ในต้นอีกเลย ไม่มีธารพระกรสำหรับผู้ครอบครอง นี่เป็นบทเพลงคร่ำครวญ และใช้เป็นบทเพลงคร่ำครวญ”
อสค 22.14 ใจเจ้าจะทนได้หรือ และมือของเจ้าจะแข็งแรงอยู่หรือ ในวันที่เราจะเอาเรื่องกับเจ้า เราคือพระเยโฮวาห์ได้ลั่นวาจาแล้ว และเราจะกระทำ
อสค 26.11 ท่านจะย่ำที่ถนนทั้งปวงของเจ้าด้วยกีบม้า ท่านจะฆ่าชนชาติของเจ้าเสียด้วยดาบ และเสาอันแข็งแรงของเจ้าจะล้มลงถึงดิน
อสค 30.22 เหตุฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราเป็นปฏิปักษ์กับฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ เราจะหักแขนของเขา ทั้งแขนที่ยังแข็งแรงและแขนที่หักแล้วนั้น เราจะกระทำให้ดาบหลุดจากมือของเขา
ดนล 2.40 และจะมีราชอาณาจักรที่สี่แข็งแรงดั่งเหล็ก เพราะเหล็กตีสิ่งทั้งหลายให้หักเป็นชิ้นๆและปราบสิ่งทั้งปวงลงได้ ราชอาณาจักรนั้นจะหัก และทุบสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ดังเหล็กซึ่งทุบให้แหลก
ดนล 2.42 และนิ้วเท้าเป็นเหล็กปนดินฉันใด ราชอาณาจักรนั้นจึงแข็งแรงบ้างเปราะบ้างฉันนั้น
ดนล 4.11 ต้นไม้เติบโตและแข็งแรง ยอดของมันขึ้นไปถึงฟ้าสวรรค์ และประจักษ์ไปถึงที่สุดปลายพิภพ
ดนล 4.20 ต้นไม้ที่พระองค์ทอดพระเนตร ซึ่งเติบโตขึ้นและแข็งแรง จนยอดขึ้นไปถึงฟ้าสวรรค์ ประจักษ์ไปทั่วพิภพทั้งสิ้น
ดนล 7.7 ต่อจากนี้ไปข้าพเจ้าได้เห็นในนิมิตกลางคืน และดูเถิด สัตว์ที่สี่มันร้ายกาจและเป็นที่น่ากลัวและแข็งแรงยิ่งนัก มันมีฟันเหล็กมหึมา มันกินและหักเป็นชิ้นๆ และกระทืบสิ่งที่เหลือนั้นเสีย มันต่างกับสัตว์อื่นทั้งหลายที่อยู่ก่อนมัน มันมีเขาสิบเขา
ดนล 8.8 แล้วแพะผู้ก็พองตัวขึ้นอย่างยิ่ง แต่เมื่อมันแข็งแรง เขาใหญ่ของมันก็หัก มีเขาเด่นอีกสี่เขางอกขึ้นแทนที่ หันไปทางทิศลมทั้งสี่ของฟ้าสวรรค์
ดนล 11.15 แล้วกษัตริย์แห่งถิ่นเหนือจะมาล้อมและก่อเชิงเทิน และยึดเมืองที่มีป้อมแข็งแรงได้ และกำลังกองทัพของถิ่นใต้จะสู้ไม่ไหว แม้ว่ากองทัพที่คัดเลือกแล้วก็ยังสู้ไม่ได้ เพราะไม่มีกำลังที่จะยืนหยัดอยู่ได้
อมส 2.9 เรายังได้ล้างผลาญคนอาโมไรต์ตรงหน้าเขา ซึ่งส่วนสูงของเขาเหมือนอย่างความสูงของต้นสนสีดาร์ และเป็นผู้ที่แข็งแรงอย่างกับต้นโอ๊ก เราทำลายผลข้างบนของเขาเสีย และทำลายรากข้างล่างของเขาเสีย
อมส 2.14 ฉะนั้นการหนีจะประลาตไปจากผู้มีฝีเท้ารวดเร็ว คนที่แข็งแรงจะไม่สามารถเสริมกำลังของเขา คนที่มีกำลังมากจะช่วยชีวิตของตนก็ไม่ได้
อมส 5.9 ผู้ทรงกระทำให้ผู้ที่ถูกปล้นแวบเข้าสู่ผู้แข็งแรง ผู้ที่ถูกปล้นจึงเข้าสู่ป้อมปราการ
ยนา 1.13 ถึงกระนั้นก็ดีพวกลูกเรือก็ช่วยกันตีกรรเชียงอย่างแข็งแรงเพื่อจะนำเรือกลับเข้าฝั่งแต่ไม่ได้ เพราะว่าทะเลยิ่งกำเริบมากขึ้นต้านเขาไว้
มคา 4.3 พระองค์จะทรงวินิจฉัยระหว่างชนชาติทั้งหลายเป็นอันมาก และจะทรงตัดสินเพื่อบรรดาประชาชาติอันแข็งแรงที่อยู่ไกลออกไป และเขาทั้งหลายจะตีดาบของเขาให้เป็นผาลไถนา และหอกของเขาให้เป็นขอลิด ประชาชาติจะไม่ยกดาบต่อสู้กันอีก เขาจะไม่ศึกษายุทธศาสตร์อีกต่อไป
ศคย 8.9 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า จงให้มือของเจ้าทั้งหลายแข็งแรง คือเจ้าทั้งหลายผู้ได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ในกาลนี้ซึ่งมาจากปากผู้พยากรณ์ทั้งหลาย ซึ่งอยู่ในวันที่ได้วางรากฐานพระนิเวศของพระเยโฮวาห์จอมโยธา เพื่อว่าจะได้ก่อสร้างพระวิหารนั้นขึ้น
ศคย 8.13 โอ วงศ์วานยูดาห์และวงศ์วานอิสราเอลเอ๋ย เจ้าเคยเป็นที่สาปแช่งท่ามกลางประชาชาติทั้งหลายให้เขาแช่งฉันใด ต่อมาเราจะช่วยเจ้าให้รอดพ้นและเจ้าจะได้เป็นแหล่งพระพรฉันนั้น อย่ากลัวเลย แต่จงให้มือของเจ้าแข็งแรงเถิด
มธ 27.64 เหตุฉะนั้น ขอได้มีบัญชาสั่งเฝ้าอุโมงค์ให้แข็งแรงจนถึงวันที่สาม เกลือกว่าสาวกของเขาจะมาในตอนกลางคืน และลักเอาศพไป แล้วจะประกาศแก่ประชาชนว่า เขาเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และการหลอกลวงครั้งนี้จะร้ายแรงยิ่งกว่าครั้งก่อนอีก”
มธ 27.65 ปีลาตจึงบอกเขาว่า “พวกท่านจงเอายามไปเถิด จงไปเฝ้าให้แข็งแรงเท่าที่ท่านจะทำได้”
มก 5.43 พระองค์ก็กำชับห้ามเขาแข็งแรงไม่ให้บอกผู้ใดให้รู้เหตุการณ์นี้ แล้วจึงสั่งเขาให้นำอาหารมาให้เด็กนั้นรับประทาน
มก 14.31 แต่เปโตรทูลแข็งแรงทีเดียวว่า “ถึงแม้ข้าพระองค์จะต้องตายกับพระองค์ ข้าพระองค์ก็จะไม่ปฏิเสธพระองค์เลย” เหล่าสาวกก็ทูลเช่นนั้นเหมือนกันทุกคน
ลก 22.59 อยู่มาประมาณอีกชั่วโมงหนึ่งมีอีกคนหนึ่งยืนยันแข็งแรงว่า “แน่แล้ว คนนี้อยู่กับเขาด้วย เพราะเขาเป็นชาวกาลิลี”
ลก 23.5 เขาทั้งหลายยิ่งกล่าวแข็งแรงว่า “คนนี้ยุยงพลเมืองให้วุ่นวาย และสั่งสอนทั่วตลอดยูเดีย ตั้งแต่กาลิลีจนถึงที่นี่”
ลก 23.10 ฝ่ายพวกปุโรหิตใหญ่และพวกธรรมาจารย์ก็ยืนขึ้นฟ้องพระองค์แข็งแรงมาก
กจ 4.17 แต่ให้เราขู่เขาอย่างแข็งแรงห้ามไม่ให้พูดอ้างชื่อนั้นกับผู้หนึ่งผู้ใดเลย เพื่อเรื่องนี้จะไม่ได้เลื่องลือแพร่หลายไปในหมู่คนทั้งปวง”
กจ 5.28 ว่า “เราได้กำชับพวกเจ้าอย่างแข็งแรงมิให้สอนออกชื่อนี้ ก็ดูเถิด เจ้าได้ให้คำสอนของเจ้าแพร่ไปทั่วกรุงเยรูซาเล็ม และปรารถนาให้ความผิดเนื่องด้วยโลหิตของผู้นั้นตกอยู่กับเรา”
กจ 15.41 ท่านจึงไปตลอดแคว้นซีเรียกับแคว้นซิลีเซียหนุนใจคริสตจักรให้แข็งแรงขึ้น
กจ 18.28 เพราะท่านโต้แย้งกับพวกยิวอย่างแข็งแรงต่อหน้าคนทั้งปวง และชี้แจงยกหลักในพระคัมภีร์อ้างให้เห็นว่า พระเยซูคือพระคริสต์
กจ 23.14 คนเหล่านั้นจึงไปหาพวกปุโรหิตใหญ่กับพวกผู้ใหญ่กล่าวว่า “พวกข้าพเจ้าได้ปฏิญาณตัวอย่างแข็งแรงว่าจะไม่รับประทานอาหารจนกว่าจะได้ฆ่าเปาโลเสีย
1คร 1.27 แต่พระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าโง่เขลา เพื่อจะทำให้คนมีปัญญาอับอาย และพระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าอ่อนแอ เพื่อทำให้คนที่แข็งแรงอับอาย
2คร 12.10 เหตุฉะนั้นเพราะเห็นแก่พระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นใจในความอ่อนแอของข้าพเจ้า ในการถูกว่ากล่าวต่างๆ ในการขัดสน ในการถูกข่มเหง ในการยากลำบาก เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะแข็งแรงมากเมื่อนั้น
วว 3.2 เจ้าจงระแวดระวังให้ดี และกระตุ้นส่วนที่เหลืออยู่ซึ่งจวนจะตายอยู่แล้วนั้นให้แข็งแรงขึ้น เพราะว่าเราไม่พบการประพฤติของเจ้าดีพร้อมต่อพระพักตร์พระเจ้า
วว 18.10 พวกกษัตริย์จะยืนอยู่แต่ห่างๆเพราะกลัวภัยแห่งการทรมานของนครนั้น และจะกล่าวว่า “อนิจจาเอ๋ย อนิจจาเอ๋ย บาบิโลนมหานครที่ยิ่งใหญ่ นครที่แข็งแรง เพราะเจ้าได้รับการพิพากษาโทษให้พินาศไปภายในชั่วโมงเดียวเท่านั้น”

แขน ( 55 )
อพย 6.6 เหตุฉะนี้จงกล่าวแก่ชนชาติอิสราเอลว่า ‘เราคือพระเยโฮวาห์ เราจะนำพวกเจ้าไปให้พ้นจากงานตรากตรำที่ชาวอียิปต์เกณฑ์ให้ทำ และจะให้พ้นจากการเป็นทาสเขา เราจะช่วยเจ้าให้พ้นด้วยแขนที่เหยียดออก และด้วยการพิพากษาอันใหญ่หลวง
ลนต 21.18 เพราะว่าผู้ใดที่มีตำหนิจะเข้าใกล้ไม่ได้ ไม่ว่าเป็นคนตาบอดหรือเป็นคนง่อย หรือที่หน้ามีแผลเป็น หรือแขนขายาวเกิน
พบญ 33.20 ท่านกล่าวถึงกาดว่า “สาธุการแด่พระองค์ผู้ทรงขยายกาด กาดหมอบอยู่เหมือนกับสิงโต เขาทึ้งแขนและกระหม่อมบนศีรษะ
วนฉ 15.14 เมื่อท่านมาถึงเลฮีแล้วคนฟีลิสเตียก็ร้องอึกทึกมาพบท่าน และพระวิญญาณของพระเยโฮวาห์ก็ทรงสถิตกับแซมสันอย่างมาก เชือกพวนที่ผูกแขนของท่านก็เป็นประดุจป่านที่ไหม้ไฟ เครื่องจองจำนั้นก็หลุดออกจากมือ
วนฉ 16.12 เดลิลาห์จึงเอาเชือกใหม่มัดท่านไว้แล้วบอกท่านว่า “แซมสันจ๋า คนฟีลิสเตียมาจับท่านแล้ว” และคนซุ่มคอยอยู่ในห้องชั้นใน แต่ท่านก็ดึงเชือกออกจากแขนเหมือนดึงเส้นด้าย
1ซมอ 2.31 ดูเถิด วาระนั้นจะมาถึงอยู่แล้วที่เราจะตัดแขนของเจ้าออก และตัดแขนของวงศ์วานบิดาของเจ้าออก เพื่อจะไม่มีคนชราสักคนเดียวในวงศ์วานของเจ้า
2ซมอ 22.35 พระองค์ทรงหัดมือของข้าพเจ้าให้ทำสงคราม แขนของข้าพเจ้าจึงโก่งคันธนูเหล็กกล้าได้
โยบ 22.9 ท่านไล่แม่ม่ายออกไปมือเปล่า และแขนของลูกกำพร้าพ่อก็หัก
โยบ 26.2 “ท่านได้ช่วยผู้ไม่มีกำลังมากจริงหนอ ท่านได้ช่วยแขนที่ไม่มีแรงแล้วหนอ
โยบ 31.22 แล้วก็ให้กระดูกไหปลาร้าหลุดจากบ่าของข้า และให้แขนของข้าหักหลุดจากข้อต่อเสียเถิด
โยบ 35.9 เหตุด้วยการถูกบีบบังคับเป็นอันมาก ก็ทำให้ผู้ที่ถูกบีบบังคับนั้นร้องทุกข์ เขาร้องขอความช่วยเหลือเนื่องด้วยแขนของผู้ทรงอำนาจ
โยบ 38.15 แสงสว่างถูกยึดไว้เสียจากคนชั่วร้าย และแขนของเขาที่เงื้อขึ้นก็ถูกหักเสีย
โยบ 40.9 เจ้ามีแขนเหมือนพระเจ้าหรือ และเจ้าทำเสียงกัมปนาทเหมือนเสียงของพระองค์ได้หรือ
สดด 10.15 ขอพระองค์ทรงหักแขนของคนชั่วและคนกระทำชั่ว ขอทรงค้นความชั่วของเขาออกมาจนหมดสิ้น
สดด 18.34 พระองค์ทรงฝึกมือของข้าพเจ้าให้ทำสงคราม ดังนั้นแขนของข้าพเจ้าสามารถทำให้คันธนูเหล็กกล้าหักได้
สดด 37.17 เพราะแขนของคนชั่วจะหัก แต่พระเยโฮวาห์ทรงเชิดชูคนชอบธรรม
สดด 44.3 เพราะเขาทั้งหลายไม่ได้แผ่นดินนั้นมาครอบครองด้วยดาบของเขาเอง มิใช่แขนของเขาที่ช่วยให้เขารอด แต่โดยพระหัตถ์ขวา และพระกรของพระองค์ และโดยความสว่างจากสีพระพักตร์พระองค์ เพราะพระองค์ทรงโปรดปรานเขาทั้งหลาย
สดด 89.21 เพื่อว่ามือของเราจะอยู่กับเขาเป็นนิตย์ และแขนของเราจะเสริมกำลังของเขา
สภษ 31.17 เธอคาดเอวของเธอด้วยกำลัง และกระทำให้แขนของเธอเข้มแข็ง
พซม 8.6 จงแนบดิฉันไว้ดุจดวงตราแขวนอยู่ที่ใจของเธอ ประดุจดวงตราบนแขนของเธอ เพราะความรักนั้นเข้มแข็งอย่างความตาย ความริษยาก็ดุเดือดเหมือนแดนคนตาย และประกายแห่งความริษยานั้นก็คือประกายเพลิง คือประกายเพลิงที่แสนรุนแรง
อสย 9.20 เขาจะฉวยได้ทางขวา แต่ยังหิวอยู่ เขาจะกินทางซ้าย แต่ก็ยังไม่อิ่ม ต่างก็จะกินเนื้อแขนของตนเอง
อสย 17.5 และจะเป็นเหมือนเมื่อคนเกี่ยวข้าวเก็บเกี่ยวพืชข้าวที่ตั้งอยู่และแขนของเขาจะเกี่ยวรวงข้าว และจะเป็นเหมือนเมื่อคนหนึ่งเก็บรวงข้าวในที่หุบเขาเรฟาอิม
อสย 33.2 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงพระกรุณาแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย ข้าพระองค์ทั้งหลายรอคอยพระองค์ ขอทรงเป็นแขนของเขาทั้งหลายทุกเช้า เป็นความรอดของข้าพระองค์ทั้งหลายในยามทุกข์ลำบากด้วย
อสย 44.12 ช่างเหล็กใช้คีมทำงานอยู่เหนือก้อนถ่าน และใช้ค้อนทุบมันด้วยแขนที่แข็งแรงของเขา เออ เขาหิวและกำลังของเขาอ่อนลง เขาไม่ได้ดื่มน้ำเลย และอ่อนเปลี้ย
อสย 51.5 ความชอบธรรมของเราใกล้เข้ามาแล้ว และความรอดของเราได้ออกไปแล้ว แขนของเราจะพิพากษาชนชาติทั้งหลาย เกาะทั้งหลายจะรอคอยเรา และเขาจะหวังคอยแขนของเรา
อสย 63.5 เรามอง แต่ไม่มีผู้ใดช่วยเหลือ เราประหลาดใจว่าไม่มีผู้ชูไว้ เพราะฉะนั้นแขนของเราเองจึงนำความรอดมาให้เรา และความพิโรธของเรา ชูเราไว้
ยรม 17.5 พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “คนที่วางใจในมนุษย์และให้เนื้อหนังเป็นแขนของเขา และใจของเขาหันออกจากพระเยโฮวาห์ คนนั้นก็เป็นที่สาปแช่ง
ยรม 21.5 เราเองจะต่อสู้กับเจ้าด้วยมือที่เหยียดออกและด้วยแขนที่แข็งแรง ด้วยความกริ้ว ด้วยความเกรี้ยวกราดและพิโรธมากยิ่ง
ยรม 27.5 นี่คือเราเอง ผู้ได้สร้างโลก ทั้งมนุษย์และสัตว์ซึ่งอยู่บนพื้นดิน ด้วยฤทธานุภาพใหญ่ยิ่งและด้วยแขนที่เหยียดออกของเรา และเราจะให้แก่ผู้ใดก็ได้สุดแต่เราเห็นชอบ
ยรม 48.25 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เขาของโมอับถูกตัดออกแล้ว และแขนของมันก็หักไป
อสค 4.7 และเจ้าต้องตั้งหน้าตรงการล้อมเยรูซาเล็มไว้ด้วยแขนเปลือยเปล่า และเจ้าจงพยากรณ์สู้นครนั้น
อสค 13.18 และกล่าวว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า วิบัติแห่งหญิงที่เย็บปลอกไสยศาสตร์สำหรับใส่ช่องแขนเสื้อทั้งสิ้น และทำผ้าคลุมศีรษะให้คนทุกขนาดเพื่อล่าวิญญาณ เจ้าจะล่าวิญญาณซึ่งเป็นของประชาชนของเรา และจะรักษาวิญญาณอื่นๆให้คงชีวิตอยู่เพื่อผลกำไรของเจ้าหรือ
อสค 13.20 ด้วยเหตุนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราต่อสู้ปลอกไสยศาสตร์ของเจ้า ซึ่งเจ้าใช้ล่าวิญญาณเพื่อให้เขาบินไป และเราจะฉีกปลอกไสยศาสตร์นั้นเสียจากแขนของเจ้าทั้งหลาย และเราจะปล่อยวิญญาณเหล่านั้นไป คือวิญญาณที่เจ้าล่าเพื่อให้เขาบินไป
อสค 20.33 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด เราจะครอบครองเหนือเจ้าแน่นอนทีเดียว ด้วยมือที่มีฤทธิ์ และด้วยแขนที่เหยียดออก และด้วยความพิโรธที่เทลงมา
อสค 20.34 เราจะนำเจ้าออกมาจากชนชาติทั้งหลาย และจะรวบรวมเจ้าออกมาจากประเทศทั้งปวงซึ่งเจ้าต้องกระจัดกระจายกันไปอยู่นั้น ด้วยมือที่มีฤทธิ์ และด้วยแขนที่เหยียดออก และด้วยความพิโรธที่เทลงมา
อสค 30.21 “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เราได้กระทำให้แขนของฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์หัก และดูเถิด ไม่มีผู้ใดพันแขนให้ ไม่มีผู้ใดเอาผ้ามาพันแขนเพื่อจะรักษาให้หาย เพื่อให้เข้มแข็งที่จะถือดาบได้อีก
อสค 30.22 เหตุฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราเป็นปฏิปักษ์กับฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ เราจะหักแขนของเขา ทั้งแขนที่ยังแข็งแรงและแขนที่หักแล้วนั้น เราจะกระทำให้ดาบหลุดจากมือของเขา
อสค 30.24 และเราจะเสริมกำลังแขนของกษัตริย์แห่งบาบิโลน และเอาดาบของเราใส่มือให้ แต่เราจะหักแขนของฟาโรห์ และเขาจะคร่ำครวญต่อหน้าท่านอย่างคนถูกบาดเจ็บเจียนจะตาย
อสค 30.25 เราจะเสริมกำลังแขนของกษัตริย์แห่งบาบิโลน แต่แขนของฟาโรห์จะตก แล้วเขาทั้งหลายจะทราบว่าเราคือพระเยโฮวาห์ เมื่อเราเอาดาบของเราใส่มือของกษัตริย์แห่งบาบิโลน ท่านจะยื่นมันออกต่อสู้แผ่นดินอียิปต์
อสค 31.17 ประชาชาติเหล่านี้จะลงไปยังนรกกับเขาด้วย ไปอยู่กับบรรดาผู้ที่ถูกฆ่าด้วยดาบ เออ คือบรรดาผู้ที่เป็นเหมือนแขนของเขา ที่อยู่ใต้ร่มของเขาท่ามกลางประชาชาติ
ดนล 2.32 เศียรของปฏิมากรนี้เป็นทองคำเนื้อดี อกและแขนเป็นเงิน ท้องและโคนขาเป็นทองสัมฤทธิ์
ดนล 10.6 ร่างกายของท่านดั่งพลอยเขียว และหน้าของท่านก็เหมือนฟ้าแลบ ดวงตาของท่านก็เหมือนกับคบเปลวเพลิง แขนและเท้าเป็นเงางามเหมือนกับทองสัมฤทธิ์ขัด และเสียงถ้อยคำของท่านเหมือนเสียงมวลชน
ดนล 11.6 ต่อมาอีกหลายปีเขาจะกระทำพันธมิตรกัน และบุตรสาวแห่งกษัตริย์ถิ่นใต้จะมาหากษัตริย์แห่งถิ่นเหนือเพื่อกระทำสันติภาพ แต่เธอก็ไม่กระทำให้กำลังแขนของเธอคงอยู่ได้ กษัตริย์และแขนของท่านจะไม่ยั่งยืน เธอจะถูกอายัดไว้ ทั้งผู้ที่นำเธอมา ผู้ที่ให้กำเนิดเธอ และผู้ที่ให้กำลังแก่เธอในกาลนั้น
ฮชย 7.15 แม้ว่าเราจะได้ฝึกและเพิ่มกำลังแขนให้เขา เขาก็ยังคิดทำร้ายต่อเรา
ศคย 11.17 วิบัติแก่เมษบาลผู้ไร้ค่าของเรา ผู้ที่ทอดทิ้งฝูงแพะแกะเสีย ขอให้ดาบฟันแขนของเขาและฟันตาขวาของเขาเถิด ขอให้แขนของเขาลีบไปเสีย และให้ตาขวาของเขาบอดทีเดียว”

แขนง ( 21 )
ลนต 25.3 เจ้าจงหว่านพืชในนาของเจ้าหกปี และจงลิดแขนงสวนองุ่นของเจ้าและเก็บผลหกปี
ลนต 25.4 แต่ในปีที่เจ็ดนั้นเป็นปีสะบาโตแห่งการหยุดพักผ่อนสำหรับแผ่นดิน เป็นปีสะบาโตแด่พระเยโฮวาห์ เจ้าอย่าหว่านพืชในนา หรือลิดแขนงสวนองุ่นของเจ้า
โยบ 8.16 เขาเขียวสดอยู่ต่อหน้าดวงอาทิตย์ และแขนงของเขาก็แผ่ออกเหนือสวนของเขา
สดด 80.11 มันส่งกิ่งไปถึงทะเลและส่งแขนงไปถึงแม่น้ำ
อสย 5.6 เราจะกระทำมันให้เป็นที่ร้าง จะไม่มีใครลิดแขนงหรือพรวนดิน หนามย่อยหนามใหญ่ก็จะงอกขึ้น และเราจะบัญชาเมฆไม่ให้โปรยฝนรดมัน
อสย 18.5 เพราะก่อนถึงฤดูเกี่ยว ดอกตูมเบ่งบานเต็มที่แล้ว และผลองุ่นเปรี้ยวกำลังสุกอยู่ในช่อของมัน พระองค์จะทรงตัดแขนงออกด้วยขอลิดแขนงและนำออกไป และจะทรงตัดกิ่งก้านนั้นลงเสีย
อสค 17.6 เมล็ดก็งอกขึ้นมาและเติบโตขึ้นเป็นเถาองุ่นเตี้ย แผ่แขนงไพศาล แขนงทั้งหลายของต้นนี้ก็ทอดมายังตัวนกอินทรี และรากก็ยังคงอยู่ใต้มัน เมล็ดจึงบังเกิดเป็นเถา แตกแขนงสาขาและออกใบ
อสค 17.7 แต่มีนกอินทรีตัวมหึมาอีกตัวหนึ่ง มีปีกใหญ่และมีขนมาก ดูเถิด องุ่นเถานั้นชอนรากมาหานกอินทรีตัวนี้ และแตกแขนงตรงมาที่มัน เพื่อให้มันรดน้ำให้จากร่องที่ปลูกอยู่นั้น
อสค 17.8 นกได้ย้ายมันไปปลูกไว้ในที่ดินดีใกล้น้ำมากหลาย เพื่อให้แตกแขนงและบังเกิดผล และเป็นเถาองุ่นที่มีเกียรติ
อสค 17.22 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “เราเองจะเอาแขนงจากยอดสูงของต้นสนสีดาร์และปลูกไว้ เราจะหักกิ่งอ่อนของมันออกเสีย และเราเองจะปลูกมันไว้บนภูเขายอดสูง
อสค 19.10 มารดาของเจ้าเหมือนเถาองุ่นที่อยู่ในโลหิตของเจ้า เอามาปลูกไว้ริมน้ำ เธอมีผลดกและมีแขนงมากมายเหตุด้วยน้ำบริบูรณ์
อสค 19.11 เธอมีแขนงที่แข็งแรงซึ่งกลายเป็นไม้ธารพระกรของผู้ครอบครอง ความสูงของเธอชูขึ้นท่ามกลางแขนงที่หนาทึบ เธอปรากฏในที่สูงของเธอพร้อมกับแขนงมากมายของเธอ
อสค 19.12 แต่ว่าเธอถูกถอนออกด้วยความเกรี้ยวกราด เธอถูกทิ้งลงยังพื้นดิน ลมตะวันออกกระทำให้ผลของเธอเหี่ยวไป แขนงที่แข็งแรงก็หักเสียและเหี่ยวไป ไฟก็ไหม้เสีย
อสค 19.14 ไฟได้ออกมาจากแขนงใหญ่นั้น เผาผลาญแขนงอื่นและผลเสียหมด จึงไม่มีแขนงแข็งแรงเหลืออยู่ในต้นอีกเลย ไม่มีธารพระกรสำหรับผู้ครอบครอง นี่เป็นบทเพลงคร่ำครวญ และใช้เป็นบทเพลงคร่ำครวญ”

แขม ( 1 )
อสย 19.7 กอแขมที่แม่น้ำ ที่ริมฝั่งแม่น้ำ และทั้งสิ้นที่หว่านลงข้างแม่น้ำนั้นจะแห้งไป จะถูกไล่ไปเสียและไม่มีอีก

แขวง ( 16 )
2ซมอ 20.15 พวกเขาก็มาถึงและล้อมเขาไว้ในตำบลอาเบลแขวงเมืองเบธมาอาคาห์ เขาทำเชิงเทินขึ้นที่ริมกำแพงเมือง ประชาชนทั้งหลายที่อยู่กับโยอาบก็ทะลวงกำแพงเพื่อจะให้พัง
2พกษ 22.14 ฮิลคียาห์ปุโรหิต และอาหิคัม และอัคโบร์ และชาฟาน และอาสายาห์ ได้ไปหาฮุลดาห์หญิงผู้พยากรณ์ภรรยาของชัลลูม บุตรชายของทิกวาห์บุตรชายฮารฮัสผู้ดูแลตู้เสื้อ (เวลานั้นนางอยู่ในเยรูซาเล็มแขวงสอง) และเขาทั้งหลายได้สนทนากับนาง
2พศด 34.22 ฮิลคียาห์และคนเหล่านั้นซึ่งกษัตริย์ทรงใช้ไปจึงไปยังฮุลดาห์หญิงผู้พยากรณ์ภรรยาของชัลลูม บุตรชายทิกวาห์ บุตรชายหัสราห์ผู้ดูแลฉลองพระองค์ (นางอยู่ในเยรูซาเล็มที่แขวงสอง) และพูดกับนางถึงเรื่องนั้น
นหม 3.9 ถัดเขาไป คือเรไฟยาห์บุตรชายเฮอร์ ผู้ปกครองแขวงครึ่งหนึ่งของเยรูซาเล็มได้ซ่อมแซม
นหม 3.12 ถัดเขาไปคือ ชัลลูมบุตรชายฮัลโลเหช ผู้ปกครองแขวงครึ่งหนึ่งของเยรูซาเล็มได้ซ่อมแซม ทั้งตัวเขาและบุตรสาวของเขา
นหม 3.14 มัลคิยาห์บุตรชายเรคาบ ผู้ปกครองส่วนหนึ่งของแขวงเบธฮัคเคเรม ได้ซ่อมประตูกองขยะ เขาสร้างและตั้งบานประตู ติดลูกสลักและดาลประตู
นหม 3.15 ชัลลูนบุตรชายคลโฮเซห์ ผู้ปกครองส่วนหนึ่งของแขวงมิสปาห์ ได้ซ่อมแซมประตูน้ำพุ ได้สร้างประตู สร้างมุงและตั้งบานประตู ติดลูกสลักและดาลประตู ท่านได้สร้างกำแพงสระชิโลอาห์ตรงไปทางราชอุทยานไกลไปจนถึงบันไดซึ่งลงไปจากนครดาวิด
นหม 3.16 ถัดเขาไปเนหะมีย์บุตรชายอัสบูก ผู้ปกครองแขวงเบธซูร์ครึ่งหนึ่งได้ซ่อมแซม ไปจนถึงที่ตรงข้ามกับอุโมงค์ฝังศพของดาวิด ถึงสระขุดและถึงโรงทแกล้วทหาร
นหม 3.17 ถัดเขาไปคนเลวีได้ซ่อมแซม คือ เรฮูมบุตรชายบานี ถัดเขาไปคือ ฮาชาบิยาห์ ผู้ปกครองแขวงเคอีลาห์ครึ่งหนึ่ง ได้ซ่อมแซมส่วนของเขา
นหม 3.18 ถัดเขาไปพี่น้องของเขาได้ซ่อมแซมคือ บัฟวัยบุตรชายเฮนาดัด ผู้ปกครองแขวงเคอีลาห์ครึ่งหนึ่ง
ดนล 8.2 และข้าพเจ้าเห็นเป็นนิมิต ต่อมาขณะที่ข้าพเจ้าอยู่ที่สุสาปราสาท ซึ่งอยู่ในแขวงเมืองเอลาม และข้าพเจ้าก็เห็นเป็นนิมิต และข้าพเจ้าอยู่ริมแม่น้ำอุลัย
ศฟย 1.10 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “ต่อมาในวันนั้น จะได้ยินเสียงร้องจากประตูปลา และเสียงร่ำไห้จากแขวงสอง และเสียงโครมครามจากเนินเขา
มธ 14.34 ครั้นพวกเขาข้ามฟากไปแล้ว ก็มาถึงแขวงเยนเนซาเรท
มก 1.28 ในขณะนั้น กิตติศัพท์ของพระองค์ได้เลื่องลือไปทั่วแว่นแคว้นบ้านเมืองที่อยู่รอบแขวงกาลิลี
มก 8.27 พระเยซูได้เสด็จกับเหล่าสาวกของพระองค์ ออกไปยังเมืองต่างๆในแขวงซีซารียา ฟีลิปปี เมื่ออยู่ตามทางนั้น พระองค์ตรัสถามเหล่าสาวกว่า “คนทั้งหลายพูดกันว่าเราเป็นผู้ใด”
ลก 8.26 เขาแล่นไปถึงแขวงชาวเมืองกาดาราที่อยู่ตรงข้ามกาลิลี

แขวน ( 42 )
ปฐก 40.19 ภายในสามวันฟาโรห์จะทรงยกศีรษะของท่านขึ้นให้พ้นตัว และแขวนท่านไว้ที่ต้นไม้ ฝูงนกจะมากินเนื้อท่าน”
อพย 26.32 ม่านนั้นให้แขวนไว้ด้วยขอทองคำที่เสาไม้กระถินเทศสี่เสาที่หุ้มด้วยทองคำ และซึ่งตั้งอยู่บนฐานเงินสี่อัน
อพย 26.33 ม่านนั้นให้เขาแขวนไว้กับขอสำหรับเกี่ยวม่าน แล้วเอาหีบพระโอวาทเข้ามาไว้ข้างในภายในม่าน และม่านนั้นจะเป็นที่แบ่งพลับพลาระหว่างที่บริสุทธิ์กับที่บริสุทธิ์ที่สุด
อพย 26.37 จงทำเสาห้าต้นด้วยไม้กระถินเทศสำหรับติดบังตาที่ประตูแล้วหุ้มเสานั้นด้วยทองคำ ขอแขวนเสาจงทำด้วยทองคำ แล้วหล่อฐานทองสัมฤทธิ์ห้าฐานสำหรับรองรับเสานั้น”
กดว 25.4 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงนำหัวหน้าทั้งหลายของประชาชนแขวนตากแดดไว้ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ เพื่อว่าพระพิโรธอันเกรี้ยวกราดของพระเยโฮวาห์จะหันเหไปจากอิสราเอลเสีย”
พบญ 21.22 ถ้าคนใดได้กระทำความผิดอันมีโทษถึงตาย และเขาถูกประหารชีวิต และแขวนเขาไว้ที่ต้นไม้
พบญ 21.23 อย่าให้ศพค้างอยู่ที่ต้นไม้ข้ามคืน ท่านจงฝังเขาเสียในวันเดียวกันนั้น (ด้วยว่าผู้ที่ต้องถูกแขวนไว้บนต้นไม้ก็ต้องถูกสาปแช่งโดยพระเจ้า) ท่านอย่ากระทำให้แผ่นดินของท่านซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่านให้เป็นมรดกนั้นเป็นมลทิน”
พบญ 28.66 และชีวิตของท่านก็จะแขวนอยู่ข้างหน้าท่านอย่างสงสัย ท่านจะครั่นคร้ามอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่มีความแน่ใจในชีวิตของท่านเลย
ยชว 8.29 และท่านแขวนกษัตริย์เมืองอัยไว้ที่ต้นไม้จนถึงเวลาเย็น เมื่อดวงอาทิตย์ตกโยชูวาจึงบัญชาและเขาก็ปลดศพลงจากต้นไม้นำไปทิ้งไว้ที่ทางเข้าประตูเมือง แล้วเอาหินถมทับไว้เป็นกองใหญ่ซึ่งยังอยู่จนทุกวันนี้
ยชว 10.26 ภายหลังโยชูวาก็ได้ประหารชีวิตกษัตริย์ทั้งห้าเสีย แล้วแขวนไว้ที่ต้นไม้ห้าต้น และแขวนอยู่บนต้นไม้เช่นนั้นจนเวลาเย็น
1ซมอ 17.6 และสวมสนับแข้งทองสัมฤทธิ์ที่ขา และมีหอกทองสัมฤทธิ์แขวนอยู่ที่บ่า
2ซมอ 4.12 และดาวิดก็ทรงบัญชาคนหนุ่มของพระองค์ และพวกเขาก็พาเขาทั้งสองไปฆ่าเสียตัดมือตัดเท้าออก แขวนศพนั้นไว้เหนือสระในเมืองเฮโบรน แต่เขานำพระเศียรของอิชโบเชทไปฝังไว้ในที่ฝังศพของอับเนอร์ในเมืองเฮโบรน
2ซมอ 18.9 และอับซาโลมไปพบข้าราชการของดาวิดเข้า อับซาโลมทรงล่ออยู่และล่อนั้นได้วิ่งเข้าไปใต้กิ่งต้นโอ๊กใหญ่ ศีรษะของท่านก็ติดกิ่งต้นโอ๊กแน่น เมื่อล่อนั้นวิ่งเลยไปแล้วท่านก็แขวนอยู่ระหว่างฟ้าและดิน
2ซมอ 18.10 มีชายคนหนึ่งมาเห็นเข้า จึงไปเรียนโยอาบว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าเห็นอับซาโลมแขวนอยู่ที่ต้นโอ๊ก”
2ซมอ 21.6 ขอทรงมอบบุตรชายเจ็ดคนของท่านให้แก่พวกข้าพระองค์ เพื่อพวกข้าพระองค์จะได้แขวนเขาเสียต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ที่กิเบอาห์แห่งซาอูลผู้เลือกสรรของพระเยโฮวาห์” และกษัตริย์ตรัสว่า “เราจะจัดเขามาให้”
2ซมอ 21.12 ดาวิดก็เสด็จไปนำอัฐิของซาอูลและอัฐิของโยนาธานราชโอรสมาจากคนเมืองยาเบชกิเลอาด ผู้ที่ลักลอบเอาไปจากถนนเมืองเบธชาน ที่คนฟีลิสเตียได้แขวนพระองค์ทั้งสองไว้ ในเมื่อคนฟีลิสเตียประหารซาอูลบนเขากิลโบอา
2ซมอ 21.13 พระองค์ทรงนำอัฐิของซาอูลและอัฐิของโยนาธานราชโอรสขึ้นมาจากที่นั่น และรวบรวมกระดูกของผู้ที่ถูกแขวนไว้ให้ตายนั้น
2พศด 3.16 พระองค์ทรงทำลูกโซ่เหมือนในห้องหลังติดไว้ที่ยอดเสา และพระองค์ทรงทำทับทิมหนึ่งร้อยลูกแขวนไว้ที่โซ่
อสธ 2.23 เมื่อมีการสอบสวนเรื่องนี้ว่าเป็นความจริงแล้ว กษัตริย์ก็ทรงให้แขวนสองคนนั้นเสียที่ต้นไม้ และบันทึกเรื่องไว้ในหนังสือพงศาวดารต่อพระพักตร์กษัตริย์
อสธ 5.14 เศเรชภรรยาของท่าน และสหายทั้งสิ้นของท่านจึงพูดกับท่านว่า “ขอทำตะแลงแกงสูงห้าสิบศอก รุ่งเช้าก็ทูลกษัตริย์ให้แขวนโมรเดคัยเสียที่นั่น แล้วก็ไปกินเลี้ยงอย่างร่าเริงกับกษัตริย์” คำแนะนำนี้เป็นที่พอใจฮามาน ท่านจึงสั่งให้ทำตะแลงแกง
อสธ 6.4 กษัตริย์ตรัสว่า “ใครอยู่ในลานบ้าน” ฝ่ายฮามานพึ่งเข้ามาถึงพระลานชั้นนอกแห่งราชสำนัก เพื่อจะทูลกษัตริย์เรื่องเอาโมรเดคัยแขวนเสียที่ตะแลงแกงซึ่งท่านได้เตรียมไว้สำหรับท่าน
อสธ 7.9 ฮารโบนาขันทีคนหนึ่งทูลต่อพระพักตร์กษัตริย์ว่า “ดูเถิด ตะแลงแกงซึ่งฮามานเตรียมไว้สำหรับโมรเดคัย ซึ่งรายงานช่วยพระชนม์กษัตริย์ ก็ยังตั้งอยู่ที่บ้านของฮามาน สูงห้าสิบศอกพ่ะย่ะค่ะ” กษัตริย์ตรัสว่า “แขวนมันบนนั้นแหละ”
อสธ 7.10 เขาก็แขวนฮามานบนตะแลงแกงซึ่งท่านได้เตรียมไว้สำหรับโมรเดคัย แล้วพระพิโรธของกษัตริย์ก็สงบลง
อสธ 8.7 กษัตริย์อาหสุเอรัสจึงตรัสกับพระราชินีเอสเธอร์และแก่โมรเดคัยคนยิวว่า “ดูเถิด เรามอบวงศ์วานของฮามานแก่พระนางเอสเธอร์แล้ว และเขาก็แขวนมันบนตะแลงแกง เพราะมันจะทำอันตรายแก่พวกยิว
อสธ 9.13 พระนางเอสเธอร์ทูลว่า “ถ้าเป็นที่พอพระทัยกษัตริย์ ขอให้พวกยิวที่อยู่ในสุสาได้กระทำตามกฤษฎีกาของวันนี้ในวันพรุ่งนี้อีก และขอให้แขวนบุตรชายทั้งสิบของฮามานบนตะแลงแกง”
อสธ 9.14 กษัตริย์ได้ทรงบัญชาให้กระทำเช่นนั้น มีกฤษฎีกาออกในสุสา และบุตรชายทั้งสิบคนของฮามานก็ถูกแขวน
อสธ 9.25 แต่เมื่อพระนางเอสเธอร์เข้าเฝ้ากษัตริย์ พระองค์ทรงบัญชาเป็นลายลักษณ์อักษรให้แผนการมุ่งร้ายของท่าน ซึ่งท่านได้คิดต่อพวกยิวนั้น กลับตกลงบนศีรษะของท่านเอง และให้ตัวท่านกับบุตรชายของท่านถูกแขวนบนตะแลงแกง
โยบ 26.7 พระองค์ทรงคลี่ทางเหนือออกคลุมที่เวิ้งว้าง และแขวนโลกไว้เหนือที่ว่างเปล่า
โยบ 28.4 เขาขุดปล่องไกลจากที่ฝูงคนอาศัยอยู่ คนสัญจรไปมาลืมเขาแล้ว เขาแขวนอยู่แกว่งไปแกว่งมาไกลจากฝูงคน
สดด 137.2 ในท่ามกลางที่นั่นเราแขวนพิณเขาคู่ของเราไว้ที่ต้นหลิว
พซม 4.4 ลำคอของเธอดุจป้อมของดาวิดที่ได้ก่อสร้างไว้เพื่อเก็บเครื่องอาวุธ มีดั้งพันหนึ่งแขวนไว้ ทั้งหมดเป็นโล่ของทแกล้วทหาร
พซม 8.6 จงแนบดิฉันไว้ดุจดวงตราแขวนอยู่ที่ใจของเธอ ประดุจดวงตราบนแขนของเธอ เพราะความรักนั้นเข้มแข็งอย่างความตาย ความริษยาก็ดุเดือดเหมือนแดนคนตาย และประกายแห่งความริษยานั้นก็คือประกายเพลิง คือประกายเพลิงที่แสนรุนแรง
อสย 22.24 และเขาทั้งหลายจะแขวนไว้บนตัวเขาซึ่งสง่าราศีทั้งสิ้นของวงศ์วานบิดาของเขา ลูกหลานผู้สืบสาย ภาชนะเล็กๆทุกชิ้น ตั้งแต่ถ้วยจนถึงเหยือกทั้งสิ้น
ยรม 10.20 เต็นท์ของข้าพเจ้าก็ถูกทำลาย และเชือกของข้าพเจ้าก็ขาดสิ้น ลูกๆของข้าพเจ้าจากข้าพเจ้าไปหมด และไม่มีเขาอีกแล้ว ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดที่จะกางเต็นท์ให้ข้าพเจ้าอีก และแขวนม่านของข้าพเจ้าให้
พคค 5.12 พวกเจ้านายต้องถูกผูกมือแขวน ไม่มีใครแสดงความนับถือต่อหน้าพวกผู้ใหญ่
อสค 15.3 เขาเอาไม้ต้นเถาองุ่นไปทำอะไรบ้างหรือ คนเอาไปทำขอสำหรับแขวนภาชนะอันใดหรือ
อสค 27.10 ชาวเปอร์เซีย และลูด และพูต ก็อยู่ในกองทัพของเจ้า เขาทั้งหลายเป็นทหารของเจ้า เขาแขวนโล่และหมวกเหล็กในเจ้า เขากระทำให้เจ้ามีสง่า
อสค 27.11 ชาวอารวัดพร้อมกับทหารของเจ้าอยู่บนกำแพงโดยรอบ ชาวกามัดอยู่ในหอคอยของเจ้า เขาแขวนโล่ไว้ตามกำแพงของเจ้าโดยรอบ เขากระทำให้ความงามของเจ้าพร้อมสรรพ
กจ 5.30 พระเยซูซึ่งท่านทั้งหลายได้ฆ่าเสียโดยแขวนไว้ที่ต้นไม้นั้น พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเราได้ทรงบันดาลให้เป็นขึ้นมาใหม่
กจ 10.39 เราทั้งหลายเป็นพยานถึงกิจการทั้งปวง ซึ่งพระองค์ทรงกระทำในแผ่นดินของชนชาติยิวและในกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์นั้นเขาได้ฆ่าและแขวนไว้ที่ต้นไม้
กท 3.13 พระคริสต์ทรงไถ่เราให้พ้นความสาปแช่งแห่งพระราชบัญญัติ โดยการที่พระองค์ทรงยอมถูกสาปแช่งเพื่อเรา เพราะมีคำเขียนไว้ว่า ‘ทุกคนที่ต้องถูกแขวนไว้บนต้นไม้ก็ต้องถูกสาปแช่ง’

แขวนคอ ( 3 )
ปฐก 40.22 ส่วนหัวหน้าพนักงานขนมนั้นให้แขวนคอเสีย สมจริงดังที่โยเซฟแก้ฝันไว้
ปฐก 41.13 และต่อมาที่เขาแก้ฝันให้ข้าพระองค์ทั้งสองอย่างไรก็เป็นไปอย่างนั้น คือฟาโรห์ทรงตั้งข้าพระองค์ไว้ในตำแหน่งเดิม แต่ฝ่ายเขานั้นถูกแขวนคอเสีย”
2ซมอ 21.9 พระองค์ทรงมอบคนเหล่านี้ไว้ในมือของคนกิเบโอน เขาทั้งหลายจึงแขวนคอทั้งเจ็ดไว้บนภูเขาต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ และทั้งเจ็ดคนก็พินาศไปด้วยกัน เขาถูกฆ่าตายในสมัยฤดูเกี่ยวข้าว ในวันต้น คือวันแรกของการเกี่ยวข้าวบาร์เลย์

โขด ( 2 )
วว 6.15 แล้วกษัตริย์ทั้งหลายในโลก พวกคนใหญ่คนโต เศรษฐี นายทหารใหญ่ ผู้มีอำนาจ และทุกคนทั้งที่เป็นทาสและเป็นอิสระ ก็ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำและโขดหินตามภูเขา
วว 6.16 พวกเขาร้องบอกกับภูเขาและโขดหินว่า “จงล้มทับเราเถิด จงซ่อนเราไว้ให้พ้นจากพระพักตร์ของพระองค์ ผู้ประทับอยู่บนพระที่นั่ง และให้พ้นจากพระพิโรธของพระเมษโปดกนั้น

โขยกเขยก ( 2 )
ปฐก 32.31 เมื่อยาโคบผ่านเปนูเอล ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้วเขาเดินโขยกเขยกไป
1พกษ 18.26 เขาทั้งหลายก็เอาวัวผู้ที่เขานำมาให้และเขาทั้งหลายก็จัดเตรียมและร้องออกพระนามพระบาอัล ตั้งแต่เวลาเช้าจนเที่ยงกล่าวว่า “โอ ข้าแต่พระบาอัล ขอสดับพวกข้าพเจ้าเถิด” แต่ก็ไม่มีเสียงและไม่มีใครตอบ และเขาก็โขยกเขยกอยู่รอบแท่นซึ่งเขาได้สร้างขึ้นนั้น

โขส ( 1 )
กจ 21.1 ต่อมาเมื่อพวกเราลาเขาเหล่านั้นแล้วก็แล่นเรือตรงไปยังเกาะโขส อีกวันหนึ่งก็มาถึงเกาะโรดส์ เมื่อออกจากที่นั่นก็มายังเมืองปาทารา

ไข ( 4 )
วนฉ 3.25 เมื่อคอยอยู่ช้านานจนรำคาญ ดูเถิด ไม่เห็นมีใครเปิดทวารห้องชั้นบน เขาจึงเอากุญแจมาไขเปิดออก ดูเถิด เห็นเจ้านายของตนนอนสิ้นชีวิตอยู่บนพื้น
สภษ 3.8 การกระทำเช่นนี้จะเป็นสุขภาพแก่สะดือของเจ้า และเป็นไขในกระดูกของตน
กจ 17.3 และไขข้อความชี้แจงให้เห็นว่าจำเป็นที่พระคริสต์ต้องทนทุกข์ทรมาน แล้วทรงคืนพระชนม์และกล่าวต่อไปว่า “พระเยซูองค์นี้ที่เราประกาศแก่ท่านทั้งหลายคือพระคริสต์”
ฮบ 4.12 เพราะว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นมีชีวิต และทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย

ไข่ ( 9 )
พบญ 22.6 ถ้าท่านเผอิญไปพบรังนกอยู่ตามทาง บนต้นไม้หรือพื้นดิน มีลูกนกหรือไข่และแม่นกกกอยู่บนลูกนกหรือไข่นั้น ท่านอย่าเอาแม่นกกับลูกนกไป
โยบ 39.14 ซึ่งละไข่ของมันไว้กับดินให้มันอบอุ่นอยู่ในดิน
อสย 10.14 มือของข้าได้ฉวยทรัพย์สมบัติของชนชาติทั้งหลายเหมือนฉวยรังนก และอย่างคนเก็บไข่ซึ่งละทิ้งไว้ ข้าก็รวบรวมแผ่นดินโลกทั้งสิ้นดังนั้นแหละ และไม่มีผู้ใดขยับปีกมาปก หรืออ้าปากหรือร้องเสียงจ๊อกแจ๊ก”
อสย 34.15 นกฮูกจะทำรังและตกฟองที่นั่น และกกไข่และรวบรวมลูกอ่อนไว้ในเงาของมัน เออ เหยี่ยวปีกดำจะรวมกันที่นั่น ต่างคู่ก็อยู่กับของมัน
อสย 59.5 เขาฟักไข่งูทับทาง เขาทอใยแมงมุม เขาผู้กินไข่นั้นก็ตาย แม้ไข่ลูกใดถูกทุบ งูร้ายก็เป็นตัวขึ้นมา
ยรม 17.11 เหมือนนกกระทากกไข่ แต่ไม่ให้ออกเป็นตัวฉันใด คนที่ได้ความมั่งมีมาอย่างไม่เป็นธรรมก็ฉันนั้น พอถึงกลางวัย มันก็พรากจากคนนั้นเสีย และในตอนปลายของเขา เขาจะเป็นคนโฉดเขลา
ลก 11.12 หรือถ้าเขาขอไข่จะเอาแมลงป่องให้เขาหรือ

ไข้ ( 8 )
มธ 4.23 พระเยซูได้เสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลี ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขา ทรงประกาศข่าวประเสริฐแห่งอาณาจักรนั้น และทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บทุกอย่างของชาวเมืองให้หาย
มธ 8.15 พระองค์ทรงถูกต้องมือนาง ไข้นั้นก็หาย นางจึงลุกขึ้นปรนนิบัติเขาทั้งหลาย
มก 1.31 แล้วพระองค์ก็เสด็จไปจับมือนางพยุงขึ้นและทันใดนั้นไข้ก็หาย นางจึงปรนนิบัติเขาทั้งหลาย
ลก 4.38 ฝ่ายพระองค์ทรงลุกขึ้นออกจากธรรมศาลา เสด็จเข้าไปในเรือนของซีโมน แม่ยายซีโมนป่วยเป็นไข้หนัก เขาทั้งหลายจึงอ้อนวอนพระองค์ให้ช่วยหญิงนั้น
ลก 4.39 พระองค์ทรงยืนอยู่ข้างคนเจ็บ ทรงห้ามไข้ ไข้ก็หาย และในทันใดนั้นแม่ยายของซีโมนก็ลุกขึ้นปรนนิบัติเขาทั้งหลาย
ยน 4.52 ท่านจึงถามถึงเวลาที่บุตรค่อยทุเลาขึ้นนั้น และพวกผู้รับใช้ก็เรียนท่านว่า “ไข้หายเมื่อวานนี้เวลาบ่ายโมง”
กจ 28.8 ต่อมาบิดาของปูบลิอัสนั้นนอนป่วยอยู่ เป็นไข้และเป็นบิด เปาโลจึงเข้าไปหาท่านอธิษฐานแล้ววางมือบนท่านรักษาให้หาย

ไขกระดูก ( 2 )
โยบ 21.24 ถังกายของเขาเต็มด้วยน้ำนม และกระดูกของเขาก็ชุ่มด้วยไขกระดูก
สดด 63.5 จิตใจของข้าพระองค์จะอิ่มหนำดังกินไขกระดูกและไขมัน และปากของข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ด้วยริมฝีปากที่ชื่นบาน

ไข่ขาว ( 1 )
โยบ 6.6 จะรับประทานสิ่งที่จืดโดยไม่ใส่เกลือได้หรือ หรือไข่ขาวมีรสอะไรบ้าง

ไขมัน ( 95 )
ปฐก 4.4 เช่นกันอาแบลได้นำผลแรกจากฝูงแกะของเขาและไขมันของแกะ พระเยโฮวาห์ทรงพอพระทัยต่ออาแบลและเครื่องบูชาของเขา
อพย 23.18 อย่าถวายเลือดจากเครื่องบูชาของเรา พร้อมกับขนมปังมีเชื้อ หรือปล่อยให้มีไขมันในเครื่องบูชาของเราเหลืออยู่จนถึงรุ่งเช้า
อพย 29.13 เจ้าจงเอาไขมันทั้งหมดที่หุ้มเครื่องใน พังผืดที่ติดอยู่กับตับและไตทั้งสองกับไขมันที่ติดไตนั้นมาเผาบนแท่น
อพย 29.22 เจ้าจงเอาไขมันแกะตัวผู้และหางที่เป็นไขมัน กับไขมันที่ติดเครื่องใน และพังผืดที่ติดอยู่กับตับ กับไตทั้งสองและไขมันที่ติดอยู่กับไต กับโคนขาข้างขวาด้วย เพราะเป็นแกะใช้สำหรับการสถาปนา
ลนต 1.8 และพวกปุโรหิต คือบุตรชายของอาโรน จะวางท่อนเนื้อ หัว และไขมันสัตว์ตามลำดับไว้บนฟืนบนไฟที่แท่นบูชา
ลนต 1.12 ให้เขาฟันสัตว์นั้นเป็นท่อนๆทั้งหัวและไขมันด้วย และปุโรหิตจะวางเครื่องเหล่านี้ตามลำดับไว้บนฟืนบนไฟที่แท่นบูชา
ลนต 3.3 จากเครื่องบูชาที่ถวายเป็นสันติบูชา เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่พระเยโฮวาห์ ผู้ถวายจะนำไขมันที่ติดกับเครื่องในและไขมันที่อยู่ในเครื่องในทั้งหมด
ลนต 3.4 และไตทั้งสองลูกกับไขมันที่ติดอยู่ตรงบั้นเอวนั้น และให้เอาพังผืดที่ติดอยู่เหนือตับนั้นออกเสียพร้อมกับไต
ลนต 3.9 จากเครื่องบูชาที่ถวายเป็นสันติบูชา คือบูชาด้วยไฟถวายแด่พระเยโฮวาห์ ให้เขาถวายไขมัน หางที่เป็นไขมันทั้งหมดตัดชิดกระดูกสันหลังและไขมันที่หุ้มเครื่องใน กับไขมันที่อยู่ในเครื่องในทั้งหมด
ลนต 3.10 และไตทั้งสองลูกกับไขมันที่ติดอยู่ตรงบั้นเอวนั้น และให้เอาพังผืดที่ติดอยู่เหนือตับนั้นออกเสียพร้อมกับไต
ลนต 3.14 แล้วให้เขาเอาสิ่งเหล่านี้จากแพะตัวนั้นเป็นเครื่องบูชา เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่พระเยโฮวาห์ คือไขมันที่หุ้มเครื่องใน และไขมันที่อยู่ในเครื่องใน
ลนต 3.15 และไตทั้งสองลูกกับไขมันที่ติดอยู่ตรงบั้นเอวนั้น และให้เอาพังผืดที่ติดอยู่เหนือตับนั้นออกเสียพร้อมกับไต
ลนต 3.16 และปุโรหิตจะเผาสิ่งเหล่านี้บนแท่นเป็นอาหารเผาไฟ เป็นกลิ่นที่พอพระทัย ไขมันทั้งหมดเป็นของพระเยโฮวาห์
ลนต 3.17 ให้เป็นกฎเกณฑ์เนืองนิตย์ตลอดชั่วอายุของเจ้าในที่ที่เจ้าอาศัยอยู่ทั่วๆไปว่า เจ้าอย่ารับประทานไขมันหรือเลือด”
ลนต 4.8 และเขาจะเอาไขมันทั้งหมดออกเสียจากวัวตัวที่เป็นเครื่องบูชาไถ่บาปนี้ คือไขมันที่หุ้มเครื่องในและไขมันที่ติดอยู่กับเครื่องในทั้งหมด
ลนต 4.9 และไตทั้งสองลูกกับไขมันที่ติดอยู่ตรงบั้นเอวนั้น และให้เอาพังผืดที่ติดอยู่เหนือตับนั้นออกเสียพร้อมกับไต
ลนต 4.19 และเขาจะเอาไขมันออกจากวัวนั้นหมด นำไปเผาเสียบนแท่น
ลนต 4.26 และเขาจะเผาไขมันทั้งหมดบนแท่น เช่นเดียวกับเผาไขมันเครื่องสันติบูชา ดังนี้แหละปุโรหิตจะทำการลบมลทินแทนผู้กระทำผิดนั้น และเขาจะได้รับการอภัย
ลนต 4.31 และเขาจะเอาไขมันออกเสียให้หมดอย่างที่เอาไขมันออกเสียจากเครื่องสันติบูชา และปุโรหิตจะเผาไขมันนั้นบนแท่น เป็นกลิ่นที่พอพระทัยแด่พระเยโฮวาห์ และปุโรหิตจะทำการลบมลทินของเขาและเขาจะได้รับการอภัย
ลนต 4.35 และเขาจะเอาไขมันทั้งหมดออกเสียอย่างที่เอาไขมันของลูกแกะออกจากเครื่องสันติบูชา และปุโรหิตจะเผาไขมันบนแท่นเหมือนเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่พระเยโฮวาห์ และปุโรหิตจะทำการลบมลทินของเขาซึ่งเขาได้กระทำผิด และเขาจะได้รับการอภัย”
ลนต 6.12 ให้รักษาไฟที่บนแท่นให้ลุกอยู่ อย่าให้ดับเลยทีเดียว ให้ปุโรหิตใส่ฟืนทุกเช้าและให้เรียงเครื่องเผาบูชาให้เป็นระเบียบไว้บนแท่น และเผาไขมันของเครื่องสันติบูชาบนนั้น
ลนต 7.3 และให้เอาไขมันของสัตว์นั้นถวายบูชาเสียทั้งหมดด้วย หางที่เป็นไขมัน ไขมันที่หุ้มเครื่องใน
ลนต 7.4 และไตทั้งสองลูกกับไขมันที่ติดอยู่ตรงบั้นเอวนั้น และให้เอาพังผืดที่ติดอยู่เหนือตับนั้นออกเสียพร้อมกับไต
ลนต 7.23 “จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า เจ้าทั้งหลายอย่ารับประทานไขมันของวัว ของแกะหรือของแพะ
ลนต 7.24 ไขมันของสัตว์ที่ตายเอง และไขมันของสัตว์ที่สัตว์กัดตายจะนำไปใช้อย่างอื่นก็ได้ แต่อย่ารับประทานเลยเป็นอันขาด
ลนต 7.25 ด้วยผู้ใดก็ตามรับประทานไขมันสัตว์อันเป็นเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่พระเยโฮวาห์ ผู้ที่รับประทานนั้นจะต้องถูกตัดขาดจากพลไพร่ของตน
ลนต 7.30 ให้เขานำเครื่องถวายบูชาด้วยไฟแด่พระเยโฮวาห์มาด้วยมือของตนเอง ให้เขานำไขมันมาพร้อมกับเนื้ออกนั้น เพื่อเอาเนื้ออกนั้นแกว่งไปแกว่งมาเป็นเครื่องบูชาแกว่งถวายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
ลนต 7.31 ให้ปุโรหิตเผาไขมันเสียบนแท่นบูชา แต่เนื้ออกนั้นจะตกเป็นของอาโรนและบุตรชายของเขา
ลนต 7.33 บุตรชายอาโรนผู้ถวายเลือดแห่งสันติบูชาและไขมันจะได้รับโคนขาข้างขวาเป็นส่วนของเขา
ลนต 8.16 และท่านนำไขมันทั้งหมดที่อยู่กับเครื่องในและพังผืดเหนือตับ และไตสองลูกพร้อมกับไขมันแล้วโมเสสก็เผาสิ่งเหล่านี้เสียบนแท่น
ลนต 8.20 เมื่อท่านฟันแกะออกเป็นท่อนๆ โมเสสก็เผาหัวและแกะท่อนๆกับไขมันเสีย
ลนต 8.25 แล้วท่านจึงนำไขมันและหางที่เป็นไขมัน และไขมันทั้งหมดที่อยู่กับเครื่องใน และพังผืดเหนือตับและไตสองลูกกับไขมันที่ติดอยู่ และโคนขาข้างขวา
ลนต 8.26 และท่านหยิบขนมไร้เชื้อหนึ่งก้อนจากกระบุงขนมปังไร้เชื้อ ซึ่งอยู่ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ และหยิบขนมคลุกน้ำมันก้อนหนึ่ง และขนมแผ่นแผ่นหนึ่ง วางของเหล่านี้ไว้บนไขมัน และบนโคนขาข้างขวา
ลนต 9.10 ส่วนไขมันและไต กับพังผืดเหนือตับจากเครื่องบูชาไถ่บาปนั้น เขาเผาเสียบนแท่น ดังที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาโมเสส
ลนต 9.19 และนำไขมันวัวและไขมันแกะ กับหางที่เป็นไขมัน และไขมันที่หุ้มเครื่องใน และไตกับพังผืดเหนือตับมาให้
ลนต 9.20 และเขาทั้งหลายวางไขมันไว้บนเนื้ออก และอาโรนก็เผาไขมันเสียบนแท่น
ลนต 9.24 เปลวเพลิงพลุ่งออกมาต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ เผาเครื่องเผาบูชาและไขมันซึ่งอยู่บนแท่น เมื่อพลไพร่ทั้งหลายเห็นก็โห่ร้องและซบหน้าลง
ลนต 16.25 เขาจะเอาไขมันของเครื่องบูชาไถ่บาปไปเผาเสียบนแท่น
ลนต 17.6 และปุโรหิตจะเอาเลือดสัตว์นั้นประพรมบนแท่นบูชาพระเยโฮวาห์ที่ประตูพลับพลาแห่งชุมนุม และเผาไขมันให้เป็นกลิ่นที่พอพระทัยถวายแด่พระเยโฮวาห์
กดว 18.17 แต่ลูกหัวปีของวัว หรือลูกหัวปีของแกะ หรือลูกหัวปีของแพะ เจ้าไม่ต้องไถ่เพราะเป็นของบริสุทธิ์ เจ้าจงเอาเลือดของมันพรมบนแท่นบูชา และเอาไขมันของมันเผาเป็นเครื่องบูชาด้วยไฟ ให้เป็นกลิ่นที่พอพระทัยแด่พระเยโฮวาห์
พบญ 32.14 ให้ได้นมเปรี้ยวจากวัว และให้ได้น้ำนมจากแพะแกะ ได้ไขมันจากลูกแกะ และแกะผู้พันธุ์บาชาน และฝูงแพะ กับข้าวสาลีอย่างดีที่สุด และท่านได้ดื่มเลือดขององุ่น คือน้ำองุ่น
พบญ 32.38 คือผู้ที่รับประทานไขมันของเครื่องสัตวบูชาของเขา และดื่มน้ำองุ่นที่เป็นเครื่องดื่มบูชาของเขา ให้บรรดาพระเหล่านั้นลุกขึ้นช่วย ให้พระเหล่านั้นเป็นผู้ป้องกันเจ้าซิ
วนฉ 3.22 ดาบจมเข้าไปหมดทั้งด้าม ไขมันหุ้มดาบไว้ ท่านก็ชักดาบออกจากท้องของท่านไม่ได้ แล้วของโสโครกออกมา
1ซมอ 2.15 ยิ่งกว่านั้นอีก ก่อนที่เขาเผาไขมัน คนใช้ของปุโรหิตเคยเข้ามากล่าวแก่ชายผู้กระทำบูชานั้นว่า “ขอเนื้อไปให้ปุโรหิตทอด ท่านไม่รับเนื้อต้มจากเจ้า ท่านต้องการเนื้อดิบ”
1ซมอ 2.16 และถ้าชายคนนั้นกล่าวแก่เขาว่า “ขอให้เขาเผาไขมันเสียก่อน แล้วจงเอาไปตามชอบใจเถิด” เขาจะตอบว่า “ไม่ได้ เจ้าต้องให้เดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ให้ข้าก็จะเอาไปโดยใช้กำลัง”
1ซมอ 15.22 และซามูเอลกล่าวว่า “พระเยโฮวาห์ทรงพอพระทัยในเครื่องเผาบูชา และเครื่องสัตวบูชามากเท่ากับการที่จะเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์หรือ ดูเถิด ที่จะเชื่อฟังก็ดีกว่าเครื่องสัตวบูชา และซึ่งจะสดับฟังก็ดีกว่าไขมันของบรรดาแกะผู้
2ซมอ 1.22 คันธนูของโยนาธานมิได้หันกลับมาจากโลหิตของผู้ที่ถูกฆ่า จากไขมันของผู้ที่มีกำลัง และดาบของซาอูลก็มิได้กลับมาเปล่า
1พกษ 8.64 ในวันเดียวกันนั้นกษัตริย์ทรงทำพิธีชำระส่วนกลางของลาน ซึ่งอยู่หน้าพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ เพราะว่าที่นั่นพระองค์ได้ถวายเครื่องเผาบูชา และธัญญบูชา และส่วนไขมันของสันติบูชา เพราะว่าแท่นทองสัมฤทธิ์ซึ่งอยู่ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์นั้นเล็กเกินไป ไม่พอรับเครื่องเผาบูชาและธัญญบูชา และส่วนไขมันของสันติบูชา
2พศด 7.7 และซาโลมอนทรงทำพิธีชำระส่วนกลางของลานซึ่งอยู่ข้างหน้าพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ให้เป็นส่วนบริสุทธิ์ เพราะพระองค์ทรงถวายเครื่องเผาบูชาและไขมันของเครื่องสันติบูชาที่นั่น เพราะว่าแท่นทองสัมฤทธิ์ซึ่งซาโลมอนทรงสร้างไว้นั้น ไม่พอจุเครื่องเผาบูชา เครื่องธัญญบูชาและไขมัน
2พศด 29.35 นอกจากเครื่องเผาบูชามีจำนวนมากมายแล้วยังมีไขมันของเครื่องสันติบูชา และมีเครื่องดื่มบูชาคู่กับเครื่องเผาบูชาด้วย ดังนี้แหละงานปรนนิบัติในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ก็ฟื้นคืนมาอีก
2พศด 35.14 ภายหลังเขาทั้งหลายจึงเตรียมสำหรับตนเองและสำหรับปุโรหิต เพราะว่าปุโรหิตลูกหลานของอาโรนติดธุระในการถวายเครื่องเผาบูชาและส่วนไขมันจนกลางคืน คนเลวีจึงเตรียมเพื่อตนเองและเพื่อปุโรหิตลูกหลานของอาโรน
นหม 8.10 แล้วท่านพูดกับเขาทั้งหลายว่า “ไปเถิด ไปรับประทานไขมัน และดื่มน้ำหวาน และส่งส่วนอาหารไปให้คนที่ไม่มีอะไรเตรียมไว้ เพราะว่าวันนี้เป็นวันบริสุทธิ์แด่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา อย่าโศกเศร้าเลย เพราะความชื่นบานของตนในพระเยโฮวาห์เป็นกำลังของท่าน”
โยบ 15.27 เพราะว่าเขาได้คลุมหน้าของเขาด้วยความอ้วนของเขาแล้ว และรวบรวมไขมันมาไว้ที่บั้นเอวของเขา
สดด 63.5 จิตใจของข้าพระองค์จะอิ่มหนำดังกินไขกระดูกและไขมัน และปากของข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ด้วยริมฝีปากที่ชื่นบาน
สดด 119.70 จิตใจของเขาทั้งหลายต่ำช้าเหมือนไขมัน แต่ข้าพระองค์ปีติยินดีในพระราชบัญญัติของพระองค์
อสย 1.11 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เครื่องบูชาอันมากมายของเจ้านั้นจะเป็นประโยชน์อะไรแก่เรา เราเอือมแกะตัวผู้อันเป็นเครื่องเผาบูชา และไขมันของสัตว์ที่ขุนไว้นั้นแล้ว เรามิได้ปีติยินดีในเลือดของวัวผู้หรือลูกแกะหรือแพะผู้
อสย 25.6 บนภูเขานี้พระเยโฮวาห์จอมโยธาจะทรงจัดการเลี้ยงสำหรับบรรดาชนชาติทั้งหลาย เป็นการเลี้ยงด้วยของอ้วนพี เป็นการเลี้ยงด้วยน้ำองุ่นที่ตกตะกอนแล้ว ด้วยของอ้วนพีมีไขมันในกระดูกเต็ม ด้วยน้ำองุ่นตกตะกอนที่กรองแล้ว
อสย 34.6 พระแสงของพระเยโฮวาห์เต็มไปด้วยโลหิต เกรอะกรังไปด้วยไขมัน กับเลือดของลูกแกะและแพะ กับไขมันของไตแกะผู้ เพราะพระเยโฮวาห์มีการฆ่าบูชาในเมืองโบสราห์ การฆ่าขนาดใหญ่ในแผ่นดินเอโดม
อสย 34.7 ม้ายูนิคอนจะล้มลงพร้อมกับเขาด้วย และวัวหนุ่มจะล้มอยู่กับวัวที่ฉกรรจ์ แผ่นดินของเขาจะโชกไปด้วยเลือด และดินจะได้อุดมด้วยไขมัน
อสย 43.24 เจ้ามิได้เอาเงินซื้ออ้อยให้เรา หรือให้เราพอใจด้วยไขมันของเครื่องสักการบูชาของเจ้า แต่เจ้าได้ให้เราเป็นภาระด้วยเรื่องบาปของเจ้า เจ้าให้เราเหน็ดเหนื่อยด้วยเรื่องความชั่วช้าของเจ้า
อสย 55.2 ทำไมเจ้าจึงใช้เงินของเจ้าเพื่อของซึ่งไม่ใช่อาหาร และใช้ผลแรงงานซื้อสิ่งซึ่งมิให้อิ่มใจ จงเอาใจใส่ฟังเรา และรับประทานของดี และให้จิตใจปีติยินดีในไขมัน
อสค 34.3 เจ้ารับประทานไขมัน เจ้าคลุมกายของเจ้าด้วยขนแกะ เจ้าฆ่าแกะตัวอ้วนๆ แต่เจ้าหาได้เลี้ยงแกะไม่
อสค 39.19 และเจ้าจะรับประทานไขมันจนเจ้าอิ่มหนำ และดื่มโลหิตจนเจ้าจะเมา ณ การเลี้ยงสักการบูชาซึ่งเราได้ถวายเพื่อเจ้า
อสค 44.7 คือการที่เจ้าพาคนต่างด้าวที่มิได้เข้าสุหนัตทางจิตใจและมิได้เข้าสุหนัตทางเนื้อหนังเข้ามาในสถานบริสุทธิ์ของเรา กระทำให้สถานนั้น คือพระนิเวศของเรามัวหมอง เมื่อเจ้าถวายอาหารของเราแก่เรา คือไขมันและเลือด สิ่งเหล่านี้ได้ทำลายพันธสัญญาของเราด้วยการอันน่าสะอิดสะเอียนทั้งสิ้นของเจ้า
อสค 44.15 แต่ปุโรหิตคนเลวี บรรดาบุตรชายของศาโดก ผู้ยังดูแลสถานบริสุทธิ์ของเรา เมื่อคนอิสราเอลหลงไปจากเรานั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า ให้เขาเข้ามาใกล้เราเพื่อปรนนิบัติเรา และให้คอยรับใช้เรา ที่จะถวายไขมันและเลือด

ไข่มุก ( 10 )
โยบ 28.18 อย่าเอ่ยถึงหินปะการังและไข่มุกเลย ค่าของพระปัญญาสูงกว่ามุกดา
มธ 7.6 อย่าให้สิ่งซึ่งบริสุทธิ์แก่สุนัข และอย่าโยนไข่มุกของท่านให้แก่สุกร เกลือกว่ามันจะเหยียบย่ำเสีย และจะหันกลับมากัดตัวท่านด้วย
มธ 13.45 อีกประการหนึ่ง อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อค้าที่ไปหาไข่มุกอย่างดี
มธ 13.46 ซึ่งเมื่อได้พบไข่มุกเม็ดหนึ่งมีค่ามาก ก็ไปขายสิ่งสารพัดซึ่งเขามีอยู่ ไปซื้อไข่มุกนั้น
1ทธ 2.9 ฝ่ายพวกผู้หญิงก็เหมือนกันให้แต่งตัวสุภาพเรียบร้อยพร้อมด้วยความรู้จักละอาย และความมีสติสัมปชัญญะ ไม่ใช่ถักผมหรือประดับกายด้วยเครื่องทองและไข่มุกหรือเสื้อผ้าราคาแพง
วว 17.4 หญิงนั้นนุ่งห่มด้วยผ้าสีม่วงและสีแดงเข้ม และประดับด้วยเครื่องทองคำ เพชรพลอยต่างๆและไข่มุก หญิงนั้นถือถ้วยทองคำที่เต็มด้วยสิ่งน่าสะอิดสะเอียนและของโสโครกแห่งการล่วงประเวณีของตน
วว 18.12 สินค้าเหล่านั้นคือ ทองคำ เงิน เพชรพลอยต่างๆ ไข่มุก ผ้าป่านเนื้อละเอียด ผ้าสีม่วง ผ้าไหม ผ้าสีแดงเข้ม ไม้หอมทุกชนิด บรรดาภาชนะที่ทำด้วยงา บรรดาภาชนะไม้ที่มีราคามาก ภาชนะทองสัมฤทธิ์ ภาชนะเหล็ก ภาชนะหินอ่อน
วว 18.16 ว่า “อนิจจาเอ๋ย อนิจจาเอ๋ย มหานครนั้น ที่ได้นุ่งห่มผ้าป่านเนื้อละเอียด ผ้าสีม่วง และผ้าสีแดงเข้ม ที่ได้ประดับด้วยทองคำ เพชรพลอยต่างๆและไข่มุกนั้น
วว 21.21 ประตูทั้งสิบสองประตูนั้นเป็นไข่มุกสิบสองเม็ด ประตูละเม็ด และถนนในเมืองนั้นเป็นทองคำบริสุทธิ์ ใสราวกับแก้ว

ไขว้เขว ( 2 )
สดด 88.15 ตั้งแต่เป็นอนุชนมา ข้าพระองค์ทุกข์ยากและพร้อมที่จะตาย ขณะข้าพระองค์ทนต่อความสยดสยองของพระองค์ ข้าพระองค์มีจิตใจไขว้เขวไป
สภษ 31.5 เกรงว่าเขาจะดื่มและหลงลืมตัวบทกฎหมายนั้นเสีย และคำวินิจฉัยที่มีต่อคนทุกข์ยากก็ไขว้เขวไป

 

พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ KJV / Thai Bible King James Version

© 2003 Philip Pope