กลับหน้าแรก / Main Menu

 

กาลาเทีย 4 / Galatians 4

[1] [2] [3] [4] [5] [6]


4:1 บัดนี้ข้าพเจ้ากล่าวว่า ตราบใดที่เขายังเป็นเด็กอยู่ ทายาทนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับผู้รับใช้คนหนึ่งเลย ถึงแม้เขาเป็นเจ้าของสิ่งทั้งปวง

4:1 Now I say, That the heir, as long as he is a child, differeth nothing from a servant, though he be lord of all;

4:2 แต่อยู่ใต้อำนาจของบรรดาผู้ปกครองและผู้ดูแล จนถึงเวลาที่บิดาได้กำหนดไว้

4:2 But is under tutors and governors until the time appointed of the father.

4:3 พวกเราก็เหมือนกัน ตอนที่พวกเราเป็นเด็ก พวกเราก็เคยเป็นทาสอยู่ใต้อำนาจของธาตุทั้งหลายของโลก

4:3 Even so we, when we were children, were in bondage under the elements of the world:

ทรงไถ่ผู้ที่รับเชื่อออกจากพระราชบัญญัติให้เป็นบุตรของพระเจ้า
4:4 แต่เมื่อเวลากำหนดครบบริบูรณ์นั้นได้มาถึงแล้ว พระเจ้าก็ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มา ประสูติจากหญิงคนหนึ่ง ทรงถือกำเนิดใต้พระราชบัญญัติ

Redeemed from the Law, Believers Are Sons of God
4:4 But when the fulness of the time was come, God sent forth his Son, made of a woman, made under the law,

4:5 เพื่อจะทรงไถ่คนเหล่านั้นที่เคยอยู่ใต้พระราชบัญญัติ เพื่อที่พวกเราจะได้รับการรับเอามาเป็นบุตรทั้งหลาย

4:5 To redeem them that were under the law, that we might receive the adoption of sons.

4:6 และเพราะว่าพวกท่านเป็นบุตรทั้งหลายแล้ว พระเจ้าจึงทรงส่งพระวิญญาณของพระบุตรของพระองค์เข้ามาในใจของพวกท่าน ร้องว่า “อับบา” พระบิดาเจ้าข้า

4:6 And because ye are sons, God hath sent forth the Spirit of his Son into your hearts, crying, Abba, Father.

4:7 เหตุฉะนั้นท่านจึงไม่ใช่ผู้รับใช้อีกต่อไป แต่เป็นบุตร และถ้าเป็นบุตรแล้ว ก็เป็นทายาทของพระเจ้าโดยทางพระคริสต์

4:7 Wherefore thou art no more a servant, but a son; and if a son, then an heir of God through Christ.

โซ่แห่งพระราชบัญญัติและอิสรภาพแห่งความเชื่อ
4:8 ถึงกระนั้น ตอนที่ท่านทั้งหลายยังไม่รู้จักพระเจ้า ท่านทั้งหลายได้รับใช้สิ่งเหล่านั้นซึ่งโดยสภาพแล้วไม่ใช่พระทั้งหลายเลย

The Chains of the Law and the Freedom of Faith
4:8 Howbeit then, when ye knew not God, ye did service unto them which by nature are no gods.

4:9 แต่บัดนี้ หลังจากที่พวกท่านได้รู้จักพระเจ้าแล้ว หรือที่ถูกก็คือพระเจ้าทรงรู้จักพวกท่านแล้ว เหตุไฉนพวกท่านจึงหันไปหาธาตุทั้งหลายที่อ่อนแอและอนาถาอีก ซึ่งพวกท่านปรารถนาที่จะเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้นอีก

4:9 But now, after that ye have known God, or rather are known of God, how turn ye again to the weak and beggarly elements, whereunto ye desire again to be in bondage?

4:10 พวกท่านถือบรรดาวัน เดือน ฤดู และปี

4:10 Ye observe days, and months, and times, and years.

4:11 ข้าพเจ้ากลัวพวกท่าน เกรงว่าข้าพเจ้าได้ทำงานหนักเพื่อพวกท่านไปอย่างเปล่าประโยชน์

4:11 I am afraid of you, lest I have bestowed upon you labour in vain.

4:12 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอวิงวอนพวกท่าน จงเป็นเหมือนข้าพเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้าก็เป็นอย่างพวกท่านแล้ว พวกท่านไม่ได้ทำผิดต่อข้าพเจ้าเลย

4:12 Brethren, I beseech you, be as I am; for I am as ye are: ye have not injured me at all.

4:13 พวกท่านทราบว่า โดยความอ่อนกำลังแห่งเนื้อหนัง ข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกท่านในตอนแรก

4:13 Ye know how through infirmity of the flesh I preached the gospel unto you at the first.

4:14 และการทดลองของข้าพเจ้าซึ่งอยู่ในเนื้อหนังของข้าพเจ้า พวกท่านก็ไม่ได้ดูหมิ่นหรือปฏิเสธเลย แต่ได้ต้อนรับข้าพเจ้าเหมือนกับว่าเป็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเจ้า คือเหมือนกับว่าเป็นพระเยซูคริสต์เลยด้วยซ้ำ

4:14 And my temptation which was in my flesh ye despised not, nor rejected; but received me as an angel of God, even as Christ Jesus.

4:15 ความปลื้มใจที่พวกท่านได้กล่าวถึงนั้นอยู่ที่ไหนแล้ว เพราะข้าพเจ้าเป็นพยานให้พวกท่านได้ว่า ถ้าเป็นไปได้พวกท่านก็คงจะควักตาของพวกท่านออก และให้ดวงตานั้นแก่ข้าพเจ้าไปแล้ว

4:15 Where is then the blessedness ye spake of? for I bear you record, that, if it had been possible, ye would have plucked out your own eyes, and have given them to me.

4:16 ข้าพเจ้าจึงได้กลายเป็นศัตรูของพวกท่านเพราะข้าพเจ้าบอกความจริงแก่พวกท่านหรือ

4:16 Am I therefore become your enemy, because I tell you the truth?

4:17 คนเหล่านั้นเอาอกเอาใจพวกท่านอย่างกระตือรือร้น แต่ไม่ใช่ด้วยความหวังดีเลย ใช่แล้ว พวกเขาอยากจะกีดกันพวกท่าน เพื่อพวกท่านจะได้เอาอกเอาใจพวกเขา

4:17 They zealously affect you, but not well; yea, they would exclude you, that ye might affect them.

4:18 แต่การเอาอกเอาใจอย่างกระตือรือร้นในสิ่งที่ดีอยู่เสมอก็เป็นการดี และไม่ใช่เฉพาะแต่เมื่อข้าพเจ้าอยู่กับพวกท่านเท่านั้น

4:18 But it is good to be zealously affected always in a good thing, and not only when I am present with you.

การเปรียบเทียบนางฮาการ์กับนางซาราห์
4:19 ลูกเล็ก ๆ ของข้าพเจ้าเอ๋ย ผู้ซึ่งข้าพเจ้าเจ็บปวดในการให้กำเนิดอีกจนกว่าพระคริสต์จะได้ทรงก่อร่างขึ้นในพวกท่าน

The Allegory: Hagar and Sarah
4:19 My little children, of whom I travail in birth again until Christ be formed in you,

4:20 ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะอยู่กับพวกท่านเดี๋ยวนี้ และที่จะเปลี่ยนน้ำเสียงของข้าพเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้ามีข้อสงสัยในพวกท่าน

4:20 I desire to be present with you now, and to change my voice; for I stand in doubt of you.

4:21 จงบอกข้าพเจ้าเถิด พวกท่านที่ปรารถนาที่จะอยู่ใต้พระราชบัญญัติ พวกท่านไม่ได้ยินพระราชบัญญัติหรือ

4:21 Tell me, ye that desire to be under the law, do ye not hear the law?

4:22 เพราะมีเขียนไว้แล้วว่า อับราฮัมมีบุตรชายสองคน คนหนึ่งเกิดจากทาสหญิง อีกคนหนึ่งเกิดจากหญิงที่เป็นไท

4:22 For it is written, that Abraham had two sons, the one by a bondmaid, the other by a freewoman.

4:23 แต่บุตรที่เกิดจากทาสหญิงนั้นก็เกิดตามเนื้อหนัง แต่บุตรที่เกิดจากหญิงที่เป็นไทนั้นเกิดตามพระสัญญา

4:23 But he who was of the bondwoman was born after the flesh; but he of the freewoman was by promise.

4:24 สิ่งเหล่านี้เป็นอุปไมย ด้วยว่าผู้หญิงสองคนนั้นได้แก่พันธสัญญาสองอย่าง คนหนึ่งมาจากภูเขาซีนาย ซึ่งคลอดลูกเป็นทาสคือ นางฮาการ์

4:24 Which things are an allegory: for these are the two covenants; the one from the mount Sinai, which gendereth to bondage, which is Agar.

4:25 เพราะนางฮาการ์นี้ได้แก่ภูเขาซีนายในประเทศอาระเบีย และเปรียบได้กับกรุงเยรูซาเล็มซึ่งอยู่ในปัจจุบัน และกำลังเป็นทาสอยู่พร้อมกับพลเมืองของกรุงนั้น

4:25 For this Agar is mount Sinai in Arabia, and answereth to Jerusalem which now is, and is in bondage with her children.

4:26 แต่กรุงเยรูซาเล็มซึ่งอยู่เบื้องบนนั้นเป็นไท ซึ่งเป็นมารดาของพวกเราทุกคน

4:26 But Jerusalem which is above is free, which is the mother of us all.

4:27 เพราะมีเขียนไว้แล้วว่า ‘จงปีติยินดีเถิด เจ้าหญิงหมันผู้ไม่คลอดบุตรเอ๋ย จงเปล่งเสียงและโห่ร้องเถิด เจ้าผู้ไม่ได้เจ็บครรภ์เอ๋ย ด้วยว่าหญิงที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวก็ยังมีบุตรมากกว่าหญิงที่มีสามี’

4:27 For it is written, Rejoice, thou barren that bearest not; break forth and cry, thou that travailest not: for the desolate hath many more children than she which hath an husband.

4:28 บัดนี้ พี่น้องทั้งหลาย พวกเราซึ่งเป็นเหมือนอย่างอิสอัคก็เป็นบุตรทั้งหลายแห่งพระสัญญา

4:28 Now we, brethren, as Isaac was, are the children of promise.

4:29 แต่ในครั้งนั้นผู้ที่เกิดตามเนื้อหนังได้ข่มเหงผู้ที่เกิดตามพระวิญญาณฉันใด ปัจจุบันนี้ก็เป็นเหมือนกันฉันนั้น

4:29 But as then he that was born after the flesh persecuted him that was born after the Spirit, even so it is now.

4:30 แต่อย่างไรก็ตามพระคัมภีร์กล่าวอะไร ‘ไล่ทาสหญิงคนนี้กับบุตรชายของนางไปเสียเถิด เพราะว่าบุตรชายของทาสหญิงคนนี้จะไม่เป็นทายาทร่วมกับบุตรชายของหญิงที่เป็นไท’

4:30 Nevertheless what saith the scripture? Cast out the bondwoman and her son: for the son of the bondwoman shall not be heir with the son of the freewoman.

4:31 ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย พวกเราจึงไม่เป็นบุตรทั้งหลายของทาสหญิง แต่ของหญิงที่เป็นไท

4:31 So then, brethren, we are not children of the bondwoman, but of the free.

 

พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับคิงเจมส์ / Thai Bible King James Version

© 2006 Philip Pope